ภรรยาซอมบี้นัมเบอร์วัน 1-100

 

ภรรยาซอมบี้นัมเบอร์วัน

 

ทะลุมิติเข้าไปในนิยายที่ตัวเองเขียน มู่อี้ฟานมีท่าทีที่สับสนมาก! ทะลุมิติเข้าไปในนิยายที่ตัวเองเขียนกลายเป็นซอมบี้ มู่อี้ฟานมีท่าทีที่สับสนสุดๆ!

แนะนำเรื่อง

รายละเอียด

ภรรยาซอมบี้นัมเบอร์วัน (第一尸妻)

แต่งโดย 金元宝 (จินหยวนเปา)

แปลโดย 水静 (สุ่ยจิ้ง)

เจ้าของลิขสิทธิ์เวอร์ชั่นจีน Hangzhou Jiukuang Network Technology Co., Ltd.

จำนวน 7 เล่มจบ

   

เรื่องย่อ

ทะลุมิติเข้าไปในนิยายที่ตัวเองเขียน มู่อี้ฟานมีท่าทีที่สับสนมาก!

ทะลุมิติเข้าไปในนิยายที่ตัวเองเขียนกลายเป็นซอมบี้ มู่อี้ฟานมีท่าทีที่สับสนสุดๆ!

ทะลุมิติเข้าไปในนิยายที่ตัวเองเขียนกลายเป็นราชาซอมบี้ที่ฆ่าพระเอกตาย ซ้ำพระเอกยังย้อนกลับมาเพื่อแก้แค้นหนึ่งเดือนก่อนวันสิ้นโลก มู่อี้ฟานมีท่าทีว่าเขาใจเย็นไม่ไหวแล้ว!

เพราะฉะนั้น เขาจึงตัดสินใจลงมืออย่างเหี้ยมโหด ต้องกำจัดพระเอกก่อนจะย้อนกลับมาให้ได้!

เอ๊ะ!?

เดี๋ยวนะ นี่มันจังหวะอะไรเนี่ย

 

 มีเล่มจำหน่าย, ebook med/naiinpann และ ติดเหรียญรายตอนที่ dek-d, fictionlog, readawrite, meread, joylada


 

บทที่ คุณชายใหญ่

หากทะลุมิติเข้ามาในนิยายวันสิ้นโลกที่ตัวเองเขียน ควรทำยังไง

หากทะลุมิติเข้ามาในนิยายวันสิ้นโลกที่ตัวเองเขียน และกำลังจะกลายเป็นราชาซอมบี้ตัวหนึ่ง ควรทำยังไงดี

หากราชาซอมบี้ตัวนี้ไม่เพียงแต่เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของพระเอก แต่ยังเป็นตัวการหลักที่ฆ่าพระเอกตาย ทั้งยังทำให้พระเอกย้อนกลับมาเพื่อล้างแค้นก่อนวันสิ้นโลกอีก ควรทำยังไงดีล่ะนั่น

มู่อี้ฟานทะลุมิติเข้ามาในนิยายวันสิ้นโลกที่ตัวเองเขียน หลังจากกลุ้มมาทั้งวันทั้งคืน ก็ตัดสินใจลงมืออย่างเหี้ยมโหด ในชั่วขณะนั้นที่พระเอกย้อนกลับมา เขาจะกำจัดพระเอกในทันที!

ตามพล็อตของนิยาย หลังพระเอกตาย เขาจะย้อนกลับมาหนึ่งเดือนก่อนวันสิ้นโลกพร้อมกับมิติส่วนตัว ซึ่งก็คือเทศกาลเช็งเม้ง วันที่ 5 เดือน 4 ปี 2014

ในวันนี้ พระเอกซึ่งยังไม่ย้อนกลับมาจะไปเซ่นไหว้สหายร่วมรบของเขาที่หมู่บ้านสุ่ย[1]เมือง G โดยไม่คาดคิดเลยว่าจะประสบถูกคนอื่นลอบสังหารเข้า กระสุนฝังร่าง หมดสติท่ามกลางภูเขาและท้องทุ่ง เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกที วิญญาณน่าจะได้รับการย้อนคืนแล้ว

มู่อี้ฟานคิดมาถึงตรงนี้ ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาดูอย่างรวดเร็ว เวลาที่แสดงอยู่บนนั้นคือ 08.27 น. วันที่ 5 เดือน 4 ปี 2014

ใบหน้าเขาเปลี่ยนสี รีบคว้ากุญแจรถขึ้นมาแล้วพุ่งไปที่โรงรถของวิลลา

คุณชายใหญ่ ท่านจะไปไหนครับ

ซุ่มเสียงวิตกกังวลสายหนึ่งหยุดฝีเท้าของมู่อี้ฟานไว้

มู่อี้ฟานหันกลับไปดู ก็เห็นชายวัยกลางคนสวมชุดสูทสีเทาคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าวิลลา บนหน้าสวมแว่นสายตาสั้นเลี่ยมขอบทองไว้ มีความสุภาพอ่อนโยน เหมือนเป็นนักศึกษาปริญญาตรีทำวิจัย เพียงแต่ในมือกลับถือกล่องยาสีน้ำเงินเทาอยู่เท่านั้น

จากการค้นความทรงจำในร่างนี้ ชายวัยกลางคนตรงหน้าชื่อ หลี่ชิงเทียน เป็นแพทย์ประจำตระกูลของครอบครัวมู่

หลี่ชิงเทียนยกมือดันแว่นบนสันจมูกขึ้น ยิ้มน้อยๆ เดินเข้ามาใกล้ คุณชายใหญ่! ผมมาตรวจสุขภาพให้ท่านครับ!

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ มุมปากของมู่อี้ฟานก็ยกขึ้นเป็นนัยเย็นชาที่เห็นไม่ชัดอย่างช้าๆ

ในตอนแรกเขาขี้เกียจเปลืองสมองตั้งชื่อตัวละครในนิยาย ก็เลยใช้ชื่อตัวเองและพวกเพื่อนสนิทในความเป็นจริงมาตั้งชื่อให้ตัวละครในนิยาย ดังนั้น เจ้าของร่างเดิมนี้และตัวเขาก็มีชื่อว่า มู่อี้ฟาน เหมือนกัน เป็นลูกชายคนโตของนายพลมู่เยว่เฉิง หลังจากสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนทหารก็ได้ถูกรับเลือกให้เข้ากองกำลังพิเศษ มิหนำซ้ำยังฝึกทหารชุดเดียวกับพระเอกเสียด้วย

มู่อี้ฟานและพระเอกสมควรปฏิบัติต่อกันอย่างสัตย์ซื่อในฐานะสหายร่วมรบ อย่างไรก็ตาม พระเอกมีความสามารถโดดเด่น ศักยภาพทุกด้านเหนือกว่าเขา ตลอดจนถูกเลื่อนตำแหน่งครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังได้รับการให้ความสำคัญจากผู้บังคับบัญชาจนถึงความเคารพนับถือจากผู้ใต้บังคับบัญชา ด้วยสิ่งข้างต้นที่ว่ามานี้ก็ทำให้มู่อี้ฟานที่มีจิตใจคับแคบเริ่มเกลียดพระเอกขึ้นมาอย่างช้าๆ และลอบขัดขาพระเอกในภารกิจอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งความแค้นระหว่างเขากับพระเอกก็มาจากปมนี้นี่แหละ

ต่อมา มู่อี้ฟานได้ถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งกระดูกเนื่องจากบาดเจ็บจากการปฏิบัติภารกิจในครั้งหนึ่ง และไม่มีตัวเลือกนอกจากปลดประจำการกลับบ้านไปพักฟื้น สิ่งที่น่ายินดีเพียงอย่างเดียวก็คือ มันเป็นแค่มะเร็งกระดูกระยะแรก สามารถใช้ยา หรือการผ่าตัดรักษามะเร็งได้ ทว่าด้วยเหตุนี้มันกลับเอื้อโอกาสให้แก่น้องชายคนรองหาคนมาแอบฉีดไวรัสน่าสยดสยองเข้าสู่ร่างเขา และด้วยไวรัสชนิดนี้นี่เอง จึงทำให้หลังวันสิ้นโลก มู่อี้ฟานจะกลายเป็นซอมบี้ที่คนก็ไม่ใช่ ผีไม่ก็เชิง

และ...หลี่ชิงเทียนก็เป็นคนที่ฉีดไวรัสให้แก่เขานั่นเอง

มู่อี้ฟานหลุดจากภวังค์ เหลือบมองมือที่ถือกุญแจรถอย่างไม่แสดงอาการใดๆ และพบว่าเล็บของเขาปรากฏสีเทาอ่อนๆ ออกมาเรียบร้อยแล้ว เขารู้ดีว่านี่เป็นสัญญาณของการกลายเป็นซอมบี้ ในขณะเดียวกันมันก็บ่งบอกถึงความจริงที่เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ว่า ตัวเองกำลังจะกลายเป็นซอมบี้

อย่างไรก็ตาม ขอแค่กำจัดตัวเอกในนิยายไป เขาอาจจะสามารถกลับสู่ความเป็นจริงได้ในเร็ววัน

ฉันมีธุระต้องออกไปข้างนอกสักพัก นาย...แววตามู่อี้ฟานไหววูบเหมือนกับคิดอะไรขึ้นมาได้ หลังตอนค่ำ นายค่อยเข้ามาตรวจสุขภาพฉันอีกรอบแทนละกัน!

หลี่ชิงเทียนนิ่งค้าง สักพักหนึ่งก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนกล่าวว่า ตกลงครับ!

มู่อี้ฟานเหลือบมองกล่องยาของเขา ในกล่องยานายมีหน้ากากอนามัยติดมาบ้างไหม ถ้ามี ฉันขอยืมใช้หน่อย!

มีครับ!หลี่ชิงเทียนรีบหยิบหน้ากากอนามัยสีขาวออกจากในกล่องยายื่นให้มู่อี้ฟาน

อี้ฟานไม่พูดจามากความอีกต่อไป พลันรีบใส่หน้ากากอนามัยและแว่นกันแดดขับรถออกไปทันที




[1] น้ำ


 

บทที่ พระเอก

ในช่วงเทศกาลเช็งเม้ง ผู้คนจำนวนมากเร่งรีบไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษ เป็นเหตุให้ถนนหลวงติดขัด พาหนะต่างวิ่งไปตามเส้นทางอย่างยากลำบาก

กว่ามู่อี้ฟานจะมาถึงหมู่บ้านสุ่ยที่นอกเขตชานเมือง G ก็เป็นเวลา 13.18 น. แล้ว

เขาลงจากรถ ก่อนจะแสร้งทำทีเป็นซื้อของอย่างเงินหยวนเป่า[1] เทียนไข และอื่นๆ ที่ใช้สำหรับปัดกวาดสุสานเพื่อประกอบพิธีเซ่นไหว้วิญญาณบรรพบุรุษมาหนึ่งชุดจากร้านค้าเล็กๆ แล้วจึงรีบมุ่งแซงขึ้นเขาไป

ในเวลานี้ เป็นเวลาที่ผู้คนต่างรีบกลับหมู่บ้านไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ทุกหนแห่งล้วนมีเสียงอธิษฐานขอพรบรรพชนให้ปกปักคุ้มครอง รวมทั้งเสียงประทัดที่อึกทึกจนหูแทบหนวก ไอควันที่ชวนสำลักราวกับเมฆหมอกเซียน[2]เหินปกคลุมไปทั่วทั้งยอดเขา

มู่อี้ฟานจำได้ว่าในนิยายเรื่องนี้ยังไม่ได้บรรยายรายละเอียดชื่อ เวลา และสถานที่ที่พระเอกเซ่นไหว้สหายร่วมรบไว้ เพียงแค่กล่าวร่างภาพแรเงา[3] เป็นช่วงบ่าย ยามพระอาทิตย์ขึ้น ณ สถานที่ที่อยู่บนกึ่งไหล่เขา ดังนั้น เขาจึงไม่แน่ใจเลยว่าพระเอกยังคงอยู่ในหมู่บ้านสุ่ยตอนนี้หรือไม่ จึงได้แต่ค้นหาตามไหล่เขาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าเท่านั้น

ที่น่ายินดีก็คือ เนินหลุมศพบนยอดเขานั้นได้ถูกสร้างขึ้นรอบถนนภูเขา การค้นหาจึงไม่ได้ยากลำบากนัก

มู่อี้ฟานพลางมองหาพระเอก ขณะเดียวกันก็ดึงความทรงจำในร่างนี้ไปด้วย

ก่อนหน้านี้ เนื่องจากตลอดมามัวแต่ช็อกที่ทะลุมิติเข้ามาในนิยายวันสิ้นโลกที่ตัวเองเขียน เขาจึงยังหาเวลาให้ความสนใจกับรูปร่างหน้าตาของพระเอกไม่ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไร้ข้อกังขาคือพระเอก จ้านเป่ยเทียน และเพื่อนสมัยเด็กในชีวิตจริงของเขานั้นมีชื่อแซ่สกุลเหมือนกัน แต่สำหรับหน้าตานั้น...

มู่อี้ฟานยังไม่ทันได้ค้นหาภาพเงาของพระเอกจากในความทรงจำของร่างนี้ เขาก็ถูกผู้ชายผอมสูงตัวสูงชะลูดดึงดูดความสนใจไปอย่างขาดลอย ขณะเดียวกัน ฝีเท้าก็หยุดลงในทันที

ชายคนนั้นมีความสูงประมาณหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ท่อนบนสวมเสื้อเชิ้ตรัดรูปสีดำ ท่อนล่างเป็นกางเกงลำลองสีเขียวขี้ม้าและบูตทหารสีดำคู่หนึ่ง การเข้าคู่ที่เรียบง่ายธรรมดายังไม่อาจซ่อนเร้นความแข็งแกร่ง และกลิ่นอายบนร่างที่ปลดปล่อยออกมาโดยไม่ตั้งใจได้ หน้าตาหล่อเหลาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ผิวสีข้าวสาลีเมื่ออยู่ภายใต้แสงแดดก็เผยความมันวาวสม่ำเสมอออกมา ริมฝีปากบางบนล่างเม้มแน่นเป็นเส้นตรงทำให้รู้สึกถึงความเหน็บหนาวเล็กน้อย ดวงตาลึกล้ำอันหนักแน่นมั่นคงจ้องหลุมศพตรงหน้า และตกอยู่ในภวังค์ ถึงกระนั้นแววตากลับทรยศห้วงอารมณ์ของเขาในเวลานี้ เพราะได้แพร่งพรายความเศร้าโศกและประณามตนเองที่ลึกลงไปในใจเขาออกมา

มู่อี้ฟานยืนโง่อยู่กับที่อย่างตกตะลึง ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ จ้องอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่กล้าจะเชื่อ

เขาไม่จำเป็นต้องก้าวไปตรวจสอบก็มั่นใจเต็มร้อยว่าชายคนนั้นก็คือบุรุษในตำนานภายใต้ปากกาของเขา จ้านเป่ยเทียน!

แน่นอนว่ามันไม่เกี่ยวที่อีกฝ่ายหน้าตาหล่อเหลาเอาเรื่อง และก็ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายดูไปแล้วมีความแข็งแกร่งเจ้าโลกอย่างใด แต่เป็นเพราะ...

แม่มันเถอะ คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะหน้าเหมือนเพื่อนสมัยเด็กของเขาเป๊ะเลย!

เง็กเซียนฮ่องเต้ ลุงเขาสิ[4] ท่านตั้งใจให้ทั้งหมดออกมาเป็นแบบนี้ เพราะผมคิดจะฆ่าคนใช่ไหม

ล้อกันเล่นรึไงกัน!

ตอนที่เขาบรรยายโปรไฟล์พระเอกในเวลานั้น ทำไมเขาถึงได้สมองต่ำ[5]อย่างนั้นได้นะ คิดไม่ถึงว่าจะคิดเรื่องเพื่อนสนิทระหว่างบรรยายรูปร่างหน้าตาพระเอกไปด้วย

ตอนนี้เป็นไงล่ะ พระเอกกับเพื่อนสมัยเด็กหน้าเหมือนกัน ทีนี้จะให้เขาลงมือยังไง

ขณะอยู่บนถนนครุ่นคิดเทคนิคฆาตกรรมอย่างต่ำช้าออกเป็นสิบกว่าวิธี ถ้าเขาใช้มันกับตัวเองได้ พอตายไปปัญหาก็จบแล้ว

อา~ถุย!

ถ้าเขาทำแบบนี้ได้ก็ทำไปนานแล้ว แถมจะไม่กังวลทั้งวันทั้งคืนจนคิดเรื่องชั่วๆ กำจัดพระเอกออกมาหรอก!

ตอนที่มู่อี้ฟานสบถเย็ดแม่[6]อยู่ในใจ จู่ๆ เสียง แควก ก็ดังขึ้นมา ถุงที่ถือในมือขาดเป็นรู ของเซ่นไหว้ที่ซื้อมาก่อนหน้านั้นตกกระจายลงบนพื้น

มู่อี้ฟานได้สติกลับคืนทันที พลันเห็นจ้านเป่ยเทียนซึ่งได้ยินเสียงด้านหน้าไม่ไกลหันมามอง




[1] เงินจีนโบราณ มีลักษณะเป็นแท่งเงินปลายโค้งสองข้าง มีรูปร่างคล้ายเรือ ตรงกลางนูนกลม เป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งร่ำรวย

[2] ผู้เป็นอมตะ หรือเทพเจ้าที่ไม่มีวันตาย

[3] 轻描淡写 ชิง เหมียว ต้าน เสี่ย หมายถึง ร่างโครงไว้ แต่ไม่ได้ใส่รายละเอียด

[4] ภาษาท้องถิ่นของปักกิ่ง เป็นคำสาปแช่งที่ไม่มีคำสกปรก

[5] สมองไม่ดี โง่ หรืองี่เง่า

[6] 草泥 เฉ่า หนี หม่า หรือม้าโคลนหญ้า เป็นศัพท์แสลงในแชต ใช้แทนคำว่า 肏你妈 เช่า หนี่ มา ซึ่งหมายถึง Xแม่ของคุณ


 

บทที่ ไหว้ผิดหลุม

สายตาของจ้านเป่ยเทียนที่ตวัดมาทำเอามู่อี้ฟานตกใจ ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะเห็นอะไรเข้า เขาจึงรีบกุลีกุจอย่อตัวลงเก็บของเซ่นไหว้เพื่อกลบเกลื่อนความละอายใจในก้นบึ้งหัวใจ ขณะเดียวกันก็สัมผัสแว่นตาและหน้ากากอนามัยบนใบหน้าไปด้วย เมื่อแน่ใจว่าพวกมันยังคงอยู่บนใบหน้าอย่างปลอดภัยดี เขาจึงผ่อนลมหายใจบางส่วนออกมา

หลังจากเก็บของเสร็จก็แสร้งทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินไปที่หลุมศพที่ไม่มีใครอยู่ด้านหน้าข้างๆ กัน เริ่มจุดธูปและเทียน

ขณะที่เขากำลังสาละวนอยู่ หางตาเหล่ไปทางจ้านเป่ยเทียนอย่างเงียบๆ เห็นอีกฝ่ายละสายตาไป หัวใจดวงนั้นของเขาก็กลับลงตำแหน่งเดิม

ในตอนนี้ อารมณ์ของมู่อี้ฟานซับซ้อนมากๆ ทั้งดีใจที่หาพระเอกเจอ ทั้งวิตกกังวลอย่างรุนแรงจนวางใจวางมือลงไม่ได้ โดยเฉพาะพระเอกอย่างจ้านเป่ยเทียนที่เหมือนเพื่อนสมัยเด็กของเขาราวกับแกะ…      

แกเป็นใครทันใดนั้นเสียงอันดุดันก็ขัดจังหวะความคิดของมู่อี้ฟาน

มู่อี้ฟานหลุดจากภวังค์แล้วหันกลับไป สายตาพลันเห็นชายวัยกลางคนเอาของที่แบกอยู่บนไหล่วางลง ด้านหลังเป็นชายชราและหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง อีกทั้งยังมีชายหนุ่ม รวมทั้งเด็กหญิงตัวน้อยสองคนด้วย ดวงตาทั้งหกคู่จ้องมาที่เขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น โดยเฉพาะแว่นตาและหน้ากากอนามัยที่อยู่บนใบหน้าของมู่อี้ฟาน รูปลักษณ์อย่างโจรที่ไม่เคยเห็นแสงสว่าง ทำให้ทั้งหกคนตื่นตัวทันที

มู่อี้ฟานมองพวกเขาแวบหนึ่ง และมองไปยังหลุมศพตรงหน้า จนในที่สุดสายตาก็ตกอยู่ที่ของของชายวัยกลางคนที่ถูกวางลงก่อนหน้านี้ คิดในใจว่า หรือว่าหลุมศพตรงนี้จะเป็นบรรพบุรุษของครอบครัวพวกเขากัน     

หญิงวัยกลางคนจ้องมู้อี้ฟานเขม็งราวกับเห็นศัตรู มิหนำซ้ำสายตานั้นยิ่งดูก็ยิ่งอำมหิตขึ้นเรื่อยๆ เธอรีบเดินไปอยู่ข้างชายวัยกลางคน พูดเสียงกดต่ำว่า พ่อจ๊ะ พ่อดูสิ เขาปิดหน้าปิดตามาหลุมศพด้วย เขาคงไม่ใช่ตัวต้นเหตุที่ขับรถชนซานเอ๋อร์[1] ตายหรอกนะ

หา?      

มู่อี้ฟานตกตะลึง ถึงแม้เสียงของหญิงวัยกลางคนจะไม่ดังนัก แต่ทว่าก็สามารถได้ยินสิ่งที่เธอพูดอย่างชัดเจน พอคิดจะอธิบาย เขาก็ได้ยินเสียงชายชราโพล่งอย่างกระด้างขึ้นมาเสียก่อน ว่าไงนะ เขาเป็นคนขับรถที่ชนซานเอ๋อร์ตายเหรอ”      

หญิงวัยกลางคนฮึ่มเสียงเย็น ทำเป็นลับๆ ล่อๆ มโนธรรมคงสั่นคลอนสิท่า กลางดึกฝันถึงซานเอ๋อร์ร้องขอชีวิต ถึงได้วิ่งแจ้นมาจุดธูปล่ะสิ!”      

มู่อี้ฟานรีบร้อนอธิบาย คุณป้าท่านนี้!...

แม่งเอ้ย!      

หาหลุมศพจุดธูปตามใจชอบ สามารถประสบเรื่องโชคร้ายได้เช่นนี้ มิหนำซ้ำยังถูกคนเข้าใจผิดว่าเป็นตัวต้นเหตุที่ขับรถชนครอบครัวของพวกเขาตายอีก!      

เขาจะซวยเกินไปหน่อยรึเปล่า      

อีกอย่าง ถ้าไม่ใช่เขากลัวจ้านเป่ยเทียนจะจำได้ เขาจะทำตัวประหนึ่งโจรปกปิดไปทำไมเล่า!

เอ๊ะนี่! ใครเป็นป้าของแกกัน ช่างเป็นคนหน้าไม่อายจริงๆ อย่าคิดนะว่า แค่จ่ายเงินชดเชยมาแล้วจะทำให้พวกฉันให้อภัยแกน่ะ!หญิงวัยกลางคนแผดเสียงตะโกนด่ามู่อี้ฟาน จากนั้นก็ค้อมตัวลงหน้าหลุมศพคร่ำครวญเสียงดังลั่นขึ้นมา ซานเอ๋อร์ผู้น่าสงสารของฉัน ยังไม่ทันห้าขวบก็ถูกแก…”      

คนอื่นๆ อีกห้าคนจ้องเขาเขม็งด้วยดวงตาแดงก่ำ โดยเฉพาะชายวัยกลางคนคนนั้นที่มีความเศร้าโศกและขุ่นเคืองเต็มใบหน้า เขาวางไม้คานที่หาบอยู่ลงแล้วเดินไปที่มู่อี้ฟาน

มู่อี้ฟานรีบบ่ายเบี่ยง พวกคุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ใช่คนขับรถตัวต้นเหตุที่พวกคุณว่ามาครับ ผมแค่แค่ไหว้ผิดหลุม…”      

เอ่ยออกมาได้แค่สองคำ ข้างๆ ก็มีเสียงประทัดดังขึ้น กลบคำพูดของเขาหายไปหมดสิ้น   

ชายวัยกลางคนตีพลาด ยกไม้คานขึ้นอย่างไม่พอใจอีกครั้ง คำรามด้วยความเหี้ยมเกรียมว่า ไอ้สารเลว เหล่าจือ[2]จะหักสองขาของแกมาเซ่นซานเอ๋อร์ของฉัน!”      

มู่อี้ฟานเห็นพวกเขาไม่ฟังคำอธิบายของเขาเลย จึงวิ่งเปิดแน่บหนีไปโดยไม่ชักช้า

บางทีในใจอาจจะคิดเรื่องพระเอกมากไปหน่อย เขาจึงได้วิ่งไปทางที่จ้านเป่ยเทียนยืนอยู่




[1] เป็นชื่อเล่นเรียกลูกคนที่สามของบ้านอย่างเอ็นดู

[2] ยกตัวเองเป็น พ่อใช้ข่มคนอื่นประมาณคำว่า กู


 

บทที่ นายโดนยิง

เมื่อจ้านเป่ยเทียนได้ยินเสียงทะเลาะผสมปนเปกัน ด้วยความสงสัยจึงหันกลับไปมอง จึงเห็นใครคนหนึ่งที่สวมผ้าปิดปากและแว่นกันแดดวิ่งหนีมาทางเขา อีกทั้งข้างหลังยังมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งยกไม้คานวิ่งไล่ตามพลางด่าทอไปด้วย      

ทันใดนั้น เขาพลันจับแสงที่สะท้อนมุมสายตาจากภูเขาฝั่งตรงข้ามได้

จ้านเป่ยเทียนตื่นตระหนก แต่เขาไม่มีเวลาตอบสนอง จากนั้นก็ได้ยินเสียง ปัง ดังขึ้น เป็นเสียงกระสุนทะลุเข้าร่าง     

ต่อจากนั้น คนที่วิ่งผ่านจากข้างหน้าเขาก็ซวนเซ พลันร่างนั้นก็ล้มมาทางเขา    

จ้านเป่ยเทียนคว้าคนคนนี้โดยทันทีและก้มลงมอง บนแขนเสื้อด้านขวาของคนในอ้อมแขนมีเลือดสีแดงฉานไหลทะลักออกมา อีกทั้งยังถูกเจาะเป็นรูเล็กๆ

มันเป็นแผลจากกระสุนปืน!      

จ้านเป่ยเทียนแสดงท่าทีเคร่งขรึม รีบกอดชายหนุ่มเอาไว้แล้วหมอบตัวลงอย่างว่องไว แล้วใช้หลุมศพด้านข้างบังร่างไว้

ชายวัยกลางคนและครอบครัวของเขาไล่ตามมา เขากวัดแกว่งไม้คานขึ้นอีกครั้ง และพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า ไอ้สารเลว คอยดูเถอะว่าข้าจะฆ่าเอ็งยังไง”     

จ้านเป่ยเทียนเงยหน้าขึ้นมอง สายตาที่ดุร้ายจนดูน่ากลัวถูกส่งออกมา      

ชายวัยกลางคนถูกทำให้ตกใจกลัวจนนิ่งอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าจะยกไม้คานที่ชูอยู่เหนือหัวลงยังไง      

ต่อหน้าสายตาของชายหนุ่มคนนี้ที่ดุเดือดรุนแรงจนเกินไป เขามีลักษณะท่าทางอย่างคนที่ไม่สามารถตอแยได้ ชายวัยกลางคนจึงได้แต่กลืนน้ำลาย จากนั้นจึงหมุนตัวอย่างเร่งรีบพาคนในครอบครัวจากไปอย่างรวดเร็ว      

จ้านเป่ยเทียนก้มมองคนที่ตอนนี้ตัวอ่อนยวบอยู่ในอ้อมแขนของเขา ไถ่ถามอย่างเป็นห่วงว่า นายยังโอเคอยู่ไหม”      

เขารู้สึกว่ากระสุนที่ชายคนนี้รับ ที่จริงแล้ววิถีกระสุนคือเขาต่างหาก เพียงแต่ประมาทจนถูกชายคนนี้ขวางกระสุน และกลายเป็นว่าช่วยชีวิตเขาแทนเสียอย่างนั้น     

มู่อี้ฟานมึนๆ เบลอๆ เมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำก็เปิดดวงตาสองข้างขึ้นอย่างฝืดฝืน ยามเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยดี หัวใจก็เต้นตึกตักทันทีโดยไม่ได้ตั้งใจ และอดจะร้องเสียงหลงออกมาไม่ได้      

มู่อี้ฟานรีบกดความหวาดหวั่นและความประหม่าในใจโดยเร็ว เอ่ยถามอย่างอ่อนแรงว่า ฉันเป็นอะไรไปเหรอ”      

เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนวนเวียนอยู่ในห้องโถงของราชาแห่งยมโลก ฉับพลันแขนขวาก็เจ็บร้าวขึ้นอย่างรุนแรง ทั้งยังรู้สึกเหมือนถูกคนเฉือนท่อนแขนด้วย

ทว่าความเจ็บบนแขนกลับบรรเทาลงเร็วมาก ตอนนี้รู้สึกเจ็บเพียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น      

จ้านเป่ยเทียนพูดว่า นายโดนยิง”      

อะไรนะ ฉันถูกยิงเหรอมู่อี้ฟานมองจ้านเป่ยเทียนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา      

เขาเนี่ยนะถูกยิง ทำไมไม่รู้สึกเจ็บเลยล่ะ      

ไม่ถูกสิ!     

เมื่อครู่ในเสี้ยววินาทีนั้น เขาเจ็บจนเกือบจะตายแล้ว แต่ความเจ็บปวดที่แผลกลับบรรเทาลงเร็วมาก  

สุดท้ายแล้วมันเกิดอะไรขึ้น     

เป็นไปได้ไหมว่านี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเขาเกือบจะกลายเป็นซอมบี้ แต่ทำไมเขาถึงถูกยิงกันล่ะ     

แล้วมู่อี้ฟานก็เข้าใจเหตุผลที่แท้จริง เขาคงถูกยิงแทนจ้านเป่ยเทียนเป็นแน่

แม่งเอ้ย!      

คนเรานี่มีออร่าตัวเอกไม่เหมือนกันจริงๆ

เขายังไม่ทันฆ่าคน ก็ช่วยคนถูกยิงก่อนซะงั้น

จ้านเป่ยเทียนไม่อธิบายอะไรมากความ พวกเราออกจากที่นี่ให้ได้ก่อนเถอะ”     

ใช้ประโยชน์จากการที่ผู้คนจุดประทัดอีกครั้งในบริเวณใกล้เคียง เมื่อกลุ่มควันหนากระจาย มันได้เสริมให้พวกมู่อี้ฟานวิ่งหนีลงจากเขาได้อย่างรวดเร็ว      

มู่อี้ฟานพิงอยู่ในอ้อมกอดเขาอย่างโง่ๆ ทว่าหัวใจกลับลอบกระวนกระวาย

ตามพัฒนาการของพล็อต จ้านเป่ยเทียนจะถูกคนอื่นลอบฆ่า ส่งให้กระสุนฝังร่างจนมีอาการโคม่าท่ามกลางภูเขาและท้องทุ่ง และเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง วิญญาณก็จะได้เกิดใหม่ต่างหาก

แต่ตอนนี้เขากลับถูกยิงแทนพระเอก แถมพระเอกก็ไม่ได้มีอาการโคม่าเพราะบาดเจ็บจากกระสุน ถ้าอย่างนั้น หรือว่าวิญญาณพระเอกจะไม่ได้เกิดใหม่กัน

พัฒนาการของพล็อตจะดำเนินต่อไปอย่างไร

แล้วเขาจะกำจัดพระเอกได้อย่างราบรื่นหรือไม่


 

บทที่ เหล่าจือเป็นหนี้คุณจริงๆ

ขณะที่มู่อี้ฟานเป็นกังวลว่าพัฒนาการของพล็อตจะไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา จ้านเป่ยเทียนก็หยุดฝีเท้าลง และหยุดยืนอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานไม่ไหวติง

เขาที่สงสัยจึงหันกลับไปมอง เห็นเพียงจ้านเป่ยเทียนออกแรงส่ายหัวไปมา จากนั้นราวกับว่าได้สูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมดไป ทันใดนั้นร่างคนทั้งร่างก็ล้มหงายไปด้านหลัง

มู่อี้ฟานตกใจใหญ่ คว้าจับมือจ้านเป่ยเทียนโดยไม่รีรอ และดึงคนข้างหน้าเข้าหาตัวเอง นะ...นี่ นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม

เขาส่งเสียงเรียกติดต่อกันหลายครั้ง ทั้งยังออกแรงตบหน้าอีกฝ่าย จ้านนายเป็นไงบ้าง อย่าทำให้ฉันตกใจสิ

มู่อี้ฟานเห็นจ้านเป่ยเทียนยังไม่มีทีท่าว่าจะตอบสนองจึงระมัดระวัง และสำรวจปลายจมูกให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายยังคงหายใจอยู่หรือไม่ เขาผ่อนลมหายใจเล็กน้อย

ยังดีที่ยังไม่ตาย

แต่ว่าคนที่สมบูรณ์ดีอยู่ทุกอย่าง ทำไมถึงได้หมดสติอย่างกะทันหันกันล่ะ

มู่อี้ฟานคิดว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายจ้านเป่ยเทียน เขารีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อโทร.ไปยังศูนย์การแพทย์ฉุกเฉิน ทว่าเพิ่งกดเลขได้สองตัว เขาก็หยุดนิ่ง

เขานี่โง่จริงๆ จ้านเป่ยเทียนเป็นลมกะทันหัน ไม่ใช่โอกาสเหมาะสุดๆ สำหรับลงมือหรอกหรือ

นอกจากนั้น ถ้าเขาเดาไม่ผิดละก็ ที่จ้านเป่ยเทียนเป็นลมหมดสติไปอย่างกะทันหัน มีความเป็นไปได้มากว่าเพราะวิญญาณของเขาจะต้องเกิดใหม่เป็นแน่ ดังนั้น เขาจะต้องกำจัดจ้านเป่ยเทียนก่อนที่จะเกิดใหม่

คุณผู้ชาย ต้องการให้ช่วยอะไรไหมครับคนที่กำลังกวาดสุสานอยู่บริเวณใกล้เคียงสอบถามอย่างห่วงใย

มู่อี้ฟานดึงสติกลับมาและส่ายหัวโดยทันที ไม่ครับ ไม่ต้อง เพื่อนผมเขาแค่เป็นลมแดดเท่านั้น

ที่นี่มีคนเยอะเกินไป ไม่เหมาะจะลงมือกับอีกฝ่าย เขารีบแบกจ้านเป่ยเทียนที่สูงหนึ่งร้อยเก้าสิบอัพวิ่งลงเขาอย่างรวดเร็ว

พอมู่อี้ฟานหารถตัวเองเจอ เขาใช้กำลังอย่างมากเพื่อโยนคนเข้าไปที่เบาะหลัง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เช็ดเหงื่อบนหน้าผากออก สบถเสียงต่ำว่า ย่ามันเถอะ! เหล่าจือเป็นหนี้คุณจริงๆ แล้ว

มีใครอนาถเท่าเขาบ้างวะ

เห็นชัดๆ ว่าเขาต้องการกำจัดพระเอก แต่กลับกลายเป็นว่าไปรับกระสุนแทนพระเอกเสียอย่างนั้น ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาที่ดีสำหรับการฆ่าพระเอกที่อยู่ในอาการโคม่าก็เถอะ แต่ทว่าเขายังต้องทำงานหนักอย่างการแบกพระเอกลงเขา มิหนำซ้ำยังต้องเลือกสถานที่ที่ไร้ผู้คนเพื่อเคลียร์ปัญหาอีก

เหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงต้องระมัดระวังขนาดนี้น่ะหรือ ไม่มีอะไรนอกจากที่เขากังวลว่า หลังจากพระเอกตายแล้ว ไม่เพียงตัวเขาจะไม่กลับไปยังความเป็นจริง ในทางกลับกันอาจถูกขังอยู่ในคุก และใช้ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ในคุกแทน ถ้าแบบนั้นก็เป็นการได้ไม่คุ้มเสียแล้วล่ะ

หวังว่านายจะยังไม่ตื่นก่อนที่ฉันจะถึงบ้านนะ

ก่อนพลบค่ำ มู่อี้ฟานขับรถกลับวิลลาที่เขาอาศัยอยู่ หลังจากนั้นจึงนำคนเคลื่อนย้ายเข้าไปในห้องโถง แล้วโยนอีกฝ่ายลงบนโซฟา

เขาตบหน้าจ้านเป่ยเทียนเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ตื่นขึ้น แล้วดำเนินการตามแผนเพื่อฆ่าพระเอกโดยเร็ว

มู่อี้ฟานสแกนห้องโถงเพื่อดูว่ามีเครื่องมือใช้ฆ่าคนหรือไม่ ในไม่ช้า สายตาของเขาก็ตกอยู่ที่มีดปอกผลไม้บนโต๊ะ

เขาถลาไปหยิบมีดปอกผลไม้อย่างว่องไว และยกมันขึ้นปุบปับ อย่างไรก็ตาม พอมองใบหน้าหล่อเหลาที่เหมือนเพื่อนสมัยเด็กทุกประการ มีดปอกผลไม้ก็ลดลงไป และทำต่อไม่ลง

ใจจริงเขาไม่อยากจะลงมือสักนิด ในชีวิตจริง เขาและจ้านเป่ยเทียนเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันจนไม่สามารถดีไปกว่านี้ได้อีกแล้ว หากมีปัญหาอะไร จ้านเป่ยเทียนล้วนออกรับแทนเขา มีอะไรกวนใจก็เป็นจ้านเป่ยเทียนนั่นแหละที่จัดการให้ เจ้าหมอนี่ยังเจ็บเพื่อเขามากกว่าพี่ชายที่เป็นญาติของเขาเสียอีก แล้วนี่จะให้เขาลงมือได้ยังไง

แต่ว่าถ้าเขาไม่ฆ่าจ้านเป่ยเทียนก็จะกลับไปโลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้ นอกจากนั้น เขาจะรับการทรมานอันโหดเหี้ยมจากพระเอกได้อย่างไร

พอมู่อี้ฟานคิดถึงตรงนี้ เขาก็ทำใจกล้ายกมีดปอกผลไม้ขึ้นเพื่อฆ่าคนตรงหน้าอีกครั้ง

พี่น้องเอ๋ย ที่จริงฉันไม่ได้อยากฆ่านายเลยสักนิด รอฉันกลับสู่ความเป็นจริง ฉันจะดีต่อนายอย่างแน่นอนเขาจูบลงที่หน้าผากจ้านเป่ยเทียนอย่างแนบแน่นจนมีเสียงจุ๊บดังออกมา

มู่อี้ฟานเอามือเช็ดขา ใช้กางเกงเช็ดเหงื่อกลางฝ่ามือ ต่อจากนั้นก็หายใจเข้าลึกๆ ยกมีดปอกผลไม้ขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้ฉันอยู่ในนิยาย ตอนนี้ฉันอยู่ในนิยาย คนคนนี้เป็นของปลอม เป็นของปลอม ขอแค่ฆ่าเขาได้ ฉันก็จะกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง…”

เขาหลับตา สองมือสั่นสะท้าน พยายามสะกดจิตตัวเองอย่างเต็มที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าเป็นของปลอม

เวลาผ่านไปพอสมควร มู่อี้ฟานทำใจกล้าบ้าบิ่น เล็งมีดที่หัวใจของจ้านเป่ยเทียนแล้วแทงลงไป


 

บทที่ มันทำให้เหล่าจือตกใจนะ

เวลาผ่านไปพอสมควร มู่อี้ฟานทำใจกล้าบ้าบิ่น เล็งมีดที่หัวใจของจ้านเป่ยเทียนแล้วแทงลงไป

แค่ได้ยินเสียง ฉึก ซึ่งเป็นเสียงมีดที่แทงไป

มู่อี้ฟานรู้สึกหวาดผวาและปล่อยมีดปอกผลไม้อย่างรวดเร็ว ไม่กล้าลืมตามองความเป็นความตายของจ้านเป่ยเทียน เพราะกลัวที่จะเห็นศพ หรือดวงตาที่โกรธแค้นของเขา

ทันใดนั้นเสียงกดออดได้ดังขึ้น ขู่ขวัญเขาจนต้องลืมตาสะดุ้งโหยงขึ้นมา เมื่อเห็นว่าตรงโซฟาที่แทงมีดปอกผลไม้ลงไปกลับว่างเปล่าไร้ผู้คน ทั้งร่างจึงก้าวถอยหลังไปหลายก้าวอย่างตกใจจนเกือบจะหกล้มไปกับพื้น

คนล่ะ!?

มู่อี้ฟานรีบกวาดตามองไปรอบๆ ไม่มีเงาของจ้านเป่ยเทียนเลย เขาจึงอดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ว่า ทำไมไม่เห็นล่ะ

หรือจะหนีไปตอนที่เขาหลับตาอยู่

แต่ทำไมเขาถึงไม่ได้ยินเสียงฝีเท้ากับเสียงเปิดประตูออกไปเลยล่ะ

ไม่สิ! ไม่มีทางที่จ้านเป่ยเทียนจะหนีไปได้แบบนี้ ถ้าเขาเห็นตนเองถือมีดจะฆ่าเขา ย่อมจับตัวเองและชิงมีดไปเป็นแน่

มู่อี้ฟานเหมือนคิดถึงอะไรขึ้นมาได้ ดวงตาพลันเปล่งประกาย

วิญญาณของจ้านเป่ยเทียนสมควรย้อนกลับมาแล้ว อีกทั้งยังนำมิติส่วนตัวกลับมาหนึ่งเดือนก่อนวันสิ้นโลก กล่าวคือ เป็นไปได้สูงที่วิญญาณจ้านเป่ยเทียนจะตอบสนองต่ออันตราย จึงถูกดึงเข้าไปในมิติ

ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ จ้านเป่ยเทียนก็ไม่น่าเห็นตนเองกำลังจะฆ่าเขา ไม่อย่างนั้นจ้านเป่ยเทียนคงไม่หายไปต่อหน้าต่อตาเขา และเรื่องมิติส่วนตัวนี้คงแตกออกมาแล้ว

ในเวลานี้ เสียงออดดังขึ้นอีกรอบ

มู่อี้ฟานที่หลุดจากภวังค์ สบถอย่างอารมณ์เสียว่า กดอะไรกันนักหนาวะ มันทำให้เหล่าจือตกใจนะ แกไม่รู้เหรอ

น่าเสียดายที่ที่เก็บเสียงของวิลลานั้นดียิ่ง คนข้างนอกจึงไม่ได้ยินเสียงสบถของเขาเป็นธรรมดา

มู่อี้ฟานถอนมีดปอกผลไม้ออกจากโซฟา บนนั้นไม่มีคราบเลือดเลย อย่างนั้นหมายความว่าเขาไม่ได้แทงจ้านเป่ยเทียนสินะ

เขาพ่นลมหายใจ ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองควรโล่งใจที่ยังไม่ได้ฆ่าใคร หรือควรรู้สึกหวาดวิตกที่จ้านเป่ยเทียนย้อนกลับมากันแน่

เนื่องจากเคยถูกล้างบาปในวันสิ้นโลก จ้านเป่ยเทียนจึงเป็นคนที่เคร่งขรึม ระมัดระวังและหวาดระแวงเป็นพิเศษ คนที่สามารถเข้าใกล้เขาในระยะหนึ่งเมตรมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ซึ่งไม่ต้องพูดถึงความเชื่อใจจากเขา มันได้มลายหายสิ้น ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากมากสำหรับการหาโอกาสฆ่าเขาในอนาคตต่อไป

มู่อี้ฟานไม่มีเวลาพอให้คิดลึกซึ้งก็ถูกเสียงออดหน้าประตูขัดจังหวะความคิดต่อ

เขาอารมณ์เสียโยนมีดลงในตะกร้าผลไม้แล้วเดินไปทางประตู มองผ่านตาแมวจึงเห็นว่าคนที่มานั้นคือหลี่ชิงเทียนนั่นเอง เรื่องนี้นึกย้อนกลับไปช่วงเช้า เขาขอให้หลี่ชิงเทียนมาตรวจสุขภาพช่วงค่ำนี่นะ

มู่อี้ฟานเปิดประตูให้หลี่ชิงเทียนเข้ามา พูดเบาๆ ว่า ไปที่ห้องรับรองแขก

เหตุที่ไม่ให้หลี่ชิงเทียนอยู่ในห้องโถง เพราะกังวลว่าเมื่อจ้านเป่ยเทียนออกจากมิติส่วนตัวแล้วจะทำให้หลี่ชิงเทียนเห็นเข้า

หลี่ชิงเทียนประหลาดใจเมื่อเห็นว่ามู่อี้ฟานยังสวมหน้ากากอนามัยและแว่นกันแดด ทั้งอยากรู้เต็มทีว่า ทำไมพวกเขาต้องไปที่ห้องรับรองแขก

มู่อี้ฟานมายังห้องรับรองแขกและไม่ได้ปิดประตู เขาถอดเสื้อผ้าออกพลางพูดว่า ก่อนอื่นมาถอนกระสุนตรงแขนให้ฉันก่อน

หลี่ชิงเทียนเห็นรูกระสุนบนแขน สายตาจึงเคร่งเครียด ไม่กล้าถามมากความ เขารีบเปิดกล่องยา หยิบเอายาชา ยาห้ามเลือดและคีมหนีบผ้ากอซออกมา

มู่อี้ฟานไม่ได้มองหลี่ชิงเทียน เขานั่งครุ่นคิดอยู่บนโซฟา หลังจากแพทย์ประจำตระกูลมู่เอากระสุนออกมาแล้ว คนที่นั่งพลางเอ่ยขึ้นว่า ขอรบกวนนายสักเรื่องสิ


 

บทที่ นายแค่โกหกเขา

หลี่ชิงเทียนถามด้วยความกังวลใจตงิดๆ ว่า ระ...เรื่องอะไรครับ”    

เขารู้สึกว่านายน้อยในวันนี้ต่างไปจากเดิมมาก

ในอดีต เมื่อคุณชายใหญ่เห็นหลี่ชิงเทียน เขาจะนึกถึงเรื่องที่ตัวเองเป็นมะเร็งกระดูกทันที ดังนั้น เขาจึงโมโหง่ายมาก ทว่าคุณชายใหญ่ในวันนี้กลับใจเย็นอย่างยิ่ง และเหมือนเปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน

มู่อี้ฟานหลุบเปลือกตาลง นายก็รู้ แต่ละวันฉันเหงามากแค่ไหนที่อยู่ในวิลลาคนเดียว เพราะอย่างนั้นฉันเลยอยากรับเพื่อนมาอยู่ด้วยกันกับฉันที่นี่ไงล่ะ…”

หลี่ชิงเทียนเห็นมู่อี้ฟานในตอนนี้น่าสงสารยู่บ้าง จึงอดพูดอย่างใจอ่อนไม่ได้ว่า ถ้าอย่างนั้นคุณชายใหญ่ก็พูดกับเขาไปตรงๆ สิครับ

มู่อี้ฟานส่ายหัว ถึงจะบอกไปตรงๆ มากสุดเขาก็อยู่เป็นเพื่อนฉันได้ไม่กี่วันเท่านั้น

แล้วคุณคิดว่า…”

มู่อี้ฟานเงยหน้ามองหลี่ชิงเทียนอย่างกะทันหันและเอ่ยขอร้อง หมอหลี่ นายแค่โกหกเขา โกหกเขาว่าฉันเหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว เขาจะต้องมาอยู่เป็นเพื่อนฉันแน่ ฉันไม่ต้องการให้เขามาอยู่เป็นเพื่อนนานหรอก นายบอกไปแค่ว่าเดือนเดียว บอกว่าฉันมีชีวิตได้มากที่สุดอีกแค่เดือนเดียวก็พอแล้ว

หลังหนึ่งเดือนก็เป็นวันสิ้นโลก ดังนั้น ภายในหนึ่งเดือนเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ความเชื่อใจของพระเอก และหาโอกาสเอาชีวิตพระเอกไปด้วย

หากไม่อาจกำจัดพระเอกได้ก่อนวันสิ้นโลก เช่นนั้นเขาก็จำเป็นต้องหาที่หลบซ่อนตัว เพราะเมื่อเขากลายเป็นซอมบี้อย่างเป็นทางการแล้ว ในช่วงแรกร่างกายจะแข็งทื่ออย่างมาก และทำให้ถูกพระเอกค้นพบตัวตนได้โดยง่าย

หลี่ชิงเทียนรู้สึกเห็นใจ จึงตอบกลับอย่างเห็นด้วย ตกลงครับ

เดิมทีเขาก็เก็บความรู้สึกผิดต่อมู่อี้ฟานไว้ในใจอยู่แล้ว เนื่องจากคุณชายรองตระกูลมู่ให้เงินเขามาก้อนหนึ่ง โดยให้เขาฉีดไวรัสน่าสยดสยองใส่ร่างของมู่อี้ฟานอย่างลับๆ ว่ากันว่าไวรัสชนิดนี้สามารถเร่งการลุกลามของมะเร็งกระดูกได้ ซึ่งในไม่ช้ามันก็ใกล้จะคร่าชีวิตของมู่อี้ฟานแล้ว ดังนั้น หากมู่อี้ฟานปรารถนา หลี่ชิงเทียนย่อมทำสุดความสามารถเพื่อให้เขาพึงพอใจ

มุมปากมู่อี้ฟานโค้งขึ้น

เช้าวันนี้ที่เขาให้หลี่ชิงเทียนมาตรวจสุขภาพเขาในตอนค่ำแทนนั้น มันเป็นเพราะเขากังวลว่าจะไม่ได้ฆ่าจ้านเป่ยเทียน แต่ตรงกันข้ามกลับได้รับบาดเจ็บจากคนที่ถูกส่งมาแทนจ้านเป่ยเทียนในปัจจุบันซะงั้น ไม่คิดเลยว่ามันจะยังมีประโยชน์อื่นขนาดนี้

จากนั้นเขานึกอะไรขึ้นมาได้อีกจึงเอ่ยว่า ใช่แล้ว ฉันอยากให้นายใช้ผ้ากอซพันรอบใบหน้าฉันหน่อย ยิ่งสาหัสเท่าไรยิ่งดี แบบนี้เพื่อนของฉันถึงจะใจอ่อนขึ้น

หลี่ชิงเทียนตอบกลับทันที โอเคครับ

เมื่อใบหน้าของมู่อี้ฟานพันมาถึงครึ่งหนึ่ง ทันใดนั้นบนโซฟาในห้องโถงพลันปรากฏเงาร่างสูงออกมากลางอากาศ เขากวาดมองทุกอย่างในห้องโถงอย่างเย็นชา สายตาเย็นเยือกราวกับน้ำแข็งเสียดแทงผู้คนจนเหน็บหนาว ต่อมากลับมีความสงสัยวาบผ่านดวงตา

จ้านเป่ยเทียนพบว่าความทรงจำของตัวเองสับสนมาก

ที่แน่ๆ เขาจำได้ว่าตัวเองถูกราชาซอมบี้มู่อี้ฟานฆ่าตาย แต่ทำไมตอนนี้เขาถึงยังมีชีวิตอยู่กันล่ะ

หรือว่าเขาจะถูกคนอื่นช่วยไว้ หรือว่าเขาตายแล้วคืนชีพ หรือว่าจะกลับมาเกิดใหม่

นอกจากนี้ ทำไมถึงมีความทรงจำแปลกๆ บางส่วนในหัวของเขาด้วย

จ้านเป่ยเทียนก้มหัวลงมองสไตล์การแต่งตัวของตนเอง หลังจากนั้นหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เวลาที่แสดงบนนั้นคือวันที่ 5 เดือน 4 ปี 2014 เวลา 19.43 น.

รูม่านตาเขาเบิกขึ้นเล็กน้อย เวลานี้ไม่ใช่ช่วงหนึ่งเดือนก่อนวันสิ้นโลกเหรอ

เหตุผลที่เขาจำวันนี้ได้นั้น เป็นเพราะว่าถูกคนอื่นลอบสังหารตอนที่เขาไปหมู่บ้านสุ่ย เมือง G เพื่อเซ่นไหว้สหายร่วมรบของเขา กระสุนฝังอยู่ในร่าง และตกอยู่ในอาการโคม่าท่ามกลางภูเขาและท้องทุ่ง

แต่ทว่าในความทรงจำของเขาตอนนี้ จู่ๆ กลับมีคนมาขวางกระสุนแทนเขา!

สุดท้ายนี้มันเกิดอะไรขึ้น

ในใจจ้านเป่ยเทียนแอบตกใจ ยังไม่ทันคิดอย่างละเอียดก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังออกมาจากห้องด้านหน้า


 

บทที่ นายเป็นใคร

นายน้อยครับ ต้นขาของคุณบวมขึ้นไม่หยุดเลยนะครับ หมายความว่าโรคมะเร็งกระดูกของคุณนับวันยิ่งอาการแย่ลง ถ้าคุณไม่ไปรักษาในโรงพยาบาลอีกละก็ ผมเกรงว่า…” หลี่ชิงเทียนตรวจขามู่อี้ฟานไปด้วยขณะพูด หลังพูดจบเขาก็หยุดลง อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องพูดถึงผลลัพธ์ออกมาด้วยซ้ำ เขาเชื่อว่ามู่อี้ฟานก็รับรู้ถึงความร้ายแรงของมันดี

มู่อี้ฟานมองต้นขาขวาที่บวมเล็กน้อย แล้วตอบกลับอย่างเยือกเย็น ฉันรู้แล้วน่าไม่ใช่ว่าเขาไม่กังวล แต่เขารู้ว่าหลังจากที่ร่างกายนี้ถูกฉีดไวรัสแล้ว มะเร็งกระดูกจะหยุดลุกลาม เนื่องจากไวรัสได้ครอบคลุมไปทั่วร่าง ทำให้ระบบร่างกายทั้งหมดหยุดทำงาน

นี่ก็แปลว่าเขาจะต้องกลายเป็นซอมบี้อย่างแน่นอน หากในตอนนี้เขาอยากจะตายก็คงไม่ง่ายเท่าไรนัก

หลี่ชิงเทียนเก็บกล่องยา นายน้อย ผมกลับแล้วนะครับ ถ้าคุณต้องการอะไรก็โทร.หาผมนะครับ

อืม

เมื่อหลี่ชิงเทียนออกจากห้องรับรองแขก เขาก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงยืนอยู่หน้าโซฟาด้วยท่าทีเมินเฉย เขาว้าวุ่นใจเล็กน้อย คิดในใจว่าชายคนนี้มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นเพื่อนที่มู่อี้ฟานได้เอ่ยถึงก่อนหน้านั้น เขาผงกหัวให้อีกฝ่ายอย่างสุภาพเป็นกันเอง

หลังจากนั้นเขาเดินไปข้างหน้า ลดระดับเสียงพลางถอนใจว่า คุณคงเป็นเพื่อนของนายน้อยสินะครับ มีบางคำที่ผมไม่รู้ว่าควรพูดไหม โรคมะเร็งกระดูกของนายน้อยนับวันยิ่งมีอาการแย่ลงเรื่อยๆ อย่างมากที่สุดเขาคงทนได้อีกแค่เดือนเดียวเท่านั้น คุณเป็นเพื่อนของเขาก็อยู่เป็นเพื่อนเขาจนกว่าจะถึงวันสุดท้ายเถอะนะครับ

เขาถือว่านี่ไม่ได้เป็นการหลอกลวงผู้ชายคนนี้เสียทีเดียว ในสายตาเขา อาการป่วยของมู่อี้ฟานนับวันยิ่งหนักหนาสาหัสขึ้นจริงๆ

จ้านเป่ยเทียนเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา เดินไปที่ประตูห้องรับรองแขก และเห็นคนที่พันทั้งใบหน้าอย่างกับมัมมี่นั่งอยู่บนโซฟาก้มมองต้นขาบวมฉึ่งของตัวเอง

เมื่อมู่อี้ฟานได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังชายหนุ่มที่หน้าประตูจนทำเอาเขาอดสะดุ้งไม่ได้

เปลี่ยนไปแล้ว!

จ้านเป่ยเทียนเปลี่ยนไป เขาแตกต่างจากก่อนหน้านั้นอย่างที่คิดไว้จริงๆ กลิ่นอายเยือกเย็นได้ปลดปล่อย คนแปลกหน้าอย่าเข้าใกล้ ตั้งแต่หัวจรดเท้าออกมา นัยน์ตาคู่ดำขลับราวกับเหวลึกอันมืดมิดที่ลึกสุดหยั่ง มองคนก็เหมือนมองคนตายก็ไม่ปาน พาลให้ผู้คนอดสั่นสะท้านไม่ได้

สำหรับมู่อี้ฟานบอกได้เลยว่า นี่คือจ้านเป่ยเทียนที่ส่งสัญญาณการเกิดใหม่ออกมา

เขารีบคืนสติแล้วแสร้งทำเป็นดีใจขณะพูดว่า ในที่สุดนายก็ตื่นสักที เมื่อกี้ฉันยังคิดอยู่เลยว่าจะให้หมอหลี่ตรวจร่างกายนายแทนดีไหมอยู่เลย นายรู้ไหมว่านายน่ะเป็นลมมาก่อนหน้านั้น มันทำเอาฉันตกใจจริงๆ

ตอนที่เล่า มู่อี้ฟานไม่ลืมลดระดับเสียงลงเพื่อไม่ให้จ้านเป่ยเทียนฟังออก

จ้านเป่ยเทียนไม่ได้พูดอะไร จ้องมองมู่อี้ฟานอย่างไม่ละสายตา เขาคิดว่าคนผู้นี้ซึ่งเปิดเผยดวงตาคู่ที่อยู่นอกผ้าพันแผลนั้นค่อนข้างคุ้นเคยดี แต่เขาคิดไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน

อันที่จริงมันไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาคิดไม่ออก ก่อนที่เขายังไม่ได้เกิดใหม่นั้น ตอนที่มู่อี้ฟานตัวจริงมองเขา ดวงตาแลดุร้ายจะกินเลือดกินเนื้อ เบ้าตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงก่ำราวกับปีศาจทั่วไป

แต่สายตามู่อี้ฟานที่มองเขาต่อหน้าในตอนนี้ไร้ความเป็นศัตรูอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้เขาจะมีความอ่อนโยนอยู่บ้าง หรือต่อให้เขาคิดจนสมองแทบแตกก็คาดไม่ถึงว่าคนตรงหน้านี้จะเป็นราชาซอมบี้มู่อี้ฟานในวันสิ้นโลก

มู่อี้ฟานเห็นจ้านเป่ยเทียนจ้องตัวเองตลอดโดยไม่พูดอะไรเลย จึงกังวลว่าเขาจะเห็นอะไรหรือเปล่า เปลือกตาหลุบต่ำลง สัมผัสผ้าพันแผลบนใบหน้าแล้วฝืนยิ้ม นายคิดว่าฉันพันหน้าแบบนี้มันแปลกมากใช่ไหมล่ะ อันที่จริงมันเป็นเพราะว่าฉันใช้ยาเกินขนาด ผิวหนังเลยเกิดอาการแพ้ ฉันเพิ่งจะพันมันเมื่อกี้เอง

อา~อา!

เอาจริงๆ เขากลัวตัวเอกเห็นใบหน้าจริง และเอามีดมาฟันเขานั่นแหละ เมื่อกี้เขาเลยเอาผ้าพันหน้าไว้อย่างนี้

แน่นอนว่าที่เขาพันมันแบบนี้ยังมีจุดประสงค์อื่นด้วย นั่นก็คือการพันหน้าด้วยผ้าพันแผลนั้นสะดวกกว่าการสวมหน้ากากอนามัยยังไงล่ะ อย่างน้อยเมื่อเขาอยากกินอะไรสักอย่างก็ไม่จำเป็นต้องเอาผ้าออก และตัวตนของเขาก็จะไม่ถูกพระเอกพบด้วย

นายเป็นใคร


 

บทที่ พรสวรรค์ในการแสดง

นายเป็นใครจ้านเป่ยเทียนใช้น้ำเสียงเยือกเย็นถาม

ถึงแม้ใบหน้าอีกฝ่ายถูกพันจนแน่น แต่ก็พอแยกแยะจากกางเกงขายาวและรองเท้า รวมทั้งบาดแผลบนแขนขวาได้อยู่ อีกฝ่ายก็คือคนที่ถูกเพิ่มเข้ามาในความทรงจำของเขากะทันหัน และรับกระสุนแทนเขาโดยบังเอิญนั่นเอง

ฉันเหรอสมองมู่อี้ฟานหมุนเร็วจี๋ ตอบกลับว่า ฉันแซ่มู่ มู่จาก ซู่มู่[1] ชื่อเต็มคือ มู่มู่

ทีแรกเขาอยากเปลี่ยนแซ่ด้วยซ้ำ แต่ถ้าเพื่อนใกล้บ้านเรือนเคียงเห็นเขาแล้วตะโกนเรียกคุณมู่ล่ะ คงจะดีกว่าถ้าเลือกแซ่ที่มีเสียงพ้องกัน สำหรับชื่อมู่มู่นั้น มันเป็นเพราะว่านี่คือชื่อเล่นของเขา ญาติพี่น้องและเพื่อนสนิทต่างเรียกเขาด้วยชื่อนี้

ขอบคุณจริงๆ ที่นายขวางครอบครัวนั้นแทนฉันนะ ไม่อย่างนั้น ฉันอาจถูกพวกเขาทำร้ายได้ และขอบคุณมากๆ ที่ตอนฉันถูกยิงอย่างปริศนาแล้วนายพาฉันลงเขา ตอนหลังนายดันหมดสติปุบปับอีก ฉันน่ะอยากส่งนายไปโรงพยาบาล แต่ว่า…”

มู่อี้ฟานแตะต้นขาที่บวมช้ำ เอ่ยอย่างขออภัยว่า ฉันน่ะไม่ชอบไปโรงพยาบาล เพราะอย่างนั้นเลยพานายกลับบ้านแล้วให้แพทย์ประจำตัวตรวจให้แทน ใช่แล้ว! ไม่ทราบคุณผู้ชายชื่ออะไรล่ะ

จ้านเป่ยเทียนเขาตอบห้วนๆ เหล่ตามองและถามกลับว่า ครอบครัวนั้นทำร้ายนายทำไม?”

ในความทรงจำก่อนหน้านั้นของเขา ตอนที่เขาเซ่นไหว้เพื่อนร่วมรบอยู่ ที่จริงแล้วแถวๆ หลุมศพมีครอบครัวหนึ่งอยู่ ในขณะนั้น พวกเขาร้องไห้อย่างใจสลายอย่างยิ่ง ดังนั้น พวกเขาเลยดึงดูดให้เขาสนใจได้ แต่ที่แน่ๆ ไม่มีผู้ชายที่ชื่อมู่มู่คนนี้ปรากฏแน่นอน

ไม่มีทางที่มู่อี้ฟานจะบอกเหตุผลที่แท้จริง และเขาก็ไม่อาจนำเรื่องหลุมฝังศพผิดมาแก้ต่างตัวเองได้ นอกจากจ้านเป่ยเทียนไม่เชื่อแล้ว กลับจะทำให้เกิดความสงสัยขึ้นมา

เขาจำต้องพูดด้วยใบหน้าสำนึกผิดอย่างช่วยไม่ได้ ฉันประมาทขับรถชนลูกชายพวกเขาตาย เลยอยากแอบไปจุดธูปให้เด็กคนนั้นน่ะ ไม่คิดเลยว่าเรื่องหลังจากนั้นก็อย่างที่นายรู้นั่นแหละ

แม่มันเถอะจริงๆ!

ใครเขาจะเอาเรื่องเลวๆ โยงเข้าหาตัวเองบ้างฮะ

เขาว่าคนปัญญาอ่อนมักทำแต่เรื่องโง่ๆ ก็คงจะจริงอย่างว่า

หวังว่าความประทับใจดีๆ ที่พระเอกมีต่อเขาคงไม่ลดฮวบลงเพราะเรื่องนี้หรอกนะ

จ้านเป่ยเทียนจ้องมู่อี้ฟานนิ่ง ราวกับอยากดูจากใบหน้าเขาว่า คนข้างหน้าไม่ได้พูดโกหกแต่อย่างใด หลังจากฉันสลบไป นายคงไม่ได้เห็นฉันหาย…”

เห็นอีกฝ่ายมองเขาด้วยสีหน้าว่างเปล่า เขาจึงรีบเปลี่ยนคำถามอย่างเร็ว นายอยู่ที่นี่คนเดียว?”

อื้อ

นายรับกระสุนนัดนี้แทนฉัน ดังนั้น ก่อนที่นายจะหายดี ฉันจะดูแลนายอยู่ที่นี่เอง แล้วก็ขอยืมห้องครัวนายใช้หน่อยสิ

จ้านเป่ยเทียนไม่รอมู่อี้ฟานตอบกลับ เขาหมุนตัวออกจากห้องรับรองแขก เหตุที่เขาพักอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพียงเพราะชายคนนี้รับกระสุนแทนเขาเท่านั้น แต่เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เรื่องหลังจากนั้นมันเกิดอะไรขึ้น

มู่อี้ฟานเห็นจ้านเป่ยเทียนออกไป พลันผ่อนลมหายใจออกมา ดวงตาของจ้านเป่ยเทียนแหลมคมเกินไปจริงๆ ร่ำๆ เกือบจะต้านทานไม่อยู่ด้วยซ้ำ

เขาทรุดทั้งตัวลงบนโซฟา พูดเย้ยหยันตัวเอง ฉันเพิ่งพบว่าตัวเองเนี่ยไร้พรสวรรค์ในการแสดงชะมัดเลย

แต่อย่างน้อยจ้านเป่ยเทียนก็ไม่สงสัยเขา

อย่างไรก็ตาม ตามความเข้าใจที่เขามีต่อจ้านเป่ยเทียนนั้น ถึงแม้คนคนนี้ไม่ได้มีความสงสัยต่อเขา แต่ย่อมเกิดความอยากรู้อยากเห็นเป็นแน่ และในสิบวัน หรือครึ่งเดือนต่อจากนี้ เขาคงตัดสินใจจะไม่ออกไปไหน




[1] แปลว่า ต้นไม้


 

บทที่ 10 คืนนี้ฉันจะนอนกับนาย

จ้านเป่ยเทียนกลับถึงห้องโถง เขาเปิดทีวีเป็นอย่างแรก เพื่อให้แน่ใจว่าปัจจุบันตัวเองได้ย้อนกลับมาก่อนวันสิ้นโลกปี 2014 จริงๆ จากนั้นก็หันกลับไปยังห้องครัวเพื่อหาของกิน

ในเวลานี้ สมองของเขาสับสนอยู่บ้าง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันสิ้นโลกนั้นราวกับฝันร้ายตื่นหนึ่ง แต่ถ้านั่นเป็นความฝัน แล้วมิติที่ติดตัวมาอีกล่ะจะอธิบายยังไง

ยังมี

จ้านเป่ยเทียนยกแขนซ้ายขึ้น บนฝ่ามือพลันปรากฏประกายกระแสไฟฟ้าสีม่วงอมแดงขึ้นทันที นี่เป็นหนึ่งในความสามารถต่างๆ ที่เขาได้รับหลังจากวันสิ้นโลก

ถ้าไม่ใช่ว่าฝันไป เช่นนั้นเขาก็เกิดใหม่เหรอ

แต่ว่าถ้าเกิดใหม่จริงๆ เขาไม่ควรจะพบชายที่ชื่อมู่มู่สิ อย่าบอกนะว่าเขาเกิดใหม่ในโลกคู่ขนานน่ะ

ทันใดนั้น จ้านเป่ยเทียนรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของมิติในร่างเขา

เขาหลับตาลงอย่างฉงน ใช้พลังพิเศษกวาดมองมิติ ต่อมาเขายกมือขวาขึ้น ลูกปัดสีแดงลูกหนึ่งปรากฏขึ้นในมือขวาของเขา

หลังจากนั้น ลูกปัดสีแดงได้ลอยขึ้น แล้วบินหนีออกจากห้องครัวด้วยความเร็วที่เร็วที่สุดพุ่งเข้าไปยังห้องรับรองแขก

ขณะที่มู่อี้ฟานในห้องรับรองแขกกำลังมึนงงอยู่นั้น มุมหางตาก็ยึดจับแสงสีแดงที่ลอยเข้ามาติดๆ กันไป ยังไม่ทันได้ทำอะไร แสงสีแดงก็ ฟิ้ว ลงมาราวฟ้าแลบวาบผ่านตรงมาทางเขาเสียแล้ว 

ในเวลาต่อมา มู่อี้ฟานก็รู้สึกว่ามีวัตถุแข็งๆ พุ่งเข้าปากเขาเข้าไปในลำคอ ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ รู้สึกไม่สบายจนต้องไอค่อกแค่กออกมา

จ้านเป่ยเทียนหน้าตึงก้าวฉับๆ วิ่งเข้าไปในห้องรับรองแขก กวาดตามองทั่วทั้งห้อง ทว่าไม่เห็นร่องรอยของเจ้าลูกปัดสีแดงเลย แต่กลับเห็นมู่อี้ฟานยกมือข้างหนึ่งปิดปากแทน อีกทั้งมือข้างนั้นยังจับบนลำคอ เขาไอออกมาไม่หยุดเหมือนกับถูกของบางอย่างทำให้สำลัก

 




มู่อี้ฟานไอไปหลายครั้ง ก่อนจะรู้สึกว่าลำคอสบายขึ้น เมื่อเห็นจ้านเป่ยเทียนยืนอยู่หน้าประตู เขาจึงอดพูดสักประโยคไม่ได้ว่า เมื่อกี้มีอะไรก็ไม่รู้พุ่งเข้าปากฉันล่ะ

ดวงตาจ้านเป่ยเทียนมืดครึ้มลง เขาเดินเข้ามาก่อนจะนั่งลง อ้าปาก

มู่อี้ฟานมองเขาอย่างมึนงง อ้าปากอย่างว่าง่าย

จ้านเป่ยเทียนยกมือขวาอย่างไว ง้างปากล้วงคอหอยของเขา

อ้วก!มู่อี้ฟานอ้วกออกมาทันที หลังจากนั้นก็อาเจียนน้ำย่อยสีเหลืองออกมา

เขาใช้มือเช็ดปากอย่างโกรธๆ นายทำบ้าอะไรฮะ!

จ้านเป่ยเทียนพูดเสียงเย็น สิ่งที่นายกลืนเข้าไปสำคัญกับฉันมาก

มู่อี้ฟานมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง ฉันกลืนอะไรลงไปล่ะ

เขาเคยเห็นเงาสีแดงวาบผ่านมาก่อนหน้านี้ แต่ไม่ได้ใส่ใจสักนิดว่ามันคืออะไร

จ้านเป่ยเทียนไม่สามารถอธิบายกับเขาได้ว่าของสิ่งนั้นคืออะไร เขาพลันลุกขึ้น เอ่ยเสียงเข้มว่า ฉันให้เวลานายครึ่งชั่วโมง ไม่ว่าจะขากหรือจะควักก็ช่าง นายต้องทำทุกวิถีทางเพื่อจัดการเอามันออกมาให้ฉัน ไม่อย่างนั้น เราจะต้องไปโรงพยาบาลเพื่อเอามันออกแล้วล่ะ

พูดจบ เขาก็ก้าวเท้าออกจากห้องรับรองแขก

มู่อี้ฟานกระเด้งตัวขึ้นด้วยความโมโหสุดๆ เชี่ยแม่ง นายป่วยรึไงฮะ แค่ครึ่งชั่วโมงเนี่ยนะ นายต้องการให้ฉันทำยังไงก็ได้เพื่อเอามันออกมาให้นาย? ถึงจะต้องควักออก ก็ควักออกมาเร็วขนาดนั้นไม่ได้หรอกนะ ของที่เพิ่งกลืนเข้าไป ยังไงก็ต้องรอถึงพรุ่งนี้เช้านู่นแหละถึงจะควักออกมาได้

จ้านเป่ยเทียนหยุดเดินทันที พลันหันกลับมาจ้องมู่อี้ฟานราวกับจะเอาคำพูดของเขามาพิจารณาอย่างจริงจัง เขาเงียบขรึมไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า ตกลง พรุ่งนี้เช้าก็ได้ แต่คืนนี้ฉันจะนอนกับนาย

มู่อี้ฟาน “...”


 

บทที่ 11 น่าสยอง

จ้านเป่ยเทียนเป็นคนที่เรียกได้ว่าทำตามใจตนคนหนึ่ง มู่อี้ฟานก็ไม่โง่พอจะไปท้าทายขีดจำกัดของพระเอกด้วย เขาวิ่งไปห้องน้ำอย่างเชื่อฟัง ใช้นิ้วล้วงลำคอเพื่อให้อาเจียน ช่างเสียดาย นอกจากน้ำย่อยแล้วก็ไม่มีอะไรออกมาอีกเลย

จ้านเป่ยเทียนไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มันถึงเวลาเข้านอนแล้ว เขาวิ่งไปยังห้องมู่อี้ฟาน และยังคิดแชร์เตียงกับอีกฝ่ายด้วยจริงๆ

การนอนเตียงเดียวกับพระเอกมันธรรมดามาก ประสาอะไรกับในชีวิตจริงของมู่อี้ฟานที่เขากับเพื่อนสมัยเด็กจ้านเป่ยเทียนที่เกือบจะเติบโตมาพร้อมกันร่วมนอนบนเตียงเดียวกัน ดังนั้น เขาเลยไม่ค่อยอึดอัดใจเสียเท่าไรนัก

เพียงแต่

มู่อี้ฟานลืมตาสองข้างอย่างช้าๆ จึงได้สบกับนัยน์ตาสีดำคมกริบราวกับเสือดาวสีดำในยามราตรีเข้าพอดีอย่างทันที ในห้องที่มืดสลัวนั้น สีดำมืดดูแวววาวอย่างแปลกประหลาด

เขากรอกตาอย่างอารมณ์เสีย นายไม่ต้องมองตรงมาที่ฉันก็ได้ นายรู้ไหมว่าแบบนี้มันน่าสยองมากนะ แล้วก็ทำให้ฉันนอนไม่หลับอีกด้วย

จ้านเป่ยเทียนพูดด้วยสีหน้าว่างเปล่า นายพันหน้าอย่างมัมมี่แล้วนอนลงบนเตียงนั่นแหละน่าสยองกว่าอีก!

“...” มู่อี้ฟานจนคำพูดในทันที เขาไม่มีทางเลือก จึงได้แต่หันหลังให้จ้านเป่ยเทียน พลางคิดว่าตัวเองได้กลืนอะไรของเขาเข้าไปกันแน่

ในเวลานั้น เห็นเพียงเงาสีแดงวาบผ่าน เช่นนั้นจ้านเป่ยเทียนมีของอะไรในมือที่เป็นสีแดงล่ะ

มู่อี้ฟานเรียกคืนความทรงจำของพล็อตเรื่องในหนังสือไม่หยุด ในไม่ช้าเขาก็นึกอะไรบางอย่างออก ดวงตาทั้งสองข้างจึงเบิกขึ้น

เขานึกออกแล้ว

บรรพบุรุษตระกูลของจ้านเป่ยเทียนได้ทิ้งลูกปัดทิเบตสีแดงที่เรียกว่า ฉิงเทียนจูไว้ ซึ่งว่ากันว่ามันเป็นของตระกูลเซียน แต่อันที่จริงแล้วมันเป็นมิติติดตัวต่างหาก และทุกๆ เดือนจ้านเป่ยเทียนต้องให้เลือดแก่มันเพื่อหล่อเลี้ยงอีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น สีลูกปัดทิเบตที่ถูกหล่อเลี้ยงยิ่งหรูหรางดงามเท่าไร พลังวิญญาณภายในมิติก็จะยิ่งอุดมสมบูรณ์มากเท่านั้น พื้นที่มิติทั้งหมดล้วนทำงานหนุนนำลูกปัดทิเบตที่หล่อเลี้ยง ไม่แปลกใจที่จ้านเป่ยเทียนจะกังวลและอยากจะเอามันออกมากขนาดนี้

มู่อี้ฟานคิดอยู่พักหนึ่ง

ถ้าเขาไม่เอาฉิงเทียนจูคืนให้จ้านเป่ยเทียนแล้วละก็ เท่านี้จ้านเป่ยเทียนก็คงไม่มีพลังวิญญาณมากมายมาฝึกฝนความสามารถต่างๆ แล้วก็จะไม่เปลี่ยนเป็นร้ายกาจมากด้วย อีกอย่าง หลังจากนั้นเขาก็จะฆ่าจ้านเป่ยเทียนได้อย่างง่ายๆ

อย่างไรก็ตาม หากเขาไม่มอบฉิงเทียนจูคืนให้จ้านเป่ยเทียน เผลอๆ ไม่ต้องรอให้เขาฆ่าจ้านเป่ยเทียนก่อน ก็คงถูกจ้านเป่ยเทียนยิงทิ้งแน่ๆ

มู่อี้ฟานคิดอีนุงตุงนังอยู่นานก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

เช้าวันต่อมา เขาตื่นขึ้นมาและไปนั่งในห้องน้ำก็มีสติมากขึ้น หลังจากนั้นก็วิ่งไปห้องครัวด้วยอารมณ์ฮึกเหิม แล้วบอกกับจ้านเป่ยเทียนที่กำลังทำอาหารเช้าว่า เมื่อกี้ฉันอึออกมาเยอะเลย นายไปหาดูเองสิ มีของของนายออกมารึเปล่าก็ไม่รู้

“...” จ้านเป่ยเทียนหันกลับมาอย่างเย็นชาราวกับน้ำแข็ง และมองเขาอย่างเฉยเมย

มู่อี้ฟานจ้องดวงตาที่ราวกับภูตผีปีศาจ กลืนน้ำลายไม่หยุดพลางกล่าวว่า มะ...มีปัญหาเหรอ

ก็ได้!

ให้คนอื่นไปช้อนอึที่เขาถ่ายออกมา มันก็เก้อกระดากจริงๆ นั่นแหละ แต้ถ้าเขาเป็นคนไปช้อนอึตัวเอง เป็นเขาเขาก็ไม่เอาด้วยหรอก

จ้านเป่ยเทียนหยิบตะเกียบบนโต๊ะขึ้นมายื่นส่งให้เขา ฉันให้เวลานายสามนาที ถ้าไม่หามันออกมา พวกเราจะตรงไปโรงพยาบาลทันที


 

บทที่ 12 ไอ้ลูกหมาเอ้ย

มู่อี้ฟานมองเขาอย่างเหลือเชื่อ นายจะไม่ไปช้อนอึฉันจริงดิ นายบอกว่าจะดูแลฉันไม่ใช่เหรอ นายดูแลคนอื่นแบบนี้เหรอ

จ้านเป่ยเทียนพูดด้วยสีหน้าว่างเปล่า นายเหลือเวลา 2 นาที 50 วิ

จะดีจะร้ายฉันก็ขวางกระสุนเพื่อนายเชียวนะ จะว่ายังไงตอนนี้ฉันก็เป็นผู้เสียหายอีกคนด้วย แต่นายกลับให้ฉันไปทำงานหนักประเภทนี้เนี่ยนะ ว่าก็ว่าเถอะ เป็นของของนายนั่นแหละที่จู่ๆ ก็พุ่งเข้ามาในปากฉันน่ะ นาย…” 

เหลืออีก 2 นาที

เหลวไหล! นายนับข้ามเร็วเกินไปแล้วนะ!

“1 นาที 30 วิ

มู่อี้ฟานจ้องมองดวงตาสีดำไร้ความปรานีแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ คนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่เพื่อนสมัยเด็กของเขา ไม่ได้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเขา

เขากัดฟันถามว่า ของที่นายต้องการหาคืออะไร?”

ลูกปัดสีแดงลูกหนึ่ง

มันคือฉิงเทียนจูแน่ๆ!

