One Useless Rebirth #ย้อนอดีตที่ไร้ประโยชน์ 1
บทนำ
เหอไป๋ชายหนุ่มตากล้องที่โชคดีถูกลอตเตอร์รี่รางวัลที่หนึ่ง แต่ชีวิตก็ผันเปลี่ยนเมื่อถ่ายถูกเสียชีวิตของจักพรรดิจอเงินตี๋ชิวเหอ เมื่อไปให้คำให้กานกับตำรวจก็ได้ชีวิตใหม่อย่างงง
เหอไป๋: ผมไม่เคยมีญาติที่ล่วงเกินและเอาเปรียบ...ทำไมถึงต้องเกิดใหม่
ตี๋ชิวเหอ: แต่ผมมี
เหอไป๋: ผมไม่เคยถูกหักหลังหรือมีคนคิดร้าย...ทำไมถึงต้องเกิดใหม่
ตี๋ชิวเหอ: แต่ผมมี
เหอไป๋: ผมมีเงินทองพอใช้และได้ใช้ชีวิตอิสระ...ทำไมถึฃต้องเกิดใหม่
ตี๋ชิวเหอ: ผมมีเงิน แต่ไม่มีชีวิตอิสระเลย~
เหอไป๋คว่ำโต๊ะทันที
เหอไป๋: ดังนั้นผมไม่ต้องการเกิดใหม่! ทำไมผมต้องกลับมาทุกข์ทนอีกครั้ง!!
ตี๋ชิวเหอลูบไล้กรอบหน้าเหอไป๋ด้วยท่าทางแผ่วเบา
ตี๋ชิวเหอ: ย้อนกลับมาเป็นคนรักของผมไง นายเพียงอยู่เพื่อกิน ‘อมยิ้ม’ ไม่ต้องมีเรื่องมาทุนข์ทนเมื่ออยู่ข้างผม
เหอไป๋: ไป..ไปไกลๆ!!
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
นี่เป็นเพียงบทหนึ่งของชายหนุ่มที่อ่อนต่อโลกเพื่อย้อนกลับมาช่วยกระพืบปีกเพื่อช่วยเหลือจักรพรรดิจอเงินที่เป็นตำนาน เพื่อให้จักรพรรดิจอเงินได้ค้นพบสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต (เวลาเดียวกันก็เพื่อลากอีกคนขึ้นเตียง)
นี่เป็นนิยายแปลเรื่องแรกถ้าผิดพลาดต่อขอโทษด้วยนะค่ะ
บทที่ 1 ฉากฆาตกรรม
ชายหนุ่มวัยทำงานผมดำร่างเล็กนั่งอยู่หน้าคอมด้วยสีหน้าตื่นตระหนักดวงตาเบิกกว้างเหมือนไม่เชื่อกับภาพที่เห็น
มือที่เขาจับเม้าส์ก็สั่นจนภาพตรงหน้าค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น
ภาพที่อยู่ในคอมเป็นภาพถ่ายวิวทิวศ์ของเมือง
หลวงยามค่ำคืนที่มีแสงไฟสว่างไสวเหมือนดวงดาวนับพันดวงใครที่ดูจะเหมือนหลุดอยู่ในห้วงความฝัน
มันเป็นภาพที่ตรงกับคอนเซ็ปต์ ‘ท้องฟ้า’ ที่จะต้องเอาไปร่วมในงานนิทรรศการภาพถ่ายแห่งชาติ ซึ่งผู้จัดเป็นถึงช่างภาพในตำนาน
‘จ้าวเทียนหู่’
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หน้าจอชื่อว่า
‘เหอไป๋’ เขายังนั่งเบิกตากว้างมองภาพที่หน้าจอก่อนจะนึกย้อนถึงความตรากตรำที่เขาต้องไปอยู่บนภูเขาถึงสามวันเพื่อให้เก็บภาพนี้ได้
แต่จุดร่วมสายตาของเหอไป๋ไม่ได้จ้องมองความงดงามของภาพตรงหน้าแต่เขาจ้องมองไปยังจุดเล็กที่อยู่ระหว่างหอนาฬิกาสูงที่เป็นจุดเด่นของเมือง
H เงาที่เขาจ้องมองเป็นร่างคนคนหนึ่งที่ล่วงหล่นมาจากคอนโดสูงที่อยู่ใกล้กัน
ตู๊ด...ตู๊ด..
เหมือนเป็นเสียงที่ดึงสติเหอไป๋ให้กลับมา เขาตกใจมากจนมือต้องรีบคว้านหาโทรศัพท์ก่อนจะหลุดเสียงพูดแผ่วเบาเหมือนคนที่พึ่งหลุดจากภวังค์แฝงด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ลุงจ้าว...ผมถ่ายติดอะไรบางอย่าง”
“อืม..แล้วนายถ่ายติดอะไรล่ะ?” ลุงจ้าวที่อีกคนเรียกคือ ‘จ้าวเทียนหู่’ ถามออกมาด้วยเสียงราบเรียบไม่สนใจเสียงตื่นเต้นของอีกคน “นายนอนไม่พอหรือยังไง จริงสิ! ฉันได้ยินว่านายไปเฝ้าบนภูเขาถึงสามวันอาจจะหลอนไปก็ได้
นายนอนพักก่อนไหม?”
“ไม่ใช่ครับ!” เสียงที่เปล่งออกมาแผ่วเบาเหมือนจะหายไปในลำคอ
“ผมคิดว่าผมถ่ายติดภาพ...ภาพคนที่กำลังฆ่าตัวตาย”
“อะไรนะ!!?”
—————-—————-
เวลาเดียวกันทั้งโซเซี่ยลก็เต็มไปด้วยข่าวที่กำลังมาแรง
## จักรพรรดิจอเงินของวังการบังเทิง ‘ตี๋ชิวเหอ’ กระโดดตึกฆ่าตัวตาย!!! ##
มันเป็นข่าวดังที่ติดกระแสค้นหาในสื่อโซเซี่ยลและตามช่องข่าวดังต่างๆ
เหล่าแฟนคลับที่ติดตามตี๋ชิวเหอไม่เชื่อถึงข่าวนี้ เหมือนว่ามันเป็นวันเอพริลฟูลเดย์เพื่อกระตุ้นกระแสขึ้นมาเท่านั้น
ไม่มีใครเชื่อว่าจักรพรรดิจอเงินอย่าง
‘ตี๋ชิวเหอ’ อยู่ๆจะฆ่าตัวตาย เนื่องจากตี๋ชิวเหอเป็นดาราที่โด่งดังโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงตลอดสิบห้าปีและที่ผ่านมาก็รังสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพออกมาตลอดขนาดที่ผันตัวเองมาเปิดค่ายของตัวเองเพื่อปั้นเหล่าศิลปินหน้าใหม่ให้มาโลดแล่นในวงการบันเทิงต่อจากตัวเอง
ตี๋ชิวเหอยังเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมและเกื้อหนุนกับเหล่าคนดังในวงการบันเทิง
ไม่เคยมีใครจะใส่ร้ายตี๋ชิวเหอทั้งต่อหน้าและลับหลัง
คนแบบนั้นแม้ไม่ก้าวเดินในเส้นทางบันเทิงก็สามารถที่จะก้าวเดินได้ถึงจุดสูงสุดของวงการได้
แต่เขาสามารถไปถึงจุดสูงสุดด้วยตัวเองแต่ทำไมถึงตัดสินใจฆ่าตัวตายได้!!
ตี๋ชิวเหออายุเพียง 35
ปีเท่านั้น! ตี๋ชิวเหอยังอายุยังน้อยมากที่มาจบชีวิตแบบ!!
มีคอมเม้นท์มากมายจากเหล่าแฟนคลับของตี๋ชิวเหอที่โพสต์ในโซเซี่ยลไม่หยุด
ทุกคนยังว่าเป็นเพียงเรื่องโกหกที่สร้างขึ้นมาแต่เมื่อเห็นข้อความบนเวยป๋อของค่ายฮ่วนลิ้งที่มีการประกาศระลึกถึงประธานบริษัททำให้ความรู้สึกดิ่งลงเหวทันที
[ด้วยความเศร้าและเสียใจอย่างสุดซึ้ง
เราขอส่งให้ประธานชิวเหอไปยังสถานที่ที่ดีกว่า หลับให้สบาย..]
เหล่าผู้คนในโซเซี่ยลเงียบสงบทันที เหมือนรับไม่ได้กับความจริงที่พวกเขาพึ่งได้รับ
ข้อความเหล่านั้นมันเป็นเรื่องจริงที่ไม่สามารถทำให้พวกเขาหลอกตัวเองได้อีกต่อไป
“ไม่จริง...ฉันไม่เชื่อ!!” ตี๋ชุนฮวาที่เป็นน้องสาวของตี๋ชิวเหอที่กรีดร้องออกมาก่อนที่เธอจะนั่งลงคุกเข่าอยู่เคียงข้างร่างที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาว
เธอสวมชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์คุกเข่าบนดินทำให้ชุดของเธอเลอะใบหน้าที่ถูกแต่งมาอย่างดีก็เละเทะไปด้วยรอยน้ำตา
“นั้นไม่จริง..คนนี้ไม่ใช่พี่ชายของฉัน พี่ของฉันเขาไม่ทำเรื่องแบบนี้แน่...”
เหล่านักข่าวและตากล้องที่อยู่รอบนอกเฝ้ามองเหตุการณ์ด้วยสายตาที่อ่อนไหวปลายหางตาก็มีน้ำซึมมองเฝ้าดูเหตุการณ์ด้วยความเศร้าเสียหายใจ
——————————————
เมืองB: สถานตำรวจ
“ก็ใช่ไง!!! แน่นอนที่เขาไม่ใช่พี่ชายของหล่อน
พี่ชายของเธอมีเพียงตี๋เซี่ยซ่งเท่านั้น..” ร้อยเวรสาวพูดขึ้นเสียงดังหลังจากวางรีโมตทีวีด้วยความรุนแรงหลังจากที่เธอพึ่งปิดทีวี
“ทั้งน้ำตาและการกระทำเธอทั้งหมดมันเป็นเรื่องเสแสร้งทั้งนั้นใครๆก็รู้ว่าเธอมันจอมเสแสร้งทุกคนรู้เพียงว่าเธอมีเพียงตี๋เซี่ยซงเป็นเพียงพี่ชาย
ตี๋ชิวเหอมีสายเลือดครึ่งเดียวกับเธอ เฮอะ..หล่อนเป็นผู้หญิงที่เล่นละครได้ประจวบเหมาะจริงๆ”
เสียงด่าทอที่มาจากร้อยเวรสาวที่หลุดออกมาจากแรงอารมณ์เหมือนไม่สนใจว่าใครมียืนอยู่ด้วย
เมื่อเหลียวมาเห็นว่ามีใครอยู่ด้วยก็ปรับอารมณ์เหมือนไม่เกิดเรื่องก่อนหน้า
“ขอโทษคะ วันนี้คุณต้องการมาแจ้งเหตุร้ายเรื่องอะไรคะ”
“ผมมาติดต่อเรื่องเหตุการณ์ฆ่าตัวตาย”
เหอไป๋ไม่ใส่ใจเขาหยิบรูปภาพออกมาจากกระเป๋ากล้องของตัวเองก่อนจะเลื่อนไปยังหน้าร้อยเวรสาวและนิ้วจี้ไปยังจุดที่ต้องการ
“ผมเป็นช่างภาพ เมื่อสามวันก่อนผมไปอยู่บนภูเขาเพื่อที่จะถ่ายภาพทิวทัศน์ของเมือง
H ตอนกลางคืน ทำให้ผมถ่ายภาพนี้ได้โดยบังเอิญ”
ในภาพมีเงาที่คล้ายกับคนที่กำลังตกลงมาและเมื่อเธอจ้องมองเข้าไปในภาพชัดๆตรงหน้าต่างก็เหมือนมีเงาลางๆที่กำลังยืนอยู่หลังผ้าม่านสีขาวจากคอนโดสูงข้างหอนาฬิกา
ร้อยเวรสาวรีบหยิบภาพนั้นขึ้นมาพร้อมลุกขึ้นอย่างตกใจเธอมีสีหน้าที่บิดเบี้ยว
“ไม่ใช่เหตุการณ์ฆ่าตัวตาย...”
“อะไรนะ...?” เหอไป๋คิดว่าตัวเองหูฝาดเพราะนอนน้อยแต่เมื่อเห็นถึงสีหน้าลุกลี้ลุกล้นของร้อยเวรสาวตรงหน้าเขาก็รู้ได้ทันทีว่าหูเขาไม่ได้ฝาด
ส่วนร้อยเวรสาวไม่ได้อธิบายต่อเธอหยิบภาพและวิ่งตรงไปที่ห้องของสารวัตรทันที
“หัวหน้าคะ! ฉันได้ข้อมูลของการตายของตี๋ชิวเหอ! มีคนเอาหลักฐานนี้มาให้กับทางเรา!!
เขาไม่ได้ฆ่าตัวตาย...ตี๋ชิวเหอเขาถูกฆาตกรรม!!! ”
...อะไรนะ? เงาดำที่อยู่ในภาพคือตี๋ชิวเหอที่เป็นนักแสดงนำชายของหนังดัง
‘Immortal Way’ เขาคือตี๋ชิวเหอ?
เหอไป๋ยืนนิ่งอยู่กลางสถานีตำรวจเขาไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อจึงตัดสินเดินออกจากสถานีตำรวจแต่เมื่อหันหลังสายสะพายของกระเป๋ากล้องดันไปเกี่ยวโดนปฏิทินบนโต๊ะ
ตุ๊บ...
ของบนโต๊ะกระจัดกระจายเหอไป๋รีบกลืนน้ำลายลงคอ
เขาก้มตัวลงไปเก็บของที่กระจายอยู่ข้างเท้า ทำให้เห็นภาพที่เสียบอยู่บนปฏิทินที่ตอนนี้ตกอยู่บนพื้นเขาหยิบภาพนั่นขึ้นมาดู
ภาพในมือเขาเป็นชายหนุ่มที่ดูจะมีอายุประมาณยี่สิบปีโดยมีโครงหน้าที่สมบูรณ์แบบ
ดวงที่สบมายังเขามีแววตาที่อ่อนโยนพร้อมยิ้มออกมาบางๆ คนในภาพสวมเสื้อยืดตัวหลวมสีขาวสวมหมวกเบสบอส
คนในภาพเหมือนพ่อเอกหนังที่หลุดมาจากนิยาย
เหอไป๋รู้ได้ทันทีว่าคนในรูปคือ
‘ตี๋ชิวเหอ’ เมื่อคิดแบบนั้นสมองที่เบลอก็เหมือนจะเริ่มประมวลผลจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้
เขาจับประเด็นไว้ว่าชายที่อยู่ในภาพคนนี้ได้ตายแล้ว ซึ่งสาเหตุการตายเกิดจะการฆาตกรรม...เหอไป๋หลับตาทันที
...
..
เพียงสองวิผ่านไปเหอไป๋ก็ลืมขึ้นพร้อมจ้องมองเพดานห้องที่แสนจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี
มันก็คือเพดานห้องในหอพักนักศึกษาของมหาลัย Q เหอไป๋รีบกวาดมือไปด้านข้างหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัว
“นี่เป็นความฝัน..ตอนนี้ฉันอายุสามสิบแล้ว ไม่ใช่นักศึกษาที่อายุยี่สิบปี...”
“ไป๋..เสี่ยวไป๋ลุกขึ้นมากินข้าว!!”
เหอไป๋รีบกำผ้าห่มแน่นก่อนจะบ่นพึมพำประโยคเดิมซ้ำๆเหมือนมันเป็นบทสวด
‘มันเป็นภาพหลอน..มันไม่ใช่เรื่องจริง..เสียงที่ได้ยินก็เพียงเพราะหูแว่ว...เขานอนน้อย’
“ลุกขึ้นมาเดียวนี้นายมีงานต้องส่งพรุ่งนี้
อย่ามัวแต่นอนนายต้องไปยืมอุปกรณ์ที่อาคารกลางอีก” เสียงของ ‘หวังหู่’ พี่ใหญ่ในหอพักดังขึ้นก่อนที่จะดึงผ้าห่มออกจากตัวเหอไป๋
“นายต้องส่งงานชิ้นสุดท้ายให้อาจารย์ซู แม้ว่าผลงานชิ้นล่าสุดจะคะแนนแย่แต่นายต้องเอาเกรดไปยื่นเรื่องขอทุนอยู่นะ”
เมื่อพูดจบหวังหู่ก็ดึงผ้าห่มออกจึงพบกับเด็กหนุ่มวัยยี่สิบปีนอนเบิกตาโตอยู่บนที่นอนพร้อมผมสีดำยุ่งเหยิงแต่สายตาที่จ้องกลับก็เต็มไปด้วยความตื่นตกหนัก
เหอไป๋ที่จ้องมองใบหน้าของพี่ใหญ่หวังที่มีวงหน้าอ่อนเยาว์กว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วที่พบกันก็อยากจะกรีดร้องออกมา
——————————————
เหอไป๋นั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะกินข้าวเกือบสามสิบนาทีด้วยสีหน้าท้อแท้
เขาก็ไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไป
เมื่อหนึ่งชั่วโมงแล้วเขาเพียงทำตัวเป็นพลเมืองดีที่นำรูปไปส่งให้ที่สถานีก่อนจะเดินออกมาสายกระเป๋าดันไปเกี่ยวโดนปฏิทินที่อยู่บนโต๊ะหล่นลงมา
จากนั้นก็ก้มตัวเก็บภาพนั้น...เพียงกระพริบตาสถานที่ที่เขายืนอยู่ไม่ได้ยืนที่สถานีตำรวจแต่กลับมานอนบนเตียงในหอพักมหาลัย
Q ที่เขาเคยเรียน
เหอไป๋ย้อนอายุตัวเองจากชายวัยกลางคนอายุสามสิบปีกับมาเป็นเด็กหนุ่มอายุยี่สิบที่ยากแคลนเหมือนกับเงินหกล้านในกระเป๋ากับสู่เงินในกระเป๋าที่ไม่ถึงหกร้อย
จากช่างภาพชื่อดังกับสู่นักศึกษาที่มีเกรดรอแร...เพียงเพราะเขากระพริบตา ทำไมโลกถึงตีกลับได้ขนาดนี้
“เอาน่าอย่าท้อ...นายยังเหลือคะแนนจากผลงานชิ้นนี้อยู่อย่างทำตัวเหมือนคนอกหักได้ไหม”
หวังหู่เอ่ยปลอบเหอไป๋ที่มีสีหน้าท้อแท้ก่อนจะยกมือลูบหัวของอีกคนก่อนจะพูดต่อว่า
“ถ้างานชิ้นนี้นายได้ยี่สิบคะแนน นายก็สามารถยื่นขอทุนเรียนต่อได้ อย่ามามั่วทำตัวเศร้ารู้ไหมว่านายทำตัวเหมือนคนที่พึ่งอกหักมาก”
เหอไป๋ส่ายหัวเบาๆก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหมดอะไรตายอยาก
“คนที่อกหักไม่ใช่ผม”
“อะไรนะ?”
“คนที่อกหักนะเป็นหนิงจวินเจี๋ย”
หวังหู่ถามอย่าสับสน “จวินเจี๋ยอกหัก เขาไปมีแฟนตอนไหน?”
ไม่ทันจบประโยคก็ได้ยินเสียงร้องไห้เสียงดังมาจากทางประตูห้อง
คนที่พึ่งมาใหม่คือ ‘หนิงจวินเจี๋ย’ ที่ร้องไห้เข้ามากอดขาหวังหู่แน่น “พี่ใหญ่...ฉันถูกทิ้ง!
หลีฮ้วนฮ้วนเธอหลอกฉัน! ฉันดีต่อเธอทุกอย่างซื้อของที่เธอต้องการ ฉันไม่เคยนอกลู่นอกทางเธอบอกฉันให้ไปซ้ายฉันไม่เคยรั้นที่จะไปขวา!
ทำไมเธอยังมาหลอกฉันได้? โฮ..โฮ.ทำไมถึงทำแบบนี้?”
หวังหู่ตกใจ “หลีฮ้วนฮ้วน?
ดอกไม้ของภาคกระจายเสียง นายไปคบกับเธอตอนไหน!!”
หนิงจวินเจี๋ยพยักหน้าแต่มือยังไม่ปล่อยออกจากต้นขาของหวังหู่
ทางหวังหู่ที่พึ่งได้ยินก็มีเสียงหน้าบิดเบี้ยว...นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ภาพตรงหน้าที่เหอไป๋เห็นก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะย่นจมูกจากนั้นก็ตรงไปบนที่นอนพร้อมยกผ้าห่มคลุมหัวทันที
ก็แน่ละภาพเหตุการณ์นี้เค้าเคยเห็นมาก่อน...เขาอยากจะนอนหลับเพื่อว่ามันจะเป็นเพียงความฝัน...เขาไม่รู้ว่าตัวเองย้อนกลับมาในอดีตเพราะอะไร
ใช้เวลาสักพักหวังหู่ก็รับมือกับหนิงจวินเจี๋ยเสร็จก็เป็นเวลาเที่ยงพอดี
เหอไป๋ที่ท้อแท้และคิดว่าตัวเองไม่สามารถย้อนกลับไปได้แล้วก็ตัดสินใจรีบกินข้าวและเดินทางไปยังอาคารกลางแทน
เหล่าหนุ่มสาวที่สวมกระโปรงเป็นชั้นๆ
กางเกงทรงขาม้า เสื้อที่สวมเป็นลายตารางหมากรุก แว่นกรอบดำทรงเหลี่ยม...ทั้งหมดนี่เป็นแฟชั่นยอดฮิตเมื่อสิบปีที่แล้ว
เหอไป๋ที่นั่งย่องอยู่ริมฟุตบาทก็สูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกสติเมื่อนึกขึ้นได้ว่าในมือของเขาถือกล้องเพื่อที่จะจับภาพเด็กชายที่จูงมือแม่ของเขาเดินไกว่ไปมาอยู่ริมถนน
มือที่ถือกล้องก็ปรับโฟกัสด้วยอาการที่คุ้นเคยเพื่อให้ภาพที่ถ่ายได้ได้ทั้งแสงทั้งมุมที่ต้องการ
แชะ!
แต่ภาพที่ถ่ายติดกับเป็นภาพรถยนต์ SUV
สีดำที่วิ่งฝุ่นตลบมาจอดตรงหน้าเขาแทน
แม่ลูกที่น่าเอ็นดูกับแทนด้วยภาพมั่วๆของรถยนต์คันสีดำ
เหอไป๋โบกมือไปมาเพื่อไล่ฝุ่นที่ฟุ้งกระจายอยู่ตรงหน้าเขาก่อนจะจ้องมองรถยนต์สีดำที่จอดนิ่งด้านหน้า
ประตูรถด้านหลังเปิดออกมาตามมาด้วยขาเรียวยาวที่สวมการเกงยีนต์สีซีดที่ก้าวลงมาจากรถคนนั้น
รองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาดไม่ทีแม้แต่คราบเลอะ เสื้อยืดตัวหลวมสีขาวที่สวมอยู่บนอกกว้าง
วงหน้าเรียวยาวริมฝีปากสีชมพูราวกับลูกพีช ทรงจมูกโด่งเป็นสันอยู่ตรงกลางระหว่างดวงตาเรียวสวยที่ทอประกายอ่อนโยนเป็นธรรมชาติ
เมื่อมองชายตรงหน้าเหอไป๋ก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
นี่คือตี๋..ตี๋ชิวเหอ?
ไม่ทันที่หลุดคำพูดออกไปก็ได้ยินเสียงแหลมของหญิงสาวที่ก่นด่าออกมาจากในรถ
“อย่าคิดว่านายมีชื่อเสียงแล้วจะทำให้ชีวิตของนายดีขึ้น มันไม่เป็นไปตามที่นายคิดหรอก!!!”
จบเสียงกรีดร้องก็ตามมาด้วยกระเป๋าเป้ที่ถูกโยนออกมาเมื่อมองกลับไปก็พบกับหญิงสาวอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปีที่ยื่นหน้านิ้วก็ชี้ไปยังใบหน้าของตี๋ชิวเหอ
“มีเพียงพี่เซี่ยซ่งเท่านั้นที่จะได้นั่งเก้าอี้ประธานบริษัทค่ายฮวางฝู
นายอย่าหวังสูงให้มันมากไม่มีใครยอมรับในตัวนาย ออกรถ!!!”
รถยนต์คันสีดำก็ขับออกไปทันทีเหอไป๋มองไปทางตี๋ชิวเหอที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเฉยเมยโดยไม่สนใจรอบด้าน
แม้แต่คนนอกที่ร่วมเหตุการณ์ก็ไม่ใส่ใจจนเหอไป๋อดคิดไม่ได้ว่า
‘นี่เขามาเห็นอะไรที่ไม่ควรหรือเปล่า...’
แชะ! นิ้วเจ้ากรรมก็กดไปโดนปุ่มชัตเตอร์
ทำให้ตี๋ชิวเหอหันกับสนใจเพื่อนร่วมเหตุการณ์
เหอไป๋รีบเอานิ้วออกทันทีต้องโทษนิสัยติดตัวที่ทำให้เขาดูโง่งม
จากนั้นก็ขยับนิ้วเบนความสนใจไปยังกระเป๋าเป้ที่วางอยู่บนพื้น
“กระเป๋าของคุณเลอะไปหมดแล้ว”
ตี๋ชิวเหอไม่ละสายจากเหอไป๋เขาเพียงก้มตัวหยิบกระเป๋าขึ้นมาก่อนจะตบเบาๆสองสามที
จากนั้นก็เปิดปากพูด
“นายมาจากหนังสือพิมพ์อะไร”
“อะไรนะ?”
“ครั้งต่อไปอย่าถ่ายในตำแหน่งที่ไม่ชัด ไม่อย่างนั้นจะได้ภาพที่ไม่ดีแล้วจะถูกต่อว่าได้”
ตี๋ชิวเหอตอบออกมาอย่างเฉยเมยก่อนจะเอากระเป๋าเป้ขึ้นสะพายหลังจากนั้นก็โบกมือเรียกรถแท็กซี่พร้อมก้าวขาเข้าไปในรถก่อนจะจากไป
เหอไป๋ที่ถูกควันรถพ่นใส่เต็มหน้าก็ได้สติก่อนจะมองไปยังกล้องที่อยู่ในมือตัวเองเมื่อถึงอะไรบางอย่างได้ก็สายเกินไป
“เฮ้! ฉันไม่ใช่สุนัข!! ฉันไม่ใช่อาราซซี่!!”
[T/N:ในคนจีนเรียกพวกปาปารัสซี่ว่า ‘สุนัข’ แต่ในนี้ที่เรียกว่าอาราซซี่ ‘arazzi’
เพราะจะเกี่ยวข้องกับเนื้อหาช่วงหลัง]
บทที่ 2 ลายเซ็นต์
ไฟท้ายรถแท็กซี่ที่เลี้ยวหายไปจากมุมถนนหายลับไปกับตา
เหอไป๋ยกมือลูบใบหน้าตัวเองหลังจากที่ปล่อยให้อีกคนเข้าใจผิดไปไกล
เมื่อเห็นว่าแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วก็หยิบกล้องยกขึ้นอีกครั้ง สองแม่ลูกคู่นั้นไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
เหอไป๋จึงต้องเปลี่ยนเป้าหมายใหม่เขาก็พบการคู่ตายายที่กำลังเดินจูงมือกันอยู่ในหน้าร้านตัดเสื้อโบราญ
แสงจากพระอาทิยต์ยามเย็นที่กำลังอ่อนแสงเป็นสีส้มอมแดงสะท้อนกับเสื้อสีน้ำเงินที่ทั้งคู่สวมมันเป็นการเล่นสีที่กลมกลืนแต่ดูลงตัว
เมื่อเห็นแบบนั้นสายตาของเหอไป๋ก็ประกายความตื่นเต้นและหน้าของตายายก็ยังเป็นร้านสไตส์โบราญ!
เหอไป๋ตัดสินใจยกกล้องพร้อมกดชัตเตอร์ทันที...จังหวะนี้ล่ะ!!
‘แซ็ะ’
ทันทีที่นิ้วของเหอสัมผัสลงบนปุ่มชัตเตอร์ของกล้องมีรถแท็กซี่สีฟ้ามาจอดอยู่ตรงหน้า
เหอไป๋หลับตาลงทันทีอย่างเหนื่อยล้าเมื่อเห็นช่วงขายาวที่สวมกางเกงยีนส์ที่ดูคุ้นตาก้าวลงมาจากรถ
"ตี๋ ชิว เหอ!" เสียงคำรามต่ำลอดไรฟันของเหอไป๋
‘เป็นผู้ชายคนนี้อีกแล้วทำไมภาพของเขาต้องถูกทำลายด้วยชายคนนี้ตลอด!’
รูปท้องฟ้าที่ควรจะสวยงามก็ถูกทำลายโดยชายคนนี้และมาตอนนี้รูปที่เขาตั้งใจจะถ่ายทั้งคู่แม่ลูกและคู่ตายายก็ยังถูกทำลายโดยชายคนเดิม
เขาไปทําเวรทํากรรมอะไรไว้กับคนๆนี้หรือเปล่านี่?
ตี๋ชิวเหอที่ได้ยินชื่อของตัวเองก็มีสีหน้าไม่ใส่ใจเขาก้มตัวหยิบสมุดโน๊ตที่หล่นอยู่บนพื้น
เมื่อจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มที่ถือกล้องอยู่ตรงหน้าก็เขียนอะไรลงสมุดก่อนจะฉีกออกมาจากนั้นก็ยัดมาใส่มือของเหอไป๋
“ไม่ควรที่จะมานั่งเกะกะอยู่ริมถนน ฉันจะไม่กลับมาที่นี่แล้วนายควรกลับบ้านไปเถอะ
รู้ไหมว่าการทำตัวเป็นอาราซซี่มันไม่ดี” พูดจบก็หันหลังเดินขึ้นรถแท็กซี่คันสีฟ้าที่จอดรออยู่ตรงหน้าจากไป
นี่เป็นคำตอกหน้าครั้งที่สอง!
และจากไปพร้อมรถแท็กซี่คันเดิม!!
"..@฿!!" เหอไป๋
———————————————
ด้วยความเร็วที่จะทำได้เหอไป๋ก็รีบตรงกลับไปที่มหาลัยเพื่อไปส่งกล่องคืนจากนั้นก็นำเมมเมอร์รี่ของกล้องถ่ายรูปตรงไปที่ร้านอินเตอร์คาเฟ่ในมหาลัย
หลังจากพยายามนึกถึงอีเมล์ของอาจารย์ซูเมื่อนึกออกก็อัพโหลดภาพ
ระหว่างรอก็เคาะนิ้วอยู่ข้างคีย์บอร์ดก่อนจะนึกอะไรออกก็พรมนิ้วพิมพ์ข้อความบรรยายภาพออกมาแถมตบด้วยคำเยินยออาจารย์ซูระหว่างที่พิมพ์
เมื่อมั่นใจว่าไม่ถูกอาจารย์ซูต่อว่าทีหลังก็ส่งอีเมล์ออกไปทันที
ระหว่างที่รอไฟล์ภาพกำลังส่งเข้าก็กดเบาว์เซอร์เพื่อค้นหาคำว่า
‘ตี๋ชิวเหอ’ ลงในแทบค้นหาก่อนที่จะคลิกไปที่ Baike
ที่อยู่ในบนสุด
[T/N Baike :วิกีพีเดียของประเทศจีน]
จากข้อมูลตอนนี้ตี๋ชิวเหออายุเพียงยี่สิบสามปีและเป็นศิลปินค่ายฮวางฝู
ตี๋ชิวเหอเข้าเดบิวต์ตั้งแต่สามปีก่อนในฐานะนักร้องวงบอยแบนด์แต่ก็ดังจนเมื่อครึ่งปีที่แล้วก็แยกตัวออกมาเป็นศิลปินเดี่ยวและในเวลาเดียวกันก็เล่นหนังในฐานะพระรองแม้จะเป็นหนังต้นทุนต่ำ
ถ้าตัวเขาจำไม่ผิดตี๋ชิวเหอจะเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังจากหนังที่ผู้กำกับมือทองอย่างหลินโม่กำกับหนังเรื่องนั้นชื่อว่า
<Immortal Way> เมื่อหนังเรื่องนี้ออกสู่ตลาดก็ทำให้ตี๋ชิวเหอได้รับรางวัล
‘Thousand Flower Award’ ทำให้ชื่อของตี๋ชิวเหอโลดแล่นอยู่บนจอเงินเหมือนเปลวเพลิงที่ลุกโชนท่ามกลางความมืด
เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงความโด่งดังของตี๋ชิวเหอก่อนที่เขาจะย้อนกลับมา
เหอไป๋ก็หยิบกระดาษโน๊ตที่บนกระดาษมีลายเซ็นต์ของตี๋ชิวเหอออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เขาจ้องมองกระดาษสักพักก็ตัดสินใจเข้าเว็บมหาลัยจากนั้นก็กดไปยังกระทู้ซื้อขายก่อนที่ถ่ายรูปลายเซ็นต์โพสต์ไปบนนั้นโดยตั้งราคาเริ่มต้นไว้ที่สิบหยวน
ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าชายคนนั้นจะต้องตายแต่ช่วงนี้เป็นช่วงทองของตี๋ชิวเหอ
เขาต้องรีบฉกฉวยจากของขวัญที่อีกคนมอบให้อย่างงามๆ
————————————
เมื่อกลับมาถึงหอพักเหอไป๋ก็พบซากศพของหนิงจวินเจี๋ยที่พึ่งส่างเมา
อีกคนลุกขึ้นมานั่งกินบะหมี่สำเร็จรูปอยู่บนโต๊ะกินข้าวแต่ยังพร่ำบ่นถึงอดีตแฟนสาวที่ตัวเองทุ่มเทมาให้โดยตลอด
“เหล่าซานนายรู้ไหม...ในตอนที่เธอบอกว่าอยากได้แหวนเพชร
ผมก็รีบไปหาซื้อให้! เมื่อเธอบ่นว่าการอยู่หอนอกมันไม่สะดวกกับการทำงาน ผมก็ช่วยหาหอพร้อมออกเงินมัดจำให้แถมยังไปช่วยขนของให้เธอ!!
เมื่อเธอบอกว่าที่ค่ายไม่ต้องการรู้ถึงความสัมพันธ์ของฉันกับเธอ...ผมก็แอบยอมคบกันเงียบๆ!!
แต่ทำไมเธอถึงหลอกผมแบบนี้ได้”
เฉินเจี๋ยที่เหมือนเป็นพี่รองของคนในหอพักก็ขยับตัวหลบเส้นบะหมี่ที่เหมือนพร้อมจะพุ่งใส่หน้าตัวเองก่อนจะหยิบเช็ดชู่ยืนไปให้อีกคน
ระหว่างนั้นก็พูดปลอบใจออกมา “เอาน่า! อย่ามามั่วนั่งเสียใจไปเลยผู้หญิงก็เหมือนปลาในทะเลมันมีตั้งเยอะ
เมื่อคนเลวจากไปแล้วเดียวคนดีๆก็เข้าเองล่ะ”
หนิงจวินเจี๋ยรีบเช็ดน้ำตา
“แต่ตอนนี้ฉันไม่สามารถปล่อยวางได้นี่! หลิวฮวนฮวนเธอมันผู้หญิงหลอกลวง!
เรื่องที่เธอโกหกว่าทางค่ายไม่การให้รู้ก็เพราะเธอต้องการหย่อนเบ็ดคันใหม่! ที่ผ่านเธอก็เห็นผมเป็นเพียงแค่ถุงเงินของเธอเท่านั้น
เธอมองว่าฉันเป็นไอโง่!!”
"นายก็เหมือนรู้ตัวเองดีนี้..”
เหอไป๋พูดขึ้น
หวังหู่ที่ได้ยินเสียงจากหน้าประตูก็หันมองตามเรื่องก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เสี่ยวไป๋ทำไมกลับมาเร็ว? งานนายเสร็จแล้วเหรอ”
“อืม เสร็จแล้ว” เหอไป๋พยักหน้าตอบรับก่อนที่จะมองสภาพเพื่อนตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมายาวจากนั้นก็ตัดสินใจลากเก้าอี้ไปนั่งตรงหน้าหนิงจวินเจี๋ยจากนั้นก็ยื่นมือไปตรงหน้าอีกคน
“เอาโทรศัพท์ของนายมา”
แม้ว่าหนิงจวินเจี๋ยจะยังไม่เข้าใจการกระทำของเหอไป๋แต่ก็ยื่นโทรศัพท์ใส่มือของน้องเล็กของหอพักแต่โดยดีพร้อมจ้องมองด้วยสายตาแดงก่ำ
“นายจะเอาโทรศัพท์ไปทำอะไร”
“ก็ช่วยให้หลิวฮวนฮวนนึกเสียใจที่ทำกับนายแถมยังช่วยให้เธอกลับมาถ้านายยังต้องการอยู่”
เหอไป๋กดเปิดหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะกดไปที่ข้อความจากนั้นก็รัวนิ้วพิมพ์ไม่หยุดโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ทั้งสามคนที่อยู่ร่วมห้องก็จ้องมองกันด้วยสายตาโง่งม...น้องเล็กต้องการทำอะไร?
“อ่ะ...เสร็จแล้ว” หลังจากส่งข้อความเสร็จก็ส่งโทรศัพท์คืนให้หนิงจวินเจี๋ยก่อนจะตบไหล่เบาๆ
“เหล่าซานฉันว่านายอย่ามามั่วเสียใจไปเลย สิ่งที่เฉินเจี๋ยพูดมันก็ถูกต้องแล้ว
เมื่อคนเลวๆจากไปเดียวก็มีคนดีเข้ามา”
ถ้าตัวเขาจำไม่ผิดไม่นานหลังจากนี้หนิงจวินเจี๋ยจะพบกับภรรยาของเขาในอนาคต
หนิงจวินเจี๋ยที่มองโทรศัพท์ตรงหน้าด้วยสีหน้าโง่งมก่อนจะได้สติเขารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่านข้อความทันที
“นายส่งอะไรให้หลิวฮวนฮวน? ทำไมนายถึงบอกว่าเธอจะกลับมาหาฉันได้?
นายไปส่งอะไรไปทำไมเธอถึงจะเชื่อนาย”
“ไม่มีอะไรหรอกมันเป็นเพียงข้อความเตือนให้เธอนึกย้อนเสียใจกับสิ่งที่เธอทำก็เท่านั้น”
เหอไป๋ลูบผมของเพื่อให้เข้าที่ก่อนจะพูดต่อว่า “มันจะช่วยทำให้นายตาสว่างจะได้คิดเยอะๆ เผื่อว่าครั้งหน้านายจะเลือกคบใครอีกจะได้เปิดตาให้กว้างๆเพื่อที่จะได้เลือกผู้หญิงที่มีหัวคิดเข้ามาในชีวิต
ผู้หญิงอย่างหลิวฮวนฮวนเป็นผู้หญิงที่ยึดติดกับชื่อเสียงและเงินในกระเป๋าเท่านั้น ถ้าตอนนี้นายยังคบกับเธออยู่เธอก็จะเรียกร้องให้นายควักเงินในกระเป๋าไม่หยุดซึ่งผู้หญิงประเภทนี่ไม่คู่ควรกับนายหรอก”
หนิงจวินเจี๋ยอ้าปากค้าง “เสี่ยวไป๋ทำไมวันนี้นายพูดเยอะกว่าปกติ”
เหอไป๋ที่ได้แบบนั้นก็ยิ้มกว้างโชว์ลักยิ้มที่แก้มซ้ายของตัวเอง
ก็ใช่สิตอนนี้เขาเป็นชายที่ผ่านโลกมาถึงสามสิบปีไม่ใช่เด็กหนุ่มที่มหาลัยอ่อนต่อโลก
มันไม่แปลกหรอกที่เขาจะมีมุมมองที่กว้างขึ้นกว่าเดิมเขาเพียงหวังว่าเพื่อนร่วมห้องของเขาทั้งสามจะปรับตัวให้เข้ากับเขาในตอนนี้โดยเร็วที่สุด
—————-—————-—————-
เหอไป๋ตอนนี้เหมือนล่องลอยอยู่บนก้อนเฆมตัวเขาย้อนกลับไปที่ภูเขาที่เขาในคืนที่เขาขึ้นไปถ่ายรูปเมือง
H ตัวเขาในความฝันกำลังก้มมองนาฬิกาบนข้อมือของตัวเองที่หน้าปัดโชว์เวลาเที่ยงคืนพอดีจากนั้นก็ขยับนิ้วไปวางบนปุ่มชัตเตอร์เพื่อรอคอยจังหวะ
สายลมแรงที่ปะทะใบหน้าจากช่องลมของตึกสูงทั้งสอง ไม่กี่อึดใจก็เห็นเงาบางอย่างที่กำลังหล่นมาจากฟ้ามือที่ถือกล้องอยู่สั่นเทาไม่หยุดจนภาพที่เขาเห็นหลังเลนส์กล้องมันพร่ามัวอยู่ๆร่างที่กำลังหล่นก็โบยบินกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า
เฮือก! เหอไป๋เปิดตากว้างจากนั้นก็สัมผัสได้ว่าหน้าตัวเองเต็มไปด้วยเหงื่อ
เขานอนจ้องมองเพดานสีขาวก่อนจะรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวของตัวเองเหมือนเป็นการไล่ฝันร้าย
“เสี่ยวไป๋ทำไมนายยังนอนต่ออีก? ลุกเร็วอาจารย์ต้องการเจอนาย” อยู่ๆผ้าห่มก็ถูกกระชากจากมือของหวังหู่ตามด้วยเสียงดังที่อยู่ข้างเตียง
เหอไป๋มองสบตากับหวังหู่ที่ยืนอยู่ข้างเตียงก่อนที่จะถามออกมา
“อาจารย์ซูต้องการเจอฉัน?” ทำไมชายแก่ที่แสนจะเคร่งครัดถึงมาตามตัวเขาในเช้าวันหยุดที่ไม่มีคลาสเรียน
“ใช่! เขาโทรมาหาฉันเพราะติดต่อนายไม่ได้”
หวัฃหู่พูดต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ลุกขึ้นเร็วที่ฉันฟังจากน้ำเสียงของอาจารย์ซูฉันคิดว่ามันต้องเป็นเรื่องดีฉันว่าอาจารย์คงต้องการให้โอกาสนายแก้ตัวเพื่อทำเรื่องเปลี่ยนเกรดใหม่”
เปลี่ยนเกรดใหม่
เหอไป๋ที่ได้ยินแบบนั้นก็ตัวแข็งทื่อ
เปลี่ยนเกรดใหม่
= คะแนนของเขามากขึ้น = มาเพิ่มตอนท้ายของเทอม = เขายังมีหวังเรื่องทุนเรียนต่อ
= เขาสามารถประหยัดค่าเทอม ทำให้เขาสามารถเรียนต่อในเทอมถัดไปได้
อาจารย์ซูจงเจริญ!!!
บทที่ 3 จักรพรรดิจอเงิน
วันหยุดอาคารบริหารในมหาลัยแทบร้างคน เหอไป๋เดินตรงไปที่ห้องพักของอาจารย์ซู
เดินไปตามเส้นทางที่เขาคุ้นเคยและเมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปข้างใน
"ทำไมถึงโผล่มาแค่หัวเอาตัวเข้ามาด้วย"
ชายสูงวัยที่ท่าทางเคร่งขรึมนั่งอยู่หลังโต๊ะข้างหน้าต่างพลันโบกมือเรียก“มานั่งตรงนี้" พูดเสร็จก็ชี้นิ้วที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน
เหอไป๋ก็ยิ้มกว้างอย่างประจบดวงตาทั้งสองหรี่เล็กอย่างกับพระจันทร์เสี้ยว
เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้พร้อมโชว์ลักยิ้มที่แก้มซ้าย “สวัสดีครับ อาจารย์ทานข้าวเช้ามาหรือยังครับ?”
ซูอิ๋นหลงลืมตาขึ้นและจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าและวางมือบนรูปที่กองรูปที่อยู่บนโต๊ะ
"อย่ามาแกล้งทำตัวเป็นเด็กดีเมื่อวานฉันเห็นอีเมล์ที่นายส่งมาแล้ว
ดูเหมือนทักษะการถ่ายภาพของนายจะดีขึ้น
รอยยิ้มของเหอไป๋กว้างขึ้น
"อธิบายมาให้ฉันฟังหน่อยว่านายมีฝีมือถ่ายภาพที่ดีแบบนี้
ภาพที่เธอส่งมาทั้งการจัดวางองค์ประกอบและแสงก็ลงตัวมากแล้วทำไมก่อนหน้าถึงส่งรูปแย่ๆมาให้ฉัน"
เหอไป๋ยิ้มค้าง
นี้คือเรื่องที่อาจารย์ต้องการจะพูดกับเขา
"ถ้านายยังตามไม่ทัน ฉันให้เวลานายค่อยๆคิด
ฉันไม่เร่งนาย"
"..."
เหอไป๋ที่อายุสามสิบสามปีที่ความทรงจำไม่ค่อยดีนักก็ถอนหายใจกับสิ่งที่เปลี่ยนไปจากในอดีต
เขาพยายามนึกย้อนว่าช่วงเวลานี้เกิดอะไรขึ้น ราวกับถูกฟ้าผ่าเขานึกออกแล้ว เขาได้คะแนนศูนย์จากงานชิ้นนี้มันทำให้เงินในกระเป๋าของเขาว่างเปล่า
เหอไป๋รีบก้มหน้าลงและอธิบายด้วยเสียงที่หนักแน่น "ผมขอโทษครับ ก่อนหน้าผมขาดทักษะและอุปกรณ์ที่ดี"
ซูอิ๋นหลงเอนตัวพิงเก้าอี้และจ้องมองเหอไป๋ตาไม่กระพริบ
"งานก่อนหน้าผมไปถ่ายในจังหวะที่อากาศไม่ดี
และกล้องที่ผมไปยืมมามันมีปัญหาเล็กน้อย.. แน่นอน! ว่านี้ไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่ดี
ผมผิดเองที่ไม่มีการเตรียมความพร้อม ซึ่งมันผิดเป็นอย่างมาก ผมขอโทษครับอาจารย์ ที่ผมทำไม่ได้ตามที่อาจารย์หวังไว้"
พูดจบไหล่ของเหอไป๋ก็ลู่ลงทันที เหมือนกับเด็กน้อยที่ถูกดุและยอมรับผิดจากพ่อแม่
ซูอิ๋นหลงนั่งเงียบและรออีกคนหยุดพูด
"นายอธิบายจบแล้วเหรอ?"
เหอไป๋เงยหน้าและก็กระพริบตาสองครั้งจากนั้นก็เบี่ยงสายตาไปจ้องที่แจกันดอกไม้และถามด้วยเสียงที่ลังเล"ผมขอ...ผมขอแก้ไขตัวอีกครั้งครับ"
บรรยากาศเงียบกริบแม้แต่เสียงเข็มตกก็ยังได้ยิน
ซูอิ๋นหลงยกแว่นสายตาทรงเรียวยาวขึ้นใส่และหยิบรูปที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา
“ก็ได้ งานชิ้นนี้ฉันจะยังไม่ให้คะแนน"
ตาของเหอไป๋เริ่มเปล่งประกายขึ้นมา
"ฉันจะให้นายไปถ่ายรูปมาอีกสองชุดแล้วมาส่งให้ฉันใหม่"
ซูอิ๋นหลงดึงภาพหนึ่งในนั้นออกมาจากกองพร้อมเคาะนิ้วบนภาพนั้นเบาๆ "ภาพที่ฉันต้องการคือการภาพถ่ายบุคคลแบบนี้ ต้องการทั้งหมดห้ารูปมีทั้งหมดสองชุดในคอนเซ็ปที่นายเลือกเอง
ทั้งหมดต้องส่งมาทางอีเมล์ภายในสุดสัปดาห์นี้"
เหอไป๋ก้มมองที่รูปนั้นจากนั้นเขาก็เบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ
นั้นรูปของ ตี๋ ชิว เหอ!!
มันเป็นรูปในช่วงที่เขาเผลอมือไปกดซัตเตอร์เมื่อวาน?
ทำไมมันถึงมาอยู่ในกองงานของเขา? แต่ดูจากรูปภาพแล้วการจัดวางองค์ประกอบมันปฏิเศธไม่ได้เลยว่ามันยอดเยี่ยม
ทั้งองศาของกล้องที่ถ่ายย้อนแสงอาทิตย์ ทำให้เห็นหน้าของคนในรูปที่มีแสงอาทิย์เป็นฉากหลัง..มันช่างสมบูรณ์แบบมากจริงๆ!!
"เธอรู้ไหมว่าทำไมภาพนี้ถึงออกมาดีแบบนี้"
เหอไป๋หลุดจากภวังค์เมื่อไรยินเสียง “เป็นเพราะการจัดวาง...?”
ซูอิ๋นหลงส่ายหัวและเปิดรูปที่เหลือในกองงานบนโต๊ะและเปิดไล่ไปทีละรูป
"นี่เป็นรูปที่นายถ่ายให้ทั้งหมดคอนเซ็ป <อารมณ์> ดังนั้นที่นายถ่ายคือชายหนุ่ม
คู่รักสูงวัย และคนไร้บ้าน หากไล่ดูจากการจัดวางองค์ประกอบของภาพเหล่านี้
อย่างเช่นสีสันสดใสจากภาพ 'เด็กผู้ชายกับแม่ของเขา' หรือจะเป็นแสงสลัวจากภาพ 'คนไร้บ้าน' ก็ทำให้เพิ่มคะแนนจากจุดนี้ได้และภาพสุดท้าย 'คู่รักสูงอายุ'
ก็ทำให้ก็ทำให้มันเป็นสตอรี่ในคอนเซ็ปชุด อารมณ์ แต่รู้ไหมว่าทุกอย่างมันเริ่มจากภาพแรก
'ภาพชายหนุ่ม' ตรงหน้าฉัน"
แน่นอนว่าภาพทั้งหมดที่เขาถ่ายได้นั้นเกิดจากความบังเอิญล้วนๆ
ซึ่งเหอไป๋ไม่เข้าใจถึงเรื่องราวนี้ยังลึกซึ้งเขาพยายามขอคำชี้แนะอย่างจริงจังจากคนตรงหน้า
"อาจารย์ครับ รบกวนช่วยอธิบายเพิ่มหน่อย"
ก่อนหน้าที่เหอไป๋จะย้อนกลับมา เขาถนัดการถ่ายภาพทิวทัศน์ไม่ใช่การถ่ายบุคคล
ซึ่งตรงกันข้ามกับอาจารย์ซูอาจารย์ของเขาก่อนหน้านี้เคยเป็นนักสื่อข่าวมือหนึ่งและเป็นถึงช่างภาพสารคดีชื่อดังแห่งยุค
ซึ่งมีชื่อเสียงในเชิงการถ่ายภาพที่เล่นกับอารมณ์และความรู้สึกของคน ทำให้ภายหลังการถ่ายภาพสไตล์นี้จึงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้นในวงการช่างภาพมืออาชีพ
การที่เขามีอาจารย์เป็นถึงช่างภาพชื่อดังในยุค
เหอไป๋รู้สึกว่าต้องกอบโกยความรู้จากอีกคนให้มากขึ้น
ซูอิ๋นหลงเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าสามารถสอนแนวทางได้
ก็พยักหน้าแล้วเปิดลิ้นชักและหยิบรูปที่อยู่ในนั้นออกมา "นี่เป็นเชตภาพ
<ทิวทัศน์> ที่เธอส่งมาก่อนหน้า ครั้งแรกที่เห็นฉันก็ชื่นชอบทั้งการจัดวางองค์ประกอบของเธอ..มันเข้ากันมากแต่ฉันไม่สามารถสัมผัสได้ถึงเรื่องราวที่นายต้องการจะสื่อ
แทบจะแตกต่างจากภาพที่อยู่ในกองนี้ ที่มีการถ่ายทอดออกให้คนสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ต้องการจะสื่อออกมาจากในภาพอย่างชัดเจน
เหอไป๋ถึงแม้ว่าฉันไม่รู้ว่าเธอไปฝึกทักษะนี้มาตอนไหน แต่จากที่เห็นตอนนี้ฉันไม่มีอะไรจะสอนคุณ"
"อาจารย์..." เหอไป๋ส่งเสียงคราง
"ดังนั้นฉันถึงให้งานนายที่แยกกับนักศึกษาคนอื่นคอนเซ็ทที่ให้ทำ
<คนและอารมณ์> ฉันจะออกทุนและอุปกรณ์ให้เธอหวังว่าสุดสัปดาห์นี้ฉันจะเห็นความคืบหน้าของผลงานอย่างที่ฉันคาดหวังไว้
แล้วฉันจะมาตัดเกรดใหม่ให้นายภายหลัง"
"ห๊า..?!"
ซูอิ๋นหลงขมวดคิ้ว
"นี้ฉันช่วยซับพอตให้ขนาดนี้ยังจะมีปัญหาอะไรอีก"
การซับพอตอุปกรณ์เป็นเหมือนความฝันของเหล่านักศึกษา
ยิ่งกับเขาที่เป็นเพียงแค่นักศึกษาที่ต้องพึ่งเกรดที่สูงกว่าคนอื่นในชั้นเรียนเพื่อที่จะยื่นขอทุนการศึกษา?
แต่นี้เขาได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์โดยไม่ต้องไปขอยืมกองกลางนักศึกษา
นี้ก็เป็นเหมือนชิ้นพายที่หล่นลงจากฟ้า!!!
"ไม่ครับ..ผมไม่มีปัญหาแน่นอน!"
เหอไป๋รีบก้มหัวพร้อมรอยยิ้มแต้มที่มุมปากจนโชว์ลักยิ้มที่แก้มซ้าย "ขอบคุณอาจารย์ซูมากครับ ผมจะตั้งใจกับงานชิ้นนี้แน่นอน!"
อุปกรณ์ส่วนตัว
= ไม่จำเป็นต้องไปยืมกองกลาง = ประหยัดเงินค่าเดินทาง = สามารถตัดเกรดใหม่ได้!!
แทบอยากกราบไหว้อาจารย์ซูให้เป็นเหมือนผู้ให้กำเนิดเลย!
"อืม..." เสียงของซูอิ๋นหลงตรงกันข้ามกับน้ำเสียงตื่นเต้นของเหอไป๋
เขาเพียงพยักหน้าก็ชี้นิ้วไปที่ตู้ที่อยู่มุมห้องข้างประตูทางออกและโบกมือไล่
"ไปได้แล้ว เอากล้องตัวนั้นไปและรีบไปทำงาน
จำไว้ว่าในหนึ่งเชตมีห้ารูป ทั้งหมดสิบรูปถ้าไม่ดีพอฉันจะให้เธอไปแก้ใหม่เรี่อยๆ ออกไปได้แล้วฉันเบื่อหน้านาย"
เหอไป๋วิ่งตรงไปที่กระเป๋ากล้องอย่างมีความสุขและก่อนจะออกจากประตูก็หันมาก้มหัวขอบคุณ
ซูอิ๋นหลงถอดแว่นออกจากใบหน้าและเก็บรูปภาพทั้งหมดบนโต๊ะอย่างระวังพร้อมรอมยิ้มน้อยๆแทรกใบหน้าที่เคร่งครึม
จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์พร้อมรีบกดเบอร์ไปหาเพื่อนเก่าของเขา "ไงเหล่าซาน วันนี้ช่างเป็นวันที่โชคดีของฉัน
รู้ไหมว่าฉันพบต้นกล้าที่มีพรสวรรค์..."
เหอไป๋นั่งบนพื้นถนนที่มีคนพลุกพล่านและหยิบกล้องขึ้นมาดูนึกถึงย้อนถึงช่วงเวลาที่เขาจะนึกย้อนกลับมา
เขาจับประเด็นได้สามข้อ คือหนึ่งเขาไม่ได้ถูกตัดคะแนน
สองเขาได้งานชิ้นใหม่และต้องเสร็จให้ทันในสุดสัปดาห์นี้ซึ่งถือเป็นคอนเซ็บที่เขาไม่ถนัดที่สุดและสุดท้ายอาจารย์ซูบอกว่าเขาต้องหาแรงบันดาลใจด้วยตัวเองซึ่งเป็นเรื่องที่ยากและต้องใช้เวลาทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
"ไปหาคำตอบและเข้าใจด้วยตัวเอง"
เหอไป๋สรุปได้เพียงสั้นๆในการเรียกคุย
ดังนั้นเขาตอนนี้จะต้องจับหลักจากภาพของตี๋ชิวเหอ?
เหอไป๋เปิดฝากล้องและส่องเลนส์ไปกลางฝูงชน
เวลาก็ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์ เหอไป๋ที่ตอนนี้ปรับตัวเข้ากับชีวิตนักศึกษามหาลัยได้เป็นอย่างดี
เหอไป๋ตัดสินใจโทรไปลาออกจากงานพาร์ทไทม์ที่เคยทำก่อนหน้า เนื่องจากไม่มีเวลาไปทำงานสาเหตุก็เพราะเมื่อวานเขาไปส่งงานชิ้นใหม่ให้กับอาจารย์ซูและถูกต่อว่ากลับมา
ตอนนี้เขาจึงตัดสินใจนั่งรถบัสเพื่อจะออกจากมหาลัยทั้งตัวตอนนี้มีเพียงกล้องในอ้อมแขน
แม้ว่าเทคนิคของการถ่ายภาพของเขาจะดีขึ้นแต่ไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์ตามที่อาจารย์ซูต้องการ
ดังนั้นวันนี้เขาต้องออกถ่ายอีกครั้ง นี่คือคำตัดสินของอาจารย์ซูหลังจากเห็นภาพที่เขาส่งไปให้และยังต้องส่งให้ทันภายในสัปดาห์นี้
ทำไมเขาไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์ที่อาจารย์ซูพูดก่อนหน้า
เหอไป๋ขมวดคิ้วจ้องมองไปยังภาพของตี๋ชิวเหอที่เปิดค้างอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ เมื่อจ้องมองก็รู้สึกเหมือนอีกคนมีชีวิตและจ้องมองตอบกลับเขามา
แน่นอนว่าความหมายที่อาจารย์ซูสื่อไม่ใช่ว่าให้เขาไปถ่ายภาพตี๋ชิวเหอ
แม้ว่าตี๋ชิวเหอจะมีโครงหน้าที่ดูดีกว่าคนทั่วไป แม้แต่ตอนที่เขาถ่ายรูปในมุมเสยในช่วงเวลาที่อีกคนไม่รู้ตัว
ตี๋ชิวเหอมีนิ้วมือที่เรียวยาวพร้อมขนตาที่หนาเป็นแพ...
เหอไป๋ที่ตอนนี้หลุดไปในมนต์สะกดของภาพก็ชักสีหน้าเรียบเฉยพร้อมที่เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าหรือเขาจะเป็นเพียงคนเดียวที่เห็นว่าภายใต้ดวงตาที่ประกายอ่อนโยนและเฉยเมยแม้ว่าตัวเขาเองจะยืนอยู่ตรงหน้า..ใช่แล้ว
เอี๊ยด...
ทันใดรถบัสก็เบรคทันที เหอไป๋รีบจับราวเก้าอี้นั่งตรงหน้าแน่นเพื่อทรงตัว
จากนั้นก็ได้ยินเสียงโวยวายจากคนอื่นที่ร่วมนั่งรถมาด้วย
"ผมขอโทษครับ เมื่อกี้มีลูกหมาตัวหนึ่งวิ่งตัดหน้ารถบัส
จึงทำให้ต้องเบรคอย่างกระทันหัน" คนขับวัยกลางคนรีบกล่าวขอโทษพร้อมอธิบายด้วยสีหน้าหงุดหงิด
ผู้โดยสารบ่นตามเมื่อได้ยินถึงเหตุผล และกลับไปขับรถตามปกติเหมือนว่าก่อนหน้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เหอไป๋อยู่ในตำแหน่งที่สามารถเห็นถึงสายตาของคนขับรถบัสจากกระจกมองหลังได้อย่างชัดเจน
เขามองไปที่ใบหน้าที่ฉายชัดถึงความหงุดหงิดแต่ประกายตาอบอุ่นที่ตัวเขาเองไม่ได้ขับรถชนลูกหมาตัวนั้น
เหอไป๋รีบยกกล้องขึ้นถ่ายโดยไม่สนใจถึงการจัดวางองค์ประกอบอื่นๆไม่สนถึงเรื่องแสงนิ้วของเขาเพียงต้องการกดลงบนชัตเตอร์ทันที
แซ๊ะ
เหอไป๋สูดหายใจเข้าลึกพร้อมเก็บกล่องเข้ากระเป๋าจากนั้นลุกเดินไปที่ประตูทางลง
เมื่อรถจอดสนิทเขาก็ก้าวลงไปพร้อมกับฝูงคน
....เหอไป๋เงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนข้างตัว
"ตี๋ชิวเหอ!"
โลกจะกลมไปไหม แม้ว่าอีกคนจะสวมแมสปิดปากใส่หมวกปิดใบหน้า
แต่ไม่สามารถปิดบังตัวตนจากเขาได้ เพราะเขานั่งจ้องมองรูปของตี๋ชิวเหอทั้งก่อนและหลังย้อนกลับมา
ทำไมเขาจึงจำไม่ได้ ตี๋ชิวเหอที่ตอนนี้สะพายกระเป๋าเดินผ่านป้ายรถบัส หยุดชะงักอยู่ตรงหน้าของเหอไป๋
ดวงตาทั้งสองสบกันไม่นานจากนั้นอีกคนก็กระชากแขนตี๋ชิวเหอเพื่อวิ่งหนีทันที
เพราะการเรียกชื่อดาราเสียงดังท่ามกลางฝูงชนในแหล่งช็อปปิ้งแบบนี้ก็เหมือนเรียกหายมทูต!
ทั้งสองหยุดพักในซอยเล็กๆหลังจากเช็คแล้วไม่มีคนตามพวกเขาทั้งคู่มา
บรรยากาศรอบตัวทั้งสองเต็มไปด้วยความเงียบมีเพียงเสียงลมหายใจหอบดังที่ดังมาจากคนทั้งคู่
"มันไม่ใช่เรื่องปรกติ..." เหอไป๋รีบยกมือเช็ดเหงื่อที่หน้าผากอีกมือกุมที่หน้าอกเมื่อรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นแรงเกินไป
"นี่คุณเป็นนักแสดงที่เล่นหนังเพียงสองเรื่องจริงเหรอ? แม้ว่าคุณจะได้ฉายาจักรพรรดิจอเงินก็ไม่น่าจะมีแฟนคลับมากถึงขนาดนี้?
นี่แค่ผมเรียกชื่อคุณออกมาก็มีคนกลุ่มใหญ่วิ่งตาม.."
ตี๋ชิวเหอที่ผิงหัวแนบกำแพงจากนั้นก็ถอดแมสปิดปากออกเพื่อให้หายใจได้สะดวกขึ้น
หยิบน้ำขึ้นมาดื่มทันทีและพูดขึ้นว่า "ตามมาทำไม"
เสียงที่เปล่งออกมาตอนนี้ทั้งเบาและแหบห้าวดูเซ็กซี่มาก
อาจจะเพราะตี๋ชิวเหอวิ่งมาอย่างไกลและเหนื่อยหอบ
เหอไป๋ลูบใบหูที่แดงของเขาพร้อมจ้องมองที่นิ้วเรียวยาวที่ยื่นขวดน้ำให้
พร้อมกล่าวขอบคุณหลังจากรับขวดน้ำจากมือตี๋ชิวเหอ ก่อนจะรับมาเปิดและยกขึ้นดื่ม
"นี่ฉันพึ่งย้ายมาอยู่ที่นี้เพียงสองวัน"
ตี๋ชิวเหอยืดตัวตรงพูดขึ้นอย่างสงสัย "นายสืบข้อมูลได้เก่งมาก"
"..?"
"ก็นายหาที่อยู่ใหม่ฉันได้อย่างรวดเร็ว"
"????"
"อย่ามาตามตอแหย่
ฉันถูกสั่งดองจากทางค่ายอยู่ตอนนี้ ถึงแม้ว่านายจะได้ข่าวของฉันไป
มันก็ไม่มีอะไรให้ลงข่าวได้"
"....."
ตี๋ชิวเหอหันมองมาและก็จะขยับตัวเข้าหาพร้อมเสียงหัวเราะ
"นายดูอายุน้อย? ควรเอาเวลานี้ไปเรียนหนังสือมากกว่ามาตามไล่เหล่าดารา
‘อาราซซี่’ มันเป็นงานที่ไม่ดีหรอก แต่ถ้าอยากจะมีอาชีพนักข่าวก็ควรไปทำเรื่องสมัครเรียนที่มหาลัย
หลังจากที่ฉันเปิดค่ายของตัวเอง นายค่อยมาสัมภาษณ์ฉันทีหลัง" พูดจบนิ้วเรียวก็หยิบนามบัตรในกระเป๋าออกมา
เหอไป๋ยืนนิ่งตัวแข็งอย่างตกใจ
คนตรงหน้าช่างแตกต่างจากที่เขาคิดไว้อย่างมาก
ก่อนที่จะย้อนกลับมา ถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะไม่ติดตามข่าวสารบันเทิงมากนัก
แต่ก็พอจะได้ยินชื่อเสียงของตี๋ชิวเหอเนื่องจากตัวตี๋ชิวเหอในตอนนั้นดังมาก มีภาพโชว์ไปทั่วตามช่องทีวีและหนังสือพิมพ์อยู่ตลอดเวลาซึ่งเป็นเพราะฝีมือของการเล่นหลังที่มีกระแสตอบรับดีเป็นอย่างมาก
บางวันเขาเปิดทีวีก็เจอรายการสัมภาษณ์ของตี๋ชิวเหอที่ตอนนั้นตี๋ชิวเหอมีภาพลักษณ์ที่ดูเป็นมิตรและเป็นกันเอง
เหล่าเพื่อนร่วมงานหรือแม้แต่พวกนักแสดงก็ให้ความนับถือ แต่การกระทำตอนนี้มันคืออะไร?
บางทีคนที่อยู่ในทีวีก็คงทำเพียงสวมหน้ากากให้ผู้คนที่ติดตามหลงใหลในตัวเขาเอง
แม้แต่ตอนนี้ที่เขาดูรูปที่เผลอถ่ายอีกคน เขาก็ยอมรับในตัวว่า
'เป็นดาราที่ต้องได้รับความสำเร็จแน่นอน' แม้มันเป็นเพียงรอยยิ้มที่เหอไป๋เห็นจากในรูปเขาก็ยังยอมรับในจุดนี้
"ทำไมถึงไม่พูดอะไร" ตี๋ชิวเหอถามขึ้นอย่างสงสัยเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ายังไม่หยิบนามบัตรไป
"นายคิดว่าฉันไม่มีความสามารถพอที่จะเปิดค่ายของตัวเองเหรอ?
ก็จริงที่ฉันถูกดองจากงานในวงการบันเทิง"
อีกคนพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดสีหน้าแสดงถึงร่องรอยไม่พอใจ
สายตาหงุดหงิดที่แทรกผ่านแววตาอ่อนโอยก่อนหน้าที่ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว เหมือนตอนแรกที่เขาเจอกัน
เหอไป๋ได้สติเขาก็ขมวดคิ้วจ้องมองชายตรงหน้า
เขาลังเลที่จะเอื้อมมือไปล้วงหยิบบัตรนักศึกษาที่อยู่ในกระเป๋าข้างตัวและตัดสินใจยื่นออกไปตรงหน้าข้างกับนามบัตรสีขาว
"ผมไม่ใช่อาราซซี่ ผมเป็นนักศึกษาปีสองสาขาวารสารศาสตร์จากมหาลัย
Q ที่เราพบกันทั้งสองครั้งมันก็เพียงเป็นเรื่องบังเอิญ และผมคิดว่าอาชีพนักแสดงของคุณยังไปต่อได้อีกไกลแถมยังเชื่อว่าในอนาคตคุณต้องได้รับรางวัล
‘นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม’ ถ้าคุณอยากจะเปิดค่ายของตัวเองก็สามารถทำได้
ซึ่งเหล่าคนที่ดูถูกคุณตอนนี้จะต้องกลืนน้ำลายตัวเองแน่นอน"
ถึงคราวที่ตี๋ชิวเหอตกใจ เขาหงุดหงิดมาสองสามวันที่จะต้องมาค่อยรับมือแม่เลี้ยงและลูกติดโง่ๆทั้งสอง
ตี๋ชิวเหอจึงตัดสินใจที่จะแยกตัวออกมาอยู่ข้างนอกและคิดที่จะขาดความสัมพันธ์ของพ่อเขาเอง
เขาไม่ต้องการมีส่วนร่วมอยู่ในกองมรดกที่ไร้สาระนั้น เขาต้องการให้แม้เลี้ยงที่เกาะติดเหมือนเหาคิดว่าตัวเขาเองยอมแพ้
ซึ่งที่เขาทำก็ถือว่าได้รับความสำเร็จ ตอนนี้เขาได้รับความสงบในชีวิตกับคืนมา
แม้เส้นทางที่เขาเลือกตอนนี้มันจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
และยังสงสัยว่าแม่เลี้ยงคงจะยังไม่ปล่อยมือจากเขาได้ง่ายๆ
ต่อหน้าคนอื่นทั้งเธอและลูกของเธอทำตัวเหมือนรักเขามาก
แต่มันก็เป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่เธอสร้างขึ้นเท่านั้นต่อหน้าสังคม เขาหวังว่าการที่ตัวเขาออกมาอย่างนี้ก็เหมือนว่าเธอจะก่อกองไฟท่ามกลางหิมะ
เมื่อเห็นอาราซซี่ตัวน้อยในครั้งแรกตี๋ชิวเหอคิดว่าเป็นฝีมือของน้องสาวที่โง่งมจ้างมา
เขาจึงสวมบทเป็นคนที่ไม่สนใจโลกและไม่ถือโกรธต่อน้องสาวต่างสายเลือดก็เพื่อป้องกันการที่จะถูกแบล็กเมลภายหลัง?
เขามีแผนที่จะเพิ่มกระแสความนิยมของตัวเขาเองและเขาต้องรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองให้เป็นอย่างดี
ตี๋ชิวเหอเกิดมาเพื่อเป็นนักแสดงที่สมบูรณ์แบบ
แต่ก็ล้มเหลวในเรื่องเด็กหนุ่มตรงหน้าที่เขาคิดว่าเป็นคนที่น้องสาวของเขาจ้างมา ทำให้เขาแสดงถึงความหงุดหงิดใส่เด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างเต็มที่
"นายคิดว่าผมได้รับความสำเร็จในวงการนี้จริงเหรอ?"
ตี๋ชิวเหอเอื้อมมือไปหยิบบัตรนักศึกษาสายตาก็กวาดอ่านตัวอักษรที่อยู่บนบัตรพร้อมเลิกคิ้วขึ้นใบหน้าก็กับมาผ่อนคลายและเป็นกันเองเหมือนเดิม
"นายเป็นแฟนคลับของฉันเหรอ?"
เหอไป๋ที่เห็นการเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วของตี๋ชิวเหอ
เขาก็ชะงักและส่ายหัวทันที "ใช่คุณจะประสบความสำเร็จแน่นอน"
‘อาจจะสำหรับแฟนๆที่บ้าคลั่งของคุณ’
และทั้งสองก็เกิดบรรยกาศที่น่าอึดอัดใจระหว่างคนทั้งคู่
ตี๋ชิวเหอพึ่งจะมีโอกาสมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างชัดๆ
เขาสังเกตุเห็นลักยิ่มที่บุ๋มลงจากทางแก้มซ้าย เขาค่อยๆเก็บบัตรนักศึกษาใส่กระเป๋าเสื้อคลุม
พร้อมพูดด้วยเสียงที่ดีขึ้น "ขอบคุณมากสำหรับกำลังใจหากเรามีโชคชะตาต้องกันก็คงเจอกันในโอกาสหน้า"
"ถ้ามีโชคชะตาต้องกัน...เดียวก่อน"
เหอไป๋พูดเสียงดังขึ้นมา และก็ชะงักเมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาจะพูด "คุณต้องการให้ผมทำนายชะตาของคุณให้ไหม"
ต้องขอโทษด้วยกับความผิดพลาดในชื่อของพระเอกและได้มีการแก้ไขใหม่เรียบร้อยจาก
'ติ้งสุ่ยเหอ' มาเป็น 'ตี๋ชิวเหอ'
ต้องขอบคุณรีดที่แนะนำนะคะ ขอบคุณคะ**
บทที่ 4 White and Whiter
ตี๋ชิวเหอที่ได้ยินก็หยุดเดินและหันกลับมา
มุมปากยังคงรอยยิ้มที่อ่อนโยนเสียงที่เอ่ยก็กดต่ำ "ทำนายชะตาของฉัน?"
เหอไป๋ถอยหลังทันทีทำไมเขาถึงรู้สึกถึงอันตรายจากอีกคนไม่รู้
ตอนแรกเขาไม่ต้องการที่จะยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของชายคนนี้ แต่ความดีส่วนที่มีก็กระตุ้นให้เขาต้องพูดออกมา
มันไม่เคยเป็นนิสัยของตัวเขาเอง...แต่เมื่อนึกย้อนถึงความฝันที่มีเหล่าท้องฟ้าของเมืองยามค่ำคืนและร่างที่ล่วงหล่น
เหอไป๋ถอนหายใจยาว
"ใช่..ผมต้องการทำนายดวงชะตาให้คุณ" เขาเพียงไม่สามารถปล่อยให้เกิดเรื่องกับคนที่มีพรสวรรค์เช่นนี้จากไปเร็วนัก
ตี๋ชิวเหอจ้องมองใบหน้าที่อ่อนเยาว์ตรงหน้า มือที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อก็กำแน่นที่บัตรนักศึกษา
"นายจะทำนายอะไร เรื่องการงานหรือความรัก?"
"ไม่ผมไม่จะทำนายเรื่องพวกนั้น"
เหอไป๋ปัดความรู้สึกไม่ดีก่อนหน้าทิ้งไปพร้อมพูดด้วยเสียงที่แหบต่ำดูลึกลับ
"ตอนที่ผมยังเด็ก ผมมีโอกาสศึกษาศาสตร์แห่งการทำนายที่วัดไดโอซึจากพระรูปวัดที่เก่าแก่
ทำให้พอที่จะอ่านคำทำนายได้เพียงตอนนี้ผมบอกได้ว่าในอนาคตคุณจะมีชื่อเสียงในวงการจนได้รับฉายา
‘จักรพรรดิจอเงิน’ และได้เล่นหนังฟอร์มยักษ์และกลายเป็นได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
คุณยังสามารถเปิดค่ายของคุณเองและรับความสำเร็จในอนาคต สิ่งที่ผมพูดทั้งหมดแสดงอยู่บนหน้าของคุณ"
ตี๋ชิวเหอยกมือแตะที่คาง
"มีอะไรที่เห็นอีก"
มีสิมีเพียงสองคำ 'ตายเร็ว' ก็เพราะคนตรงหน้าตายตั้งแต่อายุยังน้อยมาก
เหอไป๋ไปลูบที่กล้องอีกครั้ง
“วงหน้าแสดงถึงความซื่อสัตย์ พื้นที่ระหว่างคิ้วมีขนาดกว้าง ซึ่งหมายความว่าคุณเกิดมาบนครอบครัวที่มีเงินและคุณมีดาวคอยค้ำจุนทำให้คุณฟาดเคราะห์มาโดยตลอด
แต่อย่างไรคุณมีใบหูที่บางและมีไฝ ซึ่งถือว่าครอบครัวคุณไม่สมบูรณ์แบบมีเรื่องขัดแย้งกันภายใน
ยิ่งกว่านั้นดูดวงตาและริมฝีปากของคุณนั้นแสดงชัดเจนว่าคุณเป็นคนที่ยุติธรรม และสะพานจมูกที่สูงแปลว่าคุณจะเป็นคนที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียง
แต่ว่า..."
ตี๋ชิวเหอเอยทักเมื่อเห็นอีกคนเงียบไป
"แต่ว่าอะไร?"
"กลางหน้าผากของคุณสัมผัสได้ถึงเส้นแห่งความขัดแย้งจึงแปลว่าคุณจะเกิดเรื่องร้ายในช่วงวัยกลางคน"
เหอไป๋แสดงสีหน้าจริงจังและเสียงให้ดูทรงพลังขึ้น เดินรอบๆตัวตี๋ชิวเหอเป็นวงกลมและยกมือทำท่าทางแปลกเพื่อให้เห็นว่าเขากำลังทำนายดวงชะตา
"เรื่องร้ายนี้ใหญ่มาก หากคุณสามารถผ่านมันไปได้ คุณจะรุ่งโรจน์อย่างไม่มีอะไรฉุด
แต่ถ้าไม่ได้..."
"อะไรจะเกิดขึ้น?" โทนเสียงของตี๋ชิวเหอที่ยังคงราบเรียบเหมือนว่าคนที่เหอไป๋พูดถึงไม่ใช่ตัวเอง
"เรื่องร้ายจะมาในช่วงอายุสามสิบห้าปีมันเกี่ยวข้องกับผู้หญิงและที่สูง
ทิศทางลมร้ายมาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ นี้คือเรื่องทั้งหมดที่ผมอ่านได้ หากเรามีโชคชะตาต้องกันหวังว่าจะเจอกันอีกครั้ง"
เหอไป๋รีบเดินจากไปทันทีเมื่อเขาคิดว่าเรื่องที่ควรพูดก็พูดไปทั้งหมดแล้ว ถ้าเขายังอยู่ต่อเรื่องที่เขาย้อนกลับมาในอดีตคงถูกเปิดเผย
ตี๋ชิวเหอจับที่ไหล่ของเหอไป๋เมื่อเห็นว่าอีกคนกำลังจะเดินจากไปพร้อมสายตาที่จริงจัง
"นี่นายจะไปทั้งแบบนี้ นายยังไม่บอกวิธีการป้องกันเรื่องร้าย?
ไม่มีอะไรให้ฉันไว้ป้องกันตัว? หรือไม่มีอะไรให้ฉันติดต่อนายได้?"
เหอไป๋รีบดึงมือของอีกคนออกและเดินไปตบไหล่ตี๋ชิวเหอเบาๆ
"การที่ผมบอกคุณวันนี้ก็เป็นเรื่องที่เปิดเผยความลับสวรรค์มากเกินไป
คุณเพียงแค่ทำกรรมดีสะสมไว้มากๆ นอกจากนั้นก็หลีกเลี่ยงผู้หญิงและที่สูงไว้ เท่านี้คุณก็พ้นจากเรื่องร้ายได้
และเรื่องที่จะติดต่อผมมันไม่จำเป็นเลย คุณเป็นที่รักของพระเจ้าและท่านจะปกป้องคุณ"
พูดจบก็รีบเดินออกจากซอยเล็ก และตรงไปที่ป้ายรถบัสที่อยู่ใกล้ๆ อย่างเร็วที่สุด
ขอข้อมูลติดต่อ?
บ้าไปแล้วเรื่องที่เขาพูดทั้งหมดเป็นเรื่องมั่วๆ
ที่เขาหยิบนั้นผสมนี้ และถ้าคิดอย่างรอบครอบก็สามารถสังเกตุได้ การที่ตี๋ชิวเหอได้รับชื่อเสียงเป็นถึงจักรพรรดิจอเงิน
ก็แปลว่าอีกคนไม่โง่และสามารถทันเล่ห์เหลี่ยมของคนในวงการบันเทิงทัน ตอนนี้เขาพอที่จะหลอกอีกคนได้แต่ก็ไม่สามารถที่จะปั้นเรื่องหลอกได้ตลอดไป
เหอไป๋จึงต้องหนีอย่างไวและภาวนาว่าตัวเองจะไม่ต้องพบเจอกับตี๋ชิวเหออีก
ที่เขาทำทั้งหมดก็เพื่อตัวเองไม่ให้ตัวเขาต้องนอนฝันร้ายอีก จิตใจของเขานั้นเปราะบางมากรู้ไหม
มันไม่สามารถทนต่อเรื่องร้ายๆซ้ำๆได้
ตี๋ชิวเหอที่ยังยืนอยู่ที่เดิม เขาค่อยยิ้มมุมปากเหมือนเห็นของเล่นที่ถูกใจจากนั้นก็ออกมือออกจากกระเป๋าเสื้อในมือยังมีบัตรนักศึกษา
“นักศึกษามหาลัย Q...”
เหอไป๋ที่ส่งไฟล์รูปที่เขาถ่ายในวันนี้ให้กับอาจารย์ซูเรียบร้อย
เขาก็กลับไปที่หอพักในมือมีแบงค์ 500 หยวน
เขาก็ถอนหายใจยาว นี้เขาต้องหางานพิเศษทำ
ชีวิตก่อนที่เขาจะย้อนกลับมาเขานั้นหลุดจากยาจกมาสู่เศรษฐีเพียงชั่วข้ามคืน
นั้นก็เพียงเพราะเขาถูกรางวัลล็อคเตอร์รี่รางวัลที่หนึ่ง หลังจากที่เขาเข้าทำงานแล้วถูกไล่ออกให้มาเดินเตะฝุ่น
ตอนนั้นเขาก็ผ่านแผงล็อคเตอร์รี่จึงตัดสินใจเสี่ยงโชคเพื่อความสนุก โดยตัดสินใจซื้อเลขวันเกิดของตัวเอง
แต่มาตอนนี้เขาเป็นเพียงนักศึกษาที่จะหาวิธีเอาตัวรอดในแต่ล่ะวัน
ซึ่งถ้าให้เขากับไปทำงานพาร์ทไทม์ห่ามรุ่งห่ามค่ำเขาก็สามารถทำได้ แต่ให้พูดตามตรงว่าเขาก็ขี้เกียจเกินไปที่จะทำแบบนั้น
เหอไป๋นึกถึงเรื่องก่อนที่เขาจะย้อนกลับมา เขาก็รีบเปิดสมุดทันทีและไล่เขียนถึงบริษัทที่เขาน่าจะร่วมลงทุนในเมือง
B
นี้ยังถือเป็นเรื่องดีเรื่องเดียวตั้งแต่เขาย้อนกลับมา เหอไป๋หมุ่นปากกาไปมา
แล้วถอดใจเมื่อนึกคิดว่ามีเรื่องที่ใหญ่กว่าตอนนี้เขามีเงินติดตัวเพียง 500
หยวน แม้ตัวเขาตอนนี้จะรู้ถึงความเป็นไปได้ทางธุรกิจแต่เขาก็ไม่สามารถลงทุนได้
นี้ไม่ต้องผู้ถึงผลกรรมที่เขาไปขัดขวางเส้นทางก้าวหน้าของคนอื่น
เหอไป๋ปิดสมุดทันที คงเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัวที่จะไปคว้าโอกาสของคนอื่นจริงๆ
ดังนั้นเขาต้องหาโอกาสของตัวเขาเองที่เขาอาจจะเคยพลาดโอกาสไป...เหอไป๋เปิดปฏิทินทางโทรศัพท์และก็ไล่เขียนเส้นทางชีวิตก่อนหน้าที่เขาจะย้อนกลับมา
หลังที่เขาเรียนจบก็เข้าไปทำงานในบริษัทหนังสือพิมพ์แห่งหนึ่งในเมือง
B ตามที่ได้รับคำแนะนำของอาจารย์ท่านหนึ่งที่สอนเขา ทำให้เขาสามารถเป็นช่างภาพข่าวฝึกหัดทั้งที่มันน่าจะไปได้สวย
แต่ก็ต้องมาสะดุดจากการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในบริษัทซึ่งมันเป็นเรื่องที่พบเจอบ่อยในสังคมการทำงาน
มันทำให้ถูกกีดกันความก้าวหน้าในที่ทำงาน ในตอนนั้นเขาเป็นเพียงนักศึกษาจบใหม่ไม่เคยใช้ชีวิตภายนอกรั้วมหาลัยทำใหถูกปล่อยทิ้งให้อยู่ในหลุมในเวลาต่อมา...
หลังจากเขาลาออกจากงานก็หวังเสี่ยงโชคและถูกรางวัลที่หนึ่งผลก็คือเขากลายเศรษฐีในชั่วข้ามคืน
หลังจากถูกรางวัลเขาก็ตัดสินใจทิ้งชีวิตเก่าๆ
แบกเป๋ออกเดินทางพร้อมทุนทรัพย์เต็มกระเป๋า เขาท่องเที่ยวทั้งภูเขาแม่น้ำที่มีชื่อในประเทศหรือในสถานที่ที่คนไม่เคยรู้จัก
เขาพบเจอเรื่องดำมืดของสังคมเมือง ตอนนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะชะล้างจิตใจด้วยธรรมชาติอันแสนบริสุทธ์
ระหว่างที่เขาท่องเที่ยวจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่ฃเขาก็นึกถึงได้ว่าเขาต้องการเก็บเรื่องราวบันทึกไว้ดูยามที่เขาแก่ตัว
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะซื้อกล้องถ่ายรูปและเริ่มต้นศึกษาทักษะการถ่ายรูปอย่างจริงจัง
การเป็นช่างถ่ายรูปเป็นอาชีพที่ผลาญเงินเป็นจำนวนมากแต่ว่าตอนนั้นเขาไม่กังวลถึงเรื่องนี้
เขามีทั้งทุนและไฟในตัวที่จะแสวงหาทักษะใหม่ซึ่งนั้นเป็นช่วงที่ดีที่สุดในชีวิตเขาของก่อนที่เขาจะย้อนกลับมา
เฮ้อ...มันเป็นการเรียนรู้ที่ใช้เงินอย่างแท้จริง
เมื่อถ่ายภาพได้สักพักเขาก็ตัดสินใจที่จะโพสต์ภาพเหล่านั้นลงเวยป๋อทำให้เริ่มเป็นที่รู้จักในโซเซี่ยลมากขึ้นและเริ่มมีคนติดตามผลงานของเขา
แต่ว่า...เพียงแค่คืนเดียวทุกอย่างก็กลับมาสู่จุดเริ่มต้น
เหอไป๋ยังสงสัยจนถึงตอนนี้ว่าทำไมเขาถึงต้องย้อนกลับมา
เขาจึงปิดสมุดโน๊คและปากกาจากนั้นก็ซุกตัวในผ้าห่มทันที
“เสี่ยวไป๋ทำไมนายถึงจะนอนต่อ” เสียงเรียกของหวังหู่ดังขึ้นข้างเตียง “เหล่าซานจองโต๊ะที่ร้านชาบูประจำของเราไว้เขาบอกว่าจะเลี้ยงฉลองและให้เราตามเขาไป
ลุกขึ้นมาเร็ว!!”
เหอไป๋กระชากผ้าห่มออกแล้วถามอย่างสังสัย “อะไรนะ..เขาเลี้ยงฉลองอะไร”
หวังหู่เอยทั้งรอยยิ้มที่เหมือนเอือมระอา
"เลี้ยงฉลองอกหักอีกครั้ง"
เหอไป๋ขมวดคิ้ว
"อกหักอีกครั้ง? กับใคร" เขาจำได้ว่าหนิงจวินเจี๋ยในช่วงเรียนมหาลัยเคยอกหักเพียงครั้งเดียว
แล้วทำไมถึงมีครั้งที่สองตามมา มันเป็นเรื่องน่าแปลกหรือเพราะเขาไปเปลี่ยนเรื่องราวของหนิงจวินเจี๋ยก่อนหน้า?
"ก็กับหลิวฮวนฮวนคนเดิม" หวังหู่พูดไม่เต็มเสียง
ถ้าให้ตัวเขาพูดมันก็เป็นเรื่องกระดากปาก"แต่ครั้งนี้เหล่าซานเป็นคนเอ่ยปากบอกทิ้งเอง
เขาเลยต้องการที่จะฉลอง"
"...."
คอนโดหรูกลางใจเมือง B
ตี๋ชิวเหอนั่งอยู่ที่โซฟากลางหน้า ข้างหน้ามีโน๊ตบุ๊คที่เปิดค้างที่หน้าเว็บของมหาลัย
Q เขาขยับตัวและพิมพ์บัญชีของตัวเองอย่างคุ้นเคย จากนั้นก็หยิบบัตรนักศึกษาที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาป้อนรหัสนักศึกษาของเหอไป๋และกดค้นหาทันที
ก็มีข้อมูลนักศึกษาทั่วไปขึ้นมา เขาคลิกที่ไปที่คำ ‘White and Whiter’ ภายในลิงค์นั้นเต็มไปด้วยคอมเม้นท์ต่างๆมากมายทั้งใหม่และเก่า
เด็กหนุ่มนักทำนายโชคชะตาไม่ได้โกหก อีกคนเป็นรุ่นน้องในมหาลัยของเขาจริงๆ
เขาไล่อ่านข้อความที่อีกคนคอมเม้นท์ส่วมมากมีทั้งการหางานพาร์ทไทม์และบทวิจารณ์อาหาร
มีกระทู้หนึ่งที่พึ่งโพสต์มันดึงดูดความสนใจของตี๋ชิวเหอทันที
White and Whiter: เปิดประมูลลายเซ็นต์ของจักรพรรดิจอเงิน
เริ่มต้น 10 หยวน
นิ้วที่จับอยู่ที่เม้าส์แข็งค้าง ถ้ามีคนอื่นข้างตัวก็จะสัมผัสได้ถึงความแรงกดดันที่ตี๋ชิวเหอสร้างขึ้นและเห็นสีหน้าหงุดหงิดของคนที่มีใบหน้าอ่อนโยนตลอดเวลา
สายตาเขม่นไม่ละจากข้อความ ‘เริ่มต้น 10 หยวน’ มันไล่อ่านซ้ำไปซ้ำมา
"เพียง 10หยวน"
ตี๋ชิวเหอกรีดร้องในใจ
เขาเป็นถึงจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ นี่มันอะไร!!
"ฉันมีค่าเพียงแค่ 10 หยวนเท่านั้น"
ตี๋ชิวเหอหยิบบัตรนักศึกษาแน่นสายตาจ้องที่รูปในบัตร
จากนั้นก็มีรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ขึ้นและสายตาที่เป็นประกายอย่างเจอเรื่องสนุก นิ้วเรียวยาวเลื่อนเม้าส์กดคลิกไปที่ปุ่มประมูลและกดเสนอราคาหนึ่งพันทันที
"เหอ ไป๋!!!"
เสียงคำรามลอดไรฟัน ตี๋ชิวเหอปล่อยเม้าส์เอนหลังพิงเก้าอี้แต่สายตายังไม่ละจากรูปบนบัตรนักศึกษา
นิ้วโป้งแตะที่ลักยิ้มที่แก้มซ้ายของคนในรูปพร้อมพูดเสียงเบาแต่เน้นหนักทุกคำ
"ฉันจำหน้านายได้ เด็กน้อย"
อีกฝั่งแก้วเบียร์สี่แก้วกระทบดังลั่น
"เอ้าชน..ดื่ม!!" เสียงดังลั่นมาจากหนิงจวินเจี๋ยที่ตะโกนอย่างมีความสุขพร้อมยกแก้วขึ้นดื่มจนเบียร์ในแก้วหมด
"ฉันหลุดจากความแค้นของตัวเองได้!! รู้ไหมวันนี้ฉันเจอหลิวฮวนฮวนทันทีที่ลงจากรถพ่อของฉันที่หน้าสถานีโทรทัศน์
เธอรีบวิ่งออกมาทั้งใบหน้าอาบน้ำตาบอกว่า ‘ฉันเสียใจที่ต้องเลิกกับคุณก่อนหน้า
ฉันรักคุณจริงๆแต่เพราะงานของฉันทำให้ต้องเกิดเรื่องนี้ขึ้น ฉันไม่อยากให้เกิดแบบนี้เลย’
เฮอะ!!!" เสียงที่พูดดัดเล็กแหลมขึ้น
เหอไป๋ที่รินเบียร์ในแก้วให้เต็มพร้อมถามขึ้น
"แล้ว?"
"ฉันก็กุมมือเธอทันที" หนิงจวินเจี๋ยหัวเราะเสียงดังจากนั้นก็หยิบแก้วเบียร์ที่ถูกเติมจนเต็มขึ้นมาดื่มใหม่
"และจากนั้น...ฉันก็ถอดแหวนออกจากนิ้วเธอ พร้อมยังบอกว่าจะนำไปบริจาคเด็กกำพร้าดีซักยังดีกว่า!
สะใจจริงๆ!!"
เหอไป๋ไม่สนใจกับดวงตาที่ยังแดงก่ำของเพื่อนเขาและไม่ตักเตือนว่าเรื่องที่อีกคนทำมันจะแรงเกินไป
เหอไป๋ทำเพียงส่ายหัวและหยิบแก้วเบียร์ของตัวเองขึ้นดื่ม
"งั้นก็ปล่อยเรื่องเก่าทิ้งไป
ฉันว่านายต้องได้เจอคนที่ดีกว่านี้แน่ ดื่มเถอะ!!"
"คัมปาย" หนิงจวินเจี๋ยยกแก้วขึ้นสูงไปทางหวังหู่และเฉินเจี๋ย
ที่นั่งเงียบๆไม่พูดอะไรออกมาแต่หนิงจวินเจี๋ยไม่สนใจเขายังคงมีอาการดีใจ
"ดื่มๆๆ วันนี้ไม่เมาเราไม่กลับบ้าน!"
ทั้งเฉินเจี๋ยและหวังหู่จ้องหน้ากันพร้อมส่ายหัวและทำเพียงยิ้มๆ
"ได้..ไม่เมาเราไม่กลับบ้าน!"
บทที่ 5 เพื่อได้กินเนื้อ
ซูอิ๋นหลงวางรูปถ่ายนับสิบภาพลงบนโต๊ะพร้อมมือที่จับแว่นสายตาเพื่อถอดออก
"นายคิดว่ารูปไหนดีที่สุด?"
เหอไป๋ลูบใบหน้าตัวเองให้ฟื้นสติหลังอาการเมาค้างแม้ว่าตอนนี้เขาจะปวดหัวอย่างหนักก็ตาม
เหอไป๋ไล่ดูรูปทีละรูปอย่างลังเลก่อนที่จะชี้ไปยังรูปของคนขับรถบัส
"ภาพนี้ครับ"
"ทำไมนายคิดอย่างนั้น"
"ก็แค่ความรู้"
"แล้วรู้สึกยังไง?"
เหอไป๋หยิบรูปขึ้นมาดูในภาพแม้ว่าในภาพแสงจะมืด
แต่ก็เห็นถึงร่องรอยเล็กๆในดวงตาสีน้ำตาลเข้มของคนขับรถบัสจากทางกระจกมองหลัง เขานึกย้อนถึงช่วงที่เขาถ่ายรูปนี้
"ผมแค่รู้สึก..ว่าการสื่อสายตาของคนขับรถมันถูกดึงออกจากภายในแม้ว่าใบหน้าจะเต็มไปด้วยความหงุดหงิดแต่สายตาที่สื่อออกมามันช่าฃแตกต่าง
หลังจากที่นิ้วของผมกดชัตเตอร์สายตานั้นก็ติดตรึงอยู่ในหัวของผม แม้แต่ตอนนี้ผมก็นึกถึงช่วงเวลานั้นได้
เหมือนกับว่าชายคนนั้นมานั่งอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุข"
"ทำไมนายถึงมีความสุข"
ซูอิ๋นหลงขยับสายตาขึ้นมอง
"อาจเป็นเพราะตอนนั้นผมสามารถเก็บเรื่องราวที่มีค่าที่สุดได้"
เมื่อต้องใช้สติอย่างหนักอาการเมาค้างก่อนหน้าก็ส่างทันที ตอนนี้สมองของเขาโล่งขึ้น
เหอไป๋มีรอยยิ้มที่สดใสขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
"ในตอนที่ผมขยับนิ้วกดชัตเตอร์ ผมมองเห็นคนขับรถที่ดูโล่งใจที่เขาไม่ได้ขับชนสุนัข
แต่ยังแสดงออกถึงความไม่พอใจออกมา กลับกันสายตานั้น...เขาดูอ่อนโยนมาก นี่เป็นเพียงช่วงเวลาที่ผมพบเห็นแล้วไม่ต้องการพลาดที่จะเก็บภาพนี้ไว้ในอัลบั้มความทรงจำของผม"
"อ่าห๊ะ.." มีรอมยิ้มบนใบหน้าซูอิ๋นหลง
"ไม่เลว นายไม่ต้องมาส่งงานให้ฉันแล้วในสัปดาห์หน้า"
เหอไป๋ถามขึ้นอย่างตามอีกคนไม่ทัน
"หยุดพักส่งงาน"
ซูอิ๋นหลงพยักหน้ายืนยันและหยิบปากกาเขียนไปในกระดาษคะแนนที่มีชื่อของเหอไป๋และเปลี่ยนจากคะแนนศูนย์ให้เป็น
95
คะแนนจากนั้นก็ปิดสมุด
"ฉันขอเตือนหน่อย การดื่มเพื่อพักสมองมันก็เป็นเรื่องดี
แต่ก็ควรดื่มให้พอดีหน่อยถึงพวกนายจะยังหนุ่มสาว แต่มันก็เสียสุขภาพไม่ต้องมาส่งงานในสัปดาห์หน้าแล้ว"
ดวงตาเหอไป๋สว่างขึ้นเมื่อมองที่สมุดพกที่เห็นคะแนนเกรดเปลี่ยนไปและลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้นพร้อมรอยยิ้มสดใส
"ขอบคุณอาจารย์มากครับ! อาจารย์คุณเป็นคนที่วิเศษที่สุด!"
จากนั้นเหอไป๋ก็รีบสะพายกระเป๋ากล้องพุ่งออกจากห้องด้วยกลัวว่าอีกคนจะเปลี่ยนใจและแก้ไขคะแนนของเขาอีก
"ไอลูกหมา..." ซูอิ๋นหลงส่ายหัวแต่ใบหน้ายังคงรอยยิ้มที่กว้างขึ้นไม่รู้ตัว
และหยิบโทรศัพท์กดโทรออกทันที "ไงเหล่าซาน..นายจำเรื่องเด็กหนุ่มที่ฉันเหล่าให้ฟังก่อนหน้าไหม?
ฝีมือเขาก้าวหน้าขึ้นมาก"
เป็นครั้งแรกเลยที่เหอไป๋ได้รับคำชมจากอาจารย์ซู
เขาเดินเล่นตามถนนอย่างมีความสุข เพื่อจะออกหาเงินมาซื้อเนื้อกิน เขาต้องรีบหางานทำ
จากนั้นเหอไป๋รีบเอาอุปกรณ์ไปยังสถานที่ที่รวบรวมสตูดิโอถ่ายภาพที่มีชื่อในเมือง
B
ก่อนหน้าเหอไป๋พยายามคิดเป็นเวลานานก่อนที่จะตัดสินใจเลือกวิธีที่สามารถหาเงินได้ในเวลาที่เร็วโดยใช้ทักษะของเขาเอง
คือการรีทัชภาพของเขา!
ช่างภาพที่เก่งเขาไม่จำเป็นต้องมานั่งรีทัชเพื่อที่จะให้ภาพมันสมบูรณ์
แต่มันก็ต้องมีการปรับแต่งบางส่วนให้ดีขึ้น ก่อนหน้าตัวเขาจะเป็นช่างภาพที่ถนัดถ่ายงานทิวทัศน์แต่ไม่ถึงกับเก่งกาจ
แต่เขาสามารถท้องท้องฟ้าที่สดใสหรือท้องทะเลที่ใสกระจ่างหรือจับภาพสายรุ้งหลังฝนหยุดตก
แม้แต่เหล่านกที่โผบินเมื่อได้ยินเสียงดัง
ภาพที่เขาถ่ายได้โดยก่อนการรีทัสนั้นสามารถให้คะแนนได้ประมาณ
80 เปอร์เซ็นก็จริง แต่ถ้าเขาสามารถที่พัฒนาตัวเองให้สามารถไปถึง 100
เปอร์เซ็นล่ะ!!
แม้ว่าเขาตอนนี้จะปรับทักษะจากที่ถนัดเกี่ยวกับทิวทัศน์มาเปลี่ยนเป็นการถ่ายภาพบุคคล
แต่เขาก็มีประสบการณ์ที่ได้รับมามากกว่าคนอื่นถึงสิบปี นั้นก็เพียงพอให้เขาจะยึดเป็นอาชีพเพื่อเลี้ยงตัวเอง
เหอไป๋ขยับกระเป๋ากล้องและเดินไปที่หน้าสตูดิโอถ่ายภาพที่มีการตกแต่งอย่างสวยงามและก้าวเข้าไปข้างใน
สตูดิโอนี้ขึ้นชื่อเรื่องการถ่ายภาพและให้เงินตอบแทนที่ดีมาก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเลือกสมัครงานที่นี่
"สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่สตูดิโอ
Saint Elephant มีอะไรให้ฉันช่วยคุณไหมค่ะ" ผู้หญิงที่ยืนอยู่เค้าเตอร์ยิ้มอย่างอ่อนหวานและสุภาพ
"สวัสดีครับ.." เหอไป๋ยิ้มจนโชว์ลักยิ้มที่แก้มให้ดูเป็นมิตรที่สุด
"ผมมาสมัครงานครับ เห็นมีป้ายประกาศรับช่างรีทัชภาพ"
ผู้หญิงตรงหน้ากระพริบตาทันทีสายตากวาดมองอย่างสุภาพมายังเสื้อผ้าที่เขาสวมและหยุดมองที่กล้องที่คล้องอยู่บนคอ
"ได้ค่ะ
คุณรออยู่ตรงนี้สักครู่เดียวฉันไปตามคนมาเพื่อมาสัมภาษณ์คุณ" ขณะที่พูดเธอก็ชี้ไปยังเก้าอี้ที่อยู่ในโซนต้อนรับลูกค้าที่ทางขวาของประตูที่เหอไป๋พึ่งเดินเข้ามา
เหอไป๋โค้งตัวขอบคุณอย่างสุภาพและเดินไปตามทางที่เธอชี้และนั่งลง
เขาแตะกระเป๋ากล้องที่อยู่บนตัก จากการที่หญิงสาวมองเขาหัวจรดเท้า ก็ทำให้เขารับรู้ได้ถึงความคิดเกี่ยวกับคนสมัยนี้ที่มองคนจากการแต่งตัว
เฮ้อ...แม้แต่ผู้ชายก็ยังไม่เว้นเลย
เป็นเวลาถึงสิบนาทีก็มีผู้หญิงอายุประมาณสามสิบกว่าเดินก้าวเข้ามาพร้อมรองเท้าส้นสูงสีแดง
เธอกวาดสายตามองเหอไป๋และพูดเดียวเสียงจริงจัง "นายเอาตัวอย่างผลงานมาด้วยหรือเปล่า"
เมื่อคนอื่นมาอย่างตรงไปตรงมา เหอไป๋ก็เป็นคนที่พร้อมจะรวบรัดทันที
"ครับ" เขาหยิบภาพถ่ายจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าและใช้มือทั้งสองข้างจับที่ภาพ
"ภาพต้นฉบับอยู่ด้านบนและภาพด้านล่างเป็นภาพที่ผมรีทัชภาพใหม่ ทั้งหมดมีห้าชุด
โปรดพิจารณาด้วยครับ"
เมื่อมีการตัดสินใจจะสมัครงานในตำแหน่งนี้ เหอไป๋ก็เตรียมพร้อมมาก่อน
นี้เป็นรูปภาพที่เหอไป๋พึ่งถ่ายมาใหม่และได้รับการรีทัชมาเมื่อไม่นานนี้
รูปที่อยู่บนสุดก็คือภาพถ่ายที่ทะเลสาบ ทำให้คนที่จ้องมองไม่อาจละสายตาได้
ตอนแรกสิ่งที่หลี่เหรินคิด เด็กหนุ่มตรงหน้าคงไปดาวโหลดรูปภาพหรือไม่ก็ไปสแกนมาจากพวกช่างภาพมืออาชีพ
และค่อยนำเอามาปรับแต่งอีกที ทำให้ความสนใจของเธอพุ่งตรงไปยังภาพที่สองที่อยู่ด้านล่าง
เป็นผลให้เธอตะลึงอีกครั้ง
เป็นรูปที่สองเป็นภาพทะเลสาบที่มีการปรับแต่งแล้ว
ซึ่งการปรับแสงให้สว่างขึ้นและปรับแสงเงาให้คมชัดและเธอไม่รู้ว่าใช้ทักษะอะไรที่แก้ไขผืนน้ำ
มันถูกปรับแต่งให้เห็นลายเส้นที่เด่นชัด จุดเด่นของภาพได้รับการปรับเพียงเล็กน้อยแต่ก็ทำให้ดูเด่นขึ้น
ทำให้คนที่เห็นไม่ละสายตาออกจากภาพได้
เธอวางรูปต้นฉบับเทียบกับภาพที่ได้รับการปรับแต่งไม่สามารถบอกได้ว่ารูปไหนจะด้อยกว่ากัน
“นาย...” เธอหันหน้าขึ้นมามองที่ใบหน้าของเหอไป๋อย่างต้องการจะพูดบางอย่าง
แต่ก็กลืนคำพูดลงคอ และเปิดดูรูปถัดไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสี่รูปเป็นภาพเกี่ยวกับทิวทัศน์
มีทั้งทะเลสาบที่มีทางเดินโค้งรูปหงส์ช่วงกลางคืนและป่าเขาในเวลาพระอาทิตย์ตกดิน
ต้นฉบับทุกรูปนั้นก็ยอดเยี่ยมในตัวของมันเอง
แต่การรีทัชก็ทำให้ภาพนั้นโดดเด่นขึ้นมา แต่คนที่จะสามารถแก้ไขภาพต้องเป็นคนเข้าถึงความหมายที่จะต้องการสื่อออกมาให้คนที่ดูเข้าถึงอารมณ์นั้น
เด็กหนุ่มตรงหน้าใช้เทคนิคอะไรถึงทำให้ภาพออกมาทั้งสวยงามและดูเป็นธรรมชาติได้
มันสมบูรณ์แบบและลงตัว
ทำให้คนที่จ้องมองแทบจะหยุดหายใจอย่างไม่รู้ตัว
“ทั้งหมดนี้นายถ่ายและปรับแต่งเองทั้งหมด”
เธอระงับความตื่นเต้นและจ้องมองเหอไป๋ “แต่ทำไมไม่มีภาพคนเลย”
เหอไป๋สังเกตุถึงความเปลี่ยนแปลงของคนตรงหน้ามันดูเป็นกันเองมากขึ้น
เขาพูดตรงๆไปว่า “ผมถนัดถ่ายภาพทิวทัศน์มากกว่าการถ่ายบุคคล
ดังนั้นการถ่ายจึงไม่ดีเท่าไร”
การแสดงออกมาอย่างจริงใจนี้พร้อมกับใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเขา
ทำให้ใบหน้าที่ดูเคร่งเครียดของหลี่เหรินก็ดูอ่อนลง
“นายยังเด็กทำได้เท่าดีก็ดีแล้ว ยังสามารถที่จะพัฒนาต่อได้อีก”
หลี่เหรินและเห็นว่าไม่มีแม้แต่แก้วน้ำวางไว้บนโต๊ะก็พูดกับเหอไป๋เบาๆ
“ฉันชื่อหลี่เหรินเป็นผู้จัดการแผนกออกแบบที่นี่
ภาพของนายนั้นยอดเยี่ยมมาก แต่ฉันต้องการให้การปรับแต่งภาพของบุคคล
เพื่อเป็นการโฆษณา นายทำได้ไหม”
เธอเป็นถึงผู้จัดการ
วันนี้ไม่มีลูกน้องมาทำงานเลยหรือไง? จำเป็นต้องให้ระดับผู้จัดการมาสัมภาษณ์พนักงานพาร์ทไทม์?
ถึงเหอไป๋จะแปลกใจแต่ก็มีความสุข เขายืนขึ้นและมือจับหลี่เหรินอย่างสุภาพและดึงมือออกพร้อมพยักหน้าอย่างแรงๆ“ได้แน่นอนครับ ขอบคุณคุณหลี่มากที่ให้โอกาสผม!”
บรรยากาศของทั้งสองสนิทกันขึ้นมาก หลี่เหรินรู้สึกชื่นชมในการวางตัวและฝีมือของเด็กหนุ่ม
หลังจากนั้นก็บอกว่าให้สักครู่เดียวจะเอางานมาให้ทดลอง จากนั้นก็เดินที่เค้าเตอร์ที่หน้าร้านและจ้องมองพนักงานต้อนรับตรงหน้าอย่างไม่พอใจ
ทางพนักงานต้อนรับหลังจากถูกตักเตือนไปหลายประโยคหญิงสาวก็กลัวจนแทบไม่กล้าขยับตัว
เธอจ้องมองเด็กหนุ่มที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาถูกที่ตอนนี้เดินไปทางห้องออฟฟิสด้านหลังและลูบอกอย่างโล่งอก
"ผู้จัดการที่แสนเข้มงวด ให้คนสำคัญกลับเด็กหนุ่ม
แปลว่า.." เสียงแผ่วเบามาจากพนักงานสาวต้อนรับ ทักษะของการถ่ายภาพของเด็กหนุ่มตรงหน้าต้องฝีมือดีมากๆแน่
ไม่งั้นผู้จัดการแสนเขี้ยวของเธอคงไม่ใช้น้ำเสียงแบบนั้นเมื่อต่อว่าตัวเธอ
เมื่อเดินตามหลี่เหรินออกจากโซนหน้าร้านก็เห็นห้องขนาดใหญ่
กลางห้องมีโต๊ะและเก้าอี้พร้อมอุปกรณ์ประกอบฉากทุกชนิดวางอยู่ในตู้ข้างๆ มุมห้องมีบันไดที่สามารถเดินขึ้นไปยังชั้นสอง
เมื่อเงยขึ้นไปก็เห็นคนที่กำลังทำงานที่กำลังเดินเข้าออกราวกับพวกเขากำลังยุ่งอยู่
"วันนี้ทางสตูดิโอได้รับงานจากสถานีโทรทัศน์
พนักงานของเราไม่พอ วันนี้ที่ร้านเลยถึงวุ่นวาย" หลี่เหรินอธิบายเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มมองไปรอบๆ
และพาเดินไปฝั่งตรงข้าม และเปิดประตูห้องออฟฟิสและพาไปที่คอมที่อยู่ซ้ายมือ
“นี่คือรูปที่ฉันต้องการให้ปรับแต่ง มันอยู่ที่หน้าเดสก์ท็อปแล้ว
มันมีสองโฟลเดอร์ อันแรกสำหรับภาพบุคคลและอีกอันเป็นภาพที่เกี่ยวกับงานโฆษณา นายสามารถใช้เวลานานเท่าไรก็ได้
เสร็จแล้วก็ใช้โทรศัพท์ตรงนี้โทรมาเรียกฉัน นี้คือเบอร์ของฉัน”
เธอพูดอย่างรวบรัด เหอไป๋หยิบนามบัตรมาจากมือของเธอและพยักหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับดึงเก้าอี้ออกมานั่งที่หน้าจอคอม
หลี่เหรินรู้สึกดีมากเมื่อเห็นว่าไม่ต้องมาอธิบายอะไรเพิ่ม
เด็กหนุ่มก็เข้าใจทุกอย่างทันที เธอเดินไปที่ตู้เย็นและหยิบขวดน้ำมาวางไว้ที่โต๊ะและเดินออกไปจากห้อง
หลังจากที่เขาอยู่คนเดียวในห้อง เหอไป๋ก็หยิบขวดน้ำขึ้นดื่มและจับเม้าส์คลิกไปที่หน้าจอ
เขาเปิดที่โฟลเดอร์แรกก็เห็นภาพคนที่อยู่ในนั้น
"ห๊า~~"
น้ำพุ่งออกจากปากทันที รีบวางขวดน้ำลง
หยิบเช็ดชู่มาเช็คที่คีย์บอร์ดและหน้าจอที่มีแต่คาบน้ำ เมื่อมองไปยังเหล่ารูปภาพทั้งหมดเต็มไปด้วยรูปตี๋ชิวเหอ
มุมปากก็บิดเบี้ยว
เป็นผู้ชายคนนี้อีกแล้ว! ทำไมไม่มีวันไหนที่ไม่เห็นรูปของคนนี้?
ทำไมเขาถึงเจอแบบนี้!?
หลังจากเช็ดน้ำเสร็จเขาก็จับเม้าส์อย่างไม่พอใจและคลิกเลื่อนดูรูปอื่น
เขาพยายามหารูปคนอื่น แต่ก็ไร้ประโยชน์ทำให้ตอนนี้เขาหงุดหงิดไปทั้งตัว
อะไรนี้? นี้มาหางานพาร์ทไทม์ทำก็ยังต้องมาถูกก่อกวนด้วยรูปของผู้ชายคนนี้?
แล้วยังจะมีเรื่องอะไรถามมาอีก?
หลังจากตั้งสติสักพักเขารีบหายใจเข้าลึกๆ
และถอนหายใจเหมือนเป็นการยอมแพ้และจับเม้าส์อีกครั้ง
ช่างมันเถอะ
เพื่อที่จะมีเงินซื้อเนื้อกินแทนบะหมี่เขาต้องหารายได้เสริม
ตี๋ชิวเหอถอดแว่นกันแดดออกและนั่งอยู่ที่โซฟาในสตูดิโอ
Red Guest ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนนของสตูดิโอ Saint Elephant เขาหยิบโทรศัพท์เปิดเข้าเว็บมหาลัย Q และกดที่กระทู้ประมูลขึ้นมา
ผลของการประมูล: ผู้ขายยังไม่ปิดประมูล
ตี๋ชิวเหอเหลือบสายมองที่นาฬิกาตอนนี้เป็นเวลาบ่ายในวันอาทิตย์
หรือเด็กหนุ่มคนนั้นยังไม่ตื่นติดเล่นเกมส์? หรือไม่ก็ถือกล้องไปทำตัวเป็นอาราซซี่ตามติดดารา
หรืออีกอย่างคือไปตั้งโต๊ะนั่งทำนายดวงชะตา? เขาขมวดคิ้วเมื่อจ้องมองที่อักษรตรงหน้า
‘เปิดประมูล 10 หยวน’ ก็มีร่องรอยความชั่วร้ายแสดงบนใบหน้า...หรือจะแกล้งวิ่งไปเจอดาราและพยายามหาสิ่งของมาลงประมูลในราคา
10 หยวนอีก?
"นายมีเวลาว่างมาที่ได้อย่างไง"
เจี่ยงซิ่วเหวินวางถ้วยกาแฟไว้ตรงหน้า และนั่งลงเอนหลังบนโซฟาที่อยู่ตรงข้ามและลูบที่คางอย่างถูกใจที่คิดถึงเรื่องโชคร้ายของชายตรงหน้า
"จักรพรรดิจอเงินที่ถูกดองงานช่างน่าสงสาร นายไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อกาแฟเองถึงขนาดต้องวิ่งมาที่ร้านของฉันเพื่อมากินกาแฟเลยเหรอ"
ตี๋ชิวเหอจ้องกลับอย่างเฉยเมย
"ฉันน่าจะปล่อยให้ให้คนเหล่านั้นเห็นด้านชั่วร้ายของนายตอนนี้
สุภาพบุรุษผู้สง่างามและเป็นมิตรเหรอ แท้จริงเป็นสุนัขจิ้งจอกที่ใจร้ายและเจ้าเล่ห์มากกว่า”
เจี่ยงซิ่วเหวินพูดด้วยเสียงล้อเลียนและยกมือกอดอกพร้อมยื่นขาออกไปเตะที่ขาชายตรงหน้า
“เป็นไงบ้างล่ะ พ่อของฉันให้บทละครนายไหม”
เมื่อได้ยินถึงเรื่องที่เจี่ยงซิ่วเหวินพูด เขาก็ขมวดคิ้ว
“ก็เป็นอย่างที่คิด ลุงเจี่ยงบอกว่าตอนนี้ยังไม่ใช่ อารมณ์และรูปลักษณ์ของฉันเด็กเกินไปดูสะอาดมากกว่าที่บทที่ฉันรับเล่น”
บทที่ 6 กระดาษโน้ต
เจี่ยงซิ่วเหวินจ้องมองใบหน้าที่หล่อจนทำให้ใครต่อใครอยากจะลากขึ้นเตียง
และพูดน้ำเสียงอย่าหมั่นไส้และใช้ขาเตะซ้ำ
“นายเพียงแค่ไปตากแดดให้ผิวดำขึ้น ถ้าต้องการให้มีกล้ามก็ไปยกก้อนอิฐ
และทรงผมของนายตอนนี้ก็ไปโกนทิ้งให้เกลี้ยงฉันมั่นใจว่านายจะต้องดูเหมือนคนที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาอย่างแน่นอน
นายไม่ลองดูล่ะ”
ตี๋ชิวเหอเงยหน้ามองขยับขาหลบและยกขามาวางไว้บนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าโซฟา
เอนตัวนอนพิงโซฟาทำเหมือนไม่สนใจพร้อมยกโทรศัพท์ขึ้นมอง พร้อมหัวเราะในลำคอ
“ถ้าทำแบบนั้นได้ นายคิดว่าลุงเจี่ยงจะให้งานฉันเหรอ”
สิ่งที่ลุงเจี่ยงต้องการเป็นอารมณ์ที่สื่อจากภายในไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอก
ลุงเจี่ยงต้องการสร้างหนังสะท้อนสังคมและตั้งใจว่าถ้าไม่ได้นักแสดงที่เข้าถึงบทบาทเขาก็ไม่สร้างหนังเรื่องนี้
ความคิดแบบนี้ทำให้คนรอบข้างปวดหัว แต่เขาก็เป็นคนหนึ่งนับถือความตั้งใจของอีกคน
การสร้างหนังเรื่องหนึ่ง สิ่งแรกควรต้องมีผู้กำกับที่มีควาสามารถ
สองโครงเรื่องและการเขียนบทละครที่ดี และสุดท้ายทีมนักแสดงที่มีศักย์ภาพและเข้าถึงบทบาท
ในตอนแรกที่เขาได้อ่านบทก็คิดว่าต้องการเล่นบทนี้ทันที ในบทรวบรวมทั้งเรื่องราวและสอดแทรกถึงเบื้องหลังของคน
มันเป็นบทที่เต็มไปด้วยพลัง
แต่ตอนนี้เขาถูกดองโดยฮวางฝูทำให้เขาไม่มีงานเข้ามา
และเชื่อว่าอีกไม่ถึงครึ่งปีเขาจะต้องหายไปจากกระแสสื่ออย่างแน่นอน นอกจากจะมีคนที่ติดตามเขาและผลงานเขาอย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะจำเขาเขาได้
ไม่อย่างนั้นกระแสลูกใหม่คงจะมาแทนที่นักแสดงหน้าเก่าอย่างเขา
ในจุดนี้เขายอมรับถึงฝีมือแม่เลี้ยงของเขามาก
เธอวางแผนได้อย่างฉลาดขัดขวางความก้าวหน้าเขาอย่างช้าๆและทำให้เขาสูญเสียสิ่งที่เขาพยายามอย่างหนักที่ผ่านมา
การที่ปล่อยน้ำที่กำลังเดือนให้เย็นอย่างช้าๆ
ดีกว่าการที่เอาน้ำแข็งใส่ลงไป หากพวกดาราที่กำลังมีชื่อเสียงขาดงานไปในยุคทอง
ดาราคนนั้นก็ปลิวหายไปทันที ผลลัพธ์ที่ได้มาคือการพยายามที่สูญเปล่า
เจี่ยงซิ่วเหวินมองดูท่าทางที่ไม่ทุกร้อนของตี๋ชิวเหอและด้วยอารมณ์ที่ดิ่งลงเหว
และพูดอย่างกังวลเมื่อเข้าใจถึงสถานการณ์ของอีกคนเจอ
“นายจะปล่อยให้แม่เลี้ยงของนายขัดขวางอยู่แบบนี้
แม้ว่าจะมีสัญญาที่ทำไว้กับพ่อของนายก็ตามเถอะ แต่นี้หล่อนยังทำแบบนี้ได้อีก
แล้วนายจะทำยังไงต่อ? แม้ว่านายจะกล่อมขอบทละครจากพ่อของฉันได้?
แต่นายก็ยังติดสัญญาค่ายฮวางฝูที่มีหล่อนเป็นถือเอกสารไว้ หลอนไม่มีทางปล่อยนายให้มาร่วมงานกับพ่อฉันได้ง่ายๆ
แน่นอน!!”
ตี๋ชิวเหอก็ยังไม่สนใจเขามองที่รูปของเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษา
พร้อมใช้นิ้วจิ้มที่ลักยิ้มที่อยู่แก้มซ้าย และพูดออกมาด้วยเสียงราบเรียบ
“เพียงแค่ลุงเจี่ยงตอบตกลงฉันก็สามารถทำให้สัญญานั้นไม่มีความหมายได้ทันที
ตอนนี้ปล่อยให้เธอลิ้มรสชาติของชัยชนะไปก่อน ก่อนที่จะรับรสชาติของความสูญเสีย”
เจี่ยงซิ่วเหวินที่ตอนนี้เห็นว่าอีกคนพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อนและเหมือนว่าจะมีวิธีรับมือแม่เลี้ยงของตัวเอง
และพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด “แล้วถ้าพ่อฉันไม่ให้บทละครกับนาย
นายจะปล่อยให้หล่อนดองนายอย่างนี้อีกห้าสิบปีหรือไง”
“ไม่เกินสองปี” ตี๋ชิวเหอปิดหน้าจอโทรศัพท์และเงยหน้ามองเพดาน
“ถ้าภายในครึ่งปีฉันยังกล่อมลุงเจี่ยงไม่ได้ ค่ายหลินโม่ก็มีหนังให้ฉันไปเล่นอยู่”
“ค่ายหลินโม่” เจี่ยงซิ่วเหวินพูดเสียงดังก่อนที่จะผลักขาตี๋ชิวเหอตกลงมาจากบนโต๊ะ
“ให้ตายเถอะ ฉันไม่น่ามากังวลเกี่ยวกับเรื่องของนายเลย รู้ไหมว่าก่อนหน้าฉันคิดว่าจะแบกหน้าหนาๆของฉันไปพูดกับพ่อแทนนาย
แต่นี่นายมีแผนรับมือที่ดีขนาดนี้ทำไมนายไม่พูดตั้งแต่แรก? นายทำให้ฉันหงุดหงิดมากในตอนนี้!
ไปเลย !! ออกไปจากร้านของฉัน!!!”
ตี๋ชิวเหอไม่สนใจอีกคน
เขากลับมาเปิดหน้าจอโทรศัพท์และเข้าเว็บของมหาลัยและจ้องมองไปยังหน้าจอที่ไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างหงุดหงิด
ทำไมการประมูลถึงไม่มีเคลื่อนไหว?
อาราซซี่น้อยไม่ดีใจเลยเหรอที่เขาช่วยหารายได้ให้มากกว่าสิบหยวน?
เขาไม่เข้าใจความคิดของเด็กน้อยคนนั้นจริง!!
เหอไป๋จามติดกันถึงสามครั้งก่อนที่จะกับไปที่รูปถ่ายของตี๋ชิวเหอที่ตอนนี้เขาตัดต่อมาวางไว้ที่บนถนนที่มีพื้นหลังเป็นพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน
เขาที่เคยชินกับการปรับแต่งภาพทิวทัศน์
ทำให้เขาสามารถที่จะตัดต่อให้ตี๋ชิวเหอกลมกลืนไปกับภาพท้องถนน
แต่มันเหมือนจะขาดอะไรบางอย่าง
เขานึกย้อนไปถึงรูปที่เขาถ่ายได้ตอนที่อีกคนตึกลงมาจากตึก
หยิบภาพตี๋ชิวเหอที่เขาส่งอาจารย์ซูขึ้นมาดูและเลื่อนผ่านไปยังรูปของคนขับรถบัส ทำให้เขาขยับเม้าส์อีกครั้ง
การสื่ออารมณ์นั้นไม่จำเป็นจะต้องแสดงออกมาตรงๆ
บางทีก็ขึ้นอยู่กับสายตา เมื่อมองไปที่สายนั้นก็จะพบถึงเสน่ห์และอารมณ์ของคนในภาพต้องการจะสื่อ
และถ้าคนที่อยู่หลังเลนส์สามารถดึงความรู้สึกที่คนที่อยู่ตรงหน้าสื่อออกมาได้
นั้นก็ถือว่าเป็นความสำเร็จขั้นหนึ่งของช่างภาพมืออาชีพ
ก่อนหน้ากว่าที่เขาจะเข้าใจถึงเรื่องที่อาจารย์ซูบอกก็ใช้เวลานาน
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงอารมณ์ที่ตี๋ชิวเหอสื่ออยู่ตอนนี้ แต่เขาก็พัฒนาจากการถ่ายภาพเพราะคนๆนี้
แต่การรีทัชภาพนั้นไม่เหมือนกับการถ่ายภาพ เขาไม่สามารถบอกให้นายแบบวางท่าทางตามที่ต้องการได้
เขาทำเพียงแค่ทำให้คนตรงหน้าจัดวางกลมกลืนกับทิวทัศน์ด้านหลัง
ด้วยความที่เขาจับประเด็นได้
เขาก็รู้ถึงขั้นตอนต่อไปที่จะทำให้ทั้งสองเข้ากันและให้ภาพสมบูรณ์ขึ้นมา
เขาเปลี่ยนรูปภาพทิวทัศน์ใหม่แต่ยังมีถนนแต่เป็นช่วงเวลาตอนกลางคืน
และอีกรูปเป็นตี๋ชิวเหอที่ถ่ายจากด้านข้างยืนล้วงกระเป๋ากางเกง เขาต้องรีบใช้สิ่งที่เขาพึ่งได้รับมาใหม่
เขารีบเอาภาพทั่งสองลงโปรแกรมตัดต่อและขยับเม้าส์เพื่อรีทัสภาพอย่างรวดเร็ว
เขาจ้องมองที่สายตาคนในรูปและนึกถึงตี๋ชิวเหอที่อยู่กับเขาในซอยๆด้วยกันวันนั้น ใช่แล้ว...
ชายคนนี้เขาเต็มไปด้วยความขัดแย้งในตัวเอง
ภายนอกเหมือนคนอ่อนโยนแต่สายตาที่ที่สื่อออกมาเต็มไปด้วยความขัดแย้ง
เมื่อคนที่ภาพลักษณ์ดูอ่อนโยนและสายตาที่คนในภาพสื่อออกมาถูกล้อมในบรรยากาศที่ตรงข้ามก็ทำให้ภาพดูน่าดึงดูด
หลังจากเสร็จก็โทรเรียกหลี่เหรินมา
เธอจ้องมองภาพตรงหน้าที่ได้มีการรีทัชตรงหน้า
“นาย...” เสียงเธอหายไปในลำคอ
“ภาพนี้ผมพยายามอย่างเต็มที่” เหอไป๋พูดด้วยเสียงเบาเมื่อไม่เห็นว่าอีกคนไม่มีคำตำติ เขาก็ใช้ใบหน้าหน้าที่เด็กหนุ่มอายุยี่สิบ
ที่กำลังเขินอายอีกครั้ง “คุณหลี่ผมเต็มพยายามที่สุดแล้ว
หากว่าคุณยังไม่พอใจ ผมก็...”
“ไม่! ฉันชอบมาก!!” หลี่เหรินรีบพูดทันที
เธอจ้องเหอไป๋อย่างซับซ้อนพูดพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “นายมีเทคนิคเทียบเท่ากับพวกมืออาชีพ
การรีทัชภาพของนายในวันนี้ฉันยอมรับในฝีมือของนาย ต้อนรับเข้าสู่สตูดิโอ
Saint Elephant”
เทียบเท่า? เขาตกใจในสิ่งที่อีกคนพูดถึง
เขาคิดว่าเขายังไม่สามารถถึงจุดนั้น
เหอไป๋ยิ้มจนแก้มซ้ายโชว์ลักยิ้มและจับมือของหลี่เหริน
“ขอบคุณครับ แต่ผมมีเรื่องติดขัดเล็กน้อย...”
“เรื่องอะไร เพียงแค่ไม่ผิดต่อกฎของทางร้าน
ฉันก็สามารถพอที่จะให้ได้” หลี่เหรินพูดอย่างเอาใจ เธอชอบฝีมือเหอไป๋มากและเธอก็รู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านั้นเป็นคนที่ไม่น่าเรียกร้องมากเกินไป
เหอไป๋พูดด้วยน้ำเสียงเขินอาย
“คุณหลี่ก็เห็นว่าผมยังเป็นนักศึกษา ผมมีเรียนจันทร์ถึงศุกร์ ผมเกรงว่าจะไม่มีเวลามาที่สตูดิโอได้ทุกวัน
ผมหวังเพียงแค่ว่าสามารถทำงานที่บ้านได้”
ที่จริงแล้วมันเป็นคำขอที่ง่ายมาก หลี่เหรินหัวเราะและเดินไปตบไหล่ของเหอไป๋
“ถึงงานพวกเราจะรีบเร่ง แต่ฉันไม่สนใจว่าจะทำที่ไหน
เพียงขอให้นายมีงานมาส่งให้ตรงเวลา แต่ถ้ายังไงนายพอมีเวลาก็ค่อยเข้ามาที่สตูดิโอในวันหยุดที่นายสะดวก
เพราะทางร้านกฎระเบียบเรื่องเวลาเข้างาน”
เหอไป๋พยักหน้าและขอบคุณหลี่เหรินอย่างไม่หยุดทำให้รอยยิ้มของหญิงสาวไม่จางหายจากใบหน้า
จากนั้นเขาขอก็ไฟล์รูปทั้งสองที่เขาปรับแต่งก่อนหน้าเพื่อนำไปส่งอาจารย์ซู เพื่อที่จะอาจารย์ซูติชมและสอนเทคนิคเพิ่ม
ตอนนี้เขาเดินออกมาจากสตูดิโอ
Saint Elephant อย่างโล่งใจ เขามีเงินในกระเป๋าพอที่แวะกินก๋วยเตี้ยวข้างทางเพื่อที่จะเติมเต็มท้องที่ว่างเปล่าของเขา
หลังจากนั้นเขาก็เดินไปเรื่อยๆ จนถึงที่ป้ายรถบัสที่อยู่ใกล้เคียง
“อาราซซี่..อาราชซี่น้อย”
เหอไป๋ที่ตอนนี้คันมือเขารีบเก็บโทรศัพท์หลังจากดูรูปที่เขาขอมาก่อนหน้า
ตอนนี้ยกกล้องขึ้นมาและเล็งเลนส์ไปที่เด็กหญิงตรงหน้าพยายามอย่างมากที่จะลากสุนัขให้ออกเดิน
และไม่รอช้านิ้วก็กดไปที่ชัตเตอร์
“ปาปารัสซี่ อาราชซี่น้อย”
ทันทีที่เขากดชัตเตอร์ก็มีขาเรียวเขามาแทนที่ในเลนส์
‘แซ๊ะ’
นิ้วของเขายังค้างที่ชัตเตอร์ เหอไป๋สูดลมหายใจเข้าลึกและเงยหน้าจะเลนส์กล้องไปชายตรงหน้า
“มันเป็นเรื่องที่บังเอิญเกินไปจริงๆ ผมอยากถ่ายรูปสุนัข แล้วคุณก็เข้ามาในโฟกัสแบบนี้”
“ฮ่า.ฮ่า..อุ๊บ..” เสียงที่ดังมากจากเจี่ยงซิ่วเหวินที่ตอนนี้นั่งอยู่บนรถที่จอดริมฟุตบาท
รอยยิ้มที่ก่อนหน้าที่แต่งแต้มให้ดูอ่อนโยนของตี๋ชิวเหอยังคงนิ่งค้างและก็มีร่องรอยอึดอัดใจ
ในมือของเขายังถือบัตรนักศึกษา แต่ตอนนี้เขาพยายามขยับหมวกอย่างเก้อเขิน
“นายมาทำอะไรแถวนี้”
เหอไป๋ที่ตอนนี้ไม่ต้องการให้อีกคนมาทำลายวันดีๆของตัวเอง
เขาไม่ต้องการเห็นหน้าของตี๋ชิวเหอในวันนี้ที่เขาพบเจอมันมากเกินไป
“ผมมาหางานพิเศษทำ ผมต้องรีบกับมหาลัย หากโชคดีเราคงพบกันใหม่”
พูดจบเหอไป๋ก็ก้าวเดินไปที่ป้ายรสบัสที่อยู่ข้างหน้า
ใจของตี๋ชิวเหอเต้นผิดจังหวะและรีบก้าวขาเดินตามหลังของอีกคน
แทบไม่รักษาภาพพจน์ของเขา พร้อมพูดเสียงที่กดต่ำ “อาราซซี่ตัวน้อย
ครั้งที่แล้วนายอ่านคำทำนายจากใบหน้าของฉัน มีบางเรื่องที่ฉันสงสัย ฉันอยากจะคุยกลับนายต่ออีกสักหน่อย”
เหอไป๋ชะงักทันทีและรีบเปิดกระเป๋หยิบสมุดบันทึกและเอาปากกาออกมาขีดเขียนและจากนั้นฉีกกระดาษยื่นไปที่มือตี๋ชิวเหอพร้อมใบหน้าที่จริงจัง
“ไม่นานนี้คุณจะต้องออกจากบ้านเพราะไปทำให้คนไม่พอใจ ซึ่งมันก็เป็นการดีที่คุณออกมา
นี่สำหรับคุณ มันสามารถช่วยปัดเป่าเรื่องร้ายของคุณได้ โชคดี” หลังจากนั้นเขาก็เดินแทบวิ่งไปที่รถบัสที่จอดตรงหน้า และหายไปอย่างทันที
ตี๋ชิวเหอเบิกตากว้างมองตามเด็กหนุ่มที่หนีขึ้นรถบัสไปอย่างไม่อยากเชื่อ
คิ้วของเขาขมวดขึ้น และจ้องมองกระดาษโน๊ตสีชมพูที่อยู่ในมือ และจ้องมองที่รูปวาดที่เด็กหนุ่มวาดให้
เขาแยกเขี้ยวพร้อมพูดด้วยเสียงที่ลอดไรฟันแยก
“เหอ.ไป๋..”
บทที่ 7 แอนตี้แฟน
หลังจากขับรถมาได้สักพักเจี่ยงซิ่วเหวินก็หันมองที่ตี๋ชิวเหอด้วยสายตาที่สอดรู้สอดเห็น
ตี๋ชิวเหอที่สังเกตุเห็นสายตาของอีกคนเขารีบกำกระดาษโน๊คแน่นเพื่อหลบ
เขาหันกลับไปมองเพื่อนของเขาด้วยสายตาเหี้ยมโหด
"แค่ก.." เจีjยงซิ่วเหวินรีบถอนสายตาไปจ้องมองถนนทันทีและพยายามเสียงเบา "เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นใคร? ดูเหมือนว่าพวกนายจะสนิทกันมาก
เป็นเพื่อนใหม่ของนายเหรอ?"
"เขาไม่ใช่" ตี๋ชิวเหอตอบอย่างเน้นเสียงแต่มือยังกำกระดาษแน่น
ตอนแรกเขาจะบอกว่าอีกคนเป็นอาราซซี่ แต่ก็ดูเหมือนให้ร้ายเด็กคนนั้นจึงเงียบเสียง
ก่อนพูดขึ้นอย่างปกติ “เขาเป็นหนึ่งในแฟนคลับของฉัน
ครั้งแล้วฉันให้ลายเซ็นต์กับเขา เพื่อเป็นการตอบแทนเขาจึงให้ของตอบแทนเพื่อเป็นของขวัญ”
เจี่ยงซิ่วเหวินจ้องมองกระดาษด้วยสีหน้าแปลกใจ
“เพื่อตอบแทนความรักต่อไอดอลของตัวเอง ถึงขนาดพอมอบของเสร็จก็วิ่งออกไปเหมือนวิ่งหนีโรคระบาดทันทีแบบนี้?!”
นี้มันไม่เหมือนว่าอีกคนเป็นแฟนคลับ? มันเหมือนกับว่าเป็นแอนตี้แฟนไม่ใช่เหรอ
ตัวของติ้งสุ่ยเหอค้าง เขารีบหันหน้าหนีและยัดเจ้าเศษกระดาษใส่กระเป๋า
เขาปรับเบาะเพื่อให้เอนตัวนอนและรีบดึงหมวกเบสบอลปิดหน้า แสร้งทำเป็นตาย
“ฉันเหนื่อยแล้ว เมื่อถึงค่อยปลุกล่ะกัน”
“...” ใช้เวลาเพียงห้านาทีก็ขับถึงร้านอาหาร
นี้กล้าใช้เหตุผลแบบนี้เพื่อเป็นการตัดบทสนทนาเลยเหรอ!
เหอไป๋ตื่นรับเช้าวันจันทร์ด้วยอาการสดชื่นหลังจากหมดพลังจากการวิ่งหนีจักรพรรดิจอเงินมาเมื่อวาน
ตอนนี้จิตใจและร่างกายของเขาก็หายขากความเหนื่อยล้า
เขารีบเดินตรงไปที่โรงอาหารเพื่อหาข้าวเช้าใส่ท้อง
“โจ๊กหนึ่งถ้วยกับขนมปังผักสองก้อน
เท่าหมดสามหยวน รูดบัตรเพื่อจ่ายเงินของเธอ” เสียงป้าประจำร้านในโรงอาหารเอ่ยขึ้น
เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากล้องด้านหน้าก็พบแต่ความว่างเปล่า
เขารีบออกจากแถวแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรเรียกหวังหู่ทันที
“เฮ้เหล่าซาน...ผมต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน
ผมลืมเอาบัตรนักศึกษามา ช่วยด้วยผมไม่มีเงินจ่ายค่าข้าวเช้า..”
หลังจากกินอาหารเช้าที่หวังหู่จ่ายเสร็จเรียบร้อย
หนิงจวินเจี๋ยก็โผล่มาจากไหนไม่รู้เดินมานั่งที่โต๊ะที่โรงอาหารและถามขึ้น“เสี่ยวไป๋ เงินเดือนของนายไม่พอหรือเปล่า? ฉันเห็นว่านายลาออกจากงานพาร์ทไทม์ทั้งหมด
การทำแบบนี้มันก็เป็นเรื่องดีเพราะใกล้จะสอบปลายภาคแล้วนายจะได้มีเวลาอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัว
ใช่นายไม่ควรทำให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป ถ้าที่เกี่ยวกับการเรียนก็ควรรู้ว่าพี่น้องพร้อมที่จะช่วยเหลือเสมอ”
เหอไป๋รู้สึกได้เลยว่าอีกคนพูดแบบถนอมน้ำใจเขา
และระวังไม่ไปแตะโดนความภาคภูมิใจของตัวเขาเอง ทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นทำให้เขาอมยิ้มขึ้นมาไม่ได้และโอบไหล่ของหนิงจวินเจี๋ยพร้อมพูดขึ้นว่า
“แท้จริงแล้วเงินค่าอาหารของฉันพออยู่ แต่ฉันพึ่งทำบัตรนักศึกษาหายที่ไหนไม่รู้และต้องรอจนกว่าจะไปทำบัตรใหม่
พวกนายก็ต้องเลี้ยงข้าวฉันสามมื้อไปก่อน”
ด้วยตัวเขาก่อนหน้าเป็นคนอ่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องเงินทองและไม่เต็มใจที่จะให้เพื่อนยื่นมือเข้ามาช่วย
ซึ่งไม่ผิดที่พวกหวังหู่จะระวังทุกครั้งที่จะพูดเรื่องแบบนี้ เขายึดในแนวคิดที่ว่า’แม้แต่พี่น้องก็จำเป็นต้องใช้หนี้คืน’ แม้ว่าก่อนที่จะย้อนกับมาเขาถูกรางวัลและมีเงินจำนวนมาก
แต่ตอนนี้เขาเป็นเพียงนักศึกที่มีเงินเพื่อกินข้าวในแต่ล่ะวัน ซึ่งมันก็ความตั้งจริงของเพื่อนเขาก็ควรจะต้องรับไว้
เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็ค่อยคืนให้กับพวกเขา ซึ่งแบบนี้เป็นการดีมากกว่าในสายสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนสนิท
หนิงจวินเจี๋ยได้ยินอีกคนพูดก็โล่งใจ เขาหัวเราะเบาๆและหยิบบัตรออกมาจากกระเป๋าและยัดใส่มือของเหอไป๋
“เอาเลย ฉันเป็นคนมีเงิน..” และหัวเราะอย่างหยอกล้อ
“แน่นอนว่านายใช้เงินในบัตรนั้นได้อย่างสบาย พ่อของฉันใส่เงินไว้สองหมื่นหยวน
ฉันคนเดียวไม่สามารถใช้เงินซื้ออาหารได้หมดแม้จะถึงวันที่เรียนจบก็เถอะ”
หวังหู่และเฉินเจี๋ยที่เดินอยู่ข้างๆก็ฟังด้วยความเงียบแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโล่งใจและมีความสุข
พวกเขาทั้งสี่เดินไปและคุยเรื่องไร้สาระไปตามทางเข้าอาคารเรียนอย่างสนิทสนม
เวลาพักเที่ยงทั้งสี่คนใช้บัตรของหนิงจวินเจี๋ยรูดจ่ายค่าอาหารเที่ยงพร้อมออกความเห็นเรื่องเมนูอย่างตื้นเต้น
หลังกินข้าวเสร็จเหอไป๋ก็ขอแยกตัวมาที่อาคารเพื่อทำบัตรใบใหม่
ในเวลานี้ไม่มีคนอื่นอยู่ทำให้เขามีเวลาคิดว่าไปทำบัตรนักศึกษาตอนไหน
ผ่านไปห้านาทีเขาก็นึกออกใบหน้าของตี๋ชิวเหอก็ลอยขึ้นมา
เขานึกถึงวันนั้นในซอยเล็กๆ ตอนที่ทั้งสองอยู่ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเข้าใจผิด
เขาจึงหยิบบัตรนักศึกษาออกมายื่นให้กับตี๋ชิวเหอและบอกว่าเขาไม่ได้เป็นอาราซซี่อย่างจริงจังและตอนนั้นเขายังให้กำลังใจตี๋ชิวเหอเป็นอย่างดี...
แต่ดูจากที่อีกคนทำสิ เอาบัตรนักศึกษาเขาไปอย่างไม่มีความละอายใจ นี้หรือจักรพรรดิจอเงินนรกสิ!
เอาเงินก้อนสุดท้ายจากนักศึกษาที่ยากจนไป คนนี้เป็นคนที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีขนาดไหน?
และอีกคนยังมาทำลายภาพที่เขาตั้งใจถ่ายเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังเล่นกับสุนัขอีก
เขาอดไม่ได้ที่จะหยิบกล้องออกมาอย่างโกธรและเลื่อนไปดูรูปล่าสุดที่เขาถ่ายติดตี๋ชิวเหอเมื่อวานและกำลังกดลบรูป
ก็เสังเกตุห็นว่าในมือของชายคนนั้นเหมือนจะถืออะไรบางอย่าง...
เขาจ้องมองที่รูปและขยายไปที่มือ นิ้วเรียวสวยของตี๋ชิวเหอเหมือนจะถือบัตรอะไรบางอย่าง
มันมีขนาดและรูปร่างเหมือนกับบัตรนักศึกษาของเขา...
นั้นก็แปลว่าที่อีกคนเรียกเขาเมื่อวานก็เพื่อที่จะคืนบัตรนักศึกษาให้แก่เขาใช่ไหม?
“...”
เขาวางกล้องลงบนตักและเงยหน้าจ้องมองพระอาทิตย์อย่างกล่าวโทษฟ้าโทษลม
ช่างมันเถอะ.. คิดซะว่าเขาทั้งสองชดใช้กรรมระหว่างกันหมดแล้ว
ปล่อยให้เรื่องราวระหว่างเขากับตี๋ชิวเหอจบลง เขาเพียงเสียบัตรนักศึกษาแลกกับที่เขาให้กระดาษโน๊ตที่วาดรูปหมาที่กำลังแยกเขี้ยวกับไปให้!!!
หลังจากที่เขาได้ยื่นเรื่องทำบัตรนักศึกษาเสร็จ
ก็รีบตรงไปที่ร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ที่อยู่ภายในมหาลัย เขากดส่งอีเมล์ที่ได้รับงานมาจากสตูดิโอ
Saint
Elephant เป็นไฟล์ที่เขาตัดต่อใหม่ไปให้อาจารย์ซูเพื่อจะขอคำแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคการถ่ายภาพ
ส่งเสร็จเขาก็เริ่มทำงานที่ได้รับมาจากสตูดิโอ Saint Elephant
ใช้เวลาในนี้ไปเกือบชั่วโมงก็ถึงเวลาคาบเรียนช่วงบ่าย
หวังหู่โทรมาบอกว่าอีกคนเอาหนังสือเรียนไปรอเขาที่ห้องแล้วจากนั้นเขาก็รีบส่งอีเมล์ไปให้หลี่เหรินมันเป็นงานที่เขาทำเสร็จเรียบร้อย
จากนั้นก็หยิบบิลไปจ่ายเงินแล้วเดินออกไปจากร้าน
คล้อยหลังเหอไป๋ที่เดินออกไป ก็มีชายหนุ่มผมยาวที่นั่งอยู่ข้างๆ
เหอไป๋ถอดหูฟังออกและปิดหน้าจอเกมส์ที่เล่นอยู่ และเข้ากระทู้ของมหาลัยด้วยความตื่นเต้น
พรมนิ้วบนคีย์บอร์ดอย่างรวดเร็วเหมือนจะยิงกระสุนในเกมส์
โพสต์: วันนี้แวะมาเปลี่ยนบรรยากาศที่ร้านอินเตอร์เน็ต
ก็พบกับรุ่นน้องมหาลัยเดียวกัน ให้ตายเถอะเขาน่ารักมาก!! เหมือนมาที่ร้านนี้เพื่อทำการบ้านให้เสร็จ!!
บนคอนโดสูงระดับไฮเอนด์ที่อยู่ใหม่ของติ้งสุ่ยเหอ
อีกคนพึ่งกับเขามาเขาเดินไปเปิดคอม และนิ้วก็เลื่อนเม้าส์ที่ค้นหาเว็ปมหาลัย Q
และกดเข้ากระทู้ประมูลและซื้อขาย
ผลของการประมูล: ผู้ขายยังไม่ปิดประมูล
สีหน้าของเขาขุ่นมัว และรีบหยิบกระดาษโน๊ตสีชมพูในกระเป๋าออกมา
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปและกดตั้งกระทู้เพื่อเปิดประมูลทันที และคลิกเลือกเปิดประมูลขั้นต่ำ
10
หยวน จะนั้นก็คลิกโพส
ไอดีของคุณไม่สามารถดำเนินการเปิดประมูลได้
ให้ตายเถอะ!! อาราซซี่ตัวน้อย!!!
เขาปิดหน้าเว็ปที่เปิดค้างไว้ด้วยความหงุดหงิดและก็จ้องมองกระดาษตรงหน้า
จากนั้นสอดเข้าไปในสมุดบันทึกที่วางไว้บนโต๊ะคอม และชะงันพร้อมหยิบออกมาใหม่และเปลี่ยนมาหยิบใส่ในกระเป๋าเงินแทน
เขาคิดอย่างเศร้าใจหรือสิ่งที่เหอไป๋ให้มามันจะเป็นเครื่องปัดเป่าเครื่องร้ายของเขาจริงๆ
ถ้าทำไม่ได้เขาจะตรงดิ่งไปที่มหาลัย
Q และจะลากตัวของเหอไป๋ออกมา และบังคับให้อีกคนขอโทษที่หลอกลวงเขา! ยอมรับว่าตอนนี้เขาพาล!!
แต่การมาแอบอ้างนวดไหล่นวดขาและสุดท้ายคิดจะมาติดสนิทเพื่อเป็นน้องชายเขาหรือไง!!!
หลังจากต่อว่าอาราซซี่ตัวน้อยในใจเสร็จเขาก็อารมณ์ดีขึ้น
คว้าไปที่เมาส์ด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายและเลื่อนไปที่หน้ากระทู้ที่มีโฟสต์?
มีแจ้งเตือนว่ามีคนตั้งกระทู้ใหม่มันกระพริบไม่หยุดเหมือนกับว่าตอนนี้จะโดนไวรัส
ฮะ..? ‘รุ่นน้องที่น่ารักใช่ไหม’
จะมีใครน่ารักน่าเอ็นดูเท่ากับอาราซซี่ตัวน้อยของเขาได้เหรอ?
เขาหัวเราะเสียงดังอย่างถูกใจและคลิกเปิดอ่านกระทู้ที่มีข้อความที่ตั้งกระทู้พิมพ์อย่างภูมิใจและคลิกเม้าส์เลื่อนลงเพื่ออ่าน
มีการอัปโหลดรูปด้านล่างด้วย พื้นหลังเป็นร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่และจากมุมมองตอนนี้ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นรูปที่แอบถ่ายคนอื่นมา
ในรูปเป็นเด็กหนุ่มร่างเล็กสวมเสื้อนักศึกษาตัวโคลงนั่งบนโซฟาสีดำ มือนึงจับที่เม้าส์ค้างและอีกมือเท้าคางอยู่
บนหน้าจอคอมเป็นโปรแกรมแต่งรูปและในนั้นมีรูปภาพขนาดใหญ่เปิดอยู่เหมือนเป็นภาพที่เอาไว้ใช้เพื่อประกอบโฆษณา
ให้ตายเถอะ นั้นอาราซซี่ตัวน้อยของเขา?
เขาขยับตัวตรงอย่างไม่รู้ตัวและจ้องไปที่รูปเป็นเวลานาน
การจ้องมองนั้นร้อนแรงมากเหมือนจะเผาไหม้จอคอมให้ละลาย คนในภาพมีรอยยิ้มที่น่ารักเขายิ้มจนเห็นลักยิ้มที่แก้มซ้ายชัดเจน
และเหมือนกำลังถูกใจในเรื่องที่กำลังทำ
“นี้เป็นสถานที่พลุ่งพล่านก็จริงแต่ไม่ควรไปแอบถ่ายคนอื่นแบบนี้...ไม่สมควรที่จะไปแอบถ่ายรูปแบบนี้!”
เขาเสียงดังใส่จอคอมพร้อมสีหน้าเย็นชา แต่เม้าส์ยังขยับไปมาเพื่อปุ่มคลิกเซฟรูปจากนั้นก็กดคลิกทันที...
หลังจากทำเสร็จเขาก็รู้สึกตัวและเสียใจขึ้นมา
ทำไมเจ้าอาราซซี่ตัวน้อยต้องมาทำการบ้านที่ร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่
หรือเป็นเพราะเขาไม่มีแม้แค่คอมของตัวเอง เด็กหนุ่มก่อนหน้าแต่งตัวเรียบๆและบอกว่าออกหางานพาร์ทไทม์ทำเมื่อวาน...ตอนนี้เขารู้สึกปวดหัวใจ
เขากดขยายรูปตรงหน้าและยิ่งจ้องมองผ่านพิกเซลของรูป
ยิ่งจ้องนานเท่าไหร่ก็รู้สึกเหมือนว่ามันทำร้ายดวงตาของเขาหางตาเขาเห็นโลโก้สตูดิโอ
ตี๋ชิวเหอขมวดคิ้วและขยายไปที่ตรงนั่น
ตรงมุมภาพที่อยู่ในโปรแกรมแต่งรูป
เขาเห็นโลโก้ ‘Saint Elephant’
นึกถึงร้านสตูดิโอที่อยู่ตรงข้ามกับสตูดิโอ
Red Guest และคิดได้ว่าอาราซซี่ตัวน้อยบอกว่ามาหางานพิเศษทำแถวนั้นเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันทีและกดไปที่เบอร์อย่างคุ้นเคย
เจี่ยงซิ่วเหวินที่ตอนนี้กำลังขับรถกลับบ้าน
เห็นสายเรียกเข้าจากตี๋ชิวเหอและหันมาสบสายตากับเจี่ยงหัวซานที่กำลังนั่งอ่านและแก้สคริปต์ในมือ
“พ่อครับ มีคนโทรมาแต่ตอนนี้ผมไม่สะดวกรับสาย ช่วยรับแทนผมหน่อย”
เจียงหัวซานที่ถูกเรียกก็วางสคริปต์ลงและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเห็นรายชื่อที่โชว์ที่หน้าจอก็กดรับสายพร้อมกลับเปิดลำโพง
คิ้วของเจี่ยงซิ่วเหวินแทบชนกันเมื่อเห็นการกระทำของพ่อเขา
“นายมันเป็นคนไร้ความสามารถเป็นเหมือนชิ้นส่วนขยะ”
เสียงดังลอดออกมาทันทีหลังจากกดรับ และยังดังอย่างต่อเนื่องไม่ให้โอกาสฝั่งพูด
“นายมันไร้ความสามารถแม้แต่จะหาคนทำงานพาร์ทไทม์เก่งๆก็ยังไม่ได้ ไม่ผิดเลยที่ร้านคู่แข่งของนายจะได้งานจากสถานีโทรทัศน์
แทนที่นายจะได้รับ”
‘ตู๊ด.ตู๊ด..’ แล้วปลายทางก็ตัดสายไปทันที
“...” พ่อลูกตระกูลเจี่ยง
“ชิวเหอ เขา..."
เจี่ยงหัวซานพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบเฉยเดาอารมณ์ไม่ได้ “ต่อหน้าเธอเพื่อนของลูกเป็นแบบนี้ตลอดหรือเปล่า...ไม่มีความยับยั้งและขี้โวยวายแบบนี้"
เจี่ยงซิ่วเหวินรีบแก้ตัวให้อีกคนทันที จะทำให้เรื่องนี้ทำทายภาพพจน์สุภาพอ่อนโยนที่ตี๋ชิวเหอวางตัวต่อหน้าผู้อาวุธโส
จะให้เสียไปได้อย่างไร เขาต้องรีบแก้ตัวให้เพื่อนเขา
“ชิวเหอเพียงแค่เป็นห่วงผม ก่อนหน้าผมพูดถึงเรื่องสตูดิโอและเขาคงเป็นห่วงผมจริงๆ...ก็อย่างที่พ่อก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่อ่อนโยน
เมื่อเขาเห็นเพื่อนของเขาลำบากจึงหลุดแบบนี้”
“เรื่องจริงเหรอ” เจี่ยงหัวซานลูบที่ปกสคริปต์และพูดต่ออย่างไม่แยแส
“อืม ฉันสัมผัสได้จากวิธีที่พูดของชิวเหอ
ฉันสัมผัสได้ว่าเขาเป็นห่วงเธอจริงๆ”
เจี่ยงซิ่วเหวินถอนหายใจด้วยความโล่งใจและอธิบายต่อด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ครับ เขาป็นคนดีมาก เขามักจะกังวลเกี่ยวกับ...”
“งั้นก็เป็นเรื่องจริงที่คู่แข่งของนายได้งานจากสถานีโทรทัศน์”
เจี่ยงหัวซานพูดพร้อมประกายตาที่ลุกโซน “หมาตัวไหนบอกว่าธุรกิจกำลังไปได้สวย?
และมันจะได้ผลกำไรในไม่ช้า?”
“...”
“ฉันให้พูดใหม่ว่าชิวเหอเป็นห่วงเธอหรือว่าเขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรก?”
“...”
“งั้นปิดสตูดิโอ
และกับมาศึกษางานใหม่กับฉัน”
“พ่อครับ..ก็ได้บุคลิกของชิวเหอเป็นแบบนั้น!
แต่มันก็เป็นเรื่องจริงนะที่เขาห่วงผม!!” เจี่ยงซิ่วเหวินทิ้งศีลธรรมทันทีและแต่ก็พูดแก้ตัวให้เพื่อนของเขาอย่างรู้สึกผิดในใจ
“แท้จริงแล้วนิสัยของชิวเหอนั้น...”
ก่อนเข้านอนเหอไป๋เข้าเว็ปมหาลัยเพื่อเช็คความคืบหน้าของการทำบัตรนักศึกษาใหม่
แต่เขาเห็นการแจ้งเตือนจำนวนมากที่หน้าจอ หลังจากนิ่งค้างไปสองวินาที เขาก็จำได้ว่าเขาตั้งประมูลลายเซ็นต์ของตี๋ชิวเหอไว้
ก่อนหน้าเขาตั้งราคาเริ่มต้นไว้ที่เท่าไร
ห้าหยวน หรือว่าเป็นสิบหยวน!!
บทที่ 8 คุณยังอยู่ไหม
มีการแจ้งเตือนหลายร้อยรายการเกี่ยวกับการประมูลซึ่งส่วนใหญ่ถูกยกเลิกเมื่อเห็นว่าผู้ขายไม่ตอบกับ
เขาไล่ลบข้อความที่ตอนนี้เป็นสีเทาจาง ความนิยมของตี๋ชิวเหอช่างเหนือความคาดหมาย
บุคคลนี้...เป็นลูกรักที่พระเจ้าโปรดปรานจริงๆ
เขาลบการแจ้งเตือนที่หมดอายุและพยายามนึกให้ออกว่าเขาเอาลายเซ็นต์ไปไว้ที่ไหน
พอนิ้วมือของเขากดไปที่ปุ่มลบรายการประมูล
การแจ้งเตือนจากระบบ: รายการประมูลเสร็จสิ้นลงแล้ว
ราคาประมูลสุดท้าย 1000 หยวน ถ้าลบรายการประมูลจะหักค่าธรรมเนียม
5% คุณยืนยันทำรายการหรือไม่?
อะไรนะ? มีคนเสนอราคา
1000 หยวน ใครที่บ้าแบบนี้
และไม่ถูกต้อง อะไรคือการหักค่าธรรมเนียม 5%
เพราะอะไรถึงต้องหัก มันจะถูกหักจากช่องทางไหน
เขาแค่ต้องการลบรายการประมูลเท่านั้น?
ที่มันเรื่องบ้าบออะไร! เหอไป๋รีบคลิกที่หน้าเว็ปเพื่ออ่านคำอธิบายเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมในการเปิดประมูล
สิบนาทีต่อมาเขากับไปที่หน้าเว็บประมูลอย่างท้อแท้ และคลิกไปที่ตัวอักษรสีแดง 'ประมูลสูงสุด 1000 หยวน' เขาคลิกปุ่มยอมรับการประมูลด้วยความเร็วอย่างเต่าคลาน
และคลิกไปที่ข้อความแชทส่วนตัวของผู้ซิ้อเพื่อขอที่อยู่และข้อมูลติดต่อกลับ
เขาไม่คิดว่าแอดมินเว็บมหาลัยจะมีการรับมือพวกที่มาประมูลซื้อขายแบบนี้
การเปิดประมูลจะมีระยะเวลาแสดงรายการสินค้าเป็นเวลาสิบวันถึงสิบห้าวัน โดยไม่สามารถยกเลิกของประมูลได้ก่อนเวลา
ถ้ามีการยืนยันยกเลิกการประมูลก่อนก็จะมีค่าธรรมเนียมที่หักจากบัตรนักศึกษาทันที
หลังจากผ่านไปสิบนาทีก็ไม่มีแชทตอบกลับมา
อาจเพราะตอนนี้มันดึกแล้ว
เขาจึงโยนโทรศัพท์ไว้ข้างหมอนและเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวทันที
มันแย่มาก...เขาเกือบเสียเงินไปหนึ่งมื้อ(เขาเนื้อ)
บนคอนโดสูง ตี๋ชิวเหอที่พึ่งอาบน้ำเสร็จเขาเอาผ้าขนหนูมาเช็ดผมให้แห้งและอีกมือก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
เมื่อเห็นข้อความแจ้งเตือนจากเว็บมหาลัยและในกล่องข้อความก็มีแชทที่ส่งมาถึงเขา เขารีบปล่อยผ้าเช็ดผมทิ้งอย่างรวดเร็วและลังเลก่อนที่จะเปิดข้อความขึ้นมา
White and Whiter: คุณยังอยู่ไหม
White and Whiter: ขอโทษที่ทำให้คุณรอนาน
ฉันตอบรับการซื้อขายเรียบร้อย คุณพร้อมส่งที่อยู่และข้อมูลติดต่อทิ้งไว้ให้ฉัน และฉันจะส่งของให้คุณโดยเร็วที่สุด
ป.ล. ถ้าคุณเป็นนักศึกษาเขตภาคเหนือฉันสามารถส่งสินค้าให้ถึงประตูบ้านคุณ ขอบคุณสำหรับการอุปถัมภ์
^ - ^
ที่พิมพ์มา มันหมายความว่าไง?
ยังมีอิโมติคอนยิ้มอีก!
ตี๋ชิวเหอเลิกคิ้วเขาขึ้นและจ้องมองอิโมติคอนยิ้มช่วงท้ายประโยค
เขากดตอบกลับข้อความซึ่งเขียนข้อความทั้งหมดเรียบร้อยพร้อมส่ง แต่เปลี่ยนใจลบข้อความทิ้งทันที
เขาโมโหอีกคนที่เขียนแบบนั้น และตอบกลับสั้นๆพร้อมใบหน้าเรียบเฉย
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ฉันยังอยู่
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: วันนี้ฉันออกมาฝึกอบรมข้างนอกจึงไม่ได้เข้ามหาลัย
ตอนนี้ก็ดึกเกินไป คุณสามารถเพิ่มเพื่อนฉันผ่าน ID วีแชท#
XXX เพื่อพูดคุยรายละเอียด มาคุยกันอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ ฝันดี
[T/N:A Bird 'He' หมายถึงนกกระเรียน ('Qiu'
หมายถึงฤดูใบไม้ร่วง)]
หลังจากส่งข้อความเสร็จ
เขาก็จัดระบบความคิดตัวเอง ยกมือจับคางและกอดอกวางท่าอย่างที่ทำอย่างคุ้นเคย
จากนั้นก็เพ่งสมาธิจ้องที่หน้าจอ
สองนาทีผ่านไปก็ไม่มีการตอบกลับ
เขาเริ่มขยับตัวเล็กน้อยแล้วยกมือทั้งสองกอดอก
ห้านาทีผ่านไปก็ไม่มีการตอบสนอง
และไม่มีแม้แต่การเคลื่อนไหวจากแอปพลิเคชันวีแชทที่เขาให้ไอดีไป
เขาจ้องมองที่หน้าจอและจากนั้นก็คลิกไปที่รายการสินค้าและขยับนิ้ว
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
เมื่อกี้ฉันเผลอไปโดนปุ่ม’แจ้งเตือนคนขายเพื่อให้ส่งสินค้า’
ฉันไม่ไปกวนเวลานอนของคุณใช่มั้ย
พิมพ์เสร็จเขาลังเลที่จะส่งอิโมคอนยิ้มในตอนท้ายประโยค
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปซึ่งตอนนี้เข็มสั้นชี้ไปสู่เลขสิบสองของนาฬิกา
เส้นผมเขาแห้งสนิทแล้วด้วย เขาโยนโทรศัพท์ทิ้ง และทิ้งตัวลงบนที่นอนแต่ก็หยิบมาเปิดรูปภาพที่เก็บไว้
รูปของเด็กหนุ่มที่มีลักยิ้มที่แก้มซ้าย เขาเอานิ้วจิ้มที่รอยบุ๋มนั้น อาราซซี่!!
และก็หลับตาอย่างไม่รู้ตัว
อาราซซี่ตัวน้อย นายกล้ามาก!!!
“เสี่ยวไป๋นายกำลังหาอะไรอยู่” หวังหู่ถามทั้งที่คาบแปรงสีฟันอยู่ในปาก และจ้องมองอีกคนที่กำลังรื้อค้นของอย่างแปลกใจ
และถามอย่างสังสัย "นายต้องการหาอะไร? ต้องการให้ฉันช่วยไหม?"
"เจอแล้ว!!" เหอไป๋หยิบกระดาษโน๊ตที่มีรอยยับเล็กน้อยออกมาจากมุมลิ้นชักโต๊ะ
เขาถอนใจด้วยความโล่งอกและอธิบายเหตุการณ์ให้หวังหู่เข้าใจพร้อมหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดข้อความสนทนาก่อนหน้านี้
จากนั้นก็เอาโทรศัพท์กดเพิ่มเพื่อนอีกคนผ่านโปรแกรมวีแชท
ถือว่าเป็นเรื่องดีที่เขาไม่ได้ทำลายเซ็นต์หาย
มิฉะนั้นเขาไม่อยากจะคิด ไม่เพียงแต่จะให้อีกคนรอนาน แต่ยังต้องการยกเลิกการซื้อขายทั้งหมด
เนื่องจากไม่มีของส่งให้ ไม่ต้องมาพูดถึงน่าเชื่อถือต่ออีกผู้ซื้ออีกต่อไป
เขารีบใช้หนังสือทับที่กระดาษโน๊ตเพื่อให้กระดาษเรียบทันที
และเดินเข้าที่ห้องน้ำ "ผมพึ่งขายของได้โดยไม่เสียเงินในกระเป๋าสักบาท เมื่อผมได้เงิน
ผมเลี้ยงชาบูหม้อไฟทุกคนเอง!"
"ตกลง.." หวังหู่ตอบอย่างไม่เกรงใจเขาดึงผ้าเช็ดตัวออกจากราวแขวนล้างหน้าและหันมาตอบยิ้มๆ
"มันใกล้เวลาจะสอบมิดเทอมแล้ว ทำให้ทุกคนมีความสุขก่อนที่จะเผชิญการสอบใหญ่
เราไปที่ร้านเดิมในซอยเล็กๆนั่นใช่ไหม"
เหอไป๋โยนแปรงสีฟันลงแก้วแล้วก็พยักหน้ายืนยันในคำพูดของอีกคน
เมื่อใกล้ถึงเวลาปิดเทอมอาจารย์ทุกคนเริ่มจะให้งานชิ้นสุดท้ายและให้ไปทบทวนบทเรียน
ในการที่เหอไป๋ย้อนกลับมาเขาต้องเริ่มต้นอ่านหนังสือใหม่ทั้งหมดซึ่งหนักกว่าคนอื่นเป็นอย่างมาก
เขาให้รวามสนใจเนื้อหาบทเรียนทั้งหมดทำให้เขาไม่ได้แตะโทรศัพท์แม้แต่นิดเดียว...
ในเวลาเช้าวันถัดมาตี๋ชิวเหอก็มาที่สตูดิโอ Red
Guest ด้วยอารมณ์หงุดหงิด
บนใบหน้าแสดงสีหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเอนตัวอยู่บนโซฟาและนิ้วเลื่อนโทรศัพท์มือถือของเขาไปมา
"คือว่า..." เจี่ยงซิ่วเหวินทั้งนั่งตรงข้ามพูดด้วยน้ำเสียงเอาอกเอาใจ
"เหล่าซานนายกินข้าวเช้ามาแล้วหรือยัง? วันนี้มีร้านก๋วยเตี๋ยวที่พึ่งมาเปิดใหม่ใกล้ๆและรสชาติก็ใช้ได้"
ตี๋ชิวเหอละสายตาจากหน้าจอและจ้องมองเพื่อนเขาไม่วางตา
"มีอะไรที่นายต้องการบอกฉันไหม"
"ไม่มี! ผมจะปิดบังอะไรนายได้"
เจี่ยงซิ่วเหวินพยายามหลบสายตาและยิ้มแห้งๆ
และดึงหมอนอิงมาไว้ในอ้อมกอดและเขี่ยไปมาอย่างประหม่า
เมื่อเห็นแบบนี้ตี๋ชิวเหอก็มั่นใจอย่างมากว่าเขาเดาถูก
“ครั้งสุดท้ายที่ฉันพบนาย นายยังปกติ เหตุผลที่ตอนนี้นายเป็นแบบนี้ก็แปลว่า...ลุงเจี่ยงอยู่ข้างนายตอนที่ฉันโทรหา?
และลุงเจี่ยงได้ยินเรื่องที่ฉันพูดกับนายก่อนหน้านี้?”
“ไม่ใช่แบบนั้น..” เจี่ยงซิ่วเหวินพูดเสียงสูงขยับตัวอย่างระวัง
ต่อมาเสียงของเขาเบาลงเรื่อยๆ “ตอนแรกฉันอยากเปิดโอกาสให้นายพูดกับพ่อฉัน
และเมื่อวานนายโทรมาตอนนั้นพ่อก็อยู่ในรถฉันด้วย ดังนั้น..”
“ดังนั้นลุงเจี่ยงเลยรับสายด้วยตัวเอง”
คิ้วของเขาทั้งสองข้างแทบชิดกันมากขึ้น
เจี่ยงซิ่วเหวินพยักหน้าและรีบอธิบายเมื่อเห็นสีหน้าที่คล้ำลงของอีกฝ่าย
“ฉันพยายามพูดให้นายแล้ว พ่อเข้าใจ และฉันมั่นใจว่าพ่อจะไม่มีความคิดเชิงลบต่อนายแน่นอน
นายสบายใจได้”
“แต่ไม่มีความเห็นเชิงบวก” ตี๋ชิวเหอพูดน้ำเสียงอ่อนล้าพร้อมเอนตัวพิงโซฟา และยกมือปิดหน้า “นี่ก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน” เมื่อเขาทำให้ลุงเจี่ยงอีกด้านของเขาแล้ว
ด้วยสถานการ์ณ์ตอนนี้เขาก็จะไม่ลังเลอีกต่อไป
ตี๋ชิวเหอไม่สามารถสวมหน้ากากแบบตอนนี้ได้ตลอดชีวิต
ความจริงเรื่องนี้ก็ทำให้เขาทำตัวง่ายขึ้น เขาไม่โทษใครเนื่องจากเรื่องเกิดจากความประมาทของเค้าเอง
เขาตัดสินใจได้แล้วว่าจะไม่ปิดบังตัวเอง แต่ที่แย่ก็คือเขาที่ระวังตัวตลอดมาหลุดหลังจากเจออาราซซี่ตัวน้อยที่พึ่งเข้ามาในชีวิตเขา
เขาตอนนี้ปล่อยวางและดูผ่อนคลายมากขึ้น
ในเวลาไม่นานที่เจอกับเด็กหนุ่ม
“ชิวเหอ..” เจี่ยงซิ่วเหวินเห็นบรรยากาศของอีกคนที่มีเงาในอดีตที่ซ้อนทับตี๋ชิวเหอ
ทำให้หัวใจของเขาย่ำแย่มากในความที่เขาไม่ยื่นมือเพื่อช่วยเพื่อนเขาได้
มันเป็นความรู้สึกที่แย่มากที่เห็นถึงความพยายามก่อนหน้าของเพื่อนเขา
แต่เขาไม่สามารถยื่นมือไปช่วยเหลืออะไรได้เด็กอายุยี่สิบปีส่วนมากรวมถึงตัวเขาเองยังขอเงินพ่อแม่ใช้และกินเที่ยวอย่างสนุกสนาน
แต่อีกคนจะต้องสวมหน้ากากความเป็นผู้ใหญ่ต่อหน้าคนอื่นเพื่อสร้างเส้นทางเดินในอนาคตของตัวเอง
และทุกย่างก้าวก็ต้องมาค่อยระวังในเส้นทางที่เปล่าเปลี่ยว
นี้มันเร็วเกินไปสำหรับคนที่อายุน้อยต้องประคองเพื่อไม่ให้ตัวเองล้ม
“ไม่ต้องมองฉันแบบนั้น ฉันโอเคน่า”
ตี๋ชิวเหอลุกขึ้นและเดินไปตบที่ไหล่ และยิ้มให้เพื่อนสนิทของเขา “ขอบคุณสำหรับการต้อนรับในวันนี้ เดียววันหน้าฉันจะมากินข้าวเช้ากับนายใหม่”
เจี่ยงซิ่วเหวินตกใจ “นายจะไปที่ไหน หรือมีงานที่ยังทำไม่เสร็จ”
“ฉันว่าจะไปขอโทษลุงเจี่ยง” ตี๋ชิวเหอสวมหมวกเบสบอลและแว่นกันแดดหยิบแมสมาสวมที่หน้า “ลุงเจี่ยงเขาจริงใจกับฉันมาโดยตลอด แต่นี้ฉันก็ยังสวมหน้ากากเข้าหา ถือว่าโชคดีที่มันเกิดตอนนี้
และมันยังไม่สายเกินไปที่จะแก้ไขและลองใช้ความเป็นตัวตนของฉันเข้าหาลุงเจี่ยงอีกครั้ง
ซิ่วเหวินต้องขอบใจนายมาก”
เจี่ยงซิ่วเหวินมองอีกคนเดินจากไป
ไหล่ของเขาตกลงทันทีอย่างอ่อนล้า
เหอไป๋ส่งคำขอเป็นเพื่อนทางวีแชทไปยังไอดีที่ผู้ซื้อส่งมาให้
แต่ยังไม่มีการตอบรับ
อีกคนกำลังยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง
เหอไป๋วางโทรศัพท์ของเขา และมองกระดาษลายเซ็นต์ที่อยู่ในกล่องของขวัญที่รูปทรงน่ารักเขาเขียนคำยินดีและยังใส่รูปถ่ายของตี๋ชิวเหอเอาไว้ข้างในด้วย
พร้อมกับผูกโบว์รอบกล่องด้วยริบบิ้นอย่างงุ่มง่าม
“นี้ถ้าไม่รู้เรื่องมาก่อน ฉันคิดว่านายจะมอบสิ่งนี้ให้กับแฟนสาว
มันเป็นเพียงแค่ลายเซ็นต์ มันคุ้มกันเหรอที่นายลงทุนซื้อกล่องเพื่อใส่กระดาษเพียงหนึ่งแผ่น?”
หนิงจวินเจี๋ยใช้นิ้วมือจับริบบิ้นอย่างรังเกียจมัน “เสี่ยวไป๋ทักษะการผูกริบบิ้นของนายมันสรรหาคิดมาถูกไม่ถูกจริงๆ”
“ก็อีกคนลงทุนซื้อกระดาษในราคา
1000 หยวน ถ้ายังมีบรรจุภัณฑ์ที่ดูไม่ดี เขาจะเห็นว่าฉันเป็นคนขายที่ใจไม่กล้าพอที่จะลงทุน”
เหอไป๋ผลักมือของอีกคนออกราวกับปัดแมลงวัน “แม้ว่ามันจะน่าเกลียดแต่มันก็ช่วยให้ดูมีราคาขึ้น
คนที่มีความคิดที่ซื้ออาจจะเด็กสาวที่น่ารักและมีเงิน เธอไม่สนใจถึงริบบิ้นที่ถูกผูกไว้หลอก”
“แล้วถ้าคนซื้อเป็นคนผู้ชายร่างใหญ่ล่ะ”
หนิงจวินเจี๋ยหัวเราะและโอบแขนไปที่ไหล่ของอีกคน “นายอยากวางเดิมพันไหม? หากคนซื้อเป็นผู้ชายฉันยอมยกน้ำร้อนมาให้นายอาบเป็นเวลาสองเดือน
แต่ถ้าเป็นผู้หญิงฉันยอมให้นายใช้คอมของฉันสองเดือน ฉันยอมไม่เล่นเกมส์เลยตลอดวันหยุดนี้
ให้เหล่าหู่และเหล่าเจี๋ยเป็นพยาน!”
[T / N: ในหอพักมหาวิทยาลัยของจีนจะต้องนำน้ำร้อนจากอีกที่มาอาบจึงเป็นเรื่องน่าเบื่อมาก]
เฉินเจี๋ยและหวังหู่พยักหน้าและส่งเสียงเชียร์อย่างถูกใจ
เหอไป๋เข้าใจว่าหนิงจวินเจี๋ยต้องการหยอกล้อเล่น
รอยยิ้มบนใบหน้าเขากว้างขึ้น และพยายามสนุกไปกลับเรื่องของอีกคนเขาตบไปที่กล่องของขวัญตรงหน้า
“ก็ได้เรามาพนันกัน! ภาพโปรไฟล์ในวีแชทของคนนั้นเป็นรูปสุนัขที่ดูน่ารัก
ฉันไม่มีทางเชื่อว่าผู้ชายจะใช้ภาพแบบนี้เป็นโปรไฟล์ของเขา! ต้องเป็นผู้หญิงแน่นอน”
“เด็กน้อยเจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว เชื่อฉันเถอะเมื่อนายเจอกับตัว
นายจะต้องรีบวิ่งกลับมาเรียกฉันว่าอาจารย์!” หนิงจวินเจี๋ยพูดอย่างมั่นใจด้วยเหตุนี้มันไปกระตุ้นต่อมเหอไป๋ทันที
ทำให้เกิดสมภูมิขนาดย่อมในหอพัก
ในอีกฝั่งของเมืองในร้านน้ำชาที่เจี่ยงหัวซานนั่งอยู่กับตี๋ชิวเหอ
เจียงหัวซานนิ่งเฉยไม่มีการตอบสนองต่อคำขอโทษของอีกคน
ตี๋ชิวเหอที่กำลังนั่งหลังตรงอยู่ตรงข้ามของโต๊ะ
วางมือบนหัวเข่าพร้อมกำมือบีบแน่น
‘ก๊อกก๊อก’ ประตูห้องเปิดออกทันทีและมาชายชราผมขาวทั้งหัวที่เดินตามหลังบริกรเขามา
ตี๋ชิวเหอมองไปที่ประตูเพื่อดูว่าใครเข้ามา
และเห็นได้ชัดว่าเป็นใคร เขารีบลุกและโค้งตัวต้อนรับอย่างสุภาพ “คุณปู่ซู”
“ไงชิวเหอก็อยู่ด้วยเหรอ” ซูอิ๋นหลงพยักหน้าไปในทิศทางตามเสียงจากนั้นก็นั่งลงตรงข้ามกับเจี่ยงหัวซานและดวงตาก็ส่อถึงความเข้าใจเรื่องราวอย่างรวดเร็ว
“ทำไมนายถึงโทรตามฉันอย่างรีบร้อน? เกิดอะไรขึ้นกับการตัดสินใจเรื่องบทตัวละคร
‘เฉินจุน’ ใช่ไหม!”
มือของตี๋ชิวเหอที่กำลังรินน้ำชาสั่นเล็กน้อย
แต่เขาก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว
“ฉันคิดเรื่องนี้ไว้ในใจแล้ว” เจี่ยงหัวซานยังคงทำตัวไม่สนใจตี๋ชิวเหอ วางถ้วยชาลงตรงหน้าแผ่วเบา
“แต่สคริปต์นั้นเขียนขึ้นทั้งตัวละครและเนื้อเรื่องที่วางไว้ ก็มีเหมาะสมเพียงคนเดียว
นายคิดว่าอย่างไร”
ตี๋ชิวเหอหายใจแรงขึ้นและวางหม้อน้ำชาตรงหน้าเจี่ยงหัวซานอย่างสงบ
แต่ข้อนิ้วของเขากำแน่นอย่างไม่รู้ตัว
ซูอิ๋นหลงเห็นภาพตรงหน้าและนึกถึงลูกศิษย์ตัวน้อยเหอไป๋ที่พึ่งกับมาแก้งานของเขา
รอยยิ้มก็แต้มที่มุมปาก จากนั้นก็พยักหน้า “เขาก็ไม่เลวร้ายและฉันคิดว่าเขาก็เหมาะสำหรับบทเฉินจุน
เป็นฉันนะจะให้เด็กน้อยคนนี้เล่น”
บทที่ 9 สาวน่ารัก
ตี๋ชิวเหอสูดลมหายใจยาวคลายความกังวลใจและถอนหายใจเบาๆ
เขาคลายนิ้วที่กำแน่นอยู่ที่ถ้วยน้ำชาและก้มตัวไปทางซูอิ๋นหลงและเจี่ยงหัวซานอย่างเคารพ
“ขอบคุณคุณปู่ซูมากครับ ที่กล่าวถึงผมแบบนี้”
เจี่ยงหัวซานก็เอนตัวเคาะนิ้วบนโต๊ะเบาๆ “ฉันเป็นคนที่ให้บทนี้แก่เธอนะ”
ตี๋ชิวเหอเอื้อมมือไปที่กาน้ำชาและรินให้พร้อมพูดด้วยเสียงที่นอบน้อม
“ขอบคุณลุงเจี่ยงด้วยครับ สำหรับการโอกาสครั้งนี้ และต้องขอโทษเรื่องในอดีตที่ทำให้ลุงเจี่ยงผิดหวัง
“อืม..” ในที่เจี่ยงหัวซานก็ยอมรับคำขอโทษและยกแก้วชาขึ้นดื่ม
“ชิวเหอนายก็เป็นเพื่อนสนิทกับซิ่วเหวินมาก็ตั้งหลายปี และฉันก็เห็นพวกนายเติบโตมาพร้อมกัน”
ขนตาของตี๋ชิวเหอสั่นเล็กน้อยเขาพยายามระงับความรู้สึกที่ตีกันตอนนี้
พร้อมกับเงยหน้าขึ้นและยิ้มไปที่เจี่ยงหัวซานอย่างผ่อนคลาย
“ลุงเจี่ยงก่อนหน้าผมเป็นเหมือนกบที่อยู่ในกะลา”
กว่าที่ลุงเจี่ยงจะมาอยู่ในฐานะผู้กำกับมือทอง
เขาผ่านผู้คนมาหลากหลาย และเขากับซิ่วเหวินก็เป็นเพื่อนที่เติบโตมาพร้อมกัน มันแทบเป็นเรื่องที่ดูไร้สาระมากที่เขาจะใส่หน้ากากเข้าหาลุงเจี่ยง
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้เขาพยายามโน้วนาวใจลุงเจี่ยงยังไง เพื่อให้ได้บทละครนี้ลุงเจี่ยงก็จะปฏิเสธเสียงแข็งทันที
ลองมีคนที่รับรู้ถึงนิสัยของอีกฝ่ายอย่างถ่องแท้และมาของานทำโดยไม่แสดงความจริงใจ สิ่งที่ลุงเจี่ยงทำแบบนี้ไม่ผิดเลย
“ผู้คนที่อยู่ภายนอกสามารถมองเห็นได้ชัดกว่า
คนที่อยู่ข้างใน” เจี่ยงหัวซานจ้องที่ตี๋ชิวเหออย่างจริงจัง
“ถ้านายไม่มาหาฉันในวันนี้...”
ตี๋ชิวเหอสะท้านอยู่ในอกและรอเจี่ยงหัวซานพูดต่อ
“แต่นายก็มานั่งอยู่ตรงนี้เพื่อมาขอโทษ”
สีหน้าของเจี่ยงหัวซานอ่อนลงพร้อมจ้องที่ใบหน้าของตี๋ชิวเหอพร้อมถอนหายใจ
“ชิวเหอฉันได้ยินบางเรื่องเกี่ยวกับเรื่องในครอบครัวของเธอจากซิ่วเหวิน
มันเป็นการปกป้องตัวเองก็ตามเถอะแต่วิธีนี้ก็เป็นการปิดกั้นตัวนายเองจากคนรอบข้าง ชิวเหอเธอรู้ไหมว่าเธอกำลังพาตัวเอาไปสู่เส้นทางที่มีแต่ความเงียบเหงา”
ตี๋ชิวเหอก้มมองที่พื้น เขารู้ว่ากำแพงที่ก่อไว้สูงเหมือนมันจะค่อยๆพังทลายลงมา
เขารู้ดีว่าเรื่องที่ลุงเจี่ยงนั้นถูกต้องพวกเขาไม่ใช่ญาติพี่น้องกัน ซึ่งเขาคิดว่าลุงเจี่ยงไม่สามารถไว้ใจในตัวของเขา
และเขาก็คิดว่าอีกคนต้องหวังพึ่งแต่เรื่องผลประโยชน์ ซึ่งเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ผิดพลาด
ลุงเจี่ยงไม่เพียงทำตรงกันข้ามแต่ยังดีต่อเข้าอย่างจริงใจ เขาซักอีกที่เสแสร้งทำตัวเป็นเด็กน้อยที่เชื่อฟัง
ซึ่งเรื่องนี้เองที่ทำให้เขาเกือบเสียโอกาสอันดีในครั้งนี้ไป
“ผมขอโทษครับ” เขาพูดขอโทษอีกครั้งด้วยเสียงที่จริงจัง
เมื่อเห็นตี๋ชิวเหอเป็นแบบนี้เจี่ยงหัวซานก็รู้ว่าอีกคนรับรู้ในสิ่งที่เขาตั้งใจจะสื่อก็พยักหน้า
“นายเป็นเด็กดี แต่เก็บเรื่องราวทุกอย่างไว้คนเดียวมันหนักไป ซึ่งมันทำให้นายมองทุกอย่างเป็นเรื่องลบไปหมด
การที่นายปกป้องตัวเองก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีนะเพราะเป็นมันการทำตัวเองของเธอแข็งแกร่งในสังคมภายนอกในตอนนี้
ฉันไม่ได้ตัดสินว่าที่นายเป็นแบบนี้จะเป็นคนดีหรือคนไม่ดี แต่นายไม่คิดว่ามันจะเหนื่อยเกินไปไหม”
ตี๋ชิวเหอพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของลุงเจี่ยง
ทำพูดทั้งหมดนี้ทำลายความคิดของเขาเละเทะไปหมด
ในที่สุดเหอไป๋ก็ได้ข้อความตอบกลับในช่วงบ่ายจากผู้ซื้อ
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ขอโทษที่ตอบคุณช้า
ส่งลายเซ็นต์ไปที่ เลขที่ 13xx Red Guest Studio ถนนXXX
ชื่อผู้รับเจี่ยงซิ่วเหวิน ไม่ต้องรีบเอามาให้ เอาที่คุณสะดวก พอส่งเสร็จก็ทักมาทางวีแชท
White and Whiter: Red Guest Studio?
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ใช่
White and Whiter: ที่ถนนXXX
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ใช่
White and Whiter: คุณรอจนถึงวันอาทิตย์ได้ไหมเดียวผมไปส่งให้คุณกับมือ?
ฉันต้องไปที่ถนนXXX ในวันนั้นพอดี
ตี๋ชิวเหอที่ก่อนหน้าดื่มเหล้ากับผู้เฒ่าทั้งสอง
ในเวลาเที่ยงก็รู้สึกมึนหัวเขาพยายามส่ายหัวไปมาอย่างหงุดหงิด พร้อมกับอ่านข้อความ
ไม่มีทางที่จะให้อาราซซี่รู้ว่าเขาเป็นคนประมูลสิ่งนั้นด้วยราคาที่สูงเวอร์!
มันเป็นการที่เขาจะยกยอตัวเองเกินไป!! เขารีบก้มหัวและรีบพิมพ์อย่างรวดเร็วและพยายามประคองสติให้อยู่บนแป้นพิมพ์
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ไม่ได้!!!
เหอไป๋มองที่เครื่องหมายตกใจสามอันตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจและใช้นิ้วถูจมูก
เขาจำเป็นจะต้องไปส่งของด้วยตัวเองเขายังมีเรื่องของการวางเดิมพันก่อนหน้า
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: เสี่ยวไป๋..
เหอไป๋จ้องมองวีแชท ID
ของเขาซึ่งสอดคล้องกับอีกคนเรียกก็เข้าใจว่าอีกคนพูดถึงตัวเอง
White and Whiter: ใช่ครับ
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
การทำตัวเป็นอาราซซี่ มันไม่น่ารัก
White and Whiter: ถ้าคุณไม่เห็นด้วยที่ผมจะไปส่งของด้วยตัวเอง
ฉันจะไปส่งของที่ร้านรับฝากของไปส่ง แต่เป็นช่วงหลังเลิกเรียนในตอนเย็น?
ตี๋ชิวเหอที่ยังตกอยู่ในฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ส่ายหัวเพื่อให้จ้องหน้าจอให้ชัดขึ้น
พร้อมรอยยิ้มที่ระบายทั่วหน้า
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: เด็กดี เสี่ยวไป๋เป็นแบบนี้ฉันในฐานพี่ชาย
เดียวฉันจะซื้อ ’อมยิ้ม’ ให้
“...” เหอไป๋ชะงัก
ผู้ซื้อต้องการจะให้อมยิ้มกับเขาในฐานะพี่ชายเหรอ?
White and Whiter: คุณเป็น ‘เขา’ ใช่ไหม?
ขัดจังหวะอารมณ์ดีของตี๋ชิวเหอ เขาจับโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเครียด
‘มีอะไรผิดปกติกับเขาหรือไม่ เขาส่งข้อความถึงนายใช่ไหม เขาไม่สามารถให้นายรับรู้ว่าฉันเป็นคนซื้อลายเซ็นต์’
ดังนั้นตี๋ชิวเหอจึงส่งข้อความอย่างหงุดหงิด
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ไม่!!!
เหอไป๋ที่ตอนนี้ได้เครื่องหมายเดิมในจำนวนเท่าเดิมบนหน้าจอ
ก็รู้ได้ว่าไม่สามารถตื้ออีกคนได้แล้ว
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
พี่ชายเป็นผู้หญิงที่น่ารัก นะไอน้อง
White and Whiter: ...
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
น่ารักและหล่อคือสิ่งที่ฉันเป็น
เหอไป๋ที่เห็นข้อความก็เงียบอย่างไปต่อไม่ถูก
เขา...เขาไม่สามารถคุยต่อได้เลย
คนที่อยู่อีกด้านก็ยังขึ้นออนไลน์อยู่แต่ไม่มีการส่งข้อความมาอีก
เสียงกริ่งในอาคารดังขึ้นเขารีบเก็บโทรศัพท์และหยิบหนังสือเรียนพุ่งตรงไปที่ห้องเรียนทันที
เขากำลังจะสายเพราะเรื่องอะไรอยู่นี้?!
ช่วงเวลาหลังเลิกเรียนเด็กหนุ่มทั้งสี่มารวมตัวกันที่โรงอาหาร
“แล้วแบบนี้..เราจะตัดสินผลของการพนันยังไง?”
เฉินเจี๋ยวางโทรศัพท์หลังจากที่อ่านแชทพร้อมกับสีหน้าตลก “นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วงเป็นทั้งเขาและเธอแบบนี้?”
หนิงจวินเจี๋ยพูดขึ้นเสียงดัง “ฉันคิดว่าเป็นเขา ดูจากที่เขาโพล่งออกมาเมื่อตอนที่เขาไม่ตั้งตัว”
หนิงจวินเจี๋ยเตะสองคนนี้ใต้โต๊ะให้เห็นด้วยและหวังหู่ไม่สนใจเขาพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย
“ฉันคิดว่าเป็นเธอผู้หญิงบางคนชอบแทนตัวว่าพี่ชาย พ่อ ลุง อีกตั้งเยอะเพื่อความสนุกดังนั้น
เรื่องนี้ไม่เป็นการพิสูจน์ได้เลยว่าเป็นเขา ยิ่งไปกว่านั้นคนที่คุยกับเสี่ยวไป๋ก็ไม่ได้ซ่อนข้อมูลเลย
อาจจะทำเพื่อให้ทางเสี่ยวไป๋หลงคาดว่าอีกคนเป็นเขาก็ได้”
“เหล่าซานแน่นอนว่าเรื่องนี้ถูกต้อง”
เฉินเจี๋ยพยักหน้าเห็นด้วย “ต้องเป็นเธอแน่นอน
เหล่าซานนายต้องอยู่ห่างจากคอมและวิดีโอเกมส์ไปอีกนาน ทำตั้งแต่วันนี้”
หนิงจวินเจี๋ยคร่ำครวญและทิ้งหัวลงบนโต๊ะและขอร้องให้เหอไป๋ดูแลคอมลูกรักให้เป็นอย่างดี
“โปรดไว้ใจ ฉันจะดูแลมันอย่างดี” เหอไป๋จ้องที่หน้าที่แนบกับโต๊ะและพูดอย่างติดตลก “เด็กดีเดียวฉันทำบทสรุปให้นายก่อนวันหยุดนี้
อย่าเศร้าเลยนี้เป็นเรื่องดีที่พ่อของนายเห็นคุณสอบผ่านทุกตัว”
ดวงตาของนิ่งจ้าวเป็นประกายและคุกเขาลงต่อหน้าเหอไป๋
“ได้โปรดเถอะปรมาจารย์ โปรดช่วยข้าน้อยให้สอบผ่านด้วย”
เฉินเจี๋ยและหวังหู่ผสานเสียงหัวเราะ
และพูดคุยเรื่องไร้สาระเรื่องอื่นต่อ
ในคืนนั้นตี๋ชิวเหอที่หายจากอาการเมาค้างก็ตื่นขึ้นและเดินที่โซนห้องครัวเพื่อหาน้ำอุ่นดื่ม
และเดินไปต้มบะหมี่สำเร็จรูปกิน เพราะตอนนี้ท้องเขาส่งเสียงเรียกร้องเสียงดัง
เขาเดินไปล้างหน้าในขณะที่รอให้บะหมี่ของเขาสุกและเดินไปที่โทรศัพท์เพื่อคุยดูว่ามีใครทักมาหรือเปล่า
การที่เขาเงียบไปทั้งวันแบบนี้อาราซซี่น้อยคงวิ่งเต้น
เมื่อคิดแบบนั่นเขาก็เปิดวีแชทเต็มไปด้วยความอารมณ์ดี
ข้อความแชทก่อนหน้าก็พุ่งขึ้นมาบนหน้าจอ
เขาเคาะนิ้วเบาระหว่างการอ่านและใบหน้าจอประโยคช่วงแรกยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า
แต่พอมาอ่านช่วงหลังเท่านั้น
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
พี่ชายเป็นผู้หญิงที่น่ารัก นะไอน้อง
White and Whiter: ...
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
น่ารักและหล่อคือสิ่งที่ฉันเป็น
สามบรรทัดสุดท้ายกระแทกหน้าเขาทันที มือที่กำโทรศัพท์บีบแน่น
ใบหน้าเหมือนถูกแช่แข็ง คำพูดที่ส่งไปเหมือนสื่อว่าเขาเป็น ‘หญิงสาวน่ารักแต่ตัวโต..’
“ตอนนั้นฉันถูกผีตัวไหนสิง? ไม่ไม่ไม่..ฉันไม่ได้เป็นคนพิมพ์แน่นอน ฉันไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น” ตี๋ชิวเหอพร่ำบ่นกับตัวเอง
และประโยคสำคัญก็คือ ‘อาราซซี่’ นี้เขาก็พิมพ์เหรอ? ตอนนั้นอะไรเข้าสิง?
หรือว่าเขาจะมีรสนิยมแบบนั้นในจิตสำนัก!!!
“มันไม่มีทางเป็นแบบนั้น!”
ตี๋ชิวเหอกรีดร้องในใจไม่หยุดเขาจ้องมองบะหมี่ที่อยู่ตรงหน้าราวกับหุ่นยนต์และใช้มือจับส้อมพร้อมตักเส้นเข้าปาก
“ชิบ...”
มันร้อนปากนะเว้ย!! เขาปาส้อมทิ้งลงบนโต๊ะ
รอยยิ้มบุ๋มที่แก้มซ้ายของอาราซซี่น้อยลอยขึ้นมา
เขาฝังตัวลงในโซฟาโดยที่ดวงเหม่อลอยและยกหมอนปิดใบหน้าตัวเอง
บ่ายวันถัดไปเจี่ยงซิ่วเหวินมาเซ็นรับพัสดุเท่าฝ่ามือ
ยื่นส่งของให้กับตี๋ชิวเหอ
“ทำไมนายยังนั่งอยู่ตรงนี้อีก? นายควรต้องไปฉลองที่ได้เล่นบทหนังไม่ใช่เหรอ” เจี่ยงซิ่วเหวินจ้องไปที่กล่องในมือของตี๋ชิวเหออย่างสนใจ
“ใครเป็นคนส่งกล่องนี้มาให้ เหมือนว่าชื่อผู้ส่งจะมาจากมหาลัย Q
หรือจะเป็นแฟนคลับตัวน้อยของนาย
นี่นายถึงขนาดให้ที่อยู่กับแฟนคลับเลยเหรอ?
เมื่อได้ยินเจี่ยงซิ่วเหวินถามซอกแซกเหมือนกับนักข่าว
ใบหน้าของตี๋ชิวเหอก็เรียบตึง “มันส่งมาจากแฟนคลับของฉัน”
กล่องที่บรรจุมีขนาดเล็กและถูกผูกไว้ด้วยริบบิ้นขนาดเล็กน่ารัก
เจี่ยงซิ่วเหวินถามต่ออย่างงง “นี่มันมาจากแฟนคลับแน่เหรอ?”
‘กล่องนี้มันเหมือนส่งมาจากเด็กผู้หญิง มากกว่าที่จะถูกส่งโดยเด็กผู้ชายสักอีก
และทำไมสนิทถึงขนาดรู้ที่อยู่เพื่อส่งของ ชิวเหอต้องมีเรื่องปิดบังงเขาอยู่แน่?’