มู่อี้ฟานข่มความเดือดดาลลงไป วางตะเกียบอย่างหดหู่ หันหลังเดินกลับไปยังห้องชั้นสอง ไม่นานนักเสียงคำรามก็ดังลอดออกมาจากในห้อง ถ่ายไหลไปทางตะวันออกแหวะ ขี้ปุ๋ยในหลุมตีลังกาแหวะ (ฮิๆ ตีลังกาแหวะ) ขี้ปุ๋ยในหลุมเริงร่าดีแหวะ ก้อนใหญ่เละเป็นโจ๊กไหลลงไปอะแหวะ นายมีฉัน มีทั้งหมด มีแหวะ…”

จ้านเป่ยเทียนที่ชั้นล่าง “...”

ต่อมาเสียงมู่อี้ฟาน อ้วก ก็ดังออกมา

จ้านเป่ยเทียน “...”

มู่อี้ฟานเช็ดปาก เขามองอุจจาระที่ทั้งเหม็นทั้งน่าขยะแขยง ตะโกนลั่นอย่างหมดความอดทน จ้านเป่ยเทียน ไอ้ลูกหมาเอ้ย!

ได้ยินดังนั้น มุมปากแข็งทื่อของจ้านเป่ยเทียนเปื้อนรอยยิ้มเล็กน้อย ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย

อ้วก!

จ้านเป่ยเทียน “...”

เขาหยิบมือถือออกจากกระเป๋า กดโทร.หาลูกน้องตัวเอง ลู่หลิน นายกับเซี่ยงกั๋วสองคนจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวที่เร็วที่สุดมาเมือง G ทีซิ ถ้าถึงแล้ว ตรวจสอบหมู่บ้านสุ่ย เมือง G แทนฉันทีว่ามีครอบครัวตระกูลไหนที่เด็กถูกรถชนตายบ้าง ด่วน!

เพิ่งวานเรื่องเสร็จ ก็ได้ยินเสียงกดชักโครกจากข้างบน 

มู่อี้ฟานค่อยๆ เดินออกจากห้องกุมท้องที่เพิ่งอาเจียนออกมา เขาโวยวายใหญ่โตใส่จ้านเป่ยเทียนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องครัวว่า หาไม่เจอโว้ย

พอแค่นี้ก่อน เรื่องอื่นๆ รอพวกนายมาค่อยพูดต่อจ้านเป่ยเทียนวางสาย พูดเบาๆ ว่า ลงมากินข้าวเช้าก่อนสิ

กินข้าวเช้าเรอะ ใครจะไปรู้รสที่ไหนวะมู่อี้ฟานเดินหัวเสียลงมาชั้นล่าง นั่งลงตรงโต๊ะกินข้าว ถามไปทั้งๆ ที่รู้คำตอบดีว่า ของนั่นมันสำคัญกับนายมากจริงๆ เหรอ?”

อืมจ้านเป่ยเทียนถือบะหมี่สองชามจากห้องครัวมาวางบนโต๊ะ

งั้นนายวางใจได้ ฉันไม่อยากได้ของของนายแน่ รอฉันเอาออกมาคืนนายเถอะ นายก็รู้นี่ ตอนนี้แขนฉันไม่เพียงแต่บาดเจ็บจากกระสุน แต่ร่างกายยังป่วยอีกด้วย ฉันน่ะรับการผ่าตัดจากโรงพยาบาลไม่ไหวหรอก ดังนั้น ตอนกลางคืนนายไม่ต้องจับตาดูฉันตลอดก็ได้ ฉันนอนไม่หลับน่ะ

จุดประสงค์จริงๆ ของมู่อี้ฟานคือได้รับความไว้วางใจจากจ้านเป่ยเทียน ภายในหนึ่งเดือนนี้ มันเป็นโอกาสดีๆ ในการกำจัดพระเอก ดังนั้น การเอาฉิงเทียนจูคืนให้พ่อพระเอกเป็นสเตปแรกของความไว้วางใจเท่านั้น

จ้านเป่ยเทียนกินบะหมี่เงียบๆ

เมื่อมู่อี้ฟานเห็นจ้านเป่ยเทียนเห็นด้วยแล้วก็หยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างมีความสุข กำลังจะคีบเส้นบะหมี่มากิน ทันใดนั้นก็รู้สึกคลื่นไส้ เขารีบเอามือปิดปากแล้ววิ่งไปทางห้องน้ำ

เสียงอ้วกทำให้จ้านเป่ยเทียนที่กำลังกินบะหมี่อยู่ข้างนอกขมวดคิ้วลึกอย่างอดไม่อยู่

มู่อี้ฟานอาเจียนอยู่หลายนาทีถึงจะออกมา บางคนได้ย้ายร่างปวกเปียกกลับไปนั่งบนเก้าอี้ ไม่ใช่ว่าเพราะอาการคลื่นไส้เลยทำให้อยากอ้วกหรอกนะ?” มู่อี้ฟานพูดลอยๆ

พูดไม่ทันจบ พลันรู้สึกคลื่นไส้อีกครั้ง เขารีบวิ่งไปยังห้องน้ำ คราวนี้เขาใช้เวลาอ้วกนานกว่าเดิม 

จ้านเป่ยเทียนที่ได้ยินเสียงอาเจียนอยู่ตลอด ไหนเลยจะกินบะหมี่ต่อได้ เขาวางตะเกียบลง แล้วเดินไปยังห้องโถงเพื่อดูข่าวภาคเช้า

สิบกว่านาทีผ่านไป มู่อี้ฟานไม่เพียงไม่ออกมา แม้แต่ห้องน้ำก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา จ้านเป่ยเทียนไม่มีกะจิตกะใจดูข่าวอีกต่อไป เขาลุกขึ้นเดินไปยังห้องน้ำ แต่กลับเห็นมู่อี้ฟานสลบไสลอยู่บนพื้น


 

บทที่ 13 คุณเป็นผู้ชายใช่ไหมครับ

จ้านเป่ยเทียนก้าวไปข้างหน้ารีบเขย่าตัวมู่อี้ฟานทันที คุณมู่? คุณมู่? มู่มู่! มู่มู่!

คนบนพื้นไร้การตอบสนอง เขารีบแบกคนขึ้นมา หยิบกุญแจเคาน์เตอร์หน้าล็อบบี้วิ่งออกจากวิลลา รีบขับรถตรงไปยังโรงพยาบาล

เมื่อมู่อี้ฟานได้สติขึ้นมา เขากำลังถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉิน และเห็นจ้านเป่ยเทียนอยู่ข้างๆ ตัว เขาจึงถามเสียงแหบพร่าว่า เกิดอะไรขึ้นกับฉัน

เขาจำได้ว่าอ้วกอยู่ในห้องน้ำหนักมาก เหลือก็แต่ไม่ได้อ้วกจนเอาท้องออกมาด้วย มันรู้สึกปวดท้องมากๆ รู้สึกว่าวิงเวียนตาพร่า ต่อมาเบื้องหน้าก็วูบดับทันที จากนั้นก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไปแล้ว

จ้านเป่ยเทียนกระซิบ ก่อนหน้านั้นนายเป็นลมในห้องน้ำ ฉันก็เลยพานายมาส่งโรงพยาบาล

หมอก้าวไปข้างหน้าเพื่อดูอาการ และถามว่า คุณชายท่านนี้ คุณรู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้างครับ?”

มู่อี้ฟานตอบกลับอย่างไร้เรี่ยวแรง คลื่นไส้ อยากอาเจียน

พูดจบ อาการคลื่นไส้ก็ตีตื้นขึ้นมาอีกครั้ง เขารีบพยุงร่างกายส่วนบนขึ้นแล้วอ้วกออกมาหลายครั้ง

เมื่อช่วงเช้าเขาสำรอกไปเกือบหมดแล้ว ตอนนี้ในท้องไม่มีอะไรเหลือให้เขาเอาออกมาอีกแล้ว

รอเขาอาเจียนออกมาเกือบหมด หมอจึงค่อยตรวจชีพจรให้เขา นอกจากคลื่นไส้ อยากอาเจียนแล้ว ยังมีตรงไหนไม่สบายอีกครับ? อย่างเช่นรู้สึกตัวร้อนไปหมด มีเสมหะเยอะ ลำคออักเสบ หรือโลหิตจาง ลมตีขึ้น หรืออาการอื่นๆ น่ะ

ไม่มีครับ

มู่อี้ฟานไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องแผลกระสุนกับมะเร็งกระดูก เพราะเกรงว่าหมอจะตรวจอาการให้เขา แล้วจะพาลให้จ้านเป่ยเทียนสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติได้เปล่าๆ

ริมฝีปากจ้านเป่ยเทียนขยับราวกับอยากจะพูดบางอย่างกับหมอ แต่สุดท้ายเขาก็เลือกจะเงียบ ไม่อยากให้ความสนใจกับเรื่องนี้เกินไป

หมอที่กำลังจดจ่อกับการตรวจชีพจรคิ้วขมวด เขาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่พันด้วยผ้ากอซอย่างดีของมู่อี้ฟานอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับอยากเห็นอะไรบางอย่างจากใบหน้าของเขา

เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของหมอ มู่อี้ฟานรีบถามทันทีว่า หมอครับ ผมยังสบายดีใช่ไหม

เป็นไปได้ไหมที่หมอตรวจเจอว่าร่างกายเขามีปัญหาน่ะ

รู้แบบนี้ เขาไม่น่าให้หมอตรวจชีพจรเร็วเสียก็ดี

มู่อี้ฟานวางมืออีกข้างไว้ที่หน้าอกด้านซ้ายเพื่อยืนยันว่าหัวใจของเขายังเต้นอยู่ เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกนิดหน่อย กังวลจริงๆ ว่าตัวเองจะกลายเป็นซอมบี้ไปเรียบร้อยแล้ว

หมอใช้น้ำเสียงไม่แน่ใจถามว่า คุณเป็นผู้ชายใช่ไหมครับ?”

มู่อี้ฟานดูฟุ้งซ่าน คุณคิดว่าหน้าตาผมดูคล้ายผู้หญิงตรงไหน?”

ถึงแม้ใบหน้าเขาจะถูกพันอยู่ก็เถอะ แต่จากน้ำเสียง ลูกกระเดือกและรูปร่างก็สามารถดูออกว่าเป็นผู้ชายได้แล้วนี่ หมอโง่คนนี้ช่างถามคำถามงี่เง่าพรรค์นี้ออกมาได้ยังไง

มันแปลกเกินไปหมอปล่อยมือมู่อี้ฟาน

จ้านเป่ยเทียนถาม ร่างกายเขาเป็นยังไงบ้าง

พูดยังไงดีล่ะ พวกคุณรออยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวผมเรียกหมออีกคนมาตรวจอีกทีหมอพูดจบก็ทิ้งมู่อี้ฟานกับจ้านเป่ยเทียนที่หัวเต็มไปด้วยความนิ่งอึ้งไว้ 

จ้านเป่ยเทียนพูด ฉันจะไปลงทะเบียนให้นาย

หลังจากพวกเขาจากไป มู่อี้ฟานก็คลื่นไส้อาเจียนออกมาอีกหลายครั้ง

หลังจากนั้น หมอก็พาแพทย์อาวุโสท่านหนึ่งมาตรวจชีพจรเขา และถามปัญหาเกี่ยวกับร่างกายเขา

แพทย์อาวุโสทั้งตระหนกทั้งฉงน มองดูมู่อี้ฟาน คุณเป็นผู้ชายจริงๆ เหรอ

มู่อี้ฟานพูดอย่างฉุนเฉียว เหล่าจือต้องให้พวกคุณตรวจอีกรอบให้แน่ใจก่อนไหมตอนนี้

ไม่ต้อง ไม่ต้องแพทย์อาวุโสรู้สึกอับอายก่อนจะลากหมอไปยังมุมห้อง แล้วสุมหัวกระซิบกระซาบ

มู่อี้ฟานได้ยินแพทย์อาวุโสพูดอยู่ลางๆ ว่า ฉันเพิ่งเคยพบเคยเห็นเป็นครั้งแรก” “เรื่องอย่างนี้มันมีจริงๆ บนโลกด้วย และคำพูดอื่นๆ อีกมากมาย

หมอ...เกิดอะไรขึ้นกับผมครับ


 

บทที่ 14 แจ้งผลการตรวจ

หมอสองคนกลับไปเผชิญหน้ากับมู่อี้ฟาน คุณชายท่านนี้ เราขอแนะนำให้คุณไปอัลตราซาวนด์ก่อนนะครับ

อัลตราซาวนด์?” มู่อี้ฟานตัวแข็งทื่อ

เหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนเขาจะกลายเป็นซอมบี้เต็มตัว แต่อย่างไรหัวใจเขาก็เต้นอยู่ ถ้าอัลตราซาวนด์ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาใดๆ เขาก็ควรตามหมอไปอัลตราซาวนด์ซะ

หมอทำการเขียนใบส่งตัวอัลตราซาวนด์ให้เขาทันที

โรงพยาบาลเล็กมีคนไม่มากเท่าโรงพยาบาลใหญ่ หลังจากจ่ายค่าธรรมเนียม ต่อแถวรอประมาณสิบกว่านาที ไม่ช้าก็ถึงคิวของมู่อี้ฟาน

หมอหญิงคนหนึ่งเป็นคนตรวจมู่อี้ฟาน เธอทาเจลบางๆ บนร่างมู่อี้ฟาน แล้วค่อยใช้เครื่องอัลตราโซนิกตรวจร่างกายอย่างละเอียด

ทันใดนั้น ภายในดวงตาของเธอก็มีประกายประหลาดและตกตะลึง สายตาเหลือบมองหน้าอกล่ำๆ และลูกกระเดือกที่นูนออกมาของมู่อี้ฟานอย่างช่วยไม่ได้ พึมพำกระซิบอย่างอดไม่อยู่ว่า ไม่น่าจะเป็นคนขี้กลัวหรอกมั้ง

มู่อี้ฟานที่มีความสามารถในการฟังเป็นเลิศพลางมองเธออย่างสงสัย เป็นคนขี้กลัวอะไร

หมอหญิงไม่ตอบเขา สายตาเต็มไปด้วยความซับซ้อนและเคร่งขรึม ถอนเครื่องอัลตราโซนิกกลับคืน กล่าวว่า อีกครึ่งชั่วโมงมารับใบแจ้งผลการตรวจด้วยนะคะ

ในขณะที่เขารอผลตรวจ จ้านเป่ยเทียนก็ออกจากโรงพยาบาลไปกินอาหารเช้าใกล้ๆ มู่อี้ฟานกังวลว่าถ้าเห็นอาหารอีกครั้งเขาจะอ้วกออกมา และส่งผลกระทบกับความอยากอาหารของจ้านเป่ยเทียนเข้า จึงไม่ได้ตามไปด้วย เพราะเขายังต้องตรวจอะไรต่อมิอะไรต่อก็เลยไม่สามารถไปกินข้าวเช้าได้

เมื่อจ้านเป่ยเทียนกลับมา เขาก็ได้รับใบแจ้งผลตรวจอัลตราซาวนด์พอดี

มู่อี้ฟานอ่านใบแจ้งผลไม่เข้าใจ เขาจึงเดินตรงไปยังห้องฉุกเฉินเพื่อยื่นใบในมือให้กับหมอ

หมอเห็นใบแจ้งตรวจก็พูดตะกุกตะกัก นี่...นี่…”

มู่อี้ฟานถูกหมอทำให้กระวนกระวาย เขาไม่กลัวว่าจะป่วย แต่กลับกลัวหมอจะตรวจเจอความผิดปกติในร่างกายเขา ซึ่งมันอันตรายต่อชีวิตเขามากกว่า

เขาเหลืออดจริงๆ ที่หมอดูใบแจ้งผลแล้วเอาแต่เหม่อลอย เขาเลยองค์ลงเอ่ยว่า หมอครับ คุณบอกผมมาตรงๆ ก็ได้ว่าผมป่วยเป็นอะไร ไม่ใช่ไม่พูดไม่จาอย่างนี้ มันทำให้ผมกังวลใจนะ ถึงไม่ป่วยก็ถูกคุณทำให้ป่วยอยู่ดี

หมอได้สติ รีบเอ่ยว่า ขออภัยจริงๆ ครับ

เขากระแอมไอในลำคอแล้วพูดต่อ คุณมู่ครับ ตามชีพจรที่เราเพิ่งตรวจไป ชีพจรของคุณลื่นไหลดี ซึ่งพบเห็นได้ในโรคโลหิตจาง โรคไขข้อ การติดเชื้อเฉียบพลัน กระเพาะอักเสบเฉียบพลันเรื้อรัง โรคตับแข็ง โรคท้องมาน และอื่นๆ น่ะครับ นอกจากนี้ เมื่อเห็นชีพจรลื่นไหลซึ่งเป็นหลักฐานว่าผู้หญิงคนไหนสุขภาพแข็งแรง นั่นก็สามารถวินิจฉัยได้ว่า ผู้หญิงคนนั้นกำลังตั้งครรภ์อยู่ครับ คุณ…”

มู่อี้ฟานขัดจังหวะอย่างหงุดหงิด หมอครับ ไอ้ที่หมอพูดมาเนี่ย ผมไม่เข้าใจเลยครับ ขอให้หมอพูดแค่อาการป่วยที่ผมเป็นก็พอครับ

หมอโพล่งบอก คุณตั้งครรภ์ครับ

ห้องฉุกเฉินเงียบฉับพลัน

มู่อี้ฟานเหมือนได้ฟังเรื่องพันหนึ่งราตรี[1] จ้องมองหมอด้วยดวงตาเบิกกว้าง

แม้แต่จ้านเป่ยเทียนซึ่งเคยเห็นเรื่องต่างๆ ที่ยากจะอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ และผ่านการชำระไขกระดูกในวันสิ้นโลกก็ยังมองหมอด้วยใบหน้าและท่าทีตกตะลึง

หมอที่ถูกนายใหญ่ทั้งสองคนมองมา รู้สึกกดดันหนักมาก แต่เขากลับต้องฝืนใจพูดต่อไป เรื่องนี้น่าเหลือเชื่อจริงๆ แต่อัลตราซาวนด์ไม่มีทางโกหกหลอกลวงแน่ อาการข้างต้นแสดงให้เห็นว่า แม้คุณมู่จะไม่มีมดลูกก็ตาม แต่ถึงอย่างไรเขาก็ตั้งครรภ์มาสามเดือนแล้ว…”




[1] เรื่องที่เป็นไปไม่ได้


 

บทที่ 15 หุบปากให้เหล่าจือซะ

วางใจสุนัขแม่แกสิมู่อี้ฟานตบโต๊ะด้วยความโมโห ฉัน บรรพบุรุษใหญ่คนนี้จะตั้งครรภ์ได้ยังไง ผลตรวจต้องรายงานผิดแน่ๆ

ถึงเขาจะเป็นผู้หญิงจริงๆ แต่เขาจะไม่ตั้งครรภ์แน่ๆ เพราะว่าในความทรงจำของร่างนี้ ในช่วงสี่เดือนที่ผ่านมา เจ้าของร่างตัวจริงวันๆ เอาแต่พักอยู่ในบ้าน นอกนั้นคนที่ออกไปสัมผัสข้างนอกก็มีแต่หลี่ชิงเทียนกับคนที่ไปซื้อของเท่านั้น เดิมทีใช่ว่าเขาไม่เคยพบคนอื่นๆ แต่ขึ้นเตียงกับผู้ชายเนี่ยนะ อย่าได้หวัง

ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีมู่อี้ฟานก็ชอบแต่ผู้หญิง แล้วเขาจะตั้งท้องมีเด็กกับผู้ชายคนอื่นได้ยังไง 

หมอพูดเสียงเพราะว่า คุณมู่ครับ พวกเราเข้าใจอารมณ์ตอนนี้ของคุณดี แต่ว่าผลตรวจใบนี้เป็นของคุณจริงๆ ครับ เนื่องจากเห็นว่าผู้ที่ตรวจเป็นชายแท้ ในร่างกายไม่มีมดลูก แต่กลับมีการตั้งครรภ์ นี่ถือเป็นเรื่องไร้เหตุผลอย่างยิ่ง ดังนั้น หมอจึงขอแนะนำคุณที่เป็นผู้ชายว่า…”

หุบปากให้เหล่าจือซะมู่อี้ฟานรู้สึกโกรธตะคอกใส่พร้อมดึงคอเสื้อหมอ

ผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งกลับถูกหมอบอกว่าได้ตั้งครรภ์อะไรนั่น ถ้าไม่โกรธ เขาไม่ขอเป็นผู้ชายอีกต่อไป

หมอถอนหายใจรีบกล่าวให้จบอย่างไม่กลัวตายว่า ขอให้ทำแท้งโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ

แก…” มู่อี้ฟานคิดจะพูดอะไรบางอย่าง เขาก็พลันรู้สึกปวดท้องทันที ราวกับท้องทั้งหมดขมวดเป็นปมทำให้ปวดจนแทบพูดไม่ออก ปะ...ปวด ปวดท้อง

หมอยืนขึ้นอย่างพรวดพราด ก๊าซในครรภ์คุณอาจจะมากกว่าปกติ

แก…” มู่อี้ฟานโกรธจนอยากจับหมอเก๊คนนี้มาฉีกเป็นชิ้นๆ อย่างโหดเหี้ยมจริงๆ แม่งเอ้ย จากนี้เขาจะมองหน้าคนอื่นยังไง ดีไม่ดีคนอื่นที่ว่ายังจะยกเรื่องเด็กในท้องขึ้นมาพูดอีกด้วย

คุณมู่ หมอขอแนะนำให้ตอนนี้คุณทำแท้งทันที ไม่อย่างนั้น เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคุณอาจจะเสียชีวิตครับหมอพูดไปพลางช่วยมู่อี้ฟานไปพลาง

จังหวะเดียวกันนั้น หมอได้กระทบเข้ากับแขนของมู่อี้ฟาน พริบตานั้นก็เหมือนกับโดนไฟฟ้าช็อต กระแสไฟฟ้าแล่นพล่านไปทั่วร่าง ต่อจากนั้น ตั้งแต่หัวจรดเท้าก็อ่อนเปลี้ยล้มลงกับพื้น

จ้านเป่ยเทียนตะลึงงัน

เขาเห็นกระแสไฟฟ้าสีแดงอมม่วงที่ช็อตหมอจนน็อกปรากฏขึ้นในร่างของมู่อี้ฟาน

มู่อี้ฟานมีอารมณ์จะไปใส่ใจที่ไหนว่าหมอจะเป็นหรือตาย เจ้าตัวปวดไปหมดจนงอตัวอยู่กับบนพื้น ปวด...ปวดจะตายแล้ว

เสียงกรีดร้องของพยาบาลสามคนดังขึ้น พวกเธอเห็นหมอสลบอยู่กับพื้น จึงเอ่ยเรียกอย่างกังวลว่า หมอคะ หมอเป็นยังไงบ้างคะ เร็วเข้า รีบไปพาคุณหมอหูว์มาดูอาการด่วน

ทันใดนั้น ห้องฉุกเฉินก็เกิดความวุ่นวาย

เมื่อจ้านเป่ยเทียนได้สติ เขาก็รีบไปแบกมู่อี้ฟานที่อยู่กับพื้นขึ้นมา และก้าวยาวๆ ออกจากห้องฉุกเฉินไป

ชั่วขณะที่จ้านเป่ยเทียนแบกมู่อี้ฟานขึ้น จู่ๆ ความเจ็บปวดที่บริเวณท้องกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายยังไร้เรี่ยวแรงอยู่ละก็ ความเจ็บปวดเมื่อครู่นี้ก็ราวกับเป็นเขาที่คิดไปเอง

เย็ดแม่ ไอ้หมอเถื่อนนั่น มันเป็นหมอเก๊แน่ๆเขาตะโกนโหวกเหวกตลอดทางจนออกตัวอาคารของโรงพยาบาล

พอจ้านเป่ยเทียนหารถมู่อี้ฟานเจอ เขาก็ยัดคนเข้าไปที่นั่งข้างโชเฟอร์ ส่วนตัวเองก็อ้อมกลับไปนั่งที่คนขับ

เขาไม่ขับรถออกไปทันที แต่เอาแต่มองชายหนุ่มที่คลึงท้องไปพลาง สบถด่าหมอเก๊ไปพลางอยู่ ทันใดนั้นเขาพลันหัวเราะพรืดออก แถมยังกลั้นยิ้มไม่อยู่อีกด้วย


 

บทที่ 16 เจ้าบ้านี่ไม่เห็นใจกันบ้างเลย

เมื่อมู่อี้ฟานได้ยินเสียงหัวเราะ เขาจึงหันไปมองจ้านเป่ยเทียนอย่างหดหู่ ตลกอะไรฮะ รอตอนหมอวินิจฉัยว่านายท้องบ้างเหอะ นายยังจะยิ้มออกไหม

จ้านเป่ยเทียนรีบลดเสียงหัวเราะลง และสัมผัสแก้มของตัวเอง

เมื่อกี้ตัวเองหัวเราะเนี่ยนะ!

เขาไม่ได้หัวเราะขนาดนี้มานานเท่าไรแล้วนะ?

น่าจะประมาณห้าหกปีแล้วมั้ง

จ้านเป่ยเทียนหลุดจากภวังค์ พูดเบาๆ ว่า ฉันคิดว่าทารกในครรภ์ที่อัลตราซาวนด์ออกมา น่าจะเป็นลูกปัดที่นายกลืนเข้าไปนั่นแหละ เพียงแค่เอามันออกมา นายก็จะดีขึ้นแล้ว

แต่ทว่าความแตกต่างระหว่างทารกในครรภ์กับลูกปัดใหญ่ขนาดนี้ หมอจะวินิจฉัยลูกปัดลูกหนึ่งดูเป็นทารกระยะสามเดือนไปได้อย่างไรกัน

เขาเห็นท่าทางโล่งอกของมู่อี้ฟานก็ไม่ได้พูดข้อสงสัยในใจตัวเองออกมา

มู่อี้ฟานก็รู้สึกว่ามีเพียงคำอธิบายนี้เท่านั้นที่ทำให้หมอเข้าใจผิดคิดว่าเขาท้อง

ท้องฉันร้องแล้ว

จ้านเป่ยเทียนสตาร์ตรถ และถามว่า อยากกินอะไรล่ะ

มู่อี้ฟานคิดอยู่พักหนึ่งพลันดวงตาก็เปล่งประกาย ฉันอยากกินบะหมี่ต้มยำ

จ้านเป่ยเทียนหว่างคิ้วกระตุก ทั้งคลื่นไส้อาเจียน ทั้งอยากกินของเปรี้ยว อย่าบอกนะว่าเป็นจริงๆ น่ะ 

เขาขับรถออกจากโรงพยาบาลอย่างสุขุมใจเย็น ผ่านถนนไปสิบกว่าสายถึงจะพบร้านที่ขายบะหมี่ต้มยำ 

มู่อี้ฟานกินบะหมี่ห้าชามใหญ่ติดกัน น้ำซุปก็กินหมดไม่มีเหลือ

จ้านเป่ยเทียนรอเขากินไปพอสมควร จึงเอ่ยปากว่า รอแป๊บนะ ฉันขอไปเอากระเป๋าเดินทางที่โรงแรมเซิ่งหัวก่อน

อื้อมู่อี้ฟานยกมือขึ้นเรียกเถ้าแก่สั่งบะหมี่มาเพิ่มอีกหนึ่งชาม

จ้านเป่ยเทียนมองเขาใช้มือขวาคีบเส้นบะหมี่ด้วยความว่องไวก็หรี่ตาลง มือขวาของนายไม่เจ็บแล้ว

แขนถูกยิงจนบาดเจ็บ ใช้เวลาสิบวันถึงครึ่งเดือนก็ไม่หายดีหรอก ยิ่งไม่มีทางใช้ตะเกียบอย่างคล่องแคล่วง่ายดายเหมือนไม่มีกระสุนฝังอยู่เช่นนี้

มู่อี้ฟานหยุดชะงัก ในใจคิดว่าผิดท่าแล้ว แขนเขาไม่รู้สึกเจ็บจนเขาลืมเรื่องบาดเจ็บจากกระสุนไปเลย ไม่ต้องพูดถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานจนถึงตอนนี้ ไหนจะยังจำเรื่องที่ต้องแกล้งเป็นคนป่วยต่อหน้าจ้านเป่ยเทียนได้อีก

มู่อี้ฟานเงยหน้าขึ้น แสร้งทำเป็นใจเย็น เอ่ยอย่างสำนึกว่า แน่นอนว่าเจ็บสิ แต่ทำเป็นฝืนเท่านั้นแหละ ไม่งั้นจะให้นายป้อนบะหมี่ฉันเหรอ?”

งั้นนายก็ฝืนต่อไปแล้วกัน

เจ้าบ้านี่ไม่เห็นใจกันบ้างเลยมู่อี้ฟานก้มลงกินบะหมี่ต่อ

สายตาจ้านเป่ยเทียนมีรอยเยาะเย้ยวาบผ่านก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองวิวข้างนอก

หลังผ่านหนึ่งเดือนไป ความเห็นอกเห็นใจพรรค์นี้มีแต่จะทำร้ายตัวเองตายนั่นแหละ

มู่อี้ฟานพบว่าใบหน้าจ้านเป่ยเทียนกลับมาเย็นชาห่างเหินอีกครั้ง และเขาก็ไม่มีอารมณ์จะกินบะหมี่อีก จึงรีบจ่ายเงินกับเถ้าแก่ทันที

กลับมาที่รถ เขาอดหาวออกมาไม่ได้ จู่ๆ เปลือกตาพลันหนักอึ้งมากขึ้น ฉันจะนอนแล้วนะ

จ้านเป่ยเทียนหันไปมอง ไม่คาดว่าคนได้ผล็อยหลับไปเรียบร้อยแล้ว

เขาขับรถมาถึงโรงแรมเซิ่งหัว ถือกระเป๋าเดินทางพร้อมเช็กเอาต์หน้าเคาน์เตอร์

ตอนกลับมาที่รถอีกครั้ง มู่อี้ฟานก็ยังหลับอยู่ แม้แต่ท่าก็ไม่ได้เปลี่ยน

จ้านเป่ยเทียนไม่รีบขับรถออกไป เขายังคงนั่งอยู่บนเบาะคนขับ ลองนึกย้อนกลับไปว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิตเขาทำอะไรอยู่


 

บทที่ 17 จ้านเป่ยเทียน นายไปสิ

เมื่อมู่อี้ฟานตื่นมาอีกที รถก็มาจอดอยู่นอกปากซอยแปลกๆ ดวงอาทิตย์ทางตะวันตกทอประกายลาดเฉียง แสงแดดส่องผ่านเข้ามาจากฟิล์มกระจกหลัง 

เขามองใบหน้าด้านข้างที่คุ้นเคยที่นั่งอยู่บนเบาะโชเฟอร์ นวดคลึงดวงตาสองข้างที่สะลึมสะลือ พูดเสียงแหบว่า เทียน ฉันหิวอีกแล้วล่ะ

เขาที่นอนหลับไปอย่างงุนงง ได้ลืมไปนานแล้วว่ากำลังสวมบทบาทไหนในนิยายที่ตัวเองเขียน และคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เดิมทีก็ไม่ใช่เพื่อนสมัยเด็กของเขาอีกด้วย

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น จ้านเป่ยเทียนตกใจเล็กน้อย ตั้งแต่เขาเกิดจนถึงตอนนี้ แต่ไรมาไม่มีใครเคยเรียกเขาอย่างสนิทสนมอย่างนี้สักคนเลย ยิ่งไปกว่านั้นน้ำเสียงฉอเลาะที่เปล่งออกมา มันดูเป็นธรรมชาติมาก และก็เหมือนได้เรียกมาหลายสิบปีแล้วอีกด้วย

มู่อี้ฟานได้ลงจากรถก่อน เขาเดินไปอยู่ข้างๆ จ้านเป่ยเทียนที่ลงจากรถทีหลัง และพิงศีรษะบนไหล่เขาอย่างเซื่องซึม กล่าวว่า ฉันอยากกินปลาต้มผักกาดดอง ซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน ผักกาดดองหวาน…”

เขาร่ายอาหารที่มีรสชาติเปรี้ยวไปห้าหกอย่างรวดเดียว

จ้านเป่ยเทียนก้มลงมองคนที่พิงไหล่เขาอย่างสนิทสนม เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย พูดเสียงต่ำ ยืนดีๆ หน่อย

ไม่เอา เหนื่อย

แทนที่มู่อี้ฟานจะยืนดีๆ เขากลับยึดแขนจ้านเป่ยเทียนไว้เหมือนปลาหมึกยักษ์

จ้านเป่ยเทียนดึงคนออกด้วยใบหน้าไม่แยแส เขาไม่ชินเท่าไรที่มีคนอื่นมายืนพิงใกล้ขนาดนี้ 

มู่อี้ฟานไม่กลัวตาย เลื้อยเข้าไปใกล้อีกอย่างเกียจคร้านราวกับไร้กระดูก

จ้านเป่ยเทียน “...”

เขาผลักอีกสองสามครั้งแต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดก็ปล่อยให้มู่อี้ฟานเกาะไปอย่างนั้น

จ้านเป่ยเทียนเห็นดวงตะวันใกล้จะลับภูเขา เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลา ตอนนี้เป็นเวลา 16.57 น. แล้ว เขาหรี่ตามองเข้าไปในตรอกซอย

สิบกว่านาทีต่อมา ร่างระหงของหญิงสาวนางหนึ่งที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงยีนก็เดินออกมาจากในซอยเล็กๆ 

หญิงสาวอายุประมาณยี่สิบห้าปี องค์ประกอบใบหน้าประณีตงดงามสมบูรณ์แบบ หน้าผากมีหน้าม้าทิ้งลงมา ส่วนด้านล่างเป็นดวงตากลมโตคู่งามที่ราวกับจะพูดได้ และดูบริสุทธิ์เกินใดเปรียบ ผมยาวดำสลวยมัดเป็นหางม้าสูง ทั้งหมดดูบริสุทธิ์สวยงามตามสมัยนิยม

เธอสังเกตได้ว่ามีคนมองเธออยู่ จึงหันกลับไปพลันสบกับดวงตาล้ำลึกของจ้านเป่ยเทียนทันที เธออดตะลึงไม่ได้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายมองเธออยู่ตลอด แต่เธอไม่ยักจำได้ว่าเคยเจอพ่อหนุ่มสุดหล่อคนนี้ที่ไหน ดังนั้น เธอจึงผงกหัวทักทายอีกฝ่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ จากนั้นก็เดินผ่านไป

สายตาของจ้านเป่ยเทียนขยับตามเงาร่างของเธอ จนกระทั้งหญิงสาวคนนั้นเดินห่างกับเขาไปสิบเมตร จึงค่อยหันไปยังทิศทางของตรอกซอยอีกครั้ง

ในตรอกมีนักเลงชายสามคนเดินออกมา และเดินไปทางที่ผู้หญิงคนนั้นจากไปอย่างมีเจตนาชั่วร้าย

ในขณะที่พวกเขาเดินผ่านหน้าจ้านเป่ยเทียน มู่อี้ฟานที่ยังง่วงซึมก็ได้กลิ่นเหม็นคลุ้ง และกลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่โชยออกมาจากร่างพวกเขา จนอาการคลื่นไส้กำเริบอีกครั้ง

เขารีบยืดตัวหันไปอีกทางแล้วก็อ้วกออกมา

บะหมี่ต้มยำที่ยัดเข้าท้องเมื่อเช้ายังไม่ทันย่อยดีก็ถูกสำรอกออกมาหมดไส้หมดพุง

ชายสามคนก้มมองกองอ้วกที่อยู่บนพื้นและย่นคิ้วอย่างขยะแขยง ในหมู่พวกเขามีสองคนที่เร่งความเร็วก้าวออกไปห่างๆ ส่วนชายอีกคนกลับส่งเสียงหาเรื่องว่า แม่งเอ้ย กางเกงกับรองเท้าเหล่าจือเปื้อนหมดแล้ว จ่ายค่าเสียหายมาให้เหล่าจือซะ

มู่อี้ฟานได้ยินเสียงดุด่า ทั้งร่างก็ตื่นตัวขึ้นมา เมื่อเห็นว่ากางเกงและรองเท้าเปื้อนของเสียจากเขา จึงรีบกล่าวขอโทษอย่างรวดเร็ว ขอโทษนะ ผมไม่ได้ตั้งใจ ไม่ทราบว่ากางเกงกับรองเท้าของคุณราคาเท่าไรครับ

ชายคนนั้นมองเลยไปข้างหลังมู่อี้ฟาน เห็นรถ BMW มูลค่านับล้าน ความละโมบวาบผ่านดวงตา แสร้งทำเป็นโกรธพูดว่า รองเท้าเหล่าจือแปดพัน ส่วนกางเกงหนึ่งหมื่น รวมกันแล้วเป็นหนึ่งหมื่นแปดพันหยวน” 

มู่อี้ฟานมองรองเท้าหนังที่เลอะเทอะไปหมด และกางเกงเก่าเก็บที่ถูกเขม่าก้นบุหรี่จี้ไปสองสามรอยแล้วขมวดคิ้วมุ่น นี่คุณพยายามรีดไถผมเหรอ กางเกงกับรองเท้าของคุณ ดูยังไงก็ไม่น่าถึงหนึ่งหมื่นแปดพันนะ

ถึงเขาจะมีเงิน แต่เขาก็ไม่ได้อยากเสียให้กับคนแบบนี้ 

เหล่าจือไถเงินแล้วไงวะ ถ้าแกไม่จ่าย ก็อย่าหวังจะออกจากตรอกนี้เลยชายคนนั้นพูดอย่างอำมหิต

พูดจบไม่ทันไร แก๊งเดียวกันอีกสองคนก็เข้ามาล้อม

มู่อี้ฟานไม่เห็นพวกเขาในสายตา หันไปมองจ้านเป่ยเทียน จ้านเป่ยเทียน นายไปสิ

จ้านเป่ยเทียน “...”


 

บทที่ 18 ถือว่าแกโชคดีไป

นักเลงสามคนเพิ่งจะสังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ยังยืนอยู่ข้างๆ มู่อี้ฟาน เขามีสัดส่วนร่างกายแข็งแรง สายตาเฉียบคม พอดูปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าเขาเป็นเทรนเนอร์ ไม่ใช่บุคคลที่ตอแยได้ง่าย

เพื่อนสองคนรีบปรึกษานักเลงอีกคนที่ถูกมู่อี้ฟานอ้วกใส่เท้าเต็มๆ ด้วยเสียงกระซิบว่า ไอ้หนุ่มนี่ดูตอแยยากว่ะ ข้าว่าเรื่องนี้ช่างมันไปเถอะ อีกอย่างอย่าลืมนะว่า ตอนนี้พวกเรายังมีงานอื่นให้ทำอีก ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาคงไม่ดีเท่าไรว่ะ

นักเลงสองคนนั้นลังเลอยู่พักหนึ่ง ตะคอกอย่างดุร้ายใส่มู่อี้ฟาน ถือว่าแกโชคดีไป

สามคนหันหลังกำลังจะจากไป จ้านเป่ยเทียนกลับพูดเสียงเย็นว่า พวกแกสามคนกลับไปบอกคุณหนูใหญ่ตระกูลหรงด้วยว่า อย่าหาเรื่องสร้างความรำคาญให้หรงเอี๋ยนอีก

นักเลงทั้งสามคนตกใจ

ชายคนนี้รู้ได้อย่างไรว่าพวกเขารับใช้คุณหนูใหญ่ตระกูลหรง?

มู่อี้ฟานก็ตกใจเช่นกัน

ได้ฟังคำพูดนั้น เขาไม่เพียงแต่นึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังอยู่ในหนังสือ แต่ยังนึกขึ้นมาได้ว่า หรงเอี๋ยน คือชื่อนางเอกในนิยายของเขา

ยิ่งกว่านั้น ตามการดำเนินพล็อตเรื่อง ไม่ว่าพระเอกก่อนเกิดใหม่ หรือหลังเกิดใหม่ ตอนถูกยิงอาการโคม่าที่หมู่บ้านสุ่ย ค่อนดึกดื่นพระเอกก็ได้พบนางเอกที่เพิ่งมาถึงหมู่บ้านสุ่ยในช่วงเทศกาลเช็งเม็ง ภายหลังจะเป็นนางเอกเองที่นำตัวพระเอกที่บาดเจ็บกลับบ้าน และยังพาไปหาหมอเพื่อเอากระสุนออกให้พระเอกที่คลินิกเล็กๆ อีกด้วย 

กล่าวได้ว่านางเอกมีบุญคุณช่วยเหลือพระเอกนั่นเอง หลังวันสิ้นโลก เมื่อพระเอกได้พบนางเอกอีกครั้งก็นำคนมาอยู่ข้างกายจนค่อยๆ บ่มเพาะความรู้สึกต่อกัน

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พระเอกจะเกิดใหม่ เขามีความรู้สึกดีกับนางเอกเพียงเล็กน้อย หลังจากพระเอกเกิดใหม่แล้ว ทั้งสองคนถึงจะค่อยๆ เปลี่ยนจากเพื่อนกลายเป็นคนรัก

มู่อี้ฟานเกาหัวอย่างเศร้าซึม 

ตอนนี้พระเอกถูกเขาช่วยนำหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง มันคงไม่ได้ทำให้นางเอกพลาดเวลาทำความรู้จักกับพระเอกหรอกนะ 

ยังดีที่พระเอกรู้จักนางเอก ถ้าพระเอกชอบนางเอกจริงๆ เขาจะคิดหาวิธีอย่างเต็มที่เพื่อให้นางเอกชอบพระเอกอีกครั้ง

เช่นเดียวกับตอนนี้ พระเอกถึงกับลงทุนวิ่งมาถึงตรอกเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านนี้เพื่อนางเอกเชียวนะ เพราะตามเนื้อเรื่องที่เกิดขึ้น วันที่สองของเทศกาลเช็งเม็ง นางเอกอยู่ระหว่างการเดินทางกลับบ้าน และได้พบเจอนักเลงสามคน ถ้าไม่ใช่ว่าพระเอกออกจากบ้านนางเอกมาเจอฉากนางเอกโดนนักเลงสามคนระรานเข้าพอดีละก็ เกรงว่าไม่ช้านางเอกคงโดนนักเลงสามคนฉุดเข้าไปทำร้ายในตรอกเปลี่ยวไร้ผู้คนแล้วล่ะ

มู่อี้ฟานคิดถึงตรงนี้ก็พึมพำออกมา ไม่แปลกใจเลยที่เขาขับรถมาที่นี่

ที่แน่ๆ พระเอกรอการปรากฏตัวของนางเอกและนักเลงสามคนนั้นชัวร์ และถือโอกาสอันดีนี้ช่วยเหลือนางเอก พร้อมทั้งทำความรู้จักนางเอกไปด้วยแน่

ถ้าเรื่องเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วไอ้ที่เขาเพิ่งอ้วกแตกอ้วกแตนไปนั่นล่ะ คงไม่ใช่ไปตัดโอกาสทำความรู้จักของตัวละครหลักเข้าอีกแล้วหรอกนะ?

มู่อี้ฟานรู้สึกผิดบ้าง แต่คิดอีกที ไม่ช้าก็เร็วพระเอกจะต้องถูกเขาฆ่าแน่ ไม่สนใจว่าพระเอกนางเอกจะรู้จักกันไหมแล้ว

เมื่อคิดได้อย่างนี้ เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเยอะเลย

เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ

ถ้าพระเอกมาเพื่อช่วยนางเอกละก็ ไม่ใช่ว่านางเอกปรากฏตัวอยู่ไม่ไกลหรอกนะ?

มู่อี้ฟานหันไปมองรอบๆ อย่างสงสัย จึงเห็นสถานที่ตรงข้ามด้านซ้ายสิบเมตรข้างนอกมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยสวมเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนยืนอยู่ 

หลังจากนั้นเขาก็ต้องสตั้นอีกรอบ!


 

บทที่ 19 เขาชื่อชุ่ยฮัว

ไร้สาระน่า คาดไม่ถึงว่านางเอกดูเหมือนคนที่เขาแอบชอบในโลกจริงเปี๊ยบเลย แม่งเอ้ย! สุดท้ายเขาไปทำเวรทำกรรมกับเทพเซียนองค์ไหนมา จู่ๆ ถึงได้มายุ่งกับเขาแบบนี้นะ

เขาจำได้ว่าตอนที่เขาพรรณนานางเอกในนิยาย เขาไม่ได้คิดเลยว่าตัวละครที่เขียนจะเหมือนคนที่เขาแอบชอบ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่ได้เอาชื่อคนที่แอบชอบมาใช้ตั้งชื่อด้วย ไฉนมันไปทางเดียวกันอย่างนี้เล่า 

อ๊ะ! เขาจำได้แล้ว มู่อี้ฟานในนิยายก็มาชอบนางเอกนี่นา เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้เกลียดพระเอกขนาดนี้สินะ

เศร้าชะมัด มันไม่ควรเป็นอย่างนี้สิ นางเอกจะเหมือนคนที่เขาแอบชอบในโลกจริงเป๊ะๆ เนี่ยนะ?

มู่อี้ฟานมองไปที่รูปโฉมพริ้งเพราของหรงเอี๋ยน สติไม่กลับเข้าร่างอยู่นานมาก

อันธพาลสามคนเห็นจ้านเป่ยเทียนรู้จุดประสงค์ของพวกเขาในครั้งนี้ เรื่องที่คิดทำก็ไม่อาจดำเนินต่อไปได้อีก จากนั้นจึงตัดสินใจกลับไปรายงานก่อน แล้วค่อยว่าเรื่องนี้กันอีกที 

หลังจากพวกเขาจากไป จ้านเป่ยเทียนหันกลับมามองมู่อี้ฟาน กลับพบว่าเขาจ้องไปที่หรงเอี๋ยนโดยไม่ละสายตาอยู่ เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ พูดเสียงเย็นว่า คุณมู่

มู่อี้ฟานสะดุ้ง อะไร

ขึ้นรถ

มู่อี้ฟานเห็นจ้านเป่ยเทียนมีสีหน้าไม่ดี ในใจก็พอเดาได้ว่าพระเอกกินน้ำส้มสายชู (หึงหวง) เข้าไป เลยไม่อยากให้เขามองนางเอกเป็นแน่ อย่างไรก็ตาม เขายืนกรานจะมองให้ได้ และจะมองไม่หยุดด้วย แถมเขายังอยากแนะนำตัวเอง ทำให้เทพธิดาของเขาจดจำตัวเองได้อีกด้วย

เขาหันขวับไปทางหรงเอี๋ยนที่หยุดฝีเท้าลงเพราะได้ยินเสียงทะเลาะกัน โบกมือพร้อมตะโกนอย่างตื่นเต้นว่า คนสวย ผมชื่อมะ...มู่มู่นะ คุณชื่ออะไรเหรอ

จ้านเป่ยเทียนหิ้วคอเสื้อเขาด้วยท่าทางเย็นชา อ้อมจากหน้ารถไปยังประตูที่นั่งข้างคนขับ จัดการโยนคนหน้าไม่อายเข้าไปในรถ 

มู่อี้ฟานดื้อด้านไม่ยอมแพ้ โผล่หัวออกจากในรถ คนสวย ถ้าพบกันครั้งหน้า ผมจะชวนคุณไปกินข้าวนะ เบอร์โทร.ของผมคือ XXXXXXXXXX…”

หุบปาก! นั่งดีๆ ซะจ้านเป่ยเทียนกล่าวเสียงต่ำ

มู่อี้ฟานเมินเฉยต่อคำเตือนของเขา ตะโกนต่อไปว่า คนสวย จำไว้นะ ผมชื่อมู่มู่

จากนั้นชี้ไปที่จ้านเป่ยเทียน ส่วนเขาชื่อชุ่ยฮัว

คิกๆ คำพูดของมู่อี้ฟานทำเอาหรงเอี๋ยนหัวเราะไปเต็มๆ

ผู้ชายสูงใหญ่ขนาดนี้เนี่ยนะชื่อ ชุ่ยฮัว 

“...” จ้านเป่ยเทียนหน้ามืดครึ้มปิดประตูรถ และขับออกไปอย่างรวดเร็ว

มู่อี้ฟานกลับมานั่งที่เดิมอย่างห่อเหี่ยว ฉันยังไม่ได้ถามชื่อเธอเลยนะ

นางเอกกับคนที่เขาชอบในโลกจริงนั้นเหมือนกัน ก็ไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลหรงจากปากจ้านเป่ยเทียนอย่างหรงเสวี่ยจะหน้าตาเป็นยังไง

สันนิษฐานว่าน่าจะดูคล้ายกันไม่มากก็น้อย เพราะยังไงพวกเธอก็เป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน ในเวลานั้นหากคุณพ่อหรงเอี๋ยนไม่นอกใจ ยืนกรานจะหย่ากับคุณแม่หรงเอี๋ยนเพื่อแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นแล้วละก็ ไม่อย่างนั้นสองพี่น้องก็คงไม่ต้องแยกจากกัน

ต่อมา น้องสาวที่อายุเพิ่งจะหนึ่งขวบหมาดๆ ก็ถูกเลี้ยงดูโดยบิดาและเมียน้อยอย่างไร้ทางเลือก ดังนั้น ด้วยการเสี้ยมสอนของเมียน้อย น้องสาวคนนี้จึงเจ้าเล่ห์เพทุบาย เอาแต่ใจ และขี้อิจฉาอย่างมาก และเธอยังเคียดแค้นชิงชังมารดาแท้ๆ และพี่สาวที่ทอดทิ้งเธออย่างไร้เยื่อใยไปตั้งแต่เด็กด้วย

ทั้งเพราะพี่สาวไม่ว่าจะทำอะไรก็ดีกว่าเธอ ผู้ชายที่ชอบก็ดันไปชอบพี่สาวอีก ดังนั้น เธอเลยให้อันธพาลสามคนมารังแกพี่สาวตัวเอง

จ้านเป่ยเทียนเหลือบมองเขา ไม่ได้พูดอะไร ใจตวัดนึกถึงเรื่องอันธพาลสามคนนั้น

เรื่องราวยังดำเนินไปตามเดิมก่อนที่เขาจะเกิดใหม่ มันหมายความว่า วันสิ้นโลกจะยังมาถึงใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเขาควรเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะถึงวันนั้นสินะ


 

บทที่ 20 ร่างกายผิดปกติ

มู่อี้ฟานกลับไปอยู่ในรถได้ไม่นาน คนก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วอีก ราวกับไม่ได้นอนมาครึ่งเดือนอย่างไรอย่างนั้น เขาหลับสนิทเป็นพิเศษ ส่วนน้ำลายซึ่งมีกลิ่นหอมมากไหลย้อยหยดลงบนปกเสื้อ 

ขณะทานข้าวอยู่ จ้านเป่ยเทียนปลุกยังไงเขาก็ไม่ตื่น พอใช้แรงเขย่าตัวเขาเท่านั้นแหละ เขาถึงจะตื่นขึ้นมาทุกส่วนอย่างมึนๆ งงๆ ยิ่งกว่านั้นในมื้ออาหารล้วนหลับตา และไม่กลัวก้างปลาทิ่มปากเอาเสียเลย

มู่อี้ฟานไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงง่วงขนาดนี้ เวลาลืมตารู้สึกเหนื่อยหนักมาก

พอกลับมาถึงวิลลา เขาก็ไม่อาบน้ำ แต่ตรงไปล้มตัวลงบนเตียงนอนหลับกรนเสียงดัง จากนั้นพอหลับแล้วก็หลับจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น และกินข้าวเสร็จก็กลับไปหลับต่ออีกครั้ง

แรกเริ่มจ้านเป่ยเทียนไม่ได้สังเกตความผิดปกติของมู่อี้ฟานเลย นอกจากนี้ ความคิดทั้งหมดของเขาก็วางอยู่บนเรื่องวันสิ้นโลกที่ใกล้เข้ามา

ขณะที่เขากำลังวางแผนตระเตรียมของก่อนวันสิ้นโลกจะใกล้เข้ามา โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นลู่หลินที่โทร.มาหา

ท่านพลตรี พวกเรามาถึงเมือง G เรียบร้อย และสืบเรื่องที่ท่านสั่งได้แล้วครับ เมื่อเดือนก่อนที่หมู่บ้านสุ่ยมีเด็กอายุห้าขวบของครอบครัวหนึ่งโดนคนขับรถชนจริงๆ ครับ สำหรับฆาตกรที่ขับรถชนเด็กนั้น มีสถานะเบื้องหลังที่ทรงอิทธิพลในเมือง G ครับ ดังนั้น พวกเราจึงไม่ได้สืบเข้าไปลึก และโดยเนื้อแท้แล้วเมือง G ไม่ได้เป็นถิ่นของเรา อย่างไรก็ตาม ว่ากันว่าฆาตกรที่ขับรถชนเด็กนั้นแซ่มู่ ซึ่งหลังเกิดเรื่องก็ใช้ทุกวิถีทางเพื่อปกปิดเต็มที่ครับ

แซ่มู่?

เช่นนั้นก็น่าจะเป็นมู่มู่สินะ

จ้านเป่ยเทียนพูดเสียงเรียบ หยุดเรื่องที่สืบตรงนี้ซะ ฉันมีงานอื่นให้พวกนายทำ พรุ่งนี้ไปเช่าโกดังหลายพันตารางเมตรสำหรับหนึ่งเดือน เซี่ยงกั๋วรับผิดชอบซื้อข้าวซะ ยิ่งมากเท่าไรยิ่งดี ส่วนคุณภาพข้าวให้พอๆ กับที่ครอบครัวทั่วไปใช้หุงหาอาหารก็ใช้ได้แล้ว ยังมี…”

หลังแจกแจงเรื่องทั้งหมด เขาเห็นว่าเวลายังเช้าอยู่ จึงหยิบกุญแจรถขับตระเวนออกไปข้างนอก เพื่อตรวจดูว่ายังมีสิ่งไหนที่ยังต้องเตรียมอีก

ต่อมา พอยุ่งปุ๊บก็ยุ่งไปอีกสามสี่วัน มีแค่เวลากินข้าวและนอนหลับเท่านั้นถึงจะกลับไปในวิลลาของมู่อี้ฟาน

อย่างทีละเล็กทีละน้อย เขาพบว่าไม่กี่วันมานี้มู่อี้ฟานผิดปกติมาก นอกจากอาเจียนน้อยลงทุกวันแล้ว ไม่กินอิ่มก็หลับ หรือไม่นอนอิ่มก็กิน ยิ่งกว่านั้นปริมาณข้าวก็เยอะมาก แถมยังชอบกินของเปรี้ยวมากๆ อีก จนเกือบจะพอๆ กับหมูแล้ว

เดิมทีจ้านเป่ยเทียนไม่คิดสนใจมู่อี้ฟาน แต่อย่างที่คิด ร่างกายมู่อี้ฟานที่แต่เดิมก็ป่วยอยู่แล้ว ภายหลังยังถูกยิงแทนตัวเองอีก ที่สำคัญที่สุดคือ ฉิงเทียนจูอยู่ในร่างมู่อี้ฟาน ดังนั้น ไม่สนใจก็ไม่ได้อีก

เขาดูเวลานาฬิกาบนผนัง สองทุ่มแล้ว ห้องโถงเงียบสนิทและไม่มีคนสักนิด

จ้านเป่ยเทียนลังเลชั่วขณะหนึ่งถึงจะก้าวเท้าขึ้นไปชั้นสองจนเดินมาถึงห้องของมู่อี้ฟาน

ประตูห้องไม่ได้ล็อกและสามารถเดินตรงดิ่งเข้าไปได้เลย ในห้องมืดทึบ ทำได้เพียงยืมแสงสว่างจากนอกหน้าต่างมองดูการตกแต่งภายในห้อง

จ้านเป่ยเทียนกดสวิตช์เปิดไฟ ทันใดนั้นก็เห็น มัมมี่ นอนราบอยู่บนเตียง

เมื่อคืนวานก่อน หลี่ชิงเทียนแวะมาเปลี่ยนยาให้มู่อี้ฟานรอบหนึ่ง และเปลี่ยนผ้ากอซบนแขนต่อหน้าต่อตาเขา ซึ่งบนแขนขวาของมู่อี้ฟานมีรอยแผลถูกยิงอยู่จริงๆ

สำหรับผ้ากอซบนหน้า เพราะมู่อี้ฟานไม่อยากให้เขาเห็นหน้าตาน่าเกลียดหลังอาการแพ้ ดังนั้น จึงลากหลี่ชิงเทียนไปเปลี่ยนในห้อง

“...” จ้านเป่ยเทียนเม้มริมฝีปากเรียบเดินเข้าไป เขารู้ว่ามู่อี้ฟานปลุกยากมาก ก็เลยใช้มือเขย่าตรงๆ คุณมู่ ตื่น

คนบนเตียงไม่ตอบสนอง

จ้านเป่ยเทียนเพิ่มแรงเขย่าอีกครั้ง มู่มู่ ตื่นสิ

ปลุกเรียกอีกเจ็ดแปดครั้ง มัมมี่ บนเตียงถึงจะเอ้อระเหยตื่นขึ้นมาและกะพริบตาปริบๆ อย่างสะลึมสะลือ มองจ้านเป่ยเทียนอย่างเด๋อๆ ด๋าๆ ไม่รู้ว่านี่เป็นความฝัน หรือความจริงกันแน่

จ้านเป่ยเทียนใช้ช่วงที่เขาตื่นตัวนิดเดียว พูดเสียงเฉยเมยว่า ร่างกายนายผิดปกติมาก นายรีบล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ ฉันจะพานายไปตรวจที่โรงพยาบาล

มู่อี้ฟานตอบสนองได้เชื่องช้ามาก ผ่านไปสิบวินาที เขาถึงส่งเสียงหาวที่โง่ทึ่มออกมา หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นไปห้องน้ำล้างหน้าล้างตาให้ตัวเองสดชื่น

ตอนที่ปลดทุกข์ เขารู้สึกว่าชุดนอนของตัวเองดูรัดแน่นขึ้น จึงก้มลงมอง ชั่วอึดใจนั้นเขาก็ตื่นขึ้นมาเต็มตา ตะโกนออกไปข้างนอกอย่างขวัญหนีดีฝ่อ เทียน...เป่ยเทียน...จ้านเป่ยเทียน นายรีบเข้ามาหาฉันเร็วเข้า


 

บทที่ 21 นี่มันไม่วิทยาศาสตร์เลย

จ้านเป่ยเทียนได้ยินเสียงตะโกนแตกตื่นจึงแสดงอาการพรั่นพรึงถลันตัวเข้าไปในห้องน้ำ

เห็นเพียงมู่อี้ฟานใช้มือซ้ายเลิกชุดนอนของตัวเองขึ้น มือขวาสั่นระริกชี้ไปที่ท้องของตัวเอง พูดเสียงสั่นเครือว่า นะ...นายดู

สายตาของจ้านเป่ยเทียนย้ายจากบนหน้าเลื่อนไปยังหน้าท้องของมู่อี้ฟาน ช่วงท้องนูนใหญ่ขึ้นขนาดคล้ายคนตั้งครรภ์ประมาณ 5-6 เดือน

พระเจ้า เขาอดตกตะลึงไม่ได้

ความภาคภูมิใจในกล้ามท้องของฉันไม่เหลือแล้ว

มู่อี้ฟานพูดหน้าบูดหน้าบึ้ง ถึงแม้กล้ามท้องล่ำๆ ไม่ใช่เขาที่ฝึกออกมา แต่เขากลับชอบร่างนี้มากๆ ไม่เหมือนเขาในชีวิตจริงที่หุ่นเพรียวบางเกินงาม และฝึกยังไงกล้ามก็ไม่ขึ้นสักที

จ้านเป่ยเทียน “...”

นี่มันใช่ประเด็นไหม

ฉันแค่ไม่ออกกำลังกายมาสี่วันเอง ทำไมร่างกายถึงอุดมสมบูรณ์ได้ นี่มันไม่วิทยาศาสตร์เลย

จ้านเป่ยเทียน “...”

เขาดูออกว่าสิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะฉิงเทียนจู เช่นนั้นท้องคนธรรมดาจะใหญ่โตขึ้นมาอย่างรวดเร็วได้อย่างไร

ย้าาา!จู่ๆ มู่อี้ฟานก็ตะโกนเสียงดังขึ้นกะทันหัน 

จ้านเป่ยเทียนถูกเสียงตะโกนผีสางของเขาขู่จนสะดุ้งโหยง หน้าขรึมลงฮวบ ถามว่า นายร้องอะไร?”

มู่อี้ฟานพูดจาลนลาน ฉะ...ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างขยับอยู่ในท้องของฉัน

จ้านเป่ยเทียนขมวดคิ้ว มีบางอย่างขยับอยู่?”

ใช่ อ๊ะ ขยับอีกแล้วมู่อี้ฟานสัมผัสท้อง พูดอย่างระทึกว่า มันขยับอยู่จริงๆ นะ ถ้านายไม่เชื่อก็ลองแตะดูสิ

จ้านเป่ยเทียนจ้องหน้าท้องกลมๆ สีหน้าออกจะลังเล

สีผิวของมู่อี้ฟานไม่เพียงแต่จะขาวผ่องขึ้น ด้านในสะดือเองก็มีไฝสีแดงเม็ดเล็กๆ สีสันสดใสอย่างสมบูรณ์เหมือนหยดเลือดอีกด้วย

นายดูสิ ขยับอีกแล้ว เกิดอะไรขึ้นมู่อี้ฟานมองหน้าจ้านเป่ยเทียนอย่างกังวลใจ

จ้านเป่ยเทียนได้สติกลับคืน เขาจ้องมู่อี้ฟานเขม็ง พยายามยกมือขึ้นวางบนท้องของเขา ห้าวินาทีต่อมา ท้องก็ขยับทันที

เขาตัวแข็งทื่อ รีบชักมือกลับ ในใจรู้สึกพิกลขึ้นมาบ้างทั้งรู้สึกมหัศจรรย์บ้าง เป็นความซับซ้อนที่แสนพิเศษ

จ้านเป่ยเทียนนวดคลึงหว่างคิ้ว พวกเราไปตรวจที่โรงพยาบาลกันเถอะ

มู่อี้ฟานสวนปั๊บว่า ฉันไม่อยากไปโรงพยาบาลของหมอเก๊คนนั้นนะ

ฉันมีเพื่อนคนหนึ่งที่ทำงานในโรงพยาบาลทหารอยู่เมือง G ฉันจะพานายไป ตอนนี้นายรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ ฉันจะรออยู่ด้านล่างจ้านเป่ยเทียนกล่าวขณะเดินออกจากห้อง มือพลางหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร.หาเพื่อนของเขา และเล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ให้เพื่อนฟัง

สิบนาทีต่อมา มู่อี้ฟานสวมชุดนอนเดินลงมาชั้นล่างด้วยสีหน้าขมขื่น ท้องมันใหญ่เกินไป กางเกงทุกตัวสวมไม่ได้ เสื้อก็เหมือนกัน

“...” จ้านเป่ยเทียนหยิบกุญแจรถขึ้นมา งั้นก็ไปทั้งอย่างนี้แหละ

กว่าพวกเขาจะมาถึงโรงพยาบาลทหารก็อีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง มู่อี้ฟานหลับไวไปอีกครั้ง

จ้านเป่ยเทียนมองหน้าคนด้านข้างที่หลับอุตุอยู่ด้านข้างของเขาแล้วตัดสินใจไม่ปลุกคนด้านข้าง กลับอุ้มคนลงจากรถเงียบๆ เบาๆ จนมาถึงห้องตรวจของเพื่อนเขา กระซิบทักทายชายหนุ่มผู้สุภาพเรียบร้อยที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ชินหยาง

เสิ่นชินหยางเงยหน้าขึ้น มองไปยังจ้านเป่ยเทียนที่อุ้มชายคนหนึ่งอยู่แล้วตกตะลึง เขาหลับอีกแล้ว

อืม

จ้านเป่ยเทียนวางคนลงบนเตียงคนไข้ พูดคุยเรื่องอาการป่วยของมู่อี้ฟานกับเสิ่นชินหยาง แล้วก็เรื่องแผลกระสุน และมะเร็งกระดูกไปหมดเปลือก

หลังเสิ่นชินหยางฟังจบก็ครางเสียงต่ำ อาการป่วยของเขาผิดปกติไปบ้างจริงๆ เป็นไปได้มากว่าจะเกิดจากมะเร็งกระดูกไหมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

จ้านเป่ยเทียนเม้มริมฝีปาก พูดว่า ฉันอยากให้นายทำอัลตราซาวนด์ก่อน

เสิ่นชินหยางมองเขาด้วยความประหลาดใจ

ภาพลักษณ์ไม่ยินดียินร้ายของจ้านเป่ยเทียนส่อเค้าทำอะไรไม่ถูกอยู่นิดหน่อย เดี๋ยวถ้านายเห็นอะไรบางอย่าง ขออย่าตกใจเกินไปนะ


 

บทที่ 22 พ่ออีกคนของเด็กคือใคร

หลังพลบค่ำ คนที่มาอัลตราซาวนด์ที่โรงพยาบาลมีอยู่น้อยมากๆ เสิ่นชินหยางเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล เขาจึงสามารถนำมู่อี้ฟานเข้าตรวจในห้องอัลตราซาวนด์ได้โดยตรง จ้านเป่ยเทียนเองก็เดินตามเข้าไปด้วย

เสิ่นชินหยางตรวจส่วนหน้าท้องที่นูนขึ้นของมู่อี้ฟานตามความต้องการของจ้านเป่ยเทียน หลังจากนั้นในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมจ้านเป่ยเทียนถึงขอให้เขาอย่าตกใจมากเกินไป

พระเจ้าช่วย เขาเป็นผู้ชายคนหนึ่งชัดๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีมดลูก จู่ๆ ก็เกิดตั้งครรภ์ขึ้นเนี่ยนะ ดูจากขนาดสมควรมีอายุห้าเดือนกว่าแล้ว แต่ทารกไม่เพียงยังมีชีวิตอยู่ แต่สุขภาพยังแข็งแรงสมบูรณ์อีกต่างหาก นี่เป็นสิ่งที่แพทย์เองก็หาคำอธิบายไม่ได้ง่ายๆ แน่นอน

สีหน้าเสิ่นชินหยางเหลือเชื่อมาก ตอนที่มองไปยังมู่อี้ฟาน ดวงตาสองข้างเปล่งประกายระยิบระยับราวกับมองดูสิ่งล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้น และอดใจไม่ไหวอยากส่งคนไปห้องแล็บเพื่อทำการวิจัย 

จ้านเป่ยเทียนขมวดคิ้ว แม้ก่อนหน้านี้ได้คาดเดาสภาพร่างกายของมู่อี้ฟานมาแล้ว แต่ตอนที่ได้ยินว่าชายหนุ่มตั้งครรภ์ห้าเดือนก็ยังอดพิศวงสนเท่ห์ไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ครั้งที่ไปตรวจเมื่อสองสามวันก่อน แพทย์เพิ่งบอกว่าอายุครรภ์แค่สามเดือนกว่าเอง ทำไมแป๊บเดียวก็เปลี่ยนเป็นห้าเดือนแล้วล่ะ

นายแน่ใจนะว่าห้าเดือนแล้ว?”

แน่ใจสิ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่บอกว่านอกจากเขาคลื่นไส้ อาเจียน ไม่รวมชอบกินของเปรี้ยวด้วยแล้ว ยังง่วงนอนด้วยใช่ไหมล่ะ ทั้งหมดนี่คืออาการของหญิงตั้งครรภ์นั่นแหละ

จ้านเป่ยเทียนมองทารกบนจออัลตราซาวนด์อย่างซับซ้อน เขาในเวลานี้มั่นใจอย่างยิ่งว่าฉิงเทียนจูได้เปลี่ยนเป็นทารกแล้ว ไม่อย่างนั้นผู้ชายจะท้องโดยไร้เหตุผลได้อย่างไร และในเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน จากท้องสามเดือนก็เปลี่ยนเป็นท้องห้าเดือนเสียอย่างนั้น

สายตาของเขาซับซ้อนหันกลับไปมองมู่อี้ฟานที่พันหน้าพันตา เขาไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมฉิงเทียนจูจึงพุ่งเข้าไปในท้องของชายคนนี้

ใช่แล้ว พ่ออีกคนของเด็กคือใครล่ะ ทำไมฉันไม่เห็นเขามาเป็นเพื่อนพวกนายที่โรงพยาบาลด้วยล่ะ?” เสิ่นชินหยางหันกลับไปมองจ้านเป่ยเทียนอย่างอยากรู้อยากเห็น

จ้านเป่ยเทียนสีหน้าดูแข็งทื่อ เม้มริมฝีปากพูดไม่ออกอยู่เงียบๆ

ถ้าเขาพูดว่าทารกในครรภ์นี้เป็นลูกปัดลูกหนึ่งทำขึ้นมา เพื่อนสนิทคงไม่เชื่อเป็นแน่

ถ้าบอกว่าเดิมทีไม่มีพ่ออีกคนอยู่เลย นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้มากกว่า ภายใต้สถานการณ์ไม่มีอีกคนมอบสเปิร์มให้ ในท้องจะเกิดเด็กสักคนขึ้นมาได้อย่างไร

แน่นอนว่าเขาสามารถสุ่มๆ เอาผู้ชายสักคนมาพูดก็ได้ แต่มันจะทำลายชื่อเสียงของมู่มู่เอาได้

อนึ่ง เมื่อพูดถึงอย่างเคร่งเครียดจริงจังแล้วละก็ เด็กทารกในครรภ์คนนี้เขาปัดความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรฉิงเทียนจูก็ถูกเขาใช้เลือดหล่อเลี้ยงมา จึงสมควรจะมีสายเลือดเดียวกันกับเขา

พอจ้านเป่ยเทียนนึกถึงชายคนหนึ่งที่อุ้มท้องลูกของเขา ในใจก็รู้สึกกระวนกระวายอย่างอธิบายไม่ได้ อีกทั้งยังรู้สึกอัศจรรย์ใจบ้างพอๆ กัน

เสิ่นชินหยางเห็นเพื่อนสนิทเงียบอยู่นาน ดวงตายิ่งเบิกถลนขึ้นเรื่อยๆ เด็กคนนี้คงไม่ใช่ลูกนายใช่ไหม?!?”

จ้านเป่ยเทียนไม่พูด

เสิ่นชินหยางรู้สึกว่าท่าทีแบบนี้ของเพื่อนสนิทเหมือนเป็นการยอมรับโดยปริยาย พูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ เป่ยเทียน ไม่ใช่ว่านายชอบผู้หญิงเหรอ ทำไมถึงไปทำกับผู้ชายปุบปับแบบนี้เล่า ถ้าปู่นายรู้เรื่องนี้เข้าละก็ จะต้องหยิบปืนมายิงนายแน่ๆ

จ้านเป่ยเทียนขมวดคิ้วไม่คิดอธิบายให้เขาเข้าใจ ถามเสียงเบาว่า นายเอาเด็กออกมาได้ไหม หรือไม่ก็ทำแท้งซะ

เขารู้สึกว่าหลังเอาเด็กออกมาในตอนนี้ มันก็จะเปลี่ยนกลับเป็นลูกปัด

อย่างไรก็ตาม เขาพูดไปไม่ทันไร คนบนเตียงก็ขดตัวเข้าหากัน เสียงครางอย่างเจ็บปวดดังออกมาจากปาก เจ็บ

มู่อี้ฟานที่กำลังหลับฝันอยู่ จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดฉับพลันบริเวณช่องท้องทันที เขาลืมตาพรึบ เจ็บปวดจนขบริมฝีปากล่างจนขาวซีด และกุมท้องที่นูนป่อง

เสิ่นชินหยางกระซิบข้างหูจ้านเป่ยเทียน หรือว่าเด็กในท้องเขาคงจะรู้ว่านายไม่ต้องการเขาก็เลยเริ่มโกรธขึ้นมาน่ะ

จ้านเป่ยเทียนจ้องเขาอย่างเย็นชา แต่กลับเห็นด้วยกับคำพูดนั้นอย่างช่วยไม่ได้

เพราะตอนที่หมอบอกให้เอาเด็กออกคราวก่อน มู่มู่ก็กุมท้องครวญครางอย่างเจ็บปวดอย่างนี้เหมือนกัน

สายตามองมู่อี้ฟานกลิ้งไปมาบนเตียง จ้านเป่ยเทียนก็หันไปพูดกับเสิ่นชินหยาง เมื่อกี้นายก็ถือซะว่าฉันไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน

ฉับพลันมู่อี้ฟานก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป ทั้งร่างนอนอัมพาตอยู่บนเตียงอย่างอ่อนแรง

จ้านเป่ยเทียนหรี่ตาลง

ดูท่าว่าฉิงเทียนจูจะไม่ยอมออกมา

ถ้ามันไม่ยอมออกมาเอง คนอื่นก็ไม่สามารถนำมันออกมาได้

มู่อี้ฟานมองไปรอบๆ ห้องอัลตราซาวนด์ สุดท้ายสายตาก็ตกลงที่ร่างของจ้านเป่ยเทียน เขาถามอย่างอ่อนแอว่า ตรวจร่างกายเสร็จแล้วเหรอ? สรุปเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายฉัน?”

ทำไมเดี๋ยวท้องมันก็ปวดแทบตาย อีกเดี๋ยวก็ไม่ปวดแล้วนะ แถมมาเร็วไปเร็วอีก

จ้านเป่ยเทียนไม่พูดอะไร

เสิ่นชินหยางมองตาเพื่อนสนิท ยิ้มแย้มแจ่มใส และเอ่ยว่า คุณชายท่านนี้ คุณตั้ง…”

ชินหยาง นายมากับฉันจ้านเป่ยเทียนขัดจังหวะการพูดของเขา

โอ๊ะ โอเคเสิ่นชินหยางเสียดายอย่างมากที่ไม่สามารถพูดได้จนจบ และหมุนตัวเดินออกไป

มู่อี้ฟานเอนนอนบนเตียง มองเงาตามหลังพวกเขาจากไปอย่างฟุ้งซ่าน

ชินหยาง?

เสิ่นชินหยาง?

เชี่ยเอ้ย!

ทำไมแต่ละคนในนิยายที่เขาใช้ชื่อเพื่อนสมัยเด็กและเพื่อนซี้มาตั้งชื่อถึงมีหน้าเหมือนกันเป๊ะกับคนในชีวิตจริงกันวะ มันเหมือนกับว่าทั้งจ้านเป่ยเทียนและเสิ่นชินหยางต่างก็หน้าตาเหมือนเพื่อนสมัยเด็กและเพื่อนซี้ของเขาเลย

 

นอกห้องอัลตราซาวนด์ เสิ่นชินหยางพูดเสียงกระซิบว่า เป่ยเทียน นายคงไม่ได้คิดปิดเขาเรื่องท้องหรอกนะ? เรื่องนี้มันปิดได้แค่ชั่วคราวเท่านั้นแหละ ตอนที่เด็กเกิดมา มันปิดเขาไม่อยู่หรอก…”

จ้านเป่ยเทียนสวนกลับ ถึงตอนนั้น แม้เขาไม่อยากให้เกิด ก็ต้องคลอดออกมาอยู่ดี

เสิ่นชินหยาง “...”

จ้านเป่ยเทียนกวาดตามองทางเดินที่ไร้ผู้คนสัญจร และกระซิบว่า ชินหยาง นายรีบไปลาออก หรือขอลาหยุดกลับเมือง B ในวันพรุ่งนี้ซะ…”

เสิ่นชินหยางสงสัย ทำไมฉันต้องลาออก หรือขอลาหยุดล่ะ?”

จ้านเป่ยเทียนสีหน้าสงบนิ่ง ฉันบอกความจริงนายไม่ได้ชั่วคราว

เสิ่นชินหยางรู้ว่าเพื่อนสนิทจะไม่ให้เขาลาออก หรือลาหยุดอย่างไร้เหตุผลแน่ เพื่อนสนิทคงได้รับข่าวสารบางอย่างจากในกองทัพเป็นแน่ ถึงต้องให้เขาทำอย่างนี้

ถ้าลาออกทันที เป็นไปไม่ได้ แต่ขอลาหยุดพอได้อยู่ นายอยากให้ฉันลากี่วัน?”

หนึ่งเดือน

เสิ่นชินหยางคิดว่าตัวเองก็ไม่ได้หยุดพักร้อนมาหลายปีดีดักแล้วจึงพยักหน้าตกลง โอเค ถ้าฉันผ่าตัดพรุ่งนี้เสร็จ ฉันจะลาหยุดกลับเมือง B ”

หลังจากที่นายกลับถึงเมือง B นายกับจวินหลินสองคนกักตุนอาหารไว้ให้มากที่สุด แล้วเก็บไว้ในบ้านซะ ทางที่ดีตุนได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ หลังจากรอฉันแน่ใจจริงๆ แล้ว ค่อยบอกพวกนายว่าทำยังไงต่อ

ได้

จ้านเป่ยเทียนเงียบลงกะทันหัน ดวงตาไม่ยินดียินร้ายคู่นั้นมีความไม่สบายใจสายหนึ่งวาบผ่าน 

เสิ่นชินหยางไม่เคยเห็นจ้านเป่ยเทียนเป็นแบบนี้เลยพูดติดตลกใส่เขาว่า เห็นนายมองแบบนี้ คงไม่มีเรื่องอะไรน่าอายที่บอกไม่ได้ที่ต้องพูดกับฉันหรอกนะ?”

จ้านเป่ยเทียนกระแอมไอ นายไปแผนกนารีเวชหยิบหนังสือเกี่ยวกับการตั้งครรภ์สักสองสามเล่มมาให้หน่อยได้ไหม?”

เสิ่นชินหยางหัวเราะลั่น ทางเดินที่โล่งสะอาดจึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเขา จ้านเป่ยเทียน นายก็มีวันนี้กับเขาด้วย นายกังวลว่าจะไม่รู้วิธีดูแลภรรยาชายของนายยังไงล่ะสิ?”

จ้านเป่ยเทียนใบหน้ามืดครึ้ม

เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมู่มู่ไม่ได้เป็นอย่างที่เสิ่นชินหยางพูด เหตุที่เขาอ่านหนังสือสำหรับหญิงตั้งครรภ์ล้วนเพราะฉิงเทียนจูเท่านั้น เรื่องนี้เกี่ยวพันกับมิติติดตัวของเขา

เสิ่นชินหยางคลี่ยิ้มแล้วพูดว่า ฉันมีคำพูดบางอย่างอยากเตือนนายล่วงหน้า เด็กคนนี้เขาผ่าเหล่าอย่างสิ้นเชิง ไม่แน่ว่าอาจจะเสียชีวิตในท้องก่อนคลอดได้ตลอดเวลา ที่สำคัญที่สุดคือ เขาป่วยเป็นโรคมะเร็งกระดูก ก่อนหน้านั้นไม่ใช่นายบอกว่าเขาเหลือเวลาอยู่ไม่นานหรอกเหรอ? จากนั้นเป็นไปได้มากว่าเขาจะอยู่คลอดเด็กไม่ได้จนถึงวันนั้น ดังนั้น เรื่องพวกนี้นายต้องเตรียมใจเผื่อไว้บ้าง อีกอย่างนะ เขาไม่มีช่องคลอด ตอนที่คลอดต้องผ่าคลอดเท่านั้น นายต้องเตรียมความพร้อมผ่าตัดให้เร็วที่สุดด้วย

พูดมาถึงตรงนี้เขาก็ยิ้มอีกรอบ ฉันสงสัยอยู่เลย ว่านายไปทำลูกอีท่าไหนให้ติดได้?”

ถ้าผู้ชายข้างในไม่ใช่ภรรยาของจ้านเป่ยเทียนละก็ เขาล่ะอยากจับไปทำวิจัยที่ห้องแล็บจริงๆ

จ้านเป่ยเทียนเหล่ตามองเขา ฉันต้องสาธิตเรื่องส่วนตัวบนเตียงให้นายดูด้วยเหรอ?”

เสิ่นชินหยางหัวเราะเสียงสอง นายไม่อยากให้ฉันตรวจมะเร็งกระดูกให้ภรรยานายหน่อยเหรอ?”

ไม่จำเป็น เขามีหมอประจำตระกูลตรวจรักษาให้เขาอยู่แล้ว

ถ้าอย่างนั้นฉันไปหยิบหนังสือให้นายก่อนนะ นายรอฉันอยู่ชั้นล่างล่ะ

จ้านเป่ยเทียนหมุนตัวบิดประตูกลับเข้าไปในห้องอัตราซาวนด์ ไปล่ะ

 

มู่อี้ฟานที่กำลังมึนงงรีบลงจากเตียง หมอว่ายังไงกับนายบ้าง สรุปฉันป่วยเป็นอะไร

จ้านเป่ยเทียนพูดเสียงเรียบ ท้องอืด

ท้องอืด?” มู่อี้ฟานไม่เชื่อ ใช่แน่เหรอ ทำไมฉันไม่รู้สึกว่าท้องมันจุกเสียดล่ะ นายคงไม่ได้โกหกฉันหรอกใช่ไหม

แต่แค่ท้องอืดจะทำให้คนเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนแถมยังทำให้ท้องนูนได้ด้วยจริงๆ เหรอ แล้วเรื่องหลับสนิทเล่าจะอธิบายยังไง

จ้านเป่ยเทียนเมินเขา และเดินตรงไปยังชั้นล่าง

มู่อี้ฟานคิดในใจว่าจ้านเป่ยเทียนไม่มีเหตุผลต้องโกหกเขา จึงทำได้เพียงเชื่อคำพูดนี้

เมื่อลงมาถึงชั้นแรก จ้านเป่ยเทียนก็ให้เขากลับไปรอที่รถก่อน

ไม่กี่นาทีต่อมา เสิ่นชินหยางก็ถือถุงเดินออกจากอาคารโรงพยาบาลแล้วส่งต่อให้จ้านเป่ยเทียน

จ้านเป่ยเทียนกลับมานั่งบนรถ เอาถุงวางไว้เบาะหลัง และขับรถออกไปจากเขตโรงพยาบาลทหาร

มู่อี้ฟานที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับเอี้ยวหัวหันกลับไปมองเล็กน้อย ยืมแสงไฟที่ส่องผ่านจากข้างนอกเข้ามา เขาก็เห็นหนังสือสองสามเล่มในถุงใบนั้น

หน้าปกของหนังสือเล่มนั้น ด้านบนสุดมีตัวอักษรคำว่า ตั้งครรภ์ เขียนอยู่ในนั้น และก็ไม่รู้ว่านั่นเป็นหนังสืออะไร


 

บทที่ 23 พ่องตาย

จ้านเป่ยเทียนเห็นมู่อี้ฟานเอี้ยวตัวไปมองเบาะหลัง จึงถามว่า นายดูอะไรอยู่

มู่อี้ฟานถอนสายตากลับ เพื่อนของนายให้แค่หนังสือไม่กี่เล่มได้ยังไง เขาไม่ได้จัดยาให้ฉันเหรอ?”

ยาอะไร

ยาแก้ท้องอืด

จ้านเป่ยเทียนเหลือบมองใบหน้ามู่อี้ฟานที่มีผ้ากอซพันไว้อย่างไม่สนใจ นายแพ้ยาเลยไม่ได้จัดให้

มู่อี้ฟานจนคำพูด

พ่องตาย!

ทำไมเขาถึงหยิบเอาเรื่องแพ้ยามาเป็นข้อแก้ตัวขณะนั้นด้วย ถ้ารู้เร็วกว่านี้ก็บอกไปว่ามีแผลบนใบหน้าเสียก็ดี

ตอนนี้ดีนัก ไม่มียาให้กิน แถมยังต้องอุ้มท้องโตๆ นี่อีก

มู่อี้ฟานสัมผัสช่วงท้องนูนป่องแล้วอยากจะร้องไห้ แต่ก็ไร้น้ำตา แล้วเพื่อนนายบอกไหมว่าท้องอืดเนี่ยจะหายตอนไหน

เขาอุ้มท้องใหญ่ๆ นี่ มันช่างดูอุ้ยอ้าย และน่าเกลียดพอๆ กันเลย

ว่าก็ว่าเถอะ ทำไมเขาอนาถขนาดนี้ สรุปแล้วเขาไปทำชั่วอะไรมาถึงทำให้เขาทะลุมิติเข้ามาในนิยายตัวเองนะ

มู่อี้ฟานหวนนึกถึงเรื่องที่ก่อนเขาจะทะลุมิติเข้ามาในนิยายอย่างอดไม่ได้ 

จำได้ว่าตอนนั้นเพิ่งเขียนนิยาย ราชาแห่งวันสิ้นโลก จบ เพื่อนสมัยเด็กของเขา จ้านเป่ยเทียนก็มาหาเขา และบอกว่าต้องแต่งงานกับญาติสาวของมู่อี้ฟานเดือนหน้า

เขาตกตะลึง รีบเอ่ยแสดงความยินดี

อย่างไรก็ตาม จ้านเป่ยเทียนดูไม่มีความสุขอย่างมาก พูดเสียงเย็นชาใส่ว่า นอกจากแสดงความยินดี นายไม่มีความคิดอย่างอื่นอีกแล้วเหรอ?”

เขานิ่งคิด พูดอย่างดีใจว่า ใช่แล้ว นิยายของฉันเพิ่งเขียนเสร็จ พวกเราออกไปฉลองด้วยกันข้างนอกเถอะ

ใบหน้าจ้านเป่ยเทียนมืดครึ้มลงทันควัน นี่นายหาเรื่องเอาตัวละครหลักในนิยายตัวเองมาฉลองเนี่ยนะ

พูดจบก็พุ่งออกจากประตูไป

คืนวันนั้น เขาก็ทะลุมิติเข้าไปในนิยายของตัวเองอย่างลึกลับ

จนถึงทุกวันนี้ เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่เลยว่าจ้านเป่ยเทียนโกรธอะไร

อย่าบอกนะว่า เพราะคำพูดของจ้านเป่ยเทียน เขาถึงทะลุมิติเข้ามาในนิยายน่ะ

จ้านเป่ยเทียนนับเวลาเจริญเติบโตของฉิงเทียนจู กล่าวว่า ใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือน

ถ้าหนึ่งวันหนึ่งคืนก็สามารถทำให้คนตั้งครรภ์ได้สามเดือน สี่วันต่อมาก็เปลี่ยนจากตั้งครรภ์สามเดือนเป็นห้าเดือน ดังนั้น น่าจะใช้เวลาแปดวันเปลี่ยนเป็นเจ็ดเดือน และใช้เวลาสิบหกวันค่อยคลอดเด็กออกมา

แน่นอนว่านี่แค่เป็นการคาดเดาของเขาเท่านั้น สุดท้ายแล้วเวลาที่ฉิงเทียนจูจะเต็มใจออกมา เขาก็ไม่แน่ใจนัก

มู่อี้ฟานได้ฟังก็เกือบไม่สะดุ้งขึ้นแล้ว หนึ่งเดือน? ใช้เวลานานขนาดนี้เชียว ฉันก็แค่ท้องอืดไหม ทำไมต้องใช้เวลาเป็นเดือนท้องฉันถึงจะยุบล่ะ

ช่างเถอะ

สิ่งที่เขากินไปไม่นานมานี้ก็เยอะพอตัวอยู่ แถมกินอิ่มก็นอนหลับอีก ไม่แปลกที่จะมีอาการท้องอืด

ในสถานะที่ไม่ได้ทานยา และต้องใช้เวลาเป็นเดือนอีกก็ถือเป็นเรื่องปกติล่ะนะ

จ้านเป่ยเทียนถามเสียงเรียบ มีปัญหา?”

มู่อี้ฟานส่ายหัวทันที ไม่มี

ไม่ถูกสิ!

ไม่ใช่ไม่มีปัญหา แต่ปัญหามันใหญ่ขึ้นต่างหากล่ะ!

เห็นได้ชัดว่าเขาอยากได้ความไว้ใจจากพระเอก แต่เขากลับนอนหลับอยู่บนเตียงมาสี่วัน ช่วงเวลานั้นเขาไม่มีปฏิสัมพันธ์กับพระเอกเลย ตอนนี้เหลือเวลาอีกยี่สิบกว่าวัน ถ้าเขาสามารถได้รับความเชื่อใจจากพระเอก ใช้ประโยชน์จากการที่พระเอกลดการป้องกันตัว และฆ่าพระเอกจะได้ไหมนะ


 

บทที่ 24 น้ำแกงล้างท้อง

วันต่อมา มู่อี้ฟานที่กำลังทุกข์ใจเรื่องที่ว่าจะกระชับความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองและพระเอกยังไงดี เขากลับพบว่าการแสดงออกของจ้านเป่ยเทียน แม้ว่าเย็นชาดุจน้ำแข็งเหมือนแต่ก่อน การพูดการจายังคงไร้ความรู้สึก แต่เขากลับรู้สึกว่าท่าทางที่จ้านเป่ยเทียนมีต่อเขาอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อยจนยากจะสังเกตเห็น 

อย่างเช่นตอนใกล้แปดโมงเช้า จ้านเป่ยเทียนวิ่งมาที่ห้องเพื่อเรียกให้เขาลุกขึ้นมากินอาหารเช้าโดยเฉพาะ ไม่เหมือนสองสามวันก่อนที่เอาบะหมี่ที่ปรุงเสร็จแล้ววางไว้บนโต๊ะแล้วเดินออกไปโทงๆ พอสองทุ่มก็นำอาหารฟาสต์ฟู้ดกลับมา โดยไม่สนเลยว่าเขาจะตื่นขึ้นมากินอาหารเช้าและอาหารเที่ยงหรือไม่

นอกจากนี้ อาหารเช้าก็เปลี่ยนเป็นมีคุณค่าด้านโภชนาการโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นนมวัว อาหารจานไข่เป็นหลัก เกี๊ยว ซาลาเปา ไหนจะบะหมี่เนื้อบด และโจ๊กพุทราผสมฟักทองที่วางอยู่เต็มโต๊ะขนาดใหญ่เต็มไปหมดอีก

มู่อี้ฟานมองจ้านเป่ยเทียนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม และถามอย่างระมัดระวังว่า วันนี้นายอารมณ์ดีมากใช่หรือเปล่า

ไม่อย่างนั้น ทำไมต้องเตรียมอาหารเช้าที่มีคุณค่าด้านโภชนาการขนาดนี้ปุบปับด้วยเล่า

จ้านเป่ยเทียนเหลือบมองมู่อี้ฟาน และเอาโจ๊กที่ต้มเสร็จวางไว้ตรงหน้าเขา

มู่อี้ฟานนึกอะไรบางอย่างออก จึงพูดต่อไปว่า นายให้ฉันกินเยอะขนาดนี้ ดูท่าจะให้เอาลูกปัดของนายออกมาให้ได้สินะ

จ้านเป่ยเทียนที่กำลังกินบะหมี่มุมปากกระตุก หุบปาก

มู่อี้ฟานเห็นสีหน้าเขาแย่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมากความอีก หยิบช้อนขึ้นมาตักโจ๊กกิน แต่กลับพบว่าโจ๊กวันนี้รสชาติดีเป็นพิเศษ

สิ่งที่น่าประหลาดคือ ทั้งที่มันก็แค่โจ๊กหวานชัดๆ แต่เขากลับได้กลิ่นหอมโชยออกมาขณะกิน มันเหมือนกับว่าเขาได้กินโจ๊กหมูที่มีรสชาติกลมกล่อมเข้าไปเลย

โจ๊กนี่นายซื้อมาจากไหนอะ มันทั้งหอมและอร่อยสุดๆ เลย

การเคลื่อนไหวของจ้านเป่ยเทียนชะงัก มองปลายนิ้วที่มีรอยบาด และไม่ได้พูดอะไรออกมา

หลังจากมู่อี้ฟานซดโจ๊กเสร็จ และรู้สึกว่ายังกินไม่อิ่ม เขาจึงเริ่มทานบะหมี่หมูบด เกี๊ยว ซาลาเปา และนมวัวเข้าไปอีก อาหารเช้าบนโต๊ะเกือบจะถูกเขากวาดจนเกลี้ยงไปหมด

เขาเอนตัวลงบนพนักพิง ลูบท้องกลมๆ อย่างพึงพอใจ แต่อยู่ดีๆ ก็คิดอะไรออก และโอดครวญออกมา ฉิบหายละ ฉันลืมว่าตัวเองยังท้องอืดอยู่ ไม่ควรกินของเยอะเกินไป

จ้านเป่ยเทียนรู้สึกว่ามู่อี้ฟานเป็นแบบนี้ตลกมากทีเดียว มุมปากจึงอดโค้งขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

อย่างไรก็ตาม มุมปากเพิ่งโค้งขึ้นไม่ทันไร ฉับพลันก็เก็บกลับไปอีกครั้ง แล้วหยิบโทรศัพท์ของมู่อี้ฟานขึ้นมาป้อนเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองเข้าไปเพื่อโทร.เข้าโทรศัพท์ของตัวเอง แล้วค่อยบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของทั้งสองไว้ในซิม จากนั้นก็ใช้โทรศัพท์เล่นดนตรีเบาๆ ทำนองเนิบๆ สักเพลง

มู่อี้ฟานได้ฟังเพลงก็ง่วงหาวและซึมเซา เอ่ยว่า นายเปลี่ยนเพลงได้ไหม เพลงนี้ฉันฟังแล้วรู้สึกอยากนอนเลย

เขาต้องบ่มเพาะความรู้สึกกับพระเอก แต่ต้านทานความง่วงไม่ไหว

จ้านเป่ยเทียนบอกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า ไม่เปลี่ยน

เขาหยิบแก้วบนโต๊ะขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปในห้องครัว 

มู่อี้ฟานมองข้างหลังเขาอย่างงุนงง ทำไมอยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเพลงขึ้นมานะ ซ้ำยังเป็นทำนองเปียโนที่ไม่มีเนื้อร้องด้วย

ในห้องครัว จ้านเป่ยเทียนจ้องมู่อี้ฟานที่อยู่ข้างนอกลูบท้องขณะฟังดนตรี ใช้นิ้วไล้รอบขอบแก้ว จากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วจุ่มลงในน้ำดื่ม

กะน้ำที่ใส่สองมิลลิลิตรก่อนจะถอนปลายนิ้วจากสายน้ำขึ้นแล้วค่อยใช้น้ำประปามากกว่าครึ่งแก้วผสมเข้าไปในนั้น และเดินออกจากห้องครัว เขาเลื่อนแก้วไปด้านหน้ามู่อี้ฟาน พูดเสียงเรียบว่า ดื่มน้ำสักแก้วสิ นี่เป็นน้ำแกงล้างท้อง

มู่อี้ฟานไม่สงสัยเขา และยกน้ำดื่มในชั่วอึดใจ

วินาทีต่อมา ในทันทีก็รู้สึกปวดท้องจนทนไม่ไหว ราวกับว่าท้องทั้งหมดล้วนกำลังบิดเป็นเกลียว

มู่อี้ฟานรีบกุมท้องที่นูนป่องวิ่งไปห้องน้ำที่ชั้นสองอย่างไว ถ่ายท้องกว่าครึ่งชั่วโมง ก่อนที่ท้องจะโล่งสบายขึ้นโข

ในขณะนี้ ทั่วทั้งห้องกลิ่นเหม็นอบอวลเป็นเวลานานจนเขาเกือบจะขาดอากาศตายแล้ว

มู่อี้ฟานดึงกระดาษชำระม้วนแล้วม้วนเล่าอย่างเดือดดาล แม่ง เขาอยากได้ฉิงเทียนจูคืน แต่เอาคืนไม่ได้เลยเอายาถ่ายใส่ให้ฉันกินใช่ไหมเนี่ย

เขาก็ว่าอยู่ว่าทำไมจู่ๆ พระเอกถึงดีกับเขาขนาดนี้ ทั้งปลุกเขา ทั้งเตรียมอาหารเช้าที่มีคุณค่าโภชนาการ จุดประสงค์ก็คือสิ่งนี้นั่นเอง

มู่อี้ฟานลุกขึ้นเดินไปที่อ่างล้างมือ เขากางมือทั้งสองข้างเตรียมจะล้างมือ ทว่ากลับตกใจจนร่างกายแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น


 

บทที่ 25 ทำไงล่ะทีนี้

ทำไงล่ะทีนี้” 

มู่อี้ฟานมองเล็บมือทั้งสิบนิ้วของตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา คาดไม่ถึงว่ามันจะมีสีเข้มกว่าแต่ก่อน และเปลี่ยนเป็นสีเทาดำราวกับใช้ยาทาเล็บทาเคลือบไว้อย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว คิดอยากจะซ่อนก็ซ่อนไม่อยู่แล้ว

เขาจำได้ว่ามู่อี้ฟานในนิยายจะเพิ่มความเร็วเปลี่ยนเป็นซอมบี้ในช่วงสองสามวันของปลายเดือนที่สี่นี่ แล้วทำไมถึงเปลี่ยนเร็วขึ้นแบบนี้ล่ะเนี่ย

สรุปมันเกิดความผิดพลาดที่ตรงไหนกัน

มู่อี้ฟานคิดแล้วคิดอีก

อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะฉิงเทียนจูทำให้เขาเปลี่ยนเป็นซอมบี้ล่วงหน้าน่ะ

แต่ถ้าสาเหตุเป็นเพราะฉิงเทียนจูจริง แล้วทำไมถึงเพิ่งมามีปฏิกิริยาเอาตอนนี้

มู่อี้ฟานพลันนึกถึงน้ำแก้วนั้นก่อนที่จ้านเป่ยเทียนจะเอามาให้เขา หลังดื่มลงไป จู่ๆ เขาก็รู้สึกปวดท้องทันที มันไม่น่าใช่ยาถ่ายที่ใส่ในน้ำนะ แต่เป็นไปได้ไหมว่ามันคือน้ำพุที่อยู่ในมิติส่วนตัวของจ้านเป่ยเทียนน่ะ

เขาอดจะเบิกตาขึ้นไม่ได้

ตามที่เขาบรรยายในนิยาย มิติส่วนตัวของพระเอกมีทะเลสาบน้ำพุวิญญาณอยู่หนึ่งแห่ง น้ำพุเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ หากได้ดื่มไปแล้ว มันจะเป็นวิธีที่กำจัดสิ่งสกปรกผ่านทางรูขุมขน และดึงยาพิษออกมาจากในร่างกาย ทำให้ร่างเก่าผลัดเป็นร่างใหม่ อีกทั้งยังเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง เท่ากับชำระไขกระดูกทำนองนั้นเลย

ในตอนนี้เขาแค่มีอาการท้องร่วง ซ้ำร่างกายยังไม่ได้กำจัดสิ่งสกปรก มีโอกาสที่น้ำพุที่พระเอกให้เขาดื่มข้างในนั้นจะเจือผสมกับน้ำอื่นๆ จนมันไม่บริสุทธิ์พอ

ถ้าเป็นแบบนี้จริง ทำไมพระเอกต้องให้คนที่เพิ่งรู้จักมักจี่กันไม่กี่วันดื่มน้ำพุด้วย

ถ้าเพราะการดื่มน้ำพุลงไปเป็นการเร่งความเร็วในการเปลี่ยนเป็นซอมบี้จริงละก็ เช่นนั้นพระเอกก็ทำร้ายเขาเข้าจริงๆ น่ะสิ

เนื่องจากดั้งเดิมแล้วน้ำพุวิญญาณไม่สามารถกำจัดพิษศพในร่างกายของซอมบี้ได้ มันมีแต่จะทำให้ซอมบี้คลุ้มคลั่งยิ่งขึ้นแทน

มู่อี้ฟานจ้องมือทั้งสองข้างไม่ขยับเป็นเวลานาน

ต่อไปนี้เขาจะซ่อนมือทั้งสองข้างนี้ยังไงดีล่ะเนี่ย อย่าบอกนะว่ามันต้องพันผ้ากอซเหมือนกับใบหน้าเป๊ะๆ น่ะ

คิดแล้วมันไม่น่าจะเป็นไปได้ มีแต่จะทำให้พระเอกยิ่งสงสัย

มู่อี้ฟานครุ่นคิดขณะเดินออกจากห้องน้ำ และหยิบกระเป๋าสตางค์บนโต๊ะใส่กระเป๋ากางเกงเพื่อจะเอามือทั้งสองข้างซุกในกระเป๋ากางเกงโดยสะดวก พอเดินออกจากห้องก็เห็นจ้านเป่ยเทียนนั่งโทร.คุยกับใครบางคนอยู่บนโซฟา

วันนี้เรื่องการจัดซื้อผักวางไว้อีกด้านก่อน นายไปซื้อหานมผงสักห้าหมื่นกระป๋องให้ฉัน และของใช้สำหรับเด็กอ่อนทั้งหมด รวมทั้งของเล่นทุกชนิดที่เด็กต่ำกว่าสิบขวบเล่น แล้วก็เสื้อผ้าของเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดปีสำหรับสวมใส่ในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว ชายหญิงไม่เกี่ยงได้หมด…”

มู่อี้ฟานได้ยินคำพูดนี้แล้วตกตะลึง

เขาจำได้ว่าตอนเขียนนิยาย เขาไม่ได้เขียนว่าพระเอกไปซื้อของจำพวกนมผง และอื่นๆ เป็นพิเศษนะ 

มู่อี้ฟานไม่อยากคิดเยอะเกินไปนัก และใช้ช่วงที่จ้านเป่ยเทียนคุยโทรศัพท์รีบย่องออกไป

รอแป๊บนะจ้านเป่ยเทียนเอ่ยกับคนในโทรศัพท์ หลังจากนั้นก็มองมู่อี้ฟานที่เดินไปทางประตูใหญ่อย่างเงียบๆ จะไปไหน

มู่อี้ฟานหยุดฝีเท้า หมุนตัวกลับไปอย่างประหม่า เมื่อกี้ฉันท้องเสีย เลยอยากไปซื้อยาแก้ท้องเสียที่ร้านเภสัชสักหน่อย แล้วถือโอกาสแวะไปห้างซื้อเสื้อผ้าสักสองสามตัวด้วย

จ้านเป่ยเทียนจ้องท้องที่นูนป่องของเขาแล้วพูดว่า ตอนนี้ร่างกายนายไม่สบาย ขับรถไปเองไม่ได้หรอก เดี๋ยวฉันจะไปส่งนายเอง

ไม่ต้อง ไม่ต้อง ฉันนั่งแท็กซี่ไปก็ได้ นายยุ่งเรื่องอื่นอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำธุระของนายไปเถอะ ฉันจะกลับมาให้ไวแล้วกันนะ

จ้านเป่ยเทียนขมวดคิ้ว ถ้าอย่างนั้นนายก็พกโทรศัพท์ไปด้วย มีปัญหาอะไรก็โทร.หาฉันได้

โอเคมู่อี้ฟานรีบหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา และรีบก้าวฉับๆ ออกไปจากวิลลา เห็นว่าจ้านเป่ยเทียนไม่ได้ตามออกมาก็ผ่อนลมหายใจลง หลังจากนั้นก็โทร.เรียกแท็กซี่มารับ

ที่นี่ห่างจากตัวเมืองค่อนข้างไกล เขาเดินไปยังประตูทางเข้าเขตวิลลา เพราะแท็กซี่ยังมาไม่ถึง

หน้าท้องของเขายื่นออกมา เวลายืนก็รู้สึกไม่สบายตัวเท่าไร ขณะคิดจะตรงกลับไปรอรถที่ห้องนิรภัยก็ได้ยินใครสักคนตะโกนเรียกเสียก่อน มู่อี้ฟาน


 

บทที่ 26 ชายหนุ่มชุดขาว

มู่อี้ฟานได้ยินเสียงเรียกก็ตกใจ

ฉิบหายแล้ว!

ขนาดเขาพันหน้าทั้งหมดจนรูปลักษณ์กลายเป็นมัมมี่ไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะยังมีคนจำเขาได้

มู่อี้ฟานหันกลับไปอย่างเลื่อมใสหาใดเปรียบ และเห็นชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งสวมชุดสูทลำลองสีขาวยืนอยู่บนฟุตพาทถนนฝั่งตรงข้าม และจ้องมาทางเขา

ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบเจ็ดปี มีรูปลักษณ์สุภาพเรียบร้อย ท่วงท่าสง่างาม ทรงผมนุ่มฟูสีเฮเซลนัตทิ้งจอนสั้นรูปตัวเอสเล็กๆ ลงมา มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มดุจดั่งอาบลมฤดูใบไม้ผลิอย่างไรอย่างนั้น แต่ดวงตาเรียวรีกลับอธิบายสั้นๆ ได้ว่าเหมือนปีศาจเจ้าเสน่ห์อยู่บ้าง และทำให้คนทั้งคนดูไปแล้วทั้งซื่อตรงทั้งชั่วร้าย

ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน?

ดวงตามู่อี้ฟานมีความสงสัยวาบผ่าน 

ในความทรงจำของร่างนี้ แต่ไรมาเขาไม่เคยเห็นผู้ชายคนนี้มาก่อน แต่กลับทำให้เขามีความรู้สึกรุนแรงชนิดหนึ่งที่อยากใกล้ชิดผู้ชายคนนี้อยู่มาก 

ชายหนุ่มชุดขาวเดินผ่านทางม้าลายมา และยืนอยู่ด้านหน้าของมู่อี้ฟาน เขาหรี่ตาลง ความไม่ชอบใจวาบผ่านหลังนัยน์ตา นายพันหน้าทำไมเนี่ย?”

มู่อี้ฟานตอบกลับคำพูดเขาโดยไม่รู้ตัว ใช้ยาแล้วเกิดอาการแพ้ไปทั้งหน้าน่ะ กลัวว่าคนอื่นจะตกใจ เลยได้แต่พันหน้าไว้

หลังพูดจบ เขาก็ตกใจ ทำไมถึงตอบกลับคำพูดอีกฝ่ายได้ง่ายขนาดนี้นะ โชคดีที่เขาไม่ได้พูดความจริงออกทั้งหมด

ชายหนุ่มชุดขาวไม่ได้สงสัยคำพูดเขา ยกมือขึ้นจับผ้ากอซบนใบหน้าของมู่อี้ฟาน ถัดจากนั้นก็คว้าแขนของเขาเดินไปรอบๆ ประตูทางเข้าวิลลาพลันหยุดแล้วนั่งลง และเอามืออีกข้างสัมผัสส่วนบวมช้ำด้านขวาของมู่อี้ฟานเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจ

มู่อี้ฟานก้มศีรษะลงมองมือที่อยู่บนต้นขา รูม่านตาพลันหดเล็กลงทันที

สีเล็บมือของชายหนุ่มคนนี้เป็นสีเข้ม ซึ่งมันก็บ่งบอกว่าชายหนุ่มคนนี้ได้กลายเป็นซอมบี้ที่แท้จริงแล้ว

มู่อี้ฟานแอบถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ เลื่อนสายตาไปมองบนใบหน้าของชายหนุ่มคนนี้ จากนั้นก็สังเกตได้ว่าผิวของชายหนุ่มนั้นซีดอย่างมาก ในวงเบ้าตาปรากฏเส้นสีแดงจางๆ ออกมา ทำให้ดวงตาเรียวยาวเหมือนปีศาจร้ายยิ่งกว่าเดิม

สรุปแล้วชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร

วันสิ้นโลกยังไม่ได้มาถึง คิดไม่ถึงว่าจะพบซอมบี้ที่แท้จริง และมีสติรับรู้ตัวอยู่ด้วย

ชายหนุ่มชุดขาวเงยหน้าขึ้น ถามว่า เป็นมะเร็งกระดูกใช่ไหม

มู่อี้ฟานรีบดึงความนึกคิดกลับคืน ผงกหัวรับ

ชายหนุ่มชุดขาวดึงมือซ้ายของเขาที่ซุกอยู่ในกระเป๋าออกมา พลิกหลังมือไปด้านบน เล็บมือสีเทาดำจึงได้เปิดเผยต่อหน้าต่อตาของชายหนุ่มชุดขาว

ชายหนุ่มชุดขาวตกใจเล็กน้อย ใช้นิ้วโป้งถูเล็บมือของมู่อี้ฟานอย่างไม่อยากจะเชื่อ พูดกระซิบว่า นี่เพิ่งจะต้นเดือนสี่ เดี๋ยวเดียวก็กลายเป็นสีเทาดำไปซะแล้ว

มู่อี้ฟานจ้องเล็บมือสีดำของชายหนุ่มชุดขาวแล้วพูดว่า หมอประจำตระกูลของฉันบอกว่าที่เล็บกลายเป็นสีเทาดำ มันเป็นเพราะว่ามะเร็งกระดูกของฉันเข้าสู่ระยะสุดท้ายแล้ว ฉันเห็นเล็บนายก็เป็นสีดำนี่ หรือว่านายก็ป่วยเป็นมะเร็งกระดูกเหรอ?”

แน่นอนว่าคำพูดนี้นั้นเขาตั้งใจสุ่มขึ้นมา จุดประสงค์เพื่อล้วงข้อมูลชายหนุ่มชุดขาว

ชายหนุ่มชุดขาวได้ยินสิ่งที่เขาพูดก็ปล่อยมือเขาลงอย่างไม่พอใจนัก หมอประจำตระกูลนายคือหลี่ชิงเทียนถูกไหม

อืม

นายคิดว่าคำพูดเขามันเชื่อได้รึไงชายหนุ่มชุดขาวยิ้มเยาะ จ้องดวงตาของมู่อี้ฟานที่เผยนอกผ้ากอซ ทันใดนั้นรูม่านตาอันเรียวรีก็หดแคบลง ฉันคิดว่านายค่อนข้างต่างจากเมื่อก่อนนะ


 

บทที่ 27 สรุปเขาคือใคร

เสียงตึกๆ ดังสักระยะ หัวใจมู่อี้ฟานพลันเต้นผิดจังหวะ กังวลว่าชายหนุ่มชุดขาวจะดูอะไรออก

อย่างไรก็ตาม เขาใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว ต่อให้ชายหนุ่มชุดขาวจะรู้จักกับมู่อี้ฟานในอดีต หรือพบว่าเขากับมู่อี้ฟานในอดีตต่างกัน แล้วมันจะยังไงล่ะ ถึงอีกฝ่ายจะคิดก็คิดไม่ถึงว่าข้างในร่างนี้โดนเปลี่ยนไส้ตะเกียงไปนานแล้ว

เพียงแต่ในร่างนี้ไม่มีชายหนุ่มชุดขาวอยู่ในความทรงจำจริงๆ แต่ทว่าทำไมอีกฝ่ายถึงต้องใช้ท่าทางและน้ำเสียงสนิทสนมกับเขาจนผิดปกติล่ะ นอกจากนั้น เขายังรู้สึกคุ้นเคยกับชายหนุ่มชุดขาวอย่างมาก และก็เหมือนจะรู้จักกันมานานแล้วด้วย

มู่อี้ฟานได้สติและดึงมือตัวเองกลับ ตัดสินใจทำตามความทรงจำในสมอง กล่าวว่า สุภาพบุรุษท่านนี้ พวกเราดูเหมือนจะไม่รู้จักกันนะ แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นคนแบบไหนมาก่อน

ไม่รู้จัก…” ชายหนุ่มชุดขาวไม่โกรธ แต่กลับยิ้มออกมา พวกเราไม่รู้จักกันจริงๆ นั่นแหละ

ทันใดนั้น เมื่อเขาเห็นบางอย่าง รอยยิ้มตรงมุมปากก็ชะงักทันที นัยน์ตามีความไม่อยากเชื่อ และความเป็นปรปักษ์วาบผ่าน 

เมิ่งหรานกระชากคอเสื้อของมู่อี้ฟานอย่างไม่พอใจ เกิดอะไรขึ้นกับท้องนาย มันไม่ควรอ้วนสิ นายอ้วนได้ไง!

มู่อี้ฟานคิดว่าชายหนุ่มชุดขาวน่าจะป่วยเป็นโรคประสาทแน่ๆ วินาทีแรกยิ้มราวกับอาบสายลมฤดูใบไม้ผลิ วินาทีต่อมาก็เหมือนคนบ้าคนหนึ่ง

เขาออกแรงดึงมือชายหนุ่มชุดขาว และดันคนออกไปด้วยความโกรธ ใครบอกว่าฉันอ้วน? แม่แกน่ะสิอ้วน ฉันคนนี้น่ะท้องอืด ท้องอืด! เข้าใจไหมฮ้า ไม่เข้าใจก็ไปถามหมอที่โรงพยาบาลนู่น ถือโอกาสไปเช็กสมองนายด้วยนะ

ท้องอืด?” ชายหนุ่มชุดขาวจ้องท้องตุ้ยนุ้ยของเขาอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก

มู่อี้ฟานอารมณ์ไม่ดี คุณนี่มันแปลกคนจริงๆ ถึงฉันจะอ้วนก็ไม่เกี่ยวกับคุณเถอะ

ทำไมจะไม่…” เมิ่งหรานยั้งคำพูด นวดหว่างคิ้วและเก็บความโกรธอย่างทำอะไรไม่ได้ หยุดพูดเรื่องนี้กันเถอะ จุดประสงค์ที่ฉันมาเมือง G ในคราวนี้คือมาเยี่ยมนายโดยเฉพาะ แต่ความเปลี่ยนแปลงของนายกลับเกินความคาดหมายของฉันไปไกล พัฒนาการของเรื่องราวก็คลาดเคลื่อนจากวงโคจร ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดปัญหาอะไรขึ้นที่นี่ แต่ฉันอยากเตือนนายสักนิด ตอนที่เล็บมือกลายเป็นสีดำทั้งหมด จิตสำนึกของนายต้องตื่นตัวเข้าไว้ หลังจากนั้นมีปัญหาอะไรก็มาหาฉันได้ที่เมือง B”

หลังพูดจบ รถแท็กซี่คันหนึ่งก็แล่นมาพอดี

เขากวักมือเรียก ทำให้รถแท็กซี่จอดรถ

มู่อี้ฟานรีบถามว่า คุณเป็นใคร?”

รอนายมาถึงเมือง B เมื่อไร ฉันค่อยบอกนายอีกทีชายหนุ่มชุดขาวยิ้มเล็กน้อย กู้ภาพลักษณ์สุภาพเรียบร้อยมารยาทงามก่อนหน้านั้นกลับคืนมา เขาหมุนตัวไปเปิดประตูรถแท็กซี่

เดี๋ยว

ชายหนุ่มชุดขาวคิดว่ามู่อี้ฟานมีอะไรที่อยากจะถามอีก จึงวางเท้าที่ก้าวขึ้นลงและมองเขา 

มู่อี้ฟานรีบวิ่งผ่านไปเหมือนลิงตัวหนึ่ง พุ่งผ่านจากประตูรถที่ชายหนุ่มชุดขาวเปิดไว้เข้าไปอย่างไว พูดอย่างไร้เดียงสากับคนที่ยืนอยู่นอกประตูรถว่า รถแท็กซี่คันนี้ ฉันเรียกมาเอง ถ้าคุณต้องการใช้รถ ก็ไปเรียกอีกคันเอาเองนะ

มุมปากชายหนุ่มชุดขาวกระตุกอย่างรุนแรง

มู่อี้ฟานไม่สนใจชายหนุ่มชุดขาวที่มีสีหน้าดำคล้ำอีกครั้ง และตะโกนว่า โชเฟอร์ ออกรถเลย

โชเฟอร์เหยียบคันเร่งทันที และขับรถจากไป

มู่อี้ฟานหันกลับไป และมองไปทางชายหนุ่มชุดขาวที่ยังยืนอยู่ที่เดิมผ่านกระจกหลัง สูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากนั้น หัวใจดวงนั้นก็เต้นขึ้นมาอีกครั้ง

ในนิยายที่เขาเขียน คนที่เล็บกลายเป็นสีดำทั้งหมด รวมทั้งตื่นรู้ด้วยตัวเอง และยังสามารถควบคุมซอมบี้ที่กินคนได้ อย่างน้อยก็อยู่ในระดับ 7 ขึ้นไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าชายหนุ่มชุดขาวคนนี้อยู่ในระดับสูงเท่าไร และร่างกายมีความสามารถหลากหลายหรือไม่

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ วันสิ้นโลกยังมาไม่ถึงในตอนนี้ แล้วมันจะมีซอมบี้ระดับสูงปรากฏขึ้นได้ยังไง นอกจากนี้ในนิยายของเขาไม่ได้มีบุคคลดังกล่าวดำรงอยู่เลย ถ้าอย่างนั้นชายหนุ่มชุดขาวคนนี้โผล่มาจากไหนล่ะ?

เขา...สรุปแล้วเป็นใครกันแน่?


 

บทที่ 28 เจ๊

มู่อี้ฟานรีบสลัดเรื่องชายหนุ่มชุดขาวไว้ในส่วนลึกของจิตใจอย่างรวดเร็ว เนื่องจากหลังรอเขาฆ่าพระเอกสำเร็จ โลกใบนี้ก็ไม่ได้มีตัวตนอีกต่อไปแล้ว ดังนั้น จึงไม่สำคัญว่าสุดท้ายแล้วชายหนุ่มชุดขาวคนนั้นจะเป็นใคร

เมื่อมาถึงย่านใจกลางเมือง เขาตรงไปร้านเภสัชเป็นอันดับแรกเพื่อซื้อยาแก้ท้องร่วง รวมทั้งซื้อยาขับลมมาเพิ่มอีกกล่องหนึ่ง โดยมุบมิบซ่อนเอาไว้

หลังออกจากร้านเภสัช เขาจึงไปห้างสรรพสินค้าซื้อเสื้อผ้าต่อทันที เนื่องจากท้องของเขาค่อนข้างใหญ่ เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากซื้อเสื้อผ้าลำลองที่สวมใส่สบายได้เท่านั้น ตอนที่รอให้หน้าท้องยุบลงก็ยังสามารถใส่ได้อยู่

นอกจากนี้ เขายังซื้อเสื้อผ้าลำลองที่ดูดีมาอีกสองสามตัวให้กับจ้านเป่ยเทียนด้วย นั่นก็เพื่อให้สามารถเขยิบความสัมพันธ์กับพระเอกได้

มู่อี้ฟานเพิ่งซื้อเสื้อผ้าเสร็จก็ได้รับสายจากจ้านเป่ยเทียน

วันนี้เที่ยงฉันมีธุรกิจต้องไปเจรจา นายไปหาที่กินข้าวเที่ยงเอาเองนะเมื่อพูดจบ จ้านเป่ยเทียนก็วางสายไป

มู่อี้ฟานสงสัย จ้านเป่ยเทียนเป็นทหารไม่ใช่เหรอ? เขาต้องไปเจรจาธุรกิจอะไรล่ะ? อย่าบอกนะว่าไปเจรจาธุรกิจซื้อสินค้ากับคนอื่นน่ะ

เขามองวันเวลาบนมือถือที่โชว์วันที่ 11 เดือน 4 อยู่ เขาหวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นกับพระเอกในนิยายในวันที่ 11 เดือน 4 อย่างอดไม่ได้

เขาจำได้ว่าในวันที่ 11 เดือน 4 พระเอกได้ทำการนัดหมายพ่อค้าอาวุธสองคนมาที่ภัตตาคารอาหารนิวซีแลนด์ ทำการจองอาวุธลอตใหญ่ และในต้นเดือนหน้าจะติดต่อซื้อขายกันนอกชายแดน ต่อมาหนึ่งวันให้หลัง วันสิ้นโลกก็มาเยือน

มู่อี้ฟานคิดถึงวันสิ้นโลกที่จะมาถึงแล้วรีบดึงสติกลับมา สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ การหาสถานที่ที่แก้ปัญหาเรื่องเล็บมือ

เขาเดินไปรอบๆ ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ และในที่สุดก็หาร้านทำเล็บร้านหนึ่งที่อยู่ในชั้นเจ็ดของห้างสรรพสินค้าเจอ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในร้านจะมีผู้หญิงแต่งตัวสวยพริ้งเดินเข้าๆ ออกๆ อยู่ หากมีผู้ชายตัวโตๆ คนหนึ่งเดินเข้าไป มันคงน่าอึดอัดแน่ๆ

มู่อี้ฟานจดๆ จ้องๆ อยู่ด้านนอกเป็นเวลานานมาก

ซึ่งผ้ากอซที่พันไว้ทั่วใบหน้าก็ทำให้พนักงานในร้านเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นคนบ้า หรือมาปล้นจี้จนเกือบเรียก รปภ. มาจับเขาอย่างเสียไม่ได้

มู่อี้ฟานเห็นพนักงานหญิงชะเง้อมองออกมาเป็นพักๆ ท่าทางสะดุดตานั้นทำให้เขารู้ตัว เพื่อเซฟชีวิตน้อยๆ ของตัว เขาจึงกัดฟันบังคับให้ตัวเองเดินเข้าไป และพูดกับพนักงานหญิงที่ยิ้มด้วยสีหน้าเกร็งๆ ว่า ผมต้องการทำเล็บ

พนักงานหญิงตกตะลึง ไม่ช้าก็ตระหนักได้ว่า ก่อนหน้านี้มู่อี้ฟานคงรู้สึกอับอาย จึงได้เดินกลับไปกลับมาอยู่ด้านนอกอย่างนั้น

เธอยิ้มเล็กน้อย คุณผู้ชายคะ นี่เป็นครั้งแรกที่คุณมาทำเล็บกับทางร้านเราใช่ไหมคะ

ใช่มู่อี้ฟานเห็นสายตาคนอื่นที่มองมาก็รีบถามว่า มีห้องส่วนตัวไหมครับ

มีค่ะ แต่ว่าค่าบริการห้องส่วนตัวของร้านเราแพงกว่าค่าบริการทั่วไปสิบเปอร์เซ็นต์…”

มู่อี้ฟานตัดบทเธอ ฉันเอาห้องส่วนตัวนั่นแหละ

ได้ค่ะพนักงานหญิงพามู่อี้ฟานไปที่เคาน์เตอร์ และพูดกับคนที่เคาน์เตอร์ว่า คุณผู้ชายท่านนี้อยากได้ห้องส่วนตัวน่ะ

คนที่เคาน์เตอร์เช็กในคอมพิวเตอร์ และยิ้มออกมา คุณผู้ชายคะ เราเหลือห้องส่วนตัวอยู่หนึ่งห้องค่ะ อยู่ห้องที่…”

เธอพูดไม่ทันจบ เสียงหยิ่งผยองและคมชัดก็ทะลุกลางปล้องขึ้นเสียก่อน ฉันเอาห้องนี้แหละ

มู่อี้ฟานได้ยินเสียงนั้น จึงหันกลับไป และเห็นหญิงสาวสามคนเดินมาทางเขา

เมื่อเขาเห็นรูปร่างหน้าตาของหญิงสาวแสนสวยที่เดินมาหน้าสุดชัดๆ จึงอดเอ่ยปากพูดออกไปไม่ได้ว่า เจ๊


 

บทที่ 29 เล็บคุณแข็งเกินไป

พนักงานหญิงและคนที่เคาน์เตอร์ไม่ได้ยินว่ามู่อี้ฟานโพล่งอะไรออกมา ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่ร่างคนที่มาเยือน พวกเขาแสดงรอยยิ้มเจิดจ้าออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วทักทายว่า คุณหนูหรง ไม่เจอกันนานเลยนะคะ

หญิงสาวแสนสวยที่เป็นหัวโจกเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย วางท่าเหนือกว่าคนอื่น พูดอีกครั้งว่า ห้องส่วนตัวน่ะ ฉันเอาแล้ว

พนักงานหญิงค่อนข้างอีหลักอีเหลื่อ มองมู่อี้ฟานที่อยู่ข้างๆ นี่…”

ถึงอย่างไรก็เป็นชายหนุ่มที่มาก่อน แต่กลับเอาห้องส่วนตัวให้คนมาทีหลังเนี่ย มันออกจะไม่สมเหตุสมผลนะ

แต่คนที่เคาน์เตอร์กลับโพล่งว่า ห้องส่วนตัวห้องนี้ ดิฉันก็สงวนให้คุณหนูหรงนี่แหละค่ะ…”

เธอจ้องไปที่มู่อี้ฟานซึ่งถลึงตามองหญิงสาวแสนสวยอย่างงงๆ และคลี่ยิ้มยิ่งกว่าเดิม ดิฉันมั่นใจว่าคุณผู้ชายท่านนี้ก็คงไม่น่าแย่งกับคุณหนูหรงหรอกค่ะ คุณผู้ชาย คุณว่าไหมคะ

มู่อี้ฟานพยักหน้าอย่างเซ่อๆ

คุณหนูหรงท่านนี้คาดไม่ถึงว่าจะดูคล้ายกับญาติผู้พี่ของเขา มู่อี้เสวี่ย ในชีวิตจริง ถ้าไม่ใช่เพราะบุคลิกและออร่าแตกต่างกัน เขาก็เกือบจะถลาเข้าไปหาแล้ว

หญิงสาวแสนสวยจ้องมู่อี้ฟานที่พันผ้ากอซไปทั่วใบหน้า ในดวงตามีความรังเกียจเดียดฉันท์วาบผ่าน จากนั้นเธอก็เชิดหน้าอย่างมั่นใจให้พนักงานหญิงนำทางไป

หญิงสาวสองคนที่อยู่ข้างหลังเดินเลี่ยงมู่อี้ฟานที่แสดงทางโง่ๆ จ้องคุณหนูหรงอยู่ และกล่าวเยาะเย้ยว่า ผู้ชายตัวโตคนหนึ่งแจ้นมาร้านทำเล็บเพื่อทำเล็บ ไม่ใช่พวกวิปริตผิดเพศ ก็เป็นเกย์นั่นแหละ!

ดูผ้ากอซที่พันบนหน้าเขาสิ เขาคงคว้าน้ำเหลวตอนที่อยากศัลยกรรมให้เหมือนผู้หญิงแน่ๆ เลยทั้งสองคนพูดไปด้วยขณะเดินเข้าห้องส่วนตัวกับคุณหนูหรง

มู่อี้ฟาน “...”

เชี่ย! หมายความว่าไงวะ

เขาอุตส่าห์ยกห้องส่วนตัวให้ ยังมีหน้ามาใช้คำพูดโจมตีเขาอีก

คนที่เคาน์เตอร์เห็นว่ามู่อี้ฟานโกรธแล้ว จึงรีบพูดขึ้นว่า คุณผู้ชายคะ ถึงแม้จะไม่มีห้องส่วนตัวแล้ว แต่ว่าทางเรายังสามารถจัดมุมที่เงียบสงบให้คุณ และหาช่างทำเล็บที่ดีที่สุดสำหรับทำเล็บให้คุณได้นะคะ

มู่อี้ฟานจ้องเล็บสีเทาดำของตัวเอง เขาระงับความเดือดดาลแล้วพยักหน้าให้

มู่อี้ฟานมาถึงมุมที่นั่งก็จัดวางถุงช็อปหลายใบลง และเอ่ยว่า ผมมีเชื้อราเล็บน่ะครับ ดังนั้น ผมแค่ต้องการให้คุณทำสีเล็บให้มันเป็นเหมือนสีเล็บธรรมดาเท่านั้น แบบทำให้คนอื่นไม่เห็นว่าผมมีเชื้อราเล็บก็โอเคแล้วครับ

ช่างทำเล็บจับมือของเขาขึ้นมาดู นิ้วมือก็เรียวยาวดูดีราวกับนักเปียโน ช่างน่าเสียดายที่เล็บมันดำจนดูเหมือนทายาทาเล็บเคลือบไว้ คุณผู้ชายคะ เล็บมือของคุณดำเกินไปค่ะ ถ้าใช้ยาทาเล็บสีโปร่งใส หรือสีอ่อนเกินไป มันจะปิดสีเล็บเดิมไม่มิดค่ะ แต่ถ้าใช่ยาทาเล็บสีเข้มทึบแสงก็จะชัดเจนมากเกินไปอีก ดังนั้นแล้วดิฉันแนะนำให้คุณติดเล็บปลอมค่ะ ทั้งไม่ดูชัดเจน และก็สามารถซ่อนสีเล็บของคุณได้มิดด้วยค่ะ แต่ว่าการที่คุณมีเชื้อราเล็บนั้น การทายาทาเล็บ และการติดเล็บปลอมต่างมีแนวโน้มจะทำให้เล็บเกิดอันตรายได้นะคะ

เชื้อราเล็บนี่เป็นคำโกหกช่างทำเล็บ มู่อี้ฟานกลัวมันจะอันตรายต่อเล็บเสียที่ไหนล่ะ เขาจึงพูดโดยไม่อ้อมค้อมว่า งั้นติดเล็บปลอมเลยครับ ใช่แล้ว เล็บเทาของผมก็ต้องทำด้วยนะครับ อันนี้คุณสามารถหาสีที่ใกล้เคียงกันทาให้ผมก็ได้แล้วครับ

โอเคค่ะช่างทำเล็บฟอกสบู่ฆ่าเชื้อ และให้มู่อี้ฟานล้างมือเพื่อฆ่าเชื้อโรคก่อน แล้วค่อยแช่ผิวบอบบางลงในชามล้างมือที่มีน้ำอุ่นเพื่อทำให้นุ่มลง ถัดมาก็ใช้สำลีเช็ดทำความสะอาดเล็บมือและเล็บเท้า หลังจากนั้นก็ใช้กรรไกรตัดเล็บเพื่อเล็มเล็บฉีก และใช้คีมแต่งเล็บตัดเล็บอย่างที่คิดไว้ออกมา

อย่างไรก็ตาม ตอนที่ใช้คีมแต่งเล็บตัดเล็บนั้น ส่วนที่คมที่สุดของคีมแต่งเล็บจู่ๆ ก็ผ่าซีกออกจากกัน

“...” ช่างทำเล็บมองรอยผ่าของคีมแต่งเล็บอย่างไร้คำพูด

มู่อี้ฟาน “...”

ถัดจากนั้น ช่างทำเล็บก็ใช้คีมแต่งเล็บห้าอันติดต่อกัน แต่ก็ล้วนแตกเป็นรอยผ่าอย่างนี้ทุกอัน

เธอยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน คุณผู้ชายคะ เล็บของคุณมันแข็งเกินไปค่ะ

นี่มันชักจะผิดหลักเกินไปแล้ว!

อยู่ดีๆ เล็บมือจะแข็งจนถึงขนาดทำคีมตัดแต่งเสียหายได้ยังไง

สิ่งที่ประหลาดที่สุดคือ เล็บมือมันดูไม่หนาชัดๆ แต่ทำไมมันถึงแข็งขนาดนี้เล่า

มู่อี้ฟานมองเธออย่างละอายใจ ต้องการเงินค่าคีมแต่งเล็บไหมครับ

ชายผู้สัตย์ซื่อกล่าว เขาเองก็ถูกตัวเองทำให้อุทานเหมือนกัน คิดไม่ถึงว่าเล็บของตัวเองจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นแข็งขนาดนี้ มันน่าจะเกี่ยวกับการดื่มน้ำพุวิญญาณนะ

ช่างทำเล็บ “...”

เธอเปลี่ยนเป็นตะไบสามด้านแทน ทว่าพื้นผิวของตะไบขัดเล็บนั้นถูกขัดจนเรียบ แต่ตัวเล็บกลับไร้รอยขีดข่วน จนไม่รู้ว่าใช้ตะไบขัดเล็บ หรือว่าใช้เล็บขัดตะไบกันแน่

ช่างทำเล็บถอนหายใจด้วยความจนปัญญา คุณผู้ชายคะ พวกเราไม่ต้องทำเล็บแล้วล่ะค่ะ เอาแบบติดเล็บปลอมโดยตรงเลยเป็นไงคะ

แน่นอนว่ามู่อี้ฟานเห็นด้วย เขาทำอุปกรณ์คนอื่นเสียหายเยอะขนาดนี้ เขาละอายแก่ใจตัวเองไปหมดแล้ว

ช่างทำเล็บไม่จำเป็นต้องทำเล็บอีกต่อไป ขั้นตอนอย่างหลังจึงพูดได้ว่า มันง่ายสำหรับเธอมากทีเดียว

มู่อี้ฟานมองไปรอบๆ เห็นว่าไม่มีใครเลย จึงกระซิบถามว่า คุณหนูหรงคนเมื่อกี้เป็นใครครับ

ช่างทำเล็บสบตาเขา และพูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า เธอคือคุณหนูใหญ่ของหรงซื่อคอร์ปอเรชันค่ะ

ดวงตาของมู่อี้ฟานเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ เธอก็คือหรงเสวี่ยอย่างนั้นเหรอ?”

แม่งเอ้ย!

จู่ๆ นางร้ายก็ดูเหมือนญาติสาวของเขาอย่างกับแกะ

ทำไมความสัมพันธ์ของตัวละครในนิยายถึงห่างไกลจากชีวิตจริงขนาดนี้นะ

ถ้าเทียบกับความเป็นจริง ญาติสาวของเขาก็ใกล้จะแต่งงานกับจ้านเป่ยเทียน เพื่อนสมัยเด็กของเขาอยู่ชัดๆ แต่ในนิยายนั้น พวกเขากลับเป็นศัตรูกัน

ไม่สิ ความจริงแล้วนางร้ายชอบพระเอกนี่ แต่พระเอกกลับไม่ชอบเธอโคตรๆ น่าจะพูดว่าเกลียดเธอถึงจะถูกสิ เนื่องจากในชีวิตสุดท้าย นางร้ายที่ชอบพระเอก แต่พระเอกกลับดีต่อนางเอกเท่านั้น นางร้ายจึงเข้าร่วมกับราชาซอมบี้ เพราะรักได้กลายเป็นเกลียด และใช้ประโยชน์จากนางเอกนำพาพระเอกไปสู่ความตาย

ช่างทำเล็บรีบส่งเสียงชู่ออกมา ชื่อของคุณหนูหรง ใช่ว่าใครก็สามารถเรียกได้นะคะ อีกทั้งอีโก้ของเธอนั้นสูงมาก ผู้ชายธรรมดาทั่วไป เธอมองไม่เห็นหรอกค่ะ

คำพูดนี้บอกเป็นนัยแก่มู่อี้ฟานว่า คนอย่างคุณหนูหรงมองไม่เห็นเขาหรอก

มู่อี้ฟานฟังความหมายในคำพูดของเธอออกแล้วกรอกตามองบน

ต่อให้หรงเสวี่ยมองเห็นเขา เขาก็ไม่สนใจคนที่หน้าตาเหมือนญาติสาวของเขาอย่างกับแกะได้หรอกน่า

ช่างทำเล็บใช้เวลาไปมากกว่าครึ่งชั่วโมงสำหรับทำเล็บมือและเล็บเท้าให้มู่อี้ฟานจนเสร็จ คุณผู้ชายคะ ดูซิว่าคุณพอใจไหมคะ

มู่อี้ฟานมองเล็บตัวเองด้วยความพึงพอใจ ถ้าไม่สังเกตให้ดีๆ ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาติดเล็บปลอมอย่างแน่นอน สีมันคล้ายกับเล็บของคนธรรมดาทั่วไป ส่วนเล็บเท้ามันมองออกง่ายกว่าว่าเคยทายาทาเล็บมา

แต่มันไม่สำคัญนัก ตราบใดที่เขาสวมถุงเท้าและรองเท้าไว้ พระเอกมองไม่เห็นเล็บเท้าของเขาแน่นอน

เล็บปลอมจะหลุดเมื่อไร

ช่างทำเล็บกล่าวว่า ประมาณสองสัปดาห์มันก็จะคลายออกค่ะ แต่คุณผู้ชายสามารถซื้อกาวน้ำสำหรับติดเล็บปลอมได้ค่ะ มันสะดวกหลังคลายออก แถมคุณยังสามารถนำมันกลับไปใช้ใหม่ได้ด้วยค่ะ

มู่อี้ฟานขอกาวน้ำและยาทาเล็บมาอย่างละขวด จากนั้นก็จ่ายบิลและออกไป

ระหว่างที่รอลิฟต์อยู่ หรงเสวี่ยและสองเกลอของเธอก็ออกมาพอดี

หรงเสวี่ย เกือบจะบ่ายโมงแล้ว พวกเราไปกินข้าวที่ไหนดีอะหนึ่งในคู่หูถาม

หรงเสวี่ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ภัตตาคารซีหลันฝ่าก็อยู่แถวๆ นี้ พวกเราไปกินอาหารตะวันตกที่นั่นกันเถอะ

มู่อี้ฟานได้ยินดังนั้น หูก็ผึ่งออกทันที

ภัตตาคารซีหลันฝ่า

พระเอกกับพ่อค้าอาวุธสองรายไม่ใช่ว่าอยู่ที่ภัตตาคารซีหลันฝ่าหรอกหรือ

ใช่แล้ว!

ตามพัฒนาการของเนื้อเรื่อง หลังจากพระเอกเจรจาธุรกิจเรื่องอาวุธเสร็จ ขณะเตรียมตัวจะออกจากภัตตาคารอาหารตะวันตกก็พบกับตัวสมทบหญิง และนับจากตอนนั้นเป็นต้นมา ตัวสมทบหญิงก็เริ่มชอบพระเอกขึ้นมา

มู่อี้ฟานคิดอยู่สักพักก็เดินตามตัวสมทบหญิงไป ไม่แน่ว่าอาจจะได้พบกับพระเอกก็ได้

พอถึงตอนนั้น เขาก็ใช้โอกาสนี้เข้าหาพระเอก และบ่มเพาะความรู้สึกระหว่างพระเอกซะ

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ทะลุเข้ามาในนิยายได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว นับวันวันสิ้นโลกยิ่งใกล้เข้ามาแล้ว แต่ความเกี่ยวข้องระหว่างเขากับพระเอกยังเป็นแค่คนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันเท่านั้น

สิ่งที่ทำให้เขาปวดหัวที่สุดคือ จนถึงตอนนี้พระเอกยังคงเรียกเขาว่า คุณชายมู่ อยู่เลย ซึ่งทำให้เขารู้สึกว่าระยะห่างระหว่างคนสองคนนั้นดูห่างเหินมาก ดังนั้น เขาต้องเร่งสปีดดำเนินยุทธการถึงจะสำเร็จได้

หรงเสวี่ยและเพื่อนสองคนมองคนที่อยู่ทางเข้าลิฟต์ และรีบหุบปากไม่พูดอะไรอีกต่อไป

สองเพื่อนสาวจ้องมองไปที่มู่อี้ฟานอย่างดูถูกเหยียดหยาม แค่นเสียงในลำคอ แล้วเดินเข้าลิฟต์ไป

มู่อี้ฟานทำราวกับไม่เห็นท่าทีดูถูกของพวกเธอ เขาถือถุงเล็กถุงใหญ่เดินตามพวกเธอเข้าลิฟต์ และออกจากห้างสรรพสินค้า

หรงเสวี่ยและเพื่อนซี้สองคนสังเกตว่ามู่อี้ฟานเดินตามหลังพวกเธออยู่ตลอด จึงรีบพูดกับหรงเสวี่ยว่า หรงเสวี่ย ไอ้วิปริตคนนั้นมันเดินตามหลังพวกเรามาตลอดเลยอะ

หรงเสวี่ยและเพื่อนอีกคนหันไปมองก็เห็นใบหน้าอันโดดเด่นของมู่อี้ฟานเดินตามหลังมาอย่างช้าๆ

นอกจากนี้ เมื่อพวกเธอรีบ เขาก็รีบตาม เมื่อพวกเธอช้า เขาก็จะค่อยๆ เดิน เห็นได้ชัดว่าติดตามพวกเธอมาอย่างแน่นอน

ภัตตาคารอาหารตะวันตกก็อยู่ข้างหน้าแล้ว ที่นั่นมี รปภ.เพื่อนอีกคนกระซิบ

พวกเธอเร่งฝีเท้าวิ่งเข้าไปในภัตตาคารอาหารตะวันตก และพูดกับ รปภ. อย่างรีบเร่งว่า ข้างหลังมีโรคจิตตามพวกเรามาค่ะ เป็นเขาค่ะ คนที่พันผ้ากอซไว้เต็มหน้านั่น

พวกเธอกรีดร้องพร้อมเพรียงเมื่อมู่อี้ฟานเดินเข้ามา

รปภ. สองคนที่เฝ้าประตูอยู่สะดุ้งตกใจ และเดินออกมาบล็อกมู่อี้ฟานไว้

มู่อี้ฟานมองพวกเขาอย่างมึนงง อะไร? ภัตตาคารอาหารตะวันตกไม่เปิดทำการเหรอ

เขามองเข้าไปที่หน้าต่างด้านข้าง ในนั้นมีคนนั่งเต็มไปหมด

คุณผู้ชาย มีคนบอกว่าคุณตามพวกเธอมาครับ

มู่อี้ฟานตกตะลึง กล่าวอย่างไม่พอใจว่า แล้วฉันจะตามใครล่ะ ฉันมาที่นี่เพื่อกินข้าว

เขาผลัก รปภ. สองคนออกไปแล้วเดินเข้าไปข้างใน แต่คาดไม่ถึงว่าจะถูก รปภ. บล็อกไว้อีกครั้ง

มู่อี้ฟานโกรธมาก พวกคุณยังทำการค้าอยู่ไหมฮะ

หากเขาไม่ต้องการพบพระเอก เขาคงเปลี่ยนร้านกินข้าวไปนานแล้ว

มู่อี้ฟานหลบหลีกการบล็อกของ รปภ. อีกครั้ง ต้องการผลักประตูเข้าไป ทันใดนั้น หรงเสวี่ยและเพื่อนอีกสองคนก็กรีดร้องออกมา เขาจะเข้ามาแล้ว เขาจะเข้ามาแล้ว

รปภ. เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของลูกค้าสาวสามคน จึงรีบจับแขนทั้งสองข้างของมู่อี้ฟานไขว้ไว้ข้างหลัง

โอ๊ย เจ็บๆ พวกแกทำอะไรเนี่ยมู่อี้ฟานตะโกนอย่างบรรยายออกมาไม่ได้ พวกแกปฏิบัติกับลูกค้าอย่างนี้เหรอฮะ

รปภ. พูดเสียงเย็นชา ขออภัย ที่นี่พวกเราไม่ต้อนรับคุณ

แก…”

คุณมู่?” พลันสุ้มเสียงทุ้มต่ำก็ดังลอดออกมาจากหลังประตู


 

บทที่ 30 นายไม่เหมาะกับการออกกำลังหักโหม

มู่อี้ฟานได้ยินสุ้มเสียงที่คุ้นเคย จึงรีบเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เห็นชายหนุ่มยืนตระหง่านอยู่ตรงประตูทางเข้า ดวงตาก็เปล่งประกายขึ้นมา เป่ยเทียน

โชคยังดีที่พัฒนาการพล็อตไม่ได้คลาดเคลื่อนเท่าไรนัก

เมื่อจ้านเป่ยเทียนเห็นมู่อี้ฟานถูกจับแขนไว้ทั้งสองข้างก็ขมวดคิ้ว ดวงตาเคร่งขรึมกวาดมอง รปภ. ทั้งสองคน

รปภ. ถูกสายตาเย็นชาเสียดแทงจนสั่นสะท้าน จึงรีบปล่อยมือทันที

มู่อี้ฟานรีบวิ่งไปอยู่ข้างๆ จ้านเป่ยเทียน

จ้านเป่ยเทียนจ้องเขาที่ถือถุงช็อปเกือบๆ ยี่สิบถุงไว้ และถามเสียงเรียบว่า เกิดอะไรขึ้น

มู่อี้ฟานถลึงตาใส่ รปภ. ทั้งสอง นายถามพวกเขาดูสิ มาจงมาจับฉันอย่างไร้เหตุผล และไม่ยอมให้เข้าไปด้วยอะ

รปภ. ทั้งสองรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว คุณผู้ชายครับ คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ เมื่อครู่มีคุณหนูสามท่านนั้นบอกว่ามีคนโรคจิตพันผ้ากอซปิดหน้าไว้ตามติดพวกเธออยู่ครับ นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเราจับเขาไว้ครับ

มู่อี้ฟานกล่าวอย่างโมโหว่า คนวิปริต? แม่แกสิ แกบอกว่าใครเป็นคนโรคจิตฮ้า ฉันเหมือนคนโรคจิตที่ไหนวะ

รปภ. ทั้งสองคน “...”

ทั่วหน้าพันผ้ากอซเต็มไปหมด เหมือนมองไม่เห็นผู้คน มองยังไงก็เหมือนคนโรคจิตอยู่ดี

อีกอย่างนะ ฉันไปตามคนพวกนั้นตั้งแต่เมื่อไร

รปภ. มองไปที่พวกหรงเสวี่ยสามคนที่อยู่ในร้าน เป็นคุณหนูสามท่านนั้นบอกครับ

มู่อี้ฟานและจ้านเป่ยเทียนมองเข้าไปในภัตตาคาร

จ้านเป่ยเทียนเห็นหนึ่งในนั้นของหญิงสาวสามคน ดวงตาเขาหรี่ลงทันที สายตาเย็นชาน่ากลัวพลันปรากฏเด่นชัดขึ้นมาทันที

พวกหรงเสวี่ยอยู่ห่างจากพวกจ้านเป่ยเทียนค่อนข้างไกล จึงเพียงสังเกตได้ว่า จ้านเป่ยเทียนมีรูปร่างหน้าตาภายนอกหล่อเหลาเท่านั้น แต่กลับไม่เห็นสายตาเย็นชาเลยสักนิด

ผู้ชายคนนั้นหล่อโคตรๆ อะหนึ่งในเพื่อนของหรงเสวี่ยพูดออกมา

หรงเสวี่ยเหม่อมองจ้านเป่ยเทียนราวกับวิญญาณหลุดลอย หัวใจเต้นแรงขึ้นทันที

ใช่ว่าเธอไม่เคยเห็นผู้ชายที่ดูดี แต่กลับมีผู้ชายน้อยมากที่ทั้งหล่อเหลาและมีสง่าราศีเหมือนกับจ้านเป่ยเทียน

เพื่อนอีกคนป้องปากหัวเราะว่า ผู้ชายคนนั้นดูเหมือนจะมองหรงเสวี่ยอยู่นะ เขาคงตกหลุมหรงเสวี่ยเข้าแล้วล่ะ

ใบหน้าหรงเสวี่ยค่อยๆ แดงเรื่อขึ้น พวกเธออย่าพูดจาไร้สาระน่า

ต๊าย หรงเสวี่ยเขินซะแล้ว

เพื่อนของหรงเสวี่ยดูออกว่าหรงเสวี่ยสนใจผู้ชายคนนั้นก็เลยออกความเห็นว่า หรงเสวี่ย ฉันว่าไอ้โรคจิตคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทกับหนุ่มหล่อคนนั้นแน่เลยอะ เธอก็ใช้โอกาสนี้รุกคืบซะ บอกว่าตัวเองเข้าใจผิด แล้วก็สร้างความประทับใจดีๆ ให้สุดหล่อคนนั้นซะเลยสิ

หรงเสวี่ยหวั่นไหวเล็กน้อย ในใจเธออยากจะเข้าหาผู้ชายคนนั้นจริงๆ

นอกภัตตาคารอาหารตะวันตก หลังมู่อี้ฟานเห็นหรงเสวี่ยจ้องพวกเขาอยู่ เขาจึงอดใจชื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อคิดถึงพฤติกรรมของตัวเองเมื่อครู่ก็เหมือนคนน่าสงสัยจริงๆ นั่นแหละ นี่เป็นความเข้าใจผิด เมื่อกี้ตอนที่ฉันรอลิฟต์ ได้ยินพวกเธอคุยกันว่ามีภัตตาคารอาหารตะวันตกอยู่แถวนี้ ฉันก็เลยตามมาเพื่อกินข้าวน่ะ

แน่นอนว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงคือมาพบพระเอกโดยบังเอิญต่างหากล่ะ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกคนมองเป็นคนโรคจิตไปเสียได้ ช่างอยุติธรรมพอกันจริงๆ

นี่…”

รปภ. รู้สึกหน้าแตกกันอยู่บ้าง ตอนที่คิดว่าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ถูกต้องอย่างไรดี หรงเสวี่ยกลับยกรอยยิ้มสง่างามเดินมา และพูดอย่างสุภาพว่า คุณผู้ชายท่านนี้ ขออภัยด้วยจริงๆ ค่ะ เมื่อครู่เป็นดิฉันเองที่เข้าใจคุณผิดไป รปภ. ไม่ได้ทำร้ายคุณเข้าใช่ไหมคะ ถ้าคุณไม่ถือสาละก็ ดิฉันขอเชิญคุณและเพื่อนของคุณมารับประทานอาหารเพื่อเป็นการขอโทษค่ะ

“...” มู่อี้ฟานมองหรงเสวี่ยอย่างพูดอะไรไม่ออก

เฮ้! เฮ้! เฮ้!

เห็นได้ชัดว่าคนที่ถูกชดเชยและขอโทษน่ะเป็นเขา แต่นางร้ายกลับมองพระเอกอยู่ตลอด นี่มันหมายความว่ายังไงฮะ

น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะมองต่อไปอีกเท่าไร พระเอกเขาก็ไม่ชอบเธออยู่ดี

อีกอย่าง เธอตาบอด หรือไม่สังเกตกันแน่ว่าพระเอกใช้สายตาเย็นชาน่ากลัวมองเธออยู่

ถ้าสายตาสามารถฆ่าคนได้ เขาคิดว่าตัวสมทบหญิงคงตายเป็นหมื่นครั้งภายในหนึ่งวินาทีแล้วล่ะ

ก่อนที่มู่อี้ฟานจะตอบรับ พระเอกที่ไม่ได้พูดอะไรก็เอ่ยปฏิเสธอย่างสุภาพเสียก่อน ขอบคุณนะครับ แต่เพื่อนของผมไม่ชินกับการรับประทานอาหารด้วยกันกับคนแปลกหน้า

ถ้าหรงเสวี่ยเป็นญาติผู้พี่ของเขา เขาจะจับคู่พวกเขาโดยไม่พูดอะไรสักคำเลย น่าเสียดายที่ไม่ใช่

เขากระตุกแขนเสื้อของจ้านเป่ยเทียน

จ้านเป่ยเทียนหลุดจากภวังค์ ละสายตาจากหรงเสวี่ยหันไปหามู่อี้ฟาน ถามเสียงเย็นชาว่า เป็นอะไร

ฉันหิวแล้วอะ

นัยน์ตาของจ้านเป่ยเทียนมีความสั่นไหววาบผ่าน ทำไมนายมากินข้าวที่นี่?”

ฉันเพิ่งซื้อของเสร็จน่ะมู่อี้ฟานสังเกตได้ว่าจ้านเป่ยเทียนกำลังโกรธเขา ทว่าไม่รู้ว่าเขาโกรธเรื่องอะไร แต่เขาไม่ควรเอาความโกรธจากหรงเสวี่ยมาลงที่ตัวเขาหรือเปล่า

จ้านเป่ยเทียนเอาถุงจากมือเขาไปถือเอง ไม่สนใจหรงเสวี่ยที่มองเขาอยู่ตลอดเวลา และหันกลับไปกระซิบกับชาวต่างชาติทั้งสองคนที่รอเขาอยู่สองสามประโยคอีกต่างหาก

ชายชาวต่างชาติทั้งสองคนพยักหน้าก่อนจะเดินออกไปจากภัตตาคารอาหารตะวันตก

จ้านเป่ยเทียนพามู่อี้ฟานกลับเข้ามาในภัตตาคาร สั่งห้องส่วนตัว ต่อมาพนักงานเสิร์ฟก็นำพวกเขาขึ้นไปชั้นสอง

เพื่อนสองคนของหรงเสวี่ยเห็นหรงเสวี่ยหน้าเสียอย่างมาก ก็รู้ทันทีว่าคำเชิญชวนนั้นล้มเหลว จึงรีบปรี่ไปเอาอกเอาใจทันที

หรงเสวี่ย เธอโอเคไหมเพื่อนคนหนึ่งถามด้วยความกังวล

พริบตาเดียวหรงเสวี่ยหันไปถลึงตาใส่เธอ และพูดอย่างฉุนเฉียวว่า มันเป็นเพราะความคิดเลวๆ ที่เธอคิดออกมาทั้งหมดนั่นแหละที่ทำให้ฉันเสียหน้าที่สุด ผู้ชายคนนั้นก็เลยไม่สนใจฉัน

เพื่อนรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับตัวเองเลย ไม่ผิดที่ความคิดนั้นเป็นเธอที่คิดออกมา แต่ถ้าหรงเสวี่ยไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ก็ไม่จำเป็นต้องทำตามคำพูดเธอนี่

ใบหน้างดงามของหรงเสวี่ยอำมหิตบางส่วน ยิ่งเขาเมินฉัน ฉันยิ่งอยากได้เขา และพวกเธอ ฉันไม่สนว่าจะใช้วิธีอะไร แต่พวกเธอต้องทำให้เขาจำฉันให้ได้ และต้องได้วิธีติดต่อเขามา มิฉะนั้น หรงซื่อกรุ๊ปจะยกเลิกความร่วมมือกับทั้งสองบริษัทของพวกเธอ

สีหน้าเพื่อนสองคนดูปั้นยาก แต่กลับต้องฝืนยิ้มออกมา พวกเราจะต้องได้วิธีติดต่อเขามาแน่จ้ะ

หรงเสวี่ยแค่นเสียงเย็นชา และเดินเข้าไปในภัตตาคารอาหารตะวันตก ไม่สังเกตสักนิดว่าเพื่อนสองคนข้างหลังจ้องเธอเขม็งด้วยความเกลียดชัง

—————————————————————————————

เมื่อมาถึงห้องอาหารที่เงียบสงบและหรูหรา มู่อี้ฟานหันไปสั่งสเต๊กพริกไทยดำมีเดียมแรร์กับพนักงานเสิร์ฟ

จ้านเป่ยเทียนกลับพูดว่า สเต๊กพริกไทยดำห้าจานเวลดัน เมื่อกี้ที่เขาสั่ง นั่นไม่เอา

มู่อี้ฟานมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง สั่งมาเยอะขนาดนี้ นายไม่พอกินเหรอ สั่งสเต๊กเวลดันดูเหมือนไม่ค่อยน่าอร่อยเลยนะ

จ้านเป่ยเทียนมองเขาอย่างเงียบๆ

มู่อี้ฟานก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า สเต๊กพริกไทยดำห้าจานนั้นถูกสั่งให้ตัวเอง เมื่อไม่นานมานี้ใครใช้ให้เขากินไปเยอะเล่า นอกจากนี้ การกินเนื้อที่กึ่งสุกกึ่งดิบนั้น ไม่ค่อยดีต่อกระเพาะอาหารเท่าไร

ไม่นานมานี้ ฉันกินเยอะไปหน่อยน่ะเขายิ้มอย่างอับอายเล็กน้อย ใช่แล้ว คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะถูกลิขิตให้เจอกันที่นี่เลยนะ เมื่อกี้ชาวต่างชาติสองคนนั่นที่ออกมาจากภัตตาคารพร้อมกันกับนาย เขามาเจรจาธุรกิจที่นี่เหรอ

จ้านเป่ยเทียนส่งเสียงกดดันเบาๆ จากนั้นไม่ได้พูดต่อไปอีก เจ้าตัวจมอยู่ในห้วงความคิด

มู่อี้ฟานมองสายตาปานฟ้าครึ้มของเขาก็รู้ว่าเขากำลังคิดถึงเรื่องก่อนที่จะเผชิญหน้ากับหรงเสวี่ย

บรรยากาศในห้องส่วนตัวก็พลอยเย็นลงไปด้วย ราวกับเครื่องปรับอากาศเปิดอยู่ที่สิบแปดองศา ซึ่งทำเอาเขาอดตัวสั่นไม่ได้

มู่อี้ฟานรีบชูชุดสูทลำลองตัวหนึ่งที่หยิบออกมาจากในถุงขึ้น เป่ยเทียน ฉันซื้อเสื้อผ้ามาให้นายสองสามตัวน่ะ นายดูสิว่าชอบไหม

เขาซื้อตามความชอบของจ้านเป่ยเทียนในชีวิตจริง จ้านเป่ยเทียนในนิยายก็น่าจะชอบด้วยเหมือนกัน

จ้านเป่ยเทียนคิดไม่ถึงว่ามู่อี้ฟานจะซื้อเสื้อผ้าให้เขา จึงมึนงงอยู่เล็กน้อย นายซื้อเสื้อมาให้ฉันเหรอ

มู่อี้ฟานฉีกยิ้มกว้าง ใช่ ฉันซื้อมาตามไซส์ของนายเลย มันน่าจะพอดีนะ

จ้านเป่ยเทียนสงสัย นายรู้ไซส์ฉันได้ไง

มู่อี้ฟานกระแอมไอเบาๆ ฉันกะขนาดด้วยสายตาของฉันน่ะ

ความจริงแล้วสิ่งที่เขารู้คือไซส์ของจ้านเป่ยเทียนในชีวิตจริงต่างหาก

ขอบคุณจ้านเป่ยเทียนขอบคุณเขาด้วยน้ำเสียงจริงใจ มองเสื้อผ้าในมือเขา และยังพอใจอย่างมากอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นสไตล์ หรือสีสันล้วนถูกใจเขานัก

ถ้าหากเขามาห้างแล้วซื้อเสื้อผ้าเองก็จะเลือกสไตล์นี้เหมือนกัน

มู่อี้ฟานเห็นบรรยากาศภายในห้องส่วนตัวกลับมาอบอุ่นขึ้น จึงรีบเอาเสื้อผ้าเก็บไว้ให้เรียบร้อย และพอกลับไปค่อยให้ลองอีกครั้ง หลังจากนั้นอาศัยช่วงที่อารมณ์ของจ้านเป่ยเทียนดีขึ้น และถามว่า ตอนบ่ายนายยังมีธุระอีกไหม

ตามการดำเนินเนื้อเรื่อง หลังจากพระเอกและพ่อค้าอาวุธเจรจาเรื่องเสร็จแล้วก็ให้เวลาว่างกับตัวเองครึ่งวัน ซึ่งไม่รู้ว่าเนื้อเรื่องมันคลาดเคลื่อนหรือเปล่า

จ้านเป่ยเทียนขบคิด และตอบเบาๆ ว่า ไม่มี

ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปเล่นโบว์ลิ่งกันเป็นไงมู่อี้ฟานพูดอย่างตื่นเต้น ที่เลือกกีฬาประเภทนี้ก็เพื่อให้ตรงกับความชอบของพระเอก

จ้านเป่ยเทียนขมวดคิ้ว ไม่เหมาะ

มู่อี้ฟานฉงน หรือว่าความชอบของจ้านเป่ยเทียนในชีวิตจริง และความชอบของจ้านเป่ยเทียนในนิยายมันไม่เหมือนกันนะ

ไม่เหมาะ? หรือพวกเราจะไปเล่นเทนนิส?”

ไม่เหมาะ

ไปขี่ม้า?”

ไม่เหมาะ

มู่อี้ฟานรู้สึกหดหู่แล้ว ไม่เหมาะ มันหมายความว่าไงล่ะ นายไม่อยากไปหรือว่ายังไง นายตอบให้ชัดเจนมาหน่อยเถอะ

สายตาของจ้านเป่ยเทียนกวาดผ่านไปที่ใต้หน้าอกเขา นายไม่เหมาะกับการออกกำลังหักโหม

มู่อี้ฟานตกตะลึง ฉันไม่เหมาะยังไง เรื่องพวกนี้ฉันทำได้หมดเลยนะ

ท้องอืด

มู่อี้ฟานพูดอย่างประหลาดใจว่า ใครบอกว่าท้องอืดแล้วจะออกกำลังหักโหมไม่ได้ล่ะ ฉันไม่รู้ได้ยังไง?”

จ้านเป่ยเทียนไม่พูด

มู่อี้ฟานคิดว่าพระเอกให้ความร่วมมือกับตัวเองยากมาก คิดถึงบางสิ่งที่เหมาะให้ตัวเองทำได้ อีกทั้งยังเป็นกิจกรรมสร้างความบันเทิงที่ไม่น่าจะรุนแรงเกินไป เอาแบบนี้นะ พวกเราไปโรงหนังกันดีไหม

จ้านเป่ยเทียนคิ้วขมวดมองสายตาน่าสงสารของเขาอยู่ พลางพยักหน้าอย่างอดไม่ได้

ดีจังเลย ฉันจะเลือกหนังเดี๋ยวนี้ล่ะมู่อี้ฟานหยิบโทรศัพท์ออกมาอย่างดีใจ ค้นหาหนังที่น่าดูในออนไลน์ พวกเราไปดูหนังแอคชันเป็นไง

รุนแรงเกินไป

มู่อี้ฟานตกตะลึงซ้ำสอง ไม่รู้ว่าพระเอกที่เคยฆ่าซอมบี้ไปมากน้อยเท่าไร จู่ๆ จะมารู้สึกว่าหนังแอคชันมันรุนแรงเกินไปเนี่ยนะ นี่มันตลกเกินไปหรือเปล่า

หรือจะดูหนังเขย่าขวัญ?”