เจี่ยงซิ่วเหวินคิดอยู่ในใจ
ตี๋ชิวเหอก็คิดแบบเดียวกันเขาไม่คิดว่าจะได้รับกล่องที่ออกจะดูเป็นผู้หญิงแบบนี้
เขาเก็บกล่องไว้ในกระเป๋าด้วยท่าทีธรรมชาติ “ใช่..มาจากแฟนคลับหนุ่มที่ชื่นชอบฉันอยู่”
เจี่ยงซิ่วเหวินพนักหน้าแต่ในใจไม่เห็นด้วย ถ้ามาจากแฟนคลับคงไม่เก็บไปเปิดดูคนเดียว
ชิวเหอมีเรื่องอะไรที่ปิดบังเพื่อนสนิทอย่างเขาแน่นอน?
บทที่ 10 ความเป็นคนขี้เหนียว
ด้วยคอมพิวเตอร์ที่ได้การอนุเคราะห์มาจากหนิงจวินเจี๋ย
เหอไป๋ก็สามารถทำงานที่รับมาได้เต็มที่
เงินเดือนที่สตูดิโอ
Saint Elephant ให้เดือนล่ะ 1200 หยวน เนื่องจากเขาทำงานเป็นพาร์ทไทม์
และถ้าเขาทำงานส่งไม่ทันกำหนดก็จะทำให้ถูกหักเงิน ถือว่ายังโชคดีที่งานเขาได้รับมามันไม่เยอะเกิน
เขาจึงทำทัน
ยังมีเงินค่าคอมที่ได้จากการตัดต่อภาพตามจำนวน
สำหรับมืออาชีพได้รับเงินอย่างน้อย 200 หยวนต่อภาพ
แต่สำหรับมือใหม่อย่างเขาได้ภาพล่ะ 1 หยวนก็ดีถมเท นี้ยังถือว่าเป็นเรื่องดีที่หลี่เหรินไม่เขี้ยวกับเขาเกินไป
จากที่เธอเห็นผลงานก็ตัดสินใจให้รูปล่ะ 10 หยวน
การที่เขาแต่งรูปได้เร็วแล้วไม่ต้องกลับมาแก้งาน
ก็ทำให้เขาเงินมากขึ้นแต่มันก็แทบให้เขาหมดพลังงานในแต่ล่ะวันเหอไป๋มีความคิดว่าเขาจะไม่ทำงานนี้เป็นเวลานาน
เขาเพียงแค่ต้องการเงินค่าครองชีพระหว่างที่เขากำลังเรียนอยู่เท่านั้น หลังจากนี้เขาจำโบกมือลาความจำเจนี้อย่างรวดเร็ว
งานที่เขาทำส่วนมากเป็นรูปตัดต่อภาพเด็กทารกที่เอาไว้ประกอบสื่อโฆษณาชิ้นเล็กๆ
ทำให้ไม่ต้องปรับแต่งละเอียดมาก ถ้าหนึ่งวันเขาสามารถตัดต่อได้ถึงสิบรูปก็ทำให้เงินในกระเป๋าเขาก็หนักขึ้น
ตอนนี้เขาตัดต่อเสร็จแล้วกำลังอัพโหลดรูปส่งไปที่อีเมล์ของหลี่เหริน
จ้องมองนาฬิกาก็โชว์เวลา 23.30 น. หลังส่งอีเมล์เสร็จเขาก็รีบปิดคอมและไปอาบน้ำเตรียมพร้อมที่เข้านอน
วันหยุดสุดสัปดาห์เหอไป๋มาที่สตูดิโอ Saint
Elephant เพื่อมายื่นเอกสารสมัครงานส่วนที่เหลือ
“เฮ้...เสี่ยวเหอ” หลี่เหรินที่กำลังเดินลงมาจากชั้นสองเอยทักเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างเป็นกันเอง
เธอยิ้มทันที “มาๆ ขึ้นมาบนนี้ก่อน
ฉันมีเรื่องที่จะคุยกับเธอ”
เมื่อเหอไป๋ได้ยินเสียงเรียก
เขาก็เดินเข้าไปหาหลี่เหรินพร้อมรอยยิ้มและเดินตามหลี่เหรินขึ้นไปที่ออฟฟิตของเธอบนชั้นสอง
จากการกระทำของหลี่เหรินที่พนักงานแอบเรียกขานในใจว่า
‘แม่ชีทำลายร้าง’ ที่แสดงความเป็นกันเองกับเด็กหนุ่มทำให้เหล่าพนักงานที่เข้าออกห้องฝ่ายบุคคลที่ชั้นหนึ่งส่งเสียงซุบซิบกันทันที
คล้อยหลังเด็กหนุ่ม ผู้ชายที่นั่งบนเก้าอี้ที่ชั้นหนึ่งก็หันมาถามด้วยความอยากรู้
“เด็กหนุ่มน่ารักคนนั้นมาทำอะไร
เห็นเอาเอกสารมายื่นหรือจะมายื่นฝึกงาน?”
“เขาไม่ได้จะมาฝึกงาน แต่มาส่งเอกสารเพื่อมาสมัครงานเป็นเด็กพาร์ทไทม์
เห็นว่าพึ่งรับมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว” พนักงานที่รับเอกสารพูดขึ้น
“ก็ตอนที่พวกนายไปทำงานข้างนอก รู้ไหมว่าเด็กหนุ่มคนนี้ถูกสัมภาษณ์โดยผู้จัดการหลี่และเธอยังเป็นคนรับเขาเข้ามาทำงานด้วยตัวเอง
เพราะชื่นชอบฝีมือของเด็กคนนี้”
และพนักงานต้อนรับเหอไป๋ในวันนั้นก็พูดเสริมว่า
“นอกจากนี้เขาเป็นนักเรียนทุนของมหาลัย Q คิดดูว่าฝีมือเขาจะเก่งขนาดไหน
ถ้าพวกนายกลั้นแกล้งเขา ระวังเถอะจะโดนผู้จัดการหลี่จัดการ”
เมื่อนึกถึงผู้จัดการหลี่ทุกคนในห้องก็ตัวสั่น
และไม่มีใครออกความคิดเห็นขัดแย้ง
“ว่าแล้ว! มีพนักงานใหม่เข้ามา!
ฉันก็สงสัยว่าทำไมงานของฉันมันน้อยลง ปรากฎว่ามีคนมาช่วยฉันแบ่งเบางานนี้เอง”
ชายหนุ่มที่สวมแว่นตาที่มีสีหน้าที่เหมือนยังไม่ตื่นดีก็โพล่งขึ้น
“เยี่ยมมาก! คุณหลี่เป็นคนมีน้ำใจมากงานที่ได้จากสถานีโทรทัศน์มีมากเกินไปและถ้ามีคนมาช่วยให้เราทำงานเสร็จเร็ว
ก็ทำให้ร้านของเราได้งานเยอะขึ้น”
เมื่อพนักงานรอบข้างได้ยินก็แสดงสีหน้ารังเกียจ
‘มาช่วยแบ่งงานเหรอ นายทำงานได้แย่มากกว่า ผู้จัดการหลี่ถึงหาคนมาทำงานแทน!
แสร้งว่าเป็นคนใจกว้าง!! แท้จริงแล้วนายคงเกลียดเด็กใหม่มากกว่าเพราะคงรู้ว่าชะตาตัวเองว่าจะต้องตกงาน’
ประตูออฟฟิตของหลี่เหรินไม่ได้ถูกปิดสนิทดังนั้นหลี่เหรินได้ยินเสียงที่พูดเข้ามาในห้องอย่างชัดเจน
เธอวางแก้วน้ำให้กับเหอไป๋ตรงหน้าและเดินไปปิดประตู
“ขอบคุณครับ” เหอไป๋หยิบแก้วขึ้นดื่มและทำเป็นไม่สนใจเสียงที่ชั้นหนึ่ง
“ไม่ต้องไปใส่ใจ” หลี่เหรินพูดด้วยอ่อนลง
“ที่นี้ตัดสินจากผลงาน! ดูจากงานที่นายส่งมานายทำได้ดีมากและลูกค้าของเราก็พอใจมาก”
“ขอบคุณครับ” เหอไป๋วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะและตอบพร้อมรอยยิ้ม
หลังจากได้ยินหลี่เหรินก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ เธอหยิบเอกสารออกมา
“ดูจากผลงานที่ทำก่อนหน้าของนาย ทางร้านตัดสินใจให้นายมีส่วนร่วมในงานที่ใหญ่ขึ้น
นี้คือสัญญาเงินเดือนใหม่ของนาย อ่านดูก่อนสิ”
เหอไป๋เอาเอกสารมาเปิดอ่านก็ตาก็เบิกกว้างอย่างตกใจ
“100 หยวนจากการตัดต่อหนึ่งรูป?” นี้เกือบเท่ากับพวกมืออาชีพ
นี้เขาทำงานยังไม่ถึงเดือนไม่ควรมีค่าคอมสูงขนาดนี้ ไม่อยากจะเชื่อ!!
“ใช่ 100 หยวนต่องานหนึ่งชิ้น
ความสามารถของนายตอนนี้ก็สมควรที่จะได้รับ” หลี่เหรินมองสายตาของเหอไป๋
ที่ตอนนี้เหมือนแมวมองที่เห็นปลาย่างอยู่ตรงหน้า “ภาพก่อนหน้าที่ฉันส่งไปให้นายไม่ต้องใช้เทคนิคอะไรมากจึงจ่ายเงินให้น้อย
แต่งานใหม่พวกนี้เอาไว้ใช้เกี่ยวกับงานโฆษณาต้องใช้เทคนิคที่เยอะขึ้นและอาจต้องแก้งานซ้ำๆเมื่อพวกลูกค้าไม่พอใจ
ทำให้มีแรงกดดันสูง จึงทำให้ค่าคอมของนายจึงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย”
เหอไป๋รับรู้ถึงสิ่งที่หลี่เหรินต้องการสื่ออย่างชัดเจน
แต่เขาก็ไม่สามารถพูดในสิ่งที่เขาคิดได้ ดังนั้นจึงตัดสินใจทำตัวราวกับเด็กน้อยที่อ่อนต่อวงการนี้
“ผมเข้าใจแล้วครับ
แต่ว่าผมไม่เข้าใจถึงคอนเซ็ปของงานในแต่ล่ะชิ้นที่มอบให้
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เนื่องจากของนายเป็นเพียงแค่งานตัดต่อ
แต่ในส่วนของคอนเซ็ปในงานแต่ล่ะชิ้นจะมีคนมาประสานงานนายต่อภายหลัง” เพื่อปลอบเหอไป๋ “งานส่วนมากที่ทางสตูดิโอของเราได้รับ
ส่วนมากเป็นงานตัดต่อภาพคนซักส่วนมาก ดังนั้นลูกค้าจึงเพ่งจุดเด่นไปที่คน ทำให้ลูกค้าไม่สนใจในรายละเอียดปลีกย่อยมากนัก
นายไม่ต้องกังวล”
เมื่อเข้าใจถึงงานในส่วนที่เขาต้องทำ เหอไป๋ก็สบายใจ
ตัดต่อหนึ่งภาพต่อเงิน 100
หยวน! แม้ว่างานจะใช้เทคนิคและเสียเวลามากกว่าเดิม
ถ้าเขาสามารถทำชิ้นงานได้
10 ภาพต่อวัน ภายในหนึ่งเดือน เขาก็จะมีรายได้เพียงพอในการจ่ายค่าเทอมครั้งหน้า!
แล้วถ้าเข้าสู่ช่วงวันหยุดฤดูร้อน เขาจะมีเวลาที่จะตัดต่อชิ้นงานได้มากขึ้น จากนั้นเขาก็จะรับเงินมากขึ้น...อย่างนี้ต้องฉลอง
เพราะเขาจะมีเงินไว้กินเนื้อมากขึ้น!!
เหอไป๋ออกจากสตูดิโอ Saint
Elephant อย่างมีความสุขและวิ่งตรงไปที่ร้านเป็ดย่างที่เขาโหยหามานาน
ตอนนี้เขาเป็นคนที่ได้รับรางวัล เขาไม่สนใจเลยว่าจะต้องจ่ายเงินค่าเป็ดที่ราคาสูงถึง
180 หยวน!
ตี๋ชิวเหอจ้องมองไปที่นอกหน้าต่างด้วยสายตารอคอย
“นายไม่อ่านบทที่ห้องของนายเหรอ มาทำอะไรที่นี่ทุกวัน
นายรออะไรอยู่หรือเปล่า” เจี่ยงซิ่วเหวินมองการเปลี่ยนแปลงของเพื่อนสนิท
หลังจากที่โยนภาพพจน์ลงถังขยะ อีกคนก็ดูเหมือนอารมณ์ร้ายขึ้นเหมือนกับระเบิดที่เก็บกดไว้หลายปี
ตี๋ชิวเหอเหลือบมองอีกคนด้วยสายตาเรียบเฉย และก็หยิบภาพไปจ่อหน้าเจี่ยงซิ่วเหวิน
และถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันกับเขาใครหล่อกว่ากัน”
โอย.. ทำไมเขาต้องมาถึงจุดนี้
เจี่ยงซิ่วเหวินโอดครวญ
เจี่ยงซิ่วเหวินรีบวางแก้วน้ำลงก่อนมือที่สั่นของเขาจะทำมันตกแตก
และเหลือบมองไปที่รูปตรงหน้า ในรูปเป็นมีพื้นหลังเป็นท้องถนนที่มีคนยืนล้วงกระเป๋า
คนในภาพนั้นน่าดึงดูดจนไม่สามารถละสายตาจสกภาพได้ เจี่ยงซิ่วเหวินพยายามขุดคุ้ยสติเพื่อว่าจะตอบคำถาม
และชี้ไปในรูป “คนนี้”
“โกหก!!” ตี๋ชิวเหอวางรูปและตบโต๊ะเสียงดัง
ด้วยสีหน้าคล้ำขึ้น “คนในรูปก็คือฉัน
แล้วฉันจะหล่อกว่าตัวฉันเองได้ยังไง”
เจี่ยงซิ่วเหวินส่งสายตาอย่างดูถูก
“ก็ตอนแรกนายถามฉัน ฉันก็ตอบตามที่เห็นแต่ดูที่นายพูดสิ หาว่าฉันตอบอย่างส่งๆก็นายในรูปนั้นดูดีกว่าฉันนับถือช่างภาพคนนี้จริงๆ
เขาถ่ายรูปออกมาสื่อให้เห็นถึงตัวตนของนาย เขาเป็นใครฉันจะจ้างให้เขามาทำงานที่สตูดิโอ
Red Guest และฉันยอมจ่ายเงินเดือนเท่ากับช่างมืออาชีพ!”
ตี๋ชิวเหอวางรูปในมือและพูดออกมาอีกครั้ง “นี่เป็นรูปตัดต่อ”
เจี่ยงซิ่วเหวินรู้สึกไม่เชื่อและหยิบรูปขึ้นมาดูอีกครั้ง
มันน่าประหลาดใจมาก “รูปนี้เป็นรูปตัดต่อ?
พระเจ้า! จนกระทั่งตอนนี้ฉันยังมองไม่ออก ดูจากที่ใช้เทคนิคในการตัดต่อ
คนที่ทำจะต้องเข้าใจถึงองค์ประกอบและการจัดวางเป็นอย่างดี”
“ความคิดเห็นของนายนั้นดูจะขี้อิจฉามาก”
ตี๋ชิวเหอยิ้มมุมปากและเอนตัวพิงโซฟายกขาไขว้ ท่าทางราวกับเจ้านายสั่งงานลูกน้องอย่างนั้น
คางเชิดสูง “คนที่ตัดต่อเป็นแฟนคลับตัวน้อยที่หลงปลื้มในตัวฉัน
ซึ่งเขาเป็นแฟนตัวยงของฉันติดตามฉันและแอบถ่ายรูปฉันด้วย”
“เหอะ...นายมันคนหลงตัวเองไปแล้ว”
ตี๋ชิวเหอเหลือบมองอย่างไม่สนใจ เจี่ยงซิ่วเหวินยืนขึ้นอย่างหงุดหงิดแล้วหยิบกระเป๋าเป้ของตี๋ชิวเหอโยนไปที่อีกคนทันที
และชี้มือไปที่ประตู “กลับไป..ถ้านายเป็นโรค PMS
นายควรหมกตัวอยู่บนเตียง และก็หยิบสคริปต์ของพ่อฉันมาอ่านไม่ต้องออกมาจากห้อง”
[T/N โรค PMS : เป็นอาการที่ผู้หญิงเป็นก่อนมีประเดือนเพราะระดับฮฮร์โมนผิดปกติ]
“นายมันคนขี้อิจฉา!” หลังจากได้ระบายตี๋ชิวเหอก็อารมณ์ดีขึ้นมา เขาเก็บรูปอย่างระวังพร้อมหยิบกระเป้มาสะพายที่หลัง
“ฉันรู้ว่านายต้องการจ้างแฟนคลับของฉันมาทำงานที่สตูดิโอแต่มันก็ ไม่มีทางเป็นไปได้”
เมื่อพูดเสร็จก็เดินออกไป เหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญที่เขา
เดินไปชนไหล่ซ้ายของเจี่ยงซิ่วเหวิน
เจี่ยงซิ่วเหวินเบิกตาโตลมตีขึ้นมาทันทีจนแน่นหน้าอก
ใครพอจะมีวิธี? มีวิธีให้เขาย้อนกลับไปตอนเด็กเพื่อที่จะได้ไม่ต้องพบเจอเพื่อนแบบนี้
“อย่าลืมเอารูปใส่กรอบและนายก็กราบไหว้ทุกวัน!”
เจี่ยงซิ่วเหวินที่ควันออกหูตระโกนดังลั่น “นายอย่าลืมกินยา!
ถ้าจะมาที่นี้นายจะต้องกินยาทุกครั้ง!!
ไม่มีเสียงตอบกลับมาก
นอกจากเสียงกรีดร้องของพนักงานสาวที่ร้านเมื่อเห็นตี๋ชิวเหอเดินออกจากร้านไป
...ไอเพื่อนบ้าหลงตัวเอง ไปให้ไกลเลย!!
เหอไป๋เล่นวีแชทไปพลาง
อีกมือถือชานมไข่มุกที่เขาสั่งมากินระหว่างรอคิวเพื่อซื้อเป็ดย่างกลับบ้าน
“ฉันกำลังจะเล่นหนัง”
เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง เหอไป๋รีบปล่อยหลอดที่กำลังดูดออกจากปาก
‘เป็ดย่างที่นี้เหมือนจะไม่อร่อยแล้ว
เขาไปกินเป็ดย่างที่ซู่เซียงหยวนทางตอนใต้ของเมืองดีกว่าไหม’ เหอไป๋คิดและกำลังจะขยับตัว
“ลายเซ็นต์ที่ฉันให้นายไปอยู่ที่ไหน
เหมือนว่าวันนั้นฉันเซ็นต์ไม่ค่อยสวย เดียวฉันเซ็นต์ให้ใหม่”
มือที่ถือแก้วชานมสั่นเล็กน้อย
และหันมามองอีกคนพร้อมรอยยิ้ม “บังเอิญเจอกันอีกแล้ว!
วันนี้คุณมาซื้อเป็ดย่างเหรอ?”
ตี๋ชิวเหอหรี่ตามองที่รอยยิ้มตรงหน้าที่ฉีกยิ้มจนเหมือนจะแยกเขี้ยว
“ไม่ใช่ว่านายทำลายเซ็นต์ที่ฉันให้ไปหายใช่ไหม”
เหอไป๋มอบไปรอบๆทันทีเหมือนหาทางหนี
“จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง? ลายเซ็นต์ของจักรพรรดิจอเงิน
มันเป็นของมีค่าผมเก็บไว้อย่างดีเลย ฮ่าฮ่าฮ่า..”
“แต่ฉันคิดว่านายทำมันหาย” เมื่อนึกถึงกล่องของขวัญที่ส่งมาให้เขา ตี๋ชิวเหอก็แบมืออกมา “เอามาให้ฉันดูหน่อย”
เมื่อมองนิ้วที่เรียวยาวขาวสะอาด เหอไป๋ก็พูดไม่ออก
นี้คนตรงหน้าคือจักรพรรดิจอเงินที่ทุกคนบอกว่าสุภาพอ่อนโยนกับเหล่าแฟนคลับ?
ใครเป็นคนบอกแบบนี้ อยากให้คนนั้นมาเห็นเหมือนกับเขาตอนนี้จริงๆ จักรพรรดิกำลังข่มขู่ที่จะขอลายเซ็นต์คืนจากเขาอยู่ตอนนี้
ใครพูด!!! เขาเถียงขึ้นทันที
วันนี้กว่างานจะเสร็จก็ดึกเลยมาลงช้า แปลเสร็จก็ลงทันที
ตอนนี้น้องเหมือนจะทนไม่ไหว 555
บทที่ 11 ชานม
‘ยังมาโยนความผิดให้ฉัน นายยังมีคดีอยู่’
ด้วยความคิดแบบนี้เหอไป๋ก็แบมือไปที่หน้าตี๋ชิวเหอ
“คุณควรคืนบัตรนักศึกษาให้กับผม” เหอไป๋ทำสีหน้าเคร่งขรึมจ้องไปที่ตี๋ชิวเหอ
ทางตี๋ชิวเหอจ้องมองมือที่เล็กและดูบอบบางกว่ามือของเขามาก
เด็กหนุ่มคนนี้เป็น ‘อาราซซี่ตัวน้อยอย่างแท้จริง’
เด็กหนุ่มมีลักยิ้มน่ารักและมือที่เล็กแถมตัวยังตัวเตี้ยเท่าไหล่ของเขาเท่านั้น
เหอไป๋คิดว่าเขาเรียกร้องไปก็ไม่มีประโยชน์
จึงดึงมือมาไว้ข้างตัวแล้วพูดเสียงกระซิบ “ผมต้องการความยุติธรรม”
อะไร? ตี๋ชิวเหอยกคิ้วและที่หน้าผากก็แปะคำว่า
‘ไม่เข้าใจ’ จ้องมองอีกคนเขม่น “ได้ยินไม่ชัด เมื่อกี้พูดว่าอะไร”
เหอไป๋จ้องมองที่ดวงตาของตี๋ชิวเหอและก็เห็นถึงความสงสัยจากตาของอีกคนและทำให้เขารู้ได้เลยว่าไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป
“ไม่..ไม่มีอะไร”
เหอไป๋ตัวแข็งเมื่อยังสบสายตาระหว่างเขาสองคนด้วยเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ
ในวันนั้นในซอยตี๋ชิวเหอสายตาเต็มไปด้วยความโกธรแต่ใบหน้าและการกระทำกับกับตรงกันข้าม
ไม่เหมือนกับตอนนี้อีกคนไม่มีความระวังตัว ดูผ่อนคลายขึ้นและเหมือนจะเป็นตัวเองมากเกินไป..เหอไป๋บีบแก้วชานมแน่นอย่างไม่รู้ตัว
“คุณจักรพรรดิจอเงินมันไม่เหมาะที่คุณจะทำตัวแบบนี้ในที่สาธารณะ
คุณควรจะรักษาภาพลักษณ์ของคุณเองไม่ใช่เหรอ”
ภาพลักษณ์อ่อนโยนและสุภาพของตี๋ชิวเหอมันหายไปไหนหมด?
นี้มันที่สาธารณะ? น่าแปลกใจที่เขาพบเจอเสมอก็ไม่เคยพบเจอสิ่งนั้น
ในความจริงเขาพบเจออีกคนแบบ ‘คนพาล’ เหอไป๋บีบแก้วแน่นอีกครั้งและคิดว่าคงเป็นเพราะตี๋ชิวเหออยู่ในช่วง
‘ถูกดอง’
เมื่อคิดแบบนั้นเขาก็ถอนหายใจเสียงดังและคิดว่าเขาจะทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ที่กระทำต่อเด็ก
จากนั้นก็ล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมา 500 หยวน และวางบนมือที่ยื่นออกมาของตี๋ชิวเหอ
ที่เรียกร้องจะเอาลายเซ็นต์คืนจากเขาพร้อมพูดออกมาด้วยเสียงที่จริงใจ
“ความจริงแล้วฉผมเอาลายเซ็นต์ของคุณไปเปิดประมูลและได้เงินมา
1000 หยวน คุณก็อย่ายอมแพ้ในเส้นทางนี้ ในอนาคตลายเซ็นของคุณอาจจะพุ่งขึ้นเป็น
10000 หยวนก็ได้”
‘อีกคนไม่ได้เล่นตามเกมส์’ ตี๋ชิวเหอคิด
“ดี...จากเส้นทางนี้ของคุณตอนนี้ในอนาคตมันจะรุ่งโรจน์”
เหอไป๋แสดงสีหน้าจริงจังอย่างเป็นผู้อาวุโสและเดินไปวางมือที่ไหล่ของตี๋ชิวเหอ
และหยิบสติกเกอร์รูปดอกกุหลาบสีแดงที่กล้อง เขาได้มันมาจากสตูดิโอ ที่พนักงานในร้านติดให้เขาเพื่อต้อนรับพนักงานใหม่
ก่อนหน้าเขานำมันมาติดที่กล้อง และตบเบาๆบนไหล่พร้อมพยักหน้าอย่างพอใจ
“ดูสิมันเหมาะกับคุณมาก การที่คุณถูกดองงานมันไม่ได้ทำให้ชีวิตคุณในเส้นทางนี้สิ้นสุดหรอกน่า
เพียงแค่คุณพยายามต่อไปคุณจะพบเส้นทางที่สดใส! ก้าวขาออกไป ไปต่อแถวข้างหลัง”
หลังพูดจบก็ดันตัวของตี๋ชิวเหอออกจากตรงหน้าให้หลุดจากแถวตอนนี้
หลังจากตี๋ชิวเหอถูกผลัก
เขาก็ได้สติและจ้องมองที่หน้าอกตัวเอง ด้วยสีหน้ายิ้มๆอย่างพึงพอใจ
“มีอะไรผิดปกติกับคุณ ฉันบอกให้คุณไปต่อแถวด้านหลัง
ตอนนี้ทุกคนรอคิวให้ได้ซื้อเป็ดย่าง คุณไม่สามารถที่จะลัดคิวได้” เสียงดุของเหอไป๋ที่พูดเสียงดังขึ้น ไม่เหมือนกับเสียงที่พูดก่อนหน้านี้ของเขา
มันทั้งดุและเข้มงวด
หลังจากทรงตัวได้ตี๋ชิวเหอก็จ้องมองเหอไป๋ด้วยสีหน้าสับสน
และจ้องมองรอบข้างอย่างตกใจ และเขาก็รีบดึงหมวกมาให้ต่ำลงและดึงแมสขึ้นมาปิดปากของเขาเอง
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่มีลักยิ้มที่แก้มซ้าย เขาก็เหมือนจะพ่ายแพ้ต่ออีกคน
“เฮ้..คุณได้ยินไหม คุณไม่ควรลัดคิวนะ”
เหอไป๋พูดเสียงดังอีกครั้ง
ตอนนี้ไม่เพียงคนที่ต่อแถว
คนที่เดินอยู่รอบข้างก็ให้ความสนใจ
“ทำไมผู้ชายคนนั้นดูคุ้นๆ?”
“ใช่...ฉันก็คิดแบบนั้นมาสักพักแล้ว
หรือว่าเขาเป็นตี๋ชิวเหอ...”
ตี๋ชิวเหอหยุดคำพูดของเขาหลังจากได้ยินบทสนทนา
เขาหรี่ตามองไปที่เหอไป๋พร้อมรอยยิ้มเหยียดขึ้นที่มุมปาก และเอื้อมมือไปหยิบแก้วชานม
จากนั้นก็พูดเสียงลอดไรฟันเหมือนคำราม “อาราซซี่...นายไม่ควรเล่นเล่ห์เหลี่ยมในเวลานี้”
หลังจากจบคำก็หันหลังกลับเดินออกไป เหอไป๋มองตามเขาเห็นหลังที่เหยียดตรงของตี๋ชิวเหอที่เห็นตามช่องโทรทัศน์
‘จักรพรรดิจอเงิน’
สายตาที่แสดงถึงความเป็นต่อหายไปทันทีราวกับดวงหางตกสู่พื้น
เหอไป๋ชี้นิ้วค้างไปทางด้านหลังตี๋ชิวเหอ และคำรามอย่างเดือดดาล นี้เขาโดนปล้น!!!
“เฮ้!! นั้นแก้วของฉัน!!!”
แต่ตี๋ชิวเหอก็ไม่หันกลับมา
“เอ่อ..ขอโทษนะค่ะ” สาวสวยผมยาวทีกเหอไป๋
พร้อมสีหน้าที่เขินอาย “ฉันเห็นคุณคุยกับคนนั้นตั้งนาน..เขาไม่ได้ตั้งใจลัดคิว?
แต่เหมือนว่าคุณทั้งสองรู้จักกันมาก่อน เขาเป็น...ใช่เขาใช่ไหม?”
“อะไรนะ?” เหอไป๋ก็เกาหัวอย่างเขินอาย
“ผมขอโทษด้วยครับ เมื่อกี้เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของผม เขามีโรคประจำตัวเขาไม่สามารถที่จะกินเป็ดได้แต่ก็ยังแอบตามผมมา
ดังนั้น...ผมเสียใจจริงๆครั้งต่อไปผมจะไม่เสียงดังในที่สาธารณะอีก”
เมื่อหญิงสาวได้ยินแบบนั้นก็รีบเก็บคำพูดที่จะพูดต่อ
เธอมีหน้าที่ซีดลง “โอ้เขา...เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณ...ไม่เป็นไรคุณไม่ได้เสียงดัง
ไม่ต้องขอโทษ...”
เหอไป๋อย่างพยายามหัวเราะอย่างอับอายทำให้คนรอบข้างมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้น
และในที่สุดสถานการณ์ตรงนี้ก็จบลงด้วยรอยยิ้มของเขา
ตี๋ชิวเหอที่ถือแก้วชานมที่ไม่เย็นแล้ว
มีรอยยิ้มแต้มทั่วใบหน้าขณะที่นึกถึงใบหน้าของอาราซซี่ตัวน้อย
สายตาก็จ้องมองที่แก้วชานม
“ไปไหนครับ?” คนขับแท็กซี่ถามขณะที่เขากดมิเตอร์
รอยยิ้มของตี๋ชิวเหอหายไปในทันที เขาหันไปจ้องถนนด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ไปที่ ‘เฮงจิ้งวิลล่า’ ขับช้าๆผมไม่รีบ”
ตอนนี้เขาได้รับงานแสดงหนังเรื่องใหม่แล้ว เขาต้องไปจัดการเรื่องสัญญาของเขา
เมื่อคนขับได้ยินก็หยิบคันเร่งหนักและชะงักเท้าอย่างตกใจ
ดีที่ออกตัวไปได้เพียงสามเมตรและโชคดีที่ไม่มีรถอยู่ตรงหน้าทำให้ไม่เกิดอุบัติเหตุ
เขาค่อยขับด้วยความเร็วคงที่และตอบด้วยเสียงสุภาพมากขึ้น
“สบายใจได้เลยครับ ผมเป็นคนขับรถที่สุภาพและรักษาความเร็วที่ไม่เคยเกินกำหนด”
เฮงจิ้งวิลล่าเป็นหมู่บ้านหรูที่มีชื่อเสียงในเมือง
B ส่วนมากคนที่อยู่ในหมู่บ้านเป็นพวกคนมีเงินหรือไม่ก็พวกมีชื่อเสียง
ใครจะคิดว่าเขาจะรับคนจากริมถนนเพื่อไปที่หมู่บ้านนี้? เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
เหอไป๋แปลกใจที่เขาได้รับข้อความทางวีแชทจากผู้ซื้อ
หลังจากที่เขานำเป็ดย่างกับมาที่หอพัก
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ของขวัญที่คุณแถมมาให้นั้นยอดเยี่ยมมาก
ฉันขอซื้อรูปถ่ายรูปอื่นที่คุณมีมากกว่านี้ได้ไหม ฉันอยากได้รูปพวกนี้
‘ซื้อรูปถ่าย! จริงเหรอ’
เมื่อนึกถึงเขาก็วางกล่องเป็ดย่างลงบนโต๊ะและนั่งพิมพ์ข้อความตอบกลับไป
White and Whiter: นั่นเป็นรูปที่ฉันโหลดมาจากอินเตอร์เน็ต
และนำมาตัดต่อเล็กน้อย ถ้าคุณชอบเดียวฉันส่งให้คุณฟรีๆ ^ - ^
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
ขอบคุณสำหรับความใจดีของคุณ
White and Whiter: ไม่เป็นไร
เมื่อเร็วนี้ฉันรับงานตัดต่อมา มันไม่ใช่เรื่องใหญ่
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ขอบคุณมาก
White and Whiter: ไม่เป็นไร
ห้านาทีต่อมา...
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: คุณอยู่ที่อาคาร
F
มหาลัย Q ใช่ไหม?
เหอไป๋สงสัย
แต่ก็พิมพ์ตอบในด้วยความคิดเชิงบวก
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ฉันเพียงสังเกตุ
White and Whiter: ???
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
การผูกริบบิ้นของคุณมันน่าเกลียดมาก
“...” เหอไป๋
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
แต่ฉันก็ชอบมันมากเช่นกัน ขอบคุณ ^ - ^
เหอไป๋พูดไม่ออก
เหมือนว่าเขาเจอผู้ซื้อที่น่าแปลกประหลาดมาก
White and Whiter: ขอบคุณ
และดีใจที่คุณชอบ
“...ไป๋” หัวโตๆของหนิงจวินเจี๋ยโผล่ออกมาทางด้านหลังเขาและย่องเดินเบาๆ
“ทำไมนายถึงเดินมาด้วยท่าทางอย่างนิจจา?
นายต้องการอะไรจากฉัน”
หนิงจวินเจี๋ยยกมือถูกคางและยิ้มแยกเขี้ยว
“จากประสบการณ์ของฉัน มีผู้ชายสามประเภทที่จ้องโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย
หนึ่งคือกำลังดูภาพสาวสวย สองคือดูของเล่นที่ถูกใจและสุดท้ายคือเขากำลังมีความรัก ฉันคิดว่านายเป็นประเภทที่สาม
ฉันขอวางเดิมพันด้วยเงินเดือนนี้ของฉันเลย”
เหอไป๋คว้าเป็ดย่างกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรง
“ที่จริงแล้วนายควรเอาเวลามาทำตัวเป็นนักสืบไปอ่านหนังสือดีกว่า
ไม่ก็ขยับตัวออกไปซื้อของอาหารกล่องมา มันหมดแล้ว”
“...โอ้...”
ตี๋ชิวเหอวางโทรศัพท์ลง
ตอนนี้เขาอารมณ์ดีขึ้นและทำตัวราวตี้ชุนฮวาไม่มีตัวตน
“นายเงียบทำไม?” เมื่อเห็นตี๋ชิวเหอทำเป็นไม่สนใจเธอและก้มหน้าเล่นโทรศัพท์
เธอเปล่งเสียงอย่างไม่พอใจ “สำหรับก่อนหน้านายออกไปและบอกว่าไม่ต้องการกับมาที่นี้อีก
นี้ไม่ทันไรก็คลานกลับมา เพราะนายถูกดองงานใช่มั้ยสมน้ำหน้า แล้วกลับมาอีกทำไมบ้านนี้ไม่ต้องการขอทาน”
ตี๋ชิวเหอแย้มรอยยิ้มของเขาและแสดงให้สายตาดูถูกอีกคน
ตี้ชุนฮวาโมโหขึ้นทันที เมื่อเห็นรอยยิ้มตรงหน้า
จากนั้นก็ระเบิดอารมณ์ ยกแก้วสาดอออกไปแล้วชี้นิ้วไปที่ตี๋ชิวเหอ “มีอะไรน่าตลก! นายยังจะแกล้งทำตัวเป็นเด็กไร้เดียงสาอีกเหรอ!
นายมันเป็นเพียงแค่ไอ้โง่!”
“หุบปากซะ!”
ประตูถูกกระชากโดยตี้เปี่ยนที่ซึ่งตอนนี้ควรอยู่ในห้องประชุมที่บริษัท
เขาเดินมาจ้องที่ตี้ชุนฮวา ที่ดูทั้งโกธรและแปลกใจ “นี้เป็นวิธีที่เธอทำกับพี่ชายของเธอในช่วงที่ฉันไม่อยู่!
ใครเป็นคนสอนให้เธอพูดแบบนี้?”
“พ่อ...ทำไมคุณพ่อถึงกลับมาเวลานี้?”
ตี้ชุนฮวารีบยืนขึ้นแล้วก้มหน้าอย่างละอายใจและจ้องมองที่ตี๋ชิวเหอเพื่อให้อีกคนพูดเพื่อช่วยพูดเพื่อแก้ไขสถานการณ์ตอนนี้
ทางตี๋ชิวเหอเลิกคิ้วแอบมองอย่างรังเกียจ
“นาย!” การที่ตี๋ชิวเหอทำตัวกับเธอแบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ตี๋ชิวเหอเปลี่ยนไปมาก สำหรับตี้ชุนฮวาตอนนี้เธอเต็มไปด้วยความโกรธที่มีแต่เพิ่มมากขึ้น
“พี่มองหน้าฉันแบบนี้ทำไม!
อธิบายให้พ่อฟังสิว่ามันเป็นเพียงการล้อเล่น”
ตี้ชุนฮวานั้นแตกต่างจากแม่ของเธอที่เก่งในด้านการเสแสร้งตลอดเวลา
เธอเป็นเพียงแค่เด็กสาว และนี้เป็นการยั่วโมโหครั้งแรกจากตี๋ชิวเหอ หน้ากากเด็กสาวใสซื่อเลยหลุดทันที
ในตอนนี้ตี๋ชิวเหอเข้าใจในความเขลาของเขาที่ก่อนหน้าเขาพยายามทำตัวหัวอ่อน
การทำแบบนี้มันไร้ค่าสำหรับคนโง่ และไม่เหมาะกับเหล่าคนที่คิดร้ายอย่างเช่นคนในบ้านนี้
บทที่ 12 ฉันรู้สึกไม่มีความสุข
ตี๋ชิวเหอรู้ได้ทันทีว่าต่อหน้าตี้เปี่ยนเขาควรจะวางตัวแบบไหน
เขาในตอนนี้จึงทำเพียงมองไปที่ตี้ชุนฮวาและพูดกับเธอเบาๆ
“ชุนฮวาอารมณ์โกรธของเธอมันไม่ดีต่อสุขภาพ”
“นายเงียบไปซะ!” ตี้ชุนฮวากรีดร้อง
“เธอนะสิควรหุบปาก!” ตี้เปี่ยนโกรธขึ้นทันที เนื่องจากเห็นการเปลี่ยนแปลงของตี้ชุนฮวา ที่มีการกระทำตัวดูหมิ่นตี๋ชิวเหอ
เมื่อเทียบกับการทำตัวเป็นเด็กดีของเธอก่อนหน้า ตอนนี้เขาก็รู้สึกเหมือนหัวจะระเบิดและตะโกนเสียงดัง“ขอโทษพี่ชายของเธอเดียวนี้!”
ตี๋ชิวเหอเอื้อมมือออกไปที่ตี้ชุนฮวาเพื่อจะปลอบโยนอีกคน
“ชุนฮวา พี่ขอโทษ เธออย่าโกรธเลย เดียวจะเสียสุขภาพ”
“ไปให้ไกลจากฉัน นายมันคนเสแสร้ง!”
ตี้ชุนฮวาปัดมือของอีกคนอย่างแรง
ตี๋ชิวเหอแทบจะกลั้นขำไม่อยู่ เขาก้มหัวลงเพื่อปิดบังอารมณ์
จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นและเดินไปเผชิญหน้ากับตี้เปี่ยนเขาคงสีหน้าสุภาพ
“คุณพ่อครับห้องของผมยังอยู่ใช่ไหม? ผมต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้าและเรื่องนี้อย่าโกรธชุนฮวาเลยเธอเพียงแค่ต้องการที่จะล้อเล่นเท่านั้น
การที่ผมออกไปอยู่ข้างนอกนั้นก็มีคนนิททาว่าร้าย เธออาจจะไปได้ยินข่าวลือแบบนั้นมาบ้าง”
‘มันเป็นเรื่องปกติเหรอที่ถูกเรียกว่าไอ้บ้า!
แล้วหมายความว่ายังไงที่บอกว่าคนข้างนอกพูดแบบนั้น?’ ตี้เปี่ยนคิด
ตี้เปี่ยนมองกลับไปที่ลูกสาวตัวน้อยของเขาราวกับเห็นคนแปลกหน้าด้วยความเสียใจ
ในขณะเดียวกันก็มองลูกชายคนโตที่มีใบหน้ายิ้มอ่อนโยนและก็นึกคิดว่าลูกชายของเขาไม่ได้กลับบ้านมาเป็นเวลานานแล้ว
ตอนนี้ความรู้สึกเขาก็พังทลายทันที
ลูกสาวคนเล็กของเขาที่ทั้งฉลาดและเชื่อฟังต่อหน้าเขา
กับว่าร้ายพี่ชายของเธอด้วยการตะโกนด้วยคำด่าทอ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเสียงถึงความรังเกียจเห็นได้ชัดว่ามันไม่เป็นการล้อเล่น
ที่เขาเห็นก่อนหน้าที่ลูกสาวเขาทำกับลูกชายคนโตของเขามันเป็นการแกล้งทำต่อหน้าฉันใช่ไหม?
“ชิวเหอเกิดอะไรกับเสื้อของนาย” เขาถามด้วยเสียงที่พยายามระงับความโกรธ
ตี๋ชิวเหอก้าวขาออกไปหนึ่งก้าวไปยืนบังที่หน้าของตี้ชุนฮวาเหมือนพยายามปกป้อง
“ผมทำแก้วน้ำหก ผมไม่ระวังเองไม่มีอะไรหรอกครับ”
ตี้เปี่ยนมองท่าทางที่ตี๋ชิวเหอปกป้องตี้ชุนฮวาด้วยความที่พูดไม่ออก
เขาตัวแข็งและพูดเสียงแผ่วเบา “นายสามารถขึ้นไปที่ห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
จากนั้นเขาก็จ้องมองที่ตี้ชุนฮวาที่อยู่ด้านหลังตี๋ชิวเหอด้วยสีหน้าไม่
พูดด้วยเสียงหนักแน่น “ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่นายจะมีห้องตัวเองอยู่ในบ้านหลังนี้!”
ตี้ชุนฮวาตกใจและความแปลกใจกระจายทั่วใบหน้าเธอพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“คุณพ่อคะ หมายความว่าอย่างไร” ก่อนหน้าแม่ของเธอบังคับให้ลูกเมียน้อยของพ่อออกไปอยู่ข้างนอกได้แล้ว
แต่สิ่งที่พ่อทำตอนนี้ทำให้ความพยายามของแม่เธอไม่มีความหมาย
ตอนแรกตี้เปี่ยนเพียงแค่พูดเพื่อทดสอบเท่านั้น
ดูจากความคิดและน้ำเสียงของลูกสาวคนเล็กที่พูดออกมา ตี้เปี่ยนปิดสายตา จากนั้นก็จ้องมองเธออีกครั้ง
“เธอเข้าใจความหมายของพ่อดี”
มันเป็นครั้งแรกที่เธอมองพ่อของเธอด้วยสีหน้ามืดมนทำให้เธอตระหนักถึงคำพูด
เธอปกปิดความไม่พอใจทั้งหมดและวิ่งไปกอดแขนพ่อ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ก่อนที่คุณพ่อจะกลับมา พี่เขามั่วแต่เล่นโทรศัพท์โดยไม่สนใจหนูเลย หนูเลยโกรธพี่เขาเลยพูดจาไม่ดีออกมา
หนูขอโทษนะคะ หนูไม่ได้ตั้งใจ”
ที่ผ่านมาการทำตัวออดอ้อนทำให้ใจของตี้เปี่ยนอ่อนได้มาตลอด
แต่ตอนนี้ลูกสาวของเขาอายุสิบห้าปีเธอไม่ใช่เด็กน้อยที่ใสซื่ออีกแล้ว และมองดูบนโต๊ะที่มีแก้วน้ำสองแก้วและอีกแก้วว่างเปล่า
เขาดึงมือของลูกสาวออกช้าๆ “ชุนฮวากลับไปที่ห้องของเธอก่อน
ชิวเหอตามฉันไปที่ห้องหนังสือ”
“คุณพ่อ...” ชุนฮวาร้อนตัวขึ้น
พ่อของเธอไม่เคยทำแบบนี้กลับเธอมาก่อน
ตี้เปี่ยนไม่สนใจเธอหยิบกระเป๋าเอกสารขึ้นมาและเดินตรงไปที่ชั้นสอง
ตี๋ชิวเหอรอจนพ่อลับหายไปเขาก็แสดงสีหน้าเฉยเมยถึงหน้ากากสุภาพอ่อนโยนทันที
และก้มตัวเพื่อหยิบกระเป๋าเป้บนโซฟา และส่งรอยยิ้มที่เหมือนผู้ชนะไปทางตี้ชุนฮวา จากนั้นก็เดินตามหลังพ่อเขาขึ้นไป
“นาย!!” ตี้ชุนฮวาพูดอย่างโกรธ
แต่เมื่อสังเกตุเห็นการกระทำของพ่อ ทำให้เธอไม่มีทางเลือกนอกจากกัดริมฝีปากเพื่อระงับอารมณ์และวิ่งไปหยิบโทรศัพท์ที่ตอนนี้อยู่บนโซฟา
และกดหมายเลขเพื่อโทรหาแม่ของเธอ
ทางฝั่งห้องอ่านหนังสือ ตี้เปี่ยนและตี๋ชิวเหอนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะทำงาน
ตี้เปี่ยนสั่งให้แม่บ้านเอาผ้าเช็ดตัวและเสื้อตัวใหม่มาให้ตี๋ชิวเหอ
หลังจากตี๋ชิวเหอเปลี่ยนชุดเรียบร้อย ตี้เปี่ยนก็พูดด้วยเสียงราวออกคำสั่ง
“ชิวเหอเธอไม่ต้องออกจากบ้านอีก ฉันไม่เห็นด้วยกับการที่เธอจะตัดขาดกับบ้านฮวางฝู
เธอคือลูกชายคนตัวโตของครอบครัวและมีสิทธิ์ในสมบัติของตระกูล” เขาในอดีตของถูกปิดตา
การกระทำและคำพูดของตี๋ชิวเหอก่อนหน้าทำให้เขาไม่พอใจ แต่ตอนนี้เขารับรู้แล้วและต้องการชดเชยให้กับลูกชายของเขา
“คุณพ่อครับ ทำแบบนี้จะทำให้ป้าฉินไม่พอใจ
เธอพยายามอย่างหนักมาหลายปีเพื่อคนในครอบครัว และพวกบอร์ดบริหารไม่พอใจในตังผมและเธอก็พยายามให้ทุกอย่างครี่คลายโดยให้ผมออกจากฮวางฝู
แต่พอเพื่อครอบครัวผมก็ยินดีที่จะทำ พ่อไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด ถ้าสิ่งนี้มันทำให้ตระกูลมั่นคงขึ้นผมก็ยินยอม”
ตี๋ชิวเหอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขณะที่เขากำลังพับเสื้อ
หลังจากได้ยินตี้เปี่ยนก็รู้สึกไม่พอใจในบอร์ดบริหารเป็นอย่างมาก
และรู้สึกขอบคุณลูกชายคนโตที่เป็นคนมีเหตุผลและเข้าใจเขามาโดยตลอด ถ้าเขารู้ว่าสถานการณ์ของลูกชายคนรองเป็นแบบนี้เขาจะไม่อ่อนข้อให้ต่อเหล่าบอร์ดบริหารแน่นอน
“ชิวเหอ...นาย”
“คุณพ่อครับพอเถอะผมจะไม่กลับมาที่บ้านนี้
และการที่บอร์ดบริหารมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้พ่อลำบากในการจัดการเรื่องภายในบริษัท
ในฐานะลูกชายผมไม่ต้องการลากพ่อมาลำบากด้วยเพราะเรื่องของผม” ตี๋ชิวเหอส่ายหัวและเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา “ที่จริงที่ผมกลับมาที่บ้านวันนี้เพื่อขอความช่วยเหลือจากพ่อ”
หัวใจของตี้เปี่ยนเต้นผิดจังหวะเมื่อได้ยินเรื่องจริงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงคนในบอร์ดบริหารและเอ่ยอย่างเร่งด่วนเมื่อได้ยินว่าลูกชายต้องการความช่วยเหลือ
“เธอต้องการความช่วยเหลืออะไร? เธอต้องการเงินหรือว่าจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ?
ฉันพร้อมที่ให้ความช่วยเหลือ”
ตี๋ชิวเหอยิ้มกว้างพร้อมส่ายหัว
“ไม่ใช่ครับ ผมมีเงินเพียงพอ ผมได้รับเงินจากฮวางฝูเพื่อชดเชยที่ระงับการออกแสดงของผม
และป้าฉินยังใจดีให้คอนโดที่อยู่ในตัวเมืองแก่ผมด้วย เรื่องเงินจึงไม่เป็นปัญหา
ส่วนเรื่องที่ผมจะไปเรียนต่อต่างประเทศ ผมรู้ว่าครอบครัวเรากำลังมีปัญหาผมไม่ต้องการไปไกลผมอยากอยู่ใกล้คุณพ่อ
เพื่อว่าคุณพ่อต้องการความช่วยเหลือ ที่ผมมาวันนี้ผมต้องการยกเลิกสัญญาศิลปินกับฮวางฝู
ผมพร้อมที่จะจ่ายค่าปรับในการยกเลิกสัญญาก่อนเวลาและรับปากว่าจะไม่ไปเซ็นสัญญากลับค่ายอื่น
ผมต้องการเป็นศิลปินอิสระ ผมชอบอาชีพนี้และต้องการจะสู้ด้วยตัวของผมเอง”
ตี้เปี่ยนไม่เคยคิดว่าลูกชายเขาจะขอสิ่งนี้
เขากลืนน้ำลาย “ป้าฉินมอบคอนโดในเมืองให้กับเธอใช่หรือไม่”
“ครับ” ตี๋ชิวเหอพยักหน้าและยังคงความสงบ
“มันเป็นคอนโดที่อยู่ในทำเลดี มันก็สะดวกกับการเดินทาง
ป้าฉินยังจ้างแม่บ้านมาให้ผมด้วย มันดีเยี่ยม” ตี้เปี่ยนพูดไม่ออกเขารู้ว่าภรรยาของเขามอบคอนโดให้ลูกชายคนโตของเขาในเวลานั้นเขาคิดว่าเธอจริงใจต่อลูกชายของเขา
แต่ถ้ามองในมุมที่เป็นอยู่ตอนนี้ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป
สำหรับครอบครัวในระดับเดียวกัน เด็กในวัยเดียวกันกับตี๋ชิวเหอทุกคนมีบ้านและรถยนต์ของตัวเองกันหมด
และสำหรับเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ยังมีส่วนเขาไปช่วยเหลือบริษัทฮวางฝู เขาอยู่ในบริษัทถึงสามปี
แต่ไม่มีใครรู้ว่าอีกคนเป็นคนในตระกูลตี้ เด็กหนุ่มตรงหน้าไม่เคยได้รับผลตอบแทนใดๆ
เหตุผลก็คือภรรยาของเขาบอกว่าต้องการทดสอบว่าเด็กหนุ่มอย่างสุ่ยเหอจะมีความสามารถเพียงพอไหม
แต่อย่างไรก็ตามสามปีที่ผ่านมาตี๋ชิวเหอก็แสดงถึงความสามารถออกมาให้เห็นถึงผลสำเร็จ
แต่เขากับตอบแทนด้วยคอนโดเพียงหนึ่งห้องเท่านั้น
“พ่อขอโทษ” ตอนนี้เมื่อทุกสิ่งที่ถูกปกปิดก็เผยอออกมา
เรื่องนี้ทำให้เขาตาสว่าง เขาในตอนนี้ล้มเหลวในฐานะของพ่อต่อลูกชายคนโต
“คุณพ่อทำไมพูดแบบนั้น?” ตี๋ชิวเหอลังเลเล็กน้อย “ผมทำให้มันเป็นเรื่องยากใช่ไหม
ถึงป้าฉินจะเป็นคนถือสัญญาศิลปินทั้งหมด มันก็ต้องผ่านความเห็นชอบจากเหล่าบอร์ดบริหารซึ่งอาจจะกลับมามีปัญหาอีกครั้ง...มันเป็นเพียงสัญญาเจ็ดปี
ตอนนี้ผ่านมาแล้วสามปี ผมสามารถรอต่ออีกสี่ปีได้ พ่ออย่าได้โปรดเสียใจ นอกจากนี้อีกสี่ปีฉีซ่งก็จะเป็นการยอมรับในฐานะประธานบริษัท
มันอาจจะทำให้คุณพ่อและป้าฉินวางใจ”
ตี้เปี่ยนรู้สึกตกใจในความคิดของลูกชายคนโตสีหน้าเขากลับมาแย่อีกครั้ง
ลูกชายของเขาต้องการเพียงแค่จะยกเลิกสัญญา แต่ยังต้องมากังวลถึงปัญหาของเขา
ในช่วงหลายปีนี้คนในบอร์ดบริหารบริษัทฮวางฝูมีการเปลี่ยนไปมาก
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นญาติจากทางฝั่งภรรยาของเขาทั้งนั้น นอกจากนี้สำหรับสัญญาศิลปินของเหล่านักแสดงเขาก็ให้ภรรยาดูแลทั้งหมด
เนื่องจากก่อนหน้าพวกคนในบริษัทพาเหล่านักแสดงมีชื่อออกจากบริษัทไปด้วยหลังจากออกจากบริษัท
ในเวลานั้นเขาคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีที่มีภรรยาช่วยแบ่งเบาและแก้ไขปัญหา แต่เมื่อกับมาคิดอย่างรอบคอบตอนนี้ฮวางฝูยังอยู่ใต้ชื่อของตระกูลตี้อยู่อีกหรือ?
เมื่อเกิดข้อสงสัยเขาก็ยากที่จะปล่อยทิ้งไป
และมองดูลูกชายของตัวเองที่ตอนนี้กลายเป็นคนสุขุมและระวังตัวแบบนี้ไปเมื่อไร
ชิวเหอเป็นลูกชายคนแรกของเขา
เป็นเด็กหนุ่มที่โดดเด่นและร่าเริงกว่าเพื่อนในวัยเดียวกัน
เพียงแค่สามปีหรือหว่ามันจะนานกว่านั้น?
เขาแทบจะไม่สังเกตุถึงความเปลี่ยนแปลงของลูกชายคนโตที่จากเด็กหนุ่มที่หัวเราะเสียงดังกลายเป็นคนที่ไม่โกรธแม้ว่าน้องสาวจะเรียกว่าเขาเป็น
’ไอ้โง่’ เป็นไปได้ไหมว่าตอนนี้บริษัทฮวางฝูกับชิวเหอที่ถูกบดขยี้ทีละน้อยภายในตระกูลตี้และจะถูกแทนที่ด้วยตระกูลสุย
“ไม่..สัญญาของเธอต้องได้รับการยกเลิก และฉันจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”
ตี้เปี่ยนสะดุ้งตื่นจากความคิดของตัวเอง เขารีบหยิบโทรศัพท์ออกมาราวกับว่าต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่างพร้อมกดเบอร์โทรหาภรรยาของเขาทันที
สายไม่ว่าง... เขาพยายามโทรอีกหลายครั้งสายก็ไม่ว่างเช่นเดิม
ความโกรธของเขาเพิ่มมากขึ้น เขารีบกดเบอร์ไปที่เลขาส่วนตัวที่เขาไว้ใจแทน
“ส่งสัญญาของชิวเหอมาให้ฉัน จากนั้นก็ให้ใครก็ตามร่างสัญญาการยกเลิกจ้างศิลปินให้กับเขา
อะไรนะนี้ฉันเป็นประธานบริษัททำไมต้องด้รับการอนุมัติจากบอร์ดบริหารด้วย? ไปนายไปทำให้เรียบร้อย หากว่ามีใครขัดขวางก็บอกว่าให้มาคุยกับฉันด้วยตัวเอง”
ตี๋ชิวเหอจ้องมองพ่อของเขาที่ตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ
สายตาก็เปล่งประกายทันที จากนั้นก็รีบกลับสู่ปกติและเดินไปหาพ่อเขาเองและพูดด้วยน้ำเสียงที่เกรงใจ
“ขอบคุณครับพ่อ”
หลังจากที่เหอไป๋กินเป็ดย่างเสร็จไม่นานผู้ซื้อของเขาก็ทักวีแชทมาอีก
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
ฉันรู้สึกไม่มีความสุข
เหอไป๋ยกมือถึงลูบหน้าและเงยหน้ามองเพดาน
‘คุณไม่มีความสุข?’ แล้วมาบอกผมทำไม ความสัมพันธ์ของเราทั้งเป็นเพียงแค่การติดต่อซื้อขาย
เราจะไม่ข้ามเส้นไปพูดถึงเรื่องอื่นอย่างสนิทสนมสิ
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: คุณควรปลอบใจฉัน
เหอไป๋ตอนนี้ขอแสร้งทำเป็นคนตาบอดชั่วขณะ
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
วันนี้ฉันโดนน้องสาวคนละสายเลือดกลั่นแกล้ง และยังมีแม่เลี้ยงของฉันอีก
กล่องแชทของเหอไป๋กระพริบไม่หยุด
เขาก็ยอมแพ้และยกมาอยู่ในระดับสายตา
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: จากนั้นฉันก็แกล้งเธอกลับให้เธอโมโห
เพื่อให้พ่อฉันเห็นและช่วยขัดขวางจากการกลั่นแกล้ง และขุดกับดักที่แม่เลี้ยงของฉันวางไว้
ความเห็นอกเห็นใจก่อนหน้าหายวับไปทันที
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
ตอนนี้ฉันกลับมามีความสุขอีกครั้ง
“.......” เหอไป๋ทำได้เพียงคิดว่า ‘ผู้ซื้อรายนี้ของเขาบ้าไปแล้ว’
บทที่ 13 ก๋วยเตี๋ยวอายุยืน
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: แต่ฉันรู้ว่าพ่อของฉันเข้าข้างฉันเพียงชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อแม่เลี้ยงกลับมาก็คงเป็นเหมือนเดิม ฉันเป็นคนนอกมาโดยตลอด
เหอไป๋นั่งหลังตรง
นิ่งเงียบไปพักเพื่อคิดว่าจะพิมพ์ตอบดีไหม
White and Whiter: ถ้าฉันมีวิธีหารูปพร้อมลายเซ็นต์ของตี๋ชิวเหอ
และให้คุณเป็นของขวัญ มันจะทำให้คุณมีความสุขขึ้นไหม?
ตี๋ชิวเหอหันหัวออกทางนอกหน้าต่างและจ้องมองออกไปที่สนาม
เห็นว่าฉินหลี่กำลังก้าวเดินออกจากรถ เขาถอนหายใจในความที่รู้สึกเป็นเจอหน้าแม่เลี้ยง
ซึ่งเธอรีบก้าวลงจากรถและตรงเข้าบ้าน พร้อมรอยยิ้มที่แต้มบนปากของเขา และกลับมาจ้องมองโทรศัพท์
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
ความรู้สึกไม่ดีของฉันจะหายไปได้ ได้จากการเยียวยาด้วยอ้อมกอดและจูบเท่านั้น
เหอไป๋ยกคิ้วและจ้องมองโทรศัพท์ตาค้างเป็นเวลานาน
แล้วนิ้วก็พิมพ์ต่อทันที
White and Whiter: เด็กที่ไม่มีความสุขส่วนมาก
ก็เป็นเพียงการแสร้งทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ
ตี๋ชิวเหอรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นทันที
เมื่อคิดถึงความคิดของ White and Whiter ที่พิมพ์ตอบกลับมา
เหมือนได้ชาร์ทพลังของตัวเองขึ้นมาใหม่
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ เขารีบเก็บโทรศัพท์และเดินไปเปิดประตู
ฉินหลี่เป็นผู้หญิงที่สวยรูปร่างสูงยาวดูภูมิฐาน
และเธอก็ดูแลตัวเองอย่างดีอยู่เสมอทำให้ตอนนี้เธอดูมีอำนาจและมีเสน่ห์ ยิ่งมีอายุที่เพิ่มขึ้นก็ยิ่งทำให้เธอดูมีเสน่ห์มากขึ้นเท่านั้น
“นายกลับมาแล้วเหรอ?” เธอปัดปอยผมที่ตกลงมาและทักทายตี๋ชิวเหออย่างเป็นธรรมชาติและยื่นซองเอกสารให้เขา“รองประธานบอกว่าพ่อของนายต้องการเอกสารสัญญาของนาย ฉันเลยรีบจบการประชุมและมาส่งให้ด้วยตัวเอง
พ่อของนายอยู่ไหน”
“อยู่ในห้องชุนฮวา อยู่ๆเธอก็ล้มป่วยและโทรเรียกหมอประจำตัวมา
พ่อเป็นห่วงเลยไปเฝ้าอยู่ข้างเตียง” ตี๋ชิวเหอรับเอกสารและพูดด้วยน้ำเสียงเสียใจ
“มันเป็นความผิดของผมเอง ถ้าผมไม่กลับมาเธอคงไม่เป็นแบบนี้ และขอบคุณคุณมาครับที่มาส่งเอกสารด้วยตัวเอง
จริงๆแล้วป้าฉินสามารถให้คนอื่นมาแทนก็ได้มันไม่ใช่ธุระสำคัญ”
“ไม่เป็นไร และเรื่องของชุนฮวาก็ไม่ใช่ความผิดของนาย
เธอเป็นวัยรุ่นอารมณ์เลยแปรปวน” ฉินหลี่เดินมาตบที่ไหล่เพื่อเป็นการปลอบอีกคน
เธอส่ายหัวพร้อมกับถอนหายใจ “ฉันก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันได้ข่าวมาจากอาจารย์ของเธอว่าเธอทะเลาะกับเพื่อนร่วมชั้น
ฉันเป็นแม่ก็ไม่กล้าต่อว่าเธอมากนัก เนื่องจากเธอเป็นเด็กวัยรุ่นยิ่งเฉพาะกับเด็กผู้หญิงนายก็รู้ว่าเธออ่อนไหวได้ง่ายจะตายไป
ฉันเสียใจที่นายมาเจออารมณ์แบบนี้”
เมื่อมองไปยังการแสดงที่สมบูรณ์แบบตรงหน้า ตี๋ชิวเหอยอมรับจากใจจริง
ใบหน้าของตี๋ชิวเหอสวมหน้ากากเด็กหนุ่มอ้างว้างและตอบคำถามเสียงเบา
“ไม่เป็นไรครับป้าฉิน แต่...ผมสงสัยว่ามีใครบางคนคอยปั่นหัวเธออยู่ใกล้ๆครั้งที่ผมกลับบ้านพร้อมกันกับเธอ
เธอก็ไล่ผมลงจากรถระหว่างทางและประกาศว่าจะดองผมไม่ให้ผมมีงานเข้ามาและบอกว่าผมคงไม่กล้าพูดกับพ่อ
เพราะผมกำลังทำให้พ่อหงุดหงิดอยู่ นี้ยังดีที่คนขับรถเป็นคนฉลาดเขาจึงไม่กล้าพูดออกมา”
ฉินหลี่ขมวดคิ้วของเธอและเหลือบลองดูที่บันไดชั้นสอง
แสดงสีหน้าโกรธขึ้นมาทันที “เธอกล้าให้นายลงจากรถ นี้เธอกล้าทำแบบนั้นได้ยังไง!
ไม่น่าแปลกใจเลยที่วันนั้นนายมาช้าและถูกพ่อนายต่อว่า นี้เธอทำตัวไร้เหตุผลเป็นอย่างมากฉันจะรีบขึ้นไปที่ห้องของเธอและไปจัดการให้
ชุนฮวาต้องลงมาขอโทษนายทันที”
“อย่าเลยครับป้าฉิน!” ตี๋ชิวเหอพูดเสียงเบาไปจับที่ข้อมือของอีกคนอย่างสุภาพ แต่ความจริงแล่วเขากำข้อมือเธอแน่แล้วก็พูดจาโน้มน้าวต่อ
“ชุนฮวาเป็นเพียงแค่หมากจากคนที่คอยหวังผลประโยชน์ ทั้งการกระทำและคำพูดของเธออาจจะได้มาจากคนที่ไม่ชอบผมที่ค่อยเป่าหูของเธอ
หากป้าฉินยังตกลงไปในบ่วงนี้ด้วยแล้วจะเป็นตามที่คนนั้นต้องการทุกวันนี้บอร์ดบริหารอยู่ในภาวะวุ่นวายก็ทำให้คุณพ่อยุ่งมากพอแล้ว
ผมยังสงสัยว่ามันเป็นการกระทำของมือมืดคนนั้น ดังนั้นสิ่งสำคัญสุดคือเราต้องจับตัวคนร้ายให้ได้โดยเร็ว
ส่วนเรื่องของชุนฮวาผมว่าเธอยังเด็ก ป้าฉินยังมีเวลาอีกมากที่จะคอยสอนเธอ แต่ตอนนี้ป้าฉินควรไปตรวจสอบคนที่อยู่รอบตัวเซี่ยซ่งจะดีกว่า
นี้ขนาดชุนฮวายังถูกรายล้อมด้วยคนร้าย เซี่ยซ่งเขาเป็นผู้ชิงตำแหน่งประธานบริษัทมันคงไม่ดีที่จะมีคนร้ายอยู่ข้างตัวเขา”
ด้วยคำพูดทำให้ฉินหลี่ตกใจ เธอรู้ว่าคนร้ายที่อีกคนพูดนั่นหมายถึงตัวเธอเอง
นอกจากนี้ยังพูดถึงความปั่นป่วนในบอร์ดบริหารและความเครียดของตี้เปี่ยนในบริษัท และยังพูดถึงคนที่ค่อยชี้นำตี้เซี่ยซ่งและสิ่งทั้งหมดที่อีกคนพูดเพื่อให้
ให้เกิดความหวาดระแวงเกิดขึ้นระหว่างตัวเธอกับตี้เปี่ยน!
ในที่สุดเธอก็พบว่ามีเรื่องที่ผิดปกติกับลูกเลี้ยง
เธอมองที่สีหน้าอ่อนโยนพร้อมค่อยๆแกะนิ้วมือออก “ชิวเหอปล่อยมือฉันก่อน
นายไปได้ยินข่าวลือมาจากไหน นายอ่อนต่อโลกมากที่ไม่ระวังตัว นี้นายคงไปโดนคนอื่นหว่านล้อมมาใช่ไหม”
ตี๋ชิวเหอคลายมือออกและเอนตัวพิวราวบันได้ บรรยากาศตอนแรกที่อ่อนจางหายไปทันทีและมีรอยยิ้มรังเกียจขึ้นมาเมื่อเอียงไปอีกด้านพร้อมขี้นิ้วของเขาไปทิศทางชั้นสองจากนั้นก็เปลี่ยนสีหน้ากับมาอ่อนน้อมเหมือนเดิม
สีหน้าของฉินหลี่เปลี่ยนไปทันที
“ผมรู้ว่าป้าฉินต้องการอะไร..ผมขอโทษด้วยที่ทำให้คุณต้องมาส่งเอกสารในวันนี้
พ่อของผมโทรหาเลขาของป้าฉินเพื่อขอสัญญาแต่ถูกปฏิเสธนั่นคือเหตุผล..และมั่นใจได้เลยว่าหลังจากยกเลิกสัญญานี้แล้ว
ผมจะไม่มีพบพ่ออีกหลังจากนี้ ดังนั้นเหล่าบอร์ดบริหารคงจะไม่วุ่นวายแล้ว”
เมื่อไรยินประโยคของคนตรงหน้าใจของฉินหลี่เกือบหยุดเต้น
เล่ห์เหลี่ยมของเด็กหนุ่มตรงหน้านั้นช่างสมบูรณ์แบบพยายามพูดให้หลงประเด็นและก็ปิดเรื่องโดยให้ตัวเองได้รับผลประโยชน์!
ตอนแรกเธอต้องการทำให้ตี้เปี่ยนเห็นอกเห็นใจเธอจากนั้นค่อยโยนความผิดให้กับตี๋ชิวเหอ
แต่มันไม่สามารถทำได้แล้วแถมตอนนี้ยังหว่างเมล็ดความหวาดระแวงระหว่างเธอกับตี้เปี่ยน!
เกิดอะไรขึ้นกับเด็กหนุ่มที่ดูขี้ขลาดและไม่กล้าออกความเห็นเมื่อก่อน ตั้งแต่เมื่อไรที่คนตรงหน้าเปลี่ยนเป็นคนที่เฉียบคมขึ้นมาก!!
เธอพยายามโยนความไม่พอใจทิ้งไปและยกมือข้างหนึ่งเพื่อสัมผัสคนตรงหน้าและพูดด้วยกระแสเสียงอ่อนโยน
“เด็กโง่มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง ฉันขอโทษเรื่องที่ปล่อยนายเผชิญกับเหล่าบอร์ดบริหารคนเดียว
ยังไงนายก็เป็นผู้สืบทอดที่ถูกต้องของฮวางฝู”
ตี๋ชิวเหอยิ้มและหลบมือของเธอโดยไม่มีอาการลังเลและรอมยิ้มจางหายไป
“คุณไม่ต้องมาพยายามโกหก
ผมรู้ว่าผมไม่สามารถสืบทอดฮวางฝูได้อยู่แล้ว และนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผมต้องการตั้งแต่แรก
แต่ผมก็ค่อนข้างกังวลกับเรื่องของคุณพ่อเมื่อผมจากไป”
และร่องรอยปวดร้าวก็ปรากฏที่ใบหน้า
“ผมรู้สึกเหนื่อยมากและไม่ต้องการอะไรอีกทั้งนั้น แปดปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ผมอายุสิบห้าก็เกือบตายโดยหัวขโมยที่เข้ามาในโรงเรียนซึ่งคนก่อเหตุตอนนี้ก็กลายมาเป็นเลขาของคุณ
เมื่อตอนผมอายุสิบเจ็ดก็มีหมาบ้าตัวหนึ่งกัดที่ต้นขาระหว่างที่ผมกลับบ้านและเจ้าของหมาตัวนั้นก็หลายมาเป็นคู่ค้าของคุณในตอนนี้
และเมื่อตอนผมสิบเก้าเพื่อนร่วมห้องของผมก็ช่วยผมไปเที่ยวคลับและส่งบุหรี่สอดไส้กัญชามาให้ผมและสุดท้ายแม่ของเพื่อนผมคนนั้นก็เป็นหัวหน้าของฉินมาร์เก็ต”
“สามปีที่แล้วผมเซ็นสัญญากับบริษัทฮวางฝูศิลปินที่คู่กับผมดันเป็นเกย์ที่ไม่น่าไว้วางใจนอกจากใบหน้าที่สวย
ถ้าวันนั้นผมไม่ระวังตัวผมคงโดนมอมเหล้าและถูกทำลายตั้งแต่ตอนนั้น และพี่ชายของเขาคนนั้นก็กลายมาเป็นผู้จัดการโรงแรมที่ลูกพี่ลูกน้องของคุณบริหารอยู่
และเมื่อเดือนที่ผ่านมานี้เองผมทะเลาะหลานของผู้บริหารที่มาจากทางญาติฝั่งคุณ ทำให้ผู้บริหารหนึ่งในนั้นค่อยปั่นหัวคนอื่นในบอร์ดบริหาร
ทำให้พ่อต้องยอมแพ้ ผมไม่ใช่คนโง่นะป้าฉิน ทุกเรื่องที่คุณทำผมรู้หมดแต่เมื่อคุณเป็นคนที่พ่อผมรัก
ผมก็ยินดีที่จะทำเป็นไม่รับรู้และช่วยคุณปกปิดเรื่องต่างๆ แต่คุณไม่ควรจะบล็อคงานของผมและกีดขวางเส้นทางและยังจะปฏิเสธเรื่องการที่ผมยกเลิกสัญญา
สิ่งที่ผมต้องการตอนนี้ไม่ใช้เป็นเจ้าของฮวางฝู ผมต้องการเป็นเพียงนักแสดง”
“นาย..” ฉินหลี่ตกใจกับคำพูดที่ตรงไปตรงมาของอีกคน
เมื่อเห็นเงาที่อยู่ตรงบันไดชั้นสองเห็นก็ไม่มีเวลาคิดว่าอีกคนรู้ได้อย่างไรและพูดอย่างรีบเร่ง
“ชิวเหอหยุดพูดเรื่องไร้สาระ! ฉันของสาบานตรงนี้เลยว่าฉันไม่เคยตั้งใจที่จะขึ้นบล็อคงานของนาย
สิ่งทุกนายพูดทั้งหมดมัน...”
“คุณพูดได้อย่างไรว่ามันไร้สาระ แต่เอาเถอะเรื่องเหล่านี้มันเป็นเพียงความรู้สึกของผม”
ตี๋ชิวเหอรีบพูดขัดจังหวะและหยิบเอกสารที่เขาเตรียมมายื่นให้เธอ
“มันเป็นเอกสารที่ระบุชัดเจนว่าผมตัดขาดกับคุณพ่อ ซึ่งผมเซ็นต์ชื่อลงไปในนี้เรียบร้อย
และผมกลัวว่าจะทำให้คุณพ่อเสียใจ ดังนั้นผมรบกวนคุณนำเอาไปให้ท่านและพูดปลอบเขาสองสามประโยค
และขอบคุณที่คืนสัญญานี้ให้ผม ผมจะให้ทนายความถือเอกสารยกเลิกสัญญาพร้อมค่าปรับไปให้ที่ฮวางฝูและต่อจากนี้ผมหวังว่าพวกเราคงไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก
ผมจะทำงานในฐานะนักแสดงและคุณก็สามารถดูแลเซี่ยซ่งสำหรับตำแหน่งประธานบริษัทฮวางฝูในอนาคต”
ลมเปลี่ยนทิศอย่างฉับพลันสำหรับเอกสารที่เธอเคยต้องการอย่างมากกลายเป็นเผือกร้อนในมือ
ฉินหลี่ไม่สามารถทำอะไรต่อได้นอกจากแสดงต่อด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา
“ชิวเหอเธอเข้าใจฉันผิด เพียงแต่บอกฉันมาว่าใครเป็นคนพูดเรื่องนี้กับเธอ
ฉันจะไปคาดคั้นเอาความจริง! สำหรับเอกสารนี้ฉันว่านายเอากลับไปก่อนอารมณ์ของพ่อนายอีกไม่นานก็ดีขึ้น
ยังไงเลือดก็ข้นกว่าน้ำ ความรักระหว่างคุณกับคุณพ่อไม่มีทางจบด้วยกระดาษเพียงแผ่นเดียว
ฉัน...”
“เอกสารนี้ยังไม่เพียงพออีกเหรอ! ผมตัดความสัมพันธ์กับพ่อแล้ว
คุณยังต้องกาอะไรอีก?” ตี๋ชิวเหอเปล่งเสียงขึ้นขัดขวางเธอ พร้อมแสดงสีหน้าเหมือคนที่พบเจอเรื่องเจ็บปวดจากนั้นก็พูดต่อด้วยเสียงต่ำ
“ผมเข้าใจแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยที่คุณพูดกล่อมให้พ่อส่งผมไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ...
ป้าฉินโปรดดูแลพ่อผมให้ดี ถึงเวลาที่ผมต้องไปแล้ว”
“ชิวเหอ!!!” ฉินหลี่เกือบกรีดร้อง
เธอก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อจะจับมือเขา “นายทำแบบนี้ไม่ได้!
พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน เมื่อเกิดความเข้าใจผิดเราก็หันหน้าคุยกันทันที นายจะทิ้งฉันและพ่อของนายไว้อย่างนี้เหรอ
เมื่อนายจากไป!”
ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่สามารถให้ชิวเหอหายไปตอนนี้ได้
หากทำเช่นนั้นได้เธอสามารถแก้เรื่องใส่ร้ายและเอกสารที่ทิ้งไว้จะไม่มีผลอะไรทั้งนั้น
แม้ว่าเธอจะเกลี้ยกล่อมขอให้ตี้เปี่ยนให้อภัยได้ แต่ตี้เปี่ยนก็จะมีความรู้ผิดอยู่ในใจต่อลูกชายคนโตของเขา
ซึ่งพอถึงตอนนั้นมันก็ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้
ตี๋ชิวเหอหยุดเดินจากนั้นก็หายใจเข้าลึกๆ
เขาหันมาจับมือเธอที่วางไว้บนแขน ดึงมันออกช้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
“แล้วคุณมีความรู้สึกผิดบ้างไหมเมื่อตอนที่ผมอายุ
15 ปี? โชคไม่ดีที่ผมได้ยินคุณพูดกับผู้ช่วยของคุณทางโทรศัพท์...
คุณผิดหวังกับข่าวที่ได้รับว่าผมไม่เป็นคนพิการ? และสำหรับตี้ชุนฮวาเธอยังเด็กมาก
ผมยกเลิกการรับสิทธิ์ในฮวางฝูและพร้อมจะตัดความสัมพันธ์กับครอบครัว โปรดอย่าสอนเรื่องผิดให้กับเธอเลย
เธอน่าจะเป็นผู้หญิงที่เติบโตได้อย่างน่ารัก” หลังจากนนั้นก็ปัดมือออกและเดินเข้าไปในความมืด
“ชิว....”
ไม่นะ! นายทำแบบนี้...
เมื่อมองไปทางประตูบ้านที่ว่างเปล่าและได้ยินเสียงฝีเท้าที่ชั้นสอง
ฉินหลี่ก็หลับตาด้วยความโกรธ
ตี๋ชิวเหอ! ไอเด็กสารเลว!! ตามที่มีคนพูด ‘ว่าหมาเห่ามันไม่กัด’ เธอยอมรับในความผิดพลาดวันนี้!
เช้าวันถัดมาเหอไป๋เดินหาวออกจากอาคารนักศึกษา
พร้อมแกว่งบัตรใบใหม่และมุ่งตรงไปที่โรงอาหาร
“ร่างกายตอนนี้ต้องการบะหมี่อายุยืนจากโรงอาหารที่อยู่ภาคการแสดง”
ทันใดนั้นร่างสูงเพียวโผล่ออกมาจากอีกเส้นทางและดึงตัวเขาเข้ามาใกล้มากขึ้น
เหอไป๋จ้องมองอีกคนและก้าวเท้าไปด้านข้างเพื่อเว้นระยะของเขาทั้งสอง
ตี๋ชิวเหอล้วงมือในกระเป๋าและจ้องมองพระอาทิตย์และพูดพึมพำ
“วันนี้เป็นวันเกิดครอบอายุ 23 ปีของฉัน”
เหอไป๋รีบยกมือปิดหู
เพื่อให้เห็นว่าเขาไม่ต้องการรับรู้อะไร
“เมื่อวานฉันถูกตัดขาดจากครอบครัว ฮวางฝูยกเลิกสัญญาและเรียกร้องค่าปรับจำนวนมากจากฉัน
บางครั้งฉันก็รู้ว่าชีวิตของฉันตอนนี้แทบว่างเปล่า..นายรู้ไหมว่าถ้าคนนั้นตาย?
จะมีน้ำแกงมิ่งให้ดื่มจริงๆหรือ?”
เหอไป๋เหมือนมีก้อนเนื้ออยู่ในลำคอเมื่อได้ยิน
อีกคนเหมือนอยู่ระหว่างทางแยกเพื่อเดินต่อ เหอไป๋ทำเหมือนไม่เห็นไหล่ที่ลู่ลงของตี๋ชิวเหอ
“คุณไม่อยากกินบะหมี่อายุยืนเหรอ? ตามมาสิ!”
ตี๋ชิวเหอที่หยุดยืนอยู่ตรงทางแยกและใบหน้าตอนนี้ถูกปิดด้วยหมวก
เขายืนนิ่งคิดและถอดหมวกออกพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “นายจะเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวฉัน
ไหนนายบอกว่าลายเซ็นต์ของผมจะได้ถึง 10000 หยวนในอนาคต และผมก็คิดว่ารูปถ่ายพร้อมลายเซ็นต์จะขายได้แพงว่ารูปภาพสุนัขที่นายได้แน่นอน”
“...” เหอไป๋ ถ้าฉันมีมือ
ฉันจะต้องเอาชนะนายแน่นอน...!!!
บทที่ 14 Happy Birthday
เช้าวันอาทิตย์ของโรงอาหารของภาคการแสดงแทบร้างคน
ร้านอาหารส่วนใหญ่ไม่เปิดแต่โชคดีที่ร้านขายบะหมี่อายุยืดเปิด เหอไป๋วางถ้วยตรงหน้าตี๋ชิวเหอและนั่งลงตรงข้ามเพื่อกินขนมปังนึ่งและน้ำเต้าหู้รอ
“เอาน้ำเต้าหู้ด้วย” มีเสียงเอ่ยขึ้นลอยๆตามด้วยเสียงหักตะเกียบ
เหอไป๋ชะงักมือและนึกถึงแก้วชานมของเขาที่ถูกขโมยไปก่อนหน้า
และจ้องมองที่แก้วของตัวเองอย่างลังเลก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบบัตรนักศึกษาและลุกขึ้เดินตรงไปที่ร้านเพื่อซื้อมา
“ขอหวานๆหน่อยนะ ผมชอบหวาน” ตี๋ชิวเหอพูดด้วยใบหน้าใสซื่อ
เหอไป๋พยายามระงับตัวเองด้วยการสูดลมหายใจเข้าลึก
‘มันเป็นวันเกิด เขาไม่ควรไปทะเลาะกับคนโง่’ เมื่อคิดแบบนั้นเขาก็ระงับความโกรธลงและเดินกับไปที่ร้านเพื่อใส่น้ำตาลเพิ่ม
จากนั้นก็วางแก้วไว้ตรงหน้าตี๋ชิวเหอ พร้อมนั่งลงกัดขนมปังนึ่งต่อ
ตี๋ชิวเหอยิ้มอย่างพอใจที่เห็นใบหน้าโกรธของเด็กหนุ่มสายตา
เขาจับจ้องที่แก้มซ้าย พยายามดูดน้ำเพื่อระงับเสียงหัวเราะ จากนั้นก็พับแขนเสื้อขึ้นก่อนที่จะใช้ตะเกียบม้วนเส้นและส่งมันเข้าปาก
หลังจากที่เหอไป๋ปรับอารมณ์เขาก็เงยหน้า
ไปจ้องที่ริมฝีปากสีชมพูของตี๋ชิวเหอ
ริมฝีปากตอนนี้ชุ่มไปด้วยน้ำ อ้าปากก็เห็นฟันขาวเรียงสวยและลิ้นสีชมพูให้เห็นลางๆแทรกผ่านเส้นก๋วยเตี๋ยว
และตะเกียบไม้ก็คอยครีบเส้นส่งเข้าปากอย่างช้าๆ
“อยากได้พริกไทยเพิ่ม” เสียงเอ่ยลอยมาตามลม พร้อมเสียงวางตะเกียบ
เหอไป๋ไอออกมาจากการที่เขาสำลักขนมปังนึ่งและรีบหยิบแก้วน้ำเต้าหู้ขึ้นมาดูด
จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและพูดเสียงดัง“รอก่อน”
ตี๋ชิวเหอจ้องมองด้วยหน้าใบที่งุนงงแต่สายตาเศร้าๆ
“นายไม่พอใจเหรอ?”
เหอไป๋กัดฟันกรามพูดลอดไรฟัน “ฉันโอเค”
ปัง!!!
ชามใส่น้ำมันพริกไทยแดงวางอยู่ข้างแก้วน้ำเต้าหู้
ตี๋ชิวเหอตาโตและน้ำเสียงร่าเริงพร้อมยิ้มไปให้เหอไป๋
“ขอบคุณนะ นายมีน้ำใจมาก”
เหอไป๋ก้มหน้ากัดขนมปังต่อและแกล้งเป็นคนหูดับ
เมื่ออีกคนพูดต่อ
“ที่จริง....”
เหอไป๋ตัดการตอบสนองทั้งหมด
ทำเพียงยกขนมปังนิ่งใส่ปากจากชิ้นหนึ่งไปอีกชิ้นหนึ่ง
ตี๋ชิวเหอเงียบเสียงและสังเกตุที่แก้มของอีกคนที่แดงขึ้น
แต่เขาระงับตัวเองไม่ให้กลั่นแกล้งเหอไป๋ต่อก้มหัวหน้าครีบบะหมี่กินต่อ
“รสชาติยังเหมือนเดิม”
เหมือนเดิม?
เหอไป๋ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
เขารีบกลืนขนมปังลงคอ “คุณเคยกินบะหมี่ที่ร้านนี้เหรอ?”
“อืม...” ตี๋ชิวเหอตอบพร้อมรอยยิ้มจากนั้นก็ยกแก้วน้ำเต้าหู้ขึ้นดื่ม
“ผมเคยมากินสองสามครั้ง นี่ผมยังไม่เคยบอกนายเหรอ? ว่าเคยเรียนที่มหาลัย Q แต่พึ่งจบการศึกษาในปีนี้
วันนี้ผมเลยมารับประกาศนียบัตร ไม่คิดว่าจะเจอนายที่นี่”
นี่มันเดือนมิถุนายนที่เหล่านักศึกษาปีสี่กับมาอีกครั้งเพื่อถ่ายรูปบัณฑิตและรับประกาศนียบัตร
แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องน่าแปลกที่ตี๋ชิวเหอเป็นนักศึกษามหาลัย Q
และเขาก็นึกขึ้นได้ว่าคนที่มาซื้อลายเซ็นต์ คนนั้นก็เป็นนักศึกษาปีสี่เหมือนกัน
มหาลัย Q และ ID
วีแชทของผู้ซื้อก็คล้ายคลึงกับชื่อของตี๋ชิวเหอ
เป็นไปได้ไหมว่าทั้งสองเป็นคนเดียวกัน
“ทำไมนายมองผมแบบนั้น มีอะไรติดหน้าผมเหรอ?”
ตี๋ชิวเหอยกมือสัมผัสใบหน้าและยิ้มอ่อนโยน “หรือนายแปลกใจที่มีชายรูปงามและดูดีจะเรียนมหาลัยเดียวกับนาย?
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แม้ว่าฉันจะเรียนที่นี้แต่ก็ไม่ค่อยได้เข้าเรียนเนื่องจากจะต้องทำงาน
เพื่อนร่วมคลาสบางคนยังไม่รู้เลยว่าฉันเรียนด้วย”
“คุณมีบัญชี BBS ของมหาลัยไหม?
เรามาเพิ่มเพื่อนกัน ขอ ID ของคุณหน่อย”
เหอไป๋ยื่นมือออกมา
“BBS ของมหาลัย” ตี๋ชิวเหอพูดด้วยใบหน้างุนงง
เขาขมวดคิ้วเหมือนพยายามนึกย้อน จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมาและเปิดเข้าเว็ปไซค์
“จำได้ว่าเคยมีนะตอนที่มาเข้าเรียนใหม่ๆ
ตอนนั้นใช้รหัสนักศึกษาแทนชื่อบัญชี เอานี่..”
เหอไป๋สังเกตุอีกคนที่กำลังวุ่นอยู่กับเว็บของมหาลัยและไม่ไปแตะต้องวีแชทเลย
เมื่อเห็นแบบนั้นเหอไป๋รีบใช้วีแชทเพื่อส่งข้อความหาผู้ซื้ออย่างรวดเร็ว
และได้ข้อความตอบกลับทันที
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: สวัสดีตอนเช้า
มันเป็นอีกวันที่สดใส
“ต้องขอโทษด้วยนะ เหมือนว่าทางค่ายเขาจะปิดไอดีของผมไป
เพื่อป้องกันความเป็นส่วนตัว” ตี๋ชิวเหอยกโทรศัพท์ขึ้นตรงหน้า
และหันหน้าจอให้เหอไป๋ดู สีหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ “นี้เป็นครั้งแรกที่มีรุ่นน้องต้องการเป็นเพื่อนกับผม...และขอบคุณมากที่อยู่ร่วมในวันเกิด
ผมมีความสุขมากในวันนี้”
เมื่อมองไปที่ใบหน้าเศร้าของตี๋ชิวเหอ เหอไป๋ก็รู้สึกผิด
“นาย...ไม่เป็นไร” ด้วยความรู้สึกผิดในใจ
เหอไป๋ก็รีบเก็บโทรศัพท์ แบบนี้แปลว่าทั้งสองเป็นคนล่ะคนกัน
ท้ายที่สุดคนที่เขาขายลายเซ็นต์ให้ ไม่น่าจะเป็นคนฉลาดเหมือนกับตี๋ชิวเหอ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกผิดที่เขาหวาดระแวงตี๋ชิวเหอเพราะการที่เขาคิดไปเอง
“วันนี้เป็นวันเกิดของคุณ
คุณต้องการอะไรพิเศษไหมนอกจากบะหมี่อายุยืด? หรือเค้ก?
ถ้าคุณต้องการเดียวผมซื้อให้คุณ”
“ดีเลย ไปกันเถอะ ไปกินเค้กกัน” ตี๋ชิวเหอพูดอย่างยินดี เร่งกินบะหมี่อย่างไม่หยุด “ขอบคุณมาก
ผมคิดว่าวันนี้ผมต้องอยู่คนเดียวซักอีก ขอบคุณพระเจ้าที่มอบอาราซซี่ตัวน้อยให้ผม
ขอบคุณครับ”
เหอไป๋กลืนคำพูดลงคอ
ทำไมเขาถึงเห็นหางโผล่มาจากด้านหลังอีกคนและมันส่ายไม่หยุด
พร้อมใช้สายตาหยุดอยู่ที่กระเป๋ากล้องข้างตัว
‘คิดซักว่าวันนี้มีนายแบบมาให้ถ่ายถึงที่
จะได้มีงานส่งในสัปดาห์นี้’
หลังจากทั้งสองกินข้าวช้าวเสร็จ
จากนั้นตี๋ชิวเหอก็ไปรับประกาศนียบัตร ในขณะที่ก้าวเดินออกจากตัวอาคาร
ตอนนี้มีแสงจากพระอาทิต์สว่างขึ้นทำให้มีพวกนักศึกษาที่ตื่นเช้าเพื่อมาออกกำลังกายมากขึ้น
เพื่อเลี่ยงเหตุการณ์ที่เหมือนก่อนหน้า ตี๋ชิวเหอชวนให้เหอไป๋ขึ้นรถไปและขับเข้าไปในตัวเมืองเพื่อตรงไปที่ศูนย์เกมส์เซ็นเตอร์
“คุณไม่ได้อยากกินเค้กเหรอ” เมื่อยืนอยู่ที่หน้าศูนย์เกมส์เซ็นเตอร์
ความรู้ก็เหมือนว่าจะหลงเข้าถ้ำสิงโต
“ผมโทรสั่งเค้กจากทางโทรศัพท์เรียบร้อย แต่อยู่ระหว่างการทำ
เรามาฆ่าเวลาด้วยสิ่งนี้ระหว่างรอ” ตี๋ชิวเหอดึงหมวกให้ต่ำลง
และหยิบเงินออกมา 500 หยวน ให้เหอไป๋เพื่อแลกเหรียญ “มา...เราไปแลกเหรียญเพื่อมาเล่นเกมส์ที่เราชอบกัน”
เหอไป๋จ้องมองเงิน
500 หยวนเท่ากับที่เขาให้อีกคนเมื่อวาน ความอับอายที่เขาขายลายเซ็นต์ของตี๋ชิวเหอและถูกจับได้กลับมาอีกครั้ง
แต่เมื่อจ้องหน้าของตี๋ชิวเหอที่อยู่สูงกว่าเขาแล้วก็เกิดอาการหมั่นไส้ ‘เอาน่าคิดว่ามันเป็นคนชดเชยที่เขาต้องเสียเงินจากการแบ่งค่าขายลายเซ็นต์’
พวกเขาทั้งสองทดลองเล่นเกมส์ทุกเกมส์ที่มีอยู่ในร้าน
ทั้งเครื่องโยนบาสเก็ตบอล เครื่องตกปลา เกมส์เต้นและเกมส์VR
ถึงมาหยุดยืนอยู่หน้าตู้ครีบตุ๊กตา เหอไป๋ที่ยื่นจ้องด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จ้องมองตี๋ชิวเหอที่พยายามปล้ำกับตุ๊กตาตรงหน้า
วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์จึงมีคนมาที่นี้เป็นจำนวนมาก ก่อนหน้าทั้งสองสามารถกลมกลืนภายใต้แสงไฟสลัวโดยไม่มีใครสังเกตุเห็น
แต่ตอนนี้เขามาหยุดยืนหน้าตู้ครีบคงตุ๊กตาทำให้แสงไฟจากตู้ส่องเห็นใบหน้าชัดขึ้น
เหอไป๋หยุดอาการหาวของเขาทันที เมื่อสังเกตุเห็นกลุ่มหญิงสาวสามคนที่ดวงตาเป็นประกายมองมาทางเขาทั้งสองจากนั้นก็ขมวดคิ้วและมองไปรอบๆและเห็นพนักงานในเครื่องแบบการ์ตูนญี่ปุ่นเพื่อขายพวกสีต่างๆ
เขาเรียกเธอให้หยุดเพื่อซื้อสีจากเธอ และจากนั้นก็วางมือบนไหล่ของตี๋ชิวเหอ
“ว่าไง..” ตี๋ชิวเหอหันมาถามอย่างไม่สนใจ
แม้ว่าเค้าจะพลาดโอกาสที่จะครีบตุ๊กตาได้ เขาก็ไม่รู้สึกหงุดหงิด
ดวงตาเต็มไปด้วยความสุขพร้อมขยับหมวกลงให้เข้าที่ “เหนื่อยแล้วเหรอ
งั้นเราไปหาที่พักกินน้ำก่อนมั้ย”
ใบหน้าแดงที่เกิดจากการเล่นเกมส์และเสียงที่อ่อนโยนเอ่ยขึ้นมา
ทำให้เหอไป๋จะเจอคนเจ้าชู้มาจีบ ช่างเป็นภาพลวงตาที่น่ากลัวจริงๆ! เหอไป๋ระงับอาการและเอาสติกเกอร์ไปติดที่ใบหน้าของตี๋ชิวเหอแถมไม่พอเขายังบีบเอาสีเกือบหมดหลอดป้ายไปที่แก้มของอีกคน
เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจที่ละเลงใบหน้าหล่อนี้ให้เป็นกระดานระบายสีได้
“ไม่มีอะไร เด็กชายตี๋สามขวบ เล่นต่อได้”เขาคิดว่าตี๋ชิวเหอเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่แกล้งทำตัวโตกว่าอายุ จากการที่เขาเล่นเกมส์ต่างๆและเมื่อพูดถึงตัวละครในการ์ตูนที่อีกคนดูตอนเด็ก
ช่างแตกต่างจากที่เหอไป๋เจอก่อนหน้า
ตี๋ชิวเหอปล่อยให้อีกคนละเลงเสร็จก็ยกมือจับที่แก้มและยกนิ้วมาดมพร้อมขมวดคิ้ว
“เด็กชายตี๋สามขวบ?”
“อ่า..เด็กชายตี๋สี่ขวบก็ได้” เหอไป๋พูดต่อให้อีกคน
ทันใดนั้นตี๋ชิวเหอก็คว้าสีจากมือเหอไป๋มาบีบและจากนั้นก็แต้มลงที่รอยบุ๋มที่แก้มซ้าย
และก็ใช้มือบีบใบหน้า “นายอายุน้อยกว่าฉัน ถ้าฉันเป็นเด็กและนายเป็นอะไรล่ะ”
“เป็นลุงของคุณไง”
“อาราซซี่น้อย”
“อะไรนะ?”
“ลุงของผมเสียไปนานหลายปีแล้ว”
เหอไป๋จับมือของอีกคน จากนั้นก็ถ่ายรูปอย่างรวดเร็ว
“ฉันจะถ่ายรูปคุณที่น่าเกลียดตอนนี้และเอาไปขายพวกแฟนคลับโง่ๆของคุณ
มาดูกันว่าพวกเธอเห็นจะบอกว่าคุณยังเป็นเทพบุตรอยู่ไหมและยังจะชอบคุณต่ออีกหรือเปล่า”
ตี๋ชิวเหอยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะที่มองเข้าไปที่กล้อง
“แฟนคลับโง่? ใคร? คนที่ซื้อลายเซ็นต์
1000 หยวนหรือเปล่า”
ผู้ชายในกล้องยิ้มแต่สายตาเศร้าเขากดซัตเตอร์โดยไม่รูปตัวแล้วจึงถอนหายใจ
เขาสวมสีหน้าเรียบเฉยและมองที่ประตู “ไปกันเถอะ
ผมหิวแล้ว ไปหาอะไรกินกัน”
“นายจะเลี้ยงเหรอ?”
“...แล้วแต่คุณเลย”
“ผมอยากกินสเต็กส์ที่แพงที่สุด” เหอไป๋สะบัดมือที่จับมือของตี๋ชิวเหออย่างรวดเร็วและโบกมือ “สุขสันต์วันเกิด และเจอกันใหม่”
ตี๋ชิวเหออดไม่ที่จะหัวเราะ ช่วงเวลาที่เหอไป๋หันไปมองรอบๆ
ตี๋ชิวเหอรีบคว้าสายกระเป๋ากล้องอย่างรวดเร็ว ด้วยความที่อีกคนสูงกว่าตี๋ชิวเหอก็สามารถดึงกระเป๋ากล้องมาได้อย่างง่ายดาย
จากนั้นเขาก็โบกมือ “ได้เลย
ขอบคุณนายมากแล้วพบกันใหม่!”
หลังพูดจบตี๋ชิวเหอก็หันหลังเดินไปทางประตูของทางร้านโดยไม่หันกลับมามอง
“เฮ้ย...เดียวก่อน” เหอไป๋ตกตะลึงพร้อมกระทืบเท้าตะโกนเสียงดัง
“นายคนเนรคุณ! กล้องถ่ายรูปของฉัน!!”
บทที่ 15 ถ้าไม่รู้นายจะตาย
ที่ศูนย์เกมส์เซ็นเตอร์มีคนพลุ่งพล่าน ไม่ทันไรหลังของตี๋ชิวเหอก็หายลับไปไปกับฝูงคน
เหอไป๋ในตอนนี้ทำอะไรไม่ได้นอกจากรีบก้าวเขาตามอีกคนไป แต่ช่วงเขาของเขาสั้นจึงตามอีกคนไม่ทัน
และหยุดยืนอยู่ริมถนนอย่างคนสิ้นหวังว่ากระเป๋ากระชากไป โดยคนที่เขาอุตส่าห์ เสนอตัวเลี้ยงวันเกิดให้และกลับมาเจอกับการที่ถูกฉกกระเป๋า
ไอ้ตัวที่กัดมือคนให้ข้าว!
เป็นคนที่เนรคุณมาก!
ตี๋ชิวเหอตอนแรกก็เอาบัตรนักศึกษาเขาไป คว้าชานมที่เขายังกินไม่หมด
และตอนนี้ยังมาขโมยกล้องของเขาไปอีกทำไมถึงมีสิ่งมีชีวิตแบบนี้ถึงกลายมาเป็นจักรพรรดิจอเงิน
นี้มันเหมาะจะเป็นโจรซะมากกว่าที่จะมาเป็นนักแสดง! ให้ตายเถอะ..กรรมอะไรของเขาที่ต้องมารู้จัก
ตี๋ ชิว เหอ!!
เหอไป๋หมุ่นตัวไปมาและจำได้ว่าวันนี้เขาไม่ได้เก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ากล้อง
รีบหยุดเดินทันทีและล้วงหยิบโทรศัพท์และไล่หาเบอร์ กลับมาสิ้นหวังอีกครั้งเนื่องจากเขาไม่มีเบอร์ติดต่อตี๋ชิวเหอ
และแบบนี้เขาจะหากล้องไปคืนอาจารย์ซูได้ยังไง...เขาต้องโทรหาตำรวจ?
นิ้วมือไปยังเบอร์ฉุกเฉินและกดวางสายด้วยความหัวร้อน ‘ให้ตายเถอะ! วันนี้เขาก้าวขาผิดออกจากห้องหรือไง!’
ฝั่งตรงข้ามหน้าร้านขายขนมเค้ก ตี๋ชิวเหอกดชัตเตอร์ไปที่เหอไป๋ที่ตอนนี้เดินตามถนนอย่างหัวเสีย
รอยยิ้มกระจายทั่วใบหน้า และกดเข้าไปที่โปรแกรมวีแชทพร้อมพิมพ์ข้อความด้วยความสนุก
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
สุขสันต์วันเกิด! อย่าลืมทานเค้กวันเกิดน้า ^ - ^
เมื่อได้ยินเสียงเตือนเหอไป๋รีบเปิดโทรศัพท์และกดไปที่การแจ้งเตือน
และเกิดความสงสัยเมื่อข้อความในหน้าจอ
White and Whiter: วันเกิดของผม?
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
ใช่ฉันสังเกตุเห็นที่ชื่อบัญชีของวีแชทมันมีตัวย่อ
ฉันเดาว่าวันนี้เป็นวันเกิดของคุณ
เหอไป๋กระพริบตาอย่างไม่เข้าใจ
เขาออกจากช่องแชทกดไปที่หน้าบัญชีหลักของเขาแทน
ทำให้ตระหนักได้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเขาจริงๆ...
การที่เขาอยู่คนเดียวเป็นเวลานานทำให้เขาลืมใส่ใจกับสิ่งต่างๆ
เช่นวันเกิดของตัวเอง ขณะที่เพื่อนทางแชทมีการค้นหาวันเกิดของเขา ความโกรธของเหอไป๋จางหายไปอย่างรวดเร็ว
เขารู้สึกเขินอายและมีความประทับใจในใส่ใจของอีกคน
White and Whiter: มันเป็นวันเกิดของผมจริงๆด้วย
ตัวผมเองไม่ได้นึกถึงเลย ขอบคุณมาก
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ฉันเต็มใจ
อย่าลืมกินเค้กวันเกิดและบะหมี่อายุยืนด้วยล่ะ ^ - ^
เหอไป๋ยิ้มจนตายี่ทำให้มีลักยิ้มที่แก้มซ้าย
เขารีบพิมพ์ขอบคุณผู้ซื้อ และนึกถึงเรื่องของตี๋ชิวเหอบอก
ตี๋ชิวเหอ ชิวเหอ
เขาจำได้แล้วว่าเคยดูรายการทีวี ตี๋ชิวเหอให้สัมภาษณ์กับนักข่าวถึงความหมายของชื่อ
‘ชิวเหอ’ ว่าอีกคนเกิดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงดั้งนั้น พ่อแม่ของเขาจึงตั้งชื่อเขาว่าชิวเหอ
และแน่นอนว่าตอนนี้มันฤดูร้อน! เดือนแรกต้นฤดูร้อน!!
หึ...
อีกคนเป็นคนขี้โกหกและเป็นโจรที่อายุสามขวบ!
เหอไป๋เกรี้ยวกราดอีกครั้งและก้าวกระโดดไปที่ป้ายรถบัส
เนื่องจากตี๋ชิวเหอเป็นนักศึกษาของมหาลัย Q เขาจะต้องได้รายละเอียดที่อยู่และช่องทางการติดต่อจากที่นั่นตามที่มีคนเคยพูดไว้
‘จะตามพระก็ต้องตามที่วัด’ เขาตั้งมั่นว่าเขาจะต้องได้กล้องกับคืนมา!
เมื่อตี๋ชิวเหอเห็นเด็กหนุ่มร่างบางหายไปจากสายตา
เขาก็เก็บมือถือและหันไปหาพนักงานร้านเขาก็ยิ้มสุภาพอ่อนโยนพร้อมชี้ไปที่กระเป๋ากล้องที่หัวไหล่ของเขา
“ขอโทษนะครับ ผมขอถามหน่อยว่าพอจะมีกล่องของขวัญที่สามารถใส่กล้องตัวนี้ได้ไหมครับ”
เมื่อพนักงานเห็นสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มของตี๋ชิวเหอ
พนักงานรีบช่วยเขาค้นหากล่องของขวัญรูปหัวใจกล่องสีชมพูสลับสีฟ้าและถามอย่างขอความเห็นและเต็มไปด้วยความกระตืนรือร้น
“กล่องนี้ใช้ได้ไหมคะ?”
ตี๋ชิวเหอจ้องมองกล่องทั้งสอง จำได้ว่าวันนี้เหอไป๋สวมเสื้อสีฟ้า
เขาจึงยิ้มอย่างพึงพอใจและพยักหน้า “ผมขอริบบิ้นที่ดูน่ารักให้ด้วยนะครับ”
พนักงานร้านพยักหน้าและรีบหน้าริบบิ้นมาห่อของให้อีกคนเงียบๆ
‘ชายหนุ่มคนนี้ตั้งใจเลือกเป็นอย่างมาก หญิงสาวที่ได้รับจะต้องเป็นคนที่โชคดีมากๆแน่’
เนื่องการจราจรที่ติดขัดในช่วงวันหยุด เหอไป๋ใช้เวลาถึงสองชั่วโมงถึงจะเดินทางกลับเข้ามหาลัย
เมื่อลงจากรถบัสก็รีบวิ่งหน้าตั้งไปที่หอพักทันทีที่ลงจากรถได้ด้วยความอับอายที่มีสีบนใบหน้าตั้งสองชั่วโมง
และรีบตรงไปที่หแเพื่อล้างสีที่อยู่บนใบหน้าของเขา..
เมื่อเปิดประตูห้องก็ต้องผงะเมื่อเห็นกล่องสีชมพูสลับสีฟ้าที่มีขนาดต่างกันสองกล่องและทั้งสองก็ถูกผูกด้วยริบบิ้นที่ดูน่ารัก
“นี่มันอะไร?!” เหอไป๋จ้องมองของขวัญพร้อมขยี้ตา
“ในที่สุดนายก็กลับมา! ดูสิมีคนส่งของขวัญมาให้นายด้วย!!”
หนิงจวินเจี๋ยกระโดดส่งเสียงร้องตื่นเต้นเสียงดัง และเมื่อเห็นใบหน้าก็อุทานอย่างตกใจ
“เหล่าซานหน้านายเป็นอะไร หรือนายแพ้อะไรมาหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ มันเป็นเพียงแค่สี” เขาลูบสีที่ตอนนี้แห้งติดหน้าหยิบผ้าเช็ดตัวมาเช็ดออกและถามอย่างสงสัย
“มีคนส่งของขวัญ? นี่สำหรับฉันเหรอ?”
“ใช่สิ” หวังหู่เดินเข้ามาหาพร้อมกรรไกรในมือและส่งสัญญาณให้เหอไป๋รับ
“ทั้งชื่อผู้รับ รหัสนักศึกษาและเลขห้องตรงกับนายแต่ไม่มีคนรับ ผู้ดูแลหอจึงรับแทนมันมาส่งตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว
พนักงานส่งของไม่มีเบอร์โทรนายเขาจึงฝากผู้ดูแลหอเอาไว้แทน ตอนแรกผู้ดูแลกำลังจะเขียนชื่อนายบนบอร์ดบนหน้าห้อง
แต่ดีที่น้องเล็กเดินผ่านพอดีเลยบอกว่าเป็นของนายและรับมาแทน”
บอร์ดที่จัดทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับนักเรียนที่คาดว่าจะกลับมาช้าและไม่ทันมารับของ
ใครก็ตามที่ถูกบันทึกไว้จะถูกเยาะเย้ยตลอดทั้งสัปดาห์
เหอไป๋วางผ้าเช็ดหน้าพร้อมจ้องมองหนิงจวินเจี๋ยอย่างซาบซึ้ง
“ขอบคุณนะเหล่าซาน”
“ไม่เป็นไร” หนิงจวินเจี๋ยโบกมือขณะที่สายตายังจ้องอยู่ที่กล่อง
“เปิดดูของข้างในเถอะ! ตัดสินจากสีกล่องของขวัญ
คนที่ส่งมาให้ต้องเป็นผู้หญิงแน่นอน! ผู้หญิงส่งของให้เหอไป๋”
เฉินเจี๋ยที่นิ่งเงียบมาตลอดก็พูดขึ้นบ้าง “แล้วถ้าเป็นผู้ชายล่ะ?”
ความเงียบครอบคลุมทั้งห้อง
และก็พบว่าของที่อยู่ตรงหน้าเหมือนชิ้นระเบิด พวกเขาก้าวขาออกห่างจากทั้งสองกล่อง
หวังหู่พูดขึ้นเบาๆ “การมอบของขวัญโดยไม่ระบุชื่อเป็นสไตล์ของผู้ชาย...หรืออารมณ์โรแมนติกของนักเรียนศิลปะมันจะกลับมาอีกแล้ว”
“ฉันคิดว่ามันไม่ใช่
การสอบปลายภาคของพวกนั้นจบแล้ว คงกลับบ้านกันหมด...” หนิงจวินเจี๋ยพูดอย่างมั่นใจ
เฉินเจี๋ยก้มมองอย่างวิเคราะห์ “ที่กระดาษที่แปะอยู่บนกล่องเขียนอักษรเป็นระเบียบมาก
ว่าไม่น่าจะมาจากคนต่างชาติ”
หวังหู่ได้ยินก็มองตามและพูดเสียงเบา “แต่ลายมือนี้มันดูเป็นระเบียบเกินไป ไม่น่าจะเป็นลายมือของผู้หญิง”
เหอไป๋พยายามคิดถึงเรื่องสโตกเกอร์และเลิกคิ้วขึ้น
เขาเดินไปหยิบกระดาษโน๊ตและเอะใจบางอย่าง เขารีบยื่นมือไปที่หวังหู่
“เอากรรไกรในมือคุณมา ไม่ต้องตกใจ กล่องนี้ไม่ได้มาจากสโตก”
“ไม่ใช่สโตกหรือ”
“ไม่ใช่”
เมื่อได้ยินคำตอบที่ชัดเจนของเหอไป๋
ทั้งสามก็เดินเข้ามาใกล้ และถามเหอไป๋ว่าทำไมถึงมั่นใจ หรือว่าเหอไป๋รู้แล้วว่าส่งมาจากใคร
“ตอนแรกฉันก็คิดไม่ออก แต่หลังจากเห็นข้อความในกระดาษโน๊ตก็รู้ว่าเป็นใคร
ไม่ต้องกังวลคนที่ส่งให้เป็นคนที่ฉันรู้จักเป็นอย่างดีและไม่ได้ใช่สโตก” เหอไป๋ตอบด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ก่อนที่จะตัดริบบิ้นข้างกล่องพร้อมต่อว่าคนที่ทำแบบนี้ในใจ
เมื่อเปิดฝาก็เห็นเค้กสามชั้นที่ตบแต่งอยากสวยงามอยู่ภายใน
ทำให้หวังหู่และอีกสองคนตาโต
ปากของเหอไป๋บิดเล็กน้อย
เขารีบเปิดอีกกล่องก็พบว่าเป็นกล้องที่อีกคนปล้นไปอย่างที่คิดไว้
...ตี๋ชิวเหอเป็นคนที่สมองมีปัญหาอย่างแน่นอน
เขามั่นใจ
“เค้กก้อนนี้มาจากร้านเจย์มัน ราคาแพงมาก!”
หนิงจวินเจี๋ยจ้องมองอย่างเห็นของล้ำค่า “แต่ทำไมเพื่อนของนายถึงสั่งเค้กที่เต็มไปด้วยรูปหมาน้อย”
“มันมีเขียนอะไรไว้ด้วย” เฉินเจี๋ยดันแว่นขึ้นและพยายามอ่านตัวอักษรเล็กๆที่อยู่บนเค้ก “สุขสันต์วันเกิดอาราซซี่น้อย! ขอบคุณสำหรับรูปภาพที่นายส่งมา วันเกิดของฉันคือ
7 กันยายน อย่าลืมของขวัญมาตอบแทน!!”
หวังหู่หยิบโทรศัพท์เพื่อดูวันที่และยกมือตบที่หน้าผาก
“ทำไมขี้ลืมแบบนี้ วันนี้เป็นวันเกิดของเหอไป๋
เดียวตอนเย็นเราไปฉลองกันเถอะ”
หนิงจวินเจี๋ยยกมืออย่างตื่นเต้นขึ้นทันทีพร้อมด้วยเฉินเจี๋ยที่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เหอไป๋ยิ้มตามทันทีเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเพื่อนรูมเมต
แต่คิ้วก็กลับมาขมวดขึ้นอีกครั้ง ‘ทำไมตี๋ชิวเหอขอบคุณเกี่ยวกับรูปภาพ’
รูปไหน? ใช่รูปที่เขาส่งไปให้อาจารย์ซูดูล่าสุดหรือเปล่า
ใช่รูปที่เขาแอบถ่าย? เดียวก่อนนะนี่หมายความว่าตี๋ชิวเหอเปิดกล้องเขาดู
แล้วรู้ว่าเขาแอบถ่ายตี๋ชิวเหอ!!!
“....”
เมื่อมองไปที่ก้อนเค้กสามชั้นตรงหน้าและค่อยเปิดกระเป๋ากล้องพร้อมหายใจเข้าลึกๆ
...ความรู้สึกตอนนี้เหมือนโดนบังคับให้กินยาขม
เหอไป๋คิดว่า ‘เซอร์ไพรส์’ ของเขาจะหมดลงแล้ว
แต่ไม่คาดคิดว่าอีกสองวันถัดมาชื่อของเขาจะไปเด่นหราบนบอร์ด
“ถูกส่งมาจากเพื่อคนเดิมของนายเหรอ”
หนิงจวินเจี๋ยย้ายตัวเองมาหน้ากล่องของขวัญสีชมพู และจ้องมองใบหน้าของเหอไป๋ที่เต็มไปด้วยความท้อแท้
“ให้คงตายเถอะ..นี้เหอไป๋จะได้แฟนแล้วจริงๆ”
เหอไป๋หันมองอีกคนพร้อมผลักใบหน้าให้ออกไป
จากนั้นก็ฉีกกระดาษห่อสีชมพูทันทีและเปิดฝา หลังจากที่เห็นเขาก็เข้าโหมดชัดดาวตัวเองทันที
ทั้งกล่องเต็มไปด้วยภาพถ่ายตี๋ชิวเหอพร้อมกับลายเซ็นต์และยังมีกระดาษโน๊ตที่วางอยู่ข้างบน
เขารีบหยิบขึ้นมาดูมันเป็นหมายเลขโทรศัพท์ ด้วยความลังเลเหอไป๋หยิบโทรศัพท์และพิมพ์ส่งข้อความด้วยความโมโห
เหอไป๋: ฉันได้รับรูปถ่ายของคุณแล้ว
ต้องขอบคุณมาก ก่อนหน้าคุณช่วยพูดถึงเรื่องเค้กแล้วรูปที่คุณพูดก่อนหน้าให้ฉันฟังหน่อย?
ตี๋ชิวเหอกำลังอ่านบทสคริปต์ที่เจี่ยงหัวซานส่งมาให้ก่อนหน้านี้
ได้ยินเสียงการแจ้งเตือนเขารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นอ่านข้อความ มันส่งมาจากหมายเลขที่เขาไม่รู้จัก
จากนั้นดวงตาก็เป็นประกายอย่างมีเรื่องสนุกรีบพิมพ์ตอบทันที
ตี๋ชิวเหอ:
อยากรู้ไหมว่าทำไมผมถึงส่งของให้นาย?
เหอไป๋: ใช่
ตี๋ชิวเหอ: ถ้าไม่รู้นายจะตาย?
เหอไป๋: ... ใช่
ตี๋ชิวเหอ: งั้นไม่บอกดีกว่า
เหอไป๋: ???
ตี๋ชิวเหอ: โปรดอ้วนวอนฉันสิ ^
- ^
เหอไป๋: ...
ตี๋ชิวเหอ: รู้ไหมว่านายตอนอยู่บนถนน นายน่ารักมากๆ
ปัง!!!
เหอไป๋ปิดเครื่องโทรศัพท์ทันทีและเก็บไว้ในลิ้นชักด้วยความโมโห
บทที่ 16 ออกภาคสนามครั้งแรก
ในกล่องแรกที่ส่งมามันเต็มไปด้วยภาพของตี๋ชิวเหอแถมมีลายเซ็นต์ทุกรูป
และอีกกล่องคงส่งมาจากเด็กชายตี๋วัยสามขวบเพราะมันเต็มไปด้วยของเขาเมื่อวานตอนอยู่บนถนน
เหอไป๋หากล่องของขวัญใบใหม่เพื่อจะมาใส่รูปของตี๋ชิวเหอที่มีลายเซ็นต์ด้วยความหงุดหงิด
เขาต้องรีบกำจัดให้เร็วเหอไป๋จึงถ่ายรูปและส่งไปทางวีแชทให้กับผู้ซื้อของเขา
ว่าจะส่งของตอบแทนที่อีกคนอวยพรวันเกิดเขา
จากทุกทีจะได้รับข้อความตอบไม่นาน
แต่เขารอถึงสองนาทีก็ไม่มีการตอบกลับจึงตัดสินใจเก็บโทรศัพท์ไว้ในลิ้นชัก
หลังระบายความหงุดหงิดก็รู้สึกสดชื่นและสมองแล่นขึ้นมา
เลยตัดสินใจเอาเนื้อหาที่เรียนมาตอนบ่ายมาทบทวน แต่มันมีเนื้อหาน้อยมากไม่นานก็ทบทวนเสร็จ
จึงตัดสินใจเปิดคอมเพื่อที่จะทำงานต่อ รู้สึกว่าทางสตูดิโอ Saint
Elephant ส่งงานใหม่มาให้พอดี
ตอนนี้ชิ้นงานจากทางสตูดิโอน้อยลงมากกว่าเมื่อก่อน
มันมีเพียงแค่ห้าไฟล์และในแต่ละไฟล์ก็มีรูปเพียงหกรูปเท่านั้นเหอไป๋เห็นก็ตั้งใจว่าจะทำให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้
ในภาพที่ส่งมายังเป็นรูปภาพที่ถ่ายบุคคล โดยในนั้นมีผู้ชายสามคนและหญิงสาวสองคน
ซึ่งเหอไป๋พยายามนึกให้ออกมาเขาเคยเห็นหญิงสาวทั้งสองจากที่ไหน และสักพักก็นึกได้ว่าเคยเห็นก่อนที่จะย้อนกลับมาทั้งสองเป็นศิลปินดังจากสถานีโทรทัศน์
B เพียงแค่ตอนนี้เป็นเพียงศิลปินหน้าใหม่
เมื่อคิดแบบนั้น
นิ้วก็ลากภาพของเธอทั้งสองลงโปรแกรมตัดต่อเหอไป๋ก็หลุดเข้าไปในโหมดทำงานทันที
มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่หลี่เหรินจะให้เงินพิเศษเพิ่ม
เพราะเธอได้รับงานจากสถานีโทรทัศน์ B ก็เป็นที่รู้กันว่าถึงสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นจะสู้กับสถานีโทรทัศน์กลางไม่ได้
แต่มันก็เป็นอันดับต้นๆที่เหล่าหนุ่มสาวเลือกที่จะไปเดบิวส์ เนื่องจากสถานีโทรทัศน์
B แห่งนี้ปั้นเหล่าศิลปินซื่อดังมาหลายคน และมันก็มากกว่าที่มาจากสถานีโทรทัศน์กลางอื่นๆ
เหมือนจะจำได้คราวว่าแฟนเก่าของหนิงจวินเจี๋ยก็ดังมากจากสถานีโทรทัศน์แห่งนี้...แต่มันก็ดังได้ไม่นานเธอก็ออกจากวงการไปแต่งงานกับอดีตศิลปินรุ่นพี่ที่อีกคนก็พึ่งจากแยกทางกับภรรยา
แต่ชีวิตตอนนี้เธอก็ค่อนข้างลำบากเนื่องจากมีปัญหาความรุนแรงภายในครอบครัว เธอจึงคิดจะกลับมาเพื่อจุดถ่านไฟเก่ากับหนิงจวินเจี๋ยเรื่องตอนนี้ก็เกือบจะทำให้เพื่อนของเขาต้องมาหย่าร้างกับภรรยา
เมื่อมาคิดเรื่องอดีตที่ก่อนหน้าก็ทำให้สมองทำงานได้ช้าลงเมื่อรู้สึกตัวว่างานต่อหน้าแทบไม่ขยับเหอไป๋ก็เร่งมือทำงานทันที
ทั้งคลิกเม้าส์รัวๆ ทั้งซูมภาพและปรับแต่งข้อบกพร่องในภาพ ตอนนี้งานส่วนใหญ่ก็ใกล้จะเสร็จ
แต่เหอไป๋ก็นึกอยากที่จะทำภาพพิเศษขึ้นมาเมื่อในหัวมีแรงบันดาลใจ
ซึ่งการตัดต่อภาพพิเศษเหอไป๋ต้องใช้เวลาถึงสามวันกว่างานทั้งหมดจะเรียบร้อย
เหอไป๋รีบส่งไฟล์ทั้งหมดไปให้หลี่เหรินว่าต้องการให้แก้ไขอะไรเบื้องต้นไหม และจะแจ้งเพิ่มว่าช่วงวันหยุดเหอไป๋ขอเข้าไปที่สตูดิโอเพื่อที่จะไปรับงานใหม่เอง
หลี่เหรินตอบกลับทันทีว่าเธอพอใจเป็นอย่างมาก
ยิ่งภาพพิเศษที่เหอไป๋ทำเพิ่มเธอยิ่งชอบและยังบอกอีกว่าในงานหน้าให้มีภาพแบบนี้อีกแล้วจะเพิ่มเงินพิเศษให้ในงานถัดไป
ตอนนี้หลี่เหรินคาดหวังในตัวของเหอไป๋เพราะเด็กหนุ่มนั้นเป็นคนเข้าใจงานทำงานเร็วและไม่จุดบกพร่อง
เหอไป๋ที่ตอนนี้รับฟังอีกคนอย่างเงียบๆเมื่อเธอวางสาย
ใบหน้าของเหอไป๋ก็เต็มไปด้วยความสุข และก็มีแต่ความสงบเนื่องจากก่อนหน้าเหอไป๋ได้ ‘บล็อค’ บัญชีของตี๋ชิวเหอ
ที่สตูดิโอ Red Guest ในเช้าวันหยุด บนโซฟาชั้นสอง ก็มีตี๋ชิวเหอที่มือยกค้างที่บทสคริปต์แต่สายตาไม่มีจุดมุ่งหมายกล่องของขวัญก็เลื่อนมาไว้ตรงหน้า
“เป็นของที่ ‘แฟนบอย’
ของนายส่งมาให้” เจียงซิ่วเหวินวางแก้วกาแฟอีกมือและนั่งตรงข้ามกับตี๋ชิวเหอ
ถ้าสายตามันตะโกนออกมาได้มันคงมีเสียงว่า ‘ฉันจะเตะนาย ฉันจะเตะนายแน่ๆ’
เขารีบระงับขาสั่นไม่หยุด
“นายไปไหนมา? ก่อนหน้าฉันก็โทรหานายไม่ติดว่าจะบอกว่ามีของมาส่ง
และพอไปห้องก็ไม่เจอทั้งๆที่คิดว่าต้องอ่านบทสคริปต์ซักอีก”
เพื่อนของเขายังคงไม่สนใจทำเพียงจ้องกล่องที่วางไว้บนโต๊ะ
‘เป็นอะไรอีกล่ะ...ก่อนหน้านายดูตื่นเต้นที่ได้ของขวัญ’ เขาพยายามอย่างมาที่ระงับอาการคันขาโดยเอนตัวพิงโซฟาและถามอย่างใจเย็น
“กล่องนี้มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
ตี๋ชิวเหอก็ยังเหมือนเดิม เมื่อสังเกตุว่าอีกคนไม่ปฏิกิริยาอะไร
เขาก็เอื้อมมือไปที่กล่องของขวัญ "ในนี้มีอันตรายหรือเปล่า
แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้กล่องนี้อยู่ที่นี่มาสองวันก็ไม่เห็นว่ามีอะไร..."
"ห้ามแตะมัน!!"
ตี๋ชิวเหอรีบคว้ากล่องกลับมา
เจี่ยงซิ่วเหวินตาโตเมื่อเห็นการกระทำของตี๋ชิวเหอที่ตอนนี้นำกล่องไว้ในอ้อมแขน
เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้ใจเย็นและพูดด้วยเสียงลอดไรฟัน
"บอกฉันมาสิวันนี้นายเป็นอะไร"
แม้ว่ากล่องของขวัญจะเบามาก
แต่ในความรู้สึกตอนนี้เหมือนเขาถือก้อนหิน พูดขึ้นด้วยเสียงขมขื่น
"ฉันถูกบล็อคบัญชีออนไลน์"
"โดยใคร"
เจี่ยงซิ่วเหวินถามด้วยความตื่นเต้นเอ่ยชื่นชมคนที่ทำในใจ
ตี๋ชิวเหอเงยหน้าขึ้นและจ้องมองด้วยประกายตาเฉียบคมอย่างใบมีด
เจี่ยงซิ่วเหวินหลบสายของอีกและไอเบาๆ เพื่อปิดซ่อนความยินดีในน้ำเสียง
คิ้วขมวดแน่น “คนนั้นเป็นใคร..กล้ามาก!...เขาทำกับนายมากเกินไป”
ไม่มีการตอบรับกลับมา
ตี๋ชิวเหอบิดปาก ลุกขึ้นยืนแล้วเอี้ยวตัวหยิบกระเป๋าเป้สะพายขึ้นหลังและยกมือแตะคาง
จ้องมองไปที่นอกหน้าต่างน้ำเสียงหงุดหงิด “ไม่ต้องรู้หรอก
เพียงฉันคิดว่ามันเป็นเพียงการบล็อคชั่วคราวเท่านั้น”
มันเป็นเรื่องที่เจี่ยงซิ่วเหวินแทบจะจุดพลุฉลอง
‘ดีดีดี’ ดูจะการขบฟันและใบหน้าที่บิดเบี้ยว และน้ำเสียงที่พูดถึงคนนั้นเห็นได้ชัดว่าเพื่อนของเขาโกรธจนแทบปลุกผีลุกจากนรกได้
และต้องการที่จะเอาดาบไปฟันคนบล็อคบัญชี!!’
เสียงแจ้งเตือนทางโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
ตี๋ชิวเหอก็รีบหยิบออกจากกระเป๋ากางเกง
White and Whiter: ฉันยังไม่ได้คำตอบจากคุณเลย
คุณโอเคไหม? ผมได้ส่งรูปถ่ายไปให้ได้รับแล้วหรือยัง PS:ผมได้ตัดต่อรูปของตี๋ชิวเหอเพิ่ม ตอนนี้คุณยังอยู่ที่สตูดิโอ Red
Guest หรือเปล่า? ผมตอนนี้อยู่แถวนั้นพอดี หากว่าคุณต้องการผมสามารถเอาไปเผื่อคุณได้
^ - ^
ตี๋ชิวเหอขมวดคิ้ว
‘น่าขำ’ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่นายมีความสัมพันธ์และมีบริการส่งของถึงที่?
ขณะที่นายใจดีกับเพื่อนทางวีแชทที่ไม่เคยเจอหน้ามาก่อน แต่กับฉันนายกับบล็อคบัญชี
นายอยากจะไฟท์เหรอ? นายรู้ไหมว่าฉันรู้ยังไงที่นายบอกว่าอาจารย์ซูของนายไม่ให้คะแนนศูนย์เพราะรูปของฉัน!
มันช่วยเปลี่ยนคะแนนในนาทีสุดท้าย!!
เจี่ยงซิ่วเหวินมองดูตี๋ชิวเหอมองใบหน้าที่โกรธแค้นจ้องไปที่หน้าจอโทรศัพท์และถามด้วยเสียงที่ระมัดระวัง
“ชิว..ชิวเหอ คุณเครียดหรือเปล่า? เกิดภาวะเครียดในสมอง?”
ตี๋ชิวเหอจ้องมองโทรศัพท์เขม่น
White and Whiter: เฮ้..คุณออนไลน์อยู่หรือเปล่า
White and Whiter: ???
White and Whiter: @นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง?
White and Whiter: ชิวชิว?
หัวใจของตี๋ชิวเหอแทบกระโดดออกมาพร้อมความโกรธที่ปลิวหาย
เขาเงยหน้ามองเจี่ยงซิ่วเหวินรอยยิ้มกว้างกระจายทั่วใบหน้า “เขาเรียกฉัน” พร้อมพูดด้วยเสียงกระตือรือร้น
เจี่ยงซิ่วเหวินกลืนน้ำลายพร้อมหยิบโทรศัพท์มากดที่ปุ่มเลข
‘1’
“ใครเรียกคุณ? ตี๋
ตี๋ชิวเหอ?”
ตี๋ชิวเหอส่ายหัว “ไม่เขาเรียกฉันด้วยชื่อเล่น”
นิ้วเขาขยับไปกดที่ปุ่มเลข ‘2’
“ชิวเหอ?”
ตี๋ชิวเหอจ้องอีกคน “นั่นใช่ชื่อเล่นฉันเหรอ?”
เจี่ยงซิ่วเหวินถอนหายใจด้วยความสิ้นหวังและขยับนิ้วไปที่เลข
‘0’
อย่ารวดเร็ว
[T/N: 120 เป็นหมายเลขฉุกเฉินในประเทศจีน]
พร้อมกล่าวกลับเพื่อนสนิทของเขา “ชิวเหอ..ฉันคิดว่าคุณต้องการหมอ”
“ไม่..” ทันทีตี๋ชิวเหอรีบส่ายหัวและพูดออกมา
“ไม่ใช่เขาส่งแน่”
‘อาราซซี่น้อยของเขาไม่มีทางเรียกเพื่อนออนไลน์อย่างสนิทสนม
แต่กับเขาที่เคยเจอหน้า...’ เมื่อนึกได้ก็อดที่จะผลักอีกคนแล้วก้าวขาไปเก็บสคริปต์ใส่กระเป๋าเป้
เจี่ยงซิ่วเหวินตัวแข็งนิ้วเผลอไปกดโดนปุ่มสีแดงทำให้เกิดความว่างเปล่าบนหน้าจอ เขารีบจับที่ไหล่ของตี๋ชิวเหอและเอ่ยถามอย่างใจเย็น
“อย่าพึ่งไปฉันคิดว่าคุณอยู่ภายใต้แรงกดดันมากเกินในช่วงนี้ ดังนั้นนายต้องพักผ่อน...”
White and Whiter: ดูเหมือนว่าคุณไม่ออนไลน์แล้ว
วันนี้ฉันคงไม่สะดวก มีธุระด่วนขึ้นมาฉันคงรอเจอคุณไม่ได้ เจอกันครั้งหน้า ^
- ^
หลังจากได้ยินเสียงแจ้งเตือนตี๋ชิวเหอคว้าโทรศัพท์และอ่านข้อความอย่างรวดเร็ว
และเขาก็หัวตัวไปทางหน้าต่าง
เหอไป๋ยืนอยู่ที่หน้าประตูสตูดิโอ
Saint Elephant ที่อยู่ตรงข้ามฝั่งถนน เขาจ้องมองชายร่างเตี้ยที่สวมแว่นยื่นหัวออกมาหน้าต่างรถ
และนึกคิดชื่อของอีกคนและพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “พี่ชายหม่า
คุณหลี่สั่งให้ผมออกไปข้างนอกกลับคุณเหรอ?”
“ใช่..” หม่าชิวเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เขาลงจากรถตู้และเปิดประตูหลังทันที และรีบเช็คเหงื่อที่ไหลเต็มหน้าผากที่เพราะก่อนหน้านี้เขาขนอุปกรณ์ถ่ายภาพ
“สถานีมาแจ้งในนาทีสุดท้ายเพื่อจ้างเราไปถ่ายศิลปินหน้าใหม่ของสถานี
วันนี้คนในร้านไม่พอแต่ต้องไปทำอีกงานหนึ่งข้างนอก ดังนั้นคุณหลี่จึงอยากให้นายเข้าร่วมด้วย
เธอยังบอกว่านายฝีมือดี เธอยังบอกอีกว่าจะจ่ายค่าล่วงเวลาให้ ส่วนเรื่องอาหารและการเดินทางไม่ต้องกังวลทางร้านออกให้หมด
รู้ไหมว่าสถานีที่ต้องไปถ่ายรูปเป็นสวนหลี่ฮูที่อยู่ใกล้ๆ วิวที่นั่นสวยมาก”
“นายยังเด็กอยู่ประสบการณ์ภาคสนามอาจจะน้อย
ลองดูเผื่อว่านายจะประสบการณ์แปลกใหม่ขึ้นมา” สมาชิกอีกคนของทีมก็โผล่หัวออกจากรถตู้
หลังจากทักทายเหอไป๋และพูดต่อ “นอกจากนี้วันนี้ลุงของหม่าชิวเฉินเป็นช่างหลักในการถ่ายภาพวันนี้
เขาเป็นถึงช่างมือหนึ่งของทางร้าน เห็นว่านายชอบสะพายกล้องอาจจะได้เทคนิคหนึ่งหรือสองอย่างจากลุงหม่าก็ได้นะ”
เมื่อพูดจบเหอไป๋ก็พยักหน้า เขาโชคดีที่ได้หลี่เหรินดูแลมาโดยตลอด
“ผมจะใช้โอกาสนี้ให้เต็มที่ ขอบคุณมากครับที่ให้โอกาสผม”
“ทุกคนในร้านก็อยู่กันแบบครอบครัว นายไม่ต้องเกรงใจ”
หม่าชิวเฉินรีบเดินไปนั่งข้างคนขับและคาดนิรภัยและบอกให้ออกรถ
“ตราบใดที่นายมีฝีมือก็มีโอกาสเดินต่อได้ไกลในอนาคต”
เหอไป๋ยิ้มด้วยความสุภาพและจับสายกล้องที่คล้องคอของเขาแน่น
คนตรงหน้าวางตัวอย่างเป็นมิตรแต่สายตาเป็นอีกแบบ... ดูเหมือนจะมีเรื่องน่าสนใจมากขึ้น
ตี๋ชิวเหอมองตามรถตู้ที่ขับไปตามถนนจนลับตา พยายามระงับตัวเองไม่ให้พุ่งตัวออกไป
และได้ยินเสียงพูดอย่างหวาดแรงจากเจี่ยงซิ่วเหวินจากด้านหลัง
“ชิวเหอนายเป็นอะไรมากไหม ไปโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆนี้ดีกว่ามั้ย”
อีกคนหันกับมาสบตาทันทีและโยนกระเป๋าเป้ลงบนโซฟาและหยิบสคริปต์ขึ้นมานั่งอ่าน
หลังยืดตรงด้วยท่วงท่าสง่างามและบรรยากาศที่ผ่อนคลาย แตกต่างจากอารมณ์สับสนของเจี่ยงซิ่วเหวิน
“อ่า...” เขาเข้าใจแล้ว..มันเป็นอาการของจิตเภท
** รีไรท์ครั้งที่ 1 # 25/03/2020
[พูดคุยท้ายบท]
ทำไมยิ่งแปลยิ่งสงสารพี่เจียง โผ่ลมาทีไรโดนแต่คนกลั่นแกล้ง
เมื่อวานกลับมาถึงบ้านสลบเลยคะ
ขอโทษที่ลงช้า ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่ติดตาม
ช่วงนี้สถานการณ์ไม่ค่อยดี
ดูแลตัวเองกันด้วยนะคะ
บทที่ 17 โอกาส
สวนหลี่ฮูเป็นสวนสาธารณะที่ถูกสร้างรอบๆหลี่ฮู
สำหรับสถานีโทรทัศน์ B เลือกที่นี้เพื่อถ่ายภาพศิลปินหน้าใหม่ของค่าย
ด้วยเหตุผลสองประการหนึ่งคือมันตั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สงบและตัวสวนถูกจัดแต่งสวยงามและอีกเหตุผล...ค่าเช่าสถานที่มันถูกมาก
“สถานีโทรทัศน์จองสถานที่ทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบเป็นเวลาถึงสองวัน
เราจะไปถ่ายกันที่นั่น” หลินรุ่ยเพื่อนร่วมทีมถ่ายภาพอีกคนพูดขึ้น
เมื่อเห็นว่าเหอไป๋ตรงไปยกกล่องที่หนักที่สุดและเดินไปตบไหล่ “เดียวฉันช่วย อย่าฝืนตัวเองมากเกินไปกล่องนี้มันหนัก ถ้ารอบเดียวไม่หมด ฉันจะกลับมาช่วยขนอีกครั้ง
ดูจากวัยของนายตอนนี้น่าจะหาอะไรมากินบำรุงกระดูกนะ คิดว่านายคงเพิ่มความสูงได้อีกเยอะ”
มือที่ตบลงบนไหล่และน้ำเสียงเป็นมิตร เหอไป๋มองคนมือบนไหล่ของตัวเอง
และจ้องมองชายตรงหน้าเขามีรูปร่างผอมบางและผมยุ่งฟูเหมือนรังนก และกลับมาจ้องของที่อยู่ตรงหน้า
เหอไป๋เขาใจโดยทันที “ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ผมจัดการได้
ตอนนี้ผมอายุ 21 คงต้องหยุดหวังให้ตัวสูงขึ้น...ดูใบหน้าที่มีความสุขของพี่ตอนนี้แปลว่าพี่ต้องมีข่าวดีใช่ไหม?”
หลินรุ่ยใบหน้าอ่อนโยนเมื่อคืดถึงความสุขของเรื่องที่เด็กหนุ่มตรงหน้าพูดถึง
“ไม่ทีอะไรมากหรอก ก็แค่ภรรยาของฉันคลอดลูกสาว หลังจากที่เราทั้งคู่รอมาหลายปี”
“ลูกสาว..ดีครับเธอจะต้องรักพี่แน่ๆ ยินดีกับพี่และภรรยาด้วยครับ”
เหอไป๋จ้องมองใบหน้าที่เคลิบเคลิ้มเมื่อนึกถึงลูกสาวตัวน้อยของหลินรุ่ย
แทบทำให้เขาอยากจะยกกล้องมาเก็บใบหน้านี้ไว้ แต่น่าเสียดายที่มือเขาไม่ว่างพอที่จะหยิบกล้องขึ้นมา
อ่า..น่าเสียดายจัง
หลินรุ่ยและเหอไป๋เดินพูดคุยกันอย่างสนิทสนมตลอดทางเพื่อไปยังสถานที่ที่จัดเตรียมรอไว้
ทำให้เขาทั้งสองที่เดินคุยอย่างเพลินเพลิดการก้าวขาก็เร็วขึ้นทำให้ทิ้งห่างคนที่อยู่ข้างหลังอย่างไม่รู้ตัว
คนที่ขับรถก็เดินมาชนไหล่หม่าชิวเฉินจากด้านหลัง
และจ้องมองไปที่หลินรุ่ยและเหอไป๋ "เหอไป๋ต้องเป็นเด็กดีแน่ๆที่สามารถทนฟังพ่อที่กำลังหลงลูกสาวเข้าเส้นเลือดของหลินรุ่ยได้
รู้ไหมว่าฉันฟังจนจะเอียน"
หม่าชิวเฉินเดินเซเล็กน้อยหลังจากการแหย่ของอีกคนเสร็จพร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม
“ใช่เขาเป็นเด็กดี แต่เขาก็เป็นเพียงนักศึกษาปีสอง
ไม่รู้ว่าจะทำงานที่ Saint Elephant ได้นานแค่ไหน”
“เกี่ยวอะไรด้วยกับการอยู่ได้ไม่นาน?
ฉันคิดว่าก็เป็นการดีนะตอนนี้เขาเรียนปีสองอีกปีก็เรียนจบ ฉันคิดว่าคุณหลี่จะต้องให้เขาทำงานต่อแน่
ไม่งั้นคุณหลี่จะให้เราชวนเหอไป๋ออกมาทำงานในวันนี้ทำไม เหมือนว่าทางพวกผู้ใหญ่ก็ชอบฝีมือและต้องการให้ฝึกเพื่อเป็นช่างภาพประจำร้าน”
คนขับรถก้มหัวไปอีกคนพร้อมพูดเสียงเบา
“มันเป็นการดีที่จะมาเป็นช่างภาพทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เหอไป๋มีทักษะที่ดีและมีแรงผลักดันที่จะเรียนรู้
ฉันว่าเขาต้องไปได้ไกลกว่านี้ คลื่นลูกใหม่มักจะมาแรงกว่าคลื่นรุ่นเก่า”
หม่าชิวเฉินรู้ถึงความหมายที่อีกคนต้องการสื่อ
เขาขมวดคิ้วแน่นพร้อมสายตาโมโห ‘คลื่นลูกใหม่มักจะมาแรงกว่าคลื่นลูกเก่า’
ในปัจจุบันลุงของเขาเป็นช่างมือหนึ่งของสตูดิโอ Saint
Elephant ความหมายที่อีกคนสื่อคือลุงของเขาเป็นคลื่นเก่าที่จะถูกแทนที่ด้วยคลื่นลูกใหม่?
แต่ก่อนหน้าลุงสัญญาว่าจะปั้นเขาขึ้นมาแต่ถูกเด็กของหลี่เหรินมาปล้นของที่เป็นของเขา
มีคนมาที่ริมทะเลสาบรอไว้อยู่แล้ว เมื่อเห็นพวกเขาก็รีบเดินตรงมารับอุปกรณ์และให้ไปช่วยงานที่อื่นต่อ
หลังจากผ่านความวุ่นวายไปครึ่งชั่วโมงการจัดฉากก็เสร็จสมบูรณ์ รถจากสถานีโทรทัศน์ก็มาจอดพร้อมกลุ่มหนุ่มสาวลงจากรถ
“ฝ่ายคอสตูมและช่างแต่งหน้าเตรียมพร้อม
ช่างหม่าอยู่ที่ไหน ใครก็ได้ไปตามเขาที่รถมาหน่อย” เจ้าหน้าจัดคิวตะโกนเสียงดัง
หม่าชิวเฉินรีบขานรับว่าและบอกว่าจะไปตามมาให้
เมื่อเสร็จงานตรงนี้เหอไป๋ก็ไม่มีอะไรจะช่วย
เขาถอยหลังไปอยู่วงนอกเฝ้ามองทุกคนที่กำลังเคลื่อนรอบตัวเหล่าศิลปิน เขาจึงเดินไปบอกคนขับรถที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
ว่าเขาขอตัวไปเดินเล่นแถวทะเลสาบที่ไม่ไกลจากตรงนี้
แสงแดดกำลังดีและคลื่นน้ำที่กระเพื่อมเป็นระลอกแผ่วเบา
ชั่วขณะนกพิราบขาวก็บินเข้าสู่เลนส์กล้อง และโฉบบินต่อไปที่ใจกลางทะเลสาบและร่อนอย่างนุ่มนวล
และใช้ปากก้มจิกเพื่อแต่งขนและก็โฉบบินต่อเข้าสู่หมู่ต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกล
เหอไป๋ที่จ้องมองกดซัตเตอร์พร้อมรอยยิ้มที่แต้มมุมปาก
จ้องมองภาพที่เพิ่งถ่ายอย่างพอใจ และเดินกลับเข้าสู่สถานที่จัดงานอีกครั้ง
ภาพตรงหน้ามีเด็กวัยรุ่นโครงหน้าสวยนั่งอยู่บนชิงช้าในมือถือหนังสือ
พร้อมหลับตาเงยหน้ารับแสงแดดให้ดูเหมือนกำลังลูบไล้ใบหน้าของเธอ
“ดี.. ดีมากยึดอารมณ์นี้ไว้ ผ่อนคลายหน่อย
ดียิ้มหวานอีกเล็กน้อย”
ชายอ้วนที่สวมเสื้อผ้าที่ทำมาจากผ้าลินินกำลังถือกล้องและเดินวนรอบตัวเด็กสาว
และมีทีมงานถือฉากไฟเดินตามเพื่อปรับแสง
เหอไป๋มองสิ่งต่อหน้าด้วยความแปลกใหม่ ดวงตาเขาจดจ่อกับชายอ้วนที่กำลังถือกล้อง
ทันใดก็เกิดเรื่องสะดุด สายลมพัดมาทำให้กระโปรงของสาวเปิดขึ้นเล็กน้อย เธอรีบเอามือจับที่กระโปรงของเธอพร้อมก้มหัวอย่างเขินอาย
“หยุดก่อนลมกำลังพัดมา เข้ามาเติมหน้าหน่อย”
ช่างภาพวางกล้องลงและให้ช่างเขามาจัดผมและเสื้อผ้า พร้วมขมวดคิ้ว “แสงกำลังจะหมดในอีกไม่กี่ชั่วโมง เร่งมือ”
“เขาคือหม่าเซียนตงเป็นช่างภาพมือหนึ่งของร้านและเป็นลุงของหม่าชิวเฉิน
เขาได้รับเชิญให้ไปถ่ายปกนิตยสารแฟชั่นชั้นนำของประเทศถึงสี่เล่ม” หลินรุ่ยพูดอธิบายเสียงเบาเมื่อเหอไป๋ที่มายืนอยู่ด้านข้าง จากนั้นก็จ้องมองหม่าชิวเฉินที่ยื่นขวดน้ำให้กับลุงของเขา
และพูดต่อด้วยเสียงที่เบาลงกว่าเดิม
“หม่าเซียนตงเขาไม่มีลูกจึงรักหลานชายของเขามาก
และตั้งใจจะสอนเทคนิคต่างๆให้หม่าชิวเฉิน แต่คุณหลี่ดูเหมือนจะถูกใจนายมากกว่า แม้ว่าทั้งสองจะเป็นเพื่อนเก่าที่สนิทมากก่อน
แต่นายก็ควรจะระวังตัวไว้ก็ดีนะ”
เหอไป๋พยายามสรุปประเด็นถึงเรื่องที่อีกคนกล่าว
เขาก็เข้าใจถึงการกระทำของมู่ชิวเฉินก่อนหน้า แต่ในตอนนี้เขาเขาไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะออกความเห็นได้มากนัก
จึงทำได้เพียงแค่พยักหน้าให้รับรู้ว่าเขาเข้าใจในความเป็นห่วงที่อีกคนสื่อออกมา
ทั้งคู่ที่เข้าใจที่สื่อก็หยุดพูดคุย เขายืนอยู่ที่เดิมและมองพวกทีมงานมือระวิง
และขยับตัวเมื่อเห็นว่าต้องไปขยับฉากบ้างบางครั้ง เหอไป๋มีมีไอเดียก็จ้องกล้องขึ้นมาถ่ายคนที่ทำานเบื้องหลังบ้างบางครั้ง
เขาทำเงียบๆพยายามไม่ให้ใครสังเกตุเห็น
ในเวลาอาหารกลางวันก็มีรถมาส่งข้าวตรงเวลา ฝูงชนมารวมตัวกันเพื่อทานอาหาร
เหอไป๋ไม่รีบเดินเข้าไปรับอาหาร เขายังคุยกับหลินรุ่ยเกี่ยวกับลูกสาวตัวน้อยและพวกเทคนิคการรีทัส
หม่าชิวเฉินที่พาเขามาที่นี้ก็ติดตามการทำงานของลุงเขาโดยลืมเหอไป๋ทันที หลังกินข้าวเสร็จทุกคนก็เริ่มกับมาทำงานซึ่งการทำงานที่ยิงยาวถึงสี่ชั่วโมง
“หยุดมือ วันนี้พอเท่านี้เตรียมเก็บของมาเริ่มถ่ายพรุ่งนี้กัน“
หม่าเซียนตงรีบเช็ตเหงื่อที่หน้าผาก
และรับขวดน้ำมาจากหม่าเฉินชิวมายกดื่ม
“วันนี้นายทำงานได้ดี” หม่าเซียนตงชมเชยหลานชายหลังดื่มน้ำเสร็จ “ลุงมีโอกาสดูรูปที่นายส่งมาให้เมื่อวาน
ที่ถ่ายมานั้นก็ดูดี เดียวพรุ่งนี้จะให้นายลองถ่ายดู”
หม่าชิวเฉินตาเป็นประกายรีบพยักหน้าและรับปากว่าจะทำงานให้เป็นอย่างดี
หลินรุ่ยที่อยู่รอบนอกขมวดคิ้ว
“มันไม่ถูกต้อง คุณหลี่บอกให้นายติดตามการถ่ายเนื่องจากจะให้คุณพัฒนาฝีมือ
คุณหลี่ไม่ได้แจ้งลุงหม่าไว้ล่วงหน้าเหรอ?”
“น่าจะยังงั้น” เหอไปยักไหล่พูดอย่างไม่สนใจและจับมือเพื่อหยุดการก้าวเดินของหลินรุ่ยที่จะตรงไปหาหม่าเซียนตง
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่
บางทีเขาอาจจะลืมมันก็เป็นเรื่องดีที่เราจะได้พักผ่อน การถ่ายภาพมันกดดันเป็นอย่างมาก
มันไม่สบายใจเท่ากับที่ผมคุยกับพี่เรื่องลูกสาวตัวน้อยหรอก”
หลินรุ่ยโยกหัวของเหอไป๋
“เฮ้...นายจะมาซ่อนตัวแบบนี้ได้ยังไง
โอกาสอยู่ตรงหน้านายสมควรคว้าไว้ อย่าปล่อยให้พวกชุบมือเบิบใช้ประโยชน์จากตรงนี้สิ”
นี่เป็นเรื่องจริง เหอไป๋ยิ้มจนโชว์ลักยิ้มที่แก้มซ้ายและพูดอย่างถ่อมตัว
“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วง แม้ว่าตอนนี้ผมจะทำงานให้ Saint
Elephant แต่ผมก็ยังเรียนอยู่ ตอนนี้ผมต้องการเพียงเงินให้สามารถจ่ายค่าเทอมและค่าครองชีพเท่านั้น”
นอกจากนั้นลุงก็พยายามผลักดันหลานชายตัวเองอย่างออกนอกหน้า ทำให้เขาเข้าใจถึงความนัยและไม่อยากกระโจนเข้าสู่สังเวียนนี้
และเหอไป๋ตั้งใจว่าจะไม่ทำงานที่
Saint Elephant หลังเรียนจบ เขาวางแผนจะออกเดินทางท่องเที่ยวหลังมีเงินมากพอและไม่สนใจที่เขาจะพลาดโอกาสที่หลี่เหรินยื่นให้
หลินรุ่ยมองเหอไป๋อย่างจริงจังพร้อมส่ายหัว “นายพูดถูก สำหรับตอนนี้นายต้องตั้งใจเรียนหนังสือ
สำหรับเรื่องที่หม่าชิวเฉินในวันนี้ก็ให้คุณหลี่กลับมาจัดการทีหลัง?”
พูดจบก็มีรถตู้ของสถานีโทรทัศน์วิ่งมาจอดเมื่อทุกคนกำลังเก็บข้าวเตรียมจะถ่ายกันอีกรอบ
ก็เห็นหญิงสาวสองคนลงมาจากรถอย่างเร่งรีบตามชายหนุ่มที่เหมือนเป็นผู้จัดการตามลงมาด้วย
“ขอโทษด้วยนะครับที่เรามารบกวน ช่วยถ่ายรูปพวกเธอด้วยครับ”
ผู้จัดการที่รับผิดชอบศิลปินทั้งสองก็รีบตั้งมาหาหม่าเซียนตง หน้าผากไปด้วยเหงื่อและอธิบายต่ออย่างรีบร้อน
“คุณหม่า สองสาวนี้มีงานด่วนเข้ามาเธอต้องออกไปนอกเมืองในวันพรุ่งนี้
และต้องขอโทษทำให้คุณเสียเวลา เดียวผมจะเลี้ยงมื้อค่ำเพื่อชดเชย”
ร่องรอยความไม่พอใจแสดงบนหน้าของหม่าเซียนตง
จากนั้นก็จ้องมองหลานชายตัวเองเมื่อคิดออกก็พูดอย่างมีชั้นเชิง “ก็ได้ ฉันจะถ่ายรูปต่อให้ได้แต่แสงตอนนี้กำลังจะหมด
ถ้าถ่ายทีละคนเราจะถ่ายไม่ทัน ซึ่งทำให้เราต้องถ่ายทั้งคู่พร้อมกัน” ผู้จัดการก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ไม่มีปัญหา
เราจะทำตามที่คุณบอก”
“ไม่ต้องเครียดน่า ฉันมีทางออก” หม่าเซียนตงยื่นขวดน้ำมาที่เหอไป๋และพูดต่อ “เพราะมันเป็นเรื่องนอกแผนและฉันก็เป็นช่างมืออาชีพเพียงคนเดียวในทีม
แต่ก็มีคนที่มาใหม่ที่พอจะถ่ายรูปได้ และได้รับรองว่าพอจะมีฝีมือแต่ยังอ่อนประสบการณ์เท่านั้น
เอาอย่างนี้สำหรับเด็กสาวสองคนนี้ตามฉันมาเดียวฉันจะให้อีกคนเป็นคนถ่ายให้”
ทีมงานของ Saint Elephant นิ่งเงียบเมื่อทุกคนรู้ว่าลุงหม่าเป็นเพียงคนเดียวที่พอจะมีฝีมือถ่ายภาพมืออาชีพได้คนเดียวในที่นี้
และการให้หม่าชิวเฉินเป็นคนถ่ายคนที่มาใหม่ ฝีมือของการถ่ายภาพของหม่าชิวเฉิน...จะเข้าขั้นเหรอตอนนี้
ทีมงานจากสถานีโทรทัศน์ก็เงียบตาม เนื่องจากหนึ่งในเด็กผู้หญิงมีความสัมพันธ์กับหานเกอผู้ใหญ่ในสถานี
ถึงแม้จะไม่รู้ชัดว่าเป็นใคร นี้จึงเป็นการยากที่จะตัดสินใจ
เหอไป๋จ้องมองสถานการณ์อย่างเงียบๆเพราะหนึ่งในนั้นคือสาวที่สวมเขาให้กับหนิงจวินเจี๋ย...หลิวฮวนฮวน
บทที่ 18 เกิดอะไรขึ้น
ผู้จัดการมองไปที่หม่าเซียนตงและสลับมามองสองสาวอย่างอึดอัดใจ
“นายควรต้องรีบตัดสินใจ เวลาไม่รอใคร” หม่าเซียนตงเร่งให้ผู้จัดการรีบตัดสินใจอย่างหงุดหงิด
‘แค่เด็กสาวสองคนทำไมต้องจริงจัง? ทำเหมือนไม่ไว้ใจในการตัดสินใจของตัวเอง’
ผู้จัดการที่รับผิดชอบเครียดหนักหลังจากได้ยินอีกคนเร่งและหันไปถามสาวทั้งสาว
“ใครอยากให้ช่างหม่าเป็นคนถ่ายแล้วอีกคนก็ให้ช่างคนใหม่ถ่าย”
ด้วยคำพูดนี้เป็นการปัดให้สองสาวตัดสินใจ สายตาทุกคนจับจ้องไปที่หญิงสาวทั้งสอง
สาวผมม้ากำลังขยับตัวจะพูด ก็มีหญิงสาวผมหยักศกยาวพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“ฉันจะให้ช่างหม่าเป็นคนถ่าย เสี่ยวฟูสวยอยู่แล้วจะให้ใครถ่ายก็มีค่าเท่ากัน”
พร้อมยิ้มด้วยใบหน้าน่าสงสาร ผู้จัดการจ้องไปที่สายคล้องคอของเธอมันเป็นบัตรที่จัดพิเศษให้กับเธอโดยหานเกอ
สำหรับกลุ่มศิลปินหน้าใหม่ที่มาเดบิวต์มีเพียงเธอเท่านั้นที่มี หญิงสาวหันมามองคู่หู่ของเธอด้วยสีหน้าเยาะเย้ยเพียงแว่บเดียวก็กับมาสวมบทเป็นสาวน้อยน่าสงสาร
ผู้จัดการสีหน้าจริงจังและดูไม่ถูกใจที่สาวตรงหน้าพูดและจ้องมองไปทางสาวผมม้า
“ถ้าเธอทั้งสองไม่สามารถตกลงกันได้ ฉันจะให้พวกเธอจับฉลาก”
หญิงสาวที่ผมม้าก็พูดขึ้นผ่านความน่าอึดอัดใจตรงหน้า
“ไม่เป็นไร เดียวฉันจะไปถ่ายกับช่างคนใหม่เอง
หลิวฮวนฮวนเป็นตัวหลักของทีม รูปของเธอจะไปอยู่ในปฏิทินที่ระลึกของสถานีโทรทัศน์มันดูสำคัญกว่า
นอกจากนี้ฉันก็มั่นใจในฝีมือของช่าง Saint Elephant ทุกคน แค่นี้ก็รบกวนเวลาของพวกเขามากแล้ว”
เธอเอ่ยขึ้นอย่างรู้จังหวะและยังพูดชมทีมงาน Saint Elephant ที่ทำงานล่วงเวลา
หลังจากเหอไป๋ได้ยินก็มีรอยยิ้มมุมปากอย่างเจอเรื่องถูกใจอย่างชื่นชม
‘เด็กน้อยตรงหน้าเป็นคนที่มี EQ สูง เมื่อเปรียบกับหลิวฮวนฮวนการวางตัวเปาะบางแทบจะห่างชั้น’
เห็นได้ชัดว่าคนรอบข้างก็คิดแบบเดียวกับเหอไป๋
ทำให้ทุกคนจ้องมองหลิวฮวนฮวนด้วยสีหน้าแปลกๆ
“ถ้างั้นหลิวฮวนฮวนตามช่างหม่าไปถ่ายภาพ และเสี่ยวฟูจะไปถ่ายกำลังช่างภาพคนใหม่”
ผู้จัดการรีบรวบรัดและจ้องมองสาวผมม้าด้วยสีหน้าตัดสินใจ และทำเป็นไม่สนใจหลิวฮวนฮวน
พร้อมหันไปพูดกับหม่าเซียนตง “ช่างหม่าครับ ช่างคนใหม่ที่คุณบอกอยู่ที่ไหนเดียวผมต้องอธิบายคอนเซ็ปของเสี่ยวฟูให้ช่างคนนั้นรู้ก่อนที่จะลงมือถ่ายภาพ”
หม่าเซียนตงรอจังหวะนี้เพื่ออวดความสามารถของหลานชายตัวเอง
เขาพยักหน้าและโบกมือเรียกหลานรักของเขาออกมา
ทีมงานจากสตูดโอคิดว่าหม่าชิวเฉินเป็นคนที่โชคดีมาก
แต่กลับกันกับหม่าชิวเฉินที่ตอนนี้เขาแทบอยากจะหายตัวไปในอากาศ การที่ลองถ่ายภาพไม่เหมือนกับการเป็นช่างหลักของทีมในการถ่าย
ถ้าเขาติดตามเพื่อถ่ายคู่กับหม่าเซียนตง รูปที่ถ่ายจะอยู่ในชื่อของหม่าเซียนตงซึ่งถ้าเขาฝีมือไม่เข้าขั้นก็เพียงไม่ถูกเลือกเพราะก่อนที่จะส่งงานให้สถานีทางสตูดิโอจะเลือกภาพที่ดีที่สุดเพียงเช็ตล่ะสองสามรูปก่อนที่จะส่งให้กับสถานี
มันเป็นเพียงแค่การทดลองงาน ซึ่งต่างจากการเป็นช่างภาพหลัก ถ่ายดีไม่ดีก็ไม่สามารถถ่ายแก้ใหม่ได้
ซึ่งเรื่องใหญ่กว่านี้คือภาพพวกนี้จะถูกตีพิมพ์ในอัลบั้มแจกลายเซ็นต์ของสถานีโทรทัศน์
และเรื่องที่ใหญ่กว่านั้นสองรูปที่เขาไปส่งให้ลุงของเขาดูทั้งสองภาพ
เขาก็เอางานมาจากช่างคนอื่น ความจริงแล้วเทคนิคถ่ายภาพของเขา....
“ลูกศิษย์ฉันเอง” หม่าเซียนตงพูดด้วยรอยยิ้มมั่นใจ
หม่าชิวเฉินเริ่มเหงื่อแตก เขาเหลือบมองไปมาอย่างหาทางออก
และพูดเสียงดังอย่างหาทางออกเจอ “ลุงเรียกหาเด็กเหอไป๋หรือเปล่าครับ
ผมไม่เห็นเขาที่นี้เดียวผมจะตามตัวให้” จากนั้นก็แสร้งมองไปรอบๆและโบกมือเรียกเหอไป๋อย่างตื่นเต้น
“มานี่เร็ว ถ้าตานายถ่ายภาพแล้วอย่าทำให้คุณหลี่ผิดหวังในตัวนาย”
ทีมงาน Saint Elephant ทั้งหมดล้วนแต่สับสนทหลินรุ่ยเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “เกิดอะไรขึ้น?”
เหอไป๋ก็สับสนเขาจับกระเป๋ากล้องแน่น และลังเลที่จะไปตามที่อีกคนเรียก
“ผมก็ไม่รู้...หม่าชิวเฉินเข้าอาจจะเข้าใจผิดก็ได้?” หม่าชิวเฉินอาจจะต้องการให้โอกาสเขาก็ได้
หลินรุ่ยก็ส่ายหัวอย่างสับสน
“เร็วเข้า เราต้องเร่งมือทำงานกับเวลา”
หม่าชิวเฉินก็รีบวิ่งมาดึงมือเหอไป๋ทันทีและดันตัวของเหอไป๋ไปอยู่ต่อหน้าผู้จัดการวงศิลปิน
“เขาเป็นคนที่มีพรสรรค์มาก และกำลังเรียนที่มหาลัย Q และเป็นเด็กที่ทางผู้ใหญ่กำลังฝึกสอน คุณสามารถบอกคอนเซ็บให้กับเขาได้เลย”
ในขณะที่ทุกคนยังสับสน เหอไป๋รีบดึงสติเพื่อเตรียมรับมือและโค้งตัวอย่างสุภาพไปทางคนทั้งสองตรงหน้า
“สวัสดีครับ ผมชื่อเหอไป๋ฝากตัวด้วยครับ วันนี้ผมตั้งใจจะทำงานอย่างดีที่สุดเพื่อสถานีโทรทัศน์ของคุณ”
ผู้จัดการวงศิลปินรู้สึกไม่พอใจเมื่อเห็บใบหน้าที่อ่อนเยาวก็เหมือนจะไม่ไว้วางใจ
แต่ได้ยินว่าอีกคนเรียนมหาลัย Q ซึ่งเป็นมหาลัยชั้นนำของประเทศและสมทบกับที่บอกว่าเป็นเด็กที่ทีพรสวรรค์ที่ผู้ใหญ่ของสตูดิโอกำลังปั้น
เขาก็รีบเปลี่ยนสีหน้าและจับมือเหอไป๋อย่างยินดี
“ยินดีเช่นกัน สำหรับการร่วมมือครั้งนี้ ผมของอธิบายคอนเซ็บของงานและสิ่งที่คุณจะต้องดึงจุดเด่นของเสี่ยวฟู
มาทางนี้ดีกว่าเดียวผมจะอธิบายพร้อมกับเสี่ยวฟูเลย”
ทั้งหมดไปหามุมสงบเพื่ออธิบายถึงคอนเซ็บงานที่เหอไป๋จะต้องถ่ายในวันนี้
ทันทีที่ทั้งสามแยกตัวออกไปหลิวฮวนฮวนที่กำลังตกใจกำลังการพบเจอเหอไป๋
และหม่าชิวเฉินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้และหันไปมองลุงของเขา ซึ่งตอนนี้มีสีหน้าโกรธผสมกับไม่เข้าใจเรื่องราว
และคนรอบข้างที่ยังถามเหตุการณ์ไม่ทัน
“ทีมคอสตูมและช่างแต่งหน้ามารับตัวหลิวฮวนฮวนไปเตรียมตัว”
หม่าเซียนตงเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ก็ดึงใบหน้าเรียบเฉยและก็สั่งการด้วยเสียงจริงจัง
ฝูงชนได้กลับสู่ความจริงและกระจายตัวไปทำหน้าที่ของตัวเองด้วยความวุ่นวาย
แต่สายตาที่สื่อออกมาแตกต่างกันอย่างชัดเจน
หม่าเซียนตงรีบเรียกหลานชายตัวเองเขามาคนกันสองคนจากความผิดที่อีกคนไม่รับความหวังดีของตัวเอง
“เกิดอะไรขึ้นกับหลาน ไม่รู้หรอกว่าโอกาสนี้ไม่ได้จะมาง่ายๆ
แม้ว่าผู้หญิงทิ้งสองจะเป็นเพียงคิลปินหน้าใหม่แต่นี้เป็นการถ่ายรูปเพื่อลงหนังสือที่ระสึกของสถานีโทรทัศน์
ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของหลาน เธอ...” หม่าเซียนตงโกรธจนระงับอาการตัวเองไม่ได้
“ลุงครับ ผมขอโทษ”หม่าชิวเฉินพูดขอโทษทันทีพร้อมใบหน้าที่แสดงถึงความเสียใจ
“คุณหลี่เขาชื่นชมเหอไป๋...เธอได้มอบหน้าที่ก่อนที่จะมาที่นี้ให้เขาเป็นผู้ช่วยช่างภาพ
และกำชับผมก่อนที่คุณหลี่จะไปติดต่องานถ้าผมไม่ทำตาม แต่ผมก็รู้สึกเสียใจที่ทำแบบนี้ไม่ได้ปรึกษาคุณลุง
ผมขอโทษที่ทำตามคุณหลี่บอกโดยพลการ..”
หม่าเซียนตงรีบเปลี่ยนสีหน้า สายก็เต็มไปด้วยความโกรธที่ถูกข้ามหน้าข้ามตา
“ฉันเข้าว่าหลี่เหรินให้นายดูแลเหอไป๋ โดยคงมีจุดประสงค์ไม่ให้ฉันส่งเสริมนาย
เธอช่างเห็นแก่ตัว โดยไม่ต้องพยายามอะไรหรอกฉันก็เห็นจุดจบของเด็กหนุ่มคนนั้น และชิวเฉินในอนาคตอย่าทำตัวซื่อตรงให้มากไม่งั่นก็ถูกกลั่นแกล้งแบบนี้ไปเรื่อยๆ”
หม่าชิวเฉินรับคำอย่างเชื่อฟังและไม่สามารถห้ามความอิจฉาเหอไป๋ในใจได้
โอกาสครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีมาก
ทำไมตอนนั้นเขาถึงไม่คิดให้ดีก่อน? ‘นี่ฉันเป็นคนส่งเสริมความก้าวหน้าของอีกคนขึ้นไปเหรอ!’
ลุงหลานตระกูลหม่ากำลังหมกมุ่นกับเรื่องทำยังให้เหอไป๋ไม่มีโอกาสแสดงถึงความสามารถในวันนี้
“ผมชอบคุณมาก เพียงแค่อธิบายคอนเซ็บคราวๆ
คุณก็เข้าความต้องการของผมแล้ว ผมคาดว่าจะเห็นรูปถ่ายของคุณเร็วๆ”
เหอไป๋ยิ้มอย่างถ่อมตัว
“ขอบคุณครับ ที่ผมเข้าใจก็เพราะคุณด้วยที่อธิบายให้เห็นภาพ และคุณหยางก็มีรูปร่างและใบหน้าที่สวยอยู่แล้ว
ผมคงไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย “
หยางฟูได้ยินก็ยิ้มอย่างถูกใจในตัวของเหอไป๋
“นายนี่เข้าใจพูดนะ”
ทั้งสามคนพูดคุยกันอย่างสนิทสนมอย่างรวดเร็ว
จากนั้นหยางฟูก็ไปแต่งหน้า เหอไป๋ไปคุยกับพี่ทีมช่างแต่งหน้าเพื่ออธิบายถึงตัวคอนเซ็บและสื่อถึงความต้องการของเขา
จากนั้นก็รีบออกเพื่อให้ทุกคนทำงานได้สะดวก และเตรียมพร้อมกล้องถ่ายรูปและกำลังคิดว่าจะถ่ายรูปยังไงให้สวย
ไม่เป็นการทำให้สตูดิโอ Saint Elephant เสียชื่อเสียง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถ่ายรูปบุคคลที่เกี่ยวกับทำงาน
เหอไป๋จึงประหม่าด้วยกลัวว่าตัวเขาเองจะถ่ายออกมาได้ไม่ดี แต่มันก็เป็นโอกาสอันดีที่ตกลงต่อหน้าเข้าก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะส่งมอบความพึงพอใจให้กับลูกค้า
“เหอไป๋”
มีเสียงผู้หญิงเรียกจะทางด้านเหอไป๋วางมือจากการปรับกล้องและหันไปมอง
“คือนายจริงๆด้วย” หลิวฮวนฮวนที่พึ่งแต่งหน้าแต่งตัวเสร็จก็ก็ยิ้มให้เหอไป๋
เธอเขินอายจากที่เหอไป๋จ้องมอง “น่าแปลกใจมากที่พบนายที่นี้ ตั้งแต่ตอนไหนที่นายมาเป็นช่างภาพที่สตูดิโอ
Saint Elephant?”
เหอไป๋จ้องมองอีกคนอย่างสุภาพ “ขอโทษนะครับ คุณเป็นใคร?”
รอมยิ้มของหญิงสาวแข็งค้างและตบปากแสดงอาการตกใจ
“นายจำฉันไม่ได้หรอ ฉันเป็นเพื่อนของหนิงจวินเจี๋ยที่เรียนอยู่ภาคกระจายเสียง
เราเคยเจอกันที่งานวันเกิดของหนิงจวินเจี๋ยด้วยเมื่อปีที่แล้ว”
ก็จริงที่เคยพบกันมาก่อน แต่ในตอนนี้รู้จักกันในฐานะ
‘เพื่อนธรรมดา’ ของหนิงจวินเจี๋ย และเขาก็ถูกเธอกีดกันให้เหมือนเป็นคนนอกเนื่องจากเขาเป็นเพียงนักศึกษายากจน
และเหอไป๋ก็จำดึงภาพติดตาที่หนิงจวินเจี๋ยร้องไห้ฟูมฟายและอ้วกไปทั่วเพราะเมา
รอยยิ้มของเหอไป๋ก็ยิ่งสุภาพขึ้นและก็ส่ายหัว “ขอโทษจริงๆผมจำไม่ได้เพราะหนิงจวินเจี๋ยก็มีเพื่อนตั้งเยอะเพราะเขาเป็นคนดีทั้งจริงใจกับเพื่อนทุกคน
ทำให้ผมจำเพื่อนทั้งหมดของเขาไม่ได้ ตอนนั้นถึงเวลาที่จะถ่ายภาพแล้วคุณน่าจะรีบไปเตรียมตัวนะ”
หลิวฮวนฮวนอับอายทันทีที่คิดจะเริ่มคุยกับอีกคนแต่ถูกทำเป็นจำเธอไม่ได้
เมื่อนึกถึงหยางฟูที่ตอนนี้แต่งหน้าอยู่ด้านหลังซึ่งก็คงได้ยินที่เธอพูดกับคนตรงหน้าก็ยิ่งอับอายมากขึ้น
ดังนั้นเธอเปลี่ยนการกระทำเป็นเย็นชาและหยิ่งยโส “เพื่อนของหนิงจวินเจี๋ยก็เปลี่ยนไปหลานระดีบเป็นเรื่องที่ปกติเธอจะไม่รู้จึกฉัน
เสี่ยวฟูเป็นคนดีหวังว่านายคงไม่ทำให้เธออับอายจากการถ่ายภาพ” จากนั้นก็เดินเชิดหน้าหันหลังกลับทันทีเหมือนกับว่าภูมิใจที่เธอชนะ
เหอไป๋ที่ก่อนหน้าต่อสนองกับหญิงสาวสนุกสนานก็รีบหยิบมือถือขึ้นมา
White and Whiter: เฮ้พี่สาม...ฉันพบอดีตแฟนสาวของนายด้วย
อยากจะบอกว่าวันนั้นนายตาบอดเป็นอย่างมาก
ตี๋ชิวเหอที่กำลังนั่งอ่านสคริปต์ก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากวีแชทเขาวางมือและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
พร้อมจ้องไปที่ข้อความและรีบพิมพ์ตอบกลับทันที
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: แฟนเก่าของฉัน?
ใคร..?
เขาครองโสดมา 23
ปี จะไปมีแฟนเก่าได้ยังไง ลูกหมาน้อยจะมาใส่ร้ายเขาเหรอ
White and Whiter: หลิวฮวนฮวนไง!
ทำไมนายลืมเธอได้เร็วนัก
“หลิวฮวนฮวน? ทำไมชื่อนี้ดูคุ้นหูยังไงไม่รู้”
ตี๋ชิวเหอพูดออกเสียงขึ้นมา
เจี่ยงชิ่วเหวินที่นั่งอ่านรายการผลกำไรของร้านก็ขยับหัวจากหน้าจอโทรศัพท์
"หลิวฮวนฮวน? ใช่ศิลปินที่เคยเกาะติดนายในอดีตไม่ใช่เหรอหรือนายกับไปคุยกับเธออีก"
ตี๋ชิวเหอเมื่อนึกออกใบหน้าเขาก็มืดมนขึ้นมันที
และจ้องมองข้อความที่เหอไป๋ส่งมาด้วยสายตาดุและแข็งขึ้น
ทำไมอาราซซี่ตัวน้อยของเขาไปรู้จักหลิวฮวนฮวนได้ยังไงและยังส่งข้อความมาอีก
แต่เมื่อเอ๊ะใจเขาก็นึกขึ้นได้ว่านี้เป็นบัญชีรองของเขา?
เมื่อเขาใจว่าอีกคนคิดว่าเขาเป็นสาวน้อยที่มีน้องชาย...เขารีบกลัวทันทีเลยโทรศัพท์ออกไกลตัวและยกมือปิดหน้า
บทที่ 19 ส่งจูบคุณ
‘ปุ๊ก’ เสียงโทรศัพท์ของตี๋ชิวเหอที่กระแทกตะกร้าผลไม้บนโต๊ะ
เมื่อมองเพื่อนสนิทที่กำลังช็อค เจี่ยงซิ่วเหวินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปเก็บโทรศัพท์ขึ้นมา
“เป็นอะไร หรือมีพวกนักข่าวมาตอแหย่นายอีกเหรอ?”
ตี๋ชิวเหอเหมือนจะพังทลายด้วยคำเยาะเย้ยของเหอไป๋
เขาไหลตัวลงเหมือนไร้วิญญาณไปตามโซฟา
‘งี่เง่าอย่างมาก’
เจี่ยงซิ่วเหวินถอนหายใจกำลังจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นโทรศัพท์ในมือเขาก็สั่นขึ้น
แจ้งเตือนว่ามีข้อความใหม่เข้ามา
White and Whiter: นายเศร้าหรือไง?
พี่สาม! หลิวฮวนฮวนเป็นคนที่ไม่ดี ดีแล้วที่นายเลิกกับเธอ
นายสมควรได้เจอคนที่ดีกว่า
ข้อความที่ส่งมาทำให้เจี่ยงซิ่วเหวินประหลาดใจ
“คนที่ส่งแชทมานี้มาให้คุณใช่คนที่ให้ฉันส่งข้อความกลับในชื่อของนาย
ฉันจำได้ว่านายมาสะกิดให้ส่งอิโมจิเพิ่มเป็นพิเศษในตอนท้ายข้อความ แต่ฉันก็ไม่เข้าอยู่ดีว่าทำไมเรียกนายว่าน้องสาม?
เขาเป็น’แฟน’ของนายเหรอ?”
“เขาเรียกฉันว่าพี่สาม” ตี๋ชิวเหอรีบเงยหน้าและแย่งโทรศัพท์มาจากมือเจี่ยงซิ่วเหวิน เพื่ออ่านข้อความซ้ำไปซ้ำมาสีหน้าสลับดำแดงไปมาด้วยความโกรธ
นิ้วกดแป้นพิมพ์อย่างหนัก
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
ฉันไม่ใช่พี่สาม! ไม่มีแฟนเก่า!! ที่ส่งมาผิดแบบนี้ทำให้ฉันกลัว!!!
หลังพิมพ์เสร็จก็รู้ว่ามันแปลกๆไม่เข้ากับการพิมพ์ของสาวน้อยน่ารัก
ตี๋ชิวเหอรีบลบและพิมพ์ใหม่
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
ฉันเป็นลูกสาวที่น่ารักคนเดียวของครอบครัว ^ - ^
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
และได้รับรูปแล้ว ขอบคุณมากฉันชอบมันมาก
พิมพ์เสร็จก็เหลือบมองเจี่ยงซิวเหวินและรีบเอนตัวไปข้างเพื่อบังหน้าจอโทรศัพท์
และพิมพ์ต่ออย่างรวดเร็ว
หลังจากลังเลแล้วเขาก็เหลือบไปที่เจี่ยงซิวเหวินเอนไปทางด้านหนึ่งแล้วบังหน้าจอโทรศัพท์ด้วยมือของเขาพิมพ์อย่างรวดเร็ว
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: จุ๊บ
เจี่ยงซิ่วเหวินที่ตอนนี้แข็งค้างด้วยความตกใจในการกระทำของเพื่อนสนิท...อีกคนต้องถูกผีสิงอย่างแน่นอน
หรือว่าเพื่อนของเขาจะเป็น... โรคประสาท!
ทางเหอไป๋ตาก็เบิกโตเมื่อเห็นข้อความที่ตอบหลังจากเขาพิมพ์ส่งให้พี่สาม
เขาเหลือบมองที่ชื่อของผู้ใช้ไอดีด้านบนก็พบว่าเขาส่งข้อความผิดไปให้ผู้ซื้อที่มีชื่อคล้ายกัน
ต้องโทษที่โทรศัพท์ของเขาที่มันเก่าและไร้ประสิทธิภาพ ทำเขาให้เห็นหน้าจอไม่ชัดแถมตัวอักษรยังเล็กอีก
ดังนั้นเขาให้คืดว่าข้อความที่ส่งไปให้ผู้ซื้อเป็นหนิงจวินเจี๋ย พี่สายของเขา!
ช่างเป็นเรื่องที่อับอายอย่างแท้จริง นี้เขาหาเรื่องซุบซิบแต่ยังมาส่งผิดคน!
เหอไป๋จึงรู้สึกขอบคุณ ’เธอ’ เป็นอย่างมากที่แก้สถานการณ์ที่เข้าใจผิด
และยังหยอกล้อกับมาอย่างน่ารัก
เธอช่างเป็นหญิงสาวที่น่ารักแถมใจดี! เป็นเรื่องที่น่าอับอายที่ผู้ชายอย่างเขามาซุบซิบต่อหน้าหญิงสาว
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจ เมื่อคิดได้เหอไป๋ก็รีบพิมพ์ข้อความแสดงการขอโทษ
White and Whiter: ขอโทษด้วย
ผมส่งข้อความผิดคน
White and Whiter: ขอบคุณที่ทักผม จุ๊บคุณ
หลังส่งข้อความช่างคอสตูมก็มาเรียกเขาไปคุย เหอไป๋รีบเก็บมือถือและไปที่รถใกล้ๆเพื่อเลือกหาเสื้อผ้าให้กับหยางฟู
ระหว่างที่เลือกชุดให้กับหยางฟู อย่างใส่ใจเพื่อให้เข้ากับสไตล์ของวัยรุ่นสมัยนี้
เหอไป๋ก็คุยเล่นกับคอสตูม เธอยังบอกว่าไม่เคยเจอพวกช่างภาพที่มาเลือกเสื้อผ้าให้กับเหล่าศิลปินด้วยตัวเอง
และยังแอบหยอกว่าเหอไป๋ต้องแอบปลื้มหยางฟูอย่างแน่นอน เหอไป๋ที่ได้รับการหยอกล้อก็ทำเพียงมีรอยยิ้มที่เขินอายบนใบหน้า
รีบโบกมือพัลวัน
ช่างคอสตูมเป็นหญิงสาววัยกลางคน เธอยังบอกอีกว่าลูกๆของเธออายุไล่เลี่ยกับเหอไป๋
เธอชอบรอยยิ้มที่โชว์ลักยิ้มของเหอไป๋ก็ทำให้อดไม่ได้ที่หยอกล้อเหอไป๋อย่างไม่หยุด
และไม่นานก็เริ่มเข้าสู่วงซุบซิบของเหล่าทีมงานของ Saint Elephant ที่ยังเข้าข้างเหอไป๋
เมื่อได้ชุดต้องการเหอไป๋ก็ขอตัวจากเหล่าช่างคอสตูมและช่างแต่งหน้าเพื่อนำหยางฟูไปยังจุดที่จัดเตรียมไว้เพื่อถ่ายรูป
“ผมขอโทษนะครับ ลุงหม่าเลือกสถานที่ตรงนี้ก่อนและการถ่ายภาพก็เริ่มแล้ว
ลองไปหาจุดอื่นก่อนนะ” หม่าชิวเฉินชี้ไปอีกจุดที่มีการจัดเตรียมไว้อย่างเละเทะ
เหอไป๋ยังไม่พูดอะไรออกมา จ้องมองไปที่หลิวฮวนฮวนในชุดยาวเซ็กซี่ที่ครอบครองชิงช้าในฉากที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเหล่าดอกไม้กระจัดกระจาย
และกลับมาจ้องมองอีกทางที่เตรียมไว้ฉากหลังเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ดูรก และขอความเห็นหยางฟู
“คุณสนใจจะไปถ่ายที่ริมทะเลสาบไหม”
หยางฟูจ้องมองที่หลิวฮวนฮวนและยิ้มบางที่ริมฝีปากและพยักหน้าให้เด็กหนุ่ม
“ได้สิ มันขึ้นอยู่กับคุณ”
เหอไป๋ยิ้มตอบรับและมองไปที่หม่าชิวเฉิน ตอนนี้ความรู้สึกเขาก็เปลี่ยนไปความสุภาพต่ออีกคนน้อยลง
และพูดอย่างตรงไปตรงมา “รบกวนตามช่างไฟให้ผมคนหนึ่ง”
การถ่ายภาพบุคคลแสงไฟถือเป็นองค์ประกอบสำคับ
หม่าชิวเฉินแสร้งทำเป็นเสียใจ
“ตอนนี้พวกช่างไฟยุ่งนิดหน่อยไม่สามารถแยกออกไปได้...บางทีนายอาจจะรออีกสักพัก”
มันแทบไม่มีประโยชน์เนื่องจากพระอาทิตย์กำลังตกและเมื่อมืดแสงไฟก็ไม่ค่อยช่วยอะไร
เมื่อเห็นชัดถึงการกระทำของอีกคนที่ทำให้เขาทำงานได้ยากขึ้น
เหอไป๋ก็ไม่โวยวายทำเพียงมองทีมงานที่อยู่รอบๆที่กำลังหลบสายตา เขาเข้าใจสังคมแบบนี้มาก่อนทุกคนแสวงหาผลประโยชน์
แต่ที่เขาโกรธก็คือมันเรื่องงานของลูกค้าซึ่งยิ่งทำแบบนี้สตูดิโอก็โดนต่อว่า ทำไมเหล่าคนพวกนี้แยกไม่ออกระหว่างประโยชน์ส่วนร่วมและเรื่องส่วนตัว
ซึ่งมันไร้สามัญสำนึกอย่างมาก
“ฉันสังเกตุแผงไฟสำรองหลายอันนอนอยู่ตรงนั้นเดียวฉันไปช่วยนายเอง”
หลินรุ่ยพุ่งมาจากรอบนอกเดอนไปผลักหม่าชิวเฉินออกไปด้านข้าง และเดินตรงไปที่จุดที่วางแผงไฟหยิบออกมาโดยไม่ใส่ใจ
สีหน้าของเหอไป๋ดีขึ้นเล็กน้อย
เขาขยับตัวหลบหม่าชิวเฉิน
หันกับมาพยักหน้าขอบคุณหลินรุ่ยและส่งสัญญาณว่าจะไปตรงริมทะเลสาบ
“ขอบคุณครับพี่เราไปตรงริมทะเลสาบกันเถอะ
ตอนนี้แสงเริ่มจะหมดแล้ว”
“งั้นฉันตามไปด้วย” ช่างแต่งหน้ารีบหยิบกล่องเครื่องสำอางขึ้นมาในมือ
“ฉันพอจะเติมหน้าให้กับคุณหยางได้”
“ขอบคุณมากค่ะ” หยางฟูยิ้มหวาน
“ไม่เป็นไร...ฉันยินดี” สาวตรงหน้าเขินทันมี
ระหว่างที่รอหลิวฮวนฮวนเติมเครื่องสำอาง
หม่าเซียนตงก็ตรวจสอบกล้อง “มีแค่สี่คนและได้ใช้กล้องของทางร้านด้วยไหม”
“ไม่เหอไป๋ใช้กล้องของตัวเอง” หม่าชิวเฉินพูดระหว่างส่งขวดน้ำให้ลุงของเขา “ลุงครับ
แบบนี้มันจะดีเหรอ นี่ถ้าช่างแต่งหน้าและหยางฟูไปบอกเครื่องนี้กับสถานีโทรทัศน์ถึงเรื่องที่เราทำ
มันไม่ทำให้คุณหลี่และพวกผู้ใหญ่ในสถานีไม่พอใจเราเหรอ?”
“ไม่เป็นไรน่า” หม่าเซียนตงส่งขวดคืนพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“หลิวฮวนฮวนมีข่าวว่าสนิทกับผู้ใหญ่ในสถานีและต้องพึ่งพาช่างภาพในความสำเร็จ
หยางฟูก็เป็นเพียงศิลปินหน้าใหม่ที่ไม่มีแบล็คหลัง พวกคนจากสถานีกับ Saint
Elephant ไม่มาใส่ใจเรื่องหยุมหยิมของพวกเด็กใหม่หรอก”
หม่าชิวเฉินพยักหน้าเห็นด้วย
ชื่นชมในความคิดของลุงของเขา "คุณลุง รู้เรื่องเบื้องหลังพวกนี้จริงๆ"
“มันมีหลายเรื่องที่นายต้องเรียนรู้จากฉัน”
หม่าเซียนตงมองหลานตัวเองพร้อมถอนหายใจ “นายอ่อนต่อโลกมากเกินไป”
เมื่อผ่านไปครึ่งชั่วโมงพระอาทิตย์ตกดินพอดี
กองถ่ายภาพก็หยุดมือ หลิวฮวนฮวนยกกระโปงไปเดินไปดูภาพที่ถ่ายจากกล้องของหม่าเซียนตง
เมื่อเห็นรูปเพียงสองสามรูปก็เป็นที่น่าพึงพอใจยังชมอีกคนไม่ขาดปาก จากนั้นก็พูดแสร้งด้วยความห่วงใย
“หยางฟูเป็นไงบ้างค่ะ นี้ยังถ่ายกันไม่เสร็จอีกเหรอ ทำไมช่างภาพคนใหม่ทำงานล่าช้าแบบนี้
เขาทำงานที่สตูดิโอมานานแล้วหรือยัง?”
“ก็ไม่นานเพราะพึ่งรับมาเป็นพนักงานพาร์ทไทม์
และอีกนานกว่าจะเป็นช่างภาพประจำสตูดิโอ” เสียงตอบอย่างเฉยเมยของหม่าเซียนตง
และเรียกหลานชายให้เข้ามาหาเพื่อจะได้สอบถามถึงเหอไป๋
“ตอนนี้คนพวกนั้นอยู่ไหนแล้ว ไปตามให้กลับมาได้แล้วทุกคนจะต้องขนของกลับแม้ว่าจะเป็นมือใหม่ถ่ายภาพได้ไม่ดีก็ยิ่งต้องรีบกลับไปเพื่อตัดต่อภาพอีก”
ทีมงานที่อยู่แถวนั้นเงียบเป็นแถว ตอบด้วยเสียงเกรงกลัวว่า
“ช่างหม่าคับ คุณเหอและคุณหยางเขาถ่ายตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว...ตอนแรกคุณหยางจะรอคุณหลิวเพื่อกับไปที่สถานีพร้อมกัน
แต่ทางนั้นเขาเรียกตัวเธอกลับก่อน เธอจึงต้องรีบกลับไป”
“ไปกันหมดแล้ว?”หม่าชิวเฉินถามขัดจังหวะ”
ทีมงานคนเดิมพยักหน้า “เมื่อสักครู่นี้เอง”
ใบหน้าของหม่าเซียนตงเต็มไปด้วยความโกรธ “แล้วไฟล์รูปถ่ายของเขาอยู่ไหน?”
“เขาสำรองไฟล์ไว้ให้แต่นำต้นฉบับกลับไปด้วย
บอกว่าจะนำไปรีทัสให้เสร็จพร้อมส่งให้กับคุณหลี่”
การให้เพียงสำเนาและจะส่งต้นฉบับที่แก้ไขแล้วให้กับหลี่เหรินเอง
นี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกคนไม่ต้องการไว้หน้าเขา! หม่าเซียนตงพยายามระงับอาการโกรธเนื่องจากอยู่ต่อหน้าหลิวฮวนฮวน
และอาจจะเอาไปนิททาลับหลังว่าเข้าเป็นพวกผู้ใหญ่รังแกเด็ก
“อืม
เข้าใจแล้วมันอาจจะเป็นวันแรกที่เขามาถ่ายรูปเลยประหม่าจึงอาจจะไปขอให้คุณหลี่ช่วยดู”
หลิวฮวนฮวนพยักหน้าเหมือนรับรู้ แต่ในใจดูถูกเหอไป๋อยู่
‘ก็แค่ถ่ายภาพครั้งแรกแล้วยังเป็นพนักงานพาร์ทไทม์’ ตอนแรกคิดว่าเหอไป๋เป็นคนที่มีพรสรรค์แต่ก็เพียงแค่นักศึกษายากจนที่มาหางานทำเพราะเงินไม่พอที่จะเรียนถ่ายภาพที่ชใช้ทุนสูง
ภาพของหยางฟูต้องเละไม่เป็นท่าแน่นอน
หลิวฮวนฮวนแสร้งหาวด้วยการยกมือปิดปากแต่แท้จริงแล้วเพื่อปิดบังรอยยิ้ม
ที่มั่นใจว่ารูปของเธอจะต้องดูดีกว่าหยางฟู
ทางด้านหยางฟูที่บอกลาเหอไป๋ก็รีบตรงไปที่รถของครอบครัวที่จอดรอ
เมื่ออยู่บนรถแล้วก็รีบหยิบมือถือและกดเบอร์หาป้าของเธอและพูดน้ำเสียงที่ตื่นเต้นไม่หยุด
“ป้าค่ะ วันนี้หนูเจอช่างภาพที่น่ารักมากเลย และฝีมือของเขาก็เยี่ยมมากเขาถ่ายหนูออกมาเหมือนนางฟ้า!
และได้ยินว่าป้าขาดช่างภาพที่จะมาถ่ายรูปซื้อภาพของป้าอยู่ หนูขอแนะนำเขาเลยค่ะ
รู้ไหมว่าเขาเป็นคนที่อดทนและใจเย็นมาก ป้ารู้ไหมเขาไม่มีแฟนและเขาน่ารักมากมีลักยิ้มด้วย...”
จูเคอเปิดหนังสือนิตยสารไปเรื่อยๆ
“เขาเป็นคนดีขนาดนั้นเชียว ถ้าเธอยังพูดชมไม่หยุดปากแบบนี้เดียวพ่อเธอมาได้ยินแล้วจะอิจฉา!
แล้วการทำงานกับสถานีโทรทัศน์เป็นยังไงบ้างโอเคไหม ถ้าไม่ได้ก็เปลี่ยนอย่าลืมว่าพ่อของเธอเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์
อย่าให้เรื่องมันเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์”
“หนูปรับตัวได้น่า” หยางฟูเอนตัว
เมื่อนึกถึงการกระทำที่น่าสะอิดสะเอียนของหลิวฮวนฮวน เธอพึมพำด้วยความรังเกียจ
“ทุกคนก็โอเคและก็สนุกไปกำลังเด็กๆที่มาเดบิวส์มาก แต่...”
จูเคอฟังการพูดไร้สาระไปเรื่อยของหลานสาวและกำลังคิดแบบเสื้อผ้าที่กำลังจะออกไปในฤดูกาลนี้เธออดถอนหายใจ
ตอนนี้ร้านของเธอไปได้ดีเกินไป
และไม่รู้จะออกแบบเสื้อผ้าใหม่ยังไงต่อ
บทที่ 20 สมควรได้รับมัน!
กว่าที่เหอไป๋จากถึงหอก็เวลาดึกพร้อมกับรูปของหยางฟู
เขากับหนิงจวินเจี๋ยที่ตอนนั้นอยู่ที่หอพักคนเดียวจึงชวนออกไปหาข้าวเย็นกินที่ร้านอาหารข้างหอพัก
“นายเจอหลิวฮวนฮวนด้วยเหรอ?” หนิงจวินเจี๋ยใช้น่องไก่ชี้หน้าเหอไป๋
เขาตาโตเมื่อได้ยินเรื่องที่เหอไป๋เล่า “และนายก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เธอ
จริงเหรอ!?”
“ฉันก็ไม่คิดว่าเธอจะมาทักเหมือนกัน”
เหอไป๋ยกน้ำส้มขึ้นดื่มและยื่นกระป๋องเบียร์ให้กลับหนิงจวินเจี๋ย หลังจากเล่าราวๆว่ามีไปเจอกับเรื่องอะไรมาบ้างในวันนี้
“ฉันไม่อยากให้นายไปคุยกับเธออีก เธอนั้นสามารถที่จะคุยกับเพื่อนสนิทของนายโดยยังแกล้งทำเป็นเหมือนไม่รู้เรื่องราว
ฉันอยากให้นายปล่อยวางนายยังมีเพื่อนเยอะแยะนะ”
ในชีวิตก่อนหน้าของหลิวฮวนฮวนหลังจากเธอตกกระป๋องเธอก็กลับมาอ้วนวอนให้หนิงจวินเจี๋ย
ซึ่งพี่สามของเขาก็ไปขอให้เพื่อนของตัวเองช่วยเหลือเธอ ซึ่งในตอนนั้นหนิงจวินเจี๋ยก็มีภรรยาอยู่ก็ถูกหลิวฮวนฮวนเข้ามาป่วนเกือบจะให้ชีวิตคู่ทั้งสองเกือบพัง
หลิวฮวนฮวนในความคิดเขาก็เหมือนระเบิดเวลาดีๆ ซึ่งจะดีกว่าถ้าเพื่อนของเขาในตอนนี้จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเธอ
เมื่อหนิงจวินเจี๋ยรับฟังก็พยักหน้าเข้าใจและยิ้มตอบกลับมา
“ฉันเข้าใจน่า ขอบคุณนายมากที่เป็นห่วง สำหรับหลิวฮวนฮวนในใจฉันตอนนี้แทบไม่มีความหมายอะไรแล้ว
จากนิสัยของเธอนั้นไม่มีเปลี่ยนไปเลยระหว่างที่ฉันคบกับเธอฉันให้โอกาสเธอหลายครั้งมาก...ช่างเถอะงานพาร์ทไทม์ของนายเป็นยังไงบ้าง?
หรือเธอไปสร้างเรื่องให้นาย”
“ฉันก็แกล้งทำเป็นไม่รู้จักเพื่อทำลายแผนที่ตั้งใจจะแกล้งเพื่อนร่วมวงของเธอ
และฉันก็เดินออกมาทั้งอย่างนั้นเพื่อถ่ายรูปให้เพื่อนของเธอ” เหอไป๋พูดยิ้ม
หนิงจวินเจี๋ยอ้าปากค้างอย่างตกใจและยื่นมือออกมาตบไหล่
“น้องชายนายทำได้ดีมาก ไปสั่งของโปรดนายมา วันนี้ฉันเลี้ยงนายเอง สั่งอะไรก็ได้ที่น้องชายต้องการมาเลย!!”