เลือดสาดเกินไป

หนังสยองขวัญ?”

ระทึกเกินไป

หนังตลก?”

น่าเบื่อเกินไป

หนังรักโรแมนติก?”

ไม่เข้าท่า

หนังไซไฟ?”

จ้านเป่ยเทียนได้ยินประโยคนี้แล้วอดนึกถึงวันสิ้นโลกไม่ได้ รูม่านตาดำมืดลง ไม่อยากดู

มู่อี้ฟานไม่ทงไม่ทนมันอีกต่อไป แม่ง สรุปนายจะดูอะไรกันฮะ

ทำไมเขาไม่รู้ว่าเดิมทีพระเอกเป็นผู้ชายขี้จุกจิกแบบนี้นะ นี่ก็ไม่เอา นั่นก็ไม่ได้ สรุปอยากจะทำอะไรกันแน่

ไม่อยากออกไปไหนก็เจรจากันตรงๆ ก็ได้ จะแกว่งเขาไปทำไมเล่า

จ้านเป่ยเทียนกวาดตามองหน้าจอโทรศัพท์ ทันใดนั้น มุมปากก็โค้งขึ้นเล็กน้อย ชี้ไปที่หน้าจอโทรศัพท์แล้วเอ่ยว่า พวกเราดูเรื่องนี้แล้วกัน


 

บทที่ 31 มันไม่ใช่หนังที่ให้นายดู

มู่อี้ฟานจ้องส่วนที่นิ้วมือของจ้านเป่ยเทียนชี้ให้ดู หน้าปกของภาพยนตร์ทำเป็นแอนิเมชัน ช่างไม่น่าเชื่อจริงๆ ไม่ใช่อะ นายอยากดูหนังแอนิเมชัน?”

จ้านเป่ยเทียนรั้งมือกลับ ก่อนจะหยิบน้ำเลมอนเนดที่บริกรเทให้เขามาจิบเล็กน้อยอึกหนึ่ง

ขนาดมู่อี้ฟานก็ไม่เชื่อว่าพระเอกอยากดูหนังแอนิเมชันจริงๆ เหมือนกัน พวกเราต่างอายุสิบหกอัปกันแล้ว ยังไปดูหนังแอนิเมชันได้จริงเหรอ นายแน่ใจนะว่าพวกเราต้องไปดูหนังเรื่องนี้จริงๆ น่ะ

อืม

แต่ฉันไม่อยากดูหนังแอนิเมชันนี่มู่อี้ฟานชี้ไปที่หนังตลก และพูดว่า ฉันอยากดูหนังตลกมากกว่า

จ้านเป่ยเทียนพูดจาแฝงนัยลึกซึ้ง มันไม่ใช่หนังที่ให้นายดู นายแค่นั่งอยู่ตรงนั้นก็พอ

มู่อี้ฟานใจลอย ไม่ใช่ให้ฉันดู งั้นให้ใครดูล่ะ

จ้านเป่ยเทียนมองหน้าท้องของเขา และไม่พูดอะไรออกมา

มู่อี้ฟานว่าอย่างจนปัญญา เอาล่ะ ฉันจองตั๋วเดี๋ยวนี้แหละ

ในเมื่อพระเอกนั้นเต็มใจไปดูหนังเป็นเพื่อนเขาด้วยกัน เขาก็ไม่ต้องเลือกสามหยิบสี่อีกต่อไป หนังแอนิเมชันก็หนังแอนิเมชันวะ

มู่อี้ฟานเพิ่งจะจองตั๋วเสร็จ บริกรก็นำสเต๊กสองจานเข้ามาเสิร์ฟวางไว้บนโต๊ะ ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า คุณผู้ชายทั้งสองท่านเชิญรับประทานกันอย่างช้าๆ นะครับ สเต๊กอีกสามจานยังต้องรอเวลาอีกสักหน่อยครับ

กว่าจะถึงเวลาภาพยนตร์ออกฉายยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่ง มู่อี้ฟานหยิบมีดกับส้อมขึ้นมาแล้วกินอย่างตะกละตะกลาม โชคดีที่โรงหนังอยู่ใกล้ๆ ไม่อย่างนั้น เขาก็คงกลืนสเต๊กเข้าไปทั้งชิ้นแล้ว

หนึ่งชั่วโมงต่อมา มู่อี้ฟานกินจนอิ่มหนำ จ้านเป่ยเทียนเรียกบริกรเข้ามาจ่ายบิล

คุณผู้ชายทั้งสองท่านครับ มีคุณหนูแซ่หรงท่านหนึ่งได้จ่ายบิลให้พวกคุณแล้วครับบริกรเอ่ย เธอบอก หวังว่าจะเป็นเพื่อนกับพวกคุณได้น่ะครับ

เขาหยิบนามบัตรสีทองออกมาจากในกระเป๋า นี่คือนามบัตรของคุณหนูหรงครับ ถ้ามีเรื่องอะไร สามารถโทร.หาเธอได้นะครับ แน่นอนว่าถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้คุณผู้ชายทั้งสองทิ้งเบอร์โทรศัพท์ติดต่อไว้ด้วยนะครับ

สายตาจ้านเป่ยเทียนเย็นชา

อุณหภูมิภายในห้องส่วนตัวลดลงอีกครั้ง

มู่อี้ฟานเห็นจ้านเป่ยเทียนไม่พูดไม่จาตั้งแต่ต้น จึงทำได้เพียงกระซิบเรียกความสนใจ หนังใกล้จะฉายแล้ว

จ้านเป่ยเทียนมองเขาแล้วหรี่ตาลง ใช้ปากกาในมือบริกรเขียนตัวอักษรที่เหี้ยมหาญทรงพลังบนกระดาษขาวว่า จ้านเป่ยเทียนสามคำตามด้วยเบอร์มือถือ

มู่อี้ฟานยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าเบอร์มือถือนั้นช่างคุ้นเคยนัก จากนั้นดวงตาก็เบิกกว้างขึ้น นั่นมันไม่ใช่เบอร์ของเขาหรอกเหรอ

ทำไมนายเอาเบอร์…”

ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกสายตาเย็นชาของจ้านเป่ยเทียนกวาดมองเสียก่อน มู่อี้ฟานรีบกลืนคำพูดหลังประโยคถัดไปทันที

จำได้ว่าตามเนื้อเรื่องในนิยาย พระเอกนั้นไม่ได้ตอบกลับตัวสมทบหญิง แต่ตอนนี้กลับทิ้งชื่อและเบอร์โทรศัพท์ไว้ หมายความว่าการพัฒนาของเนื้อเรื่องในนิยายจากการมีอยู่ของเขา จึงทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไม่น้อยเหรอ?

บริกรหยิบเบอร์ติดต่อ และออกจากห้องไปอย่างดีใจ

เมื่อมาถึงโรงหนังก็ถึงเวลาหนังเข้าฉายพอดี พวกเขาคนหนึ่งรับผิดชอบเอาของไปฝากไว้ที่เคาน์เตอร์ ส่วนอีกคนรับผิดชอบไปรับตั๋วที่เครื่องขายตั๋ว

ช่วงที่เข้าสู่โรงหนัง พวกผู้ใหญ่ต่างพาเด็กๆ เข้าไปในโรงหนัง เห็นแต่จะมีเพียงจ้านเป่ยเทียนและมู่อี้ฟานที่เป็นผู้ชายตัวโตสองคนเท่านั้นที่เข้ามาในโรงหนังด้วยกัน ทำให้พนักงานตรวจตั๋วที่กำลังตรวจตั๋วอยู่มองพวกเขาสองคนหลายครั้งอย่างอดไม่ได้

พวกเขามาถึงห้องฉายหนังจึงนั่งลงบนสองที่นั่งแถวสุดท้ายที่หันหน้าเข้าทางเดิน

หลังหนังเริ่มฉาย มู่อี้ฟานคิดว่าหนังแอนิเมชันน่าจะน่าเบื่อมาก คิดไม่ถึงว่าตัวเองกลับหัวเราะออกมา เพราะเนื้อเรื่องนั้นสนุกที่สุด ทำให้จ้านเป่ยเทียนประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่า

มันตลกสุดๆ ไปเลยมู่อี้ฟานหัวเราะ พลางสัมผัสหน้าท้องกลมป่องไปด้วย หัวเราะจนท้องฉันกระตุกอย่างคึกคักไม่หยุดแล้วเนี่ย

จ้านเป่ยเทียน “...”

มู่อี้ฟานอยู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นเสียงดัง และจับมือของจ้านเป่ยเทียนมาวางบนหน้าท้องของตัวเอง จริงสิ มันเคลื่อนไหวตลอดเลย เกิดอะไรขึ้น

จ้านเป่ยเทียน “...”


 

บทที่ 32 ผู้ชายคนนี้ต๊องจริงๆ

จ้านเป่ยเทียน “...”

แม้มองไม่เห็นสถานการณ์ในท้อง แต่ดูจากการเต้นที่น่าระทึกใจแล้ว เจ้าตัวเล็กในท้องดูเหมือนจะมีความสุขมากจริงๆ

จ้านเป่ยเทียนเหมือนได้รับอิทธิพลจากมัน ใต้ดวงตาจึงมีรอยยิ้มวาบผ่านจางๆ

เป็นไง? รู้สึกได้ไหม?” มู่อี้ฟานถามเบาๆ

หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลเมื่อคืนวาน ท้องก็ไม่เคยขยับอีกเลย เขาคิดว่าอาการท้องอืดทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของช่องท้องอย่างเฉียบพลันหลายครั้งก็เลยไม่ได้สนใจ แต่การเต้นถี่ขนาดนี้ในขณะนี้ มันไม่น่าจะใช่อาการท้องอืดธรรมดานัก

แล้วทำไมท้องเขาถึงได้เต้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยล่ะ?

เขาจำได้ว่าตอนที่บรรยายถึงมู่อี้ฟานราชาซอมบี้คนนี้ไว้ในนิยายนั้น ไม่ได้เขียนให้ในท้องของราชาซอมบี้มีปัญหาอะไรนี่

มู่อี้ฟานนึกทวนเนื้อหาของนิยายอย่างละเอียด ทันใดนั้นก็นึกถึงฉิงเทียนจูที่ถูกเขากลืนเข้าไปในท้องขึ้นมาได้ นั่นเป็นลูกปัดวิญญาณตาขาวลูกหนึ่งอย่างสิ้นเชิง และตอนนี้มันยังอยู่ในท้องของเขาอีกด้วย

แล้วท้องเขาที่จู่ๆ ก็เต้นขึ้นมาล่ะ เกี่ยวอะไรกับมัน?

ท้องเต้นแรงขนาดนี้ จ้านเป่ยเทียนบอกไม่ได้ว่ารู้สึกยังไง 

เขาจะต้องยกเรื่องท้องอืดมาขายผ้าเอาหน้ารอดกับอีกฝ่ายจนถึงเมื่อไร และจะสามารถหลอกอีกฝ่ายไปได้สักแค่ไหน จึงได้แต่ฟังมู่อี้ฟานพูดว่าฉันดูแล้วมันน่าจะเกิดจากอาการท้องอืดนะ เดี๋ยวตดสักทีสองทีก็ไม่เต้นตุบตับแล้วล่ะ

ถ้าสิ่งที่เต้นในท้องเป็นฉิงเทียนจู เช่นนั้นอย่าได้ไปโรงพยาบาลจะเป็นการดีกว่า

พระเอกจะไม่รั้งอยู่ในวิลลานานเกินไปเพียงเพราะเขาช่วยขวางวิถีกระสุน และก็ไม่แน่ว่าอยู่เป็นเพื่อนเขาเพราะเขาป่วยเป็นมะเร็งเสมอไปหรอก

ในวันนั้นเขาให้หลี่ชิงเทียนโกหกพระเอกว่าเขามีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ก็คิดเดิมพันว่าพระเอกจะอยู่เพื่อเขาหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าพระเอกจะอยู่ดูแลเขา เพราะเขาเข้าไปขวางกระสุนให้

ปัจจุบันก็มีเพียงฉิงเทียนจูเท่านั้นที่ทำให้พระเอกสามารถรั้งอยู่ได้อย่างแท้จริง ดังนั้น จึงไม่สามารถไปโรงพยาบาล เพื่อไม่ให้พระเอกหาข้ออ้างแยกฉิงเทียนจูไปได้

“...”

มือขวาของจ้านเป่ยเทียนจ่ออยู่ใต้จมูก เกือบชิดกับริมฝีปากบางที่ดูดี เขาหันหน้าไปอีกด้านอย่างเงียบๆ มุมปากพลันโค้งขึ้นเผยรอยยิ้มที่ยากจะฝืนออกมา

ผู้ชายคนนี้ต๊องจริงๆ!

มู่อี้ฟานฉวยช่วงที่จ้านเป่ยเทียนไม่ได้มองเขา ก้มหัวลงพูดกับท้องอย่างไร้เสียงว่า หยุดเต้นทีสิ

ขณะนั้น ท้องก็สงบนิ่งลง

ดวงตามู่อี้ฟานเปล่งประกาย

มันมีปัญหาที่ฉิงเทียนจูจริงๆ ด้วย

หลังจากนั้น เขาก็ลองอีกหลายๆ ครั้ง ให้ฉิงเทียนจูเต้น มันก็เต้น ไม่ให้มันเต้น มันก็จะเงียบๆ 

หลังจากมู่อี้ฟานรู้ว่าเป็นฉิงเทียนจูอยู่เบื้องหลังก็ไม่กังวลอีกต่อไป ให้มันพักอยู่ในท้องของตัวเองอย่างเรียบร้อยสงบเสงี่ยม รอเขากำจัดพระเอกได้เมื่อไร เมื่อนั้นค่อยว่ากันอีกที

ต่อมาทั้งสองคนต่างไม่คิดอะไร เก็บแรงซ่อนเร้นไว้ในใจ แล้วพากันดูหนังต่อไป

หลังหนังฉายจบก็ขับรถตรงกลับวิลลา

เมื่อลงจากรถ มู่อี้ฟานง่วงจนตาจะหลับแหล่มิหลับแหล่อยู่แล้ว เขาหาวออกมาแล้วพูดว่า เป่ยเทียน นายก็ไปลองเสื้อผ้าสักหน่อยเถอะ ถ้ามันไม่พอดี หรือไม่ถูกใจ พรุ่งนี้ค่อยไปเปลี่ยนกัน

เขาพูดขณะเดินเข้าวิลลาไปด้วย

จ้านเป่ยเทียนกำลังถือถุงช็อปกองหนึ่งที่มู่อี้ฟานโยนใส่เบาะหลังในรถ

ทันใดนั้น เสียงตุบพลันดังขึ้น และมีของบางอย่างหลุดออกมาจากในถุง


 

บทที่ 33 ยากระเพาะเม็ดนี้ตะมุตะมิดีจริงๆ

จ้านเป่ยเทียนได้ยินเสียงนั้น จึงก้มหัวลงอย่างสงสัย และเห็นกล่องเล็กๆ บนพื้น

เขาหยิบขึ้นมาดู ตัวอักษรใหญ่สีขาวสามคำ ยาขับลมสะท้อนเข้ามาในดวงตา ทันใดนั้น มันทั้งน่าตลกทั้งยังสุขใจเช่นเดียวกัน

ครั้นเมื่อนึกอะไรได้ ดวงตาก็เปล่งประกายวูบ เอายาขับลมกล่องเล็กเข้ามาในถุง และถือถุงเล็กถุงใหญ่เข้าไปภายในบ้าน

เมื่อถึงเวลากินข้าวตอน 07.00 น. มู่อี้ฟานก็ถูกจ้านเป่ยเทียนปลุกให้ตื่นเพื่อไปกินข้าวที่ห้องอาหาร

หลังมื้อค่ำ เขารู้สึกอายจริงๆ ที่กินอาหารที่พระเอกทำจนเสร็จแล้วยังต้องให้พระเอกล้างจาน ดังนั้น เขาจึงรับช่วงต่องานล้างจานมาทำเอง

รอเขาล้างจานเสร็จแล้ว เห็นถังขยะที่ใส่ขยะจนพูน เขาจึงย่นคิ้วลง และเอาถุงขยะใบใหญ่ที่ใส่ขยะออกมาจากในตู้แล้วนำขยะในถังขยะออกไปทิ้งข้างนอก

ทันใดนั้น เสียงดังขลุกๆ ก็ดังขึ้น พร้อมดึงดูดความสนใจของเขา

มู่อี้ฟานมองถุงขยะใบใหญ่ด้วยความสับสน เมื่อครู่ดูเหมือนจะมีของบางอย่างหล่นเข้าไปในนั้น 

เขามองหาจากต้นเสียง หลังจากนั้นก็เห็นขวดยาสีขาวขวดหนึ่งซึ่งถูกฉีกฉลากออกไป 

มู่อี้ฟานเขย่าขวดยา ทันใดนั้น มันก็ส่งเสียงดังขลุกๆ ออกมา

นี่มันยาอะไร

เขาเปิดดูอย่างอยากรู้อยากเห็น แต่ก็ไม่ได้เปิดออกจริงๆ

มู่อี้ฟานมองจ้านเป่ยเทียนที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องโถง และตัดสินว่าจะไม่รบกวนพระเอกเสียดีกว่า เพื่อไม่ให้ไปขุดคุ้ยความเป็นส่วนตัวของพระเอกที่ไม่อยากพูด

อย่างไรก็ตาม เขาไม่อาจยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นได้ ก็เลยเปิดมันดูอย่างเงียบๆ ทว่าบนฉลากยาไม่มีระบุชื่อผลิตภัณฑ์ยาไว้เลย

มู่อี้ฟานรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ทำได้แค่คว่ำถังขยะหาฉลากยาจากถุงขยะ

เขาหาฉลากไม่เจอ กลับเจอแต่กล่องเล็กๆ ที่ใช้ใส่ขวดยาและถูกบีบใช้ไปแล้ว

เขามองดูอย่างละเอียด ด้านบนกล่องเขียนตัวอักษรใหญ่หกตัวว่า เม็ดแคลเซียมสูงสำหรับสตรีมีครรภ์

มู่อี้ฟานใจลอย ใช่ไหมวะ

พระเอกจะซื้อเม็ดแคลเซียมดังกล่าวมาจริงๆ เหรอ?

อย่างไรก็ตาม พระเอกไม่ใช่สตรีมีครรภ์เสียหน่อย ทำไมถึงซื้อเม็ดแคลเซียมดังกล่าว? อีกอย่างหลังซื้อมาแล้ว ทำไมถึงต้องโยนทิ้งไปด้วยเล่า

เขาอยากรู้ชะมัด แต่หาคำตอบไม่ได้อยู่ดี ทำให้เพียงยั้งความอยากรู้เอาไว้เท่านั้น โยนยากลับคืนลงถุงขยะ และโยนขยะใส่ในถังขยะข้างนอกวิลลา

กว่าจะทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เวลาก็ล่วงเลยมาถึง 08.00 น. มู่อี้ฟานเพิ่งคิดถึงยาขับลมที่แอบไปซื้ออย่างลับๆ ที่ร้านเภสัชในวันนี้ขึ้นมาได้ จึงรีบถามจ้านเป่ยเทียนว่า เสื้อผ้าที่ฉันซื้อกลับมาในวันนี้ มันวางอยู่ที่ไหน?”

จ้านเป่ยเทียนซึ่งกำลังทำงานอยู่กับแล็ปท็อปเหลือบมองเขาแล้วพูดเสียงแผ่วเบาว่า อยู่หลังโซฟา

มู่อี้ฟานเดินไปหลังโซฟา เอาเสื้อผ้าที่ซื้อมาให้จ้านเป่ยเทียนไว้อีกด้าน แล้วรีบถือถุงอื่นที่เป็นของเขาเดินไปที่ห้องชั้นสอง

อย่าวิ่งจ้านเป่ยเทียนตวาดเสียงเย็นใส่

เอ๋!?!” มู่อี้ฟานก้มลงมองพระเอกที่เงยหน้าขึ้นจ้องเขาอย่างเย็นชาก็อดชะลอเท้าลงไม่ได้ แล้วค่อยๆ เดินกลับไปที่ห้อง

จ้านเป่ยเทียนถอนสายตากลับ มองไปยังถุงหลายสิบใบซึ่งถูกมู่อี้ฟานแยกออกมาแล้วก็รู้สึกตกใจ จริงๆ แล้วเสื้อผ้าที่ซื้อมาให้เขา มันมากกว่าที่เขาเอาไปเสียอีก

หลังมู่อี้ฟานกลับมาถึงห้องก็รีบพลิกหาถุงที่ใส่ชุดนอนที่สวมใส่สบายอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็หายาขับลมที่เขาซื้อมาซึ่งเจออยู่ใต้ก้นถุง

เขารีบเปิดกล่อง เปิดฝาขวด หยิบเม็ดยาออกมา เห็นเม็ดยารูปไข่สีชมพูลายการ์ตูนผู้หญิงครึ่งตัว เขาจึงบ่นเสียงอุบอิบออกมาอย่างอดไม่ได้ ยากระเพาะเม็ดนี้ตะมุตะมิดีจริงๆ


 

บทที่ 34 2B โทร.มาแล้ว

มู่อี้ฟานจำได้ว่าเภสัชกรในร้านเภสัชอธิบายว่า ต้องกินหลังอาหาร ครั้งละสองเม็ด และหนึ่งวันให้กินสามครั้ง

เขาจับขวดไว้ และเทเม็ดหนึ่งออกมาส่งเข้าปาก

ในเวลานั้น โทรศัพท์มือถือที่โยนทิ้งไว้บนเตียงก็ดังขึ้นพร้อมเสียงขัดหูที่เหมือนเป็ดตะเบ็งออกมา 2B[1] โทร.มาแล้ว 2B โทร.มาแล้ว

แค่กแค่ก! แค่กแค่ก!

มู่อี้ฟานสำลักยาเม็ดในทันที

เชี่ยเอ้ย!

ไอ้โง่ตัวไหนตั้งเสียงเรียกเข้าแบบนี้วะ

เขารินน้ำใส่แก้วแล้วรีบดื่มลงไป ตาลีตาเหลือกวิ่งไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่เตียงขึ้นมาดู ข้างบนโชว์ชื่อ มู่อี้หาง อยู่สามคำ จึงรีบกดปุ่มรับ แล้วถามว่า พี่ใหญ่ มีอะไรเหรอ?”

สายฝั่งตรงข้ามเงียบกริบ

มู่อี้ฟานมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความสงสัย เห็นตำตาว่ายังอยู่ในสาย ทำไมไม่มีเสียงเลยล่ะ โดยพลันก็คิดอะไรออก จึงทำเสียงกดต่ำลงในพริบตา ถามเสียงเย็นว่า มีไร?”

เวรล่ะ!

ภายหลังเขาไม่กล้าจะใช้ชื่อญาติสนิทมิตรสหายมาตั้งชื่อตัวละครในนิยายอีกต่อไปแล้ว นี่มันหาที่ตายชัดๆ

ปัจจุบันมู่อี้หางในโทรศัพท์มือถือเป็นน้องชายที่มีพ่อคนเดียวกันของร่างนี้ และก็เป็นน้องสองที่ให้หลี่ชิงเทียนปล่อยไวรัสใส่ร่างนี้นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ในชีวิตจริงมู่อี้หางเป็นญาติผู้พี่ของเขาซึ่งดีต่อเขาเป็นพิเศษ เนื่องจากเขาอายุน้อยกว่ามู่อี้หางสิบห้าปี มู่อี้หางในฐานะพี่ใหญ่ก็เลยโอ๋เขาเป็นพิเศษ แถมพี่หญิงใหญ่มู่อี้เสวี่ยที่มีอายุมากกว่าเขาสิบปีก็เป็นไปกับเขาด้วย ทั้งสองยังตามใจเขายิ่งกว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเสียอีก จึงเปรียบได้ว่าเป็นพ่อแม่คนที่สองของเขา แน่นอนว่าทั้งสองคนนี้ในตอนนี้ หนึ่งกลายเป็นน้องชายที่ต้องการให้เขาตายไม่ให้ผุดให้เกิดเป็นนิจ อีกหนึ่งกลายเป็นตัวสมทบหญิงที่ครั้งหนึ่งเคยร่วมมือกับเขาฆ่าพระเอกตาย

พระเจ้า!

คุณล้อผมเล่นใช่ไหมเนี่ย

ใช่แล้ว ยังมีแม่แท้ๆ ของมู่อี้หางอีก เห็นได้ชัดว่าในความเป็นจริงเป็นแม่แท้ๆ ของเขา ในนิยายกลับกลายเป็นแม่เลี้ยงของเขาซะงั้น 

แม่ง ไข่แม่มันจริงๆ!

พ่อกลับมาพรุ่งนี้ แม่ให้คุณกลับมากินข้าวในตอนเย็นมู่อี้หางพูดอย่างเย็นชาจบก็วางสายไป

ใบหน้าของมู่อี้ฟานพังทลายและผ่อนคลายลงทันที ทันใดนั้นก็ย่นคิ้วลงอีกครั้ง พรุ่งนี้เขาต้องเล่นเป็นมู่อี้ฟานตัวจริงให้ได้

ขณะนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

มู่อี้ฟานจึงได้สติกลับคืนมา

ในวิลลามีเพียงเขากับจ้านเป่ยเทียน ดังนั้น คนที่เคาะประตูห้องเขาก็มีแค่จ้านเป่ยเทียนเท่านั้น

มู่อี้ฟานรีบเก็บยาขับลมไว้ แล้วเดินไปเปิดประตูและถามว่า มีอะไรเหรอ?”

จ้านเป่ยเทียนพูดเบาๆ ว่า ลงมาดูหนังด้วยกันสิ

ไม่คิดเลยว่าพระเอกจะเคลื่อนไหวเองแบบนี้ ทำให้มู่อี้ฟานทั้งผงะทั้งดีใจ เมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้ก็รีบถามว่า จะไม่ดูหนังแอนิเมชันอีกแล้วใช่รึเปล่า

ดวงตาเฉยชาของจ้านเป่ยเทียนมีรอยยิ้มที่มองไม่เห็นผ่านจางๆ สายหนึ่ง ไม่

จ้านเป่ยเทียนไม่ได้เปิดหนังแอนิเมชันจริงๆ แต่เปิดหนังตลกที่มู่อี้ฟานชอบดูแทน เพียงแต่ตอนที่หนังเล่นไปได้หนึ่งในสองส่วนก็ปิดสวิตช์หนังลงฉับ

หลังจากนั้นก็พูดหนึ่งประโยคว่า ค่อยดูวันต่อไปจากนั้นก็ได้ยินเสียงเพลงเปียโนที่ออกอากาศในช่วงเช้า และถือโอกาสหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่ไม่มีปกขึ้นมาเปิดอ่าน

มู่อี้ฟานถูกเขาทำให้พิศวงงงงวย เดินก็ไม่ได้ ไม่เดินก็ไม่ได้ ต่อมาฟังเพลงได้ไม่กี่เพลงก็เอนตัวหลับไปบนโซฟาจนได้

จ้านเป่ยเทียนที่อยู่ด้านข้างเห็นมู่อี้ฟานหลับปุ๋ยไปแล้วก็วางหนังสือลง และเดินย่องๆ ก้มลงที่ด้านหน้าของเขา




[1] เป็นคำแสลง แปลว่า โง่ หรือปัญญาอ่อน


 

บทที่ 35 ทำไมนายมานอนอยู่ที่ประตูห้องฉันได้

มู่อี้ฟานไม่ได้หลับลึกมากนัก อยู่ในสภาวะกึ่งฝันกึ่งตื่น ในความพร่ามัวนั้น รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนเลิกเสื้อของเขาขึ้น ลูบไล้ช่วงท้องที่นูนของเขาเบาๆ และเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยนมากทีเดียว ฝ่ามือของอีกฝ่ายก็เหมือนมีอำนาจชนิดหนึ่งที่ทำให้ส่วนท้องของเขานั้นรู้สึกแสนสบายนัก

อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายก็ถอนมือกลับไปอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกอุ่นสบายก็หายไปทันที มู่อี้ฟานยิ่งหลับยิ่งกระสับกระส่าย เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นเพดานในห้องนอนของเขา

เขากวาดตามองภายในห้อง สงสัยว่าตัวเองกลับมาที่ห้องตัวเองตอนไหน นึกได้ว่าจ้านเป่ยเทียนอาจจะอุ้มเขาขึ้นมาก็ได้เลยไม่ได้ใส่ใจ พลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา ซึ่งตอนนี้ก็เที่ยงคืนนิดๆ แล้ว

มู่อี้ฟานวางโทรศัพท์มือถือลง หันกลับไปแล้วนอนหลับต่อ

แต่ทำอย่างไรก็หลับไม่สนิทเสียที ถึงแม้ดวงตาจะง่วงอีกครั้ง จนกระทั่งมาถึงจุดที่ดวงตาทั้งสองข้างจวนจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่แล้ว และยังรู้สึกว่าการมีท้องใหญ่แบบนี้ มันรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวอยู่บ้าง จึงทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านเป็นอย่างมาก

มู่อี้ฟานพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียง พลิกอยู่กว่าครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็ตัดสินใจเดินลงไปข้างล่าง

แน่นอนว่าคนที่เพิ่งจะก้าวขาออกจากห้องก็ถูกแรงดึงดูดสายหนึ่งเข้าเสียก่อน ทำให้ทั่วร่างเขารู้สึกสบายอย่างมาก หลังจากนั้นก็ล้มตัวนอนอยู่บนพื้นซึ่งๆ หน้า 

วันต่อมา ช่วงเวลา 05.30 น. จ้านเป่ยเทียนซึ่งตื่นเช้าไปออกกำลังกายเป็นประจำก็ได้เปิดประตูออกทำให้เห็นใครคนหนึ่งเอนตัวนอนอยู่นอกประตู

เมื่อเห็นชัดว่าคนที่อยู่บนพื้นคือมู่อี้ฟาน นัยน์ตาพลันมีความกังวลฉาบผ่านอย่างรวดเร็ว รีบย่อตัวลงและเขย่าตัวมู่อี้ฟาน คุณชายมู่? คุณชายมู่? มู่มู่? มู่มู่?”

มู่อี้ฟานซึ่งอยู่ในห้วงความฝันได้ยินว่ามีคนเรียกเขา จึงลืมตาทั้งสองข้างขึ้นอย่างสะลึมสะลือ พอเห็นหน้าตาหล่อเหลาก็หาวออกมาทีหนึ่ง เป่ยเทียน ตอนเช้าต้องกินข้าวเช้าแล้วไม่ใช่เหรอ

“...” จ้านเป่ยเทียนเห็นเขาไม่เป็นอะไรก็ผ่อนลมหายใจแผ่วเบา ถามอย่างเคร่งเครียดว่า ทำไมนายมานอนอยู่ที่ประตูห้องฉันได้?”

มู่อี้ฟานส่ายหัวอย่างเหม่อลอย ฉันก็ไม่รู้ เมื่อคืนวานฉันนอนไม่หลับ อยากจะเดินๆ ออกมา ภายหลังเดินมาถึงห้องนาย ฉันรู้สึกว่าที่นี่ทำให้ฉันสบายก็นอนลงอยู่ตรงนี้แล้ว

“...” จ้านเป่ยเทียนจ้องท้องของเขา ช่วยเขาให้ลุกขึ้น ตอนนี้ยังไม่ถึงหกโมงเลย นายกลับไปนอนอีกรอบเถอะ ตอนสายๆ ฉันจะไปปลุกนายมากินข้าวเช้าอีกครั้งเอง

โอ้มู่อี้ฟานคลึงดวงตา เดินกลับห้องไปอย่างเชื่อฟัง แต่ทำอย่างไรก็ไม่หลับ เขาจึงได้แต่ลุกขึ้นเดินมาห้องโถงเพื่อดูทีวี

เมื่อถึงเวลา 08.00 น. จ้านเป่ยเทียนได้ถืออาหารเช้าถุงเล็กถุงใหญ่กลับมา มู่อี้ฟานรีบลุกขึ้นช่วยทันที เป่ยเทียน วันนี้ฉันต้องกลับไปหาพ่อฉันที่นั่นสักหน่อย อาจจะกลับดึก หรือกลับมาพรุ่งนี้เช้านะ

ฉันจะไปส่งนายเอง

มู่อี้ฟานรีบปฏิเสธ ไม่ต้อง ฉันขับรถไปเองได้

เมื่อกลับไปเยี่ยมครอบครัว แน่นอนว่าต้องเอาผ้ากอซที่ใบหน้าออก ดังนั้น จะให้พระเอกไปส่งเขาได้ที่ไหนกัน

จ้านเป่ยเทียนขมวดคิ้วมุ่น นายขับรถไม่ได้

งั้นฉันจะนั่งแท็กซี่ไป

ในเมื่อมู่อี้ฟานพูดแบบนี้ จ้านเป่ยเทียนก็ไม่พูดอะไรอีกต่อไป


 

บทที่ 36 ลูกคงจะมีเด็กผู้หญิงที่ชอบสินะ

มู่อี้ฟานกินข้าวเช้า พักผ่อนครู่หนึ่งก็ออกไปจากเขตวิลลา

อันดับแรกเขานั่งแท็กซี่ไปใจกลางเมือง และเอาผ้ากอซที่ใบหน้าออกในห้องน้ำของห้างสรรพสินค้า เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาและสุภาพอ่อนโยนจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

ตั้งแต่สวมบทบาทในนิยายที่ตัวเองเขียน แต่ไรมาเขาก็ไม่เคยได้ดูรูปร่างหน้าตาของร่างนี้ให้ดีๆ เลย

ใบหน้าของเขาในกระจกซีดเซียว คิ้วดกดำ ดวงตาสว่างสดใสและงดงามเหมือนเด็กอยู่เล็กน้อย และดูคล้ายกับรูปร่างหน้าตาของเขาในชีวิตจริงมาก เพียงแต่ในชีวิตจริงเขาหล่อเหลามากกว่าขั้นหนึ่ง ไม่ได้หล่อสดใสเหมือนมู่อี้ฟานในนิยาย

นอกจากนั้น ลักษณะที่เขาเห็นทั้งหมดในตอนนี้ก็ไม่เหมือนมู่อี้ฟานที่เขาเขียนบรรยายในนิยายเลยสักนิด

มู่อี้ฟานตัวจริงนั้นทั่วร่างเต็มไปด้วยพฤติกรรมต่อต้านสังคม และความดำมืดราวกับว่าผู้คนทั้งโลกติดหนี้เขาทั้งหมด บนใบหน้าไม่เคยเผยรอยยิ้มใดๆ ทั้งสิ้นดุจเมฆครึ้มถนนมืดหม่น

ต่อให้เขาดูหล่อเหลาแค่ไหน ก็ไร้หนทางให้ผู้คนรอบตัวมาชอบเขาได้

มู่อี้ฟานจับกรามล่างอย่างพอใจ หลายวันมานี้ไม่ได้เห็นหน้าตาของตัวเอง ย่อมต้องลืมว่ารูปร่างหน้าตาตัวเองเป็นอย่างไรแน่ นับประสาอะไรกับการถูกผ้ากอซพันมานานขนาดนี้ก็สมควรถึงเวลาให้ใบหน้านี้ได้ระบายอากาศบ้าง

เขามองภาพสะท้อนในกระจกอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น สิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่พอใจคือ ใบหน้านั้นซีดขาวไป นี่พิสูจน์ว่าวันที่เขาจะกลายเป็นซอมบี้นั้นยิ่งใกล้เข้ามาแล้ว

มู่อี้ฟานถอนหายใจ หมุนตัวออกจากห้องน้ำ หาร้าน Hair Salon[1] เพื่อสระผม และถือโอกาสตัดผมไปด้วย หลังจากนั้นก็หาภัตตาคารเพื่อกินอาหารเที่ยงตามใจชอบ จากนั้นก็มาถึงวิลลาที่แม่เลี้ยงของเขาอาศัยอยู่

ด้านนอกประตูวิลลามีรถออฟโรดที่ใช้ในทางการทหารจอดอยู่

มู่อี้ฟานเห็นรถก็รู้แล้วว่ามู่เยว่เฉิงกลับมาแล้ว

เขาคิดว่ามู่อี้ฟานในอดีตจะแสดงท่าทีต่อคนในครอบครัวอย่างไรขณะเดินเข้าไปในวิลลา

ในสวนดอกไม้มีทหารสี่นายยืนตั้งการ์ดเฝ้ารักษาการอยู่

คนรับใช้ในวิลลาเห็นมู่อี้ฟานก็ตกตะลึง หลังตะโกนเสียงหนึ่งว่าคุณชายใหญ่อย่างกริ่งเกรงเล็กน้อยก็ไปรายงานต่อคนในห้องโถงว่า ท่านนายพล นายหญิง คุณชายใหญ่กลับมาแล้วครับ

มู่อี้ฟานเดินเข้าไปในห้องโถง และเห็นทหารที่สวมเครื่องแบบทหาร โดยทั่วร่างแผ่กลิ่นอายความภูมิฐานออกมา รวมทั้งหญิงชนชั้นสูงที่นั่งเคียงข้าง และชายหนุ่มอ่อนเยาว์ที่มีจิตวิญญาณแห่งความกล้าหาญขู่เข็ญผู้คนซึ่งกำลังมองมาทางเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย

หญิงชนชั้นสูงจ้าวอวิ๋นซวนยิ้มเล็กน้อย อี้ฟานกลับมาแล้ว

มู่อี้ฟานมองดูเธออย่างหมองหม่น ไม่ได้ตอบกลับ ยับยั้งอารมณ์อยากตะโกนเรียกว่าแม่ไว้ และตรงเข้าไปนั่งลงบนโซฟา ร้องเสียงเบาว่า ป๊า

มู่เยว่เฉิงถาม กินข้าวเที่ยงมาหรือยัง

อืม

มู่เยว่เฉิงยืนขึ้น ในเมื่อทานมาแล้ว ลูกกับอี้หางตามพ่อไปห้องหนังสือ

มู่อี้ฟานยืนขึ้นติดตามเข้าไปในห้องหนังสือ

จ้าวอวิ๋นซวนรีบส่งสัญญาณทางดวงตาให้มู่อี้หางรีบเข้าไป

ทั้งสามคนเข้ามาในห้อง มู่เยว่เฉิงนั่งบนโซฟาแล้วถามมู่อี้ฟานว่า เมื่อเร็วๆ นี้เป็นอย่างไรบ้าง

มู่อี้ฟานสีหน้าเรียบเฉยไม่ตอบอะไร

มู่เยว่เฉิงคุ้นเคยกับการสงวนคำพูดคำจาของลูกชายคนโตดี เขาขมวดคิ้วถามอีกครั้งว่า อี้ฟาน ลูกคงจะมีเด็กผู้หญิงที่ชอบสินะ




[1] ร้านเสริมสวย


 

บทที่ 37 ฉันเกือบหายใจไม่ออกแล้ว

นัยน์ตามู่อี้ฟานมีความรู้สึกตกใจพาดผ่าน

คิดไม่ถึงว่ามู่เยว่เฉิงจะถามเรื่องนี้

มู่อี้หางรีบช้อนดวงตามองมู่เยว่เฉิงอย่างรวดเร็ว และดูเหมือนจะเดาออกว่าพ่อของตัวเองต้องการจะทำอะไร

มู่เยว่เฉิงพูดต่อ ถ้าหากไม่มีล่ะก็ พ่อมีลูกสาวของเพื่อนคนหนึ่งที่ถึงวัยแต่งงาน…”

มู่อี้ฟานได้ยินมาถึงตรงนี้ ก็นึกขึ้นมาได้ทันทีว่าในนิยายเคยกล่าวถึงครั้งหนึ่งว่า มู่เยว่เฉิงต้องการจะหาวิธีจับคู่มู่อี้ฟานกับคุณหนูใหญ่หรงเสวี่ยแห่งหรงซื่อกรุ๊ปให้ได้

เนื่องจากเขากังวลว่ามะเร็งกระดูกของลูกชายคนโตนับวันจะยิ่งเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นก็เลยอยากให้ลูกชายคนโตแต่งงานโดยเร็วเพื่อหลงเหลือสายเลือดสืบต่อจากลูกชายคนโตไว้ให้ตัวเองในภายหลัง

ในนิยายนั้น มู่อี้ฟานถูกคะยั้นคะยอให้ไปพบหรงเสวี่ย อย่างไรก็ตาม เมื่อนัดทานอาหารในภัตตาคารและพบหรงเอี๋ยนที่มาทำงานชั่วคราวในภัตตาคาร และก็เป็นตอนนั้นเองที่มู่อี้ฟานชอบหรงเอี๋ยนเข้าให้แล้ว

ป๊า! ป๊าเรียกพวกเราเข้ามาแค่จะพูดเรื่องนี้เหรอครับมู่อี้ฟานขัดจังหวะคำพูดมู่เยว่เฉิงเสียงเข้ม

เขารู้ว่ามู่เยว่เฉิงยังคงดีต่อลูกชายคนโตมาก ไม่เหมือนกับคนอื่นที่พอหาแม่เลี้ยงให้ลูกชายแล้ว ตัวเองก็กลายเป็นพ่อเลี้ยงเสียเอง

ยิ่งกว่านั้น ในบรรดาลูกชายทั้งสองคน มู่เยว่เฉิงชอบมู่อี้ฟานมากกว่า เนื่องจากมู่อี้ฟานเหมือนกับเขา เลือกที่จะเป็นทหารนายหนึ่ง ให้เขาในฐานะเป็นพ่อคนรู้สึกภาคภูมิใจเป็นพิเศษ

น่าเสียดาย ภายหลังมู่อี้ฟานถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งกระดูก อีกทั้งเขาก็ไม่ใช่มู่อี้ฟานตัวจริง ดังนั้น เขาจะไม่แต่งงานอะไรกับใครทั้งนั้น และจะไม่ให้เกิดเรื่องดูตัวต่างๆ ด้วย มิหนำซ้ำคู่ครองที่มู่เยว่เฉิงแนะนำในตอนนี้อย่างหรงเสวี่ยนั้นมีหน้าตาคล้ายญาติผู้พี่ของเขาในชีวิตจริง นั่นก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้

มู่เยว่เฉิงพอฟังก็รู้ว่าลูกชายไม่อยากพูดถึงเรื่องแบบนี้ เขาจึงถอนหายใจ ปรับท่าทีแล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า ที่พ่อให้พวกลูกเข้ามา แน่นอนว่าไม่ใช่พูดเรื่องนี้ แต่มีเรื่องสำคัญอื่นต้องการพูดต่างหาก

มู่อี้ฟานและมู่อี้หางเห็นเขาเปลี่ยนเป็นเอาจริงเอาจังก็นั่งยืดตัวตรงอย่างช่วยไม่ได้

เมื่อเร็วๆ นี้พ่อได้รับข้อมูลหนึ่งมา ทุกภาคส่วนทั่วโลกจะเกิดกลียุคครั้งยิ่งใหญ่ เงินที่พวกเราใช้กันอยู่ในตอนนี้จะกลายเป็นเศษกระดาษ รวมทั้งทองคำ เงิน และเครื่องประดับต่างจะกลายเป็นสิ่งของไร้ประโยชน์กองหนึ่งที่ใช้ไม่ได้ ในอนาคต การมีอาหารและผลผลิตทุกประเภทนั้นถึงจะเป็นวิถีของราชาผู้อยู่รอด ดังนั้น…”

มู่เยว่เฉิงพูดมาถึงตรงนี้ก็ชะงัก ก่อนจะพูดต่อไปว่า พ่ออยากให้พวกลูกเอาหุ้นของบริษัทขายออกทั้งหมด หลังจากนั้นใช้มันซื้อสินค้าทุกประเภท รวมทั้งอาวุธจำนวนมากด้วย

มู่อี้ฟานพยายามข่มอารมณ์อย่างเต็มที่ถึงจะรักษาความสงบบนใบหน้าได้ แต่ในใจดุจคลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง

คำพูดเหล่านี้ของมู่เยว่เฉิง เห็นได้ชัดว่ารู้เรื่องวันสิ้นโลกที่จะมาถึงเป็นอย่างดี ทว่าในนิยายของเขา มู่เยว่เฉิงเดิมทีนั้นจะไม่รู้เรื่องวันสิ้นโลกที่จะมาถึงเลย แล้วตอนนี้เขารู้ได้อย่างไรกัน

มู่อี้ฟานติดจะไม่สบายใจอยู่รางๆ

การพัฒนาพล็อตในนิยายของเขาต้องถอยห่างจากวงโคจรแล้วอย่างแน่นอน

ป๊า ป๊ากำลังล้อพวกเราเล่นอยู่หรือเปล่า?” มู่อี้หางยืนขึ้นพรึบ และมองพ่อของตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ

มู่อี้ฟานเหลือบมองมู่อี้หางเล็กน้อย ในใจรู้สาเหตุที่กระตุ้นอารมณ์เขาได้ดีทีเดียว

สำหรับเขาเพื่อให้ได้บริษัทมา ไม่ว่าจะลอบทำเรื่องนานัปการอย่างลับๆ แม้แต่ฉีดไวรัสให้พี่ใหญ่ของตัวเอง ในตอนนี้พ่อกลับให้พวกเขาเอาบริษัทขายทิ้ง เขาจะยอมรับมันได้ยังไง

มู่เยว่เฉิงพูดเสียงเข้ม แกดูเองสิว่าฉันกำลังล้อเล่นไหม อี้ฟาน ลูกพูดมาซิ ว่าลูกจะยอมเอาหุ้นบริษัทขายออกไหม

บริษัทเป็นสิ่งที่ภรรยาคนก่อนของเขาทิ้งไว้ และผู้ที่ถือหุ้นใหญ่ที่สุดก็คือ มู่อี้ฟาน ในตอนนี้มีเพียงเขาที่เป็นเจ้าของเท่านั้นที่ทำได้

มู่อี้หางหันขวับไปอย่างรวดเร็ว และจดจ้องอยู่กับมู่อี้ฟาน

มู่อี้ฟานถาม ป๊า ป๊าทราบข้อมูลนี้ได้ยังไง

มู่เยว่เฉิงย่นคิ้ว เรื่องนี้พ่อบอกลูกไม่ได้ แต่ข้อมูลแม่นยำอย่างแน่นอน

มู่อี้ฟานยืนขึ้น ป๊า เรื่องบริษัท ป๊าไปถามกับมู่อี้หางเอาเองเถอะ ผมส่งมอบอำนาจให้เขาจัดการทั้งหมดแล้ว

เขารู้ว่ามู่อี้หางมองว่าบริษัทยังสำคัญมากกว่าตัวเอง และจะไม่ขายบริษัทอย่างเด็ดขาด ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่สำคัญคือ เขาไม่อยากให้การพัฒนาของพล็อตเรื่องหลุดออกจากนอกวงโคจร

เมื่อมู่อี้หางได้ยินคำพูดนี้ของเขากลับรู้สึกช็อกมากกว่าตอนได้ยินมู่เยว่เฉิงเรียกพวกเขามาบอกให้ขายทอดบริษัทก่อนหน้านั้นเสียอีก พะ...พี่ใหญ่ พี่พูดจริงเหรอ

พี่ใหญ่เขาคงไม่ได้บ้าไปแล้วใช่ไหม

อืม

มู่เยว่เฉิงแสดงสีหน้าเป็นกังวล อี้ฟาน ลูก…”

มู่อี้ฟานพลันลุกออกจากห้องหนังสือไป และเห็นจ้าวอวิ๋นซวนที่กังวลใจรอคอยอยู่ในห้องโถง เขาจึงกลับห้องที่เตรียมไว้ให้เขา

เมื่อประตูปิดลง ทันใดนั้นเขาก็ผ่อนลมหายใจออกมา ย่ามันเถอะ ฉันเกือบหายใจไม่ออกแล้ว

เขาออกแรงนวดแก้มตัวเอง ใบหน้าอัมพาตยังสวมบทบาทได้ไม่ดีนักจริงๆ เขาพูดได้เลยว่าทุกเวลาทุกวินาทีที่ต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเอง และไม่สามารถแสดงออกได้นั้น มันช่างยากนิดหน่อยจริงๆ

กลับมาที่เดิม สรุปเขารู้ได้อย่างไรว่าวันสิ้นโลกจะมาถึง

มู่อี้ฟานเต็มไปด้วยความสงสัย คิดอยู่นานก็ยังคิดคำตอบออกมาไม่ได้ ในไม่ช้า สมองเขาก็วกกลับมาที่ตัวพระเอกอีกครั้ง

เขาต้องเสียเวลาไปทั้งวัน ทั้งไม่สามารถอยู่ด้วยกันกับพระเอกเพื่อบ่มเพาะความรู้สึกอีกครั้ง มันจะเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ เขาต้องแสดงตัว แสดงความรู้สึกต่อหน้าพระเอกเสียหน่อยแล้ว

มู่อี้ฟานหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋า และโทร.หาพระเอกทันที


 

บทที่ 38 ก็แค่คิดถึงนายน่ะ

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นสองครั้ง จ้านเป่ยเทียนก็กดรับสาย มู่อี้ฟานพูดอย่างมีความสุขว่า เป่ยเทียน นายกำลังทำอะไรอยู่

อีกด้านเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะถามเสียงเข้มว่า มีอะไร

มู่อี้ฟานรู้สึกจากน้ำเสียงว่าอีกฝ่ายไม่ดีใจที่เขาโทร.หาเช่นนี้ รอยยิ้มพลันหายไปทันที พูดอย่างหงอยๆ ว่า ไม่มีอะไร ก็แค่คิดถึงนายน่ะ เลยโทรหานาย นายยุ่งอยู่เหรอ งั้นฉันก็ไม่กวนนายแล้ว” 

เขาวางสายโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว และโยนโทรศัพท์เอาไว้อีกด้านด้วยความเศร้าซึม ดูท่าแล้วเขาคงจะไปรบกวนพระเอกเข้า และทำให้พระเอกอารมณ์ไม่ดีเสียแล้ว

อย่างไรก็ตาม เขาจำได้ว่าพระเอกดูเหมือนจะไม่มีเรื่องยุ่งอะไรในวันนี้ นอกจากหารือเรื่องที่ควรจะซื้อสินค้าอะไรต่อไปร่วมกับลูกน้องเท่านั้นนี่

ในอีกด้านหนึ่ง จ้านเป่ยเทียนมองดูโทรศัพท์มือถือ เลิกคิ้วขึ้น ในดวงตามีรอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้น ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้สังเกตเห็นอยู่ด้วย

บอส พี่สะใภ้โทร.หาคุณเหรอครับ?” ลู่หลินซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กันแซวเขา

เซี่ยงกั๋วรัวถามว่า พี่สะใภ้อะไร? คนอย่างบอสไม่น่าจะมีแฟนสาวแล้วนะ

อะไรนะ? บอสมีแฟนแล้ว? ทำไมฉันไม่รู้ล่ะ? นี่เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ซุนจื่อหาวพูดอย่างตื่นเต้นผ่าเผย บอส คุณน่ะน่าเบื่อเกินไปแล้ว มีแฟนก็ไม่ยอมบอกพวกเราสักคำเลย

เหมาอวี่ถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม บอสครับ ถ้าคุณมีแฟนจริงๆ ล่ะก็ พามาให้พวกเราเห็นหน่อยสิครับ ให้พวกเราดูกันว่าพี่สะใภ้สวยหรือไม่สวย พี่น้องเอ๋ย ที่ฉันพูดมันถูกไหมวะ?”

คนอื่นๆ พากันเกลี้ยกล่อม ถูก

จ้านเป่ยเทียนถลึงตาใส่ลู่หลินที่จับเอาหัวข้อนี้ขึ้นมา 

ลู่หลินพูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา ฉันเห็นบอสยิ้มได้มีความสุขขนาดนี้ ตะกี้ก็เลยเดาว่าพี่สะใภ้โทร.หาบอสหรือเปล่า?”

เมื่อครู่ ถึงแม้การแสดงออกของบอสไม่ชัดเจนนัก แต่ในฐานะเพื่อนร่วมรบที่ทำงานด้วยกันมาหลายปี อารมณ์บอสดีหรือไม่ดีนั้น เขาสามารถดูออกได้ไม่มากก็น้อยล่ะ

จ้านเป่ยเทียนขมวดคิ้ว

เมื่อกี้เขายิ้มอย่างมีความสุข?

เซี่ยงกั๋วยิ้มแล้วพูดว่า บอส อายุคุณก็ไม่น้อยแล้วนะ มีแฟนมันก็เป็นเรื่องปกติมาก คุณไม่จำเป็นต้องซ่อนมันหรอก ถ้าเหมาะสมกันก็ไปสำนักงานบริหารพลเมืองจดทะเบียนกันเลย ไม่อย่างนั้นกู่เหนียง[1]วิ่งหนีไป แล้วคุณจะร้องไห้เอานะ

จ้านเป่ยเทียนไม่อยากอธิบายมากความกับพวกเขา พลันหยิบโทรศัพท์มือถือลุกขึ้น และเดินไปโทรศัพท์ที่หัวมุม ทันทีที่โทร.ไปก็ได้ยินเสียงตะโกนดีใจของอีกฝ่าย เป่ยเทียน?”

เขาอดโค้งมุมปากขึ้นเล็กๆ ไม่ได้ คืนนี้กลับมาไหม

ลู่หลินและพวกเขามองจ้านเป่ยเทียนที่โทรศัพท์อยู่ตรงหัวมุมจึงกระซิบเพื่อหารือกัน ดูสิ บอสเป็นแบบนั้น ต้องมีความรักแน่ๆ

คนอื่นพยักหน้าถี่ๆ

ฉันก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงที่เอาบอสอยู่นั้นเป็นใครเหมือนกัน?”

ฉันคิดว่าคนที่สามารถเข้าตาบอสได้ ผู้หญิงคนนั้นต้องอ่อนโยนและสวยมากแน่

ทุกคนอดที่จะเริ่มจินตนาการภาพลักษณ์ของพี่สะใภ้ในอนาคตอย่างเสียไม่ได้ 

ในขณะนั้น เป้าหมายที่ถูกพวกเขามโนอยู่คนนั้นได้กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงกว้างสองเมตรอย่างมีความสุข เนื่องจากพระเอกได้โทร.กลับมาหาเขา วันนี้ต้องอยู่กับพ่อฉันคืนนี้ที่นี่น่ะ พรุ่งนี้ถึงจะกลับได้

มู่อี้ฟานหัวเราะชอบใจ นายโทร.กลับมาหาฉัน เพราะคิดถึงฉันเหมือนกันใช่ม้า?”

จ้านเป่ยเทียน “...”

ถ้านายไม่พูด ฉันจะถือว่านายยอมรับนะ

ฉันยังมีธุระ ขอวางสายก่อนล่ะจ้านเป่ยเทียนวางสายอย่างรวดเร็ว

มู่อี้ฟานมองโทรศัพท์มือถืออย่างไม่พอใจเท่าไร จากนั้นก็ยิ้มอย่างมีความสุขออกมา การที่พระเอกโทร.กลับมาหาเขา มันคือการเริ่มต้นที่ดี

เขาต้องทำงานให้หนักขึ้น และพยายามต่อไปเรื่อยๆ เพื่อเป็นเพื่อนกับพระเอกให้ได้

ในเวลานี้ เสียงประตูถูกใครสักคนเคาะดังขึ้นมา

มู่อี้ฟานจ้องไปที่ประตู นั่งและลุกขึ้นอย่างสงสัย จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ปรับสีหน้าให้เคร่งขรึมกับกระจก เมื่อแน่ใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ แล้วจึงเปิดประตูออก และเห็นมู่อี้หางยืนอยู่หน้าประตู เขาขมวดคิ้ว ถามเสียงเย็นชาว่า มีอะไร

มู่อี้หางจ้องใบหน้าเขาแล้วมองดูให้ดีอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะละสายตาออกไป และมองไปทางต้นขาของเขา พี่ใหญ่ ต้นขาของพี่ดีขึ้นบ้างหรือยัง

มู่อี้ฟานมองเขาโดยไม่พูดอะไร

ถ้าคนตรงหน้านี้ไม่ได้หน้าตาเหมือนพี่ใหญ่ในชีวิตจริงของเขาล่ะก็ เขาอยากจะสวนกลับสักประโยคว่า ตอแหล จริงๆ

มู่อี้หางถามขึ้นอีกครั้ง เมื่อกี้...สิ่งที่พี่พูดในห้องหนังสือนั่น พี่จริงจังใช่ไหม

มีปัญหาเหรอ

ไม่มีปัญหาครับมู่อี้หางรีบหยิบเอกสารฉบับหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว นี่คือหนังสือมอบอำนาจแต่งตั้ง ซึ่งต้องให้พี่ใหญ่เซ็นชื่อและประทับตราบนนั้นครับ

มู่อี้ฟานรับเอกสารมา และไม่ได้ดูเนื้อหาในนั้น แถมยังเซ็นชื่อลงบนเอกสารนั้นอีก

สำหรับตราที่จะใช้ประทับ มันถูกมู่อี้ฟานคนก่อนพกอยู่ในกระเป๋ามาตลอด เพราะมันมีขนาดเล็ก ทำให้พกพาได้สะดวก

มู่อี้ฟานประทับตราเสร็จ จึงรีบปิดประตูทันที

มู่อี้หางที่นอกประตูมองเอกสารที่อยู่ในมือ ยังคงไม่อยากเชื่อว่ามู่อี้ฟานจะเซ็นหนังสือมอบอำนาจแต่งตั้งฉบับนี้ง่ายๆ

ไม่รู้ว่าทำไม เขามักรู้สึกว่ามู่อี้ฟานในวันนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนอยู่บ้าง ถึงแม้จะยังชอบตีหน้าเข้มและไม่ค่อยชอบพูด แต่อารมณ์กลับเปลี่ยนไปเยอะมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่หมองหม่น และทั่วร่างเต็มไปด้วยพฤติกรรมต่อต้านสังคมราวกับผู้คนรอบข้างล้วนเป็นศัตรูของเขา

เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น จ้าวอวิ๋นซวนกระตือรือร้นกับมู่อี้ฟานเป็นพิเศษ อี้ฟาน นานๆ ครั้งเธอจะกลับมาบ้านสักที ก็กินให้เยอะๆ เพื่อบำรุงร่างกายหน่อยนะจ๊ะ โดยเฉพาะซุปปลาแม่น้ำเนี่ย มันทำให้ปอดและกระเพาะของเธออุ่นได้นะ

มู่อี้ฟานรู้ดีว่าการที่จ้าวอวิ๋นซวนกระตือรือร้นอย่างกะทันหันขนาดนี้นั้น มันเป็นเพราะว่าเขาเซ็นหนังสือมอบอำนาจแต่งตั้งแล้วนั่นเอง

เขาเองก็ไม่ได้เกรงใจเช่นกัน เมื่อได้ยินว่าซุปปลาแม่น้ำนั้นดีต่อกระเพาะ เขาก็รีบดื่มอีกสองสามชามในทันที

อย่างไรก็ตาม หวังว่าหลังจากวันสิ้นโลกมาเยือน จ้าวอวิ๋นซวนและมู่อี้หางจะไม่เสียใจทีหลัง เพราะไม่ได้ขายหุ้นบริษัทออกหรอกนะ

หลังมื้ออาหาร มู่เยว่เฉิงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องขายหุ้นบริษัทอีกเลย และนั่งพูดคุยหัวเราะแลกเปลี่ยนสถานการณ์ล่าสุดในระยะหลังๆ กับมู่อี้หาง

มู่อี้ฟานก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องของมู่เยว่เฉิงนัก ในอนาคต ไม่ว่าเขาจะฆ่าพระเอกได้หรือไม่ และไม่ว่าโลกนี้จะยังคงมีอยู่ไหมก็ตาม สำหรับมู่เยว่เฉิงในฐานะนายพลแล้ว กล่าวได้ว่า วันเวลาในวันสิ้นโลก ไม่รู้จะดีกว่าคนอื่นเป็นร้อยเท่ามากเท่าไร

เมื่อถึงเวลากลางคืน มู่อี้ฟานเป็นเหมือนกับเมื่อคืนวาน ดวงตาปรือจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่อย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่าก็ยังนอนไม่หลับ เขากลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง สุดท้ายก็ได้แต่จำใจลุกขึ้นนั่งเท่านั้น

เกิดอะไรขึ้น

มู่อี้ฟานขยี้หัวอย่างหงุดหงิด ไม่กี่วันก่อน ฉันไม่ควรนอนเยอะไป สองสามวันมานี้ก็เลยนอนไม่หลับหรือเปล่านะ

เขาหาวออกมาทีหนึ่ง หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เป็นเวลาตีสองแล้ว

มู่อี้ฟานวางโทรศัพท์มือถือลงแล้วล้มตัวนอนต่อไป จนกระทั่งสีท้องฟ้าสว่างขึ้นที่นอกหน้าต่าง เขาก็ไม่สามารถข่มตาลงได้อยู่ดี จึงทำได้เพียงลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน ในขณะที่บ้านใหญ่ยังนอนหลับสนิท เขาได้นั่งแท็กซี่และเดินทางจากไป

เขาไม่ได้กลับไปที่วิลลาของตัวเองในทันที แต่หาสถานที่กินอาหารเช้าก่อน หลังจากนั้นค่อยไปหาหลี่ชิงเทียนเพื่อให้เขาพันหน้าให้

เมื่อมาถึงอพาร์ตเมนต์ของหลี่ชิงเทียน มันก็เป็นเวลา 08.00 น. แล้ว

มู่อี้ฟานลงมาจากรถแท็กซี่ เขายืดเส้นยืดสายตัวเอง แสงแรกของรุ่งอรุณยามเช้าส่องผ่านใบหน้าของเขาพานทำให้รู้สึกสุขสบายเป็นพิเศษ

คุณผู้ชาย คุณยังไม่ได้จ่ายเงินค่ารถครับโชเฟอร์ในรถรออย่างกระวนกระวายเล็กน้อย และทำได้เพียงส่งเสียงเตือนเท่านั้น

มู่อี้ฟานได้สติ หมุนตัวกลับไปแล้วพูดว่า ขอโทษด้วยครับ รบกวนคุณช่วยรอผมอยู่ที่นี่อีกสักครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวผมจะกลับมานั่งรถของคุณอีกเพื่อกลับไปนะครับ

เขาหยิบเงินสามร้อยหยวนออกมาจากกระเป๋าแล้วรีบส่งให้โชเฟอร์

โชเฟอร์รีบรับเงินมา แล้วหัวเราะอย่างมีความสุขทันตา ได้ครับๆ ไม่มีปัญหา

มู่อี้ฟานหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทร.หาหลี่ชิงเทียน อยากถามเขาว่า สรุปแล้วอยู่ที่ชั้นไหน ตึกอะไร

ในทันใดนั้น รถลีมูซีน BMW สีดำคันหนึ่งก็มาจอดอยู่ด้านหน้าของเขา

มู่อี้ฟานหรี่ตาลง รถ BMW คันนี้เหมือนกับที่เขาขับในเวลาปกติเลย ทำให้เขาอดมองอีกหลายครั้งไม่ได้

หลังจากรถหยุดจอด ประตูฝั่งที่นั่งคนขับก็ถูกคนเปิดออก เงาร่างสูงใหญ่สายหนึ่งเดินลงมาจากรถ เมื่อตอนที่มู่อี้ฟานเห็นฝ่ายตรงข้ามก็ตัวแข็งทื่อ จากนั้นน้ำเสียงที่เยือกเย็นก็ออกมาจากริมฝีปากบาง มู่อี้ฟาน!

มู่อี้ฟานเห็นคนที่ลงมาจากรถเป็นจ้านเป่ยเทียนก็คาดไม่ถึง จะวิ่งหนีก็ชักเท้าไม่ทันเสียแล้ว

เชี่ยเอ้ย!

ทำไมพระเอกมาอยู่ที่นี่ได้?

แต่ไหนแต่ไรมา เขาไม่เคยคิดว่าก่อนวันสิ้นโลกนั้นจะใช้ใบหน้านี้มาเผชิญหน้ากับพระเอก

ปฏิกิริยาแรกตอนมู่อี้ฟานได้สติกลับมาก็คือ สัมผัสใบหน้าของตัวเอง จากนั้นก้มลงมองดูเสื้อผ้าบนร่างของตัวเอง

โชคดีที่เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านจ้าวอวิ๋นซวนมาแล้ว

ในเวลานั้น ข้างที่นั่งคนขับอีกด้านก็มีคนคนหนึ่งเดินลงมา เห็นมู่อี้ฟานแวบเดียวก็พลันตกตะลึง ต่อจากนั้นสายตามีความหยอกเย้าสายหนึ่งวาบผ่าน โอ๊ะ นี่ไม่ใช่พันตรีมู่หรือ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ ไม่คิดเลยว่าคุณจะยังมีชีวิตอยู่!

มู่อี้ฟานมองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม อีกฝ่ายดูสูงใหญ่เอาการ ใบหน้าเหลี่ยม คิ้วดกดำ จมูกกว้าง ปากหนา รูปร่างหน้าตาธรรมดามาก

เขาค้นในความทรงจำของร่างนี้ จึงรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นลูกน้องของจ้านเป่ยเทียน ชื่อว่า เซี่ยงกั๋ว 

เซี่ยงกั๋วจงเกลียดจงชังมู่อี้ฟานอย่างมาก เนื่องจากในภารกิจครั้งหนึ่ง เพราะมู่อี้ฟานไม่อยากให้จ้านเป่ยเทียนทำภารกิจสำเร็จราบรื่น จึงทำเป็นแอบสะดุดจนทำให้เซี่ยงกั๋วและลู่หลินสองคนเกือบตายตกอยู่ในภารกิจอย่างหวุดหวิด

ในเวลานั้น ถ้าจ้านเป่ยเทียนไม่เสี่ยงไปช่วยพวกเขา เกรงว่าพวกเขาคงอาจไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์ในวันนี้แล้ว ดังนั้น เซี่ยงกั๋วจึงเคารพต่อจ้านเป่ยเทียนมากทีเดียว แต่กับมู่อี้ฟานกลับอยากฉีกเนื้อของเขาเป็นอย่างยิ่ง

ตอนนั้นถ้าพวกเขามีหลักฐานพิสูจน์ว่ามู่อี้ฟานมีพฤติกรรมเล่นตุกติกในภารกิจ และทำให้ภารกิจของพวกเขาล้มเหลว มู่อี้ฟานคงจะโดนเตะออกจากกองทัพ หรือแม้แต่ถูกจำคุกไปนานแล้ว

หลังจากนั้น ทุกครั้งเมื่อออกไปทำภารกิจ ทุกคนต่างประกบมู่อี้ฟาน และจับตาดูเขาทุกฝีก้าวเลยทีเดียว




[1] หญิงสาวอายุน้อย


 

บทที่ 39 ได้ฝันถึงนาย มันดีจริงๆ

มู่อี้ฟานเห็นจ้านเป่ยเทียนและเซี่ยงกั๋วมองตัวเองอย่างถมึงทึงน่ากลัว เขาจึงพยายามข่มความลนลานภายในใจอย่างเต็มที่ แล้วทำให้ตัวเองใจเย็นลง

อย่างช้าๆ สายตาจากประหลาดใจค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง ในขณะเดียวกันเมื่อนึกย้อนกลับไปในนิยาย มู่อี้ฟานซึ่งหลังจากกลายเป็นซอมบี้ เขาใช้สายตาแบบไหนมองพวกจ้านเป่ยเทียนกันนะ จากนั้นสายตาที่จ้องเซี่ยงกั๋วอีกครั้ง เปลี่ยนจากสงบนิ่งเป็นเย็นชามืดหม่นจนทำให้เซี่ยงกั๋วอดสั่นสะท้านไม่ได้

เห็นได้ชัดว่ามู่อี้ฟานเมื่อสักครู่นั้นดูไปแล้วมีความรู้สึกไม่มีพิษสงอะไร ทำไมเวลาในพริบตาเดียว คนกลับเปลี่ยนคืนเป็นมู่อี้ฟานที่เคยรู้จักเมื่อก่อนอีกครั้งล่ะ ไม่สิ ควรพูดว่ามู่อี้ฟานเมื่อก่อนทำให้คนรู้สึกน่ากลัวยิ่งกว่า และดูเหมือนปีศาจจากนรกที่จะฉีกกระชากเขาออกเป็นชิ้นๆ อย่างไรอย่างนั้น

เหตุผลที่ทำไมเขารู้สึกแบบนี้ มันเป็นเพราะเขาไม่เคยเห็นมู่อี้ฟานกลายเป็นซอมบี้นั่นเอง

จ้านเป่ยเทียนขยับไปหนึ่งก้าว เพื่อขวางสายตาของมู่อี้ฟาน

 




มู่อี้ฟานสบสายตาเย็นครึ้มของจ้านเป่ยเทียนแล้วตกตะลึงเล็กน้อย แอคติ้งของเขาหลอกจ้านเป่ยเทียนได้อย่างชัดเจน มุมปากค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมขึ้นมา กดเสียงลงแล้วพูดเสียงแหบห้าวว่า จ้านเป่ยเทียน นายปกป้องเขาขนาดนี้ ยังกลัวว่าฉันจะกินเขาได้ล่ะสิ

หลังพูดจบ เขาล่ะอยากตบปากตัวเองจริงๆ คำพูดเมื่อกี้เกือบจะราดน้ำมันลงบนกองไฟความโกรธของพระเอกเสียแล้ว ในนิยายนั้น ช่วงชีวิตสุดท้ายของพระเอก ราชาซอมบี้มู่อี้ฟานได้กินร่างลูกน้องของพระเอกสองคนทีละคำๆ เข้าไปในท้องต่อหน้าต่อตาพระเอก ซึ่งสองคนนั้นก็คือ เซี่ยงกั๋วและลู่หลินนั่นเอง

จ้านเป่ยเทียนหรี่ดวงตาซึ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงเยือกเย็นในพริบตาลง กำปั้นที่กำแน่นก็ส่งเสียงดังกร๊อบๆ จนเส้นเลือดบนหลังมือปูดขึ้นเป็นเส้นๆ ด้วย เห็นได้ว่าเขากำลังพยายามระงับอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองอยู่

หัวใจของมู่อี้ฟานเต้นไม่เป็นจังหวะ

สายตาของพระเอกโคตรน่ากลัว ทำไงดีวะ? ใครจะมาช่วยเขาได้?

บอส!เซี่ยงกั๋วสังเกตเห็นว่าจ้านเป่ยเทียนมีสภาพไม่สู้ดีนัก จึงรีบเดินไปหาเขาอย่างกังวลว่าจ้านเป่ยเทียนจะฟาดมู่อี้ฟานให้ตายในที่เกิดเหตุ

ว่าแล้วก็แปลก เมื่อก่อนตอนที่บอสเจอมู่อี้ฟาน เขาล้วนไม่สนใจทั้งสิ้น ทำไมครั้งนี้ถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้ล่ะ?

มู่อี้ฟานรีบใช้ช่วงเวลาที่พระเอกชะงักแค่นเสียงในลำคอ หมุนตัวกลับไปขึ้นรถแท็กซี่ แล้วให้โชเฟอร์ขับรถออกไปจากตรงนี้

จ้านเป่ยเทียนจ้องไปยังทิศทางที่รถแท็กซี่จากไปอย่างเด็ดเดี่ยว

เซี่ยงกั๋วเห็นรถแท็กซี่ลับจากสายตาของพวกเขาไปแล้ว ทว่าจ้านเป่ยเทียนกลับยังไม่ผ่อนคลายลงเลย เขาจึงส่งเสียงเรียกอย่างขึงขังระมัดระวังว่า บอสครับ

จ้านเป่ยเทียนได้สติกลับคืนมา เขาเหลือบมองเซี่ยงกั๋ว และค่อยๆ เก็บอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองลงแล้วพูดอย่างเยือกเย็นเหมือนเดิม ดร.เก่ออยู่ตึกไหน ชั้นอะไร

บอส ดร.เก่ออยู่ตึก C ชั้นเจ็ดครับ

จ้านเป่ยเทียนหมุนตัวไปทางตึก C

เซี่ยงกั๋วรีบเดินตามให้ทัน หลังจากนั้นพูดถึงเรื่องของมู่อี้ฟานขึ้นมา ไม่มีข่าวของมู่อี้ฟานมานานจนป่านนี้ ผมคิดว่าเขาตายไปแล้วเสียอีก

หลังจ้านเป่ยเทียนได้ยินเรื่องของมู่อี้ฟาน แววตาเย็นชาลง ถามว่า ทำไมนายถึงคิดว่าเขาตายแล้ว?”

บอส คุณลืมแล้วเหรอ ช่วงที่มู่อี้ฟานอยู่ในภารกิจสุดท้าย เขาถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งกระดูกถึงได้ถูกปลดประจำการกลับไปพักฟื้นที่บ้านไงครับ ภายหลังไม่มีข่าวคราวของเขามาตลอด ดังนั้นก็เลยคิดว่าเขาตายแล้วน่ะครับ ผมรู้สึกว่าที่เขาเป็นโรคมะเร็งนั้นมันสาสมกับเขาแล้ว เขาทำเรื่องชั่วๆ เต็มไปหมด แม้แต่บอสก็ยังทนมองไม่ได้ และต้องการจะลงทัณฑ์เขาเลย

มะเร็งกระดูก?

จ้านเป่ยเทียนหยุดฝีเท้าลง นี่ทำให้อดนึกถึงมู่มู่ไม่ได้

เขาก็ป่วยเป็นโรคมะเร็งกระดูก ซ้ำยังเหลือเวลาไม่มากแล้ว

คิดมาถึงตรงนี้ จ้านเป่ยเทียนขมวดคิ้ว ซึ่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในใจพลันรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง

เซี่ยงกั๋วก็หยุดฝีเท้าลงเช่นกัน บอสเป็นอะไรไปครับ

ไม่มีอะไร

จ้านเป่ยเทียนเมินความรู้สึกไม่สบายใจที่อธิบายไม่ได้ส่วนนั้นไป พลางเดินไปข้างหน้าต่อ เขาในฐานะซึ่งเคยถูกราชาซอมบี้มู่อี้ฟานฆ่า เขาจำเรื่องมู่อี้ฟานถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งกระดูก จึงโดนปลดประจำการไม่ได้แล้ว

เพราะไม่ว่าเป็นใครก็ไม่อาจจินตนาการว่า ราชาซอมบี้ผู้โหดเหี้ยมนั้นจะเคยเป็นคนที่ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย

ในไม่ช้า จ้านเป่ยเทียนคิดบางอย่างได้อีกครั้ง แล้วสั่งการว่า พรุ่งนี้นายไปสืบมาว่ามู่อี้ฟานอยู่ที่ไหน ยังอยู่ที่เมือง G หรือเปล่า

เซี่ยงกั๋วไม่เข้าใจ สืบคนที่ต้องตายอย่างเขาไปทำไมหรือครับ

จ้านเป่ยเทียนนึกถึงสีหน้าซีดเซียวของมู่อี้ฟานเมื่อครู่นี้ หรี่ตาลงแล้วยิ้มเย็น ถึงนายจะตาย เขาก็ตายไม่ได้

เซี่ยงกั๋วมองเขาอย่างตกตะลึง บอส คำพูดนี้ของคุณหมายความว่ายังไงครับ คุณรู้เรื่องวงในบางส่วนใช่หรือเปล่า? หรือจะบอกว่าเดิมมู่อี้ฟานไม่ได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งกระดูก?”

ให้นายไปสืบก็ไปสืบเถอะ

ครับ

 

แท็กซี่ที่มู่อี้ฟานนั่งอยู่ได้แล่นออกจากอพาร์ตเมนต์ของหลี่ชิงเทียน จนเมื่อมองไม่เห็นจ้านเป่ยเทียนแล้วถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเฮือกใหญ่ เหล่าจือตกใจแทบตายแล้ว

เมื่อครู่นี้เขายังคิดว่าตัวเองต้องตายแล้วแน่ๆ เมื่อพระเอกมีท่าทีต้องการชีวิตของเขาขนาดนั้น ในเวลาเดียวกัน เขาคิดจะวิ่งออกมา แต่คิดดูอีกทีการวิ่งแบบนี้มันช่างไร้ประโยชน์นัก เขาจึงทำได้แค่เข้มแข็ง ยืดอกเพื่อเผชิญหน้ากับพระเอกเท่านั้น

สำหรับที่ว่าทำไมพระเอกอดทนไม่ชกมาตลอดนั้น เขาคิดว่ามันเป็นไปได้มากว่าในตอนนี้มันยังไม่ถึงวันสิ้นโลกนั่นเอง ถ้าพระเอกชกตามใจชอบก็อาจจะสร้างปัญหาน่ารำคาญที่ไม่จำเป็นได้ ซึ่งมันจะดีกว่าถ้าเอาเวลาไปซื้อสินค้าล่ะนะ

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของเขาเท่านั้น เหตุผลที่แท้จริงเป็นอย่างไร เขาพอจะเดาออกได้ ไม่แน่ว่าพระเอกต้องการให้ถึงวันสิ้นโลกแล้วค่อยกลับมาทรมานเขากระมัง

กลับมาที่เดิม ทำไมพระเอกถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้ล่ะ

มู่อี้ฟานหวนนึกถึงเนื้อหาในนิยาย ไม่ช้าก็เข้าใจว่าทำไมพระเอกถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้

ตามคำบรรยายในนิยาย วันนั้นในวันที่ 13 เดือน 4 พระเอกถูกคนแนะนำให้มาหาหมอแซ่เก่อคนหนึ่ง เพื่อให้หมอคนนี้ช่วยซื้ออุปกรณ์การแพทย์จำนวนหนึ่ง และยังมียารักษาโรคทุกชนิดอีกด้วย

ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงๆ หมอแซ่เก่อก็อยู่ในย่านอพาร์ตเมนต์เดียวกันกับหลี่ชิงเทียนน่ะสิ

แม่ง!

นี่ชักจะบังเอิญเกินไปแล้วปะ!

โชเฟอร์ที่นั่งมองหน้ามู่อี้ฟานผ่านกระจกมองหลัง อดส่งเสียงพึมพำไม่ได้ว่า เหล่าจือสิถึงจะถูกคุณทำให้ตกใจน่ะ

อย่าคิดว่าเขาที่นั่งอยู่ในรถจะไม่เห็นนะ เมื่อครู่เขาย่อมเห็นชัดเจนถึงสายตาเหี้ยมเกรียมเต็มเปี่ยมของมู่อี้ฟาน ซึ่งมองไปทางเซี่ยงกั๋วและจ้านเป่ยเทียนในภาพกลับหัวจากบนกระจกรถฝั่งตรงข้าม จนเขาเกือบคิดว่าตัวเองขนส่งฆาตกรที่เพิ่งหลบหนีออกมาจากคุกเสียอีก

เมื่อมาถึงใจกลางเมือง หลังมู่อี้ฟานลงจากรถ เขาก็โทร.ไปหาหลี่ชิงเทียนก่อน ให้หลี่ชิงเทียนมาหาเขาที่ใจกลางเมือง และไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อเสื้อผ้าสักชุดมาเปลี่ยน

ครึ่งชั่วโมงต่อมา หลี่ชิงเทียนมาถึงใจกลางเมืองเพื่อมาหามู่อี้ฟาน และพันผ้ากอซบนใบหน้าให้กับเขา

มู่อี้ฟานที่ถูกพันหน้าเสร็จแล้ว ก็กลับมาถึงวิลลาของตัวเอง พอเห็นพระเอกยังไม่กลับมาก็โทรศัพท์ไป เป่ยเทียน ฉันกลับมาแล้วนะ นายอยู่ไหน

ฉันคุยธุระกับคนอื่นข้างนอกอยู่จ้านเป่ยเทียนพูดเบาๆ

มู่อี้ฟานได้ยินสุ้มเสียงทุ้มต่ำไพเราะประหนึ่งเพลงกล่อมเด็ก ทำให้เขาหาวออกมาทีหนึ่งอย่างเสียไม่ได้ งั้นนายคุยต่อเถอะ ฉันไปนอนก่อนแล้ว

จ้านเป่ยเทียนเห็นว่าเขาต้องการวางสาย จึงรีบเอ่ยว่า เดี๋ยว

หืมมู่อี้ฟานตอบกลับเสียงอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง

ฉันจะกลับไปกินข้าวเที่ยงนะ

อีกด้านของสายเงียบสงบ และไม่มีใครตอบกลับจ้านเป่ยเทียน

จ้านเป่ยเทียนขมวดคิ้ว มู่มู่?”