การถ่ายภาพใช้เวลาสองวัน วันนี้เหอไป๋ยังมาช่วยงานอยู่
แต่แต่ไม่มีใครเรียกให้ไปช่วยถ่ายภาพ ซึ่งเหอไป๋ก็ไม่อยู่เฉยเขายังวิ่งวุ่นช่วยงานแผนกต่างๆ
จากรอบนอกของฝูงชน และเฝ้ามองหม่าเซียนตงและหลานชายที่กำลังถ่ายทอดเทคนิคระหว่างถ่ายภาพ
ดูเหมือนหม่าเซียนตงจะภูมิใจในตัวของหลานชายเขามาก
หลังจากงานวันนี้เสร็จเหอไป๋ก็รีบกลับมาที่มหาลัยเพื่อตรงไปกินข้าวอย่างให้เร็วที่สุด
เพราะเขาจะต้องไปตัดต่อรูปของหยางฟูหลังจากที่เปิดคอมพิวเตอร์ เหอไป๋ยังอัพโหลดรูปที่เพื่อส่งงานให้กับอาจารย์ซู
หลังจากรออัพโหลดไฟล์ก็คลิกที่ไปที่อัมบัลรูปของหยางฟูเพื่อทำงานที่เหลือซึ่งกว่าจะเสร็จก็เกือบเวลาห้าทุ่ม
เขาก็อัพโหลดไฟล์งานให้กับหลี่เหรินเป็นงานสุดท้าย เมื่อเสร็จสิ้นก็ทำให้ล้าจนเมื่อเหอไป๋เอนตัวบนเตียงก็หลับไปทันที
วันจันทร์ถือเป็นวันมหาโหดของเหล่านักศึกษาแผนกวารสารศาสตร์เพราะมันเป็นวันแรกของการสอบภาคปลาย
เหอไป๋ที่พึ่งย้อนกลับมาจะต้องไปรื้อเอกสารเก่าๆตั้งแต่ต้นเทอมออกมาทบทวน เขาจึงปิดทุกช่องทางการติดต่อเหลือเพียงรับสายเท่านั้น
เพื่อที่จะฝังตัวเข้าสู่โหมดบ้าคลั่งในกองเอกสาร
ตี๋ชิวเหอที่ตอนนี้ค่อยจ้องโทรศัพท์ทุกห้านาทีว่าจะมีข้อความวีแชทเข้ามาไหม
แต่ก็ไม่มีข้อความที่ถูกส่งมาจากเหอไป๋เลย จากครั้งแรกที่ตื่นเต้นดีใจที่ได้รับข้อความ
‘จุ๊บคุณ’ แต่มาเจอแบบนี้เขาโกรธขึ้นมาทันที
“ฉันยอมตายดีกว่าที่จะส่งข้อความ ‘จุ๊บ’ ให้นายอีกครั้ง!!” ตี๋ชิวเหอรีบยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงด้วยสีหน้าบึ้งและยกตารางงานออกมาเพื่อเช็ควันที่เขาจะเข้าร่วมรายการวาไรตี้
เนื่องจากสัญญาของเขากับฮวางฟูได้ถูกยกเลิกและเขาก็เริ่มต้นจะแสดงหนังกับลุงเจี่ยง
ถึงเวลาที่เขาจะวางกับดักแม่เลี้ยงต่อหน้าสาธารณะ
เหอไป๋ที่ถูกเรียกตัวมาที่ถูกหลี่เหรินเรียกตัวมาที่สตูดิโอ
Saint Elephant ในเช้าวันเสาร์ทั้งที่ควรเป็นวันที่เขาต้องนอนอยู่บนที่นอนตลอดบ่าย
เนื่องจากพึ่งผ่านสนามรบของการสอบปลายภาค
“ฉันมีข่าวจะแจ้งทั้งเรื่องดีและไม่ดี
นายต้องการเรื่องไหนก่อน” หลี่เหรินยื่นแก้วชาบนโต๊ะและนั่งลงตรงข้าม
“ขอบคุณครับ” เหอไป๋ยกแก้วขึ้นมาจิบอย่างใจเย็น
“งั้นผมขอเรื่องร้ายก่อนละกัน”
“ฉันก็ว่าอย่างนั้น” หลี่เหรินเอนตัวพิงเก้าอี้พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า “มีข้อร้องเรียนของนายสองฉบับ หนึ่งจากลูกค้าและอีกหนึ่งจากเพื่อนร่วมงาน ซึ่งของข้อร้องเรียนของลูกค้าส่งไปที่หม่าเซียนตง
และข้อร้องเรียนจากเพื่อนร่วมงานถูกส่งมาให้ฉัน”
“ข้อร้องเรียน?”
มันน่าประหลาดใจ เหอไป๋ยกนิ้วขยี้ที่หัวตาอย่างนึกว่าตัวเองไปทำอะไรผิด
“ให้ผมเดาของลูกค้าคงมาจากหลิวฮวนฮวน? และถ้าจากเพื่อนร่วมงานคงมาจากหม่าเซียนตงใช่ไหมครับ?”
“นายเดาถูกทั้งหมด” หลี่เหรินส่ายนิ้ว
“เพื่อนร่วมงานคือหม่าเซียนตงนั้นถูกแล้ว เขาบอกว่านายมั่นใจตัวเองและไม่ทำกฎของทางสตูดิโอ
เช่นเดียวกันข้อตกลงเรื่องฉากที่ตกลงกับทางสถานีโทรทัศน์ นอกจากนี้ยังมีบอกว่านายไม่มีสปิริตในการทำงานเป็นทีม”
ข้อร้องเรียนที่พูดมามันดูไร้เหตุผลมาก เหอไป๋ก็ไม่คิดว่าหม่าเซียนตงจะเป็นคนดีอะไร
แต่เรื่องนี้อีกคนโยนเผือกร้อนใส่มือเขาและยังมาพยายามใส่ร้ายกันอีก
“ผมจะโดนลงโทษยังไงในข้อร้องเรียนนี้?”
เหอไป๋ถามด้วยสีหน้าเย็นชา
หลี่เหรินพบว่าการแสดงออกจองเด็กหนุ่มมันน่าขบขัน
“กฎของทางสตูดิโอเมื่อไรรับข้อเรียนจากลูกค้า คนนั้นจะต้องออกไปขอโทษลูกค้าด้วยตัวเองและพยายามชดเชยให้เขารู้สึกพอใจ
แต่ถ้าจากเพื่อนร่วมงานถ้าเรื่องนั้นร้ายแรงส่งผลกับทางสตูดิโอก็จะมีหนังสือเชิญออก
หรือถ้าไม่หนักก็ทำเพียงหักเงินเดือนและยังมีในบันทึกประวัติการทำงานของนาย”
เหอไป๋ไม่มีทางเต็มใจไปขอโทษหลิวฮวนฮวนและไม่คาดหวังที่จะได้เงินเดือนแล้วตอนนี้
แต่เมื่อนึกคิดเหอไป๋ก็สิ้นหวังนั้นเป็นเงินที่เขาหามาได้อย่างยากลำบาก
หลี่เหรินหัวเราะในที่สุดหลังจากแกล้งดุอีกคน
“แต่นายไม่ใช่พนักงานประจำดังนั้นเรื่องไปขอโทษลูกค้า ฉันเป็นหัวงานของนายก็ต้องไปแทนวันนี้จึงเรียกมาสอบถามสาเหตุ
แต่เรื่องข้อร้องเรียนที่ส่งมาจากหม่าเซียนตง ฉันก็พิจารณาว่ามันเป็นเรื่องใส่ร้ายดังนั้นมันก็พิจารณาว่าไม่ผิด
และจากที่นายทำงานนอกเวลาสองวันฉันจะให้เงินชดเชยนาย 200 หยวน”
เหอไป๋เหมือนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างอีกครั้งและจ้องมองหลี่เหรินที่แทบปิดความดีใจไม่มิด
“คุณหลี่”
“อย่ามองฉันแบบนี้มันมากเกินไป” หลี่เหรินโบกมือพร้อมส่ายหัวอย่างล้อเล่น “นายพร้อมจะรับข่าวดีหรือยัง?”
ลักยิ้มปรากฎที่แก้วซ้ายของเหอไป๋ทันที เขารีบพยักหน้าและเอื้อมมือไปเทน้ำชาให้หลี่เหรินอย่างเองใจ
หลี่เหรินก็เหมือนจะชอบการบริการจากเหอไป๋และพูดช้าๆ
“สำหรับข่าวดี...พวกคนจากสถานีดูจะชอบถาพที่นายศิลปินคนนั้นเป็นพิเศษ
ซึ่งเป็นเรื่องดีเนื่องจากทางสถานีต้องการให้นายส่งรูปทั้งหมดระหว่างที่นายถ่ายทำเบื้องหลังการถ่ายภาพเพื่อสร้างคอลเล็กชั่นไซด์ไลท์กับสแนป
ซึ่งมันทำให้นายได้เงินจำนวนมากจาการถ่ายเหล่านั้น”
ดวงตาของเหอไป๋เป็นประกายหลังจากได้ยินว่าจะได้เงินเพิ่ม
เขากระเด้งตัวนั่งหลังตรงแน่ว “หนึ่งร้อย?”
หลี่เหรินส่ายหัว “ให้ตายเถอะอย่างลืมว่าฉันเป็นหัวหน้านายและเป็นคนที่ต่อรองด้วยตัวเอง
ฉันเลยต่อรองให้สามารถเพิ่มศูนย์ให้อีกตัว”
“พัน?!!!” เหอไป๋สีหน้าตกใจเหมือนตามเรื่องราวไม่ทัน
“พวกเขา...พวกเขาไม่เคยเห็นภาพเหล่านั้นทำไมถึงมั่นใจที่จะยอมจ่ายเงินในราคาที่สูงขนาดนั้น”
“ฉันเชื่อในความสามารถของนายนะ” หลี่เหรินหุบนิ้วลงและจ้องมองใบหน้าที่แตกตื่นของเหอไป๋หลังจากก็ยิ้มกว้าง“คนที่สถานีเชื่อในฝีมือของนายที่สามารถดึงมนต์เสน่ห์ของหยางฟู ซึ่งมันเป็นการทำงานที่หนักและฉันก็คาดหวังสิ่งนี้จากนาย”
เหอไป๋รีบลุกขึ้นและก้มหัวขอบคุณหลี่เหรินอย่างจริงใจไม่หยุดพร้อมยิ้มที่ออกมาอย่างร่าเริง
“ขอบคุณครับ ผมจะตั้งใจสุดฝีมือเลยครับ!”
เมื่อเขากำลังจะออกจากสตูดิโอก็พบกับหม่าชิวเฉินที่ตอนนี้มีสายกล้องคล้องที่คอ
ดูเหมือนพวกช่างภาพทั่วไป
“อรุณสวัสดิ์ครับพี่หม่า” เหอไป๋ยิ้มให้อีกคนทำเหมือนไม่รู้ว่าเขารับรู้ถึงข้อร้องเรียนจากลุงของคนตรงหน้า
และพูดกลับอีกคนอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณพี่มากที่ให้โอกาสผมในวันนั้น
ทางสถานีโทรทัศน์รู้สึกชอบภาพที่ผมถ่ายมากและตัดสินใจส่งรูปที่ถ่ายเบื้องหลังไปให้เพิ่ม
ผมรู้สึกซาบซึ้งในตัวพี่เป็นอย่างมาก เมื่อเงินเดือนออกพี่ให้โอกาสผมเลี้ยงมื้อเย็น”
“เรื่องจริง...ยินดีกลับนายด้วย” หม่าชิวเฉินพยายามบังคับใบหน้าให้ยิ้ม และกดแน่นไปที่กล้องอย่างไม่รู้ตัว
“พระเจ้า! นายทำอะไรนั้นกล้องรุ่นใหม่ของสตูดิโอมันมีไม่กี่ตัว
นายยังทำพัง นายจะต้องถูกร้องเรียนเกี่ยวกับการที่ทำทรัพย์สินของสตูดิโอเสียหายอย่างตั้งใจ!”
พนักงานหญิงที่อยู่แถวนั้นพูดเสียงดังอย่างตั้งใจ
หม่าชิวเฉินที่หายจากอาการก็รับปล่อยมือและเดินตรงไปหาหญิงสาวคนนั้น
เมื่อเหอไป๋ได้กลั้นแกล้งให้หม่าชิวเฉินหงุดหงิด
เขาก็เดินจากอย่างคนที่ได้รับชัยชนะ สีหน้าจึงเปล่งประกายด้วยความสุข
เช้าวันรุ่งขึ้นหลี่เหรินโทรมาให้เขารับรู้ว่าทางสถานีเลือกภาพที่เขาถ่ายเบื้องหลังไปหลายรูปจึงจะโอนเงินให้ทางบัญชีธนาคาร
ซึ่งทางสถานีก็ทำงานได้อย่างรวดเร็วเพียงแค่หนึ่งวันก็มีการโพสต์ทั้งรูปถ่ายและยังมีการตัดต่อวีดิโอลงสู่บัญชีเวยป๋อของสถานีโทรทัศน์
B
ทำให้เกิดกระแสตอบรับอย่างดุเดือดในเหล่าโซเซี่ยล
“ว้าว...มีฉันด้วย
ฉันดูดีมากเมื่อสวมชุดนี้! แต่พอฉันถ่ายเองทำไมถึงไม่ได้ดูดีแบบในรูปนี้!!”
ในห้องรับรองที่สถานีมีพนักงานสาวส่งเสียงกรีดร้องอย่างตื่นเต้น
เพราะเธอก็เป็นคนหนึ่งที่มาทำงานในวันที่มีการถ่ายภาพ
คนที่มาใหม่ก็โน้วตัวเข้าใกล้ที่แก้มสาวคนนั้นเพื่อจะจ้องหน้าจอโทรศัพท์
“ใช่..ฉันเห็นด้วยฉันอยากรู้ว่าใครเป็นคนถ่าย นี่เขาสามารถทำให้น่องหนาๆของฉันดูเรียวขึ้น!
ฉันเริ่มรักช่างคนนั้นแล้ว!!”
“มีคอมเม้นต์ด้วยว่าสาวที่อยู่ในรูปที่เจ็ดน่ารัก
กริ้ดๆฉันเป็นสาวคนนั้น! ภาพนี้มันยอดเยี่ยมมาก! และจำไม่ผิดว่าคนที่ถ่ายก็คือเด็กหนุ่มหน้าใส
รู้ไหมว่าตอนที่เขานั้นยิ้มมันน่ารักมากที่ตรงมีลักยิ้ม!! ฉันอิจฉาหยางฟูมากที่ได้เด็กหนุ่มคนนั้นถ่ายภาพให้”
นี้มีจากเสียงของพนักงานอีกคนที่กำลังถือโทรศัพท์ด้วยความตื่นเต้นจนน้ำตาไหล
“แน่นอนเหล่าศิลปินที่ไปถ่ายวันถัดไปไม่มีใครไม่อิจฉาหยางฟู?”
หญิงสาวผมบ็อบก็มาเข้าร่วมวงและพูดเสียงเบาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“รู้ไหมว่าหลิวฮวนฮวนที่มีข่าวว่ามีแบ็คจากทางสถานี วันนั้นเธอพยายามอย่างหนักเพื่อให้ช่างหม่าเป็นคนถ่ายให้ตัวเธอ
และฉันยังได้ยินมาอีกว่าเธอร้องเรียนเกี่ยวกับเด็กหนุ่มช่างภาพที่ถ่ายให้กับหยางฟู
ไม่แปลกเลยที่ในภาพเหล่านี้ไม่มีเธอแม้แต่เสี้ยวผมของเธอติดในภาพ เห็นได้ชัดว่าการที่เธอทำแบบนี้คงไปทำให้เด็กหนุ่มคนนั้นไม่พอใจ”
พนักงานทั้งสามแลกเปลี่ยนความเห็นทางสายตาแต่ไม่มีใครกล้าขึ้นออกมา
และเยาะเย้ยหลิวฮวนฮวนที่เธอถูกส่งพักงานสองสัปดาห์ เพราะไปยื่นร้องเรียนทำให้การทำงานระหว่างสถานีและ
ร่วมมือระหว่างทางสถานีและสตูดิโอ Saint Elephant
สาวผมสั้นที่พึ่งมาใหม่เดินมาที่ทั้งสามคนยืนอยู่
"เห็นว่าพวกเธอพูดเรื่องของหลิวฮวนฮวน มีเรื่องใหม่จะเล่าให้ฟังเมื่อเร็วๆนี้
มีคนพร้อมที่จะแพคของเธอออกจากที่นี่"
สามสาวได้ยินก็รีบไปหาคนที่มาใหม่และถามด้วยความอยากรู้
"ใครเหรอ?"
"มีคนลือกันว่าเธอเคยเป็นแฟนของลูกชายของหนึ่งในสี่ของสปอนเซอร์หลักของสถานีและมีการเลิกกันไป
ฉันคิดว่าเธอต้องแอบสวมเขาและยังมีเรื่องไปร้องเรียนเพื่อนสนิทของเด็กหนุ่มคนนั้นอีก
จึงทำให้สปอนเซอร์แจ้งว่าถ้าหลิวฮวนฮวนยังอยู่ในสถานีเขาจะหยุดการให้สปอนเซอร์ แล้วคิดดูว่าสถานีจะเลือกอะไรล่ะระหว่างศิลปินหน้าใหม่กับแหล่งเงินทุน"
ช่างเป็นเรื่องซุบซิบที่แสนสดชื่น!
หญิงสาวทั้งสามดูเหมือนจะตื่นเต้นกับเรื่องใหม่ที่ได้รับและรีบสอบถามรายละเอียดเพิ่มทันที
เมื่อมีคนให้ความสนใจก็เหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้สาวน้อยผมสั้นระบายความอึดอัดที่เธอได้รับมาจากหลิวฮวนฮวน
เธอรีบดึงเก้าอี้มานั่งและพูดขึ้นอย่างออกรสชาติ
พนักงานหนุ่มที่เหงือแตกเต็มหน้าผากระหว่างรอตี๋ชิวเหอที่ยืนฟังเรื่องซุบซิบของกลุ่มสาวๆ
และพูดด้วยเสียงระมัดระวัง "คุณตี๋ครับ ใกล้ถึงเวลาถ่ายรายการแล้วครับ" หัวหน้าของเขาเคยบอกว่าหลิวฮวนฮวนเป็นเด็กสาวที่มีความกล้าแสดงออกและร่าเริง
แต่จากเรื่องราวที่ได้ยินตอนนี้...มันน่าอับอาย
บทที่ 21 ประเด็นร้อน!
“ขอโทษครับ” ตี๋ชิวเหอก้าวถอยหลังและก้มหัวลงเล็กน้อยด้วยสายตาที่อ่อนโยนและรอยยิ้มที่บางเบาๆ
ประกอบกับแสงสีขาวนวลจากหลอดไฟที่ชั้นสอง ทำให้เกิดบรรยกาศที่น่าดึงดูด “มีกิจกรรมใหม่ขึ้นมาเหรอครับ”
เสียงที่พูดอย่างเนิบช้าและหนักแน่น ทำให้ริมฝีปากล่างเผยออกมาเล็กน้อย
นั้นดูเย้ายวนให้คนที่พบเห็นอยากเข้าไปจูบโดยไม่รู้ตัว พนักงานจ้องมองที่ริมฝีปากตาไม่ขยับ
และเมื่อรู้สึกตัวก็เสแร้งมองไปที่กำแพงด้านข้างแต่ก็ปกปิดใบหูที่แดงก่ำไม่ได้ พนักงานหนุ่มรีบขยับแว่นขึ้น
“มันเป็นเพียงแค่ช่วงเริ่มต้น ทันทีที่ออกเป็นทางการทางสถานีจะเชิญคุณมาร่วมรายการด้วย
หวังว่าคุณคงไม่รังเกียจ”
ตี๋ชิวเหอพยักหน้าอย่างรับรู้แต่สีหน้าแสดงความอึดอัดใจ
พร้อมขมวดคิ้วตอบทั้งสีหน้าและน้ำเสียงแสดงความเสียใจ
“ผมยินดีมากที่ทางสถานีเชิญผม แต่..ผมได้ออกจากค่ายฮวางฝูและสมาชิกในทีมก็ถูกเรียกตัวกลับ
รายการทีวีวันนี้ถือเป็นรายการสุดท้ายที่ผมจะมาในฐานะศิลปินของค่ายฮวางฝู และยังไม่รู้ว่าผมจะสามารถเดินต่อในวงการบันเทิงได้อีกหรือเปล่า
ดังนั้นผมไม่สามารถรับปากในเรื่องที่คุณบอกได้”
พนักงานคนนั้นจ้องมองตี๋ชิวเหอด้วยไม่สนใจว่าเขาจะเป็นยังไง
“คุณไม่ได้เป็นศิลปินค่ายฮวางฝูแล้ว? ทำไมผมไม่เคยได้ยิน...”
จากการที่ชายหนุ่มตรงหน้ามาที่สถานีคนเดียวโดยไร้เงาของผู้จัดการก็ทำให้เข้าใจเรื่องราวได้อย่าง
รีบกลืนคำพูดลงคอพร้อมกับพายุที่ก่อกวนในใจของเขา
ตี๋ชิวเหอพึ่งได้รับรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมในเทศกาล
Thousand Flowers กับ Tears of Rouge ซึ่งทำให้เส้นทางบันเทิงของเขารุ่งโรจน์และมีข่าวลือว่าอีกคนมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดาซึ่งทุกคนคิดว่าอาชีพนักแสดงของตี๋ชิวเหอแทบโรยด้วยกลีบกุหลาบ
เพียงไม่กี่เดือนที่ได้รับรางวัลก็แจ้งว่าจะมีการลาออกจากวงการหรือเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับที่อีกคนถูกดองงานจากค่ายฮวางฝู
ไม่น่าแปลกเลยที่มีคำสั่งจากเบื้องบนให้ถอดโฆษณาทุกตัวที่มีตี๋ชิวเหอ เรื่องนี้มันข่างเป็นข่าวใหญ่
ตี๋ชิวเหอต้องการจะสื่อถึงอะไร?
คนตรงหน้าต้องการอะไรกับเขา เขาเป็นเพียงพนักงานตัวเล็กๆในสถานี จะมามีประโยชน์อะไรที่บอกเรื่องนี้กับเขา
สมองประมวลผลถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดและตัวนิ่งค้างแสดงถึงอาการที่ทำโดยไม่รู้ตัว
ตี๋ชิวเหอยังคงทำเหมือนไม่เห็นอาการของพนักงานตรงหน้า
เขายังหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงและเปิดเว็บของสถานีโทรทัศน์ B
“วิดีโอนี้เป็นสปอต์โฆษณาที่ทางสถานีร่วมงานกับทางสตูดิโอ Saint
Elephant ใช่ไหมครับ? ช่างภาพตัวน้อยที่ถ่ายทำเขาชื่ออะไร?”
“ใช่นี้เป็นงานจากทางสตูดิโอ Saint
Elephant และช่างภาพคนนั้นชื่อเหอไป๋” พนักงานหนุ่มตอบอย่างไม่รู้ตัว
“คุณ..หมายความว่า”
“เป็นเรื่องน่าเสียดายจริงๆ ที่ผมไม่สามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ระลึกนี้ได้...ผมขอให้กิจกรรมนี้ประสบความสำเร็จ”
ตี๋ชิวเหอยิ้มบางและกดแชร์วิดีโอนี้ไปยังบัญชีเวยป๋อของตัวเอง และยังพูดคำชื่นชมอีกส่งสามประโยคถึงช่างภาพอย่างคนที่ไม่รู้จักแต่ชื่นชมในผลงาน
ทำให้พนักงานที่เห็นตาโตตี๋ชิวเหอยังโชว์หน้าจ้องให้พนักงานหนุ่มดูอีก
“คงไม่รังเกียจที่ผมแชร์กิจกรรมนี้ในบัญชีของผมนะครับ
เพื่อช่วยให้กระแสผมดีขึ้น”
เมื่อเห็นการกระทำและรอยยิ้มที่ยังคงความอ่อนโยนพนักงานก็รู้สึกอับอาย
เมื่อว่าเส้นทางนักแสดงของชายตรงหน้าจะไม่รู้เป็นอย่างไรแต่ชายคนนี้ยังคงความสุขุม
และยังคิดจะช่วยโฆษณาให้กับทางสถานีเพื่อเป็นการกระตุ้นกระแสและยังซื่อตรงบอกว่าสิ่งที่ทำก็เพื่อประโยชน์ของตัวเอง...คนดี!!
ช่างเป็นคนที่ซื่อตรงมาก!! แล้วชายหนุ่มตรงหน้าจะมาหวังประโยชน์อะไรกับพนักงานตัวเล็กๆอย่างเขา
ซึ่งเรื่องที่ชวนอีกคนร่วมงานก็เป็นเขาที่เอ่ยปากเองที่จะชวนตั้งแต่แรก ชายหนุ่มตรงหน้าก็เพียงถึงอธิบายถึงเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธคำเชิญของเขา
เมื่อกี้เขาคิดแบบนั้นกับชายหนุ่มตรงหน้าได้อย่างไร มีคนแบบนี้บนโลกอีหเหรอ!!
“ผมขอบคุณ คุณตี๋มากครับ” การแสดงของพนักงานก็ดูดีขึ้นเขาแสดงถึงความสนิทสนมพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“คุณเป็นคนที่ดีมาก และผมก็คิดว่าเส้นทางในวงการบันเทิงจะไปได้ไกล คุณสมควรได้รับมัน!”
ตี๋ชิวเหอที่ยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนกว่าเดิม พร้อมจ้องไปที่ใบหน้าของพนักงานคนนั้นและพยักหน้า
“ขอบคุณครับ ผมก็หวังว่าจะเป็นไปตามที่คุณพูด”
“ไม่เป็นไร..ผมยินดี” พนักงานหนุ่มก็ใบหูแดงอีกครั้งอย่างเขินอาย
เหอไป๋ที่ตอนนี้เดินอยู่ในห้างในตัวเมือง ตั้งใจจะซื้อคอมพิวเตอร์ด้วยเงินที่เขาพึ่งได้รับมาจากงานถ่ายภาพ
เหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้เปิดอินเตอร์เน็ตเขาจึงกดเปิดมันทันที แต่ก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงการแจ้งเตือนรัวๆจากวีแชทจำนวนมาก
เขารีบเปิดข้อความขึ้นมาอ่าน
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: สวัสดีตอนเช้า ^
- ^
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ราตรีสวัสดิ์ ^
- ^
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
คุณกำลังยุ่งอยู่เหรอ?
...
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:คุณโกหก!
คุณบอกว่าจะส่งรูปมาให้ฉัน ให้ถึงมือไม่ใช่เหรอ?
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ฉันล้อเล่นนะ
ช่วงนี้คุณสอบปลายภาคใช่มั้ย? เหมือนว่าคุณจะยุ่งมากเลย
^ - ^
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: อรุณสวัสดิ์ ^
- ^
...
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
คุณกำลังทำอะไรอยู่
ข้อความทั้งหมดถูกส่งให้เขามาตลอดทั้งอาทิตย์จนถึงปัจจุบัน
เหอไป๋รีบยกมือตบที่ใบหน้าแล้วรัวนิ้วพิมพ์ข้อความตอบกลับ
White and Whiter: ขอโทษด้วยจริงๆ
ผมไม่ว่างเลยทั้งสัปดาห์ เลยไม่ได้มาอ่านข้อความทางวีแชทเดียวผมจะส่งรูปให้คุณภายหลังดีไหม
อีกคนตอบกลับอย่างรวดเร็วเหมือนพิมพ์คำเหล่านี้ทิ้งไว้
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
ไม่เป็นไรฉันเข้าใจ ว่าคุณกำลังอยู่ในช่วงของการสอบ ตอนนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่ล่ะ?
White and Whiter: ซื้อคอมพิวเตอร์
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
มาซื้อคอมพิวเตอร์..ในเมือง?
White and Whiter: ใช่แล้ว
เดียวผมส่งรูปให้คุณทันทีหลังจากซื้อคอมพิวเตอร์เสร็จ ต้องขอโทษที่ทำให้คุณรอนาน
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
ใช้เวลาให้เต็มที่
White and Whiter: ???
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
การซื้อคอมพิวเตอร์ต้องใช้เวลาเลือกให้ดีนะ
คุณไม่ต้องรีบหรอกใช้เวลาเลือกคอมพิวเตอร์ให้เต็มที่
เหอไป๋เงียบไปสักพักและไม่สามารถระงับเสียงหัวเราะได้
แม้ว่าผู้ซื้อคนนี้จะพูดดูถูกเขานิดหน่อย แต่มันก็อบอุ่นใจ..มันดูน่ารักมาก
เหอไป๋ใช้เวลานานมากระหว่างการตัดสินใจระหว่างโน๊ตบุ๊ตและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ
เมื่อคิดถึงในอนาคตว่าเขาต้องเรียนจบและออกไปฝึกงาน ก็ตัดสินใจได้ว่าต้องเลือกโน๊ตบุ๊ตที่มีราคาแพงแต่มีสเปคที่สามารถทำให้งานเขาได้ตลอดสามปีเหอไป๋ออกจากห้างในมือถือโน๊ตบุ๊คที่มีการใส่เคสพร้อมในมือ
มาหยุดยืนที่ป้ายรถบัส
“อาราซซี่ตัวน้อย”
โทนเสียงที่คุ้นเคย น้ำเสียงที่คุ้ยเคย
สถานที่ที่คุ้นเคย ไมมันเหมือนเดจาวูแบบนี้
เหอไป๋หยุดชะงักและก้าวไปข้างหน้าและเลี้ยวตัวหันกลับ
“นายต้องการรู้ไม่ใช่เหรอว่าทำไมฉันอยากจะขอบคุณนายสำหรับรูปที่นายส่งอาจารย์ซู”
เหอไป๋หยุดยืนและหันหน้าไปมองตี๋ชิวเหอที่ตอนนี้ดูหล่อเหลาเหมือนมีประกายรอบด้านแม้ว่าอีกคนจะใส่เพียงเสื้อเชิ้ตลำลองและกางเกงยีนส์ยาวเรียบๆ
สมองตอนนี้คิดว่ากำลังไปเขาจะต้องหาซื้อมือถือใหม่ที่สามารถโหลดแอฟเพิ่มได้เพียงเพื่อต้องการโหลดแอพอัลมาแนคเพื่อที่จะสามารถเช็คได้ว่าวันนี้เป็นวันดีหรือไม่
ตี๋ชิวเหอยกมือขยับหมวกขึ้นเล็กน้อยเพื่อเผยใบหน้าและยกคิ้ว
“อย่าพยายามเปิดเผยตัวตนของฉันและหนีไป ถ้าทำเช่นนั้นฉันจะลากนายไปที่ซอยเล็กๆนั้นอีกครั้ง”
เหอไป๋สำลัก “ผมไม่ได้คิดแบบนั้น...ถ้าเกี่ยวกับเรื่องภาพผมสามารถถามอาจารย์ซูได้โดยตรง”
“มันก็ผ่านมานานแล้ว ทำนายไม่ถามตั้งแต่แรกล่ะ”
ตี๋ชิวเหอจ้องมาอีกคนใช้มือขวายกแตะที่คางเอียงคอเพียงเล็กน้อยแต่สายตาเขาดูยั่วเย้า
เหอไป๋สำลักอีกครั้ง ตอนนั้นเขาก็ถามอาจารย์ซู แต่อาจารย์ไม่ได้อธิบายให้เขาฟังเหอไป๋พยายามเรียกรอยยิ้มให้อยู่บนใบหน้า
“ตามผมไปที่รถ”
เหอไป๋ยืนนิ่งคิดสักพักในที่สุดความอยากรู้ก็ชนะ
จึงทำได้เพียงเดินตามด้วยใบหน้าเรียบเฉย “นำไปสิ”
ตี๋ชิวเหอยิ้มพร้อมจ้อมมองที่ใบหน้าเรียบเฉยของเด็กหนุ่มตรงหน้าและเดินนำไปที่รถอย่างภูมิใจ
เห็นไหมว่าการบล็อคบัญชีวีแชทของเขาก็ไม่มีค่าอะไร เพียงแค่นี้อาราซซี่น้อยก็อยู่ในมือของเขา?
รถสปอร์ตสีแดงฉูดฉาดวิ่งออกจากใจกลางเมืองไปจอดที่ตรอกซอยที่ทั้งสองเคยมาแอบครั้งที่แล้ว
เหอไป๋รีบใช้ยกมือปิดปากเนื่องเขาจะอ้วกจากการขับรถของอีกคน
“แม้ว่าพ่อจะไล่ผมออกจากฮวางฝู แต่เขาก็มีเงินชดเชยให้
ยังมีทั้งรถสปอร์ตคันหรูและบ้านหลังละหลายล้านหยวนทำให้ผมแทบไม่ต้องทำงานตลอดชีวิต”
ตี๋ชิวเหอปลดเข็มขัดของเขาและหันมามองที่เหอไป๋ “นายชอบรถคันนี้ไหม? มันดูเทห์ใช่หรือเปล่า”
เหอไป๋รีบหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่มช้าๆ
เพื่อป้องกันไม่ให้อ้วกออกมา “คุณ...”
“อะไร?” ตี๋ชิวเหอเอนมาครึ่งตัวเพื่อถามอีกคน
กระดุมเสื้อถูกปลดออกสองเม็ดทำให้เห็นไรขนอ่อนที่หน้าออกและไหปลาร้าที่เซ็กซี่
“ทักษะขับรถของคุณป่วยมาก” เหอไป๋ที่ตอนนี้ปิดฝาขวดน้ำเรียบร้อยและเปิดประตูเพื่อลงจากรถ จากนั้นก็เท้าแขนที่หลังรถสปอร์ตคันหรูและฝังหน้าเข้ากับแขนเพื่อประคองอาการเวียนหัว
ตี๋ชิวเหอจ้องมองที่พวงมาลัยรถด้วยอาการตัวค้างสีหน้าบูดเบี้ยว
จากนั้นก็กระชากประตูรถออกไปยืนข้างเด็กหนุ่มเอื้อมมือไปที่ไหล่
“นายโอเคไหม?”
เหอไป๋หันใบหน้าที่ซูบซีดไม่มีสีเลือดหันหน้าไปทางตี๋ชิวเหอ
ทางตี๋ชิวเหอที่ตอนนี้เห็นริมฝีปากซีดและเผยออกมาของเด็กหนุ่มตรงหน้าก็อยากขยี้เพื่อให้มันแดงก่ำ
นี่มันความคิดอะไรที่ทำไมทำให้หัวใจเขาเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล
ตี๋ชิวเหอรีบจับที่หัวใจที่เต้นแรงไม่หยุด อย่างสงสัยมือเข้าหนึ่งที่วางไว้บนไหล่ส่วนอีกข้างขยับไปจับที่เอวของเหอไป๋
ตี๋ชิวเหอไม่รู้ตัวเขาค่อยขยับมือเลื่อนลงจากเอวของเหอไป๋...
“นี่คุณกำลังทำอะไร?” เหอไป๋รีบขมวดคิ้ว
“นายดูแย่มาก ฉันจะพานายไปหาหมอ” ตี๋ชิวเหอพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
เหอไป๋บดฟันของเขา “นั้นคือเหตุผลที่คุณมาแตะก้นผมหรือไง!!!”
ตี๋ชิวเหอตกใจแล้วจ้องมือที่มือของตัวเอง ยกคิ้วขึ้น
“นี้คือการลูบหลัง? เห็นได้ชัดว่ามันอยู่ที่หลังของนาย!”
ขณะที่พูดก็ขยับมือไปที่ก้นและตบลงไปอย่างแรง “นี้สิคือการแตะก้น! เฮ้อ..นายไม่มีความรู้ทั่วไปเลย”
เหอไป๋เบิกตากว้างอย่างไม่น่าเชื่อจากนั้นก็กระโดดล็อคคอของตี๋ชิวเหอและก็ทุบไปที่หลังรัวๆ
“คุณตี๋คุณมันเป็นขยะ! คุณสัมผัสก้นผม..และยังเอาชานมของโปรดผมไป ยังมีกล้องอีกและคุณก็เป็นคนที่ทำให้สถานีร้องเรียนผม!
วันนั้นคุณส่งข้อความลวมลามมาให้ผม และกลางดึกผมยังต้องมาค่อยฝันร้ายเรื่องของคุณอีก
และคุณ...”
“นายเคยฝันถึงผม” ตอนแรกตี๋ชิวเหอยืนนิ่งให้เด็กหนุ่มตรงหน้าทุบแต่โดยดี
แต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายเขารีบรวบมือพร้อมยิ้มมุมปากเหมือนได้ยินเรื่องที่เขาถูกใจ
“ผมรู้ว่านายเป็นแฟนบอยของผม! แต่ไม่คิดว่านายถึงขนาดหลงปลื้มจนเอาไปนอนฝัน”
มือที่ใหญ่กว่าจับที่ข้อมือของเหอไป๋มันแทรกความอบอุ่นจากฝ่ามือนั้น
แต่มันก็ทำให้เหอไป๋ขยับตัวไม่ได้ดังนั้นร่างของเขาแทบสนิทกับร่างสูงใหญ่เหมือนจะโอบกอดอีกคน
นักมวยยังรู้ว่าคู่ต่อสู้คนไหนจะสู้ไม่ไหว เหอไป๋รู้ได้ทันทีว่าไม่สามารถสู้ตี๋ชิวเหอได้
เหอไป๋เป็นคนที่รู้ว่า ‘คนฉลาดต้องยอมแพ้’ เหอไป๋ลดเสียงลง “ปล่อยผมก่อน”
ตี๋ชิวเหอส่ายหัวอย่างไม่เชื่อฟังเขาพอใจกับท่าทางที่แนบชิดตอนนี้
“ร้องขอผมก่อนสิ”
“...คุณไม่กลัวว่าจะถูกถ่ายภาพโดย ‘อาราซซี่’ และขึ้นข่าวบันเทิงหรือไง”
‘ประเด็นร้อน! นักแสดงหนุ่มชื่อดังคว้ารางวัลนักแสดงหนุ่มยอดเยี่ยม
กลายเป็นเกย์และกำลังกอดกับเด็กหนุ่มในซอยมืด!!!’ นั้นคิดหัวข้อข่าวที่ลอยเข้ามาในหัวเหอไป๋
“ไม่นะ”
เหอไป๋รู้สึกหมั้นไส้ตี๋ชิวเหอเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะแฝงแววขบขัน
“กล้องที่ซอยนี้เสียและถ้ามีคนเข้ามาจากทั้งทางหน้าและด้านหลังของซอย
ผมก็สามารถเห็นได้ทันที ที่สำคัญตอนนี้ผมถูกถอดออกจากค่ายแล้วและคงระงับข่าวของผมทุกทางไม่ให้มีกระแส
ฉินลี่เธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาดคงไม่ปล่อยให้ข่าวเช่นนี้มาสร้างกระแสให้ผมหรอก”
เนื่องจากตี๋ชิวเหอตอนนี้ไม่มีแม้แต่ความละอายใจ
เหอไป๋ก็ตัดสินได้แต่เรื่องโง่ๆ เขารีบปิดตาและพูดขึ้นว่า “ผมปวดฉี่”
ตี๋ชิวเหอชะงัก
“และผมอยากจะอ้วก”
ตี๋ชิวเหอคลายมือและหันตัวของเหอไป๋ไปทางถังขยะในซอยที่อยู่ใกล้และตบมือเบาๆบนหลังของเด็กหนุ่ม
“เชิญนายฉี่และอ้วกตามต้องการ ฉันจะดูทางให้ไม่ให้ใครเห็นลิเติ้ลไป๋ของนาย”
เหอไป๋ “...” แบบนี้มันไม่ถูกต้อง?
“หรือนายต้องการให้ผมช่วยปลดเข็มขัดให้นายไหม”
เหอไป๋ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและรีบหันหลังออกวิ่งหนีจักรพรรดิเส็งเคร็งที่บล็อคทางของเขาในวันนี้เพื่อที่ต้องการแก้แค้นที่เขาทำกับอีกคนที่ร้านเป็ดย่าง
เขาต้องรีบหนีไม่อย่างนั้นวันนี้คงเป็นสิ้นโลกของเขาอย่างแน่นอน
“นายลืมไปแล้วเหรอว่าทั้งกล้องและโน๊ตบุ๊คของนายอยู่ที่รถผม”
เหอไป๋หยุดตัวอย่างรวดเร็วและต่อว่าถึงความโง่ของตัวเอง
จากนั้นก็หันหลังกลับและวิ่งไปหาตี๋ชิวเหอพร้อมจับมือของอีกคนอย่างบริสุทธิ์ใจ
“ฉันเป็นแฟนบอยของคุณ! ผมลืมไปได้ยังไงว่าผมต้องเลี้ยงสเต็กคุณ?
ผมไม่สามารถเลี้ยงแบบแพงของคุณได้ แต่ถ้าแพงสุดของผม ผมยังพอจ่ายไหว”
“เด็กดี” ตี๋ชิวเหอผลักหัวของเหอไป๋แต่แรงที่ผลักนั้นแผ่วเบาจนเหมือนแค่ลูบหัว
“ผมได้ยินมาว่านายโดนกลั่นแกล้งมานี้ อย่าเสียใจเดียวพี่ชายคนนี้จะช่วยนายจากปัญหานี้เอง”
เหอไป๋ “...” อ่า...’ทำไมน้ำเสียงที่ได้ยินช่างเหมือนที่พี่ใหญ่หวังมาอยู่ตรงหน้า’
อ่า...หรือจะหูฝาด
บทที่ 22 เริ่มก่อนนั้นดีกว่า
ฝั่งตรงข้ามของถนนจากซอยที่ทั้งสองอยู่มีซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ครบครัน
เหอไป่เดินตามหน้าตี๋ชิวเหอโดยไม่แสดงสีหน้าถามขึ้นว่า
"คุณจะไปไหน"
ตี๋ชิวเหอยกหมวกใส่บนหัวชี้นิ้วเรียวไปที่ฝั่งตรงข้ามก็นั่นคือซุปเปอร์มาร์เก็ต
"ก็ไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อจะไปซื้อเนื้อและเครื่องปรุงไง"
เหอไป่ประหลาดใจ
"คุณจะปรุงอาหารเองเหรอ?"
"ก็นายชวนผมกินสเต็ก" ตี๋ชิวเหอหันหน้ามามองพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงแหบต่ำแต่ดูอบอุ่น
แต่สำหรับเหอไป่ตอนนี้รู้สึกว่ามันดูเสแสร้งมาก "ผมเป็นคนเลือกเนื้อและเครื่องปรุงเท่านั้น
เรื่องจ่ายเงินและทำอาหารต้องเป็นนายทั้งหมด"
"...แต่ผมทำอาหารไม่เป็น"
"ก็เรียนรู้สิ" ตี๋ชิวเหอตบลงบนหัวของเหอไป่เบาๆเหมือนกับกำลังหยอกล้อสุนัขที่ดื้อรั้นจากนั้นก็พูดปลอบใจเหอไป่"อย่ากลัวเดียวหาคลิปวีดีโอสอนทำอาหารให้นาย
แต่ถ้านายทำครัวของผมพัง ผมจะเรียกค่าเสียหายนายเพียงครึ่งเดียว"
"สำหรับความมีน้ำใจของคุณ
ผมต้องขอบคุณด้วยไหม..." เหอไป่ส่ายหัวหลบอีกคนพร้อมกัดฟันพูด
ตี๋ชิวเหอยักคิ้วเหมือนท้าท้ายเด็กหนุ่มอย่างนึกสนุก
"ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกน่า เดียวผมเขินเอานะ"
"...." คนไร้ยางอายอย่างนี้คงพูดปกติไม่ได้หรอก
ตี๋ชิวเหอเดินเลือกเนื้อพร้อมเครื่องปรุงด้วยความคล่องแคล่ว
หลังเดินไปจ่ายเงินเสร็จก็จูงมือเหอไป่เดินไปที่รถที่จอดอยู่หน้าซอยที่เดิม
เหอไป่รีบดูเงินสดที่เก็บไว้ในกระเป๋ากล้องเมื่อพบว่ามันไม่พอเขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อจะโอนเงินให้กับตี๋ชิวเหอการที่ให้ตี๋ชิวเหอจ่ายเงินมันเป็นเรื่องที่เขาไม่ได้ตั้งใจเนื่องจากของทั้งหมดของเขาอยู่ในรถ
จึงทำให้ตี๋ชิวเหอจ่ายเงินแทนไปก่อน "ผมขอเลขบัญชีคุณหน่อย ผมจะโอนเงินคืนให้"
"ผมต้องการเงินสดเท่านั้น" ตี๋ชิวเหอเอนเข้าหาเหอไป่เพื่อที่จะช่วยอีกคนคาดเข็มขัดหลังจากเสร็จก็กับมาคาดให้ตัวเองพร้อมสตาร์ทรถ
"และต้องการเป็นเหรียญด้วย"
การที่ใบหน้าหล่อเหลาของชายตรงหน้าโน้มตัวเข้าหาและจากไปอย่างช้าๆ
ทำให้หลงเหลือกลิ่นน้ำหอมจางๆออกมาเหอไปถือโทรศัพท์ค้างอยู่ในมือเตรียมจะยกมือทุบใส่อีกคน
พร้อมกัดฟันเมื่อเข้าใจถึงคำพูด "ตี๋ชิวเหอ..คุณตั้งใจทำแบบนี้ใช่ไหม"
"ในที่สุดนายก็รู้ตัว" ตี๋ชิวเหอที่ขับรถตรงกลับไปที่คอนโด
หันมองเหอไป่พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ "นี่นายจะคิดทำร้ายผมอีกเหรอลูกหมาน้อย
ถ้าผมบาดเจ็บขึ้นมาทำให้ไม่สามารถไปทำงานได้ นายจะชดเชยค่าเสียให้ผมหรือเปล่า?"
เหอไป่ลดมือที่ถือโทรศัพท์ลงด้วยเสียงหน้าบึ้งตึง
หรือคราวหน้าของจะเอาถุงใส่เหรียญทุบตีคนตรงหน้าแทน!!
รถสปอร์ตสีแดงจอดเข้าที่จอดประจำในลาดจอดรถชั้นใต้ดิน
เหอไป่ขยับตัวอีกมือถึงกระเป๋ากล้องและอีกมือก็หิ้วกระเป๋าโน๊ตบุ๊ค ทางฝั่งของตี๋ชิวเหอก็ถึงพวกถุงที่ซื้อมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ต
ทั้งสองเดินตรงเข้าไปรอลิฟต์
'แซ๊ะ"
เหอไป่หันตัวอย่างไวพร้อมจ้องมองไปที่มุมมืดของลานจอดรถ
"มีอะไรผิดปกติ?" ตี๋ชิวเหอหันมองตามพร้อมถอดหมวกออกจากหัวและใช้มือสางผมให้เข้าที่ด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย"กระเป๋าโน๊ตบุ๊คหนักไปเเหรอเอามานี้สิเดียวผมช่วยถือ"
ก็ตามมาด้วยเสียงกดชัตเตอร์อีกครั้ง เหอไป่ขมวดคิ้วอย่างสงสัยและยื่นกระเป๋าโน๊ตบุ๊คไปไว้ในอ้อมแขนของตี๋ชิวเหอจากนั้นก็หยิบกล้องออกมาพร้อมปรับแฟลชส่องเลนส์กล้องไปในมุมมืดและรัวนิ้วบนชัตเตอร์อย่างรวดเร็ว
'ติ้ง!' ประตูลิฟต์เปิดออกมา
ตี๋ชิวเหอก็สัมผัสได้ถึงเรื่องผิดปกติหันไปจ้องมองที่มุมสลัวตามทางที่เหอไป่ส่งเลนส์กล้องใส่
"มีใครบางคนกำลังถ่ายรูปเหรอ?"
"ใช่แล้ว เสียงมันเบาดีที่ผมชอบเล่นกล้องเลยคุ้นเคยกับเสียงของซัตเตอร์
ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ได้ยินเสียง" เหอไป่พยักหน้าแล้วปล่อยกล้องลง
"ผมว่าอย่างนี้คุณควรโทรตามพนักงานรักษาความปลอดภัยของคอนโดมาดีกว่านะ"
"ได้สิ" ตี๋ชิวเหอหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดไปที่เบอร์ของส่วนกลางคอนโด
แต่ก็ชะงักเมื่อนึกอะไรบางอย่างออก เขายิ้มกว้างพร้อมโอบกอดไปที่ไหล่ของเหอไป่อย่างสนิทสนมจากนั้นก็ดันให้อีกคนเข้าไปในลิฟต์
"อาราซซี่ตัวน้อย นายอยากเล่นละคนหรือเปล่า"
น้ำหนักของมือที่วางไว้บนไหล่และความร้อนที่ส่งผ่านมือของตี๋ชิวเหอแม้ว่าตอนนี้เขาจะสวมเสื้อถึงสองชั้นก็สัมผัสถึงได้
เขาขยับตัวอย่างอึดอัดในตอนนี้เขาไม่ได้สนิทกับตี๋ชิวเหอมากพอที่จะมาใช้ท่าทางแบบนี้
แต่เพื่อให้นักข่าวคนนั้นเหอไป่ก็นิ่งเฉยอย่างอดทน รอจนกระทั่งประตูลิฟต์ปิดก็ขยับตัวโดยก้าวขาไปข้างหน้า
หัวคิ้วทั้งสองข้างขมวดจนแทบจะชนกัน "คุณตั้งใจทำอะไร"
ตี๋ชิวเหอที่ตอนนี้ยกนิ้วที่เลขชั้นสูงสุดอย่างไม่ใส่ใจ
สายตาก็เหลือบมองกล้องที่ติดอยู่ที่มุมลิฟต์
"นี่เป็นครั้งแรกที่ผมย้ายมา"
เหอไป่ก็จ้องมองกล้องในในลิฟต์ความรู้สึกส่วนลึกกระตุ้นเตือนในหัว
ทำให้เขาต้องยกมือลูบหน้าอย่างไม่แน่ใจ'ทำร้ายนักข่าวในลิฟต์'
เหมือนว่าเขาคุ้นๆว่าเคยได้ยินจากที่ไหนสักที่?
ชั้นบนสุดคอนโดหรูขนาดใหญ่ มีแบ่งออกเป็นสองชั้น
มีห้องอยู่มุมหนึ่งที่ชั้นหนึ่งติดกลับห้องนั่งเล่นซึ่งเหมือนว่าจะเป็นห้องนอนของตี๋ชิวเหอ
แต่ชั้นสองนั้นแทบว่างเปล่าไม่มีแม้แต่การตบแต่งใดๆ มันไม่เหมือนบ้านที่คนอาศัยเหมือนเป็นเพียงโรงแรมชั่วคราว
เหอไป่ที่ตอนนี้เดินมาหยุดที่ริมหน้าต่างจ้องมองออกไปเพื่อดูวิวของตัวเมือง
ให้ตายเถอะเขารู้สึกหมั่นไส้พวกคนรวย จากนั้นก็หันมามองตี๋ชิวเหอที่ตอนนี้อยู่ที่โซนห้องครัวจัดวางของที่พึ่งซื้อมาเรียงไว้และเดินไปหยิบจานผลไม้จากในตู้เย็น
ไหล่กว้างหนา เอวคอดเป็นตัววี ขาเรียวยาว
ผิวขาวใส โครงหน้าที่สมบูรณ์แบบ ทั้งหมดของชายตรงหน้าทำให้รู้สึกหงุดหงิดเมื่อก้มมาตัวเองเทียบเพื่อเทียบกับตี๋ชิวเหอ
เฮอะ!!
“กินผลไม้รองท้องก่อนเดียวผมเดียวพวกจะเปิดหาสูตรสเต็กให้”
ตี๋ชิวเหอทิ้งตัวบนโซฟานำแขนพาดไว้บนพนักเหมือนกำลังโอบไหล่ของเหอไป่และหยิบโทรศัพท์เพื่อนำมาถ่ายรูป
"คุณจะทำอะไร"
เหอไป่รีบขยับตัวหลบแขนของอีกคน
"ก็อย่างที่บอกไงว่าการมันเป็นครั้งแรก"
ตี๋ชิวเหอเก็บแขนลงเมื่อได้ภาพที่พอใจ จากนั้นก็ขยับตัวไปที่โต๊ะหน้าโซฟาเพื่อหยิบแล็ปท็อปออกมาพิมพ์สองสามคำจากนั้นก็เปิดคลิปวิดีโอ
"นี่ไง..คลิปการสอนทำสเต็ก"
เหอไป่ไม่สามารถให้ความสนใจในคลิปได้เนื่องเขายังมีบางอย่างที่กำลังสงสัย
"ตั้งแต่ย้ายครั้งแรกคืออะไร?" ให้ตายเถอะ
'กระตุ้นให้เขาอยากรู้แต่ก็ไม่อธิบายต่อนี้มันเป็นเรื่องที่คนทั่วไปเขาไม่ทำกัน'
“รออีกไม่กี่วินาที” ตี๋ชิวเหอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเหอไป่อีกครั้ง จากนั้นก็ชี้ไปที่กระเป๋ากล้องที่เหอไป่วางไว้อีกฟากของโซฟา
“นายโอเคนะถ้าผมจะขอภาพที่นายถ่ายเมื่อกี้”
นิสัยใจร้อนและทำอะไรตามใจโดยไม่อธิบายถึงเหตุผลก็คงเป็นนิสัยที่แท้จริงของอีกคนเมื่อเริ่มสนิทกัน
เหอไป่เบะปากและขยับตัวไปหยิบกล้องและถอดเมมโมรี่ออกมาจากนั้นก็วางไว้ที่หน้าตี๋ชิวเหอ
"เชิญคุณตามสบายตราบใดที่รูปของผมไม่เสียหาย"
“เด็กดี” ตี๋ชิวเหอเอื้อมมือออกมาเพื่อลูบหัวเหอไป่
เหอไป่รีบหยิบหมอนออกมากั้นกระแทกไปยังหน้าของอีกคน
ตี๋ชิวเหอไม่พูดอะไรนอกจากเพียงดึงหมอนออกจากหน้าและเอียงคอพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ
เสียงหัวเราะที่ดังก้องทั่วห้องโทนเสียงที่นุ่มลึกจับคู่กับใบหน้าหล่อเหลา
มันเหมือนคนตรงหน้าหลุดมาจากห้วงความฝัน
เหอไป่รีบทำเป็นไม่สนใจ เขาหยิบกล้องขึ้นและกดนิ้วไปที่ชัตเตอร์
แต่ก็มาพบว่ากล้องไม่ถ่ายเนื่องจากไม่มีเมมโมรี่อยู่ในกล้อง เขากลอกสายตาจ้องมองแล็ปท็อปที่อีกคนเปิดคลิปสอนทำอาหารค้างไว้เพื่อแก้เขิน
"เมื่อผมโหลดเสร็จนายจะถ่ายเยอะขนาดไหนก็ตามใจนายเลย
อย่าพึ่งหงุดหงิดน่า" ตี๋ชิวเหอเลื่อนจานผลไม้ไปตรงหน้าของเหอไป่เหมือนเอาใจ จากนั้นก็หยิบไอแพดที่วางอยู่ใกล้ก็เชื่อมต่ออุปกรณ์เพื่อเสียบเมมโมรี่และพรมนิ้วบนหน้าจอไอแพด
ทั้งน้ำเสียงและกระทำที่ทั้งอ่อนโยนและเป็นกันเอง...ไม่ใช่...มันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
ชายคนนี้ไม่เหมาะกับคำว่าอ่อนโยน! เหอไป่ยกมือตบแก้มเพื่อเรียกสติและกับไปสนใจที่คลิปทำอาหาร
แปดนาทีในวิดีโอก็จบลงพร้อมกับนิ้วมือของตี๋ชิวเหอที่หยุดลง
"เรียบร้อยแล้ว"
นิ้วมือที่หยุดพร้อมเสียงที่พูดขึงทำให้เหอไป่จ้องมองอีกคนอย่างสนใจ
"ดูนี้สิ"
ตี๋ชิวเหอวางไอแพดไว้ตรงหน้าของเหอพร้อมลุกขึ้นเดินไปที่ห้องครัว
ด้วยความอยากรู้ที่มีมาตั้งแต่ก่อนหน้าทำให้เหอไป่เข้าใกล้หน้าจอและแตะนิ้วมือเลื่อนขึ้นอ่า
ในหน้าจอมีเว็บเวยป๋อที่ล็อกอินบัญชีของตี๋ชิวเหอค้างไว้เหมือนจะมีข้อความที่พึ่งโพสต์ใหม่
ตี๋ชิวเหอ: ระหว่างทางกลับจากการอัดรายการทีวี
วันนี้ผมพบกับรุ่นน้องและชวนเขามาที่ห้องของผม แต่ไม่คาดคิดว่าจะถูกนักข่าวตามแอบถ่ายรูปรุ่นน้องคนนี้ของผมเรียนสาขาถ่ายภาพจึงมีกล้องติดตัวทำให้เขาถ่ายภาพนักข่าวได้พวกคุณให้คะแนนฝีมือของรุ่นน้องผมหน่อย
และตามด้วยภาพที่โพสต์ใส่ถึงเก้ารูปด้วยกัน
เหอไป่คลิกเปิดภาพทีละภาพทั้งแปดภาพเป็นของปาปารัชซี่ที่เขาถ่ายได้ถึงมันไม่ชัดมันเป็นรูปที่ความละเอียดแตกและภาพสุดท้ายเป็นภาพที่ตี๋ชิวเหอถ่ายกับเขาที่บนโซฟาเมื่อกี้
ใบหน้าของเขาถูกบดบังด้วยตัวหนังสือ
ในตอนนี้มีคอมเม้นต์ตอบกลับมากมายที่ถูกทิ้งไว้ใต้โพสต์นั่น
ซึ่งเท่าที่อ่านก็พอจับได้ว่าแบ่งออกเป็นความคิดเห็นสี่กลุ่ม กลุ่มแรกให้คะแนนการถ่ายภาพของเขา
สองวิจารณ์ปาปารัซซี่และชมเชยรุ่นน้องของตี๋ชิวเหอที่ทำได้ดี สามคาดเดาว่ารูปนี้ถ่ายจากที่ไหน
และสรุปว่ามันถูกถ่ายจากลานจอดรถ ซึ่งจากกลุ่มนี้มีคำต่อว่า ‘อาราซซี่’ ที่ถึงขนาดแอบติดตามตี๋ชิวเหอไปที่บ้าน
และกลุ่มสุดท้ายก็คือต่อว่า สาปแช่งตี๋ชิวเหอที่อีกคนเป็นบุคคลสาธารณะและยังมาเปิดเผยอาราซซี่แบบนี้กลับ
ทำให้เกิดกระแสไปทั่ว มันทั้งวุ่นวายและมีแต่คำที่รุนแรง
ที่อยู่ตรงหน้ามันคือเรื่องอะไร
อีกคนโพสต์เพื่อต้องการให้คนอื่นต่อว่าตัวเอง?
บอกตามตรงว่าเขาไม่เข้าใจว่าตี๋ชิวเหอต้องการทำอะไรกำลังจะถามอีกคนเขาก็เหลือบเห็นอีกหน้าเวยป๋อที่เปิดค้างไว้ข้างๆ
เขาก็คลิกเข้าไปอ่านด้วยความสงสัย
เป็นหน้าเว็บที่โพสต์แนะนำเกี่ยวกับการตลาดและสอนวิธีการโพสต์เพื่อให้ทีคนติดตามเยอะๆ
รักในการนินทาซึ่งฉันภูมิ: ประเด็นร้อน!ข่าวด่วน!!
ดาวฤกษ์อายุน้อยรูปหล่อตัวอักษรย่อ D ถูกบังคับให้ยกเลิกสัญญากับค่ายเก่า
'ฉันโกรธมาก' ปล.ดาวรุ่งตัวย่อ D
ที่เคยมีข่าวลือถึงความสัมพันธ์กับศิลปินน้องใหม่ และยังมีข่าวลือว่าเป็นนายน้อยของบริษัทยักษ์ใหญ่ก่อนหน้านี้
คนที่ทุกคนเคยหวังว่าจะเป็นเหล่าคุณนาย พวกคุณต้องรู้ทันที
เหอไป่ที่ตอนนี้อ้าปากค้างและคลิกดูหน้าเว็บอื่นที่อยู่ถัดไป
มีหน้าเว็บเกือบเจ็ดหรือแปดหน้า ที่เป็นพูดโพสต์ในทำนองเดียวกันซึ่งส่วนมากเป็นข่าวของตี๋ชิวเหอที่ทั้งหมดเป็นข่าวด้านลบยกเว้นแค่หน้าบัญชีของตี๋ชิวเหอเท่านั้น
เขาไม่เคยเห็นเวยป๋อที่มีชีวิตชีวามากขนาดนี้มาก่อน
"ดูทั้งหมดเสร็จแล้วเหอ" ตี๋ชิวเหอออกมาพร้อมแก้วน้ำผลไม้สองแก้ว
และวางไว้บนโต๊ะพร้อมมือเท้าคาง "นี้คือเรื่องที่จะทำให้ผมต้องการให้ถูกพูดในเชิงลบและสักพักผมจะปิดบัญชีเวยป๋อด้วยความหมดหวังและหายตัวจากกระแสโซเซี่ยลจนกว่าหนังเรื่องใหม่ของผมออกสู่ตลาด"
สิ่งที่คลุมเครือในใจของเหอไป่ก็ชัดเจนขึ้นทันที
ก่อนที่จะย้อนกลับมาเขาก็เคยได้ยินข่าวทำนองนี้ ตี๋ชิวเหอถูกยกเลิกสัญญาจากค่ายเก่า
พร้อมหลักฐานแก้ต่างให้ตัวเองในข่าวเชิงลบทั้งหมดและปิดบัญชีเวยป๋อของตัวเองด้วยความเศร้าใจ
ข่าวเชิงลบตอนนั้นมีเรื่องเด่นคือตี๋ชิวเหอเป็น
’ดาราหนุ่มใช้ยาจนเพี้ยนดึงปาปารัซซี่เข้าไปในลิฟต์และทำให้บาดเจ็บอย่างรุนแรงเกือบทำให้เสียชีวิต’
แม้ว่าตอนนั้นเขาจะเป็นคนไม่ได้ติดตามพวกข่าวบันเทิงยังเคยได้ยินเรื่องนี้
และรู้ได้ว่าว่าในปีนั้นตี๋ชิวเหอถูกกระสื่อมวลชนในปีนั้นเล่นงานอย่างหนัก
ถ้าวันนี้เขาไม่ตามอีกคนกลับมาที่คอนโด วันนี้ตี๋ชิวเหออาจจะถูกบล็อคโดยปาปารัซซี่คนที่อยู่ลานจอดรถและเกิดเหตุการณ์น่าตื่นเต้นขึ้น
'นักข่าวถูกทำลายสาหัส' ชื่อเป็นข่าวแรกหลังจากที่ตี๋ชิวเหอกลับมา
“มีถั่วให้ผมไหม?” เหอไป่ระงับความคิดไม่ให้ออกเสียงไม่ได้
วันนี้มาช้ามา เกิดเครื่องไม่คาดคิด
มอไชค์ล้มคะ!! น้องแมวที่ไหนไม่รู้วิ่งมาตัดหน้าแล้วก็แวปหายตัวไป "
ระบมทั้งตัว ขอโทษด้วยนะคะที่ช้า
บทที่ 23 พี่ชายคนใหม่
ตี๋ชิวเหอที่ได้ยินจ้องหน้าเหอไป่ค้างจากนั้นก็ส่ายหัวพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่มีนะ..เรื่องนี้น่าจะเป็นฝีมือของแม่เลี้ยงผม” ก่อนที่จะพบเหตุการณ์ในลิฟต์ตี๋ชิวเหอคิดว่าแม่เลี้ยงจะไม่ทางทำอะไรเขาในช่วงนี้
เนื่องจากจะต้องกู้คืนความไว้วางใจพ่อของเขา แต่นี้เขารับรู้ทันทีว่าเธอไม่เพียงจะต้องการกู้คืนความไว้วางใจจากพ่อแต่ต้องการที่จะฝังเขาในเส้นทางวงการบันเทิง
ซึ่งตอนนี้เขาทำให้พ่อไว้วางใจในตัวเขาแล้วซึ่งตอนนี้เขาก็หลุดจากการควบคุมของฮวางฝู
เธอคงประสาทเสียแน่นอนที่ไม่เป็นไปตามที่วางไว้ เธอจึงพยายามที่จะลากเขากลับเพื่อควบคุมและดักเส้นทางไม่ให้เขาทำงานในสายวงการบันเทิง
หลังที่ตัดขาดจากฮวางฝูเขาก็เคยคิดว่าจะต้องมีเรื่องแบบนี้ แต่ไม่คิดว่าฉินลี่จะลงมือเร็วขนาดนี้
ตี๋ชิวเหอได้คอนโดเป็นของขวัญฉินลี่ซึ่งวันนี้เขาก็เข้าใจจุดหมายที่อีกคนต้องการ
ตอนนี้ข่าวของเขาก็เป็นกระแสเชิงลบกระจายไปทั่วและยังมามีปาปารัซซี่มาปรากฏตัวเพื่อถ่ายภาพเขาที่ลายจอดรถ
นี้เหมือนเป็นสัญญาณว่าแม่เลี้ยงของเขาคงหมดความอดทน
เขาแทบจะนึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ต่อเลย ก่อนอื่นเธอคงสาดน้ำโคลนใส่เขาและก็มาประกาศว่าทางค่ายฮวางฝูบล็อคงานของเขาทั้งหมดเพราะทำตัวของเขา
และใช้พวกเส้นสายของเธอค่อยดักเส้นทางเพื่อให้เขาย้อนกลับไปที่ค่ายฮวางฝู และก็เสแสร้งว่าตัวเองเป็นแม่เลี้ยงที่ใจกว้างคอยช่วยเหลือเขาต่อหน้าพ่อของเขาเพื่อกลับมารักษาความมั่นคงในใจของพ่อเขา
ซึ่งทางเป็นไปตามนั้นพ่อของเขาก็คงกับมาไว้ใจในตัวเธออีกครั้ง
ในขณะตอนนั้นเขาคงเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่และคงถูกถอดออกจากผู้ชิงตำแหน่งประธานฮวางฟู
ผลที่ตามมาคือเขาก็ต้องกลับไปอยู่ใต้อำนาจฉินลี่และลูกโง่ๆของเธอ และที่กระวนกระวายถึงขนาดนี้ก็คงเป็นเพราะลุงเจี่ยงประกาศรายชื่อนักแสดงนำในภาพยนตร์เรื่องใหม่ของตัวเอง
ถ้าวันนี้เขาไม่มีลูกหมาน้อยของเขาอยู่ด้วยแล้ว ไอปาปารัซซี่คนนั้นจะเล่นตามกฎหรือเปล่า?
เขามั่นใจว่าเขาไม่เคยมีพวกวิดีโอหลุดก่อนหน้านอกจากวันนี้เป็นวันแรกที่เขาพาลูกหมาน้อยกลับมาด้วย
และอะไรคือความต้องการที่แท้จริงของปาปารัซซี่ ทดสอบ?!
ฉินลี่จะเดินหมากยังไงต่อ
มีความคิดมากมายในหัวทำให้ใบหน้ายังคงความอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มบางเบาแต่สิ่งเหล่านี้ส่งไปไม่ถึงดวงตา
เหอไป่ที่จ้องหน้าตึ้ชิวเหอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในลิฟต์เทียบกับเหตุการณ์ที่อีกคนตกลงจากตึกและจบชีวิตของตัวเอง
จากนั้นความโกรธที่โดนตี๋ชิวเหอกลั่นแกล้งก็จางหายไป เหอไป่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจช้าๆ
ชายตรงหน้าดูน่าสงสารเขาสร้างหน้ากากขึ้นเพื่อเป็นเกาะเพื่อเป็นการป้องกันถึงความรู้สึกที่แท้จริง
“มีอะไรที่ผมสามารถช่วยได้ไหม?” เขาวางไอแพดลงและพูดอย่างเป็นกังวล ตั้งแต่เขาย้อนกลับมาเขาก็พัวพันกับคนตรงหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก
เขาก็เหมือนเริ่มผูกพันธ์กับอีกคน จากทุกครั้งที่ทั้งสองพบกันท่ามกลางความสัมพันธ์ที่คลุมเครือนี้เขาพบเจอกับรูปแบบนี้นิสัยทั้งขี้โมโห
เจ้าเล่ห์และก็ใสซื่อ
ตี๋ชิวเหอหลุดจากความคิดของตัวเอง และเผลอจ้องตากับอีกคนพร้อมตกใจในสายตาที่
แสนบริสุทธิ์ของเด็กหนุ่มตรงหน้า จากนั้นก็ก็เปลี่ยนเส้นทางไปยังไอแพดที่ถูกปิดตรงหน้า
ยกมือเท้าคางและยกยิ้มบางๆ “ตอนนี้ผมหิว และต้องการเนื้อสเต็กที่สุกปานกลาง”
หลังจากนั้นห็เหยียดตัวพิงโซฟาเหมือนเจ้านายที่รอลูกน้องมาเสริฟอาหาร
เหอไป่ที่ตัวแข็งค้างจ้องมองการกระทำที่ร้ายกาจของตี๋ชิวเหอ
อารมณ์ตอนนี้ไม่สามารถกลั่นออกมาเป็นคำพูดได้นอกจากกระทืบเท้าเสียงดังและเดินตรงที่โซนห้องครัว
“ผมต้องการไวน์แดงด้วย
นายต้องการดื่มกับผมไหม?” เหอไป่ยกนิ้วกลางขึ้นและรู้สึกว่าเขาเป็นไอโง่ที่หลงห่วงคนๆนี้
มีเสียงดังที่ห้องครัวตี๋ชิวเหอก็เอนตัวลงพิงผนักโซฟายกหมอนมากอดไว้ที่หน้าอกสายตาจ้องมองเพดานห้องอย่างคนเหม่อลอย
เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมรอยยิ้มหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อพิมพ์ข้อความส่งไปให้เจี่ยงซิ่วเหวิน
ตี๋ชิวเหอ:
เฮ้..ซิ่วเหวินนายคิดว่าน้องชายฉันน่ารักไหม
เจี่ยงซิ่วเหวิน:
...สมองนายโดนอะไรกระแทกถึงคิดว่าตี้เซี่ยซ่งกลายเป็นคนน่ารัก?
ตี๋ชิวเหอ: นายเอาสมองอะไรคิดถึงบอกว่าตี้เซี่ยซ่งเป็นน้องชายฉัน?
น้องชายฉันนะเขามีลักยิ้ม! ทำตัวเหมือนลูกหมาตัวน้อยรู้ไหมว่าสายตาของออดอ้อนเหมือนลูกหมาจ้องมาเจ้าของให้เล่นด้วย!!
เจี่ยงซิ่วเหวิน: ลูกหมา?
เดียวก่อนนะทำไมฉันรู้สึกคุ้นชื่อนี้..นี้นายไม่ได้หมายถึงแฟนบอยของนายใช่มั้ย
คนที่นายให้ฉันใช้บัญชีรองไปหลอกส่งข้อความหาเขา
ตี๋ชิวเหอ: ใช่แล้ว
รู้ไหมว่าเขาไม่เพียงเป็นแฟนคลับแต่ยังเป็นรุ่นน้องที่มหาลัย
ซึ่งฉันจะปกป้องเขาอย่างดีอย่างน้องชายแท้ๆเลย
เจี่ยงซิ่วเหวิน:
จริงสิชิวเหอ..ฉันไปลงทะเบียบโรงพยาบาลจิตเวชให้นายแล้ว อย่าลืมไปตามตารางที่ฉันส่งให้ไม่งั้นเสียเงินเปล่า
ตี๋ชิวเหอ: นายอิจฉา
เจี่ยงซิ่วเหวิน:
...ฉันขอร้องให้นายไปตามนัดและอย่าลืมกินอยากที่เขาจัดมาให้
“ชิ..นายมันขี้อิจฉาจริงๆ” ตี๋ชิวเหอโยนโทรศัพท์พร้อมรอยยิ้มพึ่งพอใจ ทำไมนะตอนที่เขาพูดถึงลูกหมาน้อยว่า
‘น้องชาย’ มากเท่าไรเขาก็ยิ่งพบว่ามันเหมาะกับอีกคน
ไม่น่าแปลกใจที่เรารู้สึกชอบอยู่ใกล้ลูกหมาน้อยเพราะเขาต้องการน้องชายที่น่ารัก
มันก็ดีนะ นี้เขามารสนิยมดีจริงๆ ‘ภายก็น่ารักแต่แย่นิดที่ชอบกัดมือเขา
แต่มันก็ดีกว่าตี้เซี่ยซ่งที่เป็นน้องชาย’ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เขาก็ชอบใจเป็นอย่างมาก
เขาลุกขึ้นอย่างมีความสุขก้าวทางอย่างเร็วไปหาเหอไป่ที่กำลังพลิกด้านเนื้อสเต็กอย่างคล่องแคล่ว
มันน่าแปลกที่ลูกหมาน้อยจะทำกับข้าวเป็น “นายทำอาหารเป็น”
เหอไป่ที่ได้ยินเสียงอีกคนพูดก็ทำเป็นการเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
ก่อนหน้าเหอไป่เป็นชายโสดที่อยู่ตัวคนเดียวมานาน การทำอาหารจึงเป็นหนึ่งที่เขาจำเป็นต้อง
ตี๋ชิวเหอไม่สนใจว่าเหอไป่จะไม่อยากคุยกับตัวเองเพราะโกรธ
แต่ที่การทำอีกคนถือตะหลิวอยู่หน้ากระทะก็น่ารักมาก เขาจึงตัดสินใจเดินไปซ้อนหลังอีกคนและเอาคางวางบนหัวถูไปมาอย่างพึงพอใจ
“พี่ชายอย่างผมจะทำตัวดีๆกับน้องชายนะ”
‘เย็นไว้! เขาไม่สนใจสิ่งที่อีกคนพูด’
เหอไป่ชะงักตะหลิวขมวดคิ้วแน่น
เขาขยับตัวพร้อมยกเท้าขวากระทืบลงไปหนักๆที่เท้าของพี่ชายมโนและขยี้อย่างแรง
ตี๋ชิวเหอวางมือบนหัวของเหอไป่พี่หยุดการกระทำของอีกคนและเอ่ยพูดลอยๆ
“ถ้าน้องชายยังทำร้ายพี่ชายทำให้พี่ชายคนนี้ไม่สามารถไปถ่ายละครได้ น้องชายพอจะจ่ายค่าเสียเวลาให้พี่ได้ไหม”
เหอไป่พูดไม่ออกได้แต่ชักเท้ากลับมาเงียบๆพร้อมจับมือของตี๋ชิวเหอลงพร้อมจับตะหลิวไปตักเนื้อสเต็กออกจากกระทะใส่จาน
“ถ้าจะกินก็ปิดปากให้แน่น” อย่ามาท้าทายความอดทนของเขามาไปกว่านี้
ตี๋ชิวเหอหยิบจานพร้อมสูดกลิ่นหอมของเนื้อย่าง
จากนั้นไม่พอตี๋ชิวเหอก็เอานิ้วไปที่แก้มซ้ายของเหอไป่และหมุนนิ้วไปมา
“น้องเล็กยิ้มหน่อยน่า”
เหอไป่ไม่สนใจยังเทน้ำมันใส่กระทะอีกข้างก็ปัดมือของตี๋ชิวเหอ
สิบนาทีต่อมาทั้งสองก็อยู่หน้าจานสเต็กที่วางบนโต๊ะหน้าโซฟา มีแก้วไวน์แดงในถ้วยกระดาษที่ใช้แล้วทิ้งที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม
“คุณวางแผนจะทำยังไงต่อหลังจากข่าวออกมาในรูปแบบนี้?
หรือจะรอชี้แจงตอนที่เปิดตัวหนังหลังสร้างเสร็จ” เหอไป่รอจนจบมื้ออาหารจึงถามขึ้น
ตี๋ชิวเหอหยิบแก้วกระดาษไวน์แดงขึ้นจิบเพื่อลิ้มพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่หรอก หลังจากนี้ผมจะปิดบัญชีเวยป๋อของผมและชี้แจงเรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้น
และจากนั้นคนที่ใส่ร้ายผมในโซเซี่ยลก็หน้าหงายเพียงแต่หวังคนเหล่านั้นคงเข็ดและไม่มายุ่งเกี่ยวกับผมอีก....น้องชายนายจะเหงาไหมถ้าผมต้องไปถ่ายหนังที่ชายแดน”
เหอไป่ตกใจ “นี้คุณจะไปถ่ายหนังเรื่องใหม่ที่ชายแดนเหรอ”
เหอไป่จำได้ว่าหนังที่สร้างชื่อให้อีกคนคือ ‘Immortal Way’ ซึ่งกำกับโดยหลินโม่ซึ่งสถานที่ถ่ายทำคือเมื่อชนบทในเมืองจีน ที่มีจุดเด่นคือวิวที่สวยงามมากมาย
“ใช่ครับ” ตี๋ชิวเหอพยักหน้า
“หนังภาพยนตร์เรื่องใหม่ของผมมีผู้กำกับเป็นเจี่ยงหัวซาน ผมรับบทเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบปลอมตัวเข้าไปในแก๊งค้ายาเสพติดข้ามชาติ
หนังจะได้รับการถ่ายทำในเร็วๆนี้ มันอีกสักพักถึงเปิดกล้อง มันมีพวกฉากต่อสู้เยอะ ผมเลยต้องไปก่อนเพื่อที่จะไปฝึกเข้าร่วมฝึกษะต่อสู้ในระบบปิด”
ขอบคุณทุกความห่วงใยนะคะ ตอนนี้ดีขึ้นแล้วคะ
แค่ปวดเมื่อยเนื้อตัว ขอบคุณมากนะคะ
เหมือนเดิมนะคะ ของให้คุณคนรักน้องเยอะๆ
หมั่นไส้พี่ให้เต็มที่ ><"
บทที่ 24 แม่บ้าน
มือของเหอไป่ที่สั่นจนเนื้อเสต็กที่อยู่บนส้อมร่วงใส่จาน
เสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความแปลกใจ “หนังภาพยนตร์?
ที่กำกับโดยเจี่ยวหัวซาน? ไม่....” มีอะไรเปลี่ยนไป ‘ทำไมไทม์ไลน์ถึงแตกต่างไปจากชีวิตก่อนที่เขาย้อนมา’
ตี๋ชิวเหอมองไปที่ดวงตาที่เบิกกว้างตรงหน้าทำให้มีรอยยิ้มกว้างอย่างไม่รู้ตัว
ทันใดนั้นเขาก็เอื้อมมือใช้ส้อมจิ้มที่เนื้อเสต็กที่เหอไป่ทำตกไว้ก่อนจะนำใส่เข้าปากอีกคนและแตะค้างไว้ที่ริมฝีปากของเหอไป่
“ใช่แล้วน้องชาย นายอาจจะไม่ได้พบฉันหลายเดือน อย่างมั่วคิดถึงผมมากเกินไป”
เหอไป่เอนตัวถอยหลังจากที่ส้อมเปียกน้ำลายของตี๋ชิวเหอโดนริมฝีปากตัวเอง
เหอไป่ทำเพียงจ้องใส่ส้อมที่อยู่ตรงหน้าพร้อมสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ สีหน้าของตี๋ชิวเหอก็เต็มไปด้วยความสนุกที่เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเด็กหนุ่มตรงหน้า
‘ส้อม..ส้อมที่อีกคนพึ่งนำใส่ปาก..และใส่มาในปากของฉัน..นี้เป็นการแลกเปลี่ยนน้ำลาย...ทางอ้อม...’
ตี๋ชิวเหอไม่สนใจเขาทำเพียงมองสีหน้าหลากหลายอารมณ์ตรงหน้าด้วยความสนุกและนำส้อมเดิมไปจิ้มที่ชิ้นเนื้อที่หั่นแล้วตรงหน้าอีกครั้งแล้วใส่เข้าปากตัวเอง
จากนั้นวางส้อมลงและหยิบเช็ดชู่มาเช็ดที่มุมปากของตัวเอง พร้อมรอยยิ้มที่ไม่หุบ “ขอบคุณสำหรับสเต็กมื้อนี้ มันอร่อยมาก ผมชอบมันนะ”
‘...เขากินมัน เขากินเนื้อชิ้นสุดท้ายด้วยส้อมของที่แตะโดนฝันของฉัน...’
มุมมองสามเหลี่ยมของเขามันพังทลายและเขาไม่สามารถกินต่อไปได้อีกแล้ว
[T/N มุมมองสามเหลี่ยม: มุมมองของโลก
มุมมองคุณค่าและมุมมองของชีวิต]
เหอไป่ที่ยังช็อคไม่หยุดและยังช็อคกว่าเดิมก็คือตี๋ชิวเหอเดินไปล้างจาน
ก่อนที่จะไปยังมาเปลี่ยนแก้วรสไวน์แดงแสนแพงไม่ให้เขาลิ้มรส แต่กับแทนที่ด้วยน้ำผลหนึ่งแก้วแทน
เสียงที่ดังกระทบกันของจานมาจากในห้องครัว
เหอไป่พยายามบีบมือตัวเองแน่นเพื่อให้ตัวเองหลุดจากห้วงฝันร้ายวันนี้
เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้น
มันคือโปรแกรมวีแชทสติเขากับมาหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
วันนี้ถูกแม่เลี้ยงรังแกอีกแล้ว
เหอไป่จ้องที่ห้องครัวอย่างระวัง ด้วยความอยากรู้จากส่วนลึกว่าคนทั้งสองเป็นคนเดียวกัน
เพราะทั้งสองมีเรื่องราวที่คล้ายคลึงกันมาก แต่เสียงน้ำและจานกระทบยังดังอยู่ต่อเนื่อง
เขาถอนหายใจเบาๆ ไอดอลและแฟนคลับ มีแม่เลี้ยงใจร้ายที่เหมือนกัน คนแบบนี้จึงดึงดูดกันเท่านั้น!!
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
ฉันหนีออกจากบ้าน
เหอไป่ตกใจอย่างมากและรีบคิดคำปลอบเธอ
White and Whiter: ใจเย็นๆก่อนนะ
ข้างนอกมันอันตรายที่หญิงสาวจะออกมาอยู่คนเดียว
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: แต่ฉันเสียใจ
White and Whiter: เอาอย่างนี้
เธอก็เข้าห้องและหาหนังตลกดูสักเรื่อง น่าสนไหม?
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
นั่นไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องการ
White and Whiter: แต่อย่างไรก็ตามคุณไม่ควรออกจากบ้านมันไม่ปลอดภัย
และพ่อของคุณรู้ไหมว่าแม่เลี้ยงกลั่นแกล้งคุณ
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: เขารู้
แต่ก็เพียงบางส่วนเท่านั้น
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
ฉันยังรู้สึกเศร้ามาก เสี่ยวไป่คุณช่วยเรียกฉันว่าชิวชิวได้ไหม ฉันชอบชื่อนี้
เหอไป่ลังเลสักพัก
ก่อนจะส่งเป็นข้อความเสียงเพื่อความสบายใจของอีกคน
‘เพี้ยง’ เสียงจานแตกมาจากทางห้องครัว
เหอไป่รีบวิ่งไปที่ห้องครัวเพื่อตรวจสอบตี๋ชิวเหอเพื่อว่าเขาได้รับอันตรายอะไรไหม
เขาเห็นอีกคนยืนอยู่หน้าซิงค์ล้างจานด้วยสีหน้าว่างเปล่า สวมถุงมือที่มีฟองเต็มไปหมด
มีกองซากของจานแตกเต็มพื้นข้างตัว ตี๋ชิวเหอหันมายิ้มแห้งๆ“ขอโทษ มันลื่นออกจากมือ”
เหอไป่ถอนหายใจผลักตัวของอีกคนไปด้านข้างพร้อมม้วนแขนเสื้อขึ้น
“เดียวผมล้างเอง รู้ไหมว่าไม่ต้องใส่น้ำยาล้างจานเยอะขนาดนี้ ไปเอาไม้กวาดมาเก็บกวาดที่พื้นแล้วอย่าใช้มือจับเดียวมันจะบาดนิ้วเอา”
“ได้ครับ” ตี๋ชิวเหอถอดถุงมือ
สายจ้องไปยังมือของเหอไป่ที่อยู่ซิงค์ในล้างจาน เขาเอามือซุกกระเป๋ากางเกงที่ยังมีโทรศัพท์เปิดค้างอยู่
แววตาประกาย ‘น้องชายของฉัน...น่ารักจริงๆ’
หลังจากล้างจานเสร็จเหอไป่ถือกล่องซ็อกโกแลตขนาดใหญ่ตามด้วยกระเป๋าโน๊คบุ๊ตและกระเป๋ากล้อง
หลังถูกยัดใส่ในรถแท็กซี่โดยตี๋ชิวเหอ
“ขอโทษที่ผมดื่มไวน์จึงไม่สามารถไปส่งนายได้”
ตี๋ชิวเหอก้มตัวพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยนลอดหน้าต่างกระจกรถที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่ง
“และขอบคุณที่มากับผมวันนี้มันถือเป็นกำลังให้ผมเป็นอย่างมาก
ส่วนหลังเรื่องใหม่ที่ผู้กำกับเจี่ยงสร้าง ถูกเขียนบทละครโดยซูอิ๋นหลง และที่ทั้งสองตัดสินใจเลือกผมก็เพราะรูปของนายทั้งสองที่ส่งให้เขา
ดังนั้นขอบคุณนะ”
เหอไป่ก็ได้คำตอบถึงข้อสงสัยมานาน
พร้อมจ้องมองใบหน้าตี๋ชิวเหอ ซึ่งทำให้เขาพูดต่อไม่ถูกเมื่อสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนของตี๋ชิวเหอ
“หลิวฮวนฮวนในเร็วๆนี้จะได้จ่ายบทเรียนราคาแพง”
ตี๋ชิวเหอยื่นมือผ่านหน้าต่างใช้นิ้วจิ้มไปที่ลักยิ้มที่แก้มซ้าย
“หลังจากนี้คงมีกระแสข่าวอย่างหนัก ยิ้มหน่อย ไม่ต้องกังวลผมโอเค”
เหอไป่ขมวดคิ้วและเอื้อมไปดึงมือของตี๋ชิวเหอออกจากกระจกหน้าต่างข้างรถ
“นี่คือวิธีที่นายทำกับเจ้าหนี้ของนายหรือ?”
ตี๋ชิวเหอยกคิ้ว มีสีหน้าดื้อรั้นทับซ้อนใบหน้าอ่อนโยน “ผมจำได้ว่านายติดหนี้ผมอยู่ 163.78 หยวน
ผมเก็บใบเสร็จไว้แล้ว อย่าคิดหนีหนี้”
เหอไป่รีบหยิบเงินทั้งหมดในกระเป๋ามีอยู่ 132
หยวนกำลังจะยื่นไปที่หน้าของตี๋ชิวเหอ
“พี่ครับไปมหาลัย Q” หลังพูดเสร็จตี๋ชิวเหอก็รีบขยับตัวถอยหลัง พร้อมขยับหมวกขึ้นทำให้เห็นถึงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ลูกหมาน้อยวันนี้ผมมีความสุขมาก”
รถแท็กซี่สตาร์ทขับออกไปเหอไป่ตกใจไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
เขาโผล่หัวออกนอกหน้าต่างและตะโกนใส่ตี๋ชิวเหอที่ห่างออกไปอย่างช้า
“เด็กชายตี๋ สมองคุณนะไม่เกินสามขวบ ฉันไม่มีทางคืนเงินให้คุณ เชิญบ้าให้ตามใจ”
รถเสี้ยวหายไปพร้อมเสียงโวยวายที่ดังตามหลังแล้วปลิวหายไปกับสายลม
ตี๋ชิวเหอหยุดรอยยิ้มและหยิบโทรศัพท์ต่อสายหาตี๋เบี่ยนและเดินอาร์ตเม้นท์
“พ่อครับขอโทษ ผมเกรงว่าจะเดินทางออกนอกเมืองไปซักพัก”
ข่าวเกี่ยวกับตี๋ชิวเหอที่ดังในกระแสโซเซี่ยล
ประการแรกมีคมเปิดเผยว่าตี๋ชิวเหอเป็นลูกชายคนโตของผู้บริหารใหญ่ค่ายฮวางฝูซึ่งมีภูมิหลังที่ทรงพลัง
และยังเป็นนักศึกษามหาลัย Q ได้สิทธิพิเศษไม่ต้องเข้าเรียนแต่สามารถได้ประกาศนียบัตรจบการศึกษา
ต่อมาก็มีข่าวว่าหวงชวินโจวศิลปินที่ออกคู่กับตี๋ชิวเหอ ก็มีการออกมาพูดว่าตี๋ชิวเหอเหยียดหยามและดูถูกว่าเขาเป็นเกย์
และยังใช้อำนาจที่ของการเป็นลูกคนโตของผู้บริหารค่ายฮวางฟูบังคับให้ออกจากการเป็นศิลปินและย้ายไปอยู่ที่ต่างประเทศ
หินก้อนเดียวกระทบผืนน้ำสงบก็ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมเป็นพัน
เหล่าโซเซี่ยลตกใจที่อีกคนเป็นถึงลูกชายคนโตของเจ้าของค่ายฮวางฝู และมีอดีตเพื่อนร่วมทีมเป็นเกย์
ตี๋ชิวเหอนั้นแสร้งทำเป็นคนสุภาพอ่อนโยนเป็นมิตรกับเหล่าแฟนคลับ แต่แท้จริงแล้วอีกคนเป็นคนพาลและไร้ยางอายมาก
ที่ได้ประกาศนียบัตรจบการศึกษาโดยใช้เงิน
แต่ก็ยังมีเหล่าแฟนคลับที่เชื่อถือในตัวของตี๋ชิงเหอที่ยังไปในบัญชีเวยป๋อของตี๋ชิวเหอเพื่อให้กำลังใจเขา
อีกสองวันต่อมาก็มีข่าวหลุดออกมาอีกครั้งว่าตี๋ชิวเหอแอบลักลอบคบกับศิลปินหน้าใหม่
และใช้ฐานะว่าเป็นลูกชายคนโตของเจ้าของค่ายฮวางฝู ซึ่งศิลปินคนนั้นชื่อหลิวฮวนฮวน
ซึ่งการที่ชื่อของเธอปรากฏในกระแสโซเซี่ยล ทำให้ทุกคนแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจ
และในทันทีหลิวฮวนฮวนก็โพสต์ข้อความเชิงพาดพิงถึง
ทำให้มีคนติดตามที่เวยป๋อจากหลักหมื่นตอนนี้พุ่งเป็นแสนคน เธอยังพร่ำบ่นว่าเธอเจอคนไม่ดีในอดีต
แต่มันก็ทำให้เธอสามารถเป็นผู้หญิงที่แกร่งขึ้นและจะดีกว่าเดิมให้ได้
เหล่าผู้ติดตามก็สนับสนุนและให้กำลังใจเธอที่ไม่หลงผิดไปยึดติดกับเรื่องของความรักและมองเธอในแง่บวก
กระแสความเห็นใจเธอก็ร้อนแรงติดอันดับในเวยป๋ออย่างรวดเร็ว
“เธอมันช่าง..” หนิงจวินเจี๋ยปิดคอมของเขาทันทีหลังจากอ่านเสร็จสีหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ
เหอไป่ก็ที่นั่งข้างก็เข้าใจถึงอารมณ์ของคนตรงหน้าจากที่หลิวฮวนฮวนแสดงความเห็นในโซเซี่ยลมัน...เหอไป่รีบปลอบใจหนิงจวินเจี๋ย
“เอาน่าผมว่าเธอจะได้รับบทเรียนในอีกไม่นานในเรื่องนี้
อย่าไม่สนใจกับข่าวไร้สาระเลย วันพรุ่งนี้เป็นวันสอบวันแรกเรามาทบทวนบทเรียนกันดีกว่า”
หนิงจวินเจี๋ยพยายามระงับความโกรธและพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมชูกำปั้นขึ้นสูง
“ตกลงเรามาอ่านหนังสือกัน สิ่งสำคัญตอนนี้คือเราต้องไม่ติดเอฟ”
เหอไป่ให้กำลังใจโดยการตบไหล่เบาๆและหยิบหนังสือเรียนขึ้นมา
พวกเขาใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายในการอ่านหนังสือและตอนช่วงเย็นหนิงจวินเจี๋ยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูเวยป๋อที่มีข่าวใหม่กระพืบขึ้นมาอีกครั้ง
“ตี๋ชิวเหอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหลินฮวนฮวนและใช้ยาเสพติด?
ให้ตายเถอะ!!” หนิงจวินเจี๋ยที่จ้องมองโทรศัพท์ก็หลุดเสียงอุทานอย่างแปลกใจ
เขามองเพื่อนร่วมห้องทั้งสามที่จ้องมาทางเขา พร้อมรอยยิ้มละอายใจและเบาเสียงลง“อ่านหนังสือกันต่อเถอะผมไม่กวนพวกนายแล้ว”
หวังหู่และเฉินเจี๋ยที่ก่อนหน้าไปห้องสมุด ทั้งสองไม่ทราบเรื่องที่เหอไป่ปลอบหนิงจวินเจี๋ยให้ใจเย็นลงในเรื่องของหลินฮวนฮวน
และเมื่อหนิงจวินเจี๋ยพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้งเขาจะทำเป็นไม่สนใจไม่ได้
“ไม่มีอะไรหรอก เรามาอ่านหนังสือกันต่อเถอะ”
เฉินเจี๋ยพยักหน้าเห็นด้วย “แล้วสอบเสร็จเดียวพวกเราจะไปดื่มกับนาย โอเคไหม?”
“ไม่ๆๆ..เรื่องของ เธอไม่มีผลอะไรกับผมแล้ว
แต่เมื่อกี้ผมเห็นข่าวโดยบังเอิญก็อดไม่ได้ที่จะหลุดออกมา เธอมันช่าง..” หนิงจวินเจี๋ยยกมืออย่างยอมแพ้ “ผมสาบานว่าจะไม่แตะต้องโทรศัพท์อีกแล้ว
ไม่แตะเข้าไปอ่านข่าวอีกแน่นอน”
บอกตามตรงว่าหวังหู่และเฉินเจี๋ยไม่เชื่อในคำสัญญา
พวกเขาจะยึดโทรศัพท์เพื่อป้องกันไม่ให้หนิงจวินเจี๋ยแอบหยิบขึ้นมาเล่นระหว่างอ่านหนังสือ
เมื่อทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ เหอไป่ที่กังวลถึงข่าวที่ได้ยินก็เปิดโทรศัพท์เพื่อค้นหาข่าวล่าสุดของตี๋ชิวเหอคำที่ขึ้นเด้งขึ้นมาให้เห็นมีทั้ง
‘การใช้งานเสพติด’ ‘นิสัยส่วนตัวที่ไม่ดี’
ซึ่งทุกคำเน้นเป็นสีแดงให้เห็นชัด ทำให้สมองของเหอไป่เหมือนถูกแข่แข็งและรีบกดไปที่หมายเลขโทรศัพท์ของตี๋ชิวเหอและยกเลิกการบล็อคอีกคน
เพื่อที่สามารถส่งข้อความได้
บทที่ 25 หนึ่งต่อสาม
เหอไป่: คุณเป็นยังไง
คุณเห็นข่าวที่มีคนบอกว่าคุณเล่นยา? และคุณจะจบเรื่องนี้ยังไง
ตี๋ชิวเหอ: นายคิดถึงผมไหม
เหอไป่: .....
เหอไป่: วางเรื่องไร้สาระลง
ผมกำลังพูดถึงเรื่องสำคัญอยู่นะ
เหอไป่รีบปิดหน้าจอและโยนโทรศัพท์ไว้ในลิ้นชักและฝังตัวเองในกองหนังสืออย่างหงุดหงิด
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงเขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมาใหม่และส่งข้อความสั้นๆอีกครั้ง
เหอไป่: คุณจะจบเรื่องนี้เมื่อไร
แล้วเมื่อไรจะปิดบัญชีเวยป๋อตามที่คุณบอกไว้?
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าข่าวทั้งหมดไม่เป็นเรื่องจริง
แต่การที่คนในโซเซี่ยลก็ต่อว่าตี๋ชิวเหอไม่หยุด มันก็เหมือนเป็นการทำร้ายความรู้สึกของตี๋ชิวเหอมากเกินไป
แต่ก็ทำอะไรกลับเหล่าคนในโซเซี่ยลที่ชอบเสพข่าวไม่ดีของคนอื่นแล้วแชร์มันออกไป
ตี๋ชิวเหอ: นายรู้สึกเสียใจกับเรื่องของผม
ตอนนี้เหอไป่รู้ว่าต้องใช้น้ำเย็นมาดับอารมณ์ของตัวเองทันที
ตี๋ชิวเหอ: นี่นายจะเมินผมอีกเหรอ
ตี๋ชิวเหอ: ลูกหมาน้อย
นายมันเป็นคนที่ใจร้ายมาก
ตี๋ชิวเหอ: เรื่องข่าวนายไม่ต้องกังวล เดียวผมจะไปชี้แจงในทันที
ตี๋ชิวเหอ: นายเข้าไปหาที่เวยป๋อของผมสิ
เหอไป่ขยับเม้าส์ในมือและเข้าเวยป๋อกดค้นหาบัญชีของตี๋ชิวเหอ
ใช้เวลาไม่นานก็พบและเห็นว่าอีกคนมีการเคลื่อนไหวโดนการโพสต์วิดีโอที่หน้าบัญชีหลักตอนนี้
เหอไป่เลื่อนเม้าส์เพื่อคลิกเล่นวิดีโอ
“สวัสดีครับทุกคน...ผมคือตี๋ชิวเหอและเป็นลูกเป็นลูกชายคนโตของตี๋เบี่ยนซึ่งเขาก็คือพ่อของผมและเป็นเจ้าของค่ายฮวางฝู
ผมก็เป็นอดีตเพื่อนร่วมงานของหวงชวินโจวที่ตอนนั้นเขาก็อยู่ค่ายฮวางฝูเช่นเดียวกับผม”
ใบหนาของตี๋ชิวเหอเด่นชัดเจนและพื้นหลังเป็นเบาะรถยนต์เหมือนว่ากำลังจะเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง
“ผมอ่านข่าวที่มีบนโซเซี่ยลทั้งหมดแล้ว และวันนี้ผมขอชี้แจงเป็นข้อๆไปนะครับ
ประการแรกผมไม่เคยใช้อำนาจของพ่อผม เพราะในสัญญาของผมที่เซ็นตั้งแต่แรกนั้นชัดเจนในเรื่องนี้
ซึ่งเรื่องนี้สามารถสอบถามกับพนักงานทั้งหมดที่อยู่ในค่ายฮวางฝูได้ ซึ่งถ้าสอบถามคนเหล่านั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นลูกชายของตี๋เบี่ยนมีเพียงผู้ใหญ่ในบอร์ดบริหารบางท่านเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้"
ความเงียบแทรกซึมและคนในคลิบก็พูดต่อ
"และประการที่สองผมไม่เคยเลือกปฎิบัติไม่ว่าคนนั้นจะเป็นเกย์หรือหญิงแท้ชายแท้
เหตุผลที่ยุติการออกเป็นศิลปินดูโอ้ก็เพราะคนที่ทำงานร่วมกับผม คือหวงชวินโจว เขาขอถอนตัวเนื่องจากเขาจะไปแต่งงานและอยู่กินที่ต่างประเทศผมหวังว่าทุกคนจะให้เขาสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบกับแฟนของเขา
ซึ่งเรื่องนี้ก็สามารถที่จะพิสูจน์ได้จากผู้จัดการวงที่ในตอนนั้นดูแลพวกผมทั้งสอง ซึ่งถ้าทุกคนไม่เชื่อผมในเรื่องนี้ผมก็ไม่สามารถที่พูดอะไรในประเด็นนี้ได้ต่อ
ประการที่สามเรื่องที่ผมเป็นนักศึกษาของมหาลัย Q เป็นเรื่องจริงครับ
ผมอยู่ในหอในมหาลัยตอนเรียนอยู่ปีหนึ่งและย้ายออกมาตอนปีสองหลังจากที่ผมเซ็นสัญญากับค่ายฮวางฝู
เนื่องจากการทำงานผมไม่สามารถเข้าเรียนได้ตามเวลา แต่ทุกคนที่ผมกลับบ้านผมก็ไม่ได้อยู่เฉยผมเอาหนังสือเรียนมาอ่านและทบทวนบทเรียนทั้งหมดด้วยตัวเอง
และได้เข้าร่วมการสอบทุกภาคเรียนที่ทางมหาลัยได้จัดขึ้น เรื่องที่ผมสอบเข้ามหาลัยและการได้รับประกาศนียบัตรผมมั่นใจว่าทุกอย่างเป็นได้มาจากความสามารถของผมเอง
ทุกคนสามารถสอบถามฝ่ายวิชาการของมหาลัย Q ได้" แม้เสียงคนในคลิบเบาลงแต่ตี๋ชิวเหอยังคงใบหน้ายิ้มบางๆอย่างอ่อนโยน
"และสำหรับเรื่องที่มีคนบอกว่าผมเล่นยาเสพติด
ตอนนี้ผมกำลังเดินทางไปโรงพยาบาลโดยผมได้นำทนายความไปด้วย เพื่อให้เขายืนยันผลตรวจที่ได้รับในวันนี้
และเรื่องข่าวของผมกับหลินฮวนฮวนกับผมมันก็เป็นเรื่องไร้สาระ เธอเป็นเพียงแฟนเก่าของเพื่อนรุ่นน้องที่ผมสนิทด้วย
ผมไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวหรือสนทนาอะไรกับเธอทั้งสิ้น"
จากมุมมองของเหอไป่ที่ตี๋ชิวเหอพูดทีละประเด็นนั่นไม่เร็วหรือช้าเกินไป
เหมือนคนสุภาพชนที่อธิบายเพื่อยุติประเด็นข้อโต้เถียงของคนพาล
เมื่อรถหยุดกล้องที่ถือก็ส่ายไปมา
“ผมมาถึงโรงพยาบาลแล้ว” ตี๋ชิวเหอในกล้องแต่สายตาจ้องมองไปภายนอกรถสีหน้าเต็มไปด้วยความเหงา
“เรื่องซุบซิบเป็นเรื่องน่ากลัว การใส่ร้ายคนอื่นซ้ำๆทำให้คนอื่นหลงเชื่อเรื่องเหล่านี้
ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องออกมาชี้แจ้ง ตี๋เบี่ยนพ่อของผมเขาเป็นประธานบริษัทที่น่าเชื่อถือ
เขาไม่เคยใช้เรื่องส่วนตัวมาปะปนกับงานส่วนเรื่องที่ต่อว่าผม ผมนั้นโอเคนะครับ แต่อยากดึงพ่อของผมมายุ่งด้วยเขาเป็นคนที่ยึดถือหลักเกณท์ของเจ้าของค่าย
และผมตอนนี้ก็ออกจากค่ายฮวางฝูมาหนึ่งเดือนที่แล้ว โปรดอย่ามองฮวางฝูในแง่ร้ายเพราะผม
และวันนี้ผมขอตัดสินใจปิดบัญชีเวยป๋อในอีกสิบนาที
ขอบคุณเหล่าแฟนๆที่ติดตามและให้กำลังใจผมมาโดยตลอด ขอบคุณครับ”
และวิดีโอก็จบลง
ทั้งห้องเสียงแม้แต่เสียงเข็มตกลงบนพื้นก็ได้ยิน
หนิงจวินเจี๋ยที่ขยับเข้ามาใกล้เหอไป่เมื่อไรไม่รู้เอ่ยถามขึ้น
“เพื่อนร่วมห้องของรุ่นน้องที่ตี๋ชิวเหอพูดคือ...ฉันใช่ไหม รุ่นน้องที่ตี๋ชิวเหอพูถึงคือนายใช่ไหม”
หวังหู่ถอนหายใจ
“มันก็เป็นเรื่องจริงนะที่เรื่องซุบซิบเป็นเรื่องที่น่ากลัว ตี๋ชิวเหออธิบายถึงทุกเรื่องด้วยความชัดเจน
และก็เห็นว่าเขาไม่แสดงออกถึงความหงุดหงิดกับเรื่องเลวร้ายในโซเซี่ยลเลย”
เฉินเจี๋ยที่ตอนนี้ถือไอแพดอยู่ในมือก็ส่ายหัว
“เรื่องทั้งหมดนี้ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะผิดหวังและแจ้งจะปิดบัญชีเวยป๋อของตัวเอง
ผมได้ยินมาว่าเขาได้รับการกระทำที่รุนแรงมาก มีคนหาที่อยู่ของเขาเจอและทำถึงขนาดไปวางหนูที่ตายแล้วไว้ที่หน้าห้องของเขาและยังมีการนำสีไปละเลงประตูห้องของเขา”
หนิงจวินเจี๋ยพูดแทบไม่ออก “บอกผมหน่อยว่าพวกเขาไม่เคยมีเรื่องแค้นกันใช่ไหม? การทำเรื่องแบบนี้มันแย่มาก”
เหอไป่รู้สึกไม่สบายใจ เขารีบหยิบโทรศัพท์กดเบอร์ตี๋ชิวเหอ
เขาถือรอสายสักพักก็ไม่มีคนรับ หลังจากนั้นไม่นานก็มีข้อความส่งเข้ามาในเครื่อง
ตี๋ชิวเหอ: ไม่ต้องกังวลผมโอเค
ขอบคุณน้องชายที่น่ารักของผม
หนิงจวินเจี๋ยเหลือบเห็นข้อความโดยบังเอิญ และพูดด้วยเสียงตกใจ
“นี่ฉันอ่านผิดหรือเปล่า มันส่งมาจากตี๋ชิวเหอ และเขายังเรียกนายว่าน้องชาย?”
สองคนตรงหน้าก็มองดูเหอไป่อย่างเจ้าเล่ห์
เหอไป่รีบพูดขึ้นทันที
“เรื่องนี้ฉันอธิบายได้นะ” ทั้งสามรีบขยับเก้าอี้เข้าใกล้และตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ
เหอไป่แบะปากพร้อมมองคนทั้งสามตรงหน้า และอธิบายเรื่องที่เขาพบตี๋ชิวเหอได้ยังไง โดยเป็นการอธิบายให้รวบรัดที่สุด
“นี่มันเป็นเรื่องของโชคซะตา” หนิงจวินเจี๋ยโพล่งขึ้นมาหลังจากยินเรื่องราวทั้งหมด
“ดูเหมือนว่าตี๋ชิวเหอเป็นคนดีจริงๆ พวกข่าวลือในโซเซี่ยลก็เหมือนเป็นการพูดใส่ร้าย...เสี่ยวไป่นายอย่าลืมปลอบใจเขาให้มากๆนะ”
หวังหู่ตบไหล่เหอไป่ด้วยสีหน้าเศร้า
เฉินเจี๋ยยกแกวน้ำขึ้นมาจิบ
“เขาเป็นคนส่งเค้กวันเกิดให้เสี่ยวไป่
ช่างเป็นคนที่มีน้ำใจและเป็นคนดี เสี่ยวไป่นายลืมตอบแทนเขาล่ะ
ช่วงนี้เขาอยู่ในอารมณ์ที่ย่ำแย่ นายเป็นเพื่อนของเขาก็อย่าลืมปลอบโยนเขาล่ะ”
อีกสองคนก็พยักเห็นด้วยตาม
“...” ทำให้เหล่าเพื่อนร่วมห้องถึงตอบสนองแบบนี้
คนดีเหรอ? คนๆนั้นเขาเป็นเด็กน้อยแท้ๆ
พวกเขาตาบอดอย่างแน่นอน
“จริงด้วยตอนนี้เขาออกจากค่ายฮวางฝูแล้วถ้าติดต่องานก็ไม่ติดต่อผ่านค่ายใช่ไหม”
หนิงจวินเจี๋ยกระโดดลุกจากเก้าอี้ทันที
และล้วงโทรศัพท์อย่างมีความสุข “เขาช่วยเปิดเผยเรื่องหลิวฮวนฮวนต่อสาธารณะ
ซึ่งเป็นการตรอกกลับอีกคนแทนฉัน ฉันต้องขอบคุณเขา ตอนนี้ว่าพ่อฉันกำลังหาพรีเซ็นเตอร์สำหรับนาฬิกาที่พึ่งเปิดตัวใหม่
ฉันตัดสินใจได้แล้วฉันจะให้ตี๋ชิวเหอมาเป็นพรีเซ็นเตอร์”
เหอไป่จ้องมองอีกคนอย่างไม่คาดคิด
“นายจะเช็นสัญญาให้เขาเป็นพรีเซ็นเตอร์ส่วนมากพ่อของนายจะจ้างเหล่าพวกศิลปินที่ติดท็อปหนึ่งในสี่เหล่าศิลปินค้างฟ้าเท่านั้นไม่ใช่เหรอ”
“เอาน่ามันก็มีการเปลี่ยนรสชาติบ้าง รูปร่างและบุคลิกของเขาเหมาะกับนาฬิการุ่นใหม่ที่ครอบครัวผมเปิดตัวพอดี”
หนิงจวินเจี๋ยโบกมือเหมือนไม่ต้องการพูดต่อและหันไปกรอกเสียงใส่ในโทรศัพท์หลังจากได้ยินเสียงพ่อของเขารับสาย
เดินออกไปคุยที่ระเบียงด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “คุณพ่อครับผมมีเรื่องให้ช่วย
จำหลิวฮวนฮวนได้ไหมที่ผมเคยพูดถึงก่อนหน้า มีคนล้างแค้นแทนผมด้วย พ่อต้องตอบแทนเขา...”
“เดียวจวินเจี๋ย” เหอไป่ลุกขึ้นยืนพร้อมอ้าปากกว้าง
“ฉันคิดว่าทำถูกนะ ในฐานะที่เขาทำให้เรื่องของหลินฮวนฮวนกระจ่างขึ้นเขาก็ต้องได้รับสิ่งตอบแทนที่เขาทำมา”
หวังหู่จับไหล่ของเหอไป่และดันให้อีกคนนั่งลงด้วยใบหน้าที่จริงจัง
“ตอนนี้นายมีเพียงหน้าที่คือปลอบใจตี๋ชิวเหอเมื่อตอนที่เขาเศร้า ถ้าเขาตอนนี้ไม่สะดวกรับโทรศัพท์นายก็ส่งข้อความหาเขาเพื่อปลอบใจ”
เฉินเจี๋ยจับไหล่อีกข้างของเหอไป่ พยักหน้าที่เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม
“ใช่แล้ว มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากเมื่อเปิดประตูห้องแล้วพบกับซากหนูตาย นายต้องปลอบใจตี๋ชิวเหอ”
“.......” เกิดอะไรขึ้นกับเหล่าเพื่อนร่วมห้องของเขา?!!!
อีกด้านตี๋ชิวเหอก็กำลังกล่าวขอบคุณทนายความหลังจากทั้งคู่เดินทางออกจากโรงพยาบาล
และตี๋ชิวเหอก็นั่งรถออกตรงออกมาที่คลับหรูส่วนตัวและไปเปิดประตูห้องพักด้วยบัตรสมาชิกเท่านั้น
“ชิวเหอ” ตี๋เบี่ยนยืนตัวตรงและรีบเดินไปหาตี๋ชิวเหอพร้อมโอบกอดอีกคนแน่น
“พ่อขอโทษที่ทำให้ลูกเดือดร้อน เรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของพ่อ”
“พ่อห้ามพูดแบบนั้นนะครับ” ตี๋ชิวเหอกอดพ่อของเขาแน่นขึ้นใบหน้าเต็มไปด้วยความห่วงในตัวพ่อเขา
“พ่อห้ามคิดมากเป็นความผิดของผมเองที่ไม่คาดคิดว่าป้าฉินจะทำเรื่องรุนแรงได้ถึงขนาดนี้
ถ้าผมไม่เห็นหลักฐานผมก็คิดว่าป้าฉินถูกใส่ร้าย ผมไม่เคยเชื่อ...พ่อครับ พ่อบอกผมหน่อยว่าทั้งหมดเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด”
บทที่ 26 ปิดบัญชี
สีหน้าเหี้ยมเกรียมกระจายไปทั่วใบหน้าของตี๋เบี่ยน
เขาตบที่ไหล่ของลูกชายคนโตและพาไปนั่งที่โซฟาพร้อมเสียงถอนหายใจ
“พ่อก็ไม่คิดว่าจะว่าเป็นแบบนี้...เป็นเพราะพ่อเองที่เป็นคนนำเรื่องเลวร้ายมาที่ตระกูลตี๋
ถ้ามันเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดก็ดี แต่ถ้าไม่...ชิวเหอลูก พ่อต้องการให้ลูกช่วยเหลือ”
ตี๋ชิวเหอจ้องพ่อของตัวเองด้วยสีหน้ายินดีที่ได้ช่วยแต่ภายในใจนั้นเยาะเย้ย
“ได้ครับ ถ้ามีเรื่องอะไรที่ผมพอช่วยพ่อได้ ผมยินดี”
ตี๋เบี่ยนมองลูกชายตรงหน้าที่ท่าทางตอบรับอย่างจริงจัง
เขาก็ถอนหายใจอีกครั้ง “ลูกนี้มีส่วนที่อ่อนโยนเหมือนแม่ของลูกมาก
ตอนนี้บอร์ดบริหารส่วนใหญ่ของฮวางฝูมีแต่คนจากตระกูลฉินซึ่งตอนนี้ไม่สามารถปรับเปลี่ยนบอร์ดบริหารได้อย่างทันที
พ่อขอโทษเรื่องที่ลูกโดนใส่ร้ายแต่พ่อไม่สามารถยื่นมือไปช่วยอะไรได้เลย แต่ลูกมั่นใจได้เลยเมื่อไรที่บอร์ดบริหารของฮวางฝูมีการปรับเปลี่ยน
ตอนนั้นพ่อจะช่วยจัดการคนที่ทำร้ายลูกทั้งหมด”
“ขอบคุณครับพ่อ” ตี๋ชิวเหอที่ตอนนี้อารมณ์สั่นไหว
ดวงตาที่แดงก่ำจ้องสบตาของอีกคน “พ่อออกมาหาผมวันนี้ป้าฉินพูดว่ายังไงบ้าง
จากที่ชุนฮวา ทำใส่ผมวันนั้นก่อนที่ผมจะออกจากบ้าน ผมเป็นห่วงเธอ เธอยังเด็กผมอยากให้เธอห่างไกลเรื่องนี้
แล้วตอนนี้เซี่ยซ่งล่ะครับที่ทำงานเป็นไงบ้างมีเรื่องอะไรแย่ๆไหมครับ จริงด้วยวันนี้ที่พ่อออกมาพบผมป้าฉินรู้เรื่องนี้ไหม
มันจะทำให้พ่อลำบากหรือเปล่า”
ตี๋เบี่ยนมองลูกชายคนโตอย่างไร้คำพูด
“เฮ้อ..ทั้งที่น้องทั้งสองทำกับลูกแบบนี้แต่ลูกก็ยังเป็นห่วง แล้วเรื่องที่พ่อออกมาวันนี้ไม่มีใครรู้หรอก
จริงสิ..เรื่องที่ลูกจะเดินทางออกจากเมือง B คิดดีแล้วเหรอ?”
ตี๋ชิวเหอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มบางเบา
“นั่นเป็นทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้ครับ เรื่องข่าวที่ต่อว่าผมและเรื่องที่ผมเป็นลูกของพ่อ
มันก็ส่งผลกระทบต่อฮวางฝูเป็นอย่างมาก ซึ่งตอนนี้ผมได้ทำงานร่วมกับลุงเจี่ยง เขาให้ผมเล่นเป็นนักแสดงนำชายในหนังเรื่องใหม่ของเขาด้วย
ซึ่งผมก็สนิทกับซิ่วเหวินมันคงดูไม่ดีที่ผมจะไปปฏิเสธลุงเจี่ยงภายหลังที่ได้รับปากว่าจะเล่นหนังให้ลุงเขา
การที่ผมหายตัวไปจากวงการบันเทิงสักพักผมก็ว่าเป็นทางออกที่ดีสำหรับพวกข่าวที่ผ่านมา”
คำพูดที่ตี๋ชิวเหอพูดนั้นถูก เมื่อเร็วๆนี้ฮวางฝูวุ่นวายเป็นอย่างมากในการเปิดเผยว่าตี๋ชิวเหอเป็นลูกชายคนโตของเขา
ซึ่งคนที่ทำให้เรื่องวุ่นวายส่งนใหญ่ก็มาจากตระกูลฉินที่ออกมาสร้างปัญหาให้กับทางค่ายไม่หยุด
บอกตามตรงว่าตัวเขาเองไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการที่ลูกชายของเขาช่วยเหลือโดยการตัดตัวเองออกจากเรื่องค่ายของฮวางฝูก็ถือเป็นการช่วยเขาทางอ้อมอีกทางทำให้สถานการณ์ในค่ายตอนนี้เขายังสามารถรับมือไหว
“พ่อรู้สึกละอายใจมากที่ลูกไม่ได้รับการช่วยเหลือจากพ่อและฮวางฝู
เรื่องที่ลูกจะไปถ่ายหนังเดียวพ่อหาผู้จัดการสองคนให้ มันทำให้การทำงานของลูกสะดวกขึ้น”
จากนั้นก็ลากเข้าประเด็นหลัก “ตอนนี้เซี่ยซ่งและชุนฮวาถูกเลี้ยงถูกโดยฉินหลี่ที่มีแต่ความทะเยอทะยานมาตั้งแต่เด็กและถูกปลูกฝังเรื่องค่ายฮวางฝูเป็นของตระกูลฉินไม่ใช่ของตระกูลตี๋
ในลูกทั้งหมดของพ่อมีเพรยงลูกคนเดียวที่ไม่เคยก้าวร้าวแม้ว่าจะถูกต่อว่าขนสดไหน ทำให้พ่อเป็นห่วงเพียงลูกคนเดียว”
ตี๋ชิวเหอขยับตัวเข้าใกล้พ่อของตัวเองอย่างกังวล
“พ่อไม่ต้องเสียใจเรื่องป้าฉินนะครับเธออาจจะเพียงแค่หลงผิด เธออาจจะถูกคนบางคนในตระกูลฉินเป่าหูให้ปรับเปลี่ยนตัวเลขของค่ายฮวางฝู
ทั้งเรื่องใส่ร้ายและเล่นตลกในคอนโดของผม ไม่นานเธอคงนึกได้และกลับตัว”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงเป็นเรื่องดี”
ตี๋เบี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าและหันไปหากระเป๋าเอกสารและวางไว้ตรงหน้าตี๋ชิวเหอ
“อย่างที่ลูกรู้ว่าค่ายฮวางฝูตอนนี้พ่อคนเดียวคงรับมือไม่อยู่ มันน่าเศร้ามากที่พ่อไม่มีอำนาจมากพอ
นี้เป็นเอกสารบางส่วนพ่ออยากให้ลูกลองเอาไปศึกษาแล้วหาโอกาสที่จะนำหุ้นของเรากลับมา...ลูกเข้าใจสิ่งที่พ่อสื่อไหม?”
นี้คือสิ่งที่เขาต้องการแต่ตี๋ชิวเหอคงสีหน้าแปลกใจและน้ำเศร้าที่พูดออกมาที่น่าเศร้า
“ทำไมเรื่องถึงมาไกลขนาดนี้เราเป็นครอบครัวไม่ใช่เหรอครับ?”
ตี๋เบี่ยนยกมือลูบใบหน้าที่เหนื่อยล้าและเหมือนแก่ลงไปสิบปี
“พ่อก็ไม่ต้องการแบบนี้แต่ป้าฉินลูกก็รู้ดีอยู่แล้วยังมีตระกูลฉินอีก..เรื่องของเซี่ยซ่งและชุนฮวายังคงมีสายเลือดของตระกูลฉินครึ่งหนึ่งป้าฉินดูแลทั้งสองต่อ
และลูกล่ะถ้าพ่อตายไปใครจะมาดูแลลูกต่อ ที่ผ่านมาพ่อขอโทษที่ไม่เคยปกป้องลูกทำให้ลูกผิดหวังมาหลายปี
ตอนนี้พ่อยังไม่ตายยังไงก็ต้องหาทางที่จะปกป้องลูก.....”
“พ่อครับ!!” ตี๋ชิวเหอต้องการที่จะพูดแต่มองเห็นพ่อของตัวเองปิดตาลงอย่างเหนื่อยล้า
“อย่าพูดแช่งตัวเองเลยครับ เรื่องที่พ่อให้ทำผมจะทำให้ดีที่สุด”
“เด็กดี..” ตี๋เบี่ยนถอนหายใจด้วยความโล่งใจและก็ยิ้มออกมาได้
เขารีบหยิบเมนูอาหารขึ้นมา “ลูกยังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่เหรอ
เอาจานนี้ไหมมันเป็นของโปรดลูกนี้”
ตี๋ชิวเหอยิ้มพร้อมก้มเก็บเอกสารโดยมีรอยยิ้มเยาะเย้ยในสายตา
เป็นเรื่องนี้น่ารังเกียจมากที่สามีและภรรยาต้องมาค่อยสงสัยกันแบบนี้ ถ้าฉินหลี่รู้ว่าสามีของเธอล่วงรู้ถึงแผนการทั้งหมดที่เธอวางไว้กับตระกูลฉิน
นี้เธอไม่ถือมีดออกมาฆ่าตี๋เบี่ยนเลยเหรอ
บัญชีเวยป๋อของตี๋ชิวเหอถูกปิดไปท่ามกลางความเสียใจของเหล่าแฟนคลับ
บัญชีข่าวบางรายการได้แชร์วิดีโอของตี๋ชิวเหอที่โพสต์ล่าสุด ซึ่งทำให้ข่าวเสียหายทั้งหมดกระจ่างต่อเหล่าโซเซี่ยล
รักในการนินทาซึ่งฉันภูมิ: ฉันพบเรื่องแปลกเรื่องใหม่ถึงแม้ว่าตี๋ชิวเหอจะเป็นลูกชายคนโตของผู้บริหารฮวางฝู
แต่ในปีแรกเขาไม่เคยได้รับการสนับสนุนอะไรในการทำงาน เส้นทางการทำงานของเขาเลวร้ายยิ่งกว่าหวงชวินโจวซึ่งเป็นเพื่อนร่วมวงของเขาอีก
การที่เกิดข่าวลือก่อนหน้าฮวางฝูทำตัวเหมือนเป็นเพียงผู้รับชมเท่านั้น!! คนที่ต่อว่าตี๋ชิวเหอก่อนหน้าคุณรู้สึกว่าเป็นคนพาลมากหรือเปล่า
ละอายใจกันบ้างไหม?
บัญชีสำรองไว้สำหรับพูดเรื่องจริง: นั่นก็แปลว่าระหว่างพ่อและแม่เลี้ยงที่คุยกันบนเตียง
ลับหลังแม่เลี้ยงก็รังแกต่อลูกเลี้ยงที่อ่อนโยนและได้รับการอบรมอย่างสุภาพบุรุษ เหล่าคนตระกูลตี๋ทั้งสี่อยู่ในบ้านพักหรู
แต่ในขณะเดียวกันลูกชายคนโตของตระกูลไปอยู่ในคอนโดคนเดียว ช่างดูอนาถา
วงใน: มีข่าวใหม่เรื่องการยกเลิกสัญญาของตี๋ชิวเหอและฮวางฝู
แต่ฉันไม่ขอพูดในเรื่องนี้ ฉันไม่ขอออกความเห็นต่อเรื่องที่ตี๋ชิวเหอพูดในวันนี้ว่าสามารถเชื่อได้ไหม
ฉันยังให้ทุกคนเข้าไปอ่านกันเอง [ลิงก์ไปยังบทความเต็ม]
กระแสวิจารณ์มีมาอย่างไม่สิ้นสุด ในเวลาเดียวชาวโซเซี่ยลก็สำหรับถึงเรื่องผิดปกติ
ก่อนอื่นหญิงสาวที่ถูกจับได้ในฐานะแฟนของตี๋ชิวเหอ กลับกลายเป็นไม่มีความสัมพันธ์อะไรต่อกันเลย
นอกจากเป็นผู้หญิงที่ไร้ยางอายที่ต้องการจะอวดตัวเอง งานของเธอที่ได้มาจากสถานีโทรทัศน์
B
ก็ถูกยกเลิกเนื่องจากเธอไปสวมเขาแฟนหนุ่มของเธอ ซึ่งเขาเป็นลูกของสปอร์ตเซอร์หลักของสถานีและไปมีความสัมพันธ์กับต๋าหานหนึ่งในหุ้นส่วนของสถานี
ประการที่สองเรื่องของการวางตัวของตี๋ชิวเหอก็ไม่มีปัญหา ทุกคนที่เคยร่วมงานกับเขาก็ต่างชื่นชม
ซึ่งมีผู้คนมากมายออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งก่อยหน้าก็ใช่ว่าไม่มี
เหล่าคนที่ต่อต้านตี๋ชิวเหอมีมากกว่าทำให้ความคิดเห็นของคนเหล่านี้ตกไผในทันที
เรื่องที่สามคือเรื่องการจบการศึกษาจากมหาลัย
Q ของตี๋ชิวเหอ ฝ่ายมหาลัยก็ไม่นิ่งเฉย ก็แสดงถึงผลการสอบทุกครั้งที่ได้คะแนนไม่ต่ำกว่า
90 คะแนน และก็มีคนโพตส์ถึงคะแนนการสอบเข้ามหาลัยที่สูงเกินเกณฑ์ปกติ
เรื่องสุดท้ายที่มีการใส่ร้ายว่าตี๋ชิวเหอนิดยาเสพติด ทางทนายความเป็นคริงตัวเป็นกลางก็มาแสดงผลการตรวจจากโรงพยาบาลให้เห็นว่าตี๋ชิวเหอไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
เมื่อมีคนมาโพสต์ชี้แจงแก้ข่าวไม่ดีแทนตี๋ชิวเหอ
ข้อมูลที่เหลือก็ค่อยๆกระจ่างขึ้นมา
เช่นข่าวของหวงชวินโจวที่เป็นเกย์และมีการใช้ชีวิตอย่างสุดโต้ง
เขาอาจจะได้รับเงินจำนวนหนึ่งเพื่อปล่อยข่าวทำลายตี๋ชิวเหอ และมีวงในจากสถานีโทรทัศน์เปิดเผยว่าตี๋ชิวเหอได้มีการยกเลิกสัญญากับฮวางฝูก่อนที่จะเกิดกระแสข่าวก่อนหน้า
เหตุผลที่ต้องยกเลิกสัญญาเนื่องจากทางค่สยฮวางฝูไม่ได้จ่ายงานให้กับตี๋ชิวเหอ ดังนั้นก็อ้างอิงถึงข่าวที่ว่าตี๋ชิวเหอใช้ฐานะลูกชายคนโตของผู้บริหารค่ายฮวางฝูรังแกคนอื่นก็เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ
บอกตามตรงว่าตัวตนของตี๋ชิวเหอมีความสำคัญต่อค่ายฮวางฝูน้อยมาก และเรื่องเหล่าชาวแอนตี้แฟนคลับของตี๋ชิวเหอไปวางหนูตายและละเลงสีที่หน้าประตูของตี๋ชิวเหอนั่นก็เป็นเรื่องที่ข้ามเส้นไปมาก
ชาวโซเซี่ยลทั้งหมดโกรธและรู้สึกละอายใจและต้องการขอโทษ
แต่ก็พบเพียงว่าตี๋ชิวเหอปิดบัญชีของเขาไปแล้ว เนื่องจากสาเหตุที่เขาได้รับข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงและรุนแรงต่อความรู้สึก
เหล่าโซเซี่ยลนึกเสียใจที่เขาต่อว่าสาปแช่งให้กับคนที่ทำงานหนักกว่าจะถึงจุดนี้ได้
ก่อนหน้าพวกเขาเหมือนถูกปิดตาข้างเดียวแต่ตอนนี้เหมือนมีคนมากระชากให้พวกเขาสามารถลืมตามองได้ทั้งสองข้าง
ทำให้หัวข้อของตี๋ชิวเหอกับมาเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วและครองกระแสเป็นเวลานาน
หลังจากปิดเวยป๋อเหอไป่ก็วางโทรศัพท์ลงด้วยใบหน้าที่ราบเรียบก็เห็นวงขายาวของตี๋ชิวเหอก้าวเดินมาตรงหน้า
เมื่อเงยหน้าก็เห็นรอยยิ้มอบอุ่นที่ส่งถึงดวงตาของอีกคน
“ลูกหมาน้อย
นายมาส่งผมไปทำงานหรือว่าต้องการรั้งให้ผมไม่ไป” ตี๋ชิวเหอนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเหอไป่พร้อมรอยยิ้ม
เหอไป่ทำเป็นไม่สนใจเขาเอาเอกสารออกจากกระเป๋าและเคาะโต๊ะเพื่อให้อีกคนสนใจ
“นี่คือเอกสารของคุณอย่าลืมโทรติดต่อตามเบอร์ในนี้ วันนี้ผมเอาเอกสารมาให้เองก็เพราะคุณเล่นตั้งบล็อคไม่ให้เบอร์อื่นติดต่อคุณได้
ทำให้ทางนั้นบอกให้ผมมาส่งเอกสารให้คุณแทน”
ตี๋ชิวเหอยกคิ้วพร้อมเปิดเอกสารในมืออ่านอย่างประหลาดใจ
“สัญญาจ้างงาน? นี้วอเตอร์ครายต้องการให้ผมเป็นพรีเซ็นเตอร์?”
เหอไป่พยักหน้าและยื่นถุงเหรียญที่หยิบจากกระเป๋าผลักไปว่าตรงหน้าอีกคน
“ในนี้มีทั้งหมด 164 หยวน ผมยังติดคุณอยู่ 0.22
หยวน และคุณไม่ต้องขอบคุณผมที่ผมอุตส่าห์เอามาให้กับมือคุณเอง”
เสียงกระทบของเหรียญเรียกความสนใจของตี๋ชิวเหอจากเอกสารสัญญา
“ลูกหมาน้อย”
เหอไป่ยังคงใบหน้าเรียบเฉยแบะพยายามแก้ชื่อตัวที่อีกคนเรียก
“ขอเถอะเรียกผมว่า ‘ไป่’ จะเป็นการขอบคุณเป็นอย่างมาก”
“โอ้..เสี่ยวไป่” ตี๋ชิวเหอตอบรับอย่างสุภาพ
เมื่อเขาขยับตัวเพื่อรับเหรียญก็ยื่นใบหน้าเข้าใกล้เหอไป่และเป่าลมไปที่ใบหูของอีกคน
“ก่อนหน้าผมต้องขึ้นเครื่องแล้ว
แต่เพื่อนายผมถึงขนาดมารอรับเหรียญพวกนี้”
ลมหายใจอุ่นๆคลอเคลียที่ใบหูและข้างคอ
ทำให้ของเหอไป่สั่น ทำใหเหอไป่ต้องรีบขยับตัว
‘ปัง’
บทที่ 27 ช่างว่างเปล่า
หลังจากขยับตัวหลบได้เหอไป่ก็รีบยกมือลูบใบหูและหยิบแมสออกจากกระเป๋ากล้องขึ้นมาปิดปาก
“ขอให้โชคดีในการเดินทาง” เหอไป่ขยับตัวลุกขึ้น
ตี๋ชิวเหอขมวดคิ้วเอื้อมมือไปกดไหล่ของเหอไป่ให้นั่งลงจากนั้นก็เอื้อมมือไปวางบนหน้าผากเด็กหนุ่มตรงหน้า
เหอไป่ตัวอุ่นๆเหมือนจะมีไข้
“ไม่สบายหรือเปล่า?” ตี๋ชิวเหอขยับหน้าเข้าใกล้เอาหน้าผากตัวเองแนบกับหน้าผากของเหอไป่
จากมองมุมของเหอไป่
เขาเห็นริมฝีปากที่แดงอมชมพูของคนตรงหน้า
เหอไป่รีบผลักอีกคนออกและเอนตัวให้พ้นจากรัศมีของตี๋ชิวเหอ
“อยู่ห่างจากผมหน่อยเดียวคุณจะติดไข้ ผมติดไข้หวัดใหญ่จากเพื่อนรูมเมตมา”
ยิ่งกว่านั้นเขารู้สึกคั่นเนื้อคั่นตัว มันทั้งไอและเจ็บคอตลอดเวลา ซึ่งอาการเหล่านี้ทำให้เขาไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก
เมื่อได้ยินเสียงพูดที่แผ่วเบาแหบแห้งของอีกคน
ตี๋ชิวเหอก็มีความกังวลไปหมดในหัว เขาไม่ได้ขยับตัวออกห่างเหอไป่อย่างที่อีกคนบอก
แต่ขยับเข้าใกล้มากขึ้น “วันนี้นายสอบนี้
ทำไมไม่พักผ่อนออกมาข้างนอกมันยิ่งทำให้อาการแย่ลง”
“วันนี้ผมโทรหาคุณหลายสายไม่มีคนรับ และโชคดีด้วยที่วันนี้ผมมีสอบเพียงครึ่งวัน”
เหอไป่ยังผลักตัวของอีกคนเอื้อมมือมาตบที่ไหล่ “อย่าเข้าใกล้น่า คุณต้องทำงานข้างนอก
และเมื่อวานผมสังเกตุจากดวงดาวอีกหกเดือน คุณชอย่าลืมกลับมาที่เมือง B คุณอาจจะมีเซอร์ไพรส์รออยู่” แม้ว่าเส้นทางของตี๋ชิวเหอจะแตกต่างไปจากชีวิตก่อนที่เขาย้อนกลับมาเล็กน้อย
แต่เส้นทางหลักก็ยังคล้ายกัน ก่อนหน้าอีกคนกลับมาในวงการบันเทิงจากหนังแฟนตาซียอดฮิต‘Immortal
Way’ และทำให้เป็นที่โด่งดังทั้งหมู่ผู้ชมนับไม่ถ้วน เขาจึงหวังว่าอีกคนจะไม่พลาดโอกาสนี้ไป
สีหน้าบึ้งตึงติดบนใบหน้าตี๋ชิวเหอ
เหอไป่รีบมองคนรอบข้างก็เห็นผู้ชายและหญิงสาสที่เดินมานั่งอยู่โต๊ะใกล้ๆ
“ทั้งสองเขาเป็นใครครับ?” ก่อนหน้าเขาเห็นเพียงตี๋ชิวเหอเดินเข้ามาในร้านกาแฟคนเดียว และตอนนี้เขาเห็นคนทั้งคู่พึ่งเดินเข้ามาและยังมานั่งใกล้โต๊ะพวกเขา
ทั้งที่มีที่ว่างในร้านอีกตั้งเยอะ เขากลัวว่าทั้งสองอาจจะเป็นคนที่แอบติดตามตี๋ชิวเหอมาทำข่าว
“พวกเขาทั้งสองเป็นผู้ช่วยที่พ่อผมจัดมาให้
มีหน้าที่ดูแลและจัดการตารางงานของผม” ตี๋ชิวเหอตอบเสียงเรียบเหมือนไม่สนใจ
แต่ยังส่งสายตายห่วงใยไปที่เหอไป่ “น้องชายผมมาที่สนามบินทั้งที่ข้างนอกมีอาการหนาว
พวกนายไปซื้อยาลดไข้และน้ำอุ่นให้เขาด้วย”
เหอไป่รีบโบกหยุดทั้งสอง
“ไม่ต้องครับ
ผมไม่อยากทานยาตอนนี้เดียวต้องกับมหาลัยแล้วจะเผลอหลับไป ผมขอเพียงน้ำอุ่นหนึ่งแก้วก็พอครับ”
มือก็ผลักแก้วกาแฟไปทางตี๋ชิวเหอ “ผมสั่งมาเพราะต้องมานั่งรอในร้านเดียว
ถ้าไม่สั่งอะไรเดียวทางร้านจะว่าเอา มันยังไม่ได้กินเลยอย่าทิ้งให้เสียเงินเปล่า”
“กินยาไปก่อนนะ เดียวผมจะเรียกแท็กซี่ให้ถ้านายง่วงหน่อย”
ตี๋ชิวเหอหยิบกาแฟตรงหน้าขึ้นดื่มอย่างไม่รังเกียจ อีกมือก็เอื้อมไปหยิบกระเป๋ากล้องที่วางอยู่ๆตัวเหอไป่
“นายมียาติดตัวไหม พวกยาลดไข้”
เหอไป่รีบหยิบกระเป๋าและกอดอย่างแน่น เพื่อป้องกันการถูกฉกเหมือนครั้งก่อน
“คุณไปเถอะครับ เดียวผมจัดการตัวเองได้ เดียวคุณจะตกเครื่อง”
ผู้ช่วยทั้งสองสะดุ้งตัวเมื่อเห็นนายน้อยของตัวเองเหวี่ยงหน้าหันมอง
แม้ว่าสีหน้าจะยังรอยยิ้ม แต่ทั้งสองทำไมรู้สึกเย็นวาบ
“อันคุณไปเอาน้ำอุ่นมาให้ฉันหนึ่งแก้ว
และหวังช่วยไปเรียกแท็กซี่เตรียมไว้เดียวฉันตามไป”
ทั้งสองจ้องหน้าอย่างแปลกใจที่นายน้อยของเขาอ่อนโยนต่อเด็กหนุ่มตรงหน้ามาก
แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งทั้งสองก็รีบเก็บสีหน้าและแยกย้ายไปทำตามคำสั่งที่ได้รับ
เมื่อทั้งสองจากไปจากตรงนี้ ตี๋ชิวเหอก็เอื้อมมือไปลูบหัวของเหอไป่
เหอไป่ขมวดคิ้วแน่นพร้อมพูดอย่างจริงจัง “รักษาภาพลักษณ์คุณหน่อย
คุณพึ่งถูกชาวเน็ตต่อว่ามานะครับ แล้วสองคนนั้นเขาเป็นคนที่พ่อคุณจัดมาเขาไว้ใจได้ใช่ไหมครับ?”
ตี๋ชิวเหอที่กำลังสบายกับที่มือของเขาลูบบนกลุ่มผมนุ่มของอีกคน
เขาปกปิดสีหน้าถูกใจไว้แทบไม่ได้ จึงยกคิ้วให้อีกคน “ก็แค่ความเป็นห่วงของพ่อทั่วไป
หรือว่านายเป็นห่วงผม นายจะไปร่วมฝึกกับผมไหมเดียวออกค่าใช้จ่ายให้ อย่างนี้ดีไหม”
“ไม่ดี” เหอไป่ตับตี๋ชิวเหอสายตาจริงจังและปัดมืออีกคนออกจากบนหัว
“เพียงระวังตัวคุณเอง การไปฝึกที่ชายแดนมันอันตราย”
ตี๋ชิวเหอได้ยินรอยยิ้มก็กว้างขึ้นอย่างอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปบีบแก้มที่มีลักยิ้มแม้วจะมีแมสปิดปาก
“นายใจดีจัง ยิ้มให้ผมดูหน่อย”
เหอไป่ดึงมือของตี๋ชิวเหอออกจากแก้วพร้อมชี้นิ้วด้วยโกรธไปที่แก้วกาแฟ
“รีบดื่มมันให้หมดแล้วก็รีบไปขึ้นเครื่องซะวันนี้ผมปวดหัวไม่อยากมารับมือกับการกลั่นแกล้งของคุณ”
ตี๋ชิวเหอยังไม่สนใจเขายังยื่นนิ้วข้างที่ถูกปัดที่ลักยิ้มตรงหน้าไม่หยุด
หลังนั้นประมาณสองนาทีผู้ช่วยอันก็ถือแก้วน้ำอุ่นและถุงขนมราวกับเสกมาวางไว้บนโต๊ะ
“เอาล่ะเด็กดีกินยาซะ กินยาเสร็จเดียวพี่ชายจะให้ขนม”
เหอไป่ใช้ขาเตะขาอีกคนใต้โต๊ะ เปิดแมสปิดปากแล้วหยิบเม็ดยาใส่ปากพร้อมยกน้ำดื่มอย่างเร็ว
จากนั้นก็ก้มมองนาฬิกา “คุณอยู่ที่นี้นานแล้วไม่รีบเข้าเกตจะไม่มีปัญหาเหรอครับ?”
“ไม่หรอก วันนี้ผมออกมาเร็วกว่าเวลา
ดูผู้ช่วยผมสิเขายังไม่เร่งเลย” ตี๋ขิวเหอตอบแต่สายตาจ้องมองริมฝีปากอีกคนที่ดีขึ้นมาสีแดงขึ้นเล็กน้อยอาจเป็นเพราะดื่มน้ำอุ่น
“ตอนบ่ายนายมีสอบด้วยหรือเปล่า?”
“ใช่ครับผมมีสอบตอนบ่าย” เหอไป่รีบคว้าโอกาสและกล่าวลาทันที “ขอให้คุณเดินทางปลอดภัย
ผมไปก่อนนะ”
ทันใดผู้ช่วยหวังก็เดินเข้ามาแจ้งว่าแท็กซี่พร้อมแล้ว
ตี๋ชิงเหอรีบยกกาแฟดื่มและหยิบถุงเหรียญบนโต๊ะติดมือ “ไปกันเถอะ เดียวผมไปส่ง”
เมื่อท้ายแท็กซี่หายลับตา
ตี๋ชิวเหอก็ก้มมองกระเป๋าใส่เหรียญที่ดูเก่าที่ถืออยู่ในมืออย่างของล้ำค่า
“นายน้อยครับ เราพลาดเที่ยวบิน...”
“ไปจองเที่ยวอื่นที่เร็วที่สุด” ตี๋ชิวเหอหันตัวไปจ้องผู้ช่วยของเขาที่ทั้งสองเป็นไปด้วยสีหน้าแปลกใจ
“เขาเป็นเด็กดีเนอะและเป็นคนเดียวในตอนนี้ที่ผมเจอเรื่องยุ่งยากแต่ก็ยังเป็นห่วงผม
วันนี้เขาก็มาส่งทั้งที่ไม่สบาย ช่างเป็นเด็กน้อยที่นิสัยดีจริงๆ”
เมื่อเห็นวิธีที่ตี๋ชิวเหอถือกระเป๋าดหรียญเก่าๆอย่างกับของล้ำค่า
ทั้งสองก็จ้องสบตาอย่างเข้าใจความหมายที่อีกคนทำในวันนี้ แม้จะต้องพลาดเที่ยวบิน
มีคนบอกว่านายน้อยของเขาเป็นคนที่ใจดีอ่อนโยน มันอาจเป็นเพียงภาพลวงตา
ที่เขาทั้งสองเห็นเหมือนอีกคนมีหางอยู่ด้านหลัง
หลังจบการสอบวิชาสุดท้ายที่แสนโหด หวังหู่และเฉินเจี๋ยซึ่งมาจากเมืองอื่น
ก็รีบเก็บของกลับบ้านเมื่อสอบเสร็จ หนิงจวินเจี๋ยก็ชวนเหอไป่ไปล่องเรือยอชท์กับครอบครัวของตัวเอง
แต่เหอไป่ปฏิเสธเพื่อต้องการให้อีกคนอยู่กับครอบครัวให้เต็มที่
เมื่อถึงวันหยุดปิดเทอมคนในหอพักก็น้อยจนแทบร้างคน
วันนี้เขาก็ดันตื่นเช้าตื่นตั้งแต่ 6.30น.
ยืนแปรงฟันด้วยสีหน้าว่างเปล่า
‘วันนี้เป็นวันที่ไม่มีอะไรทำ ทั้งไม่ต้องเข้าเรียนหรืออ่านหนังสือทบทวน’
สำหรับงานที่สตูดิโอ Saint Elephant เขาก็หยุดรับงานก่อนที่จะมีการสอบปลายภาคด้วยซ้ำ
วันนี้หยุดยาวอาจารย์ซูก็ไม่ให้เขาต้องส่งงานทุกสัปดาห์อีก และสุดท้ายตี๋ชิวเหอที่มาเป็นสีสันในชีวิตก็ไปทำงานที่ชายแดนอีก...ทำไมมันว่างเปล่าแบบนี้
สีหน้าที่สะท้อนกระจกก็เห็นตัวเองที่อายุน้อย ทำให้ความรู้สึกแปลกๆกลับมาอีกครั้ง
ฉันเป็นใคร ทำไมถึงย้อนมา
แล้วจุดหมายของตัวเองอยู่ที่ไหน
เมื่อมีเวลาอยู่กับตัวเองก็นึกดำดิ่งไปในอารมณ์ที่ว่าทำไมเขาถึงต้องย้อนกลับมา
‘จิ๊บ.จิ๊บ’
เสียงแจ้งเตือนจากวีแชทดังขัดจังหวะ
บทที่ 28 แม่บ้านที่จู้จี้
เขาถ่มยาสีฟันพร้อมบ้วมปากและล้างหน้าด้วยน้ำเย็น
จาหนั้นก็หยิบโทรศัพท์กดเข้าไปอ่านข้อความทางวีแชทชื่อของคนที่เขาไม่ได้คุยมานานก็ปรากฎขึ้น
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ฉันกำลังโกรธมากเลยไป่ไป่
เมื่อเร็วๆนี้ฉันรู้ว่าคนทั้งสองที่พ่อส่งมาให้ดูแลฉัน ที่ฉันคิดว่าเขาจะเป็นคนดี
แต่กับมีคนหนึ่งเป็นคนของแม่เลี้ยงฉัน เธอมาตีสนิทกับฉันโดยมีเจตนาแอบแฝง!
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ฉักถูกหลอก
ฉันอยากจะตาย! ฉันต้องการฆ่าตัวตาย!!
เหอไป่ขมวดคิ้วเมื่อเห็นข้อความพร้อมถอนหายใจ
เขาลืมไปได้ยังไงว่าเขามีเพื่อนที่อาการโรคประสาทอยู่ในรายชื่อเพื่อ ก่อนหน้านี้แค่ไอดอลของเขาหายตัวก็เหมือนจะบ้าตามอีกคนไป
White and Whiter: แล้วถ้าผมทำรูปตัดต่อหลายๆรูปของตี๋ชิวเหอ
จะทำให้คุณอารมณ์ดีขึ้นไหม?
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ไม่พอ!!!
ฉันต้องการให้ตี๋ชิวเหอเปิดบัญชีเวยป๋ออีกครั้ง
White and Whiter: อาจจะอีกนานเลย..ทำไมคุณไม่ลองเปลี่ยนไอดอลคนใหม่ล่ะ?
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: คุณส่งเสริมให้ฉันไปรักคนใหม่?
คุณมันใจร้ายเกินไปแล้ว!
นี้คือคำพูดที่คุณกลั่นออกมาความคิดของคุณเหรอ
White and Whiter: ....
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ไป่
ฉันเสียใจมากจริงๆ ฉันอยากเห็นเขาไม่งั้นฉันคงไปตามทางของฉัน
White and Whiter: เพียงบอกสิ่งที่คุณต้องการ
ฉันจะพยายามสุดความสามารถเพื่อทำให้คุณ
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ฉันต้องการเสียง
‘ราตรีสวัสดิ์และ xoxo’ ที่เหมือนว่าคุณกำบังคุยกับ
‘ฤดูใบไม้ผลิที่รัก’ ส่งมาให้ฉัน ฉันจะตั้งเป็นเสียงเรียกเข้าเพื่อกล่อนนอนตอนกลางคืน
[T/N xoxo: น่าจะเป็นจุ๊บๆ ของทางอังกฤษ]
รอยยิ้มบิดเบี้ยวอยู่ที่ริมฝีปากของเหอไป่
สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือขัดขวางการฆ่าตัวตาย
จิตสำนึกในด้านดีเตือนให้เขาต้องพิมพ์
White and Whiter: เรื่องนี้มันยากนะ
ผมรู้มาว่าไอดอลคุณไปอยู่ที่เมืองอื่น ฉันไม่มีช่องทางติดต่อเขาได้
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ฉันไม่ต้องการเสียงของเขา
ฉันต้องการเสียงของคุณ กรุณาส่งให้ฉันด้วยนะฉันรู้ว่าคุณเก่งที่สุด xoxo
White and Whiter: ...
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ฉันเสียใจมาก!
อยากตาย!! ฉันจะฆ่าตัวตาย!!!
เหอไป่รู้สึกถึงความเศร้าเป็นอย่างมากจากอีกคน
และเกือบจะพิมพ์ในสิ่งที่เขาคิดไปแล้ว เขาแทบจะโยนโทรศัพท์ทิ้งทำไมอีกคนที่ไม่ได้ติดต่อไม่กี่วัน
ถึงบ้าคลั่งขนาดนี้...?
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: คุณโกรธฉันเหรอ?
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ไป่ที่น่ารัก
[ก๊อกๆ]
ไหล่ของเหอไป่ตกทันที
แม้เขาจะเขินอายแต่เขาก็ส่งของความไป ‘ฤดูใบไม้ร่วงที่รัก
ฝันดีราตรีสวัสดิ์ จุ๊ฟๆ’
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ขอบคุณนะ ไป่ ^
- ^ คุณรบกวนพูดแบบเดียวกันแต่เปลี่ยนเป็นสวัสดีตอนเช้าด้วยได้ไหม
เหอไป่แสร้งทำเป็นออฟไลน์ แต่อีกคนก็บ้าคลั่งขึ้นมาอีกครั้งโดยบอกว่าฆ่าตัวตายอีกครั้ง
ทำให้เขาต้องอับจน ส่งข้อความสวัสดีตอนเช้าที่ดีกล่าวข้อความแรกไปให้
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
ฉันว่าเป็นช่วงบ่ายด้วยก็ดีนะ?
เหอไป่ออกจากวีแชทโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ้พื่อดึงสติ
‘สิ่งที่เป็นจีรังก็คือเหล่าแฟนคลับก็เป็นเหมือนไอดอลที่ตัวเองติดตาม’
ทั้งความคิดและจิตสำนึกพื้นฐานก็เหมือนกันอย่างก๊อปปี้ หรือผู้ซื้อจะได้เรียนรู้นิสัยนี้มาจากตี๋ชิวเหอ!!!
เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นทันที เหอไป่จ้องมองรายชื่อที่โชว์ที่หน้าจอและกดรับโทรศัพท์พร้อมเสียงคำราม
“ทั้งที่คุณมีภาพลักษณ์ที่แสดงความอ่อนโยนและสุภาพต่อหน้าเหล่าแฟนคลับ
แต่ทำไมแฟนของคุณถึงทำตัวไร้ยางอายขนาดนี้?”
อีกฝั่งก็หัวเราะลอดผ่านโทรศัพท์
แต่โทนเสียงที่ลอดออกมามันดูแปร่งๆ อาจจะเป็นเพราะระยะทางก็มีส่วน
“ลูกหมาน้อยๆการฝึกฝนของผมทำให้ผมทั้งหมดแรงและเจ็บตัวด้วย”
เหอไป่รีบจัดระเบียบความคิดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าทั้งสองไม่ได้เกี่ยวข้องกัน
เขาจะเอาความแค้นเคืองจากอีกคนมาลงอีกคนไม่ได้ “คุณได้ฝึกฝนอะไรบ้างครับ”
“มีหลายอย่างมากทั้งการฝึกกล้ามเนื้อและทักษะการต่อยมวย...ยังมีการเดินทางไกล
นายรู้ไหมว่าฉันมีอาการขาดน้ำทำให้เจ็บคอเสียงเลยแหบแบบนี้ คุณจะไม่โอเคหรือเปล่า”
กระแสเสียงแหบห้าวเล็กน้อยแต่ก็ทำให้เสียงที่ได้ยินนั้นเซ็กซี่
เหอไป่สลับโทรศัพท์ไปอีกข้างตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ใช่เสียงคุณแหบมากเหมือนอีการ้อง
ไหนว่าคุณอบรมแบบปิดทำไมถึงติดต่อผมได้ ใช้โทรศัพท์ได้ด้วยเหรอ?”
“วันนี้มีโค้ทที่จะสอนศิลปะการต่อสู้มาสองสามคนผมจึงได้หยุด
เพื่อที่จะพาพวกเขาไปกินข้าวเย็น ผมก็เลยได้จับโทรศัพท์ระหว่างพักผ่อน จริงด้วยวันนี้ผมส่งของไปให้นายที่หอพักและได้ระบุเบอร์ติดต่อไว้ด้วยน่าจะถึงวันพรุ่งนี้รอรับของด้วย”
ไม่ว่าจะเป็นการก่อนกวนหรือหยอกล้อของตี๋ชิวเหอก็ทำให้เขารู้สึกดีที่อีกคนยังคิดถึงเขา
เหอไป่จึงตอบรับด้วยเสียงที่อ่อนลง “ขอบคุณครับ..ผมข้อแนะนำว่าคุณน่าจะหาน้ำผึ้งมะนาวกินและงดพวกของรสจัดและพักผ่อนบ้าง”
“ตกลง” ตี๋ชิวเหอพูดตอบรับที่เหอไป่บอก
ทั้งคู่อยู่ในความเงียบแม้ได้ยินเสียงลมหายใจของตี๋ชิวเหอ เหอไป่กระแอมเบาๆ สองสามครั้ง
“ต้องฝึกนานเท่าไรครับ” เมื่อนึกถึงเสียงของตี๋เขาก็กล่าวเสริมขึ้น
“วางก่อนดีกว่าครับ...เราสนทนาทสงแชทก็ได้แล้วคุณก็หาน้ำผึ้งมะนาวมาดื่มสักแก้ว”
ตี๋ชิวเหอระเบิดเสียงหัวเราะเสียงดังใส่โทรศัพท์
“คุณหัวเราะทำไม?”
ปิ๊บ~~
เหอไป่ยังพูดไม่จบตี๋ชิวเหอก็กดวางโทรศัพท์ และส่งข้อความมาแทน
ตี๋ชิวเหอ: ตอนนี้คุณเหมือนแม่บ้านที่จู้จี้
เหอไป่เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
ตี๋ชิวเหอ: นายน่ารักจัง
เหอไป่กดแป้นพิมพ์อย่างเน้นหนักทุกตัวอักษร
ตี๋ชิวเหอ: มีเพื่อนผมต้องการให้นายไปถ่ายรูปในงานวันเกิดของหลานสาว
เขาเป็นคนที่โอเคนะ นายสามารถไปรับงานจากเขาได้ เพื่อนผมคนนี้เค้ามีเส้นสายหลายอย่างในมือ
นายสามารถรับงานจากเขาได้
ตี๋ชิวเหอ: Saint Elephant ก็เป็นทางเลือกที่ดีนะแต่พวกผู้บริหารภายในมันเลเทะ นายสามารถทำพาร์ทไทม์ได้
แต่ถ้าต้องคิดให้ดีถ้านายจะเป็นพนักงานประจำ
ตี๋ชิวเหอ: อย่าคิดถึงผมมากเกินไป ผมจะปิดโทรศัพท์แล้ว
อย่าตกใจกับของขวัญที่ผมส่งไปให้ล่ะ
เหอไป่พิมพ์ช้าลง
เมื่อตัดความโมโหเมื่อกี้ไปที่อีกคนตัดสาย
เหอไป่: ขอบคุณมากครับ ผมเข้าใจแล้ว
ระวังสุขภาพอย่าให้เจ็บป่วยนะครับ
หลังจากรอสักพักก็ไม่มีข้อความตอบกลับ เขาค้นไปที่
ID
ของตี๋ชิวเหอก็แสดงสถานะออฟไลน์ เหอไป่จึงวางโทรศัพท์ข้างหมอนเสียงถอนหายใจเบาๆแทรกในอากาศ
ไม่ใช่เรื่องง่ายจะอยู่คนเดียวแต่จะทำยังไงได้เขาเป็นคนที่ไม่มีครอบครัวนี้ แต่การไม่มีครอบครัวแบบเขาก็ดีกว่าที่มีครอบครัวแล้วเจอแบบเลวร้าย...แบบนี้ดีแล้ว
วันต่อมาของที่ตี๋ชิวเหอพูดก็ส่งมาถึงหอพัก เหอไป่ลงไปรับเอง
เมื่อเปิดกล่องที่ห้องก็แทบผงะ ในกล่องขนาดใหญ่เต็มไปด้วยผลไม้ฤดูร้อนเต็ม เรื่องที่ตี๋ชิวเหอพูดก็เป็นเรื่องจริง...เขาจะจัดการของเหล่านี้ได้ยังไงเมื่อเพื่อนในหอกลับบ้านไปหมดแล้ว
เช้าวันหยุดเจี่ยงซิ่วเหวินเดินมาที่สตูดิโอของตัวเองอย่างปลอดโปร่งเนื่องจากทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีคนมาก่อกวนใจเมื่อมองลูกน้องที่เอากาแฟเย็นมาให้ที่โต๊ะ
เขาก็ค่อยหยิบขึ้นมาจิบพร้อมยกขานั่งไหว้ห้าง
มีเสียงเคราะประตูเบาๆและพนักงานต้อนรับของทางร้านก็โผล่ตัวเข้ามา
พร้อมสีหน้าลังเลที่จะพูดต่อ “บอสค่ะมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อเหอไป่
เขาสะพายกระเป๋ากล้องและถือผลไม้มาเต็มมือ เขาบอก..ว่า..จะมาพบ...”
เจี่ยงซิ่วเหวินแหว่งแก้วกาแฟเบาๆและดุอีกคนเบาๆ
“พูดอะไรก็อย่าติดขัดสิ คุณเป็นพนักงานต้อนรับนะต้องใช้ทักษะและคำพูดที่ชัดเจน
พูดออกมาดังๆอย่าไปกลัว”
หญิงสาวคนนั้นเดินมาหาเขาอย่างระวังและพูดเสียงดังเกือบจะเป็นตะโกน
“เขาบอกว่า..เขาบอกว่าจะมาพบ คุณผู้หญิงเจี่ยงซิ่วเหวินคะ!!”
ฟรู๊ด.. แค่ก!!
เจี่ยงซิ่วเหวินสำลักกาแฟออกจากปากของเขา
บทที่ 29 คุณหญิงเจี่ยง
สตูดิโอ Red Guest เป็นตึกสูงสามชั้นสร้างติดกับริมถนน เมื่อเทียบกับด้านนอกขนาดก็เหมือนกับสตูดิโอ
Saint Elephant แต่เมื่อเข้ามาด้านในมันดูแตกต่างกันมากเมื่อเทียบกับการตกแต่งของสตูดิโอ
Saint Elephant ร้านนี้มีการตกแต่งด้วยโทนสีแดงดูน่ารักกว่า และมีแบ่งห้องรับแขกเป็นสองห้องโดยมีฉากแบ่งกั้นกันให้ดูเป็นส่วนตัว
สภาพแวดล้อมของร้านนี้ดูผ่อนคลายมากกว่าเมื่อเทียบกับสตูดิโอ Saint
Elephant
“คุณต้องการอะไรเพิ่มไหมคะนอกจากชา”
หลังจากวางแก้วขาตรงหน้าเหอไป่พนักงานสาวต้อนรับก็ยิ้มอย่างเป็นกันเองและชี้ไปที่ชั้นวางนิตยสารที่วางอยู่ใกล้ๆโซฟา
“ดิฉันให้เพื่อนไปตามบอสของเรามาแล้ว คุณโปรดรอสักครู่ระหว่างรอคุณสามารถหยิบนิตยสารที่ร้านของเราร่วมงานมาอ่านรอเวลาได้นะคะ”
เหอไป่รู้สึกดีกับการต้อนรับอย่างมีน้ำใจ เขาก้มหัวขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม
“คุณหญิงเจี่ยงนี้เป็นถึงเจ้าของสตูดิโอนี้ใช่ไหมครับ?” เพื่อนทางโซเซี่ยลเคยบอกเขาว่าเป็นนักศึกษาที่พึ่งจบใหม่และกำลังฝึกงาน...แต่คนที่เขามาหานี้
พนักงานต้อนรับได้ยินก็ชะงักก่อนที่จะพยักหน้ารวดเร็วเพื่อปกปิดอาการที่เธออยากจะหัวเราะ
“ใช่คะ บอสของเราคือเจี่ยงซิ่วเหวิน...รอสักครู่เดียวก็ลงมาพบคุณคะ เดียวฉันไปเอาขนมมาให้คุณนะคะ”
หลังพูดจบเธอรีบหยิบถาดและเดินออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมยกมือปิดใบหน้าที่แดงก่ำจากการกั้นเสียงหัวเราะ
‘เธอเป็นเจ้าของที่นี้จริงๆ และ...เตรียมของว่างเพิ่ม’
เหอไป่มองไปที่แก้วน้ำชาและของว่างตรงหน้า ความชื่นชมของเขาระหว่างสตูดิโอ
Red Guest ก็เพิ่มขึ้น ช่างเป็นการต้อนรับที่แตกต่างจากสตูดิโอ
Saint Elephant
หลังจากพนักงานต้อนรับคนเดิมนำผมไม้มาวางให้บนโต๊ะ
เหอไป่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อเข้าโปรแกรมวีแชทที่เขาส่งข้อความให้เพื่อนทางโซเซี่ยลเมื่อเช้าและเธอยังไม่ทันได้ตอบ
เขาก็มาพบแบบนี้มันจะดูน่าเกลียดไปไหม ตอนนี้เขาเริ่มจะรู้สึกเสียใจที่มาในวันนี้
‘มันดูจะมากเกินไปไหมที่ฉันมาที่นี่โดยไม่บอกเธอล่วงหน้า’
ผลไม้ที่เขามีมันก็มากเกินไปนี้ขนาดเขาเอาไปแบ่งให้กับคนที่สตูดิโอ Saint
Elephant และอาจารย์ซู เขายังเหลือผลไม้อีกตั้งครึ่งกล่อง และผลไม้เหล่านี้ก็เน่าเสียได้ง่ายซึ่งนิสัยเขาเป็นคนที่ไม่ชอบให้อะไรเสียเปล่า
ก็เลยนึกถึงเพื่อนทางโซเซี่ยลของเขาที่มีความคิดเชิงลบที่อยากจะฆ่าตัวตายเมื่อหลายวันก่อน
เขาก็คิดว่าจะเอาผลไม้มาเยี่ยมเยือนเธอบาง แต่การมาที่นี้ในวันนี้ก็ไม่เปล่าประโยชน์ใครจะคิดว่าเพื่อนของเขาคนนี้จะเป็นถึงเจ้าของสตูดิโอ
Red Guest
จากที่เขาคุยกันมาไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริงเท็จมากแค่ไหน
มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าที่แม่เลี้ยงกลั้นแกล้งจึงเธออยากฆ่าตัวตาย?
หรือมันเป็นเพียงฉากหนึ่งที่แสดงสำหรับขอให้เขาส่งของให้สำหรับไอดอลคนโปรดของเธอ?
เมื่อคิดเรื่องนี้เหอไป่อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและกวาดสายตาไปที่ตระกร้าผลไม้ที่เขาเตรียมมาพร้อมถอนหายใจ
จากนั้นก็เอนตัวพิงพนักและหยิบนิตยสารออกมาจากชั้นวางที่อยู่จากตัวเขา
‘น้องชายของนายอยู่ที่นี้แล้ว
หากนายยังไม่ตอบฉันก็ไปพูดในแบบของฉันเองนะ รอรับผลได้เลย’
เจี่ยงซิ่วเหรินกดโทรศัพท์โทรออกหาตี๋ชิวเหอและรออีกคนรับสายอย่างใจจดใจจ่อในห้องทำงานชั้นสอง
แอร์ในทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่บนหน้าผากของเจี่ยงซิ่วเหรินนั้นเต็มไปด้วยเหงื่อ
“ไอเพื่อนบ้า! ทำไมถึงไม่เปิดโทรศัพท์
ทำไมโทรศัพท์ถึงปิดตลอดเวลา!!”
เขากดปุ่มยกเลิกการโทรออกและยกมือเกาหัว ตอนนี้ความรู้สึกเสียใจที่ตอนนี้เขาไปคบเพื่อนอย่างตี๋ชิวเหอ
‘เราควรทำยังไงดี?’ เขารู้เรื่องที่เพื่อนเขาทำเพียงเล็กน้อย
อย่างเช่นตี๋ชิวเหอใช้บัญชีสำรองคุยกับแฟนบอยของเขา แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถติดต่อตี๋ชิวเหอได้
เขานึกถึงสีหน้ายิ้มแย้มของเพื่อนเขาเมื่อพูดถึง ‘น้องชาย’
เจี่ยงซิ่วเหรินยกมือกุมขมับและขยับตัวเดินลงบันไดอย่างสิ้นหวัง ตอนนี้เขาต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน
อย่างแรกเขาต้องลงไปพบแฟนบอยเพื่อให้อีกคนสบายใจ!
การปกปิดของตี๋ชิวเหอจะไม่ถูกเปิดเผยจากที่สตูดิโอ
Red Guest แห่งนี้ ไม่อย่างนั้นร้านนี้คงปิดเนื่องจากเพื่อนเขาต้องมาทำลายอย่างแน่นอน!
เจี่ยงซิ่วเหรินหยุดก้าวเดินเมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่นั่งหันหลังอยู่ที่โซฟา
ที่กำลังขอบคุณพนักงานต้อนรับที่เอาของว่างมาให้เมื่อเธอเห็นเจี่ยงซิ่วเหรินก็รีบก้มหน้า
เขารีบโบกมือเพื่อให้เธอออกไปก่อนและก้าวไปยืนต่อหน้าแฟนบอยของตี๋ชิวเหอ
“ขอโทษที่ให้รอนาน” เขาขยับตัวไปนั่งตรงหน้าเหอไป่พร้อมยื่นมือออกไปเพื่อจับมือทักทาย
“ยินดีที่ได้รู้จัก ผมเจี่ยงซิ่วเหรินเป็นเจ้าของสตูดิโอ Red
Guest”
โอ๊ะ!! หนังสือนิตยสารหลุดจากมือของเหอไป่
“อ๊ะ! ผมขอโทษครับ” เหอไป่ตั้งสติได้รีบก้มไปหยิบนิตยสารวางบนโต๊ะและเอื้อมไปจับมือชายตรงหน้า
“ยินดีเช่นกันครับ ผมชื่อเหอไป่วีแชท ID: White and Whiter คุณคือคนที่ใช้วีแชท ID: นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง
ใช่ไหมครับ” ให้ตายเถอะ! ‘เขาเป็นผู้ชาย’
หรือว่า ’ผู้ชายที่มีผู้หญิงอยู่ข้างใน’
ผู้ชายตรงหน้าดูดีมาก? ที่ผ่านมาเขาโดนหลอกมาตลอดเหรอ?
ใครจะไปคิดว่าคนที่พูดคุยกับเขาอย่างสนิทสนิมเรื่องของตี๋ชิวเหอจะเป็นผู้ชาย
และการพูดคุยหยอกล้อแบบเด็กๆของอีกคนด้วย!?
มีความคิดมากมายไหลวนในหัวของเหอไป่ เขาคิดว่าตัวเองถูกหลอกลวงเขาเก็บมือตัวเองไว้ข้างตัว
คงใบหน้าเป็นมิตรและพูดกับอีกคนอย่างสุภาพ “ขอโทษนะครับ
ผมแค่แปลกใจนิดหน่อยผมคิดไม่คิดว่าคุณจะ... ขอโทษที่มารบกวนโดยไม่ได้แจ้งก่อน
พอดีว่าเพื่อนของผมส่งผลไม้มาให้เยอะ และก่อนหน้าผมเห็นว่าคุณอารมณ์ไม่ดีดังนั้น...ขอโทษที่ผมคิดมากไปเอง
แต่แค่อยากให้แน่ใจว่าคุณโอเค”
‘อะไรนะ! เขาพูดถึงอะไร!!’
สังเกตุเห็นสีหน้าที่ตื่นตระหนักของเจี่ยงซิ่วเหริน
แต่ก็เปลี่ยนสีหน้าทันทีจากนั้นก็ยิ้มอย่างสนิทสนม “ไม่ใช่ครับคุณเข้าใจผิด
คนที่ติดต่อคุณ ‘นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง’ นั้นคือลูกพี่ลูกน้องของผม เนื่องจากตอนนี้เธออยู่ต่างประเทศเธอไม่สะดวกที่จะรับของเอง
จึงกรอกที่อยู่และชื่อของผมให้คุณส่งของมาให้ และผมก็ค่อยรวบรวมของแล้วส่งให้เธออีกครั้ง”
เจี่ยวงซิ่วเหรินคิด ‘ใช่บอกไปว่าอีกคนเป็นลูกพี่ลูกน้องและอยู่ต่างประเทศทำให้วันนี้ไม่สามารถมาเจอได้
นี่เขาเป็นคนหัวไวมากที่สามารถคิดข้อแก้ตัวได้ไร้ที่ติด’
เหอไป่นิ่งค้างความรู้สึกไม่ดีต่ออีกคนก่อนหน้าก็หายไป
เขารีบถามด้วยความประหลาดใจ “เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณ?
และตอนนี้อยู่ต่างประเทศ แต่เธอไม่ใช่พึ่งเรียนจบเหรอ? หรือไปฝึกงานที่นั้นครับ”
“...ใช่” เจี่ยงซิ่วเหวินพยักหน้า
จากนั้งก็นั่งลงเพื่ออธิบายต่อ “ป้าของผมต้องการให้เธอก้าวหน้า
จึงส่งเธอไปฝึกงานที่ต่างประเทศ จริงๆแล้วเธอไปที่ประเทศ R ใช้เวลานั่งเครื่องเพียงแค่หนึ่งชั่วโมง”
‘ประครองไว้! พูดต่อเนื่องจากอีกคน
จะไม่ได้แตกต่างจนผิดสังเกตุ ฉันนี้เก่งมากเลย!’
เหอไป่จ้องมองอีกคนอย่างแปลกใจ
“คุณป้าคุณส่งเธอไป? นี้เธอไว้ใจและเชื่อมั่นคุณมากที่เก็บของไว้ให้เธอ
ผมขอพูดอะไรหน่อยนะครับ เธอคุยกลับผมทางวีแชทว่าเธอไม่ชอบแม่เลี้ยงของเธอ
และเธอก็เครียดที่ถูกเฝ้าจากคนของแม้เลี้ยง ผมคิดว่าเธอคงกังวลและกลัวมาก วันนี้เลยกะมาหาเธอเพื่อดูว่าเธอโอเคไหมและเอาผลไม้มาฝากด้วย
เธอวางไว้ใจคุณมากผมขอถามหน่อยว่าเธอเป็นยังไงบ้าง? เธอยังโอเคอยู่ไหม?”
ความรู้ที่เหมือนถูกหลอกหมดไปตอนนี้เหอไป่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเธอมากกว่า
เขาไม่รู้สึกแปลกเลยที่เธอไว้วางใจในตัวเขาที่มีการติดต่อซื้อขายเพียงครั้งเดียวขนาดคนใกล้ตัวเธอยังไม่รับรู้เรื่องราวของเธอเลย
หลังจากยินคำพูดนั้นจบใบหน้าของเจี่ยงซิ่วเหรินกระตุก
เขาอดสาปแช่งเพื่อนของเขาเป็นร้อยๆครั้งไม่ได้ เจ้าเพื่อนชั่วไปเล่าอะไรให้เด็กหนุ่มคนนี้ฟัง
แล้วอย่างนี้เขาจะพูดยังไงต่อดี?
“ที่จริงเธอสบายดี..ขอบคุณสำหรับความห่วงใยของนายเดียวฉันบอกเธอให้”
ใต้โต๊ะเจี่ยงซิ่วเหรินกำผ้าปูโต๊ะแน่นจากนั้นเกือบอึดใจเขาก็ถอนหายใจและยิ้มขึ้นมา
“เด็กสาวคนนั้นเขาอ่อนไหว เขาไม่เคยเล่าอะไรให้ผมฟังเลย ต่อหน้าผมเธอเข้มแข็งมากไม่เคยเล่าถึงอะไรเลย
ขอบคุณที่คุณแชทคุยกับเธอนะ ผมไม่เคยรู้ว่า...ผมขอถามหน่อยได้ไหมว่าเธอบอกอะไรกลับคุณมั้ง?
ขอโทษนะผมไม่ต้องการขุดคุ้ย
แต่ผมก็กังวลเรื่องของเธออยู่เหมือนกัน...”
บทที่ 30 ข้อสัญญาใหม่
“ไม่เป็นไรเลยครับ ผมดีใจซักอีกที่เธอมีพี่ชายที่ยังห่วงเธอ
ผมคิดว่าถ้าเธอรู้เธอจะดีใจด้วยซ้ำ” เหอไป่รีบสวมบทเป็นเพื่อนที่ดี
และก็นึกคิดว่าจะพูดเรื่องไหนก่อนดี เหอไป่จึงตัดสินใจพูดถึงหัวข้อปลีกย่อยอย่างสรุปและเน้นหนักถึงเรื่องที่อีกคนจะหนีออกจากบ้าน
เจี่ยงซิ่วเหวินอดไม่ได้จะเบิกตาโต ในใจหยุดไม่ได้ที่จะสาปแช่งตี๋ชิวเหอระหว่างที่ฟังเด็กหนุ่มเล่า
นี้เพื่อนของเขาไปโกหกอะไรกับคนแปลกหน้า? ขอบคุณพระเจ้า..ดีที่เขาเอ้ะใจถามเรื่องนี้ก่อน
ไม่งั้นการโกหกทั้งหมดคงถูกเปิดเผย!!
“ผมก็พอทราบเรื่องที่เธอจะออกจากบ้าน”
เจี่ยนซิ่วเหรินถอนใจแล้วส่ายหัว “แต่ตอนนี้เธอโอเคขึ้นแล้ว
คุณป้าเพียงต้องการให้เธอใช้ชีวิตอยู่ที่โน้นเพื่อความก้าวหน้าของเธอ แต่ดูเหมือนว่าเธอไม่อยากไปก็เลยเกิดการทะเลาะกันขึ้นส่วนลุงของผมก็เป็นคนที่ไม่ใส่ใจเรื่องในครอบครัวเรื่องจากเขามีงานที่ยุ่งตลอดเวลา
พวกผู้ใหญ่ในตระกูลผมส่งนมากก็เป็นเช่นนี้ ค่อนข้างเคร่งครัดในระเบียบ”
เหอไป่ที่ฟังจบก็ขมวดคิ้วอย่างสงสารเพื่อนทางโซเซี่ยลของเขา
ไม่เคยคิดเลยว่าสภาพแวดล้อมที่เธอโตมาจะเลวร้ายขนาดนี้ ตลอดเวลาที่คุยกับเธอ
เธอนั้นทั้งร่าเริงแจ่มใส เขาคิดว่าภายในของเธอคงเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
เจี่ยงซิ่วเหวินก็พยายามระงับอาการคันปากของตัวเขาเองไม่ให้ถามว่า
‘ลูกพี่ลูกน้อง’ ไปสร้างเรื่องดราม่าอะไรใส่เด็กหนุ่มอีกไหม
เขาต้องรีบเปลี่ยนเรื่องเดียวเรื่องที่เขาเอออ๋อจะหลุดหมด “ผมเคยได้ยินเธอบอกว่าทั้งคุณและเธอเป็นแฟนคลับของตี๋ชิวเหอ
และยังเอ่ยปากชมว่าคุณทั้งถ่ายรูปเก่งแลพยังสามารถรีทัสภาพได้ด้วย คุณสนใจที่จะร่วมงานที่นี้ไหม?”
เหอไป่หลุดจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงของอีกคน
หา..อะไรเธอบอกว่าผมเป็นแฟนคลับของตี๋ชิวเหรอ...เธอเข้าใจอะไรผิดฟไปหรือเปล่า
“ขอบคุณมากเลยครับ แต่ผมไม่ขอรับไว้เนื่องจากตอนนี้ผมทำงานพาร์ทไทม์ที่
Saint Elephant ที่อยู่ข้าม” เหอไป่ยิ้มและเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชายกขึ้นจิบ
“คุณเป็นที่มีน้ำใจมากคอยรับของแทนให้กับเธอ ผมขอตัวก่อนนะครับ วันนี้ผมสนุกมากจริงๆ
ที่ได้คุยกับคุณ”
เจี่ยงซิ่วเหวินเมืองเห็นแสงสว่างอยู่ข้างหน้า
เขาแทบลุกขึ้นกระโดดแต่ยั้งตัวได้ทัน และรีบปรับท่าทางให้ดูสุภาพขึ้นและก้าวเดินไปที่ประตู
ส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรไปให้ทางเหอไป่ “เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ผมช้าเรื่องที่จะให้คุณมาร่วมงานด้วย
ขอบคุณเรื่องผลไม้และความเป็นห่วงเรื่องลูกพี่ลูกน้องของผม หวังว่าจะได้พบกันเองสตูดิโอ
Red Guest ต้อนรับคุณเสมอ”
“เช่นกันครับ
ขอบคุณสำหรับขนมที่มาเลี้ยงผมในวันนี้” เหอไป่รีบเดินออกจากประตู
แต่ก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากชายด้านหลัง
ทางเจี่ยงซิ่วเหรินเห็นเด็กหนุ่มเดินออกจากประตูร้านไป
ก็เหมือนจะนึกอะไรออกก็ตระโกนถามไล่หลัง “รอก่อนผมขอถามอะไรคุณหน่อย
คุณบอกว่าผลไม้เหล่านี้เพื่อนจากชานแดนส่งมาให้คุณเหรอครับ?”
“ครับ..เหมือนว่าเขาจะส่งด่วน
ทำให้ผลไม้ตอนนี้ยังสดใหม่ คุณมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก เพียงเห็นว่ามันยังสดใหม่แล้วผมต้องการจะซื้อไปฝากครอบครัว
ดูเหมือนว่าคุณมีเพื่อนที่ดีนะที่ขนาดไปอยู่ชายแดนยังนึกถึงคุณแล้วส่งผลไม้มาให้ ผมก็เลยอิจฉาที่คุณมีเพื่อนที่ดีแบบนี้”
เขาหัวเราะ แต่ภายในใจเขาอยากจะเอาตี๋ชิวเหอจับวางไว้บนเขียงแล้วสับอีกคนเป็นหมื่นๆชิ้นและใส่ในหม้อต้มซุป
ชิวเหอไม่เคยโทรหาเขาแม้แต่ข้อความยังไม่มี แต่นี้กับมีเวลาส่งผลไม้ให้กับแฟนบอย แล้วยังไปทำเรื่องเละเทะแล้วให้เขาต้องมาตามเก็บกวาดอีก!
แม่งเอย!!! เขาควรจะคบเพื่อนแบบนี้ต่อไปดีไหม
เหอไป่มองหน้าอีกคนที่หัวเราะเปล่งๆ
เขาก้มหัวเพื่อขอตัวพร้อมเดินออกไปอย่างรวดเร็วไปทางสตูดิโอ Saint
Elephant ที่อยู่ตรงข้าม
หลังจากเจี่ยงซิ่วเหรินเห็นเด็กหนุ่มเดินจากไปรอยยิ้มบนใบหน้าก็จางหายทันที
เมื่อหันหลังกลับก็เห็นเหล่าพนักงานต้อนรับเกาะเคาน์เตอร์จ้องมองอยู่ เขาเบิกตากว้างและพูดเสียงดัง
“มีอะไรน่าตลก! ทำงานเสร็จกันแล้วเหรอ? หรือผมจะต้องให้งานพวกเธอเพิ่ม
ถ้าใครกล้าพูดเรื่องวันนี้ จะโดนหักเงินเดือนทั้งหมด! ลืมมันไปซะ!!”
เหล่าพนักงานที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ตกใจและเริ่มขยับเหมือนนกแตกรังเพื่อไปทำหน้าที่ของตัวเอง..
หลังจากเหอไป่กลับมาที่สตูดิโอ
Saint Elephant ก็รู้สึกถึงสายตาแปลกที่จ้องมองเขา เทื่อเห็นพนักงานขับรถในวันนี้ก็เรียกอีกคนเพื่อหยุดถาม
“มีเรื่องอะไรเหรอครับ? ทำไมทุกคนมองผมแปลกๆอย่างนั้น?”
“ไม่หรอก..ไม่มีอะไรหรอก พวกเขาคงอยากจะขอบคุณนายเรื่องผลไม้”
พนักงานคนนั้นรีบตอบอย่างรวบรัดและขอตัวไปทำงานอย่างเร่งรีบ ซึ่งมันถือว่าน่าแปลกเกินไป
เหอไป่ยกเลิกคิ้วขึ้นและจ้องมองตามหลังอีกคน
เมื่อไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดเขาก็เลยเดินตรงไปที่ห้องทำงานหลี่เหริน
“ได้เดียวฉันจะคุยกับเขา...ขอบคุณสำหรับคำเชิญ...ตกลงเดียวฉันจะบอกเรื่องนี้กับทันที”
หลังจากวางหูหลี่เหรินก็ได้ยินเสียงเคาะประตูและเห็นไปเหอไป่โผล่หัวเข้ามา
เธอรีบโบกมือเรียกอีกด้วยใบหน้าที่ผ่อนครายขึ้น “นายมาพอดีเลยฉันมีเรื่องอะไรจะคุยกับนายพอดี”
เหอไป่เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มหย่อนตัวเองนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามหลี่เหริน
เขาหยิบถุงใส่ผลไม้ถุงใหญ่ออกจากกระเป๋าวางมันเบาๆเหมือนของตรงหน้าเป็นสมบัติล้ำค่า
“คุณหลี่ครับ ผมเก็บผลไม้นี้ให้คุณโดยเฉพาะ มันมีกลิ่นและรสชาติที่กว่าผลไม้ทั้งหมดที่ผมเอามาให้วันนี้
มันอร่อยมากแน่ๆ”
“ไม่ต้องมาเอาใจ” หลี่เหรินยิ้มและรับถุงผลไม้ตรงหน้าอย่างไม่เก้อเขิน
จากนั้นก็เข้าประเด็นเรื่องงานทันที “นี่คืองานใหม่ของนายหลังจากจบงานของสถานีโทรทัศน์
B สิ้นสุด ช่วงนี้งานทางเราลดลงเราจึงตัดสินใจว่าจะไม่ค่อยจ่ายงานให้กับเหล่าพาร์ทไทม์เท่าไรนัก
แต่ไม่ต้องตกใจทางร้านได้ตกลงจ้างนายอยู่เหมือนเดิม”
เหอไป่นั่งฟังที่เธอพูดอย่างเงียบด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่ต้องตกใจ” หลี่เหรินยิ้มเพื่อปลอบประโลมและพูดเรื่องอื่นทันที
“เร็วนี้นายได้เข้าบัญชีเวยป๋อบ้างไหม?”
เหอไป่ส่ายหัว “ไม่ได้เข้าเลยครับผมยุ่งกับการสอบ คุณหลี่ถามทำไมครับ” หรือว่าข่าวลือของตี๋ชิวเหอจะมีคนพูดต่อไม่หยุด?
“ไม่มีอะไรหรอก เพียงแค่นายเป็นที่รู้จักมากขึ้น”
หลี่เหรินหยอกล้อเหอไป่ เธอกดคลิกที่แท็บเล็ตบนโต๊ะและเลื่อนหน้าจอไปให้เหอไป่ดู
“ดูสินายมีคนรู้จักมากขึ้นแล้วนะ? ก่อนหน้ามีข่าวนักแสดงที่โดนกระแสดราม่าอย่างหนักและนักแสดงนั้นก็ทำเรื่องปิดบัญชีเวยป๋อแต่ก่อนที่เขาจะปิด
เขาได้แชร์วิดีโอการถ่ายทำเบื้องหลังของสถานีโทรทัศน์ B ซึ่งถูกนำมาพูดกันต่อในโซเซี่ยลถึงการลงทุนและช่างภาพที่ถ่ายทำ
ซึ่งเหล่าคนเบื้องบนของสถานีโทรทัศน์ B เห็นกระแสดีก็เลยตัดสินใจใช้กระแสนี้ให้เป็นที่นิยมใน
Twitter”
บนหน้าจอแท็บแลปก็มีหัวข้อ
Twitter ภายใต้แฮชแท็ก # โปรดกลับมาอีกครั้งตี๋ชิวเหอ
# กลับมาอีกครั้ง # อยากให้ถ่ายภาพโดยช่างถ่ายรูปหนุ่มหล่อ
#
เหอไป่คลิกไปที่ลิ้งค์หัวข้อและเห็นสิ่งที่อยู่ในภาพก็มีเหล่าภาพเซลฟี่ของชาวโซเซี่ยลที่มีคำบรรยายที่เขาไม่อยากจะพูดถึง
‘คนเหล่านี้ก็แค่ต้องการอวดภาพเซลฟี่ของตัวเองเท่านั้น’
เหอไป่มุมปากกระตุกอย่างหงุดหงิด
เมื่อสัมผัสถึงความเงียบของเด็กหนุ่มตรงหน้าหลี่เหรินเธอก็ยิ้มขึ้น
“นายถ่ายรูปของหยางฟูได้ดี มีกระแสตอบรับจากชาวโซเซี่ยลเป็นอย่างมาก
ดังนั้นทางสตูดิโอจึงขอเสนอตำแหน่งช่างภาพประจำร้านสำหรับการถ่ายภาพโฆษณาเพราะจากกระแสของเวยป๋อทำคุณต้องมีฐานลูกค้าติดตามงานเยอะขึ้น”
‘เสริมกระแสความนิยม? นี้พวกเขาต้องการให้เขาถ่ายภาพเพื่อคงฐานลูกค้าทางอินเตอร์เน็ตและให้ทางสตูดิโอ
Saint Elephant เหรอ?’
เหอไป่วางแท็บเล็ตทันทีและถามด้วยความลังเลว่า
“คุณหลี่ครับนี้ทางสตูดิโอต้องการให้ผมทดลองงานใช่ไหมครับ?”
“ถูกต้อง..เป็นอย่างที่นายเข้าใจ” หลี่เหรินพยักหน้า จากนั้นเธอก็หยิบเอกสารออกมาจากลิ้นชักโต๊ะทำงาน
“นี่คือสัญญาเงินเดือนใหม่ เงินเดือนเทียบเท่ากับช่างภาพหม่า เนื่องจากตอนนี้นายยังเป็นนักศึกษาและยังต้องมีการเข้าคลาสเรียน
ทางสตูดิโอก็เลยตกลงให้นายทำงานในฝ่ายการโปรโมตออนไลน์”
ถ้าเพียงแค่ฟังเฉยๆก็รู้สึกได้ว่าข้อเสนอที่มีเป็นข้อเสนอที่ดี
แต่เหอไป่ที่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน เขาไม่รีบตอบรับเขาทำเพียงเปิดอ่านเนื้อหาในสัญญาทั้งสองฉบับ
เมื่อเขาเจอตุกที่สังสัย เหอไป่ก็เงยหน้าขึ้นมองมองหลี่เหรินด้วยสีหน้าจริงจัง
“คุณหลี่ครับ ในข้อสัญญานี้คือผมน้องเซ็นสัญญาเป็นพนักงานของสตูดิโอถึงสิบปี
แต่จะมีการประเมินผลงานทุกปีเพื่อที่จะพิจารณาว่าผมต้องมีการปรับเปลี่ยนสายงาน ข้อสัญญาตรงนี้มันหมายความว่ายังไงครับ”
บทที่ 31 ลาออก
หลี่เหรินได้รับสัญญานี้มาจากหัวหน้าของเธออีกต่อตอนแรกที่เธออ่านก็รู้สึกว่ามันไม่โอเคสำหรับเหอไป่
เธอดิ้นรนถึงความถูกต้องในตัวของเธอก่อนที่จะถอนหายใจขึ้น “เหอไป่ ข้อสัญญานี้เกิดขึ้นได้เพราะนายเป็นที่ติดนิยมจากเหล่ากระแสโซเซี่ยล
ซึ่งกระแสพวกนี้มันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งฉันคิดว่าถ้านายพยายามอย่างหนักรักษามันไว้ก็เป็นเรื่องดีของตัวนายกับทางสตูดิโอของเขา
แต่ถ้ามันไม่เป็นไปตามแผนทางเราก็ต้องมีแผนสำรองไว้รับมือ เพื่อเหมือนมันเป็นตัวรับประกันถึงต้นทุนที่ทางเราลงทุนไปกับตัวของนาย
ซึ่งก็คือผลประเมินประจำปีถ้าได้ทำได่ตามเป้าที่คาดไว้เราก็ปีนั้นนายก็ได้รับผลตอบแทนตอบกลับมา”
‘แต่ให้ถูกถึงอีกมุมทุกความเสี่ยงขึ้นอยู่กับตัวของเขาเอง
ในขณะที่ทางสตูดิโอได้รับผลประโยชน์ทั้งขึ้นและล่อง’ เหอไป่ต่อคำในใจ
เหอไป่ตอนนี้เข้าใจถึงคำที่ตี๋ชิวเหอพูดก่อนหน้าแล้วว่าพวกผู้บริหาร
Saint Elephant นั้นเห็นประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก ดูอย่างสัญญาทั้งสองฉบับตรงหน้านี้
มันไม่มีความยุติธรรมต่อพนักงานที่ได้รับการจ้างงาน มันเป็นการที่เอารัดเอาเปรียบที่มากเกินไป
“คุณหลี่ครับ..” พูดถึงเป็นคำแรกหลังประมวลผลทั้งหมดได้แล้ว
“เรื่องสัญญานี้ผมคงรับไว้ไม่ได้จริงๆ ผมรู้สึกซาบซึ้งเป็นการมากที่คุณดูแลผมมาเป็นอย่างตลอดเวลาที่ผมทำงานที่นี้
แต่การที่ผมต้องพึ่งในกระแสนิยมแบบนี้ มากกว่าที่จะวัดจากผลงานที่ผมทำได้นั้น
ผมไม่ขอรับไว้”
ในส่วนลึกของหลี่เหรินชื่นชมในตัวของเหอไป่ทั้งทัศนคติและการวางตัว
แต่เมื่อคิดถึงตำแหน่งงานของเธอ เธอยังพยายามโน้วนาวเหอไป่
“นี้ถือเป็นเรื่องดีในตัวของนายเอง
วันนี้นายอย่าพึ่งด่วนตัดสินใจเลย เอาเรื่องนี้กับไปคิดก่อนก็ได้แล้วค่อยมาบอกฉันวันหลัง”
“ผมขอโทษครับ” เหอไป่เลื่อนเอกสารสัญญาทั้งหมดไปตรงหน้า
รอยยิ้มเต็มไปด้วยฝืดเคือง “คุณหลี่ครับ
ถึงผมเป็นเพียงนักศึกษาเท่านั้น ก่อนหน้าที่ผมมาสมัครงานก็เพราะต้องการหารายได้เสริมระหว่างที่ผมเรียนอยู่
และจากเหตุการณ์ที่สวนหลี่ฮู ผมขอบอกตรงๆว่าการร่วมงานผมโอเคที่จะร่วมในระยะงานสั้นๆ
แต่ถ้าให้ผมร่วมงานในระยะยาวผมว่ามันคงเป็นเรื่องยาก ผมจึงไม่สามารถรับข้อเสนอนี้ได้ครับ”
ถ้าในวันนี้เขาไม่ปฏิเสธไปอย่างเด็ดขาดและกับมาบอกในภายหลัง
ต้องมีความบอกว่าเขาเป็นคนหัวสูงหวังจะใช่กระแสนิยมของตัวเองตอนนี้เป็นข้อต่อรอง ซึ่งการที่พูดเด็ดขาดมันก็ถือเป็นทางอ้กที่ดีที่สุด
เหอไป่รีบลุกขึ้นยืนและโค้งตัวขอบคุณไปทางหลี่เหริน
“ขอบคุณที่คุณให้โอกาสผมในวันนี้ และผมต้องขอโทษที่ไท่สามารถตอบรับข้อเสนอนี้ได้
ส่วนงานที่คุณส่งมาให้ผมก่อนหน้า ผมจะทำให้เร็วที่สุดและจะส่งงานให้ทางอีเมล์
ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
หลี่เหรินที่ได้ยินที่เหอไป่พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเธอก็รู้สึกได้ว่าทางผู้บริหารเข้าข้างหม่าเซียนตงมากเกินไปซึ่งเรื่องนี้มันทำให้เธอเหนื่อยใจเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังก้าวขาออกจากห้อง เธอก็รีบพูดขึ้นอย่างจริงใจ
“นายเป็นคนที่เก่งและมีทัศน์คติที่ดี ถ้านายยังยึดมั่นแบบนี้ฉันคิดว่าเส้นทางของนายไปได้อีกไกล
ฉันของให้นายไปได้ถึงจุดที่ตั้งเป้าไว้”
เหอไป่ชะงักตัวที่หน้าประตูก็หันหลังมาโค้งขอบคุณอีกครั้ง
“ขอบคุณครับคุณหลี่ ผมจะทำให้ดีที่สุด”
เมื่อเห็นว่าตัวเธอไม่สามารถที่จะรั้งเด็กหนุ่มได้อีกเธอก็เอ่ยเตือนอีกเรื่อง
“เหอไป่วันนี้นายไปที่สตูดิโอ Red Guest แม้ว่าเหตุผลของนายแท้จริงจะเพียงเอาผลไม้ไปให้เพื่อน
แต่คนอื่นที่น้ไม่ได้คิดแบบนั้น ช่วงวันหยุดฤดูร้อนนี้ฉันขอเตือนว่านายอย่างพึ่งไปทำงานที่สตูดิโอแห่งนั้นเลย”
เหอไป่เข้าใจแล้วถึงอาการแปลกๆของพนักงานที่เขาเจอก่อนหน้า
เมื่อทุกอย่างกระจ่างเขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไร้สาระเป็นอย่างมาก จึงทำเพียงพูดขอบคุณแล้วก้าวเดินออกไปทันที
ดูเหมือนเส้นทางของเขาจะปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็จจากการเป็นช่างภาพมืออาชีพกลายมาเป็นเพียงคนตกงานเดินเตะฝุ่น
ทั้งหมดนี้เกิดจากการผลไม้เท่านั้น...
เหอไป่ที่ตอนนี้มาถึงหอพักก็เดินตรงไปเปิดคอมและเอนตัวนอนลงบนเตียงนอน
เขาหยิบโทรศัพท์เพื่อจ้องมองตัวเลขในบัญชีของเขาตอนนี้มันอย่างทำให้เขาตาลาย ถ้ารู้ว่าจะเกิดเรื่องทำนองนี้เขาขอตัดสินใจซื้อคอมในราคาถูกแทนดีกว่า
เหลือเวลาเกือบสองเดือนกว่ามหาลัยจะเปิดซึ่งเขาตอนนี้เป็นคนที่ว่างงาน เขาต้องรีบหางานพาร์ทไทม์ทำไม่งั้นเขาจะไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อเนื้อกินอย่างแน่นอน!!
เหอไป่กำลังขยับตัวไปที่หน้าคอมก็มีเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้น
เมื่อมองที่หน้าจอมันเป็นเบอร์ที่เขาไม่รู้จักทเขารีบกดรับเมื่อนึกถึงงานที่ตี๋ชอวเหอเคยบอกไว้ก่อนหน้า
และกรอดเสียงสุภาพที่สุดเท่าที่ทำได้ “สวัสดีครับ”
“สวัสดีคะ
คุณคือช่างภาพชื่อเหอไป่ใช่ไหมคะ” เสียงที่ดังลอดมาเป็นเสียงผู้หญิงที่โทนเสียงนุ่นนวลอ่อนหวาน
‘ช่างภาพเหอไป่? นี่มันเป็นสายติดต่องานอย่างแน่นอน’
เขารีบระงับแาการตื่นเต้นและพูดกับอย่างสุภาพ
“ใช่ครับ คุณติดต่อมาเรื่องอะไรครับ”
“คะ..ฉันชื่อหลินเซี่ยเป็นหัวหน้าแผนกดีไซเนอร์ของยีคัง
เราเห็นรูปที่คุณถ่ายให้กับสถานีโทรทัศน์ B ทางอินเตอร์เน็ตและทางเราชอบมันมาก
ทางเราเลยขอติดต่อคุณเพื่อที่จะมาถ่ายงานให้กับแบรนด์เสื้อผ้า ซึ่งทางแบรนด์ของเราเน้นกลุ่มลูกค้าหญิงสาววันรุ่น
คุณสนใจร่วมงานกับทางเราไหมคะ”
หลังพูดรอบข้างก็เกิดความเงียบขึ้น เหอไป่ที่ตอนนี้ตั้งสติได้ก็รีบพูดขึ้น
“คุณหมายถึงร่วมงานแบบไหนครับ?” และไอแบรนด์เสื้อผ้าหญิงสาว
มันคืออะไร?
หลินเซี่ยรับรู้ได้ทันทีว่าอีกคนไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับแบรนด์เสื้อผ้าวัยรุ่น
เธอก็อธิบายทุกอย่างรวดรัดแต่เข้าใจง่ายอย่างใจเย็นให้เหอไป่ฟัง และถึงการจ้างงานที่ติดต่อให้เหอไป่ร่วมงาน
แต่ท้ายสุดยังบอกว่าให้นำไปตัดสินใจก่อนแล้วยังไงให้ติดต่อกับมาอีกครั้ง
เหอไป่รีบบอกว่าขอนำเก็บไปคิดและจะรีบติดต่อกับเธอทันที
หลังจากวางสายทั้งห้องก็เต็มไปด้วยความเงียบสมองของเหอไป่ประมวลข้อมูลที่เขาได้รับมาไม่หยุดหย่อน
‘จ้างงานให้ถ่ายภาพให้กับแบรนด์เสื้อผ้าผู้หญิงและได้ค่าตอบแทนที่ค่อนข้างสูง
และมันเป็นเพียงสัญญาในระยะสั้นๆแต่มันสามารถต่อไปถึงการจ้างงานในระยะยาว’ นี้มันเพอร์เฟคมาก! มันสามารถทำงานได้ตลอดในช่วงวันหยุดปิดเทอมฤดูร้อนของเขา!!
เหอไป่กระโดดบนเตียงด้วยความดีใจและรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อต่อสายหาอาจารย์ซูอิ๋นหลงเพื่อปรึกษาถึงการถ่ายภาพให้กับแบรนด์เสื้อผ้าหญิงสาว
ที่มันไม่เหมือนการถ่ายเหล่านางแบบ..ตอนนี้เขาต้องการที่ปรึกษาในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน!
ในจังหวัดที่ติดชายแดน ตี๋ชิวเหอที่ได้หยุดพักจากการฝึกครึ่งวันหลังจากที่เขาได้รับการฝึกอย่างหนักหน่วงกับโค้ทที่เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้
ตี๋ชิวเหอกล่างขอตัวกลับห้องพักก่อนเนื่องจากให้เหตุผลว่าเหนื่อยล้าจากการฝึกก่อนหน้าเมื่อเขามาถึงห้องก็ตรงไปที่โทรศัพท์เพื่อนไมันชาร์ทแบตหลังจากไม่รู้ว่าแบตมันหมดไปตอนไหนและก็กดเปิดเครื่องขึ้นมา
ทันทีที่เปิดเครื่องก็มีการแจ้งเตือนจากสายที่เขาไม่ได้รับและข้อความมากมายโชว์ที่หน้าจอซึ่งทั้งหมดมาจากคนคนเดียวคือเจี่ยงซิ่วเหวินทำให้ตี๋ชิวเหอรู้สึกผิดหวัง
นี้อะไรทำไมลูกหมาน้อยถึงไม่ได้ติดต่อเขากลับมาเลย เขากำลังกดหมายเลขเพื่อโทรหาก็เปลี่ยใจกดเขาไปที่บัญชีรองของวีแชทของเขาแทน
จากนั้นก็เดินไปนั่งที่โซฟาริมหน้าต่าง
White and Whiter: ตอนนี้คุณอยู่ที่สตูดิโอ
Red Guest หรือเปล่า
White and Whiter: พอดีเพื่อนของผมส่งผลไม้มาให้และมันมากเกินจนผมคนเดียวกินไม่หมด
คุณต้องการจะแบ่งมันไปไหม?
White and Whiter: คุณยังอยู่ไหมชิวชิว?
ตี๋ชิวเหอไล่อ่านข้อความในประโยคสุดท้ายก็จี๊ปากด้วยความขัดใจ
“ก็แค่ผลไม้ทำไมต้องแบ่งมาให้ผมด้วย..เด็กน้อยเอ่ย”
และไม่ใช่ส่งมาจากเพื่อนของนาย
มันมาจากพี่ชายของนายและยังเป็นไอดอลที่นายปลื้มด้วย!!
“ลูกหมาน้อยทำไมนายเป็นคนที่ใส่ใจ เมื่อคุยกับผมทางนี้”
ตี๋ชิวเหอกดไปที่รูปโปรไฟล์ของเหอไป่ ที่มีสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนมีตัวอักษร
‘ยินดีอย่างยิ่งที่ได้แชทกับคุณ’ แปะอยู่เต็มหน้า
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
ช่วงนี้ฉันยุ่งมาก ทำให้ไม่ได้เข้าวีแชทมาได้สักพักแล้ว
ขอบคุณมาความห่วงใยของคุณนะ ไป่ไป่ ^ - ^
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: รักคุณนะ ไป่
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: แม่เลี้ยงของฉันไม่ได้มายุ่งเกี่ยวอะไรกับฉันช่วงนี้
ฉันมีความสุขมาก ขอบคุณมากนะสำหรับรูปถ่ายและของขวัญที่คุณส่งมาให้ก่อนหน้านี้ หอพักอยู่อยู่ที่ไหนเดียวฉันส่งของไปตอบแทนคุณ
^
- ^
รู้สึกว่าก่อนที่เขาจะออกจากเมือง
B เจี่ยงซิ่วเหรินซื้อกล้องถ่ายรูปรุ่นใหม่มา ลูกหมาน้อยของเขาชอบถ่ายรูปมากถ้าได้รับกล้องตัวใหม่ไว้ใช้งานจะต้องปลื้มมันเป็นอย่างมากๆแน่
และต้องรู้สึกขอบใจเขาเป็นพันๆครั้งในเรื่องนี้ แผนนี้สมบูรณ์แบบมาก! ฉลาดมาก!
ตี๋ชิวเหอตอนนี้พอใจกับแผนที่เขาวางไว้
‘จิ๊บ’ เสียงข้อความเข้ามาใหม่
เขารีบก้มหัวอ่านทันที
White and Whiter: คุณไม่จำเป็นต้องส่งของมาตอบแทน
ถ้าเมื่อไรคุณรู้สึกเศร้าก็สามารถเล่าให้ผมฟังได้ ผมยินดีรับฟังนะ
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ...?
รู้สึกเศร้าใจ?
ทำไมถึงต้องเศร้าด้วย? ลูกหมาน้อยไปได้ยินอะไรมา?
White and Whiter: วันนี้ฉันพบลูกพี่ลูกน้องคุณ
เขาเล่าเขาพูดเรื่องบากอย่างให้ผมฟัง คุณตอนนี้ต้องผ่านมันให้ได้นะครับ...การที่คุณอยู่ต่างประเทศ
คุณต้องดูแลตัวเองด้วยอย่าคิดฆ่าตัวตายหรือหนีออกจากบ้านอีก คิดถึงครอบครัวของคุณที่รักคุณและอนาคตข้างหน้าด้วย
“???” ตี๋ชิวเหอสับสน อยู่ต่างประเทศ?
ลูกพี่ลูกน้อง? มันคืออะไรนี้?!
White and Whiter: คุณไม่ต้องส่งของขวัญกลับมาให้ผม
หากคุณมีเงินก็หาซื้อของที่คุณชอบหรือไม่ก็ส่งของตอบแทนลูกพี่ลูกน้องของคุณ ผมว่าเขาเป็นคนดีและยังเป็นห่วงคุณเป็นอย่างมาก
ผมว่านะหากมีเรื่องอะไรก็สามารถคุยกับเขาได้ ยังไงครอบครัวก็สำคัญกับไอดอลที่คุณชื่นชอบ
เพียงแค่คุณมีความศรัทธาต่อคนในครอบครัวของคุณ ^ - ^
“....!!!???” ‘อะไรนะ? มันหมายความว่าอย่างไร? ไอดอล? ต้องการให้ฉันคุยกับคนในครอบครัว นี้เขาไม่ได้ออนไลน์ไม่กี่วัน
ถึงกับมีลูกพี่ลูกน้องมาได้ยัง เกิดอะไรขึ้นสมองของลูกหมาน้อยของเขานี้?
บทที่ 32 สินบน
White and Whiter: ทำไมคุณถึงเงียบไป
หรือไม่พอใจอะไรผม
White and Whiter: ขอโทษนะที่ผมพูดแบบนี้
และไม่ควรที่จะไปหาคุณที่ Red Guest
ตี๋ชิวเหอที่ยังอยู่ในความสับสน ก็ฝืนคืนเมื่อได้ข้อความของเหอไป่
เขารีบกลับมาตั้งสติเพื่อเรียบเรียงข้อความของเหอไป่อย่างจริงจัง เหมือนข้อความตรงหน้าเป็ข้อสอบของมหาลัย
เขาสรุปได้ว่าเหอไป่ไปหา ‘ผู้ซื้อ’ ที่ Red Guest ไม่ใช่ไปหาตี๋ชิวเหอ ไม่ใช่ไปหาเขา!!
Red Guest ลูกพี่ลูกน้อง...เจี่ยงซิ่วเหวิน!
ทำไมเจ้าลูกหมาน้อยนับถือเจี่ยงซิ่วเหวินได้ แล้วเขาล่ะ!!!
คิ้วตี๋ชิงเหอขมวดแน่นนิ้วพรมลงบนโทรศัพท์แน่นหนักด้วยความโกรธก่อนที่จะกดส่งเขาก็จ้องมองกระจกก็เห็นเงาตัวเองสะท้อนกลับมา
เมื่อเห็นหน้าตัวก็รีบยกมือลูบหน้าอย่างตั้งสติให้สงบลงและลบข้อความที่พิมพ์ก่อนหน้าด้วยความเร็วที่ช้าลง
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
มันไม่ใช่เรืาองใหญ่ ขอเพียงแค่คุณเป็นห่วงฉันก็เพียงพอแล้ว ^
- ^
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: อย่าคิดมากนะ
หากว่าคุณไม่สะดวกที่จะรับของขวัญเพียงฝ่ายเดียว เรามาแลกของขวัญกันไหม
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: รอแปบนะ
ฉันมีเรื่องด่วนเข้ามาพอดี
เมื่อพิมพ์ข้อความเสร็จก็กับไปที่หน้าจอโทรออกและกดเบอร์เจี่ยงซิ่วเหวินและกรอกเสียงอย่างนวดเร็วเมื่ออีกคนรับสาน
“นายไปเล่าอะไรให้เหอไป่ฟัง..
เจี่ยงซิ่วเหวิน “...อ่า”
“...?” ตี๋ชิวเหอ
สิบนาทีที่ตี๋ชิวเหอได้รับคำต่อว่าที่อีกคนสาดใส่
ระหว่างนั้นตี๋ชิวเหอไม่ใส่ใจและเมื่ออีกคนเห็นว่าไม่มีการตอบโต้ก็กดวางสายอย่างหระแทกไป
ตี๋ชิวก็จ้องมองที่ท้องฟ้านอกหน้าต่างที่เริ่มจะมืดมิด มันรู้สึกดีมากที่เขาได้รับการใส่ใจจากเหอไป่
ซึ่งมันถือว่าหาได่ยากมากที่เขาจะได้รับ
เฮ้อ~~ ตี๋ชิวเหอที่ถอนหายใจยาวก็กดไปที่ร้านผลไม้และสั่งผลไม้กล่องใหญ่เพื่อส่งไปที่สตูดิโอ
Red Guest
จากนั้นก็วางโทรศัพท์ไว้ข้างตัวพร้อมเอนตัวพิงโซฟา...จากที่ได้ยินอีกคนพูดเขาคงไม่สามารถติดต่อหมาน้อยได้ในตอนนี้
เขาคงต้องรอเวลาที่เหมาะสม!
ทางฝั่งเหอไป่ที่รออีกคนตอบกลับมาว่า
‘ฉันกลับมาแล้ว’ ก็ไม่มีข้อความอะไรทั้งนั้น แต่กับกันเช้าวันถัดมาเขากลับได้ผลไม้กล่องใหญ่มาส่งถึงหอพัก
เหอไป่รีบกดเบอร์หาตี๋ชิวเหอ
‘ขออภัยหมายเลขที่ท่ายเรียกไม่สามารถติดต่อได้มนขณะนี้’
“....”
เหล่าพนักงานของยีคังก็แตกตื่นเมื่อเจอ ‘สินบน’ ของช่างภาพหนุ่มที่มีสีหน้าใสซื่อ
พวกเขาจะต้องร่วมงานด้วย
“นายเป็นคนที่มีน้ำใจมากจริงๆ” หลินเซี่ยวางตัวไม่ถูกเธอไม่เคยเจอ ‘สินบน’ ในรูปแบบนี้ อีกอย่างเธอเป็นคนเอ่ยปากของให้อีกคนมาร่วมงานกลับยีคังด้วย แต่นี้กับได้ผลไม้ที่สดใหม่และหายากตอบกลับมาแทน
ทั้งที่ทางยีคังจะต้องให้ ‘สินบน’ กลับช่างภาพหนุ่มคนนี้
“คือว่า..เพื่อนของผมส่งผมมาให้ซึ่งมันดูจะเยอะเกินไป
ผมก็เลยนำมาฝากยังไงก็ช่วยผมกินหน่อยนะครับ” เหอไป่ยกมือเกาหัวอย่างอายๆ
“ผมเคยได้ยินมาว่าเหล่าสาวๆที่อยู่ในวงการแฟนชั่นใส่ใจเรื่องสุขภาพเป็นอย่างมาก
แต่มันก็น่าเสียดายที่จะปล่อยให้ผลไม้มันเน่าไป...ขอโทษที่ทำให้คุณลำบากใจ”
เหอไป่รีบอธิบายที่ถึงเหล่าผลไม้ที่เขามาเอาในวันนร่งงี้ด้วยใบหน้าที่ใสซื่อทำให้ดูน่ารักมาก
ในสายตาของเหล่าพนักงาน ‘ช่างน่ารักดูน่าหลงใหล’ เหล่าพนักงานกำถุงผลไม้แน่นเมื่อจ้องมองรอยยิ้มของเด็กหนุ่มตรงหน้า
คิ้วของหลินเซี่ยกระตุกเธอรีบตบโต๊ะเสียงดัง
“ฉันให้พวกเธอพักเพิ่มอีกสามสิบนาที เพิ่มไปลิ้มลองผลไม้ที่คุณเหอเอามา
ออกไป!!”
เหล่าพนักงานเฮร้องเสียงดังเหมือนนกจอกแตกรัง
ต้องขอบคุณเด็กหนุ่มเป็นแย่าฃมากที่ทำให้พวกเขาได้มีเวลาเบรคเพิ่มอีกสามสิบนาที ทั้งหมดรีบมาทักทายอย่างเป็นกันเองกับเหอไป่ด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข
หลินเซี่ยมองรอยยิ้มที่น่ารักของเหอไป่ เธอไม่แปลกใจเลยที่คุณจูเก่อเอยชมเหอไป่ตั้งหลายคำ
เด็กหนุ่มตรงหน้าแต่งตัวเรียบง่ายแต่ก็เหมือนจะมีอัไรที่พิเศษมากกว่าเหล่าช่างพาพที่เธอเคยพบเจอ
ทำให้เธอสรุปได้ว่าคนตรงหน้าเป็นคนที่รู้จักกาลเทศะและดูเข้าถึงง่ายซึ่งคนแบบนี้ที่จะเป็นที่ต้องการในอนาคต
เวลาสามสิบนาทีที่เหอไป่ได้ใช้เวลากับเหล่าพนักงานก็ทำให้เขาสนิทสนมกันมากขึ้น
บรรยากาศตอนนี้มันช่างเป็นมิตรและเป็นกับเองมากขึ้น
“นี้คือเนื้อหาสัญญาทั้งหมดที่นายต้องอ่านก่อนและนี้เป็นแบบต้นอย่างที่นายจะต้องถ่าย
หวังว่านายจะเข้าใจถึงคอนเซ็บที่ทางเราวางไว้” หลินเซี่ยวางสัญญาและไฟล์รูปภาพที่เธอต้องการ
ซึ่งทางเหอไป่อ่านเอกสารทั้งหมดและพยักหน้าเเข้าใจในเอกสารทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้า
“ตัวเลขที่คุณหลินเสนอมามันมากกว่าที่ผมคิดไว้ เมื่อได้รับแบบนี้ผมจะตั้งใจทำงานนี้อย่างเต็มที่เลยครับ
ต้องขอบคุณมากที่คุณหลินเลือกผม แต่ผมขอถามหน่อยว่าจะเริ่มงานนี้กันเมื่อไรครับ”
รอยยิ้มกว้างปรากฎที่ใบหน้าของหลินเซี่ย “ถ้านายสะดวกฉันต้องการให้เริ่มงานนี้ในวันนี้เลย”
“ตอนนี้?” เหอไป่พูดอย่างตกใจและจ้องมองที่นาฬิกาข้อมือที่ตัวเลขโชว์เวลาที่จะเกือบเข้าสี่โมงเย็น
“ใช่..ตอนนี้เลย” หลินเซี่ยลุกขึ้นและเดินตรงไปเปิดประตูห้อง
“ตอนนี้ทางเรามีทั้งเสื้อผ้าและสตูดิโอพร้อมแล้ว ตามฉันมาสิ”
ทำไมพวกเขาถึงเตรียมพร้อมขนาดนี้
เหอไป่ระงับสรหน้าที่ตกใจของตัวเองและสวมหน้ากากอย่างมืออาชีพ
และลุกขึ้นยืนอย่างเป็นธรรมชาติมือก็เอื้อมไปหยิบกล้องที่วางไว้ข้างตัวขึ้นมา
จากที่เขาปรึกษาอาจารย์ซูก่อนหน้าก็ได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการถ่ายภาพและจึดที่เขาต้องโฟกัส
ซึ่งมันต้องโฟกัสมากกว่าการถ่ายภาพของเหล่านางแบบ ยิ่งการถ่ายภาพของแบรนด์เสื้อผ้ายีคังที่มีแบรนด์ย่อยอีกมาก
ซึ่งมันยังไม่รวมกับแอสเซอรี่อีกมากที่ทางแบรนด์ยีคังออกจำหน่าย
การที่แบรนด์ลิตเติ้ลเมอร์เมดที่เขาได้รับงานมาต้องเจาะกลุ่มหญิงสาววัยรุ่นที่มีกำลังซื้อสินค้าสูง
ซึ่งมีช่างภาพหลายคนสามารถที่จะถ่ายได้แต่ที่ทางยีคังต้องการคือสไตล์ที่เป็นจุดเด่น
ซึ่งเหอหป่ก็จับได้ว่ายีคังต้องการให้เขาถ่สยภาพเหมือนกับที่เขาถ่ายให้กับหยางฟู
“ฐานลูกค้าของลิตเติ้ลเมอร์เมดก็คือเหล่าหญิงสาววัยประมาณ
12-18 ปี ที่ออกแบบให้ดูสดใสและแฟนตาซีนิดให้เข้ากับวัยเขาพวกเธอ ซึ่งลิตเติ้ลเมอร์เมดยังไม่มีการเปิดตัวในตลาด
นายเป็นคนแรกที่ได้ถ่ายภาพของแบรนด์นี้” หลินเซี่ยพูดอธิบายอย่างใจเย็น
มือก็เก็บเอกสารสัญญาที่เด็กหนุ่มตรงหน้าเซ็นเรียบร้อย และยื่นแบบร่างของเสื้อผ้าให้เด็กหนุ่มตรงหน้า
“นี่คือแบบซื้อเสื้อทั้งหมดที่นายต้องถ่ายในวันนี้ มันมีคอนเซ็บ ‘เจ้าหญิง’ ในนี้ทีทั้งแบบเสื้อผ้าและแอสเซอรี่ทั้งหมด
นายมีเวลาประมาณสิบนาทีระหว่างทีาเราเตรียมงานให้กับนาย ฉันหวังว่าจะได้เห็นภาพที่นายถ่ายได้ในเร็วๆนี้”
การที่หลินเซี่ยเอาแบบร่างเสื้อผ้าและที่ได้รับการแก้ไขมาให้เขาก็เหมือนเป็นการทดสอบและคาดหวังในตัวของเหอไป่เป็นอย่างมาก
เหอไป่ที่ตอนนี้ก็ส่งรอยยิ้มที่จริงใจตอบกับให้หลินเซี่ย “ขอบคุณมากครับ ผมจะพยายามที่จะให้มันออกมาดีที่สุดและถูกทุกคน
เมื่อได้ยินคำพูดที่จริงจังรอยยิ้มของหลินเซี่ยก็แผ่ไปถึงดวงตา
เธอเดินไปตบที่ไหล่ของเหอไป่เบาๆ และเดินไปเปิดประตูห้องเพื่อไปสั่งให้เหล่าพนักงานเตรียมตัวให้พร้อมที่ห้องสตูดิโอถ่ายภาพ
เพื่อที่จะได้ต้อนรับช่างภาพคนใหม่
กองกระดาษตรงหน้ามีจำนวนมากในนั้นมีเนื้อหาที่ดูเข้าใจยากซึ่งเหอไป่ไม่เคยจับการถ่ายภาพแบบนี้มาก่อนก็จ้องมองจนตาลาย
แต่ก็เหมือนเป็นตัวจุดประกายท้าทายตัวของเหอไป่เอง มันเป็นโอกาสที่หาได้ยากทีทเขาจะได้พัฒนาตัวเองในด้านนี้
ก่อนหน้าที่หลินเซี่ยโทรติดต่อเขาเธอเพียงแค่สอบถามว่าเขาสนใจที่จะร่วมงานในการถ่ายเสื้อภาพให้กับแบรนด์เสื้อผ้าของหญิงสาวที่ที่พึ่งเปิดตัวออกมาใหม่
โดนไม่ได้บอกว่ามันเป็นแบรนด์หรูเป็นที่ยอดนิยมของคนสมัยนี้ซึ่งการที่เขาได้ถ่สยภาพก็เหมือนเป็นก้างกระโดดให้เขาเปิดตัวให้เป็นที่รู้จักในฐานะช่างภาพมืออาชีพ
นอกจากนี้ถ้าเขาทำให้แบรนด์ลิตเติ้ลเมอร์เมดเป็นที่พอใจเขาก็สามารถสานต่องาน
และก้าวสู่วงการแฟชั่นในฐานะช่างภาพมืออาชีพไม่ใช่ช่างภาพโนเนมอย่างเช่นตอนนี้ นี้ถือเป็นก้าวแรกที่ยิ่ใหญ่ตั้งแต่ที่เขาย้อนกลับมา
และต้องทำมันให้สำเร็จ!!!
วันนี้แปลเสร็จลงเลย
ผิดพลาดยังเดียวกับมาแก้ให้นะคะ ขอโทษคะ
บทที่ 33 ผีหลอก
ก่อนที่จะย้อนกลับมาเขามีชื่อเสียงในฐานะช่างภาพที่ถ่ายทอดภาพเกี่ยวกับวิวทิวทัศน์
แต่พอมาตอนนี้เขาก้าวเดินในอีกเส้นทางหนึ่งซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากที่จะได้ทำงานในเส้นทางนี้
เหอไป่มองฉากที่จัดเตรียมเอาไว้มันมีทั้งฉากที่สร้างเหมือนปราสาทเจ้าหญิงในนิยาย
ด้านหน้ามีชิงช้าที่บนพื้นมีเหล่าดอกไม้ที่ยังสดสวยงาม และอีกมุมยังมีกระต่ายตัวสีขาวขนปุยอยู่ในกรง
ทั้งหมดนี้จัดเตรียมเพื่อให้เหมือนกับอยู่ในฉากนิยายของเจ้าหญิงมวลดอกไม้
นี้เหละที่เขาจินตนาการไว้ ถ้านางแบบนั่งบนกลางชิงช้าแล้วมีกระต่ายเดินเล่นอยู่ข้างๆ
มันช่างเพอร์เฟคมาก เหอไป่รีบก้มมองแบบเสื้อผ้าที่อยู่ในมืออย่างละเอียดอีกครั้ง
ไม่นานหลินเซี่ยก็มาหยุดยืนอยู่ข้างๆ เหอไป่ส่งเอกสารทั้งหมดให้เธอพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึกและยิ้มกว้างออกมา“เริ่มได้เลยครับ ผมพร้อมแล้ว”
เวลาเกือบเที่ยงคืนตี๋ชิวเหอที่ยังไม่นอนก็กดเข้าไปที่วีแชทด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
คุณนอนหลับแล้วหรือยัง
ไม่ทันไรก็ได้ข้อความตอบกลับทันที
White and Whiter: ยังไม่นอนครับ
ตี๋ชิวเหอหน้าตาบูดบี้ทันที เขาไม่พอใจกับการตอบกับอย่างรวดเร็ว
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
วันหยุดฤดูร้อนนี้ คุณกำลังยุ่งอยู่เหรอ?
White and Whiter: ใช่ครับ
ลมหายใจตี๋ชิวเหอสะดุดนี้อีกคนยุ่งถึงขนาดไม่ส่งข้อความมาหา...นี้ถ้าเขาไม่ทักไปก่อน
ตี๋ชิวเหอที่นิ้วบังพิมพ์ข้อความตอบโต้แต่ความคิดคิดไปอีกแบบหนึ่งเลย
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง:
คุณได้งานพาร์ทไทม์ใหม่ทำหรือ? งานมันหนักมากไหม
จากที่เขาคุยกับเจี่ยงซิ่วเหวินล่าสุดอีกคนก็เล่าให้ฟังว่าเหอไป่ได้ออกจากสตูดิโอ
Saint Elephant อย่างไม่ทราบถึงเหตุผลว่าทำไมถึงต้องลาออก และนี้ทำไมอีกคนถึงไม่ตอบรับงานที่เขาเสนอให้มันทั้งสบายและได้ค่าตอบแทนดี
White and Whiter: ใช่ครับ ผมรับงานใหม่มา
มันเลยทำให้ผมยุ่งมากในช่วงนี้
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: งานใหม่แบบไหน?
รับจ้างถ่ายภาพให้นางแบบเหรอ?
White and Whiter: ไม่ครับ งานที่ผมรับเป็นงานถ่ายภาพเสื้อผ้าผู้หญิงให้กับแบรนด์ที่พึ่งเปิดตัว
ตอนแรกในสัญญาผมจะได้รับงานเพียงไม่กี่ชุด แต่ดูเหมือนว่าเหล่าผู้ใหญ่ของแบรนด์จะชอบภาพที่ผมถ่ายก็เลยจ้างให้ผมถ่ายทั้งหมดในคอลเลคชั่นนั้น
และก็มีพวกงารีทัสภาพบางส่วนเพื่อทำโปรเตอร์โฆษณา ทำให้ช่วงนี้ผมไม่มีเวลาว่างเลย
ตี๋ชิวเหออ่านจบก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรงนี้มันก็ต้นเดือนกรกฎาคมแล้ว
ซึ่งงานวันเกิดของหลานสาวเจี่ยงซิ่วเหวินมันวันที่ 23 ของเดือน
ซึ่งเขาจำไม่ผิดแน่นอนเนื่องจากเจี่ยงหัวซานก็เร่งให้เขาเคลียร์งานเพื่อที่ตัวเองจะได้ว่างในวันนั้น
นิ้วของเขารีบพิมพ์เมื่อนึกคิดได้แบบนั้น
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: แล้วงานที่ฉันบอกคุณก่อนหน้า?
ทำไมคุณไม่ได้รับงานนี้มันเป็นงานที่ไม่ยุ่งยากเลยและค่าตอบแทนมันก็ดีด้วย
และตอนนี้คุณเป็นที่นิยมมากทำไมไม่มีคนจ้างคุณให้ไปถ่ายรูให้กับพวกเขา
White and Whiter: <เขิน> ตอนนี้คุณอยู่ต่างประเทศก็ได้ยินเรื่องนี้ซึ่งมันก็ดูเกินจริงแต่ผมก็ดีใจนะ
แต่ก่อนหน้าผมเป็นเพียงพนักงานพาร์ทไทม์ถ้ามีงานก็ต้องติดต่อผ่านสตูดิโอเท่านั้น แต่ตอนนี้ผมลาออกมาแล้ว
จึงไม่มีงานที่คุณบอกติดต่อเข้ามาจ้างผม
White and Whiter: เอาน่า...งานที่ผมรับตอนนี้ก็ไปได้สวยและผมก็ชอบมันมาก
ซึ่งผมคิดว่ามันต้องต่อยอดงานไปได้อีกเยอะ
White and Whiter: มันเหมือนเป็นตัวขับเคลื่อนให้ผมพยายามให้หนักขึ้นอีก
เพื่ออนาคตข้างหน้า
White and Whiter: จริงด้วยตอนนี้ก็ดึกมากแล้วทำไมคุณยังไม่นอน?
มันทำให้ผิวสาวๆเสียได้นะถ้านอนดึก
ตี๋ชิวเหอจ้องประโยค
‘จ้างงานก็ต้องจ้างผ่านสตูดิโอเท่านั้น’ ด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
ตอนนี้ลูกหมาน้อยของเขาถูกรังแกมันทำให้เขาโกรธมาก ไอพวกคนในสตูดิโอขัดขวางโอกาสทองลูกหมาน้อยของเขาได้ยังไง
เขาจะให้คนเหล่านั้นรับรู้ถึงบทเรียน
“นายเป็นเด็กที่โง่เหลือเกิน” ตี๋ชิวเหอรู้สึกหงุดหงิดที่เหอไป่ไม่ตอบรับความช่วยเหลือของเขา ถ้าเจ้าลูกหมาอยู่ตรงหน้าจะหยิกแก้มให้แดงก่ำและถามว่าในสมองมันมีอะไรบ้าง
หรือมีแต่ขี้เลื่อยทำไมถึงยอมให้ถูกเอาเปรียบอย่างไม่เป็นธรรมแบบนี้
‘ฝันดีราตรีสวัสดิ์นะชิวชิว จุ๊ฟจุ๊ฟ’
เสียงแจ้งเตือนที่เขาตั้งไว้เพื่อบอกว่าถึงเวลาที่ต้องนอนดังขึ้น
แต่เขาในตอนนี้ไม่มีอารมณ์ที่ง่วงนอนแม้แต่น้อย มันไม่สามารถข่นตาหลับได้
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: ฉันก็กำลังจะนอน
คุณก็อย่านอนดึกนะ ราตรีสวัสดิ์ จุ๊ฟคุณ
White and Whiter: ราตรีสวัสดิ์
ผ่านไปสองนาทีตี๋ชิวเหอมั่นใจว่าอีกคนไม่ส่งข้อความกลับมา
เมื่อหน้าจอมืดลงก็สะท้อนเงาในกระจกที่มีสีหน้าที่บึงตึงเขากัดฟันมือก็กำโทรศัพท์แน่น
ตอนนี้เขาเสียใจที่ไม่ได้พูดชื่อของเหอไป่ให้กับเจี่ยงซิ่วเหวินไปตรงๆ
ตอนนั้นเขาเพียงบอกไปอ้อมๆว่าจะมีช่างภาพฝีมือดีจากสตูดิโอ Saint
Elephant มารับงานถ้าเจี่ยงซิ่วเหวินพอใจในผลงานก็จ้างคนนั้นเป็นพนักงานประจำของสตูดิโอได้เลย
แต่นี้มัน...สตูดิโอ Saint Elephant เหอะ!!!
ตอนนั้นเขาก็ชะล่าใจเขามั่นใจว่าเจี่ยงซิ่วเหรินไม่เคยผิดคำพูดที่รับปากเขาไว้
ซึ่งเขาได้อธิบายให้เพื่อนของฟังว่าช่างภาพคนนั้นเป็นนักศึกษาจากมหาลัย Q
และยังมีผลงานที่เป็นที่ยอมรับจากเหล่าโซเซี่ยลเมื่อเร็วๆนี้ ทั้งหมดก็ไม่มีใครอื่นนอกจากลูกหมาน้อยของเขาแล้ว?
นี้แต่นี้เหอไป่ไม่ได้งานก็เพราะเล่ห์เหลี่ยมของสตูดิโอ Saint
Elephant อย่างแน่นอน!!
“บังอาจขโมยของลูกหมาน้อยของฉันเหรอ”
อารมณ์ที่เต็มไปด้วยความโกรธของตี๋ชิวเหอไม่สามารถบังคับให้ตัวเองเย็นลงได้เหมือนเคย
เขารีบกดเบอร์เพื่อโทรหาเจี่ยงซิ่วเหวินอย่างไม่สนว่าตอนนี้มันเป็นเวลากี่โมงแล้ว และเมื่อปลายสายนับเขาก็พูดขึ้น
“ซิ่วเหรินฉันขอถามอะไรนายหน่อย...”
“ตี๋ชิวเหอ!! ฉันไม่เคยมีเพื่อนชื่อนี้!
แค่นี้นะ!!”
ปิ๊บ~~
ตี๋ชิวเหอรีบเอาโทรศัพท์ออกไกลหูเนื่องจากหูเขาที่เกือบหนวกจากเสียงตระโกนที่ตอบกับมา
ตี๋ชิวเหอก็ไม่ใส่ใจถึงคำพูดของเพื่อนเขา เขาเลื่อนมือไปกดที่รูปของเหอไป่แล้วบีบนิ้วเพื่อซูมภาพที่ตรงแก้มของเด็กหนุ่มเหมือนกำลังหยิกแก้มของอีกคนเขา
เสียงที่ลอดออกจากปากเหมือนกำลังดุคนในรูป “ทั้งหมดที่ผมทำและยังผลไม้ที่ผมส่งให้นาย
แต่นายก็ไม่มีการตอบแทนแม้จะโทรหาสักสายยังไม่มี น้องชายที่น่ารักนายได้เจอผมแน่เมื่อผมกลับถึงเมือง
B”
หลินเซี่ยหยิบรูปของเหอไป่ที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมามองและกล่าวพูดชื่นชมในฝีมือของอีกคน
“ทั้งหมดนี้ตรงกับคอนเซ็บที่ฉันต้องการเลย เราต้องการเน้นถึงเสื้อผ้าที่สีถูกต้องไม่ใช่รีทัสจนลืมสีเดิมของเสื้อผ้า
และนายยังถ่ายภาพให้ดูเป็นธรรมชาติและสมูบรณ์แบบอย่างมาก นายทำได้ดีมาก”
ลักยิ้มที่แก้มซ้ายของเหอไป่ก็ผุดขึ้น
เหอไป่ยิ้มอย่างเขินอายในคำชมของหญิงสาวตรงหน้า แต่ก็ภูมิใจถึงผลงานที่เขาได้ทำ
หลินเซี่ยเธอวางภาพลงบนโต๊ะ
“ตอนแรกฉันคาดหวังว่านายจะเป็นเพียงถ่ายภาพเท่านั้น แต่นี้นายทำให้ฉันแปลกใจขอบคุณที่ช่วยทำให้ฉันประหยัดค่าจ้างช่างให้มารีทีสภาพให้กับทางเราไปได้เยอะ”
“ค่าจ้างที่คุณจ่ายมาก็คือให้ผมถ่ายภาพที่นำไปลงโฆษณา
ซึ่งผมก็ต้องทำงานในส่วนของผมให้เต็มที่..” เหอไป่ที่พูดจบก็ก้มหัวอย่างถ่อมตัวเอง
“ที่จริงแล้วตอนนี้ผมยังมีข้อบกพร่องอีกเยอะแล้วถือว่าเป็นมือใหม่ในวงการนี้
ขอบคุณคุณหลินที่ให้โอกาสผมจะพยายามอย่างเต็มที่”
น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นจริงใจ การที่เขาสามารถถ่ายภาพได้ออกมาสมูบรณ์แบบนี้ไม่ใช่เพียงฝีมือของเขาเท่านั้น
ยังมีเหล่าพนักงานที่มีความ
พิถีพิถันทั้งเรื่องฉากและเสื้อผ้าให้จัดวางได้อย่างเหมาะสม
ทำให้เขาทำงานทั้งหมดได้ง่ายขึ้นมันก็เลยออกมาเป็นงานที่สมบูรณ์แบบตรงหน้า
“นายมันดูถูกฝีมือตัวเองเกินไป นี้มันเป็นผลงานที่น่าทึ่ง
นายเก่งมากที่ถ่ายออกมาตามแบบที่ทางเราต้องการ” เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ได้เสแสร้งถ่อมตัวเอง
หลินเซี่ยก็พูดเข้าประเด็น “คอนเช็บแบบเสื้อเจ้าหญิงในวันนี้ก็เสร็จเรียบร้อยส่วนคอนเซ็บที่เหลือดูจากความสามารถของนายตอนนี้ฉันคิดว่ามันคงจะเสร็จเรียบร้อยในอีกไม่นาน...เรามาคุยถึงเรื่องสัญญาจ้างงานในระยะยาวกันดีกว่า”
หลินเซี่ยหยิบกระดาษสัญญาออกจากลิ้นชักและยื่นไปตรงหน้าเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะ
“อ่านดูว่าติดขัดตรงไหน ถ้าไม่ก็เซ็นต์ลงไปในสัญญาได้เลย จบเรื่องนี้เดียวฉันเลี้ยงมื้อเย็นนายเอง”
เหอไป่เปิดเอกสารขึ้นมาอ่านอย่างละเอียดเมื่ออ่านจบเขาก็เซ็นต์ชื่อลงไปในสัญญาอย่างรวดเร็ว
พร้อมเงยหน้ายิ้มให้กับหญิงสาวตรงหน้า “คุณหลิน ผมยินดีมากที่ได้ร่วมงานกับคุณ
ขอบคุณมากครับ”
เมื่อได้ยินถามคำเรียกที่สนิทสนมขึ้น
หลินเซี่ยก็ยิ้มแย้มอย่างสดใส เธอยื่นมือออกมาพร้อมลุกขึ้นยืน “ยินดีที่ได้ร่วมงานเช่นกัน”
หลังจากผ่านช่วงเวลาสำคัญในการเซ็นสัญญา
เหอไป่ก็กดไปที่หมายเลขโทรศัพท์ของตี๋ชิวเหอที่โชว์ในการใช้งานล่าสุด
พร้อมกดโทรออก
‘หมายเลขที่ท่ายเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้..’
เสียงหญิงสาวตอบกับเหมือนเช่นเคย
เหอไป่ลดโทรศัพท์ลงและจ้องไปที่หน้าจอที่ว่างเปล่าตรงหน้าอีกมือก็ลูบใบหน้าของตัวเอง
มันเป็นเวลาครึ่งเดือนที่ครั้งสุดท้ายเขาได้คุยกับตี๋ชิวเหอ
ซึ่งก่อนหน้าเขาก็พยายามติดต่อแต่ก็ได้ยินเสียงโอเปอร์เรเตอร์สาวพูดแบบเดิมซ้ำ หรืออีกคนจะนึกถึงเขาก็ตอนที่จะต้องส่งผลไม้มาให้เท่านั้น
ความรู้สึกของเขาตอนนี้เริ่มเดือดขึ้นและมันก็จะเดือดขึ้นเรื่อยๆ
เหอไป่สงสัยว่าอีกคนจะขมขื่นหรือชื่นมื่น ที่ตอนนี้อยู่ที่ชายแดน...
ยิ่งเวลาที่ตอนนี้ห่างกันเท่าไร ความทรงจำก็เริ่มพร่าเลือนมากขึ้น
เขาจำแทบไม่ได้ถึงการกลั้นแกล้งที่โหดร้ายและรอยยิ้มใสซื่อของอีกคน น่าแปลกที่ตอนนี้เขาเริ่มเป็นห่วงถึงตี๋ชิวเหอ
นิ้วมื้อคลิกไปที่กล่องข้อความที่ตี๋ชิวเหอส่งมาก่อนหน้าอย่างไม่รู้ตัว
ทันใดนั้นเหอไป่ก็ครุ่นคิดว่าจะพิมพ์อะไรส่งไปให้อีกคน เขาพิมพ์และลบถึงสองครั้ง
จากนั้นก็กลอกตาและตัดสินใจพิมพ์ข้อความใหม่ลงไป
เหอไป่: คุณเป็นเด็กชายสามขวบที่ชอบโกหก
คุณนัดผม แล้วนี้ยังมาหลอกมาผมอีก
ตี๋ชิวเหอ: ผมไม่ได้โกหกคุณ
ตี๋ชิวเหอ: นายกล้าต่อว่าผมได้ยังไง
นายได้เจอผมแน่ลูกหมาน้อย
ตี๋ชิวเหอ: ผมจะกลับเมือง B
ทันที รอก่อน...
ตี๋ชิวเหอ: เจอกันคืนนี้
เหอไป่: ....
เมื่อกี้เขาหูฝาดใช่ไหมที่ได้ยินเสียงหญิงสาวพร่ำบ่นข้างหูไม่ใช่เหรอ?
ถ้าหูเขาไม่ฝาดเมื่อกี้เขาพิมพ์คุยกับใคร?
ผี...?!
บทที่ 34 ช่วยผมด้วย
เหอไป่ที่ตอนนี้รีบกดไปที่เบอร์ของตี๋ชิวเหอก็ชะงักพบเพียงเสียงเรียบเฉยของหญิงสาวคนเดิมที่ตอบกับมาอย่างเดิมมันช่างน่าขนลุก
เขาจ้องมองไปรอบๆห้องที่ตอนนี้เงียบสงบและดูน่าวังเวง เขาไม่สามารถอยู่คนเดียวต่อได้แล้ว
จึงรีบกดเบอร์หาเพื่อนของเขาและระหว่างรออีกคนรับสายเขาก็รีบเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อรื้อเสื้อผ้าออกมาสองสามชุดใส่ในกระเป๋าเป้
เมื่อได้ยินเสียงตอบกลับจากปลายสายเขาก็รีบพูดออกไปอย่างร้อนรน
“เหล่าซานตอนนี้นายยังอยู่ที่เมือง B
อยู่หรือเปล่า? มารับผมหน่อยตอนนี้หอของเรามันมี...ผีหลอก
ผมต้องการให้มารับตอนนี้เลย...”
ทางฝั่งหนิงจวินเจี๋ยที่ตอนนี้นอนชิวๆอยู่บนเรือยอร์ชสุดหรูของครอบครัวอย่างมีความสุข
รีบลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วและเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ “นี้นายพูดอะไรนะ!! หอเรามีผีสิง!!!”
ผู้ช่วยหวังที่ตอนนี้ลดโทรศัพท์ลงจากหูหลังจากที่เขาพึ่งวางสาย
“นายน้อยครับ นายท่านบอกว่าไม่สะดวกออกมาพบนายน้อยช่วงนี้ ถ้ามีเรื่องอะไรสำคัญให้โทรหาท่านได้เลยครับ”
ตี๋ชิวเหอพยักหน้าเหมือนรับรู้
และก็มีเสียงหญิงสาวแทรกเขาขึ้นมาก่อนที่ “นายน้อยคะ
ตอนนี้ถึงเวลาที่เครื่องจะขึ้นแล้วคะ”
“อืมผมรู้และ เดียวค่อยไปคุยกันบนเครื่อง”
ตี๋ชิวเหอกดปิดโทรศัพท์ของตัวเองหลังจากที่เปิดเครื่องขึ้นมาได้เพียงสามนาที
เขายืนขึ้นด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้และก็ยกแว่นตากันแดดสีดำมาสวมบนใบหน้า
“ช่วงนี้คุณทั้งคู่เหนื่อยกันมามาก เมื่อกลับถึงเมือง B ผมจะให้คุณทั้งคู่ได้หยุดพัก”
ผู้ช่วยทั้งส่งสบตากันเหมือนไม่เข้าใจถึงคำพูดที่นายน้อยต้องการสื่อ
และเป็นผู้หวังที่ทนไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น “ไม่เป็นไรครับ
นายน้อยยังมีงานอีกเยอะเมื่อกลับไปถึง เราสามารถดูแลนายน้อยต่อได้ครับ”
แม้ว่ามันจะเหมือนการที่ดูถูกน้ำใจของตี๋ชิวเหอ
แต่ตี๋ชิวเหอไม่ใส่ใจเขาทำเพียงพยักหน้าช้าๆเหมือนเคย “งั้นเมื่อกลับไปถึง ก็ให้อันหยุดพักก่อนและค่อยกับมาเปลี่ยนกับหวังอีกที”
ผู้ช่วยหวังก็พยักหน้า มันเป็นความต้องการของเจ้าหน้าเขาไม่สามารถที่จะขัดขวางได้นอกจากจะต้องทำตามคำสั่ง
ตี๋ชิวเหอยิ้มอย่างพึงพอใจ และเดินขึ้นเครื่องไปเตรียมเพื่อกลับไปจัดการเจ้าลูกหมาน้อยของเขา
หนิงจวินเจี๋ยที่ตอนนี้นั่งอยู่บนรถยนต์ที่รีบขับมาที่หอพัก
เพื่อมารับเพื่อนของเขาทันทีหลังจากวางสาย เขาตอนนี้จอดรถที่หน้าหอพักก็พบเห็นน้องสามของเขาที่นั่งรออยู่ที่บันไดหน้าหอพัก
ข้างตัวมีทั้งกระเป๋ากล้องพร้อมกระเป้ใบใหญ่และยังมีลังที่ใส่ผลไม้ลังใหญ่
“ฉันขอโทษที่ทำให้นายต้องรีบกลับมาจากการท่องเที่ยว”
เหอไป่พูดขอโทษหลังจากขนของใส่หลังรถยนต์และขึ้นมานั่งข้างคนขับเรียบร้อย
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่น่า ฉันกำลังเบื่อพอดีที่จะต้องอยู่บนเรือยอชน์กับคู่รักทั้งสองมันช่างน่ารำคาญเป็นอย่างมาก”
หนิงจวินเจี๋ยจับพวงมาลัยอย่างชำนาญและกลับรถเพื่อออกจากหน้าหอพักมหาลัย
หนิงจวินเจี๋ยหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นสีหน้าที่ซีดขาวของเหอไป่ “ฮ่าฮ่าฮ่า ไหนนายเคยบอกว่าไม่เคยเชื่อเรื่องผีส่างไง? ทำไมวันนี้นายถึงกลัวผีจนซีดไปทั้งตัว? ฉันว่าหอเราไม่มีผีแน่นอน
เนื่องจากเจอเหล่าผู้ชายหอพักของเราที่สุดโต่งไป ผีก็วิ่งหนีออกแทบไม่ทัน”
เหอไป่ที่นึกย้อนถึงช่วงเวลาที่เขาได้รับข้อความของตี๋ชิวเหอหน้าก็ถอดสี
เขารีบยกมือลูบใบหน้าของตัวเอง “ก่อนหน้าฉันก็ไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้หรอก
แต่ว่า..” ตอนนี้เขาเริ่มเชื่อแล้วขนาดเขายังสามารถที่จะย้อนอดีตกลับมาได้เลย
แล้วจะมีอะไรในโลกนี้ที่เป็นไปไม่ได้อีก
“แต่ฉันว่านะ...” มันเป็นเรื่องยากที่จะให้หนิงจวินเจี๋ยที่ไม่เคยพบเจอเรื่องอะไรพวกนี้เชื่อได้
ก็วิญญาณมันเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าเอาไว้หลอกเด็กเท่านั้น แต่เมื่อเห็นท่าทางของเพื่อนตัวเองที่ไม่สู้ดีก็รีบเปลี่ยนเรื่อง
“ทิ้งเรื่องนี้ไว้ข้างหลัง พอดีเลยที่นายโทรมาทำให้ฉันมีข้ออ้างที่จะออกมาจากคู่รักหวานแหววทั้งสอง
ฉันแทบจะอ้วกวันละสามเวลา และการที่ต้องอยู่นิ่งๆบนเรือมันเหมือนทำให้ฉันดูเป็นคนป่วยที่ต้องนอนติดเตียงนี้มันช่าง...ดูมากเกินไป
ดีจริงๆที่นายโทรมาฉันเลยมีข้ออ้างให้หนีออกมาได้”
เมื่อเหอไป่ได้ยินก็หมั่นไส้ให้ตายเถอะถึงเขาจะมีโอกาสนั่งบนเรือยอชน์ในชีวิตก่อนที่จะย้อนกลับมา
แต่ตอนนั่นมันเต็มไปด้วยความหนาวเย็นแล้วเต็มไปด้วยลานน้ำแข็งสุดลูกตา
“อย่าส่งสายตาแบบนั้นสิ ฉันว่าวันนี้เรามาจัดปาร์ตี้ปิ้งย่างกันเถอะ”
หนิงจวินเจี๋ยรีบพูดเสริม “นี่ฉันเอาของสดจากทะเลมาเยอะมาก
มันต้องอร่อยแน่นอน”
เหอไป่เข้าใจว่าเพื่อนของเขาคิดว่าเขาไม่ได้เคยได้ลิ้มลองของทะเลที่สดใหม่
เนื่องจากตอนนี้เขาเป็นเพียงนักศึกษายากไร้ แต่ชีวิตก่อนที่เขาย้อนอดีตกลับมาเขาตระเวนกินของอร่อยไปทั่ว
แต่ก็ดีนะตอนนี้เขาก็ต้องการพักผ่อนจากเรื่องงานพิเศษที่เขาทำแบบโต้รุ่งพอดี เฮ้อ...ทำไมชีวิตนี้ที่เขาย้อนกลับมามันถึงมีแต่เรื่องที่วุ่นวายไม่เรียบง่ายเหมือนเมื่อก่อน
แต่ช่างเถอะเขาอยากจะชาร์ทแบตให้เต็มที่เพื่อที่จะได้ลุยกันต่อ เหอไป่จึงพยักหน้าเห็นด้วยกับหนิงจวินเจี๋ย
“อโลฮ่า!! จัดไป!!!”
ตี๋ชิวเหอตอนนี้อยู่ในบ้านพักที่เมือง
B ยืนอยู่ ที่ยืนอยู่หน้ากระจกหน้าต่างหน้าบ้านจ้องมองรถตู้ที่เคลื่อนตัวออกไป
ซึ่งบนรถมีผู้ช่วยอันนั่งอยู่บนนั้นด้วย “เช่าบ้านพักในตัวเมืองเลยเหรอ?”
“ใช่ครับนายน้อย นายท่านจัดเตรียมไว้ให้”
ผู้ช่วยหวังที่ยืนอยู่ด้านหลังตอบรับคำพูด และยืนนิ่งเงียบต่อ
ตี๋ชิวเหอพยักหน้าแต่ไม่หันกับมามอง สีหน้าในกระจกที่สะท้อนกับมาเปลี่ยนจากความอ่อนโยนแทนที่ด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม
“นายรู้ไหมว่า การที่จะเป็นลูกน้องที่ดีคือการมีเจ้านายเพียงคนเดียว”
น้ำเสียงพูดขึ้นลอยๆไม่สามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์อื่นใด
ผู้ช่วยหวังตัวสั่น เขารีบพูดขึ้นแก้ตัว “ขอโทษครับนายน้อย จากนี้ผมจะรับคำสั่งจากนายน้อยเพียงคนเดียวเท่านั้น”
จากนั้นก็โค้งตัวอย่างเกรงกลัว
เขารู้ดีที่เขาเอาเรื่องของนายน้อยไปแจ้งต่อนายใหญ่เป็นเรื่องที่ผิด
แต่เขาก็ป้องกันตัวนายน้อยเอง เพื่อที่นายใหญ่จะมารู้ความเคลื่อนไหวภายหลังแล้วจะถูกต่อว่า
“นักปราชญ์ก็ต้องยอมจำนนถึงเหตุการณ์”
ตี๋ชิวเหอไปหันมายิ้มบางๆแต่ไม่ลดความแรงกล้าของสีหน้า “ดูเหมือนว่านายก็เป็นนักปราชญ์ที่เก่งคนหนึ่ง”
ผู้ช่วยหวังจะไปเงยหัวขึ้น
เขาไม่กล้าสบตากับนายน้อยตอนนี้ ทำเพียงน้อมรับคำต่อว่าจากคนตรงหน้า
“นายนั้นก็ทำถูกเพราะนายเป็นคนที่คุณพ่อส่งมา
ซึ่งมันก็ถูกที่ต้องรายงานคุณพ่อ” ตี๋ชิวเหอล้วงมือในกระเป๋ากางเกงหยิบเหรียญออกมาเล่นในมือ
“แต่ว่าการที่ตระกูลฉินรู้ความเคลื่อนไหวของฉันนี้สิ นายว่าใคนเป็นคนรายงานอ่า....มันช่าง”
ตระกูลฉิน?!!
ผู้ช่วยหวังรีบเงยหน้าจ้องมองไปที่ใบหน้าของนายน้อยที่ตอนนี้ก้มมองเหรียญที่กลิ้งอยู่บนนิ้วตัวเอง
เขาควบคุมสีหน้าตกใจเอาไว้ไม่อยู่ “มันเป็นไปไม่ได้!
เธอได้รับคัดเลือกมาพร้อมกันกับผม ดังนั้นเรื่องนี้มัน...”
“นายเข้าใจว่ายังล่ะ เธอทำงานให้กับฉินหลี่”
ตี๋ชิวเหอหยุดเล่น เขายกมือเปลี่ยนมาจับที่คาง แม้ท่าทางจากดูผ่อนคลายแต่บรรยากาศรอบตัวยังกดดันไม่หยุด
ผู้ช่วยหวังรีบก้มหน้าหลบสายตา “รู้ไหมว่าไม่ใช่เพียงแค่เธอ สามีของเธอก็ทำงานให้กับฉินหลี่
หวังนายมันซื่อบื้อ”
เรื่องที่นายน้อยพูดเหมือนสายฟ้าฟาดมาที่หัวของผู้ช่วยหวัง
สีหน้าของเขาว่างเปล่า “เธอมีสามีแล้ว
แล้วที่เธอกับผม...”
“นายรู้ไหมว่าแผนที่ฉินหลี่ชื่นชอบคือใช้น้ำหวานล่อฝูงผึ้ง
อันที่เป็นลูกน้องของเธอก็ต้องคุ้นเคยถึงวิธีการนี้เป็นอย่างดี” แสงอาทิตย์สีส้มของช่วงเย็นลอดผ่านกระจกมาที่เบื้องหลังขของตี๋ชิวเหอ เขาเดินช้าๆไปที่เบื้องหน้าของอีกคนและใช้นิ้วชี้เกี่ยวที่คางให้เงยขึ้น
มันช่างเหมือนซาตานที่กำลังล่อลวงคนให้ตอบรับข้อตกลง “เงินมันอยู่เหนือทุกอย่าง
มีหลายคนที่พ่ายแพ้ให้กับมัน”
ผู้ช่วยหวังที่ยังช็อคไม่หาย เขาไม่ได้ปัดนิ้วมือของชายตรงหน้าออก
แต่พูดขึ้นด้วยเสียงที่เครียดแค้น “นายน้อยพูดถูกครับ
เงินมันคือทุกอย่างจริงๆ...ผมจะรายงานเรื่องนี้ให้กับนายใหญ่ทราบในวันพรุ้งนี้”
ตี๋ชิวเหอลดมือลงรอยยิ้มยังแต้มอยู่ที่ริมฝีปากแต่มันก็ไม่ส่งถึงดวงตา
“พรุ้งนี้ อ่า...มันช่างเป็นวันที่ดีอะไรแบบนี้”
หลังจากผู้ช่วยหวังออกไปก็มีพ่อบ้านนำมื้อเย็นง่ายๆมาเสริฟให้ตี๋ชิวเหอ
หลังจากที่จัดการมื้อเย็นเรียบร้อยเขาก็หยิบกระเป๋าเป้สะพายบนหลังใส่หมวกเพื่อเตรียมพร้อมที่จะออกไปข้างนอก
เขามีเรื่องที่ต้อง ‘ออกไปจัดการ’ กับลูกหมาน้อยแสนรั้นของเขาที่มหาลัย Q
เมื่อยืนที่ริมรั้วของบ้านฝั่งตรงข้าม
เขาที่รอให้แท็กซี่ที่เรียกมารับก็ได้ยินเสียงดังจากฝั่งตรงข้ามรั้ว
เสียงมันช่างคุ้นเคย
“หยุดเดียวนี้
มันเป็นของเหลือที่ได้จากการทำอาหาร
มันจะทำให้ท้องเสียฉันไม่ต้องการเข้าห้องน้ำกลางดึก”
“เชื่อมือฉันเถอะน่า..มันต้องอร่อยเหาะอย่างแน่นอน”
เสียงแหบที่ไม่คุ้นเคยก็ดังต่อมา
“รีบพลิกมันกลับอีกด้านเร็ว
มันไหม้แล้วเห็นไหม” จากนั้นก็ตามด้วยเสียงดังจากสิ่งของกระทบกัน
“เอาน่าถึงฉันจะทำให้มันไหม้ แต่รสชาติมันต้องเยี่ยมมากแน่นอน!!
เฮ้ย...นายอย่าเอาชิ้นเนื้อของฉันไปทิ้งสิ! เอากลับมาก่อน มันกินได้แน่นอน!”
ตี๋ชิวเหอที่ชะงักพร้อมจ้องมองที่กำแพงรั้วต้นไม้สูงของบ้านที่เขายืนอยู่
“จวินเจี๋ยหยุด!
นายกำลังทำให้เราไม่มีมื้อเย็นกินแล้วนะ หยุดเดียวนี้ ให้พ่อครัวมาจัดการต่อ
ตอนนี้ท้องฉันร้องไปหมดแล้ว”
“ก็ได้..งั้นเรามาว่ายน้ำรอกัน
ไป่นายเอากางเกงว่ายน้ำของผมใช้ก่อนได้ ฉันเคยใส่เพียงครั้งเดียว
ลงมาเถอะรับรองว่าเย็นสบาย!”
“จัดไป!!”
“นายถอดให้หมดสิจะใส่กางเกงในไว้ด้านในทำไม
ยังไงกางเกงนี้ผมก็ใช้เพียงครั้งเดียว...จะไปเปลี่ยนที่ไหน เปลี่ยนมันตรงนี้เหละจะอายทำไมเห็นไหมมีแต่ผู้ชายทั้งนั้น
เร็วเข้าๆสิ”
“ฉันจะเปลี่ยนที่ไหนก็เรื่องของฉัน
จะไปหนักหัวของนายตรงไหน ห๊า!!!”
“หุหุหุ นายอายทำไมเราก็เคยเห็นกันออกจะบ่อย..โอ๊ะโอ
เหมือนวันฉันเห็นหนอนน้อยของนาย เฮ้ย..มียุ่งเกาะที่หลังของนายด้วยเดียวฉันตบให้”
“ไม่ต้องมายุ่ง!! เดียวฉันจัดการเองไปไกลๆ”
คิ้วของตี๋ชิวเหอขมวดแน่นเป็นปม
เขารีบหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงยีนส์มากดเบอร์ของเจ้าลูกหมาน้อย
“ไป่...โทรศัพท์ของนายดังนะ”
“ไปหยิบมาให้ฉันหน่อย
อ่า..นี้มันเป็นเบอร์จากผีที่ผมบอกไง ผีตัวที่ผมหนีมาไง”
“ผีเหรอ..?! แต่มันโชว์ชื่อว่า
‘ตี๋ชิวเหอ’ ไม่ใช่เหรอ”
ระดับความอดกลั้นของตี๋ชิงเหอขาดผึ่ง เขารีบเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเป้อย่างรุนแรง
และกระโดดข้ามรั้วพร้อมตะโกนเสียงดังใส่เหอไป่ที่ตอนนี้ทั้งตัวมีเพียงกางเกงว่ายน้ำ
ที่ตอนนี้ยืนแอบอยู่ข้างต้นไม้ข้างสระว่ายน้ำ
“เจ้าลูกหมาน้อย!!! นายว่าใครเป็นผี?”
กริ้ง..กริ้ง~~~~
เสียงแจ้งเตือนการบุกรุกของบ้านพักก็ส่งเสียงดังขึ้นและไฟสปอร์ตไลฟ์ก็ส่องมาที่ร่างของตี๋ชิวเหอ
ที่เดินตรงเข้ามาทางเหอไป่
เหอไป่ที่ตอนนี้ช็อคจนตัวแข็งโทรศัพท์ในมือร่วงหล่นลงพื้นและเด้งโดนก้อนหินจนโทรศัพท์กระดอนตกลงไปในสระว่ายน้ำ
“เฮ้ย!!” หนิงจวินเจี๋ยรีบมองตามโทรศัพท์ที่จมลงไปก้นสระและพูดด้วยเสียงที่ดังลั่น
“ไป่ นั้นโทรศัพท์ของแม่คุณ ที่คุณบอกว่ามีข้อความของแม่และพ่อของคุณอยู่ในนั้น
เฮ้ย...มันจมลงไปในน้ำแล้ว”
เหอไป่ที่ยังคงมีสีหน้าตกใจก้มมือตัวเองที่ว่างเปล่า
‘โทรศัพท์หายไปไหน..’
ตี๋ชิวเหอหยุดเดินจ้องมองไปที่ใบหน้าของเหอไป่พร้อมคิ้วที่ขมวดแน่นกว่าเดิม
เขาโยนกระเป๋าเป้ลงพื้นและเปลี่ยนทิศทางไปที่ริมสระ แล้วก็...
ตู๊ม....
กระโดดลงไปในสระว่ายน้ำ
บทที่ 35 มันเป็นเพียงความทรงจำ
ตู๊ม!! เสียงน้ำที่ดังลั่น
การที่ตี๋ชิวเหอกระโดดลงไปในสระว่ายน้ำ
ทำให้ละอองน้ำกระเซ็นมาที่เท้าของเหอไป่
“...เขาคิดจะทำอะไร?” หนิงจวินเจี๋ยร้องขึ้นอย่างตกใจ พร้อมชี้นิ้วไปที่ตี๋ชิวเหอที่จมลงไปในน้ำ
เพื่อดำดิ่งลงก้นสระ
เหอไป่ส่ายหัวเหมือนไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตรงหน้าก็มีสีหน้าบิดเบี้ยว
จากนั้นก็กระโดดตามลงไป คราวนี้กระแสน้ำกระแทกใส่ใบหน้าของหนิงจวินเจี๋ยอย่างแรง
“.....” หนิงจวินเจี๋ยพูดไม่ออก
พ่อครัวที่มีรูปร่างอ้วนก็วิ่งเข้ามาในมือยังถือไม้เสียบบาร์บีคิวแน่น
และดันหนิงจวินเจี๋ยไปข้างหลังตัวเอง “นายน้อยไม่ต้องกลัวนะครับ
ผมให้คนไปเรียกรปภ.ให้แล้ว เหมือนผู้บุกรุกคนนี้มันจะเป็นโรคจิตอย่าพึ่งเข้าไปใกล้
ผม...เคยเจอคนแบบนี้ตอนที่ผมยังเด็ก นายน้อยอย่าเข้าไปช่วยเขา...”
“ใจเย็นๆครับลุงหู่ ผมรู้จักคนที่ปีนกำแพงเข้ามา
เขาไม่ใช่โจรและไม่ได้เป็นคนโรคจิตด้วย” หนิงจวินเจี๋ยตบไหล่พ่อครัวประจำบ้านเบาๆ
และจ้องมองร่างทั้งสองที่ตอนนี้อยู่ก้นสระว่ายน้ำ ที่พยายามเก็บกู้โทรศัพท์ของเหอไป่!
“....” ลุงหู่
เมื่อผืนน้ำสงบลง ลุงหู่ที่ตอนนี้ไม่รับฟังคำพูดของนายน้อยเขารีบถอดผ้ากันเปื้อนมือยังแถมดันตัวนายน้อยไปไว้ข้างหลังตัวเอง
ถ้านายน้อยเป็นอะไรเขาก็ตกงานสิต้องปกป้องเอาไว้ก่อน!
“...” หนิงจวินเจี๋ย
น้ำในสระตอนนี้เย็นกำลังดีทั้งใสแจ๋ว เหอไป่ก็สังเกตุเห็นตี๋ชิวเหอที่ตอนนี้ประคองตัวอยู่ใต้ผืนน้ำเหมือนกำลังดิ้นรนและชี้นิ้วให้อีกคนมาช่วยตัวเอง
เหอไป่รีบว่ายตรงไปที่ร่างของอีกคนพร้อมโอบเอวพยุงร่างของตี๋ชิวเหอ
ตี๋ชิวเหอรีบโอบเอวของเด็กหนุ่มพร้อมกระพริบตามองแขนเล็กๆที่โอบเอวของตัวเองแน่น
เขาโน้วหัวไปที่ซากคอของเด็กหนุ่มด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทำให้ร่างทั้งสองแนบชิดจนไม่มีพื้นที่ว่าง
เหอไป่รีบดิ้นรนออกจากอ้อมกอดและเงยหน้าขึ้นเพื่อแหวกว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำ
ทันใดนั้นก็เหมือนมีบางอย่างที่หนักกระโดดตกลงมาข้างตัว
เหอไป่หยุดนิ่งเหมือนตกใจ
ดวงตาของหนิงจวินเจี๋ยเป็นประกายเมื่อเห็นท่าทางของคนทั้งคู่
เขามีรอยยิ้มล้อเลียนบนใบหน้า จากนั้นก็ชี้นิ้วไปที่ก้นสระเหมือนบอกใบ้
‘นี่ไม่ได้ลงมาเอาโทรศัพท์กันเหรอ? ทำไมถึงมีสภาพแบบนี้’
ตี๋ชิวเหอจ้องมองคนที่พึ่งลงมาใหม่อย่างไม่สนใจเขายังฝังหัวตัวเองที่คอของเหอไป่ต่อ
เหอไป่ชักสีหน้าไม่พอใจและชี้มือให้หนิงจวินเจี๋ยเหมือนให้อีกคนช่วยเหลือเขากับไอร่างที่เกาะเขาไว้แน่นตอนนี้
‘มาช่วยผมเอาคนไม่มีหัวคิดขึ้นไปหน่อย’
หนิงจวินเจี๋ยอ้าปากหัวเราะเหมือนลืมตัวว่าอยู่ในน้ำ
เขาสำลักทันทีและรีบว่ายดิ้นรนขึ้นไปบนผิวน้ำเพื่อหายใจ แต่ขึ้นบนน้ำไม่เท่าไรก็จมลงในน้ำเมื่อสัมผัสถึงสิ่งของที่ตกลงมาข้างตัวและลากเขากลับลงน้ำ
เป็นร่างของลุงหู่ที่กระโจนตามลงมา
“...” เหอไป่
ทันใดนั้นคนที่เกาะตัวเขาก็ขยับ เหอไป่รีบหันไปมองก็เห็นฟองอากาศไหลออกจากปากของตี๋ชิวเหอ
เขาขมวดคิ้วแน่นอย่างตื่นตกใจอย่าบอกนะว่าอีกคนขาดอากาศหายใจ เขารีบว่ายขึ้นไปบนผิวน้ำทันที
เหอไป่รีบวางร่างอีกคนไว้ข้างสระ ตี๋ชิวเหอก็รู้สึกถึงหยดน้ำที่ไหลจากเบื้องสูงลงบนใบหน้าของตัวเองจากนั้นก็เอื้อมแขนไปรั้งคอให้โน้มเขามาใกล้
ระยะห่างของริมฝีปากของทั้งสองห่างกันเพียงคืบ
เหอไป่จ้องมองที่ใบหน้าที่พริ้มตาหลับและรั้งหัวขึ้นเพื่อต้านแรงของอีกคน
แต่ว่า...ตี๋ชิวเหอยังทิ้งแขนให้หนักขึ้นเพื่อให้อีกคนเข้ามาใกล้
เหอไป่ง้างมือตบไปบนหัวของตี๋ชิวเหอด้วยแรงที่เต็มไปด้วยความโกรธ
หนิงจวินเจี๋ยที่ยืนอยู่ข้างๆก็อ้าปากค้าง แล้วตะโกนขึ้นมา
“นั่นเขาเป็นอะไร..? หรือว่าเขาจะหยุดหายใจ
และนายทำให้อีกคนสำลึก แต่วิธีนี้มันไม่ถูกต้อง!!”
ตี๋ชิวเหอไปหยุดจากอาการไอก็ลืมตาพร้อมใบหน้าที่ใสซื่อเหมือนไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น
“ผมก็แค่อยากให้เหมือนในละครเมื่อนายเจอคนจมน้ำนายต้องช่วยเขาผายปอดไม่ใช่เหรอ
ลูกหมาน้อยนายเป็นคนที่ใจร้ายมากที่ไม่ช่วยผมผายปอดถ้าผมตายไปจะเป็นยังไง”
เหอไป่นิ่งค้างเหมือนไม่รู้จะพูดกับคนตรงหน้ายังไงดี
เขาตอนนี้เต็มไปด้วยความโกรธที่ปะทุขึ้นเรื่อยๆ “คุณมันเป็นคนไม่มีหัวคิด...ถ้าคุณว่ายน้ำไม่เป็นจะกระโดดลงไปทำไม?
คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นก็ควรยืนอยู่บนพื้นเท่านั้น หรือว่าคุณคิดว่าใช้ชีวิตพอแล้วถึงอยากฆ่าตัวตาย!!!”
ตี๋ชิวยกมือลูบหน้าตัวไล้หยดน้ำและจากนั้นก็เอื้อมมือไปลูบแก้มของเหอไป่เบาๆ
“ขอโทษครับ อย่าโกรธผมเลยนะ”
“คุณไม่มีต้องมาสำนึกผิดตอนนี้ อะไรนะ!
คุณพูดว่า...ขอโทษ?” เหอไป่ตื่นตกใจ
อ้าปากกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ เขาเบิกตาโตจ้องมองตี๋ชิวเหอ “หัวคุณกระแทกสระเหรอ คุณเป็นตี๋ชิวเหอตัวจริงหรือเปล่า?” เป็นไปไม่ได้ที่ตี๋ชิวเหอจะขอโทษอย่างตรงไปตรงมา ทุกทีต้องเฉไฉจนเขาเองต้องเป็นคนที่ผิดแล้วต้องขอโทษ!
“ผมขอโทษจริงๆนะ ที่ทำให้นายเป็นห่วง”
ตี๋ชิวเหอลูบใบหน้าเด็กหนุ่มเบาๆและยื่นมืออีกข้างที่กำโทรศัพท์ไว้แน่น“และขอโทษด้วยสำหรับโทรศัพท์ของนาย”
ภาพตรงหน้าทำให้เหอไป่ชะงักพร้อมจ้องมองมือที่ขาวสะอาดที่มีโทรศัพท์เครื่องเก่าในมือและเงยหน้าจ้องมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยดน้ำที่มีสีหน้าสำนึกผิด
ความโกรธของเขาก็จางหายไป
“ถึงโทรศัพท์จะเสียจากการจมน้ำ” ตี๋ชิวเหอกำโทรศัพท์แน่นอีกครั้ง “มันคงซ่อมไม่ได้ แต่ผมสามารถเอากู้คืนข้อมูลในเครื่องได้...ผมรู้ว่ามันสำคัญกับคุณ
ผมขอโทษอีกครั้ง”
เหอไป่ไม่คุ้นชินกับน้ำเสียงที่จริงใจแบบนี้
เขาถอนหายใจยาวพร้อมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์จากมือแล้วก็ทิ้งตัวนั่งลงข้างตัวตี๋ชิวเหอ
“ไม่เป็นไรมันเป็นเพียงโทรศัพท์เครื่องเก่า และข้อมูลในนั้นผมก็สำรองไว้แล้ว
ดังนั้นอย่าโทษตัวเองเลยมันไม่ใช่ความผิดของคุณ แต่ผมเป็นห่วงคุณที่ว่ายน้ำไม่เป็นก็ไม่ควรที่จะโดดลงไป”
ตี๋ชิวเหอที่ได้ยินคำพูดที่ไม่มีคำต่อว่าจากเด็กหนุ่มตรงหน้า
ก็ยิ้มขึ้นและลุกขึ้นนั่งข้างตัวเหอไป่พร้อมพูดด้วยเสียงที่ดีใจ
“ไป่...เหอไป่”
เหอไป่ที่ตอนนี้ยื่นมือรับผ้าเช็คตัวจากหนิงจวินเจี๋ยเพื่อเช็คหน้าหน้าจอโทรศัพท์
ก็ตกใจถึงน้ำหนักตัวจากตี๋ชิวเหอที่โอบกอดตัวของเขา
“เฮ้ย...!!” เหอไป่ที่ตกใจเกือบจะผลักอีกคนตกสระอีกรอบ
และรีบดันอีกคนออกห่างจากตัวเอง
“ขอโทษครับ” ตี๋ชิวเหอไป่ไม่สนใจเขาคางถูที่หัวของเหอไป่
นี้คือความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องแน่เลยที่ไม่มีการถือโกรธกันตี๋ชิวเหอคิด ก่อนหน้านี้เขาจะใส่หน้ากากหาน้องชายของเขาทำไม
แบบนี้ก็ดีกว่ามากเลย
เขาชอบที่ลูกหมาตัวน้อยฟุดฟัดแต่ไม่ค่อยชอบที่อีกคนมีอารมณ์เศร้า...ดังนั้นตี๋ชิวเหอรู้สึกแย่มากที่เขาทำให้น้องชายเสียใจทั้งหมด
ใบหน้าของเขาเต็มไปความสำนึกผิด เหอไป่เดินไปตบไหล่ของตี๋ชิวเหอเบาๆ
“ลืมมันไปเถอะ ข้อมูลในเครื่องผมสำรองไว้หมดแล้ว มันจึงไม่มีอะไรสำคัญในเครื่อง
และมันก็ถือเป็นข้ออ้างที่ดีที่ผมจะได่เวลาเปลี่ยนเครื่องใหม่ ผมคิดว่าถึงวันนี้มันจะไม่ตกน้ำอีกไม่นานมันก็พัง”
เฮ้อ..สุดท้ายโทรศัพท์เครื่องนี้ก็ไม่สามารถผ่านวันหยุดฤดูร้อนนี้ไปได้
เหอไป่นึกย้อนถึงเรื่องก่อนหน้าที่จะย้อนกลับมาตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับที่เขาโดนขโมยโทรศัพท์
ตอนนั้นเขาไม่มีข้อมูลที่ให้เหลือว่าระลึกถึง หลังจากที่เขาย้อนอดีตกลับมาสองวัน
เขาจ้องมองโทรศัพท์ก็นึกขึ้นได้ เขารีบออกไปซื้อ USB เพื่อที่จะสำรองข้อมูลเพื่อป้องกันถึงเหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้
ซึ่งถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
ก็ยังดีที่ตอนนี้เขายังเหลือ ‘ซาก’ ให้ระลึกถึง
บทที่ 36 ช่างสนิทกันเนอะ
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเหอไป่
ตี๋ชิวเหอรีบคว้ามือของเหอไป่ไว้แน่น “โทรศัพท์เครื่องนี้...”
เสียงที่พูดออกมาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“มันเป็นเพียงเครื่องที่มีคุณแม่ผมเคยใช้ก่อนที่ท่านกับพ่อของผมจะเสียชีวิต
มันมีข้อความที่แม่กับพ่อส่งถึงกัน บางทีผมก็เปิดอ่านข้อความเก่าๆ” เหอไป่รีบพูดปลอบคนตรงหน้าและพยายามแกะมือที่กำแน่น “เรื่องข้อความไม่ต้องคิดมาก ก่อนหน้านี้ผมสำรองข้อมูลไว้แล้วอีกอย่างเรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะความสะเพร่าของตัวผมเอง
เฮ้ย!! จริงด้วยคุณมาที่นี้ได้ยังไง”
ของสำรองมันจะเทียบเท่าของจริงได้ยังไง?
ตี๋ชิวเหอปล่อยมืออย่างเชื่อฟัง
จ้องมองเหอไป่ที่พยายามพูดปลอบใจเขาทั้งที่อีกคนต้องรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
“ผมมาพักที่นี้ชั่วคราวและได้ยินเสียงของนาย
ผมจึงมาหา” ตี๋ชิวเหอรีบใช้โอกาสนี้เพื่อเปลี่ยนเรื่องและจ้องมองที่เตาย่างบาร์บีคิวที่อยู่บนสนามหญ้าข้างสระว่ายน้ำ
“แล้วนายมาทำอะไรที่นี้? มานอนบ้านเพื่อนเหรอ?
คนเหล่านี้เป็นใคร?!”
เหล่ารปภ.ที่ยืนเงียบสงบก็สะดุ้งตัวตื่นเหมือนหลุดจากการดูฉากหนังตรงหน้า
“...พวกเราไม่มีอะไรแล้ว เชิญพวกคุณต่อได้เลยครับ”
“อ่า...” หนิงจวินเจี๋ยและเหล่าพ่อครัวที่ยืนข้างๆก็เหมือนว่าพวกเขากับว่าเขาพึ่งมีตัวตน
“พวกนายคุยเสร็จแล้วเหรอ? เราสามารถขึ้นไปบนสระได้แล้วใช่ไหม”
ก่อนหน้าที่เพื่อนของเขาและชายตรงหน้าสร้างบรรยากาศส่วนตัวที่ไม่สามารถให้ใครเข้าไปก้าวก่าย
แต่เมื่ออีกคนทัก เขาก็มีโอกาสที่พูดขึ้นได้
ตัวลุงหู่ก็ช่างตัวหนักมาก ตอนนี้เขาแขนล้าไปหมด
จบเรื่องวันนี้เขาต้องสั่งให้ลุงหู่ลดน้ำหนักอย่างแน่นอน...เขาอยากจะชี้นิ้วต่อว่าว่ายน้ำก็ไม่เป็นจะกระโดดตามลงมาทำไมนี้
เหอไป่ที่ก่อนหน้ามั่วแต่คุยกับตี๋ชิวเหอ จนลืมไปว่าในบ้านยังมีคนอีกหลายคนก็รีบตรงไปหาหนิงจวินเจี๋ยเพื่อช่วยประคองลุงหู่ขึ้นจากสระว่ายน้ำทันที
หนิงจวินเจี๋ยที่ตอนนี้กำลังเช็ดตัวก็หันมาอธิบายเรื่องราวให้เหล่า
รปภ.ฟังว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดและให้แยกย้ายกันไป พร้อมมองไปที่เหอไป่ที่ตอนนี้อยู่หน้าเตาย่างบาร์บีคิวพร้อมผ้าเช็ดตัวพาดไว้บนคอ
“เขาคือตี๋ชิวเหอจริงเหรอ?” หนิงจวินเจี๋ยถามขึ้นอย่างแปลกใจเมื่ออยู่กันตามลำพัง “ฉันได้ยินนายเรียกชื่อของเขา”
หนิงจวินเจี๋ยตรงไปจับมือเหอไป่ทันที
“ทำไมเขาถึงไม่เหมือนในรูปหรือตอนที่อยู่ในวิดีโอวันนั้น ผมอยากยืนยันว่าคุณเป็นตี๋ชิวเหอจริงไหม...ตอนนี้เขามันช่างแตกต่างมาก”
เมื่อเห็นว่าเพื่อนตัวเองไม่ตงพูดอะไร เขาก็เอื้อมแขนล็อคคออีกคนและกระซิบเสียงเบา
“ไป่..นี้นายกลับตี๋ชิวเหอ หรือว่านายจะ...” เมื่อคิดถึงบรรยากาศที่ทั้งสองก่อนหน้าสร้างขึ้น
มันช่าง...
เหอไป่จ้องมองเพื่อนอย่างสงสัย “อ้าว..ก็ใช่ไงคนที่นายแอบปลื้ม ที่นายพร่ำบอกว่าเขาช่วยเหลือนายไง”
หนิงจวินเจี๋ยกดที่ไหล่แล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“อย่าพึ่งสนใจบาร์บีคิว เล่าถึงความสนิทสนมของนายกับเขาให้ฉันฟังเดียวนี้
ผมอยากจะรู้”
เหอไป่จ้องมองไปที่มือของหนิงจวินเจี๋ยที่วางอยู่บนไหล่ด้วยสีหน้าจริงจัง
“เหล่าซาน..เขาคิดอะไรกับตี๋ชิวเหอ หรือว่านายจะชอบเขา มันดูไม่เหมาะนะที่นายจะเป็นเกย์”
เกย์? เหอไป่เข้าใจว่าเขาชอบตี๋ชิวเหอ?
เขารีบชักมือออกมาเหมือนถูกไฟช็อค พร้อมตัวสั่นเหมือนความหนาวเย็นแทรกเข้าไปในกระดูก
รีบโบกมือปฏิเสธอย่างพันวัล “ไม่ใช่...ฉันถามว่าคุณกับตี๋ชิวเหอต่างหาก
มันช่าง...”
“เขาไม่ได้เป็น” เหอไป่รีบผลักอีกคนออกไปไกลๆ
และเอากุ้งย่างที่อยู่บนเตาใส่เข้าไปในปากของหนิงจวินเจี๋ย และพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“นายก็เป็นเพื่อนร่วมห้องของผมไม่ใช่เหรอ?”
หนิงจวินเจี๋ยรีบคว้ากุ้งในปากเพื่อคายออกมา
เหอไป่พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“ดังนั้นเหล่าซานอย่ามาสงสัยในรสนิยมของฉันกับตี๋ชิวเหอ ตี๋ชิวเหอเขาชอบสาวคัพดีที่ตอนนี้เขาทำตัวแปลกๆก็เพราะเขาตำหนิตัวเองเรื่องโทรศัพท์เท่านั้น
อย่าคิดอะไรโง่ๆน่า”
“สาวคัพดี? เขานี้นะ!!”
หนิงจวินเจี๋ยรีบเรื่องที่สงสัยก่อนหน้าถูกโยนทิ้งเมื่อเจอเรื่องที่น่าสนใจพร้อมพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นด้วยประกายตาสดใส
“ว้าว!! เขามีรสนิยมเดียวกับฉันเลย! ไม่แปลกที่เขาจะเข้ามาร่วมกลุ่มของเราในอนาคตได้ก็เพราะเขาและฉันมีรสนิยมเดียวกัน!!”
“...”
“ผมมีวิดีโอที่เก็บไว้เยอะมากมีทั้งสาวน่ารักและยังคัพดีอีกด้วย
พวกนายไม่สนใจเรื่องนี้กับผมเลย แต่ว่านะตี๋ชิวเหอดูสุภาพเกินไปฉันไม่กล้าชวนเขาดูด้วยอ่า
แต่ถ้านายชวนนะเขาต้องไม่ปฏิเสธแน่นอน ฮ่าฮ่าฮ่า” เสียงที่หัวเราะออกมาดูชั่วร้ายมาก
“นายนี้มัน...”
ตี๋ชิวเหอเดินออกมาที่บนสนาม หลังจากที่เขาขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
จากนั้นก็เดินไปยืนข้างเหอไป่ ก็ที่จะวางแขนไว้บนไหล่ของเหอไป่อย่างระวังเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่มีการขัดขืน
เขาก็ปล่อยความตัวตามสบาย และก้มมองอีกคนย่างบาร์คิวตรงหน้าต่อ พร้อมพยักหน้าเมื่ออีกคนถามว่าเนื้อสุกพอดีหรือยัง
ความรู้สึกทั้งหมดถูกโจมตีอยู่ในหัวใจของตี๋ชิวเหอ
มันช่างแตกต่างจากความรู้สึกก่อนหน้าที่เขาเจอเหอไป่ มันเหมือนเป็นพื้นที่ปลอดภัยทำให้เขาปล่อยวางตัวเองมากขึ้น
หนิงจวินเจี๋ยที่จ้องมองบรรยากาศส่วนตัวของทั้งสองอีกครั้ง
เขาอดไม่ไว้ที่จะไม่ขัดบรรยากาศที่สร้างขึ้น “ไป่
นายกำลังปิ้งอะไร มันหอมมากเลย” เหอไป่หันมองหนิงจวินเจี๋ยที่ตอนนี้ที่สายตาจ้องมองที่ที่ช่วงเอวและลากมองขาที่สูงเรียวของตี๋ชิวเหอ
ทำไมมันเป็นไปด้วยความอิฉจาแบบนั้น
หนิงจวินเจี๋ยรีบลากอีกคนออกมาจากหน้าเตา พร้อมกระซิบเบาๆ
“เมื่อกี้เสื้อเขาเปียกน้ำนายเห็นที่หน้าท้องของเขาไหม เจ้าหกก้อนที่ท้อง?
ให้ตายเถอะ! ฉันคิดว่าเขาจะผอมเบามากกว่านี้ซะอีก”
เหอไป่ศอกไปที่เอวของเพื่อนเขาและก็พูดตอบโต้ด้วยเสียงที่เบากว่า
“นี้เป็นความคิดที่มีต่อคนที่จะเอามาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับบริษัทนายหรือไง
ถ้าเขาได้ยินเขาต้องไม่พอใจและไม่รับงานนายแน่นอน”
“ไม่นะ!!!” หนิงจวินเจี๋ยรีบสวมใบหน้าจริงจังเขาปล่อมมือจากไหล่ของเหอไป่
“นายค่อยดูนะความสามารถในการเข้าสังคมของผมดีแค่ไหน” และเดินไปตรงหน้าของตี๋ชิวเหอพร้อมรอยยิ้มการค้า “ตี๋ชิวเหอคุณหิวไหม?
มาๆๆมาลิ้มลองฝีมือทำอาหารของเหอไป่ แม้ว่าจะไม่อร่อยเทียบเท่าลุงหู่แต่มันก็พอถูไถได้”
เหอไป่รู้สึกมันน่ารังเกียจมากกับท่าทางของเพื่อนเขาจึงหันหลังไปย่างบาร์บีคิวต่อ
ทั้งท่างทางที่น่ารำคาญของตี๋ชิวเหอและยังมีฟฤติกรรมของเพื่อนเขา อืมมมม มันไม่ง่ายที่จะมองดู
“เหรอครับ? งั้นผมก็ต้องลิ้มลองฝีมือของไป่ไป่ซักหน่อย”
พร้อมจ้องไปที่มือของหนิงจวินเจี๋ยที่ยังวางบนไหล่ของเหอไป่ด้วยสายตาจ้องเขม่น
“คุณเป็นเพื่อนร่วมห้องของไป่ไป่เหรอครับ? ตั้งแต่ที่ผมรู้จักเขา
เขาไม่เห็นพูดถึงเพื่อนของเขาเลย”
เมื่อหนิงจวินเจี๋ยเห็นว่าตี๋ชิวเหอเป็นคนที่เข้าถึงง่ายๆไม่วางตัว
ก็รีบเดินไปตีสนิท “ยิ่งกว่าเพื่อนอีกนะ เรายังเป็นเพื่อนร่วมหอกันอีกด้วย!
เราทั้งหมดเป็นพี่น้องที่สนิทกันมาก รู้ไหมตอนแรกที่ผมเข้าไปอยู่หอครั้งแรก ผมไม่เคยจัดการเครื่องพวกผ้าปูเตียงกับผ้าห่มได้สักครั้ง
นี้ยังดีที่ผมได้เหอไป่ค่อยช่วยเหลือ เขาช่างเป็นน้องชายที่ดีอย่างมาก” แถมยังยกนิ้วโป้งให้กับเหอไป่
รอยยิ้มของตี๋ชิวเหอชะงักค้างแต่มันก็เป็นเพียงไม่นาน
เขาเดินตามหนิงจวินเจี๋ยไปนั่งข้างๆเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ใกล้ๆเตาย่างบาร์บีคิว
“เขาช่วยคุณซักผ้าห่มเลยเหรอ? แล้วพวกเสื้อผ้าอื่นๆล่ะ”
“ไม่นะ..มีเพียงแค่ผ้าห่มเท่านั้น แต่มีตอนที่ผมป่วยเขาก็ค่อยเช็คตัวให้ผม
และเขายังเช็คที่...แต่นั้นก็เพราะเรานับถือเป็นพี่น้องกัน!!” หนิงจวินเจี๋ยพูดอย่างไม่คิดอะไร และรีบโบกมือให้อีกคน “คุณถือว่าเป็นเพื่อนของเหอไป่ ทำตัวตามสบายได้เลย ถือว่าเป็นบ้านของคุณเอง”
เหอไป่ที่ได้ยินประโยคหลังก็กลอกสายตามองฟ้า
และหยิบเนื้อที่สุกแล้วใส่จาน ทำไมเขาเห็นสายตาชั่วร้ายออกมาจากตี๋ชิวเหอหรือว่าเขาจะตาฝาดอีกแล้ว
“ใช่ครับไป่ เป็นเด็กที่ดีมาก
แต่ช่างน่าเสียดายที่ผมอยู่ที่เมืองนี้ได้เพียงสั้นๆ เนื่องจากต้องกลับไปทำงานต่อยังไงก็ฝากดูแลเขาด้วยนะครับ”
ตี๋ชิวเหอยังพูดด้วยเสียงเป็นกันเองกับหนิงจวินเจี๋ย
พ่อบ้านหู่ก็กลับมาเพื่อจัดการที่หน้าเตาต่อ
เหอไป่ก็ส่งมอบที่คีบให้ จากนั้นก็เดินถือจานมานั่งข้างๆทั้งสอง และพบว่าทั้งสองคุยกันอย่างสนิทสนมเหมือนพี่น้องที่ไม่ได้เจอกันมานาน
“...” เหอไป่นั่งงง ‘นี้เขาออกไปเพียงไปย่างเนื้อไม่นานทำไมกับมาพบว่าทั้งสองคุยกันอย่างคนที่รู้จักกันมานาน
เกิดอะไรขึ้นนี้’
“ใช่แล้ว! ผมก็ว่าคุณเป็นคนดีแล้วล่ะจากตอนแรกที่คิดว่าคุณจะต้องหยิ่งเข้าถึงยาก
แต่ผมคิดผิด! เอ้าชนเพื่อมิตรภาพ!!!” หนิงจวินเจี๋ยเอาแก้วเบียร์ที่มาจากไหนไม่รู้ยกขึ้นเพื่อชนแก้วอีกคนอย่างตื่นเต้น
ตี๋ชิวเหอก็หัวเราะออกมาเหมือนสนุกไปกับอีกคนด้วย
“คุณทำให้ผมดีใจที่คุณไม่กีดกันผม เอ้าครับชนแก้ว”
“โอ้ คุณช่างน่ารักจัง”
“....”
“แล้วยังพูดคุยสนุกด้วย”
จากนั้นก็เริ่มปาร์ตี้ปิ้งย่างและการประลองเบียร์ก็เป็นไปอย่างเต็มที่
เหอไป่ยังสะกิดตี๋ชิวเหอไป่เพื่อให้อีกคนหยุดสปอยล์เพื่อนร่วมห้องของเขาต่อ
ก็เพื่อนเขาของมันช่างไร้เดียงสาไม่มีทางตามเล่ห์เหลี่ยมอีกคนๆนี้ทันหรอก
บทที่ 37 ความยุติธรรม
ตี๋ชิวเหอนั่งท้าวคางมองพร้อมส่งรอยยิ้มอ่อนโยนไปให้เหอไป่
เหอไป่จ้องมองกลับไปที่ใบหน้าที่ดูมึนเมา แค่กๆ..มันช่างดูล่อลวงเป็นอย่างมาก
เหอไป่ที่ตอนนี้เขาคิดอยากจะกระโดดลงสระว่ายน้ำอีกครั้งที่ระงับความคิดบ้าของเขอตอนนี้
หลังจากจบมื้ออาหารก็ดึกมากแล้วและหนิงจวินเจี๋ยก็เมามาก
หัวของหนิงจวินเจี๋ยแทบจะแนบติดอยู่บนโต๊ะ ซึ่งตรงกันข้ามกับตี๋ชิวเหอที่ตอนนี้มีอาการเมาเพียงเล็กน้อยดูจาการประคองหัวทำตรงได้
ตลอดเวลาเหอไป่เอ่ยปากห้ามไม่ให้ทั้งคู่ดื่มเยอะเกินไป แต่มันก็เหมือนไร้ประโยชน์เมื่อพูดกับคนบ้า
เขารีบเรียกเหล่าพ่อบ้านมารับตัวหนิงจวินเจี๋ยเข้าไปนอนพักข้างใน ส่วนตัวเองก็ประคองร่างของตี๋ชิวเหอที่ให้ลุกขึ้นยืน
อีกคนก็ทำตัวเหมือนไร้กระดูพันเลื้อยไปทั่ว พอเขาประคองก็ไหมจะไหลลงพื้นตลอดเวลา
“....” ‘หรือว่าจะปล่อยให้นอนที่ตรงนี้ดี’
“ลูกหมาตัวน้อยของผม” คนเมาที่อยู่ข้างตัวก็พร่ำบ่นขึ้น และมือก็พัวพันที่ข้างเอวของเขา “ไป่น้อยผมขอโทษ...ผมชอบนายจริงๆนะ”
เหอไป่รับฟังดูสีหน้าที่ดำคล้ำ เขายกมืออีกครั้งตบที่หน้าผากของตัวเอง
“นี้ผมไปติดหนี้อะไรคุณมากมาย ผมเจอคุณที่ไหนก็มีแต่เรื่องร้าย ถ้ายังเป็นแบบนี้คุณจะทำให้ผมบ้าตายในไม่ช้า”
ตี๋ชิวเหอยังพร่ำบ่นอะไรอยู่ข้างตัวเขา ซึ่งเขาไม่สามารถจับประเด็นได้
นอกจากนั้นตี๋ชิวเหอยังใช้ใบหน้าตัวเองถูไถเข้ากับใบหน้าของเหอไป่ไม่หยุด
เมื่อถึงห้องนอนที่พ่อบ้านเตรียมไว้ เขาก็รีบโยนร่างอีกคนลงบนเตียงอย่างรังเกียจ
และเดินไปที่ประตูเพื่อล็อคห้องและเดินออกไปทันทีอย่างไม่สนใจร่างที่นอนอยู่บนเตียง
ตี๋ชิวเหอที่ก่อนหน้าแสดงอาการเมาจนไม่ได้สติก็ลืมตาใสเหมือนว่าไม่เคยมีอาการมึนเมามาก่อน
เขาจ้องมองไปที่ประตูห้องนอนที่ปิดสนิทจากนั้นก็ยกมือปิดตา พร้อมเสียงถอนหายใจยาวอย่างนึกเสียดาย
เป็นเวลานานเขาก็ตลบผ้าห่มขึ้นมาห่อตัวเองอย่างหงุดหงิด
เช้าวันถัดมาตี๋ชิวเหอปฏิเสธคำเชิญหนิงจวินเจี๋ยอย่างสุภาพที่ชวนอยู่ต่อ
เนื่องเขาจะกลับบ้านพักเพื่อไปอาบน้ำและมีงานที่ทำต่อ หลังจากอาบน้ำเสร็จเขาก็โทรออกให้ผู้ช่วยหวังเพื่อให้อีกคนมารับเขาไปเพื่อไปที่สตูดิโอ
Red Guest
เจี่ยงซิ่วเหวินขมวดคิ้วจ้องมองเพื่อนของเขาที่ตอนนี้มีสภาพเหมือนกับซากศพ
เขาส่งเสียงถามอย่างตกใจ “นายบอกว่ากลับมาคราวนี้นายว่างยาว
แต่นี้ทำไมนายมานอนเป็นศพบนโซฟาของฉัน”
ตี๋ชิวเหอหันหลังกลับมาและถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ซิ่วเหวิน...ฉันน่ารำคาญมากเหรอ?”
“ในที่สุดนายก็รู้ตัวแล้วว่านายเป็นคนที่น่ารำคาญที่สุด
แล้วนายรู้ตัวได้ยังไง?” เจี่ยงซิ่วเหวินถามขึ้นอย่างประหลาดใจจากนั้นก็แสดงสีหน้าที่อ่อนโยนเพื่อปลอบใจเพื่อนของเขา
“เอาน่า...ถึงตอนนี้นายจะดูแย่มาก แต่เมื่อนายรู้ตัวแล้วก็ลุกขึ้นมาจัดการตัวเองแล้วอย่าลืมกินยาที่จัดให้คุณก็เป็นปกติแล้ว”
“ฮืม....” ตี๋ชิวเหอตะคอกเสร็จก็หันหน้ากลับเข้าโซฟา
นี้มันแปลกเกินไป เขารู้ตัวว่าไม่ควรไปแตะต้องเพื่อนของตัวเองตอนนี้แต่มันก็อดไม่ไหวจริงๆที่จะตะคอกเสียงดังใส่“เกิดอะไรขึ้นอีก? ทำไมนายถึงอารมณ์เสียแบบนี้...ฉินหลี่มายุ่งกับนายอีกหรือไง”
“ไม่ใช่” เสียงอู้อี้ตอบกลับมาเนื่องจากอีกคนฝังหน้าลงกับหมอน
“เดียวก็รู้เอง...”
“รู้อะไร?”
“เดียวนายก็เห็นเอง” ตี๋ชิวเหอยังไม่ยกหน้าออกจากหมอนก็ชี้ไปที่หน้าต่าง “คอยดูที่สตูดิโอ Saint Elephant ให้ดีและกัน”
เจี่ยงซิ่วเหวินที่ตอนแรกไม่เข้าใจ จากที่ฟังเรื่องเล่าเจี่ยงซิ่วเหวินก็ค่อนข้างตื่นเต้นเหมือเจอเรื่องที่สนุก
“พวกนั้นพึ่งไปสร้างเรื่องมา! พวกนั้นไปทำให้คุณเจี๋ยไม่พอใจ มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดที่ของสตูดิโอ
Saint Elephant” ไม่น่าแปลที่เขาจะตื่นเต้น
เนื่องจากทางสตูดิโอของเขากับ Saint Elephant ถือเป็นคู่แข่งที่เผชิญหน้ากันจังๆ
เขาช่วงมีความสุขที่Saint Elephant จะโชคร้ายในวันนี้
ในช่วงบ่ายก็มีรถยนต์ SUV
สีดำสองคันมาจอดที่หน้าสตูดิโอ Saint Elephant เมื่อประตูรถเปิดออกก็เห็นชายชราก้าวเดินออกมาจากในรถพร้อมกับชายวัยกลางคนหกถึงเจ็ดคนเดินตามเข้าไปด้วย
“นี่มากันหมด
ทั้งลูกชายสองคนแล้วยังมีลูกเขยของคุณเจี๋ย ช่างเป็นกองทัพที่อลังการมาก”
เจี่ยงซิ่วเหวินจ้องมองผ่านหน้าต่างสีหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“สตูดิโอ Saint Elephant ไปทำอีท่าไหนถึงทำให้คุณเจี๋ยที่อารมณ์ดีตลอดเวลาโมโหได้”
“มันก็เป็นเพียงการปกป้องคนในครอบครัวของเขา”
ตี๋ชิวเหอเอนตัวพิงโซฟาและเหลือบมองออกไปข้างนอก “มันก็สมควรได้รับทาง Saint Elephant ให้พวกมือสมัครเล่นไปถ่ายภาพให้หลานรักของเขาได้ยังไง
และปาร์ตี้วันเกิดก็จะจัดในวันมะรืนนี้ จะไม่ทำให้คุณเจี๋ยพอใจได้ยังเมื่อเขาเห็นภาพที่น่าสะพรึงที่อย่างนั้น”
เจี่ยงซิ่วเหวินหัวเราะลั่น
“นั้นมันเป็นเรื่องที่เหลวไหลมาก คุณเจี๋ยรักหลานสาวคนนี้มากและยังหลงใหลกับการถ่ายภาพ?
Saint Elephant ไม่ควรไปแตะต้องหลานสาวของเขาเช่นนั้น”
“มันไม่ได้มีเพียงแค่นั้น” ตี๋ชิวเหอเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดีเขาหยิบเหรียญในกระเป๋าขึ้นมาเล่น เมื่อมองผู้จัดการของSaint
Elephant ออกโค้งตัวส่งนายเจี๋ยขึ้นรถ พร้อมหัวที่ก้มต่ำลง
เขาลุกขึ้นยืนจ้องมองฉากตรงหน้า “ผู้ใหญ่ของ Saint
Elephant นั้นสิ้นคิดมาก อีกคนชื่นชอบผลงานของเด็กหนุ่มคนนั้นแท้ๆ อีกเดียวเขาต้องรีบติดต่ออีกคนอย่างรวดเร็ว”
เจี่ยงซิ่วเหวินสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ฉันจำได้ว่าทาง Saint Elephant มีผู้จัดการที่มีความรับผิดชอบ
เธอทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นได้ยังไง ช่างโง่เขลามาก”
“ผู้จัดการคนนั้นถูกพักงาน” ก่อนที่เขาจะกลับมาที่เมืองเขาให้ผู้ช่วยหวังสืบเรื่องนี้ เมื่อเจี่ยงซิ่วเหวินถามเขาก็พูดขึ้น
“ผู้จัดการเธอต้องการแจ้งเรื่องให้กับคุณเจี๋ยทราบ ว่าช่างภาพหนุ่มที่ทางเขาต้องการจ้างลาออกจากสตูดิโอไปแล้ว
แต่ทาง Saint Elephant ต้องการให้เงียบไว้แล้วให้ช่างหม่ารับผิดชอบเรื่องนี้แทน
ซึ่งทางหม่าเซียนตงก็ออกหน้าให้หลานชายที่เป็นมือสมัครเล่นมารับงานนี้”
“เขาคิดว่าการถ่ายรูปวันเกิดเป็นเรื่องง่ายที่มือสมัครเล่นมารับงานนี้
หรือว่าพวกเขาคิดว่าจะเอามารีทัสทีหลังได้” เนื่องจากเจี่ยงซิ่วเหวินก็อยู่ในวงการเดียวกันจึงสามารถคาดเดาความคิดของ
Saint Elephant ได้ ซึ่งเรื่องนี้สามารถเอาไปใช้กับลูกค้าทั่วไปที่อย่างเลวร้ายที่สุดก็เพียงแค่ร้องเรียน
แต่นี้มันเกิดกับคุณเจี๋ยมันอย่างเป็นเรื่องสิ้นคิดเป็นอย่างมาก ซึ่งอีกคนก็คร่ำหวอดในวงการนี้มาอย่างโชกโชน
“เรื่องนี้ไม่สามารถตำหนิใครได้นอกจากความโง่ของพวกเขาเอง”
เจี่ยงซิ่วเหวินส่ายหัวและหันไปหาเพื่อนของเขา“นายรู้เรื่องนี้มาก่อน? ทำไมนายไม่บอกผมเลยก่อนหน้า”
“นายถามฉัน?” ตี๋ชิวเหอหันกับมาพูดเสียงเบา
“นายจำคืนวันนั่นได้ไหมที่นายวางสายใส่ฉัน?”
“...”
“ฉันต้องไปและ...”
เจี่ยงซิ่วเหวินรีบพูดหยุดอีกคน “จะไปไหน”
“ไปทำธุระ”
“หา?”
ตี๋ชิวเหอโบกมือแล้วหยิบกระเป๋าเป้สะพายหลังที่ไหล่ซ้าย
เจี่ยงซิ่วเหวินขมวดคิ้ว
“เขาทำตัวลึกลับมาก หลังจากที่เขาไปอยู่ที่ชายแดน..” แต่ใครคือช่างภาพที่คุณเจี๋ยต้องการช่างภาพที่พึ่งลาออกจาก Saint
Elephant เดียวก่อน? เด็กหนุ่ม? พึ่งลาออก? เหอไป่เหรอ? แฟนบอยของตี๋ชิวเหอ?
เขาหันมองทางหน้าต่างและยกมือเกาหัวอย่างไม่รู้ตัว
นี้ตี๋ชิวเหอทำทั้งหมดเพื่อล้างแค้นให้กับแฟนคลับ?
นั้นมันมากเกินไป!! ความคิดของเพื่อนเขาผิดเพี้ยนไปมาก?
โทรศัพท์ของตี๋ชิวเหอถูกปิดอีกครั้ง เหอไป่วางโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่เขาซื้อมาในราคาถูก
ลงจากนั้นก็เก็บกระเป๋ากลับหอพักเมื่อรู้ว่าผีที่เขากลัวก่อนหน้าไม่มีจริง
แต่ก็มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเมื่อหลี่เหรินโทรมาหาเหอไป่ในเช้าวันถัดไป
“ขอโทษที่โทรมารบกวนนายแบบนี้แต่เช้า”
หลี่เหรินพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า “ทั้งที่นายลาออกแต่มีงานที่เฉพาะเจาะจงถึงตัวนายเอง
ซึ่งก่อนหน้าทางเราส่งช่างภาพไปเขาไม่ถูกใจ ดังนั้นวันนี้เราจึงอยากให้นายมาช่วยถ่ายภาพแทน”
เหอไป่ตกใจหรือจะเป็นงานที่ตี๋ชิวเหอพูดก่อนหน้า
“นี้คืองานที่คนใหญ่คนโตถ่ายภาพให้กับหลานสาวของเขาใช่ไหมครับ”
เหอไป่โพล่งขึ้นอย่างเร่งรีบ
สิ่งที่เด็กหนุ่มพูดทำให้เธอแปลกใจ “นายรู้ได้ยังไง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นทางสตูดิโอต้องขอโทษนาย”
เหอไป่ถามอย่างตรงไปตรงมา “ให้ฉันเดาว่าคุณรับงานกับคุณเจี๋ยแล้วไม่เป็นไปตามที่เขาต้องการ
เรื่องนี้มีอะไรให้ผมช่วยได้บางไหม”
“ถูกต้อง..นายชิวเฉินรับงานนี้แต่ช่างหม่าเป็นคนค่อยกำกับ
แต่รูปภาพที่ถ่ายออกมา...หลังรีทัสแล้วก็เป็นไปตามมาตรฐานของทาง Saint
Elephant แต่ทางลูกค้าคนนี้เป็นช่างภาพมืออาชีพเช่นกัน เขาจึงไวต่อการรีทัสภาพ
ดังนั้น...” หลี่เหรินเบาเสียงลง “ทางผู้ใหญ่ของ
Saint Elephant ต้องการให้นายจะช่วยเหลือเพื่อเป็นตัวแทนของทาง Saint
Elephant โดยทางสตูดิโอจะจ่ายเงินค่าจ้างให้คุณมากกว่าเดิม 5
เท่า”
ใบหน้าของนายหม่าก็ผุดขึ้นมา
“ผมไม่สนใจข้อเสนอ 5 เท่าครับ แต่เดียวผมจะติดต่อทางนั้นเพื่อเป็นการไปถ่ายชดเชย
แต่ไม่ใช่ในนามของ Saint Elephant แต่เป็นตัวผมเองซึ่งทั้งนั้นไม่ต้องการให้โอกาสที่เพื่อนของผมมอบให้ผมเสียเปล่า
ทางผู้ใหญ่คงให้คุณหลี่มากดดันผมให้ช่วยจัดการเรื่องยุ่งเหยิงนี้ ซึ่งผมไม่สามารถทำตามได้
และหลังจากนี้ผมจะโพสต์ทางโซเซี่ยลโดยตรงว่าตอนนี้ผมได้ลาออกจาก Saint
Elephant อย่างเป็นทางการ ไม่อนุญาติใช้ชื่อและผลงานของผมในการรับงานอีกต่อไป
คุณหลี่เหรินรู้ไหมครับเรื่องที่เขาให้คุณมาพูดแบบนี้มันเป็นข้อตกลงที่ไม่ยุติธรรมเลย”
บทที่ 38 สร้างความทรงจำใหม่
“เสี่ยวไป่..” ทางหลี่เหรินที่ได้ฟังก็พูดไม่ออก
“คุณหลี่ครับ” เหอไป่เอายขึ้นขัดจังหวะเสียงเบา
“การที่ทาง Saint Elephant ให้คุณมาพูดกับผมเรื่องนี้ผมเข้าใจเขาต้องการให้ผมสำนึกถึงการที่คุณเอ็นดูกับผมก่อนหน้า
แต่เรื่องวันนี้มันขัดกับหลักการของตัวผมเอง คุณหลี่ผมขอพูดตรงๆนะครับว่าสตูดิโอที่มีการดูแลคนในบริษัทแบบนี้คงไม่สามารถไปต่อได้อีกนาน
คุณจะทิ้งอนาคตของตัวเองไว้กับที่แบบนี้หรือครับ”
หลี่เหรินรับฟังเงียบๆและนึกถึงเรื่องเธอถูกสั่งพักงานทั้งที่เธอก็อุทิศตัวเองเพื่อที่สตูดิโอแบบนี้อย่างเต็มที่มาตลอด
มันทำให้เธอเสียความรู้สึกเป็นอย่างมาก
“ฉันเข้าใจแล้ว” เธอสูดลมหายใจเข้าลึกเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้
“เรื่องนี้ฉันถือว่าเป็นหนี้นาย แล้วฉันจะแจ้งเรื่องนี้ให้กับ Saint
Elephant ทราบ ขอบคุณนะเสี่ยวไป่”
หลังจากที่เธอวางสาย
เหอไป่ก็จ้องมองหน้าจอที่ว่างเปล่า เขอถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็มีข้อความใหม่เข้ามา
หลี่เหริน: หมายเลขติดต่อคุณเจี๋ยคือ 13XXX
หลังจากจบเรื่องนี้ฉันคงจะยื่นจดหมายลาออก และคงหาบริษัทอื่นทำแทน ขอโทษและขอบคุณมาก
แล้วเจอกันใหม่
เหอไป่อ่านข้อความอย่างตกใจ
และมีรอยยิ้มขึ้นมา
เหอไป่: ยินดีครับ หวังว่าจะพบกันใหม่
“นายน้อยตั้งใจจะออกจากเมืองวันนี้เลยเหรอครับ?”
เลขาหวังถามอย่างลังเล “ตอนนี้นายใหญ่รู้เรื่องและกำลังตรวจสอบเรื่องของผู้ช่วยอัน
บางทีนายใหญ่อาจจะต้องการเจอกับนายน้อย”
“ไม่หรอก..แบบนี้ดีแล้ว” ตี๋ชิวเหอออกความเห็นอย่างเรียบเฉย “เหอะ!! ต้องการให้ฉันไปเจอตอนเกิดเรื่องแบบนี้ทำไมฉันต้องทำตามด้วยเขาอยากจะเจอการเรียกไม่อยากเจอก็ให้ฝากจ้อความติดต่อไว้?
อีกอย่างฉันก็ลาพักการฝึกมาตั้งหลายวันแล้วด้วย”
เลขาหวังฟังจบก็ไม่กล้าที่จะออกความเห็นเพิ่ม
เขาเดินไปเก็บของให้นายน้อยเงียบๆ
“นาย...” ตี๋ชิวเหอเอ่ยขึ้นแล้วก็เงียบไป
เลขาหวังหยุดมือและรีบหันหน้าเพื่อตอบคำสั่ง
“ไปจัดของของนายเถอะ”
ตี๋ชิวเหอจ้องมองสีหน้าที่ที่เข้าใจของอีกคนพร้อมส่ายหัว
จากนั้นก็มองรูปของลูกหมาน้อยของเขาในรูปเหอไป่นั่งอยู่ริมสระว่ายน้ำพร้อมจ้องมือโทรศัพท์เครื่องเก่าอย่างอาวรณ์
ก็มีบางอย่างตีขึ้นในใจ “ไม่มีอะไร เก็บของต่อเดียวผมจะออกไปข้างนอกสักพัก”
“แล้วเที่ยวบินคืนนี้...”
“ไม่ต้องห่วงเดียวผมตามไปทีหลัง” ตี๋ชิวเหอขัดจังหวะและเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ “นายไปรอที่สนามบินก่อน
แล้วอย่าลืมปลอบใจอันด้วยละ ระหว่างที่ว่าง”
ผู้ช่วยหวังนิ่งค้างเมื่อตามทันก็ก้มหัวเหมือนรับคำ
ผู้หญิงที่กำลังเปราะบางเป็นเป้าหมายที่ดีจะแผน
‘กับดักชายอ่อนโยน’ มันช่างเป็นการตบหลบแผนการ ‘กับดักน้ำผึ้ง’ เป็นอย่างดี
แสงอาทิตย์ที่ยังร้อนแรงแม้จะเป็นเกือบเวลาเย็นแล้ว
ทำให้เกิดลมร้อนที่ผัดผ่านให้ผู้คนที่อยู่ในสวมของมหาลัย Q
ไม่สบายตัว
ตี๋ชิวเหอนั่งรอที่ม้านั่งที่อยู่ในสวนย่อมระหว่างทางที่จะหอพักนักศึกษาชาย
จ้องมองเหอไป่ที่กำลังเดินโดยก้มมองรูปในกล้องอย่างไม่สนใจรอบข้าง ตี๋ชิวเหอรีบยื่นขึ้นแล้วยื่นไอติมที่ตอนนี้เหลือเพียงครึ่งแท่งไปตรงหน้าเหอไป่
“ลูกหมาถ้านายเป็นเด็กดีเดียวพี่ชายซื้อไอติมให้ เอาไหม?”
เหอไป่สะดุ้งกับแท่งไอติมสีขมพูที่ยื่นมาตรงหน้าจ้องมองรอยยิ้มล้อเลียนของตี๋ชิวเหอ
เขารีบปัดเจ้าแท่งไอติมไปไกลๆพร้อมพูดเดียวเสียงที่กัดฟัน
“การเล่นเด็กๆของคุณ จะโดนผมต่อยเข้าสักวัน”
“ก็เอาสิ” ตี๋ชิวเหอเอ่ยปากอนุญาติพร้อมเหวี่ยงแขนตัวเองไปพาดไหล่ของเหอไป่
“ผมมีแต่กล้ามเนื้อ นายก็ชกมาสิกำปั้นน้อยๆของนายทำอะไรผมไม่ได้แน่”
“ไปไกลๆเลย” เหอไป่ผลักอีกคนด้วยความหงุดหงิดพร้อมเช็ดเหงื่อที่ใบหน้า
เขาหยิบชู่เปียกในกระเป๋าพร้อมโยนไปให้ตี๋ชิวเหอ
“คุณมีเรื่องอะไรกับผมถึงมาหาผมที่หอพัก
ทำไมถึงไม่โทรหา หรือเป็นเพราะโทรศัพท์ของผม ผมไม่สามารโทรหาคุณติดเลย”
ตี๋ชิวเหอยิ้มอย่างสบายๆ “อะไรนะ นายคิดถึงผมเหรอ? ที่จริงผมปิดเครื่องขี้เกียจรับสายคนที่น่ารำคาญนะ”
“เหอะๆ ให้คิดถึงคุณผมคิดถึงแพนเค้กที่ขายอยู่หน้ามหาลัยซะยังดีกว่า”
เหอไป่พูดพร้อมออกเดินต่อ “การฝึกของคุณเป็นยังไงบ้างล่ะ?
แล้วไม่ต้องส่งผลไม้มาให้ผมอีกแล้วนะผมกินมันไม่ทัน แล้วยังเรื่องของการจ้างงานถ่ายรูปงานวันเกิดที่คุณพูดก่อนหน้า
ขอบคุณที่โทรหาคุณเจี๋ยให้ผม เดียวผมโทรไปติดต่อรับงานด้วยตัวเอง...ทำไมคุณยังยืนอยู่ตรงนั้นล่ะ?”
เหอไป่หันหลังกลับก็เห็นตี๋ชิวเหอที่ยืนอยู่กับที่ไม่ตามเขามาก็ขมวดคิ้ว
“ทำไมไม่ตามมาล่ะ เดียวผมพาไปนั่งที่ใต้ตึกตรงนี้มันร้อน”
ตี๋ชิวเหอยิ้มพร้อมโบกมือปฏิเสธ
“ผมต้องรีบไปขึ้นเครื่องคืนนี้ เรื่องของคุณเจี๋ยผมโทรไปบอกให้กับนายแล้วก่อนนี้
ผมขอของตอบแทนในวันเกิดของผมที่จะถึงนี้ มันเป็นความที่ 23 กันยายน”
เหอไป่ตอบรับอย่างไม่เต็มใจ “อืม ขอของขวัญอะไรครับ?”
“เมื่อถึงวันเกิดของผมอย่าลืมเรียกผมว่าพี่ชายล่ะ
ผมตั้วตารออยู่” ตี๋ชิวเหอพูดพร้อมโบกมือแล้วก้าวเดินออกไป
“หยุดก่อนนะ!!” เหอไป่ร้องขึ้นอยู่สับสนและพยายามเดินตามอีกคน
“คุณมันเด็กที่นิสัยเสีย จะต้องค่อยกลั้นแกล้งผมทุกวันใช่ไหม?”
ในที่สุดเหอไป่ก็ยอมแพ้เรื่องวิ่งตามตี๋ชิวเหอที่มีช่วงขาที่ยาวกว่าเขา
จึงตัดสินใจเดินย้อนกลับไปที่หอพักแทน ระหว่างกำลังขึ้นบันไดก็ถูกเรียกโดยผู้ดูแลหอพัก
“เหอไป่หยุดก่อน มีคนฝากของไว้ให้นาย
เขาไม่ได้สวมชุดพนักงานก่อนของ แต่เขามีหน้าตาที่ดูดีมากแต่สวมหมวกด้วย”
กล่องใบใหญ่ยื่นออกมาแทบแนบกับใบหน้าของเหอไป่
และเมื่อนึกถึงชุดของตี๋ชิวเหอเขาก็ยิ้มขึ้นมาทันทีพร้อมขอบคุณผู้ดูแลหอพัก
เมื่อเขามาในห้องเหอไป่รีบเปิดแอร์พร้อมหันมาจัดการกล่องขนาดใหญ่ตรงหน้า
“ในกล่องมันมีอะไรทำไมมันหนักแบบนี้”
เมื่อเปิดกล่องขึ้นเขาก็เจอสองกล่องที่อยู่ข้างใน
หนึ่งกล่องมีขนาดที่ใหญ่กว่าอีกกล่อง เหอไป่ใช่กรรไกลจัดการกล่องที่มีขนาดเล็กกว่าก่อน
เมื่อเปิดขึ้นมาก่อนตกใจ
ในนั้นมีโทรศัพท์นอนนิ่งอยู่ถึงสองเครื่อง ซึ่งเครื่องหนึ่งเป็นรุ่นเดียวกับเครื่องที่เป็นซากนอนนิ่งอยู่ในลิ้นชักของเขา
อีกเครื่องเป็นโทรศัพท์ยี่ห้อ Apple รุ่นล่าสุด
“นี่มัน...” เขาหยิบโทรศัพท์เครื่องแรกที่เก่ากว่ามาเปิดเครื่องอย่างคุ้นเคย
ดวงตาเต็มไปด้วยกระแสอบอุ่น “ผมก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร
เขายังเก็บมาคิดอีก”
ระหว่างรอให้โทรศัพท์เปิดขึ้นเหอไป่ก็จัดการกล่องที่มีขนาดใหญ่กว่าในนั้นมีกล่องถ่ายรูปยี่ห้อเดียวกับที่เขายืมมาจากอาจารย์ซูแต่เพียงมันเป็นรุ่นที่ล่าสุดที่พึ่งเปิดตัว
มือของเขาแข็งค้างไม่รู้จะจัดการกับของตรงหน้ายังไงดี
ก็มีเสียงดังว่ามีข้อความเข้าจากฌทรศัพท์ที่เขาพึ่งเปิดติด เหอไป่รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข้อความ
พี่ชายตี๋: นี่เป็นเบอร์ส่วนตัวของผม
อีกเบอร์ผมให้ผู้ช่วยของผมจัดการแทนแล้ว นายสามารถติดต่อผมที่เบอร์นี้ได้ตลอดเวลา สำหรับเรื่องที่ผมทำให้โทรศัพท์คุณแม่ของนายพัง
ผมเลยตัดสินใจใช้เครื่องรุ่นเดียวกันเพื่อสร้างความทรงจำขึ้นมาใหม่ เหมือนกับที่พ่อกับแม่นายทำก่อนหน้า
พี่ชายตี๋: อย่าคิดมาและไม่ต้องเกรงใจ
นี้เป็นเรื่องที่พี่ชายอย่างผมควรทำ
เหอไป่ยังพูดไม่ออกความรู้สึกหลากหลายตีกันประเดประดังในหัว
เกี่ยวกับของขวัญราคาแพงทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้า
สร้างความทรงจำใหม่?
อย่าเกรงใจเหรอ? พี่ชาย?!!
พี่ชายตี๋: น้องเล็กไป่?
ดูเหมือนนายจะตกใจมากเกินไป
เหอไป่: ให้ตายเถอะ!
คุณไม่สามารถเป็นพี่ชายผมได้!! และเรื่องความทรงจำของพ่อและแม่ของผมมันเป็นเรื่องความรักที่โรแมนติก
เราไม่สามารถสร้างมันแบบนั้นได้? มันแตกต่างกันสิ้นเชิง!!
พี่ชายตี๋: ผมไม่เห็นถึงความแตกต่างนะ?
นายจะเถียงผมทำไมนี้
เหอไป่: มันช่างแตกต่างกัน
พี่ชายตี๋: มันเหมือนกันทุกอย่างน่า
ใบหน้าเหอไป่บิดเบี้ยวด้วยความโกรธ เหงื่อก็ผุดที่ปลายจมูกทั้งที่แอร์ก็เย็นช่ำ
เขาอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา “ดูจากที่คุณทำก่อนหน้าสิ!
เราไม่สามารถสร้างเรื่องอะไรแบบนั้นได้!! คุณมันเป็นคนที่งี่เง่ามาก!!! การที่ผมเจอกับคุณมันช่าง..มันช่างโชคร้ายมาก”
บทที่ 39 อย่าปิดกั้นผมเลย
ถึงแม้ว่าจะโมโหแค่ไหน
เหอไป่ก็โทรหาอีกคนเพื่อขอบคุณและถามว่าต้องการของขวัญอะไรตอบแทน
“ลูกหมาตัวน้อยของผม” ตี๋ชิวเหอพูดด้วยน้ำเสียงดีใจ “ผมต้องการเพียงให้นายทำสเต็กให้ผมกิน”
เหอไป่ระงับคำพูดต่อว่าอีกคนและพูดอย่างใจเย็น
“เอาอย่างอื่นครับ สเต็กมันถูกไป” ของตอบแทนต้องเทียบเท่ากับของที่เขาได้รับ
นั่นถือว่าเป็นมิตรภาพที่ยาวนาน
“ผมต้องการเพียงสิ่งนี้” ตี๋ชิวเหอมองวิวผ่านหน้าต่างรถยนต์ด้วยท่าเกียจค้าน “ไม่อย่างนั้น ผมต้องการให้นายทำเค้กวันเกิดให้ผมและพาผมไปดูดอกไม้ไฟที่ริมฝั่งแม่น้ำ”
เหอไป่ตามไม่ทัน “คุณต้องการให้ผมจัดงานวันเกิดให้เหรอ?”
“ครับ” ตี๋ชิวเหอหันกับมามองที่เหรียญที่ตอนนี้กลิ้งอยู่บนนิ้วของตัวเอง
“แม่ของผมเสียชีวิตตอนที่ผมอายุสี่ขวบ ตอนนั้นเธอสัญญากับผมว่าจะจัดการเลี้ยงวันเกิดให้ผม...แต่ไม่นานแม่เลี้ยงของผมก็มาแทนที่”
เหอไป่ฟังอีกคนพูดเงียบๆ
“ในเวลานั้นปู่ของผมยังนั่งเก้าอี้ผู้บริหารฮวางฝู เธอก็เลยเก็บอาการแสดงตัวว่าเป็นภรรยาและแม่เลี้ยงที่เข้าอกเข้าใจ
ทุกวันเกิดของผมเธอจัดงานเลี้ยงที่ใหญ่โต แต่รู้ไหมว่าผมไม่เคยที่จะชอบมันเลย”
เหอไป่ใช้นิ้วพันเส้นผมที่แห้งแล้วพร้อมเอนตัวพิงหัวเตียง
“ได้ครับ ผมจะจัดงานวันเกิดที่ริมแม่น้ำให้คุณ คุณก็ชวนเพื่อนๆของคุณมาจุดพลุที่ริมแม่น้ำได้”
เหอไป่คำนวนว่าเขาเคยอ่านเจอที่ไหนสักที่ว่าน้องชายของตี๋ชิวเหออายุน้องกว่าอีกคนสี่ปี
นั้นก็แปลว่าแม่เลี้ยงเธอตั้งท้องก่อนที่แม่ของตี๋ชิวเหอจะเสียชีวิต
การที่แม่จากไปตั้งแต่เด็กและยังที่มีเรื่องที่พ่อตัวเองแอบคบชู้และยังพาแม่เลี้ยงและน้องชายต่างสายเลือดเข้ามาในบ้านทันทีหลังจากแม่ตัสเองเสียชีวิต...นี้คงเป็นเบื้องหลังที่โสมมของตระกูลตี๋
ถึงว่าทำไมชายหนุ่มคนนี้ถึงพูดเยาะเย้าถากถางครอบครัวของตัวเองทุกครั้ง
“ลูกหมาน้อย...นายทำให้ผมมีความสุขมาก”
ในนิ้วมือของตี๋ชิวเหอก็มีเหรียญที่กลิ้งไปมา
ไม่นานอีกคนก็กำเหรียญแน่น “นายรู้ไหมว่ายิ่งผมโตขึ้นทุกปีในทางกลับกันคุณปู่ของผมก็แก่ลงไปทุกปี
ในตอนที่ผมอายุ 14 ปี แม่เลี้ยงก็เริ่มใช้วิธีต่างๆคอยผลักดันให้พ่อไปแย่งเก้าอี้ของฮวางฝูจากคุณปู่
ทำให้คุณปู่ของผมโกรธหนักเพราะเขารู้มาตลอด ถ้าพ่อของผมบริหารมันจะเป็นยังไง แล้วไม่นานท่านก็ล้มป่วยจากนั้นไม่กี่เดือนคุณปู่ของผมก็เสียชีวิต
แม่เลี้ยงของผมเธอก็เริ่มเผยธาตุแท้ของตัวเธอเอง เธอค่อยๆกลืนกินฮวางฝูทีละน้อยตั้งแต่ตอนนั้น”
เหอไป่ลูบแขนทำไมอยู่ถึงหนาวไม่รู้หรือว่าเขาเผลอไปเร่งแอร์
“ลูกหมาน้อยดังนั้นผมมีอีกเรื่องจะขออย่ากีดกั้นผมเลย”
เสียงที่เน้นหนักและอ้อนวอนของตี๋ชิวเหอก็แทรกเข้ามาในหูเหอไป่สัมผัสได้ถึงกระแสที่เศร้าเสียใจของอีกคนเป็นอย่างมาก
“ถ้านายไม่ต้องการที่จะคุยกับผมแล้ว นายก็บอกผมตามตรงผมจะได้เตรียมใจล่วงหน้า”
“....” เหอไป่
“การที่ผมมีวัยเด็กที่น่าสมเพชแบบนี้
ผมก็ต้องการที่จะมีน้องชายที่น่ารักให้ผมดูแล นายเป็นคนนั้นได้ไหม”
“...”
“นายวางใจได้
ผมจะคอยดูแลปกป้องนายอยู่ห่างๆ โปรดเชื่อใจผมเถอะนะ”
“...”
“ถึงเวลาที่ผมต้องไปที่สนามบินแล้ว ลาก่อน”
ตู๊ด..ตู๊ด.ตู๊ด.
เหอไป่วางโทรศัพท์ไว้ข้างตัวและยกมือก่ายหน้าผากเขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวด้วยความสับสน
จากที่ฟังตี๋ชิวเหอพูดทั้งหมดเขาก็สรุปได้เพียง
‘เขาต้องเปิดใจให้กว้างเพื่อรับตี๋ชิวเหอเข้ามา เพราะอีกคนมีวัยเด็กที่น่าสงสาร
และถ้าอีกคนทำผิดเขาก็ต้องยอมปิดตาข้างหนึ่งเพื่อให้อภัยอีกคน...’ นี้มีเรื่องบ้าอะไรที่เขาต้องมาค่อยรับมือกับคนที่อารมณ์แปรปวน
เขาไม่เคยเจอใครที่กล้าเอาเรื่องวัยเด็กที่น่าสงสารมาเพื่อเรียกร้องให้อีกคนยอมรับเปิดรับตัวเอง
ตี๋ชิวเหอเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมาก มากจน...น่าขนลุก
ตี๋ชิวเหอคงเป็นจักรพรรดิจอเงินที่เก่งเรื่องเล่นกับความรู้สึกของคนจริงๆ
แล้วทำไมเขาก็ต้องบ้าตามไปเผลอใจอ่อนให้กับตี๋ชิวเหอ เฮ้อ...
เหอไป่หันมามองโทรศัพท์รุ่นเก่าที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียง
ดีนะที่รุ่นนี้มันสามารถรองรับได้สองซิม ไม่งั้นคงน่ารำคาญที่ต้องค่อยพกโทรศัพท์หลายเครื่อง
หลังจัดการใส่ซิมเรียบร้อย เหอไป่ก็ยังจ้องมองโทรศัพท์สองรุ่นที่วางอยู่ข้างกันพร้อมเสียงถอนหายใจยาว
เหมือนกำลังตัดสินใจจะทำยังไงกับมันดี เมื่อปลงตกเขาก็หยิบโทรศัพท์เครื่องเก่ามากดเบอร์โทรหาหมายเลขที่หลี่เหรินให้ก่อนหน้านี้
“ฉันเคยได้ยินเรื่องของคุณมาก่อนจากชิวเหอ
เสียใจด้วยที่คุณต้องลาออกจาก Saint Elephant” เสียงที่พูดนั้นผ่อนคลายและดูใจดี
เหอไป่ไม่เข้าใจเรื่องที่อีกคนพูด เขาก็พูดด้วยคำพูดที่ระวังขึ้น
“ลาออก? เอ่อครับ...ผมติดต่อมาวันนี้เพื่อที่จะขอโทษเรื่องผิดพลาดที่เกิดขึ้น”
เหอไป่ไม่รู้ว่าตี๋ชิวเหอไปพูดอะไรเรื่องของเขาบ้าง ทำให้เขาต้องขอโทษในแบบกว้างๆเท่านั้น
“ช่างเถอะ เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของคุณ
ที่ผิดคือ Saint Elephant ซึ่งเราทั้งคู่ก็เป็นคนที่ได้รับผลกระทบนี้”
น้ำเสียงของเจี๋ยจางยังแฝงด้วยความโกรธจนเหอไป่สัมผัสได้แม้เพียงแค่คุยโทรศัพท์
“แล้วทำไมวันนี้คุณถึงต้องมาขอโทษแทนล่ะ ทั้งเรื่องทั้งหมดมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณเลย”
“ไม่ใช่ครับ..คุณเข้าใจผิด วันนี้ผมไม่มาขอโทษแทน
Saint Elephant” เหอไป่รีบอธิบายอย่างเร่งด่วนพร้อมด้วยเสียงจริงจัง
“ผมจะขอโอกาสชดเชยเรื่องการถ่ายรูปให้งานวันเกิดของลูกสาวคุณ ซึ่งครั้งนี้ผมจะเป็นคนทำมันเองทั้งหมด”
เหอไป่ร้อนรนเมื่อทางเจี๋ยจางเงียบเสียงไป เขากระวนกระวายเขากลัวว่าที่เขาพูดจะไม่ตรงกับตี๋ชิวเหอ
ที่ก่อนหน้านี้คงไปพูดให้ทางตระกูลเจี๋ยรู้ แล้วจะยิ่งทำให้ทางนั้นโกรธมากขึ้นกว่าเดิม
คำพูดทั้งหลายที่เตรียมไว้แทบไม่สามารถเอามันมาใช้ได้
“ฉันขอชื่มชมในตัวคุณที่เป็นคนรับผิดชอบ แต่เรื่องนี้ฉันคงตัดสินใจคนเดียวไม่ได้
ทางฉันต้องไปปรึกษากับคุณพ่อและลูกสาวก่อน ถ้าได้คำตอบยังไงเดียวฉันจะติดต่อไปอีกครั้ง”
“ขอบคุณมากเลยครับ” เหอไป่ถอนหายใจ
การที่ทางนั้นไม่ปฏิเสธในทันทีก็ถือว่าเขายังมีโอกาส
เหอไป่ถือสายรอจนเจี๋ยจางเป็นคนตัดสายไปเอง
“มันยังถือว่าเป็นเรื่องดี” เหอไป่ยิ้มแล้วก็กดเบอร์ติดต่อตี๋ชิวเหอทันที มันเป็นเรื่องเร่งด่วนเขาอยากจะรู้ว่าตี๋ชิวเหอไปพูดเรื่องอะไรกับคุณเจี๋ยไว้บ้าง
แต่ว่า...โทรศัพท์ทั้งสองเบอร์ก็ตายสนิท
บทที่ 40 เอลฟ์
การฝึกมันหนักถึงขนาดรับโทรศัพท์ไม่ได้เลยหรือไง?!!
เหอไป่กัดฟันระงับความโกรธที่จะปะทุ
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงก็มีสายเรียกเข้าจากเจี๋ยจาง
แต่เสียงที่พูดออกมากับกลายเป็นเสียงของชายชราแทน
“เหอไป่”
เหอไป่ตกใจกับเสียงที่ลอดเข้ามา
เขารีบขานรับทันที “ใช่ครับ สวัสดีครับ”
“อืม..” เสียงที่เหอไป่ได้ยินเป็นโทนเสียงที่แหบอย่างคนมีอายุแต่เต็มไปด้วยความเป็นกันเอง
“ฉันได้ยินมาว่านายเป็นเพื่อนกับชิวเหอ
แล้วการเรียนของนายเป็นยังไงบ้าง?”
เหอไป่ยังไม่เข้าใจกับคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจก่อนหน้าที่คุยค้างไว้
“ผมเป็นรุ่นน้องที่มหาลัยเดียวกันกับคุณตี๋
ส่วนเรื่องของผลการเรียนก็อยู่ใรระดับปานกลางซึ่งที่ปรึกษาของผมคืออาจารย์ซูอิ๋นหลง”
เหอไป่ตอบอย่างรวบรัดให้มากที่สุดแก่ชายชรา
“อืม...” เสียงแหบอีกฝั่งก็ขานรับแล้วเสียงก็เงียบไป
“ฉันได้ยินมาว่านายลาออกจาก Saint Elephant”
“ใช่ครับ
ผมลาออกจากที่นั้นเนื่องจากผมไม่สามารถตอบรับในระบบงานของทางสตูดิโอได้” เหอไป่สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างไม่รู้ตัว
“อืม...” ระหว่างที่ชายชราพูดก็มีเสียงดังเบาๆ
เหมือนอีกคนกำลังทำอะไรอยู่ระหว่างนั้น “งานวันเกิดของหลานสาวฉันจะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้เวลาสองทุ่ม
ซึ่งคาดว่ามีแขกเข้ามาร่วมงานตั้งแต่หกโมงเย็น ฉันต้องการให้รูปของหลานสาวฉันพร้อมก่อนเวลาหนึ่งทุ่ม
ถ้านายมั่นใจก็สามารถรับงานนี้ไป ฉันจะส่งที่อยู่ให้”
ไม่ทันที่เหอไป่จะพูดอะไรปลายสายก็ตัดสายโทรศัพท์ทันที
จากนั้นไม่นานก็มีเสียงเตือนจากกล่องข้อความในโทรศัพท์ว่ามีข้อความใหม่เข้ามา
เหอไป่ที่ยังนั่งแข็งทื่ออยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะคอม
ก็สะดุ้งตัวขึ้นทันที เขารีบเปิดโน๊คบุ๊คเพื่อหาว่าสถานที่จัดงานอยู่ที่ไหนเพื่อพบสถานที่เขาก็ตกใจเมื่อมันเป็นวิลล่าหรูที่อยู่ชานเมือง
ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเป็นธรรมชาติที่เต็มไปด้วยความสดชื่นและเป็นส่วนตัว เหอไป่นึกไอเดียบางอย่างออก
เขารีบกวาดของใส่กระเป๋าเป้และตรงไปที่ยีคังก่อนเป็นอันดับแรก
“อะไรนะ! นายต้องการที่จะยืมชุดคอลเลคชั่นเอลฟ์ที่ยังไม่เปิดตัวของทางเรา
เพื่อเอาไปถ่ายรูป?” หลินเซี่ยขมวดคิ้วเธอไม่เคยได้รับคำขอแบบนี้มาก่อน
เหอไป่ก็เหมือนรู้สึกตัวว่าเขารวบรัดมากเกินไป
เมื่อเห็นสีหน้าของหลินเซี่ย เหอไป่จึงอธิบายเพิ่มทันที
“มันเป็นไอเดียใหม่ของผม ผมคิดน้อยเกินไปเรื่องคอลเลคชั่นชุดเอลฟ์ ซึ่งตอนนี้มันยังไม่มีการเปิดตัว”
เขาคิดว่ามันเป็นไอเดียที่ดีที่เขาจะถ่ายภาพให้กับงานวันเกิดพร้อมกับการถ่ายเสื้อผ้าเพื่อโปรโมทคอลเลคชั่นใหม่ไปในตัว
ทำไมเขาถึงคิดง่ายๆ ตัวเองช่างโง่งมมาก
การเปิดตัวของแต่ละแบรนด์ก็มีการจัดเตรียมไว้ก่อนหน้า
แต่การที่เขาเป็นเพียงพนักงานใหม่มาเอยขอแบบกระทันหันอย่างนี้มันเป็นเรื่องที่ดูไม่เหมือนมืออาชีพทำ
“ขอโทษอีกครั้งครับ” เหอไป่พูดอย่างจริงใจ
หลินเซี่ยเมื่อได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความสำนึกผิดของเด็กหนุ่มอารมณ์ของเธอก็อ่อนลงจากเดิมและรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้กลั่นแกล้งเด็กหนุ่มตรงหน้าเล็กน้อย
“นายยังอายุน้อยมันเป็นเรื่องดีที่มีไอเดียที่แปลกใหม่ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ทางแบรนด์ของเราต้องการ
บอกฉันหน่อยว่าทำไมนายถึงต้องการชุดเอลฟ์”
คำพูดของหลินเซี่ยทำให้เหอไป่ไม่เข้าใจที่ไม่ได้รับคำต่อว่ากับมา
แต่ก็อธิบายถึงไอเดียด้วยน้ำเสียงที่เกรงใจ
“นายจะให้ใครสวมชุดเอลฟ์นะ?” หลินเซี่ยขัดขึ้นเมื่อได้ยินชื่อระหว่างที่เหอไป่อธิบาย
เหอไป่หยุดพูดและตอบอีกคนว่า “หลานสาวของคุณเจี๋ยเซิง...เจี๋ยเป่ยเหลย”
หลินเซี่ยพูดอย่างตื่นเต้น
"เจี๋ยเซิงผู้กำกับมือทองที่ได้รับรางวัลจากนานาชาติมากมาย”
เหอไป่ถอยหลังเมื่อเห็นประกายแรงกล้าจากสายตาของหลินเซี่ย
“ใช่ครับผมจะขอยืมชุดเพื่อไปถ่ายรูปงานวันเกิดของหลานสาวเขา...”
“มีคนร่วมงานกี่คนแล้วมีใครบ้างที่จะเห็น”
หลินเซี่ยพูดเสียงดังและเคร่งเครียดมากขึ้น
เมื่อเห็นว่าอีกคนให้ความสนใจ เหอไป่ก็เหมือนว่าตัวเองเขาจะมีความหวังขึ้น
“มันเป็นงานวันเกิดครบสิบแปดปีของเจี๋ยเป่ยเหลย งานมันจึงค่อนข้างใหญ่และเหล่าผู้คนที่เคยร่วมงานกับคุณเจี๋ยก็จะมาร่วมงานนี้ด้วย
รูปภาพที่ผมถ่ายจะได้รับโชว์ในงานเลี้ยงช่วงเย็น นั้นก็แปลว่าเหล่าแขกที่มาร่วมงานก็จะได้เห็นภาพนั้นครับ”
แขกทุกคนที่ร่วมงาน...หมายความว่าเหล่าคนในวงการบันเทิงและพวกนักธุรกิจกว่าครึ่งจะเห็นคอลเลคชั่นเอลฟ์!
แม้ว่าก่อนหน้าทางยีคังจะเปิดตัวคอลเลคชั่นเจ้าหญิงไปบางส่วนผ่านเวยป๋อ
แต่มันโอกาสทองที่ทางยีคังจะประชาสัมพันธ์เสื้อผ้า!
นอกจากนั้นมันสามารถต่อยอดถึงชุดเจ้าหญิงแล้วชุดนางเงือก!!
“รออะไรล่ะ...เราไปเตรียมตัวกันเถอะ!!”
หลินเซี่ยตบโต๊ะเสียงดังอีกมือก็หยิบโทรศัพท์ภายในต่อสายออกไป
“เดียวฉันจะให้ฝ่ายคอสตูมนำเสื้อผ้ามาให้นายเพื่อเอาไปการถ่ายภาพ ถ้านายบอกว่ามันเป็นงานวันเกิดของหลานสาวเจี๋ยเซิง
ฉันก็เตรียมตัวเสร็จตั้งนานแล้ว นั่งอะไรอยู่ตรงนี้ไปเตรียมตัวของนายเอง งานนี้นายต้องแสดงฝีมือให้เต็มที่!!”
เหอไป่ยังตามหลินเซี่ยไม่ทันแต่ก็ขยับตัวอย่างตื่นเต้น
เขาไม่คิดว่าอีกคนจะอนุญาติอย่างง่ายดาย นี้ถือเป็นโชคใหญ่!!
เมื่อไปถึงวิลล่าที่ชานเมืองทั้งเจี๋ยเป่ยเหลยและพ่อของเธอที่มารอรับก็ต้องตกใจถึงเหล่าทีมงานมืออาชีพตรงหน้า
มันเป็นเรื่องที่น่าดีใจในฐานะพ่อที่คนเหล่านี้ให้ความสำคัญในงานวันเกิดของลูกสาวเขา
“เห็นแบบนี้ฉันก็วางใจที่จะให้คุณเป็นคนถ่ายรูปในงานวันเกิดของเสี่ยวเหลย”
เจี๋ยจางยื่นมือออกมาจับมือกับเหอไป่พร้อมส่งรอยยิ้มจริงให้กีบเด็กหนุ่มตรงหน้า
จากนั้นก็หันไปทักทายหลินเซี่ยและเหล่าทีมงานที่ต่างยืนรอด้านหลัง
เหอไป่เอ่ยแนะนำเหล่าทีมงานที่ติดตามมา
“คุณเจี๋ยครับ นี้คือหัวหน้าสไตล์ลิสของแบรนด์เสื้อผ้ายีคัง ตอนนี้เธอเป็นหัวหน้าของผม
ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากเธอผมก็ไม่กล้ารับงานนี้เพียงลำพัง”
นี้ถือเป็นการให้เครดิตแก่หลินเซี่ยครั้งใหญ่
ซึ่งเหอไป่ทำแบบนี้หลินเซี่ยก็ชื่นชมในความคิดและการวางตัวของเหอไป่มากขึ้น
หลินเซี่ยโค้งตัวทักทาย “เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากที่ทางแบรนด์ของเราจะได้คุณเจี๋ยเป่ยเหลยมาเป็นนางแบบให้กับเราในวันนี้”
เมื่อได้ยินเจี๋ยจางก็เข้าใจความหมายที่เหล่าทีมงานมากันเยอะแต่ก็ไม่ซีเรียสเลย
เนื่องจากแบรนด์ยีคังก็ถือเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายทั้งในตลาดชั้นสูงและชั้นกลาง
การที่เหอไป่ทำงานอย่างจริงจังและยังมีไอเดียจัดงานให้กับลูกสาวเขาไม่มีปัญหาถ้าจะให้ลูกสาวตัวน้อยของเขาสวมเสื้อผ้าหลายชุดเพื่อเป็นแบบ
“ฉันขอบคุณทั้งคุณเหอและคุณหลินมาก”
เจี๋ยจางพูดอย่างประทับใจและเรียกหญิงสาวที่ยังยืนรออยู่ด้านหลังเข้ามา“เสี่ยวเหลยมาทักทายคุณหลินและทีมงานคนอื่นๆเร็วเข้า”
เจี๋ยเป่ยเหลยมาพร้อมรอยยิ้มที่น่ารัก
เธอทักทายหลินเซี่ยด้วยยความสุภาพและมีรอยยิ้มที่เป็นกันเองให้ทางเหอไป่
บรรยากาศรอบด้านเงียบกริบ เจี๋ยจางต้องรีบกระแอมให้ลูกสาวรู้สึกตัวและดึงมือเธอให้ออกห่างจากเด็กหนุ่มอย่างช้าๆ
“นี่ลูกจะเป็นแบบนี้การชายหนุ่มคนอื่นไม่ได้”
‘เธอดูจะเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีมาก..ดีมากเกินไป’
หลินเซี่ยบ่นสาวน้อยตรงหน้าในใจ
เหอไป่ตอนแรกจะให้เด็กสาวตรงหน้าเรียกเขาว่าพี่ชาย
แต่เมื่อสังเกตุเห็นสีหน้าของคนเป็นพ่อแล้ว... เขาจึงเปลี่ยนความคิดให้เรียกตัวเขาเองว่าเสี่ยวเหอแทน
เจี๋ยจางได้ยินก็พยักหน้าอย่างพอใจและเชิญคนทั้งหมดเข้ามาในรีสอร์ท
ระหว่างโถงทางเดินประดับประดาด้วยลูกโป่งหลากสีมีการเสริมด้วยริบบิ้นทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความสดใสและน่ารัก
ซึ่งนี้ยังไม่ถึงวันที่จะจัดงาน แต่เห็นได้ชัดว่าทางตระกูลเจี๋ยมีการเหมารีสอร์ทนี้ทั้งหมด
“เหมารีสอร์ททั้งหมด! เพื่อต้อนรับพวกแขกที่มางาน?
มันเป็นงานเลี้ยงที่จัดใหญ่มาก จบงานนี้นายเตรียมรอรับโบนัสได้เลย”
หลินเซี่ยพูดด้วยเสียงกระซิบตื่นเต้นให้เหอไป่
ทำให้การสนทนาระหว่างผู้อาวุโสเจี๋ยกับเหอไป่
เหมือนกับการสอบถามข้อมูลลูกเขย (ลูกสะใภ้ดีกว่าเนอะ) ^
- ^
วันนี้เป็นวันหยุดก็เลยคิดว่าจะกับไปแก้คำที่ผิดก่อนหน้าดี
หรือว่าจะแปลบทใหม่เลย ก็ตัดสินใจกับไปแก้บทเก่าๆดีกว่า เนื่องจากกับไปอ่านเองก็ยังขัดใจ
บทที่ 41 ก็แค่ถ่ายรูป
เหอไป่ประหลาดใจเมื่อได้ยินความคิดของอีกคนและกระซิบตอบกลับเสียงเบาเช่นกัน
“ผมก็ไม่คิดว่าจะเป็นงานที่ใหญ่แบบนี้...เรามาพยายามกันเถอะครับ”
นี้เป็นโอกาสที่ทางตี๋ชิวเหอมอบให้ถึงมันจะมากเกินไป..
หลินเซี่ยพยักหน้า “เรามาพยายามให้เต็มที่กันเถอะ!”
หลังพูดจบรถกอล์ฟก็มาจอดที่หน้าอาคารหลักของรีสอร์ท
เจี๋ยจางก็ปล่อยเขาไว้กับเจี๋ยเป่ยเหลยแล้วลูกน้องสาวสองคนไว้ด้วย เหอไป่ก็ขยับตัวเพื่อเตรียมงานทันที
ซึ่งเวลาตอนนี้มันไม่รอช้า
เหอไป่หามุมที่เหมาะกับการถ่ายภาพเช็ตเอลฟ์
และรีบบอกให้เจี๋ยเป่ยเหลยไปแต่งตัวรอ ก่อนไปเขาก็เอ่ยถามอีกคน
“คุณหนูเจี๋ยครับ ถ้าจะถ่ายที่มุมนี้คุณโอเคไหมครับ
ที่ตรงนี้เต็มไปด้วยผลไม้แล้วมันก็กำลังสุกพอดี ดังนั้นคุณหนูสามารถถือตะกร้าเดินไปรอบๆ
ทำเหมือนเก็บเหล่าผลไม้และดอกไม้ไป เดียวจะมีพวกช่างไฟปรับแสงให้ลงตัว ดังนั้นคุณหนูเพียงทำตัวให้ผ่อนคลายก็พอนะครับ”
เจี๋ยเป่ยเหลยเป็นสาววัยรุ่นที่ส่วนสูงซึ่งตรงกับคอนเซ็ปทูตของเหล่าเอลฟ์
เจี๋ยเป่ยเหลยก็รับฟังอย่างระวังด้วยสีหน้าตื่นเต้นเมื่อได้ฟังเหอไป่
“ชุดเหล่านี้ฉันจะเป็นคนแรกที่ได้สวมมันเหรอค่ะ?”
ซึ่งเธอยังเป็นสาววัยรุ่นที่ชมชอบเสื้อผ้าที่สวยงามทำให้เธออดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นเมื่อเห็นชุดเหล่านี้
“ใช่ครับ” เหอไป่ยิ้มจนเห็นลักยิ้มให้เธอ
ทำให้เหอไปดูเด็กลงและก็อดไม่ได้ที่จะเอ็นดู “คุณหนูเจี๋ยตัวสูงมากเลยครับมันพอเหมาะกับชุดที่ทางเราเตรียมมาพอดี”
เจี๋ยเป่ยเหลยยิ้มอย่างสดใสมากขึ้น
“อย่าเรียกฉันว่าคุณหนูเลยเรียกฉันว่าเป่ยเหลยหรือไม่ก็เหลยเหลย นายถ่ายรูปให้เสี่ยวฟูได้สวยมาก
ถ้าคุณถ่ายให้ฉันได้แบบนั้น ฉันจะดีใจเป็นอย่างมาก”
เหอไป่เอียงคออย่างแปลกใจ “คุณหนู...เป่ยเหลยรู้จักกับนางสาวหยางด้วยเหรอครับ”
เจี๋ยเป่ยเหลยลูบคางเมื่อได้ยินคำถามและหัวเราะเบาๆเมื่อได้เหอไป่เรียก
‘นางสาวหยาง’ และตอบกับอีกคน “แน่นอนว่าเธอจะกลายมาเป็นน้องสะใภ้ฉันในอนาคต ก็เธอหมั้นกับพี่ชายของฉันอยู่นี้”
เหอไป่ผงกหัวรับรู้ “ผมแสดงความยินดีให้กับคนทั้งสอง”
ทันใดเจี๋ยเป่ยเหลยก็หัวเราะเสียงดัง
“...” เหอไป่สงสัยว่าเมื่อกี้เขาพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
“นายเป็นเหมือนที่เสี่ยวฟูพูดเลย นายทั้งสุภาพและแก่เกินวัย”
เจี๋ยเป่ยเหลยก็หยุดหัวเราะตอนนี้ใบหน้าของเธอแดงก่ำ “นายเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีอย่างที่คุณพ่อพูดจริงๆ...แต่ที่หัวเราะก็คือนายพูดเหมือนคนแก่เลย
แต่นายก็ดีกว่าคนที่มาจากสตูดิโอก่อนหน้ามากเลย”
เหอไป่ไม่รู้จะออกความเห็นยังไงเขาจึงได้เพียงแต่ยิ้ม
การที่เขาย้อนกลับมาจะให้เขาเปลี่ยนความคิดและการกระทำเหมือนวัยรุ่นคนอื่น มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขา
แต่เมื่อเจอตี๋ชิวเหอเป็นที่มีอารมณ์อย่างเด็กๆก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหลุดรำคาญ
การถ่ายภาพก็เริ่มขึ้นมันเต็มไปด้วยความสนุกสนานและเป็นกันระหว่างทีมงาน
อย่างที่เหอไป่บอกก่อนหน้า เขาไม่ต้องการบอกให้เจี๋ยเป่ยเหลยจัดทางท่าตามที่ต้องการ
เพราะเกรงว่าเธอจะเกรงแล้วดูไม่ได้ตามที่ต้อการ เหอไป่เดินอุ้มกระต่ายตัวน้อยสีขาวมาวางไว้ในตระหร้าให้เธอที่ตอนนี้แต่งตัวเรียบร้อย
ใบหน้าก็แต่งแต้มสวยงาม
เจี๋ยเป่ยเหลยยกกระโปงของเธอพร้อมมองกระต่ายที่ตอนนี้นั่งนิ่งอยู่มนตระกร้าด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ไป่ไป่ นายรู้ได้ยังไงว่าฉันชอบกระต่าย! นี่นายมอบของขวัญที่ดีที่สุดในวันเกิดปีนี้ให้ฉันเลย”
เหอไป่นิ่งเงียบและเหล่าช่างแต่งหน้าก็หยุดมือและยิ้มให้เด็กหนุ่มอย่างล้อเลียน
“อ่า..ผมดีใจที่คุณชอบ มาเถอะครับตอนนี้แสงกำลังดีเลย”
เจี๋ยเป่ยเหลยพยักหน้าอย่างมีความสุขและเดินไปตามสวนพฤกษพร้อมกระต่ายน้อยในตระกร้า
เหล่าช่างไฟก็เดินเธอไปอย่างเร่งรีบ แต่ก็เว้นที่ว่างพอให้เหอไป่เดินเข้าไปถ่ายรูปได้
หลินเซี่ยก้าวเดินข้างเหอไป่ที่กำลังปรับเลนส์กล้องพูดขึ้นเบาๆ
“เรื่องกระต่ายนายเข้าใจคิดดีนะ นายเป็นคนที่เข้าใจเรื่องความรู้สึกสาวๆเป็นอย่างดี”
“...” เหอไป่เงียบแตาก็ไม่อธิบายเพิ่ม ก็ตอนนั้นเขาเพียงเห็นคุณยายที่กำลังนำเหล่ากระต่ายมาขายให้กับนักท่องเที่ยวเขาเพียงแค่สงสารเลยซื้อมันมาก็เท่า
ตอนแรกเขาว่าจะนำมันไปให้ชมรมอนุรักษ์สัตว์ที่มหาลัยดูแลต่อก็เท่านั้น แต่มันเป็นโชคที่เข้าข้างตัวของเขาที่หญิงสาวดันชอบกระต่ายขึ้นมา
แสงแดดที่ลอดผ่านแมกไม้ในสวนกระทบร่างของทูตสาวตรงหน้าที่ตอนนี้เธอสวมกระโปรงเดรสสั้นสีขาวมีผ้าซีฟองเป็นชั้นๆที่กำลังเดินเล่นอย่างสนุกภายในสวน
บางครั้งก็หยุดยืนเมื่อต้องการเลือกผลไม้ที่กำลังสุกอยู่บนต้น บางก็ก้มลงเด็ดดอกไม้น้อยที่อยู่ข้างทางและบางอารมณ์เมื่อสัมผัสถึงความซุกซนของกระต่ายในตระกร้าเธอก็จะหยอกล้อมาด้วยสีหน้าสดใส
เสียงกดซัตเตอร์เบาๆผสานกับเสียงผีเสื้อกระพืบหน้าและเสียงนกร้อง มันเหมือนหลุดไปอีกโลกของเทพนิยาย
ตอนนี้แสงอาทิตย์ก็ใกล้หมดซึ่งก็ทันกับการถ่ายภาพเซตสุดท้ายพอดี
แต่เหมือนว่าเจี๋ยเป่ยเหลยอยังเล่นสนุกไม่หยุดทั้งที่เหล่าทีมงานเหมือนโทรศัพท์ที่เหลือแบตสีแดงกระพริบเตือน
“ขอบคุณสำหรับวันนี้มากเลย ทุกคนทำงานหนักกันมาก”
เจี๋ยเป่ยเหลยที่ในอ้อมแขนยังมีเจ้ากระน้อยขนปุ่ยสีขาวที่กำลังหลับอยู่
ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดให้กับเหล่าทีมงาน “ขอโทษนะคะ ที่วันนี้ฉันเล่นสนุกมากเกินไป
ทำให้ทุกคนต้องเหนื่อยแบบนี้”
“ไม่เลยคะ/ครับ” เหล่าทีมงานยีคังรีบพูดปฏิเสธทันที
และไม่นานผู้จัดการของทางรีสอร์ทก็มารับเพื่อที่จะทีมงานไปที่ห้องพักที่เตรียมเพื่ออาบน้ำพักผ่อน
เหลือเพียงเหอไป่ที่ยืนอยู่ข้างเจี๋ยเป่ยเหลย และอธิบายถึงบางส่วนของภาพที่เขาต้องทำการรีทัสว่าเธอโอเคไหมฝ
“ไป่นายเป็นคนที่มีความรับผิดชอบดีจัง ตอนนี้ฉันเหมือนจะตกหลุมรักนายแล้วล่ะ”
เจี๋ยเป่ยเหลยพูดขึ้นในขณะที่ผู้ช่วยทั้งสองที่คุณพ่อเตรียมไว้ให้กำลังจัดการลบพวกเครื่องสำอางและของที่ประดับบนผมของเธอ
สายตาที่จ้องมองเหอไป่เต็มไปด้วยความชื่นชม “นายน่ารักมาก เมื่อฉันเข้ามหาลัย
Q ฉันจะเจอนายได้ไหม”
“...คุณจะต้องเจอผมแน่นอน” เหอไป่ก้าวถอยหลังเพื่อรักษาระยะของทั้งสอง
เขาจะต้องไม่เป็นคนที่ถูกกล่าวว่าว่าล่อลวงเด็กหญิงตรงหน้า
“คุณเหนื่อยมามากแล้วไปพักก่อนไหม”
เจี๋ยเป่ยเหลยพูดอย่างเห็นใจ
เหอไป่รีบทำตามคำแนะนำของเธอและเตรียมตัวที่จะขอตัวออกไปก่อน
แต่ก่อนไปเขายังถามว่าเธอมีแผนอะไรในคืนนี้หรือเปล่า
“ฉันมีปาร์ตี้เล็กๆกับพวกเพื่อนสาวของฉันในคืนนี้
มันเป็นเพียงปาร์ตี้ส่วนตัว ฉันอยากจะชวนนายเข้าร่วมปาร์ตี้ด้วยมันเต็มไปด้วยสาวๆนายสนใจไหม”
เจี๋ยเป่ยเหลยวางมือเท้าคางและถอนหายใจอย่างเศร้าๆ “ฉันคิดว่าถ้าพวกเธอเจอนายจะต้องชอบนายมากๆแน่ ฉันไม่อยากให้นายร่วมงานเลยเพราะรู้แน่ว่านายต้องแย่งความสนใจ
อิอิ...ฉันล้อเล่นนะ”
“เอ่อ...จริงๆแล้วผมต้องการเข้าร่วมปาร์ตี้”
เจี๋ยเป่ยเหลยจ้องมองเหอไป่ด้วยความตกใจ “อะไรนะ...นี้นายหวังจะเจอกับเหล่าสาวๆของฉันเหรอ!”
นี้เธอคิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง!!!
“ไม่..!!” เหอไปโพล่งขึ้นเสียงดังและรีบอธิบายพัลวัน
“วันนี้วันเกิดครบ 18ปีของคุณมันเป็นเป็นวันที่สำคัญมาก
ดังนั้นผมต้องการเก็บภาพเหล่าให้กับคุณทั้งช่วงเวลาที่คุณอยู่กับครอบครัวและพวกเพื่อน
ถ้ามันยุ่งยากผมสามารถปลอมตัวเป็นพนักงานเสิร์ฟได้นะครับ เพื่อให้คุณสบายใจ”
เจี๋ยเป่ยเหลยกระพริบตาตื่นเต้น “เป็นความคิดที่ดีมาก ทำไมฉันไม่คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน!!”
“ผมคิดว่าเป็นคำข้อที่มากเกินไป”
“ไม่เลย...ฉันชอบไอเดียนี้มาก!!”
เมื่อตกลงกันเรียบร้อย หลังอาหารเย็นที่เหอไป่และเหล่าทีมงานกินเสร็จเป็นเวลาส่วนตัว
เขาหยิบโทรศัพท์ก่อนที่จะกดเข้สไปคุยกับเพื่อนทางโซเซี่ยลของเขาผ่านโปรแกรมวีแชท
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: เสี่ยวไป่
ตอนนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่ ^ - ^
White and Whiter: ตอนนี้ผมกำลังถ่ายรูปกำลังเหล่าสาวๆ
ขวดน้ำที่ตี๋ชิวเหอถือก็ไหลลงบนพื้น
อารมณ์ของเขาตอนนี้ตีรวนกันไปหมดทั้งโกรธและหวง
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: อะไรนะ?
คุณกำลังถ่ายรูปอะไรนะ
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: หยุดเดียวนี้!!
ไม่นะ!!!
บทที่ 42 หยุดเดียวนี้นะ!!
เหอไป่ไม่ได้พิมพ์ตอบกับหลังจากที่พิมพ์บอกว่า
‘กำลังถ่ายภาพสาว’
“ลูกหมาน้อย!!” เมื่อมองไปไปที่ข้อความแชทตี๋ชิวเหอกำโทรศัพท์แน่น
ในเวลานั้นเขานึกถึงภาพเจ้าลูกหมากำลังนอนกลิ้งบนพื้นหญ้าเพื่อแอบถ่ายรูปสาวสวยอย่างเงียบๆ
เหมือนที่อีกคนเคยทำกับเขา
“ผมบอกให้นายทำตัวเป็นเด็กดี ทำไมไม่เคยเชื่อผมเลย
ห๊า...” เขาเดินไปมาความโกธรเต็มหัว พร้อมกับเตะขวดน้ำกระเด็นไปไกลด้วยความรุนแรง
ความอ่อนโยนบนใบหน้าหายจนตอนนี้มองแทบไม่เห็น
หลังจากเดินไปมาสักพักก็ยังไม่ดีขึ้น ตอนนี้เขายังเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ตีพันกันระหว่างความโกรธและความหวง
นิ้วมือพิมพ์ความข้อใหม่พร้อมกดส่งอย่างรวดเร็ว
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง: เก็บกล้องของคุณเดียวนี้
แล้วก็ลบรูปถ่ายในนั้นให้หมดและก็กับไปนอนซัก คุณห้ามแอบถ่ายภาพสาวๆ!
มันเป็นเรื่องที่แย่มากที่จะแอบถ่ายรูปผู้หญิง!! มันเป็นเรื่องที่ผิดอย่างแรง!!!
คุณกำลังคิดอะไรอยู่ในสมอง...
ตอนนี้ตี๋ชิวเหออยู่ในห้องล็อกเกอร์ในอาคารฝึกที่ชายแดน
เขาพึ่งจะจบจากการฝึกที่หนักหน่วงทำให้ทั้งตัวเต็มไปด้วยเหงื่อที่อาบชุ่มเต็มเสื้อกล้ามสีดำ
ใบหน้าแดงก่ำเต็มไปด้วยความโกรธบวกกับเหงื่อยที่ไหลจากผม มันให้ตี๋ชิวเหอดูเชิญชวนแต่แฝงไปด้วยอันตราย
เมื่อหวังป๋ออี้เดินเข้ามาเห็นตี๋ชิวเหอเขาก็เดินตรงไปเก็บขวดน้ำบนพื้น
พร้อมยืนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเหมือนทำใจ จึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาพร้อมเสียงพูดแทบกระซิบ
“นายน้อยครับ ถ้าจะฝึกท่าต่อสู้ที่ได้มาวันนี้ ทำไมถึงไม่ออกไปฝึกข้างนอกเพราะเดียวอีกสักพักทางอาคารก็จะระงับการจ่ายน้ำปะปา
หรือจะไปฝึกที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างๆก็ได้นะครับ”
ตี๋ชิวเหอตวัดสายตาแหลมคมจ้องมองอีกคนแต่ก็ไม่พูดอะไร
หวังป๋ออี๋ก้มหัวลงเพื่อหลบเลี่ยงสายตาของนายน้อย
ทำให้เห็นรูปร่างที่ยืนอยู่ตรงข้ามที่มีกล้ามเนื้อทะลุผ่านเสื้อกล้ามออกมา
“พรุ่งเป็นวันเกิดของหลานสาวคุณเจี๋ย
ซึ่งทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว ทุกคนต้องการยืนยันว่านายน้อยจะไม่ไปเข้าร่วม”
ในตอนแรกที่เขาเจอกับนายน้อย เขารู้สึกสงสารชายหนุ่มที่ไม่เคยได้รับความยุติธรรม
แต่เมื่อพบเจอกลุ่มคนที่ทำงานลับๆให้กับชายหนุ่มเขาพูดได้เพียงคำเดียวว่าเขาหวาดกลัวชายคนนี้มาก
มีทั้งบุคคลที่ทำงานอยู่สายการตลาด เหล่าคนที่อยู่เบื้องหลังวงการบันเทิง
และยังมีทั้งกลุ่มคนที่ค่อยปั่นกระแสทางโซเซี่ยล ซึ่งมันก็เหมือนกับเหรียญสองด้านที่คนในวงการนี้ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน
ซึ่งถ้าอ้างอิงถึงกระแสความนิยมตอนนี้มันถือเป็นการพัฒนาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเจาะเข้าถึงกลุ่ใคนทุกเพศทุกวัย
ก่อนหน้านี้หวังป๋ออี้ไม่เคยสัมผัสเชิงลึกถึงพวกกระแสที่เกิดบนโซเซี่ยล แต่เขาไม่คาดคิดเหมือนกันที่ทั้งกลุ่มแฟนคลับและแอนตี้แฟนจะมีคนขับเคลื่อนโดยคนๆเดียวนั้นก็คือ...ตี๋ชิวเหอ!!
ไม่ว่าคนเหล่านี้จะโพตส์อะไรไปทั้งการดูถูกต่อว่าหรือแม้แต่การชื่นชม
ทั้งหมดถูกทำขึ้นโดยคนกลุ่มเดียวกัน ทำให้คนที่คอยเสพข่างหรือติดตามคาดเดาไม่ถึง ว่าทั้งหมดทำงานให้กับคนเพียงคนเดียวมาตลอด
ซึ่งก็ไม่น่าแปลกเลยที่เรื่องของเขาหรือไม้แต่เลขาอันจะถูกจับอย่างรวดเร็ว เขาพึ่งมาทำงานกับตี๋ชิวเหอไม่กี่เดือนแต่กลุ่มคนเหล่านั้น...
บางคนทำงานให้ชายหนุ่มมาเจ็ดแปดปี ก็หมายได้เพียงอย่างเดียวว่าชายหนุ่มตรงหน้าควบคุมคนเหล่านั้นตั้งแต่อายุเพียงสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น
มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะคาดคิดถึง
เนื่องจากคนเหล่านี้ถูกจัดตั้งขึ้น ชายหนุ่มก็ไม่ได้ก้าวสู่วงการ
“นายกำลังคิดอะไรอยู่?”
โทนเสียงที่ราบเรียบแต่สัมผัสได้ถึงความเยือกเย็น
ทำให้หวังป๋ออี้ตกใจและรีบควบคุมสติของตัวเอง พร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก
“ครับนายน้อย ผมกำลังคิดถึงคนที่ทำงานให้กับนายน้อย”
ตั้งแต่ที่เขารับงานให้ดูแลตี๋ชิวเหอ
อีกคนไม่เคยถือสาถ้าทำงานผิดพลาด แต่จะไม่พอใจทันทีเมื่อมีคนที่โกหก
“คนเหล่านั้นไม่ใช่คนของฉันมาก่อนหน้า”
ตี๋ชิวเหอละสายตาพร้อมจ้องมองโทรศัพท์ในมือจากนั้นก็เดินไปที่ตู้ล็อคเกอร์
“มันเป็นเพียงของขวัญที่คุณปู่มอบให้”
หวังป๋ออี้ระงับอาการตกใจไว้ไม่อยู่ ใครจะคาดคิดว่าของที่เจ้าสัวตี๋มอบให้หลานชายก่อนที่จะวางมือมันจะมากขนาดนี้!
เคยมีข่าวลือว่าเจ้าสัวตี๋รักหลานชายคนโตมาก แต่ไม่พอใจถึงการทำตัวของลูกชายตัวเอง
ถึงขนาดจะให้หลานชายคนโตนั่งเก้าอี้แทนตนเอง
เขายังเคยได้ยินจากปากของผู้บริหารคนเก่าแก่ที่ตอนนี้ถูกปลดออกไปจากบอร์ดบริหารฮวางฝู
ว่าเจ้าสัวตี๋มีกำลังคนที่สำคัญต่อการขับเคลื่อนวงการบันเทิง นี้หมายความว่าคนเหล่านี้ไม่ได้ถูกส่งต่อให้กับลูกชายแต่กลับมาตกอยู่ที่หลานชายคนโตแทน
แต่เขาก็เคยคุยกับผู้บริหารคนนั้นเพียงสองสามครั้งก่อนที่ผู้บริหารเก่าๆจะถูกปลดและแทนที่ด้วยคนใหม่
จนคนในค่ายฮวางฝูไม่รับรู้เลยว่าตี๋ชิงเหอจะเป็นหลานชายของเจ้าสัวตี๋
ในทางกลับกันตี๋เบี่ยนได้รับเก้าอี้ประธานบริษัทฮวางฝู
แต่ตี๋ชิวเหอกับได้ของขวัญที่มากว่านั้นก็คือกำลังคนที่เขาช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง
ถึงเจ้าสัวตี๋จะจากไปคนเหล่านี้ก็ยังซื่อสัตย์กับทายาทที่เจ้าสัวรัก
คนทั่วไปมองตี๋ชิวเหอเหมือนคนที่ใครก็สามารถรังแกได้!
แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำลายคนคนนี้! เขาเหมือนสุนัขจิ้งจอกที่สวมหนังแกะ!
บางทีคนที่ทำงานเบื้องหลังคงไม่เป็นเพียงของขวัญเพียงชิ้นเดียวที่เจ้าสัวตี๋ทิ้งไว้ให้หลานรัก
มันต้องมีทรัพยกรที่มากมายยิ่งกว่านี้ เพราะเทียบกับการบริหารของฮวางฝูในตอนที่เจ้าสัวตี๋ยังดูแลมันทั้งเด็ดขาดและดุดัน
“เจ้าหน้าที่ฝึกสอนบอกว่ากล้ามเนื้อหน้าท้องของผมมันยังไม่ดีพอ
ดังนั้นนายไปพวกทุกคนว่าผมต้องการเว้นการกินของว่างช่วงตอนเย็น และต้องการที่จะฝึกเงียบๆคนเดียว”
จากนั้นก็ถอดเสื้อโยนลงพื้นและก้าวขาเข้าไปในโซนห้องอาบน้ำพร้อมมือที่โบกไล่ให้อีกคนออกไป
“เลขาหวัง คุณปฏิบัติตามที่ผมสั่งได้เป็นอย่างดี แต่จะดีกว่านี้ถ้าคุณจะปิดปากตัวเองให้เงียบ
ฉันเป็นคนที่ไม่ยึดติดกับเรื่องในอดีตก็จริง แต่ในอนาคตคุณต้องทำตามที่ผมสั่งเท่านั้น”
หวังป๋ออี้รู้สึกทันทีว่าเขาไม่ควรอยู่ในนี้ต่อไม่งั้นเขา..
เขาจึงรีบโค้งตัวและก้าวเดินจากไปจนเหมือนจะวิ่ง “ครับนายน้อย”
ก่อนหน้าเขาเคยคิดมีความคิดที่จะพูดเรื่องตี๋ชิวเหอให้คุณตี๋เบี่ยนรับรู้
แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าคิดแม้แต่เสี้ยวความคิด...ไม่กล้าอีกต่อไป
ชายที่สะท้อนในกระจกที่ตอนนี้พร่ามัวด้วยฝ้าจะละอองน้ำฉายภาพชายหนุ่มที่อ่อนเยาว์แต่ใบหน้ากับเต็มไปด้วยความดุร้ายและเย็นชา
ตี๋ชิวเหอใช้มือเข็ดละอองน้ำในกระจกเมื่อมันกับมาชัดอีกครั้งก็สะท้อนให้เห็นชายคนเดียวกับแต่กับมีสีหน้าที่อ่อนโยนและสุภาพปรากฎขึ้นแทน
“ฉันไม่โกรธ...ไม่มีอะไรที่ต้องโกรธ”
ตี๋ชิวเหอเคาะกระจกเบาๆและจ้องมองโทรศัพท์ที่วางไว้อยู่ข้างอ่างล้างหน้า
พร้อมพยายามปั้นรอยยิ้มที่สดใสและเป็นมิตรในกระจก “ไม่มีอะไร...เป็นเพียงน้องชายที่แสนซุกซนเท่านั้น
ต้องค่อยๆใช้เวลาอบรมสั่งสอนเขา”
สวบ...
ตี๋ชิวเหอโยนผ้าขนหนูออกจากคอไปแขวนบนรางเหล็กที่อยู่ข้างๆ
ใบหน้าที่อ่อนโยนไม่สามารถรักษาไว้ได้อีก เขารีบกดเบอร์ของเหอไป่อย่างรวดเร็วเมื่อปลายทางรับก็กรอกเสียงที่ลอดไรฟันเหมือนข่มขู่
“นายบังอาจกล้าไปแอบถ่ายสาวๆได้ยังไง เด็กลามก? เด็กแบบนายต้องถูกตีสั่งสอน! การทำเรื่องเหลวไหลจะต้องหยุดเดียวนี้!!”
“สวัสดีครับ?” เหอไป่พึ่งกดรับโทรศัพท์ท่ามกลางเสียงร้องคาราโอเกะและเสียงหัวเราะของสาวๆแทรกเข้ามาอย่างไม่ทันที่จะได้ยินอีกคนพูด
จึงถามด้วยความสงสัย “ทำไมคุณถึงโทรหาผมเวลานี้
คุณพึ่งฝึกเสร็จเหรอครับ? จริงด้วยเสียงดังมากไหมตแนนี้ผมอยู่ในงานวันเกิดของคุณเป่ยเหลย
จริงด้วยก่อนหน้าคุณเจี๋ยเซิงพูดถึงคุณด้วย คุณไปบอกเรื่องที่ว่าผมลาออกจาก
Saint Elephant เหรอครับ?”
เมื่อได้ยินเหอไป่พูดความโกรธที่มีก่อนหน้าก็ละลายเป็นไอน้ำทันที
เขารีบระดมสมองคิดข้อแก้ตัวแต่เมื่อจ้องมองโทรศัพท์ก่อนพึ่งรู้ตัวว่าเขาโทรวิดีโอคอลหาอีกคน
ในจอสะท้อนภาพของเขาและสีดำมืดจากอีกฝั่งเขาเขินอายทันที
“เฮ้..คุณยังอยู่ไหม เดียวก่อนนะทำไมผมเห็นเหมือนว่าอยู่ในห้องน้ำ”
ตี๋ชิวเหอรีบกดเปลี่ยนเป็นการโทรศัพท์ปกติทันที
มันเป็นฉากที่น่าอายที่จะให้อีกคนเห็นเขาในห้องอาบน้ำ เมื่อจัดการเสร็จตี๋ชิวเหอก็เอาตัวพิงอ้างล้างหน้าและพูดด้วยเสียงติดขัด
“ผมพึ่งอาบน้ำเสร็จ นายว่าตอนนี้กำลังถ่ายภาพให้กับเจี๋ยเป่ยเหลยอยู่เหรอ?”
บทที่ 43 โฮ่ง..โฮ่ง
“ใช่ครับ ตอนนี้ผมยังอยู่ในงานปาร์ตี้ของเป่ยเหลย
ทั้งเธอและเพื่อนสนุกกันมาก ตอนนี้กำลังเข้าสู่ช่วงเป่าเค้กกันพอดี” บรรยากาศในงานที่สนุกสนานทำให้เหอไป่อารมณ์ดีและพูดเก่งมากกว่าเดิม
“ผมคิดไอเดียงานวันเกิดคุณออกแล้วด้วย! คุณสามารถที่จะร่วมสนุกกับเพื่อนๆของคุณแล้วผมจะเป็นคนถ่ายภาพดีไหมครับ”
มันเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม ดีกว่าการที่จะฉลองวันเกิดเพียงสองคน
‘ลูกหมาน้อยยังคิดถึงเรื่องของเขา’
ในที่สุดตี๋ชิวเหอก็ผ่อนคลายตัวเองลงได้ แต่ก็ยังโมโหที่อีกคนยังทำงานไม่หยุด‘เมื่อไรไอปาร์ตี้ไร้สาระจะจบลง’
“ถ้าเป็นนาย นายสามารถถ่ายรูปผมได้เยอะตามที่นายต้องการได้เลย”
ตี๋ชิวเหอจ้องมองใบตัวเองที่ดูไม่มีอะไรน่าสนใจ พร้อมจ้องมองซิกแพคหกก้อนที่หน้าท้องตัวเองผ่านเงาที่สะท้อนในกระจก
มันทำไมเขารู้สึกเขินตัวเองขึ้นมา เขารีบเหลือบมองไปรอบๆพร้อมพูดเพื่อถามอีกคน “วันนี้โอเคไหม มีอะไรติดขัดหรือเปล่า”
“มันราบรื่นมากเลย” เสียงที่พูดอย่างไม่มีการติดขัดแทรกด้วยเสียงกดชัตเตอร์เบาลอดเข้ามา
“แต่ผมคิดว่าคงต้องอยู่โต้รุ่งเพื่อให้รูปที่ผมถ่ายพร้อมในงานก่อนเวลาหนึ่งทุ่ม
นี่คุณไปพูดอะไรกับคุณเจี๋ยบ้างผมเกือบจะไหลตามเรื่องไม่ทัน”
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้ามีอะไรผิดพลาดผมสามารถแก้ไขเรื่องราวนี้ได้”
ตี๋ชิงเหอนึกภาพลูกหมาน้อยกำลังแนบโทรศัพท์กับใบหูพร้อมอีกมือถือกล้องเดินถ่ายไปทั่วงาน
เหอไป่ที่ได้ยินเสียงของตี๋ชิวเหอข้างหูก็เหมือนจะคันๆหูยังไงไม่รู้
เหอไป่รีบเปลี่ยนข้างโทรศัพท์ไปไว้อีกฝั่งเพื่อฟังอีกคน
ตี๋ชิวเหอก็พูดต่อเมื่อเหอไป่เปลี่ยนข้างเสร็จ
“ฉันทำเพียงแค่ให้แน่ใจว่า Saint Elephant จะไม่ใช้ประโยชน์จากเรื่องของคุณอีก”
เหอไป่รู้สึกไม่ถนัดเขาก็รีบพูดแทรกขึ้น “รอก่อน...เดียวผมขอเสียบหูฟังก่อน”
ตี๋ชิวเหอก็หยิบเสื้อผ้าที่อยู่ข้างตัวมาสวมและเดินออกจากห้องอาบน้ำ
“ฉันไม่รีบ..ผมรอได้”
หลังจากเหอไป่จัดการเสียบหูฟังเรียบร้อยก็พูดขึ้นทันที
“คุณพูดต่อได้เลย”
“จริงๆแล้วนะ ตระกูลเจี๋ย...”
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัยก็มีเสียงหัวเราะของสาวๆแทรกเข้ามาเป็นระยะ
เหอไป่ไม่สามารถหยุดยิ้มได้เขาเพียงยกกล้องขึ้นถ่ายไปรอบๆงานปาร์ตี้
งานปาร์ตี้ยิงยาวเกือบเวลาห้าทุ่ม เหอไป่รีบโบกมือลาเจี๋ยเป่ยเหลย
จากนั้นก็ตรงกลับห้องพักของเขาทันที เพื่อจัดการรูปที่อยู่ในกล้องให้เสร็จทันงานเลี้ยงพรุ่งนี้
เหอไป่ที่อาบน้ำเสร็จพร้อมใส่ชุดนอนก็เดินไปเปิดหน้าจอโน๊คบุ๊คพร้อมโหลดไฟล์จากกล้องทิ้งไว้แล้วก็เดินไปชงกาแฟมาหนึ่งแก้ว
เมื่อกลับมาเหล่าไฟล์รูปที่เขาถ่ายก็อัพโหลดลงคอมเสร็จพอดี
เสียงคลิกเมาส์และเสียงคีย์บอร์ดที่ลอดผ่านแผ่วเบาเหมือนเสียงเปียโนผ่านทางสายโทรศัพท์เหมือนขับกล่อมให้ตี๋ชิวเหอเข้านอน
ตี๋ชิวเหอมองตัวเลขที่ขยับไปเรื่อยที่หน้าจอโทรศัพท์
มันแสดงให้เห็นว่าเขาใช้สายไปหลายชั่วโมง แต่ก็ดูน่าแปลกใจที่ตี๋ชิวเหอไม่เบื่อ ทั้งที่ตอนนี้มันเลยเวลาที่เข้านอนแต่เขาก็ไม่ง่วงแม้แต่น้อย
เขาเพียงนึกภาพของลูกหมาน้อยกำลังนั่งเคร่งเครียดอยู่ที่หน้าจอโน๊คบุ๊ค
‘ลูกหมาน้อย ขอให้นายทำงานอย่างราบรื่นนะ’
เขาพูดอวยพรในใจ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ Apple
ที่เป็นเหมือนเครื่องที่เขาให้เหอไป่อย่างฝาแฝดขึ้นมา และกดเข้าทวิตเตอร์เพื่ออ่านข่าวใหม่อย่างอารมณ์ดี
แสงอาทิต์ก็สาดส่องลอดผ้าม่าน
เหอไป่รีบขยี้ตาพร้อมเอนตัวแนบหน้าลงบนโต๊ะ
“เสร็จแล้วเหรอ?”
ห๊า...
เหอไป่สะดุ้งตัวนั่งหลังตรงเมื่อได้ยินเสียงที่ลอดขึ้นมา
ทำให้มือเขาปัดเหล่าปากกาที่วางไว้อยู่บนโต๊ะตกลงพื้น
“อรุณสวัสตอนเช้า ลูกหมาน้อย”
เสียงที่พูดแผ่วเบาเหมือนพูดอยู่ไกลๆ
แต่เขามั่นใจว่าเสียงนั้นเป็นของตี๋ชิวเหอ
เหอไป่รีบมองไปรอบๆอย่างหวาดกลัวและยกมือลูบใบหน้าของตัวเอง
“ทำไมถึงหลอนได้ยินเสียงหรือว่าเพราะเรายังไม่ได้นอน”
“นายไม่ได้หลอนไปเองน่า
จำไม่ได้เหรอว่าเราคุยกันเมื่อวาน?”
แม้ว่าเสียงที่พูดจะยังแผ่วเบาเหมือนเคย แต่เหอไป่ก็นึกออก
เขาเบิกตาโตและรีบพุ่งไปที่กระเป๋ากล้องที่อยู่บนโต๊ะเพื่อที่จะหยิบโทรศัพท์ออกมา เมื่อเห็นตัวเลขบนหน้าจอแสดงเวลาเกือบสิบชั่วโมง
ก็ตกใจนี่เขาลืมกดวางสาย นึกออกแล้วว่าเขาเพียงแค่ถอดหูฟังและเก็บใส่กระเป๋า
แล้วทำไมตี๋ชิวเหอถึงไม่วาง...
“แล้วทำไมคุณถึงไม่วางสายล่ะ!” สติเขากลับมาครบถ้วนสมบูรณ์ และต้องการที่จะต่อว่าอีกคนที่อยู่ปลายสายทันที“คุณรู้ไหมว่ามันเปลือง นี้มันผ่านมาเกือบสิบชั่วโมง!!”
“แล้วทำไมนายไม่วางสายล่ะ”
“...นั่นก็เพราะผมลืม”
“ผมก็ด้วย” ตี๋ชิวเหอก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“นายทำงานมาทั้งคืน ยังไงก็กินอะไรรองท้องก่อนที่จะเข้านอน ผมสั่งให้นายแล้ว”
เหอไป่รู้สึกเหมือนสมองมันรวนๆ
พยายามกล่อมตัวเองว่าเพราะเขายังไม่ทันได้นอนก็เท่านั้น
“คุณสั่งข้าวเช้าให้ผมเหรอ?”
“ใช่ ผมโทรสั่งเรียบร้อย”
“ยังไง?!!”
“ผมก็เพียงโทรเข้าเบอร์ของรีสอร์ทแล้วก็สั่งข้าวเช้าให้นายก็เท่านั้น”
“ห๊า..แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ห้องไหน”
“ผมก็บอกชื่อของคุณ
พนักงานก็รู้แล้วว่าอยู่ห้องไหน”
“อืม....”
“ง่วนนอนมากเลยเหรอ!”
“ก็นิดหน่อย”
“งั้นก็คุยกับผมต่อเพื่อแก้ง่วง”
“อย่าไร้สาระ”
“...ก็ตอนนี้นายยังไม่ง่วงนี้”
เหอไป่ใช้นิ้วชี้ถูที่จมูก”ผมง่วงแต่ก็ไม่สามารถนอนได้ เพราะงานผมยังไม่เสร็จ ขอบคุณสำหรับอาหารเช้า
แค่นี้นะ”
ตี๋วชิวเหอขมวดคิ้วทันที “งานนายยังไม่เสร็จอีกเหรอ? เหลืออีกเยอะไหม?”
“ก็ไม่เยอะเหลืออีกสิบกว่าภาพ
ขอบคุณสำหรับอาหารเช้าอีกครั้ง แค่นี้นะครับพี่ชาย”
ตี๋ชิวเหอจะมีความสุขที่อีกคนเรียกเขาแบบนั้น
แต่ก็แสร้งทำเป็นโกรธ “นี้นายตอบแทนความหวังดีของผมแบบนี้เหรอ?
ผมต้องดุนายให้มากกว่านี้ใช่ไหม! ลูกหมาตัวน้อย” เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นพร้อมพูดต่อทันที “ลูกหมามันเห่าแบบไหน...”
เหอไป่ที่สมองยังเบลอเขารับรู้ได้เพียงเสียงหัวเราะแล้วคำถามสุดท้าย
ก็เลยตอบกับอย่างมึนงง “โฮ่ง.โฮ่ง..”
“เดีกดี ผมเดียวผมจะให้กระดูกนาย” เสียงหัวเราะหยอกล้อจากทางตี๋ชิวเหอ ไม่ทันไรสายก็ตัดไป
เหอไป่รีบเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าให้สติกับมา
...โฮ่ง เหรอ?!!
ตี๋ชิวเหอวางโทรศัพท์ลงบนที่นอน
แม้ว่าตอนนี้เขาเหมือนหูจะไหม้แต่ก็อารมณ์ดีเมื่อถึงเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน
“น่าตลก!” ตี๋ชิวเหอก็ระงับเสียงหัวเราะไว้ไม่อยู่เขารีบลูบที่อกของตัวเองพร้อมสีหน้าที่เจ้าเล่ห์
“ช่างเป็นลูกหมาที่ชุกซนมาก! เมื่อผมกลับไปผมจะอบรมนายแน่”
เวลาหกโมงเย็นโคมไฟทั่วรีสอร์ทก็เปิดไปทั่วบริเวณ
รอบด้านประดับไปด้วยเหล่าดอกไม้สดที่มีกลิ่นหอมสดชื่นและริบบิ้นหลากสี บนพื้นปูด้วยพรมสีแดงเป็นทางเดินตั้งแต่ทางเข้าจนถึงตัวอาคารขนาบข้างตลอดเส้นทางสองข้างด้วยกระถางดอกไม้สีขาว
“ช่างเป็นงานที่อลังการ ดอกไม้เหล่านี้มันยังสดอยู่เลย”
อู๋เมิ่งที่เป็นศิลปินหน้าใหม่ที่ตอนนี้จ้องมองผ่านกระจกรถก็อุทานขึ้น
“เสี่ยงหยางขอบคุณมากเลยที่ชวนฉันมางานนี้ด้วย มันช่างวิเศษมาก
หยางฟูที่ตอนนี้กำลังยุ่งอยู่เหล่าเครื่องสำอาจก็เงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอู๋เมิ่ง
หลังจากนั้นก็จ้องมองผู้จัดการที่นั่งอยู่หน้ารถข้างคนขับ ทางผู้จัดการก็เอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องขอบคุณหากไม่ใช่เพราะทางค่ายสั่งมาเราก็คงไม่ได้เข้าร่วมงานนี้หยุดมองกระจอแล้วกับมาแต่งหน้าต่อ
ฉันคิดว่าอีกไม่นานเหล่านักข่าวก็คงมากันแล้ว”
อู๋เมิ่งก็รีบพยักหน้าและเริ่มแต่งหน้าตัวเองทันที
เมื่อผู้จัดการที่เห็นเด็กสาวเขื่อฟังก็พูดขึ้นต่อ “จริงด้วย..อู๋เมิ่งทางค่ายไม่ต้องการให้เราเป็นข่าวใหญ่
เพียงหวังว่าพวกเธอจะไม่สร้างเรื่องก็พอ เนื่องจากตระกูลเจี๋ยมีผู้หญิงคนเดียวและต้องการให้งานวันนี้โฟกัสไปที่เธอ
คุณพยายามอย่าทำตัวโดดเด่นมากกว่าเธอ เข้าใจไหม!!”
เด็กสาวก็พยักหน้ารับรู้
บทที่ 44 ผู้อาวุโสเจี๋ย
ผู้จัดการพูดกับหยางฟูและอู๋เมิ่งอีกสองสามคำจากนั้นเมื่อเห็นว่าทั้งสองพร้อมแล้ว
ก็พาพวกเธอเดินเข้างาน
เมื่อเข้าไปในห้องโถงจากนั้นก็ยื่นบัตรเชิญให้กับพนักงานต้อนรับที่ยืนประจำอยู่หน้างานและเดินตามบริกรไปที่ชั้นสอง
“ว้าวนั้น...ฉันเห็นคุณเทียน!!”
ในขณะที่ทั้งสามเดินเข้างานอู๋เมิ่งก็พูดอย่างตื่นเต้น
หยางฟูก็เดินไปจับมือเพื่อให้เธอสงบลง หยางฟูรู้สึกผิดหวังก่อนหน้าที่อู๋มิ่งถ่ายรายการเธอวางตัวดีทั้งวางตัวเหมือนมืออาชีพ
แต่เมื่อเห็นเธอเป็นแบบนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกคนเป็นโรคคลั่งเหล่าดาราเหมือนที่เจอได้บ่อยๆ
หลังจากผู้จัดการหันหลังหยางฟูก็รีบเตือนอู๋เมิ่งทันทีให้หยุดเสียงดัง
แต่อีกคนไม่สนใจเธอทำเพียงกวาดสายตามองหาเหล่าดาราที่คลั่งไคล้ หยางฟูมองเธอเหมือนคนแปลกหน้า
อู๋เมิ่งมองเหล่าแขกที่อยู่ในห้องโถงมีที่แต่งตัวอย่างดูดีทั้งชุดเท็กซีโด้และชุดราตรีแต่งองค์เต็มที่
แต่มีชายหนุ่มที่แปลกแยกที่กำลังคุยกับบริกรเขาสวมเพียงเสื้อยืดแขนสั้นและกางเกงยีนส์สีซีด
มันแปลกแยกกับคนในห้องนี้มาก คนนี้ได้รับเชิญเป็นแขกด้วยเหรอ?
เหอไป่หลังจากที่คุยกับคนที่รับผิดชอบเรื่องการจัดการฉายโปรเจคเตอร์เรียบร้อย
เขากำลังจะบอกคุณเจี๋ยจางว่าส่วนที่เขารับผิดชอบเสร็จแล้วขอตัวกลับงาน
“คุณรู้จักกับผู้หญิงที่สวมชุดสีเหลืองด้วยเหรอ
เห็นเธอจ้องมองมาที่คุณเมื่อกี้” พนักงานคนนั้นก็แอบชี้ไปทางหญิงสาวคนนั้น
เหอไป่มองตามทางที่อีกคนชี้อย่างแปลกใจ
เขาก็เห็นหญิงสาวที่ชุดสีเหลืองตามที่ชี้
“ผมไม่รู้จักเธอ เธอคงสงสัยว่าทำไมผมถึงแต่งตัวแบบนี้มากกว่า”
เหอไป่ตอบพร้อมเสียงหัวเราะอย่างไม่คิดมาก จากนั้นก็มองผู้จัดการโรงแรมที่เดินมายืนข้างๆตัวเขา
ทางฝั่งผู้จัดการก็ยิ้มขอโทษด้วยความสุภาพ
“มันเป็นเรื่องผิดพลาดที่ทางเราไม่ได้เตรียมชุดไว้ให้คุณ แต่ทางคุณเจี๋ยได้จัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
มันจะมาถึงในไม่นาน”
ที่พูดตอนแรกเขาไม่ได้มีเจตนาแบบนี้เขาอยากกับไปนอน
แต่เมื่อได้ยินแบบนี้ก็คงไม่ร่วมงานเลี้ยงก็คงไม่ได้
แต่ว่า...เขาง่วงนอนมาก
ไม่ถึงสามสิบนาทีก็มีชุดทักซิโด้มาถึงมือเหอไป่
เขาถูกลากให้ไปห้องแต่งตัวและจัดทรงผมให้สุภาพขึ้น จากนั้นก็ถูกลากมานั่งบนโต๊ะเดียวกันกับครอบครัวเจี๋ย
เหล่าแขกที่อยู่ในห้องโถงก็จับจองไปที่เด็กหนุ่มที่พวกเขาไม่คุ้นหน้าเดินไปที่นั่งที่จัดเตรียมไว้สำหรับครอบครัวเจี๋ยแล้วยังไปยืนเคียงข้างเจี๋ยจาง
“...” ความรู้ของเหอไป่ตอนนี้เหมือนตัวมาสคอตของงานที่ให้ทุกคนจ้องมอง
“ไป่ ฉันเห็นรูปภาพที่นายถ่ายทั้งหมดแล้ว
มันสวยมากขอบคุณนายมากเลย” เจี๋ยเป่ยเหลยปล่อยมือจากแขนพี่ชายของเธอแถมยังวิ่งผ่านคุณพ่อ
เพื่อมากอดแขนของเหอไป่ด้วยความตื่นเต้น “ฉันชอบมากมากเลย แล้วอยากให้นายมาถ่ายรูปให้ฉันในปีหน้าด้วย”
“...” ทำไมเขารู้สึกขนลุกขึ้นฉับพลัน เหอไป่รีบแกะมือออกมากแขนของเขาและขยับตัวออกห่าง
“ผมดีใจที่คุณชอบมันครับ” จากนั้นเขาก็กล่าวทักทายคนอื่นๆด้วยรอยยิ้มสุภาพ
เจี๋ยเป่ยเหลยมองอีกคนด้วยสายตาเสียใจ
“ไป่ไหนนายว่าจะไม่ทำตัวห่างเหินกับฉันแล้วไง ทำไมไปยืนซักห่างแบบนั้นหรือว่านายเหม็นน้ำหอมที่ฉันฉีด?”
เหอไป่ก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินบ่นของเด็กหญิงเขายังพูดคุณกับเจี๋ยจางต่อ
แต่ในใจคิดว่า ‘คุณเป่ยเหลยครับอย่าทำให้ผมเดือดร้อนมากกว่านี้เลย
แค่นี้คนในครอบคัวคุณก็หาวิธีฆ่าผมได้เป็นร้อยวิธีแล้ว’
เจี๋ยเฉินจงสังเกตุถึงใบหน้าลำบากใจของเหอไป่ดังนั้นเขาจึงกวดสายตามองทางน้องสาวพร้อมถอนหายใจ
เขาเดินไปทางเหอไป่พร้อมยื่นมือไปข้างหน้า “ยินดีที่ได้รู้จัก
หวังว่านายจะไม่ถือสาน้องสาวของฉันที่สนิทกับคนอื่นง่าย”
เหอไป่จับมืออีกคนและรีบบอกว่าเขาไม่คิดมาก จากนั้นยังชมเจี๋ยเป่ยเหลย
ว่าเธอทั้งสดใสและเป็นกันเองอย่างมากทางฝั่งเจี๋ยเป่ยเหลยได้ยินก็หัวเราะเสียงดังและพยายามเดินไปจับแขนของเหอไป่เป็นครั้งที่สอง
“เหลย..” เจี๋ยเฉินจงรีบคว้าที่แขนของน้องสาวตัวเอง
“คุณปู่และพวกผู้ใหญ่มองอยู่นะ เธออย่าหาเรื่องให้คุณเหอเดือดร้อน”
และรีบส่งสายตาห้ามปรามน้องสาวของตัวเอง
เจี๋ยเป่ยเหลยขมวดคิ้วจากนั้นก็กับมายืนข้างพี่ชายของตัวเองอย่างเรียบร้อย
จากนั้นก็เกาะแขนของเจี๋ยเฉินจงพร้อมสายตาออดอ้อน
เมื่อทางเจี๋ยเฉินจงเห็นอย่างนั้นก็โล่งใจ
“ขอโทษด้วยนะ” เจี๋ยเฉินจงกล่าวขอโทษอีกครั้งและพาเหอไป่เดินไปทางผู้อาวุโสเจี๋ยที่นั่งอยู่ตรงกลางคนในครอบครัวเจี๋ย
“คุณปู่และคนในครอบครัวผมชอบรูปที่คุณถ่ายมาก เขาต้องการเจอตัวคุณ เพื่อที่จะขอบคุณด้วยตัวเอง”
เหอไป่ก้มหัวขอบคุณอย่างสุภาพ “ผมก็ต้องขอบคุณทางตระกูลเจี๋ยมาก ที่ให้โอกาสให้ผมในวันนี”
“นายเป็นคนที่ดีมาก”
เจี๋ยเป่ยเหลยรู้จะอ้วกเมื่อฟังคนทั้งคู่ที่แลกเปลี่ยนคำชมระหว่างกัน
ทำไมบทสนทนามันน่าเบื่อแบบนี้
“คุณปู่ครับ คุณเหอมาหา” เจี๋ยเฉินจงอยู่ยืนอยู่ตรงหน้าคุณเจี๋ยที่มีผมสีเทาพร้อมยังหันมามองเหอไป่ด้วยสายตาที่อ่อนโยน
เหอไป่รีบจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่และก้มหัวเพื่อทักทายผู้อาวุโสเจี๋ย
“ป้าของเธอบอกว่าเสี่ยวฟูมาถึงงานแล้ว หลานพาพี่เขาไปเจอเธอสิ”
และมองเหล่าคนในครอบครัวที่นั่งข้างๆให้ออกไปก่อน “ไปได้แล้วอย่ามั่วมาอยู่กับคนแก่ แขกมากันตั้งเยอะ”
เมื่อได้ยินว่าดอกไม้ขาวของตระกูลไม่ได้อยู่กับเด็กหนุ่มทุกคนก็สีหน้าดีขึ้น
เขาเดินมาทักทายเหอไป่อย่างเป็นกันเองก่อนที่จะขอตัว
เหอไป่กล่าวทักทายคุณคนด้วยความดีใจ เขารู้สึกถึงการต้อนรับที่เป็นกันเองมาก
เหมือว่าเขาไม่ได้เพียงมาทำงาน แต่เหมือนเพื่อนที่ได้รับเชิญให้มาร่วมงานเลี้ยงในครอบครัว
เหอไป่นั่งลงข้างผู้อาวุโสเจี๋ย ที่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง
ที่ตอนนี้นั่งดื่มชาอยู่ด้านเวทีที่จัดงาน
เหอไป่ที่นั่งเรียบร้อยอยู่ข้างผู้อาวุโสเจี๋ย...การที่ได้นั่งข้างผู้อาวุโสของครอบครัวแบบนี้เป็นเหมือนการยอมรับจากคนในครอบครัวนั้นว่าถือเป็นที่ต้อนรับมาก
หลังจากพนักงานมาเสิร์ฟชาให้เหอไป่ ผู้อาวุโสเจี๋ยก็ถามว่า
“นายอายุเท่าไรแล้ว”
ทำไมบทสนทนาครั้งแรกที่เจอมันแปลกๆ
แต่เหอไป่ก็ตอบอย่างนอบน้อม
“ผมอายุยี่สิบเอ็ดปีครับ”
“อืม...” ผู้อาวุโสเจี๋ยก็พยักหน้า
“ขอบคุณสำหรับรูปที่ถ่ายเมื่อวาน เหมือนจำได้ว่านายบอกเป็นลูกศิษย์ของซูอิ๋นนี้
นายเรียนกับเขามากี่ปี?”