แต่ยังคงไม่มีคนตอบกลับ

จ้านเป่ยเทียนมีความกังวลผุดขึ้นภายในดวงตา พานให้เกิดความพะว้าพะวังที่มองไม่เห็นเป็นสายๆ มู่มู่ นายฟังอยู่ไหม

กระนั้นยังคงไม่มีใครตอบกลับ

จ้านเป่ยเทียนวางสายและโทร.กลับไปอีกครั้ง แต่กลับไม่มีใครรับสาย

เขาโทร.สามรอบติดกัน และนั่งไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว พลันลุกขึ้นพรวด เซี่ยงกั๋ว ฉันมีเรื่องต้องกลับไปก่อน เรื่องอุปกรณ์รักษาทางการแพทย์และยารักษาโรค ฉันมอบหน้าที่ให้นายไปคุยกับ ดร.เก่อแล้วกัน

เซี่ยงกั๋วรีบถาม บอสครับ ธุระที่ว่าใช่พี่สะใภ้หรือเปล่า

จ้านเป่ยเทียนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็ไม่ได้สนใจคำเรียกขานของเซี่ยงกั๋ว เผลอปากส่งเสียงตอบรับ เอ่ยขอโทษ ดร.เก่อคำหนึ่งก็จากไป

เซี่ยงกั๋วหัวเราะ ฉันก็ว่าแล้ว บอสกำลังมีความรัก

จากนั้นเขาหยิบโทรศัพท์ออกมา และโทร.ไปหาพวกลู่หลิน ลู่หลิน จริงๆ แล้วบอสมีแฟนชื่อมู่มู่ล่ะ พอฉันฟังชื่อน่ารักชื่อนี้ ก็รู้เลยว่าพี่สะใภ้ดูท่าจะสวยมาก เออ...ไม่น่าจะผิดแน่ เมื่อกี้บอสพูดยอมรับเองเลยว่ะ

ดร.เก่อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองเซี่ยงกั๋วกำลังนินทาอยู่ “...”

เฮ้ๆ!

ใครล่ะนั่น คุณยังจำได้ไหมว่าตอนนี้พวกเราเจรจาธุรกิจกันอยู่น่ะ

 

จ้านเป่ยเทียนซิ่งรถกลับมาถึงวิลลา เห็นมู่อี้ฟานเอนนอนอยู่บนโซฟาในห้องโถง เขาจึงรีบสาวเท้าไปหา และเขย่าตัวมู่อี้ฟาน มู่มู่? มู่มู่?”

มู่อี้ฟานปรือตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ เห็นคนตรงหน้าคือจ้านเป่ยเทียน ยังคิดว่ากำลังฝันอยู่ พลางขยับปากว่า เป่ยเทียน ได้ฝันถึงนายมันดีจริงๆ ฉันหิวแล้ว ไปทำกับข้าวให้ฉันหน่อย

ต่อจากนั้นเขาก็ปิดตาหลับไปอีกครั้ง เขาไม่ได้นอนทั้งคืน ง่วงจะตายอยู่แล้ว

มุมปากของจ้านเป่ยเทียนยกขึ้นอย่างโหดๆ

เมื่อครู่ถ้าในสายไม่ได้ยินมู่อี้ฟานตอบกลับเขา เขายังคิดว่าเป็นฉิงเทียนจูกำลังเกเรอยู่จนพลอยทำให้มู่อี้ฟานเกิดเรื่องประหลาดอะไรขึ้นมาเสียอีก คาดไม่ถึงว่าจะหลับไปแล้ว

นี่ทำให้จ้านเป่ยเทียนทั้งฉิวทั้งจนปัญญา มู่อี้ฟานเสพติดการนอนก็ไม่ใช่ความผิดของเขา จะโทษเขาได้เหรอ?

ในเวลานั้น กระเพาะของมู่อี้ฟานร้องเสียงโครกครากออกมา

จ้านเป่ยเทียนเหล่ตามองท้องของเขาแล้วค่อยมองไปที่นาฬิกาบนผนัง ตอนนี้เวลาล่วงเลยช่วงเที่ยงวันมาแล้ว เขายอมรับชะตากรรมชีวิต พลันเบี่ยงตัวไปห้องครัวทำอาหารการกินทันที 


 

บทที่ 40 อย่าแอบหนีไปเชียว

พอทำกับข้าวเสร็จ มู่อี้ฟานก็ถูกเรียกให้ลุกขึ้นมากินข้าว

หลังมื้ออาหาร จ้านเป่ยเทียนพูดว่า เดี๋ยวฉันมีธุระต้องออกไปสองสามวันนะ

มู่อี้ฟานมองพระเอกด้วยความมึนงง

เขาจำได้ว่าในวันพรุ่งนี้ หลังพระเอกเจรจาติดต่อซื้อขายอุปกรณ์รักษาทางการแพทย์และยารักษาโรคกับ ดร.เก่อเสร็จแล้ว จึงค่อยออกจากเมือง G ไปสองสามวัน และไปยังหมู่บ้านแถวๆ เมือง G เพื่อซื้อสินค้าบริโภคอื่นๆ แต่ทำไมพระเอกถึงได้ออกจากเมือง G ล่วงหน้าในตอนนี้ล่ะ?

หรือว่า...เป็นเพราะเหตุผลที่พบเจอ ราชาซอมบี้มู่อี้ฟาน ในวันนี้เหรอ

อันที่จริงแล้ว พระเอกออกไปล่วงหน้ามันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก เพียงแต่ว่าเขาจะได้ใช้เวลาน้อยลงในการคลุกคลีกับพระเอกไปอีกสองสามวันเท่านั้น

มู่อี้ฟานจ้องจ้านเป่ยเทียนอย่างเศร้าซึม

จ้านเป่ยเทียนสบกับคู่ดวงตาที่คับข้องหมองใจซึ่งคล้ายกับกำลังพูดว่า นายอย่าทิ้งฉันไปนะ แล้วส่งเสียงงึมงำไม่แน่ใจ ถ้า...นายว่าง ไปด้วยกันกับฉันได้นะ

สิ้นคำพูดนั้น เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่อยู่ เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงคิดว่าต้องพาผู้ชายคนนี้ไปด้วยกันด้วย?

พอมู่อี้ฟานได้ฟัง แววตาจึงเป็นประกาย และพยักหน้าอย่างดีใจ ฉันว่าง ฉันโคตรว่างเลย

มู่อี้ฟานกลัวจ้านเป่ยเทียนจะกลับคำพูด เขาจึงรีบวิ่งขึ้นไปชั้นบน นายรอฉันแป๊บเดียวนะ เก็บของเสร็จแล้ว ฉันจะรีบลงมา

เมื่อมาถึงชั้นสอง เขาส่งเสียงตะโกนอีกครั้งว่า ต้องรอฉันนะ อย่าแอบหนีไปเชียว

จ้านเป่ยเทียนเลิกคิ้ว

คิดว่าก็ไม่เลวเลยที่พาชายคนนี้ไปด้วย อย่างน้อยก็มีเขาเฝ้าดูแลส่วนตัวไม่ให้ฉิงเทียนจูทำตัวมั่วซั่วได้

มู่อี้ฟานใช้เวลาแค่สองนาทีก็แบกเป้สีดำใบหนึ่งลงมา และกล่าวด้วยรอยยิ้มเบิกบานว่า ไปได้แล้ว

จ้านเป่ยเทียนเม้มปาก ฉันต้องใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนาน ขาของนายไม่ต้องทำแผลเหรอ? ในสองสามวันนี้ไม่ต้องไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจอีกรอบแล้วเหรอ?”

ไม่นะ ฉันพกแค่ยาไปก็พอแล้ว

งั้นนายเอายามาแล้ว?”

“...” มู่อี้ฟานรีบวิ่งกลับห้องไปหยิบยาอีกครั้ง

จ้านเป่ยเทียน “...”

มู่อี้ฟานวิ่งลงมาอีกที ยิ้มแย้มแจ่มใสว่า ทีนี้โอเคจริงๆ แล้ว

จ้านเป่ยเทียนเหลือบมองกระเป๋าเป้ข้างหลังของเขา แล้วหมุนตัวเดินไปทางประตูใหญ่

มู่อี้ฟานรีบเดินตามให้ทัน

ทั้งคู่นั่งรถแล้วขับรถออกไปจากวิลลา มุ่งหน้าไปยังทางด่วน

ในขณะที่กำลังอยู่บนทางด่วน เสียงโทรศัพท์ของมู่อี้ฟานก็ดังขึ้น

เมื่อเขาเห็นว่าเป็นมู่เยว่เฉิงโทร.มาก็รีบกดรับสาย และโพล่งเสียงกระซิบประโยคหนึ่งว่า ป๊า

เมื่อได้ยินเสียง จ้านเป่ยเทียนจึงเหลียวมองเขาอย่างอดไม่ได้

มู่เยว่เฉิงซึ่งอยู่อีกด้านของปลายสายกล่าวว่า พรุ่งนี้พ่อต้องกลับเมือง B แล้ว ลูกกลับไปด้วยกันกับพ่อนะ

ไปเมือง B?

มู่อี้ฟานจ้องจ้านเป่ยเทียนอย่างเงียบๆ กลัวว่าจะถูกพระเอกส่งกลับไป เขาจึงไม่กล้าพูดสามคำว่า ไม่อยากไป ดังนั้นจึงแค่ส่งเสียงอืมเบาๆ

เขารู้ว่าที่มู่เยว่เฉิงต้องการจะพาเขาไปเมือง B นั้น เป็นเพราะอยากพาเขาไปรักษามะเร็งกระดูก

เป็นเครื่องบินบ่ายสามพรุ่งนี้นะ ถึงตอนนั้น พบกันที่สนามบินหนานเฉิง

อืม

มู่อี้ฟานกดวางสายอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นจึงกดเปลี่ยนรายชื่อทั้งหมดที่เมมไว้ในสมุดโทรศัพท์เสีย เพื่อไม่ให้วันใดวันหนึ่งสะเพร่าจนพระเอกเห็นรายชื่อของพวกเขาจนสามารถค้นพบตัวตนของเขาได้

เมื่อถึงสองทุ่ม พวกเขาก็ขับรถมาถึงหมู่บ้านหนึ่งที่ชื่อว่า ไป๋ปี้ชุน[1] สอบถามมาหลายครอบครัวจึงหาสถานที่พักของครอบครัวนั้นได้ ซ้ำอีกฝ่ายยังจัดห้องมาให้แค่ห้องเดียวเสียด้วย




[1] หมู่บ้านหยกขาว


 

บทที่ 41 ต้องบำรุงร่างกายเยอะๆ หน่อย

ห้องที่เข้าพักไม่ใหญ่มากนัก ขนาดประมาณสิบห้าตารางเมตร การตกแต่งก็ธรรมดาอย่างยิ่ง มีแค่เตียงที่กว้างหนึ่งเมตร กับอีกห้าเซนติเมตรหนึ่งหลัง และโต๊ะเขียนหนังสือหนึ่งโต๊ะเท่านั้น รวมทั้งมีตู้เสื้อผ้าที่มีกระจกเต็มตัวอีกตู้หนึ่ง เฟอร์นิเจอร์ดูเก่าเป็นอย่างมาก มันควรจะมีประวัติสักสามสี่สิบปี

บ้านของพวกเราก็มีแค่ห้องนี้ห้องเดียวเท่านั้น ถ้าพวกคุณไม่รังเกียจก็พักอยู่ที่นี่เถอะครับชายรูปร่างสูงใหญ่ผู้ซื่อสัตย์เกาหัวด้วยสีหน้าละอาย

จ้านเป่ยเทียนหยิบเงินหนึ่งพันห้าร้อยหยวนยื่นให้ชายรูปร่างสูงใหญ่ คุณลุง พวกเราต้องการพักอยู่ที่นี่เป็นเวลาห้าถึงเจ็ดวัน รบกวนคุณช่วยเตรียมอาหารให้พวกเราในสองสามวันนี้ด้วยนะครับ ใช่แล้ว พวกเรายังไม่ได้กินข้าวเย็นกันเลย คุณสามารถทำอาหารให้พวกเราได้ไหมครับ

เฉินต้งรีบโบกมืออย่างรวดเร็ว เยอะขนาดนี้ใช้ไม่ไหวหรอกครับ ให้มาห้าร้อยหยวนก็พอแล้วครับ

จ้านเป่ยเทียนนำเงินยัดใส่มือเขาโดยตรง เพื่อนผมเขาทานได้เยอะ เดี๋ยวรบกวนคุณทำอาหารให้เยอะหน่อยนะครับ

เฉินต้งลังเลครู่หนึ่ง และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า งั้นก็ได้ครับ ผมจะไปทำอาหารให้พวกคุณเดี๋ยวนี้ล่ะ อ่อ! ใช่แล้ว ห้องน้ำจะอยู่ทางซ้ายมือตรงหัวบันไดนะครับ พวกคุณไปอาบน้ำที่นั่นได้

หลังเฉินต้งจากไป จ้านเป่ยเทียนก็ไปอาบน้ำก่อน ตอนกลับมาเขาสวมเพียงกางเกงยีนท่อนล่างตัวหนึ่งเท่านั้น สัดส่วนกระชับดูเหมือนนายแบบจำพวกสูงใหญ่ทนทาน จนทำให้มู่อี้ฟานทั้งอิจฉาทั้งริษยา และโคตรหมั่นไส้นัก

จ้านเป่ยเทียนรู้สึกถึงสายตาอันร้อนแรงของเขา จึงหมุนตัวกลับมาอย่างสงสัย เป็นอะไร

มู่อี้ฟานไม่ตอบคำถามเขา แต่กลับลุกขึ้นวิ่งไปที่หน้ากระจกเต็มตัว พลันเลิกเสื้อขึ้นแล้วส่องกระจก

เขาเห็นส่วนหน้าท้องที่ป่องขึ้นและขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ หุ่นของฉันเมื่อไรมันจะกลับคืนสภาพเดิมได้สักที

จ้านเป่ยเทียน “...”

มู่อี้ฟานสูดหายใจเข้าลึกๆ ทันที แล้วแขม่วหน้าท้องขึ้น ทันใดนั้นท้องก็ยุบลงกว่าครึ่งนิ้ว

อย่างไรก็ตาม ช่วงท้องที่ป่องนูนยังคงชัดเจนอย่างยิ่ง แถมยังเหมือนชายวัยกลางคนที่อุดมสมบูรณ์อย่างมากด้วย

จ้านเป่ยเทียนเห็นเขาแขม่วท้องน้อยลงกว่าครึ่งนิ้ว ดวงตาจึงคมกริบ แล้วตวาดเสียงดังว่า นายกำลังทำอะไร

มู่อี้ฟานถูกเขาทำให้ผงะ ช่วงท้องที่แขม่วอยู่กลับคืนสภาพเดิมทันที ฉะ...ฉันกำลังแขม่วท้องอ่า

นาย…” จ้านเป่ยเทียนเห็นใบหน้าไร้เดียงสาของเขา สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วปรับน้ำเสียงลงกล่าวว่า ครั้งต่อไปอย่าได้ทำแบบนี้อีก

มู่อี้ฟานตกตะลึง ทำไมล่ะ

จ้านเป่ยเทียนไม่ตอบเขากลับ กล่าวด้วยใบหน้าเยือกเย็นว่า ไปอาบน้ำให้ไว

มู่อี้ฟานเห็นว่าพระเอกมีสีหน้าไม่ดี จึงไม่กล้าไปยั่วยุเขาอีกต่อไป มือพลางหยิบชุดนอนขึ้นมาแล้วแฉลบออกไป

จ้านเป่ยเทียนสวมเสื้อท่อนบนออกจากห้องแล้วลงมาชั้นล่าง หลังจากนั้นก็หยิบเงินอีกห้าร้อยหยวนมอบให้เฉินต้ง คุณลุง เพื่อนของผมกำลังป่วย ต้องบำรุงร่างกายเยอะๆ หน่อย

เฉินต้งนึกถึงใบหน้าของมู่อี้ฟานซึ่งพันผ้ากอซไว้นั้น เขายิ้มแล้วกล่าวว่า ไม่มีปัญหาครับ ทุกวันจะตุ๋นซุปไก่หนึ่งตัวไว้ให้เพื่อนของคุณดื่มนะครับ

ได้ยินคำสัญญาของเขา จ้านเป่ยเทียนยังไม่ได้จากไปในทันทีพร้อมมองคนตรงหน้าเหมือนยังมีบางอย่างอยากจะพูด

ยังมีอะไรอีกหรือเปล่าครับเฉินต้งถาม

จ้านเป่ยเทียนลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า คุณลุง อาหารในสองสามวันนี้ช่วยทำให้สำหรับคนท้องกินแล้วกันนะครับ

เฉินต้ง “...”


 

บทที่ 42 นายแค่วางมือไว้ตรงนี้ก็พอแล้ว

สีท้องฟ้าย่ำค่ำแล้ว เฉินต้งก็ไม่ได้ทำอาหารอู้ฟู่เกินไป เพียงแค่ใส่ไก่ผสมแป้งข้าวเจ้าหนึ่งหม้อ เพื่อให้พวกเขาเติมท้องให้อิ่มเท่านั้น

มู่อี้ฟานทานไปเจ็ดชามใหญ่ ก่อนจะพอถูไถให้ท้องอิ่มแค่เจ็ดส่วนได้

เห็นดังนั้นเฉินต้งก็แอบพูดไม่ออก นี่ก็ทานได้เกินไปหรือเปล่า คิดว่าขนาดเขาซึ่งเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่หนึ่งเกือบสองเมตร กินได้มากที่สุดก็แค่สี่ชามใหญ่เท่านั้นเอง

ไม่แปลกที่อายุน้อยๆ ก็อุดมสมบูรณ์แล้ว

มู่อี้ฟานใช้กระดาษทิชชูเช็ดปาก ถามว่า คุณลุง ขอถามชื่อแซ่ของคุณได้ไหมครับ

เฉินต้งยิ้มอย่างบื้อๆ ฉันแซ่เฉิน ชื่อเฉินต้ง

มู่อี้ฟานยิ้มแล้วพูดว่า ถ้าอย่างนั้นคุณลุงเฉิน ต้องขอขอบคุณสำหรับการต้อนรับในคืนนี้จริงๆ นะครับ

แม้ว่าพระเอกจะมาถึงหมู่บ้านไป๋ปี้ชุนล่วงหน้าเป็นเวลาหนึ่งวัน แต่ทว่าสถานที่ที่เข้าพักนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลง พระเอกยังคงพักในบ้านของผู้ชายที่ชื่อเฉินต้งอยู่

ในคำบรรยายของเขาในนิยาย ภรรยาของเฉินต้งนั้นเสียชีวิตไปนานแล้ว และเลี้ยงดูลูกชายคนโตมาด้วยตัวคนเดียว ปัจจุบันลูกชายอายุยี่สิบปีแล้ว เป็นผู้ชายร่างใหญ่ไม่ต่างจากเขาเลย ดังนั้น ถึงกล้าปล่อยให้ผู้ชายตัวใหญ่อย่างพวกเขาสองคนเข้ามาพักในบ้าน

มู่อี้ฟานและจ้านเป่ยเทียนนั่งคุยเล่นกับเฉินต้งในห้องนั่งเล่นนานกว่าครึ่งชั่วโมง รอให้ของในท้องย่อยได้ที่ ก่อนจะกลับห้องไปพักผ่อนกัน

มู่อี้ฟานกลับมาถึงห้องก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงทันที แล้วเอ่ยว่า หวังว่าในคืนนี้ฉันคงไม่ต้องตาค้างอีกแล้วนะ

จ้านเป่ยเทียนที่คิดจะเตรียมอ่านหนังสือก่อนนอน พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ จึงเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ตาค้าง?”

อืม เมื่อคืนฉันนอนไม่หลับทั้งคืนเลย แม้ง่วงจนตาจะปิดไม่ปิดแหล่อยู่แล้ว แต่ก็ยังนอนไม่หลับอะ

จ้านเป่ยเทียนขมวดคิ้ว

เป็นเพราะฉิงเทียนจูแน่แล้ว ไม่เช่นนั้น ภายใต้สถานการณ์นั้นจะมีใครง่วงจนตาจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่อยู่แล้วยังนอนไม่หลับอีกได้

จ้านเป่ยเทียนได้สติกลับคืนมา และต้องการถามอะไรบางอย่าง ก็เห็นคนนอนหลับเหมือนหมูตายอย่างไรอย่างนั้นอยู่บนเตียงนอน ขนาดผ้าห่มหล่นลงจากเตียงก็ยังไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย

“...”

ไหนบอกว่าตาค้างไง

นี่มันเพิ่งไม่กี่วินาที จู่ๆ ก็หลับไปเสียแล้ว แถมยังหลับสนิทอีกด้วย

จ้านเป่ยเทียนลุกไปหยิบผ้าห่มขึ้นมาและคลุมไว้บนตัวของมู่อี้ฟาน หลังจากนั้นก็กลับไปนั่งลงหน้าโต๊ะหนังสือเพื่ออ่านหนังสือต่อ

เพียงแค่อ่านไปครึ่งชั่วโมงก็รู้สึกง่วงแล้ว อย่างไรก็ตาม เขาไม่ชินกับการนอนบนเตียงเดียวกับคนอื่น นี่คือนิสัยที่บ่มเพาะขึ้นในกองทัพ รวมทั้งในวันสิ้นโลกด้วย

สำหรับวันแรกในการเกิดใหม่ที่ขอนอนด้วยกันกับมู่มู่นั้น มันเป็นเพราะความเกี่ยวพันกับฉิงเทียนจู่ทั้งสิ้น

จ้านเป่ยเทียนยืนอยู่ปลายเตียงมองมู่อี้ฟานอยู่นาน ก่อนจะลงนอนอีกฟากของเตียงนอน

เดิมทีเขาอยากนอนบนตั่งยาว หรือนอนบนรถสักงีบ แต่ว่าเขาต้องพักอยู่ที่นี่อย่างน้อยเป็นเวลาห้าถึงเจ็ดวัน หนำซ้ำพรุ่งนี้เช้ายังมีเรื่องที่ต้องทำอีก จึงไม่สามารถนอนบนตั่งยาวทุกๆ วันได้ แบบนั้นมันจะทำให้คนเหนื่อยมากเป็นแน่ และจะส่งผลให้ไม่สามารถโฟกัสไปทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างเต็มที่อีกด้วย นอกจากนี้ เขายังต้องเฝ้าดูแลคนบนเตียงอยู่ ดังนั้น จึงไม่อาจนอนในรถได้

มาถึงตีหนึ่ง ยากมากกว่าจ้านเป่ยเทียนจะง่วงนอน เปลือกตากำลังปรือปิดอย่างช้าๆ

ทันใดนั้น คนที่อยู่ด้านข้างก็พลิกตัว จากนั้นแรงขาสายหนึ่งก็พาดอยู่บนท้องของเขาแล้ว

จ้านเป่ยเทียนตื่นตัวไปทั่วร่างในทันที

เขาหันขวับอย่างรวดเร็ว และเห็นมู่อี้ฟานพลิกมาอยู่ข้างตัวของเขาด้านนี้ จากนั้นผงกศีรษะมาหนุนบนไหล่ของเขา ทำปากจ็อบแจ็บแล้วพูดจ้อเสียงไม่ชัดเจนว่า สบาย

จ้านเป่ยเทียน “...”

มองดูคนที่หลับไปอีกครั้ง เขาก็ขมวดคิ้วแล้วผลักคนออกไป

มู่อี้ฟานซึ่งอยู่ในห้วงฝันรู้สึกไม่พอใจ เขยิบไปยังส่วนที่ทำให้เขารู้สึกสบายอีกครั้งอย่างไม่รู้สึกตัว หลังจากนั้นก็ถูกคนผลักออกมาอีก เขากลับไปชิดซ้ำ แต่ต่อมาก็ยังถูกคนผลักออกไป

เขาดื้อดึงเข้าไปชิดอีกครั้ง

จ้านเป่ยเทียนสีหน้าแน่วแน่ เขาสุดจะทนที่จะสนิทสนมกับคนอื่นขนาดนี้ จึงผลักออกไปอีกรอบ

ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้ท้อง เขาล่ะอยากถีบคนลงจากเตียงจริงๆ

คราวนี้ในที่สุดมู่อี้ฟานก็ตื่นขึ้นมาจากความฝัน และเห็นจ้านเป่ยเทียนที่มีสีหน้าเย็นชาในความมืดมิดซึ่งทำให้ขนพองสยองเกล้าอยู่บ้างจนไม่กล้าเข้าไปชิดอีกต่อไป แต่กลับคว้ามือของอีกฝ่ายมาวางบนหน้าท้องของเขาแทน นายแค่วางมือไว้ตรงนี้ก็พอแล้ว

เขาไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะความสัมพันธ์กับฉิงเทียนจูในท้องของเขาหรือไม่ เขาแค่รู้สึกว่า หลังใกล้ชิดจ้านเป่ยเทียนก็จะไม่รู้สึกอึดอัดมากเวลานอนคว่ำท้องแล้ว

จ้านเป่ยเทียน “...”


 

บทที่ 43 พี่สะใภ้สบายดี

มู่อี้ฟานหลับเร็วเป็นพิเศษ แค่เพียงคว้ามือจ้านเป่ยเทียนมาไว้ในชุดนอน ถูไถบริเวณหน้าท้องของตัวเอง ในไม่ช้าคนก็ผล็อยหลับไปแล้ว

จ้านเป่ยเทียนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจเข้าออก หน้าผากจึงมีขีดเส้นสีดำลงหลายเส้น ขณะต้องการจะเอามือออกไป ก็รู้สึกถึงจังหวะการเต้นซึ่งส่งผ่านด้านล่างฝ่ามือมา ช่างน่าตื่นตาตื่นใจนัก เจ้าตัวน้อยในท้องดูเหมือนจะมีความสุขมากกับการสัมผัสของเขา

มุมปากเฉียบเย็นปรากฏเส้นโค้งเล็กๆ ขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เขาลูบไล้ช่องท้องเบาๆ เจ้าตัวน้อยเหมือนได้รับการปลอบโยน จึงค่อยๆ สงบลง ราวกับนอนหลับอย่างสงบอย่างไรอย่างนั้น ไม่ยุ่งวุ่นวายอีกต่อไปแล้ว

จ้านเป่ยเทียนไม่ได้ถอนมือออกทันที แต่ลูบวนบนหน้าท้องกลมมนของมู่อี้ฟาน หลังจากรู้สึกได้ว่าหน้าท้องยังคงใหญ่เหมือนกับสองสามวันก่อน เขาก็ขมวดคิ้ว

เกิดอะไรขึ้น

ผ่านไปสามวันแล้ว ทำไมหน้าท้องยังไม่เปลี่ยนอีก

จ้านเป่ยเทียนขบคิด

หรือว่าเวลาการเติบโตภายหลังค่อนข้างนานกัน

แต่ถ้าเป็นแบบนี้จริง เป็นไปได้มากที่มู่มู่จะรอไม่ถึงตอนลูกเกิดออกมา คนก็คงแล้ว

มือของจ้านเป่ยเทียนสัมผัสกับต้นขาของมู่อี้ฟานไปอย่างไม่รู้ตัว ต้นขาที่บวมช้ำทำให้หว่างคิ้วของเขาย่นลงบางส่วน

ครั้งล่าสุดให้เขาดื่มน้ำพุวิญญาณจากบ่อน้ำไปแล้วชัดๆ แต่ทำไมยังไม่มีผลอีก?

อย่าบอกนะว่าน้ำพุวิญญาณไม่ส่งผลต่อมะเร็งกระดูกน่ะ

อึดอัดมู่อี้ฟานส่งเสียงบ่นอย่างไม่สบายเล็กน้อย

จ้านเป่ยเทียนเงยหน้าขึ้นจ้องมู่อี้ฟานที่กำลังหลับอย่างไม่สงบ จึงเอามือวางกลับลงบนหน้าท้อง และในไม่ช้าคนก็หลับอุตุไปอย่างราบรื่นมั่นคงอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม จ้านเป่ยเทียนยังไม่ได้นอนทั้งคืน จนสีของท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น คนถึงจะออกอาการง่วงซึม

ไม่รู้ว่านอนหลับไปนานเท่าไร การสั่นของโทรศัพท์มือถือก็ทำเอาเขาสะดุ้งตื่นอีกครั้ง

จ้านเป่ยเทียนเปิดสองตาที่ซึมเซาขึ้น ใช้มือบังแสงแดดที่แยงตา หลังจากรอให้ปรับตัวกับแสงจากภายนอกได้แล้ว เขาจึงก้มหัวลงมองคนที่หนุนบนไหล่ของเขาอยู่ ทันใดนั้นร่างกายพลันแข็งทื่อสักพักหนึ่ง หลังจากนั้นจึงเอาแขนของตัวเองออกจากใต้ศีรษะของมู่อี้ฟานอย่างเงียบๆ และหยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่ยังคงสั่นอยู่แล้วเดินออกจากห้องไป

ฮัลโหล ฉันจ้านเป่ยเทียน

น้ำเสียงของชายที่เพิ่งตื่นขึ้นมานั้นแหบห้าวเป็นพิเศษ และก็รู้สึกหงุดหงิดเป็นพิเศษด้วย ทำให้เซี่ยงกั๋วซึ่งอยู่ในสายตกตะลึงแล้วกล่าวอย่างประหลาดใจว่า บอส คุณคงไม่ใช่เพิ่งตื่นนอนหรอกนะ? ผมอยู่ข้างกายคุณมานานจนป่านนี้ แต่เป็นครั้งแรกนะเนี่ยที่เห็นคุณตื่นสายขนาดนี้น่ะ เมื่อคืนน่าจะเกิดเรื่องดีๆ ขึ้นหรือเปล่าครับ?”

เมื่อพูดถึงตอนหลัง น้ำเสียงของเขายิ่งสองแง่สองง่ามขึ้นเรื่อยๆ

จ้านเป่ยเทียนถูกคำพูดเอะอะมากความทำให้ศีรษะพองโต เขานวดสมองแล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า มีอะไรจะพูดก็รีบพูดมา

เซี่ยงกั๋ววกกลับไปหัวข้อเดิม บอส คุณให้ผมสืบเรื่องของมู่อี้ฟานเมื่อวานไม่ใช่เหรอ? ผมสืบได้แล้วนะครับ

จ้านเป่ยเทียนส่ายหัวเรียกสติ ดวงตาพร่ามัวพลันเป็นประกายคมกริบในทันที ตอนนี้เขาอยู่ไหน?”

บอส คุณก็รู้ว่ามู่อี้ฟานเคยเป็นกองกำลังพิเศษ ดังนั้น ต้องการสืบว่าเขาพักอยู่ที่ไหนในขณะที่ผ่านมานั้น มันไม่ง่ายเลยจริงๆ เขาช่างเจ้าเล่ห์เกินไป แล้วก็ซุ่มซ่อนเกินไปด้วย ยังไงก็ตามแต่ ผมกลับสืบได้ว่าเมื่อคืนวานก่อนเขาพักอยู่กับแม่เลี้ยงของเขาที่นั่น ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังได้ยินมาว่า บ่ายสามโมงวันนี้ เขาจะนั่งเครื่องกลับเมือง B กับท่านนายพลมู่ด้วยครับ

เมือง B?”

จ้านเป่ยเทียนหรี่ตาลง ในช่วงชีวิตสุดท้าย ตัวเมืองที่เขาได้พบมู่อี้ฟานก็อยู่ใกล้เคียงกับเมือง

ใช่ครับบอส หลังจากนี้ยังต้องให้สืบต่อไปไหมครับ?”

จ้านเป่ยเทียนเอ่ยเบาๆ ไม่ต้องแล้ว

ในเมื่อไปเมือง B ก็ไม่จำเป็นต้องสืบอีกต่อไปแล้ว

ฉับพลันเซี่ยงกั๋วก็หัวเราะออกมา บอส...พี่สะใภ้สบายดีหรือเปล่าครับ?”


 

บทที่ 44 เมื่อคืนหลับสบายจังเลย

แววตาอันไม่แยแสของจ้านเป่ยเทียนทอประกายสับสน พี่สะใภ้? พี่สะใภ้อะไร

ก็คือมู่มู่ไงครับ พี่สะใภ้มู่มู่น่ะ เมื่อวานไม่ใช่เพราะว่าพี่สะใภ้มีเรื่องเหรอครับ บอสถึงฉุกละหุกทิ้งผมไว้กับ ดร.เก่อแล้วจากไปน่ะ

จ้านเป่ยเทียนคลึงหว่างคิ้ว กล่าวอย่างจนใจว่า เขาไม่ใช่…”

เขาพูดไม่ทันจบ เซี่ยงกั๋วก็ขัดจังหวะขึ้น บอส คุณไม่ต้องซ่อนพวกเราหรอกครับ พวกเรารู้ทุกอย่างหมดแล้ว เช้านี้คุณตื่นสายขนาดนี้ เมื่อคืนวาน ไม่ใช่ว่าทำ...เอิ่ม...ฮิๆ...แบบนั้นกับพี่สะใภ้เหรอครับ คำพูดที่เหลือก็ไม่ต้องให้ผมพูดเยอะหรอกน่า

จ้านเป่ยเทียนขมวดคิ้ว “...”

เซี่ยงกั๋วพูดต่อ บอส ในเมื่อพวกเรารู้กันหมดแล้ว คุณซ่อนต่อไปก็ไม่มีความหมายหรอกครับ มีเวลาว่างก็พาพี่สะใภ้ออกมาให้พวกเราดูหน่อยนะครับ ให้พวกเราดูว่าพี่สะใภ้รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง เผื่อเจอหน้าในภายหลังจะกลายเป็นว่าไม่รู้จักกันเอานะครับ

จ้านเป่ยเทียนไม่อยากอธิบายแล้ว ตอนนี้ฉันอยู่หมู่บ้านไป๋ปี้ชุน

ถ้าอย่างนั้นหลังคุณกลับมา ต้องพาคนมาให้พวกเราดูจริงๆ ด้วยนะครับเซี่ยงกั๋วเอ่ยอย่างตื่นเต้น

จ้านเป่ยเทียนเลิกคิ้วแล้วพูดว่า อยากดูแน่เหรอ

แน่สิครับ

จ้านเป่ยเทียนจ้องชายหนุ่มซึ่งหลับเหมือนหมูตายในห้อง มุมปากโค้งขึ้นนิดๆ หวังว่าเมื่อถึงตอนนั้นพวกนายจะไม่หงอกันล่ะนะ

เซี่ยงกั๋วถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น พวกเราจะหงอกันทำไมครับ? อย่าบอกนะว่าพี่สะใภ้ดูน่าเกลียดเกินไป หรือว่าบางทีพี่สะใภ้ดูสวยเกินไป บอสเลยไม่อยากพามาให้พวกเราเจอ ใช่หรือเปล่าครับ ฮ่าฮ่า!

จ้านเป่ยเทียนเอ่ยในใจ ห่อหมดแบบนั้น ผีถึงจะรู้ว่าเขาดูสวย หรือน่าเกลียดอะนะ

ในขณะนั้น มู่อี้ฟานที่ตื่นขึ้นมาเพราะปวดฉี่ก็ค่อยๆ คลานออกมา อ้าปากหาวขณะเดินออกจากห้องไปด้วย เมื่อเห็นจ้านเป่ยเทียนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ เขาจึงขยี้ตาแล้วพูดอย่างสะลึมสะลือว่า ฉันไปฉี่นะ

จ้านเป่ยเทียน “...”

เข้าห้องน้ำไม่จำเป็นต้องบอกเขาหรือเปล่า

โอ๊ะ บอส ผมได้ยินเสียงข้างตัวของคุณล่ะ พี่สะใภ้พูดอยู่เหรอครับเซี่ยงกั๋วกล่าวอย่างตื่นเต้น

อย่างไรก็ตาม เสียงพี่สะใภ้ดูเหมือนผู้ชายจังเลย เห็นทีเพิ่งจะตื่นนอน เสียงเลยค่อนข้างทุ้มต่ำล่ะมั้ง

จ้านเป่ยเทียน “...”

บอส รีบเรียกพี่สะใภ้มาฟังสายหน่อย สมควรให้ผมเรียกพี่สะใภ้นะครับ” 

ฉันวางสายแล้วจ้านเป่ยเทียนกดตัดสายโต้งๆ

เฉินต้งซึ่งกำลังดูทีวีในห้องนั่งเล่นชั้นล่าง ได้ยินเสียงแว่วมาจากข้างบน เลยเดินออกมาแล้วเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นจ้านเป่ยเทียนยืนอยู่ตรงทางเดิน

เขายิ้มเจิดจ้า น้องชายจ้าน พวกคุณตื่นแล้ว เดี๋ยวผมจะไปทำอาหารให้พวกคุณนะ

ขอบคุณครับจ้านเป่ยเทียนกลับเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

ในเวลานี้ มู่อี้ฟานได้เดินกลับเข้ามาแล้วยืดเส้นยืดสาย เมื่อคืนฉันหลับสบายจังเลย

ทันใดนั้นก็ได้รับสายตาเย็นชาจากจ้านเป่ยเทียน น่าเสียดายที่มู่อี้ฟานไม่รู้ว่าคำพูดนี้ของตัวเองดึงดูดความชังน้ำหน้าไปเท่าไรแม้แต่น้อย


 

บทที่ 45 นายไปด้วยกันกับฉันนะ

ทั้งสองคนล้างหน้าแปรงฟันกันเสร็จ ก่อนจะลงมาห้องนั่งเล่นชั้นล่างเพื่อกินมื้อเช้า

โดยมื้อเช้าวันนี้อู้ฟู่เป็นพิเศษ เห็นได้ชัดว่าเฉินต้งจัดเตรียมได้เอาใจใส่มาก

มู่อี้ฟานหิวโหยจนท้องร้องจ๊อกๆ มาก่อนหน้านั้นแล้ว หยิบตะเกียบขึ้นมา ประดุจหมาป่ากลืนเสือเขมือบ[1] ในไม่ช้าอาหารเช้าโต๊ะใหญ่ก็ถูกกวาดจนเกลี้ยง หลังจากนั้นก็นั่งอยู่บนเก้าอี้นอนเอนที่เฉินต้งนั่งในเวลาปกติ พลางลูบคลำหน้าท้องที่ได้กินอิ่มจนเต็มคราบ

กินยาจ้านเป่ยเทียนเอ่ยปากขึ้นในทันที

อะไรมู่อี้ฟานหันกลับไปอย่างสงสัย ยาอะไร

จ้านเป่ยเทียนจ้องเขาด้วยสีหน้าว่างเปล่า เมื่อวานและวันนี้ นายยังไม่ได้กินยา

ดวงตามู่อี้ฟานทอประกายขัดเขิน ตอนนี้ท้องฉันยังตื้ออยู่เลย รอฉันเบรกสักพักค่อยกินยานะ

จ้านเป่ยเทียนเอ่ยเสียงเย็น ไปกินยาเดี๋ยวนี้ซะ

มู่อี้ฟานโดนเขาจ้องจนทั่วร่างรู้สึกอึดอัด จึงจำต้องบังคับตัวเองกลับห้องไปกินยา แต่อย่างไรก็ตาม เขาจะกินไม่กิน จ้านเป่ยเทียนก็ไม่น่าจะรู้หรอกมั้ง

ใครจะรู้ พระเอกดันขึ้นมาที่ห้องชั้นสองพร้อมกับเขาจริงๆ เสียได้

จ้านเป่ยเทียนจ้องมู่อี้ฟานซึ่งหยิบห่อยาสีเหลืองออกมาจากในกระเป๋าเป้อย่างสโลโมชัน ทันใดนั้น ดวงตาพลันหรี่ลง และแผ่รังสีความเย็นชาของคนออกมา ยาของนายเป็นยาจีน

แต่ไรมาเขาไม่เคยเห็นผู้ชายคนนี้ต้มยา เช่นนั้นก็หมายความว่า ผู้ชายคนนี้ไม่ได้กินยาในช่วงที่ผ่านมาเลย

มู่อี้ฟานไม่รู้ว่าทำไมพระเอกถึงโกรธอย่างกะทันหัน ถึงขั้นมีท่าทางอยากจะบีบเขาให้ตาย จึงรีบพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ หมอบอกว่าฤทธิ์ของยาเหล่านี้สามารถลดเนื้องอกภายในระยะสั้นๆ ควบคุมการแพร่กระจาย บรรเทาความเจ็บปวด อาการคงที่ และยืดระยะเวลาชีวิตได้…”

จ้านเป่ยเทียนได้ยินไม่กี่คำว่า ยืดระยะเวลาชีวิต สีหน้าเยือกเย็นลง รับยามาแล้วเดินลงไปชั้นล่างโดยตรง เห็นเฉินต้งกำลังฆ่าไก่ จึงถามว่า คุณลุง ที่นี่มีหม้อต้มยาไหมครับ?”

เฉินต้งเงยหน้าขึ้้นมองจ้านเป่ยเทียนซึ่งถือห่อยาอยู่ กล่าวยิ้มๆ ว่า มีสิครับ คุณต้องการต้มยาเหรอ? ผมจะไปต้มให้คุณนะครับ

เขาเช็ดมือบนผ้ากันเปื้อนรอบเอว และเอาห่อยามาอย่างกระตือรือร้นทีเดียว

คุณลุง คุณรอเดี๋ยวนะครับจ้านเป่ยเทียนหมุนตัวเดินออกจากลานบ้าน

มู่อี้ฟานที่ตามมาจากชั้นบน เห็นเงาร่างของจ้านเป่ยเทียนจากไป จึงถามว่า คุณลุงเฉิน เขาไปไหนครับ?”

ไม่รู้เลยครับเฉินต้งเข้าไปในห้องครัวเอาหม้อต้มยาออกมาชะล้างทำความสะอาด

ไม่นาน จ้านเป่ยเทียนก็ถือน้ำแร่สองขวดกลับมา คุณลุง รบกวนใช้น้ำแร่สองขวดนี้มาต้มยานะครับ

มู่อี้ฟานเห็นน้ำแร่สองขวดในมือของจ้านเป่ยเทียน กะพริบตาด้วยความสับสน เพียงแค่ต้มยาไม่มีอะไรอื่น ทำไมต้องใช้น้ำแร่มาต้มยาด้วยล่ะ หรือว่าการใช้น้ำแร่มาต้มยาจะทำให้ประสิทธิภาพของยาดีขึ้นกว่าเดิม?

อย่างไรก็ตาม ทำไมเขาไม่เคยได้ยินทฤษฎีแบบนี้เลยล่ะ

ทันใดนั้น เขาก็นึกอะไรออก ดวงตาพลันเบิกกว้างขึ้น

น้ำแร่สองขวดนั่นคงไม่ใช่น้ำพุจากน้ำพุวิญญาณในมิติของพระเอกหรอกใช่ไหม?

คุณลุง คุณรู้ไหมว่าหัวหน้าหมู่บ้านอยู่ที่ไหน?” จ้านเป่ยเทียนถาม

เฉินต้งมองเขาอย่างฉงน น้องชายจ้านต้องการพบหัวหน้าหมู่บ้าน?”

อืม

หัวหน้าหมู่บ้านอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้านน่ะ คุณเดินจากถนนหน้าประตูบ้านผมตรงไปเลย เดี๋ยวก็หาเขาเจอเองแหละ

จ้านเป่ยเทียนหมุนตัวเดินออกจากลานบ้าน หลังจากนั้นวกกลับมาอีกครั้ง มุ่งไปยังมู่อี้ฟานที่ยืนอยู่ข้างเฉินต้ง และใช้สายตาเกลียดชังจ้องหม้อต้มยาเขม็ง เอ่ยเรียกเสียงแผ่วเบาว่า มู่มู่ นายไปด้วยกันกับฉันนะ” 

มู่อี้ฟานหันไปมองเขา ฉันไม่ไปหรอก ฉันจะดูคุณลุงเฉินต้มยา อีกอย่างรอยาต้มเสร็จ ฉันก็ดื่มยาได้แล้ว

ในความเป็นจริง เขาอยากใช้ช่วงที่พระเอกไม่อยู่เอาน้ำเทเปลี่ยน หรือแอบเอายาเททิ้งมากกว่า

จ้านเป่ยเทียนเดินกลับไปข้างกายมู่อี้ฟาน จ้องดวงตาคู่นั้นที่ซ่อนความกังวลใจได้ไม่มิดของเขา เม้มริมฝีปากนิดๆ โดยไม่ได้พูดอะไรเลย และยกคอเสื้อของเขาเดินออกจากลานบ้านของเฉินต้งไปโท่งๆ




[1] หมาป่ากลืนเสือเขมือบ หมายถึง ตะกละ มูมมาม


 

บทที่ 46 เกือบจะแถจนผ่านได้แล้วเชียว

ไป๋ปี้ชุน[1] หมู่บ้านที่เป็นเฉกเช่นชื่อของมัน ผนังด้านนอกของบ้านแต่ละหลังต่างฉาบด้วยผงปูนขาว ด้านบนคลุมด้วยกระเบื้องสีดำ บ้านหลังหนึ่งติดกับบ้านหลังหนึ่งราวกับเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่ง ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนได้เข้าไปสู่เมืองในสมัยโบราณ

จ้านเป่ยเทียนและมู่อี้ฟานเดินไปตามเส้นทางที่เฉินต้งบอก จากนั้นสอบถามชาวบ้านหลายคน ในไม่ช้าก็หาบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเจอ

หัวหน้าหมู่บ้านไป๋ปี้ชุนได้ยินจ้านเป่ยเทียนว่ามาจัดซื้อข้าวปลาอาหาร และพืชผักผลไม้ในหมู่บ้านของพวกเขา จึงกระตือรือร้นอย่างเต็มที่ และเชื้อเชิญพวกเขาเข้าไปในห้องนั่งเล่นทันที

มู่อี้ฟานซึ่งถูกจ้านเป่ยเทียนลากมาด้วยได้ยินเนื้อหาสนทนาของพวกเขาก็หาวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ 

สำหรับเขาซึ่งรู้มานานแล้วว่าพระเอกจะคุยเรื่องจัดซื้อกับหัวหน้าหมู่บ้านนานหน่อย บอกเลยว่ารู้สึกน่าเบื่อเป็นพิเศษ

อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเตรียมจะออกจากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน เนื้อเรื่องกลับอุบัติเปลี่ยนไป ทันใดนั้นก็มีชายห้าคนมาหาหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อเจรจาซื้อหาข้าวปลาอาหารทั้งหมดของไป๋ปี้ชุน มู่อี้ฟานมองชายชนชั้นเอลิท[2]ทั้งห้า สายตาทอประกายงงงวย ในนิยายของเขา เดิมทีไม่มีใครจะมาจัดซื้อข้าวปลาอาหารแข่งกับพระเอก แล้วพวกเขาสะเหล่อออกมาจากไหน แถมยังให้ราคาสูงกว่าพระเอกด้วย

จ้านเป่ยเทียนไม่ได้เสนอราคาแข่งกับพวกเขา และหลังจากได้รู้ว่าอีกฝ่ายจ่ายราคาสูงกว่า เขาก็พามู่อี้ฟานออกจากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน

ด้านนอกบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน เห็นรถลีมูซีนมินิไฮคลาสคันหนึ่ง นั่นคงเป็นรถที่ชายทั้งห้าขับมาเมื่อกี้นี้

จ้านเป่ยเทียนและมู่อี้ฟานจ้องไปยังหมายเลขป้ายทะเบียนรถ ด้านบนเขียนไว้ว่า เมือง G66333 ซึ่งเป็นรถมินิที่ขับมาจากเมือง G นั่นเอง

มู่อี้ฟานรีบใช้โอกาสนี้วิ่งเข้าห้องครัว คุณลุงเฉิน หม้อต้มยาได้ที่หรือยังครับ

เพิ่งต้มเสร็จเลยครับ ผมจะเทใส่ชามให้คุณ รอให้เย็นสักหน่อยค่อยดื่มนะครับเฉินต้งพูดขณะเอายาเทลงชามไปด้วย จากนั้นหันกลับไปดูว่าไก่ต้มในหม้อตุ๋นดีหรือยัง

มู่อี้ฟานมองรอบๆ ห้องครัวดุจสายฟ้าแลบ เพื่อดูว่ามีที่ไหนสามารถเอายาเททิ้งได้บ้าง จากนั้นดุจคลื่นสมองโหมกระหน่ำ[3] จึงหยิบชามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เอายาเทกลับลงหม้อต้มยา และปิดฝากลับลงไป

เขาหัวเราะภายในใจ

ด้วยวิธีที่ว่านี้ จะไม่มีใครพบว่าเขาเอายาเททิ้งแล้ว และก็ไม่มีใครคิดถึงว่าเขาเอายาเทกลับลงในหม้อต้มยาอีกด้วย

เมื่อเฉินต้งหันกลับมาอีกครั้ง เขาจึงรีบเอาชามกรอกใส่ปากอย่างรวดเร็ว พร้อมแสร้งทำทีเป็นดื่มยาหมดแล้ว

เฉินต้งมองดูเขาอย่างประหลาดใจ ยาร้อนขนาดนี้ ทำไมคุณดื่มเสร็จเร็วจัง

อืมมู่อี้ฟานใช้มือเช็ดมุมปาก คุณลุงเฉิน ผมขึ้นไปพักผ่อนที่ชั้นบนนะครับ

เดี๋ยวพอไม่มีใครอยู่ในห้องครัวแล้ว เขาค่อยลงมาเทยาทิ้งอย่างลับๆ อีกที

ในห้องนั่งเล่น หลังจ้านเป่ยเทียนวางสายโทรศัพท์ก็เดินไปทางห้องครัว เห็นเฉินต้งกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ จึงถามว่า คุณลุง หม้อยาเสร็จหรือยังครับ?”

เฉินต้งเงยหน้าขึ้น กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า ต้มเสร็จนานแล้วครับ เสี่ยวมู่ดื่มยาไปเมื่อตะกี้เอง

ดื่มแล้ว?

จ้านเป่ยเทียนเลิกคิ้ว ไม่ค่อยเชื่ออยู่บ้างว่ามู่อี้ฟานจะวิ่งแจ้นไปดื่มยาด้วยตัวเองเช่นนี้ คุณลุง คุณเห็นเขาดื่มลงไปกับตาหรือเปล่าครับ?”

แน่นอนครับเฉินต้งพยักหน้าอย่างมั่นใจ

จ้านเป่ยเทียนยังคงไม่ค่อยเชื่อนัก คนที่ต่อต้านการดื่มยาอย่างเห็นได้ชัด จะเบิกบานกับการดื่มยาได้ยังไงกัน

สายตาเขากวาดมองไปทั่วห้องครัว หลังจากนั้นก็ตกลงที่หม้อต้มยาข้างบนโต๊ะและชามใหญ่ถัดจากกัน ก่อนจะเดินไปเปิดหม้อต้มยา ในนั้นมียาต้มและกากยามากกว่าครึ่ง คุณลุง คุณใช้น้ำในการต้มยาเท่าไรครับ

ใช้หนึ่งขวดครับ หลังจากต้มเสร็จ ยาต้มเติมเต็มชามพอดีเลยครับ

จ้านเป่ยเทียนขมวดคิ้ว ชี้ไปที่หม้อต้มยา เกิดอะไรขึ้นกับยาต้มข้างในนี้ครับ

ยาต้มอะไรนะครับเฉินต้งเดินมาดูด้วยความสงสัย เอ๋ ผมเอายาต้มเทออกมาหมดแล้วชัดๆ ทำไมยังมียาต้มเหลืออยู่เยอะขนาดนี้ได้ล่ะ

เขาเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ

สายตาของจ้านเป่ยเทียนเข้มลง คุณลุง คุณเห็นเขาดื่มลงไปจริงเหรอครับ

เฉินต้งเปลี่ยนเป็นไม่แน่ใจ นะ...นี่…”

ทันใดนั้น เขาก็นึกบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ จึงส่งเสียงเอ๊ะ เจ้าหนูคนนี้คงไม่ฉวยโอกาสตอนที่ผมหันหลังเอายาเทกลับลงหม้อต้มยาหรอกนะ เมื่อกี้ผมยังสงสัยอยู่เลยว่า ยาต้มร้อนขนาดนี้ เขาดื่มลงไปรวดเดียวได้ยังไง

จ้านเป่ยเทียนพลันหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง อยากโกรธก็โกรธไม่ได้

เขาพบว่าเด็กคนนั้นไม่ได้โง่อย่างที่เขาคิดขนาดนั้น ถ้าไม่ระวังตัวเองมากพอ คงจะแถจนเขาให้ผ่านด่านเข้าจริงๆ แล้ว

จ้านเป่ยเทียนจ้องยาในหม้อเขม็ง สายตาขยับเขยื้อน แล้วหยิบหม้อต้มยาออกไปจากห้องครัว




[1] หมู่บ้านหยกขาว

[2] ชนชั้นเอลิท (elite) คือ ชนชั้นสูง ชนชั้นหัวกะทิที่มีความสามารถ

[3] มีไอเดียผุดขึ้นปุ๊บปั๊บ


 

บทที่ 47 เจ้าคนบัดซบนี่

มู่อี้ฟานกลับเข้าไปในห้อง เมื่อตัวเองฉ้อฉลหนีผ่าน จึงระรื่นกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง

เมื่อกี้นี้ถ้าเอายาต้มที่มีน้ำพุในมิติดื่มลงท้องจริงๆ เกรงว่าเขาจะเปลี่ยนเป็นซอมบี้ ณ ที่นั่น ในเวลานั้นพระเอกจะต้องดับชีวิตของเขาอย่างแน่นอน

ต้องบอกว่า หลังเขาตายแล้วจะกลับสู่ความเป็นจริงได้ไหม

เรื่องนี้เขายังไม่กล้าลองจริงๆ ถ้าพลอยกลับไม่ได้ก็อนาถาแล้ว

มู่อี้ฟานยังคงกระหยิ่มในความฉลาดของตนต่อไป

เมื่อจ้านเป่ยเทียนเข้ามาก็เห็นมู่อี้ฟานทำตัวเหมือนเด็กๆ ที่หลีกเลี่ยงการทานยาได้ และกอดผ้าห่มกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงอย่างเบิกบานใจ ในสายตาไม่แยแสมีรอยยิ้มขบขันวาบผ่านไป

มุมหางตาของมู่อี้ฟานพลันเห็นคนเข้ามาก็หยุดชะงัก มองจ้านเป่ยเทียนถือกระป๋องเครื่องดื่มสีแดงสองใบเดินเข้ามาในห้องอย่างสนอกสนใจ

เสียงดังแกร๊ก จ้านเป่ยเทียนเปิดหนึ่งในกระป๋องเครื่องดื่มนั่งลงบนขอบเตียง แล้วเอากระป๋องเครื่องดื่มอีกใบหนึ่งซึ่งเปิดก่อนแล้วส่งให้มู่อี้ฟาน

มู่อี้ฟานรับกระป๋องเครื่องดื่มมา พลันสูดได้กลิ่นยาฉุนๆ หนึ่งส่วน ขมวดคิ้วแล้วดมกลิ่น นี่มันเครื่องดื่มอะไร? ทำไมมีกลิ่นยาขมๆ ล่ะ

จ้านเป่ยเทียนดื่มเครื่องดื่มอึกหนึ่งแล้วพูดว่า เหลียงเย้าหวัง[1] ไม่เคยดื่มเหรอ?”

มู่อี้ฟานเห็นตัวอักษรตัวใหญ่ที่แสดงบนกระป๋องในมือแล้วส่ายหัว

เขาจะไปเคยดื่มเครื่องดื่มในนิยายได้อย่างไรเล่า

จ้านเป่ยเทียนพูดอย่างแฝงนัยลึกซึ้ง ไม่เคยดื่มจะดีกว่า ลองได้นะ

มู่อี้ฟานหยิบกระป๋องขึ้นมาวางใต้จมูกแล้วดมอีกครั้ง คิ้วขมวดไปอีกสองสามนาที หลังจากนั้นลองจิบเล็กๆ พริบตานั้น รสชาติขมได้แผ่ซ่านไปทั่วปาก

แหยะ ขมจังคิ้วของเขาเกือบจะผูกเป็นปม

ยาดีย่อมมีรสขมจ้านเป่ยเทียนเอ่ยเบาๆ

มู่อี้ฟานทนต่อรสชาติขม และดื่มอีกอึกหนึ่ง เหลียงเย้าหวังอัดกระป๋องของพวกนายที่นี่ขมขนาดนี้เชียวหรือ?”

ทำไมมันต่างจากเครื่องดื่มเหลียงฉาหวัง[2]มากขนาดนี้ นี่มันช่างเหมือนกับดื่มยาจีนโดยแท้

รูม่านตาของจ้านเป่ยเทียนหดแคบลง

คำพูดนี้ทำไมมันฟังแล้วแปลกๆ เพราะอะไรถึงต้องใช้คำว่า พวกนายที่นี่ ล่ะ?

ไม่ทันให้เขาคิดถี่ถ้วนอะไรออกมา ก็เห็นมู่อี้ฟานกำลังจะเอากระป๋องเครื่องดื่มโยนลงในถังขยะ

จ้านเป่ยเทียนสีหน้าดิ่งลงทันควัน อย่าเขวี้ยง ดื่มให้หมดซะ

แต่มัน...ขมจังอ่ามู่อี้ฟานสบสายตาคมกริบอันน่ากลัวจนไม่กล้าเอากระป๋องโยนทิ้ง ได้แต่กัดฟันดื่มเครื่องดื่มทั้งหมดลงท้องในรวดเดียว

จ้านเป่ยเทียนหยิบกระป๋องในมือของเขาไป ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีน้ำในกระป๋องแล้ว มุมปากกระตุกน้อยๆ แทบมองไม่เห็น ก่อนกระป๋องใบนั้นจะถูกโยนใส่ถังขยะ จากนั้นหยิบลูกอมเม็ดหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าแล้วโยนให้มู่อี้ฟาน ก่อนลุกขึ้นออกจากห้องไป

มู่อี้ฟานรีบเอาลูกอมใส่ปากเพื่อลบรสขมออกไป

ตอนที่กินลูกอม เขาก็นึกถึงหม้อต้มยาหม้อนั้นขึ้นมาได้ทันที และรีบลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป เห็นเฉินต้งกำลังยุ่งกับแปลงผักเล็กๆ อยู่ จึงเร่งความเร็วลงมาแฉลบเข้าห้องครัว และหยิบหม้อต้มยาวิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อเอายาเททิ้ง

หือ

มู่อี้ฟานมองหม้อต้มยาซึ่งมียาไหลออกมาแค่ไม่กี่หยดอย่างประหลาดใจ ทำไมมีแค่ไม่กี่หยดล่ะ เป็นไปไม่ได้อะ!

เขาเปิดฝาดู นอกจากกากยากองหนึ่ง กลับไม่มียาต้มสักนิด

มู่อี้ฟานตกตะลึง ยาต้มล่ะ

หรือว่าเฉินต้งเททิ้งไปแล้ว

ไม่น่าจะนะ

ถ้าเฉินต้งพบว่ามียาต้มเหลืออยู่ในหม้อ คงจะเก็บเอาไว้ให้เขาดื่มคืนนี้อย่างแน่นอน ไม่มีทางเททิ้งหรอก

ถ้าไม่ได้เททิ้ง แล้วมันไปไหนล่ะ?

มู่อี้ฟานเดินไปยังห้องครัวเอาหม้อต้มยาวางกลับเข้าที่เดิม เมื่อมาถึงฝั่งเฉินต้งจึงถามอย่างไม่แน่ใจว่า คุณลุงเฉิน ยาต้มในหม้อต้มยาล่ะครับ?”

เฉินต้งมองเขาด้วยสายตาสงสัย ไม่ใช่คุณดื่มไปแล้วเหรอครับ?”

ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึง…” เขาอับอายที่จะพูดเรื่องที่ตัวเองแอบเอายากลับไปเททิ้งอีกครั้งออกมาจริงๆ  

เฉินต้งหันกลับมา พรางสาละวนกับงานในมือต่อไปพร้อมกับใช้โทนเสียงจู้จี้ไม่เห็นด้วย คุณนี่นะ สุขภาพไม่ดีก็ควรกินยาสิ แบบนี้ร่างกายจะได้ดีขึ้นเร็วๆ ไม่กินยาเพราะกลัวขมเหมือนคุณแบบนี้ ไม่เพียงร่างกายจะไม่ดีขึ้น ยังจะทำให้ร่างกายยิ่งแย่ลงอีก นี่ยังไม่ใช่ตัวเองทำร้ายตัวเองหรอกหรือ?”

พูดมาถึงตรงนี้ เขาทั้งฉิวทั้งขัน ผมว่าคุณเป็นเด็กแบบนี้ คุณว่าตัวเองอายุเท่าไรแล้ว ทำไมยังทำตัวเหมือนเด็ก เพื่อเลี่ยงการกินยาแล้ว อยู่ดีๆ ก็เอายาเทกลับลงหม้อ เมื่อกี้นี้ถ้าไม่ใช่น้องชายจ้านพบว่าคุณเอายาเทกลับลงหม้ออีกรอบ ผมยังคิดว่าคุณกินยาแล้วอยู่เลย

ครับ ครับ ครับ…” มู่อี้ฟานฟังคำสั่งสอนพลางขานรับไปด้วย อย่างไรก็ตาม ได้ยินตอนหลังๆ คนถึงช็อกเต็มๆ แล้วกระโดดโหย่งขึ้นมา อะ...อะไรนะ จ้านเป่ยเทียนรู้ว่าผมเอายากลับไปเททิ้งแล้ว? เขารู้ได้ยังไงครับ? หลังจากนั้นล่ะ? เขาเอายาต้มไปที่ไหนแล้ว

เฉินต้งมองเขาอย่างฉงน เขาไม่ใช่เอาไปให้คุณแล้วเหรอครับ

ผมดื่มแล้ว? ผมดื่มตอนไหน…” มู่อี้ฟานพลันนึกถึงเหลียงเย้าหวังที่ขมจะตายกระป๋องนั้นเมื่อกี้ขึ้นมาได้ ตะโกนเสียงดังกร้าวโศก ฉันรู้ล่ะ เหลียงเย้าหวัง เป็นเย้าหวังกระป๋องนั้นใช่ไหม? แม่งเอ้ย ฉันยังคิดว่าเป็นเครื่องดื่มชาสมุนไพรธรรมดา ไม่คิดเลยว่าจะถูกแอบเอาขื่อเปลี่ยนเสาไปนานแล้ว จู่ๆ ยาต้มที่ใช้ยาจีนต้มกลับถูกใส่ไว้ในนั้น ช่างฉิบหายเหลือเกินจริงๆ

ไม่น่าแปลกที่เครื่องดื่มจะขมขนาดนี้

ไม่น่าแปลกที่ฝาของเหลียงเย้าหวังถูกดึงออกก่อนแล้ว เพราะแต่เดิมนั้นได้นำเหลียงเย้าหวังในนั้นสับเปลี่ยนไปนานแล้ว

เดี๋ยวนะ ไม่ถูกสิ

ยาเพิ่งออกจากหม้อควรจะร้อนสิ มันจะเย็นเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร ไม่อย่างนั้น เขาก็คงไม่ติดกับง่ายๆ แบบนี้หรอก

ทันใดนั้นมู่อี้ฟานพลันนึกได้ว่า จ้านเป่ยเทียนมีความสามารถดั่งสายน้ำแข็ง เขาสามารถทำให้สิ่งต่างๆ เย็นลงในชั่วอึดใจได้

เขาหมุนตัวกลับไปอย่างรวดเร็ว มุ่งไปยังห้องนั่งเล่นต่อแล้วแหวเสียงดัง จ้านเป่ยเทียน เจ้าคนบัดซบนี่

เมื่อกี้เขายังรู้สึกว่าตนเองโคตรฉลาด คิดว่าข้ามทะเลด้วยอุบาย ไม่มีใครรู้ว่าเขาเอายาไปเททิ้ง กลับคาดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่ดันตรวจเจอ หนำซ้ำยังหลอกเขาให้ดื่มยาลงไปอีกด้วย

จ้านเป่ยเทียนซึ่งกำลังดูข่าวอยู่ในห้องนั่งเล่น ได้ยินเสียงโหยหวนของมู่อี้ฟาน มุมปากเฉียบเย็นโน้มขึ้นพร้อมเป็นเส้นโค้งที่ดูดี เห็นอีกฝ่ายเกรี้ยวกราดขนาดนี้ อารมณ์กลับดีขึ้นอย่างพรรณนาไม่ได้

ด้านนอกลานบ้าน มู่อี้ฟานดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ จึงวิ่งกลับห้องโดยไว ส่องกระจกเต็มตัว และมองทั่วร่างของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็ละสายตาไปไหนไม่ได้

เมื่อยืนยันได้ว่าตัวเองไม่ได้เปลี่ยนเป็นซอมบี้อีกขั้นหนึ่งอีกครั้ง จึงได้ผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

โชคดี โชคดีมู่อี้ฟานตบหน้าอกของตัวเอง ตราบใดที่ตัวเองไม่ได้เปลี่ยนเป็นซอมบี้ทันทีก็ดีแล้ว

ก่อนหน้านี้ น้ำสองขวดที่จ้านเป่ยเทียนให้เฉินต้ง หรือว่าจะเป็นเพียงน้ำแร่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นก็เป็นน้ำแร่ที่บรรจุน้ำพุของน้ำพุวิญญาณปริมาณน้อยเป็นพิเศษ ซึ่งน่าจะแอบหยดน้ำพุวิญญาณแค่หยดสองหยดเข้าไป

อย่างไรก็ตาม ถ้าดื่มบ่อยครั้งเข้า ไม่ช้าไม่เร็วก็อาจจะเกิดเรื่องขึ้นได้

แต่ทว่าจ้านเป่ยเทียนพบว่าเขาต่อต้านการดื่มยาเข้าให้แล้ว ในอนาคตทุกๆ ครั้งที่ดื่มยาจะต้องกำกับเขาเป็นแน่ สรุปแล้วเขาหนีไม่พ้นจริงๆ

มู่อี้ฟานร้องไห้แต่ไร้ซึ่งน้ำตา

ชีวิตเขาช่างขมขื่นจริงๆ

แต่กระนั้น ทำไมจู่ๆ พระเอกต้องดีกับเขาขนาดนี้ล่ะ?

มู่อี้ฟานก้มหัวลงมองท้องของตัวเอง เพราะแกใช่หรือเปล่าฮ้า

ท้องของเขากระตุกสองครั้งในทันที

มู่อี้ฟานลูบหน้าผาก ครางเสียงระทมคำหนึ่ง

มันต้องเป็นเพราะฉิงเทียนจูชัวร์ป้าบ ไม่อย่างนั้น พระเอกจะเอาน้ำจากน้ำพุวิญญาณมาขุนเขาอย่างช่ำชองได้ยังไง

ถ้าคนอื่นๆ ได้ดื่มน้ำพุวิญญาณ แน่นอนว่าจะหาอย่างไรก็หาไม่ได้แล้ว[3] ทว่าเขานั้นไม่เหมือนกัน การดื่มน้ำพุวิญญาณลงไปมีแต่จะเร่งความเร็วในการกลายเป็นซอมบี้เท่านั้น

เขาไม่ใช่มู่อี้ฟานตัวจริง ไม่กล้ารับประกันว่าจะสามารถทำให้ตัวเองคงสติสัมปชัญญะตอนที่กลายเป็นซอมบี้ได้หรือไม่

เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน มู่อี้ฟานจ้องไปที่จ้านเป่ยเทียนหลายครั้ง

เห็นดังนั้นเฉินต้งจึงพูดสิ่งดีๆ เพื่อจ้านเป่ยเทียนอย่างอดไม่ได้ เสี่ยวมู่ สิ่งที่น้องชายจ้านทำนั้นส่งผลดีต่อตัวเธอเองนะ ถึงได้เอายาเปลี่ยนใส่ในกระป๋องน่ะ

มู่อี้ฟานเก็บสายตากลับคืนแล้วพยักหน้า ผมรู้ครับ

เขาเลียตะเกียบไปสองสามครั้ง จากนั้นคีบน่องไก่หนึ่งชิ้นวางลงในชามของจ้านเป่ยเทียน เป่ยเทียน ขอบคุณนายที่ห่วงใยฉันขนาดนี้นะ มา! นายกินให้มากหน่อย

เขารู้ว่าจ้านเป่ยเทียนไม่จู้จี้จุกจิกเรื่องอาหาร แต่ทว่ากลับติดนิสัยรักสะอาดจนเกินไปอยู่บ้าง และไม่ชอบให้คนอื่นคีบอาหารให้เขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขายังเลียตะเกียบเป็นพิเศษอีกด้วย

อย่างที่คาดไว้ จ้านเป่ยเทียนขมวดคิ้วเมื่อเห็นชิ้นน่องไก่ในชาม

เป่ยเทียน ทำไมไม่กินล่ะ คงไม่ใช่ยังโกรธฉันเรื่องเอายาเทกลับลงในหม้อหรอกนะ?”

มู่อี้ฟานมองเขาด้วยสีหน้าไร้เดียงสา

จ้านเป่ยเทียนเหลือบมองเขา พลันสบกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ในดวงตาของเขาทันที คิ้วกระตุกเล็กน้อย หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบชิ้นน่องไก่จิ้มกับซอสถั่วเหลืองใส่ปากแล้วกัดหนึ่งคำ

เอ๊ะ! เอ๊ะ! เอ๊ะ!

มู่อี้ฟานเบิกตากว้าง

พระเอกของเขาขนาดอาหารที่นางเอกคีบให้ยังไม่กิน ทำไมถึงได้กินอาหารที่เขาใช้ตะเกียบเลียคีบให้ล่ะ?

ทันใดนั้น โทรศัพท์ของมู่อี้ฟานก็ดังขึ้น

เขาหยิบออกมาดู เห็นว่าเป็นมู่เยว่เฉิงโทร.มาเลยรีบลุกขึ้นแล้วพูดว่า ฉันไปรับโทรศัพท์นะ

มู่อี้ฟานหยิบโทรศัพท์มือถือเดินไปประตูใหญ่นอกลานบ้าน กดรับสายแล้วพูดเบาๆ ป๊า

ลูกอยู่ไหนแล้วตอนนี้มู่เยว่เฉิงโพล่งถามทันที

มู่อี้ฟานเพิ่งจำเรื่องที่มู่เยว่เฉิงให้เขากลับเมือง B ได้ เหลือบมองเวลาบนโทรศัพท์ ก็เลยช่วงบ่ายสองไปแล้ว

เขาไม่ใช่เพิ่งกินอาหารเที่ยงไปเหรอ ทำไมมันถึงบ่ายสองเร็วขนาดนี้เนี่ย

อ๊ะ! ใช่แล้ว 

วันนี้พวกเขาค่อนข้างตื่นสาย ดังนั้น ช่วงเวลาที่กินอาหารเที่ยงก็พลอยสายไปด้วย

ป๊า ผมรถติดที่นี่น่ะ

ไม่ทันไร รถแทรกเตอร์คันหนึ่งก็ขับผ่านด้านหน้าเขาไป ลูกหมูหลายตัวซึ่งถูกล้อมคอกไว้ข้างหลังรถส่งเสียง อู๊ดอู๊ด ออกมา

มู่เยว่เฉิงที่อยู่ปลายสายกล่าวด้วยความโกรธว่า ลูกรถติดอยู่ที่ไหนกัน ทำไมถึงมีเสียงรถแทรกเตอร์ แถมยังมีเสียงหมูร้องอีก

มู่อี้ฟาน “...”

มู่เยว่เฉิงเหมือนจะดูออกว่าเขาไม่อยากกลับเมือง B ก็เลยถามว่า ลูกมีเรื่องที่ต้องจัดการใช่ไหม

อืม

มู่เยว่เฉิงเงียบไปสองสามวิแล้วพูดอีกครั้งว่า เดือนห้า ก่อนเดือนห้า ลูกต้องกลับมาที่เมือง B นะ

อืม

งั้นก็แค่นี้ก่อนนะ

มู่อี้ฟานนึกอะไรออกอย่างฉับพลัน จึงตะโกนอย่างรวดเร็วว่า ป๊า! ป๊าอย่าเพิ่งวางสาย ผมมีเรื่องต้องรบกวนป๊าหน่อยครับ




[1] เครื่องดื่มชนิดหนึ่ง คล้ายๆ ยาแก้หวัด

[2] เครื่องดื่มสมุนไพร

[3] อยากได้ใจจะขาด แต่หาไม่ได้


 

บทที่ 48 นี่นายเป็นห่วงฉันเหรอ

หลังจากมู่เยว่เฉิงรับปากจะช่วยเหลือ มู่อี้ฟานก็กลับไปกินข้าวที่ห้องนั่งเล่นอย่างดีอกดีใจ

เมื่ออารมณ์ของคนดีขึ้นแล้ว รสชาติก็จะเปลี่ยนเป็นดีขึ้นตาม เขาคนเดียวจึงดื่มซุปไก่หม้อใหญ่จนหมด

ซุปไก่ที่คุณลุงเฉินตุ๋นอร่อยจริงๆ เลยครับ

เฉินต้งถูกคนชมฝีมือการทำอาหารอร่อยครั้งแรกหัวเราะออกมาเล็กน้อย จัดเก็บชามและตะเกียบบนโต๊ะไปยังห้องครัวเพื่อล้างจาน

มู่อี้ฟานช่วยนำอาหารที่กินไม่หมดไปไว้ในห้องครัว เมื่อย้อนกลับไปยังห้องนั่งเล่นก็ได้ยินจ้านเป่ยเทียนคุยโทรศัพท์พอดี

จ้านเป่ยเทียน สืบได้แล้ว?”

มู่อี้ฟานเห็นเขาไม่หลบเลี่ยงการคุยโทรศัพท์ของตัวเองก็นั่งลงข้างๆ ขณะแสร้งดูทีวีอย่างจริงจังพร้อมกระดิกหูแอบฟังไปด้วย

เขารู้ดีว่าหลังจากจ้านเป่ยเทียนกลับมาจากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านก็ให้คนไปสืบเรื่องคนที่ซื้อธัญพืชแข่งกับเขา สายนี้ในตอนนี้คงเป็นว่าการสืบหาได้ความคืบหน้าบางส่วนแล้ว

เป็นคนของบริษัทเทคโนโลยีมู่ซื่อกรุ๊ปเมือง G เหรอจ้านเป่ยเทียนได้ยินว่าตระกูลมู่ สายตาจึงมองไปที่มู่อี้ฟานโดยไม่ได้ตั้งใจ

มู่อี้ฟานดูประหนึ่งไม่ได้รับรู้ถึงสายตาของเขา ดวงตาจดจ่อตรงไปทางทีวี ในใจกลับยากจะระงับความแตกตื่นใจ

คนของมู่ซื่อกรุ๊ป?

มันคงจะไม่ใช่คนที่มู่เยว่เฉิง หรือมู่อี้หางส่งมาหรอกนะ

ถ้าเป็นพวกเขาส่งมาจริงๆ เช่นนั้นก็แปลว่ามู่เยว่เฉิงไม่เลิกล้มความตั้งใจ ซ้ำยังหว่านล้อมให้มู่อี้หางจัดซื้อธัญพืชได้อีกด้วยสินะ

อย่างไรก็ตาม มู่อี้หางไม่น่าจะขายหุ้นบริษัททิ้ง

ดังนั้น เป็นไปได้มากที่พวกเขาจะใช้การฝากเงินของตัวเองซื้อ แต่มันก็เพียงพอให้พวกเขาผ่านวันคืนไปด้วยดีได้ในวันสิ้นโลก

ไม่น่าแปลกที่คืนวันนั้น มู่เยว่เฉิงไม่ได้พูดถึงเรื่องขายใบหุ้นอีก

เซี่ยงกั๋วที่ปลายสายเอ่ยว่า ใช่ครับบอส และผมยังสืบได้อีกว่าเป็นประธานบริษัทมู่ซื่อเทคโนโลยี มู่อี้หางส่งพวกเขาไปครับ ไม่เพียงแต่เท่านั้น มู่อี้หางยังส่งคนกลุ่มหนึ่งไปทั่วประเทศเพื่อรับซื้อข้าวสารด้วยครับ

นัยน์ตาจ้านเป่ยเทียนหรี่ลงและเผยแสงเย็นเยียบชั่วพริบตา มู่อี้หาง? เขาและมู่อี้ฟานมีความสัมพันธ์กันยังไง

มู่อี้ฟานรู้สึกว่าอุณหภูมิในห้องนั่งเล่นต่ำลงศูนย์องศาฉับพลัน

เซี่ยงกั๋วกดเสียงต่ำ พี่น้องพ่อเดียวกันครับ

จ้านเป่ยเทียนลุกยืนขึ้น หน้าเหี้ยมเกรียมจ้องไปที่ไหนสักแห่งในห้องนั่งเล่น

มู่อี้ฟานปรายตาดูจ้านเป่ยเทียนซึ่งแววตาเย็นชาไร้ปรานีอย่างเงียบๆ และเดาว่าพระเอกกำลังคิดว่าราชาซอมบี้มู่อี้ฟานก็เกิดใหม่เหมือนกันใช่หรือไม่

ถ้าเปลี่ยนเขาเป็นพระเอก เขาก็คงจะคิดเช่นนี้เหมือนกัน

ไม่อย่างนั้น มู่ซื่อกรุ๊ปซึ่งทำงานด้านเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ไฉนถึงรับซื้อธัญพืชกะทันหันด้วยล่ะ

กล่าวได้ว่า เขาทะลุเข้ามาในหนังสือและยึดครองร่างราชาซอมบี้ในอนาคต เช่นนั้นเจ้าของร่างออริจินัลนี้ถูกเขาบีบไปที่ไหนแล้ว

หรือว่าจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้วนะ?

บอสครับ?” เซี่ยงกั๋วเห็นจ้านเป่ยเทียนไม่ส่งเสียงสักพัก จึงส่งเสียงเรียกอีกครั้ง

จ้านเป่ยเทียนหลุดจากภวังค์ มู่อี้ฟานล่ะ เขายังอยู่ที่เมือง G ไหมตอนนี้

เขาออกไปจากเมือง G กับนายพลมู่แล้วครับ

จ้านเป่ยเทียนเลิกคิ้ว นายแน่ใจนะว่าเขาออกจากเมือง G แล้ว? เห็นเขาขึ้นเครื่องกับตาหรือเปล่า?”