“ผมเรียนถ่ายภาพกับอาจารย์เมื่อเข้าภาคเรียนที่สองตอนผมอยู่ปีหนึ่งครับ
ดังนั้นผมเรียนกับเขาก็เกือบปีครึ่งแล้วครับ” เหอไป่เต็มไปด้วยใบหน้าที่ไม่เข้าใจ
เขาไม่รู้ว่าผู้อาวุโสเจี๋ยทำไมถึงเป็นกันเองกับเขาแบบนี้
“ปีครึ่งเหรอ...นายเป็นนักเรียนที่ดี”
ผู้อาวุโสเจี๋ยพยักหน้า “ซูเขาเป็นครูที่เก่งและหลงใหลกับการถ่ายภาพมาก
อย่าทำให้เขาผิดหวังล่ะ”
เหอไป่พยักหน้า แต่ก็แปลกใจที่ผู้อาวุโสเจี๋ยคนนี้รู้จักกับอาจารย์ของเขาด้วย
ทำไมเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนแม้แต่ก่อนที่เขาจะย้อนกลับมา
ผู้อาวุโสเจี๋ยยังถามเรื่องทั่วไปอย่างเช่นว่าเรียนจบแล้วจะทำงานอะไรต่อ
หรือว่าวางแผนยังไงกับการทำงานที่ยีคัง และสุดท้ายยังถามว่าเขารู้จักกับตี๋ชิวเหอมานานแน่ไหน
เหอไป่ก็ไล่ตอบทีละคำถามช้าๆ ตั้งแต่ที่คุยผู้อาวุโสเจี๋ยเขาก็รู้ผ่อนคลายเหมือนคุณกับญาติผู้ใหญ่ของตัวเอง
ทำให้เขาสบายใจที่จะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังทั้งหมดให้กับผู้อาวุโสเจี๋ย
บทที่ 45 คนธรรมดา
“พ่อแม่ของคุณคือนักข่าวที่ไปถ่ายทำช่วงสงคราม
ช่วงเวลานั้นมันเลวร้ายจริง อาสาสมัครที่ไปทำข่าวก็คือวีรบุรุษ” ผู้อาวุโสเจี๋ยแปลกใจเมื่อรู้ถึงอาชีพของพ่อแม่ของเหอไป่ จากนั้นก็ถามด้วยความกังวล
“พ่อแม่ของคุณทำงานอยู่ที่ไหนทั้งสองคนต้องเป็นนักสื่อข่าวชื่อดังหลังจากการกับมาจากการทำข่าวที่แนวหน้า”
เหอไป่ยิ้มอ่อนๆเมื่อได้ยินคำถาม “โชคร้ายที่ทั้งคุณพ่อและคุณแม่เสียชีวิตจากเหตุการณ์นั้นครับ...แต่มันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว”
เมื่อพวกท่านก้าวเดินไปอย่างมีชีวิตแต่กับมาเพียงโกศกระดูก
ซึ่งเหล่าทหารสามารถเก็บกู้ได้เพียงโทรศัพท์ของคุณแม่เท่านั้น
ผู้อาวุโสเจี๋ยตกใจจากนั้นก็ถอนหายใจยาวพร้อมลูบมือไปที่หัวของเหอไป่
“นายเป็นเด็กเข้มแข็ง จนก้าวเดินต่อไป”
แม้เสียงที่พูดจะแผ่วเบาแต่เหอไป่สัมผัสได้ถึงความห่วงใยอย่างชัดเจนจากผู้อาวุโสตรงหน้า
เขาจึงยิ้มกว้างขึ้น“แน่นอนครับ”
เวลาที่สนทนากับผู้อาวุโสผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ก็เป็นเวลา 18.50 น.
เมื่อเจี๋ยจางก้าวขาขึ้นเวทีพร้อมกับพิธีกร ทั้งสองก็ดึงดูดความสนใจของเหล่าแขกที่มาเข้าร่วมได้อย่างดี
เหอไป่หยุดการสนทนากับผู้อาวุโสเจี๋ยและจ้องมองไปที่เวที
หลังจากพิธีกรเสร็จสิ้นการกล่าวเปิดงานเลี้ยงวันเกิดก็เปิดภาพถ่ายรูปวัยเด็กของเจี๋ยเป่ยเหลย
และยังหยอกล้อวัยเด็กที่แสนซนของเธออย่างออกรสชาติ ว่ากว่าจะมาเป็นหญิงสาวสวยงามเธอนั้นซุกซนเพียงใด
จากนั้นหน้าจอฉายภาพก็มืดลง หลังจากนั้นพิธีก็กล่าวคำอวยพรให้กับเจี๋ยเป่ยเหลย จากนั้นภาพชุดใหม่ก็สว่างขึ้นพร้อมเสียงดนตรีประกอบฉายภาพ
มันเป็นช่วงเวลาที่ดึงดูดความสนใจของทุกคน หญิงสาวที่อยู่ในรูปสวมชุดสีเขียวอ่อนกลมกลืนกับธรรมชาติเบื้องหลังทำให้เหล่าแขกรู้สึกประทับใจ
สาวน้อยน่ารักใส่ชุดเดรสยาวสีเขียวบนหัวสวมมงกุฎดอกไม้
เธอนั้นนั่งห้อยขาอยู่บนเถาวัลย์ เท้าเปลือยเปล่าของเธอไกว่ไปมาราวกับเล่นสนุก ใบหน้าของเธอจ้องมองกล้องอย่างสงสัยมันช่างไร้เดียงสาเหมือนทูตน้อยที่พึ่งพบเจอกับมนุษย์ครั้งแรกในดินแดนทูตของเธอ
ผู้คนในห้องบอลรูมเงียบกริบเหมือนต้องมนต์ของหญิงสาวในรูป
และตามด้วยเสียงเอ่ยภชมอย่างไม่หยุดหย่อนกระจายไปทั่วห้องบอลรูม
“เธอในรูปสวยมาก!!” หยางฟูอุทานขึ้นอย่างแปลกใจใบหน้าเธอแดงก่ำมือกำกระโปรงตัวเองแน่น
“เธอช่าง...น่ารักมาก! ฉันอยากดูดีแบบนี้บ้างจัง”
เจี๋ยเฉินจงที่ยืนข้างๆเสี่ยวฟูก็สงบกว่าอีกคนมาก
สายตาของเขายังจ้องมองน้องสาวที่อยู่ในรูปภาพ แต่ว่า..สิ่งที่เขาโฟกัสไม่ใช่หญิงสาวในรูปกับกลายเป็นชุดที่เธอสวมใส่
มันช่างเป็นชุดที่สง่างามและเน้นรูปร่างของหญิงสาวที่กำลังสวมให้ดึงเสน่ห์ของหญิงสาวที่สวมใส่
มันช่างเป็นการออกแบบที่ยอดเยี่ยมถึงขนาดทำให้หญิงสาวสามารถฆ่ากันเพื่อแย่งชิง
เมื่อสังเกตุห็นเหล่าแขกที่อยู่รอบข้างทั้งเหล่าหนุ่มสาวที่เป็นลูกหลานของคนใหญ่คนโต
ต่างจากมองใบหน้าหญิงสาวอย่างไม่วางตา ช่างน่าสมเพช!! เฮอะ..คนทั้งหมดช่างน่ารังเกียจเต็มไปด้วยกิเลส...
ก่อนที่เหล่าแขกจะหายจากความมึนงง
ภาพถัดมาก็ฉายขึ้นมาต่อ
เป็นทิวป่าเดียวกันแต่คราวนี้หญิงสาวเปลี่ยนมาสวมชุดเดรสสั้นที่ปลายกระโปรงเป็นชั้นๆ
และชายเสื้อที่ถูกออกแบบมาให้ไม่สม่ำเสมอโชว์ผิดขาวที่หน้าท้อง หญิงสาวในภาพกำลังก้าวเดินข้ามลำธารเล็กๆ
ในมือถือตระกร้า ข้อขาที่เรียวยาวจมอยู่ในน้ำที่ใสสะอาด ผมลอนยาวสวยของเธอที่แทรกด้วยดอกไม้เล็ก
ปลายผมยาวก็แตะโดนน้ำเมื่อเธอก้มลงเก็บดอกไม้ในลำธาร
ผู้คนมองไปที่เหล่าฝูงนกที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้เหนือหัวของเธอ
เหมือนกำลังขับกล่อมจังหวะให้ทูตสาวตรงหน้า เหล่าผู้คนในงานสัมผัสได้ถึงเสียงน้ำไหลและเสียงนกที่ขับกล่อมออกมา
มันช่างเป็นภาพที่สวยงามและเหมือนหลงอยู่ในความฝัน
เหล่าผู้ชมก็เงียบสนิทเหมือนกับรอคอยที่จะจ้องมองภาพที่งดงามภาพถัดไปแต่ก็ไม่หลงลืมถึงความรู้สึกของภาพที่เขาได้รับชมก่อนหน้า
มันช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้...
ยอดเยี่ยมมาก!! ภาพเหล่านี้เป็นผลงานที่น่าทึ่งไม่ว่าจะมองจากสายตาคนธรรมดาหรือเหล่าช่างภาพมืออาชีพ
มันช่างไร้ที่ติ คนที่ถ่ายทำให้เจี๋ยเป่ยเหลยดูเหมือนหญิงสาวที่ไร้เดียงสาแต่ก็แฝงถึงความเซ็กซี่ออกมา
มันแทบไปกระตุ้นต่อมให้ผู้คนไขว้ขว้าถึงความงดงามตรงหน้า แม้เพียงเสี้ยววินาทีที่ทุกคนอยากจากโอยกอดหญิงสาวในรูป
“สวยมาก...” หยางฟูอุทานออกมาบ้างพร้อมมือที่แนบแก้มที่ป่องออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ฉันต้องการให้เขากลับมาถ่ายภาพให้ฉันอีกครั้ง” เจี๋ยเฉินจงปิดสายตาของเธอและกวาดสายตาไปมองเหล่าแขกที่อยู่รอบตัวอย่างหงุดหงิด
“รูปช่วยนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น
คุณปู่ต้องการยกเลิกแผนนี้แล้วแต่ว่า...”
“แต่ช่างภาพเหอเขาช่วยไว้!!” หยางฟูดึงมือของเจี๋ยเฉินจงออก แล้วก็เอามือมากุมแก้วของเธอต่อ “เฉินจงไม่ต้องอิจฉา ฉันรู้ว่าเสี่ยวเหลยเธอจะมีความสุขมากๆที่มีรูปภาพเหล่านี้โชว์ในงานวันเกิดของเธอ
ให้เหล่าผู้คนจ้องมองเธออย่างอิจฉา” หลังพูดจบเธอก็ยังหัวเราะไม่อยู่
เมื่อฟังจบเจี๋ยเฉินจงก็หันไปมองน้องสาวที่ตอนนี้อยู่ท่ามกลางเหล่าเพื่อนของเธอ
เห็นได้ชัดว่าเธอจะมีความสุขเป็นอย่างมาก เขาจึงทำเพียงถอนหายใจและลูบที่หน้าผากตัวเอง
“เสี่ยวฟูคุณดูจะชอบเขามากคุณต้องการให้เขามาถ่ายภาพในงานแต่งของเราไหม?”
หยางฟูจ้องมองชายที่อยู่ข้างๆอย่างฮึดฮัด “หึ..เมื่อไรล่ะ”
เจี๋ยเฉินจงยกมือของหยางฟูขึ้นพร้อมจูบที่มือของหยางฟู
“เราจะจัดงานในเร็วๆนี้เหรอ?”
หยางฟูจ้องมองสายตาประกายตรงหน้าและไม่สนใจจะตอบคำถามอีกคน
เธอหันไปสนใจในรูปต่อ
เจี๋ยเฉินจงหัวเราะขึ้น เขารีบจดชื่อเหอไป่ไว้ในใจ
เนื่องจากเด็กหนุ่มทำให้คู่หมั้นและน้องสาวของเขามีความสุขเขาก็ยินดีที่จะสนับสนุน
หลังจากนั้นพิธีกรก็กลับมาขึ้นบนเวทีเหมือนคลายมนต์สะกด พิธีกรก็พบว่าแขกทั้งหมดก็หมดความสนใจไม่เหมือนก่อนหน้านี้และมองด้วยความผิดหวัง
พิธีกรเศร้าใจมาก ‘ความสนใจของแขกนั้นบางเบาเหมือนขนนกจริงๆ’
งานเลี้ยงวันเกิดก็มีการดำเนินต่อไป จนเมื่อเจี๋ยเป่ยเหลยเดินขึ้นไปบนเวทีโดยมีบอดี้การ์ดคือเจี๋ยจางเดินตามขึ้นไปด้วย
เจี๋ยเป่ยเหลยกล่าวขอบคุณแขกที่มาร่วมงานและมาอวยพรวันเกิดให้กับเธอ หลังจากนั้นเธอก็พูดถึงการภาพรูปในนี้
“วันนี้ฉันรู้สึกขอบคุณคนที่ทำให้ฉันมีความสุขมากที่ถ่ายได้ถูกใจ
เขาคนคือช่างภาพเหอไป่ ถ้าไม่ได้เขาฉันคงไม่สวยเหมือนในรูปตอนนี้” เธอยิ้มอย่างล้อเลียนพร้อมเสียงตบมือของแขกที่มาร่วมงาน
“ตอนนี้ฉันขอเชิญให้ช่างภาพเหอขึ้นมาบนเวทีและพูดอะไรกับพวกเราสักสองสามคำ”
เจี๋ยเป่ยเหลยโบกมือเรียกให้เหอไป่ขึ้นไปบนเวทีซึ่งเหมือนเตรียมการไว้ล่วงหน้าแสงจากสปอร์ตไลฟ์ก็ส่องมาที่เหอไป่ที่ตอนนี้กำลังเอื้อมมือไปเทน้ำชาให้กับผู้อาวุโสเจี๋ย
เหอไป่นิ่งค้างอยู่ท่านั้นอย่างตกใจ
“ไปสิ..” ผู้อาวุโสเจี๋ยหยิบกาน้ำชาออกจากมือของเหอไป่แล้วยิ้มให้กับเด็กหนุ่ม
“ดูเหมือนว่าเหลยเธอจะชอบนายมาก”
“...” เหอไป่ยังนั่งนิ่ง
เขาคิดว่าเขาไม่สามารถรับมือกับได้รับความสนใจนี้ไหว
เหล่าแขกกวาดสายตามองตามสปอร์ตไลฟ์ด้วยความแปลกใจ
เมื่อพบว่าช่างภาพที่เก่งกาจจะได้รับการต้อนรับอย่างดีให้นั่งข้างผู้อาวุโสเจี๋ย แถมเขายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ดูยังไงก็อายุยังน้อย
ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินชื่อช่างภาพที่อัจฉริยะแบบนี้มาก่อน
เหอไป่ยืนขึ้นมือของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ
เขาเป็นคนธรรมดาที่ไม่เคยได้รับความสนใจมากขนาดนี้
บทที่ 46 ช่างน่ารักจัง
ในชีวิตก่อนที่ย้อนกลับมาถึงเขาจะได้รับชื่อเสียงมาก่อนแต่เขาก็ใช้ชีวิตท่องเที่ยวเพื่อสัมผัสท้องฟ้าแม่น้ำซึ่งมันเป็นเหมือนช่างภาพคนอื่นที่ชื่นชมถ่ายภาพสไตล์นี้
ทำให้อยากจะปัดเรื่องวุ่นวายทำนองนี้เขาตัดสินใจจ้างผู้ช่วยที่ชำนาญให้ค่อยจัดการให้ตลอด
แม้แต่ตอนนี้เขาขึ้นรับได้รับรางวัลช่างภาพนานาชาติที่ต้องขึ้นเวทีไปกล่าวสุนทรพจน์ครั้งแรกในชีวิต
ซึ่งสคริปทั้งหมดผู้ช่วยเขียนของเขาก็ร่างคำพูดให้ทั้งหมด
แสงสปอร์ตไลท์ยังส่องตามการก้าวเดินของเหอ
ที่ตอนนี้เดินตรงไปยังเวที
แขกที่ได้รับเชิญมีทั้งดารานักร้องนักแสดงที่มีชื่อเสียงทั้งศิลปินดาวค้างฟ้าและเหล่าหน้าใหม่
ยังไม่นับถึงพวกนักธุรกิจที่มีความสัมพันธ์อันดีกับ
ตระกูลเจี๋ย
ที่มากกว่านั้น...ตอนนั้นก็มีพวกช่างภาพมืออาชีพที่คร่ำหวอดในวงการบันเทิงมากมายมาร่วมในงาน
เหอไป่กวาดมองแขกที่อยู่ในห้องบอลรูม
การที่จะพูดอย่าง ‘เป็นกันเอง’ มันคงไม่เหมาะสมที่หน้าใหม่ในวงการอย่างเขาจะพูดแบบนั้น
เมื่อเหอไป่มองไปทางเจี๋ยเป่ยเหลยที่ยังมีใบหน้ายิ้มแย้มและพิธีกรที่ยิ้มอย่างให้กำลังใจเขา
แม้จะไม่เคยคุยกันก็ตาม
เมื่อเหอไป่ขึ้นไปบนเวทีก็ก้าวไปด้านหน้า สีหน้ายังคงแสดงออกด้วยความสุขภาพพร้อมโค้งตัวไปทางผู้อาวุโสเจี๋ยที่นั่งอยู่ข้างเวที
จากนั้นก็เดินไปจับมือเจี๋ยเป่ยเหลยพร้อมหันไปจับมือพิธีกรพร้อมรับไมโครโฟนมาจากมือพิธีกร
เมื่อหันหน้ามองเหล่าแขกเขาก็ปลอบใจตัวเอง
‘มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ คนเหล่านี้ไม่ใช่ยักษ์มาร
คนเหล่านี้ไม่ได้ชื่นชมภาพลักษณ์เขา แต่ชื่นชมในการถ่ายภาพให้กับ‘นางแบบ’ ให้เธออกมาดูดีก็แค่นั้น’
“สวัสดีตอนเย็นครับ” ความตึงเครียดภายในตัวจางหายไปพร้อมรอยยิ้มบนหน้าเหอไป่ “ผมชื่อเหอไป่เป็นช่างภาพให้กับแบรนด์เสื้อผ้าลิตเติ้ลเมอร์เมดจากยีคัง และเป็นเกียจติอย่างมากที่ทั้งผมและทีมงานได้มาถ่ายรูปให้กับงานวันเกิดเจี๋ยเป่ยเหลย”
เหอไป่หันไปทางเจี๋ยเป่ยเหลยแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าหน้าอกพร้อมยื่นให้เธอพร้อมรอยยิ้มสุภาพบุรุษ“สุขสันต์วันเกิดครับ ขอให้คุณสุขภาพแข็งแรงและคงความสวยไว้ตลอดไป” ระหว่างที่เหอไป่เปลี่ยนชุดและรอผู้จัดการเขาก็เอาภาพเช็ดหน้ามาเล่นจนไม่สามารถคืนรูปเดิมจึงตัดสินใจที่จะพับมันเป็นรูปดอกกุหลาบและยัดไว้ในกระเป๋า
ช่างโชดดีอีกครั้งที่มันสามารถมาใช้ประโยชน์ในเวลานี้ ข้อมือขาวเล็กที่พ้นแขนเสื้อของชุดสูท
ทำให้เหอไป่ดูเบาะบางและมีเสน่ห์จนใครๆก็อยากที่จับต้อง
เจี๋ยเป่ยเหลยจ้องมองดอกกุหลาบที่อยู่ในมือของเหอไป่ด้วยความแปลกใจ
เธอรีบคว้ามันอย่างตื่นเต้นพร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่เหอไป่ “โอ้.. ขอบคุณนะ! นายช่างน่ารักและโรแมนติกมาก!! เป็นอย่างที่ฉันคิดเลย นายไม่ได้ซื่อบื้อเหมือนพี่ชายของฉัน
ฉันอยากได้นายมาเป็นพี่ชายของฉันแทน!!!”
แขกทุกคนที่ได้ยินก็หัวเราะขึ้นอย่างชอบใจ
ใบหน้าของเจี๋ยเฉินจงซีดลงเขาอยากจะขึ้นไปบนเวทีในตอนนี้เลย
หยางฟูหัวเราะจนแทบน้ำตาไหลเมื่อสังเกตุสีหน้าของคู่หมั้นตัวเอง
พร้อมหันไปมองเจี๋ยเป่ยเหลยที่หัวเราะดีใจอยู่บนเวที
“ฮ่าฮ่า..สิ่งที่น้องเหลยพูดมันช่างน่ารักมาก สังเกตุดูหน้าของคุณเหอสิเขาซีดมากเลย
ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่น่าสงสารฮ่า..ฮ่า”
เจี๋ยเฉินจงโอบหลังของคู่หมั้นและลูบเบาๆเพื่อให้เธอปรับลมหายใจที่หัวเราะก่อนหน้า
“เป่ยเหลยทำมากเกินไป วันนี้มีแขกมาเข้าร่วมตั้งเยอะ พรุ้งนี้ต้องมีข่างเต็มหน้าหนังสือพิมพ์แน่นอนและเติมแต่งให้มันเกินจริง!!”
“อย่าพึ่งโกรธเลย มีพยานตั้งเยอะพวกนักข่าวไม่กล้าที่จะเขียนอะไรเกินจริงหรอก
มีแต่จะกล่าวชมเป่นเหลยว่าเธอเป็นคนน่ารักแล้วตรงไปตรงมา ถ้าพวกนักข่าวกล้าเขียนเรื่องเสียหาย
พวกนั้นก็เตรียมรับการร้องเรียนแน่นอน” หยางฟูที่คุ้นเคยกับเรื่องนี้มากกว่าเจี๋ยเฉินจงพูดปลอบใจ
“คุณนะกังวลมากเกินไป มีแต่คนมีอำนาจนั่งอยู่ข้างล่างเวที
พวกนักข่าวจะเขียนเรื่องที่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนไปทำไม? นอกจากนี้แค่ข่าวพวกนี้ตระกูลเจี๋ยจัดการไม่ได้เลยหรือ?”
เจี๋ยเฉินจงสงบอารมณ์ลงเมื่อคิดได้ เขาพยายามระงับเองไม่ให้ขึ้นไปดุน้องสาวในความกล้าของตัวเธอ
ทำให้ใบหน้าของเขายังเต็มไปด้วยอารมณ์บูดบึ้ง
“เธอช่างเป็นปีศาจตัวน้อย
ทำไมถึงไปนับถือคนอื่นว่าพี่ชาย เฮอะ!!
แต่ยังไงเธอก็เป็นเจ้าหญิงตัวน้อยของฉันอยู่ดี!!”
เมื่อเห็นเจี๋ยเฉินจงอิจฉาเหอไป่ หยางฟูก็อดไม่ได้ที่จะหัวขึ้นอีกครั้ง
เธอระงับผิดชอบชั่วดีที่จะพูดต่อออกไป ‘โชคดีที่เหอไป่ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่รู้จักวางตัวและเป่ยเหลยก็ยังเด็กที่ไม่เข้าใจถึงเรื่องความรัก
ไม่อย่างนั้นดอกไม้ขาวของตระกูลเจี๋ย...’
หยางฟูชื่นชมตัวเหอไป่ที่รู้จักวางตัวในสถานการณ์เขาให้เครดิตกับแบรนด์ลิตเติ้ลเมอร์เมดเพื่อให้เห็นถึงความจริงใจที่จะมาทำงานนี้
เหอไป่ที่กล่าวคำพูดสั้นก็ก้าวลงจากเวทีหลังจากนั้นก็เดินไปที่โต๊ะของผู้อาวุโสเจี๋ยและกล่าวขอตัวกลับก่อน
“ฉันเตรียมรถให้ไปส่งนายแล้ว” ไม่คาดคิดที่ผู้อาวุโสเจี๋ยไม่รั้งตัวเขาไว้แต่กับจัดเตรียมรถเพื่อไปส่งเขาถึงมหาลัย
“นายยุ่งกับการถ่ายภาพให้กับเป่ยเหลย
ถึงเวลาที่นายต้องพักผ่อนแล้ว” ผู้อาวุโสเจี๋ยหันไผบอกให้ลูกชายออกไปส่งเหอไป่
จากนั้นเจี๋ยจางก็ออกเดินนำให้เหอไป่ตามเขาไปทั้งคู่ก็ยืนรอรถที่อยู่บริเวณหน้าโรงแรม
“วันนี้นายคงเหนื่อยมาก” เจี๋ยจางตบไหล่ของเหอไป่เบาๆ พร้อมยื่นกล่องของขวัญสีแดงไว้ตรงหน้าเหอไป่ เหอไป่รีบปฏิเสธทันที
แต่เจี๋ยจางก็ห้ามไว้ “ฉันตอบแทนยีคังโดยให้ทางนั้นมาเปิดตัวเสื้อผ้าในงานเลี้ยงของฉันแล้วซึ่งนายต้องได้รับของตอบแทนด้วยเช่นกัน
ฉันรู้ว่าที่นายมาในวันนี้ก็เพื่อลูกสาวของฉัน ซึ่งนายควรรับของตอบแทนนี้ไว้”
กล่องที่อยู่ในมือของเหอไป่ถืออยู่มันหนักมาก
เหอไป่รู้ว่ามันไม่เหมาะสมอยู่ดีที่จะรับของชิ้นนี้ “คุณเจี๋ยไม่จำเป็นเลยครับ
ผมมาในวันนี้ก็เพื่อชดเชยให้กับคุณเป่ยเหลยเท่านั้น”
“คนที่ต้องชดเชยให้กับเป่ยเหลยคือ
Saint Elephant ไม่ใช่นาย” เจี๋ยจางวางกล่องในมือของเหอไป่พร้อมก้าวถอยหลังจากนั้นก็ชี้ไปที่รถที่มาจอดรอพอดี
“มันเป็นเรื่องน่าอายที่มายื้อยักกับที่ห้องประตู ฉันจะโกรธนายที่นายไม่ตอบรับความหวังดีของฉัน”
เมื่อได้ยินคำยืนยันของเจี๋ยจางและเห็นแขกบางคนกำลังออกจากงาน
เหอไป่ไม่มีทางเลือกเขาจึงรับกล่องนั้นไว้จากนั้นก็หันไปขอบคุณชายตรงหน้าอีกครั้ง
“ตระกูลเจี๋ยขอบคุณนาย
และยินดีต้อนรับนายตลอด” เจี๋ยจางยิ้มอย่างอบอุ่นและเป็นมิตร
เหอไป่ตกใจสำหรับการต้อนรับอย่างดีที่อีกคนมอบให้
จากนั้นเขาก็โค้งตัวขอบคุณด้วยรอยยิ้มกว้างพร้อมก้าวขึ้นไปในรถ
เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนเมื่อเหอไป่ถึงห้องพัก
เขาถอดชุดออกจากนั้นก็มานั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะคอมและเอากล่องของขวัญที่ได้รับมาแกะในนั้นมีซองเงินและกล่องซ็อคโกแลคสามกล่อง...นอกจากนั้นยังมีบัตรกำนัลของห้างสรรพสินค้าชื่อดังซึ่งแม้เขาไม่รู้มูลค่าในบัตรแต่เขาคิดว่ามันต้องเยอะแน่นอน
เหอไป่ทำงานเพียงสองวันเขามีรายได้ถึงห้าหมื่นหยวนเพียงพอต่อค่าเทอมของเขาตลอดสองปี...มันช่างเป็นครอบครัวที่ใจดีกับเขามาก
เหอไป่ถอนใจยาวอย่างโล่งอก
จากนั้นก็หยิบช็อคโกแลตในกล่องขึ้นมากินและเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
วงการบันเทิงเป็นงานที่ใช้หน้าตาเพื่อทำเงินจริง...
เหอไป่สงสัยว่าตี๋ชิวเหอที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย อีกคนถูกล้อมรอบด้วยสิ่งนี้ อย่างคนที่เป็น
‘ตัวเดินเรื่อง’ ของหนังที่เขาดูหรือไม่?
แต่ว่า...
ตัวเดินเรื่องในหนังเรื่องนี้ก็เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย
เหอไป่สะดุ้งตื่นเมื่อเขาขยับตัวเมื่อตกจากเก้าอี้
เมื่อเขาจ้องมองนาฬิกาก็เป็นเวลาเกือบตีสอง เหอไป่ตัดสินใจอาบน้ำแล้วก็ปีนขึ้นไปนอนบนเตียงต่อทันที
อาจเป็นเพราะตัวเองที่นอนดึกเกินไปหรือว่าเกิดจากการตกจากเก้าอี้หรือเกิดจากเรื่องที่เขาคิดมาก่อนหน้าทำให้เหอไป่พลิกตัวไปมาบนเตียงเหมือนคล้ายคนนอนฝันร้าย
‘ไฟที่ส่องจากหอนาฬิกาที่คุ้นเคยเหมือนเข็มยาวย้อนกลับ
เงาร่างที่ร่วงหล่นก็ดึงขึ้นไปทางหน้าต่าง มือขาวก็หดกลับเข้าสู่หลับม่าน จากนั้นภาพก็เปลี่ยนไป
...ท่ามการเตียงนอนที่เหมือนอยู่ในโรงพยาบาลมีชายวัยกลางคนนอนป่วยอยู่บนนั้งข้างเตียงก็มีหญิงสาวที่อายุใกล้เคียงกัยร้องตีโพยตีพายอยู่ข้างเตียง’
บทที่ 47 ปรากฎการณ์ผีเสื้อ
เสียงกรีดร้องโหยหวนของหญิงสาวก็ดังขึ้นไม่หยุดแต่เหอไป่จับที่เธอคนนั้นพูดไม่ได้
ทันใดร่างของเหอไป่ก็ไร้น้ำหนักอยู่ๆฉากตรงหน้าก็เปลี่ยนไป เขาเห็นชายร่างผอมแห้งสวมเสื้อฮาวายที่โผล่ขึ้นมาหัวมุมถนนพร้อมในมือถือเข็มฉีดยาวิ่งตรงเข้าหาร่างสูงที่ยืนอยู่หน้าร้านขายผลไม้สีเขียว
“ตี๋ชิวเหอ!!!”
เหอไป่ลืมตาโตและลุกขึ้นนั่งทันทีจิตใจของเขาตอนนั้นเต็มไปด้วยความสับสน
เขารีบคลำหาโทรศัพท์ที่เขาทิ้งไว้ข้างตัว สายตาเขาจ้องมองรายชื่อในโทรศัพท์เพื่อหาเบอร์ของตี๋ชิวเหอ
เมื่อปลายสายรับเขาได้เสียงเสื่องที่ร่าเริงและรอบข้างเต็มไปด้วยเสียงรถวิ่งเหมือนว่าอีกคนอยู่บนท้องถนน
“ทำไมนายโทรหาผมแต่เช้า? ผมยังคิดว่านายจะยังไม่ตื่นซักอีก
คิดถึงผมอยู่เหรอ?”
“ตี๋ชิวเหรอ” เหอไป่ลูบใบหน้าของตัวเองเหมือนเป็นการตั้งสติ
เสียงที่พูดออกมาแหบแห้ง “คุณอยู่ที่ไหน...ใช่ร้านผลไม้ที่คุณซื้อมาให้ผมก่อนหน้านี้ไหม”
“นายอยากได้ผลไม้เหรอ” ตี๋ชิวเหอเลิกคิ้วและเปลี่ยนโทรศัพท์ไปไว้อีกหู จากนั้นก็โบกมือเพื่อให้หวังป๋ออี้หยุดเดิน“วันนี้ผมไม่ได้ฝึกก็เลยออกมาเดินเล่นข้างนอก หากว่านายต้องการผมสามารถแวะซื้อให้นายได้”
“ไม่ผมไม่ต้องการ!!” เหอไป่รีบพูดจนลิ้นพันและยกมือเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวของเขาร้อนกว่าปกติเขาทำงานตากแดดทั้งวันและยังอยู่ภายใต้แอร์ที่เย็นในงานเลี้ยงหลายชั่วโมง
ประกอบกับที่เขาทำงานจนเช้า ตอนนี้ร่างกายของเขามันจึงสลับร้อนสลับเย็นไปหมด
“คุณจำเรื่องที่ผมเคยบอกคุณได้ไหม ว่าผมสามารถทำนายดวงชะตาได้และบางทีผมก็ฝันถึงลางบอกเหตุเป็นครั้งคราว
เมื่อคืนผมฝันถึงคุณ...”
ตี๋ชิวเหอเงียบไปแล้วพูดถึงอย่างใจเย็น
“คิดมากนะ ผมรู้ว่านายคิดถึงผมมาก วันนี้ผมว่างทั้งวันน้องชายต้องการอะไรเดียวพี่ชายคนนี้จะหาซื้อให้...”
“ร้านผลไม้สีเขียวที่มีป้ายร้านชื่อ ‘Cloud’
ที่คุณซื้อผลไม้ให้ผม”
“....”
“เจ้าของร่างมีรูปร่างอ้วนบนนิ้วชี้สวมแหวนทองวงใหญ่
ที่หน้าร้านมีต้นไม้สูง..” เหอไป่พยายามนึกย้อนถึงเรื่องความฝันและค่อยๆบอกถึงเรื่องที่เขานึกได้
เหอไป่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงกล้าพูดเรื่องนี้กับตี๋ชิวเหอ มันฟังดูเป็นเรื่องที่บ้ามากและอาจจะถูกมองว่าเป็นคนเสียสติ
แต่ยังไงเขาก็ควรบอกเรื่องนี้กับตี๋ชิวเหอไม่เช่นนั้นเหตุการณ์ที่เขาจะต้องเกิดขึ้นกับอีกคน
เหมือนกับตแนที่เกิดขึ้นตกที่อีกคน ‘ถูกผลัดจากคอนโด’
อย่างแน่นอน
ตี๋ชิวเหอตอนนี้อายุเพียงยี่สิบสามปีเท่านั้น
ควรมีชีวิตที่ยาวนานกว่าชีวิตที่แล้ว เหอไป่รู้ว่าความฝันของเขาเหมือนเป็นการแจ้งเตือน
‘ปรากฎการณ์ผีเสื้อ’ ซึ่งเขาก็เหมือนผีเสื้อที่เข้าไปในเส้นทางของชีวิตตี๋ชิวเหอ
ซึ่งถ้าตัวเขาทำให้ตี๋ชิวเหอเสียชีวิตตั้งแต่ตอนนี้เขาคงไม่สามารถยกโทษให้ตัวเองได้เลย
ระหว่างคนทั้งสองเต็มไปด้วยความเงียบ
มีเพียงเสียงของลมหายใจทั้งสองเท่านั้น
“...ไป่” เวลาผ่านไปเกือบสองนาทีตี๋ชิวเหอก็พูดด้วยเสียงที่จริงจัง
“นายเห็นอะไรในความฝัน”
เหอไป่ถอดหายใจอย่างโล่งอกพร้อมเอนตัวลงบนเตียง
“ผมเห็นคุณอยู่ที่หน้าร้านขายผลไม้จากนั้นก็มีชายที่ผอมแห้งใส่เสื้อฮาวายพุ่งออกจากมุมถนน
แล้วก็...ใช้เข็มจิ้มไปที่แขนของคุณในนั้นมีน้ำสีแดงเหมือนแดง...”
“มันน่าจะเป็นไวรัส”
“อะไรนะครับ?”
“มันมีเคสที่มีผู้ติดเชื้อ XK23 แล้วฉีดเชื้อนั้นเข้าไปที่ร่างกายของคนอื่นเพื่อให้ติดโรคไปด้วยกัน คนที่ติดเชื้อมาจากประเทศเพื่อนบ้านที่แอบลักลอบหนีเข้ามา
ซึ่งติดตามตัวพวกเขาได้ยาก ดังนั้นการควบคุมจึงเป็นไปด้วยความลำบากทำให้คนในพื้นที่ตื่นตระหนักมาก”
เหอไป่ลุกขึ้นนั่งอย่างตกใจและหน้าเขาก็มืดเป็นครั้งที่สอง
เสียงจึงแผ่วเบาแทบฟังไม่รู้เรื่อง “...XK23? มันเป็นเชื้อโรคที่ทำให้คนติดโรคเสียชีวิตเกือบแปดสิบเปอร์เซ็น?
นี้คุณไม่รักตัวเองเลยหรือยังไงถึงไปวิ่งเล่นรอบๆความตาย!!”
“ใจเย็นๆ ไม่ต้องกังวล” ตี๋ชิวเหอพูดด้วยเสียงปลอบใจ “ผมไม่ได้วิ่งเล่นกับความตายซักหน่อย
เรื่องนี้มันเกิดขึ้นตั้งสามเดือนแล้วตอนนี้ทุกอย่างกับมาปกติแล้ว เรื่องออกข่าวดังจะตายผมคิดว่าคุณก็รู้เรื่องข่าวนี้ด้วย”
เหอไป่ย้อนกลับหลังจากที่มีข่าวดังนี้ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกที่เขาจะจำช่วงเวลาผิดพลาด
เหอไป่ที่ได้รับความจริงเรื่องนี้ก็อับอาย “แต่ยังไงคุณก็ต้องรีบกลับมา
ความปลอดภัยของตัวคุณต้องมาก่อนนะครับ”
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เดียววันนี้ผมจะตรงไปที่โรงพยาบาลเพื่อติดต่อขอรับวัคซีน
ใจเย็นๆนะครับ” ตี๋ชิวเหอพูปลอบใจอีกคนอีกครั้ง และก็โบกมือให้หวังป๋ออี้ที่เฝ้าอยู่นอกซอยที่เขายืนแอบอยู่ให้ไปเรียกรถมารับ
จากนั้นก็เอนตัวพิงกำแพงสายตายังเหลือบมองไปที่หน้าร้านผลไม้สีเขียวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน
“มันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว แต่ตอนนี้กับเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาอีก
ผมสงสัยว่าผมคงเป็นเป้าหมายหลักของเรื่องนี้แน่ ดังนั้นการที่ไม่สามารถจับตัวการได้ความปลอดภัยของตัวผมเองคงไม่มีโอกาสเกิดขึ้นแน่
จนกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จะถูกจับตัว”
“คุณหมายความว่ายังไงครับ
คุณจะล่อคนร้ายออกมา?” เหอไป่ที่ได้ยินขมวดคิ้วแน่น
“ใช่ครับ..ถ้าผมโชคดีคงจับตัวการใหญ่ได้ ลูกหมาน้อยนายต้องการอะไรเป็นรางวัลไหมสำหรับการช่วยชีวิตผมวันนี้หรือต้องการใช้นามสกุลของผมเพื่อมาเป็นน้องชายของผมดี”
เหอไป่ที่เกิดอาการเวียนหัวและไม่สบายตัว
เขาเริ่มคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดพลาดที่ตัวเขาเองเป็นห่วงตี๋ชิวเหอ!!
“ไม่เป็นไรผมไม่ต้องการ ถ้าคุณต้องการตอบแทนผมก็กรุณาโอนเงินในบัญชีทั้งหมดของคุณมาที่บัญชีผม
ผมจะได้เป็นเศรษฐีเพียงข้ามคืน...แต่ว่าคุณไม่สงสัยเรื่องที่ผมบอกเลยหรือครับ คุณไม่กลัวว่าผมจะเป็นคนของแม่เลี้ยงคุณ?”
ตี๋ชิวเหอระเบิดเสียงหัวเราะพร้อมหยอกล้อเหอไป่
“นายนี้นะ...เป็นคนของแม่เลี้ยงผม? ลูกหมาน้อย”
ลูกหมาน้อยของเขาเป็นคนที่ไม่ซับซ้อนอะไรเลยจนเขารู้ทุกอย่างที่อีกคนคิดด้วยซ้ำ
ทำไมถึงจะกลายเป็นคนเลวได้ล่ะ? คนอย่างฉินหลี่ที่มีเล่ห์เหลี่ยมมากอย่างเธอคงไม่มีทางที่จะให้สายลับที่
‘ไร้เดียงสา’ เช่นนี้ทำงานให้เธอแน่นอน แล้วจากคำพูดของเหอไป่ก่อนหน้าเขาก็เชื่อถึงความเป็นไปได้
เขาจึงให้ความสนใจขึ้นมา
“ลุกขึ้นมาหาข้าวเช้ากินเถอะ” เมื่อเห็นหวังป๋ออี้กลับมาพร้อมรถแท็กซี่ที่ไปเรียกจอดรอ ตี๋ชิวเหอก็เดินพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
“ตอนนี้ผมพร้อมที่จะจับคนร้ายแล้ว เมื่อเรื่องจบผมจะซื้อผลไม้ไปฝากนายนะ
เป็นเด็กดีล่ะ”
เหอไป่รับคำง่ายๆจากนั้นก็ลุกขึ้นไปล้างหน้าและโทรเข้าที่ยีคังเพื่อขอลาในวันนี้เพื่อจะไปหาหมอ
หนิงจวินเจี๋ยรีบเปิดประตูห้องพักในโรงพยาบาลพร้อมกับพบเหอไป่ที่นอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียง
“ไม่น่าแปลกเลยที่เสียงของนายตอนโทรมาจะแย่ขนาดนั้น ไหนนายบอกว่าแค่เหนื่อยเท่านั้น
แต่นี้อะไรถ้าฉันไม่เอะใจแล้วไปหานายที่หอก็คงพบนายอีกครั้งตอนนายเป็นศพไปแล้ว”
“เสียงเบาๆหน่อย มานั่งใกล้ๆนี้...ผมขอโทษแทนเพื่อนด้วยครับ”
เหอไป่ก้มหัวขอโทษผู้ป่วยที่นอนอยู่ในห้องเดียวกัน“อย่าเสียงดังสิเกรงใจคนอื่นเขา มันเป็นเพียงแค่ไข้หวัด ฉันฉีดยาไปแล้วด้วย
เดียวมันก็ดีขึ้นนะ”
ทางหนิงจวินเจี๋ยเห็นว่าเพื่อนของตัวเองไม่เป็นอะไรมากก็วางใจ
จึงเปลี่ยนเรื่องที่จะคุย “นี่นายรู้ยังว่านายกลายเป็นคนดังไปแล้ว!
เมื่อคืนเหล่าคนวงการบันเทิงโพสต์ข้อความถึงรูปภาพที่นายถ่ายไม่หยุด แล้วตอนที่นายอยู่บนเวทีนั้นด้วย
บอกฉันมานะนายกับเจี๋ยเป่ยเหลยมีอะไรลึกซึ้งกันใช่ไหม”
“อ่า...” เหอไป่หยุดพูดด้วยความลังเล
“ไม่มีอะไรหรอก
เธอเป็นลูกค้าที่ฉันไปถ่ายรูปให้ในงานวันเกิดของเธอเท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้นทำให้เธอถึงต้องพูดกับนายแบบนั้น
คุณพี่ชาย” หนิงจวินเจี๋ยตั้งใจเอ่ยล้อเลียนต่อ แต่ก็ต้องยอมแพ้เมื่อเห็นสภาพของเพื่อนเขา
“หญิงสาวคนนั้นผมได้ยินมาว่าเธอเป็นดอกไม้ขาวของตระกูลเจี๋ย ถ้านายคบเธอต้องวุ่นวายมากแน่ๆเลย”
เหอไป่เห็นว่าหนิงจวินเจี๋ยกังวลเรื่องของเขาก็ปลอบใจ
“ไม่ต้องคิดมากน่า พวกเขาเป็นคนดีมาก อีกอย่างเป่ยเหลยเป็นผู้หญิงที่เพียงแค่ขี้เล่นและเป็นกันเองเท่านั้น
เธอเป็นเพียงน้องสาวของผมซึ่งคนในครอบครัวของเธอก็รู้เรื่องนี้ เมื่อตอนกับพ่อของเธอยังให้คนของเขามาส่องฉันที่หอด้วย
ไม่ต้องคิดมาก”
“จริงๆนะ?” หนิงจวินเจี๋ยพูดอะไรไม่เชื่อ
เหอไป่ก็พยักหน้าอย่างจริงจังและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในการเลี้ยงให้อีกคนรู้เพื่อความสบายใจ
ความกังวลของหนิงจวินเจี๋ยก็เบาลง เขาก็กับมาพูดด้วยเสียงตื่นเต้น
“นายจะกลายเป็นคนดังแล้ว ให้ตายเถอะนายถ่ายรูปได้สวยมาก!
ยิ่งพวกดาราสาวๆพูดถึงนายไม่หยุด น่าเสียดายที่บัญชีเวยป๋อของนายตั้งส่วนตัวเอาไว้
ตอนนี้เหล่าคนในโซเซี่ยลคว้านหาตัวอย่างบ้าคลั่งเลยล่ะ”
เหอไป่ไม่สนใจเรื่องนั้นเขาถามถึงเรื่องที่เขาสงสัย
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับยีคัง...?”
บทที่ 48 ลูกหมาป่วย
“ประธานของยีคังต้องยิ้มไม่หุบแน่นอน! ตอนนี้บัญชีเวยป๋อของยีคังได้รับความสนใจไม่หยุดทั้งคอมเม้นท์ทั้งการแชร์ต่อจากบัญชีของเจี๋ยเป่ยเหลยที่เธอให้เครดิตคอนเซ็ปเอลฟ์และทางยีคังก็ประกาศเปิดตัวแบรนด์ลิตเติ้ลเมอร์เมด
ที่เป็นเสื้อผ้าหญิงสาว พวกเขาถึงขนาดจ้างกลุ่มนัดวาดการ์ตูนมาตั้งกระทู้ชุดของเหล่านางฟ้า”
อย่างที่เขาคาดหวังไว้
ดูเหมือนการเปิดตัวคอนเซ็ปเอลฟ์จะประสบสำเร็จอย่างมาก
เหอไป่ยินดีไปกับความสำเร็จครั้งนี้ด้วย
“ทั้งยีคังและตระกูลเจี๋ยได้รับการพูดต่ออย่างแพร่หลายในโซเซี่ยลแต่กับกันทางสตูดิโอเก่าของนายนั้นตายสนิท”
หนิงจวินเจี๋ยก็เปลี่ยนน้ำเสียงและทำหน้าจริงจัง เขาหัวเราะพร้อมกับหยิบโทรศัพท์เพื่อเปิดเข้าบัญชีเวยป๋อเพื่อเปิดบางอย่างให้เหอไป่อ่าน
“เช้าวันนี้รูปภาพของนายติดกระแสค้นหาอันดับหนึ่งหลังจากมีการแชร์กันอย่างแพร่หลายในโซเซี่ยล
เหล่าดาราสาวๆเธอกระตือรือร้นที่จะให้นายถ่ายภาพให้แล้วก็แท็กถึง Saint
Elephant ในเวลาเดียวกัน”
สีหน้าของเหอไป่เปลี่ยนไป “มีการติดแท็ก Saint Elephant? แล้วพวกนั้นทำตัวยังไง”
“เงียบกริบสิครับ..เหมือนว่าพวกเขาไม่มีตัวตน”
หนิงจวินเจี๋ยที่รู้เรื่องว่าทาง Saint Elephant แย่งงานของเพื่อนเขาไปยังไงก็รู้สึกไม่พอใจมากและขบขันที่ทาง Saint
Elephant ได้รับผลตอบแทนกับไป “เหล่าคนที่ติดตามนายก็ไม่ได้มีน้อยๆ
พวกเขาไปเจอว่านายลงประกาศบนเวยป๋อก่อนหน้าว่านายลาออกจาก Saint Elephant และตอนนี้นายทำงานเป็นช่างภาพให้กับยีคัง มันจุดประเด็นความอยากรู้อยากเห็นให้กับชาวเน็ตเป็นอย่างมาก”
เหอไป่รับโทรศัพท์มาอ่านข้อความผ่านๆเขาอ่านเฉพาะกระทู้ที่มีคอมเม้นท์ร้อนแรง
ชาวเน็ตก็ขุดคุ้ยอย่างมีประสิทธิภาพมากอย่างเช่น
ที่หม่าชิวเฉินบ่นเกี่ยวกับการได้รับสิทธิพิเศษของเหอไป่ตอนนี้เขายังทำงานอยู่ที่
Saint Elephant และยังมีคอมเม้นท์ของพนักงานที่ทำงานอยู่ Saint
Elephant มาพูดเกี่ยวกับ ตระกูลเจี๋ยที่ตอนแรกมาติดต่องานที่ Saint
Elephant เพื่อเจาะจงให้เหอไป่รับงานของเขา แต่ทางสตูดิโอกับบ่ายเบี่ยงไม่ยอมพูดความจริง
และเมื่อผู้จัดการของ Saint Elephant คนหนึ่งคัดค้านเรื่องนี้ก็ถูกคำสั่งให้พักงานจากนั้นก็ลาออกอย่างไม่เป็นธรรม
และเรื่องที่เหอไป่ถูกบีบบังคับให้ลาออกจากทาง
Saint Elephant และเรื่องความสนิทสนมของรุ่นพี่รุ่นน้องจากมหาลัย Q
ที่ทางตี๋ชิวเหอแนะนำให้เหอไป่มารับงานให้กับคุณเจี๋ยแต่ก็โดนขโมยงานไปอย่างลับๆ
เรื่องทั้งหมดถูกขุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ชาวเน็ตก็พบข้อเท็จจริงว่าเหอไป่ได้ลาออกจาก
Saint
Elephant ก่อนที่ทางตระกูลเจี๋ยจะมาติดต่องาน
แต่ทางนั้นยังแย่งงานไปจากเหอไป่ แล้วยังมีการขุดประเด็นที่ตี๋ชิวเหอหายออกไปจากวงการทั้งที่สนิทกับคุณเจี๋ยและตระกูลเจี๋ย
“....”
Saint Elephant ได้รับผลตอบแทนที่สาสม
ไม่เคยพบเจอสตูดิโอไหนที่กอบโกยผลประโยชน์น่าไม่อาย
เหล่าชาวเน็ตที่ได้รู้ความจริงโดยเฉพาะเหล่าแฟนคลับของตี๋ชิวเหอก็เริ่มออกตัวปกป้องเหอไป่
พร้อมยังทวงความยุติธรรมให้ ‘เพื่อนรุ่นน้องที่น่ารักของไอดอล!’
“ส่วนบัญชีเวยป๋อที่ตอนนี้ปิดชั่วคราวไม่ให้ผู้คนไปคอมเม้นท์
ฉันเดาว่าคงถูกต่อว่าแล้วอย่างหนัก” หนิงจวินเจี๋ยส่ายหัว
“มันคือเหตุผลที่เราถูกสั่งสอนให้ทำตัวซื่อสัตย์ เห็นผลการกระทำที่ Saint
Elephant ได้รับไหม”
เหอไป่หลุดจากภวังค์ก่อนหน้า
เหอไป่อยู่ที่
Saint Elephant ในช่วงที่ตัวเองไม่มีอะไรและทำงานตอบแทนให้กับทางนั้นอย่างเต็มที่
คนที่เขาสำนึกบุญคุณก็คือหลี่เหรินแต่เมื่อเธอลาออกแล้ว สตูดิโอ Saint
Elephant ก็เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความน่ารังเกียจ ทางนั้นสมควรที่จะได้รับผลตอบแทนที่ทำ
ตอนนี้เขาเป็นห่วงก็เพียงหลี่เหรินก็เท่านั้น
เมื่อหนิงจวินเจี๋ยสังเกตุถึงสีหน้าไม่สู้ดีของเหอไป่เขาก็เหมือนรู้สึกตัวว่าออกอาการมากเกินไป
เขาวางมือบนไหล่เหอไป่บีบอย่างให้กำลังใจและหัวเราะขึ้น
“นายอย่าคิดมากตอนนี้นายกำลังดัง ฉันขอเดาว่ามีเหล่าดารามากมายที่ต้องการให้นายถ่ายภาพให้
อย่าลืมให้เครดิตฉันเมื่อนายเป็นคนดังในอนาคต”
“ฉันต้องให้เครดิตนาย..มันช่างเป็นเรื่องที่ไร้สาระเมื่อเทียบกับพ่อแม่ของนาย”
เสียงของเหอไป่หยอกล้ออย่างสนุกเขารีบเปลี่ยนหัวข้อเพื่อคุยเรื่องอื่น
แต่ให้บอกตามตรงว่าตัวเขาห่วงคนที่อยู่ที่โรงพยาบาลที่ชายแดนมากกว่า
หวังป๋ออี้ส่งเหล่าหมอและพยาบาลที่มารักษาออกจากห้องไปจากนั้นก็หันมาพูดกับตี๋ชิวเหอ
“ตอนนี้โซเลี่ยลกำลังเต็มไปด้วยคอมเม้นท์ที่โจมตีช่างภาพหม่าและหลาน”
หวังป๋ออี้ก็อยากจะรู้ว่านายน้อยทำแบบนี้เพื่อรุ่นน้องเท่านั้นเหรอ แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็ต้องระงับทันที
ตี๋ชิวเหอพยักหน้าพร้อมลูบแขนตัวเองที่เขียวช้ำ
“บอกพวกเขาว่าให้เครดิตเหอไป่ให้เป็นที่นิยมที่สุด และอย่าพึ่งโพสต์รูปของมิสเจี๋ยที่หม่าชิวเฉินถ่ายจนกว่ามันจะเป็นประเด็นที่ร้อนแรงกว่านี้
แล้วรูปที่โพสต์ต้องเป็นรูปที่สวยที่สุดที่ทั้งสองถ่าย แต่ว่า...อย่าลืมเบลอใบหน้าของมิสเจี๋ย”
เขาตั้งใจจะทวงความเป็นธรรมให้เจ้าลูกหมาก็จริงแต่เขาก็ไม่ต้องการให้รูปหญิงสาวที่ไม่สวยแพร่หลายให้คนอื่นดู
“เบลอหน้า?” หวังป๋ออี้ไม่เข้าใจ
“แล้วคนที่ดูจะรู้ได้ยังว่าคนในภาพคือมิสเจี๋ยถ้าเราเบลอหน้า?”
“เธอมีไฝอยู่ที่แขนข้างหนึ่ง ผมเห็นว่าเหอไป่ถ่ายติดไฝเหมือนกัน
ยิ่งถ้าเราเบลอหน้าก็ยิ่งทำให้ชาวเน็ตสงสัยมากขึ้น” ตี๋ชิวเหออธิบายอย่างภูมิใจเมื่อพูดถึงเหอไป่
“แล้วอีกเรื่อง...โทรไปรายงานพ่อฉันว่าฉันถูกทำร้ายแต่ไม่สามารถที่จับตัวคนร้าย”
หวังป๋ออี้รีบหยิบโทรศัพท์ที่ต่อสายออก
ตี๋ชิวเหอพอใจในความคิดของตัวเอง
เขาหลับตาลงเพื่อเป็นสัญญาณว่าเขาต้องการพักผ่อน
หวังป๋ออี้ก็ถอยออกไปอย่างเชื่อฟัง
เมื่อประตูห้องปิดตี๋ชิวเหอเปิดตาทันทีและหยิบโทรศัพท์เพื่อต่อสายหาเหอไป่แล้วพูดด้วยเสียงน่าสงสาร
“ไป่ไป่!!
มันเป็นไปตามที่นายพูดเลยผมถูกทำร้ายแล้วชายคนนั้นก็หนีไปได้ แถมผมยังบาดเจ็บที่แขนด้วย...”
“อะไรนะ? คุณถูกทำร้าย?”
เสียงตะโกนของหนิงจวินเจี๋ยก็ดังลั่น “คุณบาดเจ็บมากไหม?
คุณกับเหอไป่ช่างเป็นพี่น้องกันอย่างแท้จริง อีกคนบาดเจ็บอีกคนก็นอนเป็นผักให้น้ำเกลือ”
ตี๋ชิวเหอเปลี่ยนเสียงทันทีคิ้วขมวดแน่น “นอนให้น้ำเกลือ? ลูกหมา...ป่วยเหรอ?”
บทที่ 49 ไอติมวนิลา
“ใช่..น่าจะเป็นเพราะไปเจออากาศที่ร้อนแล้วไปอยู่ในห้องที่แอร์เย็น
แต่ตอนนี้ไข้ของเหอไป่ก็ลดลงแล้ว ตอนนี้เสี่ยวไป่เขาไปเข้าห้องน้ำอยู่ครับ”
หนิงจวินเจี๋ยรีบอธิบายต่อ “เดียวเสี่ยวไป่ก็กลับบ้านได้แล้ว
แต่ผมคงไปอยู่กับเขาเพราะเสี่ยวไป่ชอบลืมกินยาตลอดแล้วตอนนี้รูมเมตทั้งสองของเราก็ไม่อยู่ด้วย
คุณเห็นโพสต์ในโซเซี่ยลไหมเหอไป่กลายเป็นคนดังไปแล้ว เมื่อคุณกลับมาเดียวเรามาเลี้ยงฉลองกัน
อย่างนี้ดีไหม”
ตี๋ชิวเหอมองแขนตัวเองที่มีรอยช้ำนิดหน่อยแล้วนึกย้อนถึงเสียงแหบแห้งของเจ้าลูกหมาเมื่อเช้าแล้ว
“ได้เลย เมื่อผมกลับไปเราจัดงานกัน ฝากคุณดูแลเหอไป่ด้วยนะครับอย่าให้เขาลืมกินยา”
ตี๋ชิวเหอพูดอย่างเป็นห่วงตอนแรกเขาเข้าใจว่าเหอไป่พึ่งตื่นนอนก็เลยมีเสียงแบบนั้น
มันเอ็นดูมาก...
ตี๋ชิวเหอยกมือกุมขมับ เขาพูดหลายคำเพื่อฝากให้หนิงจวินเจี๋ยดูแลเหอไป่ให้ดีก่อนที่จะวางสาย
เขามองเวลาแล้วคิดว่าสามารถกลับเมือง B ตอนนี้ทันไหม
ด้วยความร้อนใจ
หวังป๋ออี้กลับเข้ามาเมื่อรายงานเสร็จพร้อมอาหารของตี๋ชิวเหอ
เมื่อผลักประตูเข้ามาก็ได้รับคำสั่งสายฟ้าแลบ “จองตั๋วเครื่องบินเดียวนี้
ฉันจะกลับเมือง B ตอนนี้เลย”
“หา..?” หวังป๋ออี้ตอบรับอย่างไม่เข้าใจ
“แล้วการฝึกพรุ่งนี้ของนายน้อย
แล้วอีกอย่างถ้าตำรวจมาสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้น..”
“นานก็อยู่ที่นี้ค่อยจัดการเรื่องนี้ ฉันจะรีบกลับมาให้ทันในตอนเย็น”
ตี๋ชิวเหอเดินไปกดลิฟต์อย่างไม่สนใจ “เดียวผมจะแวะที่ร้านผลไม้ก่อน
แล้วอย่าลืมจองเที่ยวบินที่เร็วที่สุดให้ฉัน เดียวฉันจะตามไปที่สนามบิน
ยืนนิ่งอยู่ทำไม เร็ว!!”
“...” หวังป๋ออี้พูดไม่ออก
นี้ถ้าเขาไม่รู้เรื่องก่อนหน้า
เขาคงคิดว่านายน้อยบ้าไปแล้วที่จะหาอีกคนที่อยู่ไกลถึงพันไมล์...
เมื่อออกจากโรงพยาบาลหนิงจวินเจี๋ยก็ขับรถมองส่งเหอไป่ที่มหาลัยโดยบ่นไม่หยุดปาก
“ทำไมนายไม่นอนที่บ้านฉันมันทั้งคนคอยดูแล!!
แล้วยังรั้นที่จะกลับหอพักอีก รู้ไหมมันลำบากแค่นี้ที่นายต้องไปต้มเพื่อหาน้ำร้อนแก้วหนึ่งกิน”
“ฉันป่วยอยู่จะไปรบกวนพ่อและแม่ของนายได้ยังไง”
เหอไป่รีบอธิบาย “ตอนนี้ไข้ของฉันดีขึ้นแล้ว
นายไม่ต้องกังวลหรอก อีกอย่างนะตอนนี้ที่นอนแล้วผ้าห่มของนายยังไม่ได้ซักเลยมันสกปรกมากนายกลับบ้านไปเถอะ
ตอนนี้พ่อแม่ของนายก็กลับมาแล้วไม่ใช่เหรอ?”
หนิงจวินเจี๋ยเงียบลงทันทีเมื่อเถียงอีกคนไม่ได้
เมื่อถึงหอพักเหอไป่ยังออกปากไล่ให้เขากลับบ้านอีก
“เมื่อพี่ทั้งสองกลับมาเขาต้องบ่นถึงความดื้อรั้นของคุณแน่!!”
หนิงจวินเจี๋ยพูดอย่างหงุดหงิด ก็ยื่นถุงใบใหญ่ที่ในถุงอัดแน่นไปด้วยของกินที่แวะซื้อก่อนหน้า
จากนั้นก็ขับรถออกไปด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดไม่หยุด
เหอไป่จ้องมองท้ายรถของหนิงจวินเจี๋ยที่วิ่งจากไปและก้มลงหยิบถุงใบใหญ่เข้าห้องพัก
จากนั้นก็ถือกระติกน้ำร้อนไปที่ห้องนั่งเล่นรวมด้านล่างที่ตอนนี้ไม่มีคนอยู่ในห้องนั้นในช่วงวันหยุดยาว
อากาศที่ร้อนมากกับไม่เป็นผลอะไรกับเหอไป่เลย
ในมือถือกระติกน้ำร้อนที่ตอนนี้มีน้ำอยู่เต็มในมือ
“ลูกหมาน้อย..”
เหอไป่ยกมือที่ว่างลูบหน้า
หรือว่าเขาหูจะฝาดอีกแล้วเหรอต้องเป็นเพราะอาการเป็นไข้อย่างแน่นอน
“นายอยากได้ไหม..” จากนั้นก็มีมือแข็งแรงมาจับที่ข้อมือบอบบางของเหอไป่
พร้อมกับถุงมะม่วงถุงใหญ่มาบังที่ใบหน้าของเขา
เหอไป่ชะงักค้างจ้องมองถุงมะม่วง
ก็หันหลังกับมองจ้องมองคนข้างหลังด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ผมบาดเจ็บก็เลยต้องการที่จะกลับมาหาคุณพ่อ”
ตี๋ชิวเหอตอนนี้ไม่ได้สวมหมวกบังใบหน้า เขาสวมเพียงเสื้อยืดและรองเท้าผ้าใบ
ทรงผมสั้นทำให้อีกคนดูเข้มขึ้น อีกคนมีใบหน้าที่หยอกล้อ “แผนของผมก็ล้มเลวเนื่องจากพ่อของผมไม่ได้อยู่ที่เมืองนี้ด้วย
ผมก็เลยมาหานายพร้อมของฝาก”
เหอไป่รีบปัดมือของอีกคนแค่เมื่อเห็นแขนที่เขียวช้ำความโกรธก่อนหน้าก็หายไป
พร้อมจ้องมองตี๋ชิวเหอด้วยความเป็นห่วง“ทำไมคุณไม่รอบคอบ
ก่อนกลับมาทำไมไม่โทรเช็คว่าพ่อของคุณอยู่ที่เมืองไหม? ...ตามผมมาที่หอพักเดียวผมเปิดแอร์ให้
ตอนนี้คุณเต็มไปด้วยเหงื่อ”
“นายคิดว่าผมที่เต็มไปด้วยเหงื่อเซ็กซี่ไหม?”
ตี๋ชิวเหอหยิบกระติกน้ำร้อนมาจากมือเหอไป่ ส่วนเหอไป่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า
เหอไป่รีบแย่งกระติกกับคืนมา “นายรู้ไหมว่าหลายปีมากที่ผมใช้กระติกน้ำร้อนแบบนี้
ผมคิดถึงกระติกแบบนี้จริงๆ”
มันน่าหมั่นไส้คนที่โอ้อวดความร่ำรวยของตัวเอง
มันน่าเตะก้นจริงๆ!!
เหอไป่เปลี่ยนเรื่องเมื่อมองถุงผลไม้ในมือของตี๋ชิวเหอพร้อมเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย
“นี้คุณซื้อมาจากร้านนั้นที่ชายแดนเหรอครับ”
“ไม่ใช่...” ตี๋ชิงเหอยกคิ้วด้วยท่าทางที่เหอไป่หมั่นไส้มากขึ้น
“ผมซื้อมาจากทงที่ออกจากสนามบิน ผมเกรงที่จะมาเหานายด้วยมือที่ว่างเปล่า
ผมเลยตัดสินใจซื้อผลไม้ที่นายชอบมาให้ ผมเป็นพี่ชายที่น่ารักไหม”
“คุณเป็นพี่ชายที่ดีมาก...” เหอไป่พูดตอบอย่างกัดฟันพร้อมหยุดยืนที่ซุปเปอร์มาเก็ตที่ใกล้หอพัก “คุณกินข้าวกลางวันหรือยัง”
ตี๋ชิวเหอรีบกุมท้องทันที “ผมหิวมากจนแทบกินช้างได้ทั้งตัว”
“....” ช่างเป็นคนที่ฉวยโอกาสเก่งมาก
เหอไป่ฝืนยิ้มพร้อมหันกลับมาจ้องมองอย่างรู้ทัน
“งั้นก็ได้เลย เดียวน้องชายคนนี้จะไปซื้อช้างให้คุณเอง”
ตี๋ชิวรีบพุ่งตัวไปจับมือของเหอไป่
พร้อมรอยยิ้มกว้างใจยินดี “น้องชาย
ผมต้องการให้นายทำช้างให้ผมกินมากกว่า”
“...” เหอไป่
“น้องชายไป่?”
เหอไป่เดินไปหน้าตู้แช่จากนั้นก็หยิบไอติมและแกะซองจากนั้นก็ยัดใส่ปากของตี๋ชิวเหอ
ไอติมแท่งนั้นเป็นรสนมที่มีอัลมอนด์ที่อยู่ข้างในและเดินเอาซองไอติมไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์เพื่อให้อยู่ไกลจากตี๋ชิวเหอมากสุด
รสนมที่มีผสมอัลมอนด์การจายทั่วปากของตี๋ชิวเหอ
ตี๋ชิวเหอดึงแท่งไอติมออกจากปากจากนั้นก็จ้องมายี่ห้อของไอติมที่แท่งไม้ มันเป็นยี่ห้อโปรดของเขาเลย
นี้ลูกหมาน้อยของเขาถึงขนาดไปหาจนรู้ว่าเขาชอบกินไอติมยี่ห้ออะไรเลยเหรอ
เมื่อทั้งสองออกจากซุปเปอร์มาเก็ตก็กลับห้อง
จากนั้นเหอไป่ก็หยิบเอาหม้อหุงข้าวมาต้มน้ำเพื่อทำมาม่าต้มให้กับตี๋ชิวเหอ
“ทำไมนายใช้หม้อหุงข้าว” ตี๋ชิวเหอถามอย่างสงสัยพร้อมก้มมองหม้อหุงข้าวตรงหน้า
เหอไป่ไม่สนใจเขาใส่มาม่าลงไปเมื่อน้ำร้อนได้ที่ก็ตอกไข่ใส่พร้อมกับไส้กรอกที่หันเตรียมไว้ลงไปในหม้อ
“พักมันจะตัดไฟเองเมื่อใช้ไฟที่มากเกินไป และอีกอย่างตอนนี้เราก็เปิดแอร์ด้วยมันต้องระวังไม่ให้ใช้ไฟเยอะเดียวมันจะตัด”
ตี๋ชิวเหอพยักหน้าเหมือนรับรู้ สายตาก็จ้องไปที่ร่องรอยของการให้น้ำเกลือที่หลังมือของเหอไป่
อยู่เหมือนมีอะไรดลใจให้เขาต้องอยากไปจับมือเล็กขาวขึ้นมาเพื่อที่จะเป่าที่แผลเบาๆ
เขารีบเบนสายตาหลบทันทีแล้วแสร้งเปลี่ยนเรื่องว่าอากาศในหอพักร้อนเกินไป
“อากาศร้อนเนอะ
นี้นายตั้งแอร์ไว้ที่เท่าไรนี้?”
“ร้อนไปเหรอครับ” เหอไป่รีบคว้านหน้ารีโมตที่เขาโยนไว้ใกล้ๆตัวให้ทางตี๋ชิวเหอ
“ผมพึ่งหายไข้ก็เลยไม่ได้ปรับอุณหภูมิใหม่เลย คุณสามารถลดมันได้เลยถ้ารู้สึกร้อน”
ตี๋ชิวเหอรีบรีโมตมาและก็วางไว้ข้างตัวทันที
“ไม่เท่าไรหรอก ผมขอตัวไปล้างหน้าก็พอ” ตี๋ชิวเหอเดินไปที่โซนห้องน้ำที่อยู่หน้าระเบียง
ทันใดนั้นเมื่อเงยหน้าก็เห็นบางอย่างที่แขวนที่ไว้อยู่ที่กรอบหน้าต่าง
ให้ตายเถอะ!!
ตี๋ชิวเหอกระโดดถอยหลังทันที
ราวกับตอนนี้สิ่งที่เขาเห็นจะพุ่งเข้าใส่ มันคือ...
กางเกงชั้นใน!!!
บทที่ 50 ตบมือดังๆเลย
“เกิดอะไรขึ้นครับ? เสียงดังมากเลย”
เหอไป่ได้ยินเสียงก็เสียงโครมคราม แต่เมื่อเห็นตี๋ชิวเหอล้มลงนั่งนิ่งอยู่บนพื้น
เหอไป่ก็รีบหันมาที่ถุงที่หนิงจวินเจี๋ยซื้อมาให้“ผมจำได้ว่ามีซอสอยู่ในนี้น้า..
มันอยู่ที่ไหนนี่”
ตี๋ชิวเหอรีบลุกขึ้นยืนและวิ่งเข้าไปที่ห้องน้ำพร้อมปิดประตูอย่างรุนแรง
ปัง..!!
“....” อะไรมันจะรวดเร็วถึงปานนั้น
เหอไป่เก็บถุงช้อปปิ้งให้เข้าที่พร้อมถอนหายใจยาว
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมชั้นสูงแม้ว่าจะไร้เดียงสายังไง มันคงเป็นเรื่องที่อับอายที่จะให้คนอื่นเห็นตัวเองลื่นล้มอยู่ห้องน้ำ...
ตี๋ชิวเหอมือจับที่ลูกบิดประตูห้องน้ำแน่น ใบหน้าแดงก่ำจนลามไปที่ใบหูที่ร้อน
เสียงหัวใจเต้นดังเหมือนกล้องรัวพร้อมเหงื่อที่ออกเต็มหน้าผาก
...มันเป็นคนผิดของพื้นที่มันลื่น!!
ตี๋ชิวเหอขมวดคิ้วอย่าหงุดหงิด‘เจ้าลูกหมาต้องขัดพื้นวันนี้! ไม่อย่างนั้นมันจากลื่นแบบนี้หรือไง?!’
และเรื่องที่บ้ามากกว่านั้น เจ้าลูกหมาไม่ควรแขวนกางเกงในด้านบนระเบียงแบบนั้น?!!
ทุกคนในห้องจะออกมาล้างหน้าก็เงยหน้าขึ้นเจอจะต้องมองเห็นอย่างแน่นอน...
เมื่อตั้งสติก็กระชากประตูห้องน้ำออกมาพร้อมเดินไปที่ระเบียง
จากนั้นก็ใช้สองนิ้วคีบชุดชั้นในลงมาแล้วพุ่งตัวมาทางเหอไป่ที่ตอนนี้นั่งอยู่หน้าหม้อหุงข้าวเพื่อต้มบะหมี่
“นายมันคนไม่มีหัวคิด..ไปแขวนแบบนั้นบนระเบียงได้ยัง! ไม่คิดหรือว่าคนที่อยู่ตึกตรงข้ามจะมองเห็น
ห๊า!!!”
เหอไป่เงยหน้าตามเสียงที่เรียกเขา จากนั้นก็เห็นชายหนุ่มรูปงามที่กำแน่นไม้ราวตากผ้าเอาไว้แน่นอีกมือนิ้วก็คีบชั้นในสีขาวของเขา
เมื่อมองจากทางของเหอไป่จะแสงที่ลอดจากห้องน้ำก็สะท้อนเหมือนเงาดำข้างหลัง ทำให้บรรยกาศรอบตัวตี๋ชิวเหอดูแปลกไป
เหอไป่หัวเราะเบาๆเมื่อสังเกตุถึงใบหูที่แดงของอีกคนพร้อมท่าทางที่เตรียมพร้อมโจมตี
ก็นึกย้อนถึงฉากที่อีกคนลื่นล้ม เขาพยายามระงับเสียงหัวเราะของตัวเองอีกสักพัก จากหน้าสีหน้าก็จริงจังขึ้น“มันเป็นเรื่องผิดเหรอที่แขวนตรงนั้น แต่พวกนักศึกษาคนอื่นก็แขวนพวกชั้นในแบบนั้นอยู่แล้ว”
แต่ความจริงพวกเขาและเพื่อนร่วมห้องตกลงกันว่าพวกชุดชั้นในจะแหวนไว้ที่ราวตากผ้าด้านล่าง
แต่ช่วงนี้เขาเหนื่อยมากทำให้ต้องรีบซักผ้าและลืมตัวแขวนกางเกงในที่กรอบหน้าต่างแทนราวตากผ้า
ซึ่งก็ไม่คาดคิดว่าเด็กที่เกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทองจะมาพบเจอในวันนี้
แต่มันก็เป็นเรื่องดีที่จะหันเหความสนใจเรื่องที่จักรพรรดิจอเงินลื่นล้มอย่างน่าอับอาย
“แต่.... แต่การที่นายแขวนไว้ที่กรอบระเบียงมันหยาบคายมากเกินไป!!
มันจะเป็นยังไงถ้าล้างหนึ่งแล้วมาเจอมันห้อยอยู่แบบนั้น” เสียงที่ตี๋ชิวเหอพูดดูสั่นๆ
อย่างอดไม่ได้ เขาจินตนาการว่าเมื่อราวแขวนผ้าหักหรือล้มพัดกางเกงชั่นในของเจ้าลูกหมาต้องปลิวไปตามแรงลมแน่นอน
นี้มันช่าง...
“ห้ามแขวนไว้ที่เสาราวตากผ้า!” ตี๋ชิวเหอไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำเสียงที่เปล่องออกมาตอนนี้จะเหมือนพ่อแม่ที่พบเจอลูกตัวเองกำลังทำเรื่องผิด
“นายต้องเปลี่ยนไม้แขวนใหม่ มันต้องเป็นเหล็ก! พลาสติกมันหักง่ายเข้าใจไหม!!
และพวกถุงเท้าแล้วชั้นในก็ไม่ควรแขวนที่กรอบหน้าต่างมันอาจจะหล่นไปใส่คนข้างล่าง ไม่งั้นก็ไปซื้อไม้แขวนที่ตั้งได้มาแทน
เข้าใจที่ผมพูดไหมนี้!!”
เหอไป่มองอีกคนอย่างไม่เชื่อ“มันเป็นไปไม่ได้ที่จะซื้อไม้แขวนที่ตั้งได้มาไว้ในห้องแคบๆนี้”
ตี๋ชิวเหอมองไปรอบห้องจากนั้นก็เน้นสายตาไปที่เตียงของหนิงจวินเจี๋ยที่รกมาก
“นายสามารถไปหาห้องพักอยู่ข้างนอก”
‘ห๊า..ถึงจะรู้ว่าการที่เด็กหนุ่มร่างใหญ่อยู่ร่วมกันในห้องเล็กๆนี้มันจะไม่ดูแออัดเกินไป
แต่ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมเรื่องมันถึงบานปลายขนาดนี้!!!
เหอไป่ทำเป็นไม่ใส่ใจเขาหั่นไส้กรอกใส่ลงไปในหม้อหุงข้าวต่อแล้วใช้ตะเกียบคนในหม้อ
“ผมไม่ต้องการย้ายแล้วตั้งใจว่าจะอยู่จนกว่าจะจบปีสี่ ยิ่งกว่านั้นพวกเหล่าซานก็ไม่เคยใส่ใจถึงชุดชั้นในของผม
แม้ว่าพวกเขาจะล้างหน้าเจอทุกวัน ทำไมคุณถึงโมโหมากขนาดนี้?”
อะไรนะ?! ชุดชั้นในของเจ้าลูกหมาถูกเห็นโดยเพื่อนรูมเมตทั้งหมด?
เรื่องนี้มันน่าแตกให้มือแตกจริงๆ! ตี๋ชิวเหอรู้สึกเหมือนธาตุไฟเข้าแทรก
เขาก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงโมโห แต่สิ่งที่รู้ตอนนี้ก็คือเขาไม่ชอบใจเรื่องนี้อย่างรุนแรง
ถึงแม้ว่าเขาจะเคยแขวนชุดชั้นในในหอพักเหมือนนักศึกษาคนอื่นๆก็ตามเถอะ
“แล้วคุณจะถือกางเกงในของผมอีกนานไหม?”
เหอไป่วางชามบะหมี่ไว้บนโต๊ะจากนั้นก็หยิบไม้แขวนพร้อมชุดชั้นในจากมือของตี๋ชิวเหอไปตากที่ระเบียงเหมือนเดิม
จากนั้นก็หันมาดันหลังให้ตี๋ชิวเหอเดินไปที่โต๊ะ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเอาใจ
“มากินบะหมี่ก่อนมีซอสพริกเหล่ากานมาอยู่บนโต๊ะจัดการปรุงเอาเองนะ
คุณอย่าลืมนะครับว่าหอตรงข้ามก็มีแต่นักศึกษาผู้ชายทั้งนั้น การจะเห็นของแบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมดา
คุณไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนหรือไงครับ?” เหอไป่ถามอย่าสงสัย“อีกอย่างคุณไม่อายแม่บ้านของคอนโดหรือไงที่เธอเอาพวกชั้นในคุณไปซักพร้อมเสื้อผ้าแล้วยังต้องนำของเหล่านี้มาจัดที่ตู้เสื้อผ้าให้คุณอีก?
นอกจากนี้แม่เลี้ยงของคุณก็ต้องจัดการซื้อเสื้อผ้าและพวกชั้นในตอนนี้คุณอยู่ที่บ้านตระกูลตี๋?
ไม่ต้องอายหรอกน่าแม่ของผมก็เคยซื้อชุดชั้นในให้ผมตอนที่เธอยังอยู่ ใจเย็นๆ
มันเป็นเพียงผ้าชิ้นหนึ่งเท่านั้น”
“....” ตี๋ชิวเหอที่ได้กลิ่นหอมของบะหมี่ถึงรู้ตัวเองวันเขาหิวมาก
เขาคีบเส้นมากินได้หนึ่งคำก็เข้าใจที่เหอไป่พูด นี่เจ้าลูกหมาน้อยไม่พอใจที่ชุดชั้นในของเขาจะพูดพบเห็นจากคนหลายคน
นี้ลูกหมาหวงเขาเหรอ ตี๋ชิวเหอชักสีหน้าพูดอย่างจริงจัง“ไม่มีอีกแล้ว...ผมจะซักชุดชั้นในเอง
แล้วจะโละของเก่าทิ้งไปให้หมด”
เหอไป่มองตี๋ชิวเหออย่างไม่เชื่อสายตา จากนั้นก็ตบไปที่ไหล่ของอีกคนอย่างชื่นชม
คนคนนี้ช่างอวดตัวเองถึงสองครั้งแล้ว“อืม...เด็กชายตี๋
คุณเป็นผู้ใหญ่ที่ดีจริงๆ นั้นเป็นเรื่องที่ดีมาก”
ตี๋ชิวเหอหันไปมองเหอไป่ทันทีพร้อมเลิกคิ้วใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“นายต้องทำเองด้วย! ยกเว้นเพื่อนรูมเมทของนายเท่านั้น คนอื่นต้องไม่เห็นกางเกงในของนาย!!!”
เหอไป่คิดถึงเหตุผลที่เขาจะตอบรับคำพูดที่บ้าบออย่างนี้ยังไงดี
จากนั้นก็พูดด้วยเสียงที่โกรธขึ้น“คุณกลับไปกินบะหมี่!
อย่ามาวุ่นวายเรื่องของผม” ตี๋ชิวเหอคิดว่าตัวเขาเองเป็นคนโรคจิตหรือยังไงถึงจะถือชุดชั้นในให้คนอื่นเห็น
ทำไมเรื่องที่พูดคุยถึงมาจุดนี้ได้...
ตี๋ชิวเหอลุกขึ้นยืนอย่างไม่พอใจพร้อมสีหน้าจริงจัง
“นายเห็นฉันเป็นคนยังไงนี้ อืม?” ลูกหมาน้อยกล้าถือดียังไงถึงกล้าสั่งพี่ชายอย่างเขา
“นั่งลงแล้วกินต่อไปเลย! ช่วยทำตัวดีๆหน่อยครับ”
เหอไป่พูดอย่างเด็ดขาดก่อนที่จะหันหลังใส่ตี๋ชิวเหอพร้อมเดินก้าวไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบชุดนอนออกมาและยังหันมาเตือนตี๋ชิวเหอ
“ถ้าคุณอิ่มแล้วก็ไปที่ตู้เย็นมันมีไอติมอยู่ในนั้นโปรดหยิบมันออกมาแล้ว
ตักกินเพื่อให้อารมณ์ของคุณดีขึ้น ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนเพราะทั้งตัวของผมตอนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นยาและเหนียวตัวไปหมด”
จากนั้นก็หันไปที่ประตูห้องน้ำเพื่อหลีกหนีเรื่องที่น่ารำคาญ!!
ปัง!!! หลังจากเสียงปิดประตูก็ตามด้วยเสียงน้ำไหล
ความโกรธที่พี่ชายต้องสั่งสอนน้องตัวเองก็ปลิวหายทันที
“เจ้าเด็กแสบ!!! นายยังเป็นเจ้าลูกหมาที่หยิ่งมากเกินไปแล้ว”
ตี๋ชิวเหอจับคางสายตาจ้องมองที่ประตูห้องน้ำ และหางตายังเห็นชุดชั้นในที่แขวนที่ระเบียงจากจุดที่เขาพึ่งดึงมันลงมาเป็นเวลานาน
เมื่อนึกขึ้นได้ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาพร้อมรัวนิ้วบนแป้นหน้าจอ
ตี๋ชิวเหอ: เลขาหวังฉันรู้สึกไม่ดี
คุณช่วยลางานให้ผมด้วย
ตี๋ชิวเหอ:
อีกเรื่อง...ฉันถามหน่อยว่าถ้าน้องชายทำตัวไม่เชื่อฟังฉัน ฉันควรสั่งสอนยังไง
แต่ว่า...ข้อความนี้ถูกส่งไปให้เจี่ยงซิ่วเหวินแทน
บทที่ 51 ยุงนะ
เวลาไม่ทันสิบวินาที ก็มีข้อความตอบกลับมา
เจี่ยงซิ่วเหวิน: ก็ฆ่าเขาให้ตายแล้ว
ก็กินเขาซะ
ตี๋ชิวเหออ่านข้อความก็ทำไม่สนใจข้อความที่ตอบกลับมาหรือว่าที่ตัวเขาเองจะส่งข้อความผิด
เขาทำเพียงหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง เวลานี้เป็นเวลาอันสมควรที่เขาจะต้องสั่งสอนน้องชายที่จะไม่ไปทตัวำแย่ๆกับคนอื่น
ประตูห้องน้ำเปิดออกมาเมื่อตี๋ชิวเหอกินไปได้เพียงครึ่งชาม
เหอไป่เดินออกมาพร้อมเสื้อกล้ามและการเกงขาสั้นกุด ตัวของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นของสบู่และมือขาวเล็กก็ยังใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมให้แห้ง
ตี๋ชิวเหอตกใจกับภาพที่เห็นปากอ้าค้างมือก็ถือตะเกียบนิ่งบนอากาศ เมื่อนึกได้เขาก็รีบก้มหน้าคีบเส้นในถ้วยขึ้นอย่างรวดเร็ว
“คุณอิ่มไหม” เหอไป่เดินมาหาตี๋ชิวเหอที่โต๊ะ
พร้อมหยิบถ้วยบะหมี่ของตัวเองออกมาจากถุงที่ซื้อมาแล้วก็เทน้ำร้อนใส่”ผมขอโทษด้วยที่มีอาหารเพียงเท่านี้ทั้งที่คุณฝึกหนักมาทั้งวัน ถ้าไม่พอคุณสามารถเพิ่มเส้นบะหมี่ได้นะ
แล้วไม่ต้องกังวลว่าคุณจะกินไม่หมดเพราะเดียวผมจัดการมันต่อทีหลัง”
เหอไป่จัดการกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างคล่องแคล่ว
แต่สายตาของตี๋ชิวเหอไปกับไม่ได้จ้องไปที่ตรงนั้น เขาเพียงจ้องเสื้อกล้ามสีขาวที่เด็กหนุ่มใส่
การที่เหอไป่ก้มตัวไปเทน้ำร้อนใส่ในถ้วยทำให้คอเสื้อกล้ามหย่อนลงจนเกือบเห็น
แค่ก...หัวนมสีชมพูที่เหมือนเด็กทารกทั้งสองข้าง
ตุ๊บ...!
ตะเกียบในมือของตี๋ชิวเหอหล่นลงพื้น
“เฮ้ย...” เหอไป่ไม่สนใจสีหน้าของตี๋ชิวเหอเขาก้มไปเก็บตะเกียบและโยนมันในถังขยะจากนั้นก็เดินไปหยิบมาให้ใหม่“ไม่เป็นไรครับ เรามีตะเกียบที่ใช้ครั้งเดียวตั้งเยอะในห้อง”
“นายไม่ต้องคิดมากแท้จริงแล้วแค่เอามาล้างก็เท่านั้น”
ตี๋ชิวเหอรับตะเกียบแต่สายตาก็มองที่ถ้วยบะหมี่ตรงหน้าไม่ละสายตา
“ลูกหมาน้อยแม้ว่าตอนนี้เราจะอยู่กันสองคน นายก็ระวังตัวหน่อยสิ”
เหอไป่ไม่เข้าใจ
“คุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร” จากนั้นก็เอี้ยวตัวไปหยิบไส้กรอกในถุงมากัดและเอนตัวพิงเก้าอี้สายตาจ้องที่ใบหน้าของตี๋ชิวเหอ
เสื้อกล้ามตัวหลวมบางที่เห็นผิวที่อยู่ภายใต้เสื้อบาง
ริมฝีปากเล็กที่กำลังเคี้ยวไส้กรอก มันช่าง...
ตี๋ชิวเหอที่ตอนนี้ก้มหน้ากินบะหมี่ตรงหน้าก็รู้สึกใจเขาเต้นแรงเหมือนกับมันจะกระดอนออกมา
สิ่งที่เขารู้ตอนนี้ ก็เพียงอธิบายไม่ได้ถึงเรื่องที่เขารู้สึกกับเจ้าลูกหมาตัวน้อย...
“นาย...นายไม่ใช่เจ้าลูกหมาของผม!!”
ดวงตาของตี๋ชิวเหอดุดันขึ้นจากนั้นก็กระแทกตะเกียบบนโต๊ะเสียงดังสายตาดุไม่ละจากใบหน้าของเหอไป่
“บอกมานะว่านายเป็นตัวปลอมใช่ไหม? นายเอาลูกหมาน้อยของผมไปไว้ไหน
ไม่ใช่ว่านายทำอะไรลูกหมาน้อยของผมนะ”
ห๊า...สมองของอีกคนถูกกระแทกเหรอ?
เหอไป่ตัดสินใจหยิบไส้กรอกอันใหม่ออกมาแล้วหักเป็นสองส่วน
ส่วนแรกใส่ปากตัวเองและอีกส่วนก็ยึดใส่ปากตี๋ชิวเหอให้ลึกที่สุด
“พ่อของคุณจะกลับบ้านเมื่อไร” มันนานเกินไปแล้วที่เขาเลี้ยงเด็กน้อย
“มันดึกเกินไปแล้วที่เด็กชายอย่างคุณไม่กลับบ้าน” เขาไม่สามารถรับมือกับเด็กที่แสนร้ายกาจไหว มันดีกว่าที่เขาจะส่งอีกคนกลับบ้าน
ตี๋ชิวเหอก็ตกใจเหมือนมีน้ำเย็นสาดที่ใบหน้า
เขาหยิบไส้กรอกออกจากปากอย่างล่องลอย “นาย..นายไล่ผมออกไป”
เหอไป่ยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ไม่ใช่คือยังไงดีล่ะ? ผมเตือนคุณว่าควรกลับบ้าน
เพราะคุณต้องไปเล่าเรื่องที่คุณเจอให้พ่อของคุณไม่ใช่เหรอครับ?”
เสียงที่อ่อนโยน
กางเกงขาสั้นเสื้อกล้ามตัวบาง อ่า...กลิ่นหอมของสบู่...
ความรู้สึกไม่พอใจปลิวหายทันที อาการของตี๋ชิวเหอสงบลง
เขาจ้องมองลักยิ้มที่แก้มซ้ายและย้อนกับมามองที่ชามก๋วยเตี๋ยว เสียงของเขาก็ดีขึ้น
“นายไม่อยากให้ผมอยู่ต่อ”
“...” เกิดอะไรขึ้นทำไมสีหน้าผิดหวังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
นี้มันเปลี่ยนเร็วเกินไป
“ผมขายคอนโดไปแล้ว” ตี๋ชิวเหอโยนไส้กรอกในมือลงไปในถ้วยแล้วใช้ตะเกียบคนไปมา
“แท้จริงแล้วผมรู้ว่าตอนนี้พ่อของผมอยู่ในเมือง B แต่ท่านไม่ต้องการพบผม เพราะท้ายที่สุดท่านก็ต้องพึ่งพาตระกูลฉินเพื่อบริษัทของท่าน
มันทำให้แม่เลี้ยงของผมสำคัญขึ้น ซึ่งมันเป็นสาเหตุที่ลูกชายคนโตอย่างผมจะไม่ได้เจอคุณพ่อ
ก็เธอเกลียดขี้หน้าผมนี้”
เหอไป่อยากจะตบเมื่อดังๆกับฉากตรงหน้า
“ผมต้องเช่าบ้านพักที่ในเมืองนี้ ซึ่งก็เป็นตอนที่ผมพบกับคุณครั้งที่แล้ว
แต่ว่าเมื่อผมไปที่บ้านพักมันยังไม่ได้ทำความสะอาดมันทั้งเละเทะและสกปรกมาก...”
เสียงถอนหายใจอย่างแผ่วเบาพร้อมรอยยิ้มเหมือนจะอ้อนอีกคน “ผมน่าสงสารมากเลยใช่ไหม? ตอนที่ผมกลับมาที่เมืองนี้ก็มีเพียงแต่นายที่ยอมคุยกับผม”
แปะ!!
เหอไป่ยกมือตบไปที่แก้มที่ยิ้มตรงหน้า แล้วมองสีหน้าตกใจที่ฉายความไม่เข้าใจให้เห็นชัด
“ยุ่งนะ” เหอไป่ดึงมือออกจากใบหน้าแล้วก็โชว์ยุงที่นอนตายอยู่บนฝ่ามือพร้อมปัดมันทิ้ง
จากนั้นก็ไปหาเครื่องไล่ยุงไฟฟ้าข้างตู้เสื้อผ้า
“นาย...” ความรู้สึกโมโหตีกลับมาอีกครั้ง
มือไม้สั่นที่อยากจะยกไปทุบหัวของลูกหมาน้อย
“เจอแล้ว...ดีนะที่น้ำยามันยังไม่หมด”
จากนั้นก็เดินไปเสียบปลั๊กและปีนไปที่เตียงของหนิงจวินเจี๋ยแล้วทิ้งตัวคว่ำเพื่อถึงผ้าปูที่นอนแล้วผ้าห่มออกมาจากเตียง
จากนั้นก็เอาผ้าห่มไปแขวนที่ขอบระเบียงเพื่อผึ่งแดดแล้วก็เดินกับมาหยิบผ้าปูที่นอนที่พึ่งซักโยนไปที่เตียง
และกระโดดกับที่เตียงพร้อมปูผ้าด้วยความชำนาญ
มีเพียงตี๋ชิวเหอที่มองตาโตตามร่างเล็กที่ขยับตัวไปทั่วห้อง
และตอนนี้ก็กำลังดึงผ้าปูที่นอนผืนเก่าออกมา ที่เสร็จแล้วก็หอบผ้าผืนเก่าไปวางที่บริเวณที่ล้างหน้าจากนั้นก็ลากกระมังเปิดน้ำใส่ผงซักฟอก
ตี๋ชิวเหอถามอย่างสงสัย “นายกำลังทำอะไร?”
“เปลี่ยนผ้าปูที่นอนแล้วจัดเตียง” เมื่อปูผ้าผืนใหม่เสร็จก็หันมาพูดทางตี๋ชิวเหอ “วันนี้แดดกำลังดีผมเลยเอาพวกผ้าห่มผึ่งแดด
เดียวคุณนอนที่เตียงผมเลยคืนนี้”
ตี๋ชิวเหอพยักหน้าอย่างล่องลอยสายตายังจ้องมองร่างที่วิ่งไปมาอย่างคล่องตัว
มันเป็นความรู้ที่อธิบายไม่ถูกตีวนกันอยู่ในท้อง จากนั้นก็เดินมาหาเด็กหนุ่มที่กำลังอยู่หน้ากระมังซักผ้า
“ที่จริงแล้วผมสามารถนอนเตียงเดียวกับนายได้นายจะได้ไม่ต้องมาเหนื่อยซักผ้า”
มันเป็นความคิดที่เยี่ยมมาที่พี่น้องนอนเตียงเดียวกันและพูดคุยตลอดทั้งคืน
“คุณไม่เห็นเหรอว่าเตียงผมไม่สามารถนอนอัดกันได้”
เหอไป่เริ่มขยับมือเมื่อเห็นฟองผงซักฟอกเข้าที่ “คุณอยากช่วยผมไหม”
ตี๋ชิวเหอกำลังคิดหาวิธีที่คืนนี้เขาจะได้นอนกับกับน้องชายแล้วก็...กอดกันเพื่อกันตกเตียง
แค่ก!!
“ดีเลย คุณกับไปที่ถ้วยบะหมี่นะแล้วเทในน้ำใส่เข้าไปจากนั้นก็ปรุงรสและก็คีบใส่ปากเงียบๆนะครับ”
เหอไป่สะบัดน้ำที่อยู่ในมือไปที่ใบหน้าที่ยื่นออกมาจากนั้นก็เดินไปกดที่ไหล่ของตี๋ชิวเหอ
“กินเงียบๆจนกว่าจะอิ่มนะครับ”
ตี๋ชิวเหอยกมือยอมแพ้และก็เช็ดหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำ
ทำให้อดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีเมื่อจ้องมองลูกหมาของเขากำลังขยี้ผ้าจากนั้นก็ใส่น้ำร้อนลงถ้วยอย่างอารมณ์ดี
เหอไป่กลอกตามองบนเมื่อได้ยินเสียงฮัมเพลง ก็ยิ้มขึ้น
ดูเหมือนว่าเด็กชายตี๋จะเป็นเหมือนที่เขาชอบพูดใส่ เด็กชายตรงหน้าตอนนี้ช่างดูหน่อมแน้มไร้เดียงสา
สิบนาทีต่อมาตี๋ชิวเหอถือถ้วยบะหมี่ที่ได้ปรุงรสใหม่ที่ในถ้วยมีเส้นอยู่เต็ม
“สุกแล้วเหรอครับ?” เหอไป่ที่ตอนนี้พึ่งจัดการผ้าปูเสร็จกำลังเอาปลอกหมอนมาขยี้ต่อ
“อ้าปาก..” ตี๋ชิวเหอไม่ตอบคำถามแต่วางถ้วยบะหมี่มาที่มือช้ายจากนั้นก็ใช้อีกมือคีบเส้นด้วยตะเกียบ
และพูดด้วยใบหน้าใสซื่อ “ผมทำเสร็จแล้ว นายลองชิมดูสิ
อ้าปากเร็ว!!”
นี้เขาประเมินอีกคนสูงเกินไป
สมองของตี๋ชิวเหอไปแล้ว
เหอไป่หันหัวหลบ “ไปวางบนโต๊ะเถอะครับ เดียวผมไปกินมันเองหลังจากเสร็จจากตรงนี้แล้ว”
“เดียวมันไม่ร้อน” ตี๋ชิวเหอขมวดคิ้วเหมือนกำลังดุ
เหอไป่รีบอธิบาย “ไม่เป็นไร เดียวกินตอนนั้นก็ได้”
“แต่นายยังป่วยอยู่
มันไม่ดีที่กินข้าวไม่ตรงเวลา” ตี๋ชิวเหอพูดอย่างไม่ยอมแพ้
และยื่นตะเกียบไปตรงหน้า
“...”
ผ่านไปเกือบนาที
เหอไป่ก็ยอมแพ้พร้อมอ้าปากเพื่อกินเส้นบะหมี่ตรงหน้า
เขาเริ่มรู้สึกเสียใจกับตัวเองที่พาเด็กคนนี้มาที่หอพัก
ตี๋ชิวเหอจ้องมองแก้มป่องที่กำลังเคี้ยวบะหมี่พร้อมสายตาเจ้าเล่ห์
แม้ตะเกียบจะเป็นของใหม่แกะซองแต่เขาก็กินบะหมี่ถ้วยนี้ไปครึ่งแล้ว ลูกหมาน้อยไม่รังเกียจที่จะกินถ้วยเดียวกับเขา..ลูกหมาเชื่อฟังและชอบเขามากอย่างที่คิดไว้เลย!
ไม่สนใจว่าที่กินจะมีน้ำลายเขาไหม!!
ตี๋ชิวเหอตอนนี้อารมณ์ดี IQ
ของเขาก็กับมาปกติจากที่ก่อนหน้าให้ EQ มันบดบังตั้งนาน
“ไม่ต้องคิดมากเรื่องข่าวในโซเซี่ยลผมได้ยินมาว่าตระกูลกำลังจะแถลงข่าว
ผมจะไม่ทำให้สตูดิโอ Saint Elephant มามีผลกระทบต่องานในอนาคตนายแน่”
เหอไป่รีบกลืนเส้นลงคอด้วยความตกใจ “นี่คุณโทรหาตระกูลเจี๋ยเหรอครับ?”
“ใช่” ตี๋ชิวเหอไม่สนใจเขาคีบเส้นบะหมี่แล้วพันให้กินง่ายขึ้น
“ผมเพียงแค่คุยกับผู้อาวุโสเจี๋ยว่า..เป่ยเหลยยังเด็กไปที่เห็นจะจัดงานแต่งงานหรือแม้แต่งานหมั้น
คุณปู่เห็นด้วยไหม ผมก็พูดเพียงแค่นี้เท่านั้น”
บทที่ 52 อะไรนะ
เหอไป่รีบกลืนบะหมี่พูดอย่างสงสัยว่า
“คุณบอกอะไรนะ เป่ยเหลยเธออายุแต่สิบแปด เธอยังอายุน้อยอยู่เลย ยังไงคนในตระกูลเจี๋ยคงไม่ให้เธอแต่งงานแน่”
แม้ว่าจะเคยได้ยินมาจากโซเซี่ยลว่าเหอไป่
‘เป็นพี่ชายที่รัก’ และยังเป็นเด็กหนุ่มที่ได้รับการเอ็นดูจากผู้อาวุโสเจี๋ย
ในช่วงเวลาที่เขาห่างจากเหอไป่ ความหวงก็เกิดขึ้นในใจและพูดด้วยเสียงหน้าจริงจัง “นายก็คิดแบบนั้นใช่ไหม อายุเท่านี้ไม่ควรจะมีความรัก”
“ผมก็คิดแบบนั้น” เหอไป่ผงกหัว
เด็กสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีช่างมีกลิ่นหอมที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสา และเด็กหนุ่มบางคนวัยนี้ก็ใสซื่อหลอกง่าย
ดังนั้นเป็นการดีที่พ่อแม่จะเลี้ยงดูเด็กๆเหล่านี้ให้ห่างไกลเรื่องความรัก แต่ถ้าพบเจอกับคนที่ถูกใจก็ต้องตรวจสอบคนนั้นอย่างดี
รอยยิ้มของตี๋ชิวเหอกว้างขึ้นจากนั้นก็ป้อนอาหารให้ลูกสุนัขอย่างมีความสุขเมื่อเจ้าลูกหมาเห็นด้วยกับเขา
ดังนั้นอีกคนป้อนอีกคนกิน
ระหว่างที่ซักผ้าเขาทั้งสองก็ซุบซิบเรื่องในเน็ตจนก๋วยเตี๋ยวหมดถ้วย
ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศและหยดน้ำที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอหยดลงพื้นจากความร้อนของแสงอาทิตย์
“เราจะดูหนังเรื่องนี้ไหมครับ” เหอไป่ไปค้นเจอหนังสยองขวัญพร้อมกับถุงขนมยื่นให้ตี๋ชิวเหอ จากนั้นก็ไปที่ถุงมะม่วงที่เป็นของฝากมาปลอกเปลือก
“ผมอยากดูมาตั้งนาน แต่ผมไม่มีเวลาดูเลย...คุณดูหนังสยองขวัญได้หรือเปล่า?”
“ได้สิ” ตี๋ชิวเหอลากเก้าอี้ล้อเลื่อนมาทางเหอไป่ดูท่าทางร่าเริงขึ้น
ตอนที่ลูกหมาอารมณ์ดีจะพูดมากขึ้นอย่างไมรู้สึกตัว“ยอดเยี่ยม
ถ้านายชอบหนังแนวนี้ ผมจะรับหนังแบบนี้มาเล่นทีหลัง นายว่ายังไงดีไหม”
เหอไป่นึกถึงหนังสยองขวัญที่ตี๋ชิวเหอเล่นก่อนย้อนกลับมา
ซึ่งเทียบแล้วคงอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ เหอไป่จึงพยักหน้าอย่างให้กำลังใจ
“มันต้องเป็นหนังที่ยอดเยี่ยมแน่ คุณต้องเป็นที่รู้จักมากกว่านี้”
ตี๋ชิวเหออารมณ์ดีมากกว่าเดิมเมื่อไดักำลังใจจากลูกหมาของเขา
‘ลูกมาชื่นชมในตัวเขาต้องให้ดังมากกว่านี้’ จากนั้นก็พูดขึ้นเหมือนให้คำสัญญา
“ผมจะแสดงหนังให้โด่งดังและจะทำให้เป็นที่รู้จักมากกว่านี้” จากนั้นก็ยื่นขนมไปที่ปากของเหอไป่
เหอไป่มองขนมที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็หยิบมันโยนเข้าปาก
แล้วก็ตอบแทนด้วยชิ้นมะม่วงที่เขาพึ่งหั่นเสร็จ “ผมจะรอครับแต่ตอนนี้คุณกินแล้วอยู่เงียบๆเถอะครับหนังจะดังมันส์เลย”
ตี๋ชิวเหอยกคิ้วมองชิ้นมะม่วงที่อยู่ในมือของเหอไป่
จากนั้นก็โน้มคอไปกินชิ้นมะม่วงในมือของเหอไป่ ตี๋ชิวเหอกลืนเข้าคอและพูดด้วยเสียงที่ผ่อนคลาย
“ใช่มันเป็นเรื่องง่ายๆแล้วคงอีกไม่นานหรอก”
เหอไป่สะบัดมือพร้อมยัดถุงขนมไว้ในอ้อมแขนของตี๋ชิวเหอ
ตี๋ชิวเหอถือถุงขนมพร้อมถอนหายใจ ‘มันช่างน่าเศร้า’ เขารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างตื่นเต้นจากนั้นก็พิมพ์ข้อความส่งออกไป
ตี๋ชิวเหอ: น้องชายของฉันไม่มีความสุข
ฉันควรต้องทำยังไงดี?
เจี่ยงซิ่วเหวิน: นายก็ทำอาหารให้เขา
แล้วก็ฆ่าตัวตายไปซะ
เฮอะ!! ช่างเป็นคนขี้อิจฉา
ตี๋ชิวเหอเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าและโน้มตัวเอนพิงเหอไป่พร้อมสายตาจ้องมองทีวีที่หนังกำลังเล่นอยู่
เมื่อหนังจบก็เป็นเวลามื้อค่ำพอดี เขาจัดการทำอาหารแบบง่ายๆให้พอทั้งสองคน
เมื่อกินเสร็จก็หยิบหนังเรื่องใหม่มาดูกันต่อจนนาฬิกาโชว์เวลาสี่ทุ่ม เหอไป่ก็ปิดทีวีและจัดการกับผ้าห่มเพื่อล้มตัวลงนอนบนเตียงของหนิงจวินเจี๋ย
เขาอ้าปากหาวจากนั้นก็พูดกับตี๋ชิวเหอที่นอนอยู่บนเตียงของเขา
“ฝันดีนะครับ”
ตี๋ชิวเหอหันมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาเบลอๆเขาเผลอสูดกลิ่นหอมของเด็กหนุ่มขากผ้าห่มที่เข้ากำลังห่มอยู่ตอนนี้พร้อมรอยอยิ้มและพูดด้วยเสียงเบา
“ราตรีสวัสดิ์เจ้าลูกหมาน้อยแสนซนของผม” ผมหวังว่านายจะมีผมอยู่ในความฝัน
เป็นเวลาเกือบสิบนาทีเขาไม่เห็นการเคลื่อนไหวของเหอไป่
มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาในความเงียบ
ตี๋ชิวเหอที่รอจนมั่นใจว่าเหอไป่หลับสนิทเขาก็ลุกขึ้นเปลี่ยนจากชุดนอนที่ยืมเหอไป่มาเป็นชุดเก่าของเขาที่ใส่ก่อนหน้าพร้อมกล่าวอำลาเหอไป่ในใจจากนั้นก็ปิดประตูแล้วล็อคกลอนอย่างดี
หลังจากที่ตี๋ชิวเหอเกลี้ยงกล่อมผู้ดูแลหอพักให้ตัวเขาสามารถออกไปได้
เขาก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมเปิดเครื่อง
หลังจากที่เปิดเครื่องก็มีการแจ้งเตือนถึงสายที่โทรหาและข้อความที่ส่งมาเป็นสิบๆ
ทั้งหมดมาจากหวังป๋ออี้
ตี๋ชิวเหอกดโทรออกไปที่เบอร์นั้น
“ขอบคุณพระเจ้า!
สุดท้ายก็ติดต่อนายน้อยได้ นายน้อยพึ่งลงจากเครื่องเหรอครับ? เดียวผมจะขับรถไปรับเดียวนี้”
“ไม่..” ตี๋ชิวเหอเงยหน้ามองไปที่หน้าต่างห้องของเหอไป่พร้อมเสียงที่ผ่อนคลายอย่างไม่รู้ตัว
“ฉันว่าจะอยู่ที่นี้อีกสักพักเพราะเหอไป่คิดถึงฉันมาก นายไปจัดการเลื่อนตั๋วเครื่องบินใหม่ให้ฉันก่อน”
หวังป๋ออี้พูดด้วยเสียงที่ตกใจ
“ตอนนี้นายน้อยอยู่ที่เมือง B แล้วพรุ่งนี้คุณต้องมีการฝึกซ้อมด้วย
แล้วนายน้อยจะพักที่ไหนผมไม่ได้จองที่พักไว้ให้เลยครับ...”
“ฉันรู้น่า..ส่งรถมารับฉันให้ทันเวลาที่ฉันลงเครื่องก็พอ”
ตี๋ชิวเหอกดวางสาย สายตาที่ไม่ละไปจากห้องนอนของเหอไป่พร้อมถอนหายใจจากนั้นก็เดินจากหอพักไป
การซุบซิบในโซเซี่ยลเป็นไปอย่างดุเดือน ตอนนี้คนติดตามเวยป๋อของเหอไป่ทะลุ
100,000
คน และเหมือนตัวเลขมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะทั้งบัญชีของคนในตระกูลเจี๋ยและบัญชีทางการของยีคังได้แท็กถึงบัญชีของเหอไป่เพื่อสนับสนุนเหอไป่อย่างเงียบๆ
เมื่อเทียบกับบัญชีของเหอไป่กับบัญชีของสตูดิโอ
Saint Elephant ช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหว ทั้งลุงหลานหม่าก็โดนกระแสโซเซี่ยลต่างว่าอย่างรุนแรง
ชาวเน็ตบางคนถึงขนาดนำรูปที่ทั้งสองถ่ายให้กับเจี๋ยเป่ยเหลยจะการแชร์ต่อมาต่อว่าถึงฝีมือของการถ่ายภาพเป็นเด็กมัธยมภาพ
พึ่งพาแต่การรีทัชภาพเพื่อช่วยให้ภาพดูดีขึ้น
เหอไป่นั่งอยู่แถวหลังสุดของรถบัสหลังจากตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแล้วไม่พบตี๋ชิวเหอ
ตอนนี้เขาพึ่งมีเวลาเล่นอินเตอร์เน็ต เวลานี้เจาเปิดอ่านกระทู้ที่สตูดิโอ
Saint Elephant โดนโจมตีจากรูปที่ถ่ายให้เจี๋ยเป่ยเหลยถึงแม้ใบหน้าจะถูกเบลอไปแล้วก็ตาม
ทั้งสองทำไมมั่นใจรูปที่ถ่ายขนาดนี้?
แม้ว่าภาพที่ถ่ายจะมีช่างหม่าเป็นคนควบคุมแล้วดูจากการจัดองค์ประกอบของภาพ
มันช่างแสดงถึงมาตรฐานที่ทางสตูดิโอที่แน่ขนาดไหน?
เหอไป่ส่ายหัวสายตายังอ่านถึงคอมเม้นท์ที่มีแต่ความสาดเสียใส่สตูดิโอ
Saint Elephant เหอไป่จึงตัดสินใจกดไปที่บัญชีของตระกูลเจี๋ยจากนั้นก็ไปดูที่บัญชีของยีคัง
เหอไป่ตัดสินใจโพสต์ข้อความขอบคุณทุกคนผ่านบัญชีเวยป๋อของตัวเองและยังโพตส์เอาใจเหล่าแฟนๆของตี๋ชิวเหอ
White and Whiter: ขอบคุณแฟนคลับของตี๋ชิวเหอที่ให้การสนับสนุนและกำลังใจ
ตอนนี้ไอดอลของพวกคุณกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อเริ่มต้นใหม่ หวังว่าพวกคุณจะติดตามเขาและให้กำลังใจเขายังต่อเนื่องนะครับ
หลังจากข้อความสั้นๆที่ถูกโพสต์ลงเวยป๋อและถูกพบเห็นอย่างรวดเร็วจากเหล่าแฟนคลับของตี๋ชิวเหอ
ทำให้ตอนนี้คนที่ติดตามเหอไป่ก็เพิ่มขึ้นมาอย่างไม่หยุด...ในขณะเดียวกันเหอไป่ที่พึ่งสร้างความปั่นป่วนขึ้นมากับไม่สนใจ
พอเขาโพสต์เสร็จก็เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าและลงจากรถบัสเมื่อถึงป้ายโดยไม่ทราบถึงเรื่องที่ตัวเองก่อ
ตอนนี้แบรนด์ลิตเติ้ลเมอร์เมดมาถึงคอลเลคชั่นสุดท้ายที่จะเปิดตัวออกสู่ตลาด
ซึ่งเหอไป่ที่เป็นช่างภาพก็ต้องทำงานให้สำเร็จ เขาต้องไปที่บริษัททุกวันเพื่อร่วมปรึกษากันหาแนวทางที่จะเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ชุดนี้
“ฉันไม่เคยเห็นช่างคนไหนที่ขยันแบบนายเลย”
หลังจากได้รับความสำเร็จในการเปิดตลาดคอลเลคชั่นเอลฟ์ หลินเซี่ยก็ผ่อนคลายความเครียดไปได้เยอะและมีความสนิทใจกับเหอไป่มากขึ้น
“นายพึ่งฟื้นไข้นายควรต้องพักผ่อนเยอะๆถ้ามีอะไรเร่งด่วนฉันจะตามนายเอง
ไม่จำเป็นต้องเข้ามาที่นี้ทุกวันหรอก”
เหอไป่ที่เอนตัวพิงโซฟาก็ลุกขึ้นมาพร้อมพูดเหมือนกำลังจะนินทาอะไรบ้างอย่าง
“คุณหลิน
คุณต้องการให้ผมออกไปเป็นเพราะคุณมีความสุขจากการอยู่ห้องแอร์และ Wifi ฟรีของออฟฟิศใช่ไหม? ไม่มีทางผมก็เป็นหนึ่งในทีมงานของแบรนด์ลิตเติ้ลเมอร์เมดคนหนึ่งผมไม่พลาดสวัสดิการนี้แน่นอน”
หลินเซี่ยรู้สึกชอบคำพูดขี้เล่นของเหอไป่ ยังไม่ทันเธอจะพูดอะไรเสียงโทรศัพท์ของเหอไป่ที่อยู่บนโต๊ะหน้าโซฟาก็ดังขึ้นทำให้เธอชะงักแล้วจ้องมองเหอไป่ที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย
เหอไป่ที่จ้องมองตัวเลขที่หน้าจอมันเป็นเบอร์ที่เขาไม่คุ้น
เหอไป่จึงถามด้วยความสงสัย “สวัสดีครับ
นั้นใครหรือครับ?”
หลินเซี่ยกำลังเอี้ยวตัวเดินออกอย่างมีมารยาทเพื่อหลีกเลี่ยงบทสนทนาของเหอไป่
“รอก่อนครับ!” เหอไป่หันมองหลินเซี่ยด้วยความแปลกใจและแสดงสีหน้าเพื่อยืนยันให้เธออยู่ด้วย
“อะไรนะครับ คุณต้องการให้ลูกสาวของคุณ...ตี๋ชุนฮวาใส่ชุดของคอลเลคชั่นของแบรนด์ลิตเติ้ลเมอร์เมด?”
อยากจะบอกว่ารักน้องเหอมากกกกกกกกกกกกกกก
หมั้นไส้พี่ตี๋ เมื่อไรจะรู้ตัว
บทที่ 53 ฤดูร้อนที่หนาวสั่น
หลินเซี่ยเดินกลับมานั่งที่เดิมทันทีเมื่อได้ยินที่เหอไป่พูด
เสียงหญิงสาวที่อยู่อีกด้านของปลายสายก็พูดอีกสองสามคำกับเหอไป่เขาก็สับสนมากขึ้น
เมื่อมองสีหน้าของหลินเซี่ยเขาก็พยายามพูดให้ช้าลง “ผมเข้าใจครับ
คุณต้องการให้ลูกสาวของคุณสวมเสื้อในคอลเลคชั่นใหม่ของลิตเติ้ลเมอร์เมดที่กำลังจะเปิดตัวในตอนนี้?”
หลินเซี่ยได้ยินพร้อมขมวดคิ้วแน่นดวงตาประกายด้วยความไม่พอใจ
“ใช่แล้ว...ฉันได้ยินมาว่านายกับลูกชายของฉันชิวเหอเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกัน
ดังนั้นถ้านายร่วมมือในวันนี้ชิวเหอต้องดีใจเป็นอย่างมากในเมื่อเขารักน้องสาวของเขามากขนาดนั้น”
ฉินหลี่พูดด้วยเสียงที่เป็นกันเองอย่างผ่อนคลายเหมือนผู้ใหญ่กำลังพูดคุยกับเด็ก
เหอไป่เห็นว่าหลินเซี่ยมีสีที่หน้าไม่พอใจมากขึ้นเพื่อไม่ต้องกาให้ยินยอมชุดเจ้าหญิง
เหอไป่ก็ระวังคำพูดของตัวเอง“คุณนายฉินครับ
ถึงผมกับตี๋ชิวเหอจะสนิทกัน แต่ผมแยกแยะระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว ตอนนี้ผมทำงานเป็นช่างภาพให้ลิตเติ้ลเมอร์เมดดังนั้นเรื่องนี้ผมไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวคนเดียว
ขอบคุณสำหรับความความหวังดีแล้วคำเชิญของคุณ เดียวผมจะแจ้งเรื่องนี้ให้ผู้ใหญของลิตเติ้ลเมอร์เมดทราบแล้วเมื่อได้ผลยังไงผมก็จะแจ้งคุณอีกครั้ง
ขอบคุนคุณนายฉินอีกครั้งครับที่สนับสนุนลิตเติ้ลเมอร์เมด ผมขอตัวก่อน” เหอไป่กดวางสายแล้วมองสีหน้าของหลินเซี่ย
“คนที่โทรมาคือคุณฉินหลี่ที่เป็นภรรยาของเจ้าของค่ายฮวางฝู
เธอต้องการยืมชุดในคอลเลคชั่นเจ้าหญิง” เหอไป่พยักหน้าและยกหน้าจอให้หลินเซี่ยเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามา
หลินเซี่ยที่คุ้นเคยกับการติดต่อคุณหญิงคุณนายของเมือง
B เพียงเห็นเลข 3 ตัวท้ายก็รู้ได้เลยทันที
มันเป็นเบอร์ส่วนตัวของฉินหลี่ เธอก็ขมวดคิ้วแน่น “เดียวเรื่องนี้ฉันจัดการเอง
ถ้าเธอยังโทรหานายก็พูดแบบเดิมไป”
เหอไป่ตอบรับอย่างลังเล “แล้วคุณฉินหลี่โทรมาขอร้องคุณ ถ้าเช่นนั้นชุดเจ้าหญิง...”
“ไม่มีทางแน่นอน!!” หลินเซี่ยตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
จากนั้นเธอก็พูดแขวะ “เราตั้งใจมาตั้งนายแล้วว่า ‘เราจะเปิดตัวคอลเลคชั่นเจ้าหญิงที่ในวันสุดท้าย’ ตราบใดที่หล่อนมีสติไม่บุกมาที่นี้
ทางเราก็ยังจะยืนยันคำตอบเหมือนเดิมว่าคอลเล็กชั่นปริ๊นเซสที่เป็นไฮไลท์ของ
Little Mermaid เราได้คัดเลือกคนที่สวมชุดนี้ไว้ตั้งแต่แรก แม้แต่ต้วของฉันเองก็ไม่สามารถตัดสินใจได้
นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ฉันไม่สามารถตอบรับคำของคุณฉินหลี่ได้”
ภาพที่ตี๋ชิวเหอตกลงจากคอนโดแล้วตี๋ชุนฮวาคุกเข่าร้องไห้ข้างตัวท่ามกลางเหล่านักข่าว
เมื่อนึกย้อนถึงตี๋ชิวเหอที่กำลังนั่งกินบะหมี่ด้วยใบหน้าผ่อนคลายในหอพักของตัวเอง
มันเหมือนมีอะไรมากระตุ้นให้เหอไป่ต้องปกป้องตี๋ชิวเหอ
คิ้วขมวดแน่นและถามด้วยเสียงสังสัย
“แต่คุณหลินครับ ทำไมคุณฉินหลี่ไม่มาถามคุณตรงๆถ้าต้องการยืมชุดเจ้าหญิง?
ทำไมเธอถึงโทรหาช่างภาพที่พึ่งเข้ามาทำงานใหม่อย่างผมด้วย และยังกล่าวอ้างถึงความสัมพันธ์อันดีของผมกับตี๋ชิวเหอ
ถ้าเธอต้องการผลประโยชน์เรื่องนี้เธอเพียงแค่เรียกตี๋ชิวเหอมาคุยแล้วให้เขามาคุยกับผมอีกทีไม่ดีกว่าเหรอครับ...”
สีหน้าเหอไป่เคร่งเครียดกว่าเดิม
“ผมไม่คิดว่ามันจะมีประโยชน์ในเรื่องที่เธอโทรหาผมในวันนี้ แท้จริงถ้าเธอต้องการสนับสนุนเพื่อนของชิวเหอและยังต้องการยืมชุดเจ้าหญิง
ยังไงก็ต้องติดต่อคุณเป็นคนแรก นี้เจตนาของเธอคือให้ผมไปบอกคุณโดยทางเธอก็ไม่รู้จะติดต่อคุณไหม
เธอต้องการให้คุณเข้าใจว่าตัวผมเองที่ต้องการหยิบยืมชุดเจ้าหญิงออกจากตู้เสื้อผ้า แล้วคุณหลินก็คงไม่พอใจมนตัวของผมเองแน่นอน
เหมือนเธอต้องการให้เราผิดใจกัน ผมคงไม่ได้คิดมากไปเองใช่ไหมครับ”
หลินเซี่ยอาจจะไม่เข้าใจในความหมายที่เหอไป่สื่อทั้งหมด
แต่เธอก็ได้ข้อสรุปในแบบของเธอ ฉินหลี่มีฐานะภรรยาของประธานฮวางฝูและผู้จัดการแผนกดูแลศิลปินสิ่งที่ทำวันนี้มันดูโง่มาก
การที่เธอโทรมามันดูไม่เหมาะสมทั้งไม่ว่าจะด้วยเหตุส่วนตัวหรือส่วนร่วมก็ตาม หากว่าตัวเธอไม่อยู่กับเหอไป่ในวันนี้เธอคงไม่พอใจแน่ที่เหอไป่จะมีคำขอที่ดูไร้เหตุผลแบบนั้น
แม้ว่าคงไม่มีผลกระทบต่อการทำงานแต่ความรู้สึกของเธอคงแตกต่างกันเธอคงไม่อยากร่วมมือกับเหอไป่ในอนาคตแน่
แบรนด์ลิตเติ้ลเมอร์เมดเป็นแบรนด์ใหม่ของวงการไม่ง่ายที่จะหาช่างภาพที่ถูกใจได้
ทั้งที่ความสำเร็จมาจอดรออยู่หน้าประตู แต่มาติดขัดเพราะว่าถ้าช่างภาพมาทะเลาะกับลิตเติ้ลเมอร์เมดสาเหตุก็เพราะยืมเสื้อผ้าเท่านั้น
ความนิยมก็ต้องลดลงไปเกือบครึ่งเพราะทางบริษัทก็ยังต้องพึ่งพาทักษะการถ่ายภาพของเหอไป่ตอนนี้อยู่มาก
นอกจากนี้เธอยังเคยได้ยินเรื่องซุบซิบของคนวงในว่าฉินหลี่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีนักกับลูกชายคนโต
แต่นี้เธอโทรหาเพื่อนที่สนิทกับลูกชายและยังมาพูดกล่าวอ้างอิงถึงความสัมพันธ์ มันเป็นเรื่องที่ดูไม่สมเหตุสมผล
ถ้าสมมุติว่าสายของฉินหลี่ในวันนี้ไม่เกิดจากความไม่ครอบคอบ
แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่ตั้งใจล่ะ...ไม่เพียงหล่อนจะทำร้ายลูกชายคนโตแล้วหล่อนยังทำร้ายเพื่อนสนิทของลูกชายหล่อนด้วย
ดังนั้นเรื่องนี้คิดได้เพียงยังเดียวเธอต้องการหว่านเมล็ดของความหวาดระแวงระหว่างลูกชายคนโตกับเพื่อนของเขา?
เหมือนว่าฉินหลี่หล่อนจะเกลียดลูกชายคนโตที่เกิดจาดภรรยาคนแรกจนหล่อนจนเข้ากระดูก
และต้องการให้เขาจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวจากทั้งเพื่อนฝูงและคนในครอบครัว แม้ว่าหลินเซี่ยจะได้ข้อสรุปแต่เธอก็ถามอย่างระวังกับเหอไป่
“นายรู้จักกับลูกชายคนโตของตระกูลตี๋มานานแค่ไหนแล้ว? เขามีเพื่อนฝูงเยอะไหม?”
เหอไป่ส่ายพร้อมใบหน้าใสซื่อพร้อมยังคงพูดให้เครดิตกับตี๋ชิวเหอ
“ไม่นานครับ ก็อย่างที่คุณหลินรู้ ผมกับเขาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องในมหาลัย
และผมยังได้ยินมาว่าเขากับครอบครัวก็เหมือนจะไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไรนับตั้งแต่คุณปู่เสียไปเขาดูเหมือนจะไม่โอเคนัก...อีกอย่างผมไม่เคยเห็นเพื่อนคนอื่นของตี๋ชิวเหอเลย”
ยิ่งได้คำตอบแบบนี้หลินเซี่ยก็เข้าใจถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้อย่างถ่องแท้
เธอขมวดคิ้วและสายตาเต็มไปด้วยความสงสาร ‘คุณปู่เสียไปเขาได้รับเหมือนจะไม่โอเคนัก...’
นั้นคงเป็นเหตุผลที่เกิดเพราะแม่เลี้ยงและพ่อของเขา ที่ผ่านมาไม่มีใครรู้จักลูกชายคนโตของตระกูลตี๋
นั้นคงเป็นฝีมือของฉินหลี่แน่นอน ตี๋ชิวเหอได้รับการยอมรับว่าเป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ทั้งรู้จักกาลเทศะและมีความสามารถที่ยอดเยี่ยม
เขายังเป็นรุ่นพี่ที่จริงใจที่หางานที่ดีเยี่ยมให้กับรุ่นน้อง แต่กับกันเขากับไม่ทีเพื่อนรายล้อมตัวเลย
อาจจะเป็นเพราะแม่เลี้ยงค่อยก่อกวนทำให้เขาไม่มีเพื่อนก็เป็นได้
ตอนนี้ได้ข่าวว่าตี๋ชิวเหอยกเลิกสัญญากับฮวางฝูและยังออกจากตระกูลตี๋และตอนนี้เขาพบเพื่อนคนใหม่แต่แม่เลี้ยงก็ยังตามมาก่อกวน...ยิ่งหลินเซี่ยคิดถึงความเป็นไปได้มาเท่าไรเธอก็ยิ่งสงสารตี๋ชิวเหอมากขึ้นเท่านั้นทพร้อมจ้องมองใบหน้าที่ใสซื่อของเหอไป่
เธอจึงถอนหายใจเสียงดัง “เหอไป่สายโทรศัทพ์ของฉินหลี่มันดูไม่เป็นมิตรแน่นอน
ฉันว่านายควรหลีกการรับสายของเธอ และการที่ตี๋ชิวเหอแนะนำงานตระกูลเจี๋ยให้นายก็เพราะเขาเขาให้ความสำคัญกับนาย
ดังนั้นนายก็ควรตอบรับความหวังดีและตอบแทนเขาด้วย เรื่องวันนี้ฉันว่านายควรบอกเรื่องนี้กับตี๋ชิวเหอด้วย”
เหอไป่ไม่ได้คาดหวังถึงการตอบรับที่ดีมากขนาดนี้
เขาจึงรีบพยักหน้าทันทีและตอบว่าเขาจะรักษามิตรภาพนี้ไว้และอธิบายเรื่องของตี๋ชิวเหออีกคนด้วยความซื่อสัตย์
หลินเซี่ยพอใจในคำพูดของเหอไป่และบอกขอตัวไปจัดการปัญหาของการยืมเสื้อผ้าของฉินหลี่
เมื่อสังเกตุจากเสียงของหลินเซี่ย เหอไป่ก็สัมผัสได้ถึงความไม่เป็นมิตรในน้ำเสียงเมื่อถึงตอนที่เธอพูดถึงฉินหลี่
จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมพิมพ์ข้อความส่งไปให้ตี๋ชิวเหอ
เหอไป่: วันนี้แม่เลี้ยงของคุณติดต่อมาหาผม เธอต้องการยืมชุดเจ้าหญิงเพื่อให้น้องสาวของคุณเพื่อถ่ายรูป!
แต่เจ้านายของผมปฏิเสธ รู้ไหมว่าเจ้านายของผมยังเห็นใจถึงเรื่องของคุณด้วย
ไม่ทันหน้าจอดับก็มีสายจากตี๋ชิวเหอเข้ามาทันที
เหอไป่เลิกคิ้วด้วยความประหลาดในจากนั้นก็ถามด้วยความสงสัย“เฮ้!! นี้คุณเปิดโทรศัพท์อยู่เหรอ? การฝึกของคุณเสร็จแล้วหรือไง?”
“ใช่ครับ โค้ชพึ่งให้โทรศัพท์คืนมาเมื่อกี้”
ตี๋ชิวเหอเอนตัวพิงต้นไม้ ทั้งตัวเต็มไปด้วยเหงื่อสีหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
แต่เสียงที่พูดออกไปมันรายเรียบเหมือนไม่มีอาการอะไร “แม่เลี้ยงของผมโทรหานาย
เธอพูดอะไรกับนายบ้าง?”
เหอไป่เล่าวนเรื่องเดิมอีกครั้งและยังพูดเสริมถึงคำพูดของหลินเซี่ยที่พูดกับตัวเองให้ตี๋ชิวเหอฟังจากนั้นก็ถามด้วยความไม่เข้าใจ
“คุณรู้ไหมคุณหลินออกไปด้วยเสียหน้าที่แย่มาก ดูเหมือนว่าเธอจะไปจัดการเรื่องรักๆใคร่ๆ
ของใครมากกว่าที่จะไปจัดเรื่องงาน ซึ่งมันน่าแปลกมากผมไม่เคยเห็นเธอเป็นแบบนี้มากก่อน”
ตี๋ชิวเหอคิดอย่างถี่ถ้วนในเรื่องที่เขารู้ว่านี้
เขาอดที่จะหัวเราะไม่ชื่นชมเหอไป่ไม่ได้ “เจ้าลูกหมานายเป็นงานดี...ดีเยี่ยมมาก”
“ฮะ!!? คุณหมายความว่าอะไรนะ!!”
เหอไป่ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปอีก
บทที่ 54 ฤดูร้อนที่ประเด็นร้อน
“แบรนด์ลิตเติ้ลเมอร์เมดนั่นเป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่เปิดใหม่ที่อยู่ในเครือของบริษัทยีคัง
ซึ่งหลินเซี่ยก็อาจจะเป็นคนในครอบครัวเจ้าของยีคังก็ได้ ซึ่งนายได้สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ผมแต่ในเวลาเดียวกัน
ตรงกันข้ามกับแม่เลี้ยงของผมนายละเลงเธอต่อหน้าคุณหญิงคุณนายของเมือง B แล้วนายก็ทำให้ผมเป็นชายที่น่าสงสารที่ถูกแม่เลี้ยงรังแก” ตี๋ชิวเหออดยิ้มไม่ได้เมื่อถึงเรื่องที่เจ้าหมาน้อยปกป้องเขา “แล้วเหตุผลที่แม่เลี้ยงของผมเข้าหาคุณก็เหมือนที่เธอเคยทำก่อนหน้ากับเพื่อนๆของผม
แต่เธอล้อเหลวที่ดึงเอายีคังมาล้อเล่น ผมคิดว่าฉินหลี่สมควรแล้วล่ะที่จะเจอแบบนี้ หมาน้อยคุณอย่าดูถูกถึงเรื่องความยุติธรรมแล้วจินตการของผู้หญิงสิ”
“...” เหอไป่ที่รู้ความจริงเริ่มเข้าใจ “แล้วคุณหัวเราะทำไม”
“ผมหัวเราะในความน่ารักของนาย” ตี๋ชิวเหอปลดกระดุมเครื่องแบบที่เป็นคลุมเสื้อพรางหนาพร้อมเงยหน้ามองแสงอาทิตย์ที่แผดเผาแต่เสียงที่พูดออกไปกับนุ่มนวล
“ไป่ไป่..รู้ไหมตอนนายนอน...นายกรนเสียงดังอย่างกับลูกหมูเลย”
ตอนแรกเหอไป่ตอนแรกก็เริ่มใจอีกคนแต่เมื่อได้เสียงหัวเราะ
เขาเริ่มวางสายทันที ไม่น่าเลย...ให้ตายสิ!!! “กรนนะเหรอ?
หลายปีที่ผ่านมาไม่มีใครบอกว่าผมกรนมาก่อน!
คุณไม่มีทางหลอกผมได้หรอก ไม่!!”
ฟังเสียงสัญญาณที่กำลังดังอยู่แล้วคิดถึงใบหน้าของลูกหมาน้อยที่กำลังโมโห
ตี๋ชิวเหอก็ก้มหน้าเพื่แกลั้นเสียงหัวเราะที่ดังลั่น หลังจากหยุดหัวเราะเขากดเบอร์เพื่อโทรหาหวังป๋ออี้
“บอกพวกเขาให้เตรียมเปิดเผยเรื่องที่ฉินหลี่ติดต่อเพื่อขอยืมชุดเจ้าหญิงจากลิตเติ้ลเมอร์เมดและการทำตัวของตี๋ชุนฮวาที่เธอรังแกเพื่อนร่วมชั้นเธอ
นายว่าพ่อของฉันจะต้องดีใจที่ได้รู้ว่าฉินหลี่อบรมลูกสาวของเธอเป็นคนยังไง...เลขาหวังนายคิดว่ามันน่าสนุกว่าไหม”
หวังป๋ออี้ตอบว่าใช่และถามเมื่อไม่เข้าใจเรื่องที่นายน้อยทำ
“ทำไมคุณตี๋เบี่ยนจะมีความสุขเมื่อเห็นข่าวแบบนั้น” เพื่อที่จะให้นายน้อยไว้ใจก็ต้องยึดมั่นความจริงใจต่ออีกคน ไม่งั้นเขาคงไม่สามารถรักษาฐานะตอนนี้ได้
เห็นได้ชัดว่าเลขาหวังเข้าใจถึงเรื่องที่นายน้อยสื่อออกมาแล้ว
‘เป็นเรื่องดีที่ลูกน้องของเขาใช้สมองเพื่อตั้งคำถามที่ไม่เข้าใจ’
ด้วยอารมณ์ของตี๋ชิวเหอที่ดีขึ้นเขาจึงอธิบายเรื่องที่เขาต้องการออกมา
“เจ้านายเก่าของนายพยายามอย่างหนักที่จะกับมาควบคุมตระกูลตี๋ และอีกอย่างตี๋เบี่ยนคงไม่พอใจถ้ามีข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับภรรยาของเขากับลูกสาว
ซึ่งถ้ามีเรื่องแบบนี้ตี๋เบี่ยนคงอดใจไม่ไหวที่จะเติมเชื้อไฟเข้าไปและแน่นอนว่าเขาจะต้องแกล้งทำเป็นไม่พอใจแล้วทำแล้วตัวเป็นสามีและพ่อที่ดี
แต่ก็ค่อยๆเติมเชื้อไฟอย่างลับๆแน่นอน โอกาสดีวางไว้อยู่ตรงหน้าตี๋เบี่ยนคงไม่มีทางที่จะไม่มีความสุขกับมัน”
“ใช่ครับ ผมก็คิดแบบนั้น” หวังป๋ออี้ไม่เข้าเรื่องความรักของครอบครัวคนรวยจริงๆ หากเป็นอย่างนั่นจริง
เจ้านายคนไหนของเขาที่วางกับดักภรรยาและลูกสาวของตระกูลตี๋? หวังป๋ออี้ตัวสั่นและรู้สึกโชคดีอย่างมากที่เขาเปลี่ยนใจมารับใช้นายน้อยในตอนนี้
“ไป...ไปทำงานที่ฉันบอกให้เสร็จ” ตี๋ชิวเหอยกมือเช็ดเหงื่อและเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า เขายังหยิบเหรียญติดมือออกมาพร้อมนำมันมากลิ้งเล่นบนนิ้วด้วยความเคยชินพร้อมสายตาเจ้าเล่ห์
ตี๋ชิวเหออดไม่ได้ที่จะระงับเสียงหัวเราะ “ดูเหมือนจะมีคนข้ามเส้นไปมา กล้ามากที่มาแตะต้องลูกหมาของฉัน”
ในสัปดาห์ที่ผ่านมากฉินหลี่ก็มีการโทรหาเหอไป่ถึงสองครั้ง
แต่เหอไป่ก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ บางทีเธออาจจะรับรู้อะไรบางอย่างหรือหลินเซี่ยตอบโต้อะไรไป
ทำให้ตอนนี้เธอหยุดการติดต่อเหอไป่เมื่อเข้าเดือนสิงหาคม
การนับถอยหลังเรื่องการเปิดตัวลิตเติ้ลเมอร์เมด
ในที่สุดฝ่ายการตลาดก็เริ่มประชุมบ่อยครั้งแล้วมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ทำให้เหอไป่เริ่มยุ่งกับงานตรงหน้า
เพียงสามวันก่อนที่จะเปิดตัวคอลเลคชั่นสุดท้าย
ข่าวของลูกสาวคนเล็กของฮวางฝูที่เธอกลั่นแกล้งเพื่อนร่วมชั้นก็กระพืบขึ้นมาทั่วโซเซี่ยลทันที
ข่าวนี้มีรายละเอียดมากพร้อมอธิบายถึงการทำตัวที่เลวร้ายของตี๋ชุนฮวาเช่นการแกล้งป่วยเพื่อโดดเรียน
ข่มขู่เพื่อนร่วมชั้นที่มีฐานะปานกลางอย่างหยาบคายและก็ทำตัวเลวร้ายกับครูประจำชั้น
พร้อมยังทำตัวไม่อยู่ในระเบียบวินัยของทางโรงเรียน ซึ่งพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงการเลี้ยงดูของฉินหลี่ที่ทำให้เด็กหญิงทำตัวเหมือนคนอันธพาลในโรงเรียน
ข่าวนี้ติดท็อปในกระทู้ของค้นหา นักเรียนที่รู้ความจริงเรื่องนี้ก็ออกมาคอมเม้นท์ถึงพฤติกรรมที่เลวร้อยของตี๋ชุนฮวาที่มากกว่านั้น
แล้วเลวร้ายสุดคือทุกเรื่องจบลงโดยการใช้เงินเพื่อจบทุกอย่าง!!!
เรื่องที่เลวร้ายเช่นตี๋ชุนฮวาเคยบังคับครูหนุ่มที่พึ่งเข้ามาสอนในโรงเรียนให้คุกเข่าขอโทษเธอเพราะเพียงแค่คุณครูคนนั้นตักเตือนเธอในที่สาธารณะ
แล้วที่เลวร้ายที่สุดคือเธอผลักเพื่อนนักเรียนหญิงตกบันไดเพียงเพราะสาเหตุนักเรียกหญิงคนนั้นเด่นดังกว่าเธอ
ทำให้เด็กสาวที่ตกบันไดใบหน้าเสียโฉม และยังยัดเงินให้ครอบครัวของเด็กสาวคนนั้นให้ปิดปากเงียบพร้อมให้ลาออกจากโรงเรียนและย้ายออกจากเมือง
B ไป
ชาวเน็ตถูดดึงดูดอย่างง่ายดายด้วยเรื่องอื้อฉาวนี้
แต่ยังไม่ทันได้อ่านอย่างเมามันส์ เรื่องอื้อฉาวก็ปลิวส่อนหายไปในพริบตา คงมีคนจ่ายเงินก้อนโตเพื่อให้ข่าวนี้หายไป!
เหล่าชาวเน็ตตกใจมากพวกเขาพุ่งตรงไปยังบัญชีเวยป๋อของฮวางฝูเพื่อสอบถามรายละเอียด
แต่ก็พบว่าบัญชีของฮวางฝูปิดไม่ให้มีการคอมเม้นท์อะไรทั้งนั้น มันก็เหมือนเป็นการเติมเชื้อไฟให้ความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มขึ้น
ดังนั้นมีการตั้งกระทู้ความคิดเห็นเรื่องนี้ขึ้นเผ็ดร้อนทั้งคืน มีการพูดตอบโต้ถึงความชอบธรรมและความเป็นกลางของโพสต์ที่ไม่มีการระบุชื่อก่อนหน้า
มันทำให้เห็นว่าฉินหลี่และลูกสาวของเธอไร้ยางอายขนาดไหน ถึงขนาดใช้เงินปิดข่าวและยังไปบังคับผู้บริหารโรงเรียนให้ปิดเรื่องเงียบ
พวกเขากล้าทำเรื่องไร้ยางอายแบบนี้ได้ยังไง!!
และมีคนมาคอมเม้นท์บอกว่าเธอเป็นเด็กนักเรียนในโรงเรียนเดียวกันกับตี๋ชุนฮวา
และยังบอกว่าเธอเป็นลูกสาวของคุณครูที่โรงเรียนนั้นแถมยังเป็นเพื่อร่วมห้องของตี๋ชุนฮวาด้วย
คนที่มีคอมเม้นท์บอกว่าคุณครูหนุ่มที่ถูกสั่งให้คุกเข่านั้นคือญาติของเธอ ซึ่งตอนนี้โดนบีบจนต้องลาออกจากโรงเรียน
ซึ่งมนข้อความทั้งหมดเต็มไปด้วยไม่พอใจแทนญาติของเธอ แล้วยังเผยถึงเรื่องของตี๋ชุนฮวาผลักนักเรียนสาวตกลงบันไดเป็นเรื่องจริง
แล้วตอนนี้นีกเรียนคนนั้นก็ย้ายไปเมือง D ซึ่งตอนนี้นักเรียนคนนั้นก็ต้องเข้ารักษาเพราะเธอมีอาการทางจิตภายหลังเหตุการณ์นั้น
ในที่สุดชาวเน็ตก็มีที่ระบายความโกรธพวกเขาพุ่งตรงไปที่เวยป๋อพร้อมคอมเม้นท์อย่างเมามันส์
แต่ไม่ทันไรโพสต์นั้นก็ถูกลบหายไป แต่เมื่อไรที่มีกระทู้ทำนองนี้ใหม่มาใหม่แต่เพียงไม่นานก็ถูกลบหายไปทันที
ซึ่งมันก็เหมือนเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าข่าวลือทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริง!
ตอนนี้ชาวเน็ตเต็มไปด้วยความรังเกียจต่อเรื่องราวทั้งหมดของเรื่องตี๋ชุนฮวา
แล้วก็มีบางคอมเม้นท์ต่อว่าฉินหลี่ที่ไม่ทีการอบรมลูกสาวให้ดี ทำให้ตี๋ชุนฮวากลายเป็นเด็กนิสัยเสีย
แม้แต่พี่ชายคนโตจากภรรยาคนแรกก็ได้รับการกลั่นแกล้งอย่างรุนแรงด้วย
ดังนั้นทิศทางของกระแสโซเซี่ยลจึงเปลี่ยนไปจาก
‘การกลั่นแกล้งของเด็กสาวที่ร่ำรวยกับเพื่อนของเธอ’ กลายเป็น‘การเลี้ยงดูที่ไม่ดีของแม่ที่ไม่มีการสั่งสอน’
ความลับของตระกูลตี๋ถูดขุดคุ้ยอย่างเละเท
“ไม่จริงนะ!! มันเต็มไปด้วยขยะ” ตี๋ชุนฮวากระแทกโทรศัพท์ของเธอบนโต๊ะอย่างแรง “นี้มันอะไรคนพวกนี้เมื่อก่อนคอยเลียแข้งเลียขาฉันเหมือนยกย่องเป็นไอดอล
แต่ตอนนี้กับมาต่อว่าสาปแช่งฉัน! ไอพวกกิ่งก่าเปลี่ยนสี!!”
ฉินหลี่ที่ควบคุมตัวเองให้นิ่งสงบอยู่ เมื่อได้ยินก็พุ่งไปหาตี๋ชุนฮวา
“เงียบปากเดียวนี้! รู้ไหมว่าพูดอะไรออกมา ใครเป็นคนสอนคำสกปรก
แม่บอกให้ลูกทำตัวดีๆตอนอยู่ที่โรงเรียนตั้งกี่ครั้ง? ลูกก็ยังก่อนเหตุไม่เว้นแต่ละวัน
แล้วมาตอนนี้ก็มีคนพูดว่าลูกมันคนที่ทำตัวแย่ใส่ทั้งเพื่อนร่วมชั้นและพวกครู แล้วอย่างนี้จะหาสามีให้ลูกได้ยังไงเมื่อลูกโตขึ้น?”
“คุณแม่!!” เสียงที่พูดนั้นเบากว่าแต่มันก็เต็มด้วยความโกรธ
“หนูรู้ว่าทำผิดมาก! แต่หนูไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องแบบนี้!!”
“แล้วเรื่องที่ลูกบังคับให้ครูหนุ่มนั้นคุกเข่าจริงไหม?
และที่ผลักเพื่อนให้ตกบันไดอีกด้วย?!” ฉินหลี่พยายามอย่างหนักเพื่อให้ตัวเองสงบลง
“ชุนฮวาตอนนี้ลูกเป็นเด็กสาวที่ทุกคนให้ความสนใจ แน่นอนว่าลูกสามารถดูถูกคนที่ด้อยกว่าแต่ทั้งหมดต้องเก็บไว้กับตัวเองไม่ต้องให้ใครรู้!
ข่าวลือไม่ได้ทำร้ายลูกก็จริงแต่มันสามารถทำร้ายผลประโยชน์ของตัวลูกเอง เรื่องนี้ก็เหมือนบทเรียนให้รู้จักวางเหมือนตี๋ชิวเหอที่เป็นศัตรูของเรา
รู้ไหมว่ามันเก่งเรื่องการสร้างภาพทำเป็นตัวคนดีที่ถูกรังแก”
ตี๋ชุนฮวามีสีหน้าไม่พอใจมากขึ้น “แม่.!!! คุณแม่ต้องการให้ฉันเลียนแบบไอนั้น ไม่นะ!!”
“แม่ไม่ต้องการให้เลียนแบบมัน แต่อยากให้ลูกเรียนรู้เรื่องการสร้างภาพที่ให้เห็นดูเป็นเด็กดีต่อหน้าคนอื่น”
ฉินหลี่กอดลูกสาวแน่น “เรื่องที่แม่ไปคุยกับอาจารย์ใหญ่มันเกิดขึ้นเมื่อวันก่อนนี้เองแล้วข่าวที่แม่คุกคามอาจารย์ใหญ่ก็เกิดขึ้นในวันนี้ทันที
แม่ทำได้เพียงให้ข่าวลือบ้าๆนี้หายไปให้เร็วที่สุดแต่มันกับทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา
เรื่องนี้เป็นเพราะต้องมีคนชักใยอยู่เบื้องหลังแน่นอน”
บทที่ 55 ฤดูร้อนที่รู้สึกร้อนและเหงื่อออก
“ต้องเป็นมันแน่นอน!”ตี๋ชุนฮวาระเบิดอารมณ์อีกครั้ง“ต้องเป็นไอตี๋ชิวเหอ
หนูรู้ว่าต้องเป็นมัน!! หนูจะไปจัดการมันเรื่องนี้”
“หยุดเดียวนี้!! แม่พึ่งเตือนลูกไปเองนะ”ฉินหลี่รีบคว้าตัวลูกสาวของเธอ ดวงตาเป็นประกายกล้า“ไม่หรอก
ไม่มีทางเป็นมันแน่ ตี๋ชิวเหอไม่มีคนที่สามารถช่วยมันได้ถึงขนาดนี้ ถึงมันเป็นเพียงละครฉากหนึ่งแต่ก็ต้องใช้เงินและคนที่มีประสบการณ์อย่างมาก
มันไม่มีทางมีคนแบบนั้นแน่อน”
ตี๋ชุนฮวาได้ยินก็ถามอย่างสงสัย“แล้วถ้าไม่ใช่มัน ใครที่มาทำร้ายหนูแบบนี้”
ไม่ทันพูดจบก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น “คุณผู้หญิงคะ นายท่านกลับมาถึงบ้านแล้วต้องการพบคุณผู้หญิงคะ”
ฉินหลี่ไม่สามารถระงับสีหน้าได้เธอหัวเราะเยาะออกมา
ไม่ทันไรสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นราบเรียบแล้วพูดกับแม่บ้านที่อยู่อีกฝั่งของประตู
“ฉันรู้แล้ว เดียวฉันไป”
“คุณแม่?”ตี๋ชุนฮวาตกใจสีหน้าเยาะเย้ยของแม่เธอ“คุณแม่กับคุณพ่อเกิดอะไร..”
“ไม่มีอะไรหรอก..”ฉินหลี่ลูบหัวลูกสาวของเธออย่างอ่อนโยน“ชุนฮวาลูกต้องจำเอาไว้ถึงความอดทนและความเสียสละของแม่ เพื่อให้ลูกและพี่ชายของลูกในอนาคตข้างหน้า
ดังนั้นลูกห้ามไปฟังใครทั้งนั้น ตอนนี้ลูกรออยู่ที่ห้องนี้สักพักเดียวแม่มา”
ตี๋ชุนฮวาพยักหน้าอย่างไม่เข้าใจแต่ก็รับฟังแม่ของเธอเงียบๆ
ทางฝั่งที่จังหวัดชายแดน
ตี๋ชิวเหอที่กำลังกลิ้งเหรียญบนนิ้วแต่สายตาเหม่อลอยไปนอกหน้าต่าง
“เลขาอัน...ตอนนี้หล่อนเป็นยังบ้างล่ะ”
สายตาที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนของหวังป๋ออี้ที่จ้องไปที่ด้านหลังของนายน้อย
“เธอบอกว่าพร้อมที่จะแสดงความจริงใจแล้ว”
ตี๋ชิวเหอพยักหน้าแต่สายตายังไม่ละจากทิศทางที่เขาจ้องมอง
ความเงียบปกคลุมซักพักก็มีเสียงขึ้น“แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะ?”
หวังป๋ออี้ก็ก้มหัวเมื่อเงยหน้าเขาก็เหมือนดิ้นรนกับคำพูดที่ตีรวนอยู่ภายใน
“ผมรอรับคำสั่งของนายน้อย”
‘นั่นไม่ใช่สิ่งที่คิดว่าจะได้ยิน
แต่มันก็สมเหตุสมผล’นั้นคือสิ่งที่ตี๋ชิวเหอคิด
เขาจึงพยักหน้าอีกครั้งแล้วกำเหรียญให้หยุดกลิ้งจากนั้นก็ใส่ในกระเป๋าที่อกเสื้อ
“นายกลับไปหาหล่อน ฉันจะให้นายวันหยุดกับนาย ใช้ให้คุ้มค่า”
หวังป๋ออี้ก็ผ่อนคลายตัวเอง
สีหน้าเหมือนกับเจอเรื่องสนุก เมื่อรู้ตัวเขาก็รีบสีหน้าให้ราบเรียบ
จากนั้นก็โค้งตัวเดินออกจากห้องทันที
หลังจากได้ยินเสียงปิดประตูตี๋ชิวเหอก็หยิบโทรศัพท์แล้วกดเปิดเข้าไปที่วีแชทสำรองด้วยความลังเล
White and Whiter:ผมไม่ได้ข้อความจากคุณเลย?ตอนนี้คุณสบายดีไหม?
นี้เป็นข้อความที่ส่งมาเมื่อสองวันก่อน แต่ตัวเขาเองยังไม่ตอบ
เป็นล้านครั้งที่เขาพิมพ์และลบมันทิ้ง เขาอดใจหายเมื่อนึกถึงภาพเจ้าลูกหมาที่กำลังนั่งยองๆอยู่บนพื้นเพื่อทำบะหมี่ให้ตัวเขา
มันเป็นไปด้วยความจริงใจ แล้วเขาจะหลอกอีกคนแบบนี้ต่อได้ยังไง
ตี๋ชิวเหอก็กำจัดความสับสนพร้อมเสียงถอนหายใจยาวเขาทิ้งตัวบนโซฟาและกดหมายเลขไปหาเจี่ยงซิ่วเหวิน
“ให้ตายเถอะ!
นี้นายคิดอะไรของนายอยู่ที่ทำแบบนั้น
แล้วจะให้ฉันช่วยนายแก้ไขเรื่องเข้าใจผิดให้กับนายกับน้องชายของนาย”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเพื่อนก็ทำให้อาการหายใจไม่ออกดีขึ้นเยอะ“แล้วถ้าเป็นนายจะทำยังไง เมื่อคนที่เข้าคุยอย่างสนิทสนมแต่กลับกลายใช้บัญชีปลอม...”
เจี่ยงซิ่วเหวินได้ยินก็ตกใจและกลืนคำต่อว่าลงท้อง
“ลูกหมาของนายจับได้แล้วเหรอ?”
“ไม่ใช่
ฉันเพียงแค่อยากรู้ว่าถ้าเป็นนายที่ถูกหลอก”
“ฉันคงต้องวิ่งไปเตะคนนั้นและไม่อย่าเจอคนนั่นอีกแล้ว”เจี่ยงซิ่วเหวินตอบทันควัน
ตี๋ชิวเหอได้ยินก็ตกอยู่ในความเงียบ
“แล้วถ้าคนนั้นต้องการกลับตัว
เรื่องจากไม่ต้องการโกหกอีกล่ะ”
เจี่ยงซิ่วเหวินหลับตา
เขาต้องไม่โกรธเพื่อนของตัวเอง ต้องคอยให้คำแนะนำให้ดีที่สุด ไม่โกรธ...
“ก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วยเหละว่าตัวฉันเป็นคนมารู้เองหรืออีกคนมาสารภาพรับเรื่องนี้”พร้อมสูดหายใจลึกก่อนพูดต่อ“แต่ถ้าคนที่มาหลอกฉันมาพูดด้วยความจริงใจ
ฉันคงทำเพียงแค่เตะคนนั้น แต่ก็ไม่ถึงขนาดตัดขาดความสัมพันธ์”
ทางฝั่งของตี๋ชิวเหอก็ยังเงียบ
เจี่ยงซิ่วเหวินก็ถามขึ้นอย่างสงสัย “เฮ้...! นี้นายไปทำเรื่องอะไรที่เลวร้ายมาใช่ไหม”
“ไม่”ในที่สุดตี๋ชิวเหอก็พูดขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ“ถ้าอย่างนั้นทำไมตอนที่ฉันอยู่กับคนนั้นถึงรู้สึกร้อนแล้วเหงื่อออกตลอด มันเป็นอาการของคนไม่สบายใช่ไหม?”
“ร้อน..แล้วเหงื่อออก?”
“ใช่
แล้วยังมีอาการที่ไม่เป็นตัวเองแล้วพูดติดขัด”
ใบหน้าของซิ่วเหวินเต็มไปด้วยความล้อเลียน “บอกฉันมาก่อนว่าคนที่ทำให้นายเป็นแบบนั้นเขาเป็นใคร?”
“ก็น้องชายของฉันไง...”เสียงทีาพูดเหมือนอารมณ์ดีขึ้น
“ลูกหมาของนาย?”ซิ่วเหวินเหมือนสำลักน้ำลายตัวเอง“นั้นเด็กผู้ชาย?”
ตี๋ชิวเหอพูดอย่างโมโห“ก็น้องชายของฉัน เขาจะเป็นผู้หญิงไปได้ยังไง”
เจี่ยงซิ่วเหวินที่ได้ยินก็ตกใจ
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกมือที่ถือโทรศัพท์กำแน่น“แล้วนายมีอาการอื่นอีกไหม
นอกจากรู้สึกร้อนแล้วเหงื่อออก?เช่นพวกจังหวะการเต้นของหัวใจ
หน้าแดง หรืออยากกอดหรืออยากหอมอะไรแบบนั้น?”
“ไม่นะการเต้นหัวใจฉันก็ปกติ”
เจี่ยงซิ่วเหวินโล่งใจ
“แต่ก็มีบางครั้งที่เหมือนหัวใจจะเด้งออกมา
แต่มันก็เป็นเรื่องปกติเพราะฉันอาจจะร้อนก็ได้ แล้วอีกอย่างน้องชายของฉันก็น่ารักจนอดใจที่จะไม่สัมผัสเขาด้วยความเอ็นดูไม่ได้หรอก?”เสียงที่ตอบมาเป็นธรรมชาติเหมือนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ แล้วก็เหมือนนึกได้ก็พูดอย่างไม่พอใจ“ทำไมนายถามอะไรมากมาย ฉันคาดหวังในตัวนายมากในเมื่อแม่ของนายก็เป็นหมอ แต่ก็เหมือนฉันตั้งความหวังในตัวนายมากเกินไป”
เจี่ยงซิ่วเหวินเอาโทรศัพท์ห่างจากหูแล้วกรีดร้องอย่างเงียบๆ
จากนั้นก็พูดด้วยเสียงที่จริงจังขึ้น“นายเพียงแค่ไม่สบายไม่ใช่เรื่องใหญ่
ไม่จำเป็นต้องกินยา เพียงแค่ดื่มน้ำเย็นแล้วก็ผ่อนคลาย”
ตี๋ชิวเหอสงสัย“ไม่สบายดื่มน้ำเย็น?แต่ฉันก็มีอาการแบบนี้ก็เฉพาะตอนอยู่กับเจ้าลูกหมาของฉันเท่านั้น?”
เจี่ยงซิ่วเหวินระดมสมองเพื่อหลอกอีกคน
“มันเป็นเพราะฤดูร้อนและฉันก็คิดว่านายเพียงแค่ตื่นเต้นที่ได้ใช้เวลากับน้องชายของนายเท่านั้น
ด้วยระยะที่นายจะเจอน้องชายของนาย แต่ละครั้งมันก็นานจึงเป็นเรื่องปกติที่นายจะตื่นเต้น
นายเพียงแค่ดื่มน้ำเย็นเยอะๆก็เท่านั้น”
“อืม..มันก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล”ตี๋ชิวเหอขานรับเมื่อคิดถึงเรื่องนี้อย่างรอบคอบ
ไอคนปัญญาอ่อน.. ช่างกล้าพูดมาก‘สมเหตุสมผล’ดูเหมือนว่านายจะกลายเป็นเกย์ก็เพราะ
‘น้องชายของนาย’แต่มันก็สมควรแล้วที่นายต้องได้รับผลตอบแทนแบบนี้!!!
เจี่ยงซิ่วเหวินสาปแช่งเพื่อนตัวเองเงียบและพยายามพูดอย่างจริงจังเพื่อปลอบโยนตี๋ชิวเหอ
และหลอกถามเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตี๋ชิวเหอกับเหอไป่จากเพื่อนตัวเอง
หลังจากได้รับฟังเรื่องทั้งหมด ตัวของเจี่ยงซิ่วเหวินก็เต็มไปด้วยเหงื่อจากนั้นทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาเมื่คิดถึงการวางตัวดีของเหอไป่และเทียบกับพฤติกรรมที่เลวร้ายของเพื่อนสนิทของเขา
มันดูสิ้นหวังมาก
มันมากเกินไป!
เพื่อนสนิทที่สุดของเขาเป็นเกย์และดันไปตกหลุมรักเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่า
แล้วที่แย่ที่สุดก็คือดันไปเรียกอีกคนว่า
‘น้องชาย’เรื่องทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องที่เลวบริสุทธิ์มากเกินไป..เขาจะทำยังไงกับเหอไป่ดี?เพื่อนของเขาก็ไม่ใช่คนดีแล้วยังที่อดีตที่เลวร้ายอีกด้วย ถ้าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นคนไม่ดีล่ะ
มาตีสนิทเพื่อให้เพื่อนของเขาตายใจล่ะ...
นั้นเป็นมันเหมือนเป็นวันสิ้นโลก!
ไม่มีทาง!!
เขาไม่ยอมให้เพื่อนของเขาเจอเรื่องแบบนี้แน่นอน
เขาลุกขึ้นยืนแล้วสาปแช่งเพื่อนของเขาเป็นพันๆครั้ง
จากนั้นก็เปิดคอมแล้วค้นหา‘เคล็ดลับคู่มือความสัมพันธ์ของเกย์’
บทที่ 56 พวกเขาเป็นแพะ
ก่อนวันงานแถลงตัวของลิตเติ้ลเมอร์เมด ข่างประเด็นร้อยของตี๋ชุนฮวาก็เงียบหายโดยการจัดการของตี๋เบี่ยน
ซึ่งความสนใจของชาวเน็ตก็เบี่ยงเบนไปเรื่องอื่นโดยทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง
แต่ในคืนนั้นตี๋ชุนฮวาก็ทำให้เกิดประเด็นร้อนแรงขึ้นมาอีก
เธอโพสต์ในบัญชีเวยป๋อส่วนตัวของเธอ โดยกล่าวหาว่าตี๋ชิวเหอเป็นคนยุยงให้เธอบ้าจี้ไปติดต่อช่างภาพของลิตเติ้ลเมอร์เมดเพื่อจะขอยืมชุด
ซึ่งตี๋ชิวเหอก็คงรวมหัวกับเหอไป่เพื่อไม่ให้ทางลิตเติ้ลเมอร์เมดให้ยืม! นอกจากนั้นเธอยังพูดว่าชุดแบบนั้นเธอไม่อยากจะใส่มันหรอก
มันเป็นเพียงผ้าขี้ริ้วที่ขอทานใส่ การใส่ชุดแบบนั้นเป็นการลดตัวเองอย่างมาก!! สุดท้ายยังขู่ว่าใครก็ตามที่ทำให้เธอเสียชื่อเสียงระวังจะเจอดี!!!
ถึงแม้ว่าโพสต์จะเกิดขึ้นเพียงหนึ่งนาทีก่อนที่มันจะถูกลบไป
แต่ก็ไม่ทันชาวเน็ตมือไวที่แคปข้อความเหล่านั้นไว้ทัน
ชาวเน็ตคนหนึ่ง: ช่างภาพเขาจะไปมีส่วนเกี่ยวอะไรในเรื่องนี้?
เธอพาลแล้วยังจะเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเราอีก? มันจะเป็นไปได้ไงที่จะให้ช่างภาพออกหน้ายืมชุดให้เธอ นี่ไม่รู้จะคำว่าละอายใจตัวเองบ้างหรือไง?
นี่ถ้าเธอไม่พูดเรื่องนี้ก็ไม่มีใครสนใจหรอก... #พวกเขาเป็นแพะ
ชาวเน็ตคนที่สอง: ลิตเติ้ลเมอร์เมดก็บอกแล้วว่าจะเปิดตัวชุดคอลเลคชั่นเจ้าหญิงในวันงานแถลงข่าวแล้วเขาจะให้หล่อนยืมชุดก่อนได้ยังไง
หล่อนคิดว่าทุกคนจะโอ๋เธอเหมือนแม่ของเธอหรือไง พวกเขาทำถูกต้องแล้ว แล้วเรื่องนี้ยังมาใส่ร้ายตี๋ชิวเหอแล้วเหอไป่ได้ยังไงที่จะทำแบบนี้กับคนโง่อย่างหล่อน
#พวกเขาเป็นแพะ
ชาวเน็ตคนที่สาม: ยาจก?
ขอทานเหรอ? ฉันว่าเธอก็ต้องใส่ทองคำทุกวัน...ฉันหวังว่าเธอจะไม่กลืนน้ำลายมาใส่เสื้อผ้าของลิตเติ้ลเมอร์เมดล่ะ
คอมเม้นท์หลังเริ่มแดกดันมากขึ้นและทั้งหมดก็เชื่อมไปยังลิตเติ้ลเมอร์เมด
จากนั้นไม่นานยีคังก็ออกมาแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเรื่องการติดต่อขอยืมชุด
และขอบคุณตี๋ชุนฮวาและตระกูลตี๋ที่ให้ความสนใจต่อลิตเติ้ลเมอร์เมดอย่างมาก ทั้งหมดที่พูดเต็มไปด้วยความสุภาพ
เพื่อให้ไม่เกิดความอึดอัดใจทั้งสองฝ่าย
ยังไม่ทันจบแถลงข่าวบัญชีของตี๋ชุนฮวาก็มีการเคลื่อนไหว
เธอบอกว่าเธอไม่ได้เป็นคนโพสต์บัญชีของเธอมันคนอื่นเข้าไปใช้งานแล้วโพสต์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เธอแน่นอน
Netizen: นี่คุณคิดว่าพวกเราเป็นคนโง่เหรอ?
นี่คุณมาแก้ตัวหลังจากทางยีคังออกมาแถลงข่าวหรือไง คุณยังจะใช้ข้ออ้างโง่ๆแบบนี้อีก
นี่คุณกำลังจะตบหน้ายีคังหลังจากเข้าให้เกียรติของครอบครัวของคุณหรือไง?
“มันเรื่องจริง! บัญชีของฉันถูกแฮงค์!
ไอคนชั่วคนไหนเป็นคนทำ” ตี๋ชุนฮวากรีดร้องพร้อมขว้างปาโทรศัพท์ลงพื้นผิดกับสีหน้าเรียบเฉยของฉินหลี่เธอกำลังคิดถึงความเป็นไปได้ที่ใครจะเป็นคนทำเรื่องแบบนี้
ยิ่งคิดเธอยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น ก่อนหน้าเธอส่งคนไปตรวจสอบตี๋เบี่ยนก็ไม่ได้อะไรกับมา
มันจะไปมีประโยชน์อะไรที่ตี๋เบี่ยนจะเป็นคนใช้บัญชีของชุนฮวามาทำเรื่องนี้?
ก่อนหน้าเขาปล่อยให้เธอและตระกูลฉินจัดการเรื่องภายในฮวางฝูมาตลอด
แม้ว่า...ตี๋เบี่ยนจะกลับมาควบคุมบังเหียนก็ตามเถอะ แต่ตี๋เบี่ยนก็ให้ความสำคัญกับลูกสาวและลูกชายเมื่อเขาเห็นว่าทั้งสองมีผลประโยชน์ต่อตัวเขาอยู่
การที่โพสต์ต่อกรกับบริษัทใหญ่อย่างยีคังมันเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก
ซึ่งถ้าจะตี๋เบี่ยนต้องการต่อว่าเรื่องของตี๋ชุนฮวาก็น่าจะเรียกเข้าไปต่อว่าเป็นการส่วนตัวสองสามคำ
ไม่น่าจะทำเรื่องแบบนี้
นี่มันเหมือนเป็นการพุ่งตรงไปยังตัวของลูกสาวของเธอ
แล้วใครล่ะที่เป็นคนแฮงค์บัญชี?
จุดประสงค์คืออะไร มีเพียงแค่ผู้บริหารยีคังและพนักงานในยีคังเท่านั้นที่รู้เรื่องการของยืมชุด
แต่ก็คงไม่น่าจะเข้าบัญชีของลูกสาวเธอได้...
เธอขมวดคิ้วจ้องมองลูกสาวของเธอว่า
“ชุนฮวาลูกเคยบอกรหัสบัญชีของลูกให้เพื่อนบ้างหรือไม่? มีใครที่สนิทจึงรู้ถึงขนาดเข้าบัญชีของลูก!!”
ความคิดของตี๋ชุนฮวาก็ชะงัก
ไม่นานสีหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ “มี...แต่น้อยมาก”
ทั้งแม่และลูกก็นั่งวิเคราะห์ว่าเพื่อนของตี๋ชุนฮวาคนไหนที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ซึ่งเรื่องที่ทั้งสองกำลังคุยมันหลงทางไปไกลก็ตาม
ผิดกับลิตเติ้ลเมอร์เมดที่ในเวลาเดียวกันก็จัดงานเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่มีทั้งดาราที่ทีคนรู้จักมากมายมาเดินว่อนอยู่ในงาน
ในฐานะช่างภาพของลิตเติ้ลเมอร์เมด เหอไป่ได้จัดสรรชุดว่าชุดไหนเหมาะกับนางแบบคนไหนทำให้ได้รับการชื่นชมจากเหล่าแขกและเจ้าห้องเสื้อยีคัง
เหอไป่ก็พึ่งรู้ตอนนี้เองว่าเจ้าของยีคังคือ หยางจูเก่อผู้เป็นป้าของหยางฟู ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ช่วยเหลือตัวเขาให้เข้ามาทำงานในปัจจุบัน
“ขอบคุณมากครับคุณหยาง” เหอไป่รีบของคุณหยางฟูอย่างจริงใจเมื่อเจอเธอในงาน
“เป็นฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ คุณทำให้สิ่งที่คุณป้าต้องการออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้ถึงขนาดนี้
ซึ่งคุณป้าก็ตอบแทนฉันอย่างงามแล้วด้วย” หยางฟูพูดเสียงเบาริมฝีปากของเธอแตะที่ขอบแก้วไวท์
แต่การแสดงออกทั้งหมดของเธอเป็นกันเองกับเหอไป่มาก
เหอไป่ยิ้มรับและยังขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจของหยางฟู
เขายังคุยกับหยางฟูต่ออย่างสนุกจนไม่สนใจบรรยากาศในงาน
ในช่วงสุดท้ายของงานหยางจูเก่อก็เดินมายืนข้างหลินเซี่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังของงาน
ทั้งสองจ้องมองเหอไป่ที่กำลังยิ้มแย้มคุยอยู่กับหยางฟู
“เธอคิดว่าเขาเป็นยังไง?”
หลินเซี่ยนังจ้องที่เหอไป่เธอยิ้มออกมาพร้อมพยักหน้า
“เขาเก่งมาก แต่เขาคงอยู่กับยีคังได้ไม่นาน”
“หมายความว่าไง” หยางจูเก่อถามอย่างแปลกใจ
“เขามีความก้าวหน้าเร็วมากจน ฉันคิดว่าการเป็นช่างภาพเสื้อผ้าไม่สามารถรั้งความก้าวหน้าของเขาได้
จูเก่อฉันว่าพี่ควรจะหาช่างภาพคนใหม่ให้กับแบรนด์ลิตเติ้ลเมอร์เมดเถอะคะ” หลินเซี่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้าที่ไม่สามารถรั้งเด็กหนุ่มไว้ได้
“เมื่อตอนแรกที่เขาเดินเข้ามาที่ยีคังก็รู้ว่าเขามีพรสวรรค์แต่ยังขาดประสบการณ์
ฉันถึงให้เขาเป็นช่างภาพฝ่ายถ่ายภาพโฆษณา แต่ฉันไม่คิดว่า...”
หยางจูเก่อเลิกคิ้วสนใจ “เขายังไง?”
“ก็ตอนนั้นเขาไม่มีประสบการณ์ที่จะทำในด้านนี้
ฉันเลยให้โอกาสเขาแม้ว่าจะเป็นช่วงสั้นๆ” หลินเซี่ยยิ้มอ่อน
“ตอนแรกฉันคิดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะต้องฝึกฝนอย่างยากลำบากที่จะเติบโตขึ้นทีละขั้น...มันเป็นเรื่องที่ประเมินเด็กหนุ่มคนนี้ต่ำไป
เขาเป็นคนที่มุ่งมั่นมากและมีพรสวรรค์จริงๆ ซึ่งคนที่มีความก้าวหน้าแบบนี้ไม่ควรที่จะฉุดรั้งเขาไว้เพียงการเป็นช่างภาพถ่ายเสื้อผ้า”
หยางจูเก่อจ้องมองเด็กหนุ่มอย่างไม่เข้าใจว่าเด็กคนนี้จะพัฒนาอย่างก้าวกระโดดได้ยังไง
“พี่จูเก่อคะ
พี่เห็นรูปของมิสเจี๋ยหรือยังคะ” หลินเซี่ยถามขึ้นมาบอยๆ
หยางจูเก่อก็พยักหน้า “เห็นแล้วมันช่างวิเศษมาก มันดีถึงขนาดที่สามารถลงนิตยสารแฟชั่น ‘Big
Four’ ได้เลย”
“นั่นเหละคะพี่จูเก่อ
พี่คิดว่าจะมีคนดังกี่คนละคะที่ต้องการให้เด็กหนุ่มคนนี้ถ่ายภาพให้?”
จากคำถามทั้งหมดมันดูยิ่งใหญ่มาก! โดยเฉพาะดาราสาวเกือบ
80%
ต้องการช่างภาพที่ทักษะที่ไม่ต้องมาค่อยพึ่งการรีทัชแล้วอยู่ในกรอบเดิมๆที่เหมือนกับเหอไป่เป็น
“ฉันเข้าใจที่เธอพูด” หยางจูเก่อถอนหายใจและมองหลินเซี่ยด้วยสีหน้าเสียใจ “เดียวฉันจะหาช่างภาพคนอื่นที่มีคุณสมบัติ...ตอนแรกฉันต้องการจะแบ่งเบางานของเธอแต่กับกลายเป็นเพิ่มภาระให้กับเธอซะได้”
หลินเซี่ยยิ้ม
“ฉันไม่คิกว่ามันเป็นภาระเลยคะ ต้องขอบคุณเสี่ยวไป่ด้วยซ้ำที่ทำให้ลิตเติ้ลเมอร์เมดกลายเป็นที่นิยมแบบนี้
เขาไม่ใช่ภาระแต่เป็นเหมือนเป็นดาวนำโชคอีกซะด้วย”
หยางจูเก่อสีหน้าผ่อนคลายเมื่อได้ยินความคิดเห็นของหลินเซี่ย
“ใช่เขาเป็นดาวนำโชค”
เมื่อตัวนำโชคก้าวขาเข้าสู่วงการบันเทิงเต็มตัวและกลายเป็นที่นิยมทั้งเหล่าดาราและช่างภาพแฟชั่นมากมาย
แบรนด์ลิตเติ้ลเมอร์เมดที่เป็นก้างแรกเขาของก็ต้องเปล่งประกายและได้รับความนิยมอย่างแน่นอน
เมื่อเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมงในการเปิดตัวคอลเลชั่นใหม่ของแบรนด์ลิตเติ้ลเมอร์เมดก็จบลงอย่างรบรื่น
จากนั้นสินค้าทั้งหมดของแบรนด์ลิตเติ้ลเมอร์เมดก็เปิดวางจำหน่ายในห้างหรูที่เป็นที่นิยม
มีเหล่าหญิงสาวที่มีเงินหลั่งไหลเข้ามาที่ห้องเสื้อลิตเติ้ลเมอร์เมดเพื่อที่ต้องการเก็บสะสมคอลเลคชั่นทั้งสามด้วยความเร็วสูงเหมือนเจอป้ายเซล
50%
บทที่ 57 โอเค...ผมจะรอนายนะ
สิบนาทีต่อมาก็คุณหญิงของนักการเมืองในเมือง
G ก็โพสต์ภาพบนเวยป๋อส่วนตัวของเธอพร้อมแท็กยีคังและลิตเติ้ลเมอร์เมด
ซึ่งขอบคุณกำลังการสนับสนุนชุดในงานแต่งของลูกสาวของเธอ ทำให้ลูกสาวของเธอได้รับการชื่นชมไม่ขาดปาก
ในรูปมีหญิงสาวผอมเพียวกำลังสวมชุดเดรสยาวฟูฟองยาวลากพื้นสีขาวไล่ระดับชมพูสไตล์แฟนตาซี
ผมของเธอดัดลอน บนนิ้วของเธอสวมแหวนเพชรสีชมพู อีกมือถือช่อดอกไม้สีขาวสลับชมพูดอกเล็กน่ารัก
เหล่าชาวเน็ตเมื่อเห็นรูปก็จำได้ทันทีว่าเป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นเจ้าหญิงที่พึ่งเปิดตัวในวันนี้แล้วชุดที่แพงที่สุดในชื่อ
‘ซินเดอเรลล่า’ ทำให้ทุกคนตื่นตกใจอย่างมาก
ชาวเน็ตคนที่หนึ่ง: นี้เป็นผู้หญิงคนแรกที่สวมชุดเจ้าหญิง
มาดูเร็ว!! มันสวยมากเลย!!
ชาวเน็ตคนที่สอง: นี่เป็นชุดที่มิสชุนฮวาแย่งชิงใช่ไหม!!
เจ้าสาวที่สวมชุดนี้ช่างสวยจริงๆ แม้ว่าชุดเหล่านี้จะเจาะกลุ่มหญิงสาวแต่ฉันว่าชุดของลิตเติ้ลเมอร์เมดเหมาะกับสาววัยยี่สิบต้นๆ
ชาวเน็ตคนที่สาม: นี้เจ้าสาวได้รับการใส่ชุดการรวดเร็วแบบนี้เป็นเพราะได้รับสิทธิพิเศษจากลิตเติ้ลเมอร์เมดแน่นอนเธออาจมีข้อตกลงบางอย่าง
ฉันไม่อยากคิดเลยว่าถ้าคุณหญิงของเมือง G รู้ว่าชุดในงานแต่งของลูกสาวเขา
เคยถูกดูถูกว่าเป็นผ้าขี้ริ้ว
ชาวเน็ตคนที่สี่: คุณหญิงคนนั้นคงไม่ใส่ใจ
เธอคงยินดีที่ลูกสาวของเธอใส่ชุดนี้ เมื่อมันทำให้ลูกสาวของเธอเป็นเหมือนเจ้าหญิงในเทพนิยายในงานแต่ง
คุณหญิงคนนั้นไม่เอาตัวเธอเกลือกกลั้วหรอก
ชาวเน็ตคนที่ห้า: ฮ่าๆๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ลิตเติ้ลเมอร์เมดจะไม่ให้ชุดกับตี๋ชุนฮวา
ก็เธอเป็นคนที่มารยาทแย่ เธอจะไปเทียบเคียงกับครอบครัวของนักการเมืองและนักวิชาการได้อย่างไร
เพียงไม่นานก็สามารถแยกแยะได้ระหว่างใครคือเจ้าหญิงใครคือยาจก ฮ่าฮ่า...
ใบหน้าของฉินหลี่บิดเบี้ยวมันเต็มไปด้วยความโกรธเมื่อเห็นเหล่าคอมเม้นท์ด้านล่างรูปภาพที่เป็นที่นิยมในตอนนี้
ให้ตายเถอะ! นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของกับดักนี้!! เมื่อเร็วๆนี้ตระกูลฉินกำลังวางแผนจะไปเปิดตลาดที่เมือง
G
และได้ลงทุนเงินเพื่อใช้เส้นสายในการปูทางในเมืองนั้นไปเยอะ แต่ตอนนี้ลูกสาวของเธอไปพูดว่าชุดที่ลูกสาวของนักการเมืองใหญ่ของเมือง
G เป็นชุด ‘ผ้าขี้ริ้ว’ แน่นอนที่ตระกูลฉินคงไม่ได้รับการต้อนรับอย่างดีแน่
“ตี๋เบี่ยน!!” ฉินหลี่กำหมัดแน่น
“ฉันให้ความสำคัญต่อการเป็นคู่สามีภรรยากับคุณมาอย่างดี ฉันไม่เคยสงสัยคุณเลยแต่คุณตอบแทนตระกูลฉินของฉันแบบนี้
เพียงแค่ให้ตระกูลตี๋ของคุณก้าวหน้าคุณสามารถใช้ประโยชน์กับลูกสาวของเรา!!!”
ตอนนี้ลูกสาวของเราได้รับชื่อเสียงว่าเป็นเจ้าหญิงจอมปลอมที่ไม่มีมารยาท
มันคงเป็นเรื่องยากเย็นที่จะหาสามีดีๆให้กับลูกสาวของเธอได้อีกเลย
ตี๋ชุนฮวาตกใจนี้เป็นครั้งแรกที่แม่ของเธอจะมีน้ำเสียงที่เกลียดชังพ่อของเธอแบบนี้
เธอรู้สึกกลัวมาก จากนั้นเธอรีบกอดแม่ของเธอแน่น “คุณแม่คะใจเย็นๆ
คุณพ่อไม่มีทางทำกับหนูแบบนี้แน่ เขารักหนูมาก มันต้องเป็นเรื่องผิดพลาดหนูมั่นใจมากที่ต้องเป็นฝีมือของไอชิวเหอ!
ใช่แล้ว.. ตอนนี้ไอชิวเหอก็ได้รับความรักจากพ่อแล้ว คุณแม่กับคุณพ่ออย่าทะเลาะกันเลย
หนูกลัว...หนูกลัวมาก”
ฉินหลี่สังเกตุเห็นว่าลูกสาวของเธอตัวสั่นเธอก็พยายามระงับความโกรธพร้อมกอดลูกสาวแน่น
“ใช่มันเป็นความผิดของไอชิวเหอ พ่อกับแม่ไม่ได้ทะเลาะกัน หนูไม่ต้องกังวลนะ
นกพิราบน้อยของแม่สงบนะ อย่ากลัวไปเลย...” ไม่มีทางเป็นไอเด็กนั้น!
มันอยู่ไกลถึงขนาดนั้น ไม่มีทางที่จะเป็นฝีมือของมันคนเดียวก็มันนามสกุลตี๋! พวกมันสมควรได้รับผลจากการกระทำนี้!!
ฉันทนคุณมาตลอดนะตี๋เบี่ยน ถ้าคุณตอบแทนฉันแบบนี้อย่าหาว่าฉันใจร้ายไม่เห็นใจคนที่นอนร่วมเตียงกันอีกต่อไป!
ในแต่ละวันก็มีประเด็นร้อนใหม่ขึ้นมาแทนที่ ตอนนี้บัญชีเวยป๋อของตี๋ชุนฮวาก็ปิดไปด้วยการซุบซิบที่เผ็ดร้อน
‘ความขี้อิจฉาของเด็กสาวที่ไม่มีการอบรม’ ก็สิ้นสุดลง
แต่ภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของ ‘ภรรยาและแม่ที่ดี’ ก็ถูกมองเปลี่ยนไปเป็น‘แม่เลี้ยงที่ใจร้าย’ สำหรับคนที่เกี่ยวข้องกับฉินหลี่ ตอนนี้ตระกูลก็เริ่มมีบทบาทที่น้อยลงในสังคม
ทำให้ตี๋เบี่ยนกับมามีอำนาจในฮวางฝู ทำให้ตอนนี้ฉินหลี่จดจ่อกับการรับมือของตี๋เบี่ยนและเรื่องของครอบครัวจนไม่มีเวลาไปทำเรื่องอย่างอื่น
‘ขออภัยหมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’
เหอไป่ขมวดคิ้วแน่นเป็นเวลาเกือบอาทิตย์แล้วที่เขาไม่สามารถติดต่อตี๋ชิวเหอได้...มันเป็นการฝึกสุดท้ายที่หนักหน่วงหรือยังไง?
เหอไป่ยอมแพ้เปลี่ยนเป็นส่งข้อความหาตี๋ชิวเหอเรื่องการจัดงานวันเกิดของเขา
เสร็จแล้วก็สะพายกล้องไปที่ยีคัง
สำหรับคอลเลคชั่นของลิตเติ้ลเมอร์เมดทั้งสามที่เปิดตัวไม่มีการสต็อกของเมื่อของขายหมดก็หมดเลย
ดังนั้นตอนนี้ลิตเติ้ลเมอร์เมดก็กำลังวางแผนเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่เพื่อต้อนรับฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังมาถึง
ทำให้เหอไป่ต้องเตรียมตัวแล้วกลับมายุ่งอีกครั้ง
ปลายเดือนสิงหาคมยอดขายของลิตเติ้ลเมอร์เมดก็พุ่งขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการถ่ายภาพในคอลเลคชั่นฤดูใบไม้ผลิและไอเดียที่แปลกใหม่ทำให้การถ่ายภาพเป็นได้รับความนิยมมาก
ภาพถ่ายเหล่านี้ได้รับการขึ้นนิตยสารแฟชั่นในต่างประเทศซึ่งเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับลิตเติ้ลเมอร์เมด
ซึ่งน่าดีใจกว่านั้นคือ...ทั้งหมดฟรี!! หลินเซี่ยดีใจมากเธอจึงมอบโบนัสก้อนโตให้เหอไป่พร้อมด้วยวันหยุดพักร้อนล่วงหน้า
โดยบอกกับเหอไป่ว่าเขาไม่ต้องมาที่บริษัททุกวัน เข้ามาเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์เมื่อไม่มีเรียน
เพียงแค่งานที่เขาทำต้องเสร็จทันกำหนด
เหอไป่รู้สึกขอบคุณและตอบรับความหวังดีแล้วบอกว่าจะเขาจะทำตามเมื่อเสร็จสิ้นงานตอนนี้
ใกล้เข้าเดือนกันยายนเหล่านักศึกษาก็ทยอยกลับมาที่มหาลัยทำให้ตอนนี้มหาลัยเต็มไปด้วยเหล่าหญิงสาวและชายหนุ่ม
วันที่ 1 กันยายน
หนิงจวินเจี๋ย หวังหู่และเฉินเจี๋ยก็กลับมาที่หอพักเพื่อชวนเหอไป่ไปกินอาหารข้างนอกมหาลัย
ทั้งสี่คุยกันอย่างออกรสเพื่อแลกเปลี่ยนช่วงเวลาวันหยุดปิดเทอมและก็กลับมาที่หอพักเพื่อเตรียมตัวต้อนรับการเปิดการศึกษาใหม่
วันที่ 5 กันยายนก็เป็นการหยุดครั้งแรกของการเปิดเรียนสัปดาห์แรก
เหอไป่และเพื่อนร่วมห้องก็นั่งรถไปที่สนามบินเพื่อไปส่งเหอไป่
เหอไป่นั่งเครื่องไปลงที่สนามบินที่จังหวัดชายแดน
เวลานี้เกือบห้าทุ่มแล้ว เขาจึงตรงไปเข้าพักที่โรงแรมใกล้ศูนย์ฝึกของตี๋ชิวเหอหลังจากเช็คอินเหอไป่ก็หลับสนิท
เมื่อตื่นมาอีกครั้งในเช้าวันที่
6 กันยายนเขาเข้าไปของร้องผู้จัดการโรงแรมเพื่อที่จะขอยืมห้องครัว เหอไป่ตั้งใจที่จะทำเค้กผลไม้ธรรมดาทั่วไป
แต่ขั้นตอนมันช่างวุ่นวายมาก เมื่อแต่งหน้าเค้กเสร็จก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง แต่ก็ตัดใจนำมันใส่กล่องที่เตรียมไว้
จากนั้นก็เริ่มทำ ‘บะหมี่อายุยืน’
เสร็จสิ้นทุกอย่างก็ตอนพระอาทิตย์ตกดินไปหลายชั่วโมง
เหอไป่ตัดสินใจไปร้านขายดอกไม้ไฟ เขาซื้อมันมาสองชุดเมื่อออกจากร้านก็โบกรถแท็กซี่เพื่อที่จะมาข้างศูนย์ฝึก
เหอไป่หยิบโทรศัพท์ออกมือ เมื่อนั่งบนรถเรียบร้อย
หน้าจอแสดงสายไม่ได้รับจากตี๋ชิวเหอเป็นสิบๆสาย เขาคิดสักพักก็เปลี่ยนใจส่งข้อความแทน
เหอไป่:
วันนี้อาจารย์ของผมรั้งตัวไว้จนมืดเลยไม่ได้จับโทรศัพท์เลย คุณมีเรื่องอะไรหรือครับ
ตี๋ชิวเหอโทรหาเหอไป่ทันที
แต่เขาก็กดตัดสายทิ้งแล้วส่งข้อความแทน
เหอไป่: ตอนนี้ผมไม่สะดวกรับสาย
ผมอยู่ในห้องสมุด
ตี๋ชิวเหอ: นายจะมาฉลองวันเกิดผมไหม
เดียวผมจองตั๋วเครื่องบินให้?
เหอไป่มองวิวของเมืองที่ไม่คุ้นเคยนอกหน้าต่าง
เงาที่เขาเห็นคือตัวเองที่สะท้อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ จากนั้นก็พิมพ์ตอบกับ
เหอไป่: วันนี้ผมไม่สะดวกที่จะไปหาคุณ
คุณควรตั้งใจกับการฝึกของคุณ แล้วอีกอย่างผมซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้ว
ไม่ต้องลำบากคุณหรอก
ตี๋ชิวเหอ: เมื่อไร
เดียวผมจะส่งรถไปรอรับนาย
เหอไป่:
พรุ่งนี้สิบโมงเช้าเวลาของที่นั้นครับ
ตี๋ชิวเหอ: โอเค...ผมจะรอนายนะ
ตี๋ชิวเหอ: อย่าตามคนแปลกหน้า
แล้วถ้าใครยื่นขนมและน้ำให้นายก็อย่าไปรับ เก็บกระเป๋าเงินและพาสปอร์ตของนายให้ดี
ตี๋ชิวเหอ: เมื่อนายมาถึงอย่าลืมบอกผม
นี่นายจะพักที่โรงแรมหรือจะพักกับผม?
ตี๋ชิวเหอ: ไม่ๆๆๆ
อยู่กับผมดีกว่าอยู่โรงแรมมันไม่ปลอดภัย
ไม่ปลอดภัย? ถ้าเจ้าของโรงแรมได้อ่านคงโมโหมาก
เหอไป่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เหอไป่: คุณคือตี๋ชิวเหอจริงเหรอ?
ตี๋ชิวเหอ: อะไรนะ?
ตี๋ชิวเหอ: นายหมายความว่ายังไง
ตี๋ชิวเหอ:
เจ้าลูกหมานายต้องการให้ผมดุนายอีกหรือยังไง? ทำไมนายถึงไม่เชื่อฟังแบบนี้!!
เหอไป่: งั้นฉันไม่ไป สุขสันต์วันเกิด
ลาก่อนนะครับ
บทที่ 58 นายมันกล้ามาก
ทันทีที่เหอไป่ส่งข้อความก็มีข้อความใหม่เด้งเข้ามาอย่างเมามันส์
เหอไป่รู้สึกสนุกเขาจึงเปิดเสียงแล้วเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า แล้วลูบที่มือบวมแดงของตัวเองที่เกิดจะเตาอบขนมเค้กจากนั้นก็ฮัมเพลงด้วยความสนุก
วันนี้เป็นคืนเดือนมืด เขาใช้เวลานั่งรถเกือบครึ่งชั่วโมงก็มาพื้นที่ว่างเปล่าริมแม่น้ำใกล้ศูนย์ฝึกของตี๋ชิวเหอ
เหอไป่ขอให้คนขับรถจอดรถที่ริมแม่น้ำหลังจากขนของเสร็จก็จ่ายค่ารถทันที คนขับก็ช่วยขนของไปวางไปข้างต้นไม้ใหญ่
“ไอหนุ่ม เพื่อนของนายจะมาตอนไหน
เดียวฉันจะอยู่รอเป็นเพื่อน” สีหน้าคนขับเต็มไปด้วยความกังวลความปลอดภัยของเด็กหนุ่มตรงหน้า
เหอไป่ยิ้ม “ไม่เป็นไรครับ
เพื่อนของผมตอนนี้อยู่ในศูนย์ฝึกตรงหน้า เขาจะออกมาเมื่อผมจุดพลุที่นี่”
คนขับรถมองระยะห่างระหว่างตรงนี้กับศูนย์ฝึกตรงหน้าเขาก็รู้สึกผ่อนคลาย
แต่ก็อดเตือนถึงความปลอดภัยก่อนที่จะขับรถจากไป
เหอไป่นั่งรออยู่ที่ใต้ต้นไม้ แรงสั่นของโทรศัพท์เขาก็สั่นไม่หยุด
สายตามองไปที่แม่น้ำที่ไหลเอื่อยตรงหน้า แต่มือก็นั่งตบยุงฆ่าเวลา จนเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนเหอไป่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรออก
โดยไม่สนใจข้อความที่โชว์เต็มหน้าจอ จากนั้นก็กดไปที่หมายเลขที่เขาต้องการ
“นายไม่มาจริงๆเหรอครับ..ลูกหมาน้อยนายจะผิดคำพูดจริงๆเหรอ!”
ทันทีกดโทรออกมาก็มีเสียงดังลั่นลอดมาทันที
เหอไป่ยกคิ้วจากนั้นก็หยิบไฟแช็กและเดินตรงไปที่พลุที่เตรียมไว้
“เด็กชายตี๋คุณบอกว่าที่พักของคุณอยู่ชั้นสี่และหันหน้าเข้าแม่น้ำใช่ไหมครับ”
“อะไรนะ?” ตี๋ชิวเหอถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็คุณบอกว่าอยู่ชั้นสี่............ตอนนี้ผมเห็นหน้าต่างห้องพักของคุณด้วยเหละ”
ตี๋ชิวเหอคิดได้ทันทีว่าเจ้าลูกหมาอยู่ที่นี้แล้ว
ลมหายใจของเขาดังขึ้นเหมือนจะเป็นบ้า “นายอยู่ที่นี่...ตอนนี้นายอยู่นอกศูนย์ฝึกเหรอ
รออยู่ตรงนั้นเดียวผมไปรับนาย”
“ไม่” เหอไป่จุดไฟแช็กแล้วเข้าใกล้ดอกไม้ไฟจากนั้นก็จุดมันแล้วเดินถอยหลังพร้อมเสียงตะโกนเข้าโทรศัพท์เมื่อมีแสงแรกของพลุประกายขึ้น
“เด็กชายตี๋ครับ มองที่นอกหน้าต่างสิครับ!”
ปัง..!!! จะพลุดังพร้อมประกายเต็มท้องฟ้า
ประกายแสงสีสดใสของดอกไม้ไฟที่สว่างสวยงามอยู่นอกหน้าต่าง
เหอไป่ที่อยู่ด้านล่างก็โบกมือทักทายแล้วส่งเสียงผ่านโทรศัพท์
“สุขสันต์วันเกิดตี๋ชิวเหอ วันนี้คุณก็แก่ขึ้นอีกปีแล้วนะครับ!!!”
แน่นอนว่าเพื่อนๆของเขาร่วมกันคิดเรื่องเซอร์ไพรส์นี้ขึ้นมา
เหอไป่คิดว่ามันเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ดีกับตี๋ชิวเหอมันเป็นไอเดียเล็กๆ ที่อาจจะเรียกน้ำตาของตี๋ชิวเหอก็ได้
ปัง...
ปัง..ปัง...
เสียงดอกไม้ไฟยังดังต่อเนื่อง
เสียงของหัวใจของตี๋ชิวเหอดังพอๆกับเสียงของดอกไม้ไฟนี้
เขามองไปที่ร่างเล็กที่อยู่ด้านล่างที่กระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ เขายกมือจับที่หน้าอกของตัวเองพร้อมบีบไว้แน่น
“ลูกหมา นายทำให้ผมไม่สบายอีกแล้ว”
เสียงของดอกไม้ไฟดังจนเหอไป่ได้ยินไม่ชัดเจน
ตี๋ชิวเหอยังจ้องมองเหอไป่ที่ยืนอยู่ริมแม่น้ำไม่มันจะไม่ชัดเพราะเห็นได้จากประกายของดอกไม้ไฟ
เขารู้สึกเหมือนมีก้อนที่ตีตื้นที่ลำคอแล้วความร้อนแผ่วที่หางตา ตอนนี้เขาต้องการที่จะสวมกอด
‘เด็กเลี้ยงแกะ’ ที่อาจจะฉลาดเล็กน้อยจากนั้นก็กัดฟันพูดขึ้น
“นายมันกล้ามาก”
“ห๊า!! คุณพูดอะไรนะครับ?” เหอไป่ที่ได้ยินแต่เสียงดอกไม้ไฟก็ถามขึ้น
“นายมันกล้ามาก!!!” ตี๋ชิวเหอคําครามออกด้วยเสียงที่ดุดัน
“นายกล้าหลอกผมได้ยังไง...นายมันบ้าไปแล้ว!!” สำหรับเรื่องนี้ไม่มีใครที่จะกล้าทำเรื่องแบบนี้นอกจากคนที่บ้ามากเท่านั้น
เหอไป่ได้ยินชัดเจนเพราะเสียงดอกไม้ไฟเงียบลงเมื่อหมดชุดของการยิง
เหอไป่ทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ “มีดอกไม้ไฟเหลืออีกหนึ่งชุด
คุณมาจุดเองเดียวผมของตัวกลับเลยและกัน”
“ยืนอยู่ตรงนั้น!!” ตี๋ชิวเหอโพล่งอย่างไม่พอใจ
“ถ้านายกล้าทำแบบนั้นผมจะไม่ให้นายกลับเมือง B แน่นอน”
เหอไป่หัวเราะเยาะเย้ยจากนั้นก็กดวางสาย
คำพูดของเด็กชายไม่สามารถทำอะไรเขาได้หรอก
ตี๋ชิวเหอที่วิ่งตรงมาที่เหอไป่เขามีช่วงขาที่ขาวแล้วผมที่ยาวขึ้น
สายตาเต็มไปด้วยความฉุนเฉียวพร้อมจ้องมองร่างเล็กที่นั่งยองอยู่บนพื้นหญ้า
เหอไป่ชะงักเมื่อมองร่างตรงหน้าเต็มตาและสายตาก็ลากยาวมามองที่กล้ามเนื้อที่หน้าท้องของตี๋ชิวเหออย่างอิจฉา
“เหล่าแฟนคลับยกย่องว่าคุณเป็นคนบอบบางและอ่อนโยน แต่เมื่อมองคุณตอนนี้มันช่าง...”
สายตายังไม่ละจากกล้ามใต้เสื้อกล้าม
ตี๋ชิวเหอไม่สนใจเสียงเยาะเย้ย
เขายังก้าวไม่หยุด
“เฮ้ย...!!! คุณเป็นอะไร” เหอไป่ยกมือไว้ด้านหน้าเพื่อป้องกัน “คุณจะต่อยผมเหรอ!
นี่ผมมาฉลองวันเกิดให้คุณนะ นี่คุณจะตอบแทนผมด้วยความเจ็บปวดอย่างนี้จริงเหรอ?”
ตี๋ชิวเหอไม่สนใจสายตาจ้องมองรอยแดงเต็มแขนของเหอไป่ที่เกิดจากยุงกัด
จากนั้นก็รวบตัวเด็กหนุ่มตรงหน้าไว้ในอ้อมแขนมืออีกข้างก็ลูบที่กลุ่มผมนิ่มเบาๆ พร้อมฝังหน้าที่กลุ่มผมนั้นพร้อมพูดด้วยเสียงอู้อี้
“ครั้งหน้าอย่าทำแบบนี้...”
ใบหน้าของเหอไป่ปะทะกับกล้ามเนื้อแน่นของตี๋ชิวเหอจนเจ็บเขาทำได้เพียงยืนนิ่งเป็นรูปปั้น
เสียงที่พูดออกมาผสมระหว่างความเจ็บและไม่พอใจ “ครั้งต่อไปเหรอ!!!
คุณปล่อยผมเดียวนี้กล้ามเนื้อของคุณทำจากเหล็กใช่ไหม ผมเจ็บไปหมดแล้วนี้...จริงด้วยสุขสันต์วันเกิดครบรอบ
23 ปีครับ ขอให้คุณเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีแล้วอ่อนโยน อย่าใช้ความเอาแต่ใจตัวเองให้มากเกินไปนะครับ"
ตี๋ชิวเหอโอบเอวของเหอไปแน่นจากนั้นก็ยกอีกคนลอยขึ้นจากพื้น
“อืม!!!!"
เหอไป่ตอนนี้รู้สึกได้ถึงศักดิ์ศรีลูกผู้ชายถูกย่ำยี้จากคนตรงหน้า
“เด็กชายตี๋เด็กดี!! ใจเย็นๆๆปล่อยผมลงไปก่อน”
ตี๋ชิวเหอยังกอดพร้อมฝังใบหน้าที่หน้าท้องเหอไป่สักพักจากนั้นก็เดินไปที่ดอกไม้ไฟที่ยังไม่จุดก่อนที่จะวางเหอไป่ลงข้างดอกไม้ไฟมีกล่องอาหารสองกล่องโดยไม่พูดอะไร
“คุณดีใจไหม?” เหอไป่สับสนกับพฤติกรรมของตี๋ชิวเหอและเอื้อมมือไปตบไหล่เบา
“เฮ้...นี้คุณร้องไห้เหรอ
คุณเป็นผู้ชายที่โตแล้วจะมาร้องไห้แบบนี้ได้ยังไง คุณต้องหัวเราะเมื่อเจอเรื่องเซอร์ไพรส์แบบนี้สิ...”
นี่ถ้ารู้ว่าตี๋ชิวเหอจะเป็นแบบนี้เขาไม่มีทำเรื่องเซอร์ไพรส์นี้ขึ้นมาอย่างแน่นอน
ตี๋ชิวเหอเงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจังไม่มีร่องรอยของน้ำตา
เหอไป่ก็โล่งใจ
“ในนั่นมันคือเค้กเหรอ นายทำเองเลยใช่ไหม?”
ตี๋ชิวเหอถามด้วนเสียงรายเรียบ
เหอไป่รู้สึกประหม่าทันทีพร้อมก้าวถอยหลัง “ใช่ครับ ผมทำเอง”
“นายไปทำมันที่ไหน?”
“ที่โรงแรมครับ..” เหอไป่ตอบทันควัน
“นี่นายมาตั้งแต่เมื่อไร” เสียงที่พูดออกมานั้นจริงจังมาก
เหอไป่กลืนน้ำลายแล้วตอบไม่เต็มเสียง “เมื่อคือครับ หลังผมเลิกเรียน”
ตี๋ชิวเหอพยักหน้าพร้อมหันหัวมองที่กล่องเค้ก
จากนั้นก็แกะริบบิ้น
“ไม่รู้ว่าจะถูกใจคุณไหม” เหอไป่ก็คุกเข่าไปที่หน้าตี๋ชิวเหอจากนั้นก็หยิบเทียนวันเกิดที่เตรียมมาจากกระเป๋าที่อยู่ข้างๆ“ผมทำขนมไม่เก่งไม่รู้ว่าจะอร่อยไหม เดียวคุณเป่าเทียนวันเกิดแล้วขอพรนะครับ”
มันเป็นเทียนที่ขายทั่วไปอันหนึ่งมีเลขสองและอีกอันมีเลขสาม
มันดูน่ารักแต่ช่างไม่เหมาะกับชายตรงหน้า
เทียนที่น่าหมั่นไส้ก็ปักอยู่กลางก้อนเค้ก แม้ว่าน่าตาของมันจะอธิบายเป็นคำพูดไม่ออก
แต่ความรู้สึกของตี๋ชิวเหอตอนนี้เค้กก้อนนี้ช่าง...น่ารักมาก
เหอไป่จุดเทียนด้วยไฟแช็กและจ้องมองที่ใบหน้าของตี๋ชิวเหอด้วยความหวังจากนั้นเขาก็ยกกล้องขึ้นมา
“เอาสิครับ..เรามาเป่าเทียนและขอพรในวันเกิดของคุณ”
เมื่อวานเกเรนิดนุง เราหลงไปในนิยายเพลิน
เอ๊านึกได้ว่ายังไม่ได้แปลสักบท วันนี้เลยขอเก็บตัวสองบทนะคะ อีกบทจะมาดึกๆ
บทที่ 59 ไม่สบายแน่นอน
ตี๋ชิวเหอคิ้วขมวดใส่กล้อง
เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็เงียบลง “ไม่มีอะไรครับ
นายคือของขวัญที่ดีที่สุดของผม”
“แล้วทำไมคุณถึงนิ่งแบบนั้น?” เหอไป่เงยหน้าออกจากด้วนหลังกล้อง
ตี๋ชิวเหอรีบใช้โอกาสนั้นเป่าเทียน จากนั้นก็หลับตาเหมือนกำลังอธิษฐาน
“ผมขอให้น้องชายของผมเป็นเด็กดีไม่ดื้อรั้นกับผมแล้วอยู่กับผมไปนานๆ”
เหอไป่ตกใจแต่นิ้วยังกดชัตเตอร์รัวไปที่ตี๋ชิวเหอ
“นี้คุณขออะไรของคุณ? แต่ผมก็ยอมให้ก็ได้คุณก็ได้เพราะวันนี้คือวันเกิดของคุณ
แล้วอีกอย่างคำอธิษฐานคงไม่เป็นจริงถึงขอเสียงดัง คุณทำให้มันไม่สัมฤทธิ์ผลไปเสียแล้ว”
ตี๋ชิวเหอยังคงสีหน้าจริงจังที่ยังจ้องหน้าเค้ก
พร้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดถ่ายรูป เมื่อเสร็จสิ้นก็หยิบเทียนออกด้วยความระวัง
มือก็ถึงมีดนิ่งเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง แต่ไม่นานก็วางมีดลงและหันไปหยิบอีกกล่องที่วางไว้ข้างกัน
“ในนี้มีอะไร?”
“บะหมี่อายุยืน” เหอไป่คิดว่าอีกคนไม่ต้องการกินของหวานในตอนดึกจึงตัดใจไม่ตัดเค้ก
เหอไป่จึงตัดสินใจเอากล่องอีกอันออก “บะหมี่มันจะอืดก่อนผมเลยตัดสินใจทำให้มันเป็นบะหมี่เย็นแทน
คุณต้องการอุ่นมันก่อนไหม”
ไอร้อนที่ยังคุกรุ่นจากน้ำซุปและเส้นที่เรียงสวยจากบะหมี่เย็นทำให้มันดูน่ากินมากเป็นพิเศษ
“เอ้า..นี่ตะเกียบครับ” เหอไป่หยิบตะเกียบที่ใช้ครั้งเดียวจากกระเป๋าเป้ยื่นให้ตี๋ชิวเหอ จากนั้นก็หยิบอีกอันออกมาพร้อมนั่งเรียบร้อยบนพื้นหญ้าเพื่อเตรียมพร้อม
“ตอนนี้ผมหิวโซมาก
เพราะการทำเค้กมันทั้งยุ่งยากแล้วผมไม่เคยทำมันด้วย” เหอไป่ตั้งใจที่จะกินหลังจากที่ตี๋ชิวเหอเป่าเทียนวันเกิดแล้วขอพรและคือเหตุผลที่เขาทนหิวโดยไม่บ่นออกมาซักคำ
ตี๋ชิวเหอที่จ้องมองลูกหมาของเขากำลังกินบะหมี่ด้วยความยินดี
เขามองข้ามเค้กมาจัดการบะหมี่ตรงหน้าพร้อมนั่งลงข้างตัวของเหอไป่ เสียงแผ่วเบาลอดริมฝีปาก
“ขอบคุณมากนะ”
“ไม่เป็นไรครับ เพื่อมิตรภาพที่ดีของเรา”
เหอไป่วางมือบนไหล่ของตี๋ชิวเหอเหมือนอีกคนเป็นเพื่อนสนิทอีกคนของเขา
ตี๋ชิวเหอเกร็งตัวเมื่อรับสัมผัสบนไหล่จากนั้นก็ค่อยๆผ่อนคลายตัวเอง
พร้อมสายลมที่พัดโชยจากธรรมชาติที่มาจากแม่น้ำ
หลังจากจัดการบะหมี่ตรงหน้าเรียบร้อยทั้งสองก็มาจัดการดอกไม้ไฟที่เหลืออีกหนึ่งอันพร้อมกันริมแม่น้ำ
บนมือของตี๋ชิวเหอยังมีเค้กที่ไม่มีการแตะต้องพร้อมเฝ้ามองธรรมชาติยามค่ำคืนไปด้วยกัน
เมื่อตี๋ชิวเหอวางเค้กไว้บนโต๊ะแล้วให้เหอไป่ไปอาบน้ำทันที
ส่วนตี๋ชิวเหอก็เดินไปนั่งบนเตียงด้วยความประหม่า
เตียงนอนตรงหน้ามีพื้นที่เพียงพอให้คนสองคนนอนด้วยกันอย่างสบาย
เหอไป่ตอนนี้ตาแทบปิด เกิดจากที่เขาใช้พลังงานทั้งวันเพื่อเตรียมงานให้อีกคน เมื่อตี๋ชิวเหอออกมาจากห้องน้ำ
เขาพร้อมที่จะกล่าวราตรีสวัสดิ์และหลับตาทันที
ตี๋ชิวเหอออกจากห้องน้ำพร้อมใส่เพียงแค่กางเกงนอนตัวเดียวเหมือนที่นอนประจำ
ทำให้เผยกล้ามหน้าท้องและหน้าอกที่แน่นด้วยการออกกำลังกาย ตี๋ชิวเหอกวาดมองร่างขาวนั่งอยู่บนเตียงที่เหมือนจะสะท้อนแสงออกมา
จึงตัดสินใจเดินไปปิดไฟ และล้มตัวลงนอนอีกข้างของเตียงด้วยความแผ่วเบา
“อืม...” เสียงขยับตัวบนที่นอนอย่างให้ได้ท่วงท่าทางที่สบายที่สุด
เหอไป่กล้ามากที่จะวางแขนบนอกของตี๋ชิวเหอ
ตี๋ชิวเหอเปิดตาโพล่งทันที
ตัวเกร็งจนไม่กล้าขยับตัวสายตาจ้องมองเด็กหนุ่นที่นอนอยู่ข้างตัว
แสงไฟลอดจากหน้าทำให้เห็นเพียงกลุ่มผมของเหอไป่แขนที่พาดอยู่บนตัวของเขา
ตี๋ชิวเหอรู้สึกร้อนขึ้นมาหรือว่าแอร์มันจะเสียทำให้เขาร้อน
ความร้อนตอนนี้เหมือนมันมากขึ้นเรื่อยๆๆ ‘ไม่ได้นะ เขาไม่อยากให้เจ้าลูกหมาไม่สบาย’
จึงรีบกลั้นหายใจและขยับยกมือของเหอไป่ขึ้นเบาๆและวางไว้บนเตียง
มือที่เต็มไปด้วยเหงื่อสัมผัสถึงความเย็นสบายของแขนเล็กที่เขาจับ
แต่มันตรงกันข้ามกับความร้อนจากมือของเขา
‘....หวังว่าเรื่องนี้จะเป็นความลับไปตลอดชีวิต’
ตี๋ชิวเหอรีบปล่อยมือออกทันทีจากนั้นแขนของเหอไป่ก็วางอยู่บนที่นอนแต่มันก็เด้งขึ้นลงจากแรงสปริงของเตียงสองสามครั้ง
...มันช่างเป็นเตียงที่ดีเยี่ยมมากเกินไป
“เกิดอะไรขึ้นครับ?” เหอไป่สะลึมสะลือตื่นขึ้นจากนั้นก็ยกมือมือไปวางที่กลุ่มผมของตี๋ชิวเหอพร้อมพึมพำ
“วันนี้เด็กชายตี๋ผิดปกติมาก
คุณพูดน้อยเกินไปแต่มันก็เป็นเรื่องดีนะครับ ดึกแล้วคุณนอนเถอะครับ”
เหอไป่พูดเสียงเข้มเหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็กที่ยังไม่ยอมเข้านอน
และมือก็ลูบผมเบาๆสองสามครั้งก่อนที่นิ่งลงพร้อมตาที่ปิดสนิท
ระยะตอนนี้มันใกล้เกินไปเขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่บนหน้าผาก
กลิ่นหอมกลิ่นเดียวกันที่ออกมาจากร่างขาวตรงหน้า มันช่างหอมมากแม้จะใช้สบู่กลิ่นเดียวกัน
ตรงกันข้ามกับเหอไป่ที่ตอนนี้นอนหลับพร้อมรอยยิ้มเหมือนคนกำลังฝันดีแต่ตี๋ชิวเหอกับเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลอาบเหมือนเขากำลังยืนท่ามกลางสายฝน
‘แอร์มันต้องเสียแน่นอน’
ตี๋ชิวเหอที่ไม่สามารถข่มตาหลับได้จ้องมองเหอไป่ที่หลับสบายอยู่คนเดียว
อาการไม่สบายตอนนี้ก็เหมือนจะแย่ลงทำให้การหายใจติดขัด...ลูกหมามีกลิ่นที่หอม...เขาอยากจะเขาไปดมใกล้ๆ...
ทันใดเหอไป่ก็ขยับตัวพลิกอีกข้าง ตี๋ชิวเหอก็กระเด้งขึ้นจากเตียงพร้อมอ้าปากหายใจหอบหนักพร้อมอาการงุ่มง่ามที่หยิบโทรศัพท์ได้ก็ตรงไปที่ระเบียงไม่หันหลังกับไปมอง
สายลมพัดเย็นจากแม่น้ำตอนกลางคืน และน้ำเย็นหนึ่งขวดไม่สามารถช่วยอะไรตี๋ชิวเหอตอนนี้ได้เลย
เขารีบกดไปที่เบอร์ของเจี่ยงซิ่วเหวิน เมื่อปลายสายรับเขาก็รีบระบายด้วยความอัดอั้น
“น้ำเย็นมันไม่เห็นช่วยอะไรได้เลย!!!”
เสียงหงุดหงิดของเจี่ยงซิ่วเหวินลอดผ่าน “น้ำเย็น..ตอนนี้มันดึกมากแล้วมันไม่ดีที่นายจะดื่มมันตอนนี้”
“ก็ไหนนายบอกว่าการดื่มน้ำเย็นมันจะช่วยรักษาฉันได้ไง
มันไม่ประโยชน์เลย!!!!” มันทำให้ฉันร้อนขึ้นมากกว่าเดิม!!!
เจี่ยงซิ่วเหวินมีเสียงที่ตื่นตระหนักขึ้น “นี่นายไม่สบายอีกแล้วเหรอ นายอยากกลับเมือง B เพื่อที่จะมาหาลูกหมาของนาย"
เจี่ยงซิ่วเหวินคิดว่าอีกคนคงเหนื่อยจากการฝึกหนักแล้วคิดถึงเรื่องข่าวลือที่มีเด็กหนุ่มเหอไป่เข้าไปเกี่ยวด้วย
“ไม่...ฉันไม่จำเป็นต้องกลับไป” ตี๋ชิวเหอเบาเสียงลงพร้อมพูดอย่างติดขัด “ก็วันนี้ลูกหมาของฉันมาหาฉันที่นี้...เขามาจัดงานวันเกิดให้ฉัน
เขาเตรียมเค้กและบะหมี่อายุยืนมาให้ฉันด้วย! หลังจากจุดดอกไม้ไฟแล้วก็หลับด้วยความเหนื่อยล้า
ตอนนี้เขานอนหลับอยู่บนเตียง"
เข้านอน..เข้านอน... เจี่ยงซิ่วเหวินพยายามระงับจินตนาการของตัวเองพร้อมหายใจเข้าลึกๆ
“นายอาจจะนอนดึกเกินไปนั้นเป็นสาเหตุที่น้ำเย็นไม่ช่วยอะไรนาย ดีที่สุดนายควรไปนอนที่โซฟาหลีกเลี่ยงการที่นายจะไปทำให้เหอไป่ป่วย
ตอนนี้เขาเหนื่อยมากเพราะเขาเหนื่อยมาทั้งวัน! นายทำอะไรเขาเพิ่มหรือเปล่า...”
เรื่องที่เจี่ยงซิ่วเหวินพูดด้วยมีเหตุผมตี๋ชิวเหอพยักหน้าเหมือนลูกเจี๊ยบที่กำลังจิกกองข้าว
ใช่เจี่ยงซิ่วเหวินพูดมีเหตุผล! เขาต้องการพักผ่อนแล้วต้องห่างจากเหอไป่เพื่อป้องกันให้อีกคนไม่ติดหวัดจากเขา
เพื่อให้เหอไป่มีแรงในวันรุ่งขึ้นเพื่อเพิ่มสีสันให้กับเขาในวันเกิด
ตี๋ชิวเหอวางสายทันทีเพื่อการพักผ่อนอย่างเต็มที่ให้พร้อมดูแลน้องชายของเขาพร้อมตรงดิ่งไปที่โซฟาเพื่อนอน
เหมือนเป็นจิตใต้สำนึกเมื่อล้มตัวนอนเขาก็หลับทันที
ในความฝันเขาเหมือนกำลังกอดอะไรที่นุ่นนิ่ม
จากนั้นก็กลิ้งตัวไปมาเพื่อกอดสิ่งนั้น....
ชิวชิว อรุณสวัสดิ์ที่รักของฉัน..
เสียงปลุกที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นเขาลืมตาด้วยความรวดเร็วแล้วจ้องมองที่มาของเสียงด้วยความตกใจ...มันเป็นความฝันที่น่าอายมาก!!!
‘นี้ทำไมถึงฝันเห็นเจ้าลูกหมาที่กำลังเปลือยเปล่าแบบนั้น?’
ชิวชิว อรุณสวัสดิ์ที่รักของฉัน..
เสียงปลุกดังขึ้นอีกครั้งเพราะเข้าไม่ได้กดหยุดมัน
ตี๋ชิวเหอไถลตัวจากโซฟาเพื่อไปปิดเสียงปลุกนั้น
ตี๋ชิวเหอรู้เหมือนการเคลื่อนไหวของเขาช้าลงทั้งๆที่มันรวดเร็วมาก
พร้อมเงยหน้ายืนมองร่างที่ยืนอยู่ข้างโซฟา ทั้งร่างของเขาตอนนี้เหมือนกูแช่แข็ง
“ตี๋ ชิว เหอ” เสียงที่เน้นคำลอดจากไรฟันของเหอไป่
นิ้วขาวเรียวหยิบไปที่โทรศัพท์ของตี๋ชิวเหอตรงหน้า “คุณช่วยบอกหน่อยสิว่า...ข้อความเสียงที่ผมส่งไปให้
‘นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง’ ทำไมผมถึงได้ยินมาจากโทรศัพท์ของคุณ”
ความในฝันของเขาก็เหมือนจะกับมาแทนที่ ข้อเท้าเล็กที่ขาวของเหอไป่ช่างตัดกับพื้นพรมสีดำมาก
จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปที่โทรศัพท์ที่อยู่บนมือของอีกคนอย่างซวนเซทีละน้อย
ทำไมถึงมึนหัว..?
เขารู้แล้ว..
เขาตอนนี้....ไม่สบายแน่นอน..!!!!
มีใครหมั่นไส้พี่ตี๋มากเกินไป
มาลองอ่านเรื่องนี้ดูคะ หาข้ออ้างที่จะไม่ถูกดุที่เมื่อวานเกเร
#น้องเหอพี่ตี๋ #จิ้งจอกลูกแกะ
บทที่ 60 ลื่น
เหอไป่ปัดมือของตี๋ชิวเหอแล้วก็ก้มหน้าลงเห็นที่หัวของตี๋ชิวเหอที่มีสองขวัญ...ว่ากันว่าคนที่มีสองขวัญนั้นฉลาด
เขาพยายามตั้งสติพร้อมดึงมือตัวเองกลับแต่ก็เหมือนล้มเหลว
เขาก็ยอมแพ้นั่งขัดสมาดบนพื้นพร้อมจ้องใบหน้าของตี๋ชิวเหออย่างระวัง
“ไม่มีอะไรจะพูดเหรอครับ?”
ตี๋ชิวเหอไม่ได้คาดหวังเหอไป่จะใจเย็นและนั่งฟังคำอธิบายของตัวเขาเอง
เขาเหลียวมองไปด้วยทางอื่นเหมือนตัวเขาตอนนี้มันจะไหม้ มือขวาบีบที่ต้นขาของเขาแน่นแล้วอีกมือก็กำมือของเหอไป่แน่น
ใบหูของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง
ปฏิกิริยาของตี๋ชิวเหอคืออะไร
เขาจะเล่นจะเล่นใบ้คำหรือจะปล่อยเรื่องทั้งหมดด้วยความเงียบงัน?
เหอไป่พยายามยื้อมือตัวเองจากตี๋ชิวเหอที่ยังกำแน่นถามด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่ใส่ใจ
“คุณกำลังเล่นอะไรของคุณ? จะเล่นเป็นสาวน้อยที่มีน้องชายหรือไง...?”
ตี๋ชิวเหอยังกำมือของอีกคนแน่นแต่ก็ยังคงความเงียบไว้
“เรื่องที่ผมพูดนั้นถูกใช่ไหม” เหอไป่เข้าใจไปเองว่าตี๋ชิวเหอต้องการที่จะเป็นเพื่อนกับเขา แต่ดูเหมือนว่าตัวเขาจะคิดผิด
“นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง” เหอไป่พยายามสะบัดมือของเขาพร้อมจ้องมองด้วยสายตาดุเดือด
“ถูกแม่เลี้ยงรังแก? อยากจะฆ่าตัวตาย? หรือว่าต้องการหนีออกจากบ้าน...เฮอะ!!!”
ตี๋ชิวเหอเหมือนจะรู้สึกผิดมากขึ้นเรื่อย ๆ
เขาถอนตัวฝังในโซฟามากขึ้น พูดพร้อมเสียงที่อ้อมแอ๋ม “ผมอธิบายได้นะ”
“พูดต่อสิ” เหอไป่จ้องมองโทรศัพท์ที่ถูกทิ้งไว้ข้างตัวเขาพร้อมรอยยิ้ม
“ถ้าคุณยังจะโกหกผมอีก ผมจะเตะตูดของคุณให้อ้วกบะหมี่เย็นของผมออกมาเลย”
ตี๋ชิวเหอมองที่หลักฐานที่วางอยู่ใกล้ขาขาวนวลที่กางเกงสั้นเกือบทั้งหมด
ตอนนี้ทำไมตัวของเขาถึงร้อนขึ้นกว่าเดิม ทำให้เขาต้องพูดตามสัญชาตญาณว่า
“ผมต้องไปห้องน้ำ”
“.....” เหอไป่เหมือนจะพูดไม่ออก
“มันคือ...เรื่องของตอนตื่นนอนตอนเช้า”
ตอนนี้ตี๋ชิวเหอเหมือนล่องลอย เขาพูดทุกอย่างที่คิดแต่เมื่อสบตาของเหอไป่เขาก็ลิ้นพันกัน
“เมื่อแต่นักโทษที่กำลังสอบสวนก็สามารถที่จะเข้าห้องน้ำได้นะ”
“.....” เฮอะ!!!
ทุกอย่างมันสรุปได้ในคำพูดนั้น
ด้วยกลัวที่จะถูกเหอไป่เยาะเย้ยตี๋ชิวเหอก็ขยับตัวหนีอย่างรวดเร็ว
แต่ก็เหมือนวิญญาณของเขาออกจากร่าง “ผมขอโทษ...แต่เรื่องนี้มันช่างควบคุมไม่ได้
เอ่อ...” ตี๋ชิวเหอเข้าใจถึงเรื่องที่ก่อขึ้นทั้งหมด...มันทำให้ความรู้สึกผิดเกิดขึ้นกระทันหัน
หลังจากเข้าใจถึงความหมายที่ตี๋ชิวเหอสื่อ
มันช่างเป็นเรื่องที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้นอกจากตะโกนด้วยความโกรธ “รีบไปเลย!!!”
ตี๋ชิวเหอสะดุ้งตัวเหมือนกระต่ายจะโดด
เหอไป่พูดลอดไรฟัน
“มันเป็นเรื่องธรรมชาติไม่ใช่หรือ? คุณต้องการให้ผมพบไปส่งถึงห้องน้ำแล้วช่วยถอดกางเกงให้หรือไง”
ใครคือคนผิด? ทำไมอีกคนถึงทำหน้าเหมือนเขาเป็นคนร้าย
มันช่าง...ไม่ยุติธรรมเลย!!!
ตี๋ชิวเหอไม่สามารถนึกถึงเรื่องที่น่าอายได้เลย...เหอไป่กำลังช่วยเขาถอดกางเกงของเขาออก
เขาก็รู้เขินอายทันทีจึงรีบพุ่งที่ไปกระชากประตูห้องน้ำ
บึก!!!
ตี๋ชิวเหอเปิดประตูเสียงดัง
“อะไรนะ คนทำผิดก็ไม่ควรทำแบบนี้!!!”
ประตูห้องน้ำก็ปิดเสียงเบาลง
“....” เหอไป่ตอนนี้รู้สึกโมโหมาก
เหอไป่สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างพยายามระงับตัวเองเมื่อได้ยินเสียงชักโครกในห้องน้ำ
เขาจ้องมองโทรศัพท์ของตี๋ชิวเหอเหมือนจะพยายามพิสูจน์บางอย่าง เหอไป่จึงหยิบโทรศัพท์ของตัวเองแล้วส่งข้อความไปที่
‘นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง’
ตื้ด...
โทรศัพท์ของตี๋ชิวเหอที่วางอยู่บนพื้นก็ดังขึ้น
เหอไป่รู้สึกเหมือนเขาจะดิ่งลงความมืด
“ให้ตายเถอะ...ตี๋ชิวเหอ!!!” เหอไป่ตะโกนเสียงดังเหมือนสิ่งที่พยายามควบคุมไว้มันพังทลาย
มันเป็นเรื่องที่หลอกลวงทั้งหมด...ทั้งเรื่องถูกรังแกจะฆ่าตัวตายและหนีออกจากบ้าน....มันเป็นคำโกหกทั้งหมด!
แล้วเรื่องไปฝึกงานที่ต่างประเทศ? นี้แปลว่าเจ้าของสตูดิโอ
Red Guest ต้องเป็นเพื่อนกับตี๋ชิวเหอแน่นอน
ช่างเป็นการสวมบทบาทที่สมบูรณ์แบบมาก เหมาะจริงๆที่เป็นเพื่อนของจักรพรรดิจอเงิน มีทั้งการแสดงถึงความใส่ใจถึงลูกพี่ลูกน้องอย่างจริงจัง!!
เขาความต้องมอบโล่ให้ด้วยหรือเปล่านี้!!!
เหอไป่รีบไปเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าเป้ด้วยความโมโหเมื่อนึกย้อนถึงข้อความที่เขาคุยกับ
‘นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง’ เหอไป่พยายามระงับอารมณ์ของตัวเองแต่ก็ไม่สามารถที่จะทำได้
เขาเดินไปที่เตะที่ประตูห้องน้ำด้วยความรุนแรงพร้อมเสียงตะโกนดังลั่น “คุณต้องออกมาตอนนี้..ถ้าคุณยังไม่ออกมาอธิบายผมจะเข้าไปเตะตูดของคุณตอนนี้แน่นอน!”
เมื่อตี๋ชิวเหอได้ยินก็ลื่นล้มทั้งที่ทั้งตัวมีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียว
จากนั้นก็เต็มไปด้วยเสียงโครมครามเสียงดัง
พร้อมด้วยเสียงครางด้วยความเจ็บปวดแผ่วเบา
เหอไป่ชะงักตัวหลังจากได้ยินเสียงดัง
เขารีบบิดกลอนประตูเปิดทันที “เกิดอะไรขึ้นครับ?
บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ?”
เหอไป่เห็นร่างของชายหนุ่มที่กำลังกำลังลื่นล้มในอ่างอาบน้ำที่มีฟองสบู่เต็มอ่าง
มือซ้ายกำลังถือกางเกงชั้นใน...ส่วนด้านบนเปลือยเปล่าและส่วนล่างพันด้วยผ้าขนหนูผืนเดียว
ตี๋ชิวพยายามตะกายจะอ่างและดึงม่านให้บังตัวเอง
“เอ่อ....” เหอไป๋ที่ตอนนี้สมองคิดอะไรไม่ออกถามด้วยใบหน้างุนงง
“คุณโอเคไหมครับ? จริงๆแล้วผมควรไปรอข้างนอก
คุณจัดการธุระของคุณให้เสร็จก่อนก็ได้...แม้ว่าผมจะโกรธคุณมากขนาดไหนแต่เรื่องนี้ผมมีสามัญสำนึกเรื่องตอนนี้ไม่มีรั่วไหลแน่นอนครับ...มันเป็นเวลาส่วนตัวของคุณ..ใช้เวลาให้เต็มที่...ผมจะไปรอข้างนอก”
ระหว่างที่พูดเหอไป่ก็ก้าวเดินถอยหลัง
แต่ไม่ได้สังเกตถึงก้อนสบู่ที่หล่นอยู่บนพื้น ตอนนี้เขาเหยียบมัน...
เฮ้ย..!” เหอไป่ร้องเสียงดังเมื่อลื่นไถลเสียการทรงตัว
มือของเขาไขว่คว้าสิ่งของเพื่อทรงตัว
ปึก!! เหอไป่ดังไปคว้าผ้าม่านที่อยู่ด้านหน้าของตี๋ชิวเหอที่ตอนนี้ยืนขึ้นจากอ่างเพื่อสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้น
ในที่สุดเหอไป่ก็ประคองตัวเองได้
แต่ในทางกลับกัน...ตี๋ชิวเหอก็รู้สึกโล่งเมื่อผ้าขนหนูที่พันด้านล่างหายไป
บทที่ 61 คนอกหัก
เหอไป่รีบเงยหน้าสบตากับตี๋ชิวเหอที่มีสีหน้าตกใจ
ทั้งคู้ก็ตกอยู่ในความเงียบ
“อืม...แข็งแรงดีนะ” เหอไป่ตกใจพร้อมพูดขึ้นอย่างไม่รู้ตัวเพราะต้องการทำลายความน่าอึดอัดนี้
ตี๋ชิวเหอที่ตัวแข็งค้างก่อนหน้าก็รีบรู้สึกตัวจากนั้นก็ยกมือขึ้นมาเกาใบหูที่แดงก่ำของตัวเอง
“ดีใจที่นายชอบ...”
“...” เหอไป่ 'ให้ตายเถอะ...จะพูดอะไรต่อดีนี้’
“...” ตี๋ชิวเหอยิ้มอย่างพึงพอใจ ‘ดูเหมือนลูกหมาจะปลื้มจนพูดไม่ออก’
“...”
“...”
ตุ๊บ..!! ขวดน้ำยาสระผมก็ตกเสียงดัง
เหมือนเป็นระฆังที่ทำลายความเงียบ
บรรยากาศที่หยุดนิ่งเหมือนเข็มสีแดงของนาฬืกาตายก็เริ่มขยับอีกครั้ง
เหอไป่ก็สะดุ้งตัวรีบหันหลังหนีส่วนตี๋ชิวเหอก็คว้าผ้าม่านมาพันที่เอวของตัวเองทันที
“คุณอาบน้ำต่อได้เลย
เอ่อ..ผ้าม่านผืนนี้มันเก่าแล้วนะครับ” เหอไป่พูดติดขัด
ตี๋ชิวเหอรีบหันหน้าเข้ากำแพงพร้อมใบหน้าแดงก่ำ
“ใช่ๆๆ มันจำเป็นต้องเปลี่ยนแล้วจริงๆ”
แล้วทั้งคู่ต่างก็แยกย้ายทำกิจวัตของตัวเองเงียบ
จากนั้นก็ตรงมาที่โรงอาหารของศูนย์ฝึก มื้อเช้าของทั้งคู่เต็มไปด้วยบรรยากาศที่น่าอึดอัด
“นายไปเที่ยวในเมืองไหม?” หลังจัดการมื้อเช้าเรียบร้อย
ก็ตี๋ชิวเหอหยิบกุญแจรถพร้อมเอ่ยชวนเหอไป่ออกไปข้างนอก
เหอไป่ที่ตอนนี้ดื่มน้ำอยู่ก็พยักหน้าตอบรับอย่างรวดเร็ว
“ดีเลยครับ...วันนี้เป็นวันของคุณ ผมตามใจคุณเลย”
ดังนั้นทั้งสองตัดสินใจขับรถไปชมจุดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงรอบๆศูนย์ฝึกทำให้เหอไป่ได้รูปถ่ายหลายรูปติดมือกับมาสุดท้ายเหอไป่ยังพิมพ์ข้อความอวยพรวันเกิดให้ตี๋ชิวเหอพร้อมแนบรูปอีกคนที่เป็นรูปลักษณ์ใหม่บนเวยป๋อ
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน
ตี๋ชิวเหอก็พาเหอไป่ไปส่งที่สนามบิน
“โทรหาผมด้วยเมื่อนายถึงแล้ว”
“ครับ”
“ขอบคุณมากสำหรับวันเกิดปีนี้ของผม”
“ไม่เป็นไรเลยครับ”
“มันเป็นวันที่ดีมาก”
“ผมก็ด้วยครับ..”
“เรื่องในห้องน้ำ...”
“ลืมเถอะครับ มันเป็นอุบัติเหตุ”
“...”
“ผมขอตัวไปเช็คอินก่อนนะครับ
แล้วค่อยเจอกันอีกครั้ง”
“เดียวก่อน” ตี๋ชิวเหอเรียกอีกคนพร้อมเหยียดแขนออกมาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนน้ำเสียงที่พูดออกมาเต็มไปด้วยความประหม่า
“นายกอดผมหน่อยได้ไหมครับ”
เหอไป่จ้องมองใบหน้าตี๋ชิวเหอเต็มตาครั้งแรกหลังจากเกิดเหตุการณ์น่าอึดอัดในตอนเช้า
เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อกอดชายหนุ่มตรงหน้า มือขวาก็เอื้อมมือไปตบที่ไหล่เบา
“สุขสันต์วันเกิดและขอให้คุณถ่ายหนังไปด้วยดีนะครับ”
ตี๋ชิวเหอกระชับอ้อมแขนแน่นด้วยความพอใจพร้อมฝังหน้าที่คอของเหอไป่
สายตาที่แสดงออกมาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนแต่น้ำเสียงกับแฝงไปด้วยความเศร้า
“การถ่ายหนังจากเริ่มในเร็วนี้ผมคงต้องยุ่งมาก ผมอาจจะไม่มีเวลาไปหานายได้เลย..”
“ไม่เป็นไร..หนังเรื่องนี้สำคัญกับคุณมาก”
เหอไป่ตบไปที่ไหล่เบาๆอีกครั้งอย่างที่ผู้ใหญ่ให้กำลังใจเด็กน้อย
“มิตรภาพที่แท้จริงของเพื่อนไม่จำเป็นว่าจะต้องพบกัน คุณเพียงตั้งใจในการถ่ายหนังอย่างเต็มที่นะครับ"
“ไม่ใช่เพื่อน!!” ตี๋ชิวเหอแย้งทันท
เหอไป่มีสีหน้าจริงจัง “ผมไม่มีทางเรียกคุณว่าพี่ชายแน่นอน”
“...”
ตี๋ชิวเหอหัวเราะเล็กน้อยพร้อมใช้ริมฝีปากถูไปยังผมของเหอไป่
เขาหลับตาก่อนที่ตัดสินใจปล่อยมือคลายอ้อมกอดของเหอไป่
“ผมจะต้องไปถ่ายทำหลายที่มากทั้งประเทศ K ประเทศ
J และยังต้องไปเมือง D และที่สุดท้ายคือเมือง
B มันทำให้ใช้เวลาอย่างน้อยเกือบสามเดือน เจ้าลูกหมาอย่างเหงานะ...”
เหอไป่กลอกตาและผลักอีกคนออกพร้อมเสียงหัวเราะ
“มันเพียงแค่สามเดือนเอง ผมไม่คิดถึงคุณแน่นอน”
“นายใจร้ายมาก” ตี๋ชิวเหอยืดตัวตรงและใช้นิ้วจิ้มไปที่ลักยิ้มที่แก้มซ้ายของเด็กหนุ่มพร้อมเสียงหัวเราะ
“เมื่อผมไปตามที่ต่างๆผมจะส่งของฝากไปให้นาย อย่าลืมรอรับของด้วยล่ะ”
“หวังว่าคงไม่ใช่ผลไม้” เหอไป่หยอกล้ออย่างเป็นกันเอง ในที่สุดเรื่องเมื่อตอนเช้าก็หายไปจากสมอง พร้อมยังเอ่ยเตือน
“อย่าลืมทานข้าวเช้าทุกวันนะครับ ผมจะรอหนังที่คุณแสดง”
ตี๋ชิวเหอพยักหน้าอย่างท้อแม้เจาตอนนี้ทำได้เพียงแค่กอด
หมดหวังที่จะจูงมือและหอมเจ้าลูกหมา “ผมได้ยินมาว่ารูปที่นายถ่ายได้ลงนิตยสารแฟชั่นต่างประเทศด้วย
ดีใจด้วยนะ”
“ขอบคุณครับ”
สายตาทั้งสองจ้องมองกันแต่ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาในบรรยากาศที่ผ่อนคลายนี้
เหอไป่ตัดสินใจยกกระเป๋าเป้ชึ้น “ผมไปก่อนนะครับ”
ตี๋ชิวเหอพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจมือของเขากำแน่นแต่รอยยิ้มกับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“ไปเถอะ เดียวนายจะตกเครื่อง”
เครื่องบินกำลังเตรียมบินขึ้น เหอไป่ตอนนี้ที่กำลังเปิดนิตยสารที่อยู่หน้าที่นั่งบนเครื่อง
ก็เหมือนจะเอะใจได้ว่าเขาลืมเรื่องสำคัญอะไรบางอย่าง มันสำคัญมากด้วย!!
ผ่านไปสามชั่วโมงเครื่องก็ลงจอด เหอไป่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมองนาฬิกาแต่ก็เห็นข้อความของตี๋ชิวเหอที่ส่งมาเป็นสิบข้อความ
เขาเลิกคิ้วพร้อมรอยยิ้มที่มีความสุข
ตี๋ชิวเหอ:
ขอบคุณสำหรับวันนี้ที่นายอยู่ฉลองกับผม ผมมีความสุขมากๆ
นี่อีกคนจะขอบคุณไปอีกนานไหมนี้!
ตี๋ชิวเหอ: ผมขอโทษที่ผมหลอกนายทางวีแชท
ทันใดนั้นรอยยิ้มก็หุบทันที
ตี๋ชิวเหอ:
ขอบคุณนายมากนะที่ยอมยกโทษให้ผมอย่างรวดเร็ว ลูกหมาน้อยของผม ^
- ^
เขายังจ้องเขม่นที่ ‘^
- ^’ ตั้งนานก่อนที่จะเหลือบไปอ่านข้อความถัดไป
ตี๋ชิวเหอ: ผมจะไม่โกหกนายอีกแล้ว
ตี๋ชิวเหอ:
ฉันสัญญาว่าจะทำให้นายมีความสุขและไม่มีทางที่จะโกหกนายอีกแล้ว
ตี๋ชิวเหอ: จุ๊ฟ~
นั้นยังมีที่คุ้นเคยกว่านั้น ‘จุ๊ฟ~’
ตาเหอไป่เบิกกว้างจ้องมองท้องฟ้าที่ตอนนี้มืดแล้วแต่ไม่มีดวงดาวสักดวง
เขาอุตสาห์ตัดสินใจที่จะลืมแล้ว แต่นี่...นิ้วจึงพิมพ์รัวที่แป้นทันที
ทางฝั่งของตี๋ชิวเหอก็เฝ้ารอข้อความตอบกลับของน้องชายสุดที่รักของเขาด้วยความตื่นเต้นพร้อมเขินอาย
เมื่อโทรศัพท์ที่เขาไว้ใช้กับเหอไป่สั่นเขาก็พุ่งตัวไปเปิดหน้าจอทันที
เหอไป่: ไม่ล่ะ ขอบคุณมาก
เหอไป่: และขอบคุณที่คุณช่วยเตือนเรื่องนี้
ผมไม่ยกโทษให้แน่
เหอไป่:
มันเป็นเรื่องที่ควรยกโทษให้ไหมที่คุณใช้ความเห็นอกเห็นใจ
มาให้ผมทำเรื่องน่าอับอายแบบนั้น
เหอไป่:
แล้วคุณยังกล้าที่จะตั้งเป็นเสียงแจ้งเตือนอีก...
เหอไป่: คุณคิดว่า ^
- ^ น่ารักไหม?
เหอไป่: ผมเริ่มเสียใจที่ตอนนั้นผมไม่เตะตูดของคุณในตอนนั้น
เหอไป่: ลาก่อนจักรพรรดิจอเงิน ^
- ^
ตี๋ชิวเหอพึ่งจะมีอาการนี้ครั้งแรกในเสีย
เขาพึ่งเหมือน ‘คนอกหัก’
บทที่ 62 รู้ตัวเอง
มันก็เป็นเรื่องแน่นอนที่ตี๋ชิวเหอถูกบล็อกอีกครั้งจากเหอไป่ทั้งสายการโทรพร้อมทั้งทางวีแชท
“นี่นายกำลังพูดว่าอะไรนะ...” เจี่ยงซิ่วเหวินถามอย่างคิดหนักในเรื่องที่เพื่อนของเขาเล่าให้ฟัง
“นี้นายรู้สึกหลงรักเหอไป่แต่นายยังไม่ได้บอกเขาเลย แล้ว...ทำไมนายถึงคิดว่านายอกหัก”
ตุ้บ! บึก!!
ตี๋ชิวเหอต่อยกระสอบทรายอย่างแรงเพื่อระบายอารมณ์หลายที
จากนั้นก็ถอดน่วมโยนไปไกลตัวด้วยความหงุดหงิดพร้อมก้มหยิบโทรศัพท์ที่ตอนนี้เปิดลำโพงขึ้นมานิ้วเรียวก็กดปิดลำโพงเพื่อแนบกับใบหู
“อืม..ก็ตอนนั้นฉันคิดว่ามันเป็นอาการข้างเคียงจากอากาศที่เปลี่ยน...”
เจี่ยงซิ่วเหวิน “...เรื่องฉันอธิบายได้”
“ลองพูดมาสิ” ตี๋ชิวเหอนั่งลงบนพื้นหยิบผ้าขนหนูจากกระเป๋าที่อยู่ข้างแล้วนำมันขึ้นมาเช็ดเหงื่อ
เสียงที่พูดเรียบเฉยเหมือนคุยเรื่องทั่วไป “ถ้านายยังคิดจะหลอกฉันอีก...ฉันมั่นใจได้เลยว่าจะทำให้นายคายผลไม้ที่ฉันส่งไปให้นายออกมาแบบเดียวกับที่นายกินมันเข้าไป”
“...” ดูเหมือนว่าเขาต้องยอมแพ้กับเพื่อนของเขาแล้ว
ทุกทีอีกคนต้องมีอาการที่ฟุดฟัดไม่ใช่สงบแบบนี้ แต่ทำไมมันถึงน่ากลัวกว่าทุกที
“ทำไมถึงไม่อธิบายออกมาล่ะ
หรือว่านายจะรับเรื่องนี้ไม่ได้?” ตี๋ชิวเหอกระตุ้นอีกคน
ส่วนทางเจี่ยงซิ่วเหวินที่ได้ยินตี๋ชิวเหอพูดแบบนั้นสมองก็รีบคิดถึงข้ออ้างนับล้าน
มีที่ตอนนี้กำลังถือโทรศัพท์ก็สั่นพร้อมหัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อน
“ไร้สาระนะ! เราเป็นเพื่อนรักที่สนิทกันมาก ส่วนเรื่องที่เงียบไป...ฉันแค่ตกใจ
อีกอย่างก่อนหน้านายไม่เคยมีอาการสนใจเรื่องรักร่วมเพศมาก่อน ฉันคิดว่านายแค่หลงผิดไปเองก็ได้นะ?”
“แล้วอาการที่ฉันต้องการนอนกอดเหอไป่
พร้อมยังนอนฝันถึงเขาอีกล่ะ ทั้งหมดมันเป็นแค่อาการของการหลงผิดหรือยังไง”
เจี่ยงซิ่วเหวินได้ยินทั้งหมด
เขาก็สำลักน้ำลายตัวเองทันที
ตี๋ชิวเหอก็ฟังเสียงไอด้วยด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม
เกือบหนึ่งนาทีเจี่ยงซิ่วเหวินก็หยุดไอถึงมีเสียงที่พูดออกมาได้
“ชิวเหอ...นี่นายจริงจังใช่ไหม?”
ตี๋ชิวเหอไม่ตอบคำถามตอนนี้เขาทำเพียงหลับตา
ก็นึกภาพของเหอไป่ที่กำลังนั่งยองๆกินบะหมี่เย็นข้างตัวเขา ตามแขนเป็นไปด้วยตุ่มที่มาจากรอยยุงกัดนิ้วเรียวเล็กก็ยังบวมแดงที่มาจากการทำเค้ก...ที่อร่อยมาก
และนึกย้อนถึงตอนแรกที่เขาเจอเหอไป่ อีกคนก็นั่งยองๆอยู่ริมถนนแบบเดียวกัน ภาพทั้งหมดมันชัดเจนมาก
“ความต้องการตอนนี้ของฉันคือต้องการให้เขายกโทษให้
แล้วฉันต้องการที่จะอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา”
ตี๋ชิวเหอพูดเรื่องความต้องการของตัวเองด้วยเสียงเรียบเฉย
"เรื่องเหล่านี้มันเป็นความต้องการของฉันมาตั้งแต่แรก ฉันจึงอยากให้เขาเป็นน้องชายของฉัน
มันเหมือนเป็นเหตุผลที่ดีที่ตอนนั้นฉันจะเข้าไปอยู่ในชีวิตของเขา"
เจี่ยงซิ่วเหวินรับฟังด้วยความเงียบ
“ความรู้สึกของฉันตอนนี้มันมากกว่าเดิม ฉันต้องการไปอยู่ข้างตัวของเหอไป่ตลอดเวลาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาและต้องการช่วยสนับสนุนฉันเพื่อให้เขาประสบความสำเร็จ
ฉันต้องการเคียงข้างเมื่อเขาจะเศร้าหรือดีใจก็ตาม" เสียงของตี๋ชิวเหอเงียบลงจากนั้นน้ำเสียงก็พูดออกมาก็จริงจังขึ้น
"และต้องเป็นเพียงฉันคนเดียวที่ต้องอยู่เคียงข้างเขาเท่านั้น แต่ว่า...เขากับ"
มือที่ถือโทรศัพท์ของเจี่ยงซิ่วเหวินสั่นด้วยอารมณ์ที่หลากหลายจากนั้นก็ถอนหายใจพร้อมพูดด้วยเสียงที่เบาลง
“ชิวเหอ...”
เขารู้นิสัยของเพื่อนสนิทของเพื่อนเขาดี ตี๋ชิวเหอเป็นคนที่ยึดมั่นในความคิดของตัวเองเมื่อตัดสินใจแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะมาเปลี่ยนแปลงได้
แม้ในประโยคของตี๋ชิวเหอจะไม่มีคำบอกรักเหอไป่ แต่เนื้อหาที่พูดออกมามันชัดเจนมากอยู่แล้ว
เจี่ยงซิ่วเหวินคิดตามเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ถ้าเกิดขึ้นจากตัวของเขาเอง
เขาก็ไม่รู้ว่าจะยอมรับเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็วเท่าตี๋ชิวเหอไหม ทั้งการช่วยสนับสนุนเบื้องหลังและยังความต้องการที่จะอยู่เคียงข้างทุกช่วงเวลา
คนทั้งสองพบกันเพียงเวลาสั้นมันเป็นเพียงแต่สามเดือนเท่านั้น แล้วเรื่องความรู้ตัวของตัวเองตี๋ชิวเหอก็พึ่งรับรู้เมื่อวานนี้เอง
'ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับชายคนอื่นก็ไม่รู้จะยอมรับเรื่องนี้ได้รวดเร็วเท่ากับตี๋ชิวเหอไหม
แม้แต่ตัวของเขาเอง'
“ซิ่วเหวินฝากนายคอยดูเหอไป่ด้วย ก่อนที่ฉันจะกลับไปเมือง
B อย่าให้ใครก็ตามมาแตะต้องหรือสร้างปัญหาให้เขา” ระหว่างที่พูดก็มีเสียงดังแทรกเข้ามา ตี๋ชิวเหอหันมองตามเสียงก็เห็นเจี่ยงหัวซานที่กำลังเดินเข้ามาในห้อง
“จับตาดูฉินหลี่ เหมือนว่าเธอระแคะระคายเรื่องของฉันกับเหอไป่แล้ว ฉันกลัวว่าเธอจะมาสร้างปัญหาให้กับเขา
ตอนนี้การเป็นช่างภาพของเขากำลังไปได้สวย ฉันไม่ต้องการให้เขามาสะดุดด้วยเรื่องของฉัน”
เจี่ยงซิ่วเหวินขมวดคิ้วแน่น
“ตอนนี้ตระกูลฉินกำลังมีปัญหาเรื่องที่จะไปลงทุนที่เมือง G แล้วฉินหลี่ตอนนี้ก็คงกำลังวุ่นเรื่องการทำสงครามเย็นกับตี๋เบี่ยน ฉันไม่คิดว่าหล่อนจะมีเวลามาจัดการเรื่องเหอไป่ได้"
“อืม..ฉันรู้ แต่การระวังไว้มันก็เป็นเรื่องที่ดี”
ตี๋ชิวเหอเอาผ้าขนหนูใส่กระเป๋าพร้อมยืนขึ้นเพื่อต้อนรับเจี่ยงหัวซานแต่ก่อนที่จะวางสายเขายังพูดขึ้นมาว่า
“คอยดูแลเขาแค่ตอนนี้ที่ฉันยังไม่กลับไป ตอนนี้ลุงเจี่ยงมาถึงแล้วฉันต้องวางสายก่อน”
“เดียวก่อน
แล้วเรื่องการเป็นนักแสดงของนายล่ะ แล้วอีกอย่างถ้าตี๋เบี่ยนรู้เรื่องของนายล่ะ
นายจะรับมือยังไงแล้วพวกสื่ออีกล่ะ...”
“เรื่องนั้นฉันจัดการได้ถ้าเหอไป่ยอมที่จะอยู่ข้างฉัน
ฉันไม่ทางซ่อนเขาไว้ในมุมมืดแน่นอน แค่นี้นะ” ตี๋ชิวเหอก็กดวางสายแล้วเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเป้
เป็นเวลาเดียวกับที่เจี่ยงหัวซานเดินมากอดเขาเพื่อทักทาย
เจี่ยงซิ่วเหวินปล่อยโทรศัพท์ไว้ข้างตัวเมื่อได้เสียงสัญญาณตัดสายจากอีกด้าน
เขายกมือลูบที่หน้าผากด้วยอารมณ์ที่ตีพันกันยุ่ง เพื่อนของเขาจริงจังมากในเรื่องนี้มันไม่มีทั้งความลังเลเลย
และยังเตรียมรับมือกับเรื่องที่จะเกิดในอนาคตทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่มีทางที่จะง่ายอย่างแน่นอน
แต่ที่ใหญ่กว่านั้น...
เจี่ยงซิ่นเหวินละสายตาจะโทรศัพท์มือถือเปลี่ยนไปจ้องมองกล้องแล้วโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดที่อยู่บนโต๊ะที่ถูกส่งมาจากมหาลัย
Q เมื่อเช้า เจี่ยงซิ่วเหวินก็ยกมือก่ายหน้าผากตัวเอง
เรื่องนี้ก็เช่นกันที่เขาไม่กล้าบอกตี๋ชิวเหอ
เวลาเดียวกันเพื่อนของเขาวางแผนเตรียมรับมือเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแต่กลับกันเหอไป่กับขีดเส้นอย่างชัดเจน
นี้มันเป็นความสัมพันธ์อะไรนี้มันช่างยุ่งเหยิงไปหมดแบบนี้ เขาจะช่วยเพื่อนของเขายังไงดีนี้
เมื่อนอนจ้องมองสิ่งของทั้งสองตรงหน้าสักพักอย่างนาน
เจี่ยงซิ่วเหวินก็ถอนหายใจ ตอนนี้เขาตัดสินใจได้แล้วว่าจะส่งข้อความบอกเพื่อนเขาทีหลังแล้วยัง
เขาต้องการให้เพื่อนของเขาเต็มที่กับความฝันที่ของตัวเอง และเรื่องทั้งหมดนี้เขาก็มีความผิดด้วยเขาต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้
หวังว่าเรื่องความรักของเพื่อนเขาจะราบเรียบโดยการเปลี่ยนแฟนคลับมาเป็น เอ่อ...แฟนที่แท้จริง
หลังจบคลาสเรียนช่วงเย็นทั้งเหอไป่และหนิงจวินเจี๋ยก็ตรงดิ่งกลับหอพัก
ส่วนทางหวังหู่ก็บอกว่าจะไปเล่นบาสเก็ตบอลที่อาคารกลางส่วนทางเฉินเจี๋ยก็ไปยืมหนังสือที่ห้องสมุด
หนิงจวินเจี๋ยรอจังหวะที่จะอยู่กับเหอไป่เพียงลำพัง เขาก็รีบลากเก้าอี้มานั่งข้างตัวเหอไป่ที่ตอนนี้กำลังวุ่นอยู่หน้าจอโน๊ตบุ๊คเสียงที่พูดก็เต็มไปด้วยระมัดระวัง
“ไป่ไป่ เรื่องของนายกับคุณตี๋ชิวเหอ...”
“ตอนนี้ฉันบล็อกเบอร์เขาแล้ว” เหอไป่ตอบทันทีด้วยเสียงที่ราบเรียบพร้อมสีหน้าไม่มีอาการ “กับคนที่พึ่งเจอแค่ครั้งสองครั้ง กับเพื่อนร่วมห้องที่อยู่กับนายมาสองปี นายคิดว่าอย่างไหนดีกว่า”
หนิงจวินเจี๋ยชะงักตอนนี้เขารีบกลืนคำพูดเพื่อให้เครดิตตี๋ชิวเหอทันที
เขารีบตบบนไหล่ของเหอไป่เบาๆด้วยเสียงที่จริงจัง “คนที่โกหกแบบนั้นควรได้รับบทเรียน!
เราออกไปหาอะไรกินก่อนนอนกันเถอะ”
“ขอบใจ” เหอไป่ยิ้มแต่นิ้วชี้ไปที่โน๊ตบุ๊ค“ฉันยังมีงานค้างอยู่ นายลองโทรหาเหล่าหู่และเหล่าเจี๋ยเถอะ
ยังไงก็ซื้อข้าวเย็นกับมาให้ผมก็พอ”
“ได้เลย..ไม่มีปัญหา!” หนิงจวินเจี๋ยตอบรับทันควันแล้วก็เดินไปนั่งบนเตียงของตัวเองพร้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความอย่างรวดเร็ว
หนิงจวินเจี๋ย: ชิวเหอครับ นี้มันเลวร้ายมาก
ผมไม่เคยเห็นเสี่ยวไป่โมโหแบบนี้มาก่อน! มันช่างน่ากลัวมาก นี้คุณทำเพียงแค่สร้างบัญชีปลอมมาหลอกเสี่ยวไป่เท่านั้นจริงหรอครับ?
ตี๋ชิวเหอที่รอข้อความตอบกลับอย่างจดจ่อ แต่เมื่ออ่านข้อความจบใจของเขาก็ตกไปที่ตาตุ่มและเมื่อคิดย้อนถึงข้อความที่เจี่ยงซิ่วเหวินส่งมาก่อนหน้าสีหน้าเขาก็ซีดกว่าเดิม
นิ้วเขาพิมพ์ข้อความด้วยความเศร้า
ตี๋ชิวเหอ: เรื่องนี้ผมผิดเต็มๆ ผมไม่ควรหลอกเขาบัญชีปลอมแล้วหลอกให้เขาเห็นใจด้วยการใช้เรื่องของครอบครัวของผม
แล้วตอนนี้ไป่ไป่เป็นยังไงบ้างครับเขากำลังทำงานอยู่เหรอครับ?
เขากินข้าวอิ่มไหม?!!
หนิงจวินเจี๋ย: ทุกอย่างเรียบร้อยดี ตอนนี้งานของไป่กำลังรุ่งเลยครับ
เสี่ยวไป่บอกด้วยครับว่าเขาได้รับโบนัสก้อนใหญ่แล้วอีกอย่างอาจารย์ซูก็บอกว่าจะสอนเทคนิดถ่ายภาพแบบใหม่ให้เสี่ยวไป่ด้วย
เมื่อตอนเที่ยงเสี่ยวไป่เขายังของเติมข้าวอีกครึ่งชาม แต่เหมือนว่า...ทุกครั้งที่เขาได้ยินชื่อคุณขึ้นจะบ้าขึ้นมาทันที
เมื่อได้เห็นคิดว่า ‘บ้า’ ใจของตี๋ชิวเหอก็ตกไปที่ตาตุ่ม
หนิงจวินเจี๋ย: ถ้าคุณไม่บอกทั้งหมดให้ผมรู้
ผมก็คงช่วยเรื่องนี้ให้กับคุณไม่ได้
ตี๋ชิวเหออ่านข้อความพร้อมเสียงถอนหายใจยาว
ก่อนที่จะพิมพ์ตอบกลับไป
ตี๋ชิวเหอ:
ผมหลอกว่าผมเป็นผู้หญิงในตอนที่คุยกับไป่ไป่
หนิงจวินเจี๋ย: ผมเข้าใจครับเรื่องในครอบครัวมันช่างเป็นเรื่องละเอียดอ่อนไม่ผิดเลยที่คุณต้องปิดบังเรื่องนี้
ผมว่าเรื่องนี้เสี่ยวไป่ต้องเข้าใจคุณแน่นอนอีกอย่างเสี่ยวไป่ก็ผิดที่เอาเรื่องของคุณมากพูด
ผมคิดว่าเรื่องนี้คุณทั้งคู่ก็ผิดด้วยกัน เป็นไปไม่ได้เลยที่เสี่ยวไป่จะโกรธคุณถึงขนาดนี้
ตี๋ชิวเหอ: ผมหลอกให้เขาส่งของขวัญให้ผมด้วย
หนิงจวินเจี๋ย: ของขวัญเหรอ?
พวกรูปเหล่านั้นอ่านะ...ไม่เห็นเรื่องใหญ่คุณก็ส่งของขวัญตอบแทนกลับมาแล้วนี้มันก็แฟร์ๆแล้วนะ
บทที่ 63 แผนลับ
ตี๋ชิวเหอชะลอความเร็วในการพิมพ์ข้อความ สีหน้าไม่เต็มใจที่จะพิมพ์ข้อความต่อไปนี้เพื่อที่จะส่งออกไป
มันช่างเป็นเรื่องที่นายอับอายที่จะให้คนนอกรับรู้
ตี๋ชิวเหอ:
เรื่องของเรื่องคิดผมทำเรื่องที่อับอายแล้วยังให้ไป่ไป่
เอ่อ...ส่งข้อความเสียงมาให้
หนิงจวินเจี๋ย: อืม...ข้อความเสียง?
จังหวะนั้นตี๋ชิวเหอหายใจเข้าออกเพื่อปรับจังหวะลมหายใจ
ก่อนที่จะพิมพ์ข้อความส่งออกไป
ตี๋ชิวเหอ:
คือผมหลอกว่าถูกครอบครัวกลั้นแกล้ง ผมก็เลยอยากจะฆ่าตัวตาย
แล้วขอให้ไป่ไป่ส่งข้อความเสียงมาให้ผม
จากนั้นมีแนบไฟล์เสียง
'อรุณสวัสดิ์ชิวชิว จุ๊พๆ~~'
หนิงจวินเจี๋ยตัวแข็งค้างเมื่ออ่านข้อความแล้วไฟล์เสียง
หนิงจวินเจี๋ย: ตอนนั้นคุณคิดอะไรของคุณ สมองคุณถูกกระแทกหรือไง?
คนทั่วไปเขาไม่บังคับเพื่อนของเขาให้ส่งข้อความที่น่าอับอายให้อย่างนี้
ตี๋ชิวเหอก็ดูเป็นคนที่ไม่บ้าบอขนาดนั้น ไม่อยากเชื่อว่าตี๋ชิวเหอจะบ้าได้ขนาดนี้
ตี๋ชิวเหอรีบลูบหน้าลูกอกของตัวเอง
เพื่อให้หายใจคล่อง
ตี๋ชิวเหอ: ผมยังตั้งมันเป็นเสียงปลุก
ไป่ไป่ได้ยินมันในเช้าวันเกิดของผม คือวันนั้นไป่ไป่มานอนที่ห้องผม
หนิงจวินเจี๋ยมีสีหน้าโง่งมมาก
เขาหันไปมองเหอไป่ที่ตอนนี้นั่งอยู่หน้าจอคอม
นิ้วก็เคาะที่หน้าจอโทรศัพท์เหมือนจะพังมัน
หนิงจวินเจี๋ย: คุณกล้าตั้งเสียงที่น่าอายแบบนั้นในโทรศัพท์แล้วยังถูกเหอไป่จับได้อีก!
ยิ่งไปกว่านั้นเหอไป่ไม่ควรได้ยินเสียงน่าอับอายแบบนั้น!! รู้ไหมว่าเขาใส่ใจคุณมากเข้าเตรียมตัวเพื่อไปจัดงานวันเกิดให้คุณแต่คุณกับตอบแทนเขา...คุณมันช่างเลวร้ายมาก!
ถ้าไม่อยากตายคุณก็หายไปจากชีวิตของเหอไป่เดียวนี้
ตี๋ชิวเหอหน้าซีดมือที่พิมพ์ข้อความสั่นเทา
ตี๋ชิวเหอ: ไม่มีวิธีแก้ไขเลยเหรอ?
หนิงจวินเจี๋ย: ไม่มีทาง
สิ่งที่คุณทำมันอย่างน่าเลวร้าย คุณควรหนีไปให้ไกลๆ
ตี๋ชิวเหอ: ฉันไม่ต้องการหนี
ผมต้องการให้เหอไป่ยกโทษให้ คุณมีวิธีไหม
เมื่อได้อ่านข้อความหนิงจวินเจี๋ยก็จมอยู่ในความนึกคิดของตัวเอง
สายตาก็กลับไปจ้องมองเหอไป่ที่กำลังจริงจังกับการรีทัชภาพที่หน้าจอคอมจากนั้นก็ตัดสินใจพิมพ์ข้อความกลับไป
หนิงจวินเจี๋ย: ก็พอมี...คุณต้องยกเหล้าสามจอกเพื่อเป็นการไถ่โทษ
แล้วก็พูดด้วยความจริงใจว่า 'นายท่านมันเป็นความผิดของผม'
สามครั้งดังๆ และยอมเป็นลูกน้องให้อีกคนสามเดือน
มันก็คงผ่านไปด้วยดี เสี่ยวไป่เป็นคนขี้ใจอ่อน หากคุณขอโทษเขาด้วยความจริงใจเขาก็ เอ่อ...คงจะให้อภัยคงในไม่ช้า
หายไปเกือบห้านาที
ก็มีข้อความของตี๋ชิวตอบกลับ
ตี๋ชิวเหอ: ตกลง
หนิงจวินเจี๋ย: ขอให้โชคดี
ตี๋ชิวเหอ: ขอบคุณมากครับ
หลังจากวางแผนลับกันสองคนทั้งคู่ก็โล่งใจ ทางหนิงจวินเจี๋ยก็ดีใจที่เพื่อนรักของเขาเหอไป่จะได้เพื่อนที่จริงใจอีกคนกับมา
ส่วนของทางตี๋ชิวเหอนั้นคิดแตกต่างเขาดีใจที่จะได้คนรักกลับมาอยู่เคียงข้าง
ในตอนต้นเทอมเหล่านักศึกษาต้องเลือกวิชาเสริม
เหอไป่เข้าเว็บของมหาลัยเพื่อลงเรียนวิชาเสริม แต่ก็ได้รับข้อความจาก
'นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วง' เขาหัวเราะเยาะเย้ยทันที
จากนั้นก็ใช้เม้าส์จิ้มไปที่ปุ่มสีแดง แล้วก็กด'ลบ' ทันที
หนิงจวินเจี๋ยที่นั่งอยู่ข้างเหอไป่เห็นการกระทำทั้งหมดก็หยิบโทรศัพท์มาพิมพ์รายงานอย่างรวดเร็ว
หนิงจวินเจี๋ย: ตี๋ชิวเหอครับ เสี่ยวไป่เขาลบความทิ้งโดยไม่อ่านมันเลย
เขาไม่ลังเลที่จัลบมัน!
ตี๋ชิวเหอขมวดคิ้วแน่น
สีหน้าจริงจังอย่างกำลังคุยธุรกิจพันล้าน
ตี๋ชิวเหอ: เดียวผมจะส่งข้อความไปใหม่
ช่วงเวลาที่ลงเลือกวิชาที่เรียนก็เหอไป่ก็ถูกก่อกวนด้วยข้อความนับไม่ถ้วนซ้ำแล้วซ้ำอีก
แล้วก็ทำเพียงลบมันโดยไม่เปิดอ่าน
หนิงจวินเจี๋ยอดถามด้วยสีหน้าอดสงสัยไม่ได้ว่า
"ทำไมนายถึงมีข้อความเยอะแบบนั้น นายควรที่จะเปิดอ่านมันมันอาจจะเป็นข่าวสารที่ทางมหาลัยส่งมาแจ้งเรื่องสำคัญก็ได้"
"แล้วนายได้รับมันด้วยหรือไง"
เหอไป่หันมาจ้องมองหนิงจวินเจี๋ย
"ไม่นะ" หนิงจวินเจี๋ยส่ายหัว
เหอไป่ก็ยังลบข้อความด้วยความไม่สนใจต่อด้วยรอยยิ้ม
"นายกับฉันเรียนอยู่ปีเดียวกัน นายยังไม่ได้ข้อความอะไรเลย ดังนั้นฉันก็ไม่ควรไปใส่ใจข้อความที่เป็นสแปมแบบนี้
อีกอย่างถ้ามีเรื่องสำคัญจริงๆเดียวเพื่อนในห้องก็ส่งข้อความมาในกลุ่มแชทเอง"
"...." หนิงจวินเจี๋ย
"นายสงสัยอะไรอีกไหม"
"ไม่มีอะไรแล้ว"
หนิงจวินเจี๋ยยืดตัวตรงพร้อมส่งข้อความอย่างรวดเร็ว
หนิงจวินเจี๋ย: ชิวเหอ..ผมขอโทษครับ
เสี่ยวไป่ฉลาดเกินไป ผมไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
ตี๋ชิวเหอที่นั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นรวมก็ถอนหายใจพร้อมตัดใจหยิบสคริปต์ขึ้นมาแทน
รองผู้อำนวยการศูนย์ฝึกก็เดินมานั่งข้างเจี่ยงหัวซานพร้อมกวาดสายตามองตี๋ชิวเหอผู้ที่กำลังจดจ่อที่บทละครด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงยกย่อง
“คุณเป็นคนหลักแหลมมากที่ตัดสินใจเลือกตี๋ชิวเหอ เขามีความรับผิดชอบความเกินอายุของเขาตอนนี้
ช่างมีความรับผิดชอบจริงๆ”
เจี่ยงหัวซานพยักหน้าพร้อมรอมยิ้มภูมิใจ “อืม..เขาเติบโตขึ้นมากจริงๆ” ดูเหมือนคุ้นค่ากับเม็ดเงินที่เขาจ่ายออกไปให้ศูนย์ฝึกนี้
แต่ในทางตรงกันข้ามตี๋ชิวเหอกำลังจ้องมองสคริปต์ด้วยสมองว่างเปล่า
เขากำลังพับมุมกระดาษลงตลอดเวลา ‘ไป่ยกโทษ ไป่ไม่ยกโทษ
ไป่ยกโทษ ไป่ไม่ยกโทษ...ให้ฉัน’
เหอไป่เข้าเวยป๋อเพื่อโฆษณาสินค้าใหม่ที่กำลังเปิดตัวในฤดูใบไม้ร่วงนี้หลังเสร็จ
เขาก็ปิดคอมทันทีพร้อมทั้งหยิบรูปภาพโปรเตอร์ออกจากกระเป๋า
บทเรียนในเทอมนี้อาจารย์ซูได้เรียกเขาเข้าไปคุยถึงการบ้านชิ้นใหม่
เขาคุ้นเคยกับการถ่ายภาพนิ่งของคนแล้วตอนนี้เขาสามารถที่จะพัฒนาทักษะใหม่เกี่ยวกับการถ่ายภาพหมู่...เหมือนภาพที่อยู่ในกองโปสเตอร์นี้
การถ่ายภาพหมู่ของคนนั้นมันเป็นเรื่องยากกว่าการถ่ายภาพเดียว
ซึ่งมันเป็นงานที่อาจารย์มอบให้เขาในเทอมนี้เขาต้องส่งงานทุกสัปดาห์ ถ้านับการชิ้นงานมันน้อยกว่างานก่อนหน้าแต่ความยากนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
การถ่ายภาพเดียวมันง่ายที่เขาคอยตอบตามคนๆเดียวเพื่อจับภาพคนนั้นในช่วงจังหวะที่ดึงดูด
แต่ตราบใดที่มีคนมากกว่าหนึ่งนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ มันต้องมีจังหวะที่พร้อมกันระหว่างท่าทางแล้วยังมีทั้งแสงและองค์ประกอบต่างๆเพื่อให้คนทั้งหมดในภาพดึงดูดได้เทียบเท่ากัน
ซึ่งคนเราก็มีเอกลักษณ์ที่ดึงดูดแตกต่างกันแต่เมื่อต้องจับเอกลักษณ์ที่แตกต่างมากอยู่ในภาพๆเดียว
ไม่ใช้ว่าช่างภาพต้องมีทักษะที่ดีเท่านั้นแต่ต้องรู้จังหวะเพื่อให้ภาพสมูทขึ้น
แม้ว่าตอนนี้ตัวเขาเองจะมั่นใจในฝีมือของตัวเอง
แต่ถ้าเทียบการเหล่าช่างภาพที่ถ่ายภาพพวกนางแบบนายแบบตัวเขาเองถึงเป็นเด็กอนุบาล เขาจึงต้องพัฒนาตัวเองให้หนักขึ้น
แล้วต้องแสวงหาประสบการณ์มากขึ้นกว่านี้
แล้ว...ตอนนี้เขาควรทำมันยังไง เขาช่างมืดบอดในเรื่องนี้จริง
เหอไป่พยายามนึกไตร่ตรองเรื่องนี้ตั้งแต่ได้รับงานชิ้นนี้มาไม่หยุด จริงด้วย!!
เขาทราบจุดอ่อนของตัวเองงั้นก็...
เหอไป่รีบลุกจากหน้าคอมและวิ่งตรงไปที่ห้องสมุดกลางของมหาลัยทันทีพร้อมสมุดโน๊ตและปากกาด้ามเก่ง
ห้องสมุดขนาดใหญ่มันเหล่าหนังสือที่มีคุณค่าให้ศึกษาหลายเล่ม
ทำให้เหอไป่จมอยู่ในกองหนังสือตลอดทั้งวันเมื่อมืดเขาจึงก้าวขาออกจากห้องสมุด ซึ่งมันควรทำให้เขาเข้าใจมากขึ้น
แต่กลับกันตอนนี้เหมือนเขาเดินย่ำอยู่กลับที่เหมือนก่อนที่จะเข้ามา
เหอไป่นั่งขัดสมาดที่ริมฟุตบาทที่ข้างสวนสาธารณะข้างตัวเป็นไปด้วยภาพโปรเตอร์ที่ได้จากอาจารย์กระจายเต็มตัก
เพื่อนึกว่าเข้าตกหล่นอะไรที่สำคัญไป
เมื่อเงยหน้าก็เห็นเหล่านักศึกษาชายหญิงเดินสวนไปมา
เหอไป่ตัดสินใจยกกล้องมากดชัตเตอร์รัว แต่มันก็ไม่มีภาพที่เข้าตาสักรูป เขาทำแบบนั้นเกือบครั้งชั่วโมงจากนั้นก็ถอนหายใจพร้อมเดินกลับไปที่หอพักของตัวเอง
ระหว่างทางกลับหอสมองก็นึกวนถึงเรื่องการแตกต่างระหว่างถ่ายรูปเดียวกับการถ่ายภาพหมู่
มันเป็นไปไม่จริงเหรอที่เขาจะเอาเอกลักษณ์ของทุกคนมาอยู่ในภาพๆเดียว ทำไมมันยากที่จะจัดสมดุลของภาพจริงๆ
นี้แค่คนสองคน
แต่ถ้า...มันมากกว่าสองคนอีกล่ะ
ตอนเขาเองต้องโฟกัสไปที่จุดไหน?
แล้วต้องจัดวางรูปภาพยังไงให้สมูท? แล้วยังต้องดึงเอกลักษณ์ของทุกคนออกมาอีกด้วย?
คิดถึงทุกอย่างก็เหมือนกับมาจุดเริ่มต้น เหอไป่ถอนหายใจยาวเขาต้องกับไปที่เหล่าภาพโปรเตอร์เพื่อเข้าใจถึงเรื่องที่อาจารย์ซูสื่อ
หรือเขาต้องหาหนังซีรีย์จากในทีวีหรือพวกเอ็มวีมาดู
เพราะในนั้นมีการถ่ายภาพคนที่มากมายแล้วคนเหล่านัดก็มีจุดเด่นที่แตกกัน
เพียงแต่การจัดวางจุดยืนและจัดท่าทางที่เหมาะสม ใช่แล้ว!!! มันเป็นแหล่งข้อมูลที่ทรงคุณค่า
หนิงจวินเจี๋ยที่กำลังนอนเล่นอยู่บนเตียงสังเกตเห็นเหอไป่ที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับกับดูหลังภายใต้แสงจากโคมไฟหัวเตียง
จึงตัดสินใจแอบหยิบโทรศัพท์ออกมา
หนิงจวินเจี๋ย: วันนี้ไป่ไม่เข้าเล่น Twitter
เลยครับ
ตี๋ชิวเหอ: เขายังไม่นอนอีกเหรอ?
หนิงจวินเจี๋ย: ใช่ครับ
ตอนนี้เขากำลังศึกษาบทเรียนใหม่ที่อาจารย์ซูให้เขา แล้วอีกอย่างคุณบอกให้เพื่อนของคุณหยุดส่งกล้องมาให้ไป่เถอะครับ
ตอนนี้ไป่เขาซื้อกล้องตัวใหม่ของเขาแล้วด้วย
ผ่านไปซักพักหนิงจวินเจี๋ยยังไม่ได้ข้อความตอบกับใดๆก็รู้สึกผิดเหมือนไปตัดกำลังใจของอีกคน
หนิงจวินเจี๋ย: คุณตอนนี้ควรตั้งใจในการถ่ายหนังของคุณก่อนเถอะครับ
เมื่อคุณกลับมาคุณก็บอกผมเดียวเราค่อยนัดกินข้าวด้วยกันกับเสี่ยวไป่ แล้วตอนนั้นคุณค่อยขอโทษเขาต่อหน้าก็ได้
ผมเชื่อว่าเสี่ยวไป่ต้องยกโทษให้แน่ ฝันดีนะครับ
จากนั้นไม่นานตี๋ชิวเหอก็ส่งข้อความตอบกลับมา
ตี๋ชิวเหอ: ผมเข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมาก
หนิงจวินเจี๋ย: ไม่เป็นไรครับ
เราเป็นพี่น้องกัน ผมยินดีมาก
บทที่ 64 ยกเหล้าสามจอก
หนิงจวินเจี๋ยก็ปิดหน้าจอโทรศัพท์พร้อมความรู้สึกที่เสียใจแทนตี๋ชิวเหอ
พร้อมยังแอบมองเพื่อนของตัวเองที่มีหน้าจริงจังในสิ่งที่ตัวเองสนใจ จากนั้นก็ยกมือเกาหัวตัวเองด้วยไม่รู้จะช่วยทั้งสองยังไงดี
คนหนึ่งพยายามเข้าหาเพื่อขอโทษ อีกคนอยู่ในอารมณ์โกรธไม่ต้องการรับรู้อะไรทั้งนั้น
แล้วทั้งคู่จะคืนดียังไงนี้?
ทางฝั่งห้องพักที่ชายแดนเหล่าหมอและพยาบาลกำลังเดินออกจากห้อง
เมื่อคล้อยหลังคนนอกแล้วตี๋ชิวเหอก็หยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม
"เลขาอัน...ในชุดของผมมีของพวกนั้นได้ยังไง"
"ขออภัยค่ะ ตอนนี้คุณเจี่ยงกำลังสืบหาคนที่ทำเรื่องนี้อยู่
คาดว่าอีกไม่นานก็เจอคะ" เลขาอันยืนเกร็งอยู่ข้างประตูทางเข้า หน้าก้มเหมือนสำนึกผิดน้ำเสียงที่พูดก็เหมือนจะประจบอีกคน
ตี๋ชิวเหอพยักหน้ารับรู้
จากนั้นก็วางขวดน้ำลงบนโต๊ะ “อืม..งั้นฉันจะไปถ่ายต่อ”
เลขาสาวจ้องมองที่บาดแผลของตี๋ชิวเหอเขม่น
"แต่นายน้อยบาดเจ็บอยู่...แล้วอีกอย่างฉากต่อไปเป็นการถ่ายฉากต่อสู้
คุณเจี่ยงบอกว่านายน้อยสามารถพักได้สองสามวันให้อาการดีขึ้นก่อนค่อยถ่ายฉากของนายน้อย"
“ไม่!!” ตี๋ชิวเหอโบกมือไล่พร้อมแสดงให้เห็นบาดแผลตัวเอง
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ การถ่ายหนังมันจะล่าช้าออกไปอีก
ถ้านักแสดงนำของเรื่องหยุดถ่ายทำ ฉันไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น"
เลขาอันก็พูดขึ้นมา “ทำไมละคะ? ตอนนี้ผู้กำกับก็สั่งให้คุณหยุดพัก...”
“ฉันไม่ต้องการพัก” ตี๋ชิวเหอรีบจ้องมองเลขาสาวเขม่นพร้อมพูดด้วยเสียงที่เฉียบขาด
"ขอบคุณสำหรับความหวังดี แต่ฉันไม่ต้องการพูดซ้ำ"
เลขาอันรีบเงยหน้าเมื่อจ้องไปที่สายตาของตี๋ชิวเหอจากนั้นก็รีบก้มหน้าตัวเอง
"ขอโทษคะ ฉันจะรีบไปแจ้งคุณเจี่ยงทันที" เลขาสาวรีบออกจากห้องอย่างเร่งด่วนสวนทางกับหวังป๋ออี้ที่เดินเข้ามาในห้อง
หวังป๋ออี้เมื่อเข้ามาในห้องเห็นใบหน้าที่เรียบเฉยของนายน้อยกับเลขาสาวที่ใบหน้าไม่ดีที่เดินเร่งรีบออกจากห้องไป
เมื่อเสียงเดินเงียบไปก็รีบพูดกับตี๋ชิวเหอขึ้นอย่างรวดเร็ว "นายน้อยครับ ของที่สั่งไว้เรียบร้อยแล้วครับ
นายน้อยต้องการอะไรอีกไหมครับ"
เมื่อได้ยินว่าเรื่องที่สั่งเรียบร้อยใบหน้าของตี๋ชิวเหอก็อ่อนลงทันที
จากนั้นก็ส่ายหัว "ไม่ต้อง เอาปากกาแล้วกระดาษมาให้ฉันก็พอ แล้วค่อยไปส่งของให้ฉันอีกที"
หวังป๋ออี้พยักหน้ารับคำสั่งจากนั้นก็ขยับตัวออกไปเตรียมของที่ตี๋ชิวเหอต้องการ
เช้าวันถัดมาหลังจากกลับจากเรียนผู้ดูแลหอก็เรียกให้เหอไป่ไปเซ็นรับพัสดุ
มันเป็นกล่องขนาดใหญ่หนึ่งกล่องส่วนอีกกล่องมีขนาดที่เล็กลงมา
“ให้ทายว่ากล่องใหญ่อันนั้นอัดแน่นไปด้วยผลไม้”
โฮล์มหนิงพูดพร้อมยกมือลูบคางทั้งๆที่ไม่มีหนวดสักเส้น จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังเรียกหวังหู่และเฉินเจี๋ย
“เหล่าซาน!! เรามาช่วยขนกล่องพวกนี้ขึ้นไปที่ห้องของเราเถอะ!
ผมคิดว่าเเรามีของหวานเพียงพอทั้งสัปดาห์อย่างแน่นอน ขอบคุณเสี่ยวไป่ที่แบ่งปันของเหล่านี้กับพวกเรา
เย้!!”
หวังหู่และเฉินเจี๋ยมองหน้ากันและพูดเสียงดังตอบรับมุกของหนิงจวินเจี๋ย
“เสี่ยวไป่ ขอบคุณมากสำหรับผลไม้!!!” หลังจากนั้นก็หัวเราะเสียงดังพร้อมช่วยกันยกกล่องขึ้นไปหอพักเหมือนคนที่ไม่เคยกินผลไม้มาก่อน
“...” เหอไป่คิด 'เพื่อนร่วมห้องของเขามันช่าง...'
แล้วยังมีเสียงพึมพำที่เต็มไปด้วยความอิจฉา
“ดูสิใครบางคนกำลังเป็นที่นิยม แล้วยังชอบหายตัวไปช่วงวันหยุด เมื่อกลับมาก็มีเงินซื้อทั้งเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วมีกล้องถ่ายรูปตัวใหม่อีก
แล้วนี้ยังมีกล่องผลไม้มาให้ทุกวัน เฮ้อ...นายคิดว่าเขาไปทำอะไรมานี้”
เหอไป่จ้องมองใบหน้าคนที่อยู่ข้างห้องของเขาด้วยใบหน้าราบเรียบ
“ทำไมไม่พูดออกมาดังๆเลยล่ะ เฮ้งเหว่ย...อย่าคิดว่าฉันจะไม่รู้ว่านายเป็นคนตั้งกระทู้ต่อว่าฉันทั้งๆที่ไม่ระบุชื่อ!
นายทำตัวแบบนี้ไม่กลัวพวกอาจารย์ที่ปรึกษาของนายรู้เรื่องหรือยังไง?”
“นายอะไร!! กระทู้ไม่ระบุชื่อคือ?!
ฉันไม่ได้เป็นคนทำเรื่องเหล่านั้น” เฮ้งเหว่ยรีบล้นลานเดินหนีทันที
คิ้วของเหอไป่ขมวดแน่นไม่ละสายตาจากแผ่นหลังที่รีบเดินออกไป
เหมือนจะนึกเรื่องออกว่าในอดีตก่อนที่จะย้อนกลับมาเขาโดนใส่ร้ายว่าขโมยของคนในห้องพัก
เมื่อแผ่นหลังลับหายไป เขาก็กลับมาจ้องมองกล่องพัสดุขนาดเล็กจากนั้นก็ตัดสินใจที่จะแกะมันออก
ในนั้นก็มีกล่องไม้ที่ไม่มีลวดลายข้างในและยังมีปากบันทึกเสียงแล้วมีกระดาษ
A4 ที่พับครึ่ง เมื่อเหอไป่ตัดสินใจเปิดกล่องไม้ ในนั้นมีจอกกระเบื้องสีขาวนวลดูมีราคา
‘มันคืออะไรนี้’ เหอไป่มองจอกกระเบื้องอย่างไม่เข้าใจแล้วหยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน
ตี๋ชิวเหอ: ผมขอโทษครับ
ผมส่งปากกาบันทึกมาให้โปรดฟังเมื่อนายอยู่คนเดียว
ตี๋ชิวเหอ: ผมดื่มเหล้าสามจอกเพื่อเป็นการไถ่โทษนาย
ผมเอาเมมโมรี่การ์ดเอาไว้ใต้ถ้วยกระเบื้อง นี้เป็นการแสดงความจริงใจและต้องการที่ขอโทษนาย
ถ้านายคิดว่าจอกมันเล็กไปครั้งหน้าฉันจะใช้ใบที่ใหญ่กว่านี้
“...” เอาสมองส่วนไหนคิด? อัดวิดีโอตอนดื่มเหล้าสามจอก? แล้วส่งของมา? สิ้นเปลืองค่าส่งของไปตั้งเท่าไร?
เหอไป่จ้องมองของที่อยู่ในกล่องด้วยสีหน้าที่อธิบายไม่ถูก
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจยัดของทั้งหมดใส่กระเป๋าเป้ แล้วเดินเข้าไปหอพักเพราะสงสัยว่าทำไมเพื่อนของตัวเองหายไปนาน
หนิงจวินเจี๋ยยกหัวขึ้นสูงจากมุมตึกที่แอบยืนมองเหอไป่พร้อมกับหวังหู่และเฉินเจี๋ย
พร้อมหยิบโทรศัพท์ออกมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นพร้อมพิมพ์ส่งข้อความออกไป
หนิงจวินเจี๋ย:
เสี่ยวไป่ได้รับของแล้วนะครับ เขาเก็บใส่เป้ไม่ได้โยนทิ้ง
ตี๋ชิวเหอ: ขอบคุณครับ
เดียวครั้งหน้าผมจะตอบแทนคุณ
หลังจากเก็บมือถึงใส่กระเป๋ากางเกง หนิงจวินเจี๋ยก็ใช้มือโอบไปที่ไหล่ของหวังหู่และเฉินเจี๋ยแล้วส่งเสียงอย่างดีใจ
“ไปกันเถอะ! วันนี้พี่ใหญ่อารมณ์ดี เดียวเลี้ยงอาหารทะเลพวกนายเอง”
หวังหู่และเฉินเจี๋ยได้ยินทั้งสองก็หัวเราะขึ้นทันที
พร้อมขยับตัวหน้าแขนของหนิงจวินเจี๋ย “ช่างกล้ามาที่เรียกตัวเองว่าพี่ใหญ่?
นายต้องถูกสั่งสอน”
หนิงจวินเจี๋ยพยายามวิ่งหนีการกลั้นแกล้งของเพื่อนทั้งสอง
จากนั้นก็โบกเรียกเหอไป่ให้มาช่วย “ไป่หนีเร็ว!!
เหล่าหู่และเหล่าเจี๋ยพวกเขาบ้าไปแล้ว!”
“นายนั้นเหละบ้า!!” เหอไป่ตอบด้วยเสียงเอื้อมระอา
ทั่งสี่คนเดินหยอกล้อกันอย่างสนุกไปที่โรงอาหารกลาง เมื่อจัดการมื้อเย็นเสร็จเหอไป่ก็ขอแยกตัวกลับหอพักเพื่อจัดการงานที่ยังไม่เสร็จ
ส่วนเพื่อนทั้งสามก็ไปตีแบดมินตันที่อาคารกลางของมหาลัย
เมื่อนาฬิกาโชว์เวลาสามทุ่มเหอไป่ก็เงยหน้าออกจากคอมตัวเอง
พร้อมจ้องมองไปที่ประตูอย่างสงสัยว่าทำให้เพื่อนร่วมห้องถึงยังไม่กลับมา จากนั้นก็ตัดสินใจโทรหา
"เฮ้..ตอนนี้เราออกมาที่ตลาดนัดข้างมหาลัย
แต่เดียวก็กลับแล้ว" เสียงหนิงจวินเจี๋ยตะโกนเสียงดัง "นายอยากกินอะไรไหมเดียวซื้อไปให้ ระหว่างรอฉันว่านายควรผ่อนคลายโดยการดูวิดีโอ!!"
“อืม..งั้นซื้อโจ๊กมาให้ฉันก็พอ” เหอไป่พูดอย่างดีใจที่เพื่อนร่วมห้องมีน้ำใจนึกถึงตัวเอง “แล้วก็รีบกับมาก่อนหอปิดล่ะ”
หนิงจวินเจี๋ยก็ตอบรับ
รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้าของเหอไป่แม้ว่าสายจะตัดไปแล้ว
หลังจากอาบน้ำเสร็จเขาก็เตรียมจะไปปิดคอมก็เห็นกล่องพัสดุที่วางอยู่มุมโต๊ะ เขาลังเลที่จะเปิดอะไรก่อนดีระหว่างปากกาและวิดีโอ
ในที่สุดก็ตัดสินใจหยิบเมมโมรี่การ์ดไปเสียบกับคอม
เขากดปุ่มเพื่อเล่นวิดีโอจากนั้นภาพก็ฉายเห็นตี๋ชิวเหอที่นั่งอยู่ในห้องที่ดูแปลกตา
ตอนนี้อีกคนสวมชุดลายพรางข้างหน้ามีขวดเหล้าขนาดใหญ่พร้อมจอกที่เหมือนในกล่องไม้บนโต๊ะของเขาเป๊ะ
ตี๋ชิวหัวนั่งคุกเข่าพร้อมใบหน้าที่จริงจัง จากนั้นคนในวิดีโอก็ก้มหัวขอโทษ
"เสี่ยวไป่ครับ...เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นผมขอโทษครับ"
“...” เหอไป่
“ผมขอโทษกับเรื่องทั้งหมด ผมไม่ควรจะโกหกคุณกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ผมจึงต้องการที่จะไถ่โทษด้วยเหล้าสามจอกนี้” น้ำเสียงที่พูดจริงจังมากใบหน้าก็เต็มไปด้วยความสำนึกผิด
ตี๋ชิวเหอในวิดีโอก็หยิบขวดเหล้ามาเทใส่จนเต็มแก้วจากนั้นก็ยกขึ้นดื่มจนหมด
เหอไป่พูดไม่ออกได้แต่มองการกระทำที่ช่างเสียสติตรงหน้า
เมื่อตี๋ชิวเหอกินเหล้าหมดจอกใบหน้าของเขาก็เริ่มแดงขึ้นทันที
ดวงตาเรียวก็คลอไปด้วยหยาดน้ำ ทำไมมันช่างดูมีเสน่ห์มากขึ้นกว่าปกติ หลังจากวางจอกลงบนพื้น
สายตาของตี๋ชิวก็จ้องมองที่กล้อง “หนึ่งสำหรับความสัมพันธ์ของเรา!”
“...” เหอไป่ยังจ้องใบหน้าของตี๋ชิวเหอด้วยสีหน้าพูดไม่ออก
“สองอันเพื่อเป็นการไถ่โทษที่ทรยศต่อความไว้ใจของนาย”
หลังจากนั้นก็ยกแก้วที่สองที่ถูกเท ยกขึ้นดื่มทั้งหมดแล้วก็วางกลับไปที่เดิม
ตอนนี้สีแดงเริ่มลามมาที่ลำคอ
เหอไป่สูดลมหายใจเข้าลึกและมือกำโทรศัพท์ไว้แน่น
มันเป็นเรื่องที่ดูเป็นเด็กเกินไปที่จะโทรไปเยาะเย้ยการกระทำของตี๋ขิวเหอตอนนี้ไหม
“สาม...” ดูเหมือนชายในวิดีโอจะถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์เล่นแล้ว
น้ำเสียงเริ่มอ้อแอ้และหัวก็เอนไปด้านซ้ายเล็กน้อย แต่เหมือนพยายามทรงตัวให้ตรง “ไชโย!!แด่ความสัมพันธ์อันดีของเราในอนาคต” หลังจากนั้นก็ยกดื่มหมดจนหมดไปอีกแก้วแล้วมองกล้องด้วยใบหน้าที่แดงเป็นเชอร์รี่สุก
แต่สายตายังประกายจริงจัง “ไป่ครับ ผมขอโทษ” เมื่อพูดจบจากนั้นก็หยิบกระดาษ A4 ขึ้นมาจากข้างตัวพร้อมก้มเขียนข้อความลงไป
พร้อมยกมันข้างหน้า
เหอไป่เห็นตัวอักษรสามตัวบนกระดาษ ‘ผม ขอ โทษ’
เหอไป่เต็มไปด้วยความรู้แปลกประหลาด เขาอดห้ามใจไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดไปที่หมายเลขของตี๋ชิวเหอเพื่อปลดการบล็อคเบอร์แล้วกดโทรออกไปที่เบอร์นั้น
‘ขออภัยคะ
หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’
“...” ความสัมพันธ์อันดีเหรอ!!
มือวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะแรงพร้อมยกมือเช็ดใบหน้าที่เต็มด้วยน้ำตา
สายตายังจ้องมองวิดีโอตรงหน้าที่ตอนนี้เป็นจอสีดำ นิ้วยังจิ้มหนักไปที่ปุ่มบล็อคเบอร์เบอร์อีกครั้ง!
บทที่ 65 เกิดเหตุเพราะแบตหมด
เมื่อดูวิดีโอจบเขาแล้วติดต่ออีกคนไม่ได้อารมณ์โกรธก็โหมกระพือขึ้นมาทำให้เขาไม่สนใจเสียงจากปากกาบันทึก
เหมือนสัญชาตญาณจะเตือนว่าเสียงที่อยู่ในนั้นต้องเป็นฝันร้ายของเขาอย่างแน่นอน
ทางฝั่งของกองถ่ายหนังที่ชายแดน
“คัท! ฉากนี้โอเค!!”
เจี่ยงหัวซานโบกมือของเขา จากเสียงที่เงียบกริบก็มีเสียงโห่ร้องอย่างดีใจจากทีมงาน
ทุกคนรีบวิ่งไปรายล้อมตัวตี๋ชิวเหอที่กำลังเหนื่อยหอบอยู่บนพื้น ทีมงานสาวยืนผ้าเย็นให้กับตี๋ชิวเหอพร้อมสำรวจว่ามีบาดแผลตรงไหนบ้าง
นักแสดงรับเชิญ
'หยางเหวินเถียน' รับยกขวดน้ำเย็นที่ได้รับมาจากทีมงานจากนั้นก็ยื่นมือไปหาตี๋ชิวเหอเพื่อช่วยดึงอีกคนขึ้นมาบนพื้น
เมื่อตี๋ชิวเหอทรงตัวได้ก็ก้มหัวขอบคุณ ส่วนทางหยางเหวินเถียนก็ยื่นกำปั้นออกมาพร้อมพูดด้วยเสียงชื่นชม
“นายน่าทึ่งมาก ยิ่งในฉากที่นายกระโดดหลบเศษกระจกแตกนั้น
มันช่างไร้ที่ติ”
ตี๋ชิวเหอพ่นลมหายใจระบายความเหนื่อยล้า จากนั้นก็ยื่นกำปั้นไปชนที่มือของคนตรงหน้า
“คุณก็ยอดเยี่ยมมากครับ คุณปฏิเสธที่จะใช้ปืนสำรองแล้วยังโดดจากข้ามหลังคารถบรรทุกโดยไม่ใช้สตั้นแมนคุณเก่งกว่าผมเยอะเลย”
ในฐานะนักแสดงหนังแอคชั่นที่เจนวงการอย่างหยางเหวินเถียน
เขาไม่เคยร่วมถ่ายหนังกับตี๋ชิวเหอมาก่อน แต่ก็ได้ยินเรื่องอีกคนที่วางตัวดีแล้วยังมีความรับผิดชอบในงานที่ได้รับสูงมาก
ซึ่งแตกต่างจากความของเขาก่อนหน้าที่จะมารับงาน ตอนแรกเขาคิดว่าอีกคนจะต้องวางตัวหยิ่งผยองถือว่าตัวเองกำลังได้รับความนิยม
แต่นี้มันช่างเป็นการร่วมงานที่ง่ายมากอีกคนทั้งวางตัวนอบน้อมแล้วรู้จักรับผิดชอบงาน
“ฉากที่ฉันถ่ายมันเซฟมากแม้ว่าการยืนบนหลังคารถมันจะดูหวาดเสียว
แต่เหล่าทีมงานก็พร้อมที่จะเชฟตัวฉัน ต่างกับฉากที่นายถ่ายมันไม่สามารถควบคุมวิถีกระจกที่แตกได้
แต่นายก็ยอมแสดงเองช่างเป็นมืออาชีพมาก" ช่างน่าแปลกที่นักแสดงหน้าใหม่จะยอมถ่ายเสี่ยงตายแบบนี้
ตี๋ชิวเหอรอยยิ้มอ่อนน้อมพร้อมหัวที่ก้มต่ำ
ดูเหมือนว่าคำชมจากรุ่นพี่จะทำให้เขาเขิน
“ดูเหมือนว่านายทั้งสองจะมีพลังล้นเหลือพอที่จะมายกยอกันเองแบบนี้?
งั้นถ่ายต่อเลยดีไหมจะได้ไม่ต้องพัก” เจี่ยงหัวซานตะโกนจากหลังจอมอนิเตอร์เหล่าทีมงานที่ยืนอยู่ข้างก็ยิ้มล้อเลียน
ตี๋ชิวเหอและหยางเหวินเถียนมองหน้ากันจากนั้นก็หัวเราะออกมาก
บรรยากาศของทั้งสองคนสนิทสนมกันมากขึ้น หยางเหวินเถียนก็กอดคอตี๋ชิวเหอพร้อมเดินมาหาเจี่ยงหัวซาน
เพื่อมาสรุปการถ่ายฉากถัดไป เมื่อเรียบร้อยตี๋ชิวเหอก็ขอตัวกลับมาที่ห้องพักของตัวเองที่ทีมงานเตรียมไว้ให้
เมื่อก้าวเดินเข้ามาในห้อง หวังป๋ออี้ก็รีบลุกขึ้นจากโซฟาเพื่อต้อนรับนายน้อย
“มีคนโทรหาฉันไหม” เสียงราบเรียบก็ดังขึ้น
หวังป๋ออี้ที่ไม่ได้เข้าร่วมการในกองถ่ายของตี๋ชิวเหอ
เขาทำเพียงหยิบโทรศัพท์ของตี๋ชิวเหอที่มอบหมายให้เขาดูแลออกมาด้วย เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรเคลื่อนไหวเขาก็ส่ายหัว
“พวกเขาแจ้งผมมาก่อนหน้าว่า ฉินหลี่ตอนนี้เก็บตัวเงียบครับ”
ตี๋ชิวเหอพยักหน้ารับรู้จากนั้นก็ไล่ให้หวังป๋ออี้ออกไปเพราะต้องการพักผ่อน
เมื่ออาบน้ำเสร็จก็เอนตัวลงบนเตียงจากนั้นก็หยิบโทรศัพท์เครื่องที่เหมือนกับที่เขาให้ลูกหมาน้อยออกมาจากลิ้นชัก
ซึ่งตอนนี้มันตายสนิท เขาหยิบสายชาร์ทขึ้นมาเสียบ เมื่อเสียบเสร็จก็หลับตาลงระหว่างรอให้โทรศัพท์เปิดเครื่องติด
มันเป็นการถ่ายทำที่กินแรงมากตี๋ชิวเหอกำลังเคลิ้มหลับ
ตื้ด.ตื้ด..
เสียงแจ้งเตือนจากข้อความรัวนับสิบข้อความ ขนตาของตี๋ชิวก็กระพืบขึ้นเขารีบล้นลานไปที่โทรศัพท์ที่ชาร์ทอยู่
หนึ่งข้อความส่งมาจากเจี่ยงซิ่วเหวินและอีกหนึ่งจากหนิงจวินเจี๋ย แล้วสุดท้ายเป็นสายที่ไม่ได้รับมันเป็นเบอร์ที่เข้าไม่ได้เมนไว้ในเครื่อง
นิ้วเรียวขาวก็ขยี้ที่ดวงตา จากนั้นก็ไล่เปิดข้อความทีละอัน
เจี่ยงซิ่วเหวิน: นายอย่าพึ่งท้อ ฉันตัดสินใจว่าจะไปขอโทษเหอไป่ด้วยตัวของฉันเองแล้วช่วยพูดเรื่องของนายให้
ตอนนี้นายใจเย็นๆก่อนควรตั้งใจกับการถ่ายหนัง
หนิงจวินเจี๋ย:
เสี่ยวไป่เขาเปิดวิดีโอที่คุณส่งมาแล้วครับ แต่เขานิ่งมากจนผมไม่รู้ว่าเขาคิดยังไง
สู้ๆนะครับ!! ผมเป็นกำลังใจให้คุณ
ดวงตาที่เปล่งประกายก่อนหน้าก็อ่อนลงเขาถึงกับไม่ใส่ใจกับเบอร์ที่เขาไม่ได้รับสาย
โดยเข้าใจว่าเป็นสายจากเจี่ยงซิ่วเหวินที่โทรมาก่อนที่จะส่งข้อความ
ตี๋ชิวเหอจมลงในบรรยากาศที่เศร้าเสียใจที่ลูกหมาน้อยไม่ยอมยกโทษให้
หรือว่าที่เขาทำมันจะจริงใจไม่พอ... ”นี้จะต้องกลับไปเมือง
B เพื่อขอโทษตรงหน้าอย่างจริงจัง...งั้นซื้อของโปรดไปฝากเจ้าลูกหมาด้วยดีไหม...”
สีหน้าเต็มไปด้วยความครุ่นคิดอย่างจริงจัง
จากนั้นภาพก็ค่อยๆพร่ามัวก่อนที่ตาจะปิดลงอีกครั้ง
แต่ในสำนึกเขาก็ครุ่นคิดถึง ‘หมาไป่’ นิ้วมือก็ไปแตะโดนเบอร์ที่ไม่รับสายทำให้โชว์รายละเอียดว่าโทรหาตอน ‘22.00
น.’ ของเมื่อวานนี้!
ตี๋ชิวเหอลุกนั่งหลังตรงทันทีตาก็เปิดกว้างอย่างดีใจ
พร้อมจ้องมองเบอร์แล้วเวลาที่โชว์ที่หน้าจออย่างไม่เชื่อสายตาของตัวเอง
“ต้องเป็นเขา!ลูกหมาน้อยต้องโทรหาเขาตอนสี่ทุ่มเมื่อวานแน่นอน”
ตอนนั้นเขาถ่ายวิดีโอเสร็จก็ไปถ่ายฉากหนังต่อเลย...ซึ่งเขาไม่ได้พกโทรศัพท์ติดตัวไว้!
เขา...ไม่ได้รับ... ... ..
เขาไม่ได้พกโทรศัพท์ไปด้วย!
มันทำให้เขาพลาดไม่ได้รับสายของหมาน้อยของเขา!!
ตี๋ชิวเหอล้นลานไปหยิบโทรศัพท์ลังเลที่จะกดโทรไปที่เบอร์นั้น
เขาพยายามระงับตัวเองให้สงบลงแล้วกดไปที่เบอร์นั้นจากช้าๆ
‘ขออภัยหมายเลขที่ท่านติดต่อในขณะนี้ไม่สามารถให้บริการได้’
ตี๋ชิวเหอฟังเสียงหญิงสาวอย่างสับสน
และกดโทรซ้ำอย่างรวดเร็ว
‘ขออภัยหมายเลขที่ท่านติดต่อในขณะนี้ไม่สามารถให้บริการได้’
เขารู้สึกงุนงงและเรียกอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
‘ขออภัยหมายเลขที่ท่านติดต่อในขณะนี้ไม่สามารถให้บริการได้’
“...”
นี่คือ...เขาถูกบล็อกเบอร์อีกครั้ง?
เป็นเพราะว่าเขาไม่ได้รับสายเหรอ? มือทั้งสองข้างกุมหัวของตัวเองแน่น
เหอไป่ยอมยกโทษให้เขาแล้วจึงโทรหา
แต่ว่า...โทรศัพท์ของเขาดันแบตหมด...ทำให้เขาพลาดสายของลูกหมาน้อย....
ตอนนี้เขากลับถูกบล็อคอีกครั้ง...
สมองของเขาขาวโพลน จากนั้นเขาก็นึกถึงข้อความของเจี่ยงซิ่งเหวินก็นึกถึงขึ้นได้
ไหล่ของตี๋ชิวเหอตกลงทันทีจากนั้นก็ตรงไปที่ไอแพดเข้าไปที่เว็บของมหาลัยทันทีจากนั้นก็ไปที่บัญชีของเหอไป่พิมพ์ส่งข้อความออกไปเป็นจำนวนมาก
จากนั้นก็ตัดสินใจเข้าไปที่เวยป๋อกดเข้าไปที่บัญชีใหม่ที่พึ่งสร้างขึ้นมาพร้อมกดไปที่
‘คนที่ติดตาม’ จากนั้นก็ส่งข้อความนับสิบอีกครั้ง
ข้อความเหล่านี้เขารู้สึกว่ามันไม่เพียงพอจากนั้นก็หยิบกล้องมาเริ่มอัดวิดีโออีกครั้ง
ลูกหมาน้อยยอมยกโทษเขาเพราะวิดีโอ ‘ขอโทษด้วยเหล้าสามจอก’
ดังนั้นตี๋ชิวเหอก็ต้องส่งวิดีโอขอโทษไปอีกครั้ง
ซูอิ๋นหลงถอดแว่นตาออกพร้อมขมวดคิ้วแน่นจากนั้นก็จ้องมองเหอไป่
ที่ตอนนี้เด็กหนุ่มตรงหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “ฉันบอกให้ส่งภาพมาอาทิตย์ละภาพเท่านั้น
แต่นี้อะไรทำไมถึงมีเกือบสิบกว่าภาพ”
เหอไป่จับสายกระเป๋ากล้องแน่นพร้อมหาคำแก้ตัวแต่สุดท้ายก็ยอมพูดความจริงออกมา
“เพราะว่า...ผมคิดว่าภาพเหล่านี้ไม่มีรูปไหนที่ดีเลยครับ” เหอไป่หงุดหงิดตัวเอง “ผมศึกษาทฤษฎีพื้นฐานทั้งหมดในการถ่ายภาพหมู่
แต่เมื่อถ่ายจริงมันไม่เป็นไปตามที่ต้องการ...”
ซูอิ๋นหลงมองมองเหอไป่และย้อนกลับมามองกองรูปที่วางเรียงอยู่บนโต๊ะ
“งั้นนายคิดว่าทั้งหมดมันเป็นยังไง”
เหอไป่รีบเงยหน้าพร้อมจ้องมองที่ภาพอย่าละเอียดพร้อมพูดถึงข้อเสียของภาพที่เขาเป็นคนถ่ายมา
“องค์ประกอบของแสงก็ไม่ลงตัว การจัดวางคนในภาพก็ไม่มีความสมดุล ทั้งคนหลักในภาพแล้วคนรอบข้างก็บิดเบี้ยว
บางคนถึงขนาดถ่ายไม่ได้มุมที่ต้องการ ผมขอโทษครับ...ผมจะรีบไปถ่ายภาพใหม่มาส่งครับ”
บทที่ 66 จับหลัก
“ฉันคิดว่านายตอนนี้ไปถ่ายภาพมาใหมมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรถ้านายยังไม่เข้าใจมัน”
ซูอิ๋นหลงส่ายหัว “ถ้าให้ฉันให้คะแนนจากงานชิ้นนี้
ฉันให้ศูนย์อย่างไม่คิด ก่อนหน้าฉันให้รูปตัวอย่างกับนายไปเพื่อให้นายจับจุดถึงเรื่องที่ฉันสื่อ”
เหอไป่ก้มหัวยอมรับการตำหนิอย่างทันทีจากผู้อาวุโส
ทั้งที่ตอนนี้ตัวเขาก็ยังไม่เข้าใจถึงมัน
ซูอิ๋นหลงยิ้มอย่างถูกใจนี่ถือเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของเด็กหนุ่มคนนี้
เขาไม่กลัวถึงคำตำหนิแล้วยังสามารถคว้ามันเพื่อมาพัฒนาตัวเอง
“รูปทั้งหมดที่ฉันให้นายไปเป็นการถ่ายภาพที่มีการจัดวางเหล่านางแบบซึ่งมันเป็นการทำงานเป็นทีมระหว่างคนที่อยู่หน้ากล้องและคนที่จับภาพหลังกล้อง
แต่ภาพของนายตอนนี้มันสะเปะสะปะ...” ซูอิ๋นหลงพูดช้าลงพร้อมกางรูปของเหอไป่บนโต๊ะ
“ถ้าว่าภาพที่นายถ่ายมามันเป็นในแนวเดียวกัน ถ้าถามคนทั่วไปมันก็ไม่ได้แย่มาก
แต่ถ้ามันเป็นภาพถ่ายเพื่อการโฆษณามันแทบเป็นเด็กถ่ายภาพ นายควรคำนึงถึงความร่วมมือกันระหว่างนางแบบนายแบบแทนที่จะมาโฟกัสถึงจุดเด่นด้วยตัวเอง”
เหมือนมีคนมากดเปิดสวิทช์ไฟให้สมองของเหอไป่
เขาใช้ความเคยชินเก่ามาตลอดเขาถนัดเรื่องการถ่ายภาพธรรมชาติ
เขาติดตามและเฝ้ารอจังหวะเป็นทั้งวันทั้งคืนเพื่อให้ได้ภาพที่ต้องการ เนื่องจากการที่เขาจะไปขอความร่วมมือจากธรรมชาติมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ซึ้งในตอนที่ถ่ายภาพให้หยางฟูและเจี๋ยเป่ยเหลยนั้นสามารถทำแบบเดิมได้ เพราะมันเป็นการถ่ายภาพให้คนๆเดียว
แต่นี้มันเป็นการถ่ายภาพบุคคล เขาสามารถขอความร่วมมือจากคนได้เพื่อให้ได้ท่าทางเป็นไปตามที่ต้องการ
แต่นี้ภาพที่เขาถ่ายทั้งหมดเขาไม่ได้เอ่ยปากขอใครสักคน
ดังนั้น...ภาพที่เขาได้มันจึงเหมือนการเฝ้าติดตามถ่ายภาพ
มันจึงพังไม่เป็นท่า
“อาจารย์ครับ” เหอไป่พูดด้วยเสียงว้าวุ่น
เมื่อเข้าใจถึงเรื่องที่ผู้อาวุโสตรงหน้าสื่อ
ซูอิ๋นหลงยกมือขึ้นเป็นการบอกให้เด็กหนุ่มตรงหน้าหยุดพูด
จากนั้นก็หยิบภาพสองใบจากลิ้นชักออกมา “นี่เป็นรูปแรกที่ฉันถ่ายภาพหมู่ของคน
เวลานั้นฉันเป็นเพียงนักข่าวฝึกงานและได้ติดตามรุ่นพี่ของฉันออกไปทำข่าวเรื่องการโจรกรรม
ซึ่งภาพนี้ฉันได้รับคำตำหนิอย่างรุนแรง นายคิดว่ามันเป็นเพราะอะไร...”
เหอไป่รับรูปที่อีกคนส่งมาให้ รูปนั้นเป็นภาพขาวดำที่มีความละเอียดของภาพต่ำ
เหล่าตำรวจสองนายในภาพมีสีหน้าเหนื่อยหน่ายที่ต้องออกมาจับโจรในวันนั้น
“ปีนั้นประเทศไม่ได้เป็นระเบียบเหมือนตอนนี้
ดังนั้นการจับโจรเป็นเรื่องนี่น่าเบื่อมาก ทำให้เหล่าตำรวจในปีนั้นเหนื่อยและยังหงุดหงิดกับคดีเดิมซ้ำ”
ซูอิ๋นหลงยังพูดต่อพร้อมยื่นรูปอีกใบให้เหอไป่ “ส่วนรูปนี้ถูกถ่ายโดยรุ่นพี่คนนั้นที่ฉันติดตามไปทำข่าว ซึ่งมันถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ของประเทศ“
รูปที่เขาถืออีกใบยังเป็นรูปขาวดำนายตำรวจทั้งสองและโจรก็ยังเป็นคนเดิม
แต่นายตำรวจทั้งสองในภาพนี้กับยืนตัวตรงเป็นระเบียบส่วนมือก็จับที่แขนของโจรไว้แน่นเหมือนกำลังปฎิบัติงานอย่างจริงจัง
ส่วนทางโจรที่อยู่ตรงหน้าก็เบี่ยงหน้าเพื่อหลบกล้องแต่ก็จับได้ถึงความละอายใจ
“ช่างแตกต่างกันไหม” ซูอิ๋นหลงชี้ไปที่รูปที่สองอีกครั้ง “เพื่อให้ได้รูปนี้รุ่นพี่ของฉันไปขอความร่วมมือกับนายตำรวจทั้งสอง
เมื่อรู้ว่าตัวเองจะถูกถ่ายภาพลงหนังสือพิมพ์ พวกตำรวจก็แสดงถึงความคิดของตัวเองออกมาทันที
เขาต้องการให้ทุกคนรู้ถึงความยุติรรมแล้วทางฝั่งของโจรก็รู้สึกละอายใจในความผิดของตัวเอง”
เหอไป่จ้องไปที่สายตาของตำรวจในภาพเขาก็รู้เกรงอย่างไม่รู้ตัว
“ต่อมาโจรคนนั้นก็กลับตัวเขาเป็นนักโทษชั้นดีแล้วได้รับการปล่อยก่อนกำหนด”
หัวคิ้วของซูอิ๋นหลงขมวดแน่นเมื่อมองไปที่ภาพของตัวเอง
“เสี่ยวเหอการเป็นช่างภาพที่ดีไม่เพียงแค่ดึงจุดเด่นของคนในภาพได้
แต่เขาต้องใช้ประโยชน์ทุกอย่างเพื่อให้ภาพที่เขาถ่ายมันออกสมบูรณ์แบบ..” ซูอิ๋นหลงพูดต่อพร้อมมองที่หน้าของเหอไป่ “ใช่..การเป็นช่างภาพไม่เพียงแต่เฝ้ารอเพื่อให้ได้ภาพที่ต้องการ
แต่ต้องเป็นคนที่ควบคุมภาพนั้นด้วย เนื่องจากมันมีหลายองค์ประกอบเพื่อที่จะได้ภาพหนึ่งรูป
ไม่เพียงแต่ใช้ตาเฝ้ามองและนิ้วกดบันทึก แต่ต้องใช้ใจและสมองเพื่อค้นหาวิธีเพื่อให้ได้มัน
หลังจากวันนี้ฉันหวังว่านายจะเข้าใจแล้วใช้ฝีมือของนายเพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์ขึ้นมา”
ในที่สุดปมที่อยู่ในใจของเหอไป่ก็คลายลง ใบหน้าก็ดีขึ้นเหมือนเห็นแสงที่ปลายอุโมงค์
เขารีบขอบคุณคำสอนจากผู้อาวุโสตรงหน้า พร้อมกวาดภาพของตัวเองทั้งหมดกลับไป
“อาจารย์ครับ!! ผมเข้าใจแล้วภาพที่อาจารย์คาดหวังมันจะมาวางไว้บนโต๊ะของอาจารย์ในสัปดาห์หน้า!”
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าเข้าใจความหมายที่เขาสอน
จนเอนตัวพิงที่เก้าอี้อย่างผ่อนคลายพร้อมมือที่โบกไล่อีกคน “งั้นก็ออกไป หวังว่าจะมีภาพที่ดีบนโต๊ะของฉัน”
“ครับ!” เหอไป่โค้งตัวขอบคุณและรีบวิ่งออกจากห้องพักอาจารย์อย่างรวดเร็ว
ซูอิ๋นหลงมองแผ่นหลังที่วิ่งออกเขามีเสียงหัวเราะเบาๆออกมา
ตาก็เหลือบมองมองปฏิทินพร้อมเสียงถอนหายใจ “เหลือเวลาไม่กี่เดือน
หวังว่าเขาจะทำสำเร็จ..
เมื่อออกจากห้องพักอาจารย์เขารีบตรงไปที่หอพักเพื่อหยิบกระเป๋าเงินจากพร้อมก็ไม่รอช้าไปที่ป้ายรถบัส
เขาแวะที่ร้านขายกล้องเพื่อซื้อกล่องโพลารอยด์และกระดานเมื่อได้ของที่ต้องการ ก็ไม่รอช้าที่จะไปที่ท่องเที่ยวขนาดใหญ่ในเมือง
B
เขาเขียนข้อความขนาดใหญ่ ‘ถ่ายภาพฟรี!
และได้รับภาพกลับไปทันทีที่ถ่ายเสร็จ!! ถ่ายภาพหมู่!!!’ เมื่อมาถึงจุดน้ำพุที่เป็นจุดเด่นของที่ท่องเที่ยวแห่งนี้
เขาก็วางกระดานตรงหน้าเฝ้ารออย่างเงียบๆ
เป็นเวลาเกือบสิบนาทีก็มีคนอ่านข้อควานบนกระดานแต่ไม่มีใครให้เขาถ่ายภาพให้สักคน
เหอไป่ตัดสินใจไปที่แผงขายขนมที่อยู่ใกล้ๆ จากนั้นก็ซื้อลูกอมกล่องใหญ่และไปเพิ่มข้อความในกระดาน
‘เพื่อส่งงานของนักศึกษา! แถมอมยิ้ม!!’ จากนั้นก็หามุมที่คนน้อยลงและยืนรอต่อ
เพียงไม่ถึงห้านาทีก็มีคู่รักหนุ่มสาวเดินเข้ามาด้วยความสนใจ
เหอไป่มีสีหน้าตื่นเต้นสายตามองเสื้อคู่ที่เหมือนกันของคนทั้งสองสวมอยู่และคำนวนอย่างรวดเร็วว่าจะถ่ายภาพแบบไหนออกมา
มันเป็นแรงบันดาลใจที่ไหลเข้ามาในสมองไม่หยุด
“ผมเล่าเรื่องตำนานของที่นี้ให้ฟังที่นี้ขึ้นชื่อว่า
‘Love Fountain’ ว่ากันว่าคู่รักที่ได้ดื่มน้ำจากน้ำพุแห่งนี้พร้อมกันคนทั้งคู่จะได้ครองรักกันจนแก่เฒ่า”
เหอไป่ยิ้มจนโชว์ลักยิ้มที่แก้วซ้าย จากนั้นก็ยกกล้องเพื่อปรับเลนส์
“เมื่อดื่มน้ำเสร็จคุณทั้งคู่อยากจะถ่ายภาพที่คู้กันไหมครับ?"
ทางฝ่ายหญิงสาวตาพร่าด้วยรอยยิ้มสดใสของช่างภาพหนุ่มตรงหน้าเธอจ้องมองที่ลักยิ้มพร้อมพยักหน้าอย่างล่องลอย
“ได้เลย! แม้ว่าแฟนของฉันจะซื่อบื้อแต่ฉันก็ต้องการอยู่กับเขาตลอดไป”
ฝ่ายชายหนุ่มร่างสูงที่ยิ้มข้างๆก็ยิ้มซื่อๆพร้อมยกมือเกาหัวนิ้วยังสะกิดแฟนสาวไม่หยุด
ฝ่ายหญิงสาวก็จ้องกลับอย่างไม่ยอมแพ้
เหอไป่จ้องมองท่าทางหยอกล้ออย่างน่ารักของทั้งคู่
สักพักก็ให้ทั้งสองแสดงท่าทางตามที่ต้องการ เขาไม่ได้แนะนำที่การจัดท่า เขาทำเพียงเฝ้ารอจังหวะและจับภาพในตอนที่เขาพึงพอใจจากการหยอกล้อน่ารักของคู่รักทั้งสอง
คู่แรกจากไปด้วยความพึงพอใจ ก็ตามมาด้วยกลุ่มคู่รักคนอื่นและยังมีพ่อแม่ลูก...หลังจากจบการถ่ายภาพพ่อแม่ลูกเสร็จเขาก็ให้อมยิ้มทั้งหมดกับเด็กน้อย
จากนั้นก็เก็บกระดานและจากเดินออกมาทันที
วันนี้เขาได้ตามที่ต้องการ
พร้อมวางแผนที่จะกลับมาที่นี้อีกครั้งเมื่อเขาว่าง
วันถัดมาเขาได้รับข้อความจากเจี่ยงซิ่วเหวิน
เจี่ยงซิ่วเหวิน: ผมเจี่ยงซิ่วเหวินนะครับ
ตอนนี้คุณอยู่ที่มหาลัย Q เหรอเปล่าครับ
เหอไป่มองอย่างประหลาดใจ
เหอไป่: ใช่ครับ
เจี่ยงซิ่วเหวิน:
ผมต้องการจะพบคุณเรื่องที่ผมโกหกและเรื่องของตี๋ชิวเหอ ผมอยากจะขอโทษในเรื่องนี้
เหอไป่มองกล่องที่ส่งมาจากชายแดนที่นอนนิ่งอยู่บนโต๊ะจากนั้นก็ถอนหายใจ
เหอไป่: ได้ครับ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน
พวกเขานัดพบกับที่สวนสาธารณะเมื่อเจอกันก็ไปที่ร้านคาเฟ่ที่อยู่ในโรงอาหาร
ทั้งคู่หามุมสงบและนั่งลง
หลังจากพนักงานมาเสริฟเครื่องดื่มเจี่ยงซิ่วเหวินก็เริ่มพูดขึ้น
“วันที่คุณไปที่ Red Guest ผมตัดสินใจสร้างเรื่อง
‘ลูกพี่ลูกน้องขึ้นมา’ ผมเสียใจในเรื่องที่ผมโกหกคุณมาก”
เหอไป่คิด 'การที่เจี่ยงซิ่งเหวินพูดด้วยความจริงใจเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ที่เขาจะยกโทษให้'
บทที่ 67 เสี่ยวไป่
หัวใจของเหอไป่ก็อ่อนยวบเมื่อนึกถึงวิดีโอ
‘ขอโทษด้วยเหล้าสามจอก’ เขานั้นก็พูดขึ้น “เรื่องของคุณผมยอมยกโทษให้ครับ ส่วนเรื่องของตี๋ชิวเหอผมจะคุยเรื่องนี้กับเค้าเองภายหลัง”
ตอนนี้ตัวเขาเองใจเย็นเมื่อเวลาผ่านไป การที่ตัวเขาเองไม่ยอมปลดบล็อคตี๋ชิวเหอก็เพื่อเป็นบทเรียน
ให้มันฝังลึกลงไปในใจเลย!
สำหรับส่วนของเจี่ยงซิ่วเหวินที่มาขอโทษอย่างจริงใจในวันนี้ก็ทำให้เขาอ่อนลงไปเยอะ
“ขอบคุณนะ ที่คุณยอมยกโทษให้” เจี่ยงซิ่วเหวินถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนหน้าเขาคิดว่าเหอไป่จะเป็นคนที่ไม่มีเหตุผล
เพราะเพื่อนสนิทเรียกเหอไป่ว่าเด็กน้อยทั้งๆที่เด็กหนุ่มตรงหน้ามีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเพื่อนของเขาสักอีก
“ชิวเหอเขามีมุมเด็กๆ
เขาพยายามที่จะเข้าหานายจึงสร้างเรื่องโง่ๆนี้ขึ้นมา ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างมากที่เอาเรื่องของครอบครัวตัวเองมาดึงความสนใจนาย
แต่ตอนนี้เขาก็สำนึกผิดแล้ว มันเหมือนเป็นข้อแก้ตัวชิงเหอเขาแทบไม่มีเพื่อนวัยเดียวกันเยอะนักทำให้เขาหาวิธีเข้าหานายผิดๆ
แต่เรื่องผมรู้ว่าตอนนี้ชิวเหอสำนึกผิดและเสียใจ แม้ว่าเข้าพยายามจะซ่อนมันจากผมก็ตาม
ซึ่งเขาก็...ยังไงถ้าชิวเหอเขาทำแบบนี้อีกนายสามารถทุบตีเขาได้เลย!!”
เหอไป่พยายามคิดตามที่เจี่ยงซิ่วเหวินพูด เขาจำได้ถึงอาการดีใจและมีความสุขที่เขาไปจัดงานวันเกิดให้แต่ก็ระงับอาการนั้นไว้ทำตี๋ชิวเหอพูดน้อยลงอย่างมาก
ยิ่งการที่อีกคนมีแทบไม่มีเพื่อนทำให้เหอไป่เริ่มรู้สึกเห็นใจชิวเหอมากขึ้นกว่าเดิม
ทำให้รอยยิ้มที่ส่งให้เจี่ยงซิ่วเหวินเป็นไปด้วยความจริงใจ
“ผมเข้าใจเรื่องที่คุณพูดและขอบคุณมากในวันนี้”
“ไม่...ผมสักอีกที่ขอบคุณนาย” เจี่ยงซิ่วเหวินรีบพูดอย่างร้อนรนและวิตกกังวล เพื่อนเขาเสียสติไปแล้วที่ทำให้เหอไป่ที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากขนาดนี้โกรธ...แต่ที่น่าหนักใจกว่านั้น
เพื่อนเขาจะสามารถกุมหัวใจเหอไป่ได้ไหม มันคงเป็นเรื่องที่ง่ายกว่านี้ถ้าเหอไป่เป็นเกย์
ระหว่างที่เดินไปส่งเหอไป่เพื่อกลับหอพักเจี่ยงซิ่วเหวินก็หยิลกล่องพัสดุขนาดเล็กจากกระเป๋ามายื่นให้เหอไป่
เหอไป่มองกล่องตรงหน้าอย่างอธิบายออกมาเป้นคำพูดไม่ถูก
'เด็กชายตี๋นั่นน่าตลกสิ้นดี' นี้เป็นวิธีขอโทษของเด็กน้อยจริงๆ
มันสมควรแล้วล่ะที่เขาเรียนตี๋ชิวเหอว่า 'เด็กชายตี๋'
เมื่อเขาอยู่คนเดียวในหอพัก จึงตัดสินใจหยิบเม็มเมอร์รี่การ์ดเสียบเข้ากับโน๊ตบุ๊คพร้อมกดเล่นวิดีโอ
“เสี่ยวไป่ครับ” เบื้องหน้าของตี๋ชิวเหอคือผนังห้องพักที่เขาไม่คุ้นตา
ชายหนุ่มในวิดีโอสวมเพียงเสื้อกล้ามสำดำแล้วสวมกางเกงบ็อกเซอร์ ระหว่างที่พูดก็สีหน้าจริงจัง
เด็กชายตี๋ของเขาตอนนี้คล้ำขึ้นมากจากล่าสุดที่เขาเจอ
ทั่วแขนเป็นไปด้วยรอยฟกช้ำแม้ที่หน้าผากก็มี แต่การขยับตัวไปมาเหมือนกำลังลนลานทำให้ตี๋ชิวเหอดูน่ารักขึ้น
“ในตอนที่นายโทรมาตอนนั้นผมกำลังเข้าฉากอยู่ทำให้ไม่ได้รับสาย”
อีกคนยืดหลังตรงอย่างไม่รู้ตัว “ซิ่วเหวินบอกผมว่าผมต้องขอโทษนายด้วยความจริงใจ
ผมก็เลยตัดสินใจอัดวิดีโอส่งมาให้นายอีกครั้ง เพราะผมกังวลว่านายไม่ได้เข้าเวยป๋อหรือเว็บมหาลัย
คือว่าวันนี้ผมต้องไปเข้าฉากต่อเขาก็เลยไม่สามารถดื่มเหล้าได้ ในครั้งหน้าที่เจอนาย
ผมจะต้องชดเชยด้วยเหล้าสามจอก”
ตาแดงก่ำที่แสดงออกถึงความเหนื่อยล้าและความเสียใจ
แล้วมองไปสภาพโทรมของตี๋ชิวเหอ ทำให้ความโกรธทั้งหมดก่อนหน้าปลิวหายไปทันที
“อีกอย่าง...” ตี๋ชิวเหอไหล่ลู่ลง
“เพื่อแสดงความจริงใจผมมีเรื่องที่จะสารภาพนายอีกเรื่อง...”
เหอไป่ขมวดคิ้วแน่น ‘มีเรื่องโกหกอีกเหรอ?’
“ช่วงที่นายโกรธผม ผมได้แอบติดต่อหนิงจวินเจี๋ยเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีขอโทษนาย
และยังให้เขาส่งข่าวนายให้ผม ถ้ามันทำให้นายไม่พอใจผมก็ขอโทษนะครับ”
สมองของเหอไป่ตีวนกันเป็นพายุ แต่เมื่อมองชายในวิดีโอที่เสียใจอย่างจริงจริง
สุดท้ายก็ส่ายหัวพร้อมหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดปลดบล็อคตี๋ชิวเหอ
“ในครั้งหน้าผมจะไม่มีทางที่จะพลาดสายที่นายโทรมาอย่างแน่นอน”
คำสัญญายังคงดังออกมาจากปากตี๋ชิวเหอ
และยังมีรอมยยิ้มโง่ๆแต่ดูอ่อนโยน “เสี่ยวไป่ครับ
ผมหวังว่านายจะยกโทษให้ผมแล้ว หวังว่าจะได้คุยกับนายอีกครั้ง”
เมื่อภาพในจอดำลงก็สะท้อนตัวเหอไป่ที่กำลังยิ้มอย่างไม่รู้ตัว
จากนั้นเขาก็ตัดสินใจหยิบปากกาบันทึกเสียงออกมาเปิดฟัง เมื่อกดปุ่มเสียงในนั้นก็เล่นทันที
“เสี่ยวไป่ผมขอโทษ”
ทำไมเขาช่วงนี้ได้ยินแต่คำขอโทษนะ
“ผมผิดมากที่ผมโกหกนาย และบังคับให้นายส่งเสียงที่น่าอายแบบนั้นส่งมาให้ผม
ผมก็เลยอัดเสียงนี้มาให้เพื่อชดเชยในเรื่องนี้และหวังว่านายจะยกโทษให้”
รอยยิ้มของตัวเหอไป่ก็เย็นเฉียบทำไมหางตาของเขากระตุกรัวๆแบบนี้
“เสี่ยวไป่ อรุณสวัสดิ์ จุ๊ฟ~~”
“...” ตาเหอไป่เบิกโพล่ง
“เสี่ยวไป่ ราตรีสวัสดิ์ จุ๊ฟ~~”
เหอไป่ฝังใบหน้าตัวเองบนฝ่ามือแน่น
“ทั้งหมดนี้เป็นการไถ่โทษของผม” เสียงนุ่มนวลเหมือนกล่อมก็เปลี่ยนเป็นโทนเสียงที่ประหม่าขึ้น “เสี่ยวไป่ยอมยกโทษให้ผมเถอะครับ ผมพร้อมยอมทำทุกอย่างเพื่อให้นายยกโทษ ให้ผมได้กอดนายพร้อมจูบที่อบอุ่น!”
ปัง!!!
เหอไป่ปาปากกาบันทึกเสียงเหมือนของตัวหน้าเป็นของร้อน
นิ้วมือสั่นๆพร้อมกดไปที่ปุ่มบล็อคเบอร์ตี๋ชิวเหออีกครั้ง เขาสูดลมหายใจเข้าออกหลายครั้งเมื่อนึกถึงคำพูดของเจี่ยงซิ่วเหวิน
จากนั้นก็เปลี่ยนใจไม่กดไปที่ปุ่ม ไม่อยากเชื่อความคิดของตี๋ชิวเหอ อีกคนคิดว่าเขาเป็นผู้หญิงหรือไง?
กอดจูบ...เราทั้งคู่เป็นผู้ชาย!!
เมื่อถ่ายฉากสุดท้ายของวันเสร็จ ตี๋ชิวเหอรีบมาเอาโทรศัพท์ส่วนตัวของเขาจากหวังป๋ออี้
เมื่อเห็นว่าไม่มีสายจากเหอไป่สีหน้าก็เต็มไปด้วยความเสียใจ
“นายน้อยครับ” หวังป๋ออี้พูดขึ้นด้วยเสียงลังเลเมื่อสังเกตุบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเสียใจ
มือก็ค่อยยื่นโทรศัพท์อีกเครื่องให้ตี๋ชิวเหอด้วยความลังเล “วันนี้ผมดูข่าวของฮวางฝูก็บังเอิญเห็น...แม้ว่าในรูปนี้จะเห็นหน้าไม่ชัดแต่ผมคิดว่าคนในรูปต้องเป็นรุ่นน้องของนายน้อยที่มหาลัย
Q ...”
ตี๋ชิวเหอก็ลุกขึ้นทันทีจากที่ก่อนหน้านี้ทิ้งตัวฝังอยู่บนโซฟา
และรีบคว้าโทรศัพท์อีกเครื่องจากมือของหวังป๋ออี้
“...” หวังป๋ออี้แสร้งทำเป็นไม่เห็นการกระทำของนายน้อยที่เหมือนโจร!!
การส่งของขวัญไปที่มหาลัย Q อย่างต่อเนื่อง...นี้ถ้าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย
เขาจะคิดว่านายน้อยต้องกำลังแอบคบแฟนสาวอย่างแน่นอน
หน้าบัญชีเวยป๋อที่หวังป๋ออี๋เปิดค้างไว้เป็นไปด้วยโทนสีชมพู
รูปโปรไฟล์เป็นเด็กสาวที่ดูดี ในระบุว่าเธอเป็นนักดนตรี ‘กู่เฟิง’ เธอลงวิดีโอผลงานของเธอคลิปทำให้มีคนติดตามหลายแสนคน
แต่ที่ตี๋ชิวเหอสนใจกับเป็นโพสต์ที่เธอพึ่งลง มันมีรูปภาพอยู่เก้ารูป เจ็ดภาพแรกเป็นรูปแมวส่วนรูปที่แปดเป็นรูปที่เธอถ่ายคู่กับชายหนุ่มที่เหมือนเป็นแฟนของเธอ
แต่นั้นไม่ใช่ภาพที่ตี๋ชิวเหอต้องการ มันเป็นภาพสุดท้ายต่างหากที่เขาเปิดค้างไว้
ตี๋ชิวเหอจำได้ทันทีว่าเด็กหนุ่มในรูปเป็นหมาน้อยของเขาแน่นอน
นิ้วก็กดขยายรูปที่เห็นชัดขึ้น หมาน้อยของเขาในรูปยิ้มจนโชว์ให้เห็นลักยิ้มที่แก้มซ้ายมันทำให้เขารู้สึกหมั่นเขี้ยว
หวังป๋ออี้รีบมองกำแพงทำเป็นไม่เห็นท่าทางที่น่าอับอายของโจรที่ขโมยโทรศัพท์เขาไป
“เธอได้อธิบายใต้ภาพว่าวันนี้เธอกับแฟนหนุ่มไปเที่ยวที่น้ำพุในเมือง
B และพบกับเด็กหนุ่มนักศึกษาที่มายืนถ่ายรูปฟรี และมีหลายคอมเม้นท์มาตอบกับว่าชายหนุ่มในภาพคือช่างภาพเหอ
ทำให้มันเป็นกระแสที่ร้อนแรงในเวยป๋อในวันนี้ครับ”
“เสี่ยวไป่เป็นคนที่น่าทึ่งไม่ว่าเขาไปที่ไหนก็สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้”
ตี๋ชิวเหอไม่สามารถหยุดรอมยิ้มได้น้ำเสียงที่พูดออกมาก็เต็มไปด้วยความยกย้อคนในรูป
เขากำลังจะกดบันทึกรูปก็นึกขึ้นได้ว่าโทรศัพท์นี้เป็นของหวังป๋ออี้ มือก็ยื่นโทรศัพท์คืนเลขาหนุ่มทันที
พร้อมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา
หวังป๋ออี้รีบรับโทรศัพท์คืน ‘นี่นายน้อยของเขาไม่สบายหรือเปล่านี้’ พร้อมจ้องมองโทรศัพท์ในมืออย่างไม่เข้าใจ
ตืดๆ ขณะที่ตี๋ชิวเหอหยิบโทรศัพท์เพื่อจะเข้าบัญชีเวยป๋อของตัวเองก็มีเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าจากนั้นก็กดเปิดอ่านข้อความอย่างหงุดหงิด
เจี่ยงซิ่วเหวิน: วันนี้ฉันไปหาเหอไป่
เขายอมรับคำขอโทษของฉันแล้ว เขายังบอกว่าจะติดต่อนายทีหลัง รีบคว้าโอกาสไว้ล่ะ
ตี๋ชิวเหอตกใจ
เขาหาเบอร์เหอไป่ซึ่งช่างง่ายมากเพราะมันเป็นเป็นเบอร์ล่าสุดที่เขาโทรออกพร้อมกดโทรออก
“ขออภัยหมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”
เฮ้ย...! หูไม่ฝาดใช่ไหม ‘ติดต่อไม่ได้’ ไม่ใช่ ‘ไม่มีหมายเลข’
!!!
จากนั้นก็กดดูภาพโปรไฟล์ล่าสุดของเหอไป่ ที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นรูปลูกหมาตัวเล็กสีขาวที่น่าเอ็นดู
หน้าของเขาก็ต่ำลงแทบฝังในหน้าจออย่างไม่รู้ตัวพร้อมเดินไปวางมือที่ไหล่ของหวังป๋ออี้
“กลับเมือง B คืนนี้!”
หวังป๋ออี้ยกไหล่ขึ้นเมื่อรู้สึกถึงแรงกดแน่นและรีบพูดแย้งขึ้น
“แต่การถ่ายหนังของนายน้อย...”
“หลังจากเสร็จฉากในคืนนี้ฉันได้วันหยุดหนึ่งวัน
ยืนนิ่งทำไมยังไม่รีบไปจองตั๋วให้ฉันอีก!” ตี๋ชิวเหอตอนนี้ไม่สามารถระงับความต้องการตัวเองได้
สายตาของเขาเปล่งประกายพร้อมพูดด้วยเสียงร้อนรน “นายไปเก็บของให้ฉันแล้วอย่าลืมของฝาก
หาตั๋วเที่ยวที่เร็วที่สุด ฉันมีเวลาเพียงแค่หนึ่งคืน!!” จากนั้นตี๋ชิวเหอก็เดินกับห้องนอนของตัวเอง
“...” โอ้แม่เจ้า...นี้นายน้อยช่าง...เปลี่ยนอารมณ์ได้อย่างพายุ...
บทที่ 68 งานชิ้นใหม่
อากาศเย็นสบายต้อนรับฤดูใบไม้ร่วง เหล่าเสื้อผ้ามนห้างสรรพสินค้าก็มีการเปลี่ยนคอลเลคชั่นเสื้อผ้าเพื่อต้อนรับฤดูกาลนี้เช่นกัน
ส่วนทางนิตยสารแฟชั่นก็เปลี่ยนรูปแบบใหม่เพื่อโปรโมทฤดูกาลใหม่
หลินเซี่ยมองภาพถ่ายชุดคอลเลคชั่นใหม่อย่างพึงพอใจจากนั้นก็ส่งยิ้มให้เหอไป่
“นิตยสารแฟชั่นติดต่อเข้ามาทางนั้นบอกว่าจะเอารูปที่นายถ่ายลงนิตยสารอีกครั้ง
ดีใจด้วยนะ”
“ขอบคุณครับ แต่เครดิตทั้งหมดต้องยกให้กับเหล่านักออกแบบและทีมงานครับ”
เหอไป่ยิ้มการค้าประจำตัวเขาทันทีเขาไม่กล่าวอ้างเครดิตทั้งหมดให้ตัวเอง
หลินเซี่ยยิ้มให้อย่างเอ็นดู
"นายปากหวานมาก ฉันรู้แล้วเหละว่าทำไมพวกทีมงานถึงเอ็นดูนาย
บอกฉันมาหน่อยสิว่านายมีอะไรหนักใจ"
เหอไป่ยิ้มเขินเมื่อหลินเซี่ยเดาใจเขาออก จากนั้นก็หยิบกองจดหมายจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้พร้อมพูดด้วนร้พเสียงที่เกรงใจ
"มีคนติดต่อให้ผมไปถ่ายรูปให้
ตอนแรก...ผมเกรงใจไม่อยากจะรบกวนคุณ แต่ว่าคุณสามารถจัดการเรื่องพวกนี้ได้ไหมครับ"
ในขณะเดียวกันที่แบรนด์ลิตเติ้ลเมอร์เมดเป็นที่นิยมภาพที่เขาถ่ายก็แผร่หลายทำให้ผู้คนชื่นชมแล้วติดต่อเพื่อให้ตัวเหอไป่ไปถ่ายรูปให้
ตอนนี้เขาเป็นเพียงนักศึกษามันยากเกินไปที่เขาจะรับงานพร้อมกับเรียนเต็มเวลา แล้วถ้าเขาตอบรับการถ่ายภาพคนหนึ่งแล้วปฎิเสธคนที่เหลือมันก็ดูเหมือนจะไม่ให้เกียรติคนอื่น
ที่ใหญ่กว่านั้นตัวเขาเองตอนนี้ก็ขาดประสบการณ์
มันเป็นจุดอ่อนที่ตัวเขาเองก็ยอมรับมัน ถ้ามองระยะยาวตัวเขาเองไม่ควรใช้ประโยชน์กับความนิยมในตอนนี้
เขาควรจะต้องพัฒนาตัวเขาเองให้ทีทักษะที่มากกว่าตอนนี้ให้ดีขึ้นกว่าเดิมก่อน
หลินเซี่ยเห็นจดหมายทั้งหมดเธอก็ชื่นชมเด็กหนุ่มที่ให้เกียรติบริษัทของเธอที่ไม่รับงานนอกโดยไม่ได้แจ้งให้เธอรู้ก่อนแต่ในทางกลับกันเธอรู้สึกเสียใจกับเหอไป่ที่อีกคนไม่ต้องการที่จะเข้าวงการแฟชั่นในตอนนี้
แต่เอาน่าเธอจะช่วยเหลือเหอไป่ให้ลดจำนวนจดหมายเหล่านี้โดยจะใช้ข้ออ้างว่าเหอไป่ติดสัญญากับแบรนด์ลิตเติ้ลเมอร์เมดโดยทำให้เหอไป่ไม่สามารถไปถ่ายภาพคนอื่น
มีเพียงเธอกับเหอไป่ที่รู้ว่าในสัญญาของเหอไป่ไม่ได้ลงระบุว่าห้ามไม่ให้เหอไป่ไปถ่ายภาพให้คนอื่นเป็นการส่วนตัว
"มีใครบ้าง?" หลินเซี่ยจ้องมองไปที่กองจดหมายและหยิบออกมาอันหนึ่งพร้อมทั้งอ่านเนื้อหาสีหน้าเป็นไปด้วยความขบขัน
"จริงด้วยมี พวกนักแสดงชื่อดังในเมือง B ดูเหมือนว่าจะส่งจดหมายมาทางเราเหมือนกันเขาต้องการให้นายไปถ่ายรูปให้
แต่เมื่อฉันปฎิเสธอย่างสุภาพเพราะหวังว่าต้องการให้นายไปร่วมงานถ่ายรูปให้ในอนาคต แต่เหล่าพวกดาราหน้าใหม่ที่พึ่งได้รับความนิยม
กระตือรือร้นเป็นพิเศษเพื่อให้นายมาร่วมถ่ายภาพให้ เมื่อรู้ว่านายอยู่มหาลัยไหนถึงขนาดส่งจดหมายไปให้นายถึงมหาลัย
นี้มันช่างเกินไปจริงๆ"
"พวกเขาอาจจะทำแบบนั้นโดยไม่ได้บอกผู้จัดการก็ได้ครับ"
เหอไป่เกาใบหน้าตัวเองอย่างเขินอาย
หลินเซี่ยเหลียวเหอไป่อย่างรวดเร็ว ในใจของเธอแย้งขึ้นเธอรู้ว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น
พวกดาราหน้าใหม่ไม่มีทรัพยากรพอไม่มีทางทำเรื่องไร้สาระแบบนี้แน่นอน จดหมายพวกนี้คงส่งมาจากผู้จัดการของพวกเขา
พวกคนเหล่านี้โง่เหลือเกินนี้ไม่รู้เลยหรือยังไงว่าเหอไป่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเจี๋ยและยีคัง!
ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาดูแลได้เพียงแค่ศิลปินหน้าใหม่
แต่เรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องบอกให้เหอไป่รับรู้
พวกคนมีชื่อเสียงไม่มีทางมาเกลื้อนกลั้วตัวของเขาเองหรอก เรื่องเหล่านี้มีแต่ทำให้เหอไป่รำคาญก็เท่านั้น
หลินเซี่ยโยนกองจดหมายทั้งหมดลงถังขยะและพูดปลอบเด็กหนุ่มตรงหน้า
"อย่ามามัวกังวลเรื่องไร้สาระ ฉันมีวิธีจัดการเรื่องเหล่านี้ แต่ฉันมีเรื่องที่น่าสนใจกว่า
นายสนใจทำมันหรือเปล่า"
งานชิ้นใหม่? ทำไมหลินเซี่ยถึงต้องมาถามความเห็นเขาด้วย?
ตอนนี้เขาก็ทำงานในคอนเลคชั่นฤดูใบไม้ร่วงเสร็จแล้วไม่มีงานอะไรที่ต้องทำ?
ใบหน้าของเหอไป่เต็มไปด้วยความงุนงง
"ไม่ต้องคิดมากน่ามันไม่ใช่เรื่องการถ่ายภาพ"
หลินเซี่ยพูดปลอบใจแล้วหยิบเอกสารขึ้นมา "ฉันอ่านแล้วฉันติดว่านายควรตอบรับมันนะ
มันดูเป็นประโยชน์ต่องานของนาย แต่ก็นะมันก็ขึ้นอยู่กับตัวของนายเอง คนที่ยื่นข้อเสนอมันให้เวลานายตัดสินใจสามวัน
เอากลับไปคิดก่อนก็ได้"
เหอไป่หยิบเอกสารขึ้นมาอ่านด้วยความอยากรู้อยากเห็น
แต่เมื่ออ่านเนื้อหาทั้งหมดก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ"นี้อะไรครับ?
จุ้นเฉินต้องการให้ผมไปถ่ายรูปหน้าปกเอ็มวี? ทำไมถึงต้องเป็นผม?”
หลินเซี่ยหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่เมื่อเห็นปฎิกิริยาของเหอไป่
"ฉันตกใจนะที่นายรู้จักจุ้นเฉิน นอกจากนี้จุ้นเฉินยังบอกว่าให้นักแสดงในเอ็มวีสวมชุดของลิตเติ้ลเมอร์เมดในการถ่ายเอ็มวีตัวใหม่
ซึ่งทำแบบนี้ก็ไม่ผิดเงื่อนไขที่นายต้องทำงานให้กับลิตเติ้ลเมอร์เมดเท่านั้น มันเป็นการจ้างงานระหว่างลิตเติ้ลเมอร์เมดและจุ้นเฉิน"
ซึ่งมันเป็นข้ออ้างที่ดีที่เหอไป่ไม่ถ่ายภาพ 'ส่วนตัว'
เหอไป่ยังอ่านเอกสารทั้งหมดนี้เขาไม่เข้าใจมันเลย
แต่ที่สำคัญคือเขาไม่เคยถ่ายปกเอ็มวีมาก่อน แล้วไม่รู้ว่าต้องถ่ายมันยังไง
เมื่อเสร็จธุระที่บริษัทของยีคัง เหอไป่ก็ตรงไปที่ป้ายรถบัสเพื่อนั่งไปลงยังจุดท่องเที่ยวที่เข้าเคยไป
ด้วยงานที่เข้าต้องทำแล้วยังงานที่เข้าต้องส่งให้อาจารย์ซูเขาต้องรวบรัดมันให้อยู่ในเวลาที่ลงตัว
เหอไป่ขึ้นรถบัสเรียบร้อยเขารีบค้นหาข้อมูลของจุ้นเฉิน
แล้วก็ไปยังลิ้งค์แรกที่โชว์ขึ้น
จุ้นเฉินเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบเจ็ดปีเป็นนักร้องนำของค่าย
'Yangyao Record' เขาเปิดตัวในวงการตอนอายุยี่สิบปี แล้วมีผลงานอย่างแพร่หลายให้รู้จักในนามวง
'Young God of Song' ผลงานของเขาเหมือนเค้กก้อนโตของเมือง H
ทุกปี...
เหอไป่อ่านข้อมูลทั้งหมดของจุ้นเฉิน แล้วพยายามรื้นฟื้นความทรงจำก่อนที่เขาจะย้อนกลับมาและสุดท้ายก็นึกออกว่าอัมบั้มไหนที่ทำให้จุ้นเฉินเป็นที่รู้จักไปทั่ว
...ถ้าเขาจำไม่ผิดจุ้นเฉินเป็นคนแต่งบทเพลง
'Dear' มันเป็นเพลงที่แต่งให้คนที่สูญเสียคนสำคัญในครอบครัวไป เพลงนี้เป็นเพลงติดท็อปชาร์ททุกคลื่นวิทยุ
ถ้าเขาจำไม่ผิดบทเพลงนี้ก็ดูเหมือนจะเปิดตัวในเร็วๆนี้
ทำไมจุ้นเฉินถึงเปลี่ยนความคิดของตัวเอง?
ทั้งที่อัมบั้ม 'Dear' เป็นทำยอดขายที่ติดท็อปชาร์ทแล้วเหล่าสถานีวิทยุก็เปิดเพลงของจุ้นเฉินเป็นประจำ
แต่ตอนนี้เขากลับมาขอให้ช่างภาพมือใหม่มาถ่ายภาพให้เขา
เหอไป่พยายามนึดถึงเหตุผล
แต่ว่า...เขากลับคิดไม่ออก จากนั้นก็ปิดหน้าเว็บข้อมูลของจุ้นเฉิน
แต่ก็มีสายจากตี๋ชิวเหอแทรกขึ้นมา
นิ้วกำลังกดรับสายแต่เสียงบางอย่างก็แว่วขึ้นมา
‘ให้ผมได้โอบกอดนายพร้อมจูบที่อบอุ่น’ มันช่างน่าหงุดหงิดอย่างมาก
เหอไป่เลิกคิ้วขึ้นแล้วไม่ลังเลที่จะกดตัดสายของอีกคน พร้อมเปลี่ยนเป็นส่งข้อความแทน
บทที่ 69 เข้าห้องน้ำเดียวนี้
เหอไป่: ฉันไม่อยากได้ยินเสียงคุณตอนนี้
ตี๋ชิวเหอ: แต่ผมคิดถึงนาย
"..." เหอไป่ 'นี่มันช่างเกินจะพูด'
เหอไป่: ระวังคำพูดของคุณ
ไม่อย่างนั้นคุณจะถูกผมบล็อคอีกครั้ง
ข้อความของตี๋ชิวเหอหายไปเป็นเวลานาน
ตี๋ชิวเหอ: นายอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไรอยู่?
ในที่สุดบทสนทนาก็เป็นตามคนปกติ
เหอไป่ยกยิ้มอย่างพอใจเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงยอมสานบทสนทนาต่อ
เหอไป่: ผมกำลังนั่งรสบัสเพื่อไปถ่ายภาพ
แล้ววันนี้คุณเป็นยังไงบ้างครับ
ตี๋ชิวเหอ: ไม่มีอะไรหรอกสำคัญหรอ
การถ่ายหนังทำให้ผมเหนื่อยเล็กน้อย จริงด้วยหน้าของผมเกือบจะเป็นแผลด้วย
เหอไป่ตกใจและเริ่มรู้สงสาร
แต่เมื่อนึกย้อนข้อความที่น่าหวาดกลัวของอีกคนขนเขาก็ลุกขึ้นมาทันที
เหอไป่: คุณก็ระวังตัวด้วยระหว่างถ่ายหนังแล้วอย่าลืมกินข้าวให้ตรงเวลา
อย่าส่งพัสดุมาให้ผมอีก เอาเวลาว่างของคุณไปนอนพักผ่อนให้เต็มที่ ตอนนี้ที่ชายแดนคงร้อนมากผมได้ยินว่าคุณต้องถ่ายฉากต่อสู้
คุณต้องดูแลตัวเองระวังอย่าให้ไม่สบาย
ตี๋ชิวเหอ: หมาน้อยของผม นายใจดีมาก
อยู่ๆข้อความ 'ให้ผมได้โอบอุ้มนายขึ้นมากอดนายพร้อมด้วยจูบที่อบอุ่น'
ก็ลอยขึ้นมามันช่างทำให้ขนลุกไม่หยุด เหอไป่ลูบแขนตัวเองก่อนที่จะพิมพ์ข้อความส่งออกไป
เหอไป่: ทำไมคุณถึงทำตัวน่าขนลุกแบบนี้
ได้โปรดทำตัวปกติเถอะ!!
ตี๋ชิวเหอ: หืม...
'ข้อความของเขาทำให้อีกคนโกรธหรือเปล่านี้?'
เหอไป่คิด
เหอไป่ขยับขาตัวเองอย่างงุ่มง่ามเขาทำอะไรที่ร้ายลงไปหรือเปล่า?
นี้เขาต่อว่าตี๋ชิวเหอแรงไปหรือป่าวนี้ นิ้วพิมพ์?ข้อความอย่างกังวล
เหอไป่: คุณเป็นเพื่อนที่ดีของผมเลย
ยกเว้นแต่ต้องที่คุณโกหกผมก่อนหน้า ผมยอมยกโทษให้...เมื่อคุณกลับมาที่เมือง B
ผมจะเลี้ยงมื้อเย็นคุณ
ตี๋ชิวเหอ: ผมอยากกินสเต็กฝีมือนาย
ผมยอมล้างจานให้เลย!
ช่างเป็นคนที่หาผลประโยชน์ให้ตัวเองจริงๆ
เหอไป่กลอกตามองบน แล้วตอบด้วยข้อความเหมือนผู้ใหญ่กำลังคุยกับเด็กน้อย
เหอไป่: ครับ ก็ได้ผมทำสเต็กคุณล้างจาน
ตี๋ชิวเหอ: นายช่างน่ารักมากเสี่ยวไป่
ตอนนี้เหอไป่เหมือนเส้นความอดทนจะขาดในเร็วๆนี้
เขาจึงรวบรัดให้จบบทสนทนาทันที
เหอไป่: แค่นี้ก่อนนะครับผมกำลังลงรถบัส
อย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอ
ตี๋ชิวเหอไม่ตอบข้อความ เมื่อเห็นว่ารถบัสกำลังจอดในจุดหมายที่เขาต้องการ
เหอไป่รีบเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วเดินไปที่ประตูรถทันที คราวนี้เขาไม่เตรียมกระดานมาด้วย
เมื่อไปยืนในจุดที่เขาเคยยืนคราวที่แล้วก็มีกลุ่มสาววัยรุ่นตรงเข้ามาถามว่าจะมาที่นี้วันไหนบ้าง
"ผมจะมาที่นี้เมื่อตอนนี้ที่ผมว่างเท่านั้นครับ
ดังนั้นผมไม่สามารถบอกได้ แล้วพวกคุณไม่จำเป็นต้องมาที่นี้ทุกวันก็ได้เพราะค่าตั๋วที่นี้มันแพงมาก"
เหอไป่ยิ้มโชว์ลักยิ้มของตัวเองให้กลุ่มเด็กสาววัยรุ่นที่กระตือรือร้นมาเจอเขา น้ำเสียงที่พูดก็อ่อนโยน
"แต่ยังไงผมก็ขอบคุณมากสำหรับการสนับสนุนของพวกคุณ ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุดครับเพื่อให้พวกคุณได้ภาพที่น่าพอใจกลับไป"
พูดจบรอยยิ้มการค้าก็แต้มอยู่บนปากของเหอไป่
"ให้ตายเถอะเขาช่างน่ารักมาก! ช่างน่าเอ็นดูจริง!
วันนี้ฉันทำคุกกี้มาให้คุณด้วยโปรดรับไว้ด้วยนะคะ แล้วถ่ายรูปให้ฉันด้วยนะคะ
ฉันเป็นแฟนตัวยงของคุณเลย" เหล่าสาวที่อยู่ตรงนั้นส่งเสียงกรีดร้องออกมา พวกเธอเขินมากจนไม่กล้าที่จะเข้าใกล้เหอไป่
ใบหน้าของพวกเธอแดงก่ำแล้วกระโดดขึ้นลงด้วยความเขินอาย
"ขอบคุณมากที่ติดตามผมนะครับ"
ด้วยคำพูดที่น่ารักของพวกเธอทำให้หัวใจของเหอไป่อบอุ่นทันที
เมื่อก่อนเขาไม่เคยคิดที่จะมีคนมาติดตามผลงานมาก่อนเลย
แล้วไม่คาดคิดว่าพวกเธอต้องการให้ถ่ายภาพ จึงต้องมารอเขาที่นี้ทุกวัน แล้วยังกระทู้ที่พวกเธอสร้างขึ้นมาอีก
'มารอที่ไป่ไป่มาถ่ายรูป' ที่เวยป๋อซึ่งคอมเม้นท์ก็มีต่อเนื่องทุกคนที่รีเฟรช
แตาการถ่ายภาพของเขาก็เต็มไปด้วยความราบรื่น
พวกเธอไม่เข้ามาก่อกวนเขาในตอนที่เขากำลังฝึกถ่ายภาพ แล้วยังโพสท่าตามที่เขาบอกอย่างเชื่อฟัง
มันเป็นผมประโยชน์กับตัวเขาอย่างมาก
เหอไป่จึงตอบแทนพวกเธอด้วยกับถ่ายภาพให้และสุดท้ายยังถ่ายภาพร่วมกับพวกเธอเมื่อมีการขอร้อง
แถมรับของฝากที่พวกเธอมอบให้อย่างเต็มใจ เมื่อเสร็จเรียบร้อยเขายังรอถ่ายภาพให้กลุ่มคนอื่นๆที่ให้ความสนใจ
เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่าเขาจนบิดตัวเองไปมาแล้วก้มเก็บกล่องอมยิ้มที่ตอนนี้เหลือก้นกล่อง
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นแขนเรียวขาวที่มีกล้ามยืดออกมาจากด้านหลัง
"ผมขอแลกล้มถุงนี้กับอมยิ้มของนายได้ไหม"
น้ำเสียงที่คุ้นเคยแม้จะไม่ได้ยินเป็นเวลานานก็ตาม
ความประหลาดใจฉายชัดเต็มใบหน้าของเหอไป่ เมื่อหันมองไปด้านหลังก็พูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
"ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี้? คุณไม่ควรถ่ายหนังอยู่เหรอ?"
ใบหน้าของตี๋ชิวเหอแม้จะเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางแต่สายตาก็เต็มไปด้วยความสุข
เขายิ้มให้เหอไป่แล้วขยับหมวกที่สวมอยู่ให้อีกคนเห็นใบหน้าตาเองให้ชัดขึ้น เมื่อว่าหมาน้อยอยู่ตรงหน้าเขาแล้วตอนนี้แต่เขาก็ต้องต่อต้านความต้องการของตัวเองไม่ให้พุ่งกอดเด็กหนุ่มตรงหน้า
"แม้ว่านายจะยกโทษให้ผมแล้วแต่ผมก็ต้องการมาขอโทษนายด้วยตัวเองอยู่ดี
แล้วผมก็โชคดีมากที่ผู้กำกับให้ผมหยุดพักหนึ่งวัน ผมจึงรีบซื้อตั๋วมาให้นาย"
เหอไป่จ้องมองตี๋ชิวเหอเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่ลำคอ
หนังเรื่องใหม่พึ่งเริ่มถ่ายทำไม่ต้องสงสัยเลยว่าพ่อเอกของเรื่องต้องเข้าฉากหนังหลายฉากแน่นอน
มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้วันหยุดพัก แต่นี้อีกคนกลับไม่คว้าโอกาสวันหยุดเพื่อพักผ่อน
แต่กลัววิ่งตรงมาให้เขา! เขาไม่อยากเชื่อเลย...เขาไม่เคยเห็นคนที่สิ้นคิดขนาดนี้ ช่างซื่อบื้ออย่างมาก!!
เมื่อเห็นว่าเหอไป่จ้องมองตัวเองโดยไม่พูดอะไร
ตี๋ชิวเหอก็คิดว่าเหอไป่ยังไม่ยกโทษให้ตัวเขาเองรอยยิ้มของเขาก็จางหายไป คอของตี๋ชิวเหอก็ตกทันที
จากนั้นก็ก้มตัวไปที่กระเป๋าเป้หยิบถ้วยออกมาจากกระเป๋า "อย่าโกรธผมเลย ผมสามารถดื่มเหล้าสามจอกเป็นการไถ่โทษคุณ
เหอไป่ก็รู้สึก
เฮ้อ...ช่างเป็นเด็กที่น่าเอ็นดูแล้วรู้จักทำตัวเองให้น่าสงสาร
เขาไม่รู้จะสรรหาคำพูดได้...
"ไม่มีการดื่มทั้งนั้นมันเสียสุขภาพของคุณ"
เหอไป่คว้าจอกในมือของตี๋ชิวเหอแล้วโยนมันลงถังขยะที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็ก้มตัวหยิบกระเป๋ากล้องขึ้นมาสะพาย
สายตาดุก็จ้องมองไปที่ตี๋ชิวเหอ "คุณกินข้าวกลางวันหรือยัง?"
"กินแล้ว...
"คุณจะไม่โกหกผมอีกแล้ว"
ตี๋ชิวเหอรีบกลืนคำโกหกลงคอทันทีพร้อมตอบอย่างตรงไปตรงมา
"ผมยังไม่ได้กินครับ"
นี้มันเป็นเวลาบ่ายสองอีกคนยังไม่มีข้าวตกลงลงท้อง
มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ...เชื่อแล้วล่ะว่าคนตรงหน้าสามารถหาเรื่องให้เขาหงุดหงิดได้ตลอดเวลา
บางทีเขาทั้งส่งอาจจะเป็นคนที่ดวงขัดกันจริงๆ!!
"กดหมวกให้ต่ำลงแล้วตามผมมา!" เหอไป่พยายามหาวิธีกลบรัศมีดาราของตี๋ชิวเหอแล้วดันหลังเดินออกไป
เมื่อรู้สึกว่าอีกคนไม่ขยับตามก็หันกับมาคุณ เมื่อเห็นว่าตี๋ชิวเหอยืนนิ่งอยู่กับที่
เหอไป่พยายามระงับตัวเองไม่ให้ไปเตะอีกคนเขาเดินมาจับที่แขนเรียวขาวของตี๋ชิวเหอเบาๆ
แล้วพูดด้วยเสียงกดต่ำ "ยืนนิ่งทำไมครับ? คุณไม่หิวข้าวหรือยังไง"
ตี๋ชิวเหอรู้สึกเหมือนร่างของเขาจะอ่อนแรง เหลือบมองลักยิ้มของเจ้าลูกหมาแล้วใบหน้าที่อ่อนโยนของคนหน้า
ดวงตาของตัวเองก็เริ่มเป็นประกายขึ้นมาแล้วกระตือรือร้นจับไปที่มือเล็กอุ่นของเหอไป่แล้วตอบย่างจริงใจ
"ครับ...เรารีบไปกันเถอะครับ"
เหอไป่ชะงัก อีกคนช่างเปลี่ยนอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว
ตี๋ชิวเหอชนเขากับเหอไป่ทำให้ใบหน้าของใบหน้าหมาน้อยซบที่อกของตัวเอง
หัวใจของตี๋ชิวเหอเต้นรัว มือของเขาก็ลูบไปที่หลังของเด็กหนุ่มเบาๆ ส่วนอีกมือประคองเอวเล็กแน่นเพื่อไม่คนในอ้อมแขนล้มลง
"นายเจ็บตรงไหนหรือเปล่า? ผมของดูหน่อยว่าเป็นอะไรมากไหม"
"ปล่อยเดียวนี้!" เหอไป่รีบขยับตัวออกจากอ้อมแขนของตี๋ชิวเหอจากนั้นก็คว้าแขนของตี๋ชิวเหอพร้อมพูดลอดไรฟัน
"อย่าคิดทำอะไรโง่ๆ
หยุดเจ้าข้างล่างของคุณไปเข้าห้องน้ำเดี่ยวนี้!!! เสร็จแล้วผมจะพาคุณไปกินข้าว”
บทที่ 70 ทำไมถึงไม่มี
'นก' ล่ะ?
เด็กชายตี๋เดินตามแรงที่จูงมือเขาสายตาก็จ้องมองมือที่จับเขสไว้แน่น
หัวใจเขาก็สั่นไหวอย่างที่เคยเป็น สำหรับความห่วงใยของคนรักเขา ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเขินอาย
“แล้วแต่นายเลย ผมให้นายตัดสินใจ”
“ผมแค่แหย่เล่นคุยเป็นอะไรหรือน้ำเสียงของคุณแปลกๆ”
เหอไป่ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องน้ำสาธารณะพร้อมมองด้วยสีหน้าสงสัย
“ห้องน้ำอยู่ตรงหน้าเข้าไปเลย
คุณอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมเดียวผมพาไปกิน”
“ร้านไหนก็ได้ครับที่นายชอบ” ตี๋ชิวเหอยังเขินอายที่หมาน้อยทำตัวเหมือนผู้ใหญ่พาเด็กมาเข้าห้องน้ำ เมื่อนึกขึ้นได้ก็เอ่ยเตือนอีกคน
“ผมใช้เวลาไม่นาน อย่าวิ่งเล่นไปทั่วล่ะ”
“วิ่งเล่นเหรอ...ผมไม่ใช่เด็กแล้วน้า”
เหอไป่ขมวดคิ้วเมื่อหงุดหงิดคำพูดของตี๋ชิวเหอ จากนั้นหน้าของเขากตื่นตกใจ“อย่ามากเล่นบทบาทพี่ชายแบบนี้มันทำให้ผมนึกถึงวิดีโอขอโทษที่เลวของคุณ นี้คุณ...จะเปลี่ยนมาเล่นเป็น
'แด็ดดี้' ของผมหรือยังไง? อย่าเอาสิ่งนั้นใส่ในหัวของคุณเด็ดขาด ผมไม่ต้องการพ่อที่อยู่ในวัยเดียวกันน้า”
ตี๋ชิวเหอแข็งค้างเหมือนโดนหมัดน็อค
'แด็ดดี้' เหรอ เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหมาน้อยของเขาเป็นคนที่น่าเอ็นดูจนน่าหมั่นเขี้ยว
เขาพยายามระงับตัวเองไม่ให้พุ่งเข้าไปกอด ไม่ได้ๆๆๆเขารีบสะบัดความคิดออกจากหัว
แล้วพูดพร้อมหยอกล้อ “แล้วถ้าผมอยากเล่นเป็นสามีภรรยาล่ะ”
เหอไป่ถอยหลังยาว พร้อมสายตาที่จ้องมองตี๋ชิวเหอตั้งแต่หัวจรดช่วงล่างและหยุดสายตาที่จุกที่อยู่ระหว่างขา
เสียงพูดลอดไรฟัน “ได้สิ แต่คุณต้องเสีย 'นก' ของคุณ”
นกที่โบยบินในฤดูใบไม้ร่วงสังเกตสายตาที่มาดร้ายของหมาน้อย
ทำไมเขาถึงหนาวๆร้อนที่น้องชายของตัวเองไม่รู้เขารีบขยับตัวไปทางซ้ายเพื่อหลบสายตาจากนั้นก็ถามด้วยเสียหน้าใสซื่อ
“นายหมายความว่ายังไง? ทำผมต้องเสียนกไปด้วย”
“ก็ต้องเสียสิครับ” เหอไป่ถอนหายใจ
“ทำไม...?” ตี๋ชิวเหอขยับชายเสื้อโค้ทให้ต่ำลง
เหอไป่มองใบหน้าของตี๋ชิวเหอด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มบางๆ
“ก็คุณอยากเป็นภรรยาของผม แต่คุณกับมี'นก'
แล้วจะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง?” เหอไป่ฉีกยิ้มกว้างเสียงที่พูดออกมาเหมือนคุณเรื่องดินฟ้าอากาศ
“ผมว่าบางทีคุณควรหัดเข้าห้องน้ำผู้หญิง มันจะทำให้คุณค่อยๆปรับตัวเองได้ทีละนิด”
ตี๋ชิวเหอรีบกุมที่น้องชาย ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามันสั่นๆ
แต่บางส่วนเล็กตัวเขาเองก็มีความสุขที่หมาน้อยคิดเรื่องนี้กับตัวเขาเอง
"ลูกหมาน้อยที่รักของผม" ตี๋ชิวเหอมองใบหน้าแล้วพูดแหย่ด้วยเสียงแหบห้าวเซ็กซี่
"ผมว่าบางที นายอยากไปที่อื่นนอกจากที่นี้นะ"
"..."
"หรือ..." ตี๋ชิวเหอมองรอบข้างพร้อมรอยยิ้มบางๆดวงตาของเขาก็หรี่ลง
"คุณต้องการเป็นประเด็นร้อน 'ช่างภาพหน้าใสที่กำลังเป็นที่นิยมกำลังจูบอย่างดื่มด่ำกับดาราหนุ่มตี๋ชิวเหอในที่ท่องเที่ยวยอดฮิต'
น่าสนใจว่าไหม?"
รอยยิ้มของเหอไป่หุบลงทันที
จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา
"ดูเหมือนว่าจะมีคนที่ควรถึงขึ้นบัญชีดำอย่างถาวร"
"..."
"เรื่องกินข้าวคงไม่จำเป็นแล้ว
ผมขอตัวกลับมหาลัยก่อนเพื่อพักผ่อน"
ตี๋ชิวเหอรับพุ่งตัวไปจับมือของเหอไป่สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตัว
แล้วเสียงที่จริงจังขึ้น "มันค่อนข้างยากที่ผมจะไม่หยอกล้อนาย ผมได้แต่ตำหนิตัวเอง"
สีหน้าก็เริ่มจริงจังขึ้น "หมาน้อยผมขอโทษยกโทษให้ผมเถอะน้า
เราไปหาข้าวกลางวันกินกันเถอะ"
เหอไป่พูดด้วยเสียงที่สุภาพ
"อย่างนั้นเหรอ..."
"ต่อด้วยมื้อเย็นหลังจากที่ผมนอนหลับซักตื่น..."
เหอไป่รับข้อตกลง "งั้นผมหวังว่า 'นก' ใบไม้ร่วงจะทำตัวดีๆตลอดเวลา..."
"ผมเลี้ยงปูไข่นายเลยอ่า!!!"
เหอไป่เดินไปตบที่ไหล่แล้วพูดด้วยเสียงเอ็นดู
"เข้าห้องน้ำซะ ผมว่า 'นก' ของคุณตอนนี้มันป่วยแล้วล่ะ"
"...ขอบคุณที่เตือน" ตี๋ชิวเหอหยิกที่แก้มของเหอไป่เบาๆ
จากนั้นก็เดินไปที่ห้องน้ำตรงหน้าแล้วหัวกลับมามองใบหน้าที่ดุลูกหมาน้อยจากนั้นก็พุ่งตัวไปที่ห้องน้ำด้วยความเร็วสูง
เมื่ออยู่คนเดียวเขาก็ยกมือปิดปากเพื่อกลั้นเสียงหัวเราะอย่างอย่างอดไม่อยู่ ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางปลิวหายไปทันที
'ชาร์ทพลังเต็ม!!!
ลูกหมาน้อยเป็นเหมือนแบตสำรองเลย'
สุดท้ายทั้งสองก็ไม่ได้กินปูไข่เนื่องจากไม่มีร้านอาหารทะเลเปิดขายอยู่ในละแวกนั้น
เหอไป่จึงตัดสินใจเรื่องร้านที่อยู่ใกล้สุดในตอนนั้นจากนั้นก็สั่งก๋วยเตี๋ยวเป็นข้าวกลางวันให้ตี๋ชิวเหอแล้วเค้กบูลเบอร์ให้ตัวเขาเอง
ในระหว่างที่นั่งกินข้าวก็ถามถึงเรื่องที่กองถ่ายของตี๋ชิวเหอว่าเป็นยังไง
"หยางเหวินเถียนเล่นบทเป็นพระรอง?"
เหอไป่ถามอย่างแปลกใจ
ตี๋ชิวเหอก็เงยหน้าพร้อมมองปากเล็กที่กำลังขยับไปมา
ที่ตอนนี้เลอะไปด้วยเนื้อครีมขาวอมม่วง
"คุณมองอะไร
กินก๋วยเตี๋ยวของคุณต่อไป หรือว่าอยากกินเค้กเดียวผมสั่งให้" จากนั้นก็ส้อมไปตรงหน้าของตี๋ชิวเหอ
ตี๋ชิวเหอละสายตาออกจากใบหน้าของเหอไป่ พร้อมใช้นิ้วขี้เรียวยาวของตัวเองแตะไปที่ริมฝีปากของตัวเอง
"ครีมเลอะที่มุมปากนะ" ช่างน่ารักจนอยากจะ...จูบ
เพื่อเช็ดรอยครีมให้แทน
เหอไป่รีบใช้นิ้วเช็ดที่ปากของตัวเอง เมื่อเช็ดรีมที่นิ้วมือก็ไอกลบความเขินแล้วแสร้งเปลี่ยนเรื่อง
"ถ้าอย่างนั้นใครเล่นเป็นนางเอก? ดูจากที่คุณพูดถึงคุณเจี่ยงเขาไม่มีทางเลือกนักแสดงที่จากกระแสความนิยมตอนนี้แน่นอน
เขาคงเลือกจากความสามารถ"
"ใช่ครับ ลุงเจี่ยงเขาเลือกนักแสดงหน้าใหม่ที่มีพรสวรรค์"
ตี๋ชิวเหอใช้ส้อมแย่งเค้กบูลเบอร์รี่่จากจานของเหอไป่พร้อมรอยยิ้มสนุกที่ได้แกล้งอีกคนเมื่อเห็นสายตาที่จ้องมองส้อมของเขาอย่างกับเป็นโจร
จากนั้นก็ตักกุ้งตัวใหญ่ไปใส่ในจานของเหอไป่แทน "ลุงเจี่ยงวางบทละครวางจะมีนักแสดงหญิงสองคนในเรื่องคนแรกถูกฆ่าตายแล้วมีคนที่สองซึ่งเธอก็เหมือนเป็นนางเอกของหนังเรื่องนี้
แต่เธอก็ออกมาเพียงไม่กี่ตอนในหนัง"
นักแสดงสาวของหนังที่ได้กำกับโดยเจี่ยงหัวซาน?
ทำให้เขาคุ้นๆยังไงไม่รู้ จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย
"เธอชื่ออะไรครับ? ทำไมผู้กำกับเจี่ยงถึงให้เธอเป็นนางเองของหนัง?"
"เธอชื่อว่าตั๋งหนี๋ยังเป็นนักศึกษาอยู่
ลูกศิษย์ของผู้กำกับแนะนำเธอให้ลุงเจี่ยงรู้จัก" ตี๋ชิวเหอตอบอย่างนึกอิจฉาเมื่อเห็นว่าเหอไป่ให้ความสนใจหญิงสาว
"เท่าที่รู้ว่าเธอเป็นเด็กสาวที่มีเส้นสายแม้แต่ลุงเจี่ยงยังยอมรับในฝีมือของเธอแต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ชอบเธอเท่าไรนัก"
ตั๋งหนี๋! เหอไป่นึกย้อนถึงข่าวซุบซิบของตี๋ชิวเหอก่อนที่เขาจะย้อนกลับมา
เธอเป็นเหมือนคู่จิ้นของตี๋ชิวเหอเป็นกระแสต่อเนื่องเกือบปี แต่ในที่สุดเธอก็ออกมาเปิดตัวว่าเธอมีแฟนแล้วซึ่งใช้ข่าวของตี๋ชิวเหอเพื่อปิดบัง
ทันใดสีหน้าของเหอไป่ก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด
เด็กชายตี๋ของเขาถึงจะเป็นหนุ่มหล่อในฝันของสาวๆค่อนประเทศแต่แท้จริงแล้วเขาเหมือนหมาโกลเด้น
เขารู้สึกสงสารที่อีกคนเจอเรื่องแย่ๆแบบนั้น "ชิวเหอครับ...ผมว่านะ...คุณควรอยู่ห่างจากตั๋งหนี๋ผมกังวลถึงกระแสคู่จิ้นของคุณทั้งคู่"
บทที่ 71 ตัด
‘นก’ ของคุณทิ้ง
ตี๋ชิวเหอรีบคิดถึงคำพูดของเหอไป่ด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
“ทำไม? กระแสคู่จิ้นมันเป็นเรื่องปกติและยังช่วยกระตุ้นกระแสหนังได้อย่างดี”
‘มันไม่ใช่ตัวกระตุ้นกระแสแต่มันเป็นกับดัก’
เหอไป่นึกคิด
“ตี๋ชิวเหอคุณมีความสามารถอยู่แล้วอย่าไปหวังพึ่งกระแสคู่จงคู่จิ้นเลยครับ”
เหอไป่พูดด้วยความจริงใจ เมื่อคิดถึงนึกกระแสคู่จิ้นที่โด่งดังระหว่างตี๋ชิวเหอกับตั๋งหนี๋และสุดท้ายเธอก็ออกมาแถลงข่าวคู่รักของเธอ
มันเป็นเรื่องที่ทำให้เขาสงสารตี๋ชิวเหอ “คุณคิดว่าตั๋งหนี๋เธอน่ารัก
แต่เธอก็เป็นผู้หญิงของคนอื่นนะครับหากเธอมีแฟนเธออาจจะตีตัวออกห่างคุณได้นะครับ...ตอนนี้คุณเป็นดาราไม่มีสังกัดคุณต้องระวังตัวของคุณมากขึ้น
นี้คุณเข้าใจที่ผมพูดไหมครับ?”
ข่าวที่เกิดขึ้นในตอนนี้มีการเผยเรื่องความลับของตั๋งหนี๋แต่สุดท้ายก็มีคนมาปิดข่าวทำให้ข่าวตอนนั้นซาไป
แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ถูกพาดหัวข่าวในคอลัมน์การเมืองแทน นักข่าวถึงขนาดไปสัมภาษณ์คนใกล้ชิดตั๋งหนี๋
ตอนนั้นตี๋ชิวเหอก็ได้รับคำปลอบใจกับชาวโซเซี่ยลอย่างมากมาย พวกเขาแทบจะหลั่งน้ำตาแทนจักรพรรดิจอเงิน
เมื่อตี๋ชิวเหอได้ยินเขาก็พูดอย่างผ่อนคลาย และอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปตักเค้กบูลเบอร์รี่ในจานของเหอไป่
“ไม่ต้องห่วงผมรู้ว่าควรทำตัวยังไง ถ้าผมบอกว่าแม่เลี้ยงของผมไม่มีทางให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น
นายจะสบายใจขึ้นไหม” และที่สำคัญเขาตอนนี้ตกหลุมรักหมาน้อยแล้วจะไปตกหลุมคนอื่นอีกได้ยังไง
เหอไป่มองอาวุธร้ายที่แอบขโมยเค้กของตัวเองไป
จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วถามถึงเหตุผลที่อีกคนคิดแบบนั้น
“มันเกี่ยวอะไรกับแม่เลี้ยงของคุณ?”
“ผมเป็นลูกชายคนโตของตระกูลตี๋” ตี๋ชิวเหอไถ่โทษด้วยการแกะเนื้อกุ้งขาววางไว้ในจานเค้กของเหอไป่ และอธิบายถึงเหตุผลที่ตัวเองพูดอย่างนั้นแต่น้ำเสียงที่พูดมันเป็นไปด้วยความเหน็บแนม
“เธอกลัวคู่รักที่ผมเลือกจะเป็นคนที่ฐานะและมีอำนาจของเมือง B
แต่จะมาทำให้อำนาจในมือของเธอลดน้อยลง ฉินหลี่ต้องขัดขวางเรื่องนี้อย่างออกนอกหน้า
เธอคงต้องไปพูดให้ร้ายฉันในวงสังคมชั้นสูงเพื่อไม่ให้เกิดการแต่งงานขึ้น นายคิดว่าจะทำแบบนั้นไหม”
ตี่ชิวเหอเอาใจอีกคนด้วยการใช้ส้อมของตัวเองจิ้มไปที่เนื้อกุ้งแล้วป้อนให้หมาน้อย
เหอไป่จ้องมองที่ตี๋ชิวเหอจากนั้นก็งับเนื้อกุ้งที่ยื่นจ่อที่ปากเหมือนเป็นการแก้แค้นที่เค้กใจจานของเขาแหว่างหายไป
“มันง่ายที่จะคาดเดา ถ้าผมเป็นเธอผมคงปล่อยข่าวลือของคุณที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงมากมาย
เนื่องให้เกิดเรื่องซุบซิบที่ลามไปทั่ว”
เมื่อผู้ถึงรายชื่อของหญิงสาวที่เคยเป็นข่าวกับตี๋ชิวเหอ
ตอนนั้นมันยาวเป็นหางว่าว เรื่องในวงการบันเทิงเต็มไปด้วยเน่าเฟะมากในช่วงนั้น เมื่อมองไปที่จานเค้กของตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะตักเนื้อเค้กสีม่วงยื่นไปตรงหน้าของตี๋ชิวเหออย่างอดสงสารไม่ได้
‘ช่างเป็นเด็กที่หัดก้าวเดินด้วยตัวเอง’มันเรื่องที่ยากเย็นมากที่จะรักษาชื่อเสียงที่ดีในวงการบันเทิง
ตี๋ชิวเหอยกคิ้วขึ้นจากนั้นก็อ้าปาดรับเค้กที่หมาน้อยป้อนมาโดยดี
พร้อมอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปบีบแก้มของเหอไป่ “นายช่างน่ารักมากเจ้าลูกหมาน้อยของผม”
“เฮอะ!! น่า......น่ารัก ตายสักเถอะ”
เหอไป่ผลักมือของอีกคนออกจากแก้มแล้วเอาครีมไปป้ายทั่วใบหน้าของเด็กชายตี๋
หลังจากพาเด็กชายตี๋ไปเติมท้องให้อิ่มเหอไป่ก็ลากจูงตรงไปที่โรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ
ใบหน้าของตี๋ชิวก็คล้ำขึ้น “นายไล่ผมแบบนี้ได้ยังไง”
เขาไม่อยากจะโต้เถียงคนรักของเขา จึงทำเพียงเดินตามอีกคนไปเงียบๆ
“นี่คุณคิดจริงๆเหรอครับว่าผมจะไล่คุณ”
เหอไป่หันหน้ามาพูดและเดินมาผลักที่ห้องของตี๋ชิวเหอเพื่อดันให้อีกคนเข้าไปในห้องพักของโรงแรม
จากนั้นก็เดินตรงไปที่กระเป๋าเป้ของตี๋ชิวเหอเพื่อหยิบชุดนอนมาเตรียมให้กับตี๋ชิวเหอ
เมื่อเรียบร้อยก็ดันอีกคนไปที่ห้องน้ำ “อาบน้ำให้สบายตัวแล้วนอนให้เต็มอิ่ม
ตอนนี้ใต้ตาคุณดำคล้ำมาก”
ตี๋ชิวเหออิดออดไม่อยากเดิน
“ผมจะปลุกเมือถึงมื้อเย็น
คุณต้องขึ้นเครื่องกี่โมง”
“ผมต้องขึ้นเครื่องตีสี่เพราะต้องไปที่กองถ่ายตอนแปดโมงเช้าครับ”
ตี๋ชิวเหอตอบตอนที่เดินไปที่ผักบัวในห้องน้ำ
เมื่อได้ยินคำตอบเหอไป่ก็ตบเบาๆที่กลุ่มผมสีดำที่นุ่มมือ
พร้อมเสียงที่พูดออกมาก็ดุขึ้น “คุณต้องเข้ากองถ่ายตอนแปดโมงเช้าไม่ควรที่จะชวนผมดูหนังหรือเล่นเกมส์มันเหลือเวลาไม่กี่ชั่วโมงมันไม่ดีต่อสุขภาพของคุณ?
บอกมาเมื่อวานคุณนอนตอนกี่โมง”
ตี๋ชิวเหอกำลังอ้าปาก
“คุณบอกว่าจะไม่โกหกผมอีก”
ตี๋ชิวเหอรีบกลืนคำพูดของตัวเอง
“หกโมงเช้า?” เหอไป่เห็นท่าทางแล้วเดาได้ไม่ยาก
ตี๋ชิวเหอรีบคว้าผ้าขนหนูแล้วผลักเหอไป่ออกไป
“ผมจะอาบน้ำ นายออกไปก่อน”
เหอไป่จับที่ประตูห้องน้ำแน่นพูดพร้อมกัดฟัน
“อย่าบอกน้าว่าคุณออกจากกองถ่ายแล้วตรงขึ้นเครื่องมาเลย!”
ตี๋ชิวเหอพยายามปิดประตูความระวังแล้วเลี่ยงสายตาของเหอไป่
...มันตรงกับความคิดเขาเลย เหอไป่พูดลอดไรฟัน
“คุณถ่ายหนังยิงยาว! คุณบอกกับผมเองในวิดีโอว่าที่คุณไม่ได้รับสายผมเป็นเพราะกำลังถ่ายหนังอยู่และตอนนั้นผมโทรไปมันเป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม
เห็นได้ชัดว่าคุณพึ่งอาบน้ำเสร็จผมยังไม่แห้งด้วยซ้ำพร้อมยังสวมเสื้อกล้ามและบ็อกเซอร์
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตอนนั้นคุณเตรียมพร้อมเข้านอน”
ตี๋ชิวเหออุ้มเหอไป่ขึ้นเหมือนอีกคนเป็นเด็กน้อยให้ยืนไกลจากห้องน้ำ
ตี๋ชิวเหอทำทั้งหมดโดยไม่พูดสักคำจากนั้นก็ตรงดิ่งเข้าไปในห้องพร้อมปิดประตูห้องน้ำเมื่อแน่นสนิทเขาก็ตะโกนออกมาจากนั้นห้องน้ำ
“ผมต้องการอาบน้ำ! ผมกำลังทำตามที่นายต้องการอยู่ไง”
อะไรกันเนี่ย!
เหอไป่ที่ถูกอุ้มมายืนกลางห้องก็คำรามอย่างอดไม่อยู่
“จงทำให้เร็วที่สุด! แล้วก้าวขาขึ้นเตียงพร้อมนอน! งานที่กองถ่ายก็เหนื่อยแล้วยังจะเดินทางมาอีก
คุณอยากจะตายใช่ไหม!”
ไม่มีเสียงตอบรับจากในห้องน้ำ
แต่เสียงพูดพึมพำเบาๆข้างใน
“ผมก็จะพยายามดูแลตัวเองให้อายุยืนไปพร้อมนาย”
“ผมไม่ต้องการ!!” เหอไป่ตะโกนเมื่อได้ยินจบ
“ถ้าคุณยังกล้าพูดเรื่องไร้สาระ ผมจะเข้าไปตัด ‘นก’ ของคุณทิ้ง!”
ตี๋ชิวเหอที่ตอนนี้กำลังถอดกางเกงรีบกุมสิ่งนั้นทันทีแล้วพูดเสียงเบาอีกครั้ง
“เดียวนายก็ไม่มีอะไรใช้หรอก...”
“คุณพูดอะไร..?” เหอไป่ได้ยินไม่ชัด
“ไม่มีอะไร! ผมบอกอยากกินไก่ตุ๋นตอนมื้อเย็น”
ตี๋ชิวเหอรีบตอบแล้วถอดเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วเพื่ออาบน้ำ จากนั้นก็ซุกหน้าไปในม่านน้ำเพื่อกลบใบหน้าตัวเองที่ร้อนจนเหมือนน้ำเดือดจากนั้นก็อดกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองไว้ไม่อยู่
ได้รับการอภัยจากหมาน้อยไป่แล้ว...มันดีที่สุดเลย!!!
บทที่ 72 ดื่มเลือดคุณ
ตี๋ชิวเหอรีบเช็ดผมให้แห้งเร็วที่สุดแล้วคลานไปนอนบอกเตียง
เมื่อเห็นสายตาดุของหมาน้อย
“แต่หลับตา” เหอไป่เดินไปปิดผ้าม่านทำให้ห้องมืดสนิททันที
หลังจากผ่านคืนที่เหนื่อยล้าเมื่อได้อาบน้ำให้สบายตัวแล้วสัมผัสที่นอนที่นุ่นนิ่ม
ดวงตาของตี๋ชิวเหอก็ปรือพร้อมที่จะหลับทันที
“ไป่...” ดวงตาเขาพร่ามัวมันพร้อมที่จะปิดทันที
แต่ก็ฝืนอย่างไม่เต็มใจเมื่อคิดเมื่อวานเหอไป่ไม่ยอมลงมานอนบนเตียงด้วย จึงพยายามฝืนสติเพื่อให้ตื่น
“มันยังเร็วเกินไปเราเอาหนังผีมาดูก่อนไหม? พอหนังจบก็ถึงเวลามื้อเย็นพอดี”
“ไม่!!! หลับตาให้สนิท” เหอไป่จ้องมองเหมือนผู้ใหญ่ที่กำลังดุเด็กที่ไม่นอนกลางวัน คิ้วขมวดแน่นเป็นปม
“ถ้าคุณยังไม่นอนผมจะส่งคุณที่สนามบินทันที”
เมื่อเห็นใบหน้าดุของเหอไป่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ
แล้วขยับตัวเพื่อให้มีพื้นที่ว่างจากนั้นก็ตบหมอนอีกใบเบาๆ
“นายไม่ง่วงหรือ มานอนด้วยกันนะครับ”
เหอไป่ไม่ตอบเขาเดินไปดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เด็กชายตี๋บนเตียง
แล้วลูบหัวของอีกคนเบาๆเหมือนกำลังกล่อมเด็ก“ปิดตาแล้วหุบปากของคุณ
ไม่อย่างนั้นผมจะตีคุณ...”
ตอนนี้ตาตี๋ชิวเหอลืมไม่ขึ้นแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงมือที่อบอุ่นแล้วค่อยลูบหน้าเบาๆ
นั้นมันเป็นเรื่องที่แปลกใหม่มาสำหรับตัวเขา
ตี๋ชิวเหยิ้มมุมปากแล้วขยับตัวหันหน้าเขาที่เอวของเหอไป๋
จากนั้นก็โอบแขนไปกอดเอวอีกคนทันที พร้อมฝังใบหน้าลงที่เอวเล็กพร้อมดวงตาที่ปิดสนิททันที
“เฮ้!!” เหอไป๋ตกใจกำลังยกมือไปตีเด็กดื้อที่ไม่ยอมนอนสักทีอย่างหงุดหงิด
กำลังง้างมือเขาก็เห็นว่าเด็กดื้อหลับสนิทจึงทำเพียงยกแขนอีกคนไปวางไว้บนที่นอนเบาๆ
แล้วลุกขึ้นยืน
หลับแล้วเหรอ?
รอยนิ้มเล็กๆแต้มอยู่บนริมฝีปาก เมื่อเห็นอาการที่หลับลงอย่างรวดเร็วของอีกคน...จากนั้นก็ยกมือลูบใบหน้าและเดินไปที่กระเป๋าจากนั้นก็หยิบหนังสือออกมา
จากนั้นก็ลังเลแล้วเดินกลับมาที่เตียงเพื่อห่มผ้าให้ตี๋ชิวเหอ
ช่างเป็นคนที่น่าหมั่นไส้แม้แต่ตอนนอน!!
ตี๋ชิวเหอลูบหมอนนุ่นๆอย่างไม่รู้ตัว แล้วเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนจะนอนจึงรีบเปิดเปลือกตาทันที
เมื่อเขาลืมตาเขาก็เห็นที่ร่างที่เขาคุ้นเคย อีกคนกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างโต๊ะที่ตอนนี้กำลังเปิดโคมไฟสีส้มนวล
ตี๋ชิวเหอก็ครายอาการตื่นตะหนักทันที ตอนนี้หมาน้อยกำลังอ่านหนังสือภายใต้แสงนวลมันช่างอบอุ่นอย่างมาก
ดวงตาของตี๋ชิวเหออ่อนโยนทันทีรอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า
ลูกหมาน้อยที่รักยังรอเขาอยู่ไม่ได้วิ่งหนีหายออกไป
จากนั้นก็กระพริบตาเพื่อปรับโฟกัสช้าๆ
ขนสีดำของลูกหมาที่อยู่ภายใต้แสงสีส้ม หน้าผากที่กำลังยุ่งจากหนังสือที่อ่านตรงหน้า
ดวงตาเรียวสวยจมูกโด่งเป็นทรงสูง ริมฝีปากเป็นเส้นเรียวอวบอิ่มมันช่างน่าบดขยี้
‘ทำไมถึงพึ่งสังเกตุว่าใบหน้าของหมาน้อยช่างบอบบางเหลือเกิน?”
นิ้วเรียวขาวที่กำลังพลิกหน้าหนังสือทำให้เกิดเสียงเบาๆ
ลำตัวเอนพิงไปกับพนักโซฟาทำให้เสื้อที่อีกคนใส่โค้งแนบลำตัว ทำให้เห็นไหล่ปลาร้าโผล่พ้นเสื้อลำคอเรียวยาวสวยที่โผล่พ้นคอเสื้ออีก
แม้แต่แอปเปิ้ลของอดัมยังไม่ดูน่าเอ็นดูไปมากกว่าเจ้าลูกหมาน้อยของเขา
เสียงในห้องพักเงียบแล้วผ้าม่านหนาทำให้ไม่เห็นวิวที่อยู่ข้างนอก
จุดที่ลูกหมาของเขานั่งอยู่ตอนนี้เป็นเพียงจุดเดียวที่มีแสงไฟมันเหมือนเป็นกองไฟอบอุ่มท่ามกลางห้องที่มืดมิด
ทำให้อดห้ามใจตัวเองไม่ได้ที่จะไปอยู่ในความอบอุ่นตรงนั้น
เขาขยับตัวเองและดึงแขนมารองที่ใต้หัวเพื่อนอนตะแคงข้างเห็นเห็นอีกคนให้ชัดขึ้น
เขาหวังว่าเวลาจะหยุดเดินเพื่อที่จะอยู่ตรงนี้ให้นานขึ้น
มันอาจจะเป็นเพียงความฝัน
มันก็คงเป็นความฝันที่ดีที่สุดที่จะเห็นคนรักคอยอยู่เคียงข้าง?
เมื่อผ่านไปสักพักเด็กหนุ่มที่อยู่เก้าอี้ก็ปิดหนังสือแล้วยกมือเพื่อนวดคอของตัวเอง
ราวกับนาฬิกาปลุกให้เขาตื่นจากความฝัน ตี๋ชิวเหอเลื่อนหัวออกจากมือแล้วกลับไปที่ผ้าห่มพร้อมหลับตาลงนับหนึ่งถึงสามก็ขยับตัวเสียงดังจากนั้นก็สบัดผ้าห่มและลุกขึ้นนั่ง
ส่งรอยยิ้มอ่อนโยนไปทางเด็กหนุ่ม “ผมตื่นแล้วหมาน้อย”
คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็สะดุ้งตกใจ เมื่อที่เท้าอยู่ก็ร่วงตกเก้าอี้เมื่อทรงตัวได้ก็รีบพูดด้วยความกระวนกระวาย
“คุณช่วยชีวิตผมแล้ว
ลุกขึ้นล้างหน้าตอนนี้ท้องของผมร้องไม่หยุดแล้วนี้”
ตอนนี้อีพของเขาก็ลุกขึ้นเพื่อเก็บของ ตี๋ชิวเหอก็ขยับตัวไปที่แขนขาวของลูกหมาพร้อมซุกหน้าถูไปมา
แล้วพูดด้วยเสียงงึมงำ “ผมยังง่วงอยู่เลย”
“ผมก็ด้วย! หลังกินข้าวเสร็จก็นอนให้มากขึ้น
แต่ตอนนี้ท้องผมจะทะลุแล้ว ตอนนี้เกือบเที่ยงคืนแล้วไม่รู้ห้องอาหารของโรงแรมยังเปิดอยู่ไหม!”
เหอไป๋ยกมือลูบท้องตัวเองไปมาและพยายามขยับตัวหนีใบหน้าของอีกคน
ตี๋ชิวเหอยกหัวขึ้นทันทีแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมใบหน้าที่เคร่งเครียด
“มันเที่ยงคืนแล้วเหรอ? ทำไมนายถึงไม่ปลุกผมเพื่อกินมื้อเย็น?”
เหอไป๋มองอีกคนด้วยเสียงหน้าเรียบเฉย
จากนั้นก็ก้มหน้าเก็บหนังสือใส่กระเป๋าต่อด้วยไม่พูดอะไรสักคำ
ตี๋ชิวเหอมองริมฝีปากที่กำลังบิดเบี้ยวของหมาน้อย
โดยสัมผัสถึงความสุขเต็มหัวใจ จากนั้นก็คว้าคอของเล็กแล้วพูดด้วยเสียงที่ตื่นเต้น
“หมาน้อยเป็นเพราะนายรักผมมากจนไม่อยากปลุกผมใช่ไหม?”