คนที่ผมส่งไปบอกว่า เห็นเขาขึ้นเครื่องกับตาเลยครับ

จ้านเป่ยเทียนไตร่ตรอง เอ่ยเสียงต่ำว่า นายส่งบางคนไปติดตามมู่อี้ฟานที่เมือง B ทุกฝีก้าวให้ฉันต่อไปด้วย

มู่อี้ฟานซึ่งฟังอยู่ข้างๆ ในใจพลันโล่งอก

โชคดีมากที่ก่อนหน้านั้นเขาให้มู่เยว่เฉิงหาคนมาปลอมตัวเป็นเขา และทำเป็นลวงว่าเขาออกจากเมือง G ไปแล้ว

ในความจริงตอนที่จ้านเป่ยเทียนเห็นเขาที่ไร้ผ้ากอซบนใบหน้า ก็กังวลเสมอมาว่าจ้านเป่ยเทียนจะค้นหาที่อยู่ของเขา และหลังออกจากอพาร์ตเมนต์ของหลี่ชิงเทียนเมื่อวาน ก็ยังหลีกเลี่ยงกล้องวงจรปิดของถนนและห้างสรรพสินค้า เพื่อไม่ให้พวกจ้านเป่ยเทียนรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนด้วย

จ้านเป่ยเทียนวางสายโทรศัพท์ และตกอยู่ในห้วงความคิด

มู่อี้ฟานไม่ไปรบกวนเขา และดูทีวีต่อไปอย่างใจลอย

เฉินต้งอยู่บ้านไหม?” ทันใดก็ได้ยินเสียงผู้ชายดังลอดเข้ามาจากนอกลาน

มู่อี้ฟานฟังออกว่าเป็นเสียงของหัวหน้าหมู่บ้าน

จ้านเป่ยเทียนเหลือบมองไปข้างนอก

เฉินต้งซึ่งกำลังล้างจานอยู่ในห้องครัววิ่งออกมาทันที อยู่ๆๆ

เห็นคนมาเยือนคือหัวหน้าหมู่บ้าน จึงคลี่รอยยิ้มอย่างมาก เอ่ยถามอย่างดีใจว่า หัวหน้าหมู่บ้าน คุณมาทำไมครับ

หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า ฉันมาหาแขกที่อาศัยอยู่บ้านนายน่ะ

เฉินต้งตกตะลึง หัวหน้าหมู่บ้านหมายถึงพวกน้องจ้านเหรอ?”

อืม

เฉินต้งยิ้ม หัวหน้าหมู่บ้าน พวกเขาดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นน่ะครับ

จากนั้นเขาก็ตะโกนเข้าไปข้างใน น้องจ้าน เสี่ยวมู่ หัวหน้าหมู่บ้านมาหาพวกคุณแน่ะ

หัวหน้าหมู่บ้านพูดว่า เดี๋ยวฉันเข้าไปหาพวกเขาเอง

เขาเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น และมองเห็นพวกจ้านเป่ยเทียน ยกยิ้มแล้วพูดว่า ทั้งสองท่าน กินข้าวแล้วเหรอครับ

จ้านเป่ยเทียนไม่ทักทายสุภาพมากความ จึงถามตรงๆ ว่า หัวหน้าหมู่บ้าน คุณมาเจรจาเรื่องซื้อขายใช่ไหม?”

ใช่ครับหัวหน้าหมู่บ้านเผยรอยยิ้มไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ คุณจ้าน ก่อนคุณจะออกจากบ้านผมก็เห็นนี่ครับ ราคาที่ห้าคนนั้นเสนอมามากมายกว่าคุณนัก ถ้าคุณจ้านมีใจคิดซื้อข้าวสารจากหมู่บ้านของพวกเรา ไม่ทราบว่าด้านราคาสามารถเพิ่มขึ้นอีกหน่อยได้ไหมครับ?”

จ้านเป่ยเทียนกลับมานั่งบนโซฟา เอาขาขวาไขว้ขาซ้าย เอ่ยเสียงเรียบว่า หัวหน้าหมู่บ้าน คุณอย่าลืมนะว่า นอกจากข้าวสารแล้ว ผมยังต้องการซื้อพืชผักผลไม้และสัตว์ปีกด้วย ขอแค่เป็นสิ่งที่กินได้ภายในหมู่บ้าน ผมสามารถซื้อได้ทั้งนั้น แต่ว่าถ้าคุณเอาข้าวสารขายให้คนอื่น เช่นนั้นก็ขออภัยด้วย ของที่เหลือ ผมก็แค่ไปซื้อที่อื่นด้วยเท่านั้นเอง

ตอนนั้นที่มาหมู่บ้านไป๋ปี้ชุน มันเป็นเพราะเขารู้ว่าหมู่บ้านนี้มีการเก็บเกี่ยวที่ดี อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเก็บเกี่ยวจากหมู่บ้านอื่นก็ไม่เลวเช่นกัน ดังนั้น ของที่ปลูกจึงขายออกไปได้ยาก เขาถึงได้มาที่นี่เพื่อรับซื้อไงล่ะ

มู่อี้ฟานมองออกว่าที่จ้านเป่ยเทียนทำเช่นนี้ คือการลองเชิงว่าคนเหล่านั้นจะไม่ซื้อพืชผักผลไม้ของไป๋ปี้ชุน ในเมื่อของเหล่านี้จัดเก็บไม่ง่าย ถ้าซื้อมายังต้องแช่แข็งในโกดังน้ำแข็งจำนวนมาก หรือหาคนมาหมักเกลือถึงจะเก็บได้นานขึ้นอีก

พระเอกกลับไม่เหมือนกัน เขามีมิติซึ่งสามารถจัดเก็บของทั้งหมดให้สดใหม่ได้ แถมยังไม่เน่าเสียด้วย ฉะนั้นถึงได้กล้าซื้อเป็นจำนวนมาก

หัวหน้าหมู่บ้านลำบากใจจนสีหน้าปั้นยาก นี่...คุณให้ผมตริตรองอีกครั้งนะครับ

ถ้าเอาข้าวสารขายให้ผู้ชายห้าคนนั้น กำไรมันมากมายกว่าชายหนุ่มตรงหน้าเห็นๆ แต่ทว่าชายห้าคนนั้นซื้อแต่ข้าวสาร ไม่ได้ซื้อของอย่างอื่น เช่นนั้นผักและผลไม้ในหมู่บ้านของพวกเขาก็จะขายไม่ออก

หลังหัวหน้าหมู่บ้านออกจากบ้านเฉินต้งก็ไปหาคนเพื่อปรึกษากันทันที

เฉินต้งซึ่งส่งหัวหน้าหมู่บ้านออกจากบ้านรีบร้อนวิ่งกลับไปยังห้องนั่งเล่น น้องจ้าน น้องจ้าน

จ้านเป่ยเทียนเลิกคิ้ว เกิดอะไรขึ้นครับ?”

ประตูรถของพวกคุณล็อกดีหรือยังครับ? เมื่อกี้นี้ตอนที่ผมไปส่งหัวหน้าหมู่บ้าน เห็นมีคนกำลังดูรถที่พวกคุณขับกันมาอยู่ แล้วพอเขาเห็นผมออกมาก็รีบผละไป ผมเลยสงสัยว่าเขาอยากจะขโมยรถน่ะครับ

จ้านเป่ยเทียนและมู่อี้ฟานสบตากัน

คนคนนั้นสวมสูทสีดำและผูกเนกไทสีดำหรือเปล่าครับ?” จ้านเป่ยเทียนถาม

เฉินต้งพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ใช่ๆ น้องจ้าน ทำไมคุณรู้ล่ะ?”

จ้านเป่ยเทียนไม่ตอบเขา ในใจเดาได้ว่าคนที่ดูรถของพวกเขาน่าจะเป็นคนที่ต้องการมาซื้อข้าว นอกจากนี้ พวกเขาน่าจะไม่ได้ดูรถ เพียงแต่อยากดูป้ายทะเบียนรถอะไรแบบนั้นมากกว่า และเป็นการดีที่จะตรวจสอบว่าคนที่แย่งข้าวกับพวกเขาสุดท้ายแล้วนั้นเป็นใคร

มู่อี้ฟานก็เดาเจตนาของฝ่ายตรงข้ามออกเช่นกัน แต่กลับไม่ได้กังวลว่าคนเหล่านี้จะสืบตัวตนของพวกเขาได้ เพราะสิ่งที่ติดบนรถยนต์นั้นเป็นป้ายทะเบียนปลอม มู่อี้ฟานในอดีตไม่อยากให้คนอื่นรู้ตำแหน่งของเขา จึงติดมันไว้อย่างจงใจ

นอกจากนี้ รถคันอื่นๆ ที่อยู่ในวิลลาก็ล้วนแต่ติดป้ายทะเบียนปลอมด้วยกันทั้งหมด

จ้านเป่ยเทียนมองมู่อี้ฟาน จู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า กังวลว่าคนของบริษัทเทคโนโลยีมู่ซื่อกรุ๊ปจะหาเรื่องนายเหรอ?”

เท่าที่เขารู้มา มู่ซื่อในเมือง G มีอิทธิพลมาก และป้ายทะเบียนของรถที่พวกเขาขับมาก็เป็นของเมือง G ด้วย มันง่ายมากที่จะสืบรู้ว่าเป็นใครที่มาแย่งข้าวสารกับพวกเขาได้ เมื่อถึงตอนนั้น จะต้องกดดันอย่างลับๆ ให้ได้

มู่อี้ฟานหรี่ตายิ้ม นี่นายเป็นห่วงฉันเหรอ?”

นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ดีจริงๆ ซึ่งหมายความว่า พระเอกเริ่มปฏิบัติต่อเขาเหมือนเพื่อนแล้ว

จ้านเป่ยเทียน “...”

นายวางใจเถอะ มู่ซื่ออ่ะจิ๊บจ๊อย ฉันไม่เห็นอยู่ในสายตาหรอก

จ้านเป่ยเทียนเห็นมู่อี้ฟานมีท่าทีไม่สนใจจริงๆ จ้องมองเขาอย่างลึกซึ้งไปหลายวิ ก่อนจะละสายตาออกไป

ในยามราตรี เฉินจวงลูกชายของเฉินต้งได้กลับมาแล้ว เฉินต้งรีบแนะนำลูกชายให้จ้านเป่ยเทียนรู้จักกัน เนื่องจากคืนที่ผ่านมา ตอนที่พวกเขามา เฉินจวงก็เข้านอนเรียบร้อย เมื่อพวกเขาตื่นนอน เฉินจวงก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปทำงานในเมือง พลบค่ำถึงจะกลับมาทานข้าวและเข้านอน ดังนั้น พวกเขาต่างไม่รู้จักกันและกัน

เฉินจวงดูคล้ายกับเฉินต้งมากๆ ล้วนเป็นลักษณะของชายผู้ซื่อสัตย์และเรียบง่ายซื่อตรง สำหรับคนอื่นๆ แล้ว ต่างมีรอยยิ้มอย่างโง่เขลา การเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยการไม่รู้จะทำอย่างไร และไม่รู้ว่าจะปฏิสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าอย่างไรด้วย

เมื่อกินอาหารเรียบร้อยกันแล้ว เนื่องด้วยพรุ่งนี้เฉินจวงจะต้องไปทำงาน จึงเข้านอนไปก่อนแล้ว

มู่อี้ฟานและจ้านเป่ยเทียนก็กลับห้องไปอาบน้ำและพักผ่อนด้วยเช่นกัน

ขณะที่เข้านอน มู่อี้ฟานซึ่งนอนอยู่บนเตียงอีกฝั่งก็เชื่อฟังเป็นพิเศษ เหลือพื้นที่เตียงกว่าครึ่งให้จ้านเป่ยเทียน

อย่างไรก็ตาม หลังจากหลับไปแล้ว คนกลับเริ่มเปลี่ยนเป็นกระสับกระส่าย มุดเข้าไปในอ้อมแขนของจ้านเป่ยเทียนอย่างต่อเนื่อง

ในตอนแรก จ้านเป่ยเทียนผลักไปสองสามครั้ง แต่ทว่าไร้ประโยชน์ แม้ผลักไปแล้ว คนกลับติดหนึบกลับมา ภายหลังจึงทำเป็นไม่สนใจอีกต่อไป นอนอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้คนข้างๆ กอดแขนเขาหลับจนสงบ

เพียงแต่เมื่อถึงยามเช้าของวันรุ่งขึ้น เขารู้สึกได้รางๆ ว่ามีของแข็งอะไรบางอย่างทิ่มอยู่ตรงต้นขาของเขา ชั่วขณะนั้นคนจึงตื่นขึ้นมาเต็มตา


 

บทที่ 49 ฝันร้าย

จ้านเป่ยเทียนเลิกผ้าห่มผืนบางบนหน้าท้องขึ้นดูอย่างรวดเร็ว ส่วนล่างของมู่อี้ฟานติดอยู่กับเขาแนบแน่น ซ้ำใช้ส่วนที่ตื่นตัวถูไถบนหน้าขาของเขาไปมาไม่หยุด ยิ่งไปกว่านั้นเสียงหอบหายใจยิ่งฮืดฮาดขึ้นเรื่อยๆ จนลมหายใจร้อนผะผ่าวพ่นลงบนใบหน้าเขาโดยตรง

เมื่อเขาเห็นสิ่งนี้ ทันใดนั้นขีดสีดำก็ขึ้นไปทั่วหน้าผาก

เขาซึ่งมีชีวิตมาถึงสองชาติภพ แต่ไรมายังไม่เคยพบเคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน จู่ๆ ก็มีผู้ชายมาเกิดอารมณ์ทางเพศกับเขาเสียได้

สิ่งที่ทำให้เขาขุ่นเคือง อีกทั้งยังทำให้เขาเหลือเชื่อสุดๆ คือ เจ้าจ้านน้อยเพื่อนเกลอที่อยู่ส่วนล่างของเขากลับมีปฏิกิริยาตอบสนองจากการถูเบาๆ และเสียงหอบหายใจของอีกฝ่าย 

จ้านเป่ยเทียนสีหน้ามืดครึ้มจนดูไม่ได้ การควบคุมตัวเองของเขาดีเยี่ยมเสมอมา จู่ๆ มันกลายเป็นกลับตาลปัตรเช่นนี้ได้อย่างไร

เขายกมือขึ้นเตรียมจะผลักมู่อี้ฟานออกไป ทันใดนั้นอีกฝ่ายก็หยุดเคลื่อนไหวลง โดยสิ่งที่ทิ่มอยู่บนขาของเขาเองก็ค่อยๆ อ่อนตัวลงเช่นกัน ต่อจากนั้น ส่วนที่ติดอยู่กับต้นขาก็มีสิ่งเปียกแฉะพ่นพรวดออกมา

บนหน้าผากของจ้านเป่ยเทียนมีเส้นเลือดเต้นตุบๆ อย่างบ้าคลั่ง เขาในฐานะผู้ชาย ทำไมจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว

มู่อี้ฟานที่หลังจากได้หลั่งออกมาก็ตื่นขึ้นด้วยความพึงพอใจ ทันใดก็สบกับดวงตาอันเขย่าขวัญของจ้านเป่ยเทียนเข้า ด้วยความตกใจ เขาจึงปล่อยแขนของอีกฝ่ายพลันลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว

เขาคิดว่าจ้านเป่ยเทียนค้นพบตัวตนของเขาเข้าแล้ว จึงรีบสัมผัสใบหน้า เมื่อแน่ใจว่าผ้ากอซยังอยู่บนใบหน้า เขาก็จ้องจ้านเป่ยเทียนอย่างอารมณ์เสียทันที นายใช้สายตาโหดๆ แบบนี้จ้องฉันตั้งแต่หัววันไปเพื่ออะไร เมื่อคืนนี้คงไม่ใช่ว่าฝันร้ายหรอกนะ?”

จ้านเป่ยเทียน “...”

เขารู้สึกว่าเรื่องเมื่อกี้มันยอมรับได้ยากกว่าฝันร้ายเสียอีก

มู่อี้ฟานรู้สึกถึงความเปียกๆ แฉะๆ ใต้กางเกง คิ้วจึงขมวดอย่างช่วยไม่ได้ ในไม่ช้าก็คิดได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่ได้คิดมากจนเกินไป เพียงแต่คิดว่ามันเป็นแค่ฝันเปียกอย่างซื่อๆ เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เขาใกล้จะกลายเป็นซอมบี้แล้ว จู่ๆ มันยังสามารถลุกขึ้นผงาดได้ด้วยแฮะ

มู่อี้ฟานลุกขึ้น ค้นหาชั้นในตัวหนึ่งมาเปลี่ยนซักจากในกระเป๋าเป้ และยัดใส่ถุงชุดนอนโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งยังแสร้งว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีปัญหาอะไร ปล่อยให้ชายหนุ่มสีหน้ามืดครึ้ม ส่วนตัวเองก็เดินออกจากห้องแล้วเข้าห้องน้ำเปลี่ยนชั้นในไป

จ้านเป่ยเทียนสีหน้าเย็นชา ลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกจากห้องไป เห็นมู่อี้ฟานกำลังซักชั้นในอยู่ตรงประตูห้องน้ำ เหลือบมองอย่างเย็นชา เดินเข้าไปในห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน จากนั้นลงไปชั้นล่างเพื่อกินอาหารเช้า

เฉินต้งซึ่งกำลังตระเตรียมอาหารเช้ารู้สึกว่าจ้านเป่ยเทียนในวันนี้ช่างแสดงท่าทางดุร้ายเหี้ยมเกรียมเหมือนเพิ่งเจาะออกมาจากถ้ำน้ำแข็ง ความหนาวเย็นครอบคลุมไปทั่วร่าง เมื่อเห็นมู่อี้ฟานลงมาจากข้างหลัง เขาจึงรีบดึงคนออกมาอีกด้าน กระซิบถามว่า เสี่ยวมู่ เธอคงไม่ได้ทำให้น้องจ้านโกรธหรอกใช่ไหม?”

ไม่นะครับมู่อี้ฟานงงเป็นไก่ตาแตก

แต่ว่าน้องจ้านดูไปแล้วท่าจะโกรธมากเลยนะ

มู่อี้ฟานมองจ้านเป่ยเทียนซึ่งดูข่าวภาคเช้าอยู่ในห้องนั่งเล่น น่าจะเป็นเพราะฝันร้ายเมื่อคืนเลยทำให้อารมณ์ดิ่งมากน่ะครับ

เป็นไปได้สูงว่าจะฝันถึงราชาซอมบี้มู่อี้ฟาน ไม่อย่างนั้นตอนเช้าตรู่ สายตาจะน่าสะพรึงเหมือนอยากจะกินคนขนาดนี้ได้ยังไง

เฉินต้งส่ายหัวแล้วถอนหายใจ คนในเมืองอย่างพวกคุณนี่แปลกจริงๆ จู่ๆ ก็โกรธกันใหญ่ เพราะฝันร้ายเช่นนี้

มู่อี้ฟานหัวเราะชั่วร้าย กระซิบอยู่ข้างหูของเฉินต้งว่า อันที่จริง ผมคิดว่าเขาอัดอั้นมานานเกินไป ส่วนนั้นไม่ได้ปลดปล่อยก็เลยเป็นแบบนี้น่ะครับ

เฉินต้งเป็นคนชนบท ไม่ได้เปิดใจเท่าคนในเมือง พอได้ยินคำพูดนี้ ชั่วขณะนั้นก็หน้าแดง เจ้าเด็กเหม็นสาบคนนี้นี่ เอาแต่พูดอะไรไร้สาระลูกเดียวเลย

มู่อี้ฟานหัวเราะร่า เดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามของจ้านเป่ยเทียน จากนั้นก็ได้รับสายตาดุจคมมีดจากอีกฝ่ายกลับมา


 

บทที่ 50 หยุดนะ

หลังมื้ออาหารเช้าผ่านไป จ้านเป่ยเทียนก็บอกเฉินต้งว่าต้องไปทำงานที่เมืองกู่อวี้ซึ่งอยู่ห่างออกไปสามสิบกิโลเมตร และตอนเที่ยงจะไม่กลับมากินข้าวด้วย จากนั้นก็พามู่อี้ฟานออกจากหมู่บ้านไป๋ปี้ชุนไป

ระหว่างทาง มู่อี้ฟานมองไปทางจ้านเป่ยเทียนซึ่งกำลังขับรถอยู่หลายครั้ง สุดท้ายแล้วก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า เมื่อคืนฉันเตะนายลงจากเตียงเหรอ?”

“...” จ้านเป่ยเทียนปรายตามองเขาอย่างเย็นชา

มู่อี้ฟานมองเขาอย่างไม่เข้าใจ แล้วทำไมช่วงกินข้าว นายถึงจ้องฉันบ่อยครั้งกันล่ะ? ฉันดูเหมือนยั่วโมโหนายนักเหรอ?”

ในขณะที่กินอาหารเช้า เขาเกือบคิดว่าพระเอกดันรู้ตัวตนของเขาเข้าแล้ว สายตาเย็นยะเยือกปราศจากอารมณ์ มันเหมือนย้อนกลับไป ณ วันนั้นที่พระเอกเพิ่งเกิดใหม่เลย

จ้านเป่ยเทียนไม่พูดไม่จา เมื่อมาถึงเมืองกู่อวี้ จึงเอาคนทิ้งไว้ ณ ถนนอวี้สือ พูดอธิบายไม่กี่ประโยคก็ขับรถจากไปแล้ว

มู่อี้ฟานรู้ดีว่าพระเอกจะอยู่แถวๆ ถนนอวี้สือ และเจรจารับซื้อหยกกับคนอื่น เนื่องจากบทบาทของหยกเหล่านี้กล่าวได้ว่ามันสำคัญสำหรับพระเอกอย่างยิ่ง มันสามารถยกระดับมิติส่วนตัวในระยะเวลาอันสั้นที่สุด

อย่างไรก็ตาม ในนิยายนั้น พระเอกควรจะรับซื้อหยกหลังจากจัดซื้อข้าวสารของหมู่บ้านไป๋ปี้ชุนและหมู่บ้านหย่งเฉิงซุน ทว่าตอนนี้กลับเกิดขึ้นเร็วกว่ากำหนด ซึ่งหมายความว่า พล็อตได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งแล้ว

ในตอนนี้เขาคุ้นเคยกับการที่เนื้อเรื่องเปลี่ยนแปลงและบิดเบี้ยวไม่หยุดไม่หย่อนแล้ว ดังนั้น เขาเลยไม่ได้รู้สึกว่าแปลกอะไร จึงเดินกินลมชมวิวอย่างเอื่อยๆ ไปตามถนนอวี้สือเพียงคนเดียว

เมืองกู่อวี้เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในการผลิตหยก ซึ่งทำให้ถนนอวี้สือทุกสายเป็นร้านค้าจำหน่ายหินดิบทั้งหมด คนที่เมืองใกล้เคียงต่างมาซื้อหินดิบที่นี่เพื่อพนันหยกกันทั้งนั้น ด้วยเพราะเหตุนี้ ถนนสายนี้จึงมีชีวิตชีวาและเฟื่องฟูอย่างสิ้นเชิง เช่นเดียวกับถนนหลักสองด้านที่ถูกวางเรียงรายไปด้วยหินดิบทุกขนาด เพื่อให้ลูกค้าเลือกสรร

มู่อี้ฟานกลับดูหินดิบไม่เป็น ในสายตาของเขา หินดิบก็คือก้อนหิน เพียงแต่ก้อนหินแต่ละก้อนมีสีสันและขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกัน ไม่มีอะไรนอกจากนั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเข้าใกล้หินดิบเหล่านี้ก็จะรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างอบอุ่นและสุขสบายอย่างยิ่ง ทำให้ชอบลูบหินดิบกว่าสองสามครั้งจนปล่อยไม่ลง กระทั่งไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นของหินดิบก้อนนั้นแทรกซึมเข้ามาแล้ว ถึงจะเอาหินดิบวางลง

ในไม่ช้ามู่อี้ฟานก็เข้าใจว่าสาเหตุเป็นฉิงเทียนจูในร่าง เนื่องจากฉิงเทียนจูสามารถดูดซึมพลังงานในหยกได้ หลังจากรอให้ดูดซึมพลังงานของหยกในหินดิบจนหมดเสร็จสิ้น ความรู้สึกอบอุ่นของหินดิบซึ่งส่งเข้ามาก็จะสูญสลายไป

แน่นอนว่าไม่ใช่หินดิบทุกก้อนที่จะทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นได้ กล่าวคือ หินดิบเบื้องหน้าเป็นไปได้ว่าจะไม่มีหยกเลย

ทว่าเขาอยากรู้อย่างมากว่าหยกในหินดิบจะเปลี่ยนไปอย่างไรหลังจากถูกฉิงเทียนจูดูดซึมพลังงานแล้ว เพราะในนิยาย เขาก็ไม่ได้บรรยายเรื่องนี้ไว้เสียด้วย ดังนั้น เขาจึงอยากเห็นมากๆ

หยุดนะเสียงกรีดร้องลอยเข้ามาพร้อมกับขัดจังหวะความคิดของมู่อี้ฟาน

มู่อี้ฟานหันกลับไป ชายหนุ่มหล่อเหลาสูงใหญ่คนหนึ่งสาวเท้าเดินเข้ามาหาเขา พูดอย่างโกรธเล็กน้อยว่า คุณผู้ชาย คุณไม่เห็นหรือว่าบนหินดิบติดสัญลักษณ์ไว้ นี่มันหมายความว่ามีคนเลือกหินดิบก้อนนี้แล้วนะครับ


 

บทที่ 51 จวงจือเยว่

จือเยว่?” มู่อี้ฟานใช้น้ำเสียงไม่แน่ใจเล็กน้อยเรียกชายที่เดินมาหา

จวงจือเยว่ได้ยินอีกฝ่ายตะโกนชื่อเขา ท่าทีหงุดหงิดเต็มที สีหน้าก็ตกตะลึงมองมู่อี้ฟานที่พันผ้ากอซไว้ ถามอย่างสงสัยว่า คุณคือ…”

ฉันคืออี้ฟานไงคำพูดของมู่อี้ฟานตื่นเต้นเล็กน้อย

ในความเป็นจริง เขากับจวงจือเยว่เป็นเพื่อนซี้กัน ในนิยาย เขากับจวงจือเยว่ก็ยังเป็นเพื่อนซี้กันเหมือนเดิม ได้พบกับเพื่อนซึ่งมีความสัมพันธ์แบบปกติกับเขาในนิยาย จึงอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ นอกจากนั้น หลังวันสิ้นโลก จวงจือเยว่กลายเป็นซอมบี้เหมือนกัน และกลายเป็นแขนขวาแขนซ้ายของมู่อี้ฟาน

หลังจากจวงจือเยว่กลายเป็นซอมบี้แล้ว เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถดูดซับพลังงานของหยกแล้วเลื่อนขั้นได้ ดังนั้น ความสามารถย่อมไม่อ่อนด้อย

อย่างไรก็ตาม ตามการพัฒนาของเนื้อเรื่อง หลังวันสิ้นโลก มู่อี้ฟานตัวจริงถึงจะได้พบกับจวงจือเยว่

อี้ฟาน? มู่อี้ฟาน?” จวงจือเยว่มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ไม่ใช่ว่านายถูกทำให้เสียโฉมตอนทำภารกิจหรอกนะ? ไม่อย่างนั้นหน้านายจะเป็นแบบนี้ได้ยังไง?”

หลังจากมู่อี้ฟานคนเดิมถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งกระดูกและปลดประจำการ อีกทั้งไร้การติดต่อกับเพื่อนก่อนหน้านั้น อยู่ในบ้านตลอดทั้งวัน ไม่อยากจะออกไปไหน จวงจือเยว่จึงไม่ทราบสถานการณ์ที่แท้จริงของมู่อี้ฟานเลย

มู่อี้ฟานยิ้มขมขื่น เรื่องมันยาวน่ะ นายไม่ใช่มาซื้อหินดิบเหรอ รอนายเอาหินดิบตัดออกมา พวกเราค่อยหาที่มานั่งคุยกัน

ในความเป็นจริงหินดิบก้อนนี้ถูกฉิงเทียนจูดูดซับพลังงานแล้ว ดังนั้น เขาจึงอยากเห็นว่าหยกข้างในหินดิบหลังถูกฉิงเทียนจูดูดซับพลังงานไปแล้วจะกลายเป็นอย่างไร

ได้เลยจวงจือเยว่ให้สองคนที่อยู่ข้างหลังนำหินดิบที่เขาเลือกลากไปที่อาจารย์ตัดหินในนั้น จากนั้นก็พาดบนไหล่ของมู่อี้ฟานแล้วถามยิ้มๆ ว่า คิดไม่ถึงว่าจะเจอนายที่นี่ ปกตินายไม่ชอบของจำพวกหยก ทำไมวันนี้ถึงได้มาที่เมืองกู่อวี้ล่ะ?”

มากับเพื่อนคนหนึ่งน่ะ ตอนบ่ายก็กลับแล้ว

จวงจือเยว่ขมวดคิ้ว ตอนนี้นายคงไม่ได้อยู่ระหว่างการทำภารกิจหรอกนะ

มู่อี้ฟานส่ายหัว ฉันปลดประจำการจากกองทัพแล้ว

อะไรนะ ปลดประจำการจากกองทัพแล้วจวงจือเยว่มองเขาอย่างตื่นตกใจ ทำไมถึง…”

เขาเห็นรอบตัวล้วนเป็นผู้คน จึงไม่ได้พูดต่อ เดี๋ยวตอนกินข้าวเที่ยง พวกเราค่อยคุยกันนะ

ทั้งสองคนมาถึงอาจารย์ตัดหินในนั้น จวงจือเยว่เอาหินดิบซึ่งร่างเส้นเรียบร้อยมอบให้อาจารย์ตัดหิน

มู่อี้ฟานก็ดูอยู่ข้างๆ ฟังผู้คนรอบข้างตะโกนศัพท์ ออกหมอก เพิ่ม ตัดข้าม[1]อย่างไม่เข้าใจ ทำได้เพียงแยกแยะว่าหินดิบที่ตัดออกมาดีไม่ดี หรือน้ำเสียงยินดีไม่ยินดีจากพวกเขาเท่านั้น

ออกเขียว มันออกสีเขียว

ผู้คนรอบข้างตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นเต้น บางคนยังเสนอราคาอย่างร้อนรน ต้องการซื้อหินดิบที่ออกสีเขียวก้อนนี้แล้ว

อาจารย์ตัดหินมองไปทางจวงจือเยว่ คุณชายจวง ต่อเลยไหมครับ?”

แน่นอนต่อเลยจวงจือเยว่มั่นใจมากๆ ว่ามีหยกอยู่ในนั้น นอกจากนี้ มูลค่ายังสูงกว่าเงินที่เขาใช้ไปกับการซื้อหินดิบเสียอีก ดังนั้น เขาจึงไม่กลัวการขาดทุน

มู่อี้ฟานชื่นชมกับความมั่นใจในตัวเองของจวงจือเยว่มากๆ แต่ทว่ากลับตื่นเต้นขึ้นมาแทนจวงจือเยว่เสียอย่างนั้น ไม่รู้ว่าหยกข้างในนั้นเปลี่ยนเป็นอย่างไรไปแล้ว

อาจารย์ตัดหินไม่ตัดอีกต่อไป เปลี่ยนไปใช้การเช็ดถูแทน ไม่กี่นาทีต่อมา ฝุ่นผงสีเขียวกองหนึ่งลอยออกมาจากข้างในหินดิบ




[1] เป็นคำศัพท์ที่ใช้ในการพนันหยก เหมือนเล่นไพ่หรือการทอยเต๋า


 

บทที่ 52 บาดแผล

นี่คืออะไรผู้คนรอบข้างมองฝุ่นผงสีเขียวซึ่งลอยอยู่กลางอากาศด้วยความสงสัย

ใครบางคนปัดฝุ่นผงสีเขียวเบื้องหน้าสายตา ไม่ใช่ว่าอาจารย์ถูจนหินหยกข้างในหายไปแล้วหรอกนะ

ไม่น่าจะนะ

อาจารย์ตัดหินเดือดดาล ฉันเป็นอาจารย์อาวุโสในบรรดาอาจารย์ตัดหิน จะถูจนหยกหายไปได้ยังไง พวกคุณรู้ไหมว่าพูดอย่างนี้มันดูถูกชื่อเสียงของฉันอยู่นะ

ทุกคนไม่กล้าเอ่ยอะไรอีกต่อไป

จวงจือเยว่มองหินดิบอย่างฉงนแล้วชี้ ตรงนี้มันจะมีรูได้ยังไง ผงสีเขียวเหมือนจะลอยออกมาจากในนั้นเลย อาจารย์ ถูรูอันนี้ให้กว้างหน่อย

อาจารย์ตัดหินเผยสีหน้าลังเลใจ แต่...หยกข้างในจะเสียหายเอาได้นะครับ

จวงจือเยว่ขมวดคิ้ว ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดว่า อย่ากลัวไปเลยน่า คุณก็ทำตามที่ฉันบอกเท่านั้นเอง

หินดิบเป็นของเขา อาจารย์ตัดหินแค่ทำตามที่เขาบอก และถูให้มันกว้างอีกหน่อยเท่านั้นเอง

จากนั้นผงสีเขียวที่ลอยออกมาจากข้างในก็ยิ่งมากขึ้น ผงสีเขียวลอยอยู่รอบๆ รู จนจุดที่สีเขียวออกมาก็กลายเป็นสีขาว

เกิดอะไรขึ้น มันได้สีเขียวชัดๆ ทำไมกลายเป็นสีขาวซะแล้วล่ะ ผงสีเขียวพวกนี้มันคืออะไรกันคนที่อยู่รอบๆ สนทนาโต้ตอบกันเสียงหึ่ง

อาจารย์ตัดหินย่นคิ้วแน่น ผมตัดหินมาหลายปี ไม่เคยเห็นสถานการณ์แบบนี้มาก่อนเลย คุณชายจวง คุณซื้อหินดิบปลอมมาหรือเปล่าครับ

จวงจือเยว่กล่าวอย่างไม่พอใจว่า ผมประเมินหินดิบเป็นเวลาหลายปี จะแยกหินดิบว่าจริงหรือปลอมไม่ออกได้ยังไง คุณเจาะเปิดรูนี้เถอะ

คราวนี้อาจารย์ตัดหินไม่มีความลังเลรีบเจาะเปิดรูนั้นทันที ในขณะนั้นคนทั้งหมดก็เห็นฝุ่นผงสีเขียวหนึ่งกองซึ่งหุ้มไว้ในนั้นอย่างชัดเจน

มู่อี้ฟานแววตาวูบไหว เดิมทีหลังจากถูกฉิงเทียนจูดูดซับพลังงาน หินหยกจะกลายเป็นฝุ่นผง ซึ่งแตกต่างกับจวงจือเยว่หลังกลายเป็นซอมบี้แล้ว หลังจวงจือเยว่ดูดซับพลังงานเข้าไป หินหยกยังคงเป็นหินหยก เพียงแต่ความแวววาวไม่ได้มันเงาเหมือนก่อนหน้าเท่านั้น

จวงจือเยว่คิ้วยับย่นแน่นยิ่งขึ้น หยิบผงบางส่วนขึ้นมาในมือสองหน มันดูเหมือนจะเป็นผงของหินหยก?”

อาจารย์ตัดหินกล่าวว่า นี่มันแปลกจริงๆ หินหยกข้างในทำไมถึงกลายเป็นผง ฉันยังไม่เคยพบเคยเห็นลักษณะแบบนี้จริงๆ และก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วย

จวงจือเยว่ส่ายหัว ท่าทางก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเหมือนกัน ดูเหมือนฉันจะซื้อหินดิบก้อนนี้มาห้าแสนหยวนนะ

คนที่คิดอยากซื้อหินดิบก่อนหน้านี้แต่ละคนต่างยินดีที่ตนไม่ได้ซื้อหินดิบมา

จวงจือเยว่ให้คนที่ลากหินดิบเข้ามาในนี้ก่อนหน้านั้นนำไปส่งมอบให้เจ้าของร้านหินดิบ ให้เจ้าของร้านนำไปประเมินผงสีเขียวว่ามันคือสิ่งใด จากนั้นก็พามู่อี้ฟานไปกินมื้อเที่ยงในห้องส่วนตัวของร้านอาหารระดับสูงใกล้ๆ

พอเขานั่งลงก็ถามอย่างเป็นห่วงว่า อี้ฟาน นายไม่ใช่ชอบชีวิตในกองทัพมากเหรอ ทำไมถึงถอนตัวกะทันหันล่ะ แล้วหน้าของนายเกิดอะไรขึ้น

มู่อี้ฟานไม่อยากพูดเรื่องจริงออกมาเพื่อให้จวงจือเยว่รู้สึกเสียใจ เขาจึงหาข้ออ้างตามใจชอบกล่าวว่า ฉันได้รับบาดเจ็บที่ขาตอนไปทำภารกิจ การเคลื่อนไหวไม่คล่องตัวเหมือนเมื่อก่อน ผู้บังคับบัญชาก็เลยแนะนำให้ฉันถอนตัวออกจากกองทัพ ส่วนใบหน้านี้ของฉัน มันเป็นเพราะการแพ้ยาน่ะ ดังนั้น เลยใช้ยาเพื่อลดอาการบวมบนหน้า

แววตาของจวงจือเยว่ฉายความเป็นห่วงออกมา งั้นขานายไม่เป็นไรใช่หรือเปล่า

มู่อี้ฟานยิ้มและถามกลับว่า นายเห็นฉันเดินเมื่อกี้ มันมีปัญหาไหมล่ะ

จวงจือเยว่ขบคิด มันยังเหมือนเดิมปกติ

มันก็แค่นั้นแหละ เพียงแต่เวลาวิ่งจะต้องใช้ความพยายามมากหน่อยเท่านั้น เดินไปแบบปกติก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคใหญ่อะไร

จวงจือเยว่จึงโล่งอก นายเองก็มีความเป็นเพื่อนไม่พอจริงๆ ออกจากกองทัพก็ไม่บอกฉัน ถ้าวันนี้ไม่ได้พบกัน นายคงจงใจปิดฉันไปชั่วชีวิตใช่ไหม

ที่จริงฉันไม่ได้ไปหานายเพราะอาการบาดเจ็บที่ขานี่แหละ

ต่อไปนายวางแผนจะทำอะไรล่ะ จะรับช่วงต่อบริษัทแม่นายไหม

ในตอนนี้ฉันไม่ได้วางแพลนนั้นไว้

จวงจือเยว่กระตุกมุมปาก นายไม่คิดจะวางแผนหน่อยเหรอ บริษัทที่แม่นายทิ้งไว้ให้นายอาจจะถูกน้องชายต่างแม่ฮุบเอาไปได้นะ

มู่อี้ฟานเอ่ยอย่างไม่สนใจว่า ถ้าเขาอยากได้ก็เอาไปเลย

จวงจือเยว่หรี่ตาลงปราด ฉันว่านายกลายเป็นคนร่าเริงมากขึ้นนะ แตกต่างจากเมื่อก่อนที่ไม่มีชีวิตชีวาและไม่ชอบพูดเลย

มู่อี้ฟานยิ้มถาม งั้นนายชอบฉันคนนั้นเมื่อก่อน หรือชอบฉันคนนี้ในตอนนี้ล่ะ

นายเมื่อก่อนน่ะทะเยอทะยานเกินไป ต้องการเป็นอันดับหนึ่งในทุกเรื่อง ไม่ชอบให้คนอื่นแซงหน้านาย แต่นายที่เป็นแบบนั้นทำให้ฉันรู้สึกว่านายเหนื่อยเหลือเกิน นายในตอนนี้ ดูไปแล้วกลับดีกว่าเดิม แน่นอนว่าฉันหวังว่านายจะรักษาตัวตนในตอนนี้ไว้

มู่อี้ฟานหัวเราะ ไม่อยากคุยเรื่องมู่อี้ฟานอีกคนกับจวงจือเยว่อีกต่อไป เขาก็เลยเปลี่ยนเรื่องเสีย

ต่อมาทั้งสองคนก็คุยกันอย่างมีความสุขสุดๆ จนเกือบลืมเวลาไป

เมื่อถึงเวลาชำระบิล ทั้งสองคนก็หยิบบัตรเครดิตเพื่อแย่งกันจ่ายบิล ในขณะที่พวกเขาแย่งกัน เล็บของมู่อี้ฟานเฉี่ยวโดนหลังมือของจวงจือเยว่โดยไม่ทันระวัง ทำให้ข่วนเป็นคราบเลือดเส้นหนึ่ง

จือเยว่ นายโอเคนะมู่อี้ฟานมองหลังมือของเขาอย่างกังวล

จวงจือเยว่รู้สึกว่าเขาน่าตลกมากแบบนี้ ดูท่านายจะเครียดนะ มันก็แค่ข่วนหลังมือเท่านั้นแหละ ไม่ได้เป็นอะไรหรอกน่า แต่เล็บนายนี่คมพอตัวจริงๆ เกือบจะเหมือนมีดเชียวล่ะ จริงสิ นายก็อย่าแย่งฉันจ่ายบิลสิ ถ้านายอยากเลี้ยงฉันจริงๆ รอหน้านายดีขึ้นค่อยมาหาฉันแล้วออกไปกินข้าวกันสักมื้อนะ

มู่อี้ฟานมองหลังมือของจวงจือเยว่ที่ตอนนี้มีคราบเลือดสีแดงซึมออกมา ผ่อนลมหายใจลงทันที ณ ตอนนี้ถึงเขาจะเป็นครึ่งซอมบี้ก็ตาม แต่ถูกเล็บของเขาข่วนเข้าก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ และมีแนวโน้มสูงที่จะทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นซอมบี้ด้วย

ได้เลย รอหน้าฉันหายแล้ว ค่อยไปหานายเพื่อออกมารวมตัวกัน

ในขณะนั้น โทรศัพท์ของมู่อี้ฟานก็ดังขึ้น เห็นเป็นจ้านเป่ยเทียนที่โทร.มา เขาจึงกดรับสายทันที พูดไม่กี่ประโยคก็วางสายไป

จือเยว่ เพื่อนฉันมารับแล้ว ฉันไปก่อนนะ

โอเค

จวงจือเยว่เห็นบาดแผลที่หลังมือมีเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุด พอลองเพ่งดู เลือดที่แผลหยุดไหลแล้ว เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจอีก เมื่อบริกรกลับมาเช็กบิล เขาก็ยืนขึ้นแล้วออกจากร้านอาหารไป


 

บทที่ 53 ชายหรือหญิง

มู่อี้ฟานและจ้านเป่ยเทียนนัดพบกันที่ทางเข้าถนนอวี้สือ เขาเข้าไปนั่งในรถ สองตาและมุมปากยังแสดงถึงความสุขออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

นี่เป็นครั้งแรกที่จ้านเป่ยเทียนเห็นเขาเบิกบานใจขนาดนี้นับตั้งแต่ที่รู้จักเขามา รอยยิ้มส่งไปถึงแววตาโดยตรง ดวงตาคู่นั้นสว่างไสวราวกับเสี้ยวพระจันทร์ เขาจึงสอบถามด้วยความอยากรู้อย่างอดไม่ได้ว่า พบเรื่องดีๆ อะไรเข้าล่ะถึงระรื่นขนาดนี้

มู่อี้ฟานนึกถึงจวงจือเยว่ ช่วยไม่ได้ที่จะยิ้ม เมื่อกี้พบเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานน่ะ

ชายหรือหญิง

ผู้ชาย

จ้านเป่ยเทียนที่กำลังสตาร์ตรถหยุดชะงัก เหลือบมองมู่อี้ฟานที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เขาเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะขับรถออกจากถนนอวี้สือโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ

บรรยากาศในรถกลายเป็นเงียบกริบในทันที มู่อี้ฟานอ้าปากหาวและหลับไปโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งกลับถึงหมู่บ้านไป๋ปี้ชุนถึงได้ตื่นขึ้นมา

เมื่อลงจากรถแล้ว เขาเดินเข้าไปในสวนของเฉินต้งพร้อมกับยืดเส้นยืดสายอย่างเกียจคร้านไปด้วย จนเสื้อผ้าบนร่างขยับไปตามการเคลื่อนไหวของเขาจนเผยท้องป่องๆ ขึ้นมา

จ้านเป่ยเทียนที่ลงมาจากรถเห็นหน้าท้องนูนๆ ของเขาที่เผยออกมานอกเสื้อ ทันใดนั้น หน้าท้องก็มีแสงสีแดงแลบผ่าน

ต่อจากนั้นในพริบตาเดียว เขาก็รู้สึกถึงมิติภายในร่างส่งคลื่นผันผวนออกมา เขาหรี่ตาผลุบลงถามว่า ที่ถนนอวี้สือวันนี้ นายได้สัมผัสกับหยกและหินดิบมาใช่ไหม

มู่อี้ฟานกรอกตา นายพูดบ้าอะไร ที่นั่นคือถนนอวี้สือนะ ทำไมจะแตะของพวกนั้นไม่ได้ล่ะ

เขาเอาแขนทั้งสองข้างลง ดึงเสื้อเดินเข้าประตูไป

เฉินต้งซึ่งกำลังยุ่งอยู่ในสวนเห็นพวกเขากลับมาก็หัวเราะอย่างโล่งใจ เสี่ยวมู่ น้องจ้าน พวกคุณกลับมาแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านรอพวกคุณอยู่ในห้องโถงนานมาก

หัวหน้าหมู่บ้านไป๋ปี้ชุนได้ยินเสียงจึงรีบเดินออกจากห้องโถง หัวเราะเบาๆ คุณจ้าน พวกคุณกลับมาแล้ว

วันนี้ได้รับข่าวว่าจ้านเป่ยเทียนและมู่อี้ฟานขับรถออกไปจากหมู่บ้านไป๋ปี้ชุน ยังคิดอยู่เลยว่าจ้านเป่ยเทียนเลิกล้มความคิดรับซื้อธัญพืชของหมู่บ้านไป๋ปี้ชุนและไปรับซื้อของหมู่บ้านอื่นไปเสียแล้ว

ในตอนนั้น เขากังวลจะแย่ รีบรุดมาถามเฉินต้งถึงในบ้าน จึงได้รู้ว่าพวกเขาไปเมืองกู่อวี้แล้ว และก็เพราะด้วยเรื่องนี้ เขาถึงได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด นำธัญพืช พืชผักผลไม้ และสัตว์ปีกขายให้จ้านเป่ยเทียนด้วยกันเลย

จ้านเป่ยเทียนเห็นหัวหน้าหมู่บ้านเต็มไปด้วยรอยยิ้มประจบ ก็รู้ว่ามันเป็นผลกระทบจากการที่ออกจากหมู่บ้านไป๋ปี้ชุนไปเมืองกู่อวี้ในเช้าวันนี้นั่นเอง

เขาเข้าไปในห้องโถงแล้วนั่งลง ถามตรงๆ ว่า หัวหน้าหมู่บ้านคิดดีแล้ว?”

หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้าหงึกๆ พวกเราหารือกันดีแล้ว และตัดสินใจจะขายข้าว ผัก ผลไม้ และสัตว์ปีกทั้งหมดให้แก่คุณจ้าน วันมะรืนช่วงเช้า พวกเราจะจัดส่งของเหล่านี้ไปที่เมือง G ครับ

จ้านเป่ยเทียนหยิบปากกากระดาษบนโต๊ะขึ้นมา และเขียนเบอร์โทรศัพท์ของลู่หลินลงไปบนนั้น พวกคุณไปที่เมือง G ก็ไปหาคนคนนี้นะ พอถึงตอนนั้น คุณก็ให้เขาจ่ายเงินพวกคุณก่อน แล้วค่อยมอบสินค้าให้เขา

พอหัวหน้าหมู่บ้านได้ยินว่ารับเงินก่อนค่อยมอบของให้ ก็รู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง พูดคุยปราศรัยกับจ้านเป่ยเทียนไม่กี่ประโยคก็หยิบเอาเบอร์ของลู่หลิน แล้วจึงออกไปจากบ้านเฉินต้ง

หลังจากนั้น คนของหมู่บ้านไป๋ปี้ชุนทั้งหมดต่างก็ยุ่งชุลมุนขึ้นมาทันที


 

บทที่ 54 ไม่มีหัวข้อ

ในตอนค่ำ เฉินต้งและเฉินจวงรีบกินข้าวเย็นกันจนอิ่ม ก็ทิ้งจ้านเป่ยเทียนและมู่อี้ฟานที่ยังกินข้าวอยู่ เพื่อไปเก็บรวบรวมข้าวสารของตัวเองที่ยุ้งฉาง

มู่อี้ฟานกินข้าวหนึ่งชามเสร็จก็วางตะเกียบลงเอ่ยว่า ฉันอิ่มแล้ว นายกินช้า

อิ่มแล้ว?”

จ้านเป่ยเทียนหน้านิ่วคิ้วขมวดเล็กน้อย ในเวลานี้คนที่กินข้าวหกเจ็ดชามถึงจะอิ่ม คิดไม่ถึงว่าคืนนี้กินแค่ชามเดียวก็อิ่มแล้ว

มู่อี้ฟานก็รู้สึกเช่นกันว่าคืนนี้ตัวเองกินข้าวน้อยกว่าสองสามวันที่ผ่านมา เขาลูบท้องแล้วพูดว่า อืม วันนี้ดูเหมือนจะอิ่มง่ายเป็นพิเศษ บางทีคงเป็นเพราะหมดความอยากอาหารน่ะ

จ้านเป่ยเทียนจ้องท้องของเขาโดยไม่พูดอะไรอีก และกินข้าวในชามต่อไป

มู่อี้ฟานคิดว่าเฉินต้งและเฉินจวงต้องวุ่นกับการไปเก็บรวบรวมข้าวสารอยู่แน่ ต่อมาหลังจากจ้านเป่ยเทียนกินอิ่มจึงหยิบชามไปล้างเอง

จ้านเป่ยเทียนดูข่าวจบ เขาจึงนำยาที่เฉินต้งต้มเสร็จก่อนหน้านั้นแล้วมายื่นให้มู่อี้ฟาน อยากเห็นเขาดื่มยาลงไปด้วยตาตัวเอง

มู่อี้ฟานรู้ว่าในยาบรรจุน้ำพุวิญญาณไว้ไม่มากก็ดื่มยาในถ้วยลงไปอย่างเชื่อฟัง

ยามหลับนอน เขายังแบ่งเตียงกว่าครึ่งเตียงให้จ้านเป่ยเทียนเหมือนเมื่อคืนวาน และในไม่ช้าคนก็ผล็อยหลับไป

จ้านเป่ยเทียนดูข่าวบนโทรศัพท์มาครึ่งชั่วโมงก็ล้มตัวลงนอนที่เตียงเพื่อพักผ่อน จากนั้นคนที่อยู่ข้างๆ ก็เกาะติดหนึบเหมือนเมื่อสองคืนก่อนไม่มีผิดอีกครั้ง

คราวนี้เขาไม่ได้ผลักมู่อี้ฟานออก แค่ห้อยมือข้างนั้นลงชิดข้างเตียง พลิกฝ่ามือขึ้น ใจกลางฝ่ามือพลันปรากฏหยกสีเขียวขนาดเท่ากำปั้นออกมาอย่างไม่มีเค้ามูล

จ้านเป่ยเทียนมองก้อนหยกแข็งบนมือ ยัดมันใส่ในมือข้างนั้นของมู่อี้ฟานที่จับอยู่บนท้อง ผลักคนกลับไปตำแหน่งเดิมเพื่อให้หลับสบาย

อย่างที่คิดไว้ คนไม่ได้มาเกาะหนึบอีกเลย

เห็นได้ชัดพอดูว่า ที่อีกฝ่ายชอบนอนเกาะหนึบติดเขา ทั้งหมดเป็นเพราะลูกปัดผีสิงในท้อง ตอนนี้มีหยกสามารถซึมซับพลังงานได้ก็ไม่ต้องการอยู่ใกล้เขาอีกแล้ว

จ้านเป่ยเทียนเห็นมู่อี้ฟานยังคงหลับอุตุจึงลงจากเตียงออกจากห้องโดยไม่มีเสียงมายังห้องน้ำ จากนั้นจึงหายวับไปอย่างปราศจากร่องรอย

หนึ่งนาทีต่อมา คนได้ปรากฏตัวอยู่ในห้องน้ำอีกครั้ง นัยน์ตาสีดำไม่ยินดียินร้ายปรากฏความประหลาดใจสายหนึ่ง ในไม่ช้าก็กลับคืนความสงบเยือกเย็น และกลับเข้าห้องนอนหลับไป

รุ่งสางวันถัดมา จ้านเป่ยเทียนลืมตาตื่นขึ้น พลันเห็นศีรษะกระเซอะกระเซิงหนุนพิงอยู่บนอกของเขาทันที หางตาจึงกระตุกอย่างอดไม่อยู่

เขาผลักคนออกไปด้านข้างอย่างเบามือเบาเท้า มองหาก้อนหยกแข็งของเมื่อวาน อย่างไรก็ตาม หยกกลับหายไปแล้ว กระทั่งใต้เตียงก็ไม่เห็น

ทว่าเตียงนอนที่พวกเขาอยู่กลับมีผงสีเขียวกองหนึ่งกระจายเต็มไปหมด

จ้านเป่ยเทียนหยิบผงสีเขียวขึ้นมาแล้วถูมันระหว่างนิ้วมือ มันลื่นๆ น่าจะเป็นผงหยกที่เปลี่ยนไปหลังจากฉิงเทียนจูดูดซับพลังงานทั้งหมดในก้อนหยกแข็งแล้ว

เขารีบลุกขึ้นไปล้างผงสีเขียวออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นค่อยออกไปวิ่ง และออกกำลังกายข้างนอก

ส่วนมู่อี้ฟานหลับไปจนกระทั่งถึงแปดโมงเช้า และลุกขึ้นมากินบะหมี่ที่จ้านเป่ยเทียนทำเสร็จแล้วพอดี

เมื่อจ้านเป่ยเทียนรอให้เขากินไปพอประมาณแล้วก็พูดว่า วันนี้ฉันต้องไปหมู่บ้านหย่งเฉิงชุน บ่ายๆ ถึงจะกลับ วันนี้นายก็อยู่ที่นี่ อย่าตามไปล่ะ

มู่อี้ฟานรู้ว่าจ้านเป่ยเทียนจะไปที่หมู่บ้านหย่งเฉิงชุนเพื่อซื้อข้าวสาร และอาหารอื่นๆ ดังนั้น จึงไม่อยากตามไปเพราะน่าเบื่อก็เลยพยักหน้ารับคำไป

มีอะไรก็โทร.หาฉันจ้านเป่ยเทียนลุกขึ้นและออกไป

มู่อี้ฟานนั่งอยู่ในห้องโถง พลางกินบะหมี่ พลางมองตามจ้านเป่ยเทียนเดินออกจากประตู

ทันใดนั้นเองก็มีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาล้อมจ้านเป่ยเทียนที่เพิ่งก้าวออกจากประตู

 

 

ชื่อตอน ไม่มีหัวข้อ[1]


[1] ต้นฉบับภาษาจีนคือ


 

บทที่ 55 ดึงดูดความเกลียดชัง

ตอนแรกมู่อี้ฟานคิดว่าเป็นชาวบ้านในหมู่บ้านไป๋ปี้ชุนมาหาจ้านเป่ยเทียนเพราะมีธุระ แต่พอดูให้ดีๆ แล้ว ก็พบว่าคนที่ล้อมจ้านเป่ยเทียนอยู่เป็นชายชนชั้นนำคนที่มาหาหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อซื้อข้าวสารเมื่อวานนั่นเอง

เขาลุกขึ้นอย่างพรวดพราด ถือบะหมี่บนโต๊ะแล้วเดินไปยังข้างนอก เพิ่งจะเดินถึงในสวนก็ได้ยินคนที่เป็นหัวโจกถามว่า คุณก็คือคุณจ้านใช่ไหมครับ

จ้านเป่ยเทียนกวาดมองพวกเขาอย่างไม่ใส่ใจ มีธุระอะไร

ชายคนนั้นเหลือบไปมองรถ BMW แล้วหัวเราะเบาๆ ดูแล้วคุณจ้านน่าจะมาจากเมือง G นะครับ เช่นนั้นไม่ทราบว่าคุณจ้านเคยได้ยินชื่อมู่ซื่อกรุ๊ปไหมครับ

พูดจบไม่ทันไรก็ได้ยินเสียง ซูด จากข้างหลังจ้านเป่ยเทียน เป็นเสียงดูดเส้นบะหมี่ ทุกคนต่างอดหันไปมองด้านหลังของจ้านเป่ยเทียนไม่ได้

มู่อี้ฟานเดินออกมา กินบะหมี่ไปพลางถามไปพลาง เกิดอะไรขึ้นเหรอ

คนคนนั้นคลี่ยิ้ม ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่อยากบอกกับคุณจ้านสักคำว่า พวกเราคนของมู่ซื่อกรุ๊ปต้องการซื้อข้าวสาร ก็ไม่รู้ว่าคุณจ้านจะยอมปล่อยข้าวสารออกมาไหม

คำพูดนี้เห็นได้ชัดว่าต้องการใช้มู่ซื่อกรุ๊ปบีบคั้นคน มู่อี้ฟานและจ้านเป่ยเทียนย่อมฟังออกเป็นธรรมดา

เป็นผู้บริหารมู่ซื่อกรุ๊ปคนไหนส่งพวกนายมาจ้านเป่ยเทียนถาม

คนที่เป็นหัวโจกและคนที่อยู่ข้างๆ สบตากันพร้อมพูดว่า คุณชายใหญ่ของมู่ซื่อ มู่อี้ฟานครับ

มู่อี้ฟาน “...”

เชี่ยเอ้ย!

พระเอกเห็นเขาเป็นศัตรูมนุษยชาติอยู่แล้ว ก็อย่าดึงดูดความเกลียดชังให้เขาจะได้ไหมฮ้า

แล้วก็นะ เดิมทีมันก็ไม่ใช่เขาที่ส่งคนพวกนี้ไปซื้อข้าวสารด้วย ทำไมถึงผลักเรื่องนี้มาที่ตัวเขากันล่ะ

สายตาของจ้านเป่ยเทียนเย็นชา เขาไม่ได้พูดอะไร และหันหลังขับรถออกจากหมู่บ้านไป๋ปี้ชุน

ชายชนชั้นนำทั้งห้ามองรถขับออกไปอย่างเหม่อลอย จนกระทั่งรถหายวับไปกับตา พวกเขาถึงจะมีคนได้สติพูดว่า แม่มันเถอะ คนคนนี้ช่างไม่รู้จักดีชั่วจริงๆ

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจมู่ซื่อกรุ๊ปของเรา

ฉันคิดว่าเขาอาจยังไม่รู้ผลลัพธ์ของการล่วงเกินมู่ซื่อกรุ๊ปว่ามันร้ายแรงขนาดไหน

ต้องสั่งสอนเขาสักหน่อยถึงจะดี

ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเหลือบมองมู่อี้ฟานที่ยังคงกินบะหมี่อยู่ เอ่ยเสียงเย็นว่า กลับไปแล้วค่อยพูด

มู่อี้ฟานเห็นคนทั้งห้าจากไปก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ

จากไปแบบนี้เลย?

ดึงดูดความเกลียดชังให้เขาแล้วก็จากไปอย่างนี้เนี่ยนะ

เสี่ยวมู่ ทำไมคุณถึงมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะเฉินต้งที่เพิ่งกลับมาจากในไร่ถามอย่างสงสัย

มู่อี้ฟานหลุดจากภวังค์ ยิ้มแล้วเอ่ยว่า คุณลุง คุณกลับมาแล้ว

เขาหมดอารมณ์ จึงเอาบะหมี่ที่กินเสร็จแล้วนำชามกลับไปวางที่ห้องโถง จากนั้นก็กลับเข้าห้องไป

เขาคิดว่าพระเอกเชื่อคำพูดของชายทั้งห้าคนนั้น และเชื่อว่าพวกเขาเหล่านี้ถูกส่งมาโดยมู่อี้ฟาน ถึงแม้จะสืบได้ว่ามู่อี้หางที่ส่งคนออกมาเก็บข้าวสารก่อนหน้านี้ก็เถอะ แต่อย่างไรพระเอกก็คิดว่าบอสใหญ่ที่แท้จริงซึ่งอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดก็เป็นมู่อี้ฟานอยู่ดี

ตอนนี้ชายชนชั้นนำทั้งห้ายังบอกว่ามู่อี้ฟานให้มารวบรวมข้าวสารอีก สิ่งนี้ทำให้พระเอกยิ่งมั่นใจว่ามู่อี้ฟานได้รับเหตุการณ์สำคัญมา ก็ยิ่งเชื่อมั่นว่ามู่อี้ฟานน่าจะย้อนกลับมาด้วย

มู่อี้ฟานนั่งลงบนเก้าอี้ ถอนหายใจเฮือกใหญ่

ปัจจุบันพระเอกนับวันยิ่งจงเกลียดจงชังมู่อี้ฟานคนนี้ และนับวันก็ยิ่งตั้งการ์ดต่อมู่อี้ฟาน จะเป็นการดีกว่าสำหรับเขาที่จะกำจัดพระเอกอย่างรวดเร็ว อีกอย่างเวลาก็เหลือไม่มากแล้ว

อย่างไรก็ตาม ทัศนคติที่พระเอกมีต่อเขาแม้จะดีมาก แต่สำหรับเขามันยังไม่น่าวางใจนัก เพราะฉะนั้นการฆ่าพระเอกจึงยากยิ่งกว่าเอื้อมมือถึงท้องฟ้าเสียอีก

มู่อี้ฟานจ้องมองเตียงใหญ่ สติสัมปชัญญะค่อยๆ ขาดหาย ครั้นแล้วพอนึกอะไรออก สายตาจึงเปล่งประกายใหญ่

แม้ว่าในตอนนี้เขายังไม่ได้รับความไว้วางใจจากพระเอก แต่ในเวลานี้เขาได้นอนอยู่บนเตียงเดียวกันกับพระเอกแล้ว ขอแค่ใช้ประโยชน์จากที่พระเอกนอนหลับในตอนกลางคืน เขาจะลงมือไม่ได้เชียวหรือ

มู่อี้ฟานยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น เพียงหวังว่าราตรีกาลจะมาถึงในเร็วไว


 

บทที่ 56 ควรทำอย่างไรดี

มาถึงยามเย็นย่ำ จ้านเป่ยเทียนเพิ่งจะกลับถึงหมู่บ้านไป๋ปี้ชุน ทันมื้อเย็นที่เฉินต้งทำพอดี

ตอนมู่อี้ฟานกำลังรับประทานอาหารอยู่ เห็นจ้านเป่ยเทียนขมวดคิ้วแน่นก็รู้ว่า การไปหมู่บ้านหย่งเฉิงในวันนี้ การปฏิบัติงานไม่ราบรื่นเสียเท่าไร มีความเป็นไปได้ว่าจะพบเจอคนที่มู่อี้หางส่งไปเข้า

แน่นอนว่านี่เป็นแค่การคาดเดาของเขา ส่วนเรื่องแบบไหนที่จ้านเป่ยเทียนไปทำที่หมู่บ้านหย่งเฉิงนั้น เขาก็ไม่ได้ถามอะไรมากด้วย หลังรับประทานอาหารแล้วก็ใช้ช่วงที่จ้านเป่ยเทียนไปอาบน้ำรีบนำมีดพับที่ใช้สำหรับปอกผลไม้ที่วางอยู่ในห้องโถงใส่เข้าในกระเป๋ากางเกง และขึ้นไปที่ห้องชั้นสอง

เขาสวมชุดนอนและเอามีดซ่อนไว้ในกระเป๋าชุดนอน จากนั้นรอให้จ้านเป่ยเทียนกลับมานอน

อย่างไรก็ตาม รอมาครึ่งชั่วโมงกว่า คนเกือบใกล้จะหลับแล้ว จ้านเป่ยเทียนกลับยังไม่ได้กลับห้องเลย

มู่อี้ฟานคิดว่าจ้านเป่ยเทียนคงเข้าไปในมิติ และยุ่งจัดการเรื่องต่างๆ แน่ เขาจึงจำต้องฝืนเปลือกตารออย่างอดทน น่าเสียดาย รอคนจนกระทั่งรอไม่ไหว เขาก็เผลอหลับไป

ไม่รู้ว่าเขาหมกมุ่นกับการฆ่าพระเอกเกินไปหรือเปล่า เขาที่หลับลึกจนใกล้รุ่งสางทุกวัน จู่ๆ ก็ตื่นขึ้นตอนกลางดึก

มู่อี้ฟานลืมตาก็เห็นจ้านเป่ยเทียนอยู่ข้างๆ พลันก็นึกเรื่องฆ่าพระเอกได้ทันที อาศัยแสงที่ส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่าง จ้องใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาของจ้านเป่ยเทียนเป็นเวลานาน แววตาพรั่งพรูความลังเลอย่างช้าๆ จิตใจก็ยิ่งหดหู่ขึ้นเรื่อยๆ

เช้าวันนี้คิดดีแน่ชัดแล้วว่าจะต้องกำจัดพระเอกตอนที่เขากำลังหลับอยู่ในตอนกลางคืน แต่ ณ ตอนนี้ หลังจากเห็นใบหน้าของจ้านเป่ยเทียน เขาก็เริ่มใจเหี้ยมไม่ลงแล้ว ถึงขนาดฝืนใจจะลงมือยิ่งกว่าตอนที่เพิ่งทะลุมิติเข้ามาในนิยายเสียอีก

แม่งเอ้ย! ควรทำยังไงถึงจะดีวะ

มู่อี้ฟานยกมือขึ้นแล้วยื่นไปด้านหน้าของจ้านเป่ยเทียนอย่างไม่รู้ตัว

เมื่อเขาสัมผัสถึงใบหน้าของอีกฝ่าย สติก็กลับคืนโดยพลัน และรีบเก็บมือกลับมา

สายตามู่อี้ฟานจมดิ่งลง

ไม่ได้

เขาไม่สามารถใจอ่อนอย่างนี้อีกต่อไปได้แล้ว ความใจอ่อนมีแต่จะทำให้เขากลับโลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้

มู่อี้ฟานตัดสินใจอย่างแน่วแน่อีกครั้ง ใช้มือล้วงในกระเป๋าชุดนอน ควานจับมีดปอกผลไม้

และตอนกำลังชักมีดปอกผลไม้ออกจากกระเป๋า จู่ๆ เขาก็หยุดเคลื่อนไหว

มู่อี้ฟานรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

พระเอกในนิยายของเขาควรจะเป็นคนที่ตื่นตัวระมัดระวังอย่างมาก โดยเฉพาะหลังจากผ่านวันสิ้นโลกชำระล้างไขกระดูก ความระมัดระวังของพระเอกจะยิ่งสูงขึ้นไปอีก เป็นไปไม่ได้ที่จะหลับอย่างสงบเช่นนี้ในยามราตรี นับประสาอะไรกับข้างกายที่มีคนไม่สนิทสนมกันมานอนหลับอยู่เล่า พระเอกมีแต่จะนอนหลับไม่สนิทน่ะสิ

นอกจากนั้น ก่อนหน้านี้เขายังสัมผัสใบหน้าของพระเอกอีก ไม่มีทางที่พระเอกจะไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่อย่างนั้นความตื่นตัวก็ต่ำเกินไปจริงๆ แล้ว บุคคลเช่นนี้จะไม่มีทางอยู่จนถึงวันสุดท้ายในวันสิ้นโลกอย่างแน่นอน

ดังนั้น พระเอกน่าจะตื่นอยู่แล้ว เพียงแต่แกล้งทำเป็นหลับ และไม่ได้ลืมตาเท่านั้น

มู่อี้ฟานนึกถึงความเป็นไปได้นี้ ขอบคุณมากๆ ที่ไม่ได้ลงมือ มิฉะนั้น คนที่ตายอาจจะเป็นเขา

เขาเอามีดปอกผลไม้เก็บเข้าที่เดิม ถอนมือออกมาตั้งใจจะหลับต่อ อย่างไรก็ตาม เขากลับไร้สิ้นความง่วงนอน พลิกไปพลิกมาก็ไม่หลับสักที โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระเตงท้องทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัว

นอนได้แล้วคนที่อยู่ข้างๆ อยู่ดีๆ ก็พูดขึ้นมา

มู่อี้ฟานลืมตาอย่างรวดเร็ว และพลันสบกับดวงตาสุขุมใจเย็นสีดำขลับของจ้านเป่ยเทียนเต็มเปา อย่างน้อยก็ไม่เหมือนคนที่เพิ่งตื่นขึ้นมาเลยสักนิด

เขาขอบคุณอีกครั้งที่ไม่ได้ลงมือไป

นอนได้แล้วจ้านเป่ยเทียนพูดย้ำอีกครั้ง

มู่อี้ฟานลังเลอยู่ชั่วขณะจึงขยับตัวอย่างไวหลับไปบนหมอนของจ้านเป่ยเทียน

จ้านเป่ยเทียนตะแคงตัว เอื้อมมือออกไปจับท้องของเขา ลูบไล้เบาๆ หลับซะนะ

มู่อี้ฟานรู้ตัวเองดีว่าในตอนนี้เขาฆ่าพระเอกไม่ได้ ไม่มีทางเลือกนอกจากเป่าความคิดที่จะฆ่าพระเอกขณะอยู่บนเตียงเดียวกัน หลังจากนั้นท้องยิ่งมาสบายขึ้น เขาหลับสองตาลงอย่างช้าๆ ในไม่ช้าก็หลับสนิท

จ้านเป่ยเทียนเห็นมู่อี้ฟานหลับอุตุไปแล้ว ความลังเลวาบผ่านสายตา สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ถอนมือกลับทั้งยังสัมผัสท้องของมู่อี้ฟานโดยตรงและหลับตาทั้งสองข้างลง


 

บทที่ 57 กลิ่นหอมอันเย้ายวน

ตอนมู่อี้ฟานตื่นขึ้นมาอีกที มันเป็นเพราะเขาได้กลิ่นหอมหวนราวกับว่ากำลังหิว และได้กลิ่นอาหารหอมฉุยจนเขาอดกลืนน้ำลายไม่ได้

เมื่อเขาลืมตาก็เจอกับริมฝีปากบางสวยที่เผยอออกเล็กน้อย จากนั้นลมหายใจร้อนระอุรินรดใบหน้าของเขาอยู่ มันจั๊กจี้ และเหมือนเชิญชวนเขาให้ลงมือทำเร็วขึ้น

ตาทั้งคู่ของมู่อี้ฟานยิ่งร้อนขึ้นเรื่อยๆ เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งเล็กน้อย แล้วโน้มตัวเข้าหาริมฝีปากบางสวยอย่างตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่

ในขณะที่สัมผัสริมฝีปากบางที่เย็นเล็กน้อย ทั่วร่างก็สะดุ้งขึ้นมาทันที เขาผุดลุกนั่งอย่างลุกลี้ลุกลน ผลุนผลันลงจากเตียง และออกจากห้องไป

คนบนเตียงลืมตาพรึบ นัยน์ตาสีดำลึกล้ำไม่แยแสมีความประหลาดพาดผ่าน ตามด้วยขมวดคิ้วแน่น และยกมือขึ้นแตะตรงส่วนที่ถูกคนจูบเมื่อกี้

มู่อี้ฟานเดินตรงไปยังห้องน้ำ ปิดประตู มองตัวเองในกระจกอย่างไม่อยากจะเชื่อ เนิ่นนานกว่าสติจะคืนกลับมา

เมื่อกี้เขาจูบพระเอก จูบพระเอกจริงๆ!

มู่อี้ฟานหวนนึกถึงสถานการณ์เมื่อครู่ รีบส่ายหัวโดยทันที

ไม่ถูกสิ

เขาถูกกลิ่นหอมบนร่างของพระเอกล่อลวงต่างหาก ถึงได้จูบไปโดยไม่รู้ตัว

อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยได้กลิ่นหอมบนร่างพระเอกแบบนี้มาก่อน ทั้งที่เมื่อคืนก็ยังไม่ได้กลิ่นเลย ทำไมเช้าวันนี้จู่ๆ ก็ได้กลิ่นกันนะ

อีกอย่างคือ กลิ่นนั้นไม่เหมือนกลิ่นน้ำหอม แต่กลับทำให้เขาเกิดความหิวกระหาย ช่างน่าแปลกจริงๆ

มู่อี้ฟานไม่ได้ย้อนกลับไปที่ห้องอีก หลังจากล้างหน้าบ้วนปากในห้องน้ำ เขาก็เดินตรงลงไปชั้นล่างทั้งที่สวมชุดนอน

เฉินต้งที่กำลังจะลุกเห็นมู่อี้ฟานที่เดินจากชั้นบนลงมาก็ตกตะลึง พูดด้วยรอยยิ้มว่า เสี่ยวมู่ เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันเห็นคุณตื่นเช้าขนาดนี้ ว่าไง นอนไม่หลับเหรอ

มู่อี้ฟานจ้องเฉินต้งด้วยความงุนงงแล้วกลืนน้ำลาย

เขาพบว่าบนร่างของเฉินต้งก็มีกลิ่นหอมเป็นพิเศษเช่นกัน แต่ทว่ามันกลับไม่ได้มีกลิ่นอายเข้มข้นกลมกล่อมอย่างที่ร่างพระเอกปล่อยออกมา อย่างไรก็ตาม มันก็เพียงพอที่จะล่อให้เขาอยากกัดสักคำเช่นกัน

มู่อี้ฟานสะดุ้งทันที

เมื่อครู่เขาเพิ่งจะมีความคิดอยากกัดได้ยังไงกัน

มู่อี้ฟานหลุดจากภวังค์อย่างรวดเร็ว เขาปิดส่วนจมูกและปาก ก้าวฉับๆ เดินออกจากบ้านเฉินต้งไป

เขารู้สึกว่าตัวเองผิดปกติอย่างมาก

ถ้าแค่รู้สึกว่าตัวพระเอกมีกลิ่นหอมปล่อยออกมา เขาอาจจะคิดว่าปัญหามันอยู่ที่พระเอกฉีดน้ำหอม อย่างไรก็ตาม แม้แต่ตัวเฉินต้งก็ยังมีกลิ่นหอมที่น่าดึงดูดโชยออกมา นั่นก็แปลว่าเป็นตัวเขาเองที่มีปัญหาแล้ว

มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไงนะ

หรือจมูกของเขาจะมีปัญหากันแน่

ในขณะนั้น กลิ่นหอมมากกว่าสิบก็โชยเข้ามาในจมูกมู่อี้ฟานพร้อมกัน

เขาพลันเงยหน้าขึ้น เห็นผู้คนสิบกว่าคนเดินขวักไขว่ไปมาบนถนน

มู่อี้ฟานเอามือปิดจมูกอย่างตกใจ มองผู้คนที่อยู่ห่างจากเขามากกว่ายี่สิบเมตรอย่างเหลือเชื่อ

ยืนห่างระยะไกลขนาดนี้ แต่เขาดันได้กลิ่นที่น่าดึงดูดจากตัวคนคนนั้นโชยออกมาจริงๆ เฉยเลย

นะ...นี่...

มู่อี้ฟานตกตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเขาก้มหน้าลง และเดินไปทางบ่อน้ำที่ไร้ผู้คน


 

บทที่ 58 อยากกัดพระเอกสักคำจัง

ปัจจุบันเป็นเวลาตีห้าครึ่งในช่วงเช้า ท้องฟ้าเพิ่งขึ้นแสงแรกอรุณ ผู้คนในหมู่บ้านต่างก็ลุกจากเตียงกันทีละคน ดังนั้น ผู้คนที่ผ่านบ่อน้ำจึงน้อยมาก

มู่อี้ฟานนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ริมบ่อน้ำ จ้องน้ำในบ่อที่ไร้คลื่นอย่างเงียบๆ เขาขมวดคิ้ว แต่ในใจกลับสงบลงไม่ได้

ที่มันเป็นแบบนี้ เขารู้อยู่แล้วว่าสาเหตุใดที่ทำให้ได้กลิ่นหอมในตัวผู้คนโชยออกมาก่อนหน้านี้

คาดเดาจากที่เขาอยากกัดคน ในกรณีที่เขาขาดสติก็จะควบคุมการแทะมนุษย์เป็นอาหารไม่ได้อีกแล้ว

มู่อี้ฟานแค่เพียงคิดถึงฉากกินคนก็รู้สึกขยะแขยงเหลือแสน เขาไม่อยากกลายเป็นแบบนั้นแน่ๆ แต่ทว่าเขายังทำใจฆ่าพระเอกไม่ลง

โดยเฉพาะหลังจากที่เขากลายเป็นซอมบี้เต็มตัวก็ไม่มีโอกาสเช่นนั้นแล้ว ถึงตอนนั้นการเคลื่อนไหวของเขาจะเชื่องช้าหาใดเปรียบ เขาที่ไม่มีสติรับรู้ ใครๆ ต่างก็สามารถฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ

เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงหกโมง ผู้คนในหมู่บ้านต่างทยอยออกมาทำงานในนากันเรื่อยๆ ผู้คนที่ผ่านบ่อน้ำก็ยิ่งมาเยอะขึ้น กลิ่นหอมที่โชยจากร่างพวกเขาก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

มู่อี้ฟานไม่กล้าอยู่ริมบ่อน้ำอีกต่อไป รีบลุกขึ้นเดินไปที่บ้านเฉินต้ง

จากที่ไกลๆ ก็เห็นจ้านเป่ยเทียนยืนอยู่ที่ประตูบ้านเฉินต้ง เรือนร่างสูงใหญ่ตระหง่านเช่นเดียวกับใบหน้าหล่อเหลาที่สะดุดตาอย่างมาก จนผู้คนสัญจรผ่านถนนเหลียวกลับมามองซ้ำแล้วซ้ำอีก

มู่อี้ฟานอดคิดถึงจูบเมื่อเช้าไม่ได้ และเดินอย่างงุ่มง่ามไปยืนอยู่เบื้องหน้าจ้านเป่ยเทียน

มาแล้วก็ไปเปลี่ยนเสื้อกินข้าวเช้าซะจ้านเป่ยเทียนพูดเบาๆ ประโยคหนึ่ง และหมุนตัวกลับเข้าไปในสวน

มู่อี้ฟานถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที

ตอนนั้นพระเอกกำลังหลับอยู่ ไม่น่าจะรู้ตัวว่าถูกเขาจูบกระมัง ไม่อย่างนั้น พระเอกคงจะไม่เผชิญหน้ากับเขาอย่างสงบนิ่งเช่นนี้หรอก

เฉินต้งถือบะหมี่หม้อหนึ่งออกมาจากในครัว เห็นมู่อี้ฟานกลับมาแล้วจึงหัวเราะร่า เสี่ยวมู่ คุณกลับมาได้พอดีเลย น้องจ้านกำลังจะออกไปตามคุณมากินข้าวเช้าพอดี

มู่อี้ฟานหัวเราะ กลับไปบนห้องชั้นสอง และถอดชุดนอนบนตัวอย่างรวดเร็ว

เขาหันหลังให้ประตู ไม่ทันได้สังเกตเลยว่าจ้านเป่ยเทียนก็ตามขึ้นมาชั้นสองด้วย

จ้านเป่ยเทียนยืนอยู่ข้างประตูเห็นต้นขาบวมช้ำของมู่อี้ฟานก็ขมวดคิ้วเป็นปม และไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา พลันหันหลังเดินลงชั้นหนึ่งไป

หลังมู่อี้ฟานเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วก็ลงมาชั้นหนึ่งเพื่อรับประทานอาหารเช้า

พอเข้ามาในประตูห้องโถง เขาก็ได้กลิ่นหอมเข้มข้นที่กำจายออกมาจากร่างกายมนุษย์ ทำให้เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างช่วยไม่ได้

เสี่ยวมู่ กินข้าวเช้ากันเฉินต้งส่งเสียงเรียก

มู่อี้ฟานนั่งลงหน้าโต๊ะอาหาร รับชามที่เฉินต้งส่งมาให้ และกินอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

เฉินต้งเห็นเขากินคำเล็กๆ จึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า เสี่ยวมู่ คุณไม่อยากอาหารเหรอ เมื่อวานตอนคุณกินก็กินได้น้อยมากๆ เลย

มู่อี้ฟานชะงัก หาข้ออ้างมั่วๆ ว่า อาจเพราะวันนี้ตื่นเช้าไปหน่อย เลยไม่อยากอาหารเท่าไรครับ

ไม่อยากอาหารสิถึงจะแปลก

สวรรค์รู้ดีว่าตอนนี้เขาอยากกระโจนเข้าไปเลียตัวเขาแผล็บสองแผล็บขนาดไหน โดยเฉพาะกลิ่นหอมบนตัวพระเอกที่ปล่อยออกมายิ่งทำให้เขาหยุดความกระหายไม่ได้เลย

ตอนนี้เขาอยากกัดพระเอกสักคำจัง ทำยังไงดีนะ

มู่อี้ฟานไม่กล้าคิดเรื่องนี้ต่อ เร่งเคลื่อนไหวกลืนโจ๊กเข้าปากคำโตๆ พลางคิดว่ากลิ่นของมนุษย์ที่โชยออกมาเหล่านี้ประหนึ่งเป็นเครื่องเคียง

จ้านเป่ยเทียนมองดูเขา จากนั้นก้มหน้ากินมื้อเช้าต่อ

หลังจากมู่อี้ฟานกินอิ่มแล้วก็รีบกลับห้องไปนอนต่อ

ก็ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน เขาก็ถูกจ้านเป่ยเทียนปลุก

ไปห้องครัว

หลังพูดจบ จ้านเป่ยเทียนก็ออกจากห้องไป

มู่อี้ฟานไม่รู้ว่าเขาต้องการทำอะไร ขยี้ตาที่ง่วงซึม ลุกขึ้นอย่างมึนๆ เบลอๆ มายังห้องครัว

จ้านเป่ยเทียนเห็นเขาเข้ามาแล้วก็รีบเอ่ยว่า ถอดเสื้อออก


 

บทที่ 59 หรือจะให้ฉันลงมือเอง

ฮ้า?”