“ให้ผมชอบหมูดีกว่าที่จะชอบคุณ! ไปล้างหน้าแปรงฟัน
นี้คุณขยี้ตาของตัวเองทำไมนี้?” เหอไป๋พูดด้วยเสียงโกรธแล้วดึงแขนของอีกคน
“เร็วหน่อย!! ผมไม่อยากอดตายด้วยความหิวโหย”
ตี๋ชิวเหอยิ้มแกล้มแตกจากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิกแก้มของเด็กหนุ่มพร้อมขยับตัวเดินไปที่ห้องน้ำ
“หมาน้อยรู้ไม่ต้องเขินที่จะแสดงความรักกับผมหรอกน่า ผมไม่มีทางหัวเราะใส่นายหรอก
ผมเป็นคนใจกว้างมาก...นายอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม?”
“ผมอยากกินเนื้อคุณแล้วเอาเลือดของคุณมากินแทนน้ำ!”
เหอไป๋ตอบกลับด้วยความโมโห ความเสียใจย้อนกลับมาทันที ทำไมเขาถึงยอมให้เด็กโง่ๆคนนี้
และป็ภาวนาว่าผู้ดูแลหอจะไม่มาตรวจคนในคืนนี้
เหอไป๋เข้าไปในห้องอาบน้ำเพื่ออาบน้ำหลังจัดการมื้อค่ำเสร็จเรียบร้อย
ตี๋ชิวเหอรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อส่งข้อความทันที
ช่วงนี้เรายุ่งๆนิดหน่อยเนื่องจากแบบรูปแบบการทำงานใหม่
หมดแรงทุกวันเลยคะ ขอโทษนะคะ
บทที่ 73 ลูกศิษย์
ตี๋ชิวเหอ: หมา..!
ตี๋ชิวเหอ: หมาน้อยกำลังอาบน้ำ!!
เจี่ยงซิ่วเหวิน: อะไรนะ!!!
ตี๋ชิวเหอ:
ฉันนอนเปลือกกายรอเขาบนเตียงได้ไหม
เจี่ยงซิ่วเหวิน: ให้ตายเถอะ!!!
นายสองคนเป็นแฟนกันแล้วหรือไง ?
ตี๋ชิวเหอ: ไม่...ฉันยังไม่ขอเขาเลย
เจี่ยงซิ่วเหวิน:
ถ้าอย่างนั้นนายก็คิดอยู่ฝ่ายเดียว ถ้าเขาเจอนายนอนเปลือยเปล่า เหอไป๋ต้องขึ้นบัญชีดำนายตลอดชีวิต
ตี๋ชิวเหอ: นายอิจฉา
เจี่ยงซิ่วเหวิน: ใช่...แน่นอน :)
ตี๋ชิวเหอรีบปิดโทรศัพท์ทันทีหลังจากนั้นเกือบนาทีเขาก็นึกขึ้นได้ว่าอยู่กับคนรักตามลำพังสองคนในห้อง
จากนั้นก็จ้องมองประตูห้องน้ำด้วยความตื่นเต้น
ผ่านไปเกือบสิบนาทีเหอไป๋ออกมาในชุดคลุมสีขาวที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้
อีกมือถือผ้าขนหนูเอามาเซ็ดผม เสียงที่ลอดมาระหว่างที่หาวก็แผ่วเบา
“คุณไปอาบน้ำแล้วก็นอนหลับ พรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้า”
ตี๋ชิวเหอพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “ตกลง...” น่าเสียดายที่หมาน้อยไม่สวมชุดที่เขาเตรียมเอาไว้ให้
น่าผิวหวังจริงๆ!!
แผนชุดนอนคู่ที่วางไว้ล้มเหลว..!!!
แล้วที่น่าเสียใจกว่านั้นเมื่อออกมาจากห้องน้ำหมาน้อยของเขาก็หลับปุ๋ย
ให้ตายเถอะ!! ‘ไหนพูดคุยก่อนนอนที่โรแมนติก...มันไม่มีการพูดสักคำ’
ทำไมความฝันถึงจบอย่างรวดเร็วแบบนั้น
เขามากองผ้าห่มและเดินไปปิดไฟเงียบๆจากนั้นก็ยกชายผ้าอีกข้างและสอดคัวลงไปนอนด้วย
จากนั้นก็ยื่นมือออกนอกผ้าไปวางไว้ข้างตัวคนรักเบาๆ
เหอไป๋ขยับตัวเพื่อหามุมสบาย จากนั้นก็เอียงข้างหันหลังให้ตี๋ชิวเหอแต่ขยับตัวเข้าไปใกล้กว่าเดิม
ทำให้ และพาดแขนตัวเองไปที่ตี๋ชิวเหอ
ร่างกายของตี๋ชิวเหอเกร็งค้าง เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากร่างเล็กตรงหน้า
จากนั้นก็ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้อีกคนสบายขึ้นพร้อมก้มลงจูบไปที่กลุ่มผมนิ่มหอมด้วยกลิ่นยาสระผมเดียวกันลมหายใจผ่อนยาว
ตอนแรกคิดว่าจะเป็นค่ำคืนที่ยาวนานที่ตัวเขาจะนอนไม่หลับ
แต่เพียงไม่นานกับจมดิ่งลงไปในความฝันสีขาวที่อบอุ่นนั้น
'ชิวชิว อรุณสวัสดิ์ จุ๊ฟคุณ'
ตี๋ชิวเหอรีบเปิดตาตั้งแต่เสียงปลุกแรกที่ดังขึ้น
เขารีบร้นรานหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปิดเสียงทันที พร้อมถอนหายใจเมื่อมองคนที่นอนข้างตัวที่ตายัฃคงปิดสนิทจากนั้นก็ขยับตัวลงจากเตียงด้วยความแผ่วเบา
เหมือนไม่ต้องการปลุกอีกคนให้หลุดจากห้วงความฝัน
พร้อมกำลังเดินไปเก็บของลงกระเป๋าในความมืด
พร้อมตัวเองเป็นโจรที่กำลังย่องขึ้นบ้าน
หลังจากเก็บทุกอย่างพร้อมแล้ว จึงเดินไปวางกระเป๋าเป้ไว้ที่หน้าประตูขายาวก็ก้าวเดินมาหยุดข้างเตียงเพื่อเฝ้ามองอีกคนอย่างหลงใหลและอดไม่ได้ที่จะหอมไปที่แกล้งซ้ายที่โชว์ลักยิ้มที่บุ๋มลงอย่างแผ่วเบา
ฝันดีนะครับเสี่ยวไป่
เสียงที่ลอดออกมาดังแผ่วเบามาก
ริมฝีปากก็ลากยาวไปหอมที่หน้าผากของคนบนเตียงอีกครั้ง
จากนั้นก็ยืนตัวตรงและเดินออกจากห้องไป
‘คลิก...’ เสียงปิดประตูที่เบาก็ปิดลง
เหอไป๋ขมวดคิ้วและขยี้ตางัวเงย แต่ก็ไม่สามารถลืมตาตื่นขึ้นได้เนื่องความง่วงที่มีมากกว่า
สุดท้ายเขาก็ตกลงในความฝันของตัวเองอีกครั้ง
เหอไป๋หลับยาวจนเช้าวันถัดมา เขาจ้องมาข้อความที่ตี๋ชิวเหอส่งมาให้เมื่อสามสิบนาทีที่แล้ว
จากนั้นก็ยกมือนวดที่หน้าผากที่กำลังพันกันยุ่ง
ทำไมเขาหลับสนิทแบบนี้ทุกทีเขาเป็นคนที่นอนไม่ค่อยหลับสนิท
นี้ถึงขนาดไม่รู้สึกว่าตี๋ชิวเหอออกจากห้องไปตอนไหน
เหอไป๋เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์แล้วโทรหับไปหาอีกคนแต่ได้ยินสัญญาณตอบรับกับมาว่าอีกคนปิดเครื่อง
บางทีตี๋ชิวเหอกำลังอยู่ในกองถ่าย จากนั้นจึงวางโทรศัพท์ทันทีพร้อมเสียงถอนหายใจยาว
นั่งบนเตียงสักพักก็ตัดสินใจสะบัดผ้าห่มออกแล้วลุกเดินออกจากเตียง
ตุ๊บ!! มีกล่องขนาดเล็กตกลงมาบนพื้น เหอไป๋หยุดยื่นกับที่แล้วก้มลงเพื่อหยิบมันขึ้นมา
เมื่อเห็นของในนั้นเข้าก็ยิ้มทันที
มันเป็นสัตว์ที่เขาคุ้นเคยไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครเป็นทิ้งไว้ให้
“ชายคนนี้...” เขาถอนหายใจ
แต่ก็ไม่สามารถห้ามรอยยิ้มกว้างของตัวเองได้
มีลูกสุนัทขนสีทองน่ารักนอนนิ่งอยู่ตรงกลางกล่องมันฉีกยิ้มกว้างกลับมาให้เหอไป๋
ที่คนมีปลอกคอสีดำและแผ่นป้ายสีทอง แต่ว่า...มันดันมีกล้องถ่ายรูปขนาดเล็กห้อยอยู่ที่คอของมัน
ปัง!!! รอยยิ้มกล้างถูกแทนที่ด้วยความขัดข้องใจ
เขากัดพันพูด “เด็กชาย...ตี๋ คุณมันช่างทำให้ผม...!”
ผลงานที่เหอไป๋ส่งในสัปดาห์นี้เป็นที่น่าพอใจ
ซูอิ๋นหลงให้คะแนนผลงานถึงเก้าสิบคะแนน
“ดีมาก..” ซูอิ๋นหลงปิดสมุดให้คะแนนแล้วถอดแว่นสายตาออก
จากนั้นก็ยิ้มพร้อมส่ายหัวเบาๆให้เหอไป๋ที่นั่งอยู่ตรงข้าม “นายก้าวหน้ามาก
เห็นได้ชัดว่านายมีความพยายาม ดังนั้นนายไม่ต้องส่งชิ้นงานมาให้ฉันเป็นเวลาสองสัปดาห์”
รอยยิ้มกว้างหุบลงทันทีพร้อมกับเหอไป๋ถามด้วยความสงสัย
“ไม่ต้องส่งงาน? ถ้าอย่างนั้นการเรียนประจำวันของผม...”
“เพียงนายส่งงานที่ได้รับให้ทันกำหนดก็พอ”
ซูอิ๋นหลงอธิบายให้เหอไป๋ฟัง “ฉันรู้ว่านายได้งานชิ้นใหม่มา
ฉันไม่ต้องการมาค่อยกดดันตัวนายเวลานี้แค่นายตั้งใจทำงานให้ดีมี่สุด”
เหอไป๋รีบลุกขึ้นยืนพร้อมเอื้อมมือไปรินน้ำชาให้อาจารย์ซูทันที
แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ขอบคุณอาจารย์ซูมากครับ!
เมื่อเสร็จงานนั้นผมจะรีบส่งงานของอาจารย์ให้เร็วที่สุด” ตอนนี้บัญชีเวยป๋อของลิตเติ้ลเมอร์เมดประกาศการร่วมมือกันระหว่างจุ้นเฉิน
น่าจะเป็นไปได้ว่าอาจารย์ซูก็ติดตามข่าวนี้จึงระงับการส่งงานของเขา ตัวเหอไป๋เองตื่นเต้นที่มีคนคอยติดตามการพัฒนาของตัวเขาเอง
ซูอิ๋นหลงมองท่าทางของเหอไป๋ด้วยความพอใจ จากนั่นก็หยิบถ้วยชาที่รินน้ำเต็มขึ้นมาดื่มเมื่อวางแก้วลงเขาก็เปิดลิ้นชักและหยิบซองสีแดงออกมา
พร้อมเคาะเป็นจังหวะบนมือตัวเอง “รับไปสิ...”
เหอไป๋มองนามบัตรสีแดงที่ตอนนี้นอนนิ่งอยู่ในมือเขาด้วยสีหน้าโง่งม
“อาจารย์หมายความว่ายังไงครับ...”
“มันเป็นของขวัญต้อนรับช่างภาพฝึกหัด”
ซูอิ๋นหลงมองใบหน้าที่โง่งมของเหอไป๋
จากนั้นก็พูดด้วนเสียงที่ดุขึ้น “นายสามารถติดต่อตามเบอร์ที่อยู่ในนามบัตรนี้ได้
เขาเป็นศิษย์สอง เมื่อไรที่นายจะปรึกษาอะไรแต่ตอนนั้นฉันไม่ว่างนายก็สามารถถามพวกเขาได้”
เมื่อฟังคำพูดของอีกคนเหอไป๋ก็แสดงความตื่นเต้นออกมา
ดวงตาเป็นประกายด้วยความดีใจแฝงไปด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเขาก็เอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจอีกครั้ง
“อาจารย์หมายความว่าจะให้ผมเป็นช่างภาพฝึกหัดและติดตามอาจารย์อย่างนั่นเหรอครับ?”
เท่าที่จำได้ซูอิ๋นหลงเคยพูดว่าเมื่องสองสามปีก่อนว่าเขาจะไม่รับลูกศิษย์อย่างเป็นทางการอีกแล้ว
แต่เรื่องที่เกิดตอนนี้...
ซูอิ๋นหลงหยุดยิ้มพร้อมชักสีหน้าเคร่งเครียดใส่
“อะไรนะ? ฉันรับนายเป็นลูกศิษย์ขนาดนี้ นายคิดว่าฉันล้อเล่นหรือยังไง...หรือไม่ต้องการติดตามคนแก่ใกล้ลงโลงอย่างฉัน
ถ้างั้นก็ส่งของที่ให้กลับคืนมา”
“ไม่ครับ!!” เหอไป๋หยิบซองสีแดงใส่กระดาษทันที
จากนั้นก็รินชาใส่ถ้วยแล้วก้มหัวขอโทษทันที แล้วยกถ้วยขึ้นเหนือหัว พร้อมพูดด้วยเสียงที่เคราพนับถือ
“อาจารย์ขอรับ โปรดรับน้ำชาถ้วยนี้ด้วยครับ”
เป็นครูและนักศึกษาเพียงแค่ไม่กี่เทอม
แต่ความสัมพันธ์ของเราก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ซูอิ๋นหลงยิ้มอย่างเอ็มดูพร้อมรับถ้วยชามาดื่ม
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและตบที่ไหล่อย่างอ่อนโยน “ฉันอายุเยอะแล้วฉันจึงไม่อยากรับลูกศิษย์เพิ่ม
แต่นายเป็นนักเรียนที่ดีและฉันไม่ต้องมาส่งนายให้คนอื่น นายพยายามขวนขวายจากฉันให้มากเพราะฉันคงอยู่ได้ไม่นาน
ฉันอาจจะเข้มงวดกับนายก็อย่ามาต่อว่าฉันทีหลังและกัน”
เมื่อมองที่ผมขาวโพลนและรอยย่นทั่วใบหน้าของซูอิ๋นหลง
เหอไป๋ก็เศร้าแต่เขาก็ยิ้มอย่างสดใสแล้วพยักหน้าตอบรับการอย่างแรง
“ไม่ต้องกังวลครับ ผมจะอุทิศตัวเองไปตลอดชีวิตที่ยืนยาวของอาจารย์”
บทที่ 74 ไม่อยากให้ถ่ายภาพให้
"อย่ามาประจบฉัน" ซูอิ๋งหลงหัวเราะและหยิบนามบัตรออกมาจากลิ้นชักยื่นให้เหอไป๋
"ช่างเป็นเรื่องที่น่าบังเอิญที่งานของนายนั้นเกี่ยวข้องกับศิษย์คนที่สองของฉัน
หากทีเรื่องอะไรที่สงสัยเกี่ยวกับงานชิ้นใหม่ที่นายรับก็ปรึกษาเขาได้ เขาจะคอยดูแลและให้คำปรึกษาที่ดีกับนายอย่างแน่นอน”
อีกคนเกี่ยวข้องกับงานชิ้นใหม่ที่เขารับมาเหรอ?
หรือว่าศิษย์พี่รองของเขาจะเกี่ยวข้องกับจุ้นเฉิน
เหอไป๋มองชื่อที่อยู่บัตรนามบัตรสีหน้า เมื่ออ่านตัวอักษรดวงตาเขาก็เบิกกว้างแทบถลนเกือบจะโยนมันทิ้งเหมือนเป็นของร้อน"ซู..ซูอิ๋ง?
เขาที่เป็นช่างภาพถนัดในด้าน...เอ่อ..”
“ใช่แล้วเขาเป็นช่างภาพที่ถ่ายศิลปะเรือนร่าง”
เมื่อพูดถึงลูกศิษย์คนนี้สีหน้าของซูอิ๋งหลงก็เหมือนกลืนยาขม
เขาถอนหายใจยาวก่อนจะส่ายหัว “เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านนั้นจริงๆ...แต่ลืมมันเถอะตอนนี้เขาก็เดินในเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว
นายไม่ต้องกังวลถึงอารมณ์ที่ค่อนข้างรุนแรงของเขา ยังไงเขาก็เป็นคนดี”
“ไม่เลยครับ ผมไม่กังวลเรื่องนั้นเลย”
เหอไป๋กำนามบัตรในมือแน่นพร้อมรอยยิ้มที่ฝืนมันออกมา
ในขณะที่น้ำตาแทบหลั่งออกมาจากใจ
ซูอิ๋ง..เขาต้องรู้จักแน่นอนตั้งแต่ก่อนที่เขาจะย้อนกลับมาในอดีต!
เพราะอีกคนพยายามเกาะติดเขาเหมือนขี้ปลาทอง!!!
ถ้ามองจากมุมมองของช่างภาพซูอิ๋งเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาในสายงานของเขา
มันทั้งสวยงานและมีอารมณ์ของศิลปินแต่...เพื่อนร่วมอาชีพของเขาดันมาตกหลุมรักร่างเรือนของตัวเขสเอง
ทุกครั้งที่เจอกันในงานนิทรรศการภาพถ่าย ซูอิ๋งจะค่อยมาตามติดเขาเพื่อให้เขาเป็นแบบให้
ซึ่งมันเป็นการเกาะติดที่ยาวนานจนน่าขนลุก
ตัวเขาตอนนั้นเพื่อหนีจากซูอิ๋งเขาถึงขนาดแบกเป้กระโดดขึ้นเรือสำราญล่องออกทะเลเป็นเวลาเกือบสามเดือน
แต่ตอนนี้...อีกคนกับมาเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกับเขา?
‘นี่เป็นโศกนาฏกรรมที่เลวบริสุทธิ์มันจะมีอะไรที่เลวร้ายกว่านี้อีกไหม’
ถ้ารู้ตั้งแต่แรก ยังไงเขาไม่มีทางตอบรับงานของจุ้นเฉินอย่างแน่นอน
ซูอิ๋งเป็นคนที่คลั่งไคล้ในงานของเขา ถึงขนาดออกท่องเที่ยวทั่วโลกให้หาเรือนร่างในอุดมคติมันเป็นการบ้าคลั่งที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ทำเขาจึงกลายมาเป็นช่างภาพให้จุ้นเฉิน! เขาไม่เคยได้ยินถึงเรื่องนี้มาก่อน?
ทำไมมันถึงแตกต่างจากชีวิตที่เขาย้อนกลับมาแบบนี้
เดียวก่อนนะ...เหมือนเขาจะเคยได้ยินมาว่าซูอิ๋งได้ค้นพบเรือนร่างในอุดมคติถึงสองคน
และยังได้ยินมาอีกว่าทั้งสองเป็นคนที่อยู่ในวงการบันเทิง ซึ่งตอนนี้ซูอิ๋งไม่เคยพูดถึงคนทั้งสองเพื่อความเป็นส่วนตัวของทั้งคู่
ตอนนี้จุ้นเฉินกับมาเป็นช่างภาพให้จุ้นเฉิน
แปลว่า...นี้เป็นหนึ่งในสองของเรือนร่างที่งดงาม...
ตัวของเหอไป๋สั่นไม่หยุด เขารีบตรงไปที่ออฟฟิศของตัวเองในยีคังเพื่อเปิดคอมค้นหน้ารูปของจุ้นเฉิน
เกือบสองนาทีที่เขาสวดมนต์ให้กับจุ้นเฉินระหว่างรอคอมเปิดขึ้นมา
ซูอิ๋งมีรสนิยมที่เป็นเอกลักษณ์มากในการเลือกนายแบบ
เขาชอบเรือนร่างที่มีขาเรียวยาวและผอมเพียว ซึ่งจุ้นเฉินก็มีสิ่งนั้น นอกจากนั้นจุ้นเฉินก็มีเอกลักษณ์ที่ตรงกับซูอิ๋งต้องการคือใบหน้าที่แตกต่างจากภายนอก
ใบหน้าของจุ้นเฉินนั้นเฉยเมยและเย็นชา มันคงไปกระตุกต่อมพีคของซูอิ๋งอย่างแน่นอน
อือ...ไม่จะเกิดเรื่องที่เลวร้ายแบบนี้เลย!
แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่เต็มใจแต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว
เนื่องจากแบรนด์ลิตเติ้ลเมอร์เมดได้เซ็นสัญญากับจุ้นเฉินอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เรื่องที่เขาหวาดกลัวมันก็เกิดขึ้นแล้ว
ประตูห้องออฟฟิศก็เปิดขึ้น
ทำไมแผ่นหลังของเขามันถึงเย็นขึ้น เมื่อเงยหน้าจ้องมองที่ประตู
มันเป็นการยากที่เขาจะประคองสติให้สงบนิ่ง
“เด็กน้อย...” ชายที่เดินเข้ามามีสีหน้าจริงจังและโทนเสียงที่แหบต่ำ
แต่ดวงตาที่สื่อออกมาช่างแตกต่างกับใบหน้าสิ้นเชิง เหอไป๋จ้องมองอีกคนค้างเป็นเวลาสามวินาทีและสะดุ้งตื่นเมื่อได้เสียงเสียงปิดประตู
ชายหนุ่มที่เข้ามาใหม่ลากเก้าอี้มานั่งข้างเหอไป๋จากนั้นก็กวาดวงแขนไปวางที่ผนักเก้าอี้ตัวที่เขานั่งพร้อมพูดด้วยเสียงราบเรียบ
“นายต้องการให้ฉันถ่ายรูปให้นายไหม?”
“ไม่เป็นไรครับ! ขอบคุณมาก!!”
ทำไมภายในอดีตถึงทับซ้อนกันแบบนี้ เหอไป๋ถอยหลังยาวและยื่นเอกสารทั้งหมดให้กับชายตรงหน้าและพร้อมพูดอย่างติดจรวด
“นี่เป็นแบบชุดทั้งหมดของลิตเติ้ลเมอร์เมดผมรบกวนให้คุณช่วยตรวจสอบว่าต้องมีอะไรต้องแก้ไขไหมขอบคุณสำหรับความร่วมมือนี้
ถ้ามีข้อผิดพลาดเราจะรีบแก้ให้อย่างทันที นอกจากนี้คุณจุ้นเฉินจะมาเมื่อไรครับ ผมต้องการคุยกับเขาเรื่องการถ่ายภาพปกอัลบั้ม”
“ไม่จำเป็นเรื่องนั้นนายสามารถคุยกับฉันได้โดยตรง
ฉันรู้ถึงรายละเอียดทั้งหมดของจุ้นเฉิน” ซูอิ๋งรับเอกสารแล้ววางไว้บนโต๊ะอย่างไม่สนใจแม้แต่จะกวาดสายตาอ่าน
“นายไม่สนใจถ่ายภาพเหรอ ไม่จำเป็นต้องเปลือยเปล่า นายสามารถใส่กางเกงชั้นในไว้ได้”
แม้สถานที่และเวลาที่แตกต่างแต่ทำไมคำพูดของอีกคนมันถึงก๊อปปี๊มาแบบนี้
โดยเฉพาะน้ำเสียงและใบหน้าที่เหมือนตัวเองเป็นพระเจ้า!!
เหอไป๋กัดฟันแน่นและหยิบเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าและกระแทกมันบนโต๊ะเสียงดังอย่างกำลังขมขู่ชายตรงหน้า
“ถ้ารุ่นพี่กล้าพูดแบบนี้อีกครั้ง ผมจะโทรหาอาจารย์ของเราทันที”
ซูอิ๋งตกใจแต่ก็พูดแก้ตัวอย่างใจเย็น
“ใจเย็นเด็กน้อย อาจารย์ของเราอาจจะพูดเกินจริงไป ฉันขอชี้แจงว่าภาพที่ฉันถ่ายล้วนแต่เป็นศิลปะ
อาจารย์เขาอาจจะเข้าใจฉันผิดพลาดไปนิด”
“ไม่ครับอาจารย์ไม่ได้พูดคุณแบบนั้น และผมก็ชื่นชมผลงานของคุณเช่นกัน”
เหอไป๋รีบขัดจังหวะและตอบด้วยเสียงที่จริงจังกว่าเดิม “แต่ผมไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในผลงานของคุณ”
ซูอิ๋งเงียบไปแต่ก็พูดขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ “จิตใจของคนเปลี่ยนแปลงได้”
“ไม่ใช่ผมอย่างแน่นอนครับ” เหอไป๋สวนกับทันควัน
ซูอิ๋งแสดงสีหน้าที่เศร้าสร้อย
เหอไป๋จ้องมองเสื้อผ้าของตัวเองอย่างจริงจัง
“รุ่นพี่ครับผมรู้ถึงรสนิยมนายแบบของคุณ ผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงใบหน้าตัวเองได้
แต่ผมขอถามหน่อยว่าตัวผมมีอะไรที่ขัดแย้งที่ทำให้รุ่นพี่ยืนยันให้ผมเป็นแบบ ผมจะรีบเปลี่ยนแปลงมันทันที”
“นายไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ มันเป็นจิตวิญญาณของตัวนายเอง”
ซูอิ๋งถอนหายใจและมองด้วยใบหน้าที่ซับซ้อน “นายเป็นเด็กหนุ่มที่มีจิตวิญญาณของผู้ใหญ่ที่โตแล้ว
นายคิดว่านายจะเปลี่ยนแปลงจริงนั้นได้หรือยังไง?”
เหอไป๋ตัวแข็งค้าง เขาพยายามประคองสติของตัวเองให้สงบลง
เป็นไปไม่ได้ซูอิ๋งไม่สามารถรู้เรื่องนั้นได้
เขาไม่ได้กับมาเกิดใหม่และชีวิตก่อนหน้าเขาก็ไม่ได้ย้อนกลับมาเหมือนตอนนี้ไม่น่าที่อีกคนจะพูดแบบนั้น...
“คุณกำลังบอกว่าผู้เป็นเด็กหนุ่มที่มีชายแก่สิงเหรอครับ”
เหอไป๋ยกกระจกหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นส่อง “รุ่นพี่อย่าให้ฉันกลายเป็นชายขี้ฟ้องที่ชักจูงอยู่เบื้องหลังสิครับ”
บทที่ 75 เรือนร่างทั้งสาม
“ใช่นายเป็นเรือนร่างที่สามที่ฉันอย่กได้เป็นแบบ”
ซูอิ๋งพูดด้วยเสียงจริงจัง
หางตาเหอไป๋กระตุกไม่หยุด
เขาจึงถามอย่างรวดเร็ว “แล้วสองคนก่อนหน้าคือใคร”
“จุ้นเฉินและจูเนียร์ตี๋...” ซูอิ๋งมีใบหน้าเคลิ้มฝันเมื่อนึกถึงเรือนร่างทั้งสอง “จริงด้วย ฉันเคยได้ยินมาว่านายสนิทกับตี๋ชิวเหอ”
“อย่าบอกนะว่าคุณต้องการให้ผมชวน...”
เหอไปจ้องมาศิษย์พี่ของเขาอย่างตกใจ
ซูอิ๋งรีบพยักหน้าอย่างเร็วสายตาที่จ้องเหอไป๋เต็มไปด้วยความหวัง
“นายก็สนิทกันยังไงก็ช่วยเกลี้ยกล่อมให้ฉันหน่อย? ยังไวเราทั้งคู่ก็เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน ฉันยอมแบ่งปันคอลเลคชั่นส่วนตัวให้นายดูก็ได้”
คอลเล็คชั่นส่วนตัวของช่างภาพที่เชี่ยวชาญด้าน
'Body
Art' ให้ตายเขาก็ไม่ทีทางอยากดูมันแน่นอน
“ไม่ครับ! เราไม่สนิทกันเป็นเพียงคนที่เคยเห็นหน้าเท่านั้น”
เหอไป๋รีบพูดกล่อมให้อีกคนเปลี่ยนใจ “รุ่นพี่ครับ
บนโลกกว้างใบนี้มีคนหลานคนที่มีเรือนร่างงดงาม ทำไมรุ่นพี่ถึงไม่ปล่อยเราทั้งสามคนไว้ล่ะครับ...ผมคิดว่ารุ่นพี่ค้องเจอแบบที่งดงามกว่านี้แน่นอน”
“แต่ว่า...ร่างเรือนทั้งสามนี้มาน่าดึงดูดฉันมากเลยนี้...”
ซูอิ๋งจ้องมองเหอไป๋ดวงตาคลอไปด้วยน้ำตาเหมือนจะร้องไห้“เดียวก่อนนะตอนแรกมันแต่สองเท่านั้น ทำไมตูเนียร์นานถึงมาอยู่ที่นี้ หรือว่า...นาย..ไม่จริงน่า...เป็นไปไม่ได้”
“นายกำลังเป็นบ้าอะไร” เสียงเปิดประตูดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เหอไป๋เห็นจุ้นเฉินที่กำลังสวมใบหน้าเย็นชา
“ผมไม่ได้ทรยศนายนะ!!” ซูอิ๋งรีบโบกมือไปมาเหมือนแก้ตัวเมื่อสังเกตเห็นจุ้นเฉิน และถามด้วยความพยายามที่พูดมานับล้านครั้ง
“จุ้นเฉิน...อยากเป็นแบบให้ผมไหม”
เสียงที่ลอดออกจากปากของจุ้นเฉนเต็มไปด้วยความอดกลั้น
“ไม่มีทาง! เมื่องานนี้จบคุณก็ไปตายซะ!!!”
ซูอิ๋งตบที่โต๊ะด้วยท่าทางทรมานพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าเสียใจ
“วันนั้นฉันไม่น่าพลาดให้นายเห็นคอลเลคชั่นส่วนตัวของฉันเลย”
“ต้องขอบคุณพระเจ้ามากกว่าที่ทำให้ฉันเห็นสิ่งนั่นก่อน”
เส้นเลือดบนหน้าผากเต้นตุ๊บๆ เส้นเลือกที่หน้าผากเต้นตุ๊บๆจากนั้นก็เดิมตรงมาหาเหอไป๋พร้อมยื่นมือเพื่อเป็นการทักทายโดยทิ้งคน..อย่างไม่ใยดี
“ยินดีที่ได้ร่วมงานกับนาย”
เหอไป๋มองซูอิ๋งที่ถูกนายจ้างเหยียดหยามแต่เมื่อนึกน้อนถึง
‘เรือนร่างทั้งสาม’ เหอไป๋จึงตัดสินใจเก็บเอกสารบนโต๊ะและเดิน
เขาจึงรวบเอกสารทั้งหมดและเข้าหาจุ้นเฉินพร้อมพูดด้วยเสียงสุภาพ “ขอบคุณมากที่คุณจุ้นเฉินเลือกผม และยินดีอย่างมากที่ได้ร่วมงานกับคุณ”
ทั้งสองพูดคุยอย่างสนิทสนมทำเหมือนซูอิ๋งเป็นเพียงอากาศ
ทางฝั่งซูอิ๋งมองเรือนร่านทั้งสองที่ยืนใกล้กันอย่างหลงใหล
‘มันช่างขัดแย้งแต่ก็มันช่างงดงามน่าหลงใหล’ ซูอิ๋งยิ้มเมื่อนึกอะไรดีๆขึ้น
เขาจึงค่อยๆขยับตัวไปที่หน้าโทรศัพท์ของเหอไป๋พร้อมแอบมองเรือนร่างทั้งสองที่กำลังคุยกันอย่างออกส
มือก็เอื้อมไปที่โทรศัพท์ช้าๆ
ลัคกี้ โทรศัพท์ของศิษย์น้องไม่ได้ล็อคหน้าจอ
รอยยิ้มชั่วร้ายก็ผุดขึ้นมาที่มุมปาก นิ้วรีบเลื่อนหารายชื่อของตี๋ชิวเหอเมื่อพบเขาจะรีบพิมพ์ข้อความส่งออกไปอย่างรวดเร็วและกดลบข้อความที่ส่งเพื่อทำลายหลักฐาน
เทื่อเสร็จภารกิจเขาก็พิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ
ทางฝั่งตี๋ชิวเหอเมื่อถึงเวลาพักกองหวังป๋ออี้ก็เดินมาให้ตี๋ชิวเหอพร้อมยื่นโทรศัพท์ส่วนตัวของนายน้อยที่เขาดูแลพร้อมกับรายงานความคืบหน้าในส่วนที่ได้รับมอบหมาย
“มีรายการการเคลื่อนไหวของตระฉินมาครับ ดูเหมือนว่าทางนั้นจะต้องการเกี่ยวดองกับตระกูลหลินที่เป็นเจ้าของ
‘ค่ายดายยู’ นะครับนายน้อย”
“ดายยู...” ตี๋ชิวเหอเลิกคิ้วอย่างสนใจพยายามไล่เรียงคนในตรกูลหลิน
“น่าจะเป็นอย่างนั้นเมื่อตระกูลฉินก็เคยมีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลหลิน
หมาจิ้กจอกเฒ่าฉินหมิงเซียงไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือ แล้วลูกสาวหรือลูกชาย...”
“เป็นลูกสาวจากฝั่งตระกูลหลินครับ”
หวังป๋ออี้รีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นทีมงานในกองถ่ายเดินผ่านมา แล้วพูดด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม
“เลขาอันไม่ค่อยสบายครับ นายน้อยไม่ต้องกังวลเดียวผมจะพาเธอไปโรงพยาบาลตามที่นายน้อยสั่ง”
เหล่าทีมงานที่พึ่งเข้ามาในห้องพักเมื่อได้ยินก็ดูรู้สึกปลื้มใจ
ในความห่วงใยลูกน้องของตี๋ชิวเหอ
ตี๋ชิวเหอช่างเป็นคนที่แสนดีจริงๆ! เขาทั้งวางตัวสุภาพไม่แบ่งว่าเป็นคน
และนี้ยังใส่ใจในตัวของลูกน้องอีก ฮวางฝูงช่างตามืดบอดจริงที่บังคับให้ตี๋ชิวเหอยกเลิกสัญญาทั้งที่ๆเป็น
‘วัวทองคำ’ ที่กำลังรุ่งโรจน์ นี้เหละน่า...ประธานและภรรยาของฮวางฝูช่างเป็นต้นแบบของพ่อแม่ที่ชั่วช้าจริงๆ
เมื่อเหล่าทีมงานออกจากห้องพักทั้งหมดแล้ว ตี๋ชิวเหอก็ยิ้มอย่างพอใจไปทางหวังป๋ออี๋
“ฉันรู้แหละ ฉันให้วันพักร้อนนายเพื่อไปปลอบใจเลขาสาวที่กำลังผิดหวังเพราะชายคนรักกำลังจะแต่งงาน
แล้วอย่าลืมปลอบใจเธอด้วยล่ะว่าการแต่งงานระหว่างตระกูลฉินและตระกูลหลินจะไม่มีการเกิดขึ้น”
“ขอบคุณครับนายน้อย ผมจะไปปลอบใจเธอ”
หวังป๋ออี้พยักหน้ารับรู้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เมื่อสักครู่ตอนที่นายน้อยเปลี่ยนชุดอยู่
ผมได้เสียงเสียงข้อความดีงที่เครื่องส่วนตัวของนายน้อย”
สายตาของตี๋ชิวเหอเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายทันที
พร้อมโบกมือไล่หวังป๋ออี๋ เมื่อสังเกตว่าไม่มีใครก็เปิดข้อความขึ่นมาอ่าน
เหอไป๋: ผมต้องการถ่ายภาพเปลือยคุณ
คุณสนใจไหม?
ลมหายใจของตี๋ชิวเหอขาดช่วง เขากดหน้าจอแนบอกแน่น
และรีบไปที่ตู้เย็นในห้องพักเพื่อหยิบขวดน้ำเย็นขึ้นมาดื่มเกือบหมดขวด แต่ก็ไม่สามารถบรรเทาใบหน้าที่แดงก่ำของตัวเองได้
ตี๋ชิวเหอรีบเดินไปหาเจี่ยงหัวซานเพื่อขอตัวไปพักผ่อนหลังเสร็จงาน จากนั้นก็พุ่งตัวกลับไปที่ห้องน้ำในห้องพักส่วนตัว
จากนั้นก็ก็ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นอย่างคนเสียสติ
หมาน้อยชวนเขาถ่ายรูป...แบบนี้?
นี้เพียงไม่กี่วันเองจากที่เหอไป๋ไม่ยอมที่จะถ่ายรูปให้เขาแต่ตอนนี้กับชวนถ่ายรูป...เปลือย...รูปเปลือย?
ตัวเขาเป็นนักแสดงจะไปถ่ายแบบนั้นได้ยังไงถ้ามันหลุดไปแล้ว แต่ถ้า...มันเป็นความต้องการของหมาน้อยของเขาเขาก็ไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน...
ตี๋ชิวเหอมองหน้าใบที่สะท้อนผ่านกระจกที่กำลังเปียกโชก
พร้อมทิ้งตัวผิงขอบอ่างล้างหน้า เขาพยายามมอบไปรอบห้องน้ำอย่างระวังว่าจะมีใครแอบติดกล้องไหม
เมื่อมั่นใจก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านอีกครั้ง
เหอไป๋: ผมต้องการถ่ายภาพเปลือยคุณ
คุณสนใจไหม?
ดวงตาของเขาเปล่งประกายนิ้วมือก็ลูบไปมาบนหน้าจอโทรศัพท์
หัวใจเขาเต้นเร็วมากตอนนี้สมองกำลังประมวลคำตอบทุกแบบ
ถ้าเขาตอบว่าใช่ หมน้อยจะคิดว่าเขาใจง่ายเกินไปไหม
แต่ถ้าเขาปฏิเสธล่ะหมาน้อยของเขาต้องเสียใจหรือเปล่า...ดังนั้นเขาควรแซวเหมือนแกล้งไม่เข้าใจ...จากนั้นค่อยตอบรับอย่าฃเล่นตัวดีไหม...
น้ำจากนิ้วมือที่หยดที่หน้าจดก็เลื่อนให้เห็นข้อความที่อยู่ด้านล่างซึ่งตอนแรกเขาคิดว่ามีเพียงข้อความเดียว
เหอไป๋: ผมต้องการถ่ายภาพเปลือยคุณ
คุณสนใจไหม?
เหอไป๋: ถ้าสนใจติดต่อมาที่เบอร์ 13XXXX
ฉันซูอิ๋งเป็นรุ่นพี่ของเหอไป๋ ป.ล.ตอนนี้น้องเล็กของฉันรับปากว่าจะยอมเป็นแบบให้ฉัน
ดังนั้นคุณไม่ต้องกังวลว่าผมจะหลอกลวงคุณเพราะฉันเป็นช่างภาพอาร์ตติสตัวจริง!
แหมะ! เสียงน้ำหยดจากเส้นผมมาตกที่แพขนตาของตี๋ชิวเหอเหมือนบังคับให้ตัวเขาเองหลับตา
เขายกมือเช็ดน้ำที่ใบหน้าอย่างช้าๆมือซ้ายอีกมือกำโทรศัพท์แน่นเหมือนจะบีบให้พัง
เสียงลมหายใจสูดลึกยาว เมื่อตั้งสติได้ก็เปิดตาเพื่ออ่านข้อความอีกครั้ง เมื่อวนอ่านข้อความจบสามรอบจึงรีบกดไปที่เบอร์ของเจี่ยงซิ่วเหวินอย่างรวดเร็ว
แล้วตระโกนใส่ปลายสายทันทีอย่างระงับอารมณ์ตัวเองไม่อยู่แล้ว
“นายช่วยฉันสืบข้อมูลของซูอิ๋ง ฉันต้องการฆ่ามัน!
ฉันต้องการขุดดวงตามันออกมา! จับมือมีนมาตัดทิ้ง!! มันกล้าทำเรื่องชั่วอย่างนี้ได้ยังไง
ฉันจะฉีกร่างมัน!!!!”
บทที่ 76 นกจวี้เน่ยที่โดนแม่นกจิก
“ซูอิ๋ง...?” เจี่ยงซิ่วเหวิ่นถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ยกมือลูบคางพร้อมนิ้วก็กดเข้าไปที่เวยป๋ออย่างเร็ว
“ซูอิ๋ง..คนที่เป็นช่างภาพหลักของจุ้นเฉินสตูดิโอเหรอ?
จริงด้วยมีเรื่องสำคัญกว่านั้น เหอไป๋ทะเลาะอะไรกับเพื่อนร่วมชั้นหรือเปล่า?
ทำไมมีข่าวลือว่าเหอไป๋ใช้เส้นสายของอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อให้ได้รับทุนเรียนต่อ
และยังมีประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงเกรดอีก?”
ตี๋ชิวเหอได้ยินเรื่องที่เพื่อนสนิทพูดก็รีบสงบอารมณ์ของตัวเองสีหน้าก็เคร่งเครียดทันที
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น? แล้วมันเกิดขึ้นตอนไหน?”
“วันนี้เองมีคนมาตั้งกระทู้ไม่ออกนามใส่ร้ายเหอไป๋
โอ้...มีการอัพเดตใหม่ด้วย ‘คนนั้นต้องได้รับการเลี้ยงดูจากหญิงที่อายุมากกว่าไม่งั้นจะมีเงินและเสื้อแบรนด์ใส่แถมยังดูถูกเหยียดหยามเพื่อนร่วมชั้นที่จนกว่า’
นี่คือทั้งหมดตอนนี้ ฉันคิดว่าต้องมีคนหนุนหลังไม่อยากนั้นข่าวลือพวกนี้ไม่กระจายเร็วแบบนี้”
เจี่ยงพูดถามความเห็นเพื่อนของเขา “เอายังไงดี
ให้ฉันเข้าไปจัดการเลยไหม?”
เมื่อเพื่อนสนิทของเขาพูดว่ารักเหอไป๋ ตัวเข้าเองก็พร้อมกระโจนเข้าไปเพื่อร่วมปกป้องคนรักของเพื่อนสนิท
คนที่ทำเรื่องนี้ต้องได้รับบทเรียนอย่างแน่นอน?
ตี๋ชิวเหอขมวดคิ้วแน่นเหมือนกำลังตัดสินใจ “รอดูอีกสักพัก เดียวฉันขอไปถามความเห็นจากเสี่ยวไป่ก่อน”
เจี่ยงซิ่วเหวินอดจะตกตะลึงไม่ได้
“ชิวเหรอนี่นาย ‘จวี้เน่ย’ หรือเปล่านี้?” นี้ยังไม่ได้เป็นอะไรกันก็เชื่อฟังเหอไป๋ขนาดนี้ไม่อยากจะจินตนาการเลยถึงตอนที่นกสองตัวนี้คบกัน
คาดเดาได้อย่างไม่ยากว่า ‘ตี๋ชิวเหอกลัวเมีย’ ขนาดไหน
[T/N: 惧内 จวี้เน่ย = ชายที่เชื่อฟังเมีย]
“ฉันจะเป็นชายที่กลัวเมียได้ยังไง”
น้ำเสียงของตี๋ชิวเหอเต็มไปด้วยความหงุดหงิด “เสี่ยวไป่เขาไม่ชอบให้เรียกแบบนั้นฉัน...คิดว่าเขาไม่ชอบที่จะถูกเรียกว่าเมีย”
ประเด็นมันอยู่ตรงนั้นหรือไง
“...ลืมมันซักเถอะ ยังไงนายก็เป็นนกจวี้เน่ยที่ต้องโดนแม่นกจิกแน่นอน”
เจี่ยงซิ่วเหวินตอบอย่างหงุดหงิด เมื่อตระหนักถึงสมองของเพื่อนสนิทตัวเขาเองทำได้เพียงปลงกับมัน
แม้แต่พระเจ้าท่านก็ยังไม่รู้ถึงขีดจำกัดของความคิดของตี๋ชิวเหอ
จุ้นเฉินหยิบอัลบั้มรูปเสื้อผ้าที่ได้รับมาจากเหอไป๋พร้อมพูดด้วยเสียงที่เบาลง
“นายเชื่อไหมว่าชายน่ารังเกียจคนนั้นต้องเอาโทรศัพท์ของนายไปส่งข้อความให้ตี๋ชิวเหอ”
เหอไป๋จ้องอีกคนอย่างเย็นชาพร้อมพูดด้วยความใจเย็น
“การกระทำในวันนี้มันฝังแน่นในใจผมแล้ว” มันต้องมีหลายล้านวิธีเพื่อจัดการคนหน้าด้านที่เอาโทรศัพท์เขาไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาติ
“เมื่อเราจับได้เขาจะแสดงสีหน้าสำนึกผิดแล้วพูดขอโทษ”
จุ้นเฉินเอนตัวพิงโซฟาเหลืบมองซูอิ๋งด้วยสีหน้าเรียบเฉย“จากนั้นก็สร้างเรื่องโกหกว่าได้รับอนุญาติจากตี๋ชิวเหอแล้ว โดยใช้ประโยชน์จากคำพูดที่พูดไม่หมด”
“เขาเคยเอาโทรศัพท์ของคุณไปทำเรื่องแบบนั้นเหมือนกันเหรอครับ?”
เหอไป๋รีบถามอย่างสงสัย
“ไม่ใช่เพื่อน” จุ้นเฉินพยายามระงับอารมณ์ไม่ให้กระโจนไปกระชากคนอีกคน
“ส่งไปให้ญาติของฉันซึ่งตอนนี้เรียนอยู่มัธยมเท่านั้น”
“...” ศิษย์พี่สองของเขาช่างเป็นแฟนตัวยงของดาร์วิน
อวอร์ด
“ไม่ช้าไม่เร็วเขาต้องได้รับการตอบแทนในสิ่งเขาทำแน่นอน”
เมื่อพูดจบจุ้นเฉินก็ไม่สนใจซูอิ๋งแต่เปลี่ยนมาสนใจอัลบั้มเสื้อผ้าตรงหน้าแทน
จากนั้นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ชุดของทางลิตเติ้ลเมอร์เมดก็โอเคอยู่แล้วไม่ต้องแก้ไขอะไร”
เมื่อจุ้นเฉินดึงกับมาเรื่องงานเหอไป๋ก็รีบดึงสติของตัวเองทันที
“เรื่องของเสื้อผ้าคุณไม่มีอะไรต้องแก้ไขแล้ว งั้นผมขอคุยเรื่องวันที่จะถ่ายทำปกคุณจุ้นยังยืนยันให้ผมเป็นคนถ่ายปก
MV ให้คุณอยู่หรือไม่”
ตอนนี้จุ้นเฉินยื่นข้อเสนอมาที่ลิตเติ้ลเมอร์เมดในครั้งแรก
ได้มีเพียงการยืนยันที่จะร่วมงานกันแต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่จะให้เหอไป๋ถ่ายภาพปก
MV ให้
ตัวเหอไป๋เองไม่เคยมารับกับเรื่องนี้มาก่อน ในตอนแรกที่เขาได้รับงานมาจากอาจารย์ซู
ตัวเขาเองก็ใช้เวลาตั้งนานกว่าจะได้ภาพที่น่าพอใจ ซึ่งเขาตอนนี้ถือเป็นช่างภาพมือใหม่ในสายวงการบันเทิง
โชคดีที่หลินเซี่ยได้อธิบายเรื่องนี้กับเขาฟังว่าแนวคิดเกี่ยวภาพปกทั้งสองนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
เหอไป๋ก็โล่งใจที่ตัวเขาเองย้อนกลับมาในอดีตไม่ได้ทำอะไรให้เปลี่ยนแปลงไปมาก
แต่จะโล่งใจตอนนี้มันก็เร็วเกินไป เมื่อทั้งสองตกลงระบบการทำงานอยู่จริงจังซึ่งในส่วนงานที่เหอไป๋ได้รับมอบหมายจากจุ้นเฉินสตูดิโอก็คือเหอไป๋ต้องไปถ่ายภาพปก
MV ทุกเพลงโดยมีซูอิ๋งเป็นช่างภาพอีกคน ซึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งที่เหอไป๋ไม่เข้าใจในความคิดของจุ้นเฉิน
“ไม่ต้องคิดมากฉันต้องการปก MV สองแบบมันดีกว่าไม่ใช่เหรอที่ฉันจะมีตัวเลือก บางทีฉันอาจจะไม่เลือกภาพที่นายถ่ายก็ได้
ซึ่งฉันก็ต้องขอโทษนายตั้งแต่ตอนนี้”
“ผมเข้าใจครับ มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”
เหอไป๋เอ่ยรับอย่างผ่อนคลาย หลังจากได้รับการยืนยันอย่างชัดเจนจากอีกคนเขาจึงมีรอยยิ้มที่จริงใจ
“ผมให้เกียรติในการตัดสินใจของคุณ แล้วต้องขอบคุณคุณอย่างมากที่ผมให้โอกาสผมเข้าร่วมถ่ายปก
MV ของคุณ”
การวางตัวเหมือนมืออาชีพของเหอไป๋ เมื่อฟังเนื้อหาครบถ้วนก็พร้อมที่จะเข้าใจการทำงานทันที
มันทำให้จุ้นเฉินพอใจจุ้นเฉินลุกขึ้นยืนและยืนมือออกตรงหน้า
“ยินดีที่ได้ร่วมงาน”
“เช่นเดียวกันครับ” เหอไป๋รีบลุกขึ้นยืนพร้อมจับมือจุ้นเฉิน
เมื่อเห็นซูอิ๋งที่เดินเข้ามาก็นึกเรื่องที่อีกคนพึ่งก่อเรื่อง รอยยิ้มกว้างก่อนหน้าของเหอไป๋ก็หุบทันที
เหอไป๋เดินไปหยิบโทรศัพท์แล้วพูดด้วยเสียงลอดไรฟัน “ผมจะจัดการคุณแน่ศิษย์พี่สอง”
ซูอิ๋งที่มีความผิดรีบร้อนตัวพร้อมจ้องไปทางจุ้นเฉินก็เห็นสีหน้าเยาะเย้ยจากใบหน้าของจุ้นเฉินและแผ่นหลังที่เดินออกจากห้องไม่เลียวหลังกลับมามอง
“นั้นมัน...ช่างเป็นสีหน้าที่สมบูรณ์!!!
อ๊าย!!...มันช่างเข้ากันกับชุดของเขาตอนนี้!!” ซูอิ๋งถอนหายใจอย่างมีความสุข
เหอไป๋รีบก้าวขาหนีอย่างเร่งรีบ
ไม่น่าแปลกเลยที่ซูอิ๋งจะเป็นช่างภาพที่มีชื่อเสียง...ในวงการ
จะมีใครทนต่อความชั่วร้ายของเขาได้?
บทที่ 77 มุ่งสู่เมือง
C
ในอัลบั้มเพลงของจุ้นเฉินทีทั้งหมดสิบเพลง ซึ่งเพลงหลักเป็นเพลวที่สื่อความหมายของเด็กที่แสดงความรักต่อพ่อแม่ของตัวเอง
เพลงอื่นก็ถ่ายทอดถึงความรักของคู่รักและความหวนคำนึงของคนพเนจรที่คิดถึงบ้านเกิด บทเพลงทั้งหมดเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรักหวนคำนึง
แล้วยังมีบทเพลงที่สนุกสนามของสัตว์เลี้ยงที่และเจ้าของที่ฟูฝักมันตั้งแต่แรกเกิด บทเพลงทั้งสิบเล่นวนอยู่หูของเหอไป๋ตลอดช่วงบ่าย
ซึ่งตอนนี้เขาทำเพียงปล่อยอารมณ์ไปตามบทเพลงเหล่านั้น
“อาจารย์ของฉันเคยบอกว่าน้องเล็กเป็นคนเก่งที่จับความหมายของอารมณ์และมีไอเดียแปลกใหม่
ฉันคิดว่าเขาจะสามารถถ่ายภาพปก MV ได้ตรงกับความต้องการของนาย”
ซูอิ๋งชะโงกหน้าจากด้านหลังของจุ้นเฉิน ที่ตอนนี้อีกคนยังจ้องมองไปที่เหอไป๋อยู่ในห้องออฟฟิศในหูสวมหูฟังพร้อมปล่อยตัวไปกับบทเพลง
นี้เป็นคนแรกที่ซูอิ๋งก็พูดเหมือนคนปกติได้ “ฉันเคยเห็นผลงานของเขามันตรงกับความต้องการของนาย
ฉันว่าตอนนี้นายควรปล่อยวางและพักผ่อนสักนิด”
จุ้นเฉินที่ตอนนี้ไม่ใส่ใจเสียงที่น่าหงุดหงิดที่ดังอยู่ข้างใบหูของตัวเขามีเพียงเสียงแผ่วเบาที่ลอดริมฝีปากแดงอมชมพู“ฉันก็หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น”
บทเพลงของจุ้นเฉินไปกระตุ้นความทรงจำให้เหอไป๋นึกถึงพ่อและแม่ของเขาที่เสียไปตั้งแต่เข้ายังพึ่งจะเป็นวัยรุ่น
มันทำให้อดไม่ได้จะระงับหยดน้ำตาให้ไม่ไหลออกมา เมื่อดึงตัวเองออกมาห้วงอารมณ์เศร้าได้แล้วเหอไป๋ก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องด้วยสีหน้าปกติมีเพียงดวงตาที่แดงก่ำเท่านั้นที่แสดงให้เห็นว่าก่อนหน้าเขาร้องไห้ออกมา
เมื่อก้างขาเข้าไปในห้องรับรองที่อยู่ข้างกันจุ้นเฉินไม่อยู่ในห้องแล้วมีเพียงซูอิ๋งเท่านั้นที่นั่งรออยู่บนโซฟาห้องนั่งเล่น
เมื่อเห็นว่าน้องเล็กของตัวเองกำลังเดินเข้ามาจึงมีแสดงเจ้าเล่ห์
“จูเนียร์...นายยอมให้ฉันได้ถ่ายรูปนายเถอะ
นายจะใส่กางเกงชั้นในก็ได้ฉันยอม”
เหอไป๋ชะงักตัวเขาเองก่อนหน้าอุตส่าห์ระงับอารมณ์โมโหไม่ให้กดเบอร์โทรไปหาอาจารย์ของเขา
แต่มันได้ยินอีกครั้งทำให้อารมณ์โกรธตีขึ้นในหัวใจ เหอไป๋กระชากคอเสื้อของซูอิ๋งและผลักอีกคนติดกำแพง
จากนั้นก็ยกมือที่กำกำปั้นแน่นขึ้นมาเพื่อข่มขู่ “รุ่นพี่ครับ
คุณเอาโทรศัพท์ผมไปเล่นอย่างสนุกเลยนะครับ?”
ซูอิ๋งตกใจทันทีเมื่ออีกคนจับได้
เขาจึงตบกำแพงเสียงดัง “จุ้นเฉิน!! นายขายฉัน!!!”
เหอไป๋มีรอยยิ้มดูแคลนแตะที่ริมฝีปาก ส่วนซูอิ๋งตอนนี้ทำตัวเหมือนสาวน้อยที่กำลังถูกข่มขู่
“ศิษย์น้องคิดจะทำอะไรเราทั้งสองเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน อย่าทำเรื่องไม่เหมาะสม!
มันผิดศีลธรรม!!”
“ทำไมในสมองของรุ่นพี่จึงเต็มไปด้วยเรื่องของตัณหาแบบนี้
ช่างสิ้นคิดมาก!!!” เหอไป๋รีบล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงของซูอิ๋งจากนั้นก็พิมพ์ข้อความด้วยมือซ้ายอย่างรวดเร็วเมื่อเสร็จก็โยนโทรศัพท์ให้ซูอิ๋งและตบไปที่ไหล่ของซูอิ๋งแล้วพูดอย่างสะใจ
“รุ่นพี่รู้สึกยังไงครับ เมื่อมีคนใช้โทรศัพท์ของคุณโดยไม่รับอนุญาต”
ทันทีที่พูดจบเหอไป๋ก็หันหลังเดินออกจากห้องไป
ซูอิ๋งที่หายจากอาการช็อกก็รีบเปิดข้อความอ่านทันที
ซูอิ๋ง: ท่านอาจารย์ครับ
ผมต้องการถ่ายรูปเปลือยของศิษย์น้อง อาจารย์ช่วยออกหน้าให้ได้ไหมครับ?
“ไม่นะ!! อาจารย์เขาเกลียดความสัมพันธ์คนใกล้ชิด
นายทำอย่างนี้ได้ยังไง...” ซูอิ๋งทิ้งตัวนั่งบนพื้นอย่างหมดแรงอีกมือที่ว่างก็ทุบกำแพงอย่างหนัก
และถึงห้าวินาทีก็มีสายโทรศัพท์ดังเข้ามา
หน้าจอแสดงว่าเป็นสายจากซูอิ๋นหลง
มือที่ถือโทรศัพท์สั่นไปพร้อมกันกับแรงสั่นของโทรศัพท์ตอนนี้
หน้าผากของซูอิ๋งเต็มไปด้วยเหงื่อที่เย็นอย่างน้ำแข็งเขารีบลุกขึ้นเดินวนไปมารอบห้องอย่างคนเสียสติ
“จริงด้วยครับรุ่นพี่...” เหอไป๋โผล่หน้าเข้ามาจากประตูพร้อมรอยยิ้ม “เมื่อกี้ผมส่งข้อความไปให้อาจารย์ด้วย
เพื่อบอกว่ารุ่นพี่รับงานนี้ก็เพื่อตื้อให้จุ้นเฉินเป็นนายแบบให้ ช่างน่าเสียดายจริงๆที่ตอนนี้รุ่นพี่จะต้องถูกทำโทษ
ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
“อะไรนะ! นายทำเรื่องโง่ๆแบบนั้นลงไปได้ยังไง”
ซูอิ๋งลนลานตัวเขาตอนนี้เหมือนนอนในหลุมแล้วมีคนค่อยๆเอาดินกลบหน้า เมื่อสิ้นเสียงของเหอไป๋ก็มีเสียงโทรศัพท์จากสายที่ตัวเขาเองหวาดกลัวที่สุดเข้ามา
‘ซูกุ้ยเทียน’ ศิษย์พี่ใหญ่ของเขา
“ฮัลโหล..ไม่ๆๆนะ พี่ใหญ่ฟังผมอธิบายก่อน..ไม่.ไม่จริงนะผมไม่ได้ไปบังคับให้ใครถ่ายรูปเปลือย..ได้โปรดผม!
ผมยอมแล้ว!! ผมจะทำตัวใหม่ให้โอกาสผมเถอะครับพี่ใหญ่!!!”
เหอไป๋ที่เดินตามพนักงานของสตูดิโอเพื่อเดินไปหาจุ้นเฉินที่อยู่ชั้นสอง
พื้นที่ตรงนั้นจัดเหมือนเป็นมุมพักผ่อน จุ้นเฉินนอนทอดร่างตัวเองบนเก้าอี้หวาย มีแสงแดดที่ลอดจากแมกไม้สาดทอดบนเรือนร่างพร้อมกับสายลมเบาของปลายฤดูใบไม้ร่วง
เหอไป๋หันไปขอบคุณพนักงานสาวที่มาส่งเสียงเบา
จากนั้นก็มองไปที่จุ้นเฉินที่นอนหลับตาสนิทเหมือนคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงความฝัน บนโต๊ะเตี้ยด้านหน้าเต็มไปด้วยรูปภาพเก่าที่สีซีด
เหอไป๋อดไม่ได้ที่จะยกกล้องขึ้นมาเพื่อถ่ายรูป มันช่างเป็นการจัดวางองค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบมาก
แซ๊ะ!
ดวงตาเรียวของจุ้นเฉินลืมขึ้นเหมือนสัมผัสได้ถึงเสียงรบกวน
มันเหมือนเป็นเสียงกระดิ่งเพื่อดึงให้ตัวเขาเองกลับสู่โลกความจริง เหอไป๋จึงขึ้นอย่างขอโทษจุ้นเฉินที่เข้ามารบกวนเวลาพักผ่อน
จากนั้นก็ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกันมือนิ้วเล็กของเหอไป๋หยิบรูปภาพเก่าที่ขึ้นมาดู
“ในรูปนี้คือใครเหรอครับ”
จุ้นเฉินมองการกระทำของเหอไป๋อย่างไม่ถือสา
ตัวเขาเองมีรอยยิ้มผ่อนคลาย “พ่อและแม่ของฉันเอง”
“พ่อแม่ของคุณ?” เหอไป๋ถามอย่างสงสัยเพราะในรูปมีเพียงหญิงสาวคนเดียว
“รูปนี้พ่อของฉันเป็นคนถ่าย” จุ้นเฉินมีรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความโหยหา “บ้านเกิดของฉันอยู่บนภูเขาสูง
ทุกเย็นแม่ของฉันชอบไปเดินเล่นบนภูเขา เธอบอกว่าเป็นการย่อยอาหารอย่างดีจึงทำให้พ่อของฉันต้องตามแม่ไปด้วยเพราะกลัวว่าเธอจะบาดเจ็บ
วันที่ถ่ายรูปนี้พ่อของฉันไปของยืมกล้องจากเพื่อนข้างบ้านเพื่อที่จะถ่ายรูปนี้ แต่ก็...เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดดินภูเขาถล่ม”
เหอไป๋ก้มมองหญิงสาวที่อยู่ในรูปอีกครั้ง เธอสวมกระโปรงเดรสยาวสีชมพูอ่อนซึ่งตอนนี้เธอกำลังก้มเก็บดอกไม้ป่าดอกเล็กที่อยู่ริมทาง
เบื้องหลังของเธอมีท้องฟ้าที่มืดครึ้ม มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเหอไป๋สงสารจุ้นเฉินขึ้นมาทันที
“ตอนที่ฉันเรื่องอยู่ต่างประเทศฉันคิดถึงพวกท่านมาก...พวกท่านจึงต้องการถ่ายรูปนี้ส่งมาให้ฉัน
ท่านทั้งสองจึงตัดสินใจขึ้นไปบนภูเขาในวันนั้นเพื่อถ่ายรูปส่งมาให้ฉัน” เสียงที่พูดออกมาเรื่อยๆแต่แฝงไปด้วยการโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุของเรื่อง
“เพื่อให้ได้รูปที่สวยที่สุด แม่ถึงขนาดหยิบชุดเก่งขึ้นมาใส่และบอกให้พ่อไปขอยืนกล้องมา...”
เหอไป๋จ้องมองจุ้นเฉินที่ตอนนี้ใบหน้ามีแต่ความเสียใจและกล่าวโทษตัวเองที่อยู่ในมุมมืดมีเพียงแสงแดดที่ลอดผ่านกระทบใบหน้าขาวนั้น
มันเต็มไปด้วยมนต์ขลัง เหอไป๋นึกเปรียบเทียบกับตัวเองที่เหมือนตัวเขาท้อแท้หรือเหนื่อยจะเอาข้อความเก่าๆของพ่อและแม่ขึ้นมาอ่าน
จุ้นเฉินที่ตอนนี้ยังเงียบเขาทำเพียงเงยหน้ามองท้องฟ้าที่พระอาทิตย์กำลังจะตกลง
เหอไป๋จึงตัดสินใจพูดขึ้นอย่างร้อนรน “ไปหาพวกท่านไหม”
จุ้นเฉินถามขึ้นอย่างสงสัย “นายหมายความว่ายังไง”
“พ่อแม่ของคุณฝังอยู่ที่ไหน?”
“พวกท่านฝังอยู่บนเนินเขาที่บ้านเกิดฉัน
พวกท่านรักที่นั้นมาก...”
เหอไป๋รีบเก็บรูปภาพที่กระจายให้อีกคน
ระหว่างนั้นก็เงยหน้าถามขึ้น “บ้านเกิดคุณอยู่เมือง C
ใช่ไหม?”
บทที่ 78 ใส่ร้าย
แม้ว่าจุ้นเฉินจะงงกับคำชวนของเหอไป๋แต่ก็น้ำอีกคนด้วยน้ำเสียงที่ลังเล
“ตอนนี้เลยเหรอ? ไฟท์บินคงไม่มีแล้ว แต่ถ้าเป็นรถไฟความเร็วสูงก็คงยังพอมีในตอนนี้...”
“ดีเลย! งั้นเราไปซื้อตั๋วกัน” เหอไป๋รีบเก็บรูปที่กระจายเต็มโต๊ะและยัดใส่มือของจุ้นเฉินพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างตื่นเต้น“แม้จะไม่มีเที่ยวบินแต่เราทั้งคู่สามารถนั่งรถไฟไปเยี่ยมพ่อแม่ของคุณได้”
ใจของจุ้นเฉินกระตุกเขาจ้องมองรูปภาพของในมือของตัวเอง
อารมณ์ของเขาตอนนี้ตีพันกันยุ่งเหยิงมันทั้งมีความสำนึกผิดพร้อมโทษตัวเองซึ่งเป็นบาดแผลลึกอยู่ในจิตใจของเขามาตลอด
“ตกลง...” จุ้นเฉินรีบพยักหน้าและจับมือของเหอไป๋พร้อมเงยหน้าแสดงให้เห็นถึงดวงตาที่แดงก่ำ
“ผมอยากไปหาพวกท่าน เรานั่งรถไฟไปกัน”
ตอนนี้ตัวจุ้นเฉินไม่สนใจถึงว่างานที่สตูดิโอยังไม่เสร็จหรือแม้แต่จะต้องโดดเรียนในเช้าวันถัดไป
ทั้งคู่เพียงแค่ขับรถไปที่สถานีรถไฟเพื่อซื้อตั๋วเที่ยวสุดท้ายมุ่งสู่เมือง
C
ช่วงเวลาที่รถไฟแล่นมันช่างช้าและบั้นทอนร่างกายสำหรับการเดินทางหลายชั่วโมง
แต่กับกันจุ้นเฉินมันเป็นช่วงเวลาที่ใจของเขาสงบได้ตลอดปีหลายที่ผ่านมา เขานั่งไล่เปิดดูอัมบั้ลรูปเก่าของพ่อแม่
ทำให้ตัวเขาเองจมอยู่ห้วงความสุขและโหยหาความอบอุ่นในตอนนั้น
ส่วนเหอไป๋ก็ทำเพียงเสียบหูฟังและยกกล่องขึ้นถ่ายเป็นบางครั้ง
เหอไป๋ทำตัวเหมือนเป็นคนนอกที่มีโอกาสได้นั่งรถไฟร่วมทางกับจุ้นเฉิน
เมื่อออกจากชานชาลาทั้งคู่ก็ตัดสินใจเรียกรถแท็กซี่เพื่อมุ่งต่อไปยังจุดหมาย
จุ้นเฉินยังใช้โอกาสนั้นแวะร้านดอกไม้เพื่อซื้อช่อดอกไม้ช่อใหญ่แต่เมื่อรถจอดที่ตีนเขาจุ้นเฉินกับยัดช่อดอกไม้นั้นไว้ในอ้อมแขนของเหอไป่
ส่วนตัวเองก้มตัวเก็บดอกไม้ป่าดอกเล็กๆที่บานสะพรั่งอยู่ระหว่างทาง
จุ้นเฉินที่ตอนนี้ก้มเก็บดอกไม้ด้วยท่าทางเงอะงะ
ก็พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “แม่ผมชอบดอกไม้นี้มากกว่า”
บรรยากาศยามเช้าตรู่บนภูเขาเต็มไปด้วยความสดชื่นของธรรมชาติ
คนทั้งสองเดินเรื่อยๆมาหยุดอยู่หน้าหลุมศพทั้งสองที่เคียงกัน บริเวณรอบหลุมศพถูกดูแลอย่างดีไม่มีแม้แต่ญาติสักต้นแสดงถึงความใส่ใจจากคนที่จุ้นเฉินจ้างให้มาดูแล
จุ้นเฉินที่ยืนอยู่หน้าหลุมศพก็แสดงออกถึงความกังวลเขารีบจัดระเบียบเสื้อผ้าและทรงผ้าให้เข้าที่
จากนั้นก็ค่อยๆนั่งยองๆพร้อมกอดช่อดอกไม้ที่อยู่ในอ้อมแขนแน่น
เหอไป่หลบตัวเองอยู่ในมุมที่เงียบสงบเพื่อไม่เป็นการไปรบกวนช่วงเวลาของครอบครัว
มันเป็นเช้าที่มีหมอกหนาและหยดน้ำค้างที่เกล็ดแก้วเกาะอยู่บนยอดหญ้า
จุ้นเฉินทิ้งความเป็นตัวตนก่อนหน้าที่ทั้งหยิ่งและเป็นผู้ใหญ่กว่าวัยกับสู่เด็กหนุ่มที่ออดอ้อนพ่อแม่ของตน
มันเหมือนเป็นจุดเซพโซนของจุ้นเฉิน ริมฝีปากบางสวยก็ขยับเหมือนกระซิบคุยกับคนตรงหน้า
และเหมือนตัดสินใจได้ก็วางช่อดอกไม้ลงจากนั้นก็ยืนอยู่กับที่
มันเป็นช่วงเวลาที่แสงอาทิตย์แรกของวันสาดส่องผ่านแมกไม้ทะลุหมอกสีขาวส่องตรงมาที่หลุมศพและเรือนร่างของจุ้นเฉินที่ยืนนิ่ง
แซ๊ะ! ช่างเป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบ
ใบหน้าที่พระเจ้าสรรสร้างของจุ้นเฉินนั้นเหมือนกับถอดแบบออกจากภาพของหญิงสาวที่อยู่ในรูป
เธอคนนั้นสวมชุดเดรสสีชมพูที่เป็นชุดเก่งของเธอ ใบหน้าของหญิงสาวในรูปแสดงถึงความรักและคิดถึงต่อลูกน้อยมันเป็นความรู้สึกของพ่อแม่ที่อบอวลไปด้วยความรักและห่วงใยแต่ลูกน้อยของคนทั้งสอง
เหอไป่ที่ยืนอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่รับลมเย็นในช่วงเช้า
เขาตัดสินใจปล่อยกล้องลงและเดินเอาช่อดอกไม้ที่จุ้นเฉินซื้อเตรียมก่อนหน้ามาวางไว้หน้าหลุมวางเคียงกันกับช่อดอกไม้ป่าของจุ้นเฉิน
และถอยหลังกับไปยืนอยู่ที่จุดเดิมเพื่อค่อยเก็บภาพจุ้นเฉินที่ตอนนี้หยิบเฮอร์โมนิก้ามาแนบริมฝีปาก
ทั้งคู่ใช้เวลาบนนั้นจนถึงบ่ายสองถึงตัดสินใจเดินลงจากภูเขา
จุ้นเฉินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเครื่อง และเสียงดังที่แจ้งเตือนขึ้นมารัวๆ เหมือนกับระฆังเตือนให้ทั้งสองกับสู่ความเป็นจริง
จุ้นเฉินยังไม่ทันได้อ่านข้อความก็มีสายเรียกเข้าจากผู้จัดการของตัวเองเข้ามา จุ้นเฉินรับสายก็พบกับเสียงดุที่ลอดออกมา
ทั้งคู่มองหน้ากันและพุ่งตรงไปที่สนามบินเพื่อกลับสู่เมือง B
ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มที่เหอไป่เซฟงานที่เขารีทัสภาพของจุ้นเฉินเสร็จ
ภาพที่โชว์บนหน้าจอคอมเป็นภาพชายหนุ่มที่ยืนโดดเดียวอยู่ใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องให้เห็นถึงสีหน้าที่ทอดอารมณ์ไปกับการเปาเฮอร์โมนิก้ารอบตัวชายหนุ่มมีฝูงผีเสื้อบินรอบตัวเหมือนเต้นระบำไปพร้อมกับบทเพลง
เหอไป่ส่งไฟล์รูปไปทางอีเมล์ของจุ้นเฉินเพียงสิบนาทีก็ได้ข้อความตอบกับมา
“ขอบคุณ”
มันเป็นประโยคสั้นที่เต็มไปด้วยความจริงใจและการยอมรับ
สำหรับเหอไป่ตอนนี้ก็รู้สึกได้จากส่วนลึกของจิตใจว่าจุ้นเฉินยอมรับในฝีมือของตนเองแล้ว
แต่ก็ต้องสะดุ้งเกือบตกเก้าอี้เมื่อได้ยินเสียงโวยวายมาจากทางประตู มันเป็นเสียงของเพื่อนร่วมห้องเขาเอง
“เสี่ยวไป่! นายมันบ้าไปแล้ว!! วันนี้นายบังอาจโดดเรียน”
หนิงจวินเจี๋ยรีบตรงมาหาเหอไป่และจับที่ไหล่ของเหอไป่แน่นพร้อมเขย่าไปมา
“นายรู้ไหมว่ามีความสร้างกระทู้มาต่อว่านายอยู่? แล้ววันนี้นายกลับโดดเรียนมันยิ่งเป็นเชื้อไฟว่านายเป็นเด็กเส้น แม้ในกระทู้ไม่ได้ระบุชื่อของนายแต่ทุกคนที่อ่านก็เหมือนจะรู้ว่านายเป็นคนในกระทู้”
หวังหู่ขมวดคิ้วแน่นสีหน้าเต็มไปด้วยความโมโห
“ต้องเป็นเพื่อนในชั้นเรียนของเราที่เป็นคนสร้างกระทู้นี้ขึ้นมาข้อความที่พิมพ์ชี้ชัดว่ารู้จักเสี่ยวไป่เป็นอย่างดี
มันแทบจะเป็นศูนย์ที่กระทู้นี้สร้างจากคนนอก”
เฉินเจี๋ยพูดอย่างวิเคราะห์
“มันมีการอ้างอิงถึงประเด็นการได้รับทุนของเสี่ยวไป่ ซึ่งเป็นไปได้ว่าต้องเป็นเฮ้งเหว่ยเพราะเขาเป็นคนเดียวที่ไม่ได้รับทุน”
“ฉันรู้ว่าต้องเป็นไอลูกหมาตัวนั้นแน่นอน!”
หนิงจวินเจี๋ยรีบปล่อยไหล่เหอไป่พร้อมถลกเสื้อขึ้นด้วยอาการโกธร
“มันเต่าล้านปี แม่ง...มันช่างเป็นขยะไร้ค่า ฉันจะไปจัดการมัน....”
หวังหู่รีบปลอบให้อีกคนเย็นลง “ใจเย็นน่า เดียวก็ถูกกับคำหาว่าเราเป็นคนหาเรื่องมันก่อน”
เฉินเจี๋ยรีบพูดย้ำ
“เหล่าซานใจเย็นก่อน มันไม่ฉลาดเลยที่จะลุยตอนนี้มันจะดีกว่าที่เราต้องตั้งสติและหาวิธีรับมือให้ดูเหมือนเราเป็นผู้บริสุทธิ์
ถ้าเราลงมือก่อนมันจะกับกลายว่าเราเป็นคนผิดในเรื่องนี้ เพื่อนที่เรียนชั้นเดียวกันก็รู้จักนิสัยของเสี่ยวไป่ดี
ไม่มีใครหรอกที่จะหลงเชื่อไปกับกระทู้ไร้สาระแบบนั้น มีเพียงคนในโซเซี่ยลเท่านั้นเหละที่จะเต้นตามเพราะไม่รู้จักนิสัยของเสี่ยวไป่”
เหอไป่ที่ยืนเงียบตลอดเวลาก็ประมวลสมองทันเรื่องราวที่เพื่อนทั้งสามพูด
ก็ถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “เฮ้งเหว่ยใส่ร้ายฉันในโซเซี่ยลเหรอ?
เกิดขึ้นเมื่อไร!!”
บทที่ 79 แก้ปม
ทั้งสามเหมือนเวลาหยุดเดินเมื่อตะหนักได้ถึงสีหน้าสงสัยของเหอไป่ที่ฉายชัดเต็มใบหน้า
ทั้งสามอดไม่ได้ที่จะพุ่งความโกรธไปยังเหอไป่ “นายรู้ไหมเสี่ยวไป่พวกเราทั้งหมดใช้สมองไปกับการหาวิธีช่วยนายรับมือ
เพราะคิดว่านายเครียดจึงโดดเรียน แต่นายกับ...” หนิงจวินเจี๋ยเขย่าตัวเหอไป่อย่างรุนแรง
“นายมันช่าง! เอาความเป็นห่วงของพวกฉันคืนมาเดียวนี้”
เหอไป่รีบหลบหนีมือหนาที่บ้าคลั่งที่ตอนนี้เขย่าเขาไม่หยุด
ส่วนอีกมือก็ล้วงไปที่กระเป๋าเพื่อเปิดโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่ทันตั้งตัวเสียงแจ้งเตือนก็ดังรัวขึ้นมาไม่หยุด
“ทำไมถึงมีการแจ้งเตือนเยอะแบบนี้”
ทั้งสองมองหน้ากันเมื่อเห็นอาการของน้องเล็กที่มองโทรศัพท์แล้วยังถามพวกเขากับด้วยความสงสัยอีก
น้องเล็กของเขาหายไปทั้งคืนโดยไม่มีแม้แต่ข้อความบอกเขาสักคน แต่พอมาตอนเช้ายังโดดเรียนอีกและตอนนี้กับมาถามพวกเขา...เส้นความอดทนของทั้งสองขาดพึงทันที
ทั้งสองร่วมวงกับหนิงจวินเจี๋ยผลักเหอไป่ลงพื้นแล้วเริ่มทุบตีน้องเล็กทันที
ช่างเป็นคนแก่ที่น่ารำคาญ!
น้องเล็กเป็นชายแก่ที่บ้างาน ไม่สนว่าตัวเองต้องโดดเรียน!!
เป็นเวลาเกือบสิบนาทีที่การทุบตีเบาลง เหอไป่รีบหนีจากสงครามไปซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำ
สิ่งแรกที่ทำคือส่งข้อความหาอาจารย์ซูทันทีถึงเหตุผลว่าทำไมวันนี้เขาจึงโดดเรียน แล้วจึงไล่ดูข้อความและรายการสายที่ไม่ได้รับ
ก็ถอนหายใจเสียงดังมันมีทั้งจากเพื่อนร่วมห้องและตี๋ชิวเหอ ในที่สุดเหอไป่ก็กดไปที่เบอร์ที่ขึ้นล่าสุดอย่างอ่อนล้า
ตี๋ชิวเหอ!
“ในที่สุดก็โทรมาได้?” อีกฝั่งรับสายมันทีเขาไม่ทันได้ยินเสียงสัญญาณดังสักตื้ดเดียว..
“ติดต่อนายไม่ได้ตลอดทั้งคืน..” โทนเสียงที่พูดออกมาเหมือนกำลังคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ ทั้งราบเรียบไม่มีอารมณ์โกรธมันเป็นโทนเสียงที่มีเสน่ห์น่าดึงดูด
ถ้าไม่จับเนื้อหาก็ไม่รู้ว่าคนที่พูดโกรธมากขนาดไหน...
“เอ่อคือว่า...” เหอไป่พูดเสียงอ้อมแอมเพื่ออธิบายเหตุผลให้อีกคน
“เมื่อวานงานผมยุ่งมากอีกอย่างโทรศัพท์ผมก็เก็บไว้ในกระเป๋าเป้ จึงทำให้...”
“Saint Elephant” มีคำพูดขัดขึ้นมา
เหอไป่ถามอย่างตกใจ “อะไรนะครับ?” เพราะอะไรตี๋ชิวเหอถึงพูดถึง Saint
Elephant ?
“คนที่ใส่ร้ายนายคือเฮ่งเหว่ย เขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของนาย
และจินเฉิงที่เป็นเจ้าของ Saint Elephant เป็นคนอยู่เบื้องหลังเพิ่มเชื้อไฟทำให้ข่าวลือกระพืบขึ้นไม่หยุด
แต่นี้เป็นขั้นแรกจินเฉิงกำลังให้พนักงานสาวที่ทำงานในสตูดิโอออกมาบอกว่าเธอถูกนายลวนลามในตอนที่นายทำงานอยู่ที่นั้น
ทั้งหมดนี้คงเพราะต้องการฝังนายให้จมดิน”
เหอไป่ตกใจ ตัวเขาเองก็ออกจากที่นานก็ตั้งนาน?
ทำไมเจ้าของสตูดิโอที่เขาไม่เคยเจอถึงจงเกลียดจงชังเขามากขนาดนี้ เพราะอะไร?
หรือจะเป็นตอนตระกูลเจี๋ย
“หลิวฮวนฮวนตอนแรกต้องการจะกระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย
แต่ผมให้ซิ่วเหวิ่นเตือนเธอแล้วเธอจึงไม่กล้าแน่นอน” ตี๋ชิวเหอพูดต่อไปเรื่อยๆ
“เสี่ยวไป่นายบอกให้ผมตั้งใจถ่ายหนัง ผมก็เชื่อฟัง!
นายบอกไม่ให้ผมส่งของมาให้ ผมก็เชื่อฟัง! แต่กับกันคำขอของผมต้องการให้นายเป็นเด็กดีอยู่ที่เมือง
B เงียบๆ แต่นายยังกล้า! นายเก่งมากที่ทำให้ผมโกรธได้ขนาดนี้!!
หมาน้อยนายฟังกล้ามาก!!!”
“เฮ้...? เดียวตี๋ชิว...”
“ตู๊ด.ตู๊ด..ตู๊ด...”
เหอไป่จ้องมองหน้าจอมือถือด้วยอาการช็อกและนึกย้อนถึงสีหน้าของตี๋ชิวเหอตอนนี้ที่คงจะ...มันเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวมาก
“ให้ตายเถอะ! เด็กชายตี๋โกรธมาก มันเป็นวันมหาวิบัติของฉันหรือยังไง!!!”
จากนั้นก็มีเสียงตะโกนจากด้านข้างนอก
“เสี่ยวไป่นายท้องผูกเหรอ? นายเข้าไปนานมาก ต้องการยาไหมเดียวไปซื้อให้?” หนิงจวินเจี๋ยพูดจากนอกห้องน้ำด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเหมือนพ่อแม่ที่กำลังเสียใจหลังจากลงโทษลูกที่ดื้อแล้วต้องการทำแผล
“เสี่ยวไป่เราจะไม่ทำโทษเรื่องที่นายทำตัวแย่เมื่อวานนี้แล้ว เราทุกคนเป็นห่วงนายเรื่องข่าวลือบ้าๆ
แต่ยังไงมันก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือ ไม่ว่ายังไงเราก็อยู่ข้างนายนะ ออกมาเถอะ”
อยู่ดีๆเหอไป่ก็รู้สึกอบอุ่นที่หัวใจ เหอไป่ไม่ตอบแต่เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงและเดินออกจากห้องน้ำ
จ้องมองใบหน้าของเพื่อนร่วมห้องทั้งสามด้วยความเสียใจ
“ฉันขอโทษที่ทำให้พวกนายกังวล แต่เรื่องข่าวลือนั้นฉันมีวิธีรับมือกับมันแล้ว”
“อ่า..?” หนิงจวินเจี๋ยร้องเสียงสูงแล้วรีบถามอย่างร้อนใจ
“ยังไง? นายมีความคิดอะไรดีๆ”
เหอไป่พยักหน้าและยกกำปั้นอย่างเยาะเย้ย
“ค่อนข้างเด็ด” ทั้งเฮ่งเหว่ยและ Saint
Elephant นายกำลังเล่นกับไฟ ค่อยดูว่ามันจะกลับไปลวกมือของนายเอง
เหอไป่รีบตรงไปเปิดคอมเพื่อเข้าระบบของมหาลัยจากนั้นก็เข้าไปหน้าผลการเรียนของตัวเองพร้อมแค๊ปหน้าจอไว้
เมื่อเสร็จก็เข้าอีเมล์เพื่อหาประวัติชิ้นงานทั้งหมดที่ทำให้ Saint
Elephant แล้วก็แค๊ปไว้ทั้งหมด จากนั้นก็พุ่งตัวไปที่โทรศัพท์กดเข้าที่กล่องข้อความที่แจ้งรายการการรับโอนเงินที่ได้มาจาก
Saint Elephant และอย่างสุดท้ายเขาเข้าไปที่อีเมล์ชิ้นงานที่ทำงานให้อาจารย์ซูจากนั้นเบลอภาพบางส่วนที่ไม่เกี่ยวข้อง
เพื่อนร่วมห้องทั้งสามมองการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วด้วยอาการอ้าปากค้าง
“มีหัวข้อข่าวลืออะไรบ้างนอกจากผลการเรียนและเรื่องของทุนมันเป็นกลั่นแกล้งของเด็กประถม”
เหอไป่เข้าบัญชีเวยป๋อของตัวเองและมองข้ามคอมเม้นท์ทั้งหมดจากนั้นก็อัพโหลดรูปทีละรูป
และหันมามองเพื่อนร่วมห้อง
“กลั่นแกล้งเพื่อนนักเรียนด้วยกัน?”
หนิงจวินเจี๋ยตอบด้วยสมองว่างเปล่า
หวังหู่ก็เสริมอย่างเลื่อนลอย “ดูถูกเพื่อนร่วมชั้นว่าเป็นคนจน”
เฉินเจี๋ยก็ยกแว่นขึ้น “ไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมและทำเรื่องผลศีลธรรม
นอกจากนั้นเรื่องที่นายโดดเรียน”
เหอไป่ก็พยักหน้าจากนั้นก็ฮัมเพลงในลำคอ
“เฮ้งเหว่ยช่างสิ้นคิด! ไม่มีใครไม่เคยได้รับโอกาสให้แก้ชิ้นงานเพื่อเกรดตัวเอง
ตัวเขาแก้ชิ้นงานถึงสองครั้ง อีกอย่างเรื่องทุนก็ต้องถูกประเมินจากเหล่าอาจารย์ฉันจะไปแย่งชิงจากเขาได้ยังไงเฮ่งเหว่ยคงลืมถึงคำตักเตือนก่อนหน้าของอาจารย์ที่ปรึกษา
เป็นเด็กอมมือแท้ๆไม่รู้ตัวเองเลยว่าทำไมถึงไม่ได้ทุน”
“ประเด็นที่ชาวโซเซี่ยลสนใจไม่ใช่เรื่องเกรดของนายอย่างเดียวแต่เป็นเรื่องนาย
เอ่อ...ใช้ตัวเพื่อกรุยทาง” เฉินเจี๋ยขมวดคิ้วแน่น “นายทำงานเป็นช่างรีทัสให้ Saint Elephant ไม่กี่เดือนก็ได้ไปช่องภาพให้กับยี่คัง
แล้วยังพูดถึงหัวหน้าทั้งสองของนายเป็นหญิงสาว ดังนั้นเฮ้งเหว่ย...”
“ทำไมในสมองถึงมีเรื่องสกปรกแบบนั้น”
เหอไป่กลับไปแก้ข้อความที่เขาจะโพสต์ใหม่จากนั้นก็คลิกโพตส์มันทันทีพร้อมรอยยิ้มส่งให้เพื่อนร่วมห้องทั้งสาม
“เรียบร้อย ไปหาอะไรตอนดึกกันเถอะ? ฉันเลี้ยงเอง..”
ทั้งหมดมองหน้ากันแล้วพยักหน้าพร้อมหยุดความคิดเกี่ยวกับเรื่องข่าวลือที่น่ารำคาญ
“แน่นอนบาร์บีคิวหรือเคบับดี?”
ในระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟเหอไป่ยังส่งข้อความให้ตี๋ชิวเหอหลายครั้ง
แต่ไม่มีข้อความตอบกลับ ตอนแรกเขาตั้งใจจะโทรหาก็กลัวว่าจะไปกวนตอนที่อีกคนกำลังถ่ายหนัง
ทำไมถึงกังวลแบบนี้ นี้เป็นครั้งแรกตลอดสองชีวิตที่ผ่านมาที่ทำให้กระวนกระวายได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า..ตอนนี้ประเด็นย้อนกับไปเล่นงานเฮ้งเหว่ยนี้ผ่านไปแค่ชั่วโมงเดียวเอง!
สมน้ำหน้า!!” หนิงจวินเจี๋ยหัวเราะเสียงดังพร้อมยกมือตงต้นขาเกือบทำให้จานบาร์บีคิวคว่ำ
“เสี่ยวไป่นายมันอัจฉริยะ! ทันทีที่ทุกคนเห็นภาพงานและเงินที่นายได้รับทั้งหมดก็ตกใจ
พวกเขาแสดงออกถึงความเห็นใจที่นายทำงานอย่างหนักก่อนที่จะมีคนมาช่วยสนับสนุนนาย”
เหอไป่ขยับตัวห่างจากหนิงจวินเจี๋ยพร้อมปิดหน้าจอโทรศัพท์จากนั้นก็เทน้ำส้มใส่แก้ว
“ดื่มหน่อยเพื่อให้ใจเย็น”
หนิงจวินเจี๋ยไม่ใส่ใจเขาเองยังอ่านหน้าเว็บต่อ
มันยิ่งทำให้เขาชอบใจยิ่งกว่าเดิมเมื่ออ่านข้อความถัดไป “ฮ่าฮ่าฮ่า มีคนพิมพ์ตอบโต้เฮ้งเหว่ยว่าอาจารย์ที่ปรึกษาต้องการคุยกับเขาในวันพรุ่งนี้”
“ปล่อยไปเถอะ” หวังหู่ตบที่ไหล่ของเหอไป่เบาๆและเลื่อนจานบาร์บีคิวให้อยู่ด้านในโต๊ะ
“เขาเก็บกดมาทั้งวัน ฉันกลัวว่าเขาจะต่อยเฮ้งเหว่ยถ้าเราไม่ปล่อยเขาไปตอนนี้”
“เขาสมควรได้รับมัน! ไม่นานนี้หรอกฉันจะไปเตะตูดมัน”
เงยหน้าตอบจากนั้นก็กับไปจ้องหน้าจอ “ฮ่าฮ่าฮ่า
คอมเม้นท์นี้พูดถูก! เหอไป่เหมาะแล้วที่จะได้รับค่าตอบแทนและการที่เหอไป่แต่งตัวดีก็เพราะเขาทำให้กับห้องเสื้อแฟชั่นผิดหรือที่เขาจะใส่เสื้อมีราคา?
มีแต่คนที่ค่อยอิจฉาคนอื่นอย่างเฮ้งเหว่ยที่มาซุบซิบเรื่องเพื่อนร่วมชั้น!
เขาช่างเป็นนักแต่งเรื่องตอนนี้เขาได้รับผลตอบแทนโดยการสูญเสียจุดยืนในมหาลัย”
เหอไป่มองที่โทรศัพท์และเลื่อนจานขนมไปให้เหล่าซาน
เขารู้สึกอบอุ่นเมื่อเห็นสิ่งที่เพื่อนรักของเขาทำให้กับตัวเขาเอง
การถ่ายทำของตี๋ชิวเหอก็เสร็จสิ้นในวันนี้ เขารับโทรศัพท์ส่วนตัวของตัวเองจากหวังป๋ออี้ระหว่างทางที่กลับห้องพัก
มือซ้ายกำลังจับลูกบิดมือขวาก็กดหน้าจอโทรศัพท์โชว์ให้เห็นข้อความเกือบยี่สิบข้อความที่ส่งมาจากเหอไป่
เฮ้ย!! มันไม่เคยเกิดแบบนี้มาก่อน! พระเจ้ามันน่าเหลือเชื่อ!! เป็นไปได้ยังไง!!!
มือที่จับลูกบิดนิ่งค้างเหมือนถูกแช่แข็งมันชาจนไม่สามารถขยับได้เป็นนาที
“นายน้อยครับ?” หวังป๋ออี้ที่กำลังเข้าที่ห้องที่อยู่ติดกันเอ่ยเรียกเมื่อเห็นร่างนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่นานจึงเอ่ยเตือนอีกคนอย่างเป็นห่วง
“นายน้อยควรพักผ่อนนะครับ
เพราะพรุ่งนี้เราต้องขึ้นเครื่องไปที่เมือง D นะครับ”
ตี๋ชิวเหอก็รู้สึกตัวเหมือนหลุดจากภวังค์ เขาจ้องไปที่ใบหน้าของหวังป๋ออี้ด้วยสีหน้าที่อธิบายไม่ถูกพร้อมกับพยักหน้ารับรู้และเปิดประตูด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ
ปัง!!
ประตูห้องข้างๆก็ปิดสนิท
หวังป๋ออี้ขมวดคิ้วแน่น
เมื่อกี้เขาเห็นเหมือนนายน้อยตี๋..ที่กำลังหลุดจากการวางมาด?
บทที่ 80 ไม่มีอีกแล้วครับ
ตี๋ชิวเหอหลังจากปิดประตูได้ก็ทรุดตัวลงนั่งพิงประตู
เขานั่งไล่อ่านข้อความอย่างมีความสุข
เหอไป่: คุณโกรธจริงเหรอ?
เหอไป่: ขอโทษนะครับที่ทำให้คุณเป็นห่วง
เหอไป่: ผมทำงานยุ่งทั้งวัน
จึงตั้งโทรศัพท์สั่นไว้และใส่มันในกระเป๋าเป้ จึงไม่เห็นว่าคุณส่งข้อความมา
เหอไป่: แล้วเรื่องที่ผมโดดเรียนวันนี้ผมไปทำธุระที่เมือง
C
กับลูกค้า
....
เหอไป่: เรื่องในโซเซี่ยลผมจัดการแล้วครับ
ขอบคุณที่สืบข้อมูลมาให้ผม
...
เหอไป่: คุณยังถ่ายหนังอยู่เหรอ?
พักผ่อนบ้างนะครับ
ตี๋ชิวเหอที่นั่งอ่านข้อความทั้งหมดทั้งหมด สีหน้าก็ดีขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่าเจ้าลูกหมารับรู้ถึงความห่วงใยของเขาและยังยอมรับผิด
ตี๋ชิวเหอเดินฮัมเพลงอย่างมีความสุขเขาเดินไปเปิดไฟห้องและเดินไปที่เตียงนอนทิ้งตัวบนหมอนจากนั้นก็พิมพ์ข้อความอย่างมีความสุข
ตี๋ชิวเหอ: งานของผมพึ่งเสร็จ
พรุ่งนี้ผมต้องบินไปถ่ายหนังที่เมือง D ต่อ หมาน้อยของผม
ผมดีใจนะที่นายรู้ถึงความผิดของตัวเอง เป็นเด็กดีมาก หรือผมจะ...
แต่ไม่ทันได้กดส่งก็มีเสียงข้อความโทรศัพท์ดังขึ้นมาก่อน
นิ้วหยุดพิมพ์ทันทีเปลี่ยนมาอ่านข้อความแทน
เหอไป่: คุณเงียบจังเลย คุณโกรธจริงเหรอ?
เหอไป่: ผมจำได้ว่าคุณบอกจะไปเมือง D
ผมมีวันหยุดสองสามวัน จะให้ผมไปหาคุณไหม?
ข้อความล่าสุดที่ส่งมาให้ตี๋ชิวเหอยืดตัวขึ้นพร้อมตัดสินใจลบความที่พิมพ์เปลี่ยนเป็นโทรออกทันที
เมื่อปลายทางรับสายก็รีบกรอกเสียงรัวอย่างเร็ว “เรื่องจริงเหรอ!
หวังว่าจะไม่โกหกผมให้ดีใจเก้อ!! พบกันวันที่หนึ่งตุลานี้นะ!!”
เสียงรัวเร็วของตี๋ชิวเหอดังขึ้นมาก่อนที่เหอไป่จะพูดประโยค
‘สวัสดี’ จบ ทำให้เหอไป่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ มันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะง้อตี๋ชิวเหอ
เสียงหัวเราะเล็กๆน่ารักของเหอไป่ที่ดังอยู่ข้างหูของตี๋ชิวเหอ
มันทำให้ใบหูที่แนบโทรศัพท์ร้อนขึ้นตอนนี้มันแดงก่ำจนแทบระเบิด ตี๋ชิวเหอจึงแกล้งพูดเสียงเข้ม
“หัวเราะอะไร! นายเป็นคนผิดต้องมาไถ่โทษอันนี้มันก็ถูกต้องแล้ว!”
“เข้าใจแล้วครับ...ผมยอมรับผิดและต้องรู้สึกขอบคุณคุณอย่างมากที่ยอมยกโทษให้ผม
คุณช่างเป็นชายที่ใจกว้างเป็นมหาสมุทร” เหอไป่พูดอย่างใจเย็นกล่อมเด็กชายตี๋ให้อารมณ์ดี
ระหว่างที่คุยก็นั่งไล่ดูรูปที่ถ่ายได้จากเมือง C ไปด้วย“เรื่องที่จะไปเมือง D ผมไม่ได้โกหก เพราะผมตั้งใจจะกลับบ้านเกิดเพราะต้องการจะไปเยี่ยมพ่อแม่ผมที่เมืองนั้นพอดีแต่คงต้องเป็นหลังจากไปที่หาคุณ...เฮ้
แปบนะครับ”
รอยยิ้มกว้างของเหอไป่หุบลงพร้อมกับคิ้วขมวดแน่นจนแทบชนกัน
เหอไป่พยายามซูมดูในรูปในจุดที่ทีหญิงสาวสองคนที่อยู่ด้านหลังของจุ้นเฉิน มันเป็นภาพที่เขาถ่ายได้ที่สนามบินเมือง
C
และถามอีกคนด้วยเสียงที่ลังเล “ชิวเหอครับผมถามหน่อยคุณมีญาติหรือคนรู้จักที่อยู่ในเมือง
C บ้างไหมครับ?”
ตี๋ชิวเหอที่ตอนแรกอารมณ์ดีแทบจะกระโดดโลดเต้น
แต่มันหงุดหงิดเมื่อได้ยินประโยค ‘แปบนะครับ’
มันขัดจังหวะที่เขาจะเสนอตัวเอาไปกับหมาน้อยที่จะไปเยี่ยมพ่อแม่ของอีกคนด้วย
มันทำให้ขึ้นอดพูดว่า ‘ผมยินดีที่จะไปเป็นเพื่อนเพื่อที่จะไปเยี่ยมพ่อแม่ของนาย’
แต่ไม่ทันไรก็สงสัยถึงประโยคคำถามของเหอไป่ แต่ก็นึกย้อนถึงความใน
‘ตระกูลตี๋’ ว่ามีใครอยู่ที่เมือง C บ้างและก็ตอบด้วยคำถามของอีกคนอย่างแปลกใจ “ไม่มีครับ
ทำไมนายถึงถามแบบนั้น”
เหอไป่ไม่ตอบคำถามแต่ก็เปลี่ยนไปเข้าอินเตอร์เน็ตเพื่อค้นหารูปของฉินหลี่และนำมาเทียบกับรูปที่ตัวเองกำลังซูมอยู่
“เมื่อเช้าผมถ่ายรูปลูกค้าที่สนามบินเมือง C และถ่ายติดหญิงสาวสองคน
ดูเหมือว่าเธอจะคล้ายกับแม่เลี้ยงและน้องสาวของคุณ ยังไงเดียวผมส่งรูปให้ทางข้อความนะครับ
คุณลองดูว่าใช่พวกเธอไหม”
ตี๋ชิวเหอเลิกคิ้วอย่างแปลกใจนี้มันเกินความคาดหมายของตัวเอง
เมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้าก็เปิดดูอย่างสนใจ
เมื่อไฟล์รูปโหลดเสร็จก็ซูมรูปไปตามที่เหอไป่บอก
จริงด้วย! มันเป็นรูปของฉินหลี่และตี๋ชุนฮวาที่กำลังถือกระเป๋าเดินทางเดินอยู่ท่ามกลางฝูงคน
“ทั้งสองเป็นแม่เลี้ยงกับน้องสาวคุณไหม”
เหอไป่ถามขึ้นอย่างลังเล
“ใช่ เป็นพวกเขา” ตี๋ชิวเหอมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น
แล้วนึกถึงเหตุผลว่าทำเธอทั้งสองถึงไปที่เมือง C อย่างเงียบๆ
จากนั้นก็เดินไปที่ตู้เก็บของเพื่อหยิบกระเป๋าเอกสารที่ตี๋ชิวเหอได้รับมาจากตี๋เบี่ยนแล้วก็หยิบเอกสารในกระเป๋าขึ้นมาอ่านไม่นานก็หัวเราะเสียงดัง
“หมาน้อยนายเป็นดาวนำโชคของผมจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า”
“คุณหมายความว่ายังไงครับ” เหอไป่อดที่จะถามด้วยความสงสัยไม่ได้
ทางฝั่งของตี๋ชิวเหอก็มีรอยยิ้มเหี้ยมอยู่บนริมฝีปาก
เขาตัดสินใจถือกระดาษใบนั้นเดินไปที่ริมหน้าต่างมองไปในท้องฟ้าที่ดำสนิท เหมือนกำลังวางแผนอะไรอยู่
“คู่สามีภรรยาที่รักกันสุดท้ายก็มามีข้อพิพาท”
“อะไรนะครับ?”
“ดาวนำโชคเดียวผมจะส่งของไปตอบแทนนาย
หมาน้อยของผม”
“ไม่ต้องเลยครับ”
ตี๋ชิวเหอไม่สนใจเขาก้มอ่านเอกสารอีกครั้งแล้วมีรอยยิ้มที่เหมือนจะมีเรื่องสนุกเกิดขึ้น
“นายอยากได้อะไรพิเศษไหมหรือว่าอยากได้หยกมันเป็นของขึ้นชื่อของที่นี้”
“ไม่เอาทั้งนั้นครับ
ผมแค่อยากรู้ว่าคุณหัวเราะทำไมก็เท่านั้น”
“อย่าปฏิเสธ เดียวผมส่งของไปให้” ตี๋ชิวเหอรีบเดินไปเก็บเอกสารใส่กระเป๋าเดิมและเก็บมันเข้าที่
เมื่อตัดสินใจเรื่องที่จะทำได้แล้ว
เหอไป่ถามขึ้นมาอีกครั้ง “ทั้งสองไปที่นั้นทำไมครับ หรือว่าพวกเธอไปพักผ่อน?”
“นายอยากรู้จริงๆเหรอ?” ที่ทุ้มหนักแน่นที่ดังขึ้นแต่ในนั้นแฝงถึงความเอ็นดูและหยอกล้อไปด้วย
“ใช่ครับ! ผมสังสัยว่าคุณหัวเราะทำไมด้วย?”
เหอไป่ตอบด้วยเสียงที่ราบเรียบอย่างอดทน
“นายลองพูดอ้อนผมสิ” ตี๋ชิวเหอพูดประโยคถัดมาอย่างเป็นต่อ
“...”
“หรือว่าลองเรียกผมว่า ‘แด็ดดี้’ แล้วบอกฝันดีผมด้วยนะ” น้ำเสียงที่พูดเต็มไปด้วยการหยอกล้ออย่างมีความสุข
เหอไป่สะอึกและเงียบไปหลายวินาที จึงตัดสินสูดลมหายใจเข้าลึกยาวพร้อมพูดด้วยเสียงที่เค้นลอดไรฟัน
“ไปตายซะ! วันหยุดนี้ผมจะไม่ไปที่เมือง D แล้ว ผมเปลี่ยนใจแล้วจะหางานพิเศษทำในวันหยุดยาวนี้
ลาก่อน!!!”
เสียงตะโกนดังที่ลอดมาจากโทรศัพท์ทำให้ตี๋ชิวเหอเอาโทรศัพท์ให้ไกลจากหู
และรีบพูดด้วยเสียงที่เปลี่ยนเป็นจริงจังไม่กล้าแหย่อีกคนต่อไป
“ผมแค่แหย่เล่น เสี่ยวไป่แม่เลี้ยงของผมไปที่เมือง C ก็เพราะ....”
“ตู๊ด...”
“...”
ตี๋ชิวเหอช็อคนิ่งค้างอยู่ท่าเดิมเขายังถือโทรศัพท์แนบใบหู
เมื่อตั้งสติได้ก็รีบกดโทรออกไปที่เบอร์ของเหอไป่อย่างรวดเร็ว
‘ขออภัยหมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดได้ได้ในขณะนี้..’
ใจของตี๋ชิวเหอตกไปถึงตาตุ้ม ดวงตาเบิกกว้าง
ตี๋ชิวเหอนิ่งค้างอยู่ท่าเดิมเกือบสิบนาที เมื่อรู้สึกตัวเขาก็รีบกดไปที่เบอร์ของเจี่ยงซิ่นเหวิ่น
ไม่ทันที่ปลายสายจะพูด ก็รัวคำพูดอย่างร้อนรน “เมื่อกี้ฉันแหย่เสี่ยวไป่
แล้วตอนนี้เขาปิดเครื่องใส่ฉันแล้วยังบอกว่าจะยกเลิกแผนที่จะมาหาฉันที่เมือง
D อีก นี้ฉันต้องทำยังไงดี?”
เจี่ยงซิ่วเหวิ่นรับฟังอย่างเงียบๆ เมื่อเพื่อนสนิทของตัวเองพูดจบก็ถึงพูดขึ้น
แต่น้ำเสียงที่พูดนั้นราบเรียบไร้ความรู้สึก“ฉันคิดว่านาย...ผูกคอตายไป!!”
จากนั้นเจี่ยงซิ่วเหวิ่นก็ตัดสายทันที
ทางฝั่งตี๋ชิวเหอก็ทรุดตัวนอนบนเตียงอย่างความสิ้นเรี่ยวแรง
ก่อนนอนเหอไป่ที่ปิดโทรศัพท์ทิ้งไว้ทั้งคืน จึงเปิดเครื่องขึ้นหลังจากตื่นนอนตอนเช้า
และพบกับข้อความเกือบสามสิบข้อความทั้งหมดมาจากคนคนเดียว ‘ตี๋ชิวเหอ’ ข้อความสุดท้ายที่ส่งมามันโชว์เป็นเวลาตีหนึ่ง
เหอไป่รู้สึกหงุดหงิดทันทีแล้วนิ้วก็พิมพ์แป้นโทรศัพท์อย่างเน้นหนัก
เหอไป่: ทำไมไม่หลับไม่นอน! ครั้งนี้ผมยกโทษให้ถ้ามีอีกครั้งผมจะตีคุณ!!!
ข้อความของตี๋ชิวเหอก็เด้งตอบกับทันที
ตี๋ชิวเหอ: ไม่มีอีกแล้วครับ ขอบคุณนะครับ
บทที่ 81 ลงมือ
มันน่าเหลือเชื่อมากที่ตี๋ชิวเหอจะพึ่งเรียนรู้ความเป็นผู้ใหญ่ในตอนนี้
ใบหน้าของเหอไป่บิดเบี้ยวทันทีพร้อมพิมพ์ข้อความอย่างไม่ใส่ใจ
เหอไป่: แล้วเรื่องแม่เลี้ยงของคุณ
จะเอายังไงต่อ?
ตี๋ชิวเหอ:
คงบอกให้พ่อรู้แล้วก็ถอยออกมาดูหมากะแมวกัดกัน
เหอไป่ขมวดคิ้วอย่างขัดใจเมื่อนึกถึงความวุ่นวายในตระกูลตี๋
เหอไป่: แล้วแต่ครับ คุณก็อย่าทำให้ตัวเองเดือดร้อนก็พอ
ตี๋ชิวเหอ: ไม่ต้องกังวล ผมรับมือได้
จากเอกสารที่ตี๋เบี่ยนเอามาให้ก่อนหน้าฮวางฝูมือแผนที่จะไปเปิดตลาดที่เมือง
C ซึ่งถือว่าเป็นบ่อเงินบ่อทองของวงการบันเทิง การที่ตี๋เบี่ยนเอาเอกสารให้ตัวเองนั้นก็เพื่อให้ตัวเขายื่นมือไปจัดการกับตระกูลฉินที่มีแผนจะไปลงทุนในเมือง
C
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ตี๋เบี่ยนต้องการบีบตระกูลฉินให้ออกจากฮวางฝู
ซึ่งมันคงไปหยีบเท้าคนในตระกูลฉินอย่างแรง
และตอนนี้ฉินหลี่ที่ควรต้องไปอยู่ต่างประเทศกับลูกสาวเพื่อพักผ่อนแต่กับมาอยู่ที่สนามบินเมือง
C โดยไม่บอกตี๋เบี่ยนและยังมีคนในตระกูลฉินที่ตามไปด้วย คิดได้เพียงอย่างเดียว...
และประกอบข่าวที่ตี๋ชิวเหอไป่มาก่อนหน้านี้ ตระกูลฉินต้องการแต่งงานเพื่อเกี่ยวดองกับตระกูลหลิว
ไม่ยากที่จะมองแผนการไม่ออก ก่อนที่หน้าที่ฉินหลี่จะหันหลังให้ตี๋เบี่ยนเธอพยายามอย่างมากที่จะถีบตี๋ชิวเหอให้ออกจากตระกูลตี๋เพื่อเธอจะยืนเป็นที่หนึ่งในฮวางฝู
และอยู่กันอย่างมีความสุขสี่คนพ่อแม่ลูก แต่ตอนนี้เธอกับพยายามใช้ผลประโยชน์จากฮวางฝูส่งมอบให้กับตระกูลฉินเพื่อหยิบฮวางฝูให้ตกต่ำลง
เพื่อความสุขของเธอและลูกทั้งสอง โดยถีบตี๋เบี่ยนให้ออกจากวงโคจรของเธอ
ถ้าให้พูดง่ายๆฉินหลี่ไม่ต้องการตี๋เบี่ยนในชีวิตของเธอแล้วทำให้จุดยืนของทั้งสองเหมือนเป็นศัตรูในตอนนี้
“ชายอีกคนในรูปเป็นคนของฉินหมิงเจียงใช่ไหม”
ตี๋ชิวเหอชี้นิ้วไปยังชายอีกคนที่อยู่ด้านหลังฉินหลี่
“ใช่คะ เขาทำงานให้คุณฉิน” อันซูเซี่ยตอบพร้อมมองไปทางหวังป๋ออี้ “เขาเป็นลุงของแฟนเก่าของฉัน
แม้ว่าตำแหน่งในบริษัทจะอยู่ล่างๆ แต่แท้จริงแล้วเขาถือว่าเป็นมือขวาของฉินหมิงเจียง”
ระหว่างที่พูดอันซูเซี่ยก็พยายามมองไปมองหน้าของหวังป๋ออี๋
แต่กับเห็นสีหน้าเรียบเฉยไม่สนใจเรื่องราวในอดีตของเธอ
“ดูเหมือนว่าแฟนเก่าของคุณจะไว้ใจคุณมากเล่าทุกอย่างให้คุณฟังหมดเลย
“ตี๋ชิวเหอเคาะนิ้วบนรูป เขาไม่ใส่ใจท่าทางของอันซูเซี่ยที่นิ่งค้างหลังจากเห็นท่าทางของหวังป๋ออี๋
“โทรไปรายงานพ่อฉันเรื่องรูปนี้”
“ได้ครับ นายน้อย” หวังป๋าอี๋รับคำสั่งของนายน้อยตัวเองอย่างเชื่อฟัง
เมื่อเห็นว่าหวังป๋ออี๋ไม่สบตาเธอเลย
อันซูเซี่ยก็รีบก้มสายตามองพื้นทันที
หลังจากเลขาทั้งสองออกจากในห้องไปตี๋ชิวเหอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
และกดไปที่เบอร์ที่เขาไม่ได้โทรมาตั้งนาน
“สวัสดี ต้องการคุยกับใคร?” เสียงปลายสายเป็นเสียงชายแหบแห้ง
“ลุงเค ผมชิวเหอครับ” ตี๋ชิวเหอเดินไปมองนอกหน้าต่างเอาเหรียญมาวางบนนิ้วกลิ้งไปมาและรวบรัดเข้าประเด็นทันที“ความขัดแย้งระหว่างฮวางฝูและตระกูลฉินเกิดขึ้นแล้ว ถึงเวลาแล้วที่ฮ่วนลิ้งจะไปเปิดตลาดที่เมือง
C “
ท่ามกลางความเงียบของทั้งคู่ เสียงหัวเราะที่แหบห้าวน่ากลัวก็ดังขึ้น
“ดีมาก! ฉันไม่เคยคิดว่ามาจะเกิดขึ้นเร็วแบบนี้ทุกทีนายแทบจะไม่ใส่ใจ”
“อืม..” ตี๋ชิวพิงกรอบประตูแล้วจ้องไปที่ตุ๊กตาหมาที่เหมือนฝาแฝดที่เหอไป่มี
ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ผมแค่มีดาวนำโชคที่ดี”
ปลายเดือนกันยายน เหอไป่ที่หมกตัวอยู่ที่สตูดิโอของจุ้นเฉิน
จนตอนนี้งานทั้งหมดเกือบเสร็จสมบูรณ์
“เดือนนี้ทั้งเดือนหนักหน่อยนะ” จุ้นเฉินเทชาหอมให้เหอไป่และตัวเอง จากนั้นก็เอนกายทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้หวาย
เพื่ออาบแดดยามบ่าย ใบหน้าของจุ้นเฉินไม่เรียบเฉยเหมือนใส่หน้ากากอีกเหมือที่เหอไป่เจอครั้งแรก
กับเหมือนองค์เทพที่ผ่อนคลายเมื่ออยู่บนภูเขาของตัวเอง “เหลือเพียง
MV เดียว ก็เสร็จแล้วใช่ไหม?”
ตั้งแต่ทั้งคู่เดินทางกลับจากเมือง C
ด้วยกันความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ดีขึ้น
“นี้นายไม่คิดว่าฉันจะขอซองแดงหลังจบงานนี้หรือยังไง?”
เหอไป่หยอกล้อด้วยความสนิทสนม จากนั้นหยิบถ้วยชาขึ้นมา แล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ทำไมช่วงนี้ฉันไม่เห็นซูอิ๋งเลย? เขาหายไปไหน”
เมื่อจุ้นเฉินได้ยินชื่อใบหน้าเขาก็เขียวคล้ำทันทีและตอบด้วยเสียงที่เย็นชา
“คงไปที่ไหนสักที่เพื่อถ่ายรูป”
“ถ่ายรูป?” เหอไป่ถามอย่างสงสัย
“มีเป้าหมายใหม่แล้วเหรอ”
“ใช่แล้ว” จุ้นเฉินตอบอย่างไร้อารมณ์
“ยังไงเขาก็ไปจากที่นี้อยู่แล้ว มันก็ดีสำหรับฉันแล้วเขา
เพราะซูอิ๋งก็มีเป้าหมายของตัวเอง เขาต้องการที่จะจัดนิทรรศการภาพและการที่เขาต้องทำอยู่ที่สตูดิโอนี้ก็จำเจเกินไป
แล้วนายล่ะ? ต้องการที่จะมาเป็นช่างภาพประจำกับสตูดิโอของฉันไหม
มาเป็นช่างภาพหลัก”
หลายวันที่ผ่านมาจุ้นเฉินและเหอไป่ทำงานร่วมกัน
ทำให้ทั้งคู่รู้สึกได้ว่ามีอะไรที่เหมือนกันจึงทำให้ทั้งคู่เหมือนเพื่อนสนิทที่อยู่จักกันมากนาน
เหอไป่จึงรู้ว่าจุ้นเฉินเพียงแค่ถามแหย่ตัวเองเท่านั้น เขาจึงยิ้มและส่ายหัว “ไม่ล่ะ ผมชอบที่จะถ่ายภาพที่หลากหลายมากกว่าไม่ชอบความจำเจ ไม่พร้อมที่จะให้ถ่ายภาพนายคนเดียวซ้ำๆ
น่าเบื่อ!”
จุ้นเฉินแกล้งถอนหลายใจอย่างเสียดาย
“ศิษย์พี่และศิษย์น้องช่างมีอะไรที่คล้ายกัน ‘ไม่ชอบอยู่กับที่และถ่ายคนๆเดียว’
มันไม่ใช่เรื่องที่แย่ แต่อย่างน้อยถ่ายมีงานครั้งถัดไปฉันหวังว่านายคงไม่ปฏิเสธฉันล่ะ”
เหอไป่รีบเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วเรื่อสุนัขที่จะเอามาประกอบฉากพรุ่งนี้ล่ะ
ผมหวังว่ามันจะเชื่องนะ ผมไม่สามารถรับมือกับมันได้ถ้ามันดื้อ”
“ไว้ใจได้น่า มันเชื่องแน่นอน” จุ้นเฉินจิบชาพร้อมพูดอย่างไม่ใส่ใจ “นายมั่นใจได้เลยว่ามันไม่เป็นปัญหาในการถ่ายทำแน่นอน
จริงด้วย ฉันขอเอาชื่อของนายมาเป็นกระแสให้อัลบั้มฉันได้ไหม”
“ได้สิ ยังไงล่ะ” ความสงสัยเต็มใบหน้าของเหอไป่
จุ้นเฉินเลิกคิ้วแล้วพูดอย่างหยอกเย้า
“ได้ยินเรื่องข่าวลือของในนายโซเซี่ยลก่อนหน้า มันทำให้ที่ทำงานเดิมของนายปิดเวยป๋อไป
นายรังเกียจไหมที่จะมีชื่อของนายในอัลบั้มของฉัน เพื่อให้ฉันได้เกาะกระแสของนายดัง”
เหอไป่พูดด้วยเสียงขบขัน “ไม่แน่นอน ทำในสิ่งที่คุณต้องการเลย”
การที่จุ้นเฉินจะเปิดตัวอัลบั้มของตัวเองแทบไม่จำเป็นเลยที่จะใส่กระแสของเหอไป่
แต่ที่จุ้นเฉินทำแบบนี้ก็เพราะจะให้เป็นข้อแก้ตัวที่ชัดเจนว่าทำไมเหอไป่ถึงต้องโดดเรียน
นอกจากนั้นยังช่วยสร้างโปรไฟล์ให้กับตัวเหอไป่ในวงการบันเทิงเหมือนจะช่วยปูทางให้เหอไป่ซะมากกว่า!
ก่อนหน้านี้มีเหล่าคนดังและนักแสดงส่งจดหมายเชิญให้ตัวเหอไป่ไปร่วมงาน
เขาก็ใช้ข้ออ้างว่าทำงานให้จุ้นเฉินโดยไม่ทำให้ลิตเติ้ลเมอร์เมดเดือดร้อน
และเหนืออื่นใดจุ้นเฉินก็มีความเสี่ยงจากกระแสเปิดตัวของอัมบั้ลอย่างมาก
การจะยื่นมือมาช่วยเหลือเหอไป่ที่ตอนนี้มีชื่อเสียงติดลบ ช่างเป็นเพื่อนที่ซื่อตรงและใจดีมาก!
บทที่ 82 เปิดม่าน
ตี๋เบี่ยนรีบขึ้นเครื่องบินเพื่อตรงมาที่เมือง
D อย่างเร่งด่วนเมื่อได้รับข่าวจากหวังป๋ออี๋ เขามาพบลูกชายคนโตอย่างลับๆไม่ต้องการให้ฉินหลี่รับรู้การเคลื่อนไหวนี้
“ข่าวอะไร” ตี๋เบี่ยนถามทันทีที่เห็นหน้าลูกชายคนโต
ตี๋ชิวเหอมองไปเหล่าชายร่างใหญ่ที่ติดตามตี๋เบี่ยนที่ตอนนี้ยืนอยู่ด้านหลังโซฟาจากนั้นก็หยิบรูปภาพขนาดใหญ่จากกระเป๋าและเลื่อนมาตรงหน้าตี๋เบี่ยนพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงลังเล
“พ่อครับ ผมได้รูปนี้มาจากเพื่อนที่อยู่มหาลัยเดียวกันส่งมาให้ ตอนนี้เขาทำงานให้กับยี่คังจนต้องไปที่เมือง
C เพื่อถ่ายรูปให้กับจุ้นเฉิน...รูปนี้เขาถ่ายได้โดยบังเอิญที่สนามบิน
เรื่องนี้คุณพ่อสามารถตรวจสอบได้”
ตี๋เบี่ยนหยิบภาพขึ้นมาดูและก็ยื่นให้กับลูกน้องตัวเอง
“พวกหล่อนไปที่นั้นตั้งหลายวัน ทำไมนายถึงพึ่งมาบอกฉันตอนนี้”
ตี๋ชิวเหอหลบสายตาราวกับกลัวคำดุของตี๋เบี่ยน
“ผมไม่ได้สังเกตเห็นป้าฉินและชุนฮวาแต่หวังป๋ออี๋เป็นคนเห็น ผมก็รู้ได้ถึงความผิดปกติเพราะผมรู้มาว่าพวกเธอจะไปพักผ่อนที่ต่างประเทศ
แล้วที่พึ่งติดต่อคุณพ่อก็เพราะผมไม่สามารถติดต่อได้โดยตรง แม้แต่เลขาหวังยังติดต่อคุณพ่อได้
ผมก็เลย...” เมื่อพูดถึงท้ายประโยคตี๋ชิวเหอก็ก้มหน้าลงเหมือนสำนึกผิด
แต่ในใจเย้ยหยันถึงความวุ่นวายในครอบครัวของชายแก่ตรงหน้า
เวลาไม่นานผู้ช่วยของตี๋เบี่ยนก็ตรวจสอบรูปภาพเสร็จก็กับมารายงานว่าเป็นภาพจริงไม่ได้ถูกตัดต่อ
สีหน้าของตี๋เบี่ยนเปลี่ยนไปทันที เมื่อมองเห็นท่าทางที่เสียใจของลูกชายคนโต
ด้วยสีหน้าผ่อนคลายพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนนี้พ่อรู้ว่าลูกกำลังยุ่งกับการถ่ายหนังอยู่
พ่อจึงไม่กล้าโทรหาลูกจึงฝากเลขาหวังค่อยดูแลลูกค้าเท่านั้น พ่อขอโทษยกโทษให้พ่อนะ
ชิวเหอตอนนี้ครอบครัวของเรากำลังพัง ซึ่งตอนนี้เซี่ยซ่งก็ยังเรียนอยู่ต่างประเทศและชุนฮวาเธอก็คงเข้าข้างป้าฉิน
ตอนนี้พ่อหัวหมุนทั้งค่ายเพลงและปัญหาในครอบครัว ทำให้ไม่มีเวลาให้กับ...”
“พ่อครับ” ตี๋ชิวเหอรีบพูดขัดบทละครตรงหน้า
เมื่อเห็นว่าตี๋เบี่ยนไว้ใจตัวเองเขาจึงรีบคว้าโอกาส “มันอาจจะไม่เลวร้ายขนาดนั้นก็ได้ครับ
ป้าฉินคงจะพาชุนฮวาไปเที่ยวพักผ่อนกับพวกข่าวลือบ้าๆก่อนหน้านี้เท่านั้น”
“ลูกคิดน้อยเกินไป” ตี๋เบี่ยนส่ายหัวพร้อมถอนหายใจ
“ลูกจำเอกสารที่พ่อให้ก่อนหน้านี้ได้ไหม? การที่ฉินหลี่แอบไปที่เมือง C อย่างลับๆครั้งนี้ก็เพราะเธอต้องการแย่งชิงงานจากฮวางฝูไปมอบให้ตระกูลฉิน
พ่อรู้ว่าตอนนี้ใจของฉินหลี่ไม่ได้อยู่กับตระกูลตี๋ของเราแล้ว”
“ทำไมเธอถึงทำแบบนั้น...” ตี๋ชิวเหอตกใจ
“ก่อนหน้าพ่อไล่คนที่คอยเกาะฮวางฝูซึ่งมันเป็นคนของตระกูลฉิน...เธอจึงแก้เผ็ดพ่อเพื่อให้พ่อล้มเหลว”
ตี๋เบี่ยนมีเสียงหน้าราวกับแก่ชราขึ้นไปอีกหลายสิบปี “มองดูก็รู้ว่าฉินหลี่ไม่เคยคิดว่าเธอเป็นหนึ่งของตระกูลตี๋...”
ตี๋ชิวเหอไม่กล้าพูดอะไรมีเพียงสีหน้าตกใจ
“ลูกต้องช่วยพ่อป้องกันไม่ให้ตระกูลฉินเหยียบเราขึ้นไป”
เมื่อเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของตี๋ชิวเหอ ตี๋เบี่ยนรีบใช้โอกาสนี้เพื่อล้างสมองลูกชายคนโตทันที
“ชิวเหอลูกต้องอยู่ข้างพ่อ ในเมือง B ตอนนี้พ่อไม่กล้าไว้ใจใครนอกจากลูก
ถ้าเราพลาดงานที่เมือง C ตระกูลฉินก็ต้องไม่ได้รับมัน! ชิวเหอลูกต้องเป็นกำลังเสริมให้พ่อเพื่อปกป้องบ้านของเรา”
ตี๋ชิวเหอแทบยกนิ้วให้ชายแก่ตรงหน้าที่เปลี่ยนสีหน้าได้อย่างรวดเร็ว
ตี๋ชิวเหอแกล้งทำสีหน้าคิดหนักจากนั้นก็ตัดสินใจมองหน้าตี๋เบี่ยนพร้อมพยักหน้าตอบรับ
“แน่นอนครับ ผมเต็มใจที่จะทำทุกอย่างไม่ให้ใครมาทำลายบ้านของเรา”
‘แต่ถ้าฉันเป็นคนทำเองก็ไม่นับ’
ตี๋เบี่ยนยิ้มอย่างยินดีเมื่อได้ยินว่าลูกชายตัวเองยินดีช่วยเหลือ
จากนั้นก็รีบหยิบเอกสารชุดหนึ่งยื่นให้ตี๋ชิวเหอ “พ่อมีคนของเราที่ฉินหลี่ไม่รู้จักตอนนี้พ่อมอบคนเหล่านี้ให้ลูก
ลูกสามารถพาเขาไปที่...”
ตี๋ชิวเหอแสร้งทำเหมือนตั้งใจฟังแผนการของตี๋เบี่ยน
แต่ส่วนลึกก็ขบขันเรื่องชายแก่ตรงหน้า
ในที่สุดละครเรื่องนี้ก็เปิดม่าน
การทำถ่ายทำภาพปก
MV ของจุ้นเฉินก็เสร็จเรียบร้อย ตอนนี้จึงปล่อย MV ตัวแรกเพื่อโปรโมตอัลบั้มใหม่บนเวยป๋อทำให้มีกระแสชื่นชมกับผลงานของจุ้นเฉินเต็มโซเซี่ยล
ทำให้ไม่นานเพลงของจุ้นเฉินก็ติดท็อปชาร์ทของคลื่นวิทยุและในโซเซี่ยล
ตอนนี้สตูดิโอของจุ้นเฉินก็รีทวิตโพสต์ของเหอไป่
ทำให้เหอไป่กับมาเป็นหัวข้อยอดฮิตขึ้นมาอีกครั้งและเพิ่มความนิยมให้ตัวเหอไป่กับกันกับเหยียบ
Saint Elephant ให้จมดินจากการมีคนปล่อยข้อมูลว่าทาง Saint
Elephant เป็นคนอยู่เบื้องหลังของข่าวลือเชิงลบเพื่อบั้นทอนชื่อเสียงของเหอไป่
ชาวเน็ตต่างคร่ำครวญด้วยความสงสารที่อัจฉริยะอย่างเหอไป่ทำไมถึงมีเส้นทางขรุขระในแต่ละก้าวเดิน
บางคอมเม้นท์ก็พูดต่อว่าถึงพริกถึงขิง และก็มีบางคอมเม้นท์พูดชื่นชมผลงานของเหอไป่ในอัลบั้มใหม่ของจุ้นเฉิน
หัวข้อท็อปฮิตตอนนี้คือ
ช่างภาพอัจฉริยะที่โด่งดังจับมือกันกับพระเจ้าเสียงทองของวงการเพลง
ชาวเน็ตคนที่หนึ่ง: อะไรนะ จุ้นเฉิน!
เป็นเวลาเกือบครึ่งปีที่ฉันเฝ้ารออัลบั้มใหม่ของเขา! ฉันแทบหลั่งน้ำตาด้วยความสุข!
ชาวเน็ตคนที่สอง: ฮ่าฮ่า
บรรดานักเลงคีย์บอร์ดหายหัวไปไหนหมด ไป่ไป่น้อยไม่ได้โดดเรียนไปทำเรื่องไร้สาระแต่เขาไปทำงาน!
กล้าพูดไหมว่าไม่เคยโดดเรียนเพื่องานสำคัญ? บนโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอก
รู้สึกละอายใจบ้างไหม?
ชาวเน็ตคนที่สาม:
ฉันยินดีที่จะโดดเรียนถ้ามีโอกาสได้เจอกับจุ้นเฉิน!
ชาวเน็ตคนที่สี่: ตอนแรกฉันคิดว่าเหอไป่ถนัดกับการถ่ายรูปสาวๆ
พระเจ้า...เขามีฝีมือทั้งการถ่ายรูปชายและหญิงเลย! รูปของจุ้นเฉินตอนนี้ฉันทำให้ฉันหลงใหล!
ก่อนหน้าฉันรู้สึกเหมือนเฝ้ามองได้เพียงไกลๆ แต่ตอนนี้...ฉันอยากพุ่งตัวไปกอดขาจุ้นเฉินทันที!!
ฉันกำลังจะแฟนบอย!!!
ชาวเน็ตคนที่ห้า:
เหอไป่ฉันมีเรื่องอะไรอยากจะถาม...ตอนนี้คุณทิ้งชิวเหอแล้วเหรอ?
อย่าทำอย่างนั้นน้า...
บทที่ 83 ทำสีหน้าให้ดีหน่อย
แผนการปล่อย MV ของจุ้นเฉินก็เป็นไปตามเป้าเพียงไม่นานเพลงเปิดตัวก็ท็อปฮิตติดกระแสในโซเซี่ยลอีกด้านก็ตัวเพิ่มความนิยมให้กับเหอไป่เป็นอย่างดี
มีการพูดคุยกันอย่างออกรสชาตในเหล่ากลุ่มแฟนคลับจุ้นเฉิน นอกจากนี้ยังมีบางคนชื่นชมฝีมือที่รังสรรค์ผลงานและดึงเสน่ห์ของจุ้นเฉินออกมาอย่างโดดเด่น
จากช่างภาพตัวเล็กที่ไม่มีใครรู้จักก้าวสู่การเป็นช่างภาพมืออาชีพที่เป็นที่รู้จักกันทั้งในวงการและนอกวงการบันเทิงจากผลงานการถ่ายภาพปก
MV ให้กับจุ้นเฉิน มันทำให้ชื่อของเหอไป่เป็นที่รู้จักไปทั่ว หลินเซี่ยพึ่งวางสายจากลูกค้าที่ติดต่อให้ทางยี่คังร่วมงาน
บอกตามตรงความรู้สึกของหลินเซี่ยตอนนี้เต็มไปด้วยความยินดีและเสียใจปนกัน
หลังจากอัลบั้มของจุ้นเฉินเปิดตัวไม่เพียงกระตุ้นความสนใจของตัวเหอไป่เท่านั้นแต่ก็เป็นการโฆษณาแบรนด์ลิตเติ้ลเมอร์เมดไปในตัว
ทำให้หลินเซี่ยรู้ว่าอีกไม่นานนกน้อยเหอไป่จะโบยบินออกจากรังยี่คังในไม่ช้า
หลินเซี่ยถอนหายใจยาวจากนั้นก็ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ที่คุ้นเคย
น้ำเสียงที่พูดออกไปเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า “พี่จูเก่อคะ
เรื่องที่ให้หาช่างภาพคนใหม่ไปถึงไหนแล้วคะ”
วันหยุดยาวประจำชาติที่กำลังใกล้มาถึง เหอไป่ตัดสินใจยกบัญชีเวยป๋อของตัวเองมอบให้พนักงานยี่คังช่วยดูแลชั่วคราว
จากนั้นก็แบกกระเป๋าเป้ขึ้นเครื่องบินบินตรงไปเมือง D
ตั้งแต่คืนวันที่สามสิบกันยายน
ท่ามกลางอากาศเย็นของปลายฤดูใบไม้ร่วง ทำให้เหอไป่ที่เดินออกมาสัมผัสอากาศนอกสนามบินต้องกระชับเสื้อโค้ทของตัวเองแน่นจากนั้นก็ยกแว่นตาดำทำให้เข้าที่
มาหยุดยืนของหน้าสถานที่ที่จัดเตรียมไว้สำหรับการถ่ายหนัง
กองถ่ายหนังเรื่องใหม่ของผู้กำกับเจี่ยงหัวซานถูกปิดเป็นความลับและเหล่าทีมงานที่ร่วมกองถ่ายก็ต้องเซ็นสัญญาปกปิดเรื่องนี้เช่นกัน
การที่จะมีเด็กหนุ่มพร้อมกระเป๋าเดินทางมายืนอยู่หน้ากองถ่ายทำให้เหล่าการ์ดที่ยืนรักษาความปลอดภัยรีบเข้ามาสอบถามโดยเกรงว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นเหล่าปาปารัซซี่ที่ถูกส่งมาจากกองบรรณาธิการ
การ์ดชายคนหนึ่งพูดโดยใช้ข้ออ้างที่คุ้นเคย “ตอนนี้กำลังปรับปรุงถนนครับ โปรดใช้เส้นทางอื่น”
เหอไป่ถอดแว่นกันแดดออกจากใบหน้าพร้อมรอยยิ้มการค้าจากนั้นก็พูดกับเหล่าการ์ดทั้งสองด้วยความสุภาพ
“สวัสดีครับ ผมเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ซูอิ๋นหลง วันนี้อาจารย์มอบหมายให้ผมมาส่งของให้กับผู้กำกับเจี่ยงหัวซาน
รบกวนคุณช่วยแจ้งเรื่องนี้กับทางผู้กำกับให้ผมหน่อย นี้ครับบัตรนักศึกษาของผม”
การ์ดทั้งสองมองหน้ากันอย่างตกใจและยื่นมือไปรับบัตรนักศึกษาในมือของเด็กหนุ่มเมื่อดูรายละเอียดในบัตรก็มีรอยยิ้มเป็นมิตร
“คุณเป็นลูกศิษย์ของคุณซู เชิญตามผมเข้ามาเลยครับผู้กำกับเจี่ยงแจ้งเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว”
เหอไป่หยักหน้ารับรู้จากนั้นก็หยิบกระเป๋าเป้ขึ้นจากพื้นแล้วเดินตามการ์ดหนุ่มที่เดินนำหน้า
ตี๋ชิวเหอที่ตอนนี้แต่งตัวและแต่งหน้าพร้อมเตรียมตัวเข้าฉากนั่งอยู่บนเก้าอี้สนามอยู่ในบริเวณที่จัดเตรียมให้ได้พักผ่อน
จากนั้นก็ยื่นมือไปรับโทรศัพท์จากเลขาหวังด้วยสีหน้าเหงาหงอยอย่างไม่รู้ตัว
มันก็หลายวันแล้วที่ตัวเองไม่ได้คุยกับหมาน้อยเพราะหลังจากวันนั้น
เจ้าลูกหมาก็ยุ่งตลอดลืมแม้กระทั่งรับโทรศัพท์และอ่านข้อความของเขา ทำเหมือนลืมคำสัญญาที่ให้ไว้ว่าวันหยุดยาวนี้จะมาหาเขาที่เมือง
D
ทำให้ตัวเขาเองทั้งโกรธและน้อยใจ...
ตี๋ชิวเหอทอดสายตามองกลุ่มคนที่กำลังวุ่นวายเนื่องจากต้องเตรียมฉากให้พร้อม
ส่วนตัวก็หลบมุมมานั่งอยู่ในความสงบด้วยบรรยากาศที่ขุ่นมัว
วันพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดแล้วเจ้าลูกหมาคงกำลังเตรียมของกลับไปเยี่ยมบ้าน
ซึ่งถ้าให้ตัวเขาเองขึ้นเครื่องไปหาตอนนี้ก็อาจจะสวนทางกับเจ้าลูกหมา
“นายน้อยครับ...ผู้กำกับเจี่ยงแจ้งว่าจะมีคนนอกมาเยี่ยมชมที่กองถ่าย
จึงสั่งให้หยุดพักกองสองสามวัน จะให้ผมเตรียมตั๋วเครื่องบินกลับเมือง B ให้เลยไหมครับ?” หวังป๋ออี๋ถามความเห็นอย่างสุภาพ
ตี๋ชิวเหอไม่สนใจทำเพียงจ้องหน้าจอโทรศัพท์ที่ไม่มีการเคลื่อนไหวพร้อมส่ายหัว
“ไม่ต้อง...ฉันกำลังรออยู่?”
“คุณกำลังรอใคร?”
เสียงที่พูดขึ้นมันช่างคุ้นเคยมากที่ดังขึ้นจากด้านหลัง
ทำให้ตี๋ชิวเหอรีบหันไปมองอย่างไม่เชื่อหู ดวงตาเบิกกว้างและผลักให้หวังป๋ออี๋หลบไปและก้าวเดินอย่างล่องลอยไปหาชายหนุ่มร่างเล็กที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างกระเป๋าเป้เดินทางใบโต
“ทำไมคุณถึงมีสีหน้าเหมือนเห็นผีแบบนั้น?”
เหอไป่เลิกคิ้วขึ้นถามด้วยเสียงแปลกใจ จากนั้นก็ยื่นมือไปสัมผัสกล้ามแขนที่แน่นของตี๋ชิวเหอด้วยความหมั่นไส้
“นี้คุณมีกล้ามเพิ่มขึ้นหรือเปล่า?”
ตี๋ชิวเหอมองไปยังบริเวณที่ร้อนเหมือนถูกนาบด้วยเหล็กร้อนตรงมือเล็กขาววางอยู่
ใบหูก็แดงก่ำขึ้นมา เขารีบไอออกมาและดึงเหอไป่เข้าสู่วงแขนแล้วพูดออกมาอย่างแผ่วเบา
“หมาน้อย...ผมเกลียดการเซอร์ไพรส์ของนาย”
“คุณบอกว่านี้เป็นการเซอร์ไพรส์หรือ?”
เหอไป่ขยับตัวไปมาอย่างอึดอัดเขาไม่คุ้นชินจริงๆกับอาการดีใจของตี๋ชิวเหอแบบนี้
จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นถามอย่างสงสัย “ผมก็บอกคุณก่อนหน้าว่าจะมาเยี่ยมคุณที่นี้ในวันหยุดยาวนี้”
ตี๋ชิวเหอใช้มือลูบไปบนกลุ่มผมนิ่มเมื่อรู้สึกตัวก็ลากเหอไป่ไปยังบริเวณเก้าอี้สนามที่ตัวเองนั่งก่อนหน้าโดยไม่สนใจอาการดิ้นรนและเสียงเข้มของเหอไป่
แต่กับพูดออกมาด้วยเสียงนุ่มลึก “หมาน้อยของผม...”
“กระเป๋า...!” เหอไป่ตบไปที่หัวไหล่ของตี๋ชิวเหอเพื่อเป็นสัญญาณให้อีกคนหยุดลาก
ตี๋ชิวเหอไม่สนใจทำเพียงหยักหน้าไปทางหวังป๋ออี๋เพื่อให้ลูกน้องเก็บกระเป๋าของเหอไป่แทน
ไม่ต้องพูดอะไรมากหวังป๋ออี๋ก็รู้ได้อย่างทันทีว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ในอ้อมแขนของนายน้อยเป็นใคร
เขาจึงเพียงก้มตัวเก็บกระเป๋าเป้ใบโตมาจากบนพื้นแล้วเดินตามทั้งสองอยู่ห่างๆ
เมื่อถึงบริเวณที่จัดเตรียมไว้ซึ่งเป็นมุมพักผ่อนก่อนเข้าฉาก
ตี๋ชิวเหอก็ปล่อยตัวเหอไป่ออกจากอ้อมแขน เหอไป่ที่พึ่งได้รับอิสระก็รีบไปที่กระเป๋ากล้องในมือของหวังป๋ออี๋พวกพูดขอบคุณอีกคนที่ช่วยเก็บกระเป๋าให้
จากนั้นก็หยิบกล้องออกมาจากกระเป๋าพร้อมปรับเลนส์แล้วยืนขึ้นพร้อมหันกล้องไปทางตี๋ชิวเหอที่ตอนนี้นั่งยองๆอยู่ข้างตัวพร้อมวางมือซ้ายบนหัวของอีกคนและตบเบาๆ
“ทำหน้าให้ดีๆหน่อยครับ ทำให้มันเข้มเหมาะกับบทที่คุณแสดงไม่ใช่ทำหน้าเหมือนเจ้าตูบอย่างตอนนี้
เร็วครับผมต้องมีงานไปส่งอาจารย์”
สัมผัสที่อบอุ่นบนหัวเกือบทำให้ตี๋ชิวเหอสติหลุด
“...”
“หืม...” เหอไป่ยกกล้องลงพร้อมสายตาดุ
“ผมไม่น่าชื่นชมฝีมือการแสดงละครของคุณเลย ผมต้องการหมาป่าไม่ใช่เจ้าตูบที่นอนเฝ้าบ้าน
ทำไมไม่ทำสีหน้าให้ดีกว่านี้? เร็วแสดงฝีมือของคุณออกมา!”
ตี๋ชิวเหอที่พึ่งได้สติก็ทำสีหน้าจริงจังขึ้นมานิดหน่อยตามที่อีกคนสั่ง
“รีบปรับอารมณ์ให้เร็ว
วันหยุดยาวของผมต้องพังถ้าไม่มีงานไปส่งอาจารย์” เหอไป่ยกกล้องแนบดวงตา
“....”
“คุณจะทำสีหน้าใสซื่อทำไม!!” เหอไป่ดุอีกคนทันที
หวังป๋ออี๋ขมวดคิ้วเมื่อเห็นเด็กหนุ่มร่างเล็กกำลังทำตัวหยาบคายกับนายน้อยของตัวเอง
ตี๋ชิวเหอก้มหน้ามองพื้นจากนั้นก็เงยหน้ามองกล้องด้วยสีหน้าดุดันแต่ก็มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต้มอยู่มุมปากพร้อมถามขึ้นว่า
“อย่างนี้ได้ไหม?”
“....” หวังป๋ออี๋ที่หลุดอาการอ้าปากกว้างอย่างตกใจ
“โอเค...แต่ทำให้มันดูก้าวร้าวกว่านี้หน่อยได้ไหม?”
ตี๋ชิวเหอที่ได้ยินก็ทำสีหน้าเข้มขึ้นพร้อมสีหน้าดุดันกว่าเดิม
“เป็นยังไง?”
“แทบไม่ต่าง..” เหอไป่มีสีหน้าเหม็นเบื่อทันที
ตี๋ชิวเหอรีบเปลี่ยนสีหน้าให้ตามที่อีกคนต้องการทันที
หวังป๋ออี๋ที่ยืนอยู่เงียบๆก็สูญเสียจุดยืนทันที
เมื่อเห็นนายน้อยของตัวเองอยู่กับรุ่นน้องร่วมมหาลัย คือว่า...ทำไมเขาตาฝาดเขาเห็นนายน้อยของเขาเป็น...เจ้าตูบ!!!
บทที่ 84 ไม่ต้องถ่ายคนอื่นได้ไหม
ตี๋ชิวเหอรีบปรับสีหน้าและท่าทางตามที่เหอไป่สั่งซ้ำแล้วซ้ำอีก
แต่กับกันทางฝั่งของเหอไป่ที่ไม่ได้ภาพตามที่ต้องการคิ้วก็ขมวดแน่น ตี๋ชิวเหอก็เริ่มกระวนกระวายใจ
ร่างกายเกร็งเครียดดวงตาเต็มไปด้วยความทุกข์และหดหู่เมื่อนึกถึงความไม่ได้เรื่องของตัวเอง
ที่ทำให้เหอไป่หงุดหงิด
แชะ!
“ดีมาก” เหอไป่ลดกล้องลงแล้วยื่นมือไปลูบกลุ่มผมนิ่มเบาๆ
รอยยิ้มฉีกกว้างจนเห็นลักยิ้มที่แก้มซ้ายแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้ “เด็กชายตี๋ขอมือซ้ายหน่อย”
ตี๋ชิวเหอมองมือขาวนวลที่ยื่นออกมาตัวเขาเองก็วางมือลงไปตามสัญชาตญาณ
จากนั้นคิ้วก็ขมวดแน่นเมื่อรู้สึกแปลกแล้วก็พูดเสียงเข้มเมื่อนึกออก
“เจ้าหมาน้อย!!”
เหอไป่รีบยกกล้องขึ้นจับภาพทันทีแล้วตามด้วยเสียงกดชัตเตอร์รัวๆ
มันทำให้ร่างของตี๋ชิวเหอแข็งค้างเหมือนถูกแช่แข็ง
“พอครับ” เหอไป่ตบไหล่ของตี๋ชิวเหอเบาๆ
แล้วมองรูปที่พึ่งถ่ายจากในกล้องอย่างพึ่งพอใจ
เมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจของเหอไป่
ความโกรธที่มีก่อนหน้าก็ปลิวหายเหลือเพียงสีหน้าจำยอม เขาอายุมากกว่าอีกคนก็ต้องอดทนแล้วยกโทษให้กับคนที่อายุน้อยกว่า
ก็เขาเป็นผู้ใหญ่กว่านี้!
ส่วนทางเหอไป่ที่ได้รูปที่ถูกใจก็ยิ้มสดใส เขารีบเก็บกล้องและยื่นมือดึงตี๋ชิวเหอให้ลุกขึ้นจากนั้นก็จูงอีกคนไปนั่งที่เก้าอี๋สนามที่กางไว้ตรงหน้า
เมื่อมองรอบด้านแล้วเห็นมีเก้าอี้อยู่ตัวเดียวก็ตัดสินใจนั่งเบียดข้างตี๋ชิวเหอ
“เมื่อกี้ตอนที่ผมเดินเข้ามาเห็นคนในกองบอกว่าจะหยุดพักผ่อน แล้วคุณล่ะครับได้หยุดด้วยไหม?”
สำหรับเก้าอี๋สนามตัวนี้สามารถรองรับน้ำหนักชายสองคนไหวแต่ความกว้างของพื้นที่มันเพียงให้คนสองคนนั่งด้วยกันได้แต่แขนเกย
เสียงลมหายใจของหมาน้อยที่รดไหล่ทำให้ตี๋ชิวเหอรู้สึกร้อนขึ้นทันที เขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นยืนและเดินไปยืนพิงเสาเต้นท์ที่กางไว้แทน
“ใช่ครับผมก็ได้หยุดสามวัน ผมมีเวลาว่างพานายไปเที่ยวหลายที่”
เหอไป่หยิบขวดน้ำเปล่าเย็นที่แช่ไว้มนกระติกข้างตัวพร้อมเงยหน้ามองอีกคนที่ยืนพองเสาด้วยสีหน้าอมยิ้ม
“ดีเลยครับ
ผมมีวันหยุดห้าวันเพียงพอที่จะทำธุระและไปเที่ยวกับคุณพอดี”
หวังป๋ออี๋ที่พึ่งเดินเข้ามา
รู้สึกเหมือตัวเองมาผิดจังหวะเขารีบวางเก้าอี้ตัวใหม่ที่เอามาไว้ข้างตัวเหอไป่
เหอไป่มองทางหวังป๋ออี๋พร้อมยิ้มขอบคุณในความมีน้ำใจ
ตี๋ชิวเหอมองหวังป๋ออี้เขม่นจากนั้นก็ทิ้งตัวนั่งที่เก้าอี้ตัวใหม่
และหยิบบทละครที่จะต้องเข้าฉากขึ้นมาอ่านจากนั้นก็พูดขึ้นโดยไม่มองหน้า
“นายและเลขาอันก็หยุดพักร้อนเหมือนกัน แล้วค่อยกลับมาหาฉันที่นี้หลังจากนี้สามวัน
ถ้ามีอะไรด่วนค่อยโทรหาฉัน”
“ครับนายน้อย” เลขาหวังโค้งตัวขอบคุณนายน้อยตัวเอง
จากนั้นก็โค้งตัวไปทางเหอไป่แล้วก็หันหลังเดินออกไป
เหอไป่จ้องมองแผ่นหลังที่เดินไกลออกไปเมื่อลับหายจากสายตาก็ถามขึ้นอย่างสงสัยว่า
“เลขาหวังคนนี้? เขาเป็นคนของพ่อคุณนี้...เขาไว้ใจได้เหรอ?”
“อืม...” ตี๋ชิวเหอเงยหน้าจากบทละครและจ้องมองเหอไป่ด้วยสีหน้าจริงจัง
“ตอนนี้เขาเป็นคนของผม”
เหอไป่เลิกคิ้ว “ตัดสินบนและข่มขู่?”
ตี๋ชิวเหอมีสีหน้าแปลกใจในคำพูดของเหอไป่ ก่อนหน้านี้ตัวเขาเองไม่เคยปกปิดความเกลียดชังต่อคนในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นทั้งเหอไป่และความที่อยู่รอบข้าง
ตัวเขาเองก็แสดงออกอย่างชัดเจน
มันคงดีที่เหอไป่จะยอมรับด้านมืดของตัวเอง ไม่เช่นนั้น...เขาก็จะค่อยๆป้อนความเป็นตัวเองใส่เข้าไปจนกว่าเหอไป่จะยอมรับมัน
ช่างโชคดีมากที่หมาน้อยไล่ตามความคิดของเขา
“ไม้อ่อนและไม้แข็งมันก็เป็นความคิดที่ล้าสมัยแต่ก็ใช้ได้ผล”
เหอไป่พูดต่อ
สายตาของตี๋ชิวเหอแทบปกปิดความยินดีไว้ไม่อยู่
หมาน้อยช่างเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจตัวเขามากกว่าที่คิดไว้
เหอไป่ชักสีหน้าเหมือนกำลังหงุดหงิดอีกคน ตี๋ชิวเหอรีบปกปิดสีหน้ายินดีและกลืนคำหยอกล้อลงคอ
เมื่อเห็นเจี่ยงหัวซานที่ยืนคุยกับผู้ช่วยผู้กำกับและทีมนักแสดงที่เตรียมตัวเข้าฉากอยู่ไม่ไหล
เหอไป่ก็วางขวดน้ำไว้บนโต๊ะข้างตัวจากนั้นก็ยืนขึ้น “ผมต้องไปทักทายผู้กำกับเจี่ยง
คุณจะไปกับผมไหม?”
ตี๋ชิวเหอมองตามสายตาของเหอไป่เขาไม่พูดตอบรับแต่ก็ยินขึ้นและเดินไปพร้อมกันกับเหอไป่
ทาง เจี่ยงหัวซานที่กำลังคุยถึงการเข้าฉากกับหยางเหวินเถียนเสร็จพอดีและกำลังเดินออกไปเมื่อตี๋ชิวเหอและเหอไป่เดินมาถึง
หยางเหวินเถียนจึงยืนคุยกับตี๋ชิวเหออย่างสนิทสนมก่อนจะขอตัวไปพักผ่อน
เหอไป่มองสีหน้าของตี๋ชิวเหอที่สดใสเมื่อคุยกับหยางเหวินเถียนมันเต็มไปด้วยบรรยากาศผ่อนคลายและบรรยากาศที่เป็นกันเองไม่เหมือนทุกทีที่ตี๋ชิวเหอจะสร้างกำแพงเวลาคุยกับคนอื่นๆ
ช่างน่าเสียดายที่เมื่อกี้ไม่ได้หยิบกล้องติดมือมาด้วย ไม่อย่างนั้นเขาก็ได้สีหน้าแบบใหม่ของตี๋ชิวเหอ
ส่วนทางเจี่ยงหัวซานที่กำลังคุยติดพันกับผู้ช่วยผู้กำกับของเขา
เมื่อเห็นตี๋ชิวเหอก็โบกมือเรียกให้เข้าไปหา “ชิวเหอนายมาพอดี
ฉันลืมบอกผู้ช่วยของนายว่าตั๋งหนี๋ เธอจะเข้ามาร่วมถ่ายหนังในช่วงหลังวันหยุดนี้ เพื่อเข้าฉากแรกของเธอยังไงวันหยุดยาวนี้นายก็เก็บแรงไว้บ้างนะ
เมื่อตั๋งหนี๋มาถึงนายจะต้องเข้าฉากกับเธอหลายฉากเลย”
เมื่อได้ยินชื่อของตั๋งหนี๋จากปากอีกคนตี๋ชิวเหอก็รีบหันไปมองเหอไป่ทันที
และพูดตอบรับเจี่ยงหัวซาน “ผมเข้าใจแล้วครับ”
เจี่ยงหัวซานพึ่งสังเกตเห็นเด็กหนุ่มแปลกหน้า
เขาก็ขมวดคิ้วแน่น ทำไมการ์ดถึงปล่อยคนแปลกหน้าเข้ามาในกอง
เหอไป่รีบยิ้มขึ้นจากนั้นก็หยิบบัตรนักศึกษาและเมมโมรี่การ์ดยื่นให้เจี่ยงหัวซาน
เมื่ออีกคนรับเขาก็โค้งตัวอย่างสุภาพ“สวัสดีครับผู้กำกับเจี่ยง
ผมชื่อเหอไป่ ผมมาตามที่อาจารย์ซูอิ๋นหลงฝากว่าให้เอาของมาส่งให้คุณ ขอโทษที่พึ่งมาทักทายคุณตอนนี้”
เจี่ยงหัวซานคลายสีหน้าลงเมื่อรู้ว่าเด็กหนุ่มแปลกหน้านี้ซูอิ๋นหลงเพื่อนเขาส่งมา
จากนั้นจึงมองในมือจากนั้นก็ยืนบัตรนักศึกษาคือเหอไป่ส่วนเมมโมรี่การ์ดก็ยื่นให้ผู้ช่วยผู้กำกับที่ยืนข้างๆเก็บ
“นายเป็นลูกศิษย์ตัวน้อยคนใหม่ของอิ๋นหลงขอบคุณที่ลำบากมาส่งของให้ได้ยินมาว่านายได้รับคำชมมากในงานใหม่ที่ทำ
สนใจจะเก็บภาพบรรยากาศในกองถ่ายนี้ไหม”
เหอไป่จับมือเจี่ยงหัวซานอย่างสุภาพแล้วก็ปล่อยออก
ใบหน้าของเหอไป่เต็มไปด้วยความยินดีและขอบคุณที่เจี่ยงหัวซานให้โอกาสเขาเก็บภาพในกองถ่ายเพื่อพัฒนาฝีมือของตัวเอง
ตี๋ชิวเหอที่ยืนเงียบมองทั้งสองที่ยืนคุยกันด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง
เขาเอียงคอมองอย่างไม่พอใจ
เมื่อคุยไปได้สักพักเจี่ยงหัวซานก็ขอตัวแยกออกไป
เหอไป่จึงเดินตามตี๋ชิวเหอไปที่โรงแรมเพื่อเตรียมตัวทานมื้อเย็น
“ตอนนี้นายก็เป็นลูกศิษย์ของปู่อิ๋นหลงอย่างเป็นทางการ”
เมื่ออยู่กันสองคนตี๋ชิวเหอที่เก็บความไม่พอใจมาตลอดก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
เหอไป่ที่พึ่งเข้ามาในห้องพักของตี๋ชิวเหอก็ถอดเสื้อคลุมพาดไว้ที่โซฟาพร้อมพยักหน้า
“ครับ ไม่นานนี้เอง”
ตี๋ชิวเหออดไม่ได้ที่จะจ้องเอวเรียวบางและเรียวขาเล็กยาวของเหอไป่ที่ตอนนี้เดินไปเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าในตู้
จากนั้นก็ทิ้งตัวนั่งบนเตียงนอนอย่างหงุดหงิดเสียงที่พูดก็เต็มไปด้วยความน้อยใจ
“ในสุดนายก็มาหาผู้กำกับเจี่ยงไม่ได้ตั้งใจจะมาหาผม”
เหอไป่มองไปทางตี๋ชิวเหอด้วยสีหน้าแปลกใจและเดินไปเตะขาของอีกคนเสียงที่พูดก็เต็มไปด้วยการเย้าแหย่
“นั่นเป็นเหตุผลที่คุณมีสีหน้าเหมือนคนท้องผูกตลอดทางเมื่อกี้ ไร้สาระ...ถ้าเป็นเพราะเหตุผลนี้ผมจะตีคุณ”
ตี๋ชิวเหอจับที่ข้อมือเล็กแน่นก้มหน้ามองพื้นไม่พูดอะไรสักคำ
อย่าบอกนะเพราะเหตุผลนี้
คิดถูกแล้วที่เขาคิดว่าอายุสมองของตี๋ชิวเหอเหมือนเด็กสามขวบ เด็กชายตี๋สามขวบ!
เหอไป่รู้สึกท้อทันทีเขาหยุดดิ้นรนทันทีจากนั้นก็ดึงมือออกจากตี๋ชิวเหอและทิ้งตัวนอนบนเตียงข้างตี๋ชิวเหอ
จากนั้นก็ตัดสินใจอธิบายเพิ่ม “เหตุผลที่ผมมาที่นี้ก็เพื่อมาหาคุณ
ผมโหมงานอย่างหนักตลอดสองอาทิตย์ และเมื่ออาจารย์รู้ว่าผมจะมาที่นี้ก็ฝากของมาให้ผู้กำกับเจี่ยงและทำงานชิ้นใหม่ที่อาจารย์สั่ง”
หลังจากได้ยินคำอธิบายสีหน้าของตี๋ชิวเหอก็ดีขึ้น
จากนั้นก็จับข้อขาของเหอไป่แล้วพูดพร้อมสีหน้าเจ้าเล่ห์
“วันนี้นายมาถึงก็ถ่ายรูปผมทันทีหรือนี้เป็นงานใหม่ของนาย”
“ไม่..” เหอไป่ปฏิเสธขึ้นทันควัน
ตี๋ชิวเหอหายหงุดหงิดทันที จาดนั้นก็ดังข้อเท้าที่จับไว้มาวางไว้บนหัวเข่าและล็อคแน่นไม่ให้อีกคนดิ้น
“เฮ้!!” เหอไป่เห็นว่าอีกคนเริ่มเก่งกล้าเกินไปแล้ว
เขาจึงเตะตี๋ชิวเหอด้วยขาอีกข้างแล้วพูดเสียงดุ “ทำไมถึงเล่นเป็นเด็กอย่างนี้ตอนที่แรกที่ผมเจอคุณคุณไม่ได้มีนิสัยแบบนี้...ปล่อยขาผมเดียวนี้!!!
ผมบอกว่าไว้เลยว่างานชิ้นใหม่ที่อาจารย์มอบให้คือการถ่ายนักแสดงทุกคนในหนังเรื่องนี้เพื่อเอามาทำเป็นโปรเตอร์หรือวิดีโอเบื้องหลัง
ใช่ผมต้องถ่ายรูปคุณ แต่ไม่ใช่คุณเพียงคนเดียวเข้าใจไหม! ปล่อยเดียวนี้นะ!!!”
ตี๋ชิวเหอจับขาของเหอไป่อีกข้างที่ทำร้ายเอวตัวเองจากนั้นก็ผลักเหอไป่ทิ้งตัวนอนบนเตียง
“เล่นอะไรนี้!!” เหอไป่พยายามลุกขึ้นนั่งไม่ให้ทิ้งตัวนอนบนเตียง
ตี๋ชิวเหอยืดแขนออกเพื่อประคองหลังไม่ให้กระแทกแรง
จากนั้นก็รวบแขนเล็กที่พยายามดันตัวเขาออกแล้วจับมาวางไว้ที่เอวของตัวเอง
“...” เหอไป่
ตี๋ชิวเหอมีรอยยิ้มเหมือนกำลังล่อลวงคนพร้อมเสียงที่พูดอ่อนโยน
“ไม่ต้องถ่ายคนอื่นได้ไหม วันหยุดสองวันนี้ถ่ายผมคนเดียวก็พอ”
เหอไป่รีบเอามือออกจากเอวของตี๋ชิวเหอ และพยายามลุกขึ้นเมื่อลุกขึ้นได้ก็ถลกชายเสื้อของตี๋ชิวเหอขึ้นและตีมันลงไปด้วยแรงที่ไม่ยั้งมือพร้อมพูดด้วยเสียงเย็นชา
บทที่ 85 ไปตายซะ
ตัวของตี๋ชิวเหอนิ่งอย่างถูกสาปเข้าไม่กล้าขยับตัวเองทำเสียงที่เปล่งออกมาก็ตัดขัด
“นายคิด...คิดจะทำอะไร!”
เหอไป่ยิ้มเยาะจากนั้นก็ตบเบาๆที่ไปเอวสอบของอีกคนพร้อมกับถลกเสื้อขึ้น
เหอไป่สัมผัสได้ถึงกล้ามเนื้อที่กระตุกภายใต้ฝ่ามือตัวเอง แต่ก็ไม่สนใจเขาเพียงจ้องมองรอยแผลเป็นและก้อนกล้ามเน้อที่ตัวเองใฝ่ฝันและก็พูดอย่างล้อเลียน
“เด็กชายตี๋ ทำไมคุณสร้างกล้ามเนื้อเร็วแบบนี้? หรือว่าคุณอยู่ในวัยเจริญเติบโต?”
ตี๋ชิวเหอมีสีหน้าล่องลอย หมาน้อยแสนซนของเขาอยู่ใต้จมูกแค่คืบ
เพียงแค่ก้มตัวก็จูบได้แล้วฝ่ามือเล็กก็มาวางไว้ที่หน้าท้องใกล้กับนกน้อยของเขาอีก
ไม่ได้นี้มันเป็นการใกล้ชิดเกินไป...สีแดงที่อยู่บนใบหูก็ลามลงที่ต้นคอกับแก้ม
เพื่อเลี่ยงไม่ให้เหอไป่เห็นตี๋ชิวเหอรีบพลิกตัวจากนั้นก็วางมือล็อคไว้ที่เอวเล็กและพูดตอบโต้
“วันนี้นายต้องร้องขอความเมตตาจากผมแน่”
เหอไป่ดิ้นไปมาเพื่อให้หลุดจากการล็อคแล้วโวยวายเสียงดัง
“ปล่อยเอวผมเดียวนี้ ผมไม่บ้าจี้”
ตี๋ชิวเหอไม่สนใจเขาลูบไปมาบนผิวนุ่มนิ่มที่จับเต็มไม้เต็มมือเขาพอดี
อาจจะเป็นเพราะอีกคนไม่ได้ออกกำลังกายถึงนุ่มนิ่มขนาดนี้ ตี๋ชิวเหอรู้ตัวดีว่าเขาต้องหยุดก่อนที่จะเลยเถิด
แต่ก็ไม่อาจห้ามความต้องการส่วนลึกของตัวเอง เขาขย้ำเอวนิ่มอย่างเพลิดเพลิน
“ไปตายซะ...” เหอไป่ตะโกนด่าเสียงดัง
ร่างกายสั่นเทาด้วยความโกรธ
ตี๋ชิวเหอหยุดมือเมื่อไปโดนก้อนแข็งที่อยู่ด้านล่างของจุดที่เขาสัมผัสอยู่
“อ่า...”
เหอไป่ทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจอย่างแรงเมื่อรู้ว่าเจ้าน้องน้อยของตัวเองผิดปกติใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายและใช้แรงสุดตัวผลักอีกคน
“เด็กชายตี๋! ออกไปจากตัวผมเดียวนี้!! ลุก!!!”
ตี๋ชิวเหอรับรู้ถึงลมหายใจหอบแรงและเสียงอู้อี้ของคนใต้ร่าง
มันยิ่งทำให้นกน้อยพองโตกว่าเดิมหลังจากที่เขาสั่งให้มันสงบลงได้ ตี๋ชิวเหอรีบลุกขึ้นและดึงผ้าห่มไปคลุมตัวเหอไป่จากนั้นก็พุ่งตรงเข้าไปในห้องน้ำพร้อมขังตัวเอง
“บัดซบ! เด็กชายตี๋!!” เหอไป่รีบเอาผ้าห่มออกจากตัวเดินตรงไปที่ประตูห้องน้ำพร้อมตบประตูเสียงดัง
“จะซ่อนตัวอยู่ในนั้นหรือยังไง จะเป็นเด็กที่ไม่มีความรับผิดชอบ แม้แต่เด็กอนุบาลยังรู้เลยว่าต้องพูดขอโทษ
แต่นี้คุณอายุยี่สิบสามแล้ว! คุณเป็นคนไม่มีสามัญสำนึกหรือยังไง?!”
“ผมทำอะไรผิด?” ตี๋ชิวเหอถามหลังจากใช้น้ำเย็นล้างหน้าอย่างบ้าคลั่งเพื่อดับอารมณ์
“คุณสัมผัสโดน..! เฮอะ!!เกือบทำผมตกเตียง!!!”
เหอไป่รีบลูบเอวตัวเองและบริเวณที่ดันรู้สึกขึ้นมา เหอไป่ก็รู้สึกสงบขึ้นใบหน้าหายแดงเขาจึงกัดฟันแน่น
ให้ตายเถอะ!
ทำไมตัวเขาที่ผ่านมาสองชีวิตถึงพึ่งรู้ว่าจุดอ่อนไหวมันอยู่ที่เอวของเขา!
ส่วนทางฝั่งคนในห้องน้ำที่ตอนนี้กำลังพิงอ่างล้างหน้าอย่างหมดแรง
ความร้อนจากฝ่ามือที่สัมผัสเอวของเหอไป่ยังของอยู่ เมื่อนึกถึงเจ้านกน้อยก็กระพืบปีกอีกครั้งหลังจากที่พึ่งสงบไปได้เมื่อกี้
ดังนั้นเขาจึงรีบวักน้ำเย็นล้างหน้าและแสร้งพูดด้วยเสียงราบเรียบ
“แต่ผมก็รับนายได้!”
ตูดหมาเถอะ!
นี้คือคำขอโทษของอีกคนหรือยังไง!!
เหอไป่รู้สึกหงุดหงิดมันเป็นเรื่องตลกอะไรนี้
เขากำลูกบิดแน่นและตะโกนเสียงดัง “ออกมาเดียวนี้!
ออกมาชดเชยในสิ่งที่คุณทำ! ออกมา!!!”
“วันนี้ในกองถ่ายผมยุ่งมากและรู้สึกไม่สบายตัว
ผมต้องการอาบน้ำ” ตี๋ชิวเหอพูดด้วยเสียงราบเรียบเหมือนเคย
เหอไป่ที่ได้ยินก็พูดเย้ยหยัน
“ผมก็ด้วย! ผมก็พึ่งได้พักหลังจากเดินทางมาตั้งไกล ตอนนั้นทั้งตัวผมมีแต่กลิ่นเหงื่อ
เปิดประตูเดียวนี้!”
ตี๋ชิวเหอชะงักทันทีเมื่อสมองประมวลภาพร่างเล็กขาวเปลือกเปล่าภายใต้สายน้ำ
เจ้านกน้อยของเขาก็ดันกระพืบปีกขึ้นมาอีกครั้ง ตี๋ชิวเหอรีบถอดเสื้อผ้าและพูดด้วยเสียงที่เบาลง
“ผมเข้ามาก่อน เสี่ยวไป่รอสักแปบ”
เหอไป่ถามอย่างไม่เชื่อ “เสียงอะไรดังในนั้น คุณกำลังออกกำลังกายอยู่เหรอ?”
เสียงที่ลอดผ่านประตูเหมือนกับตอนนี้หมาน้อยกำลังมากระซิบอยู่ข้างหูทำให้อดไม่ได้ที่จะจินตนาการภาพว่าหมาน้อยกำลังเปลือยกายอยู่ภาพใต้สายน้ำเดียวกัน
สายน้ำที่เย็นช่างแตกต่างจากร่างที่ร้อนดั่งไฟตอนนี้ ตี๋ชิวเหอตัดสินใจใช้มือซ้ายปลอบเจ้านกของตัวเอง
“อืม..เสี่ยวไป่...”
เสียงน้ำดังกลบเสียงพึมพำของตี๋ชิวเหอ
ลอดผ่านประตูห้องน้ำ
“นี้คุณอาบน้ำอยู่จริงเหรอ?” เหอไป่จ้องมองประตูด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น ช่างมันยังไงไอจุดที่ไว้สัมผัสของเขาตอนนี้ก็สงบแล้ว
เมื่อนึกถึงเหอไป่ก็อับอายจึงกระแอ๋มเบาๆ “ก็ได้ครับ
เดียวผมดูทีวีรอ”
ตี๋ชิวเหอที่ได้ยินเสียงที่ลอดเข้ามาก็ยกยิ้มอย่างถูกใจ
ส่วนมือซ้ายยังทำงานไม่อยู่ หมาน้อยช่างรู้ใจเขาจริงๆ ยังให้เวลาเขาส่วนตัว...มีนเป็นที่จะการขานรับที่เข้าจังหวะพอดี
เมื่อทั้งสองเสร็จธุระส่วนตัวเรียบร้อยก็กินเวลานาน
จึงเกิดการขี้เกียจที่จะขยับตัวออกไปข้างนอกเพื่อหาข้าวเย็นกิน ตี๋ชิวเหอจึงตัดสินใจโทรสั่งอาหารขึ้นมากินบนห้องพักแทน
“ซูซิของที่นี้อร่อย นายลองซิมดู” ตี๋ชิวเหอคีบซูซิวางไว้บนจานหน้าเหอไป่
เพื่อไม่เป็นการเสียน้ำใจเหอไป่ก็คีบมันด้วยตะเกียบจากนั้นก็หยิบใส่เข้าปากเพื่อลิ้มรสชาตตาม
เมื่อเคี้ยวกำแรกนิ้วโป้งก็ยกชูตรงหน้า “สุดยอด!
อร่อยมากครับ”
ตี๋ชิวเหอยิ้มอย่างถูกใจส่วนมือขวาก็เทเหล้าพลัมใส่แก้วของเหอไป่
“เป็นธรรมดา ถ้านายชอบก็กินเข้าไปเยอะๆ ลองกินกับเหล้าพลัมมันเข้ากันดีมาก”
เหอไป่ทำตามทันทียกแก้วจิบ “มันเข้ากันมากเลย”
ตี๋ชิวเหอชอบก็ยิ้มกว้างจากนั้นก็เทเหล้าใส่แก้วของตัวเอง
เวลานี้เหมือนทั้งคู่ตัดขาดความวุ่นวายภายนอก
พวกเขานั่งดูทีวีกินดื่มอย่างมีความสุข เมื่อหนังจบก็เป็นเวลาดึกจึงตัดสินใจที่จะเข้านอน
“ผมต้องการอาบน้ำ” หน้าของเหอไป่แดงก่ำเหมือนผลเชอร์รี่
น้ำเสียงก็ลากยาวกว่าปกติ
ตี๋ชิวเหอที่เห็นแบบนั้นก็หลบเหอไป่พร้อมลูบใบหน้าแดงของตัว
เมื่อเห็นว่าร่างเล็กหายเข้าไปในห้องน้ำเขาก็ลูบหูตัวแต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเรียก
“..ตี๋ เด็กชายตี๋”
ตัวเขานิ่งเกร็งจากนั้นก็รีบเอามือลงจากใบหูอย่างรวดเร็ว
พร้อมเสียงที่ถามขึ้นอย่างร้อนรน “มีอะไรครับ?”
เหอไป่ที่ตอนนี้ถอดเสื้อของของตัวเองเรียบร้อยทำเพียงชะโงกหน้าออกมาจากห้องน้ำ
คิ้วขมวดแน่นเหมือนกำลังนึกถึงเรื่องสำคัญ “จริงด้วย
ผมลืมบอกเรื่องสำคัญ พรุ่งนี้ผมเปลี่ยนแผน...ผมว่าจะไปเยี่ยมพ่อกับแม่พรุ่งนี้
คุณจะไปด้วยไหม? หรือว่าจะพักผ่อนอยู่ที่นี่รอผมกลับมา”
เมื่อเห็นร่างขาวที่โผล่พ้นประตูห้องน้ำตี๋ชิวเหอรีบหันหลังทันที
“ผมจะไปกับนายด้วย”ไม่มีทางที่จะพลาดโอกาสดีๆที่ได้ไปเยี่ยมพ่อแม่ของหมาน้อย!
เช้าวันถัดไปตี๋ชิวเหอก็ลุกขึ้นแต่ก็สะดุ้งเมื่อสัมผัสได้ถึงมือที่กอดเอวตัวเองและใบหน้าที่ซุกอยู่ที่หน้าท้อง
ตี๋ชิวเหอเกร็งร่างจากนั้นก็ก้มหน้ากระซิบถาม
“ผมทำให้นายถึงเหรอ นอนต่อเถอะ” เท้าก็ค่อยๆเขี่ยกองเสื้อผ้าไว้ใต้เตียง
“ขอโทษที่เสียงดัง นอนต่อเถอะฟ้ายังมืดอยู่เลย”
ตี๋ชิวเหอขยี้ผมที่พันกันยุ่งให้เข้าที่จากนั้นก็ก้มตัวลงเก็บกองเสื้อผ้าหอบเข้าไปในห้องน้ำพร้อมลงมือซักผ้า
ห้องก็เงียบลงในทันที เหอไป่ที่กำลังหลับสนิทก็ลืมตาตื่นจากเสียงกดออด
จึงตัดสินใจลุกขึ้นนั่งทั้งที่ตายังปิดอยู่มือก็กุมหน้าผากที่เกิดจะอาการเมาค้างและตะโกนเสียงดัง
“เด็กชายตี๋! มีคนมากดออดที่หน้าห้องออกไปดูหน่อย!”
ไม่มีเสียงขานรับจากคนในห้องน้ำ
เมื่อว่าอยู่คนกำลังติดพันธุระ
เหอไป่ตัดสินใจลุกขึ้นนั่งจากนั้นก็จัดทรงผมให้เข้าที่
ก้มตัวหยิบเสื้อคลุมมาสวมทับชุดนอน จากนั้นก็เดินมาเปิดประตูเขาก็พบหญิงสาวสวมชุดเดรสผ้าฝ้ายสีขาวสั้นพร้อมรอยยิ้มหวานบนใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางมาอย่างดี“สวัสดีคะ ฉันชื่อตั๋งหนี๋เป็นนักแสดงใหม่ที่จะมาร่วมงานกับ...คุณเป็นใครคะ?”
เหอไป่ขมวดคิ้วแน่นจากอาการปวดหัวและหงุดหงิดทันทีเมื่อเห็นคอเสื้อรูปตัววีที่คว้านลึกและทรงผมที่ยุ่งดูไม่เรียบร้อย
เมื่อคิดว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงก็ยกมือกุมหน้าผากตัวเอง มีเพียงสาเหตุเดียวที่หญิงสาวที่แต่งหน้าแต่งตัวอย่างดีมายืนฝากตัวกับนักแสดงนำชายในตอนเช้า
มันเหมาะสมไหม!!!
บทที่ 86 เรื่องยามเช้า
ตั๋งหนี๋เห็นหน้าของเหอไป่ที่เต็มไปด้วยความงัวเงียเหมือนคนที่พึ่งตื่นนอน
สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสงสัยจากนั้นก็เดินถอยหลังหนึ่งเงยหน้ามองเลขห้อง เมื่อเห็นก็อ้าปากกว้างยกมือปัดผมด้วยความลังเล
“ขอโทษที่มารบกวนเหมือนว่าจะมาผิดห้องคะ”
“แปบ...” เหอไป่มองชุดที่เธอใส่อีกครั้ง
“คุณมาถูกห้องแล้วครับ” เจ้าเหล้าพลัมทำพิษแล้ว
ถึงแม้รสชาติหวานกินง่ายแต่เมื่อตื่นเช้ามามันทำให้สมองเขาไม่แล่น การที่ต้องมารับมือตั๋งหนี๋ที่หน้าประตูห้องของตี๋ชิวเหอในตอนเช้า
มันทำให้เหอไป่ต้องเค้นสมองอย่างหนัก ปวดหัวมาก!
ตั๋งหนี๋ชะงักขาที่กำลังก้าวเดินและหันมามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ในประตู
เธอกวาดมองอีกคนหัวจรดเท้า รอยยิ้มหุบทันทีแต่น้ำเสียงที่พูดยังคงความสุภาพ “ขอโทษนะคะ? คุณเป็นใคร...?”
“ผมเป็นคนรู้จักของตี๋ชิวเหอมาเยี่ยมเขาในวันหยุด”
เหอไป่ตอบรวบรัด เขาต้องรีบตัดปัญหาที่จะตามมา จึงตัดสินใจเปิดประตูกว้างเพื่อเช็คว่าไม่มีปาปารัสซี่ที่แอบอยู่
เพื่อเก็บภาพเอาไปทำข่าว
เหอไป่ยิ้มให้กับหญิงสาวตรงหน้า
“เดียวผมเข้าไปเรียกชิวเหอให้” ยังไม่ทันที่ตั๋งหนี๋จะปฏิเสธ
เหอไป่ก้าวเดินอย่างเร็วไปที่หน้าห้องน้ำและเคาะเสียงดัง จากนั้นก็เดินไปที่โต๊ะที่อยู่ใกล้หยิบกล้องจากกระเป๋าและหยิบโทรศัพท์ติดมือมายืนอยู่ที่หน้าประตูอีกครั้ง
“...” ตั๋งหนี๋เหมือนเป็นใบ้เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้
เธอมองกล้องและโทรศัพท์ที่ชายหนุ่มถืออยู่ จากนั้นก็มองไปที่กล้องวงจอปิดที่อยู่ปลายโถงระเบียง
มันอยู่ระยะที่กล้องไม่สามารถจับภาพเธอและคนที่อยู่ด้านในประตูได้ ใบหน้าของตั๋งหนี๋ก็แข็งค้างเธอก้มหัวเพื่อปรับอารมณ์จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นพร้อมปั้นรอยยิ้มให้ใสซื่อ
“ทำไมคุณถึงพบกล้องละคะ?”
“หืม...กล้อง” เหอไป่ที่ยืนพิงกรอบประตูอย่างเกียจคร้านก็พูดแนะนำตัว
“ผมลืมแนะนำตัวไป ผมชื่อเหอไป่เป็นรุ่นน้องที่เรียนมหาลัยเดียวกันกับตี๋ชิวเหอ
สาขาเรียนคือสื่อสารมวลชนและการถ่ายภาพ ผมหวังว่าในอนาคตจะทำงานเป็นนักข่าว มันเลยเป็นนิสัยติดตัวที่ชอบพกกล้องไปไหนมาไหนด้วย”
“...” ตั๋งหนี๋
“ผมหวังว่าในอนาคตจะได้ไปสัมภาษณ์ดาราดังอย่างคุณนะครับ”
เหอไป่พูดเรื่อยๆเหมือนกำลังบ่นมือก็นวดที่ขมับตัวเพื่อให้อาการเมาค้างดีขึ้น
“ผมได้ยินมาจากผู้กำกับเจี่ยงว่าคุณมีทั้ง ‘ความพยายามและทุนทรัพย์’
ในไม่ช้าคุณต้องได้รับความนิยมแน่นอน วันนั้นผมคงโม้กับเพื่อนนักข่างด้วยกันว่าเจอดาราดังตั๋งหนี๋ในตอนเช้าที่หน้าห้องโรงแรมของตัวเอง
เพื่อนนักข่างคงอิจฉาผมแน่นอน คุณว่าอย่างนั้นไหมครับ”
เหอไป่เน้นเสียงในคำว่า ‘ความพยายาม’ และ ‘ทุนทรัพย์’
เพื่อเน้นให้ตั๋งหนี๋คิดได้
ตั๋งหนี๋ได้ยินอย่างนั้นเธอก็ประหม่าจนเสียการควบคุมสีหน้าตัวเอง
เธอจ้องไปที่ดวงตาเหอไป่และพูดด้วยเสียงที่พยายามไม่ให้สั่น
“คุณพูดอะไร...ฉันเป็นเพียงแค่นักแสดงหน้าใหม่...”
“เสี่ยวไป่มีใครมาหาเหรอครับ” ตี๋ชิวเหอที่พึ่งอาบน้ำเสร็จพร้อมสวมเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อย ก็เดินมาหาเหอไป่ที่หน้าประตูห้อง
เห็นหญิงสาวไม่รู้จักสายตาอ่อนโยนก็จางหายไปเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวคิ้วเลิกขึ้นอย่างสงสัย
เมื่อนึกความเป็นไปได้สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นสุภาพทันที เขาเดินมายืนซ้อนหลังเหอไป่จากนั้นก็วางมือบนไหล่ของเหอไป่แสดงถึงความสนิทสนม
“คุณเป็นใคร”
เมื่อตั๋งหนี๋เห็นตี๋ชิวเหอใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความหลงใหลดวงตาเป็นประกาย
เธอไม่รู้ตัวว่าเดินก้าวขึ้นไปข้างหน้า “สวัสดีคะคุณตี๋
ฉันชื่อตั๋งหนี๋เป็นนักแสดงที่จะต้องเข้าฉากกับคุณ ฉันก็เลยคิดว่าเราควรทำความคุ้นเคย...”
“อ๋อ คุณนั้นเอง” ตี๋ชิวเหอพูดขัดขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่กว้างขึ้นจากนั้นก็เดินไปที่ห้องตรงข้ามที่อยู่เยื้ยงพร้อมกดกริ่งที่หน้าประตู
ตั๋งหนี๋เหมือนหลุดจะภวังค์กับมีสีหน้าสับสนแทน
ส่วนเหอไป่ก็ทำเพียงเบ้ปากของตัวเองลง
ไม่นานเจี่ยงหัวซานที่หัวฟูก็โผล่หน้าออกมาจากประตูห้องที่ตี๋ชิวเหอยืนอยู่เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ถามขึ้นอย่างสงสัย“ทำไมวันนี้นายตื่นเช้าไม่มีคิวถ่ายนี้แต่ก็ดีแล้วเหอไป่ตื่นหรือยังจะได้ไปกินข้าวเช้าพร้อมกัน”
“ขอบคุณที่ชวนครับ เสี่ยวไป่เขาพึ่งตื่นเมื่อกี้นี้เองคงไม่สะดวกที่ไปร่วมมื้อเช้าด้วย”
ตี๋ชิวเหอพูดด้วยน้ำเสียงเสียใจแล้วเข้าประเด็นของตัวเอง “คุณตั๋งมาถึงโรงแรมแล้วเธอบอกว่าต้องการทำความคุ้นเคยก่อนที่เธอจะเข้าฉาก แต่ผมกับเสี่ยวไป่ติดธุระเรานัดจะไปเยี่ยมหลุมศพพ่อแม่ของเสี่ยวไป่ในวันนี้
ดังนั้น..” ตี๋ชิวเหอก็เหลียวมองไปยังตั๋งหนี๋
ทางฝั่งเจี่ยงหัวซานที่ได้ยินแบบนั้นก็ชักสีหน้าไม่พอใจ
”ทำไมมาตอนนี้”
“...” ตั๋งหนี๋คิด ‘ทำไมทุกอย่างไม่เป็นตามแผนที่เธอวางไว้’
“มันก็เป็นเรื่องดีที่นักแสดงหน้าใหม่จะกระตือรือร้น
แต่นี้มันเวลากี่โมง” เจี่ยงหัวซานรู้ถึงเบื้องหลังของตั๋งหนี๋ดีแต่ตัวเขาก็ไม่ได้เกรงกลัวแม่ว่าจะไม่พอใจแต่ด้วยหน้าที่รับผิดชอบก็ต้องพูดขึ้นมา
“แม้ว่าฉากที่เธอถ่ายจะเป็นช่วงบ่ายแต่ดูเหมือนกระตือรือร้น ตามฉันมาเดียวผมจะพาเธอไปเจอครูฝึกฉากแอคชั่น”
“ขอบคุณครับ” ตี๋ชิวเหอพูดขึ้นจากนั้นก็หันไปทางตั๋งหนี๋
“คุณตั๋งผมขอโทษที่ไม่สามารถอยู่ช่วยคุณได้แต่ผู้กำกับเจี่ยงจะดูแลคุณต่อเกี่ยวกับการต่อบท
เสี่ยวไป่เดียวนายไปอาบน้ำได้เลย เรื่องมื้อเช้าเดียวสั่งมากินกันในห้อง”
เหอไป่ที่ยืนเงียบๆเหมือนคนชมที่กำลังดูละครเวทีฉากใหญ่
ก็อดไม่ได้ที่จะยกกล้องขึ้นมาจับภาพ ‘ผู้กำกับมือทองและนักแสดงกำลังคุยกันอย่างจริงจัง’
เหอไป่โบกมือขึ้นให้ตั๋งหนี๋พร้อมรอยยิ้มใสซื่อ “คุณตั๋งผมขอให้คุณประสบความสำเร็จและราบรื่น”
ในวงการบันเทิงมีนักแสดงหน้าใหม่ผุดอย่างดอกเห็ด
แต่บางคนก็เหมือนพลุที่สว่างเพียงแปบเดียวก็ดับไป ไม่เหมือนบางคนที่เป็นแสงประกายเหมือนดาวค้างฟ้าพวกเขาทั้งรู้จักการวางตัวและรักษาชื่อเสียงของตัวเอง
เหอไป่ก็พึ่งเข้าใจในความหมายก็วันนี้เอง
ตี๋ชิวเหอเดินเข้ามากุมมือของเหอไป่
“เสี่ยวไป่ครับ ไม่ต้องอวยพรให้คุณตั๋งหรอกครับ การเข้าฉากครั้งแรกของเธอเธอต้องเต็มไปด้วยความมั่นใจอยู่แล้วก็เธอทั้งมี
’ทักษะและทุนทรัพย’ ยังไงเธอก็สำเร็จอยู่แล้ว”
[T/N: ทุนทรัพย์ในประโยคนี้น่าจะเหมือนกับประชดว่าเธอใช้เรือนร่างตัวเองเพื่อเป็นทุน]
ตั๋งหนี๋ได้ยินก็มีรอยยิ้มเขินอาย
เธอก้มหน้าลงเพื่อซ่อนสีหน้าที่แดงจากนั้นก็เก็บผมที่ตกลงมาทัดใบหู
ให้พูดตามตรงว่าตั๋งหนี๋เหมือนเป็นมือใหม่ของวงการนี้ซ้ำยังอ่อนประสบการณ์
เธอไม่สามารถรับรู้ได้ว่าทำพูดทั้งหมดนั้นเอ่ยชมหรือจะเป็นการว่ากระทบ
แต่ยังไงเธอก็หงุดหงิดในความพยายามของตัวเองที่ไร้ประโยชน์
‘ทำไมทุกอย่างถึงผิดแผน’
หลังจากผู้กำกับเจี่ยงพาตั๋งหนี๋ไปพบครูฝึกเพื่อนัดคิวเข้าฉากและเตรียมความพร้อมจากไป
ในที่สุดทั้งตี๋ชิวเหอและเหอไป่ก็มีเวลาส่วนตัว เหอไป่ก็ปิดปากหาวของตัวเอง
ส่วนตี๋ชิวเหอที่พึ่งวางสายหลังสั่งอาหารเช้าเสร็จก็มิงไปทางเหอไป่ที่มีสีหน้าซีดพร้อมพูดด้วยเสียงที่กังวล
“นอนไม่พอเหรอครับ? ตอนนี้ตาของนายแดงมากยังไงก็ไปนอนต่ออีกสักพักก็ได้”
“ไม่..ผมเพียงแค่แฮ้งค์และปวดหัวเท่านั้น”
เหอไป่ยกมือนวดขมับตัวเอง “ผมนอนต่อก็ไม่หลับแล้ว
เดียวไปล้างหน้าจะได้ออกเดินทางแต่เช้า คุณจะได้รีบกลับมาถ่ายหนังต่อ”
เมื่อได้ยินตี๋ชิวเหอก็ไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิมและต่อว่าตั๋งหนี๋ในใจที่ทำให้หมาน้อยต้องตื่นแต่เช้า
จากนั้นก็เดินเข้าหาร่างเล็กและหยิบกล้องกับโทรศัพท์จากเหอไป่
“ผมขอยืมรถจากคนในกองถ่ายไว้แล้ว ระหว่างทางนายค่อยไปนอนบนรถ อยากกินมื้อเช้าอะไรพิเศษไหมเดียวผมสั่งเพิ่มให้...”
“ลดเสียงหน่อยผมปวดหัว” เหอไป่ตอบไปอีกทาง จากนั้นก็มองตี๋ชิงเหอหัวจรดเท้ามือก็จับคางด้วยความสงสัย
“น่าแปลก...ทำไมวันนี้คุณใจดีกับผมมากกว่าปกติ มันดูแปลก...”
บทที่ 87 คุณหล่อ
“นายพูดว่าอะไรนะ” ตี๋ชิวเหอถามขึ้นอย่างตกใจ
ร่างกายแข็งค้างนี้ตัวเขาเองออกอาการมากเกินไปไหม? หรือว่าหมาน้อยรู้ความในใจของเขา?
หากเป็นอย่างนี้เขาสารภาพไปเลยดีไหม...
“คุณเป็นอะไรชิวเหอ?” เหอไป่ยิ้มชั่วร้ายลึกลับเหมือนตัวร้ายในละคร “หรือว่าคุณทำแบบนี้เพื่อขอบคุณที่ผมช่วยกันคุณตั๋งให้?
ไม่เป็นไรยังไงเราก็เป็นพี่น้องกันผมยินดีที่จะช่วยคัดผู้หญิงที่ไม่เหมาะสมให้คุณ
แม้ว่าคุณตั๋งจะหน้าตาดีแต่มันก็พบได้ดาษดื่นไปทั่วไปในมหาลัยผมสงสัยจังว่าทำไมผู้กำกับเจี่ยงถึงเลือกเธอ?”
แล้วเหอไป่ก็ยกนิ้วโป้งขึ้นตรงหน้าตี๋ชิวเหอ “แล้วฝีมือการแสดงของคุณสุดยอดมากผมขอยกนิ้วให้คุณเลย!!”
“...” เอ่อ...ไป่
เหอไป่ยกให้ตี๋ชิวเหออย่างชื่นชม แม้ว่าคงตัวเองจะมีอาการปวดหัวจากการเมาค้างแต่ก็อดไม่ได้ที่จะซุบซิบ
“แล้วคุณรู้เหตุผลไหมว่าทำไมผู้กำกับเจี่ยงถึงเลือกเธอ” เมื่อพูดจบก็ไม่รอคำตอบเหอไป่ก็ตัดสินใจเดินเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเอง
“....” ทิ้งตี๋ชิวเหอยังคงยืนค้างเป็นถูกสาปอยู่กลางห้อง
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงทั้งสองก็พร้อมที่จะเดินทาง
ตี๋ชิวเหอที่ประจำที่นั่งคนขับก็กำลังจับกระจกมองหลังให้เข้าที่ เหอไป่ที่นั่งข้างคนขับก็จับเข็มขัดนิรภัยมาคาดจากนั้นก็แกะกล่องอาหารเช้าที่มีแซนวิซที่อีกคนสั่งเตรียมไว้เป็นมื้อเช้าพร้อมมองร่างสูงที่นั่งตรงข้ามของตี๋ชิวเหอไม่วางตา
“มีอะไร?” ตี๋ชิวเหอหันมองคนที่อยู่ด้านอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย
“คุณหล่อ..”
ตี๋ชิวเหออดไม่ได้ที่จะหยีบคันเร่งอย่างแรง
ดีที่ยังไม่ออกจากลานจอดรถ
เหอไป่ที่ถูกรถรถกระชากก็แนบตัวไปกับเบาะรถ ดีที่เขายังไม่ได้เอาแซนวิซเข้าปาก
ยังไงเขาจะไม่มีทางนำมันเข้าปากจนกว่ารถที่ตี๋ชิวเหอขับจะวิ่งเป็นปกติบนท้องถนน โชคดีที่เขาตัดสินใจอย่างนั้นไม่อย่างนั้นเขาต้องสำลักแซนวิซตาย“คุณได้ใบขับขี่มาได้ยังไง? ผมไม่เคยเห็นใครขับรถได้แย่เท่าคุณเลย”
ตี๋ชิวเหอยกมือขยับปมเนคไทอย่างทำตัวไม่ถูก ใบหูทั้งสองแดงก่ำ
และตั้งมั่นว่ายังไงว่านี้เขาจะโชว์ฝีมือขับรถลบคำสบประมาทของเจ้าหมาน้อย
“คันเร่งมันแข็ง! รถคันนี้ผมพึ่งเคยขับเลยไม่คุ้น”
ตี๋ชิวเหออธิบายออกมาอย่างจริงจัง
“ก็ได้ผมจะพยายามเชื่อคุณ” เหอไป่กลอกตามองฟ้า เมื่อรถแล่นด้วยความเร็วปกติจึงตัดสินใจหยิบแซนวิซมาใส่ปากและเคี้ยวลงคอ
“วันนี้คุณหล่อจริงๆ ชุดที่คุณสวมวันนี้มันดูแปลกตามันดูไม่เป็นทางการไปแต่ก็ไม่เหมือนชุดใส่อยู่บ้านผมว่ามันก็เหมาะกับคุณดี....ขอบคุณนะครับ”
ทุกครั้งที่เหอไป่พบตี๋ชิวเหอก็พบเห็นอีกคนชอบสวมชุดลำลองสบายๆ
แต่เพื่อไปเยี่ยมพ่อแม่ของตัวเองตี๋ชิวเหอถึงขนาดหยิบชุดสูทที่กึ่งทางการขึ้นมาใส่
มันทำให้เหอไป่รู้สึกอบอุ่นในใจ
เมื่อได้ยินหมาน้อยพูดตี๋ชิวเหอไม่ได้เผลอหยิบคันเร่งแต่กับหักพวงมาลัยจนล้อรถเป็นรูปตัว
S เหอไป่รีบปิดกล่องแซนวิซและจับเข็มขัดนิรภัยแน่นพร้อมพูดอย่างเร่งด่วน
“คุณจอดที่ทางแยกตรงหน้าเลยเดียวผมจะขับต่อเอง” ถึงแม้จะตัวเขาเองไม่มีใบขับขี่แต่เขาก็มั่นใจว่าขับดีกว่าตี๋ชิวเหอ
“ฝีมือขับรถของคุณทำให้ผมหัวใจจะวาย”
ตี๋ชิวเหอหงุดหงิดถึงแม้ว่าตัวเองจะชอบที่หมาน้อยเอ่ยชมแต่ก็อดไม่ได้ที่จะโกรธเมื่อเจ้าลูกหมาดูถูกฝีมือของขับรถของตัวเอง
“ผมขับรถได้ดีถ้านายช่วยเงียบเสียง เมื่อคืนนายนอนไม่พอทำไมไม่นอนหลับไปก่อนล่ะ”
“นี่คุณต่อว่าผม...” เหอไป่เสียงสูงอย่างคุมไม่อยู่ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตี๋ชิวเหอเป็นคนที่อยู่หลังพวงมาลัยรถ
ก็ควบคุมตัวเองแล้วพูดต่ออย่างเป็นกังวล “ผมกลัวว่าถ้านอนหลับแล้วตื่นขึ้นมา
พ่อของผมจะมายืนรับผมที่สะพานแม่น้ำเหลืองเพื่อมารับผมไปอยู่ด้วย”
ตี๋ชิวเหอหัวไปมองเหอไป่ “พูดเรื่องไร้สาระอะไร!!!”
“ระวัง!! คุณช่วยมองถนนด้วยสิ!!!” เหอไป่กำเข็มขัดนิรภัยในมือตัวเองแน่นและโทษตัวเองที่ตอนแรกยอมให้ตี๋ชิวเหอขับรถแทนที่จะขึ้นรถสาธารณะ
เหอไป่เงียบเสียงทันทีหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวตัวเองแล้วพูดด้วยเสียงสั่นๆ
“ผมตั้ง GPS ไว้แล้วคุณก็ขับตามเส้นทาง
ผมจะนอนเงียบๆ คุณก็ช่วยตั้งใจขับรถ อย่าให้ผมไปอยู่กะพ่อแม่ก่อนวัยอันควร”
เมื่อได้ยินแบบนั้นตี๋ชิวเหอก็อดหมั่นเขี้ยวไม่ได้ที่จะยื่นมือไปจับที่เอวของเหอไป่
เมื่อรู้ตั้งแต่เมื่อวานว่าจุดนี้เป็นจุดอ่อนไหวของหมาน้อย
เหอไป่ดิ้นไปมาเหมือนปลาขาดน้ำ
จากนั้นก็ดึงผ้าห่มออกจากหัวเองเองแล้วพูดดุ “คุณทำอะไร?
อยากตายเหรอครับ?”