คราวนี้มู่อี้ฟานตื่นตัวแล้วจริงๆ ทำไมต้องถอดล่ะ

จ้านเป่ยเทียนไม่ได้พูดอะไร พลันหันกลับไปดูตำแหน่งที่วางเตา

บนนั้นมีถังเหล็กขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งเมตร และความสูงก็หนึ่งเมตรเช่นกัน ซึ่งขนาดสามารถจุคนคนเดียวได้พอดี ณ เวลานี้ในถังเหล็กมีไอน้ำสีขาวลอยออกมา รวมทั้งกลิ่นยาฉุนๆ ที่ทำร้ายจมูกก็ลอยตามมาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นใต้ถังเหล็กขนาดใหญ่ยังมีเปลวไฟมหึมาลุกโชติช่วงเหมือนกับกำลังเคี่ยวยาถังใหญ่อยู่

มู่อี้ฟานมองตามสายตาเขาไป

ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ฉากนี้ทำให้จู่ๆ เขาก็นึกถึงถังแช่ยาในสมัยโบราณขึ้นมา ขณะที่ต้มยาสมุนไพรก็แช่อาบร่างกายของคนในนั้นด้วย จากนั้นก็ขับพิษในร่างออกมา

มู่อี้ฟานเดาออกว่าพระเอกจะทำอะไรก็หน้ามืดตาลาย จึงอดถอยหลังไปสองก้าวไม่ได้ และย้ายไปอีกด้านของประตู

เขามักจะรู้สึกว่าถังเหล็กมหึมานั้นไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ที่แน่ๆ คือต้องมีน้ำพุวิญญาณในมิติพระเอกเจือปนอยู่บ้างล่ะ

จ้านเป่ยเทียนเร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว ปิดประตูห้องครัว และกั้นทางออกของมู่อี้ฟาน เขาขมวดคิ้วพูดเสียงขรึมว่า ลงไปแช่ซะ

มู่อี้ฟานแสร้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ว่าเขาจะทำอะไร ที่ไหนล่ะ

จ้านเป่ยเทียนหรี่ตาลงฉับพลัน ออกคำเตือนว่า หรือจะให้ฉันลงมือเอง

เขาไม่เข้าใจเลย เห็นได้ชัดว่าเรื่องการแช่น้ำนั้นรู้สึกดีมากๆ ทำไมชายคนนี้ทำเหมือนตอนกินยา ราวกับว่ามันจะฆ่าคนอย่างไรอย่างนั้น

เมื่อคืนฉันเพิ่งจะอาบน้ำไปเอง ไม่ขอรบกวนนายจะดี...มู่อี้ฟานพูดด้วยรอยยิ้มไปพลางถอยหลังไปพลาง

อย่างไรก็ตาม ไม่ทันให้เขาพูดจบ จ้านเป่ยเทียนก็จับแขนเขาด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็คว้าหมับที่ชายเสื้อของเขาแล้วเลิกมันขึ้น ทำการลอกคราบเขาอย่างคล่องแคล่ว

จ้านเป่ยเทียน นายทำอะไรฮ้ามู่อี้ฟานแหวลั่น กอดเสื้อที่ถูกดึงออกแน่น เนื่องจากชุดที่สวมเป็นชุดลำลองที่มีฮู้ด ดังนั้นมันจึงโดนจ้านเป่ยเทียนถอดออกได้โดยง่าย

จ้านเป่ยเทียนเพิกเฉยต่อเขา อุ้มคนขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว อีกข้างก็ถอดกางเกงมู่อี้ฟานลง สองสามทีก็ลอกเสียเรียบวุธ และถูกใส่ลงในถังเหล็กใบใหญ่

มู่อี้ฟานพยายามจะลุกยืน แต่กลับถูกจ้านเป่ยเทียนใช้มือข้างเดียวกดลง

เขาพูดอย่างโมโหว่า จ้านเป่ยเทียน นายอย่าคิดนะว่าเราต่างก็เป็นผู้ชาย นายจะถอดเสื้อฉันตามใจชอบโดยที่ฉันไม่ยินยอมไม่ได้ นายเชื่อไหมว่าฉันจะฟ้องนายในข้อหาอนาจารน่ะ

จ้านเป่ยเทียน “...”

เขาดึงผ้าไหมสีขาวจากกระเป๋ากางเกงออกมา พับหลายๆ ครั้ง และบังดวงตาของมู่อี้ฟานไว้

นายจะปิดตาฉันทำไม

มู่อี้ฟานพยายามดึงผ้าไหมออก แต่กลับถูกจ้านเป่ยเทียนหยุดไว้ อย่าดึง

งั้นนายบอกเหตุผลที่ฉันดึงไม่ได้มาทีซิ

จ้านเป่ยเทียนพูดอย่างเย็นชาว่า นายอยากให้ฉันใช้ผ้าไหมมัดนายใช่ไหม

มู่อี้ฟานทำตัวดีมากๆ ฉับพลัน สรุปแล้วนายจะทำอะไร

ทันใดนั้นเขาพลันรู้สึกว่าน้ำร้อนขึ้นเรื่อยๆ ใต้หม้อเหล็กใบใหญ่เหมือนถูกเพิ่มความร้อนขึ้น

หลังจากนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเกี่ยวกับร่างกายของเขาหรือเปล่า อุณหภูมิน้ำก็พลันกลายเป็นน้ำเย็นไล่เลี่ยกันทีละน้อยๆ จนร่างกายของเขาค่อยๆ เปลี่ยนไป ประเดี๋ยวกระดูกทั่วร่างก็ปวดร้าวจนทรมาน ประเดี๋ยวก็รู้สึกสบายตัวมากๆ ช่างขัดแย้งกันเหลือเกิน

ยิ่งไปกว่านั้น เขาที่โดนปิดตาไว้ ประสาทหูก็มีความไวต่อเสียงเป็นพิเศษ

เมื่อได้ยินจ้านเป่ยเทียนจุ่มมือลงมาในน้ำ เขาก็พยายามหลีกเลี่ยงโดยอัตโนมัติ จากนั้นทั้งสองคนก็นิ่งชะงัก


 

บทที่ 60 มันมีปฏิกิริยากับนายจริงๆ ด้วย

มู่อี้ฟานพูดจาระมัดระวังว่า นายจับน้องชายของฉันอยู่ล่ะ

จ้านเป่ยเทียนเต็มไปด้วยขีดสีดำ กำลังคิดจะถอนมือออก จู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่าสิ่งที่อยู่ในมือแข็งขึ้นกะทันหัน

เชี่ยเอ้ย มันมีปฏิกิริยากับนายจริงๆ ด้วยมู่อี้ฟานเอ่ยอย่างเหลือเชื่อ ต่อจากนั้นก็ส่งเสียงคร่ำครวญ ทั้งหมดต้องโทษลุงเฉินนั่นแหละ อาหารที่ปรุงสองสามวันมานี้ มันบำรุงจนบำรุงต่อไม่ได้แล้ว แถมเขาก็ตุ๋นซุปบำรุงขนานใหญ่พวกกระดอวัว ลึงค์เสือ[1] และอื่นๆ ให้ฉันไม่ขาดอีก

จ้านเป่ยเทียน “...”

เขาสีหน้าดำคล้ำแล้วคลายมือ เปลี่ยนไปที่ต้นขาบวมๆ ของมู่อี้ฟาน พอแตะมันเขาก็พลันขมวดคิ้วทันที ระดับการบวมไม่ได้มีข้อแตกต่างจากก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าน้ำพุวิญญาณนั้นไม่ได้ผล

มันเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง

มู่อี้ฟานขยับตัว นายอย่าจับมั่วๆ สิ เดี๋ยวฉันก็เสร็จหรอก

หุบปากจ้านเป่ยเทียนหน้าผากมีเส้นเลือดปูดอย่างดุดัน

เขาเก็บมือกลับมาจากในถังเหล็กใบใหญ่ ถามว่า แล้วมะเร็งกระดูกของนายรุนแรงระดับไหน

แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่มู่อี้ฟานจะบอกเขา จึงพูดโกหกไปว่า ตอนนี้มะเร็งกระดูกของฉันเป็นระยะสุดท้ายแล้ว หมอบอกว่าอย่างน้อยที่สุด ฉันจะมีชีวิตอยู่ได้แค่เดือนกว่า

เดือนกว่า?” จ้านเป่ยเทียนแสดงความสงสัย นายดูเหมือนคนใกล้จะตายที่ไหนกัน

มีคนใกล้จะตายที่ไหนยังมีชีวิตชีวากระโดดโลดเต้นได้กัน ขนาดสปิริตยังมากกว่าลิงป่าในภูเขาเสียอีก ใครหน้าไหนจะดูออกล่ะว่าคนตรงหน้านี้เป็นคนกำลังจะตาย

มู่อี้ฟานเถียงกลับ จะไม่เหมือนได้ยังไง นายไม่รู้เหรอว่าคนใกล้จะตายก็เป็นเหมือนแสงสุดท้ายก่อนอาทิตย์ตก[2] ทั้งนั้นล่ะ แล้วไม่นานมานี้ฉันเองก็กินบำรุงไปเยอะด้วย แน่นอนว่าย่อมมีกำลังวังชาอยู่แล้ว

สายตาจ้านเป่ยเทียนไหววูบ ส่งเสียงเย้ยหยันว่า เวลาแสงสุดท้ายก่อนพระอาทิตย์ตกของนายมันจะไม่นานไปหน่อยเหรอ

ถึงยังไงหมอก็บอกฉันว่าเหลือเวลาอีกเดือนกว่าๆ นะ ถ้านายไม่เชื่อ นายก็ไปถามหมอสิ

จ้านเป่ยเทียนเม้มริมฝีปาก จ้องใบหน้าที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผล ถามว่า เมื่อไรนายจะเอาผ้ากอซบนหน้าออกได้

มู่อี้ฟานรู้สึกผิดไปชั่วขณะ หมอบอกว่าต้นเดือนหน้าถึงจะเอาผ้ากอซออกได้

ต้นเดือน...

จ้านเป่ยเทียนพึมพำเบาๆ จากนั้นยกมือขึ้นยื่นไปที่ใบหน้าของมู่อี้ฟาน ชั่วขณะกำลังสัมผัสแก้มของอีกฝ่าย จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนทิศทาง แกะผ้าไหมสีขาวบนหน้าออก เดินออกจากเตาแล้วเอ่ยว่า ใส่เสื้อผ้าซะ

มู่อี้ฟานหรี่ตาลงเพื่อปรับสายตากับแสงแดดที่ส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่าง ไม่ต้องแช่ต่อแล้วเหรอ

ไม่ต้อง

จ้านเป่ยเทียนหยิบผ้าขนหนูแห้งที่เตรียมไว้แต่เช้าตรู่ส่งให้มู่อี้ฟาน หลังจากนั้นก็หันหลังไป

มู่อี้ฟานลุกยืนขึ้น กำลังคิดจะเช็ดตัวก็เห็นผิวสีข้าวสาลีของตัวเองหายไปกลายเป็นไก่ต้มสับเสียก่อน

จริงๆ แล้ว ในน้ำใส่น้ำพุวิญญาณลงไปสินะ มิฉะนั้นสีผิวของเขาไม่มีทางที่จะเปลี่ยนเป็นสีขาวอย่างกะทันหันแน่

แม้มู่อี้ฟานจะรู้สาเหตุที่ผิวเปลี่ยนเป็นสีขาว แต่ยังแสร้งถามอย่างอินโนเซนต์ว่า เป่ยเทียน ทำไมอยู่ๆ ผิวฉันกลายเป็นสีขาวอย่างนี้ล่ะ ในส่วนผสมของยาที่นายใส่น่าจะมีผลฟอกขาวหรือเปล่า

จ้านเป่ยเทียนมองผิวขาวนุ่มดุจหิมะเฉกเช่นเด็กทารกก็ไม่ได้พูดอะไร และเดินออกจากห้องครัว

นี่...มู่อี้ฟานรีบเช็ดตัวให้แห้ง สวมเสื้อผ้าเสร็จก็วิ่งออกจากห้อง และเห็นหัวหน้าหมู่บ้านวิ่งเข้ามาในสวนอย่างลุกลี้ลุกลน

คุณจ้าน คุณจ้านอยู่ไหมครับ

จ้านเป่ยเทียนได้ยินเสียงก็เดินออกมาจากห้องโถง เห็นหัวหน้าหมู่บ้านมีสีหน้าร้อนใจจึงขมวดคิ้วถามว่า ว่ายังไงครับ

หัวหน้าหมู่บ้านวิ่งมาเบื้องหน้าจ้านเป่ยเทียนจนหอบแฮ่กๆ พูดอย่างเป็นกังวลว่า เรา...พวกเราส่งข้าวสารและผักผลไม้ไปที่เมือง G และถูกคนของกรมควบคุมอาหารและยายึดไว้ครับ พวกเขาบอกว่าสารกำจัดศัตรูพืชในผักและผลไม้ของพวกเราเกินมาตรฐานก็เลยไม่อนุญาตให้พวกเรานำเข้าไปขายครับ

จ้านเป่ยเทียนหรี่สายตา ถูกกักไว้ที่ไหน

ทันทีที่รถเราเข้าสู่เมือง G ก็โดนคนสกัดไว้ครับ บอกว่าต้องตรวจสอบ ภายหลังก็ยึดอาหารของพวกเราไป

จ้านเป่ยเทียนควักโทรศัพท์มือถือออกมาอย่างรวดเร็ว และเดินไปยังอีกมุมเพื่อหาคนมาจัดการเรื่องนี้ให้

หัวหน้าหมู่บ้านกระวนกระวายเดินวนไปวนมาอยู่ที่เดิม

พูดจริงๆ นะ เขาก็ไม่รู้ทำไมถึงวิ่งมาหาคนคนนี้ในตอนแรกที่เกิดเรื่องขึ้น แต่ทว่าในใจดันรู้สึกว่าคนคนนี้มีวิธีจัดการเรื่องนี้ได้

พอจ้านเป่ยเทียนคุยโทรศัพท์เสร็จก็กลับมาแล้วเอ่ยว่า คุณให้คนของคุณโทร.หาเบอร์ที่ผมให้คุณเมื่อวันก่อนนะ จะมีคนแก้ปัญหานี้ให้

ได้ครับ

หัวหน้าหมู่บ้านโทร.หาคนที่ให้พาขบวนเข้าไปในเมือง มอบหมายงานทุกอย่างถึงได้วางสายไป หลังจากนั้นก็กล่าวว่า คุณจ้าน ผมว่าเรื่องนี้ค่อนข้างไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผักผลไม้ของพวกเราถูกกักอย่างไร้สาเหตุ เป็นไปได้ไหมว่า...

เขาพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดลง และเชื่อว่าจ้านเป่ยเทียนสามารถเดาได้ว่าเรื่องนี้และชายชนชั้นนำทั้งห้ามีความเกี่ยวข้องกัน ไม่เช่นนั้น เหตุใดรถพวกเขาจะถูกกักทันทีที่เข้าเมืองล่ะ

ตลอดจนมู่อี้ฟานก็ไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ออกมา ถอนหายใจอย่างนิ่งเงียบ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นใครทำ น่าเสียดายที่ความเป็นปฏิปักษ์ต่อเขาในใจของพระเอกก็สูงยิ่งขึ้นแล้ว

จ้านเป่ยเทียนเม้มริมฝีปากกลับห้องโถงไปดูทีวีต่อ

เดิมทีหัวหน้าหมู่บ้านอยากจะจากไป แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเดี๋ยวอาจต้องมาหาจ้านเป่ยเทียนอีก เขาก็เลยก้มหน้าก้มตาตามเข้าไป

สองชั่วโมงต่อมา ขบวนที่มุ่งหน้าไปเมือง G ก็โทร.เข้ามา และรายงานว่าเรื่องราวนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น

ผักผลไม้ถูกกักไว้ไม่นานนักก็มีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบบอกว่าครั้งนี้เป็นการตรวจผิด ทำให้พวกเขานำพืชผักผลไม้กลับคืนมา และนำไปซื้อขายแลกเปลี่ยนกับคนประสานงานของเมือง G จนประสบความสำเร็จได้เงินก้อนใหญ่มา

ในที่สุดหัวหน้าหมู่บ้านก็ผ่อนหายใจโล่งอก ขอบคุณจ้านเป่ยเทียนคำหนึ่ง และเดินออกจากบ้านเฉินต้งไป

ในเวลานี้เอง โทรศัพท์จ้านเป่ยเทียนก็ดังขึ้น เป็นลู่หลินที่โทร.เข้ามา

บอส จัดการเรียบร้อยแล้วครับ ผักผลไม้และข้าวสารที่ส่งมาก็เก็บเข้าโกดังทั้งหมดแล้ว เมื่อไรคุณจะกลับเมือง G ครับ

จ้านเป่ยเทียนถามเสียงเรียบ มีอะไร

ลู่หลินยิ้ม ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ เพียงแต่คุณส่งเหล่าพี่น้องออกไปซื้อเสบียง พรุ่งนี้จะกลับเมือง G กันอยู่แล้ว เพราะอย่างนั้นก็เลยอยากแวะหาบอสเพื่อรวมกลุ่มกันหน่อยน่ะครับ

จ้านเป่ยเทียนเลิกคิ้ว แค่รวมกลุ่มกันแน่นะ

ลู่หลินหัวเราะน้อยๆ อันที่จริงทุกคนก็แค่อยากเห็นพี่สะใภ้กันน่ะครับ บอส คุณคงไม่ทำให้พวกเราผิดหวังใช่ไหมล่ะครับ

พี่สะใภ้?

สายตาของจ้านเป่ยเทียนหันไปทางมู่อี้ฟานที่กำลังปอกผลไม้อย่างเงอะงะโดยไม่รู้ตัว

หกโมงเย็นวันพรุ่งนี้ ฉันจะกินข้าวที่ตึกฮั่น[3] ในตัวเมือง

ได้ครับ ผมจะไปจองห้องส่วนตัวให้เดี๋ยวนี้ครับลู่หลินวางสายไปอย่างดีใจ

จ้านเป่ยเทียนวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ พรุ่งนี้เราจะกลับเมือง G”

โอ้

เดิมทีมู่อี้ฟานก็ไม่สนใจอยู่แล้วว่าจะออกจากหมู่บ้านไป๋ปี้ชุนเมื่อไร เพราะจุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ก็เพื่อต่อเวลาเชื่อมสัมพันธ์กับพระเอกให้มากหน่อยอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ยิ่งเข้าหากัน เขาก็ยิ่งไม่สามารถลงมือกับพระเอกได้ บางทีเขาอาจถูกลิขิตให้เป็นซอมบี้แบบในนิยายก็ได้

พอตกเย็น เมื่อเฉินต้งได้รู้ว่าพรุ่งนี้พวกจ้านเป่ยเทียนจะต้องออกจากหมู่บ้านไป๋ปี้ชุน ก็เลยตั้งใจทำอาหารเป็นมื้อใหญ่พิเศษ พอกินกันจนถึงสามทุ่มก็ได้กลับห้องไปอาบน้ำเข้านอน

ขณะหลับอยู่ จ้านเป่ยเทียนพบว่ามู่อี้ฟานมีข้อบกพร่องอีกอย่างอีกครั้ง ไม่เพียงแต่ชอบกอดเขาตอนนอนเท่านั้น ยังชอบใช้ใบหน้าถูไถกับตัวเขา อีกทั้งยังใช้ลิ้นเลียแขนของเขาที่เผยนอกผ้าห่มด้วย แถมปากยังงึมงำไม่หยุดว่า หอมจัง หอมจังเลย

แม้เขาจะยัดหยกไว้ในมือมู่อี้ฟาน แต่ก็ใช้ไม่ได้ผลกับคนที่หลับอยู่ข้างๆ อย่างเชื่องๆ นัก

ด้วยเหตุนี้ มู่อี้ฟานจึงทั้งกอดทั้งเลียทั้งหนุนอยู่บนตัวจ้านเป่ยเทียนทั้งคืน

ตื่นขึ้นมาในเช้าวันนี้ เขาพบว่าส่วนมุมปากและคอของตัวเองเย็นๆ พอใช้มือเช็ด หลังมือก็เปื้อนคราบน้ำที่เปื้อนเป็นวงกว้างทันที

น้ำลาย?

มู่อี้ฟานมองหลังมืออย่างงุนงง หลังจากนั้นพอหันไปก็สบสายตาเย็นชาของจ้านเป่ยเทียนเข้า

ฉันละอยากรู้จริงๆ ว่าเมื่อคืนนายฝันอะไรอยู่จ้านเป่ยเทียนถามเสียงต่ำ

ฉัน?” มู่อี้ฟานนึก เหมือนฉันจะฝันว่าได้กินอาหารมื้อใหญ่นะ

จ้านเป่ยเทียนสูดหายใจเข้าลึกๆ ข่มอารมณ์เดือดในใจ ผลักคนที่นอนทับบนตัวเขาอยู่ออกไป ลุกขึ้นถอดเสื้อที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำลายออกแล้วไปยังห้องน้ำเพื่ออาบน้ำล้างตัว

หลังจากทั้งสองคนกินมื้อเช้ากันแล้วก็ขับรถออกจากหมู่บ้านไป๋ปี้ชุน

ระหว่างทางกลับเมือง G จ้านเป่ยเทียนขับรถช้ามากๆ จุดประสงค์คืออยากดูวิวทิวทัศน์ข้างหน้าให้มากขึ้นเท่านั้น หลังจากรอจนวันสิ้นโลกมาถึง อยากจะเห็นก็ไม่ได้เห็นอีกแล้ว

เมื่อกลับถึงตัวเมือง G ก็เป็นเวลารับประทานอาหารหกโมงเย็นพอดิบพอดี

มู่อี้ฟานและจ้านเป่ยเทียนมาถึงตึกฮั่นก็มีพนักงานต้อนรับหญิงซึ่งสวมชุดฮั่นฝู[4] สองคนเข้ามาต้อนรับ

จ้านเป่ยเทียนถามว่า เมื่อวานมีคุณผู้ชายแซ่ลู่จองห้องส่วนตัวไว้ไหม

ใช่ค่ะ ตอนนี้คุณลู่อยู่ห้องส่วนตัวฮั่นชั้นห้าค่ะพนักงานต้อนรับหญิงพาพวกเขาขึ้นไปชั้นห้าแล้วเคาะประตู เมื่อคนข้างในอนุญาตแล้ว เธอก็ผลักประตูเข้าไปก่อนจะเปิดประตูแทนจ้านเป่ยเทียน

เมื่อคนในห้องเห็นจ้านเป่ยเทียน บรรยากาศพลันพลุ่งพล่านขึ้น

นั่นบอส บอสมาแล้วเว้ยลู่หลินเห็นผู้มาเยือนก็ตะโกนลั่นอย่างยินดี

สองสามคนที่นั่งคุยกันอยู่บนโซฟาอีกด้านหนึ่งได้ยินเสียงตะโกนนั้น จึงมองไปที่ประตูอย่างไว โอ้! บอสมาแล้วว่ะ บอสช่างตรงเวลาดีจริงๆ แต่มาเป็นคนสุดท้าย ต้องลงโทษให้ดื่มสักแก้ว ทุกคนว่าถูกไหม

ถูก

เซี่ยงกั๋วรีบเอ่ย พี่น้องครับ เรื่องโทษดื่มค่อยว่ากันทีหลังนะ สิ่งที่สำคัญที่สุด ณ ตอนนี้คือดูพี่สะใภ้กันก่อนครับ

พี่สะใภ้?” บางคนที่ยังไม่รู้เรื่องถามอย่างสงสัย พี่สะใภ้อะไร

เซี่ยงกั๋วยิ้ม พวกนายยังไม่รู้กันเหรอ บอสมีแฟนสาวแล้วเว้ย

จริงดิ พี่สะใภ้เป็นใครวะ

เซี่ยงกั๋วหันไปมองจ้านเป่ยเทียน บอส คุณยังไม่รีบปล่อยพี่สะใภ้ออกมาให้พวกเราดูอีกล่ะครับ




[1] กระดอวัว คือ อวัยวะเพศของวัว ลึงค์เสือ คือ อวัยวะเพศและลูกอัณฑะของแมวที่แห้งแล้ว สองสิ่งนี้ใช้เป็นยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศของผู้ชาย

[2] อุปมาว่า สีหน้าคืนความสดใสก่อนกำลังจะตาย

[3] ร้านอาหารสไตล์ราชวงศ์ฮั่น

[4] ชุดจีนโบราณสมัยราชวงศ์ฮั่น


 

บทที่ 61 บอสชอบผู้ชายจริงๆ หรือ

จ้านเป่ยเทียนพิงอยู่ที่ประตู กวาดตามองเหล่าพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกับเขาอย่างเนือยๆ ถามว่า พี่สะใภ้มาจากไหน

เซี่ยงกั๋วผงะ ก็มู่มู่ไงครับ พี่สะใภ้มู่มู่น่ะ! โอ้! ผมว่านะบอส ผมว่าคุณคงไม่ได้คิดซ่อนพี่สะใภ้ไว้ในเวลานี้ใช่หรือเปล่า

มู่มู่?”

แววตาเฉยชาของจ้านเป่ยเทียนพาดผ่านรอยยิ้มตลกขบขันที่ยากจะสัมผัสได้ เขาล่ะไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองทำอะไรถึงทำให้พี่น้องแก๊งนี้เกิดความเข้าใจผิดขนาดนี้

มู่อี้ฟานซึ่งกำลังมองไปรอบๆ ทางเดินที่ตกแต่งแบบสมัยราชวงศ์ฮั่นอยู่นอกประตู ได้ยินจ้านเป่ยเทียนเรียกมู่มู่ก็ได้สติกลับคืนมา และหยั่งเชิงเข้าไปในห้องส่วนตัว เรียกฉันเหรอ

จ้านเป่ยเทียน “...”

คนทั้งหมดในห้องส่วนตัวมองไปยังทางเข้าประตู เห็นเพียงแค่คนที่พันผ้ากอซเต็มใบหน้ายืนอยู่ที่ประตูเท่านั้น

พิจารณาจากใบหน้า พวกเขาดูเพศไม่ออก แต่พิจารณาจากสัดส่วนความสูงมากกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร และยังจำแนกจากน้ำเสียงก็ตรัสรู้ได้ว่าที่ยืนอยู่ทางเข้าประตูเป็นผู้ชายคนหนึ่งแน่นอน

มู่อี้ฟานเห็นทุกคนต่างเงียบกริบ จึงถามด้วยความฉงนว่า ไม่ได้เรียกฉันเหรอ

จ้านเป่ยเทียนยืดตัวตรง และแนะนำเขาสั้นๆ มู่มู่ พวกเขาเป็นเพื่อนของฉัน

มู่อี้ฟานมีความทรงจำของราชาซอมบี้ แน่นอนว่าย่อมรู้จักพวกเซี่ยงกั๋ว สวัสดีทุกคน ฉันชื่อมู่มู่

พวกเซี่ยงกั๋วและลู่หลินมองมู่อี้ฟานเหมือนเห็นผีในทันใด สุดท้ายยังคงเป็นเหมาอวี่ที่ตั้งสติได้ก่อน คลี่ยิ้มแล้วยื่นมือขวาออกมา สวัสดีครับคุณมู่ ผมชื่อเหมาอวี่

คนอื่นๆ ก็ได้สติกันทีละคน และแนะนำตัวเองกับมู่อี้ฟาน

เหมาอวี่พามู่อี้ฟานและจ้านเป่ยเทียนเข้าไปนั่ง

พวกเซี่ยงกั๋วกลับเดินตามหลังอย่างช้าๆ พร้อมทั้งกระซิบคุยกัน

ไม่ใช่ว่าบอสมีแฟนสาวชื่อว่ามู่มู่เหรอ ทำไมที่มาเป็นผู้ชายล่ะ ฉันอยู่กับบอสมาหลายปีดีดัก ทำไมถึงไม่รู้ว่าบอสชอบผู้ชายกันนะ

ลู่หลินยักไหล่ ฉันจะไปรู้ได้ไงว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนกินข้าวกันล่าสุด พวกเราถามบอสว่ามีแฟนสาวแล้วใช่ไหมก็ไม่เห็นบอสจะเอ่ยขัด ตอนนั้นพวกเซี่ยงกั๋วที่อยู่ที่นั่นก็เป็นพยานได้ว่าฉันไม่ได้พูดปด

เซี่ยงกั๋วพยักหน้าหงึกๆ

แล้วบอสได้พูดไหมว่าแฟนสาวเขาชื่อมู่มู่น่ะ

ลู่หลินแสดงความลังเล ก็ไม่มีนะ

แล้วพวกนายรู้ได้ไงว่าแฟนสาวของบอสชื่อมู่มู่

เซี่ยงกั๋วเป็นคนบอก

เซี่ยงกั๋วรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้าน ดร.เก่ออย่างคร่าวๆ รวดเดียว ตอนนั้นฉันถามบอส เขาก็ไม่ได้แย้ง แถมฉันยังไม่เคยเห็นบอสเคร่งเครียดเพื่อใครขนาดนี้เลย

ทุกคนตกตะลึง นี่บอสชอบผู้ชายจริงๆ เหรอ

จ้านเป่ยเทียนที่นั่งอยู่ฝั่งโต๊ะอาหารเหลือบมองพวกเซี่ยงกั๋ว และหยิบเมนูอาหารส่งให้มู่อี้ฟาน นายสั่งสิ

มู่อี้ฟานไม่ได้กินอาหารมื้อใหญ่มานานแล้ว เขารับเมนูอาหารมาอย่างเปรมปรีดิ์ หันไปสั่งอาหารกับบริกรอย่างเสียกิริยา เอาปูขนนึ่งน้ำซุปหนึ่งชุด แล้วก็กุ้งอบซอสมะเขือเทศ หอยเซลล์นึ่งเส้นกำมะหยี่หิมะ[1]...”

เขาสั่งอาหารทะเลห้าหกอย่างติดกัน สุดท้ายเอาไวน์แดงมาอีกห้าขวด

บริกรจดอาหารที่มู่อี้ฟานสั่งทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

มู่อี้ฟานปิดเมนูแล้วส่งให้จ้านเป่ยเทียน ให้นาย

จ้านเป่ยเทียนไม่ได้รับเมนูมา แค่เอ่ยเฉื่อยๆ ว่า ไม่ต้อง ทั้งหมดที่นายสั่งเป็นอาหารที่พวกเราชอบ แต่อาหารพวกนี้นายกินไม่ได้

มู่อี้ฟาน “...”




[1] เส้นกำมะหยี่หิมะ คือ หัวไชเท้าสีขาวหั่นฝอย


 

บทที่ 62 แต่เดิมก็นอนด้วยกันอยู่แล้ว

จ้านเป่ยเทียนเห็นในดวงตาของมู่อี้ฟานเต็มไปด้วยคำว่าทำไม จึงอธิบายว่า นายคิดว่าด้วยสภาพใบหน้าของนาย ท้อง ต้นขา และแขนของนายจะกินอาหารทะเลได้ไหมล่ะ

พอพูดแบบนี้ออกไป เขาก็เพิ่งตระหนักได้ว่าทั่วทั้งร่างของอีกฝ่ายบาดเจ็บ และเปราะบางอย่างมาก

มู่อี้ฟานเหี่ยวเฉาลงฉับพลัน

เดิมยังคิดใช้ประโยชน์ก่อนกลายเป็นซอมบี้กินอาหารมื้อใหญ่สักมื้อ หากรอให้กลายเป็นซอมบี้ที่แท้จริง อาหารปรุงสุกเหล่านี้กล่าวได้ว่าจะไม่มีรสชาติสำหรับเขาอีกต่อไป ใส่ปากไปก็เหมือนเคี้ยวขี้ผึ้งเท่านั้น

จ้านเป่ยเทียนพูดกับเหมาอวี่ที่ลอบสังเกตพวกเขาอยู่ตลอดว่า นายมาสั่งซะ

ครับเหมาอวี่รับเมนูมาด้วยรอยยิ้มแจ่มใส ปรายตามองใบหน้าที่ถูกพันผ้ากอซของมู่อี้ฟาน สั่งอาหารรสจืดมาห้าหกอย่าง รวมทั้งอาหารขึ้นชื่อในตึกฮั่น ต่อมายังสั่งอาหารท้องถิ่นกว่าสิบอย่างมาด้วย

หลังจากบริกรออกไปแล้ว พวกลู่หลินก็ทยอยมานั่งทีละคน

ในใจมู่อี้ฟานคิดคำนวณ ในห้องส่วนนั้นมียี่สิบสองคนซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจ้านเป่ยเทียนทั้งหมด พวกเขารูปร่างสูงกำยำ ไม่มีใครสูงน้อยกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรเลย ทั้งยังมีกล้ามเนื้อแข็งแรงทำให้คนเห็นทันทีก็รู้ว่าเป็นพลทหาร

หลังจากทุกคนเข้าประจำที่ก็สบตากันทีละคน

เซี่ยงกั๋วกระแอมไอ มองมู่อี้ฟานแล้วถามว่า คุณมู่ อย่าหาว่าฉันเป็นคนบ้านๆ พูดโผงผางอย่างนี้เลยนะ เพื่อนของบอสพวกเราเคยเห็นมาเกือบหมด แต่ยังไงก็ไม่เคยเห็นคุณเลย คุณกับบอสของพวกเรารู้จักกันเมื่อไรครับ

มู่อี้ฟานตอบตามตรงว่า พวกเราเพิ่งรู้จักกันเดือนนี้

เพิ่งรู้จักกันเดือนนี้?”

พวกเซี่ยงกั๋วและลู่หลินต่างเหลือเชื่ออยู่บ้างที่บอสของพวกเขาจะพาคนที่เพิ่งรู้จักกันเดือนเดียวมาพบพวกเขาเหล่าพี่น้องซึ่งร่วมเป็นร่วมตายกันมา

พวกเขาเชื่อว่าในเมื่อบอสพาคนมา เช่นนั้นย่อมมีความเกี่ยวข้องกับชายคนนี้อย่างไม่ธรรมดาแน่นอน

จู่ๆ เซี่ยงกั๋วก็นึกถึงตอนที่โทร.หาบอสไม่กี่วันก่อนขึ้นมาได้ เขาได้ยินเสียงผู้ชาย ตอนนั้นยังคิดอยู่เลยว่าแฟนสาวของบอสเพิ่งตื่นนอน เสียงถึงได้แหบต่ำเช่นเดียวกับเสียงผู้ชายขนาดนี้ ตอนนี้เมื่อนึกย้อนกลับไป ไม่แน่ว่าตอนนั้นอาจเป็นผู้ชายคนหนึ่งจริงๆ อีกทั้งยังเป็นชายที่ชื่อมู่มู่คนนี้นี่แหละ

เขาหลุดจากภวังค์ ถามว่า คุณมู่ คะ...คุณใช่คนที่อยู่กับบอสไม่กี่วันก่อนไหมครับ เอ่อ ผมหมายถึงพวกคุณอยู่ในห้องเดียวกันหรือเปล่า

ใช่ครับ พวกเรานอนด้วยกันมาสองสามวันแล้ว

ทุกคนเงียบกริบไปชั่วขณะ

เป็นเวลานาน ซุนจื่อหาวถึงเค้นคำออกมาได้ แต่เดิมก็นอนด้วยกันแล้ว

จ้านเป่ยเทียน “...”

ทำไมเขารู้สึกว่ายิ่งพูดหัวข้อนี้เท่าไรยิ่งทำให้คนเข้าใจผิดมากขึ้นนะ

มู่อี้ฟานรู้สึกว่าบรรยากาศมันชักจะแปลกๆ จึงถามอย่างสงสัยว่า มีปัญหาอะไรเหรอ

เซี่ยงกั๋วรีบส่ายหัว ไม่ครับ ไม่มี เพียงแต่เช้าวันนั้นตอนโทร.หาบอส ในโทรศัพท์ได้ยินเสียงผู้ชายพูด เพราะอย่างนั้นก็เลยถามเฉยๆ ครับ

อ้อ พวกคุณก็อย่าเรียกฉันว่าคุณมู่อีกเลย มันไม่ชินน่ะ พวกคุณก็เรียกฉันว่ามู่มู่เหมือนจ้านเป่ยเทียนก็ได้นะ

โอเคครับเซี่ยงกั๋วยิ้มอย่างซื่อตรง หยิบเหล้าสองแก้วขึ้นมาวางบนโต๊ะหมุน และหมุนไปด้านหน้าจ้านเป่ยเทียนและมู่อี้ฟาน มู่มู่ คุณกับบอสมาเป็นคนสุดท้าย ต้องดื่มลงโทษหนึ่งแก้วนะครับ

ก็ได้ครับมู่อี้ฟานหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาอย่างกระปรี้กระเปร่า

แต่ทว่าเพิ่งวางจรดปากก็ถูกจ้านเป่ยเทียนด้านข้างฉกไปกระดกในอึกเดียว จากนั้นก็หยิบเหล้าอีกแก้วขึ้นมากระดกดื่มจนหมดอีกครั้ง

โอ๊ะ บอสนี่เข้าใจทำร้ายคนจริงๆซุนจื่อหาวพูดติดตลก

จ้านเป่ยเทียนขมวดคิ้ว เขาดื่มเหล้าไม่ได้

คนทั้งหมดหันไปมองใบหน้านั้นของมู่อี้ฟานที่พันผ้ากอซไว้ก็เข้าใจตรงกัน จากนั้นก็ไม่ชวนมู่อี้ฟานให้ดื่มเหล้าเคารพ[1] อีก

หลังจากเหมาอวี่ชนแก้วทุกคนเสร็จก็พูดถึงสถานการณ์ล่าสุดเร็วๆ นี้ขึ้นมา บอสครับ ตั้งแต่คนของบริษัทมู่ซื่อกว้านซื้อข้าวสารไป พวกเราก็ได้รับข้าวสารน้อยลงเรื่อยๆ บอสว่า พวกเราต้องไปที่ไกลอีกหน่อยแล้วค่อยรับข้าวสารกลับมาไหมครับ

จ้านเป่ยเทียนเม้มปากไม่พูดอะไร

เซี่ยงกั๋วที่นั่งอยู่มุมตรงข้ามขวามือเอ่ยอย่างโมโหว่า ฉันเห็นคนจากมู่ซื่อกรุ๊ปมาซื้อข้าวสาร เรื่องนี้ฉากหน้าเป็นมู่อี้หางส่งคนมา แต่โดยส่วนตัวมีโอกาสเป็นมู่อี้ฟานเล่นเล่ห์อยู่ในที่ลับมากกว่า

มู่อี้ฟาน “...”

ทำไมโบ้ยมาที่เขาอีกล่ะ

ทุกคนได้ยินคำว่ามู่อี้ฟานสามคำ ใบหน้าต่างก็รังเกลียดกันสุดๆ แม้แต่บางคนยังดูเดือดดาลอีกด้วย

พวกนายคิดดูสิ เขาชอบต่อสู้กับหาเรื่องบอสจะตาย พอรู้ว่าตอนนี้พวกเราซื้อเสบียงอยู่ เขาจะคิดหาวิธีก่อกวนเต็มที่แน่นอน แถมไม่อยากให้เราทำเรื่องต่างๆ ราบรื่นด้วย แต่ว่าก็ว่าเถอะ เขารู้ได้ยังไงว่าเราอยู่เมือง G น่ะ

มู่อี้ฟาน “...”

พบคนหลุมสมองเปิดกว้าง[2] เหลือจะทนจริงๆ

จ้านเป่ยเทียนยังคงไม่ส่งเสียงใดๆ แต่กลับกลั่นกรองด้วยตัวเอง

บริกรทยอยนำอาหารเข้ามาเสิร์ฟทีละจาน ทุกคนทิ้งเรื่องมู่อี้ฟานไว้ข้างหลังทันที เริ่มกินเริ่มดื่มตามใจชอบ และขู่ว่าไม่เมาไม่เลิกรา

จ้านเป่ยเทียนมีพฤติกรรมเหมาะสมอย่างมาก ตอนทุกคนชนแก้ว เขาก็จิบเพียงนิด ไม่เหมือนพวกเขาที่กรอกไวน์ในแก้วทั้งหมดลงท้องไปคราวเดียว

ในชั่วเวลานั้น บางครั้งสายตาก็กวาดไปด้านข้าง การกระทำเล็กๆ เหมือนหนูตัวน้อยขโมยอาหารทะเลของมู่อี้ฟานทั้งหมดตกอยู่ในสายตาเขา

จ้านเป่ยเทียนหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้จนมุมปากกระตุกขึ้น

มู่อี้ฟานไม่รู้สักนิดว่าจ้านเป่ยเทียนเห็นเขาแอบจิ๊กอาหารทะเลอยู่ เขาหันหลังให้จ้านเป่ยเทียน พลางแอบกิน พลางสนทนากับคนข้างๆ อย่างสนใจเต็มที่ไปด้วย

อย่างไรก็ตาม เขากินไม่ได้เยอะนัก ไม่อย่างนั้นจ้านเป่ยเทียนคงเอ่ยหยุดไปนานแล้ว

เหมาอวี่ซึ่งเฝ้ามองความน่าเลื่อมใสนี้อยู่ในสายตาเดาะลิ้นเบาๆ สองที

บอสต้องตกหลุมพรางแน่ๆ ดูสายตาที่บอสใช้มองมู่มู่สิ บอกได้ว่าละมุนได้เท่าไรก็ละมุนได้เท่านั้น

ทันใดเสียงข่าวที่ออกอากาศทางทีวีก็ดังขึ้น

จ้านเป่ยเทียนเงยหน้าขึ้นดูทีวี พิธีกรรายงานข่าวหลักก่อน สุดท้ายจึงค่อยรายงานข่าวย่อยลงมา

เวลาเก้านาฬิกาเช้าวันนี้ โรงพยาบาลจิตเวช XX เมือง H ได้มีผู้ป่วยสองรายหลบหนีออกจากโรงพยาบาลจิตเวช...

จ้านเป่ยเทียนหยุดกินข้าวกะทันหัน จ้องรูปถ่ายสองใบที่ฉายอยู่ในทีวีเขม็ง เอ่ยเสียงเข้มว่า เงียบซะ

เสียงของเขาไม่ดังนัก แต่กลับน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับทหารที่ได้รับการฝึกเป็นกิจวัตร ก็กล่าวได้ว่ามันถือเป็นคำสั่งนั่นแหละ

ห้องส่วนตัวอันคึกครื้น พริบตาเดียวก็เงียบลง เหลือเพียงเสียงพูดของพิธีกรที่อยู่ในทีวีเท่านั้น

อาการของผู้ป่วยทั้งสองรายรุนแรงอย่างมาก แค่เห็นคนก็กัด แถมตัวพวกเขายังทรมานจากโรคติดเชื้อที่น่ากลัว มันจะแพร่เชื้อไวรัสผ่านทางบาดแผลจนทำให้ร่างกายมนุษย์อ่อนแออย่างรวดเร็วจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากท่านใดพบเห็นผู้ป่วยสองรายนี้ กรุณาหลีกเลี่ยงและออกห่างทันที หรือโทร.แจ้งเบาะแสที่อยู่ของผู้ป่วยสองรายนี้ได้ที่หมายเลข XXXXXXXX…”

มู่อี้ฟานขมวดคิ้วและรู้สึกว่าเนื้อหาในข่าวนั้นคุ้นเคยเป็นอย่างดี ในไม่ช้าก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ ดวงตาจึงเบิกโพล่งขึ้น นี่มันต้นกำเนิดของไวรัสซอมบี้ที่เขาบรรยายไว้ในนิยายไม่ใช่หรือไงกัน

ที่เรียกว่าโรงพยาบาลจิตเวช มันเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อปกปิดเท่านั้น ที่จริงแล้วผู้ป่วยสองรายได้วิ่งออกมาจากสถาบันวิจัยแห่งชาติ และแหล่งที่มาของไวรัสก็คือ ตัวผู้ป่วยสองรายที่ว่านั่นเอง

อดีตพวกเขาเคยเป็นนักโบราณคดี ในครั้งแรก พวกเขาขุดพบสุสานจักรพรรดิอายุพันปี ช่างน่าเสียดายที่นอกจากโลงศพสีดำที่มีการแกะสลักอย่างประณีตบรรจงแล้วก็ไม่มีวัตถุศพ[3] อะไรเลย แม้แต่ภายในโลงเองก็ว่างเปล่าไร้ร่องรอย

อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาเปิดโลงศพ ข้างในก็มีควันสีดำลอยออกมา

นับตั้งแต่นั้นมา นักโบราณคดีทั้งสองก็เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด แววตาไร้ชีวิตชีวาขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการทำงานก็เฉื่อยชาโดยสิ้นเชิง จนสุดท้ายเมื่อเห็นคนก็เข้าไปกัด

คนที่เคยโดนพวกเขากัดก็เปลี่ยนเป็นเหมือนอย่างพวกเขา แม้กระทั่งยังกินเนื้อมนุษย์เป็นๆ ซึ่งมันสยดสยองอย่างยิ่ง

เนื่องจากตอนนั้นพบได้เร็ว สถานการณ์จึงถูกควบคุมไว้ หลังจากนั้นนักโบราณคดีทั้งสอง รวมทั้งผู้ที่เคยถูกกัดต่างถูกส่งไปยังสถาบันวิจัยแห่งชาติ เพื่อเป็นตัวทดลองของนักวิจัยทั้งหมด

ตอนนี้ผู้ป่วยสองรายหลบหนีออกมา ก็หมายความว่าวันสิ้นโลกใกล้จะมาถึงแล้ว

อย่างไรก็ตาม เขาจำได้ว่าผู้ป่วยสองรายนั้นจะหนีออกจากสถาบันวิจัยในวันที่ 25 ทำไมมันถึงเกิดก่อนหนึ่งสัปดาห์ล่ะ

เมื่อข่าวสิ้นสุด ทุกคนก็ยังไม่กล้าเปล่งเสียงออกมา

จ้านเป่ยเทียนขมวดคิ้วเป็นปม สักพักผ่านไปจึงเอ่ยว่า ลู่หลิน ช่วงนี้พวกนายอย่าออกจากเมือง G นะ สำหรับเรื่องซื้อสินค้า ซื้อแค่ในเมือง G ก็พอแล้ว อีกเรื่อง ถ้าพวกนายพบคนที่เป็นประเด็นในข่าว หรือคนที่เคลื่อนไหวเชื่องช้า ให้หลีกเลี่ยงซะ อย่าสนใจและอย่าเดินเข้าหา ถ้าพวกเขากระโจนหาพวกนาย ใช้ปืนเป่าหัวพวกเขาโดยตรงได้เลย อย่าให้พวกเขาทำร้ายพวกนายได้

ชะ...ใช้ปืนเลยเหรอครับลู่หลินและคนอื่นๆ อ้าปากค้างด้วยความตกใจ

นัยน์ตาจ้านเป่ยเทียนเป็นประกายด้วยความจริงจัง ใช่ นี่เป็นคำสั่ง ถ้าเกิดอะไรขึ้น ฉันรับผิดชอบแทนพวกนายเอง

ครับ




[1] เป็นวัฒนธรรมดื่มเหล้าชนแก้วเพื่อแสดงความเคารพต่อกัน หรือดื่มให้เกียรติกันของคนจีน

[2] หลุมสมองเปิดกว้าง หมายถึง จินตนาการ หรือเพ้อฝันไปไกล

[3] สิ่งของที่ฝังร่วมกับคนตาย


 

บทที่ 63 ตรงนี้มันอึดอัด

พอถึงห้าทุ่ม การร่วมมื้ออาหารค่ำก็จบลง คนกลุ่มใหญ่จึงเดินออกจากตึกฮั่นอย่างโซซัดโซเซ

เนื่องจากคืนนี้จ้านเป่ยเทียนดื่มไปหลายแก้ว เขาจึงขอให้มู่อี้ฟานขับรถกลับ

มาถึงวิลลาก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ทั้งสองต่างก็กลับไปนอน

ชั่วขณะที่มู่อี้ฟานปิดประตูห้องลง ลมหายใจพรั่งพรูออกมาทันที

ระหว่างร่วมมื้ออาหารค่ำก่อนหน้านี้ กลิ่นกายมนุษย์โชยเข้ามาจากทุกทิศทาง เขาแทบจะอยากกัดคนอย่างอดใจไม่ได้อยู่แล้ว

ณ ตอนนี้ สุดท้ายเขาก็สามารถอยู่ในห้องคนเดียวจนได้ ไม่ต้องกังวลต่อไปว่าขณะตัวเองกำลังหลับจะเผลอกัดพระเอกเข้า

แน่นอนว่า บางทีการกระทำเช่นนี้อาจมีโอกาสเอาชีวิตพระเอก และบรรลุเป้าหมายแรกของเขาที่ต้องการฆ่าพระเอกได้ อย่างไรก็ตาม ใจจริงเขาไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นตัวประหลาดกินคน

เขาสามารถจัดการพระเอกได้ด้วยวิธีต่างๆ แม้กลยุทธ์จะไม่ลื่นไหลนัก แต่ก็ไม่สามารถใช้การกัดได้ ตอนนี้แค่ลองคิดดูก็รู้สึกคลื่นไส้แล้ว

มู่อี้ฟานเดินเข้าห้องน้ำ เขาอาบน้ำก่อนค่อยส่องกระจกดูว่าได้เปลี่ยนเป็นศพอีกขั้นหรือเปล่า หลังจากแน่ใจว่าร่างกายบนล่างเหมือนคนธรรมดาทั่วไป เขาถึงออกจากห้องน้ำไปนอนหลับบนเตียง

ในคืนนี้ข้างกายไม่มีพระเอก เขาตระหนักถึงรสชาติของการนอนไม่หลับอีกครั้ง ท้องทำให้เขาอึดอัดมาก และทำให้ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็นอนไม่หลับ

อีกทั้งความอึดอัดเช่นนี้ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกปวดหนึบๆ หรือปวดอยู่เรื่อยๆ แต่เหมือนช่วงอกจะหายใจไม่ออก ทั้งอึดอัด ทั้งหัวเสียอยู่บ้าง

มู่อี้ฟานไม่หลับเอาเสียดื้อๆ ลืมตามองเพดาน คิดเจ็ดคิดแปด[1] สุดท้ายก็คิดว่าพระเอกหลับไปแล้วหรือยังในตอนนี้

ไม่มีเขาอยู่เคียงข้าง พระเอกน่าจะหลับสบายอยู่มั้งนะ

อย่างไรก็ตาม ภายในอีกห้องหนึ่ง จ้านเป่ยเทียนไม่ได้หลับไปเหมือนอย่างที่มู่อี้ฟานคิด ถึงหลับสนิทไปแล้ว และถึงแม้ก่อนหน้าจะดื่มเหล้าไปบ้าง แต่เขาก็ยังตื่นตัวอย่างหาใครเทียบได้

เขารู้สึกว่าความเคยชินเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากจริงๆ นอนด้วยกันกับคนก็แค่สี่ห้าวันเท่านั้น ตอนนี้จู่ๆ ดันรู้สึกว่าข้างกายอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ไม่มีคนที่กอดเขา เหมือนมีบางสิ่งขาดหายไป

จ้านเป่ยเทียนหลับไม่ลง จึงลุกขึ้นและเข้าไปในมิติ ใช้เวลาไม่นานก็วาร์ปออกมา ในมือมีกล่องไม้เล็กประณีตที่ล็อกไว้

เขาเดินออกจากห้องจนมาถึงประตูห้องถัดไป พยายามผลักเปิดประตูห้องของมู่อี้ฟานเบาๆ พบว่า ประตูไม่เพียงแต่ไม่ได้ล็อก แต่คนข้างในก็ยังไม่ได้หลับ และเพราะการมาของเขา จึงสะดุ้งจนผุดขึ้นนั่ง

มู่อี้ฟานเห็นคนมาเป็นจ้านเป่ยเทียนจึงถอนใจโล่งอก ตกใจแทบตาย ฉันยังคิดว่าเป็นขโมยวิ่งเข้ามาเสียอีก

จ้านเป่ยเทียนเดินไปยังปลายเตียงถามว่า ทำไมไม่นอน

นอนไม่หลับมู่อี้ฟานแตะท้อง ตรงนี้มันอึดอัด

จ้านเป่ยเทียนเห็นท้องใหญ่ขนาดนี้ก็เอากล่องไม้เล็กในมือยื่นให้มู่อี้ฟาน

กล่องไม้เล็กขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างแค่ยี่สิบเซนติเมตร ข้างบนแกะสลักประณีตอย่างยิ่ง เป็นเหมือนกล่องที่คนใช้ใส่ของล้ำค่าในสมัยโบราณ

มันคืออะไร

มู่อี้ฟานรับมาอย่างสงสัย และรู้สึกว่าท้องสบายขึ้นมากทันตา ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกับความรู้สึกที่เขาสัมผัสหินดิบเลย คิดในใจว่า ของที่ใส่ในกล่องไม่น่าจะเป็นหยกนะ

จ้านเป่ยเทียนไม่ได้ตอบเขากลับ หมุนตัว และเดินกลับออกไป

มู่อี้ฟานเห็นเขาจะไป ก็รีบยื่นมือไปคว้าเสื้อของเขาไว้ เดี๋ยว




[1] ฟุ้งซ่าน


 

บทที่ 64 นายอาวรณ์ที่จะแยกจากฉัน

จ้านเป่ยเทียนหันกลับมา มีอะไรอีก

มู่อี้ฟานรีบเอ่ยว่า เป่ยเทียน นอนเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ

คืนนี้ถ้าไม่มีพระเอกหลับอยู่ข้างๆ เขาต้องนอนไม่หลับแน่ๆ

เพื่อจะหลับอย่างสงบสุขได้ เขายังคงอดทนไว้จะดีกว่า ถึงอย่างไรเขาก็ได้หลับในไม่ช้านี้แล้ว ด้วยวิธีนี้เขาก็ไม่คิดอยากจะกัดคนอีกแล้ว

จ้านเป่ยเทียนเม้มปากแน่น จ้องเขาโดยไม่พูดอะไร

นายไม่อยู่ ฉันนอนไม่หลับเลย

ความตกใจวาบผ่านนัยน์ตาจ้านเป่ยเทียน มองสายตาอ้อนวอนที่มองเขาอยู่ ดวงตาจึงฉายแววลังเล

นายวางใจได้เลย นายแค่นอนแป๊บเดียวก็พอ สักพักฉันก็หลับแล้ว ถึงตอนนั้นนายก็กลับไปนอนห้องถัดไปก็ได้นะ

มู่อี้ฟานเห็นคิ้วจ้านเป่ยเทียนคลายลงก็รู้ว่าเขาเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ เขาจึงรีบผุดจากเตียง ตบตรงพื้นที่ว่าง พูดอย่างดีใจว่า มาเร็ว

จ้านเป่ยเทียนมองดวงตาคู่นั้นที่ยิ้มสว่างไสวราวกับจันทร์เสี้ยว ทั้งยังมองเตียงที่เขาตบอยู่ ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงถอดรองเท้า แล้วล้มตัวนอนลงไป

มู่อี้ฟานถลาไปข้างเขาอย่างตื่นเต้น สูดหายใจเข้าลึกๆ

พระเจ้า!

ตัวพระเอกหอมจริงๆ เขารู้สึกว่ามันหอมมากๆ จนเขาอยากจะเลียมันเสียเลย

จ้านเป่ยเทียนปรายตามองมู่อี้ฟานที่เอาแต่ถูกับแขนเขาไม่หยุด พูดเสียงต่ำว่า อย่าขยับ

มู่อี้ฟานกอดกล่องไว้ไม่กล้าเคลื่อนไหวอีก

ในวันนี้เขาไม่ได้หลับไปภายในไม่กี่วิเหมือนอย่างเคย

หลังจากปรือตาหลับไปสองนาทีก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง มองจ้านเป่ยเทียนที่ยังคงลืมตาอยู่ และพูดอย่างห่อเหี่ยวว่า ฉันนอนไม่หลับ

จ้านเป่ยเทียนหันไปมองเขา

พวกเรามาคุยกันเถอะมู่อี้ฟานไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจหรือไม่ จึงเป็นฝ่ายคุยก่อนว่า เป่ยเทียน เมื่อไม่นานมานี้ ทำไมนายไม่ถามเรื่องของที่ฉันต้องเอาคืนนายเลยล่ะ เอ่อ มันก็คือลูกปัดสีแดงอันนั้นที่ฉันกลืนเข้าไปไง

จ้านเป่ยเทียนถามเรียบๆ ว่า นายเอาออกได้แล้ว?”

ก็ไม่ได้เพิ่งอยากจะถามนายหรอกนะ ถ้าฉันเอาออกไม่ได้ตลอดไป นายจะทำยังไง จะพาฉันไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลจริงๆ อย่างนั้นเหรอ

ดวงตาจ้านเป่ยเทียนทอประกายเล็กน้อย พูดติดจะมีนัยลึกซึ้งว่า ฉันจะรอให้นายหายท้องอืดก่อนค่อยผ่าตัด

มู่อี้ฟานไม่พอใจ ฉันเป็นคนใกล้จะตาย นายก็รอหลังจากฉันตาย ค่อยเอามันออกไม่ได้หรือไง

จ้านเป่ยเทียนได้ยินคำว่า ตาย สีหน้าพลันเย็นชา

มู่อี้ฟานเห็นสีหน้าพระเอกจู่ๆ ก็เย็นชาขึ้น เลยถามเขาเสียงค่อยว่า ไม่ได้เหรอ

จ้านเป่ยเทียนยกมือขึ้นปิดตาเขา พูดเสียงเข้มว่า นอน

ความมืดมิดปกคลุมเบื้องหน้ามู่อี้ฟาน เขาจึงรีบเอ่ยว่า นายให้ฉันพูดอีกสักประโยค พูดประโยคเดียวก็พอนะ

ว่ามา

มู่อี้ฟานกล่าวอย่างรัวเร็วว่า ถ้าวันหนึ่งฉันจากไป หรือไม่อยู่แล้ว นายจะอาวรณ์ที่จะแยกจากฉัน หรือนายจะคิดถึงฉันหรือเปล่า

ถ้าวันหนึ่งพบว่าเขาคือราชาซอมบี้มู่อี้ฟาน ไม่รู้ว่าพระเอกจะทรมานเขาปางตายอย่างโหดเหี้ยมเหมือนอย่างที่เขาบรรยายไว้ในนิยายหรือไม่

ทว่ามู่อี้ฟานรอจนกระทั่งหลับไปโดยไม่รอคำตอบของพระเอกแล้ว

จ้านเป่ยเทียนได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของอีกฝ่าย จึงปล่อยมืออย่างช้าๆ ทว่ากลับไม่ได้แกะออกในทันที แต่ยื่นปลายนิ้วไปแตะเบาๆ ที่ผ้ากอซเนื้อหยาบ

เป็นเวลานาน เขาก็หาคำตอบมาตอบคำถามของมู่อี้ฟานไม่ได้เลย


 

บทที่ 65 ศพ

เมื่อตื่นนอนในวันรุ่งขึ้น จ้านเป่ยเทียนไม่ได้อยู่ข้างเขาแล้ว มู่อี้ฟานก็ไม่ได้สนใจ อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องจ้านเป่ยเทียนไม่ได้ตอบคำถามสุดท้ายของเขาเมื่อคืนวาน มันจึงยากที่จะเลี่ยงความเสียใจเล็กน้อยไม่ได้

แต่ถึงอย่างไร เวลาที่พวกเขารู้จักกันก็เพียงแค่ครึ่งเดือนกว่าเท่านั้น พระเอกจะเกิดความรู้สึกต่อเขาเร็วขนาดนี้ได้อย่างไรเล่า ตอนนี้ท่าทีอ่อนโยนที่มีต่อเขามากขึ้นก็ถือว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ไม่เลวทีเดียว

เขาจะโลภเกินไปไม่ได้ อยากให้พระเอกปฏิบัติต่อเขาเช่นเดียวกับจ้านเป่ยเทียนในโลกจริง นั่นมันคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

มู่อี้ฟานนอนอยู่บนเตียงสักพัก ตะแคงตัวเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนตู้ข้างเตียงมาเช็กเวลา ทันใดนั้นเขากลับพบว่าการเคลื่อนไหวของตัวเองนั้นเชื่องช้าลงเล็กน้อย

เขาหยุดชะงัก มองมือตัวเองอย่างสับสน

เมื่อกี้เขาคงไม่ได้รู้สึกไปเองใช่หรือเปล่า การเคลื่อนไหวของเขาดูเหมือนจะไม่คล่องแคล่วเหมือนอย่างเคย

มู่อี้ฟานยังคงคว้าโทรศัพท์ไว้ แน่นอนว่านิ้วมันแข็ง เหยียดกลับมาค่อนข้างยาก แต่ขณะที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เนื่องจากนิ้วใช้การไม่ได้ มันจึงหลวมจนหลุดออกจากมือ และตกพื้นตู้ข้างเตียง

เขามองฉากนี้ด้วยความตกตะลึง เนิ่นนานกว่าสติจะคืนกลับมา

มู่มู่ ตื่นหรือยังจ้านเป่ยเทียนเคาะประตู จากนั้นก็เดินเข้ามาเห็นมู่อี้ฟานกำลังมองตู้ข้างเตียงอย่างตกตะลึง จึงเอ่ยอย่างสงสัยว่า เป็นอะไร

มู่อี้ฟานได้สติ ไม่มี...

คำว่า อะไร ท้ายประโยคติดอยู่ในลำคอของเขา ทำอย่างไรเสียงก็ไม่ออก กระแสเสียงเองก็แหบแห้งจนหาที่เปรียบไม่ได้ และเหมือนเวลาเป็นหวัดที่เสียงต่างก็แหบลึกไปหมด

ในใจมู่อี้ฟานตื่นตระหนกใหญ่

นี่เป็นสัญญาณว่ากำลังจะเปลี่ยนเป็นซอมบี้ และส่อเค้าว่าเขาใกล้จะกลายเป็นซอมบี้ที่ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะอย่างเต็มตัว

จ้านเป่ยเทียนไม่ได้สังเกตว่าเสียงเขามีปัญหาใดๆ ทุกๆ คนตอนตื่นนอน ก็ล้วนมีเสียงแหบแห้งกันทั้งนั้น มันเป็นเรื่องปกติมาก

ลงไปกินข้าวเช้าสิ

เขาพูดประโยคนี้จบก็เดินออกจากห้องไป

มู่อี้ฟานลุกขึ้นนั่ง ดีใจที่ร่างกายยังเหมือนก่อน ไม่ได้เปลี่ยนเป็นเชื่องช้า ทว่าก็ไม่เร็วเช่นกัน

เขานั่งบนเตียงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟัน เมื่อลงมากินมื้อเช้า เห็นตะเกียบและช้อนวางอยู่บนโต๊ะ ลังเลอยู่ชั่วขณะถึงหยิบช้อนขึ้นมาซดโจ๊ก โชคดีที่ในช่วงเวลาสำคัญยังสามารถบังคับนิ้วได้เล็กน้อยอยู่ และไม่ทำให้ช้อนหลุดร่วง

จ้านเป่ยเทียนพบว่าในวันนี้มู่อี้ฟานเงียบมากจนเกินไป จึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เพียงเอ่ยว่า กินข้าวเสร็จแล้ว ฉันจะออกไปข้างนอกสักหน่อยนะ นายจะไปด้วยกันกับฉันไหม

ฉัน...

มู่อี้ฟานเพิ่งพูดได้คำเดียว จะไม่ไปแล้ว ประโยคหลังติดอยู่ในลำคอ และเปล่งออกมาไม่ได้อีกครั้ง

เขาจึงคิดส่ายหัวบอกว่าไม่ไป แต่กลัวจ้านเป่ยเทียนจะดูอะไรออกอีก สุดท้ายก็ทำได้เพียงพูดว่าโอเค

ทั้งสองกินอาหารเช้าเสร็จก็ขับรถออกไปจากเขตวิลลา

พอมู่อี้ฟานขึ้นรถก็แสร้งเป็นปิดตานอน ถึงอย่างไรเมื่อเร็วๆ นี้ เขาก็หลับอยู่บ่อยๆ ก็ไม่น่าแปลก ขอแค่พระเอกไม่พบความผิดปกติของเขาก็พอแล้ว


 

บทที่ 66 ผู้ชายที่ดีที่สุดในโลก

รถขับมาถึงโรงงานระหว่างตรอกตะวันตกและตรอกตะวันออกของเมือง G ที่นั่นเป็นเขตโกดังซึ่งให้คนอื่นเช่าเพื่อจัดเก็บสินค้าโดยเฉพาะ

พอจ้านเป่ยเทียนจอดรถก็ปลุกมู่อี้ฟานที่แสร้งหลับขึ้นมา จากนั้นลงรถเดินไปหาเหมาอวี่ที่กำลังสั่งของอยู่

มู่อี้ฟานลงจากรถ เห็นคนขนของจำนวนหนึ่งกำลังขนย้ายสินค้าเข้าไปในโกดัง เขาจึงเดาได้ว่าที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ที่พระเอกเช่ามาไว้เก็บสินค้า

และเพื่อป้องกันไม่ให้พระเอกเห็นความผิดปกติของเขา เขาจึงเป็นฝ่ายเดินไปหาพระเอกและเหมาอวี่เอง คลี่ยิ้มและทักทายเหมาอวี่ ไฮ~”

สำหรับในตอนนี้เขาพูดได้เพียงบางคำเท่านั้น คำว่า ไฮ นี้เป็นวิธีทักทายที่ดีที่สุดแล้ว

เหมาอวี่ยิ้ม มู่มู่ คุณก็มาด้วย

มู่อี้ฟานพยักหน้า และไม่ได้กวนพวกเขาพูดคุยอีก

เหมาอวี่กล่าวต่อว่า บอสครับ ของที่บรรทุกในรถสองสามคันนี้เป็นสินค้าชุดสุดท้ายที่พวกเรารับมาจากสถานที่ต่างๆ ครับ ต่อจากนี้คุณวางแผนจะทำอะไรครับ

จ้านเป่ยเทียนพูดเสียงแผ่วว่า ขนของให้เสร็จก่อนค่อยว่ากันอีกที

ได้ครับ ตอนนี้ผมสั่งของต่อนะครับ มีอะไรก็ไปหาผมที่โกดังได้

จ้านเป่ยเทียนผงกหัว รอเหมาอวี่จากไปก็หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทร.ต่อหน้ามู่อี้ฟาน สวัสดีครับมิสเตอร์ดร็อก ผมจ้านเป่ยเทียนนะครับ

ภาษาต่างประเทศที่เขาพูดคือของประเทศ Y มู่อี้ฟานกลับพบว่าจู่ๆ ตัวเองก็ฟังเข้าใจเช่นกัน ในใจคิดว่า อาจจะเพราะร่างนี้เดิมก็เข้าใจภาษาประเทศ Y อยู่แล้ว

เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ ตอนนี้ผมต้องการสินค้าชุดนั้นที่สั่งกับพวกคุณครั้งล่าสุดด่วนมาก หวังว่าจะสามารถเจรจาแลกเปลี่ยนกับพวกคุณล่วงหน้าได้นะครับ

มู่อี้ฟานได้ยินมาถึงตรงนี้ก็รู้ว่าพระเอกกำลังติดต่อกับพ่อค้าอาวุธ พระเอกย่อมกังวลว่าวันสิ้นโลกจะมาถึงก่อนเวลา

อันที่จริงจะกังวลก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ใครใช้ให้คนไข้สองรายนั้นหนีออกจากสถาบันวิจัยก่อนเวลาล่ะ ร่างกายของเขาก็เกิดเปลี่ยนสภาพกลายเป็นศพเร็วก่อนเวลาเช่นกัน

นึกถึงตรงนี้ ดวงตามู่อี้ฟานทอประกายมืดมน

เขาใกล้จะกลายเป็นซอมบี้ ต่อจากนั้นอย่าว่าแต่ฆ่าพระเอกไม่ได้เลย เขายังอยู่ด้วยกันกับพระเอกต่อไปไม่ได้ด้วยซ้ำ ดังนั้น ภายในสองวันนี้ เขาจำต้องหาเวลาปลีกตัวไปให้ได้

เร็วที่สุดก็ต้องอีกสองวันเหรอครับจ้านเป่ยเทียนขมวดคิ้ว โอเคครับ ถ้าอย่างนั้นอีกสองวัน พวกเราก็หาที่นัดพบกันครั้งสุดท้ายนะครับ

ดวงตามู่อี้ฟานเปล่งประกายขึ้น เมื่อพระเอกไป เขาก็หาสถานที่หลบซ่อนได้แล้ว

จ้านเป่ยเทียนวางสายและพามู่อี้ฟานไปนั่งเก้าอี้ใต้เต็นท์ข้างๆ กัน จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเช็กดูว่ามีข่าวหลังผู้ป่วยสองรายหนีไปหรือไม่

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เหมาอวี่ที่เช็กสินค้าแล้วก็กลับมา บอสครับ สินค้าขนเสร็จแล้ว คุณต้องการเข้าโกดังไปตรวจดูไหมครับ

จ้านเป่ยเทียนวางโทรศัพท์ลง ปิดกล้องวงจรปิดในโกดังให้หมดซะ

เหมาอวี่อึ้ง ครับ

เขาหมุนตัวออกไปยังห้องควบคุมเพื่อปิดกล้องวงจรปิดทั้งหมดในโกดังของพวกเขา

เมื่อกลับมา จ้านเป่ยเทียนก็พูดอีกรอบว่า เหมาอวี่ นายอยู่ที่นี่กับมู่มู่นะ ฉันเข้าไปตรวจดูหน่อย เดี๋ยวออกมา

ครับ

มู่อี้ฟานผงกหัว

จ้านเป่ยเทียนไปแล้ว เหมาอวี่รีบดึงเก้าอี้มานั่งข้างมู่อี้ฟาน ยิ้มแย้มแจ่มใสพูดว่า มู่มู่ คุณบอกผมได้ไหมว่าคุณกับบอส สรุปแล้วมารู้จักกันได้ยังไง

มู่อี้ฟานมองเขา เอ่ยด้วยความยากลำบากว่า เจ็บ...ค...คอ

เหมาอวี่ตะลึง เจ็บคอ? พูดไม่ได้? อาหารเมื่อคืนทำให้คุณร้อนในเหรอครับ

มีคนหาข้ออ้างให้เขา แน่นอนว่ามู่อี้ฟานย่อมลงบันไดนี้ และพยักหน้าให้เหมาอวี่

อย่างนั้นหลังคุณกลับไปแล้วก็อย่าลืมกินยานะครับ จะได้หายไวๆ

มู่อี้ฟานพยักหน้าอีกครั้ง

เหมาอวี่ไม่ยอมถอย เอ่ยอีกรอบว่า มู่มู่ แม้ตอนนี้คุณจะพูดไม่ได้ แต่คุณใช้โทรศัพท์พิมพ์ตอบผมได้นะ

มู่อี้ฟานเห็นสีหน้าเขาอยากรู้เรื่องเขากับพระเอกมากๆ ก็ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง

เหมาอวี่ยิ้มจนตาหยีอีกครั้ง ใช้โอกาสที่จ้านเป่ยเทียนยังไม่ออกมารีบถามเข้าประเด็นหลัก มู่มู่ บอสอ่อนโยนต่อคุณไหม

แม้ในใจมู่อี้ฟานจะสงสัยว่าเขาถามคำถามนี้ทำไม แต่ก็ยังพิมพ์ไปว่า เขาจะอ่อนโยนต่อฉันได้ยังไง

เนื่องจากกระดูกนิ้วของเขาเริ่มแข็งจึงพิมพ์ได้ช้ามาก เมื่ออ่านแล้วเหมาอวี่กลับกังวลสุดๆ ไม่สินะ บอสไม่อ่อนโยนต่อคุณเลยเหรอ

มู่อี้ฟานพยักหน้า

เหมาอวี่ซักต่อ บอสน่าจะชอบทำตัวหยาบคายใส่คุณใช่ไหมครับ แล้วเขาหยาบคายใส่ยังไงบ้างล่ะครับ

มู่อี้ฟานครุ่นคิด พิมพ์ง่ายๆ ว่า ตรงมาถอดเสื้อของฉันโดยที่ฉันไม่ยินยอม

เหมาอวี่เบิกตากว้าง สมองมโนทันที นึกถึงฉากที่ไม่เซ็นเซอร์อย่างเป็นบ้าเป็นหลัง บอส...บอสเคยใช้กำลังกับคุณ...อะแฮ่ม แล้วมู่มู่ คุณชอบบอสหรือเปล่าครับ

มู่มู่ไม่น่าจะไม่ชอบบอส ถึงจะใช้กำลังกับมู่มู่ก็เถอะ แต่นั่นเป็นเพราะบอสนั้นชอบมู่มู่มากเกินไปต่างหาก

ชอบจ้านเป่ยเทียนไหม มู่อี้ฟานนิ่งคิด ในความเป็นจริง จ้านเป่ยเทียนเป็นเพื่อนสมัยเด็กของเขา แน่นอนว่าเขาย่อมชอบจ้านเป่ยเทียนเพื่อนคนนี้อยู่แล้ว แต่ทว่า ณ ตอนนี้ เขาอยู่ในนิยาย

อันที่จริง พูดอย่างจริงจังเลยนะ จ้านเป่ยเทียนในนิยายก็ไม่เลวเช่นกัน ยกเว้นตอนเริ่มแรกที่มีทัศนคติต่อเขาค่อนข้างแย่ จริงๆ แล้ว ภายหลังก็ดีต่อเขามาก และเทกแคร์เขามากทีเดียวด้วย

เหมาอวี่เห็นเขาเงียบ ในใจจึงกระวนกระวาย กังวลว่าบอสจะเป็นรักข้างเดียว กำลังคิดจะเอ่ยปากอีกรอบก็เห็นมู่อี้ฟานพิมพ์ว่า ชอบสิ

เห็นตัวอักษรสองคำนี้ เขาพลันถอนใจโล่งอกทันที ยิ้มว่า ถึงแม้ปกติบอสเราจะชอบทำหน้านิ่ง ไม่รู้ว่าจะทำให้คนอื่นมีความสุขได้ยังไง แต่เขาเป็นผู้ชายที่ดีเชื่อถือได้แน่นอน

มู่อี้ฟานเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ยิ้มไปผงกหัวไป

จ้านเป่ยเทียนดีหรือไม่ เขารู้ดีกว่าใคร

คุณคิดอย่างนี้ได้ก็ดีแล้วครับ ฮ่าฮ่า!เหมาอวี่พาดบ่าเขาอย่างเบิกบานใจ มู่มู่ คุณเจอผู้ชายที่ดีที่สุดในโลกแล้ว

หือ?” มู่อี้ฟานงง คำพูดนี้ทำไมฟังแล้วมันแปลกๆ

พวกนายทำอะไรกันจ้านเป่ยเทียนออกมาจากโกดังก็เห็นเหมาอวี่พาดไหล่มู่อี้ฟาน แววตาทอประกายมืดมัว ในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างอธิบายไม่ถูก

เหมาอวี่สังเกตเห็นแววตาของบอสได้จึงรีบเก็บแขนกลับ ยิ้มติดจะประจบและพูดว่า บอส ผมและมู่มู่กำลังคุยเรื่องที่ชอบคุณอยู่เลยครับ มู่มู่ คุณว่าถูกไหมครับ

มู่อี้ฟานไม่รู้ว่าทำไมเหมาอวี่ถึงพูดถึงเนื้อหาที่พวกเขาคุยกันออกมาด้วย แต่ก็ยังพยักหน้า

นัยน์ตาสีนิลอันเฉยชาของจ้านเป่ยเทียนมีความตะลึงพาดผ่าน จ้องมู่อี้ฟานโดยไม่ได้พูดอะไร

เหมาอวี่เห็นสีหน้าบอสผ่อนคลายมากขึ้นจึงยิ้มแย้มถามว่า บอส คุณไปดูในโกดังมารอบหนึ่งยังคิดว่าขาดอะไรไปบ้างหรือเปล่าครับ

จ้านเป่ยเทียนหันไปมองเขา ออกคำสั่งว่า นายแจ้งพวกเซี่ยงกั๋วให้รู้ด้วยว่าพรุ่งนี้มีภารกิจ

เหมาอวี่ได้ยินว่ามีภารกิจก็พลันหยุดคลี่ยิ้มทันที กล่าวอย่างขึงขังว่า รับทราบครับ

อีกเรื่อง สินค้าในโกดัง ฉันจัดการไปแล้ว นายไม่จำเป็นต้องถามอะไรทั้งนั้นจ้านเป่ยเทียนเอ่ยจบก็พามู่อี้ฟานจากไป

เหมาอวี่เกาหัว มักรู้สึกว่าคำพูดนี้ของบอสมีนัยลึกซึ้งเสมอ

หลังจากรอรถออกไปไกล เขาถึงจะหมุนตัวเดินกลับไปโกดัง สินค้าในโกดังจู่ๆ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย กระทั่งชั้นเหล็กที่ใส่สินค้าทั้งหมดไว้ก็ไม่เห็นแล้ว

ในขณะนี้ทั่วทั้งโกดังว่างเปล่าอย่างสมบูรณ์ แถมยังสะอาดหมดจดกว่าตอนที่เช่ามาเสียอีก แม้ว่าจะมีหัวขโมยมาเยี่ยมชมก็เถอะ ภายในระยะสั้นๆ ไม่กี่นาทีจะขโมยสินค้าลอตใหญ่ไปก็เป็นไปได้ยากเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา

เหมาอวี่เบิกตาค้างอย่างตกใจ เชี่ย สินค้าล่ะ


 

บทที่ 67 จากไป

จ้านเป่ยเทียนเห็นเขาหลับไปอีกรอบ เดิมทีคิดจะพูดคุยเรื่องของวันพรุ่งนี้ เพียงแต่รอให้เขาตื่นก่อนค่อยอธิบาย

อย่างไรก็ตาม เมื่อมู่อี้ฟานกลับถึงวิลลาก็รีบซ่อนตัวอยู่ในห้องทันที

เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น เขาก็กินข้าวคำโตๆ แสร้งทำเป็นหิวมากจนไม่มีเวลาว่างมาพูดคุย

จ้านเป่ยเทียนรู้สึกตงิดๆ ว่ามู่มู่ในวันนี้ค่อนข้างทำตัวแปลกๆ ไม่เพียงประหยัดถ้อยคำทำให้เขาไม่สบายใจ แต่ยังทำให้เขามีความรู้สึกว่าอีกฝ่ายจงใจหลบหน้าเขาอีกด้วย

แต่เขาก็ไม่ได้คิดให้ลึกซึ้งนัก และมองว่าเป็นฉิงเทียนจูอีกนั่นแหละที่ทำให้เกิดเรื่องแปลกๆ ขึ้น ซึ่งพลอยทำให้มู่มู่เริ่มชอบกินชอบนอนอีกครั้ง รวมทั้งทำให้มู่มู่ขี้เกียจคุยเพราะอ่อนเพลียด้วย

เช้าวันรุ่งขึ้น จ้านเป่ยเทียนปลุกมู่อี้ฟานซึ่งอยู่ในห้วงความฝัน และพูดว่า มู่มู่ ฉันมีธุระต้องออกไปเมือง G สักพักนะ น่าจะใช้เวลาสักสี่ถึงห้าวันถึงจะกลับมาได้ นาย...