ตี๋ชิวเหออารมณ์ดีขึ้นทันทีเขาหยุดแกล้งและมองไปตามถนนเอาใจเหอไป่
รอยยิ้มระบายทั่วใบหน้าแผ่มาถึงริมฝีปากเหอไป่เมื่อเห็นว่าคนร่วมทางเขาทำตัวเป็นเด็กดีก็หยิบผ้าห่มมาคลุมหัวอีกครั้งเหมือนอาการ
‘ไม่อยากเห็นหน้าของอีกคน’ เมื่อผ่อนคลายและจะอากาศเย็นสบายภายในรถเหอไป่ก็จมในห้วงความฝันอีกครั้ง
ตี๋ชิวเหอที่หยุดรถจอดเมื่อถึงแยกไฟแดงก็หันมามองด้านข้างเมื่อสังเกตว่าหมาน้อยเงียบเสียง
ก็ค่อยๆดึงผ้าห่มจากใบหน้าของหมาน้อยเพื่อให้อีกคนนอนสบายขึ้น รอยยิ้มและสายตาที่ทอดมองก็เต็มไปด้วยความเอ็นดูจากนั้นก็ยื่นนิ้วไปจิ้มที่ลักยิ้มแกล้มซ้ายของเด็กหนุ่ม
“หมาน้อยแสนซน”
ตี๋ชิวเหอจอดรถเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง มันเป็นสุสานขนาดเล็กที่เงียบสงบที่ชานเมือง
D
เมื่อจอดรถเรียบร้อยก็ปลุกเหอไป่ที่ลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย แล้วเอื้อมมือไปหยิบของที่เบาะหลังรถ
“นี่คุณเอาเวลาตอนไหนไปเตรียมของเหล่านี้”
เหอไป่มองช่อดอกไม้ช่อโตในอ้อมแขนของตัวเอง ทางฝั่งของตี๋ชิวเหอก็ถือเหล่าธูปเทียนของไหว้ที่เดินตามเหอไป่ข้างๆ
ตี๋ชิวเหอใช้มือซ้ายที่ว่างจากการถือของขยับเนคไทให้เข้าที่พร้อมด้วยด้วยเสียงเรื่อยๆ
“ผมสั่งให้เลขาหวังเตรียมไว้ให้”
เหอไป่ได้ยินแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะมองท่าทางที่กำลังจัดความเรียบร้อยของตี๋ชิวเหอและมองไปยังเสื้อสูทลำลองสีดำน้ำเสียงที่พูดก็อดเย้าแหย่เต็มไปด้วยความชื่นชม
“พ่อแม่ของผมต้องชอบคุณแน่ๆ ผมว่า”
ตี๋ชิวเหอขยับตัวไปทางซ้ายเพื่อหลบสัมผัสจากมือหมาน้อยที่เหมือนจะช่วยจัดเสื้อผ้าตัวเอง
พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่ปกติที่สุด “ทำไม...”
“เพราะคุณหล่อ..” เหอไป่ตบไปที่บ่าของตี๋ชิวเหอเบาๆ
จากนั้นก็ทิ้งมือตังเองข้างตัว สายตาก็ทอดมองไปยังเส้นทางตรงหน้าที่ยาวสุดลูกหูลูกตา
สายตาที่สื่ออารมณ์ออกมาตอนนี้เต็มไปด้วยความคิดถึงและเศร้าสร้อยเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
“เพราะพ่อแม่ของผมพบเจอแต่สิ่งน่ารังเกลียดแม้แต่ตอนที่พวกท่านตาย ผมคิดว่าพวกท่านเห็นสิ่งสวยงามพวกท่านต้องชอบมันแน่นอน...อีกอย่างวันนี้คุณก็ดูดีมากและหล่อมากด้วย
ผมคิดว่าท่านทั้งสองต้องชอบคุณอย่างแน่นอน”
ตี๋ชิวเหอไปไม่คาดคิดว่าจะได้คำตอบแบบนี้
เขาจึงยิ้มให้กำลังใจและมองเหอไป่อย่างผ่อนคลาย “ผมเชื่อว่าพวกท่านตอนนี้มีความสุขแน่นอน”
เหอไป่ยิ้มกว้างสลัดทิ้งอารมณ์ของตัวเอง “วันนี้คุณเป็นเด็กดีมาก” และเดินตามเส้นทางที่ทอดยาวเคียงข้างตี๋ชิวเหอ
“ที่นี้เหละครับ” เหอไป่วางช่อดอกไม้ในอ้อมแขนไว้หน้าหลุมศพจากนั้นก็นั่งยองๆที่หน้าป้ายหลุมศพ
เขายกมือไว้พ่อแม่ตัวเองด้วยรอยยิ้มกว้างเหมือนว่าพวกท่านนั่งมองอยู่ตรงหน้า
“พ่อครับแม่ครับวันนี้ผมมาหา เป็นยังไงบ้างอยู่บนนั้นสบายดีไหมผมสบายดีวันนี้ผมพาเพื่อนของผมมาเยี่ยมพวกคุณด้วย
อะไรนะเพื่อนผมหล่อ? ฮ่าฮ่าฮ่า
ยังไงพ่อกับแม่ก็อวยพรให้ผมด้วยนะครับ”
ตี๋ชิวเหอเต็มไปด้วยสีหน้าสับสน สายตาจ้องไปที่เหอไป่ด้วยสายตาลึกลับ
จากนั้นก็ก้าวเดินไปวางช่อดอกไม้ของตัวเองข้างช่อดอกไม้ของเหอไป่ และโค้งตัวอย่างสุภาพที่หน้าหลุมศพทั้งสอง
และพูดอย่างจริงจัง “สวัสดีครับ ผมชื่อว่าตี๋ชิวเหอ”
ตี๋ชิวเหอก็พูดขึ้นเสียงหนักแน่น “ผมชื่อตี๋ชิวเหอ ผมขอฝากตัวด้วยครับ”
ทั้งสองยืนอยู่ที่เดิมเกือบชั่วโมงมันทั้งเสียงสงบ
เหอไป่จึงค่อยๆนืนขึ้นและตบไปที่ฝึ่นที่อยู่ตามขากางเกงและหันไปขอธูปจากตี๋ชิวเหอเพื่อจุดไหว้พ่อแม่
“ครั้งหน้าผมจะมาเยี่ยมใหม่นะครับ อย่าลืมอวยพรให้ผมมีแต่โชคดีและร่ำรวยด้วยล่ะ”
จากนั้นก็ปักธูปในกระถางตรงหน้าและถอยหลังให้ตี๋ชิวเหอที่ยืนเยื้องข้างหลังขึ้นมาแทนที่
ฝั่งตี๋ชิวเหอยืนไหว้ในมือก็มีธูปที่จุดไว้ จากนั้นก็พูดในใจ
‘คุณพ่อคุณแม่สบายใจได้เลยครับ
ผมจะรักและดูแลน้องเป็นอย่างดี’ พร้อมก้มตัวไปปักธูปเมื่อตัวธูปปักถึงกระถางก็มีเสียงดัง...
เปรี้ยง!
ก็มีประกายฟ้าแลบตามด้วยเม็ดฝนที่ตกลงมาอย่างฟ้ารั่ว
ทั้งที่ท้องฟ้ายังเต็มไปด้วยความแจ่มใส
ธูปที่ตี๋ชิวเหอถืออยู่ที่ปักอยู่ในกระถางก็ดับคามือของตัวเอง
เหอไป่พูดอย่างโอดควรญ “พ่อแม่ครับ นี้ไม่ต้องการให้ผมร่ำรวยใช่ไหม...โห!!”
“....” ตี๋ชิวเหอมือยังค้างอยู่ที่เดิม
ไม่จริงน่า!!!!
มันเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น
บทที่ 88 วิลล่ารีสอร์ท
เม็ดฝนเริ่มตกแรงขึ้นเหมือนคนที่อยู่บนฟ้ากำลังโกรธจัด
ทั้งสองรีบวิ่งกลับมาที่รถเมื่อขึ้นไปนั่งสภาพของทั้งคู่ก็เหมือนลูกหมาตกน้ำ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดูสภาพของคุณตอนนี้” เหอไป่หัวเราะอย่างอารมณ์ดีจนโชว์ลักยิ้มที่แกล้มซ้าย ระหว่างที่จัดการถอดเสื้อคลุมที่เปียกและขยี้ผมให้ละอองน้ำออกจากหัว
มันน่าดึงดูดจนตี๋ชิวเหอไม่อาจละสายตา
“ถือว่าโชคยังดีที่ผมไม่ได้เอากล้องลงไปด้วย”
เหอไป่ห่อเสื้อผ้าเปียกและโยนมันไว้หลังรถจากนั้นก็รื้อกระเป๋าเป้หยิบผ้าขนหนูออกมาสองผืน
และโยนอีกผืนไปทางตี๋ชิวเหอส่วนอีกผืนเช็ดผมตัวเองและพูดเสียงดุ “เอาไปเช็ดตัวก่อนเดียวไม่สบาย อีกสองวันคุณต้องเข้าฉากไม่ดีที่คุณจะป่วย”
ตี๋ชิวเหอยกผ้าขนหนูเช็ดหน้าพร้อมสูดลมหายใจเอากลิ่นประจำตัวของหมาน้อยเข้าปอด
เมื่อมองไปทางหมาน้อยก็มีดวงตาเปล่งประกายทอแสงอ่อนโยน เมื่อได้ยินเสียงดุก็ถอดเสื้อสูทและคายเนคไทอย่างเชื่องช้า
“เร็วครับ!” เหอไป่หยิบเสื้อของตี๋ชิวเหอที่เปียกมาห่อเก็บและโยนไปรวมกับเสื้อผ้าตัวเองหลังรถ
จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อดูว่าเวลากี่โมง “เราแวะซื้อเสื้อผ้าก่อนค่อยหาอะไรกิน...ไม่ไม่
คุณเด่นเกินไป รอผมอยู่ในรถเดียวผมลงไปซื้อให้
คุณใส่เสื้อผ้าไซส์ไหนเดียวผมลงไปซื้อให้ ผมว่าซื้อแว่นตากะแมสปิดปากด้วยก็ดี เราจะไม่กินข้าวเที่ยงถ้าคุณไม่เรียบร้อย”
ตี๋ชิวเหอที่ได้ยินแบบนั้นก็มองเวลามันเป็นเวลาที่ใกล้เที่ยงแล้วก็ก้มมองกางเกงตัวเองที่เปียกแนบกับขา
จากนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย “อืม..เราไปที่ห้างใกล้เพื่อซื้อเสื้อผ้าก่อน”
มือก็เอื้อมไปเปิดอีทเตอร์ทำความร้อนในรถจากนั้นก็โยนผ้าขนหนูที่เปียกไปทางเหอไป่
และสตาร์ทรถออกตัวทันที
เหอไป่หัวร้อนขึ้น เขาตั้งใจจะโยนผ้าขนหนูกับไปแต่ก็ต้องชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าขับรถพร้อมมีผ้าขนหนูมันไม่สะดวก
จึงตัดสินใจพับผ้าเก็บไว้ที่กระเป๋าเป้จากนั้นก็หยิบกระเป๋ากล้องติดมือมา เหอไป่หยิบกล้องออกมาจากกระเป๋าพร้อมปรับเลนส์และยกไปทางตี๋ชิวเหอที่มีสีหน้าจริงจังกับการขับรถ
แซ็ต!!
ตี๋ชิวเหอหันมองมาทางเสียงของกล้อง
และก็หันไปมองถนนต่อ
“วันนี้ผมเก็บภาพคนขับรถที่อยู่ในสภาพหมาตกน้ำ!
ถ้าเอาไปประมูลจะได้เท่าไร คุณคิดว่าตัวเลขในบัญชีของผมจะเพิ่มหลายหลักไหม ฮ่าฮ่าฮ่า”
เหอไป่หัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์เหมือนจิ้กจอกที่เต็มไปด้วยความโลภ
“เด็กชายตี๋ คุณควรให้ผมถ่ายรูปคุณเยอะๆ เงินในกระเป๋าของผมขึ้นอยู่กับความนิยมของคุณ
ผมจะได้เก็บเงินซื้อสักที”
ตี๋ชิวเหอหัวเราะให้กับอาการของหมาน้อยที่โบกมือไปมาในอากาศเหมือนแสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองในอนาคต
ตี๋ชิวเหอปลดกระดุมเม็ดบนลงสองเม็ดโดยไม่สน ‘เสียงฟ้าฝ่า’
ที่ร้องตามหลัง และพูดด้วยความคลุมเครือ “ไม่สนใจที่จะถ่ายภาพเปลือยของผมหรือไง?
ไม่เพียงแค่เงินดาวน์บ้านนายได้รถยนต์เลยนะ”
เหอไป่เหลือบมองตี๋ชิวเหอ
บรรยากาศตอนนี้มืดครึ้มจากการที่ฝนตกและยังเสียงสลัวภายในรถ
ด้านข้างของตี๋ชิวเหอที่ตอนนี้สายตามองไปบนท้องถนน จึงทำให้เห็นเพียงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และสายตาเย้าแหย่ของตี๋ชิวเหอเท่านั้น
จมูกของตี๋ชิวเหอเหมือนถูกปั้นแต่งจากศิลปินเอกทำให้ใครที่พบเจอก็เหมือนตกอยู่มนต์สะกด
นิ้วมือเรียวยสวยที่กำลังจัดแต่งปกเสื้อที่เปียกลู่แนบไปกับลำตัวเผยให้เห็นถึงมัดกล้ามอยู่ภายใต้เสื้อ
กระดุมเสื้อที่ถูกปลดสองเม็ดเผยให้เห็นถึงไหปลาร้าที่สวยงามมันขยับขึ้นถึงในตอนที่ตี๋ชิวเหอพูด
ให้ตายเถอะอีกคนเหมาะกับความว่าสวยกว่าผู้หญิงซะอีก! ความว่างดงามไม่เพียงใช้กับผู้หญิงแต่ชายตรงหน้าก็เหมาะกับประโยคนี้
เหอไป่รู้ถึงความหมายของตี๋ชิวเหอ
เขาไม่ลังเลที่จะยกกล้องถึงถ่ายอีกหลายภาพ
“เพอร์เฟค!
คุณเหมาะกับการถ่ายภาพแนวเซ็กซี่มันจะดึงดูดเหล่าสาวให้มาเลียหน้าจอ!”
“....” ตี๋ชิวเหอ
“ผมมีศิษย์พี่ที่เก่งในด้านการถ่ายภาพเปลือย
ถ้าคุณสนใจเดียวผมติดต่อเขาให้ ศิษย์พี่ผมได้ยินเขาคงกระโดดตัวลอยแน่นอน ไม่ต้องกังวลเดียวผมบอกให้เขาว่าคุณต้องการใส่กางเกงใน”
เหอไป่ออกความเห็นในข้อเสนอที่หอมหวานนี้
ตี๋ชิวเหอเหยียบคันเร่งทันทีพร้อมรอยยิ้มที่หุบฉับ
เหอไป่รีบคว้าเบาะรถเพื่อทรงตัวพร้อมมองสีหน้าของตี๋ชิวเหอด้วยความกังวล
“คุณหนาวเหรอ? ผมสังเกตได้ว่าคุณเหยียบคันเร่งแทนเบรก
มันไม่ควรที่จะขับรถเร็วในตอนที่ฝนตกหนัก”
“ผมไม่หนาวเพียงแค่ขามันลื่น” ตี๋ชิวเหอขบฟันแน่นหัวคิ้วก็ขมวดถักเป็นปม มันกัดให้จมเขี้ยว! ไม่หนาวไม่หนาวเลยตอนนี้มันแทบร้อนอย่างอยู่ในกองไฟ
มันช่างๆๆๆ เขาอยากจะขย้ำเจ้าหมาน้อยที่ในหัวมีแต่ขี้เลื่อย
ในสมองคิดอะไรถึงยอมให้คนอื่นถ่ายรูปเปลือยของเขา?
อะไรคือช่วยบอกให้สวมกางเกงใน? หมาน้อยของเขาช่างใจดีมาก
มากจึงทำให้ตัวเขาสั่น!!!
แน่นอนนายต้องเห็นฉันใส่กางเกงในแน่แต่ต้องเห็นตอนอยู่บนเตียงนอนของเขาเท่านั้น!
และนายก็ต้องใส่มันนอนอยู่บนเตียงของฉัน!! มันต้องเซ็กซี่แน่เมื่อคิดภาพหมาน้อยนอนอยู่บนเตียง
เปรี้ยง!!
เหอไป่ที่ได้ยินเสียงฟ้าร้องก็เบิกตาโต เขามองไปที่ท้องฟ้าที่มืดมิดและเสียงประกายจากฟ้าผ่า
จากนั้นก็ยกกล้องเก็บภาพพร้อมอุทานเสียงดัง “ผมไม่เคยเห็นฟ้าร้องในช่วงฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้
มันช่างน่าแปลกตาจริงๆ”
ตี๋ชิวเหอไม่ได้ยินเขาเพียงแค่จมอยู่ในจินตนาการตัวเองที่นอนเปลือกายสวมกางเกงในบนเตียงสีผ้าที่มีเพียงผ้าห่มคลุมกายทอดสายตามองกล้องอย่างเย้ายวนส่งสายตาเชิญชวนคนที่อยู่หลังกล้องให้ตามลงมาบนเตียง...
เปรี้ยง! เปรี้ยง!!
ประกายฟ้าผ่าคมชัด
เหอไป่วางกล้องลงและยี้ดวงตาเรียวเล็ก “พระเจ้า!
แสงประกายจากฟ้าผ่านั้นเท่ห์และสวยมาก”
“...” ตี๋ชิวเหอ
กลิ่นหอมหวานที่ฟุ้งกระจายเต็มรถทำให้ไม่อาจหยุดตัวเองให้จินตนาการต่อ
เขามองร่างเล็กที่อยู่หันกล้องที่ค่อยปล่อยกล้องพร้อมปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ดตามด้วยถอดกางเกงช้า
เผยให้เห็นชั้นในที่เหมือนกับตัวเอง
เปรี้ยง!!!
ตามด้วยสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาไม่หยุด
เหอไป่กำมือแน่นพร้อมขมวดคิ้ว “ฝนตกหนักได้ยังไง? ระวังถนนลื่นนะครับ”
“....” ตี๋ชิวเหอนิ่งเงียบ ‘ทำไมมันดังทุกครั้งที่เขาคิด...’
ในที่สุดรถยนต์คันที่ทั้งสองนั่งก็มาถึงลานจอดรถหน้าห้างสรรพสินค้าอย่างปลอดภัย
เหอไป่ลงไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ขณะที่ตี๋ชิวเหอก็นอนหลับตารออยู่บนรถ
เมือง M เป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ติดกับเมือง
D มีบ้านเรือนเพียงเล็กน้อย บรรยากาศในเมืองจึงเงียบสงบและเรียบง่ายเหมาะกับการมาพักผ่อน
ตอนนี้ฝนที่ตกหนักหยุดแล้ว ตี๋ชิวเหอลืมตามองเสียงหัวเราะที่ลอดเข้ามาในรถก็เห็นเด็กเล็กๆที่ออกมาวิ่งเล่นอย่างมีความสุข
ริมฝีปากก็เหยียดออกมาอย่างลึกลับ
“คุณคิดเรื่องเลวร้ายอยู่แน่? หน้าตาของคุณตอนนี้เหมือนโจรที่ลักพาตัวที่กำลังเลือกว่าจะเอาเด็กคนไหนดี”
เหอไป่เดินมาเปิดประตูรถฝั่งคนขับจากนั้นก็ยื่นถุงเสื้อให้ตี๋ชิวเหอ
หลังจากมองไปรอบๆให้แน่ใจว่าไม่มีใครก็พร้อมด้วยเสียงที่ร้อนรน “เร็วครับ! รีบเปลี่ยนชุดเราจะได้ไปร้านอาหารกัน” เหอไป่ปิดประตูพร้อมหลังหันให้ตี๋ชิวเหอเขายืนเฝ้าอยู่ตรงนั้นเพื่อบังคนที่อยู่ในรถ
ตี๋ชิวเหอมองถุงเสื้อผ้าที่เหอไป่ซื้อมาให้มันเป็นสไตล์เดียวกันที่เขาชอบใส่
ช่างรู้ใจ..แต่ก็น่าเสียดายที่มันไม่เป็นเสื้อคู่ตี๋ชิวเหอรีบเปลี่ยนเสื้อเมื่อเรียบร้อยก็เคาะกระจกเตือนให้เหอไป่รู้สึกตัว
วันนี้เป็นวันหยุดยาวทำให้ผู้คนออกมาเที่ยวห้างเยอะมันจึงแออัดไปด้วยฝูงคน
ตี๋ชิวเหอถึงเลือกห้องอาหารที่มีห้องส่วนตัวเพื่อทานมื้อเที่ยง
ทั้งสองกินข้างเสร็จก็เป็นเวลาบ่ายสอง
ตี๋ชิวเหอจึงตัดสินใจขับรถต่อเพื่อไปกับไปที่พักที่จองไว้
ระหว่างที่นั่งรถเหอไป่ที่หนังท้องตึงหนังตาก็ปิดทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศผ่อนคลายและเพลงคลาสสิคที่ตี๋ชิวเหอคลอบนรถ
เมื่อลืมตาอยู่ครั้งก็เห็นประตูของรีสอร์ตวิลล่าแทนที่จะเป็นโรงแรมที่เขาพัก
“เรายังเหลือวันหยุดสองวัน แทนที่จะกับไปรับมือกับตั๋งหนี๋ในโรงแรม
เราควรพักผ่อนเอาแรงไว้ดีกว่า” ตี๋ชิวเหอพูดพร้อมปลดเข็มขัดนิรภัยของตัวเองและเอื้อมมือมันปลดให้กับเหอไป่ที่มีสีหน้างัวเงีย
“ผมจองห้องพักไว้แล้ว มันเป็นบ้านพักที่มีความเป็นส่วนตัวสูง”
เหอไป่ขานรับอย่างคนที่สติยังกับมาไม่ครบถ้วน
เมื่อมองอ่านไปที่ป้ายของรีสอร์ทก็ส่งเสียงอย่างตื่นเต้นหายจากความงัวเงียทันที
“น้ำพุร้อน? ที่นี่มีน้ำพุร้อน? เราสามารถแช่ตัวได้ไหม?”
คำถามของเหอไป่ปกปิดความตื่นเต้นไว้แทบไม่ได้
แสดงออกถึงความต้องการของตัวเอา ทางตี๋ชิวเหอเมื่อเห็นเหอไป่เป็นแบบนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ
จากนั้นก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มมีความสุข “แน่นอนเรามีบ่อน้ำพุร้อนส่วนตัวและอาหารที่นี่ก็ขึ้นชื่อหลายเมนู”
“เด็กชายตี๋ คุณช่างหล่อมาก!!” เหอไป่ตบขึ้นไหล่อย่างชื่นชมจากนั้นก็ก้าวลงจากรถและยืดเส้นยืดสายคลายความเมื่อยล้า
ช่างเป็นวันหยุดที่ดีเยี่ยม!
ทั้งได้แช่น้ำร้อนและได้กินอาหารเลิศรส อ่า...ช่างเป็นวันหยุดที่แสนวิเศษ
ลานกว้างของรีสอร์ทถูกจัดแต่งอย่างเก๋ไก๋กลมกลืนกับกับธรรมชาติ
ช่างเป็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของธรรมชาติ บ้านหลังที่ตี๋ชิวเหอจ้องไว้เป็นบ้านพักหลังเล็กๆ
ที่เงียบสงบ ภายในบ้านมีห้องนอนใหญ่ห้องเดียว
กลางห้องมีผ้าปูที่นอนสองที่ไว้เคียงกัน เมื่อเปิดบานประตูอีกฝั่งก็เห็นบ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้งที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงามและเป็นส่วนตัว
เหอไป่เห็นบ่อน้ำพุร้อนเขาก็รีบหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมันสวมทันที
เขาไม่สามารถปล่อยวางสิ่งล่อตาล่อใจนี้ได้ เหอไป่จึงเอ่ยช่วยตี๋ชิวเหอไปแช่ด้วยกัน
อ่า..เหอไป่ที่ทิ้งตัวนอนบนที่นอนหลังจากที่แช่บ่อน้ำพุร้อนเรียบร้อย
และตีมือไปมาบนที่นอนนิ่ม อ่ามันช่างสบายมาก! สบายอย่างที่สุด!!
“ผมสั่งมื้อค่ำไว้เรียบร้อยแล้ว” ตี๋ชิวเหอนั่งลงข้างตัวเหอไป่จากนั้นก็จับที่ผมเปียกชื่นของเหอไป่พูดหยอกล้อ
“ผมพึ่งรู้ว่านายผมหยักศกโดยธรรมชาติ”
บทที่ 89 ฟานต๋า
“มันจะไม่เป็นทรงเมื่อผมเปียก” เหอไป่หันหัวหนีมือที่กำลังวุ่นวาย และทอดตัวนอนเหมือนตัวอักษร 大 [dà] ผ่อนลมหายใจอย่างผ่อนคลาย “อ่า...มันช่างเป็นวันหยุดพักผ่อนสมชื่อ มีทั้งคนคอยบริการนี้เหละที่ต้องการ
ผมทำเพียงแค่ใช้มือขาเดินมือเพื่อหยิบอาหาร ตาก็จ้องมองเพียงธรรมชาติ”
ตี๋ชิวเหอทอดตัวนอนข้างเหอไป่จ้องมองคานไม้ที่อยู่หลังคาพร้อมพูดเสียงเบา
“ใช่มันเป็นวันหยุดที่ผ่อนคลายและมีความสุข”
ความหมายของตี๋ชิวเหอนั้นแตกต่าง การที่ได้อยู่กับเหอไป่ตัวเขาเองปล่อยที่ความระแวงและเฝ้าระวังทุกฝีก้าว
เขามีเพียงความรู้สึกที่ได้เอาใจและหยอกล้อให้อีกคนยิ้มออกมาให้ตัวเอง
ยี่สิบสามปีทั้งชีวิตของเขาจมอยู่กับการวางแผนและหวาดระแวงพื้นที่ที่อยู่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าบ้าน
เพราะเมื่อไรที่ก้าวผิดเพียงก้างเดียวชีวิตเขาก็คง...
เขารับรู้มาตลอดว่าตัวเองไม่สามารถหลุดจากวังวนนี้ได้ชีวิตที่ผ่านมาเขามีเพียงสองทางคือเหยียบย่ำไปบนหัวของศัตรูหรือพ่ายแพ้จนชีวิตตกต่ำ
เขาไม่คาดคิด...ไม่เคยคาดหวังว่าตัวเองจะตกหลุมรักใครถึงขนาดที่คิดจะสร้างพื้นที่ที่เรียกว่าบ้านของตัวเอง
ชีวิตที่ผ่านมาเขามีเพียงทางเดินสองทาง
แต่ตอนนี้เขามาหมาน้อย แม้จะยังต้องต่อสู้แต่ก็ยังทางเดินที่สามซึ่งมันทำให้ตัวเขาเองต้องระวังป้องกันไม่ให้มันจบอย่างขมขื่น
ตอนนี้เขาต้องสร้างทางเดินใหม่ที่มีความสุขและต้องมีหมาน้อยของเขาเท่านั้นที่เดินเคียงข้าง
เสียงน้ำตกที่ไหลจากน้ำตกจำลองขนาดเล็กเหมือนเป็นเสียงขับกล่อมโดยธรรมชาติ
ทำให้บรรยากาศของทั้งสองเงียบสงบและอบอุ่น
“เสี่ยวไป่...”ตี๋ชิวเหอเอ่ยพูดขึ้นแผ่วเบาแทรกกับบรรยากาศที่เงียบสงบ
พร้อมหัวตัวไปข้างตัวจ้องมองใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ที่กำลังหลับตาปล่อยตัวไปกับบรรยากาศ
“อืม...” เสียงขานรับแผ่วเบาเช่นกัน
ดวงตาที่ปิดสนิทเหมือนพร้อมจะตกอยู่ในห้วงความฝันที่แสนสุข
“อยู่กับฉัน..” ตี๋ชิวเหอยื่นมือไปแตะเบาไปที่ริมฝีปากบาง
“อยู่กับผม...อย่าหักหลังผม ผมพร้อมจะเป็นทุกอย่างของนายเพียงแค่นายเป็นแบบนี้ไม่เปลี่ยนไป”
“อืม..” เหอไป่ครางออกมา
ตอนนี้เขาเคลิ้มไปกับเสียงที่นุ่มนวลเหมือนดนตรีที่ขับกล่อง ทำให้ไม่อาจฝืนที่จะหลับใหลดวงตาก็ฝืนที่จะมองไปยังใบหน้าของตี่ชิวเหอที่พร่ามัวไม่นายก็ปิดสนิท
“ผมถือว่านายรับปากผม” ตี๋ชิวเหอมองใบหน้าอ่อนเยาว์ด้วยความหลงใหลพร้อมก้มไปหอมที่กลุ่มผมที่นิ่มและกลิ่นหอมเฉพาะตัว
“จุ๊บ! ผมรักนายมาก...และหวังว่าไม่นานนายจะรักผมกลับ”
———————————————————-
เหอไป่ลืมตาขึ้นกลางดึกอาจจะเป็นเพราะเขานอนมาตลอดทางพร้อมลุกขึ้นนั่งแต่ก็ต้องสะดุดมือรู้สึกถึงแรงดึงของชายเสื้อคลุมอาบน้ำ
มันเป็นมือของตี๋ชิวเหอที่กำชายเสื้อของเขาแน่น
แม้ว่าฟ้าจะมืดแต่ก็ไม่อาจฝืนจะนอนต่อได้ เหอไป่จึงค่อยๆแกะมือที่กำเสื้อตัวเองเบาๆ
จากนั้นก็เดินไปเปิดประตูและทอดน่องเดินไปตามทางเท้าที่ถูกสร้างขึ้นให้กลมกลืนกับธรรมชาติ
อากาศบริสุทธิ์และยามสดชื่นจากน้ำค้าง
ท้องน้อยๆตอนนี้เขาคร่ำครวญไม่หยุด
เขาอยากจะต่อว่าตี๋ชิวเหอที่ไม่ปลุกเขาทานมื้อเย็นแต่กับมานอนหลับข้างตัวเขา
แต่นึกขึ้นได้ว่ามันเป็นความผิดเขาเลยที่เผลอหลับ
ตลอดเส้นทางที่เดินมีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟสีส้มที่แขวนอยู่ข้างทาง
มันเหมือนภาพวาดที่ถูกรังสรรค์จากจิตรกรฝีมือระดับโลก
เด็กหนุ่มถูกล่อลวงไปกับความงดงามนี้
เท้าก็ทำเพียงก้าวเดินไปเรื่อยตามเส้นทางจนอยู่มาสู่ลาดกว้าง
พนักงานในรีสอร์ทก็เดินอยู่ไกลไม่เข้ามารบกวนกับพักผ่อนของแขก
เหอไป่เดินไปหยุดที่ศาลากลางน้ำเล็ก ทำให้อดไม่ได้ที่จะหยุดยืนเพื่อบันทึกความงดงามนี้ไปในความทรงจำ
น่าเสียดายที่ไม่หยิบกล้องออกมา ตั้งแต่ไปย้อนกลับมาตัวเขาเองไม่ได้เก็บภาพยามค่ำคืนอีกเลย
ดังนั้นตัวเขาเองจึงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมตอนนี้ มันเป็นสิ่งที่เขารักทั้งสองก่อนและตอนนี้
ทำให้ก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ
“ฟานต๋าอยู่ไหม”
คำพูดที่พูดออกมาฟังดูสุภาพแต่น้ำเสียงกับเหมือนขมขู่
เหอไป่ชะงักเท้าตัวเองตอนนี้เขายืนอยู่หลังโขดหินใหญ่เสียงที่พูดก็ดังออกมาจากตรงข้ามโขดหิน
เหอไป่กับจะหันหลังกับมันไม่ดีที่จะแอบฟังคนอื่นพูดกัน
“ฉันได้ข่าวมาว่าเขาอยู่ที่โรงพยาบาลที่ประเทศ
V ดูเหมือนว่าเขาบาดเจ็บแล้วยังไม่ได้สติ” มันเป็นเสียงของชายอีกคนที่แก่กว่าน้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูหมิ่น
“ฉันหาข่าวตามที่นายต้องการแล้วตี๋เซี่ยซ่ง บอกแม่เธอว่าหยุดมาวุ่นวายกับฉัน”
เหอไป่ชะงักเท้าทันทีมองข้ามโขดหินก็เห็นตี๋เซี่ยซ่งน้องชายต่างแม่ของตี๋ชิวเหอ
อีกคนควรจะเรียนอยู่ที่ต่างประเทศไม่ใช่เหรอทำไมถึงมาอยู่ที่นี้?
หรือว่าเขาจะจำคนผิด...
ไม่ทันได้คิดคำตอบก็มีเสียงชายหนุ่มที่พูดเหมือนติดตลกดังขึ้น
“ลุงเจิงเพ่ยจง...อย่าทำน้ำเสียงเหมือนผมเป็นคนนอกสิ ผมรู้ว่าลุงเจิงไม่พอใจที่ผมมารบกวนวันนี้
แต่ผมก็ไม่ทางเลือกเพราะพรุ่งนี้ผมต้องบินกับไปเรียนต่อ ยกโทษให้ผมด้วย”
“หยุดเสแสร้งซะที ยังไงนายก็ไม่สามารถเหมือนที่ชายของนสยได้”
ชายที่ถูกเรียกว่า ‘ลุงเจิง’ ก็ตะคอกเสียงดัง “แม่ของนายทำให้ฉันต้องจากมาโดยไม่เหลียวมอง
แต่ตอนนี้กับมาร้องขอความช่วยเหลือจากฉันแต่ไม่กล้ามาด้วยตัวเองกับส่งสารเลวอย่างลูกชายของเธอมา
นายคิดว่าฉันตาบอดไม่มีสมองหรือยังไง ออกไปเดียวนี้! ไม่ต้องมาที่นี้อีกฉันไม่ต้องการให้บ้านของฉันสกปรก!!!”
เหอไป่รับฟังเงียบๆ
อย่างไม่เข้าใจเรื่องราวจากชายคนทั้งสอง
แต่เมื่อได้ยินเสียงที่ก้าวขาเขาจึงทำเพียงหลบอยู่เงียบๆ
“ตาแก่สารเลว! ขอให้ลงโรงเร็วๆ!!” เสียงชายหนุ่มที่สาปแช่งไม่หยุด
เหอไป่ถอนหายใจมือก็กำกล้องแน่น
หลังจากมั่นใจว่าคนพวกนั้นจากไปแล้วก็เดินออกจากหลังโขดหินที่หลบอยู่เพื่อกลับห้องพักตัวเองทันที
เมื่อมาถึงบ้านพักก็เห็นแสงไฟที่เปิดสว่าง
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็พบใบหน้าของตี๋ชิวเหอที่ดูร้อนรน
“ทำไมคุณถึงตื่นเร็วจัง” เหอไป่พูดพร้อมถอดรองเท้าแล้วก้าวขาเข้าไปในห้อง แต่เมื่ออะไรบางอย่างได้ก็จับมือตี๋ชิวเหอแน่นพร้อมพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ดีเลยผมมีเรื่องจะบอกคุณพอดี มันไปเดินเที่ยวรอบรีสอร์ทมา คุณรู้ไหมผมไปเจอใครผมเจอน้องชายของคุณ...แล้วคุณรู้จักคนที่ชื่อฟานต๋าด้วยไหม”
ตี๋ชิวเหอที่กำลังจะต่อว่าหมาน้อยที่ทำให้เขาเป็นห่วงจากที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่พบคนที่ก่อนหน้านอนอยู่ด้วยกัน
แต่ก็ชะงักเมื่อได้ยินคำถามใบหน้าก็เคร่งเครียด “ฟานต๋า?
ปู่ของผมเองเขาเดินทางท่องเที่ยวมาตั้งหลายปี
นายไปได้ยินชื่อนี้ได้ยังไง?”
“คุณปู่ของคุณเหรอครับ?” เหอไป่ถามอย่างสงสัย แต่ก็ไม่นานก็รู้สึกถึงเรื่องผิดปกติ เขามองไปรอบตัวเพื่อเช็คว่าไม่มีใครแอบฟัง
“แล้วคุณรู้จักคนที่ชื่อว่าเจิงเพ่ยจงไหมครับ”
ตี๋ชิวเหอไม่ตอบรับเขาทำเพียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก
รอสักพักปลายทางรับสายก็พูดขึ้นหลายประโยคก่อนที่จะกดตัดสายทิ้ง สีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
เหอไป่เข้าหาตี๋ชิวเหอด้วยสีหน้ากังวล “มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”
“หมาน้อย...” ตี๋ชิวเหอใช้มือลูบเบาๆที่ใบหน้าของเหอไป่พร้อมพึมพำเสียงเบา
“นายเป็นดาวนำโชคของผม” ทุกอย่างที่เด็กหนุ่มคนนี้คอยช่วยเหลือเขามาตลอดทั้งเรื่องที่ช่วยให้เขาได้เป็นนักแสดงในบทหนังที่เขาต้องการ
ทั้งช่วยเขาจะพวกปาปารัซซี่ที่ตามถ่ายของในลิฟต์ที่คอนโด แล้วยังมีความฝันที่เตือนเขาถึงความไม่ปลอดภัยที่ชายแดนไม่พอยังมีเรื่องรูปของของแม่เลี้ยงและน้องสาวที่สนามบิน
แล้วตอนนี้...ก็พบเรื่องของปู่ของเขาที่หายตัวไปหลายปี กางดวงนี้ช่วยเหลือเขามาตลอด...เหมือนพระเจ้าเห็นใจชีวิตที่น่าสมเพชจึงส่งนิ้วทองคำตัวน้อยเข้ามาในชีวิตเขาตอนนี้
เหอไป่สะบัดมือที่จับที่ใบหน้าตัวเองอย่างแรงพร้อมถามขึ้นด้วยความหงุดหงิด
“ถ้าผมเป็นดาวนำโชคของคุณจริงก็อย่าทำให้น่าหมั่นไส้จนผมอยากจะต้มคุณหลายสิบครั้ง”
ตี๋ชิวเหอตระหนักถึงความผิดก่อนหน้าของตัวก็แสร้งทำตัวน่ารักและพูดหยอกล้อ
“นายจะต้มผมกิน ผมทั้งสะอาดและสดใหม่”
เหอไป่เผลอจ้องมือแพขนตาที่เรียงสวยที่ขยับเข้าใกล้ใบหน้าของเขาเข้ามาเรื่อยๆ
ตี๋ชิวเหอกำลังหักห้ามความคิดที่วันเวียนในหัวแต่ก็ไม่อาจจะห้ามได้
เสียงหัวใจเต้นรัวเหมือนกลองลูกกระเดือกก็ขยับขึ้นลงทุกครั้งที่กลืนน้ำลายใบหน้าก็โน้มเข้าใกล้เรื่อยๆ....
“เด็กชายตี๋...” เหอไป่พูดขึ้น
ตี๋ชิวเหอขานรับลอยล่องแหบแห้งสายตาจับจ้องริมฝีปากเล็กที่ขยับขึ้นลงอย่างเชิญชวน
“อะไรครับ...”
“ตาของคุณ...มีขี้ตาติดที่ตา”
“....”
“นั่นคือความสะอาดที่คุณพูดก่อนหน้า?”
เหอไป่ถอยหลังทันที
ตี๋ชิวเหอถอยหลังมันยางพร้อมใบหูที่แดงก่ำ เขารีบยกมือขยี้ที่ตาของตัวเองแต่ก็ไม่สิ่งที่เหอไป่พูด
ก็ลืมตาขึ้นเขาเห็นเพียงหลังที่กำลังไกลออกไป
คลิก!
เหอไป่ล็อคประตูจากนั้นก็ทิ้งตัวนั่งกุมท้องตัวงอและไม่อาจระงับเสียงหัวเราะได้อีกต่อไป
“....” ตี๋ชิวเหอมองที่ประตูที่ปิดแน่นตาเบิกกว้าง
จากนั้นก็ขยี้ผมตัวเองอย่างแรงเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองถูกหลอก
บทที่ 90 พันธมิตร
เหอไป่ที่อยู่หลังประตูอีกฝั่งได้ยินเสียงโวยวายของตี๋ชิวเหอก็หัวเราะจนน้ำตาเล็ดจนหน้าเบ้
เมื่อผ่านไปสักพักก็หยุดหัวเราะพร้อมเดินผิวปากเข้าห้องน้ำ
หลังจบมื้อเช้าทั้งสองก็มานั่งพักท้องที่โซฟาหน้าทีวี
แต่เหอไป่ก็สังเกตถึงความเงียบของตี๋ชิวเหอที่เจ้าตัวเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างตลอดเวลา
ทำให้อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้น “เหมือนว่าคุณกำลังเครียดหรือเป็นเรื่องของคุณตาของคุณ?
ดูเหมือนว่าแม่เลี้ยงของคุณกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง?”
“เรื่องนั้นผมจัดการได้” ตี๋ชิวเหอพูดเหมือนไม่ใส่ใจ นิ้วมือเลื่อนช่องทีวีไปเรื่อยๆเมื่อเจอหนังผีก็วางรีโมตลง
“ปล่อยเรื่องยุ่งๆไว้ก่อน วันนี้เรามาพักผ่อน”
เหอไป่ลุกขึ้นนั่งหลังจากทิ้งตัวนอนราบบนโซฟา
อดถามขึ้นอย่างสงสัยไม่ได้ “มันยุ่งยากขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
“อืม..” ตี๋ชิวเหอหยิบขนมที่วางอยู่ใกล้ๆป้อนให้เหอไป่
“ตาของผมเป็นนักลงทุนที่เก่ง แต่ในตอนที่คุณยายเสียเขาก็วางมือทิ้งทุกอย่างแม้แต่คุณแม่ของผมก็ฝากให้คนสนิทค่อยดูแลแทน
ส่วนตัวเองก็ไปท่องเที่ยวทั่วโลก”
“...” เหอไป่คิด ‘ทำไมความสัมพันธ์ในครอบครัวอีกคนถึงยุ่งยาก’
“คุณตาของผมเป็นคนพาแม่เข้ามาในตระกูลตี๋ หลังจากจบงานแต่งของคุณแม่
เขาก็ตัดขาดการติดต่อจากตระกูลตี๋ทันที” ตี๋ชิวเหออธิบายเรื่องในครอบครัวตัวเองเหมือนเป็นคนนอก
“นายรู้ไหมว่าคุณปู่ของผมสร้างฮวางฟูขึ้นมาด้วยเงินของคุณตา มันก็คือเงินสินสอดของคุณแม่ผม
ผมคิดว่า...ที่ตี๋เบี่ยนเกลียดชังคุณแม่ก็เพราะเขาเกรงกลัวมากกว่าเพราะเขาแก่ใจตลอดเวลาว่าที่ตระกูลตี๋มีได้ถึงขนาดนี้ก็เพราะตระกูลฟาน”
เหอไป่ขมวดคิ้วเมื่อนึกตามที่ตี๋ชิวเหอพูด
“ในฐานะพ่อ..คุณตาดูเหมือนคนไม่มีความรับผิดชอบ
แต่ถ้ามองในฐานะนักธุรกิจเข้าเป็นนักลงทุนที่ใจถึงและมองการณ์ไกลที่มอบสินสอดมหาศาลให้กับลูกสาวตอนแต่งงาน
นั้นก็อาจเป็นเหตุผลข้อหนึ่งฉินหลี่อิจฉาแม่ของผม เธอรู้เต็มอกว่าเธอไม่ทางแต่งงานออกหน้าออกตาตอนเข้ามาที่ตระกูลตี๋ได้
เพราะไม่ทางที่คุณตาของผมจะยอมรับ”
หนังในทีวีที่เปิดทิ้งไว้ก็เล่นไปเรื่อยๆ แต่ไม่มีใครให้ความสนใจ
เหอไป่กำลังวิเคราะห์เรื่องราวที่พึ่งได้รับ “แล้วแม่เลี้ยงคุณจะวางแผนอะไร
ทำไมถึงให้คนรักเก่าของเธอตามหาคุณตาของคุณ”
“อย่างที่บอกไปคุณตาเป็นนักลุงทุนที่เก่งทำให้มีทรัพย์สินเยอะ”
ตี๋ชิวเหอชี้ที่ใบหน้าตัวเอง “เขาออกท่องเที่ยวโดยไม่รับรู้เรื่องราวอะไร
แม้แต่เรื่องที่แม่คลอดผมออกมาหรือแม้แต่ตอนที่แม่ของผมเสีย และตอนที่ตี๋เบี่ยนเอาฉินหลี่เข้ามาในตระกูลทันทีที่แม่ผมเสีย
นายรู้ไหม...ใบหน้าของผมเหมือนแม่แต่กับกันตี๋เซี่ยซ่งกับมีใบหน้าเหมือนตี๋เบี่ยน ถ้าตี๋เซี่ยซ่งแกล้งเป็นฉันเพื่อไปพบคุณตาล่ะ”
“ก็คงโอนทรัพย์สินของตัวเองทั้งหมดมอบให้หลานที่ไม่เคยพบหน้า”
เหอไป่พูดขึ้นแล้วทิ้งตัวบนโซฟาอย่างปวดหัวกับเรื่องวุ่นๆในตระกูลตี๋
“ผมได้ยินคนที่ชื่อเจิงเพ่ยจงพูดว่า
คุณตาของคุณเหมือนจะสูญเสียความทรงจำ หึ...ถ้าน้องชายของคุณไปพบก็เหมือนเรียกฟ้าเรียกฝนได้”
“นั่นเป็นเหตุผลที่ผมบอกว่านายเป็นดาวนำโชค
นายช่วยผมไว้จริงๆ” ตี๋ชิวเหอจับไปที่ชายเสื้อของเหอไป่ ตาก็มองทีวีอย่างล่องลอย
“ตอนแรกผมคิดว่าเขาตายไปตั้งนานแล้วในดินแดนที่ห่างไกลตอนที่เขาต้องการ...เขาปิดตามานานเกินไปเขาจำเป็นต้องรับรู้เรื่องราวของลูกสาวที่รักของเขาบ้าง...”
เหอไป่มองที่ใบหน้าราบเรียบของตี๋ชิวเหอ
เขาจึงถอนหายใจและตบเบาๆที่ไหล่เพื่อให้กำลังใจ
เรื่องราวของฟานต๋าก็ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังในนาทีถัดมา
ตอนนี้พวกเขาอยู่ในโหมดพักผ่อนก็ต้องทำตัวให้สมชื่อ พวกเขาทั้งสองเพลิดเพลินไปกับแช่น้ำพุร้อนดื่มกินของเลิศรสดูหนังมาราธอน
เมื่อถึงเวลามื้อเย็นก็มีแม่บ้านเข้ามาเสิร์ฟอาหาร
ตี๋ชิวเหอก็ชวนคุยเรื่อยๆเรื่องของรีสอร์ท และพูดยกยอถึงเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้ที่เก่งที่สร้างที่รีสอร์ทแห่งนี้ให้เป็นที่นิยม
แม่บ้านก็ตอบออกมาอย่างซื่อตรงไม่รู้ถูกตัวเลยว่าถูกล้วงความลับ
เธอชมเชยถึงความสามารถและความใจดีของเจ้านายตัวเองหลายประโยค แถมยังแอบแถมผลไม้หลายจานให้กับตี๋ชิวเหอเพราะหลงใหลไปกับใบหน้าและคำหวานของชายหนุ่มตรงหน้า
หลังจบมื้อเย็นเหอไป่ก็ไปแช่น้ำพุร้อน ส่วนตี๋ชิวเหอก็หยิบโทรศัพท์โทรออก
เขารับฟังปลายทางด้วยความเงียบในข้อมูลที่เขาสั่งให้ไปสืบ ทั้งเรื่องที่ตี๋เซี่ยซ่งมาที่วิลล่าแห่งนี้หรือเรื่องของคุณตาตัวเองอยู่ที่ไหน
มันเป็นเรื่องน่าขบขันมากสำหรับตี๋ชิวเหอ!
ดูเหมือนมันจะเริ่มสนุกมากขึ้นกว่าเดิม!!!
ตี๋ชิวเหอก็ทำตัวเป็นลูกที่กตัญญูเขากดโทรหาเลขาตี๋เบี่ยนแล้วพูดด้วยอึกอักบอกให้แจ้งเรื่องนี้ให้พ่อของตัวเองรู้
ก่อนจะวางสายไปด้วยความรังเกียจ
เหอไป่ที่นอนแช่อยู่ในบ่อน้ำพุก็เงยหน้ามองตี๋ชิวเหอที่พึ่งวางโทรศัพท์พร้อมส่ายหัว
“เด็กชายตี๋...คุณชั่วร้ายมาก”
ตี๋ชิวเหอเดินมานั่งข้างบ่อน้ำพุและหยิบแก้วน้ำผลไม้ขึ้นมาดื่ม
“ตี๋เบี่ยนมีจุดอ่อนในเรื่องนี้ ถ้าผมไม่ใช้ประโยชน์ผมก็เสียเปล่า”
เหอไป่ฮึมเพลงในลำคออย่างอารมณ์ดี “ผมทำงานดีไหม?”
“แน่นอน..” ตี๋ชิวเหอมองใบหน้าเหอไป่พร้อมรอยยิ้มเกียจค้าน
ตอนนี้เขาวางเรื่องฟานต๋าไปก่อนเพื่อมาสนุกกับเรื่องตี๋เบี่ยนดีกว่า เขาไม่อยากนึกเลยว่าถ้าตี๋เบี่ยนรู้ว่าฉินหลี่ส่งลูกหัวแก้วหัวแหวนมาพบคนรักเก่าของเธอ
ตี๋เบี่ยนก็คงหวาดระแวงว่าในตัวของลูกชายคนโปรด ความสัมพันธ์ของตระกูลตี๋ตอนนี้ก็เหมือนแผ่นไม้บางๆที่วางไว้บนขอบเหว
แม้ว่าตี๋เซี่ยซ่งจะมีใบหน้าคล้ายกับตี๋เบี่ยน
แต่ถ้าเกิดความหวาดระแวงขึ้นมาแล้ว...
ใบหน้าที่งดงามเกินชายที่ทอดมองผ่านม่านหมอกน้ำพุร้อนไปยังชายป่า
มันช่างโดดเดียวและอ้างว้าง
เหอไป่เสียดายกับตัวเองที่ไม่ได้พกกล้องคู่กายติดมือ
เขาจึงเอ่ยขึ้นเพื่อขัดอารมณ์เศร้าหมองของชายตรงหน้า
“ทำไมคุณถึงไม่ตอบแทนผมด้วยซองแดงหนาๆล่ะหรือจะให้ผมเอาข่าวของคุณไปขายดี
ทางเลือกไหนดีกว่ากัน?”
ตี๋ชิวเหอที่หลุดจะความคิดก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับความคิดเด็กๆของคนที่เขารัก
“หมาน้อย...น่าเอ็นดูเกินไปแล้ว”
“อะไรนะ?” เหอไป่ถามอย่างไม่เข้าใจ
“ผมจะบอกว่า...” ตี๋ชิวเหอใช้แขนเท้าที่ขอบบ่อน้ำพุร้อนพร้อมชะโงกหน้าก้มมองเหอไป่ที่อยู่ด้านล่าง
“ถ้าต้องการซองแดงก็ลองออดอ้อนผมอีกนิด”
เหอไป่วักน้ำสาดไปใบหน้าของตี๋ชิวเหอแล้วต่อว่าอย่างขุ่นเคือง
“คนขี้เหนียว”
วันหยุดพักผ่อนช่างผ่านไปเร็วมาก ตอนนี้รถเตรียมเคลื่อนตัวออกจากโรงแรม
เหอไป่ที่นั่งอยู่ข้างคนขับก็ยิ้มแย้มเหมือนคนที่ได้พักผ่อนเต็มที่
“แม่บ้านส่งกระเช้าผลไม้มาให้ก่อนเราเช็คเอาท์”
เหอไป่หยิบลูกพีชในตะกร้าขึ้นมา “คุณไปพูดอะไรหรือเปล่าก่อนเช็คเอาท์?
หรือว่าเกิดอะไรขึ้นเขาถึงส่งของกำนัลมาแบบนี้?”
“ใช่แล้ว...” ตี๋ชิวเหอตอบกลับและมองไปทางกระจกมองหลังเห็นเหล่าพนักงานที่มายื่นส่งที่หน้าประตูรีสอร์ท
อดไม่ได้ที่จะคิดถึงช่วงเวลาก่อนหน้าที่เขาไปเจอกับเจิงเพ่ยจงเพื่อคุยเรื่องการร่วมมือเป็นพันธมิตร
ทั้งเรื่องที่ถ้าให้ความร่วมมือเขาก็จะสนับสนุนรีสอร์ทแห่งนี้แลกกะข้อมูลอย่างเรื่องที่อยู่ของฟานต๋าในต่างประเทศ
เขาเพียงแค่ตั้งใจจะมาพักผ่อนกับหมาน้อยไม่เคยคิดว่าได้ผลตอบแทนแบบนี้มาก่อน
แต่ข้อมูลที่เหอไป่ให้มาทำให้เขาคิดแผนนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าฉินหลี่และลูกชายของหล่อนจะ...
หลังจากกับมาถึงโรงแรมเหอไป่และตี๋ชิวเหอก็ตรงไปที่ห้องพักทันทีเพื่อพักผ่อนเตรียมพร้อมกับงานหนักในวันพรุ่งนี้
———————————————————-
เช้าวันถัดไปตี๋ชิวเหอก็เหมือนเบื่อหน่ายผิดกับเหอไป่ที่กระตือรือร้นที่จะไปที่กองถ่าย
“ตี๋ชิวเหอนายจะต้องถ่ายก่อน ฉากนี้นายจะต้องวิ่งหนีคนที่ตามล่าและกระโดดจากระเบียงชั้นสอง”
ผู้กำกับเจี่ยงนัดแนะการเข้าฉากกับตี๋ชิวเหอและตั๋งหนี๋ “ตามบทนายต้องมีความรู้สึกลึกซึ้งกับไท่เซี่ยที่แสดงโดยตั๋งหนี๋มีการส่งสายตาแต่มันต้องไม่เลี่ยนเกินไป
ชิวเหอเธอเข้าใจไหม?”
ตี๋ชิวเหอฟังจบก็มองไปทางเหอไป่ที่ตอนนี้ถือกล้องยืนอยู่ด้านข้าง
จากนั้นก็พยักหน้าให้เจี่ยงหัวซานเป็นการรับรู้
เจี่ยวหัวซานหันไปทางตั๋งหนี๋
“บทที่เธอแสดงคือไท่เซี่ยที่พึ่งรู้ว่าเฉินจุนเป็นพ่อค้ายาเสพติด ดังนั้นเธอต้องแสดงอารมณ์ที่ทั้งสับสนเกลียดชังและรักเฉินจุน
เธอต้องแสดงออกทั้งผ่านทางสายตาเท่านั้น ฉากแรกก็ยากหน่อยสำหรับมือใหม่แต่ไม่ต้องกังวลชิวเหอจะช่วยส่งอารมณ์ให้กับเธอเอง”
เมื่อพูดจบก็ส่งสายเชื่อมั่นไปทางตี๋ชิวเหอ
ตั๋งหนี๋ก็จ้องที่ตี๋ชิวเหอไม่วางตา
เหอไป่ที่ยืนฟังเงียบๆก็ยกกล้องถึงถ่ายภาพของทั้งสามคน
“...” ตี๋ชิวเหออึดอัดมากที่ต้องมาแสดงเป็นคนรักกับหญิงสาวที่พยายามมอบตัวเองเพื่อให้เป็นคนรักตัวจริงต่อหน้าหมาน้อย
“ชิวเหอคุณทำได้อยู่แล้ว!” เหอไป่ยกกำปั้นให้กำลังใจน้ำเสียงเต็มไปด้วยความคาดหวังและตื่นเต้นที่จะได้ดูการถ่ายหนังของจริงอย่างติดขอบ
“...” ตี๋ชิวเหอถอนใจ ‘นี่เป็นความโชคร้ายอะไรของเขาที่ต้องมาแสดงฉากรักกับคนอื่น
ทั้งที่ตัวจริงก็อยู่ใกล้ๆ’
บทที่ 91 ไอติม
(1)
เหอไป่ที่ยืนถัดจากเจี่ยงหัวซานก็กระวนกระวายใจเมื่อมองขึ้นไปบนระเบียงบ้านชั้นสองที่มีตี๋ชิวเหอไปยืนเตรียมความพร้อม
เหล่าทีมงานฝ่ายควบคุมฉากก็กำลังตรวจสอบความปลอดภัย
เหล่าช่างแต่งหน้าก็เช็คความเรียบร้อยของตี๋ชิวเหอทุกคนทำงานอย่างเป็นระเบียบเหมือนเคยชินกับงานที่ทำ
ตาของตี๋ชิวเหอปิดแน่นเหมือนกำลังปรับอารมณ์ของตัวแต่ก็มีรอยยิ้มบางๆแต้มอยู่บนริมฝีปาก
ทำให้บรรยากาศรอบตัวสงบและมั่นคงอย่างน่าแปลกใจ
สิ่งที่ตี๋ชิวเหอทำตอนนี้คือการเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครโดยทิ้งความเป็นตัวเองไว้เบื้องหลัง
ฉากที่กำลังถ่ายเป็นฉากที่ต้องวิ่งหนีจากในความมืดของตัวอาคารชั้นสองวิ่งตรงมาที่ระเบียงจากนั้นก็กระโดดจากระเบียงมาที่กันสาดที่อยู่เบื้องล่างและพุ่งตัวเข้าไปในตรอกที่อยู่ใกล้ๆกัน
แม้จะเป็นฉากที่ถ่ายไม่กี่นาทีแต่ก็ไม่ง่ายเลยที่จะถ่ายฉากนี้
เพียงห้านาทีทีมช่างแต่งหน้าก็เดินออกมาทิ้งตี๋ชิวเหอไว้ด้านบนเพียงคนเดียว
เหล่าทีมงานฝ่ายคุมฉากก็เช็คอุปกรณ์เสร็จเรียบร้อย เจี่ยงหัวซานโบกมือให้ทีมกล้องประจำตำแหน่งเหล่าทีมงานพร้อมถ่ายภาพตี๋ชิวเหอ
บรรยากาศในกองถ่ายเงียบมีเพียงเสียงลมหายใจที่แผ่วเบาของตัวเอง
สายตาทุกคนจ้องมองไปยังตี๋ชิวเหอที่ตอนนี้ยังยืนหลับตาอยู่ที่ระเบียงชั้นสอง
เจี่ยงหัวซานพูดขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณให้ตี๋ชิวเหอ
“พร้อมไหม”
ตี๋ชิวเหอลืมตาขึ้นพร้อมพยักหน้าตอบรับ
จากนั้นก็จ้องมองไปยังเหอไป่ที่ถือกล้องอยู่เงียบๆ
เหอไป่เมื่อสบสายตากับตี๋ชิวเหอเขาก็ยกนิ้วและขยับปากไม่เสียง
“สู้ๆนะครับ” จากนั้นก็ยกกล้องเพื่อจะจับภาพที่ดีที่สุด
ตี๋ชิวเหอเห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาความรู้สึกส่งถึงดวงตา
บรรยากาศที่ตึงเครียดก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนอย่างไม่รู้ตัว ให้เหล่าทีมงานที่จ้องมองหน้าแดงเหมือนว่าคนข้างบนยิ้มให้ตัวเอง
แม้แต่ตั๋งหนี๋ก็หลงใหลไปกับรอยยิ้มนั้น
เธออ้าปากค้างตาเลื่อนลอย
ทำไมตี๋ชิวเหอตัวจริงไม่เหมือนที่ผู้จัดการอ้วนลงพุงพูดถึง
เจี่ยวหัวซานสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกก็กระแอ๋มไอออกมาเสียงดังพร้อมให้สัญญาณตี๋ชิวเหอเตรียมตัว
ทำให้ทุกคนกลับมาเป็นปกติ
ตี๋ชิวเหอที่โดนขัดจังหวะก็ปรับอารมณ์ของตัวเองใหม่
เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าวทำให้ตัวของตี๋ชิวเหออยู่ในความมืดครึ่งตัว
เหอไป่กำกล้องแน่นอดไม่ได้ที่จะกลั้นลมหายใจ
เหล่าตากล้องก็รอจังหวะที่จะเก็บภาพ
ใบหน้าของตี๋ชิวเหอก็เปลี่ยนไปทันที สีหน้าเคร่งขรึม
เขาวิ่งตรงไปที่ระเบียงและมองเหลียวหลังเหมือนมองคนที่กำลังวิ่งตาม จากนั้นก็กำราวระเบียงแน่นและกระโดดลงไปด้านล่างอย่างคล่องแคล่ว
เหอไป่ลืมทุกอย่างแม้แต่การที่จะต้องกดนิ้วลงบนชัตเตอร์
เขาทำเพียงมองร่างที่ทิ้งตัวลงมา หัวใจเต้นรัวเมื่อเห็นร่างของตี๋ชอวเหอที่กันสาดชั้นหนึ่งกำลังกลิ้งตัวพร้อมกระโดดเข้าไปที่ตรอก
“คัท! ผ่าน!!”
เมื่อได้ยินเสียงจากผู้กำกับเหล่าคนคุมฉากก็เข้าไปหาตี๋ชิวเหอในตรอกเพื่อเช็ดว่ามีการบาดแผลไหม
เหอไป่ก็วิ่งเข้าไปหาตี๋ชิวเหอทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่สามารถช่วยอะไรได้
“คุณบาดเจ็บตรงไหนไหมครับ?” เหอไป่ถามอย่างร้อนรน เขาจับไปที่แขนและมองไปทั่วตัวว่าอีกคนบาดเจ็บตรงไหน
ตี๋ชิวเหอยิ้มจนตายีในความน่ารักของเหอไป่ที่เป็นห่วงตัวเขาเองทำให้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“ไม่เป็นอะไรเลย พวกทีมงานเค้าเช็คความปลอดภัยตั้งหลายครั้ง ไม่ต้องห่วง”
ทำไมเขารู้สึกชอบมากในการที่มีคนรักคอยมาห่วงใยแบบนี้ มันทั้งหอมหวานน่าชื่นใจ
มือเล็กของเหอไป่ที่กำแน่นที่แขนตี๋ชิวเหอแต่ก็ต้องปล่อยลงเมื่อทีมงานเดินเข้ามาจับที่ข้อมือของตี๋ชิวเหอเพื่อเช็ดว่าบาดเจ็บจากการล้มลงไหม
มันอาจะเป็นขั้นตอนที่ต้องทำหลังจากเข้าฉากเสร็จ ทีมงานให้ตี๋ชิวเหอลองขยับข้อมูลไปมา
การตรวจสอบของทีมงานเป็นไปตามขั้นตอนความปลอดภัยของกองถ่าย
เหอไป่ถอยหลังออกมายืนเพื่อไม่ไปรบกวนการทำงาน เขายกกล้องขึ้นมาจับภาพในช่วงเวลาที่ตี๋ชิวเหออยู่กับคนในกอง
ตี๋ชิวเหอได้ยินเสียงกดชัตเตอร์แม้จะเบาก็ตาม
ตี๋ชิวเหอมองแขนตัวเองที่ว่างเปล่าด้วยความหดหู่ที่ความอบอุ่นที่แขนก็หายไป เขาอยากให้เหอไป่ค่อยเป็นห่วงและอยู่กับเขาตลอดเวลา
เหอไป่ยกกล้องลงและยิ้มให้กำลังตี๋ชิวเหอ
เพียงรอยยิ้มน้อยๆนั้นก็ทำให้ตี๋ชิวเหอยิ้มออกมาได้อีกครั้ง
มันเป็นรอยยิ้มที่หวานหยดย้อน
ตั๋งหนี๋เดินถือขวดก็ยืนค้างอยู่ที่เดิมเมื่อเห็นรอยยิ้มที่สองคนส่งให้กัน
เธอกำลังจะเข้าไปขัดจังหวะแต่ก็ถูกเสียงของผู้ช่วยผู้กำกับเรียงไว้ก่อน
“ตั๋งหนี๋! ตั๋งหนี๋อยู่ไหน
ถึงเวลาเข้าฉากของคุณแล้ว! มาตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้ง” ผู้ช่วยผู้กำกับเรียกจากอีกฝั่งของกองถ่าย
จากที่ไม่มีไม่ใครสังเกตถึงตัวตนของตั๋งหนี๋
แม้ไม่มีไฟสปอตไลท์เธอก็กลายเป็นจุดร่วมสายตาทันที
มันเป็นเรื่องซุบซิบกันในเหล่าทีมงานเรื่องตั๋งหนี๋ที่เป็นนักแสดงหน้าใหม่แต่ก็มีแบ็คดี
และยังมีเรื่องที่เธอมากองถ่ายวันแรกก็ไปเคราะประตูห้องพักตี๋ชิวเหอโดยอ้างว่าต้องการทำความคุ้นเคยก่อนที่จะเข้าฉากด้วยกัน
ช่างเป็นเด็กอมมือ!
ถือว่าโชคยังเข้าข้างตี๋ชิวเหอที่วันนั้นมีรุ่นน้องมาเยี่ยมและไม่มีพวกปาปารัซซี่มาตามแอบถ่ายเพราะกองถ่ายนี้ถือเป็นความลับ
ไม่อย่างนั้นคงมีข่าวอื้อฉ้าวหลุดออกมาแน่
คนในกองถ่ายรู้ดีว่าผู้กำกับเจี่ยงเกลียดที่สุดคือข่าวหลุดก่อนหนังจะเปิดตัว
การที่ตั๋งหนี๋ทำแบบนี้ถือเป็นการท้าทายความอดทนของเจี่ยวหัวซานที่ขึ้นชื่อเรื่องผู้กำกับที่โหดเหี้ยมแห่งปี!!
ดูจากการกระทำของเธอตอนนี้เหมือนจะพยายามอย่างหนักที่จะเข้าใกล้ตี๋ชิวเหอโดยเอาขวดน้ำมาเป็นข้ออ้าง?
ตั๋งหนี๋รู้สึกอับอายเป็นอย่างมากกับสายตาทุกคู่ที่จ้องมองเธอ
เธอจึงแสร้งหัวเราะพร้อมพูดขึ้นเบาๆ “ฉันเพียงแค่ผ่านมา...ขอตัวก่อนนะคะ
จะได้ไปเตรียมตัวเข้าฉาก”
เธอหันหลังและเดินจ้ำอ้าวจากไปด้วยความเร็วสูง
ทำเหมือนว่าเธอไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น
ทีมงานสาวอดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมา “ไม่ใช่เรื่องปกติที่จะเห็นนักแสดงหน้าใหม่กระตือรือร้นแบบนี้
ช่างเป็นคนที่ทุ่มเทมาก”
ตี๋ชิวเหอถอนใจยาวและเหลือบมองหลังไวๆของตั๋งหนี๋
“เสี่ยวไป่ครับผมต้องถ่ายภาพนิ่งสองสามซ็อต
นายสนใจจะถ่ายระยะใกล้ด้วยไหม อย่าลืมว่านายมีงานต้องส่ง”
บรรยากาศที่น่าอึดอัดก็หายไปทันที ทุกคนมองทางตี๋ชิวเหออย่างชื่นชมที่ทำให้บรรยากาศดีขึ้นแล้วยังห่วงใยรุ่นน้องช่างเป็นคนที่สุภาพและมีน้ำใจอย่างมาก
เหมือนเป็นแสงไฟที่ทำให้บรรยากาศสว่างขึ้น!
และเหล่าทีมงานก็แยกตัวไปจัดการงานของตัวเอง
เหอไป่มองหน้าตี๋ชิวเหอด้วยอาการหมั่นไส้เมื่ออยู่ลำพังสองคน
“คุณแสดงละครอีกแล้ว”
ตี๋ชิวเหอยิ้มอย่างไม่ถือสา
เขาตอนนี้มีภาพลักษณ์ที่สุภาพและสง่างาม
เหอไป่กลอกตามองบนและต่อว่าตี๋ชิวเหอในใจ
เหอไป่กังวลกับการเก็บถ่ายนิ่งหลายๆมุมของตี๋ชิวเหอเนื่องจากเขาไม่เคยถ่ายและมันเป็นเรื่องใหม่เกิยไปสำหรับเขากลัวว่าจะทำให้ตี๋ชิวเหอเหนื่อยและเสียเวลา
แต่บอกว่าไม่เป็นไรเขาจะช่วยจัดมุมกล้องเพื่อให้ถ่ายได้เร็วขึ้น
ตั๋งหนี๋ที่ถูกผู้ช่วยผู้กำกับนัดแนะคิวก็ออกมาเตรียมพร้อมเข้าฉาก
โดยฉากที่เธอถ่ายเป็นฉากวิ่งไล่ล่าบนถนน
“ฉากต่อไปเป็นฉากที่ผมต้องถ่ายพร้อมกับตั๋งหนี๋”
ตี๋ชิวเหอเดินมาซ้อนหลังเหอไป่ที่กำลังถ่ายภาพของตั๋งหนี๋หลังจากซักซ้อมบทกับเจี่ยงหัวซาน
ตี๋ชิวเหอเอาคางตัวเองวางไว้บนหัวของเหอไป่จากนั้นก็ถูคางไปมาอย่างหมั่นเขี้ยว
เหอไป่ยกมือขึ้นตีไปที่ท้องของตี๋ชิวเหออย่างแรงและพูดอย่างหงุดหงิด
“หยุดเอาคางของตงคุณมาถูผมได้แล้ว ทั้งตัวและใบหน้าของคุณเต็มไปด้วยเหงื่อและรองพื้น
ถ้าคุณยังแกล้งผมอีก ผมจะเอารูปของคุณโพสต์ลงโซเซี่ยล!”
บทที่ 92 ไอติม
(2)
ตี๋ชิวเหอถอยหลังพร้อมยกมือขึ้นเหมือนกลัวการขู่ของเหอไป่
จากนั้นก็เอียงคนไปด้านซ้ายพร้อมใช้มือสางผมให้เข้าที่“ช่างแต่งหน้าบอกว่าผิวหน้าของผมดีมากไม่จำเป็นต้องลงรองพื้นเพียงแค่ทาคอนซีลเลอร์เท่านั้น”
“หน้าหนาคุณหน้าหนามาก! ไม่อย่างนั้นคุณไม่มีทางกล้าพูดออกมา”
เหอไป่ขี้นิ้วไปที่หน้าของตี๋ชิวเหอ ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์มาถ่ายภาพตั๋งหนี๋แล้ว
เพราะมีตัววุ่นวายตี๋ชิวเหอคอยมาก่อกวนแบบนี้ จากนั้นก็ถอนหายใจพร้อมมองไปรอบๆเพื่อหามุมถ่ายภาพ
จากนั้นก็มองไปที่ตู้โทรศัพท์ทีาอยู่ริมถนนพร้อมชี้สั่งให้ตี๋ชิวเหอไปยืนตรงนั้น
“คุณไปยืนตรงนั้นเอนตัวพิงตู้โทรศัพท์
ตัวละครเฉินจุนสูบบุหรี่ไหม?”
“สูบ!” ตี๋ชิวเหอเข้าใจความหมายที่เหอไป่สื่อเขาเดินไปยืนในจุดนั้นอย่างเชื่อฟัง
“แต่ผมไม่สูบนะครับ หมาน้อย”
“จริงจัง กรุณาจริงจังหน่อย!!” เหอไป่หันไปขอบุหรี่จากทีมงานที่เดินผ่านมาพอดีและยัดใส่ปากของตี๋ชิวเหอ จากนั้นก็เดินถอยหลังหามุมและแสงให้ลงตัวพร้อมยกกล้องขึ้น
“คุณคือเฉินจุนไม่ใช่ชิวเหอ อยู่สวมบทหน่อย”
ตี๋ชิวเหอหยุดหัวเราะเขาก้มหน้าไม่นานก็เงยขึ้นมาแสดงสีหน้าเคร่งขรึมดุดันเหมือนทหารแต่ก็แฝงไปด้วยความร้ายกาจและโหดเหี้ยมเพราะต้องปลอมตัวเป็นพ่อค้ายาเสพติด
จากนั้นก็เอนพึงตู้และยกบุหรี่ขึ้นดูด
ใช่ขึ้นดูไม่เพียงคาบไว้ในปาก
มันทำให้ดูร้ายกาจและดุดันมากขึ้นกว่าเดิม
คนนี้ราวกับคนแปลกหน้าที่ใช้ใบหน้าของตี๋ชิวเหอ
เหอไป่ที่อยู่หลังเลนส์กล้องกลั้นลมหายใจ
เมื่อได้สติเขาก็รีบกดนิ้วรัวที่ชัตเตอร์เพื่อเก็บภาพทุกมุมของชายตรงหน้า
“เฉิงจุน” เหอไป่พูดขึ้น
“อืม?” ชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นคาบบุหรี่แทน
สายตามองกล้องเต็มไปด้วยความลึกลับ
“คุณจะกลับมาอย่างมีชีวิตหรือเปล่า”
ชายที่อยู่หน้ากล้องก็ยิ้มเหยียดแล้วพูดเสียงเบา
“ใครจะรู้”
“กลับมาอย่างมีลมหายใจ”
ชายคนนั้นปล่อยบุหรี่ลงพื้นสายตาก็มองท้องฟ้า
พร้อมความเงียบที่ยาวนาน ยากนั้นก็จ้องมองกล้องด้วยสีหน้าจริงจัง“ตกลง”
แช็ต! แปะ!!
เสียงแรกเป็นเสียงจากชัตเตอร์ในมือของเหอ
ตามมาด้วยสีตบมือ
เหอไป่สะดุ้งตัวอย่างตกใจ
เขาปล่อยกล่องคล้องคอ
ตี๋ชิวเหอก็หลุดจากการสวมบทเป็นเฉินจุนพร้อมมองว่าเสียงตบมือดังมาจากที่ไหน
เจี่ยงหัวซานเดินตรงเข้ามาในมือถือสคริปต์บทละครพร้อมจ้องมองเหอไป่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“นายได้อ่านบทมาบ้างแล้วเหรอ?”
เหอไป่หยักหน้าและตอบอย่างร้อนรน
“ครับ..อาจารย์ซูให้ผมได้อ่านก่อนมาที่นี้แต่มันก็เป็นเพียงบางส่วนของบทชิวเหอมันไม่ดีใช่ไหมครับ!
โปรดวางใจผมไม่เอาเรื่องนี้ไปพูดกับใครแน่นอน!”
“ไม่ต้องคิดมาก” เจี่ยงหัวซานยิ้มอย่างเอ็นดูพร้อมขอกล้องที่คอของเหอไป่
เพื่อจะดูทักษะการถ่ายรูปจากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดู “นายมีเก่งนะที่ต่อบทกับชิวเหอ
แม้ว่าบทที่นายพูดมันจะเป็นบทของนักแสดงหญิงคนสำคัญของเรื่อง”
เหอไป่โบกมือไปมาด้วยท่าทางถ่อมตัว
มันช่างน่าอายที่เขาพูดแบบนั้นก็เพราะถูกกระตุ้นจากชิวเหอ และ...
ตี๋ชิวเหอยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นอาการของคนตรงหน้า
จากนั้นก็วางมือบนไหล่ของเหอไป่พร้อมพูดให้คิดลึก “ใจเย็น!
นางเอกของผมยังไงผมก็ต้องมีชีวิตยืนยาวเคียงข้างคุณ ก็เพราะ...ผมรักคุณมากๆ”
คิ้วของเหอไป่กระตุกจากนั้นก็ผลักไปที่หน้าอกของตี๋ชิวเหอและยกนิ้วชี้เหมือนขู่
‘เจ้าขยะเปียก ช่างน่ารังเกียจ!!’
ตี๋ชิวเหอหัวเราะพร้อมยกคิ้วท้าทายเหมือนหยอกล้อหมาน้อย
เขารู้ว่าตัวเองตอนนี้ไม่อาจจะกุมหัวใจของคนรักได้ แต่ไม่มีทางที่จะยอมแพ้ ยังไงหมาน้อยก็ต้องเป็นของเขา
ของเขาเพียงคนเดียว
เหอไป่แทบจะพุ่งตัวไปชกใบหน้ากวนๆของชายตรงหน้า
“พวกนายทั้งสองสนิทกันดีนะ” เจี่ยงหัวซานเหมือนกรรมการระงับความรุนแรงในครอบครัว และยื่นกล้องคืนให้เหอไป่“ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมซูถึงอยากให้นายร่วมงานกับฉัน ถ้าฉันชวนนายเข้าร่วมทีมเพื่อถ่ายภาพโปรเตอร์หนังหรือภาพเบื้องหลังการถ่ายหนังให้ฉัน
นายสนใจไหม?”
เหอไป่อ้าปากกว้างอย่างตกใจมือที่จับกล้องก็สั่นเหือบทำหลุดมือ
ตี๋ชิวเหอรีบไปรับกล้องไว้แทนพร้อมกุมมือเล็กของเหอไป่แน่น
“ชิวเหอ..ที่ผู้กำกับพูดหมายความว่า..ผู้กำกับต้องการ..ให้ผมเข้าร่วมงานถ่ายรูป...”
นั้นเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่เหอไป่จะตั้งรับได้ทัน ทำให้คำพูดที่พูดออกมาไม่เป็นคำ
ถ่ายภาพโปสเตอร์หนังภาพยนตร์!
โปสเตอร์หนังภาพยนตร์ที่มีผู้กำกับเจี่ยงควบคุม!!
ภาพยนต์ทุกเรื่องที่กำกับโดยเจี่ยงหัวซานจะต้องมีการเปิดฉายทั้งในและต่างประเทศ
หนังเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน และหนังทุกเรื่องที่ถูกสร้างจากผู้กำกับมือทองจะต้องมีการส่งหนังเข้าชิงรางวัลหนังนานาชาติประจำปี!!
นั้นก็หมายความว่า...ถ้าเขาได้ถ่ายภาพโปรเตอร์ให้กับหนังเรื่องนี้
ชื่อของเขาก็ต้องเป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศและทั้ฃกลุ่มคนทั่วไปและคนในวงการบันเทิง
ถ้าเขาถ่ายถ้าได้สำเร็จก็เหมือนเป็นการกรุยทางในฐานะช่างภาพสายการบันเทิง
เขาต้องเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย!!!
ทำไมตัวเขาตอนนี้ออกนอกเส้นทางจากชีวิตก่อนหน้าที่จะย้อนกลับมา
ทั้งการเป็นช่างภาพแฟชั่นทั้งได้ถ่ายปกเอ็มวีและนี้เขาจะได้ถ่ายถ่ายภาพโปสเตอร์หนังภาพยนตร์
นั้นก็หมายความว่าชีวิตของเขาในตอนนี้มีทางเลือกให้เดินหลายเส้นทางในอาชีพของเขาในอนาคต!”
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการถ่ายภาพโปสเตอร์ให้กับผู้กำกับเจี่ยงให้สำเร็จ!
“ใช่แล้ว...” เจี่ยงหัวซานรู้สึกขบขันกับท่าทางของเด็กหนุ่มตรงหน้า
“อาจารย์ของนายไม่ได้บอกนายเรื่องนี้มาก่อนเหรอว่างานที่เขามอบหมายมาในวันนี้เป็นการทดสอบ
หากนายไม่มีงานที่น่าพอใจทั้งฉันและซูก็ไม่มีทางให้งานชิ้นนี้ให้นายแน่ ซูเขาอาจจะให้โอกาสนายกลับไปฝึกฝีมือแล้วกับมาให้ฉันทดสอบใหม่
แต่เมื่อฉันดูจากรูปที่นายถ่ายวันนี้ฉันให้ผ่าน ดังนั้นนายก็ได้งานจากฉันในวันนี้”
เหอไป่ไม่คาดคิดว่างานที่อาจารย์ซูมอบหมายจะทำให้เขาเติบโตได้ขนาดนี้
เขารู้สึกตื้นตันและซาบซึ้งในตัวอาจารย์ของเขา ที่ทั้งเอ็นดูและไว้ใจในตัวเขาถึงขนาดนี้
เขาจำได้แล้วว่าอาจารย์ซูสั่งให้เขาไปศึกษาการถ่ายรูปโปรเตอร์หนังและการถ่ายรูปหมู่ก็เพื่อฝึกเขาเพื่อวันนี้
มันช่างน่าประทับใจในตัวของอาจารย์ที่รักเขาได้ขนาดนี้ เขาเกือบเอ่ยปากรับงานจากเจี่ยงหัวซานแต่ก็ต้องชะงักเมื่อนึกถึงงานที่ยี่คัง
“ผู้กำกับเจี่ยงครับ เรื่องนี้ผมต้องขอบคุณมากที่คุณให้โอกาสผมและผมก็ต้องการงานชิ้นนี้มาก
แต่ผมคงไม่สะดวกที่จะร่วมงานกับกองถ่าย...”
บทที่ 93 ไอติม
(3)
“ไม่ต้องขอโทษฉันรู้ว่านายห่วงเรื่องอะไร
“เจี่ยงหัวซานพูดขัดขึ้นแล้วพูดเหมือนผู้ใหญ่ที่ใจดี “เรื่องงานชิ้นนี้ฉันไม่รีบร้อน ในฐานะที่นายยังเป็นนักศึกษาทำให้ยังต้องเข้าเรียน
นายกลับไปคิดแล้วลองจัดการตารางของตัวเองก่อนที่จะให้คำตอบฉันก็ได้”
เหอไป่ตอบรับอีกคนอย่างโล่งใจ และยังให้คำสัญญาว่าหลังจากกลับมหาลัยแล้วจะเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาอาจารย์ซูเพื่อหาวันที่สะดวกแล้วจะรีบแจ้งเจี่ยงหัวซานทันที
แล้วก็มีเสียงเรียกเจี่ยงหัวซานเนื่องจากมีปัญหาในฉากที่ตั๋งหนี๋กำลังถ่าย
ทำให้อีกคนต้องไปจัดการ
เหอไป่ตอนนี้ไม่สามารถระงับความตื่นเต้นได้มันแสดงชัดบนใบหน้า
เหอไป่ยิ้มกว้างไม่หุบเหมือนคนบ้า “ชิวเหอผมได้งานถ่ายโปสเตอร์หนัง!
มันเป็นงานชิ้นแรกของผมในเส้นวงการหนัง มัน...สุดยอด!”
“หมาน้อย..นายเก่งมาก” ตี๋ชิวเหอเห็นใบหน้ามีความสุขของเหอไป่ก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ ตอนนี้เขาอยากจะเก็บหมาน้อยไว้ในห้องเพื่อที่จะกอดอีกคนแน่นๆ
แต่ตอนนี้หมาน้อยของเขายังไม่เชื่อฟังแถมดุร้ายถ้าเขาทำแบบนั้นเขาต้องเจอกับ
‘ความรุนแรงในครอบครัว’ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพูดชื่นชมและยินดีไปกับอีกคนเท่านั้น
“ผมจะรอนายที่กองถ่าย รีบมาทำงานล่ะ”
จะทำยังไงได้ก็ตอนนี้เขาคุ้นเคยกับการที่มีหมาน้อยวิ่งวนอยู่รอบตัว เขาอยากเจอหมาน้อยของเขาทุกวัน
ซึ่งข้อเสนอของเจี่ยงหัวซานเหมือนเป็นของขวัญปีใหม่ที่หล่นจากบนฟ้า
หวังป๋ออี๋ที่ยืนเฝ้าอยู่รอบนอกเงียบๆเพื่อคอยดูแลตี๋ชิวเหอ
ก็อดโอดครวญในใจไม่ได้ ‘นายน้อยครับ...นี้ลืมตัวอยู่หรือเปล่าว่าอยู่กลางกองถ่สย
ตอนนี้ภาพลักษณ์ของคุณพังอย่างไม่มีชิ้นดีแล้ว...”
ท่ามกลางความยินดีของเหอไป่กินเวลาไปเกือบสิบนาที
มันก็เป็นช่วงที่กำลังจะต้องถ่ายฉากที่ตี๋ชิวเหอเล่นคู่กันกับตั๋งหนี๋
ฉากนี้เป็นฉากที่เฉินจุนหลบหนีเพื่อตรงไปที่ท่าเรือเพียงลำพังเนื่องจากสลัดพวกตำรวจหลุด
แต่ไท่เซี่ยที่พึ่งรู้ความจริงว่าเฉินจุนเป็นพ่อค้ายาเสพติดก็มาดักรอเพื่อหยุดเฉินจุนและเกลี้ยงกล่อมให้ยอมมอบตัว
แต่เฉินจุนไม่สามารถทำแบบนั้นได้เพราะภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายแล้วยังไม่สำเร็จแต่ก็ไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้แก่ไท่เซี่ยได้เช่นกัน
ตอนนี้ตำรวจกำลังมาที่ท่าเรือและไท่เซี่ยก็กำลังโทรหาเพื่อนตำรวจของเธอเพื่อช่วยเหลือเฉินจุน
เฉินจุนไม่สามารถรอเวลาได้เขาจึงผลักไท่เซี่ยล้มลงพร้อมความรู้สึกผิดที่ไม่อาจจะเลือกความรักมากกว่าการรับใช้ชาติได้
ชีวิตของเขาตอนนี้ทำได้เพียงหนีจากคนรักเพื่อต่อสู้หรือวิ่งเข้าสู่ความตาย
ฉากที่ต้องถ่ายมันเป็นฉากที่ต้องใช้อารมณ์มาก
ตั๋งหนี๋ก็อยู่กับความเครียดและความกดดัน แต่กับกันตี๋ชิวเหอยังมีสีหน้าสบายไม่มีสีหน้าหงุดหงิดสักนิดเดียวที่เจี่ยงหัวซานสั่งถ่ายใหม่หลายครั้ง
“ทำไมคุณต้องหนี! เฉินจุนคุณยังเป็นผู้ชายอยู่ไหม!”
ไท่เซี่ยที่เต็มไปด้วยความผิดหวังตะโกนออกมาพร้อมทั้งน้ำตาผมที่หล่นอยู่บนไหล่ที่ลั่นเทาเหมือนเธอกำลังจะแตกสลาย
เฉินจุนที่หยุดชะงักในตรอกมืดก็ทำเพียงยืนนิ่งอยู่กับที่เพราะเขาไม่สามารถอธิบายถึงเหตุผลที่ต้องหนีได้
“ตอบฉันมาสิ...” ไท่เซี่ยเช็ดน้ำตาที่ใบหน้าจากนั้นก็ยกปืนเล็ฃไปที่เฉินจุน
“คุณบังคับให้ฉันต้องทำแบบนี้ อย่าคิดหนี!!!”
“ไท่เซี่ย...” ในที่สุดเฉินจุนก็พูดขึ้น
เขาก้าวเดินออกมาจากตรอกมืดเพียงหนึ่งก้าวทำให้เห็นใบหน้าเพียงครึ่งในแสงสว่าง แต่ก็ต้องถอยหน้ากลับสู้ความมืดมน
ไท่เซี่ยตะโกนเสียงดังอีกครั้ง “หยุดอยู่ตรงนั้น!
ยกมือขึ้น!! แล้วก้าวออกมามอบตัว!!”
“คัท! ผ่าน!!”
เหมือนเสียงระฆังที่ดังจากสวรรค์ท่ามกลางความกดดันของคนในกองถ่าย
เพียงฉากเดียวที่ถูกสั่งให้ถ่ายใหม่ครั้งหลายครั้ง
ถ้ารอบนี้ยังไม่ผ่านอีกพวกเขาทุกคนคงจมอยู่ในทะเลเพลิงแห่งความโกรธของผู้กำกับเจี่ยง
“เราพักกองสิบนาทีแล้วค่อยถ่ายฉากสุดท้าย!”
ผู้กำกับเจี่ยงพูดเสียงดังพร้อมใช้บทสคริปต์ตบโต๊ะเสียงดังอย่างหงุดหงิด
เหล่าทีมงานในกองมองหน้ากันสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจในจากคนที่พูดขึ้นได้ ตี๋ชิวเหอไม่พูดอะไรเขาทำเพียงเดินออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เหล่าทีมงานรู้ว่าตี๋ชิวเหอเหนื่อยขนาดไหนที่ต้องแสดงฉากเดิมซ้ำๆกับมือใหม่ที่ไม่มีฝีมืออย่างตั๋งหนี๋
พวกเขาเพียงแค่เฝ้าดูยังเหนื่อยถึงขนาดนี้
อืม...นี้เหละน่าข้อเสียของมือใหม่ที่ไร้ฝีมือ
เหอไป่ส่งขวดน้ำเย็นเฉียบให้กับตี๋ชิวเหอสีหน้าเต็มไปด้วยความเครียดพร้อมถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“คุณโอเคไหม?”
เพื่อให้ได้ฉากที่สมบูรณ์ตี๋ชิวเหอต้องอยู่ในตรอกมืดเป็นเวลานาน
ในจุดนั้นไม่มีแม้แต่ลมพัดทำให้ไม่มีอากาศถ่ายเท
“โอเคอยู่...ขนาดตั๋งหนี๋ที่เป็นผู้หญิงยังไม่บ่นสักคำ
แล้วผมที่เป็นผู้ชายจะแพ้เธอได้ยังไง?” ตี๋ชิวเหอรับขวดน้ำเย็นมาเปิดพร้อมยกขึ้นดื่มเกือบครึ่งขวด
“หมาน้อยครับผมเหลือฉากสุดท้ายที่ต้องถ่ายตอนนี้ตัวของผมเต็มไปด้วยเหงื่อ
หลังเลิกกองผมอยากจะอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ นายไปเอาเสื้อที่อยู่ในรถให้ผมหน่อยได้ไหม”
หวังป๋ออี๋ที่ยืนไร้ประโยชน์มาตั้งนานก็อาสาที่จะไปทำแทนให้
“นายน้อยครับ เดียวผมเอามาให้เองให้คุณเหอได้พักบ้าง” ก็เด็กหนุ่มตรงหน้าวิ่งวุ่นไม่หยุด จากนั้นก็หันหลังทันทีเดินไปทำหน้าที่ของเลขาที่ดีได้สักที
ตี๋ชิวเหอพูดไม่ออกเขาอุตส่าห์หาข้ออ้างเพื่อไม่ให้เหอไป่อยู่เห็นเขาถ่ายฉากสุดท้ายซึ่งเป็นฉากที่เขาต้องการนักแสดงอีกคน
บางที่เลขาของเขาก็ซื่อบื้อเกินไป...มันน่าหักเงินเดือน
“ถ้าอย่างนั้น..” ตี๋ชิวเหอหาข้ออ้างที่สอง
“ผมต้องการน้ำอัดลมเย็นสักกระป๋อง หมาน้อยนาย...”
เหอไป่หยิบกระป๋องน้ำอัดลมเย็บเฉียบจากถังน้ำแข็งที่อยู่บนเคาน์เตอร์มินิบาร์แล้ววางไว้บนมือของตี๋ชิวเหอ
สีหน้าอย่างเต็มไปด้วยความเป็นห่วง “ผมคิดไว้แล้วว่าคุณจะต้องการกินอะไรเย็นๆเลยบอกให้เลขาหวังเตรียมไว้แล้ว”
“......”
“ทำไมคุณยังไม่ดื่มมันอีก?” เหอไป่ถามอย่างสงสัย
ตี๋ชิวเหอเปิดกระป๋องและยกดื่มเพียงเล็กน้อยแล้วพูดเสียงเบาต่อ
“แล้วผ้าขนหนูเย็นๆ...”
เหอไป่ก็เหมือนเล่นมนต์เขาหยิบอ่างน้ำขนาดเล็กจากใต้โต๊ะ
ในอ่างมีน้ำแข็งและผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กแช่อยู่ในนั้นจากนั้นก็หยิบมันขึ้นมาแล้วบีบที่ผ้าเบาๆ
“คุณแต่งหน้าเข้าฉากอย่าเช็คที่หน้าแรงเกินไปเดียวเครื่องสำอางหลุด ผมว่าดีที่สุดเช็คแค่ที่คอกับไหล่ก็พอ
เข้าใจไหมครับ?”
“เข้าใจแล้ว แล้วพัดลมล่ะ..” ตี๋ชิวพยายามอย่างหนักอีกครั้ง
เหอไป่วางผ้าบนมือของตี๋ชิวเหอและล้มลงหยิบพัดลมตัวเล็กจากหลังมินิบาร์
เขาเปิดมันและหันไปทางร่างของตี๋ชิวเหอแต่หลีกเลี่ยงไม่ให้โดนทรงผมที่เซ็ตไว้
“ผมของคุณไม่ควรยุ่งดังนั้นคุณไม่ควรใช้พัดลมขนาดใหญ่”
ตี๋ชิวเหอสูดลมหายใจเข้าลึกและจ้องไปที่มินิบาร์อย่างเกลียดชัง
“ทำไมเลขาหวังถึงเตรียมของแบบนี้คิดว่าผมเป็นเรื่องมากหรือยังไง?”
ลดเงินเดือน! ไม่มีการให้โบนัส!! เขาจะทำมันเดียวนี้
เหอไป่ยกมือไขว้หลังและมองตี๋ชิวเหอด้วยสีหน้าดูถูก
“ทำไมถึงมีนิสัยเป็นเด็ก? คนเขาอุตส่าห์เตรียมของไว้ให้!”
ตี๋ชิวเหอได้ยินเสียงดุก็เงยขึ้นมองเหอไป่อย่างคาดหวังพร้อทถามด้วยเสียงที่ไม่แน่ใจปนตื่นเต้น
“หมาน้อย...นายเป็นคนเตรียมของทั้งหมดนี้เอง...”
เหอไป่หัวเราะเยาะเย้ยและทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างมินิบาร์จากนั้นก็หยิบแท่งไอติมออกมาใส่ปากและดูภาพกล้องอย่างไม่สนใจ
พัดลมตัวน้อยกำลังทำงานอย่างดีมันพัดลมเย็นๆ
ตี๋ชิวเหออดที่จะกระหายน้ำขึ้นมา เขาจ้องมองหมาน้อยที่กำลังเลียไอติมจากนั้นก็ยกน้ำอัดลมขึ้นดื่มแล้วพูดเสียงแผ่วเบา
“หมาน้อย...”
“หึ...” เหอไป่เค้นเสียง
ตี๋ชิวเหอพูดอ้อมแอ๋ม “...ผมก็อยากกินไอติมเหมือนกัน”
เหอไป่ชะงักและก็เลียไอติมไปครึ่งแท่งเหมือนกลั่นแกล้ง
ทางตี๋ชิวเหออดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
“...” หวังป๋ออี๋กลับมาตอนที่ตี๋ชิวเหอเข้าฉากและรู้ได้ทันทีจากสีหน้าที่ไม่ปกติของเจ้านายตัวเอง
ทางตี๋ชิวเหอที่ตอนนี้ยืนอยู่หน้ากล้องแต่ใจยังจดจ่อคิดถึงไอติมแท่งนั้น
เขาพยายามท่องกับตัวเองว่าตั๋งหนี๋ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นไอติมแท่งที่หมาน้อยของเขากำลังเลียทันใดนั้นสีหน้าของตี๋ชิวเหอก็เต็มไปด้วยกระหายแต่ต้องอดกั้น
ซึ่งถือว่าโชคช่วยที่ตรงกับอารมณ์ของเฉินจุนในฉากนี้พอดี
และก็มีสัญญาณจากผู้กำกับที่เริ่มถ่ายฉากสุดท้าย
ในฉากนี้จะเป็นฉากที่ไท่เซี่ยที่แสดงโดยตั๋งหนี๋
เธอต้องทิ้งปืนและวิ่งเข้าไปกอดเฉินจุนเพื่อไม่ให้ทิ้งเธอไป เฉินอ้าแขนออกเพื่อรับตัวเธอไว้พร้อมโอบกอดและเลื่อนไปที่คอเพื่อประคองตัวเธอ
กล้องที่ได้รับหน้าที่ถ่ายระยะใกล้ก็โคลสอัพเข้าไปเรื่อยๆ
แต่อยู่ตี๋ชิวเหอก็ตัวค้างเกร็ง
“คัท!” เสีนงหน้าของเจี่ยงหัวซานเต็มไปด้วยความหงุดหงิดและตะโกนถามตั๋งหนี๋เสียงดัง
“เธอคิดอะไรของเธอ? ถึงแม้ว่าไท่เซี่ยจะเสียใจมากที่เฉินจุนจะจากไปก็เถอะ
แต่อย่าโถมตัวอย่างแรงแบบนั้นแล้วอีกอย่างเฉินจุนเขาเป็นทหารทำให้ต้องระวังตัวเองอย่างมาก
เธอก็เอาหน้าตัวเองใกล้คอเกินไป เธออยากให้อีกคนพลักเธอกระเด็นตแนที่เธอไปซุกหรือไง?”
ตี๋ชิวเหอถอยหลังยาวทันทีที่ได้ยินเสียงคัทและรีบเอามือตัวเองเช็ดที่คอที่รอยลิปสติกสีแดงอย่างแรง
เจี่ยงหัวซานเห็นแบบนั้นก็โมโหมากขึ้นกว่าเดิม
“ใครเป็นคนแต่งหน้าให้ตั๋งหนี๋ ทำไมใช้ลิปสติกสีแดงบนปากของเธอเช็ดออกเดียวนี้!”
บทที่ 94 ไอติม
(4)
“ขอโทษคะ ฉันเป็นคนรับผิดชอบแต่งหน้าคุณตั๋งแต่ฉันก็เพียงแค่ทาไลเนอร์บางๆเท่านั้น..”
ช่างแต่งหน้าที่ดูแลตั๋งหนี๋ก็เอ่ยขึ้นอย่างหวาดกลัวที่ถูกตำหนิ ทุกสายตาจ้องมองไปทางตั๋งหนี๋ทันที
ตั๋งหนี๋ยิ้มออกมาแหยๆเธอพูดแก้ตัวว่า
“ฉันเป็นคนทาเอง...” อันที่จริงสีของลิปสติกที่เธอทาเพิ่มก็เป็นโทนเดียวกันกับช่างแต่งหน้าทาให้
เพียงแต่มันสีเข้มกว่า เธอเพียงต้องการเพิ่มเสน่ห์ให้ตัวเองมือตี๋ชิวเหอจ้องที่ปากของเธอ
ตั๋งหนี๋จ้องมองแผ่นหลังของตี๋ชิวเหอเหมือนหาตัวช่วย
แต่อีกคนกลับเดินหันหลังเดินตรงไปหารุ่นน้องแล้วชี้ให้ดูรอยจูบที่เธอทิ้งไว้บนลำคอ..นี้เธอผิดหรือเปล่าที่รุกแบบนั้น
การถ่ายเทคแรกพังไม่เป็นท่าส่วนการถ่ายเทคสองก็เป็นเหมือนเดิม
ตี๋ชิวเหอเบี่ยงหน้าตัวเองทันทีที่ตั๋งหนี๋ยื่นหน้าเข้าใกล้ลำคอแม้จะไม่ใกล้เท่าเทคแรก
“คัท!”
เจี่ยงหัวซานพูดขึ้นพร้อมยกมือกุมขมับตัวเอง
“คุณตั๋ง! เธอวิ่งเข้าไปเหมือนสะดุดล้มและโถมตัวเหมือนหาที่ยึด?
ฉันก็บอกแล้วยังไงว่าห้ามเข้าใกล้เฉินจุนมากเกินไป ทำไมตอนที่ซ้อมบทก็ทำได้ดีแต่พอถ่ายจริงถึงไม่เป็นเหมือนที่ซ้อม?
พอๆพักก่อนสิบนาที!!”
เหอไป่ขมวดคิ้วแน่นเขารู้สึกเห็นใจตี๋ชิวเหอที่ถูกตั๋งหนี๋ทำท่าเหมือนจะกระโจนเข้าหาตลอดเวลา
ตี๋ชิวเหอเดินหน้าเสียเข้ามาฟ้องเหอไป่ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดี
“สุนัขตัวเมียมันฉวยโอกาสจากผม” เนื่องจากตัวเขาเองกั้นหมาน้อยไม่ได้ เขาต้องพยายามทำตัวให้หมาน้อยเห็นว่าเขาน่าสงสารและถูกเอาเปรียบทุกวิถีทาง!
เขาพยายามอยู่ไกลๆจากสุนัขตัวเมียนั้นเพื่อไม่ให้หมาน้อยของเขาเข้าใจผิด!!
มุมปากของเหอไป่เบ้ลงแต่ก็อดไม่ได้ที่จะสงสารชายตรงหน้าทั้งที่รู้ว่าอีกคนกำลังแสดงละครเพื่อเรียกร้องความสนใจแต่ก็เตือนตัวเองไม่ให้ปลอบไม่งั้นชายน่าหมั่นไส้คนนี้คงบินไปถึงดวงจันทร์
“เสี่ยวไป่..นายดูรอยที่คอผมสิเธอจูบผมและยังแช่ตั้งนานไม่งั้นจะติดแน่นแบบนี้เหรอ”
ตี๋ชิวเหอพูดด้วยสีหน้าน่าสงสารและเขินอาย ยังจะมีการกุมมือที่หน้าอกพร้อมตัวสั่นเทาเหมือนกำลังถูกรังแกมาอย่างหนัก
“หมาน้อยเหมือนมันจะติดเชื้อด้วยเหละ ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรไม่รู้คลานอยู่ในรอยนั้น
เสี่ยวไป่ดูให้ผมหน่อยเช็ดมันออกไปให้ผมที”
ในสุดเหอไป่ก็อดไม่ได้ที่จะปลอบแม้จะรู้สึกหมั่นไส้กับอาการที่โอเวอร์
เขาเช็ดรอยลิปสติกที่คอของตี๋ชิวเหอแล้วกัดฟันพูดอย่างอดกั้น
“ผมว่าคุณสนุกเกินพอดีแล้ว” เขาไม่ทางเชื่อว่าตี๋ชิวเหอที่เจ้าเล่ห์จะล้มเหลวในการถ่ายหนังแต่คนที่เข้าฉากจะเป็นเพียงมือใหม่
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าตี๋ชิวเหอกำลังเล่นสนุกตอกตะปูใส่เธอคนนั้น! เขากำลังเล่นสนุก!!
“หมาน้อยนายใส่ร้ายผม” ตี๋ชิวเหอขยับตัวเข้าใกล้เหอไป่มากขึ้นพร้อมอธิบายด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยเหมือนเสียงใจที่ถูกต่อว่า
“ผมแค่ไม่ต้องการให้สุนัขตัวเมียนั้นแสดงฝีมือ” ตี๋ชิวเหอพูดต่อในใจ ‘การที่จะเติบโตก็ต้องถูกดุมาก่อนทุกคน’
เหอไป่ผลักชายที่น่าหมั่นไส้ออกไปแรง โดยไม่สนนิ้วเรียวที่พยายามเกี่ยวสายกล้องที่เขาคล้องไว้เหมือนต้องการให้เขาสนใจ
“หยุดทำเรื่องเหลวไหลเตรียมตัวเข้าฉากและตั้งใจถ่าย ทุกคนเหนื่อยกันมากแล้วต้องการที่จะพักผ่อน
ซึ่งถ้าคุณยังเล่นสนุกกับตั๋งหนี๋แบบนี้คุณก็ต้องเหนื่อยมากขึ้นกว่าเดิมที่ต้องถ่ายฉากเดิมซ้ำๆ
เข้าใจไหมเด็กชายตี๋!”
“นายเป็นห่วงผมเหรอ” ตี๋ชิวเหอพูดพร้อมรอยยิ้มและขยับตัวเข้าใกล้เหอไป่ ดูเหมอนว่าเขาต้องหยุดเล่นสนุกแล้วไม่งั้นหมาน้อยคงต้องกัดมือเขาแน่
“หมาน้อยคอยดูว่าผมจะตอกตะปูใส่มือของเธอเร็วแค่ไหน”
เหอไป่เงียบไม่พูดต่อ
เขาเหนื่อยที่จะต่อล้อต่อเถียงกับเด็กตรงหน้า
ในที่สุดการถ่ายเทคที่สามก็เริ่มขึ้น
ตั้งหนี๋ไม่สร้างเรื่องเธออยู่ในอ้อมกอดของตี๋ชิวเหออย่างถูกต้อง
ตี๋ชิวเหอเหลือบมองไปทางเหอไป่และเริ่มตระหนักว่าไหน้ำส้มในมือเหมือนมันกำลังจะแตก
จึงก้มไปพูดกลับหญิงสาวในอ้อมแขนโชคดีที่ไม่ได้ติดไมค์ เสียงที่พูดแผ่วเบาให้ยินกันสองคนปากไม่มีการขยับ
“คุณตั๋ง...คุณรู้ไหมว่าทำไมสปอนเซอร์ถึงเลือกคุณก็เพราะคุณเหมือนคนรักแรกของเขาก็เท่านั้น...”
ทันทีที่ได้ยินตั๋งหนี๋ก็อ่อนแรง
ตี๋ชิวเหอจับที่ต้นคอของตั๋งหนี๋และกอดเธอแน่นตามบทของเฉินจุนและพูดต่อด้วยโทรเสียงเหมือนเดิม
“คุณอย่าสำคัญตัวเองให้มาก ถ้าสปอนเซอร์ของคุณรู้ว่าสัตว์เลี้ยงของเขาเลี้ยงไม่เชื่องชอบแว้งกัดล่ะ?”
ตั๋งหนี๋เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัวชายตรงหน้า
เธอทรุดตัวลงและกำเสื้อด้านหลังตี๋ชิวเหอแน่นเพื่อประคองตัวเอง
“เค้าจะใช้ความนิยมและสดใหม่ของเธอเหมือนเช็ดชู่เปียกที่เมื่อสกปรกก็เขี่ยทิ้ง”
ตี๋ชิวเหอสีหน้าสีหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์ตามบทของเฉินจุนตาก็จ้องมองกล้อง
“อย่ามายุ่งกับฉัน
ทำตัวดีๆอย่าให้มีข่าวลือเน่าๆออกมายิ่งกับฉันด้วยแล้ว ไม่งั้นฉันจะหาวิธีทำให้สปอนเซอร์เขี่ยคุณทิ้งก่อนที่เขาจะเบื่อสักอีกมันช่างเป็นเรื่องง่ายๆ”
จากนั้นตี๋ชิวเหอก็กระแทกไปที่ข้อพับขาของตั๋งหนี๋
ตั๋งหนี๋ที่ล่วงกองลงกับพื้นยืนข้างขวาตี๋ชิวเหอยังจับไว้
จากนั้นก็เงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ด้วยสายตาที่ตื่นตระหนัก“คุณ...”
ตี๋ชิวเหอก้มหน้าลงเหมือนจะประคองตั๋งหนี๋
จากนั้นก็พูดสั่ง “หลับตาลง...”
ตั๋งหนี๋หลับตาลงอย่างไม่รู้ตัวเมื่อตี๋ชิวปล่อยมือเธอก็ไหลกองอยู่บนพื้น
ส่วนตี๋ชิวเหอหลังปล่อยมือเขาก็มองไปกล้องตามบท
“คัท! ผ่าน!!”
ผู้กำกับเจี่ยงส่งสัญญาณว่าผ่านใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจในการแสดงฉากนี้
“ฉากนี้ฉันให้เครดิตชิวเหอนายแสดงถึงบทบาทของเฉินจุนอย่างเข้มข้นยิ่งตอนที่นายกอดไปไท่เซี่ยและส่งบทเพื่อให้ตั๋งหนี๋เสียถึงอารมณ์ที่ตกใจและเจ็บปวดจากที่คนรักปฏิเสธเลิกกองพรุ่งนี้เราค่อยมาถ่ายฉากถัดไป!”
เหล่าทีมงานที่คอยลุ้นก็โล่งใจทันทีและหายจากอาการเหนื่อยล้าที่ต้องมาคอยถ่ายฉากเดิมซ้ำๆ
แล้วก็ส่งเสียงดีใจที่ผู้กำกับเจี่ยงสั่งเลิกกอง
ตี๋ชิวเหอก้าวเดินออกจากตรอกที่ถูกเซตเป็นฉาก
เดินผ่านร่างของตั๋งหนี๋ที่ยังนอนกองอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าไร้สีเลือดเขาเข้ามาเดินคุยกับเจี่ยงหัวซานด้วยสีหน้าเรียบเฉยเมื่อไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายอะไรลงไปเมื่อได้ยินว่าไม่ต้องถ่ายแก้
ก็เดินมาหาเหอไป่ด้วยสีหน้าบูดบี้แล้วบ่นกับเหอไป่ทันที
“หมาน้อย..ตัวผมสกปรกหมดเลยกลิ่นน้ำหอมที่ตั๋งหนี๋ใช้มันเหม็นมาก มันติดที่เสื้อผ้าด้วยผมไม่ชอบเลย”
“แล้วถ้ากลิ่นมันเหม็นทำไมถึงมาถูผมด้วย”
เหอไป่ผลักร่างสูงที่ตอนนี้กอดตัวเองแน่น พร้อมขมวดคิ้วแน่น เมื่อมองไปทางตั๋งหนี๋ที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมที่ตอนนี้มีผู้จัดการของเธอมาช่วยดูแล
“คุณไม่ได้ไปพูดอะไรแปลกๆกับเธอใช่ไหม? ทำไมสีหน้าของเธอดูไม่ดีเลน?!”
ตี๋ชิวเหอยิ้มและพูดข้างหูของเหอไป่ “ผมเพียงแค่บอกว่าอย่ามายุ่งผมชอบผู้ชายมากกว่าผู้หญิงและไม่ถูกโรคกับสัมผัสของผู้ที่มาถูกตัว”
เหอไป่ผลักร่างสูงออกไปจากนั้นก็ใช้มือขวาถูใบหูตัวเองอย่างรังเกียจ
“ทำไมคุณไม่บอกว่าชอบใช้ก้นมากกว่าใช้นกของตัวเอง นกของคุณเป็นเพียงแค่ของประดับ!”
เสียสติขนาดไหนที่กล้าพูดเรื่องแบบนั้นกับตั๋งหนี๋! ถ้าตั๋งหนี๋เอาเรื่องนี้ไปบอกพวกสื่อคงถูกแฟนคลับแอนตี๋แน่นอน!!!
ตี๋ชิวเหอยิ้มอย่างไม่ใส่ใจเขายังเดินเข้าใกล้เหอไป่เพื่อจับมือพร้อมพูดให้คิดลึก
“นายลองสัมผัสไหมว่ามันเป็นของประดับหรือเปล่า”
เหอไป่สะบัดมือนั้นอย่างรังเกียจเขานึกอยู่แล้วว่าอีกคนน่าไม่อาย
เป็นคนที่ไม่มีความละอายใจ
“ผมไม่ถือสาถ้านายต้องการพิสูจน์ว่ามันเป็นของประดับไหม”
ตี๋ชิวเหออดไม่ได้ที่จะหยอกล้อต่อเพราะรู้ว่าเจ้านกของเขาไม่ด้อยไปกว่าใคร
เมื่อได้ยินจับประโยคเหอไป่กำมือแน่นเหมือนต้องการที่ที่จะทุบตีคน
หวังป๋ออี๋ที่เดินมาพร้อมขวดน้ำเย็นก็ชะงัก
ใบหน้าเรียบเฉยของเขากำลังพังทลาย ‘นี่ฉันได้ยินเรื่องบ้าๆ
อะไรนี้’
บทที่ 95 ดีที่สุดสำหรับคุณ
หลังจากที่เหอไป่ติดตามการถ่ายทำมาทั้งวันเขาก็เข้าใจถึงความเหน็ดเหนื่อยของทุกคนและยิ่งตี๋ชิวเหอที่เป็นนักแสดงหลักด้วยแล้ว
ก็รู้สึกไม่พอใจในตอนที่ตี๋ชิวเหอออกจากองถ่ายทันทีเพื่อไปหาตัวเองที่เมือง
B เพียงเพื่อต้องการให้ขอโทษเขา
ทำให้ความโกรธที่กำลังก่อตัวก็จางหายไป
“หมาน้อย..งานเสร็จแล้วจบนี้เราไปเดินเที่ยวตลาดนัดกลางคืนกันเถอะ!”
ตี๋ชิวเหอยังคงยึดมั่นในคำพูดว่าจะพาหมาน้อยของตัวเองเที่ยว
“พรุ่งนี้นายก็กลับเมือง B แล้วเวลาเหลือน้อย ผมว่าเราไม่เดินตลาดใกล้โรงแรมกัน
เห็นเหล่าทีมงานพูดว่ามันทั้งคึกคักและมีร้านค้าเยอะมาก นายต้องชอบแน่นอน”
เหอไป่ดึงเมมโมรี่การ์ดออกจากโน๊คบุ๊คจากนั้นก็เก็บของทั้งหมดลงกระเป๋า
และเดินไปที่หยิบชุดนอนของตี๋ชิวเหอโดยไม่สนใจในคำพูดของคนร่วมห้องเมื่อหันมองหน้าก็โยนชุดนอนใส่อีกคนอย่างแรง
“นอนเฉย! ถ้าคุณอยากกินอะไรพิเศษเดียวผมบอกเลขาหวังให้” อีกคนต้องการพักผ่อนหลังจากใช้พลังมาตลอดทั้งวัน สมควรต้องพักผ่อนไม่ใช่ไปเดินช็อปปิ้ง!!
ตี๋ชิวเหอทิ้งตัวนอนอย่างขัดใจ
แต่เมื่อหัวถึงหมอนก็กระเด้งตัวขึ้นนั่งอย่างเร็ว “ผมว่านายต้องเบื่ออาหารกล่องใกล้ๆนี้มีร้านอาหารทะเลขึ้นชื่อมันเปิดมาเกือบร้อยปีเดียวผมให้เลขาหวังจองโต๊ะให้”
เหอไป่มองตี๋ชิวเหอด้วยสายตาเหนื่อยล้า
เขาหันหลังและถอดเสื้อตัวเอง
ตี๋ชิวเหอกำลังพูดแต่อ้าปากกว้างเมื่อเห็นแผ่นหลังขาวใสไม่มีแม้แต่รอยตำหนิ
เขาทิ้งตัวหงายหลังลงบนเตียงใบหน้าแดงอย่างเขินอายแต่สายกับเต็มไปด้วยความกระหาย เขาไล่มองเส้นตรงกลางที่นู้นขึ้นตั้งแต่ต้นคอไล่ลงมายังช่วงอกลงมาที่ช่วงเอวและสุดท้าย
อึก...ร่างกายก็ร้อนขึ้นและพูดด้วยเสียงอึกอัก “นายทำอะไร...ถอดเสื้อผ้าออกทำไม?
...หรือว่า...ต้องการ...”
เหอไป่โยนเสื้อตัวเองที่เต็มไปด้วยเหงื่อใส่หน้าตี๋ชิวเหอและหยิบชุดนอนของตัวเองพูดด้วยน้ำเสียงเอื้อมระอา“ตอนนี้ผมหมดแรงและต้องการนอน กรุณาสั่งอาหารมากินที่นี่
ผมหวังว่าจะมีมันบนโต๊ะเมื่อผมอาบน้ำเสร็จ” จากนั้นก็เข้าไปในห้องน้ำ
ปัง!
เสียงปิดดังเหมือนเป็นเรียกสติตี๋ชิวเหอ
ตี๋ชิวเหอที่กลั้นลมหายยาวนานก็พึ่งรู้ว่าต้องปล่อยมันออกมา
เขาหยิบเสื้อของเหอไป่ที่อยู่บนหน้าลงจ้องมองเสื้อตัวนั้นด้วยใบหน้าที่แดงก่ำลามไปยังใบหู
เมื่อนึกถึงความคิดน่าอับอายของตัวเองก็ซุกหน้าบนเสื้อของเหอไป่ เป็นเวลาเกือบห้านาทีเขาก็นึกถึงคำสั่งจึงรีบหยิบโทรศัพท์กดโทรออกทันที
“เลขาหวังสั่งอาหารอะไรก็ได้ที่เร็วที่สุดมาส่งที่ห้องของฉัน”
ไม่ทันฟังปลายสายเขาก็กดตัดสายทันทีสายตายังจับจ้องที่เสื้อในมือ
มันยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆประจำตัวของหมาน้อย เขาตัดสินใจโยนมันลงตระกร้าและหยิบชุดนอนของตัวเองมาใส่อย่างร้อนรน
‘ดูเหมือนวันนี้หมาน้อยของเขาเหนื่อยเกินไปถึงหงุดหงิด..พวกเราค่อยไปเที่ยวกันวันหลังก็ได้
วันนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เขาจะได้กับหมาน้อย...คืนสุดท้าย’
ใบหน้าที่เขินอายถูกแทนที่ด้วยความเศร้าหมองเมื่อนึกขึ้นได้ว่าคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยกัน
ตี๋ชิวเหอที่ตอนนี้ใส่ชุดเรียบร้อยก็เดินไปทิ้งตัวอย่างหมดแรงที่โซฟายาวข้างหน้าต่างไหล่ที่ตั้งตรงก็ค่อยๆลู่ลงเรื่อยๆ
พร้อมมองไปยังกระเป๋าเป้ใบโตของเหอไป่ที่ถูกจัดเก็บเรียบร้อยพร้อมเดินทาง
ไม่นาน..หมาน้อยก็ต้องจากเขาไป...
เหอไป่ที่พึ่งออกจากห้องน้ำก็เจอวิญญาณที่ล่องลอยของตี๋ชิวเหอ
เขาจึงตัดสินใจเดินไปนั่งข้างวิญญาณนั้น
นี่ตี๋ชิวเหออยากเที่ยว?
หรือว่าเมื่อกี้เขาพูดแรงไป...
เหอไป่ถอนหายใยยาว
เขาหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาเช็ดที่ผมของตัวเอง
‘ตี๋ชิวเหอยังเป็นวัยรุ่นที่กระหายจะท่องเที่ยวกับกันจิตวิญญาณของเขาตอนนี้เป็นชายวัยกลางคนที่เหนื่อยล้าและต้องการเพียงที่นอนนุ่มๆ’
“ชิวเหอ..คุณไม่พอใจอะไร?”
เหอไป่ลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเบียร์ออกมาสองกระป๋องจากนั้นก็เดินมาหาตี๋ชิวเหอที่นั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น
เขายื่นอีกกระป๋องให้วิญญาณตรงหน้าและเอากระป๋องของตัวเองมาเปิด “วันนี้คุณอยากกินอะไร? เดียวผมพาไปกิน”
ตี๋ชิวเหอมองมือเล็กที่กำลังยกกระป๋องเบียร์ขึ้นฝด้วยความเร็วก็คว้าเบียร์กระป๋องนั้นมาไว้ในมือตัวเอง
แล้วหันหลังไปที่ตู้เย็นหยิบน้ำผลไม้มาไว้ในมือของร่างเล็กแทนพร้อมทิ้งตัวนั่งบนโซฟาที่เดิมสีหน้าเต็มไปด้วยความมืดมนหดหู่“พรุ่งนี้นายต้องขึ้นเครื่องแต่เช้าไม่ควรที่จะกินเบียร์ตอนนี้”
เหอไป่มองน้ำผลไม้ในมือสายตาอยากจะอ่านออก
เหอไป่ทิ้งตัวนั่งข้างตี๋ชิวเหอและจับมือของอีกคนพูดพร้อมรอยยิ้มเอาใจเหมือนผู้ใหญ่กำลังหลอกล่อเด็กน้อย
“ไม่อยากให้ผมไป...”
ชายที่มีนิสัยเด็กน้อยก็แข็งเกร็งพร้อมหลบสายตา
‘เฮอะ! นี้มันอาการของเด็กขี้งอนแน่นอน!’
เหอไป่ยังมีรอยยิ้มบางๆ
พร้อมพูดปลอบเด็กน้อยต่อ “เมื่อผมจัดการเรื่องยุ่งๆเรียบร้อย
ผมจะมาหาคุณใหม่” เขาคิดอย่างใคร่ครวญถึงพูดออกมา “ชิวเหอครับ..คุณมีเพียงผมและเจี่ยงซิ่วเหวินเป็นเพื่อน แม้ว่าการหาเพื่อนใหม่ที่จริงใจในวงการบันเทิงมันจะยากแต่ผมว่าคุณลองเปิดใจมองหาเพื่อนที่สนิทอีกสักสองสามคน
ผมว่ามันดีสำหรับคุณนะครับ”
การที่วันนี้เขาอยู่กับตี๋ชิวเหอทั้งวันเขาก็รับรู้ได้ถึงการสร้างกำแพงของตี๋ชิวเหอเพื่อกั้นไม่ให้คนนอกข้ามเข้ามา
มันไม่ใช่เรื่องแย่แต่มันก็ทำให้ตี๋ชิวเหอปิดกั้นตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม
การที่ตี๋ชิวเหอเป็นที่ชื่นชมทั้งในหมู่เพื่อนร่วมอาชีพและเหล่าคนที่ทำงานร่วมกันกับเขา
ทำให้ทุกคนชอบที่จะเข้าหาเพื่อพูดคุย ตี๋ชิวเหอก็ตอบรับทุกคนเป็นอย่างดีแต่เขาก็เหมือนมีกำแพงบางๆปิดกั้นตัวเองให้คนที่เข้าเหมือนอยู่ที่ห่างไกล
ถ้าให้อธิบายถึงชายคนนี้เขาก็พูดได้เพียงว่า
‘ชายคนนี้มีเพื่อนพี่น้องเป็นจำนวนมากแต่ไม่มีมรเพื่อนแท้ได้สักคน’
เฮ้อ...ชีวิตแบบนี้พูดตามตรงว่าเหนื่อยเกินไป
คนที่ต้องคอยปกปิดความเป็นตัวของตัวเองโดยไม่ยอมแสดงตัวตนออกมา
ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องกลายเป็นโรคซึมเศร้า
การที่ตี๋ชิวเหอแสดงตัวตนของตัวเองให้เขารู้จักมันทำให้ตัวเขาที่ผ่านมายอมให้ตี๋ชิวเหอเอาแต่ใจตัวเองและดื้อรั้นกับเขา
ในช่วงเวลานั้นตี๋ชิวเหอที่มีความสุขและเป็นตัวของตัวเองมากนั้นอาจจะเป็นเพราะตี๋ชิวเหอคิดว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทจึงปล่อยวางกำแพงสูงนั้น
เขาก็หวังเพียงว่าตี๋ชิวเหอจะมี ‘เพื่อนที่จริงใจมากกว่าเพื่อนเยอะแต่เฝ้าคอยแทงข้างหลัง’
เขารู้การมีเพื่อนเยอะก็ทำให้มีแต่เรื่องยุ่งยาก ตี๋ชิวเหอคงคิดว่าการมีเพื่อนที่คอยกอบโกยผลประโชยน์สู้ไม่มีมันซะยังดีกว่า
การที่คนมีเพื่อนน้อยจนแทบนับนิ้วได้อย่างตี๋ชิวเหอคงเหงาที่เพื่อนอย่างเขาจะจากไป
เขาก็เลยแสดงอาการออกมาแบบนี้
แต่เหอไป่ก็หวังว่าตี๋ชิวเหอจะมีเพื่อนทีาเขาไว้ใจมากขึ้นทิ้งภาพลักษณ์ที่สร้างให้สมบูรณ์แบบตลอดเวลาลงและเป็นตัวเองอย่างผ่อนคลาย
และดีที่สุดเขาหวังว่าตี๋ชิวเหอจะเปิดใจยินยอมที่จะรู้จักคนอื่น
ตี๋ชิวเหอที่ได้ยินก็บีบกระป๋องในมือของตัวเองแน่นสีหน้าเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและไม่ยินยอม
“ผมไม่ต้องการมีเพื่อนเพิ่ม”
สำหรับตี๋ชิวเหอคำว่ามิตรภาพก็เป็นเพียงแค่ลมปากเขาไม่ต้องการเสียเวลาและเสียพลังไปกับเรื่องไร้สาระอย่างคำว่ามิตรภาพ
นอกจากนี้ตอนนี้เขามีเหอไป่ที่มีความหมายมากกว่าเพื่อนอยู่เคียงข้าง
ตี๋ชิวเหอไม่พอใจในน้ำเสียงที่และสีหน้าของเหอไป่ที่ทำเหมือนตัวเองเป็นเพียงภาระต้องคอยดูแลและอยากจะผลักภาระนี้ไปให้คนอื่น
ความตั้งใจเดิมของเขาในวันนี้คือเปิดเผยความในใจของตัวเองให้เหอไป่รับรู้
แต่เมื่อได้ยินคำพูดและการกระทำของเหอไป่ เขาก็ทำได้เพียงแค่กลืนมันลงคอ
เหอไป่ยังมองตี๋ชิวเหอด้วยความรู้สึกเหมือนผู้ใหญ่ที่เหนื่อยล้าที่จะสั่งสอนเด็กชายที่แสนดื้อรั้น
เขารู้ว่าเขาไม่ใช่ตี๋ชิวเหอจึงทำได้เพียงแค่แนะนำและถอยความตั้งใจเมื่อรับรู้ว่าตี๋ชิวเหอดื้อรั้นที่จะเป็นแบบนี้
...ดูเหมือนว่าเขาไม่สามารถบังคับคนอื่นสวมรองเท้าที่ตัวเองคิดว่าดีโดยใช้เหตุผลเพียงแค่
‘ฉันทำเพื่อประโยชน์ของตัวนาย’ ซึ่งมันเป็นการบีบบังคับให้คนที่ได้รับไม่มีความสุข..นี่เขาทำอะไรโง่ลงไป
ตอนนี้เขามั่นใจว่าตี๋ชิวเหอที่ได้รับประโยค
‘ดีที่สุดสำหรับคุณ’ จะทำให้อารมณ์ของตี๋ชิวเหอดิ่งลงเหว
“ผมขอโทษครับ”
เหอไป่เอื้อมมือไปแตะที่มือของตี๋ชิวเหอที่ยังคงกำกระป๋องในมือแน่นจากนั้นก็จ้องมองไปที่ตาของอีกคนอย่างจริงใจ
“ผมขอโทษที่วุ่นวายกับชีวิตของคุณ คุณใจดีมากและดูแลผมมาตลอดอย่างดี
มันทำให้ผมมีความสุขมาก”
เมื่อตี๋ชิวเหอเห็นสายตาที่อบอุ่นเต็มไปด้วยความเสียใจ
ทำให้อารมณ์โกรธและเสียใจก็ค่อยดับลง เขายกกระป๋องในมือขึ้นดื่มและลุกขึ้นไปยืนที่หน้าต่างพร้อมทอดสายไปยังวิวด้านนอก
“ไม่ต้องขอโทษ ผมรู้ว่าที่นายทำทั้งหมดก็เพราะเป็นห่วงผม”
ยอมแพ้! หมาน้อยของเขาช่างเป็นคนที่ใจดีมากแม้แต่ตัวเขาที่เคยถูกขึ้นบัญชีดำก็ยังค่อยเป็นห่วงด้วยประโยค
‘ดีที่สุดสำหรับคุณ’ ก็ตาม
ตัวเขาก็รับรู้ว่าหมาน้อยเป็นห่วงเขาจากเบื้องลึกของจิตใจ
แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียใจ เขาก็เปลี่ยนความตั้งใจของตัวเองทันที
ก็คนรักของเขาช่างเป็นคนที่ใจดี
อ่อนโยนและมีความใส่ใจอยู่เสมอ เขาก็ต้อง...!!!
บทที่ 96 นอนซะ
ตี๋ชิวเหอหันมองเหอไป่เขาต้องการจะบดขยี้ปากเล็กนั้น
ตี๋ชิวเหอรีบวางกระป๋องเบียร์และเดินเข้าไปหาด้วยไม่ใส่ใจถึงสีหน้าสับสนของเด็กหนุ่มเขาทำเพียงใช้มือทั้งสองคร่อมร่างเล็กไว้จากนั้นก็ค่อยโน้มต่ำลงเรื่อย...
ตี๋ชิวเหอไม่เคยบอกว่าเขาเป็นคนดีเช่นที่หมาน้อยเป็น
เขาที่เป็นคนร้ายก็พร้อมที่จะกลืนคำพูดที่พูดกะตัวเองว่าจะรอให้หมาน้อยของเขาพร้อมที่จะตอบรับความรักเขา
แต่ตอนนี้...เขาต้องการตอนนี้...ต้องการให้อีกคนร่วมชีวิตกับเขาในตอนนี้เลย
ดวงตาของเหอไป่เบิกกว้างเขาขยับตัวไปมาบนโซฟาจากนั้นก็วางมือบนไหล่ตี๋ชิวเหอและออกแรงดันร่างสูง
“ชิวเหอ...ผมรู้ว่าผมทำตัวน่ารำคาญที่พูดกับคุณแบบนั่น แต่คุณไม่ต้องถึงขนาดจะต่อย...”
“หมาน้อย...” ตี๋ชิวเหอใช้มือซ้ายรวบมือเล็กที่ดันออกสายเต็มไปด้วยสัญชาตญาณผู้ล่าที่กำลังจ้องเหยื่อ
“ผมรู้ว่านายใส่ใจกับเรื่องของผม ผมคิดว่า...”
ติ๊งต่อง ~~
เสียงกริ่งที่ดังขึ้นพร้อมเสียงของหวังป๋ออี๋ที่ลอดมาจากนอกประตู
“นายน้อยตี๋ครับ อาหารเย็นพร้อมแล้วครับ”
ดวงตาของเหอไป่เบิกกว้าง เขารับดึงมือของตี๋ชิวเหอและวิ่งไปที่ประตูก่อนจะไปยังพูดอย่างตื่นตระหนก
“นั่งรออยู่ที่นี้เดียวผมไปเปิดประตูให้”
ตี๋ชิวเหอที่ค้างอยู่ท่าเดิมสูดลมหายใจลึกกำหมัดตัวเองแน่น
เมื่อเห็นหวังป๋ออี๋ที่เดินเข้ามาเขาก็ขบฟันแน่น “บัดซบ!
นายทำงานรวดเร็วมาก เร็วจริง!” ถ้ามาช้าอีกสักห้านาทีเท่านั้น!
หวังป๋ออี๋ที่ได้รับคำชมก็ตอบรับนายน้อยด้วยความปลื้มใจ
“มันเป็นหน้าที่ของผมครับ”
หึ!
ตี๋ชิวเหอสำลักความโกรธของตัวเอง
ทำไมพ่อของเขาถึงส่งลูกน้องที่โง่งมมาเป็นเลขาของเขา!
เขาต้องตัดเงินเดือน! และตามด้วยโบนัส!!
หลังจากเลขาหวังออกไปเหอไป่ก็พบว่าตี๋ชิวเหอเต็มไปด้วยความงุ่นง่านอีกคนแทบจะยัดอาหารเข้าทางจมูก
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” เหอไป่รีบยื่นกระดาษทิชชู่ให้ตี๋ชิวเหอ “ขอโทษจริงๆ ผมไม่ควรบอกว่าคุณต้องควรทำยังไงพรุ่งนี้ผมต้องกลับแล้วคุณยกโทษให้ผมได้ไหม”
ตี๋ชิวเหอเหลือบตามองและรับกระดาษทิชชู่มาเช็ดที่ปากตัวเอง
“นายไม่ผิดจะขอโทษทำไม นายเพียงแค่เป็นห่วงว่าจะมีคนมากอบโกยผลประโยชน์จากผม
และเพียงแค่นายคิดว่าผมเป็นภาระ”
“...” น้ำเสียงที่เหอไป่ได้ยินราวกับกำลังถูกทอดทิ้ง
ตี๋ชิวเหอเก่งมาที่จะแสดงถึงความน่าสงสารและขอความเห็นใจจากเขา
“แม่เลี้ยงของผมพูดถูก คนอย่างผมไม่ควรที่จะมีเพื่อนแท้และไม่มีทางมีความสุข”
ตี๋ชิวเหอยังระบายอารมณ์ของตัวเองต่อ “ร่วมถึงคู่ชีวิตที่ดี”
“...” เหอไป่วางตะเกียบของตัวเอง
ทำไมถึงรู้สึกอิ่มขึ้นมาทันที
ตี๋ชิวเหอยังคงกุมมือของตัวเองแน่นพร้อมมองไปนอกหน้าต่างพร้อมใบหน้าเศร้าสร้อย
“ผมควรที่จะอยู่โดดเด่นจนกระทั่งตาย...เฮ้อ!”
เหอไป่รีบยัดเนื้อกุ้งตัวโตใส่ปากของตี๋ชิวเหอและพูดอย่างอับจน
“บอกสิ่งที่คุณต้องการ”
ตี๋ชิวเหอเคี้ยวกุ้งตัวโตจากนั้นก็เลียริมฝีปากของตัวเองนิ้วก็ชี้ไปบนเตียงนอน
เหอไป่ตบโต๊ะอย่างแรง “พูดออกมาให้ชัดเจน”
ตี๋ชิวเหอรีบกลืนเนื้อกุ้งลงคอใบหน้าเศร้าสร้อยสลับกับใบหน้าเขินอาย
“ผมอยากให้...นอนข้างผมและกอดผมคืนนี้”
“...” เหอไป่คิดว่าจะเอายังไงดีหรือว่าเขาจะเปลี่ยนเที่ยวบินเป็นคืนนี้เลย
“นายกำลังคิดจะกลับคืนนี้เลยใช่ไหม?
นายจะทิ้งผมในหลังจากที่ผมขอร้องนาย? หมาน้อยนายใจร้ายทำกับผมแบบนี้ได้ยังไง...”
ตี๋ชิวเหอที่พูดเสียงสูงและชี้ไปที่ถ้วยซุปไก่ “นายจะไปให้ได้ใช่ไหม? ได้! กินซุปได้ถ้วยนี้ให้หมดมันเป็นซุปไก่ที่แสดงถึงความจริงใจ
เมื่อหมดนายจะไปก็ไปได้เลย!”
เหอไป่ก้มหัวลงอย่างท้อแท้เขาไม่ควรแบ่งปันซุปไก่แห่งความจริงใจกับเด็กชายคนนี้!
สิ่งที่เขาต้องการตอนนี้ไม่ใช่ซุปไก่!! แต่ต้องการซุปเห็ดที่มีพิษ!!!
“นายแอบสมเพชผมใช่ไหม” ตี๋ชิวเหอหรี่ตาเล็กลงใบหน้าเยาะเย้ยในคุณค่าของตัวเอง จากนั้นก็เงยหน้ามอง
“หมาน้อยผมรู้ว่าผมเห็นแก่ตัวที่ยื้อนายในเวลานี้มันทำให้นายดูถูกผม...”
“เงียบ!” เหอไป่ไม่สามารถทนกับบทบาทที่เสแสร้งได้อีกเขาตัดสินใจจับที่หัวของตี๋ชิวเหอแล้วผลักอีกคนให้ไปที่ห้องน้ำ
“ไปแปรงฟันแล้วนอนลงบนเตียง!”
ตี๋ชิวเหอจับลูกบิดประตูห้องน้ำแล้วหันมองไปทางเหอไป่ด้วยดวงตาที่แสบร้อน
เหอไป่กัดฟันแน่น “คืนนี้ผมจะนอนกอดคุณ!”
ตี๋ชิวเหอที่ได้ยินก็รีบวิ่งที่อ่างล้างหน้าจากนั้นก็จัดการแปรงฟันอย่างเร่งด่วน
เหอไป่ที่พยายามควบคุมลมหายใจเข้าออกลึกๆก็ปิดประตูห้องน้ำเสียงดัง
พยายามท่องว่ามันไม่แปลกตี๋ชิวเหอไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากแม่ของตัวเองตั้งแต่เด็กจึงร้องขอให้เขาเองทำตัวเหมือนแม่ที่พยายามตบตูดกล่อมลูกนอน
เขาสาบานเลยว่าไม่มาเจอเจอตี๋ชิวเหออีก ถ้ามาเจอเขาพยายามจะกินขี้โชว์ในสตรีมสดเลย!
คลิก!
เสียงปิดโคมไฟหัวนอนดวงสุดท้าย
ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืดมิด
เหอไป่เหยียดแขนตัวเองกอดตี๋ชิวเหอและตบเบาๆบนหัวที่อิงอยู่บนอกตัวเองพร้อมพูดด้วยเสียงดุ
“หลับตานอนหลับ! ถ้าคุณยังดื้ออีกผมจะตีคุณ!”
มีความสุขมากสำหรับตี๋ชิวเหอ เขายังใช้แขนทั้งสองข้างของตัวเองโอบกอดเอวหมาน้อย
ตอนนี้เหอไป่นอนอยู่สูงกับตัวของเขาหัวของตี๋ชิวเหออยู่ใต้ค้างพร้อมซุกหัวตัวเองไปที่คอของเหอไป่พร้อมบ่นเบาๆ
“หมาน้อยนายอ้วนมากจนผมกอดไม่มิด” แม้จะบ่อแต่ก็ขยับเข้าใกล้เพื่อกอดอีกคนให้เต็มอ้อมแขน
ตี๋ชิวเหอกอดเหอไป่แน่นผมนุ่มก็ซุกอยู่ที่ซอกคอ
เหอไป่พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกพยายามเอาชนะความต้องการที่จะถีบร่างของเด็กชายเจ้าเล่ห์ให้ไปไกลๆ
“ผมว่าคุณช่วยปล่อยแขนหน่อยได้ไหมผมนอนไม่หลับ”
“ไม่!! ผมต้องลงโทษนายที่ทำให้ผมเสียใจ”
ตี๋ชิวเหอขยับหัวไปมาถูกับไหล่ของเหอไป่ด้วยความสนุกใบหน้าเต็มไปด้วยความแจ่มใสและดีใจ
“อย่างไรก็ตามนายห้ามนอนจนกว่าผมจะหลับ”
เหอไป่พยายามสูดลมหายใจเพื่อปลง ยังไงก็รับปากแล้วก็ต้องยอมรับผลของมัน
จึงทำเพียงแกล้งหลับตาและไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วยวิธีนี้อาจจะทำให้ตี๋ชิวเหอหลับตามตัวเองก็ได้
แต่ว่า...เขาประเมินความดื้อรั้นของอีกคนผิดไป
“หมาน้อยครับผมต้องการฟังนิทานก่อนนอน”
“...”
“ร้องเพลงกล่อมผมก็ได้หมาน้อย”
“...”
“หมาน้อยคุยกับผมก่อนได้ไหมผมยังไม่ง่วง”
“...”
“หมาน้อยทำไมนายไม่พูดล่ะ?”
“...”
“หมาน้อยผมคันหลัง ช่วยเกาให้หน่อยได้ไหม”
“...”
“หมาน้อยผมร้อนผมต้องการนอนถอดเสื้อ”
ตี๋ชิวเหอปล่อยมือพร้อมขยับตัวเพื่อถอดชุดนอน
เหอไป่ทนไม่ไหว
เขาเปิดตาขึ้นและกำไปที่แขนของเด็กชายที่แสนกวนพร้อมกัดฟันแน่น “ถ้าคุณกล้านอนเปลือย! ผมจะตัดเจ้านกของคุณแน่!”
ตี๋ชิวเหอยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์รู้ทัน “นายอิจฉานกของผมใช่ไหม หมาน้อย”
“...”
“ต้องอิจฉาอยู่แล้วก็นกของผมใหญ่กว่านี้เนอะ”
เหอไป่ลุกขึ้นเขาตั้งใจที่จะที่ห้องครัวของโรงแรม
มีดทำครัวคงคมพอที่จะเฉือนทีเดียว
ด้วยความไวที่น่าแปลกใจของตี๋ชิวเหอ ตอนนี้มือของตี๋ชิวเหอกำกางเกงของเหอไป่แน่นเตรียมพร้อมที่กระชากลงอย่างแรง
“นายเห็นนกของผมแล้วเพื่อความยุติธรรมให้ผมเห็นของนายด้วยสิ”
“บัดซบ!” เหอไป่คำรามออกมาจ้องมองด้วยสายตาเย็นชา
“ฮอร์โมนของคุณมันบัดซบ ฉันสาบานว่าถ้าคุณทำผมจะจับคุณเปลือยแล้วมัดคุณให้นอนข้างเตียง!
นอนเงียบๆเดียวนี้!!!”
บทที่ 97 นิทานก่อนนอน
“มันเร็วเกินไปผมยังไม่ง่วง” ตี๋ชิวเหอสวมใบหน้าเศร้าสร้อยเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าแอบดื้อไม่นอน
เหอไป่มองใบหน้าหน้าเศร้าของตี๋ชิวเหอก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วล้มตัวนอนบนที่นอนพร้อมดึงร่างที่กำแสร้งทำตัวน่าสงสารให้นอนตามลงมา
จากนั้นก็ห่มผ้าพร้อมกอดอีกคนเหมือนพ่อกล่อมลูกน้อย จากนั้นก็พูดเสียงกระซิบ “เมื่อนานมาแล้วบนภูเขา...”
ตี๋ชิวเหอกอดเหอไป่แน่นแล้วร้องเรียนเหอไป่ “ผมเคยฟังเรื่องนี้แล้ว”
“...นานมาแล้วมี...”
“เสี่ยวไป่ผมอายุยี่สิบสามแล้วผมไม่ต้องการเรื่องพวกนี้...ผมต้องการเรื่องปัจจุบัน”
เหอไป่สูดลมหายใจอีกครั้ง มองไปยังคนที่ทำตัวน่ารำคาญแต่มีดวงตาเปล่งประกายคาดหวังเหมือนเด็กๆที่กำลังรอฟังเรื่องตื่นเต้น
“กาลครั้งหนึ่งมีเด็กหนุ่มชื่อว่าเหอไป่...”
ตี๋ชิวเหอตาโตอย่างประหลาดใจและสุดท้ายก็หยุดก่อกวน
เหอไป่มองตาที่เบิกกว้างของตี๋ชิวเหอพร้อมถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ทำให้เด็กชายแสนรั้นเงียบปากได้
ถ้าเป็นก่อนที่จะไปเยี่ยมหลุมศพหรือแม้แต่ชีวิตก่อนที่จะย้อนกลับอดีตมาเขาไม่เอาเรื่องราวในครอบครัวของตัวเองมาเล่าให้ใครฟัง
แต่ถ้าเรื่องราวของเขาจะทำให้เด็กชายตี๋ทำตัวดีขึ้นก็เต็มใจที่จะเปิดเผยเรื่องราวในครอบครัวของตัวเอง
ห้องนอนเงียบมากและตัวของตี๋ชิวเหอก็อุ่นพอดี
เสียงที่พูดเรื่อยๆของเหอไป่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำของพ่อแม่
เหอไป่จำได้ถึงความสุขในวัยเด็กและเศร้าเสียใจที่พ่อแม่ต้องเดินทางไกลเพื่อทำงานที่พวกท่านทั้งสองรัก
ก่อนที่ท่านทั้งสองจะจากไป...รวมทั้งเรื่องเพื่อนร่วมทั้งสามหลังจากที่เข้ามหาลัยและการทำงานพิเศษที่ตัวเหอไป่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
และงานประจำ...
เหอไป่หยุดเมื่อพูดถึงช่วงวันหยุดฤดูร้อนตอนที่เขาเป็นนักศึกษาปีสอง
ตี๋ชิวเหอเงยหน้าด้วยความสับสนก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้น
“หยุดทำไมครับ”
“ก็เพราะคุณก็รู้เรื่องราวต่อจากนี้ดี”
เหอไป่นอนหงายพร้อมรอยยิ้มมุมปาก เขาหลับตาพร้อมเอ่ยถามอีกคน
“ชิวเหอคุณคิดว่าในอนาคตของคุณจะเป็นอย่างไง”
เมื่อไม่มีแขนที่โอบกอด ตี๋ชิวเหอก็พลิกตัวนอนหงายเขาวางมือไว้ใต้หัวพร้อมมองผ่านความมืดอย่างไร้จุดหมาย
“ผมจะต้องยืนอยู่จุดสูงสุดและเป็นที่ยอมรับจากทุกคน”
เมื่อนึกถึงเรื่องความสำเร็จของตี๋ชิวเหอในชีวิตก่อนย้อนกลับมา
เหอไป่พยักหน้าเห็นด้วย “แน่นอนคุณต้องประสบความสำเร็จ”
ตี๋ชิวเหอพลิกนอนตะแคงจับจ้องที่ปากเล็กที่มีรอยยิ้ม
“และใช้ชีวิตทั้งหมดที่เหลืออย่างสงบสุขกับคนที่ผมรัก”
รอยยิ้มเล็กก็หายไปทันมีเมื่อนึกถึงภาพของตี๋ชิวเหอที่กำลังล่วงหล่นจากหน้าต่างคอนโดสูงมันเป็นภาพที่ติดตาเขาตลอดเวลา
“...นานเท่าไร”
“...นานเท่ากับคนรักของผมมีชีวิตอยู่”
น้ำเสียงที่เอื้อนเอาออกมาทั้งอ่อนโยนและอบอุ่น มืออีกข้างที่อยู่ใต้ผ้าห่มกำชายเสื้อของเหอไป่
ช่างเป็นคำตอบที่โรแมนติกจริงๆ!
เหอไป่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาขณะที่เสียงเบาลง
“มันแต่เป็นสิ่งที่วิเศษมากสำหรับคนที่คุณรัก...รัก..” ดวงตาของเหอไป่ปิดสนิทก่อนที่จะจบประโยค
ขณะที่เหอไป่จมดิ่งในห้วงนิทราตี๋ชิวเหอก็ขยับตัวเข้าใกล้พร้อมกอดร่างเล็กเข้าในอ้อมแขน
ฝังจูบบนหน้าผากเล็กพูดพึมพำ
“เหอไป่คุณจะเป็นคนนั้นให้ผมได้ไหม
ผมจะรักคุณจนลมหายใจสุดท้าย...”
———————————————————
เมื่อลืมตาตื่นก็พบว่าตี๋ชิวเหอที่นอนข้างก็หายไป
มีเพียงกระดาษที่เขียนข้อความไว้ที่โต๊ะข้างเตียง
ตี๋ชิวเหอ: ผมต้องไปเข้าฉากผมให้เลขาหวังไปจะส่งนายที่สนามบิน
อย่าลืมกินข้าวเช้าที่ผมสั่งไว้เมื่อถึงแล้วส่งข้อความหาผมด้วย ผมอาจจะยุ่งเกินที่จะรับสายของนาย
เหอไป่อ่านข้อความที่อีกคนทิ้งไว้พร้อมส่ายหัวให้กับการกระทำของตี๋ชิวเหอเมื่อคืน
จากนั้นก็ลุกขึ้นเก็บกระเป๋าพร้อมเดินทาง
เป็นเวลาเที่ยงที่เขาถึงสนามบินของเมือง
B เหอไป่ส่งข้อความหาหวังป๋ออี๋ทันทีที่นั่งบนรถแท็กซี่ ก็ได้คำตอบกลับมาว่าทีมงามทุกอยู่อยู่ระหว่างพักเที่ยง
จากนั้นจึงตัดสินใจกดเบอร์โทรหาตี๋ชิวเหอ
“ถึงเมือง B แล้วเหรอครับ?”
ไม่ทันที่เหอไป่จะพูดก็มีเสียงนุ่มทุ่มต่ำถึงขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีของตี๋ชิวเหอ
จึงทำให้เหอไป่อดไม่ได้ที่จะเบ้ปาก
ในทันใดก็รู้สึกว่าตัวเองทำตัวเป็นเด็กเกินไปจึงทำสีหน้าใหม่แล้วตอบกลับไป
“ครับ..ผมกำลังนั่งแท็กซี่เพื่อกลับไปที่มหาลัย
คุณกินข้าวเที่ยงหรือยัง”
“ใช่ครับกำลังกินอยู่
แล้วทำไมนายไม่แวะหาอะไรกินก่อนที่เข้ามหาลัยล่ะ”
“ผมกินข้าวเช้าตอนสายแล้วตอนนี้จึงไม่ค่อยหิว”
“อืม..อย่าลืมหาอะไรกินตอนที่ถึงมหาลัยล่ะ”
“ครับ...”
หลังจากจบบทสนทนาทั้งคู่ก็เงียบเสียงแต่ไม่มีคใครกดวางสายก่อน
ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความน่าอึดอัด
ด้วยเหตุผลอะไรไม่รู้ทำให้เหอไป่รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
เขาจึงหัวหน้ามองที่หน้าต่างรถมองกลุ่มควันที่คุ้นเคยและพยายามหาเรื่องพูดเพื่อยุติความเงียบ
“คุณกินข้างเที่ยงอะไร? อย่าเลือกกินนะครับ กินผักเยอะๆมันดีต่อสุขภาพของคุณ”
“แน่นอนครับทำจะทำตาม” ตี๋ชิวเหอตอบรับ “เหอไป่คุณจะมาที่กองถ่ายเมื่อไร”
ทำไมบรรยากาศยังดูแปลก ๆ
เหอไป่ยกนิ้วเหาแกล้มตัวเองแล้วถามอย่างประหม่า
“คุณคิดถึงผมไหม”
“ใช่ผมคิดถึงนาย” ตี๋ชิวเหอเอ่ยตอบอย่างจริงใจ
“...” เหอไป่
จากนั้นก็ตกสู่ความเงียบเช่นเดิม ในที่สุดตี๋ชิวเหอก็เอ่ย
“ผมต้องไปแล้วผู้กำกับเรียกแล้ว ส่งข้อความข้อความเมื่อถึงมหาลัย
ผมจะโทรหานายเมื่อเสร็จงาน”
เหอไป่ที่ร้อนรนกลับช่วงเวลาที่น่าอึดอัดแล้วบทสนทนาที่ก่อนวางสายไป
มันแปลกอยู่...พูดได้เลยว่าอารมณ์ที่ของเขาเปลี่ยนไปตามฤดูของใบไม้ร่วง?
เหอไป่มองดูมือถือที่หน้าจอดับสนิท เขาลังเลที่จะกดมันไม่นานก็เหมือนจะตัดสินใจก็กดโทรไปหาหนิงจวินเจี๋ยพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมคิดถึงเหล่าซาน”
เกือบครึ่งนาทีที่หนิงจวินเจี๋ยก็ตะโกนดังลั่นตอบกลับมา
“ไป่...นายเป็นอะไร นายคิดถึงพ่อแม่หลังจากไปเยี่ยมหลุมศพ...ศพ...หรือนายจะถูกผีสิง?”
“....”
———————————————————
หลังจากเก็บกระเป๋าที่หอพักเรียบร้อยเขาก็ตามเพื่อนมาเล่นบาสเก็ตบอลที่โรงยิม
เหอไป่ปล่อยลูกบอลในมือการเรียกเหงื่อทำให้หัวสมองเขาโล่งจะมีรอยยิ้มเช่นเดิมกลับมา
ตัวเขาอยู่กับตี๋ชิวเหอมาหลายวันจนลืมวิธีการเข้าสังคมยังดีที่เขามีเพื่อนร่วมห้องที่ทำให้เขาปรับตัวได้
วันหยุดยาวที่ผ่านมาถึงเขาจะไม่ต้องเข้าเรียนก็จริงแต่ก็ยังมีงานกองโตที่รอให้จัดการ
เหอไป่ใช้เวลาถึงสามวันในการรีทัสภาพทั้งหมดที่ฉากได้จากกองถ่าย
เขาใช้ความระมัดระวังที่ตบแต่งโปสเตอร์ก่อนที่จะส่งให้ซูอิ๋นหลง และในวันถัดมาก็ถูกเรียกตัวโดยซูอิ๋นหลงเพื่อแจ้งเรื่องข้อตกลงที่เขาจะทำงานให้เจี่ยงหัวซาน
“ตอนนี้นายยังเป็นพนักงานคนหนึ่งของยี่คังดังนั้นนายควรบอกเรื่องนี้ให้กับทางนั้นรู้เรื่องก่อน”
ซูอิ๋นหลงพูดปลอบอย่างอ่อนโยน “ตอนเรียกเจี่ยงหัวซานต้องการให้นายเข้าไปเก็บรูปภาพก่อนเพื่อสะสมประสบการณ์
แต่การเรียนของนายก็สำคัญนายยังต้องฝึกงานในปีหน้า ทางที่ดีนายควรวางรากฐานให้ดีก่อน”
เหอไป่ก้มหัวเพื่อตอบรับเมื่อเงยหน้าก็มองที่ผมสีเทาของซูอิ๋นหลงและดวงตาที่อบอุ่น
เหมือนพ่อที่ค่อยแนะนำเส้นทางให้ลูกน้อย “อาจารย์ซูครับ
ผมตัดสินใจจะลาออกจากยี่คังและตั้งใจเรียน เรื่องการทำงานพิเศษผมคงรับในช่วงวันหยุดเท่านั้น
การทำงานเต็มเวลาสำหรับผมตอนนี้มันหนักเกินไป”
ซูอิ๋นหลงประหลาดใจในคำตอบนี้
“คิดดีแล้วใช่ไหม?” เขารู้ว่าลูกศิษย์ตัวน้อยรู้สึกขอบคุณยี่คังเสมอมา
เพื่อทำงานตอบแทนยี่คังจึงตั้งใจทำงานที่ทางนั้นเสนอให้อย่างเต็มที่ แล้วมาแอบงีบในช่วงเวลาที่เข้าเรียน
แต่ตอนนี้...
“ผมคิดดีแล้วครับ...ผมจะยื่นใบลาออกในสัปดาห์หน้า
ในเดือนตุลาคมทางแบรนด์ลิตเติ้ลเมอร์เมดคงออกคอลเลกชันฤดูหนาว ในช่วงนั้นผมคงออกไม่ได้จึงว่าทางยี่คังจะหาช่างภาพคนมาได้”
เหอไป่อธิบายและพูดเสริมขึ้นว่า “ช่วงเวลาตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงมกราคมแม้ว่าจะดูเป็นช่วงเวลาที่นานแต่เนื้องานไม่หนักมากผมสามารถรับกับมันได้
ในระหว่างนั้นผมเชื่อว่าทางยี่คังจะหาช่างภาพคนใหม่ได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้เรื่องงานของผู้กำกับเจี่ยงอีกสามเดือนเขาจะย้ายกองถ่ายมาที่เมือง
B ในช่วงปีใหม่พอดี ผมก็สามารถที่ทำงานชิ้นนี้ได้”
ซูอิ๋นหลงหยิบปฏิทินมาเทียบช่วงเวลาเขาจึงพยักหน้าลง
“แน่นอนถ้าตามที่นายบอกมามันจะประหยัดเวลาทั้งการเดินทางและการเข้าเรียนของนาย
เดียวฉันจะลองคุยกับเจี่ยงแทนนายให้ แล้วเรื่องของยี่คังนายก็จัดการตามนั้นอย่าลืมอธิบายถึงเหตุผลที่ดีให้ผู้ใหญ่ทางนั้นรับรู้ว่าทำไมถึงต้องลาออก”
“ครับอาจารย์ซู” เหอไป่พยักหน้าตอบรับ
ตอนนี้เขารู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก
แต่ก็รู้สึกเศร้าใจเรื่องที่ต้องหยุดการทำงานให้กับยี่คังแม้ว่าหลินเซี่ยจะต้องเข้าใจเพราะตัวเหอไป่เองก็เป็นเพียงนักศึกษาที่ยังเรียนไม่จบ
แต่เขาก็เป็นหนี้เธอมากทำให้การตัดสินใจครั้งนี้เขารู้สึกผิด...
บทที่ 98 ลาออก
หลินเซี่ยที่นั่งอยู่ในออฟฟิศก็เห็นใบหน้าเหอไป่ที่มีสีหน้าเคร่งเครียดมาเคาะประตูห้อง
เธอก็รู้ได้ทันทีว่าถึงเวลาต้องจากลา
“อย่าทำสายตาแบบนั้น..นั่งลงก่อน” เธอทักทายขึ้นพร้อมรอยยิ้มและโบกมือให้อีกคนฟังเธอพูดก่อน เธอก้มไปหยิบเอกสารในลิ้นชักออกมาจากนั้นก็เลื่อนไปที่หน้าของเหอไป่
“ฉันรู้ดีอยู่แล้วว่าวันนี้ต้องเกิดขึ้น ฉันต้องขอบคุณนายที่ทำงานให้ยี่คังเต็มที่มาโดยตลอด
ตอนนี้นายเป็นเพียงนักศึกษาการทำงานเต็มเวลาให้ลิตเติ้ลเมอร์เมดมันก็หนักเกินไปสำหรับนายตอนนี้”
เหอไป่ตัวแข็งเป็นหิน
เขาไม่คาดคิดถึงคำพูดแบบนี้มาก่อน
“ปีนี้เป็นปีที่เหน็ดเหนื่อยสำหรับยี่คังที่มีการเปิดตัวแบรนด์ลิตเติ้ลเมอร์เมดเข้าสู่ตลาด
ทำให้นายต้องแบ่งเวลาทัเงการเรียนและยังต้องมาทำงานให้กับเรา” หลินเซี่ยนอนน้ำใส่แก้วให้เหอไป่ เธอถอนหายใจยาวก่อนที่จะพูดต่อ “ฉันเห็นนายตอนนี้ทั้งตันและหมดแรง ซึ่งมันก็น่าเสียดายสำหรับคนที่มีพรสวรรค์เช่นนาย
ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจที่จะทำแบบนี้”
“ไม่เลยครับ ผมต้องหากที่ต้องขอบคุณคุณหลินด้วยซ้ำที่ให้โอกาสและคอยจัดการปัญหาต่างให้ผม”
เหอไป่เอ่ยอย่างเกรงใจและรู้สึกเศร้าที่จะต้องจากที่นี้ไป
ลิตเติ้ลเมอร์เมดใจดีกับเขามาก เขาไม่จำเป็นต้องเข้างานให้ตรงเวลาและพวกพนักงานที่ยังปรับเวลาให้ตรงกับตารางของเขาซักด้วยซ้ำ
วันนี้เขามาด้วยธุระที่ต้องลาออกแต่หลินเซี่ยกับทำตัวเป็นคนใจดำเพื่อให้เขาไม่รู้สึกผิด
เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงมีสีหน้าอึดอัดเป็นอย่างมากเธอก็โล่งใจที่ไว้วางคนได้ถูกต้องเธอยิ้มบางพร้อมพูดปลอบ
“การที่เรามีช่างภาพแบบนายทางเราแทบไม่ขาดทุนอะไรเลยทางประหยัดค่าโฆษณาไปได้ตั้งเยอะทั้งในงานของตระกูลเจี๋ยและยังมีงานถ่ายเอ็มวีของจุ้นเฉิน
ถ้าให้พูดถึงผลประโยชน์ทางยี่คังได้รับผลประโยชน์ไปมากกว่านาย”
เหอไป่หน้าซีดเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรคำพูดที่เตรียมมาก่อนหน้าไม่สามารถนำมาใช้ในตอนนี้ได้เลย
“ไม่ใช่ประเด็นนั้นครับ...”
“แต่นั้นคิดสิ่งที่ต้องการจะพูดกับนาย”
หลินเซี่ยพิงพนักเก้าอี้ด้วยสีหน้าผ่อนคลายกว่าเดิม “ฉันขอพูดตามตรงอย่างไม่เกรงใจว่าตั้งแต่วันนี้ไปทางยี่คังจะลดการส่งมอบงานให้นาย
และนายก็ตามงานให้เราจนกว่าเราจะหน้าช่างภาพคนใหม่และยิ่งกว่านั้นนายต้องสอนงานจนเขาสามารถรับช่วงนายต่อได้...งั้นงานต่อไปที่ต้องทำนายต้องถ่ายรูปโปรโมตในคอลเลคชั่นหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึงของเรา”
จากนั้นเธอก็ขมวดคิ้วเหมือนแกล้งขู่ให้ทางเหอไป่ยอมรับข้อเสนอของเธอ
ถ้าถามความคิดของเหอไป่หลินเซี่ยตอนนี้กำลังเล่นเป็นตำรวจเลวและตำรวจดีเพื่อเจรจากับตัวเอง
เหอไป่ขยับตัวเขาเซ็นชื่อในเอกสารฉบับนั้นโดยไม่อ่านรายละเอียดเหมือนเช่นตอนแรกที่เขามาเข้างานที่นี้
เมื่อเรียบร้อยก็ยื่นมือไปด้านหน้าหลินเซี่ย “แน่นอนครับ
ผมไม่มีทางปล่อยโอกาสที่จะแสดงอำนาจที่ดีแบบนี้แน่นอน ขอบคุณลิตเติ้ลเมอร์เมดและยี่คังที่คอยดูแลผมมาตลอด”
หลินเซี่ยยิ้มและจับมือที่ยื่นออกมา “ฉันและลิตเติ้ลเมอร์เมดก็ขอบคุณนายมากและหวังว่านายจะมีอนาคตที่สดใส”
เหอไป่กดเบอร์หาหยางฟูหลังจากออกจากหลังของหลินเซี่ยเพื่อกล่าวขอบคุณที่แนะนำให้เขาได้เข้าทำงานที่ลิตเติ้ลเมอร์เมดและขอโทษที่จะต้องลาออก
“ไม่ต้องคิดมากก็เราเป็นเพื่อนกันนี้แล้วฉินคิดว่าในอนาคตเราต้องได้ร่วมงานกันใหม่แน่”
หยางฟูพูดปลอบแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง “ถ้านายรู้สึกไม่ดีก็ชดเชยฉันด้วยการมาถ่ายรูปงานแต่งของฉันสิ
ฉันเลื่อนงานมาเป็นปีหน้านี้แล้ว พอจะว่างเพื่อเพื่อนอย่างฉันไหม?”
เหอไป่ยิ้มพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงยินดี “แน่นอนครับ ขอบคุณที่ให้เกียรติผมได้ทำงานนี้ด้วย”
“อือ! ฉันเริ่มจะหลงรักนายแล้วสิ
มาเป็นแฟนฉันเดียวนี้เลยนะ” หยางฟูแกล้งร้องไห้เสียงดังและก็มีเสียงของเจี๋ยเฉินจงลอดเข้ามาในโทรศัพท์ไกลๆ
เธอรีบตัดสายหลังจากอุทานพร้อมหัวเราะ “ฮ่าฮ่าฮ่า
แค่นี้ก่อนน้า”
เหอไป่ที่เป็นพยานในความรักที่น่ารักของหนุ่มสาวคู่นี่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะตาม
นิ้วเขาก็เผลอกดไปที่กล่องข้อความแต่ก็ไม่พบข้อความใหม่อาจจะเป็นเพราะว่าตี๋ชิวเหอกำลังเข้าฉากอยู่
เหอไปจึงปิดหน้าจอเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า
———————————————————-
หลังจากแจ้งเรื่องที่ลาออกจากยี่คังไปก็ทำให้ตัวเขาเองมีว่างหลังเลิกเรียนมากขึ้นทำให้สังเกตถึงการทำตัวน่าสงสัยของหนิงจวินเจี๋ย
“เขาไปเล่นบาสเก็ตบอลทุกบ่าย!”
หวังหู่พยักหน้าตอบ “เห็นบอกว่าต้องการลดน้ำหนัก”
เหอไป่เกือบจะพ่นชิ้นเนื้อออกจากปากตัวเองมีสีหน้าตกใจไม่เชื่อที่หูตัวเองได้ยิน
“เขาไม่อ้วน? ทำไมต้องลดน้ำหนัก”
เฉินเจี๋ยเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะและดันแว่นตาให้เข้าที่พร้อมอธิบายเลียนเสียงของหนิงจวินเจี๋ย
“รู้ไหม ‘การลดน้ำหนักไม่เพียงแต่ลดความอ้วนเท่านั้นแต่เป็นการสร้างกล้ามเนื้อเพื่อให้มีเจ้าหกก้อนที่หน้าท้อง’
มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเขาคิดอะไรทุกวันจวินเจี๋ยแต่ไปที่สนามเพื่อเล่นบาสเก็ตบอลวันละสองชั่วโมง”
“มันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอที่เขาออกกำลังกายดีกว่าจะมามั่วเล่นเกมส์”
หวังหู่พยายามพูดแก้ตัวให้เพื่อนแล้วเดินมาตบที่ไหล่ของเหอไป่พร้อมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“เสี่ยวไป่ผมว่านายก็ควรออกกำลังกายเช่นกัน นายดูไม่มีแรงเลยในตอนเล่นกับเราในเกมส์ที่แล้ว
ถ้านายอ่อนแออาจจะถูกแฟนนายในอนาคตดูถูกได้”
เหอไป่กลอกตา “ใครบอกว่าผมจะมีแฟน
ตอนนี้แค่พวกนายผมก็มีความสุขแล้ว” ในชีวิตก่อนที่จะย้อนกลับมาเขาเริ่มมีความตั้งใจจะสร้างครอบครัวก็เกือบอายุสามสิบสามปี
ตอนนี้เขาอายุเพียงยี่สิบเอ็นเท่านั้น อยากครอบตัวเป็นโสดเรื่องของแฟนเขาค่อยกับมาคิดในสิบสองปีข้างหน้าก็ยังไม่สาย
“นายไม่มีทางพูดแบบนี้แน่ๆ เมื่อนายเจอรักแท้”
เฉินเจี๋ยพูดดักเหอไป่ก็เปลี่ยนเรื่องทันที “แต่ก็จริงที่เหล่าซานทำตัวแปลกๆไป
เขาไม่เล่นเกมส์กลางวันก็ไปสนามบินเพื่อออกกำลังกายตอนเย็นก็ไปที่ห้องสมุด”
เหอไป่เลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อแต่ก็มีบางอย่างแวบเข้ามาในหัว
ดวงตาหรี่เล็กจากนั้นก็ลุกขึ้นพร้อมกวักมือเรียกคนอื่นเข้ามาใกล้
“พี่น้องของเราแปลกไปจริงๆ
ผมว่าเราไปแอบดูว่าเหล่าซานกำลังทำอะไรอยู่”
ทั้งหวังหู่และเฉินเจี๋ยมองหน้ากันจากนั้นหัวเราะเสียงดังพร้อมเดินไปหาเหอไป่ที่ยืนรอหน้าประตู
ทั้งสามคนตอนนี้มายืนอยู่ข้างสนามบาสและเห็นหนิงจวินเจี๋ยที่กำลังเล่นอยู่กลางสนาม
หวังหู่ยกมือแตะคาง “ผมทรงใหม่”
เฉินเจี๋ยดันแว่นตาขึ้น “รองเท้าใหม่และยังเสื้อเชิ้ตที่พึ่งถอยมา”
เหอไป่ยังคงกวาดมองไปรอบๆสนามบาสเก็ตบอล เมื่อเห็นจุดสนใจก็เหล่ตา
“ผมเห็นว่าเหล่าซานทุกครั้งที่ทำคะแนนได้เขาจะหันไปมองผู้หญิงผมม้าที่สวมเสื้อสีน้ำตาลที่ยืนอยู่ข้างสนาม”
ทั้งหวังหู่และเฉินเจี๋ยมองตามที่เหอไป่พูดก็เห็นอาการของหนิงจวินเจี๋ยที่จ้องมองผู้หญิงคนนั้นอย่างลึกซึ้ง
“อ่า~~” ทั้งสองครางขึ้นพร้อมกัน
แม้หน้าตาจะหล่อเหลาและมีเงินแต่ก็ทำตัวราวเต่าคลานแต่เมื่อมีความรักกลับทำตัวดีและขยันขึ้นมา!
ทั้งสามยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กันจากนั้นก็เดินไปดักหน้าของหนิงจวินเจี๋ยที่ยืนอยู่มุมสนามในช่วงพักครึ่งของเกมส์
หวังหู่ “เราจะยอมลดโทษให้กับนักโทษที่ยินดีสารภาพผิด”
เฉินเจี๋ย “แต่ไม่มีการให้อภัยสำหรับคนที่แยกตัวจากกลุ่มเพื่อไปทำเรื่องลับๆล่อๆ”
แต่เหอไป่พูดตรงประเด็นทันที “เหล่าซานเห็นสาวที่สวมเสื้อสีน้ำตาลผมม้าไหม ผมชอบเธอ!”
หนิงจวินเจี๋ยที่ยืนปิดปากเงียบก็ร้องลั่นขึ้นมา
“ไม่! ไม่ได้!! เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ!!!”
“ทำไมล่ะ” เหอไป่แกล้งถามอย่างสงสัย
“เป็นเพราะ...” หนิงจวินเจี๋ยลดเสียงตัวเองเปลี่ยนเป็นกระซิบให้เพื่อนตัวเองฟังแต่ก็ยังค่อยแอบมองเธอ
ใบหน้าของเขาแดงตั้งแต่คอจนถึงใบหู เมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนสนิทก็อดไม่ได้ที่จะยกเสื้อขึ้นมาคลุมหน้าตัวเองแล้วพูดพึมพำ“เธอคนนี้ไม่ได้...เพราะเธอเป็นรักแท้ของฉัน”
บทที่ 99 พี่สะใภ้
ทั้งสามต่างก็มองหน้ากันเองจากนั้นก็ยิ้มขึ้นอย่างภูมิใจเหมือนพ่อที่เห็นลูกชายตัวน้อยกำลังจะออกเรือน
ทั้งสามกอดคอลากหนิงจวินเจี๋ยออกมายืนข้างสนามเพื่อสอบสวน
เมื่อรู้ว่าถูกจับได้หนิงจวินเจี๋ยก็พูดตะกุกตะกักใบหูที่แดงว่าทำไมตัวเองถึงชอบสาวผมม้าคนนั้น
‘ในเย็นวันหนึ่งเศรษฐีหนุ่มหัวช้าชื่อจวินเจี๋ยได้ไปร่วมงานเลี้ยงของหุ้นส่วนพ่อตัวเองได้พบเจอกับนางฟ้าผมม้าที่กำลังเล่นเปียโนเธอนั้นเล่นได้ไพเราะจับใจ
แต่เรื่องไม่ได้มีเพียงเท่านั้นระหว่างจัดงานเศรษฐีหัวช้าคนนั้นก็ถูกกลุ่มชายที่วัยเดียวกันกำลังจับกลุ่มนินทาเรื่องการแต่งตัวที่แสนเชยและธรรมดาไม่เหมาะกับงานเลี้ยงไฮโซนี้
นางฟ้าผมม้าก็กระโดดออกมาปกป้องเขาและยังพาหลบออกมาจากงานเลี้ยงที่แสนน่าเบื่อ...ในเวลานั้นเศรษฐีหนุ่มหัวช้าก็เลยได้รู้ว่าหญิงสาวที่ใจดีและอ่อนโยนเธอเรียนอยู่ในมหาลัยเดียวกันกับตัวเอง
เขาจึงกระตือรื้นร้นที่จะขอแลกเวยป๋อเพื่อคอยติดตามเธอและวนเวียนอยู่รอบเพื่อให้เธอคนนั้นประทับใจ...’
“นี้เป็นเหตุผลที่นายมาเล่นบาสทุกวัน?”
หวังหู่ถามขึ้นหลังฟังจบ
หนิงจวินเจี๋ยเขิน “เธอเป็นผู้จัดการชมรมบาส ทำให้เธอต้องมาที่นี่หลายครั้ง...”
“แล้วที่ไปห้องสมุด?” เฉินเจี๋ยถามขึ้นบ้าง
หนิงจวินเจี๋ยยกมือเกาหน้าตาเหลือบมองท้องฟ้า
“เธอเรียนสาขาเอกวิชาภาษาจีนทำให้ตารางของเธอกับฉันไม่เคยได้เรียนด้วยกัน
ฉันจึงพบเธอได้ที่ห้องสมุดเท่านั้น”
เหอไป่ขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงคำสารภาพของพี่สะใภ้ที่แอบมาบอกเขาในชีวิตก่อน
เธอบอกไม่ชอบวิธีที่สามีตัวเองทำ เหอไป่จึงทำได้เพียงสวดภาวนาให้กับเหล่าซานในใจ
“นี้นายแอบตาเพื่อให้เห็นหน้าเธอเหรอ?”
“อืม..เธอจะไปออกกำลังกายตอนเช้าที่สนามเด็กเล่น...”
หนิงจวินเจี๋ยหน้าแดงก่ำอย่างตูดลิง
ทั้งสามมองหน้ากันจากนั้นก็ผลักหนิงจวินเจี๋ยอย่างแรงแล้วพูดต่อว่า
“จับตัวสต็อกเกอร์ไปส่งตำรวจเดียวนี้!”
หนิงจวินเจี๋ยที่มีสีหน้าแดงด้วยความเขินก็ออกตัววิ่งเพื่อหนีเพื่อนทั้งสองของตัวเองที่ยกเท้าเหมือนจะเตะตูดตัวเองส่วนหวังหู่และเฉินเจี๋ยกับมีสีหน้าโกรธพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
มีเพียงเหอไป่คนเดียวที่ไม่เข้าไปร่วมวงเขาทำเพียงยืนยิ้มกว้างอยู่ที่
แม้ว่าทั้งสามจะวิ่งรอบสนามแต่หนิงจวินเจี๋ยก็คอยมองหาสาวผมม้าเป็นระยะๆ
ดูเหมือนกระแสจิตจะมีจริงหญิงสาวคนนั้นก็หันกลับมามองหนิงจวินเจี๋ยที่ตอนนี้หยุดวิ่งและแสร้งยืนมองไปทั่วเหมือนกำลังชมนกชมไม้
ทั้งสามมองตากันความหมายของสายตาทั้งสามก็สื่ออกมาได้เพียงอย่างเดียว...ขี้ขลาด!
สาวม้ามองกำลังไม่รู้เรื่องเธอเพียงเดินตรงมาทางพวกเขา
เดินตรงมาหา...เหอไป่!!
หนิงจวินเจี๋ยมองใบหน้าเหอไป่ตาเบิกกว้าง
ทางหวังหู่และเฉินเจี๋ยก็ชะงักเดินถอยหลังห่างเหอไป่ไปถึงสามฟุต
“???” เหอไป่
สาวสวยผมม้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเหอไป่เธอจ้องมองใบหน้าเหอไป่หลายครั้ง
ก่อนที่จะยื่นมือออกมาข้างหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงที่ติดประหม่า “สวัสดีคะ ฉันชื่อเจิ้งเหยาเรียนอยู่คณะอักษรศาสตรสาขาวิชาภาษาจีน
ยินดีที่ได้รู้จัก”
เหอไป่รีบปล่อยมือของเจิ้งเหยาทันทีเมื่อรู้ถึงความร้อนที่กำลังจะแผดเผาจากทางด้านหลัง
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อเหอไป่เรียนสาขาวารสารศาสตร์ เราเคยรู้จักกันเหรอ...”
ฉากนี้ไม่เคยมีในชีวิตก่อนหน้าของเขานี่มันเกิดอะไรขึ้น?
“โอ้...ขอโทษคะฉันตื่นเต้นมากเกินไป”
เจิ้งเหยายกมือปิดใบหน้าอย่างเขินอายจากนั้นก็พูดออกมาอย่างซื่อตรง
“ฉันเป็นแฟนคลับของคุณ ฉันชอบภาพที่คุณถ่ายมากๆ ฉันเคยได้ยินมาจากจวินเจี๋ยว่าพวกคุณเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน...ฉันก็เลย..ฉันขอร้องเหละคะ.ฉันอยากให้คุณมาถ่ายภาพให้งานแต่งของพี่ชายของฉัน”
“ถ่ายรูป..งานแต่ง?” นี่มันเรื่องบ้าอะไร? มันไม่เคยเกิดแบบนี้ขึ้นมาก่อน
หวังหู่และเฉินเจี๋ยที่แอบฟังทั้งสองด้วยความเงียบก็เดินมาตบที่ไหล่ของเหอไป่เหมือนแสดงความยินดี
หนิงจวินเจี๋ยที่ก่อนหน้าทำหน้าเหมือนฆาตกรก็เปลี่ยนสีหน้าทันทีและพูดขึ้นอย่างสงสัย
“เสี่ยวเหยาครับ ใช่งานแต่งของพี่ชายเธอที่จะมีในสองเดือนข้างหน้าเหรอครับ?
งั้นผมว่ามายืนคุยตรงนี้มันไม่ค่อยสะดวกผมว่าพวกเราไปที่คาเฟ่ใกล้ๆมหาลัยดีกว่าไหม”
“ขอโทษฉันตื่นเต้นมากเกินไป” เจิ้งเหยาพูดด้วยน้ำเสียงตกใจเธอรีบเอ่ยขอโทษและอธิบายถึงเรื่องงานแต่งของเจิ้งเล่ยพี่ชายของเธอ
เจิ้งเล่ยนั้นมีคู่หมั้นที่รักกันมาตั้งแต่เล็กทั้งคู่ครบกันมาถึงแปดปีจึงตัดสินใจจัดงานแต่งในปีนี้
ทุกอย่างราบรื่นไปหมดเหมือนกับทางที่โรยด้วยกลีบดอกไม้มีก็แค่เพียง...รูปพรีเวดดิ้งของเจิ้งเล่ยและคนรักของเขาเท่านั้น
“พี่สะใภ้ของฉันเธอเอ่อ...เธอป่วยเมื่อต้นปีสาเหตุเพราะเธอทุ่มเงินของเธอไปกับยาลดความอ้วนมันให้มีผลกระทบกับรูปร่างของเธอ
เธอตอนนี้เศร้ามากและยืนยันที่จะล้มงานแต่งตัวเองกับพี่ชายของฉัน แต่พี่ชายของฉันรักเธอมากเขายืนยันที่จะไม่ทอดทิ้งเธอและยืนกรานที่จะจัดงานพี่ชายฉันไปคุยกับทางผู้ใหญ่เพื่อที่จะเลื่อนงานแต่งให้เร็วขึ้นเป็นปลายปีนี้”
เจิ้งเหยรู้สึกอึดอัดที่เอาเรื่องภายในครอบครัวตัวเองมาพูดแต่เธอก็มองไปทางเหอไป่อย่างมีความหวัง
“พี่สะใภ้ของฉันเธอลดน้ำหนักเพื่อให้งานแต่งของเธอออกมาแสนวิเศษแต่ผลลัพธ์ที่ได้มากับไม่เป็นไปตามนั้นแม้ว่าตอนนี้เธอจะดีขึ้นเพราะคุณลุงของฉันนำหมอเฉพาะทางมารักษาเธอและหมอก็ยืนยันว่าเธอจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมแต่ต้องใช้เวลาและอยู่ในการควบคุมของหมอก็ตาม...แต่คงจะไม่ทัน”
เฉินเจี๋ยที่รับฟังเงียบก็เอ่ยขึ้น
“เรื่องของเรื่องคือพี่สะใภ้ของคุณมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นก็เพราะยาลดน้ำหนัก
นั่นก็เป็นสาเหตุที่เราไม่ควรพึ่งยาลดน้ำหนัก ผมคิดว่าเธอต้องมีบาดแผลในใจกับเรื่องนี้แล้วต้องใช้เวลาฟื้นฟูจิตใจตัวเองอย่างหนัก”
“ใช่คะ...” เจิ้งเหยาพูดอย่างเศร้าสร้อยและมองไปทางเหอไป่ด้วยสายตาอ้อนวอน
“พี่เล่ยต้องการให้จัดงานแต่งให้เร็วที่สุดกับกันพี่สะใภ้ส่วนพี่สะใภ้เธอก็กลับมาในสภาพเดิม
เธอเครียดมากเรื่องการถ่ายพรีเวดดิ้ง เหอไป่ค่ะ! ความฝันของผู้หญิงทุกคนคือจัดงานแต่งงานและให้เธอเป็นเหมือนเจ้าหญิงในวันนั้น
พี่สะใภ้ของฉันเธอชอบพูดถึงชุดในคอลเลคชั่นเอลฟ์ของคุณไม่ขาดปากและยังหวังจะให้คุณถ่ายรูปให้เธอหลังจากที่เธอกับมาเป็นแบบเดิม
ฉันก็เลย...”
“ดังนั้นคุณเจิ้งก็เลยมาหาผมเพื่อพี่สะใภ้ของคุณ
ไม่ใช่เพราะตัวคุณเอง...” เหอไป่ก็ยิ้มขึ้นเหมือนปลอบหญิงสาวคนเดียวตอนนี้เมื่อสัมผัสได้ถึงความเศร้าของเจิ้งเหยา
“ผมยินดีครับยังไงคุณก็เพื่อนกับจวินเจี๋ยซึ่งเขาก็เปรียบเหมือนพี่ชายคนหนึ่งของผม
ยังไงผมก็ไม่มีทางที่จะปฏิเสธคนสำคัญของพี่ชายผมอยู่แล้วครับ”
“จริงๆนะคะ” เจิ้งเหยาพูดขึ้นด้วยเสียงที่ตื่นเต้นคำพูดที่เปล่งออกมาแทบไม่เป็นประโยค
“ฉันได้ยินมาว่าคุณจะไม่รับงานอื่นนอกจากงานของยี่คัง...ขอบคุณมาก..ขอบคุณมากจริงๆคะ!!”
“ถ้าครอบครัวของคุณไม่ถือที่ตอนนี้ผมไม่ได้ทำงานให้ยี่คัง
ผมก็ยินดีที่จะรับงานนี้ไว้” เหอไป่พูดต่อเพื่อให้เครดิตเพื่อนตัวเอง
“คุณเคยช่วยดูแลพี่ชายของผมตอนนี้ผมไม่ค่อยว่างมันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยครับ
เรื่องขอบคุณผมว่าคุณขอบคุณจวินเจี๋ยจะดีกว่าครับ”
เจิ้งเหยาทำตามคำแนะนำของเหอไป่เธอมองไปยังหนิงจวินเจี๋ยด้วยสายตาซาบซึ้ง
หนิงจวินเจี๋ยที่ได้รับความสำคัญก็แทบจะยกนิ้วให้เหอไป่ไม่ได้
ตอนนี้สมองกำลังคิดว่าจะเอาอะไรมาตอบแทนน้องเล็กของเขาดี
เหอไป่มองทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มกว้างในใจก็ยินดีกลับที่หนิงจวินเจี๋ยที่คอยห่วงใยและดูแลตัวเขามาโดยตลอด
———————————————————-———————————————————-
กลางดึกกับมีร่างที่นอนพลิกตัวไปมาบนที่นอนเขาคอยหยิบโทรศัพท์มาเปิดที่ข้อความและปิดหน้าจอเขาทำแบบนั้นหลายครั้งก่อนที่จะส่งข้อความไปหา...ตี๋ชิวเหอ
เหอไป่: คุณเป็นยังไงบ้าง
เงียบ..ไม่มีข้อความตอบกลับ
เหอไป่มองนาฬิกาคำนวนเวลาของเหล่าทีมงานและเรื่องของตั๋งหนี๋มันเป็นเรื่องที่กวนใจมาก
ใบหน้าเล็กก็แสดงออกถึงความขุ่นมัวในใจ เขาตัดสินใจส่งข้อความออกไปอีกครั้ง
เหอไป่: คุณนอนพักผ่อนก่อนก็ได้ครับ
เมื่อคุณว่างค่อยส่งข้อความหาผม
จากนั้นก็ปิดหน้าจอโทรศัพท์พร้อมนอนหลับตา ผ่านไปเพียงสามสิบวินาทีเขาก็เปิดตาขึ้นอีกครั้งแล้วพุ่งตรงไปที่ข้อความและพิมพ์ข้อความใหม่ส่งไปอย่างเร็ว
เหอไป่:
ผมตัดสินใจจะเข้าร่วมกองถ่ายในช่วงวันหยุดฤดูหนาว แต่ยังไม่ระบุวัน
เหอไป่: นอนแต่หัวค่ำ...ฝันดีนะ!
ก็ยังไม่มีข้อความตอบกลับมาเช่นเคย
เหอไป่จึงถอนหายใจสายตายังจ้องตัวอักษรในโทรศัพท์
เขากังวลเรื่องของเด็กชายตี๋ทั้งกลางวันและกลางคืน
เขาตอนนี้ทำตัวเหมือนพ่อที่กำลังเคร่งเครียดเรื่องลูกที่ไม่ยอมกลับบ้าน แบบนี้เขาต้องแก่ก่อนวัยแน่นอน
เฮ้อ..!!
เหอไป่จึงตัดสินใจปิดตาแน่น
แต่ไม่ทันหลับลึกโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างหมอนก็สั่นขึ้นมาไม่หยุด
เหอไป่ไม่ยกหัวขึ้นจากหมอนเขาทำเพียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็พบตัวเลขที่คุ้นเคย
เขาก็กดรับสายทันที “งานเสร็จแล้วเหรอครับ?”
“หมาน้อยคุณคิดถึงผมไหม”
เสียงนุ่มทุ้มที่ลอดเข้ามาแม้จะตอบคนละเรื่องกับที่ก็ทำให้เหอไป่มีรอยยิ้ม
เขาไม่สนถึงภาพพจน์ตัวเองแล้ว ตอนนี้เขาต้องการระบายความอึดอัดที่เกิดขึ้น จึงตะโกนใส่โทรศัพท์เสียงดัง
“ถ้าผมคิดถึงคุณ!! ผมคิดว่าพรุ่งนี้จะกินอะไรซักยังดีกว่า”
บทที่ 100 หย่าร้าง
“งั้นผมช่วยคิดเมนู...เป็นบะหมี่อายุยืนของโรงอาหารในมหาลัยไหม?”
ท่ามกลางเสียงพูดของตี๋ชิวเหอก็มีเพลงเบาคลอออกมามันเป็นเพียงเดียวกับที่มหาลัย
Q เปิดตอนนี้แทนยังมีเสียงหัวเราะของเหล่านักศึกษา “หมาน้อยทำไมเมืองB ถึงหนาวแบบนี้
ผมไม่รู้เลยไม่ได้เตรียมเสื้อหนาวมาด้วยสิ..เฮ้อ!”
เหอไป่ลุกขึ้นนั่งทันทีและตะโกนเสียงดัง “ตอนนี้คุณอยู่ที่มหาลัย!!”
มีเพียงเสียงหัวเราะทุ้มลอดเข้ามาในโทรศัพท์แทนคำตอบ
“คุณมัน..ช่างดื้อรั้น” เหอไป่พูดเสียงดุอีกคน เขารีบเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าและหยิบเสื้อโค้ทอีกตัวออกมาจากรั้นก็พุ่งตัวไปหยิบเสื้อโค้ทอีกตัวที่พาดอยู่บนเก้าอี้จากนั้นก็พุ่งตัวออกนอกห้อง
ไม่สนใจเพื่อนร่วมห้องทั้งสามที่อ้าปากค้างอย่างไม่เข้า...ดึกขนาดนี้เหอไป่จะรีบไปไหน!!
หวังหู่ที่มีสีหน้างงก็ถามขึ้น “เหล่าซานเขาจะรีบไปไหน ใครกันทำให้เสี่ยวไป่รีบร้อนขนาดนี้!”
เสียงตื่นเต้นของคนมีประสบการณ์รักๆใคร่ๆของหนิงจวินเจี๋ยก็ดังขึ้นเขายังมือลูบคางตัวเอง
“ขอเดานะ เสี่ยวไป่ต้องหาสาวน้อยน่ารักที่ตัวเองแอบชอบแน่!”
เฉินเจี๋ยลดแว่นตาลง “คนที่เขาชอบอาจจะเป็นผู้ชายก็ได้”
หวังหู่และหนิงจวินเจี๋ยมองไปทางเฉินเจี๋ยตาแทบถลนด้วยความตกใจ
เฉินเจี๋ยทำเพียงยักไหล่ “ล้อเล่นนะ”
ทั้งสองที่หายจากการตกใจก็เข้าไปทุบตีเพื่อนที่ทำให้เขาใจหล่นถึงตาตุ่ม
———————————————————
เมือง B ตอนนี้เริ่มเย็นขึ้นเพราะเข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ผลิ
เหอไป่วิ่งออกมาหน้าตึกก็พบกับร่างส่งที่ยืนนิ่งอยู่บนฟุตบาทข้างสนามกีฬา สายลมเย็นพัดผมปลิวไปตามสายลม
“คุณกลับมาทำไมครับ? งานที่กองถ่ายเสร็จแล้วเหรอ?” เหอไป่เดินมาหยุดตรงหน้าตี๋ชิวเหอพร้อมสีหน้าไม่พอใจคิ้วแทบขมวดชนกัน
จากนั้นก็โยนเสื้อโค้ทให้ร่างสูงที่ยังคงยืนนิ่งอย่างหงุดหงิด
ตี๋ชิวเหอรับเสื้อที่ร่างเล็กโยนมาสวมเมื่อสวมเสร็จก็ทิ้งตัวบนริมฟุตบาทมือขาวที่เย็นเฉียบก็จับมือเล็กอุ่นแน่นหน้าก็เงยมองเหอไป่ที่ริมฝีปากบางก็คลี่ยิ้มบางก่อนจะพูดขึ้น
“ตี๋เบี่ยนกำลังจะหย่า”
“อะไรนะ?” เหอไป่พูดเสียงสูงอย่างตกใจคิ้วขมวดเป็นปมมากกว่าเดิม
“มันเกิดอะไรขึ้นครับ เรื่องนี้คุณแน่ใจแล้วเหรอ?”
ค่ายฮวางฝูและตระกูลฉินตอนนี้มีผลประโยชน์ร่วมกันมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ถ้าการแตกหักระหว่างคู่สามีภรรยานั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์นี้
“ใช่...พึ่งบอกผมทางโทรศัพท์” ตี๋ชิวเหอยกมือข้างที่ว่างสางผมทำให้เห็นถึงรอยยิ้มเย้ยหยัน “ครั้งล่าสุดผมได้บอกเรื่องของตี๋เซี่ยซ่งให้ตอนนั้นตี๋เบี่ยนเหมือนไม่เชื่อจึงให้คนไปตรวจสอบเรื่องการคบชู้ของฉินหลี่และเจิงเพ่ยจงยังให้ลูกน้องไปตรวจสอบดีเอ็นเอตัวเองกับลูกทั้งหมด”
เหอไป่ที่ได้ยินก็เหมือนจะเข้าใจเขาจึงพูดเหมือนจะคาดเดาเรื่องราวได้
“หรือว่าตี๋เซี่ยซ่งจะ...”
“ไม่ใช่เซี่ยซ่งเป็นลูกของตี๋เบี่ยน”
น้ำเสียงตี๋ชิวเหอก็เย้ยหยันกว่าเดิม “กลายเป็นตี๋ชุนฮวาเธอไม่ใช่ลูกตี๋เบี่ยนหรือแม้แต่เจิงเพ่ยจง”
เหอไป่กำลังมึนหัวกับข้อมูลที่เยอะเกินไป
“ลองเดาดูสิ!” ตี๋ชิวเหอขยับตัวยืนขึ้นเขาถอดผ้าพันคอของตัวเองเมื่อสัมผัสได้ว่ามือเล็กเริ่มเย็นขึ้นจากนั้นก็นำมาพันที่คอของเหอไป่
ใบหน้าก็เลื่อนเข้าใกล้ร่างเล็ก “ถ้านายทายถูกนายจะได้รางวัล.ผมให้คำใบ้
‘ชุนฮวาเธอไม่สบายบ่อยๆและยิ่งเป็นคนอารมณ์ร้ายซึ่งมันเป็นนิสัยที่เจอบ่อยในคนตระกูลฉิน’
พอไหม”
‘สุขภาพไม่ดีอารมณ์ร้าย..ตระกูลฉิน..’
เหอไป่อ้าปากกว้างเมื่อได้คำตอบในหัวคำที่พูดออกมาก็ติดขัด “แม่เลี้ยงของคุณ...เธอท้องกับ...มีอะไรกับพี่น้องของตัวเอง...”
“ถูกต้อง ผมจะกอดนายเพื่อเป็นรางวัล”
ตี๋ชิวเหอกอดเหอไป่แน่นและถูคางกับกลุ่มผมนิ่ม “ตี๋เบี่ยนรู้เรื่องนี้ก็เลยใช้เรื่องนี้มาเป็นไพ่ไม้ตาย มันบีบบังคับในการขอหย่าแทนที่จะเอามากอบโกยผลประโยชน์จากตระกูลฉิน
หมาน้อย...นายรู้ไหมตี๋เบี่ยนรักตี๋ชุนฮวามากที่สุดตอนที่เค้ารู้เรื่องนี้ไม่มีแม้แต่อาการเสียใจแต่กลับดีใจที่มีไพ่เพื่อจะมาต่อรองและขับไล่ตระกูลฉินโดยไม่ต้องต่อสู้ให้เหนื่อย”
เหอไป่รู้สึกถึงอาการที่แปลกไปของร่างสูงที่กำลังกอดตัวเอง
เหอไป่จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงลังเล “ตี๋...ชิวเหอ”
“เหมือนกับว่าเรื่องที่ผมพยายามมันไร้สาระมากที่จะเอาชนะฉินหลี่และตระกูลฉิน...ไม่เคยคาดคิดถึงผลลัพธ์แบบนี้มาก่อน...ที่พวกนั้นทำลายกันเอง”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความหงุดหงิดแต่ก็แฝงได้ความว่างเปล่าในผลลัพธ์ของตัวเอง
ตี๋ชิวเหอกอดเหอไป่แน่นขึ้น “ถ้าในวันนั้นนายไม่ได้อยู่ตรงนั้นเรื่องนี้ก็คงไม่แดงขึ้นมา...นายเป็นดาวนำโชคของผมจริงๆ“
เหอไป่ยังคงตามไม่ทันเขารู้เพียงแค่ว่าตี๋เบี่ยนเป็นกุญแจดอกใหญ่ในเรื่องนี้ตอนนี้ต้องการสืบเรื่องเมียรักของตัวเองมีชู้ก็เท่านั้น?
แต่กับได้ความลับที่ตระกูลพยายามปกปิด...ในชีวิตก่อนตี๋ชุนฮวาเปรียบเหมือนเป็นนางฟ้าตัวน้อยของตระกูลตี๋แม้กระทั่งตอนที่ตี๋ชิวเหอตายเธอก็แสดงละครเป็นน้องสาวที่เศร้าเสียใจที่พี่ชาย
เหอไป่พูดไม่ออกตัวเขาตอนนี้ค่อนข้างสับสนตี๋เบี่ยนคือกุญแจดอกใหญ่ของเรื่องนี้เพื่อแค่ตัวเองสนใจว่าเมียมีชู้เท่านั้น?
กับได้พบความลับที่ตระกูลฉินปกปิด...จากชีวิตก่อนที่เขาจะย้อนกลับมาตี๋ชุนฮวาเหมือนเป็นนางฟ้าตัวน้อยของตระกูลตี๋
แม้แต่ตอนที่ตี๋ชิวเหอตายเธอก็เล่นเป็นน้องสาวที่รักที่ชายตี๋ชิวเหอและเศร้าเสียใจจะเป็นจะตายที่ตี๋ชิวเหอกระโดดจากหน้าต่างคอนโด
แต่ชีวิตนี้...จริงด้วย!!!
จริงด้วยในตอนที่ตี๋ชิวเหอตกลงจากหน้าต่างคอนโดเขาเห็นมือขาวยื่นผ่านผ้าม่าน...มือผู้หญิง
นั่นอาจจะเป็นชุนฮวา!! เธอคงต้องการปิดปากตี๋ชิวเหอที่ตอนนั้นอาจจะไปรู้ชาติกำเนิดของเธอ!
สมองของเหอไป่ว่างเปล่าทันทีแต่กลับกันเขาเกิดความวิตกกังวลในใจของตัวเอง
ถ้าเขาเรื่องที่เขาคิดเป็นเรื่องจริงล่ะ เรื่องที่เกิดขึ้นในชิวิตก่อนหน้าของเขากำลังจะเกิดในตอนนี้ล่ะ
ทั้งการตกจากคอนโดทั้งชาติกำเนิดของตี๋ชิวเหอล่ะ..
“ชิวเหอ!!” เหอไป่เสียงดังและดิ้นออกจากอ้อมแขนของตี๋ชิวเหอและผลักออก
“เรื่องนี้มีกี่คนที่รู้! เรื่องชาติกำเนิดของตี๋ชุนฮวา!! และเรื่องที่พ่อของคุณจะไปคุยกับตระกูลฉินมันจะเกิดขึ้นตอนไหน?”
“หมาน้อยหายใจเข้าลึกๆ...ใจเย็น...”
เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
ตี๋ชิวเหอหยิบโทรศัพท์ออกมามองดูชื่อของคนที่โทรขัดจังหวะ
จากนั้นก็กดรับสายพร้อมลูบหลังของเหอไป่เพื่อปลอบให้เหอไป่เย็นลง จากนั้นก็กดรับสาย
“หวัง..มีอะไร”
“นายน้อยตี๋!” เสียงผู้ช่วยหวังดังลอดออกมามันเต็มไปด้วยความตื่นตระหนักจะเหอไป่ก็ได้ยินเสียง
“หัวหน้าพ่อบ้านแจ้งมาว่านายท่านตี๋เบี่ยนตกบันไดเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว
ตื่นตะหนกเสียงดังจนเหอไป่ที่อยู่ข้างๆตี๋ชิวเหอก็ได้ยิน
“หัวหน้าพ่อบ้านของตระกูลตี๋โทรมาบอกว่าท่านเบี่ยนตกบันไดเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วตอนนี้ท่านเบี่ยนยังอยู่ในไอซียู
พวกหมอบอกว่าชีวิตของท่านเบี่ยนอยู่ในอันตราย!”
“ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว?” สีหน้าของตี๋ชิวเหอเครียดขึ้นมันเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและรีบเดินไปที่ประตูหน้ามหาลัยเพื่อจะเรียกรถตรงไปโรงพยาบาล
“ผมจะไปกับคุณด้วย!” เหอไป่รีบพูดขึ้นเขาหยิบเสื้อโค้ทและผ้าพันคอที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาและเดินไปหาตี๋ชิวเหออย่างร้อนรนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนมันเป็น
“จากนี้ไปผมไม่ต้องการให้คุณห่างจากผมแม้แต่ก้าวเดียว!!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น