คำพูดห่วงใย เขาพูดไม่ค่อยเป็นนัก จนสุดท้ายก็ต้องเอ่ยปากว่า สองสามวันนี้นายอยู่บ้านไม่ต้องออกไปข้างนอกจะดีกว่า ของกินฉันซื้อเก็บไว้ในตู้เย็นเมื่อวานแล้ว ถ้าไม่พอกินก็โทร.หาคนส่งเดลิเวอรีได้ แต่อย่าออกไปข้างนอกเด็ดขาดรู้ไหม

มู่อี้ฟานที่เพิ่งตื่นขึ้นมารู้สึกเบลอๆ แต่เดิมก็ไม่ได้สนใจว่าจ้านเป่ยเทียนพูดอะไรเลย อย่างไรก็ตาม ตอนเห็นจ้านเป่ยเทียนที่ในดวงตาแสดงความห่วงใยออกมา ในพริบตานั้นก็เหมือนเห็นเพื่อนสมัยเด็กในความเป็นจริงขึ้นมา นัยน์ตาจึงทอประกายความสุข ผุดลุกขึ้นไปกอดคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงด้วยความตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้ เรียกหาเสียงสะอื้นไห้ เทียน

ทว่าเมื่อเขาได้ยินน้ำเสียงแหบพร่าระคายหูของตัวเอง ชั่วขณะนั้นก็ตื่นขึ้นมา นึกถึงความเป็นจริงอันโหดร้ายที่ตัวเองยังอยู่ในนิยายขึ้นมาได้

มู่อี้ฟานพลันรู้สึกผิดหวัง และกำลังคิดจะปล่อยมือ แต่พอคิดว่าในไม่ช้าตัวเองจะกลายเป็นซอมบี้ที่ไร้สามัญสำนึกตัวหนึ่ง หรืออาจจะกลายเป็นซอมบี้ซึ่งถูกคนอื่นฆ่าก็อดไม่ได้ที่อยากจะโอบกอดชายผู้อยู่เบื้องหน้าที่ทั้งคุ้นเคย และแปลกหน้าคนนี้ให้มากกว่าเดิม

บางทีในอนาคตพวกเขาคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว ถึงแม้ได้เจอ พวกเขาก็ไม่อาจเข้าหากันฉันมิตรได้เหมือนกว่าครึ่งเดือนที่ผ่านมาอีกต่อไป

จ้านเป่ยเทียนตัวแข็งทื่อเล็กน้อย ก้มมองคนที่กอดตัวเองแน่น สีหน้าเย็นชาไม่แยแสปรากฏความอ่อนโยนขึ้น ยกมือขึ้นกอดตอบมู่อี้ฟานอย่างนุ่มนวล ฉันไม่อยู่สองสามวันนี้ ไว้ฉันจะหาคนมาดูแลนายนะ

เดิมเขาคิดจะพามู่มู่ไปด้วย เพราะมีเขาเฝ้าดูถึงจะวางใจมากกว่า แต่การติดต่อธุรกิจคราวนี้มีโอกาสที่จะพบอันตรายที่คาดไม่ถึงต่างๆ นานา ดังนั้น ให้คนอยู่บ้านจะดีกว่า

มู่อี้ฟานได้ยินก็เปิดปากว่า ไม่...

มีคนมาดูแลเขา ทำไมเขาต้องทิ้งพระเอกด้วย

จ้านเป่ยเทียนไม่ให้โอกาสเขาปฏิเสธ เวลาไม่เช้าแล้วนะ ฉันต้องไปแล้ว

หลังจากกลับมา มู่มู่น่าจะถอดผ้ากอซบนหน้าออกไล่เลี่ยกัน ถึงตอนนั้นก็สามารถเห็นหน้าตาเขาได้แล้ว

ไม่รู้ว่าใบหน้าของเขาจะดูตลกมากเหมือนลูกน้องของเขาหรือเปล่า

จ้านเป่ยเทียนคิดมาถึงตรงนี้ มุมปากก็โค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว

มู่อี้ฟานได้ยินว่าเขาจะไป มันก็ไม่ดีนักที่กอดไม่ปล่อยอย่างหน้าด้านๆ จึงทำได้เพียงปล่อยมือไป

จ้านเป่ยเทียนลุกขึ้นและพูดว่า รอฉันกลับมา

มู่อี้ฟานเห็นใบหน้าที่เหมือนเพื่อนสมัยเด็กของเขาทุกประการ จึงตอบรับอย่างอัตโนมัติ ตกลง

ทว่าน่าเสียดาย เขารอไม่ได้แล้ว

จ้านเป่ยเทียนออกจากห้องและเดินออกจากวิลลาไป

เมื่อมาถึงประตูทางเข้าเขตวิลลาก็เห็นรถออฟโรดสองคัน และรถบรรทุกใหญ่สองคันจอดอยู่บนถนนฝั่งตรงข้ามเขตวิลลา รวมถึงชายสวมชุดกีฬาสิบกว่าคนที่ยืนอยู่ด้วย

พวกเขาเห็นจ้านเป่ยเทียนออกมาก็รวมตัวกันก้าวไปข้างหน้ากล่าวทักทายกันทีละคน บอส

จ้านเป่ยเทียนพยักหน้า กวาดมองลูกน้องที่แข็งแรงหลายสิบคน ถามเสียงเรียบว่า ในพวกนาย ใครมีทักษะทำอาหารดีที่สุด

บอส ผมเองครับซุนจื่อหาวยกมือขึ้นอย่างตื่นเต้น

ดีมาก

หาได้ยากที่จะถูกบอสชม ซุนจื่อหาวจึงดีใจมากๆ และถามว่า บอส ตอนไปปฏิบัติภารกิจต้องการให้ผมแฝงตัวไปเป็นพ่อครัวในค่ายศัตรูเหรอครับ

ไม่ นายอยู่ที่นี่ดูแลมู่มู่จ้านเป่ยเทียนขัดจังหวะการมโนของเขาอย่างไร้ปรานี

เอ๊ะ?” ซุนจื่อหาวพลันเหี่ยวเฉาทันตา

เสียง อุ๊บส์! ฮ่าๆ ดังขึ้น คนอื่นๆ หัวเราะเสียงดังอย่างไร้มารยาท เซี่ยงกั๋วยื่นมือไปจับไหล่ซุนจื่อหาว ยิ้มแล้วกล่าวว่า ซุนจื่อหาว นายจะต้องดูแลพี่สะใภ้ให้ดีๆ นะ นี่มันสำคัญกว่าภารกิจที่พวกเราจะออกไปทำเสียอีก

จ้านเป่ยเทียนเหลือบมองเซี่ยงกั๋ว หยิบกุญแจออกมาส่งให้ซุนจื่อหาว อธิบายว่า นอกจากจะเรียกมู่มู่ให้กินข้าวตรงเวลาแล้ว ปริมาณอาหารของเขายังเยอะมาก จำเป็นต้องเตรียมอาหารสำหรับหกถึงเจ็ดคน อีกอย่างคือต้องกำกับให้เขากินยาด้วย

ทุกคนประหลาดใจ เขากินเยอะขนาดนี้ ดูไม่ออกจริงๆ เลยนะเนี่ย

จ้านเป่ยเทียนสั่งการ ขึ้นรถ

รับทราบครับคนทั้งหมดหยุดทำหน้าทะเล้นอย่างรวดเร็ว แสดงความเคร่งขรึมอย่างที่ทหารสมควรจะมี และรีบขึ้นรถกันอย่างพร้อมเพรียง

ดูแลเขาให้ดีจ้านเป่ยเทียนมอบหมายงานให้ซุนจื่อหาวอีกประโยคก่อนจะขึ้นนั่งบนรถออฟโรดอย่างสบายใจ

เหมาอวี่เห็นบอสเข้านั่งตรงเบาะหลัง สายตามองผ่านกระจกหลังดูข้างหลังเป็นครั้งคราว ในใจใกล้จะถูกความอยากรู้อยากเห็นทรมานจนตายอยู่แล้ว

เขารู้สึกว่าที่จู่ๆ สินค้าก็หายไป มันต้องเกี่ยวข้องกับบอสแน่ๆ แต่ก็อดกลั้นไม่ให้โทร.หาบอสเรื่องสินค้าสูญหายมาโดยตลอด

นอกจากนี้ก่อนที่บอสจะไปก็เคยพูดแล้วว่าจะจัดการเอง ทำให้เขาไม่กล้าถามมากเกินไป เห็นชัดๆ ว่ากำลังบอกเป็นนัยแก่เขา ทว่าสินค้าเยอะขนาดนี้ บอสทำให้สินค้าเหล่านี้หายไปอย่างไร้ร่องรอยในระยะเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร

อันที่จริงเขาอยากหาคนมาเมาท์มอยเรื่องนี้มาก จะได้เข้าใจความอยากรู้อยากเห็นของเขาบ้าง แต่พูดแล้วไม่เพียงไม่มีใครเชื่อ แต่จะคิดว่าเขากำลังล้อเล่น อีกอย่างบอสไม่ชอบคนที่ปากมาก เขาจึงได้แต่เก็บงำเรื่องนี้ไว้เท่านั้น

จ้านเป่ยเทียนที่นั่งอยู่ข้างหลังสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังมองเขา จึงตวัดสายตาเคร่งขรึมไปทางกระจกหลัง ทำให้เหมาอวี่ไม่กล้าย้อนกลับไปมองอีก

_______________________________________________

ส่วนด้านวิลลานั้น แต่เดิมมู่อี้ฟานอยากจะไปส่งจ้านเป่ยเทียนออกเดินทาง แต่ทว่าในขณะที่เขาลุกขึ้นกลับพบว่าร่างกายของเขาอยู่ๆ ก็เริ่มเฉื่อยชาและแข็งทื่อจนตามฝีเท้าของจ้านเป่ยเทียนไม่ทัน

รอให้เขาเดินออกมาจากประตู จ้านเป่ยเทียนก็ออกจากวิลลาของเขาไปนานแล้ว

มู่อี้ฟานรู้ดีว่าร่างตนเปลี่ยนเป็นศพขึ้นไปอีกขั้น เขาจึงจำต้องหันหลังกลับเข้าห้องไป ล้างหน้าและแปรงฟัน เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วก็นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หากระดาษและปากกาเพื่อฝากข้อความให้จ้านเป่ยเทียน เพื่อให้พระเอกปัดความคิดที่จะตามหาเขา

ในเวลานี้นิ้วของเขาเริ่มแข็งกว่าเมื่อวาน ปากกาในมือจึงหล่นไปยี่สิบกว่าครั้งถึงจะเขียนจดหมายเสร็จ แม้แต่ตัวอักษรในจดหมายก็ยึกยือจนน่าเกลียดเอาเรื่อง สู้ตัวอักษรที่เด็กประถมหนึ่งเขียนยังไม่ได้เลย ฝืนตัวเองสักหน่อยก็สามารถดูออกว่าเขาเขียนใจความอะไรไว้

ต่อจากนั้นเขาก็นำจดหมายที่เขียนเสร็จวางไว้บนที่ที่สะดุดตา เพื่อให้จ้านเป่ยเทียนเห็นได้ตอนที่กลับมาแล้ว

หลังจากมู่อี้ฟานวางจดหมายแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า ฉิงเทียนจูยังอยู่ในท้องของเขา ควรคืนมันให้พระเอกถึงจะสมควร แต่เขาไม่รู้ว่าจะเอาลูกปัดออกได้อย่างไร และทำได้แต่ปลงตกเท่านั้น

ถึงอย่างไรฉิงเทียนจูก็เป็นลูกปัดที่มีจิตวิญญาณ ตราบใดที่ออกจากท้องเขาได้ย่อมจะกลับไปอยู่ข้างกายพระเอกแน่นอน

มู่อี้ฟานจึงเขียนเรื่องลูกปัดฉิงเทียนจูเพิ่มลงไป ก่อนจะเก็บข้าวของลงในเป้ และถือโอกาสก่อนคนของจ้านเป่ยเทียนยังมาไม่ถึงออกไปจากที่นี่เสีย

แต่เขาเพิ่งเดินออกนอกห้องก็ได้ยินเสียงทีวีแว่วมาจากชั้นล่าง

ในใจเขาทั้งตกใจทั้งยินดี ที่ตกใจคือ คิดว่าจ้านเป่ยเทียนยังไม่ไป และกลัวว่าเขาจะพบเรื่องที่ตัวเองจะแอบจากไป ที่ยินดีคือ...

มู่อี้ฟานสะดุ้งกะทันหัน จู่ๆ ก็ดีใจที่จ้านเป่ยเทียนไม่ได้ออกไป

คนด้านล่างได้ยินเสียงจากข้างบนก็ลุกขึ้นยืนมอง กล่าวอย่างดีใจว่า พี่สะ...มู่มู่คุณตื่นแล้ว

มู่อี้ฟานเห็นว่าไม่ใช่จ้านเป่ยเทียน ทันใดนั้นก็รู้สึกผิดหวัง แท้จริงเป็นคนที่พระเอกหามานั่นเอง ทั้งคาดไม่ถึงว่าจะมาเร็วถึงเพียงนี้

ซุนจื่อหาวที่ชั้นล่างรีบอธิบายว่า บอสเป็นห่วงคุณ ก็เลยฝากผมให้อยู่ดูแลคุณครับ มู่มู่ คุณยังจำได้ไหมว่าผมคือใคร ผมชื่อซุนจื่อหาวเป็นพี่น้องของบอส คุณลงมาเร็ว ผมเตรียมอาหารเช้าไว้ให้คุณแล้วครับ

มู่อี้ฟานวางเป้ลง เคลื่อนตัวเดินลงไปชั้นล่างอย่างเชื่องช้า และถือโอกาสหยิบโทรศัพท์ออกมาพิมพ์สองสามคำ คลี่ยิ้มเดินมาถึงด้านหน้าซุนจื่อหาว เพื่อให้เขาอ่านข้อความในโทรศัพท์

ซุนจื่อหาวมองโทรศัพท์ อ่านออกเสียงอย่างฉงนว่า ฉันเจ็บคอ พูดไม่ได้ โปรดยกโทษให้ฉันด้วย

เขาตกตะลึง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณมีปัญหาอะไรก็ใช้โทรศัพท์พิมพ์ให้ผมอ่านก็ได้ครับ

มู่อี้ฟานพยักหน้า และนั่งลงที่โต๊ะอาหารด้วยรอยยิ้ม

ซุนจื่อหาวเปิดฝาบนชามซึ่งเก็บไอร้อนไว้ พร้อมอธิบายไปด้วยว่า อันที่จริงอาหารเหล่านี้เป็นบอสเตรียมให้คุณทั้งหมดครับ ผมเพียงแค่ใช้ไมโครเวฟอุ่นให้คุณนิดหน่อยเท่านั้น

มู่อี้ฟานอ้าปากกล่าวขอบคุณอย่างไร้เสียง

ในฐานะที่ซุนจื่อหาวเป็นทหารกองกำลังพิเศษ จึงอ่านภาษาปากของเขาเข้าใจได้อย่างง่ายดาย และพูดจายิ้มแย้มว่า ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ผมจะไปหยิบตะเกียบกับชามให้คุณ ใช่แล้ว ผมจะอยู่ที่นี่สักสองสามวันนะครับ มันไม่เป็นไรใช่ไหมครับ

มู่อี้ฟานส่ายหัว และชี้ไปที่ห้องพักแขกที่ชั้นสอง

ซุนจื่อหาวก็เข้าใจ คุณจะให้ผมไปนอนที่นั่นใช่ไหมครับ

มู่อี้ฟานผงกหัว

ขอบคุณนะครับซุนจื่อหาวเดินไปยังห้องครัว และหยิบชามตะเกียบและช้อนส่งให้มู่อี้ฟาน

มู่อี้ฟานเพิ่งรับชามตะเกียบ ทันใดนั้นนิ้วมือก็แข็งขึ้นอีกครั้ง เสียงเพล้งดังขึ้น ชามหล่นลงบนโต๊ะตกแตกเป็นชิ้นๆ

ในใจเขาพลันแตกตื่นขึ้นมาทันที อยู่ๆ ร่างกายก็เร่งเป็นศพเร็วขึ้น


 

บทที่ 68 คุณทำให้ผมตกใจนะ

ซุนจื่อหาวตกใจจนสะดุ้ง เห็นเศษชามบนโต๊ะก็รีบถามว่า มู่มู่ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ

มู่อี้ฟานปรับสีหน้า และส่ายหัวอย่างรวดเร็ว ดีที่จ้านเป่ยเทียนไม่อยู่ที่นี่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะต้องพบความผิดปกติของเขาอย่างแน่นอน

ซุนจื่อหาวกลับเข้าห้องครัวไปหยิบตะเกียบหนึ่งคู่กลับมาให้เขา จากนั้นก็เคลียร์เศษซากบนโต๊ะ และบอกว่า มู่มู่ คุณค่อยๆ กินนะครับ ผมจะไปดูทีวีที่ห้องโถง

เขาเดินมาถึงห้องโถง คนยังไม่ทันนั่งก็ได้ยินเสียงเคร้งดังมาจากโต๊ะอาหารอีกครั้ง

ซุนจื่อหาวมองไปทางห้องครัว เห็นมู่อี้ฟานหยิบช้อนที่ตกลงในชามขึ้นมา และซดโจ๊กอย่างสโลโมชัน

ก็ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า เขารู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของมู่มู่ค่อนข้างแข็งทื่อเหมือนบาดเจ็บที่ศอก ตอนจะงอก็ดูลำบากอยู่นิดหน่อย

ซุนจื่อหาวจ้องมู่อี้ฟานตลอดคงไม่ดีนัก จึงถอนสายตากลับมานั่งลงดูทีวีอีกครั้ง

ต่อมา เกือบทุกสิบกว่าวิก็จะได้ยินเสียงเคร้งหนึ่งครั้ง

อาหารเช้ามื้อนี้ทำให้มู่อี้ฟานกินได้รันทดเป็นพิเศษ นิ้วแข็งจนถึงขนาดจับช้อนไม่มั่นคง ทุกๆ สองสามครั้งยังไม่ทันรีบกินสักคำ ช้อนก็ตกลงมาแล้ว สุดท้ายเขาก็กินให้เต็มที่ไม่ได้เลย

มู่อี้ฟานโยนช้อนกลับเข้าไปในชามอย่างหัวร้อน ในทันทีก็ใจเย็นลงและขบคิด ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาโมโห ปัจจุบันเรื่องที่สำคัญที่สุดคือการไปจากที่นี่ถึงจะถูก

เขาเหลียวไปมองซุนจื่อหาวที่กำลังดูทีวีอยู่ ในดวงตาทอประกายแวววาว หยิบโทรศัพท์ขึ้นพิมพ์บนนั้นทันที จากนั้นก็ลุกเดินไปทางคนที่นั่งอยู่อีกห้อง

ซุนจื่อหาวเห็นเขาเดินมาหาก็เอ่ยอย่างสงสัยว่า อิ่มเร็วขนาดนี้เชียว

เขามองไปยังโต๊ะอาหารพบว่าอาหารเช้าที่วางอยู่บนโต๊ะไม่ได้ถูกแตะต้องเลย มื้อเช้ารสชาติไม่ถูกปากคุณเหรอครับ

บอสบอกว่ามู่มู่สามารถกินได้เยอะไม่ใช่เหรอ ไฉนกินได้ไม่กี่คำก็ไม่กินแล้วล่ะ

ซุนจื่อหาวหยอกเขา เพราะบอสไม่อยู่ คุณก็เลยไม่อยากอาหารหรือเปล่าครับ โอ้ คุณก็อย่าคิดถึงบอสเกินไปเลยนะครับ เขาจะกลับมาภายในไม่กี่วันนี้แน่นอน ถ้าคุณอดอาหาร บอสอาจจะปวดใจ และผมก็จะถูกบอสตำหนิว่าไม่ดูแลคุณให้ดีด้วยนะครับ

มู่อี้ฟาน “...”

ทำไมฟังสิ่งที่เขาพูดไม่ค่อยเข้าใจ ตัวเองไม่อยากอาหารมันเกี่ยวอะไรกับจ้านเป่ยเทียนด้วยล่ะ เพราะอะไรจ้านเป่ยเทียนจะปวดใจที่ตนอดอาหาร

มู่อี้ฟานยับยั้งความสงสัยในใจ และส่งโทรศัพท์ให้เขา

ซุนจื่อหาวเห็นข้อความบนนั้นพิมพ์ว่า ช่วยฉันโทร.สั่งพิซซ่าหน่อย หลังจากนั้นให้คนส่งพิซซ่ามาที่นี่ เอาพิซซ่าฝากไว้กับ รปภ. ที่เขตวิลลา และให้ รปภ. ส่งเข้ามา

คุณอยากกินพิซซ่า

มู่อี้ฟานผงกหัว

ซุนจื่อหาวควักโทรศัพท์ออกมาค้นหาเบอร์ร้านพิซซ่าให้พวกเขาส่งพิซซ่ามา

เขารู้สึกว่าคนที่บอสชอบเป็นคุณชายใหญ่คนหนึ่งจริงๆ มีมือมีเท้าชัดๆ ยังจะให้คนบริการทำอาหารเช้าให้ตั้งแต่เช้ามืด แถมบอสยังลำบากลำบนกว่าจะเตรียมอาหารเช้าโต๊ะใหญ่ได้ เพิ่งกินไม่กี่คำก็สั่งพิซซ่าข้างนอกมาส่งเสียแล้ว สิ้นเปลืองจริงๆ

ก็ไม่รู้ว่าบอสชอบเขาที่ตรงไหนกัน

ซุนจื่อหาวแอบเหล่มองใบหน้าที่พันผ้ากอซของมู่อี้ฟาน คิดในใจว่า หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเขาหน้าตาโคตรดีล่ะมั้ง

พูดจริงๆ เลยนะ เขาไม่ค่อยเห็นชอบที่บอสและผู้ชายคนหนึ่งอยู่ด้วยกัน ในก้นบึ้งหัวใจยังหวังว่าบอสจะแต่งงานกับผู้หญิงให้กำเนิดลูก เพลิดเพลินกับชะตาบุรุษแห่งฉี[1]

แต่ในเมื่อบอสเลือกแล้ว พวกเขาพี่น้องก็ทำได้เพียงสนับสนุนเท่านั้น

มู่อี้ฟานเก็บโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋า ตอนลุกขึ้นปรากฏว่าตัวแข็งอีกรอบ ทำให้เขาหวิดหงายหลังกลับโซฟา

เขาแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเดินไปทางบันได แต่เดินยังไม่ถึงสามก้าว เส้นเลือดบนหน้าผากพลันเต้นอย่างบ้าคลั่ง เนื่องจากเขาพบว่าการเดินของตัวเองเชื่องช้าเหมือนอย่างซอมบี้ระดับต่ำเลย

ระยะทางของโซฟาจนถึงบันไดห่างเพียงแค่สิบเมตร เขาใช้เวลาครึ่งนาทีกว่าเพิ่งจะถึงทางขึ้นบันได

ความเจ็บปวดในใจชนิดนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้ ก็เหมือนกับตอนดูหนังนั่นแหละ ฉากทั้งหมดต่างใช้การเคลื่อนไหวแบบสโลว์ ทุกคนย่อมเห็นความเจ็บปวดไม่สิ้นสุด ทั้งยังความทุกข์ทรมานชนิดหนึ่งเช่นกัน

บ้าเอ้ย!

ในครั้งต่อไป เขาไม่รู้ว่าจะต้องรับความระทมอีกเท่าไร

ซุนจื่อหาวที่กำลังดูทีวีก็สังเกตได้ว่ามู่อี้ฟานเคลื่อนไหวช้าลง จากชั้นหนึ่งไปชั้นสองใช้เวลาไปสามนาทีเลย

เขาถามด้วยความเป็นห่วงว่า มู่มู่ ผมเห็นคุณเดินแบบลำบากมากเลย คุณไม่สบายหรือเปล่าครับ

มู่อี้ฟานชะงักเล็กน้อย หันไปอย่างช้าๆ เบิกสองตาที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสามองไปทางซุนจื่อหาวที่ชั้นหนึ่ง พูดจาไร้เสียงว่า ฉันกำลังวิ่งเหยาะๆ น่ะ

อ้อ...ซุนจื่อหาวอ่านภาษาปากของเขาเข้าใจ มู่มู่ บอสฝากผมเตือนคุณว่าอย่าลืมกินยานะ

จากคำพูดนี้ก็สามารถฟังออกได้ว่า จ้านเป่ยเทียนไม่ได้บอกให้ชัดเจนว่าเขาต้องกินยาอะไรแน่ ไม่อย่างนั้นซุนจื่อหาวต้องเสนอตัวมาต้มยาให้แน่ๆ

สิบนาทีต่อมา เขาค่อยๆ เดินออกมาจากห้องอีกครั้ง กลับไปที่ห้องโถง และหาที่นั่งที่ห่างจากซุนจื่อหาวแล้วนั่งลงไป

รออยู่ในห้องโถงอยู่หนึ่งชั่วโมง ในที่สุดออดก็ถูกคนกดจนดังขึ้น

มู่อี้ฟานส่งสัญญาณไม่ให้ซุนจื่อหาวลุกขึ้น และเขาก็ไปเปิดประตูเอง

จากตาแมว จึงเห็นว่าเป็น รปภ. ในเขตวิลลานั่นเอง ยกมุมปากยิ้ม และเปิดประตูก็ฟัง รปภ. พูดว่า คุณมู่ครับ นี่คือพิซซ่าที่คุณสั่งครับ เด็กส่งพิซซ่าคนนั้นบอกว่าคุณยังไม่ได้ชำระค่าพิซซ่า ตอนนี้กำลังรออยู่ทางเข้าประตูเขตวิลลาครับ

มู่อี้ฟานรับพิซซ่า และวางไว้บนตู้รองเท้าข้างประตู จากนั้นก็ส่งเงินในมือยื่นให้เขาโดยตรง

รปภ. รับเงินมาก็เห็นบนกระดาษแผ่นหนึ่งที่เขียนตัวอักษรว่า นี่เป็นเงินค่าพิซซ่า ต่อจากนี้ไม่ว่าคุณจะเห็นอะไร โปรดเงียบไว้ซะ

เขาตื่นตกใจนิดหน่อย ข้อความนี้ทำให้เขาคิดว่าในบ้านของมู่อี้ฟานมีโจร หรือมีคนร้ายเข้าจึงรีบเงยหน้ามองมู่อี้ฟาน และเห็นเพียงมู่อี้ฟานนำสิ่งที่ห่อด้วยหนังสือพิมพ์พับหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเสื้อผ้าทีละใบ ดูจากลักษณะภายนอก ดูท่าสิ่งที่ห่อไว้ในนั้นจะเป็นเงิน

ในท่ามกลางกระดาษพับด้านบนสุดนั้นเขียนว่า หลังสองทุ่มคืนนี้ ขอให้คุณปิดระบบกล้องวงจรปิดทั้งหมด แค่สิบนาทีก็ใช้ได้ ฉันไม่ได้จะทำเรื่องไม่ดีหรอก อีกเรื่อง ถ้ามีคนถามเรื่องฉันขึ้นมา ก็บอกไปว่าเห็นฉันออกไปจากเขตวิลลาแล้ว สรุปสั้นๆ โปรดอย่าเปิดเผยเบาะแสของฉัน

รปภ. ตกตะลึง ปิดระบบกล้องวงจรปิดอาจจะละเมิดกฎสัญญาการทำงานได้เลยนะ

เขากำลังคิดจะปฏิเสธก็เห็นมู่อี้ฟานคลี่หนึ่งในกระดาษพับให้เขาดู สิ่งที่ห่อไว้ข้างในเป็นเงินอย่างที่คาดจริงๆ ทั้งหมดเป็นธนบัตรสีแดงมูลค่าหนึ่งร้อยหยวน แต่ละพับหนามากกว่าหนึ่งเซนติเมตร น่าจะเป็นหนึ่งหมื่นหยวนต่อหนึ่งพับ รวมแล้วมีเจ็ดพับ เช่นนั้นก็เป็นเงินเจ็ดหมื่นหยวนสินะ

ดวงตา รปภ. จ้องค้างตรง แค่ปิดกล้องวงจรปิดแค่สิบนาทีเท่านั้นก็ได้กำไรมาเจ็ดหมื่นหยวนง่ายๆ ราวกับเรื่องดีๆ ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนอย่างเขาที่ได้เงินเดือนสามพันหยวนต่อเดือน อยู่ในสถานะไม่กินไม่ดื่ม แต่ก็ต้องใช้เวลาสองปีถึงจะทำเงินจำนวนนี้ได้

มู่อี้ฟานดูออกว่าเขาหวั่นไหวแล้วก็ไม่รู้สึกกังวล จึงดึงถุงที่ใส่พิซซ่าออกมาเอาเงินใส่เข้าไป และยื่นให้ รปภ.

รปภ. มองมู่อี้ฟาน กัดฟันรับถุงมาแล้วหมุนตัวกลับไป

มู่อี้ฟานพรูลมหายใจหน่อยๆ

อันที่จริงแล้ว เขากังวลอย่างยิ่งว่า รปภ. ที่มาส่งพิซซ่าจะเป็นคนซื่อตรงสมบูรณ์ แล้วแผนการต่อไปของเขาก็จะไม่ประสบผลสำเร็จ

เนื่องจากห้องโถงไม่ได้ตรงกับด้านประตู ดังนั้น ซุนจื่อหาวจึงไม่ทราบว่าที่ประตูนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง เห็นมู่อี้ฟานถือกล่องพิซซ่าเข้ามาพร้อมหยิบหนึ่งชิ้นขึ้นมากิน

มู่อี้ฟานนั่งลงกินพิซซ่า ทันใดนั้นสติสัมปชัญญะพลันพร่าเลือน กลิ่นหอมของกายมนุษย์ที่ลอยมาจากข้างๆ จู่ๆ ก็เพิ่มมากขึ้น การล่อลวงถึงตายเฉกเช่นเฮโรอีนที่ปล่อยออกมาช่างดึงดูดเขาอย่างแน่นหนา

เขาหันไปกินพิซซ่าให้เสร็จด้วยแววตาเลื่อนลอย ซุนจื่อหาวก็เริ่มสูบบุหรี่

ซุนจื่อหาวไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติของมู่อี้ฟาน ขณะดูทีวีก็หยิบที่เขี่ยบุหรี่ขึ้นมาด้วย ฉับพลันหางตาก็จับเงาดำที่กระโจนมาทางเขาอย่างดุร้ายได้

เขาสะดุ้งตกใจ ด้วยปฏิกิริยาตอบสนอง จึงหยิบที่เขี่ยบุหรี่ขึ้นมาฟาดไปข้างหน้า ต่อจากนั้นที่เขี่ยบุหรี่ก็ถูกอีกฝ่ายงับอยู่ในปากเหนียวแน่นไม่ปล่อย

ซุนจื่อหาวเพ่งมอง เห็นว่าคนที่กระโจนมาคือมู่อี้ฟานก็ผ่อนลมหายใจ มู่มู่ คุณทำให้ผมตกใจนะ คุณรู้ไหมว่าอยู่ๆ การที่กระโจนมาแบบนี้ ผมเกือบจะต่อยคุณอยู่แล้ว

“...” มู่อี้ฟานได้สติขึ้นในพริบตา

พระเจ้า!

เมื่อกี้เขาทำอะไรไป

ขาดสติกะทันหันได้ยังไง

ใช่แล้ว เมื่อกี้เขาเหมือนอยากจะกัดซุนจื่อหาวหรือเปล่านะ

ในใจมู่อี้ฟานตกใจเหลือประมาณ

ดูท่าแล้ว สถานการณ์การเปลี่ยนเป็นศพของเขานับวันจะยิ่งวิกฤติขึ้นเรื่อยๆ

ซุนจื่อหาวเห็นมู่อี้ฟานไม่ตอบสนองก็เอ่ยอย่างฉงนว่า มู่มู่?”

คำพูดเพิ่งจบไป ที่เขี่ยบุหรี่แก้วหนาในมือพลันเกิดเสียงดัง กร๊อบ ขึ้น ส่วนที่ถูกมู่อี้ฟานงับอยู่ก็แตกออก

ซุนจื่อหาว “...”

มู่อี้ฟาน “...”

ซุนจื่อหาวถามด้วยความกระอักกระอ่วนว่า คุณยังโอเคอยู่ไหมครับ

เมื่อกี้เขาใช้แรงเกินไปหรือเปล่านะ ไม่นึกเลยว่าที่เขี่ยบุหรี่หนาขนาดนี้จะหักได้ด้วย ก็เลยไม่รู้ว่าฟันของมู่มู่จะเสียหายหรือไม่

ในกรณีที่ฟันหน้าหายไปกี่ซี่ หรืออะไรนั้น เขาจะอธิบายกับบอสว่าอย่างไรกัน

“...” มู่อี้ฟานมองซุนจื่อหาวอย่างร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา

เขาเป็นแบบนี้เหมือนคนที่โอเคไหมล่ะ

เขาไม่เห็นหรือไงว่าฟันของเขาคมจนกัดที่เขี่ยบุหรี่แก้วหนาสองเซนติเมตรแตกเป็นชิ้นๆ แล้ว แถมบนนั้นยังมีรอยฟันเหลืออยู่อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม โชคดีที่ซุนจื่อหาวใช้ที่เขี่ยบุหรี่ต้านไว้ มิฉะนั้นเขาคงจะกัดคนจนตายเข้าจริงๆ

ซุนจื่อหาวไม่ได้คิดมาก แค่คิดอย่างบริสุทธิ์ว่าที่เขี่ยบุหรี่นั้นมันแตกง่ายเกินไป

มู่มู่ ทำไมอยู่ๆ คุณก็กระโจนเข้ามาล่ะ

มู่อี้ฟานดูชะงัก เผลอปากและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพิมพ์ว่า ฉันแค่จะห้ามคุณสูบบุหรี่

แบบนี้นี่เองซุนจื่อหาวรีบเขี่ยขี้เถ้าทิ้ง คุณทนกลิ่นบุหรี่ไม่ได้เหรอครับ

มู่อี้ฟานพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

เขาไม่กล้าจะอยู่ด้วยกันกับซุนจื่อหาวแล้ว กลัวจะเกิดเรื่องกัดคนอีก จึงรุดกลับห้องไปซ่อนตัว

ฝืนทนอยู่ถึงห้าทุ่มอย่างยากลำบาก ในที่สุดซุนจื่อหาวก็กลับห้องไปนอน

มู่อี้ฟานมาที่ห้องโถงปรับระดับเสียงทีวีให้สูง จากนั้นก็รอต่อไปจนถึงเที่ยงคืนตรง ก่อนจะฉวยกระเป๋าเป้มาถือไว้ และก้าวเท้าไปจากวิลลาของเขาอย่างงุ่มง่าม

เขาไม่ได้เดินไปทางเข้าหลักของเขตวิลลา แต่เดินไปยังวิลลาอีกหลังที่อยู่ข้างๆ วิลลาของเขา ดึงกุญแจออกมาไขประตูเดินเข้าไปพร้อมล็อกประตูปุ๊บ

หลังจากแน่ใจว่ากำลังกลายเป็นซอมบี้ และไม่สามารถเปิดประตูบานนี้ในภายหลังได้ เขาจึงเดินไปที่ห้องใต้ดินภายใต้ความมืดมิด

วิลลาหลังนี้ซื้อโดยราชาซอมบี้มู่อี้ฟาน หลังจากซื้อวิลลาหลังข้างๆ เพื่อสะดวกต่อการซ่อนตัวจากศัตรู ดังคำกล่าวที่ว่า สถานที่ที่อันตรายที่สุดคือ สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นใครก็นึกไม่ถึงว่าจะซ่อนอยู่ในวิลลาข้างๆ ง่ายๆ เช่นนี้ นอกจากนี้ เมื่อซื้อวิลลาทั้งสองหลังนี้มาก็ถูกจัดไว้ภายใต้ชื่อคนอื่นอีกสองคน ดังนั้น จำต้องบอกว่ามู่อี้ฟานตัวจริงนั้นเป็นคนที่รอบคอบจริงๆ

เมื่อมู่อี้ฟานมาถึงห้องใต้ดิน ร่างกายและแขนขาทั้งสี่ก็เปลี่ยนเป็นศพโดยสมบูรณ์แล้ว ลำคอไม่สามารถเปล่งคำพูดและประโยคออกมาได้อย่างชัดเจน ทำได้แต่ครางฮือๆ สติก็ยิ่งเลือนรางมากขึ้น และยิ่งควบคุมไม่ได้ขึ้นเรื่อยๆ ณ เวลานั้นทั้งร่างก็คว่ำลงกับพื้น




[1] ผู้ที่มีภรรยาและอนุภรรยารายล้อม หรือหมายถึงชายที่สนุกกับการมีคู่นอนหลายคน


 

บทที่ 69 ระลอกคลื่น

ก่อนที่ซุนจื่อหาวจะนอนก็เข้าใจว่ามู่อี้ฟานดูทีวีอยู่ในห้องโถง เพราะกังวลว่ามู่อี้ฟานมีอะไรแล้วจะมาหาเขา ดังนั้น เขาจึงนอนหลับโดยที่เปิดประตูไว้ ตลอดทั้งคืนได้ยินเสียงทีวี ไม่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติใดๆ เขาจึงนอนหลับไปจนถึงรุ่งสางด้วยประการฉะนี้

เมื่อลุกขึ้นมา ทีวีในห้องโถงยังคงเปิดอยู่ เขาปิดทีวี เตรียมตัวไปออกกำลังกายช่วงเช้า แต่ประตูที่เห็นชัดๆ ว่าถูกล็อกจู่ๆ ก็ไม่ได้ล็อกเสียอย่างนั้น

ซุนจื่อหาวคิดว่ามู่มู่อาจจะออกไปก่อนหน้านั้นแล้ว ด้วยเหตุนี้ที่ล็อกกันขโมยถึงได้เปิดออก

อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัย เขายังคงมาที่ห้องของมู่อี้ฟานเพื่อดูว่าคนอยู่หรือไม่อยู่ เคาะประตูไปสองสามทีไม่ได้ยินเสียงตอบรับ ยืนยันว่าคนออกไปแล้วจริงๆ ก่อนจะหันหลังจากไป และไปออกกำลังกาย

เมื่อกลับมาจากออกกำลังกายก็ถือโอกาสนำเอาอาหารเช้ากลับมาด้วย

วางชามตะเกียบเรียบร้อย ซุนจื่อหาวก็ไปเคาะประตูห้องมู่อี้ฟานอีกครั้ง แต่ยังคงไม่มีการตอบรับ

ทันใดนั้นเขานึกขึ้นได้ว่าร่างกายของมู่มู่นั้นยังป่วยอยู่ เขากังวลว่าคนในห้องจะเกิดอุบัติเหตุขึ้น จึงเปิดประตูเข้าไปทันที แต่ในนั้นกลับว่างเปล่าไร้คน ผ้าห่มบนเตียงก็ถูกปูไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย

ซุนจื่อหาวขมวดคิ้ว พึมพำว่า ออกไปแล้ว ทำไมไม่บอกกันสักคำเลยล่ะ

ฉับพลันกระดาษเขียนจดหมายบนโต๊ะก็ดึงดูดความสนใจของเขาขึ้นมา

เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อดู และพบว่ามันเขียนถึงบอสของตัวเอง

เขารู้สึกตลกนิดหน่อย ตอนนี้ยังมีเขียนจดหมายอยู่ด้วย ไม่ใช่อยู่ในกองทัพที่ต้องส่งสารทางจดหมายสักหน่อย

ซุนจื่อหาวเดิมไม่คิดอ่าน แต่กลับกวาดเจอตัวอักษรที่เขียนบนจดหมายคำว่า จากไป ก็ไม่ได้วิตกกังวลเรื่องแอบดูจดหมายส่วนตัวอีกต่อไป หยิบขึ้นมาอ่านโต้งๆ จากนั้นสีหน้าพลันเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

เขารีบวิ่งออกจากห้อง วิ่งไปที่ป้อมยามประตูทางเข้า ถามว่า ขอถามหน่อยนะครับ คุณเห็นคุณมู่จากวิลลาหลัง A-101 ออกไปบ้างไหมครับ

หนึ่งใน รปภ. สองคนส่ายหน้า ส่วน รปภ. อีกคนบอกว่า ผมเห็นเขาออกไปเมื่อคืนครับ ผมก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาภายหลังหรือเปล่า

ซุนจื่อหาวมองไปทาง รปภ. ตัวผอมๆ สูงๆ คนนั้น เขาไปตั้งแต่เมื่อไร

ประมาณเที่ยงคืนครับ

ซุนจื่อหาวถามอีกครั้ง เขาขับรถหรือเดินไป

รปภ. ไม่ตอบในทันที เหมือนคิดอะไรบางอย่าง ผ่านไปไม่กี่นาทีถึงเอ่ยว่า เดินไปครับ

ตอนที่คุณเห็นเขาออกไป เห็นหรือเปล่าว่าเขาขึ้นรถ

รปภ. ส่ายหน้า

ซุนจื่อหาวเกาหัวอย่างหงุดหงิด

เขาไม่รู้ว่าเบอร์โทรศัพท์มู่มู่คือเบอร์อะไร แล้วก็ไม่ใช่เรื่องดีที่จะโทร.คุยเรื่องนี้กับบอสที่กำลังทำภารกิจด้วย มิหนำซ้ำเขายังไม่รู้จักหน้าตาของมู่มู่ ในทะเลมนุษย์อันไร้ขอบเขตนี่จะให้เขาหาคนได้อย่างไร

ซุนจื่อหาวนึกบางเรื่องออก จึงรีบถามว่า พวกคุณมีวิดีโอกล้องวงจรปิดย้อนหลังไหมครับ ผมคิดว่า...

เขาอยากเห็นใบหน้ามู่มู่ภายใต้ผ้ากอซ แต่ไม่รอให้เขาพูดจบ รปภ. คนอื่นก็ขัดจังหวะ อุปกรณ์กล้องวงจรปิดของพวกเราเสียแล้วครับ วิดีโอก่อนนี้ทั้งหมดก็หายไปด้วย ดูสิครับ มันกำลังซ่อมแซมอยู่

ซุนจื่อหาวมองไปที่พนักงานซ่อมบำรุงที่กำลังยุ่ง ขมวดคิ้วแน่นอย่างหดหู่ กล้องวงจรปิดไม่พังเอาตอนไหน ดันมาพังเอาตอนนี้เนี่ยนะ ช่างบังเอิญจริงๆ

ณ ตอนนี้เขาต้องไปขอความช่วยเหลือจากแผนกเฝ้าระวังถนน แต่แผนกเฝ้าระวังไม่ได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดในเขตวิลลา และใกล้ๆ เขตวิลลาถึงแม้จะมีกล้องวงจรปิด แต่กลับไม่พบใครที่หน้าพันด้วยผ้ากอซเลย

ซุนจื่อหาวเดาว่ามู่มู่จากไปหลังถอดผ้ากอซออก เขาจึงต้องหา รปภ. ที่เห็นมู่มู่ออกไป และไปยังแผนกเฝ้าระวัง เผื่อว่ามีใครรู้จักมู่มู่ในวิดีโอหรือไม่ แต่ทว่ายังคงหาไม่เจอ

คราวนี้ซุนจื่อหาวร้อนใจมาก ถ้าบอสกลับมา จะให้เขาอธิบายเรื่องนี้กับบอสอย่างไร

หลังจากนั้นเขาส่งคนไปค้นหาอีกหลายคน แต่ก็ยังไร้ข่าวคราวเช่นเดิม

เวลาห้าวันผ่านไปในพริบตา ในขณะที่เขายังหาคน พวกจ้านเป่ยเทียนก็กลับมาจากภารกิจแล้ว

ซุนจื่อหาวที่นั่งอยู่ในห้องโถงโทร.เรียกกำลังเสริม เพื่อออกค้นหาเบาะแสของมู่อี้ฟาน สายตามองผ่านหน้าต่างบานใหญ่เห็นรถออฟโรดจอดอยู่ข้างนอก โทรศัพท์ในมือแทบจะถือไม่อยู่จนเกือบจะร่วงลงพื้น

คนที่ลงมาจากรถเป็นจ้านเป่ยเทียน เซี่ยงกั๋ว ลู่หลิน และพวกเหมาอวี่

ซุนจื่อหาวตัดสายอย่างรีบร้อน เปิดประตูให้พวกจ้านเป่ยเทียนเข้ามา

พอจ้านเป่ยเทียนเข้ามาก็มองหาเงาร่างของมู่อี้ฟาน หลังจากไม่เห็นคน ดวงตาก็หม่นลง รู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก

เซี่ยงกั๋วและคนอื่นๆ เห็นซุนจื่อหาวตาแดงไปหมดก็ชะงักไปครู่หนึ่ง พูดขำขันว่า ซุนจื่อ สองสามวันมานี้นายอยู่บ้านควรกินอิ่มหลับสบายสิ ทำไมนายอยู่ในสภาวะขัดสนกว่าตอนที่เราไปทำภารกิจกันล่ะหือ ท่าทางนายเหมือนไม่ได้นอนมาหลายวันเลยนะ

จ้านเป่ยเทียนเพิ่งสังเกตเห็นเรื่องนี้ในเวลานี้ คิ้วเลยขมวดเล็กน้อย

ซุนจื่อหาวไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาต่อล้อต่อเถียงกับพวกเขา เดินนำไปก้าวหนึ่ง เอ่ยว่า เข้ามากันก่อนค่อยพูด

พวกเซี่ยงกั๋วเดินเข้ามาในห้องนั่งลงบนโซฟาแล้วเหยียดตัวทันที ฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว

ซุนจื่อหาวมองจ้านเป่ยเทียนที่มีสีหน้าไม่แยแส สัมผัสจดหมายในกระเป๋ากางเกง ลังเลอยู่สักพักก่อนจะหยิบจดหมายยื่นส่งให้จ้านเป่ยเทียนด้วยความรู้สึกผิดเต็มสีหน้า บอส ขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่ได้ดูแลมู่มู่ให้ดีๆ นี่คือจดหมายที่มู่มู่ทิ้งไว้ให้คุณครับ

จ้านเป่ยเทียนพลันมีลางสังหรณ์ไม่ดี รับจดหมายมาและเปิดอ่าน

เป่ยเทียน,

เมื่อนายอ่านจดหมายฉบับนี้ เวลาแสงสุดท้ายก่อนอาทิตย์ตกของฉันก็สิ้นสุดลงแล้ว ร่างกายไม่สามารถประคับประคองได้อีกต่อไปจนถึงวันนั้นที่นายกลับมา

ถึงแม้จะรอจนถึงวันนั้นได้ ฉันก็ไม่อยากจะให้นายเห็นสภาพป่วยกระเสาะกระแสะของฉัน แล้วก็ไม่อยากเห็นนายเศร้าเพื่อฉันด้วย ฉะนั้นฉันเลยจากไป

นายอย่าเสียใจเพื่อฉันเลย ก็เหมือนฉันไปเที่ยวรอบโลกนั่นแหละ บางทีตอนนี้ฉันอาจกำลังสนุกแฮปปี้อยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่งก็ได้ ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่ง ฉันอาจจะปรากฏตัวต่อหน้านาย ฉันจะเล่าเรื่องการเดินทางรอบโลกให้นายฟังนะ ฮิๆ

ใช่แล้ว ฉันไม่รู้ว่าจะเอาลูกปัดออกจากร่างคืนให้นายได้อย่างไร เลยต้องเอามันไปด้วย ด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกเสียใจมากๆ แต่ขอแค่มีโอกาสจะต้องส่งคืนนายแน่นอน

ก็แค่นี้ล่ะ เป่ยเทียน ลาก่อนนะ

จ้านเป่ยเทียนเห็นสามคำสุดท้าย รูม่านตาหดลง จับกระดาษจดหมายแน่นไม่ปล่อย

ซุนจื่อหาวซึ่งอยู่ข้างตัวอดไม่ได้แบกหนามขอขมา [1]กล่าวอย่างซึมเซาว่า บอส ผมไม่รู้ว่ามู่มู่จะป่วยหนักขนาดนี้ แค่คิดว่าเขาป่วยเป็นโรคธรรมดาเท่านั้น ตอนนั้นผมยังคิดว่าเขาช่างเป็นคุณชายใหญ่จริงๆ เดินได้ขยับได้ ทำไมยังต้องให้คนดูแลเขาด้วย แต่พอย้อนกลับมานึกในตอนนี้ เขาน่าจะป่วยจนหยิบช้อนขึ้นมาไม่ได้ แถมเดินลำบากมากๆ ไม่คล่องแคล่วเลย มิน่าล่ะตอนเขากินข้าวเช้า ช้อนถึงตกลงในชามบ่อยมาก เดินจากชั้นหนึ่งไปชั้นสองก็ใช้เวลาสามนาที

ถ้ามู่อี้ฟานอยู่ที่นี่ ณ เวลานี้จะต้องยิ้มแฉ่งให้คำพูดนี้แน่นอน

เห็นได้ชัดว่าเขาเปลี่ยนเป็นศพ คนกลับบอกว่าป่วยหนัก ทว่ามันก็ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในจดหมายของเขาพอดี

เหมาอวี่ย่นคิ้ว ป่วยหนักขนาดนี้? แล้วนายไม่พบว่าเขาผิดปกติเหรอ

ฉันพบสิ ตอนนั้นฉันเห็นเขาเดินช้ามาก ยังถามเลยว่าเขาไม่สบายหรือเปล่า แต่เขากลับโกหกฉันว่ากำลังจ๊อกกิ้งช้าๆ

เหมาอวี่ “...”

จ้านเป่ยเทียนตวัดดวงตาทั้งสองที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดขึ้นฉับพลัน ถามเสียงแหบแห้ง นี่เกิดขึ้นเมื่อไร

ซุนจื่อหาวตอบ มันคือวันที่พวกคุณไปครับ

จ้านเป่ยเทียนหวนนึกสถานการณ์ในวันนั้น พลันขย้ำกระดาษจดหมายแน่น

ไม่แปลกเลยที่คนชอบพูดในเวลาปกติ เมื่อเขาจะจากไปกลับไม่พูดอะไรสักคำ

อีกทั้งก่อนวันออกเดินทาง มู่มู่ไม่นอนก็กิน พูดจาก็ไม่เกินสองประโยค

ตอนนั้นเขาก็ว่ามันแปลกๆ นิดหน่อย ต่อมาคิดว่ามันเกี่ยวกับฉิงเทียนจูก็เลยไม่ได้คิดอะไรให้ลึกซึ้ง

เมื่อคิดย้อนกลับมาในเวลานี้ แต่เดิมมู่มู่น่าจะพบว่าร่างกายตัวเองผิดปกติในขณะนั้น ทว่ามีแค่เรื่องคอที่ปรากฏต่อหน้าเขาเท่านั้น ดังนั้น จึงแสร้งหลับมาตลอดสินะ

เซี่ยงกั๋วถามอย่างกังวล นายไม่ได้ส่งคนไปหาเขาเหรอ

ซุนจื่อหาวรีบอธิบายว่า แน่นอนว่าฉันส่งคนไปหาแล้ว แต่ฉันไม่รู้เบอร์ของมู่มู่ แล้วก็ไม่รู้ว่าหน้าตาเขาเป็นยังไงด้วย ฉันยังไปแผนกเฝ้าระวังถนนเพื่อค้นหาจากวิดีโอ ไม่มีใครพันหน้าพันตาเลย ฉันคิดว่าเขาคงถอดผ้ากอซทิ้งไป ก็เลยได้แต่ไปหา รปภ. ที่รู้หน้าค่าตามู่มู่เพื่อถามถึงเขา แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา แทบจะเหมือนกับว่าหายวับไปจากพื้นโลก

ลู่หลินครุ่นคิดแล้วถามว่า ทำไมนายไม่ค้นดูจากวิดีโอกล้องวงจรปิดของเขตวิลลาล่ะ

เมื่อซุนจื่อหาวพูดถึงเรื่องนี้ก็โมโห ฉันคิดจะขอดูวิดีโอกล้องวงจรปิดของเขตวิลลาเป็นอย่างแรกด้วยซ้ำ แต่แม่มันเถอะ กล้องวงจรปิดดันมาเสียซะได้

เหมาอวี่ เซี่ยงกั๋ว และลู่หลิน ทั้งสามคนเงียบขรึมลง

แววตาจ้านเป่ยเทียนกลับรุนแรงขึ้นฉับพลัน เขาน่าจะยังอยู่ในเขตวิลลา

ยังอยู่ในเขตวิลลา? แต่ รปภ. เห็นเขาออกไปกับตาเลยนะครับซุนจื่อหาวเบิกตากว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ

เขาลำบากลำบนอยู่ห้าวัน แต่คนยังอยู่ในเขตวิลลาเนี่ยนะ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน

เหมาอวี่พูดสัพยอกว่า ที่ รปภ. บอกมา มันเป็นความจริงแน่เหรอ แล้วกล้องวงจรปิดมันเสียได้บังเอิญเกินไปหน่อยไหม

สีหน้าซุนจื่อหาวเปลี่ยนไป นายจะบอกว่า...มู่มู่น่าจะร่วมมือกับ รปภ. กันก่อนหน้านี้หรือ

ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องซื้อพิซซ่าในวันนั้นได้ มู่มู่เจาะจงให้ รปภ. ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูทางเข้าเข้ามาส่ง อย่าบอกนะว่าจะไปร่วมมือกันตอนนั้นน่ะ

ใช่แล้ว! รปภ. ที่บอกว่าเห็นมู่มู่ออกไป และ รปภ. ที่ไปดูวิดีโอที่แผนกเฝ้าระวังถนนล้วนเป็นคนเดียวกันนี่นา ตอนนี้คิดดูแล้ว รปภ. คนนั้นก็ให้ความร่วมมือกับเขาดีเกินไป

แม่งเอ้ย ฉันจะไปถาม รปภ. คนนั้นให้รู้เรื่องซุนจื่อหาวบึ่งออกจากวิลลา

จ้านเป่ยเทียนจ้องจดหมายในมือ จากลายอักษรจะเห็นได้ว่าผู้เขียนจดหมายใช้เรี่ยวแรงมากเท่าไรถึงจะเขียนจดหมายฉบับนี้ออกมาได้

เขาเม้มริมฝีปากแน่น ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงลำบาก ดวงตาที่ปิดเปลี่ยนเป็นสีแดง ยกมือขึ้นนวดคลึงเปลือกตา ทำให้คนมองอารมณ์ภายในดวงตาของเขาไม่เห็น ทว่าเหมาอวี่ และคนอื่นๆ กลับรู้สึกได้ว่าในใจบอสนั้นทนทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง

ลู่หลินใบหน้าเผยความลังเลก่อนถามว่า บอส มู่มู่ป่วยเป็นอะไรหรือครับ

ได้ยินดังนั้น จ้านเป่ยเทียนค่อยๆ ลืมตาขึ้น ตอบเสียงแหบว่า มะเร็งกระดูกระยะสุดท้าย

ทั้งสามคนตกตะลึง

อย่างไรก็ไม่คิดไม่ฝันว่าคนที่ช่างเจรจากับพวกเขาเป็นพิเศษในคืนนั้นจะป่วยหนักได้ขนาดนี้

ในทันใดบรรยากาศในห้องโถงใหญ่ก็ตกอยู่ในท่ามกลางความสะเทือนใจ ทุกคนต่างเงียบพลอยให้ทั้งโถงเงียบสงัด

ฉับพลันระลอกคลื่นสายหนึ่งก็ดึงดูดความสนใจของจ้านเป่ยเทียน

จ้านเป่ยเทียนมีสีหน้าเปลี่ยนไป ลุกขึ้นยืนพรวดพราด สาวเท้าไปยังหน้าต่างขวามือ และมองวิลลาข้างเคียงหลังนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย




[1] แบกหนามขอขมา เป็นสำนวน หมายถึง ยอมรับความผิดอย่างไร้ข้อโต้แย้ง และกล่าวขอโทษอย่างจริงใจ


 

บทที่ 70 เหนือจินตนาการของนาย

เหมาอวี่ ลู่หลิน และเซี่ยงกั๋วเห็นสีหน้าจ้านเป่ยเทียนผิดแปลกไปก็รีบเดินไปอยู่ข้างกาย และถามขึ้นว่า เป็นอะไรไปครับบอส

พวกเขามองออกไปนอกหน้าต่างอีกฟาก นอกจากวิลลาอีกหลังที่ไม่มีแม้แต่นกให้เห็น

จ้านเป่ยเทียนจ้องมองวิลลาสักพักหนึ่ง ก่อนจะละสายตากลับมา พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า เมื่อกี้ฉัน...

จู่ๆ เขานึกขึ้นได้ว่า ตอนนี้ยังไม่เข้าสู่วันสิ้นโลกอย่างเป็นทางการ เดิมทีเหมาอวี่และพรรคพวกก็ตระหนักถึงไม่ได้อยู่แล้ว ถึงจะบอกพวกเขาไป พวกเขาก็คงไม่ค่อยจะเชื่อว่าความผันผวนที่เขารู้สึกได้เมื่อครู่เป็นพลังมาจากเวลาที่ซอมบี้เลื่อนระดับปล่อยออกมา มิหนำซ้ำความสามารถของซอมบี้อย่างน้อยก็อยู่ระดับกลางขึ้นไป

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่ถึงวันสิ้นโลก ทำไมถึงปรากฏซอมบี้ระดับกลางขึ้นไปได้ล่ะ

จ้านเป่ยเทียนมีความสงสัยวาบผ่าน ความผันผวนก่อนหน้านี้มาได้ปุบปับ และจากไปเร็วเช่นกัน พานให้เขาไม่แน่ใจอยู่บ้าง และก็ไม่มั่นใจด้วยว่ามาจากวิลลาข้างเคียง หรือด้านหลังวิลลาข้างเคียงกันแน่

เหมาอวี่เห็นจ้านเป่ยเทียนแสดงออกอย่างเคร่งเครียดเลยถามว่า เกิดอะไรขึ้นครับบอส

จ้านเป่ยเทียนกลับมามีสติ และออกคำสั่งทันที เหมาอวี่ นายแจกแจงลงไปให้เหล่าพี่น้องโทร.หาครอบครัว และให้คนในครอบครัวซื้อข้าวและหมี่เก็บไว้ในบ้านเพิ่มด้วย ดีที่สุดคือกินได้หนึ่งปีครึ่ง ถ้าพ่อแม่ในบ้าน และพี่น้องชายหญิงที่ยังโสดยินดีจะมาเมือง G ก็ให้พวกเขาซื้อตั๋วเครื่องบินมาเมือง G ทันทีเลย พอถึงตอนนั้นนายก็จดรายชื่อลงไป แล้วค่อยจัดเตรียมที่พักของพวกเขาก็พอแล้ว

ทั้งสามคนอึ้ง เหมาอวี่ตอบรับทันที ครับ

จ้านเป่ยเทียนหันไปมองลู่หลิน ลู่หลิน นายไปสืบเรื่องที่ครอบครัวมีเด็กถูกรถชนตายที่หมู่บ้านสุ่ยครั้งสุดท้ายอีกครั้ง ถึงเป็นบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรที่ชนเด็กตายก็ต้องสืบมาให้กระจ่าง แล้วก็ไปสืบหมอส่วนตัวที่ชื่อหลี่ชิงเทียนมาด้วย

ครับ

ส่วนเซี่ยงกั๋ว นายไปตรวจสอบผู้ซื้อวิลลาหลังนี้ว่าเป็นมู่มู่ หรือผู้ซื้อรายอื่น หลังจากนั้นตรวจสอบอีกทีว่า ผู้ซื้อรายนี้อยู่ในเขตเดียวกันไหม หรือซื้อวิลลาหลังอื่นนอกจากนี้ อ้อ! ถือโอกาสไปสืบว่าใครเป็นคนอาศัยอยู่วิลลาหลังข้างๆ ด้วยนะ

ครับ

แม่ง แกเข้ามานี่กับฉันเลยจู่ๆ น้ำเสียงมีน้ำโหของซุนจื่อหาวก็ดังขึ้นอยู่ที่ทางเข้าประตู

สี่คนที่อยู่ในห้องโถงหันไปมองที่ทางเข้าประตู และเห็นซุนจื่อหาวผลักชายหนุ่มที่สวมชุด รปภ. เข้ามา

ซุนจื่อหาวพูดว่า บอส เขานี่แหละบอกผมว่าเห็นมู่มู่ออกไปจากเขตวิลลาเมื่อคืนนั้น

รปภ. เอ่ยด้วยสีหน้าทำอะไรไม่ถูกว่า ผมไม่รู้ว่าคุณมู่ไปไหนจริงๆ

จ้านเป่ยเทียนหรี่ตา ไม่ได้พูดอะไรออกมา เดินไปโซฟาข้างหน้าแล้วนั่งลง เขาค่อยๆ พับจดหมายในมือราวกับว่ามันเป็นเหมือนสมบัติล้ำค่า พับอย่างบรรจง และระวังเป็นพิเศษ เพราะกลัวว่ามันจะฉีกขาด

เหมาอวี่ ลู่หลิน และเซี่ยงกั๋วก้าวไปยืนอยู่ด้านหลังจ้านเป่ยเทียน จ้องมอง รปภ. ที่แสดงความไม่รู้อะไรออกมาอย่างดุร้ายนัก

รปภ. เห็นพวกเขาทำท่าทีแบบนี้ช่างเหมือนมาเฟียเหลือเกิน จึงอดกลืนน้ำลายไม่ได้

เมื่อกี้ดูเหมือนเขาจะได้ยินคนที่จับเขามาเรียกอีกฝ่ายว่าบอส อย่าบอกนะว่าเป็นมาเฟียจริงๆ น่ะ

ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ไม่น่าแปลกที่คุณมู่จะแอบหนีไป และไม่ให้คนอื่นค้นพบที่อยู่ของเขา

เหมาอวี่จับความรู้สึกหวาดหวั่นที่ฉายขึ้นในดวงตาของ รปภ. ได้ แค่นเสียงหัวเราะเย็นชา เหล่าหลิน นายฆ่าคนสุดท้ายเมื่อไรนะ

ลู่หลินและเหมาอวี่เป็นเพื่อนร่วมรบกันมานานปี รู้ใจกันและกันมากพอ พอได้ยินคำพูดนี้ก็รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร

เขาพูดอย่างไม่ระวังว่า เหมือนจะเป็นเช้าเมื่อวานนี้นะ คนพวกนั้นไม่เชื่อฟังเกินไป ก็เลยให้รางวัลพวกเขาแต่ละคนเป็นกระสุนสักนัดเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นจะคิดว่าเหล่าจือรังแกง่าย

เซี่ยงกั๋วเหลียวไปมองลู่หลินอย่างไม่เข้าใจ พวกเขาจะยกเรื่องสังหารคนต่างชาติตอนเช้าเมื่อวานขึ้นมาพูดทำไม ไม่กลัวว่าจะถูกบอสลงโทษหรือ

เหมาอวี่ยิ้มว่า นายก็เป็นซะแบบนี้ เห็นเกะกะลูกตาหน่อยก็หยิบปืนขึ้นมาเคลียร์โต้งๆ โหดเอาเรื่องจริงๆ

ลู่หลินเหลือบมองเขา เทียบกับงานอดิเรกนายที่ชอบฆ่าคนทิ้งทั้งครอบครัว ความโหดของฉันจะนับเป็นอะไรล่ะ

เหมาอวี่กล่าวด้วยใบหน้ารำลึกถึงอดีต อันที่จริงสิ่งที่ฉันชอบคือการเห็นพวกเขาขอร้องฉันต่างหาก พูดมาแล้ว ฉันก็ไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้มานานแล้วนะ ใกล้จะจำไม่ได้แล้วว่าพวกเขาคุกเข่าอ้อนวอนฉันยังไง

ลู่หลินมองไปยัง รปภ. นายวางใจเถอะ นายจะจำได้ในไม่ช้า ขอแค่ใครบางคนที่ทำให้บอสไม่พอใจ นายสามารถกำจัดครอบครัวใครบางคนทิ้งได้ตลอดเวลา

เซี่ยงกั๋วได้ยินเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าพวกเขาต้องการจะข่มขู่ รปภ.

รปภ. หวาดผวาเล็กน้อยในก้นบึ้งหัวใจ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในสิ่งที่พวกเขาเอ่ย ในใจคิดว่าใครเขาจะเอาเรื่องที่ตัวเองฆ่าคนออกมาพูดอย่างหน้าด้านๆ บ้าง แต่คิดอีกที อีกฝ่ายเป็นคนในโลกมืด มีอะไรอีกล่ะที่ไม่กล้าทำ พวกเขาบอกว่าตัวเองเคยฆ่าคนมาแล้ว อย่างไรก็ไม่มีหลักฐานและความน่าเชื่อถือ แต่จะมีใครเอาชนะพวกเขาได้บ้างเล่า

อีกเรื่องก็คือตัวเองรับเคราะห์นั้นไม่เท่าไร จะกลัวก็แต่หายนะนั้นจะไปสู่ครอบครัวนี่แหละ เขากังวลเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะทำตามที่พูด และไปเอาเรื่องกับครอบครัวของเขา

ขณะนี้ซุนจื่อหาวที่อยู่ข้างหลังเตะหลังเข่าขวาของ รปภ. จึงทำให้ขาขวาของ รปภ. งอฮวบซวนเซลงกับพื้นจนเขาตื่นตกใจยอมสารภาพทุกอย่าง

คุณผู้ชายทุกท่าน ผมไม่รู้จริงๆ นะครับว่าคุณมู่ไปที่ไหน วันนั้นเขาให้ผมมาเจ็ดหมื่นหยวน และแค่บอกให้ผมปิดกล้องวงจรปิดสิบนาที แต่ผมกลัว รปภ. คนอื่นพบเข้า เลยทำลายอุปกรณ์กล้องวงจรโดยตรง สร้างเรื่องหลอกตาว่าอุปกรณ์เสีย คนที่เหลือไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ นะครับ

จ้านเป่ยเทียนหยุดพับกระดาษจดหมาย จ้องเขาอย่างเย็นชา อย่างนั้นนายเห็นเขาออกจากเขตวิลลาจะจะหรือเปล่า

รปภ. รีบพูดว่า ไม่ครับ คุณมู่บอกผมไว้ว่า ถ้ามีใครถามเรื่องนี้ขึ้นมาก็ให้พูดไปว่าเขาออกจากเขตวิลลาไปแล้ว

ไอ้บ้า แกกล้าโกหกฉันเรอะซุนจื่อหาวโกรธจัดจนยื่นมือไปตบหัวเขา แกพูดความจริงมา ฉันให้แกพาไปดูวิดีโอระบุตัวที่ห้องควบคุม แกไม่เห็นมู่มู่จริงๆ น่ะหรือ

รปภ. รู้สึกเจี๋ยมเจี้ยมอยู่บ้าง นี่...นี่...

ซุนจื่อหาวกล่าวอย่างดุร้ายว่า แกกล้าโกหกเราอีกรอบงั้นสิ ระวังพวกฉันจะเป่าแก

จริงๆ แล้วผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรว่าคุณมู่หน้าตายังไง ตั้งแต่เขาย้ายมาอยู่ในวิลลาก็ไม่ค่อยออกไปไหน ปกติจะให้คนส่งเดลิเวอรีถึงบ้าน ขนาดออกไปข้างนอกก็ใส่แว่นกันแดดปิดหน้ากว่าครึ่ง หรือไม่ก็สวมหน้ากากอนามัยออกไป ดังนั้น ถ้าคุณเขายืนต่อหน้าผม ผมก็จำเขาไม่ได้อยู่ดี

จ้านเป่ยเทียนเห็นเขาไม่ได้พูดโกหกก็ถามอีกว่า นายรู้เรื่องในครอบครัวเขาไหม

รปภ. ส่ายหัว ไม่รู้ครับ พวกเรารู้แค่ว่าบ้านเขารวยมาก วิลลาที่อยู่ก็แพงที่สุดในเขต รถหรูก็หลายคัน คนอื่นๆ ก็ไม่รู้อะไร และไม่เคยเห็นครอบครัวของเขามาหาเขาด้วย เขาอยู่ที่นี่มาครึ่งปีกว่าแล้ว พวกเราก็เคยเห็นแค่คุณกับคุณผู้ชายแซ่หลี่มาที่วิลลาของเขาเท่านั้นเอง อื่นๆ ก็คนที่ส่งเดลิเวอรี

จ้านเป่ยเทียนมองไปทางซุนจื่อหาว เป็นสัญญาณให้เขาปล่อยคนไป

รปภ. ตะลีตะลานลุกขึ้นแล้ววิ่งออกจากวิลลาไป

ลู่หลินยิ้มเยาะ เขาเองก็ไม่เท่าไร ตกใจจนเป็นอย่างนี้ คนแบบนี้มาเป็น รปภ. ได้ไงนะ ฉันล่ะเป็นห่วงแทนคนในเขตวิลลาเสียจริงๆ

เหมาอวี่ก็ไม่ได้มีอะไรจะพูดด้วย จึงออกจากห้องโถงไปโทรศัพท์

ลู่หลินและเซี่ยงกั๋วก็ออกห้องโถงไปเหมือนกัน เพื่อไปสืบเรื่องที่บอสสั่งมาก่อนหน้านี้

ห้องโถงใหญ่เงียบสงบลงอีกครั้ง ซุนจื่อหาวมองจ้านเป่ยเทียนที่ปราศจากความโกรธแต่ยังมีศักดิ์ศรี[1] ในใจราวกับถูกกระหน่ำตีด้วยกลอง แท้จริงแล้วเขาหวังเป็นอันมากว่าบอสจะดุด่าเขา ตอนนี้ไม่พูดอะไรสักนิด รังแต่จะทำให้เขารู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น บอส ผมจะไปสอบถามคนในเขตวิลลาว่ามีใครเห็นมู่มู่บ้างนะครับ

เขาออกจากห้องโถงตามพวกลู่หลินไป ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตอนที่บอสเงียบ มันน่ากลัวกว่าตอนที่เขาโกรธเสียอีก

ลู่หลินซึ่งกำลังจะขึ้นรถยิ้มติดตลก เจ้าเด็กน้อยเอ้ย ให้นายไปดูแลคนคนเดียว แต่กลับทำคนหายไปแล้ว ตอนนี้บอสไม่ถลกหนังของนายนับว่าโปรดปรานนายคับฟ้าแล้ว

เหมาอวี่กล่าวว่า ลู่หลิน นายอย่าพูดเรื่องนี้กับจื่อหาวต่ออีกเลย ฉันเห็นว่าตอนนี้เขาก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว

ซุนจื่อหาวถอนหายใจอย่างจนใจ เอาละ คราวนี้พวกนายจะไปทำภารกิจอะไร

ลู่หลินและคนอื่นๆ สบตากัน ไม่ใช่ภารกิจอะไรหรอก แค่เดินทางไปทำข้อตกลงกับคนประเทศ U เท่านั้นแหละ

ซุนจื่อหาวสงสัย ตกลงอะไรกัน

ลู่หลินตอบ ตอนนี้ไม่สะดวกที่จะพูด ฉันจะมาคุยรายละเอียดกับนายในภายหลัง สรุปการทำข้อตกลงในครั้งนี้น่าระทึกมาก

เหมาอวี่เสริมว่า แล้วก็น่าทึ่ง เหนือจินตนาการนายเช่นกัน

เซี่ยงกั๋วยังเอ่ยอีกว่า และก็โคตรอันตรายด้วย นายคงคิดไม่ถึงแน่ว่าพวกเราที่เป็นทหารจะถูกคนตามไล่ล่า

ยิ่งพวกเขาพูดแบบนี้ ซุนจื่อหาวก็ยิ่งอยากรู้ พวกนายจงใจยั่วให้ฉันน้ำลายไหลหรือไง มันหมายความว่าอะไร พูดครึ่งๆ กลางๆ อยู่ได้

ทั้งสามคนยิ้มไม่พูดไม่จา ลู่หลินและเซี่ยงกั๋วขึ้นนั่งรถและจากไป เหมาอวี่หยิบโทรศัพท์ และปลีกตัวไปโทรศัพท์

ซุนจื่อหาวจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ทำได้เพียงหยิบโทรศัพท์ออกมาเรียกคนที่ส่งออกไปกลับคืนมา และไปที่ต่างๆ แถววิลลาเพื่อสอบถามเบาะแสของมู่อี้ฟาน

ในวิลลา จ้านเป่ยเทียนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช่นกัน ลองพยายามโทร.หามู่อี้ฟาน แต่โทรศัพท์อีกฝ่ายนั้นปิดอยู่

เขาเม้มริมฝีปาก กดวางสายไปและกำโทรศัพท์แน่น จ้องรายชื่อในสมุดโทรศัพท์ไม่วางตา หนึ่งในชื่อที่เมมไว้คือ คุณมู่

จ้านเป่ยเทียนเปลี่ยนชื่อเป็นมู่มู่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ส่งข้อความหาอีกฝ่าย

มู่มู่ ฉันกลับมาแล้ว




[1] ใช้อธิบายถึงคนที่มีภาวะผู้นำที่อยู่ในตำแหน่งสูงและน่าเกรงขาม


 

บทที่ 71 ทูนหัวของฉัน

ณ ห้องใต้ดินของวิลลานั้นมืดสนิทนัก ภายในความมืดชนิดที่มองไม่เห็นนิ้วทั้งห้านี้ เสียงคำราม กรรรรรดังก้องของสัตว์ประหลาดตัวนี้ เสียงนั้นฟังดูเจ็บปวด และเหมือนตื่นเต้นมากจนทำให้ผู้คนที่ได้ฟังขนลุกเกรียว

ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนระเบิดขึ้นราวกับหลุดพ้นจากโซ่ตรวนท่ามกลางความมืด เสียงร้อง อาาาาา ดังสะท้อนอยู่ในห้องใต้ดิน อ้อยอิ่งไม่ยอมไป

ต่อจากนั้นหลอดไฟทั้งหมดที่เหมือนจะเชื่อมกับกระแสไฟฟ้าก็กะพริบทีละดวง ในที่สุดไฟทุกดวงก็สว่างขึ้น และสว่างไปทั่วห้องใต้ดิน

ที่ประตูห้องใต้ดิน มีชายที่ใบหน้าพันผ้ากอซนอนอยู่ กำลังเบิกดวงตาที่เต็มไปด้วยสีแดงจ้องมองเพดาน กล่าวอย่างดีใจว่า แม่มันเถอะ ในที่สุดเหล่าจือก็รอดแล้ว

สุดท้ายนี้ก็ไม่จำเป็นต้องพะวงว่าตัวเองจะกลายเป็นซอมบี้ไร้สตินึกคิดอีกต่อไปแล้ว และก็ไม่ถูกใครเป่ากะโหลกตายได้ง่ายๆ ด้วย

หลังจากนั้นเจ้าสิ่งเล็กๆ ในท้องของเขาก็เริ่มกระโดดอย่างตื่นเต้นราวกับว่าพบเรื่องน่ายินดีก็เลยโห่ร้องเฉลิมฉลอง

มู่อี้ฟานรีบปกป้องท้อง ทูนหัวของฉัน เธอจะขยับก็ได้นะ แต่ขอล่ะ อย่าส่งสัญญาณให้ครอบครัวของเธอเชียว ถ้าเป่ยเทียนรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ ฉันตายแน่ๆ

ระหว่างฉิงเทียนจูและเจ้านายของเขาน่าจะตอบสนองต่อกัน ขอเพียงพวกเขายินยอม ฝ่ายตรงข้ามก็สามารถหาตัวเองได้

ท้องของเขากลับสู่ความสงบอย่างรวดเร็ว กระทั่งดวงตาแดงก่ำของมู่อี้ฟานก็กลับคืนมาปกติเช่นเดิม รวมทั้งปกปิดกลิ่นอายทั้งหมดด้วย

มู่อี้ฟานลุกขึ้นยืนสะบัดมือสะบัดเท้า ความยืดหยุ่นไม่ต่างไปจากคนทั่วไปเลย แถมเขายังสามารถพูดได้อีก ซึ่งนี่ไม่ใช่พวกซอมบี้ระดับต่ำจะสามารถทำได้

อย่างไรก็ตาม เขาเคยดื่มน้ำพุวิญญาณในมิติของจ้านเป่ยเทียน จ้านเป่ยเทียนใช้น้ำพุวิญญาณให้เขาแช่อาบ จึงไม่แปลกที่เขาจะโดดข้ามขั้นจากซอมบี้ระดับต่ำ และทำให้ระดับเข้าสู่ระดับกลางขึ้นไปแบบนี้ ณ ตอนนี้ไม่รู้เลยว่าตัวเขาอยู่ในระดับกลางที่เท่าไร

มู่อี้ฟานออกจากห้องใต้ดินมาที่ชั้นหนึ่ง

การตกแต่งของห้องโถงเรียบง่ายมาก แต่ก็ยังมีเฟอร์นิเจอร์อยู่บ้างบางส่วน เพียงแต่มีฝุ่นเกาะไปทั่วทุกที่เท่านั้น

หลังจากมู่อี้ฟานเดินไปรอบๆ ชั้นหนึ่ง ก่อนจะขึ้นไปยังห้องที่ชั้นสอง เนื่องจากไม่มีคนอยู่เป็นเวลานาน ห้องก็เลยเป็นฝุ่นไปทั่ว โชคยังดีที่เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดต่างถูกคลุมด้วยแผ่นพลาสติกใส เขาจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงไปทำความสะอาด

เขาเดินไปหน้ากระจกบานใหญ่ ค่อยๆ ถอดผ้ากอซออกจากใบหน้า รูปลักษณ์ที่สะท้อนออกมาเหมือนตัวเองในปัจจุบัน ยกเว้นใบหน้าที่มีความซีดเซียว ริมฝีปากไร้สีเลือด ขอบตาดำ กรอบในดวงตาเป็นสีแดง นอกนั้นก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไป ซ้ำมองดูโดยรวมแล้วก็เหมือนจะบอบบาง และอ่อนโยนกว่าเมื่อก่อนด้วย

ปกติถ้าเขาไม่พูดสบถคำหยาบก็จะยืนนิ่งๆ อยู่แบบนี้ประหนึ่งคุณชายใหญ่ที่เดินออกมาจากจวนขุนนางสูงศักดิ์ที่ไหนอย่างไรอย่างนั้น

เอ่อ เอาเถอะ เดิมทีเขาก็เป็นคุณชายใหญ่อยู่แล้ว

มู่อี้ฟานควักโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมา อยากจะดูว่ามันวันที่เท่าไรแล้ว

ในช่วงที่เขาอยู่ห้องใต้ดินไม่เห็นวันเห็นคืน แม้ว่าบางครั้งมีสติและบางครั้งหมดสติบ้าง ถ้าไม่ใช่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าจนถึงที่สุดว่า ไม่อยากเป็นซอมบี้ที่ไล่กัดคนไปทั่วสารทิศละก็ เกรงว่าเขาจะผ่านเวลายากลำบากมาไม่ได้

มู่อี้ฟานกดปุ่มเปิดเครื่อง แต่กลับพบว่าโทรศัพท์ไม่มีแบตเหลือเลย

เขาขมวดคิ้วอย่างหดหู่ และไม่รู้ว่าจ้านเป่ยเทียนกลับมาหรือยัง

พลันมู่อี้ฟานก็ฉุกคิดได้ว่าห้องนี้สามารถมองเห็นสถานการณ์วิลลาข้างๆ ได้ จึงรีบเดินไปอีกฝั่งข้างเตียงทันที เลิกผ้าม่านเป็นช่องเล็กๆ ก่อนจะจ้องมองออกไป

จากมุมนี้ เขาเห็นแค่ประตูของวิลลาข้างๆ เท่านั้น และข้างนอกประตูมีรถออฟโรดสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ไม่นานชายหนุ่มที่สวมชุด รปภ. คนหนึ่งก็วิ่งออกมาจากวิลลาของเขาอย่างแตกตื่นเหมือนหนีตายกลับไปยังป้อมยาม

มู่อี้ฟานเพ่งดู

นั่นมัน รปภ. ที่มาส่งพิซซ่าไม่ใช่เหรอ

เขาจะวิ่งออกมาจากวิลลาของเขาได้อย่างไร

อย่าบอกเชียวนะว่า...

ซุนจื่อหาวรู้ว่าเขาติดสินบน รปภ. แล้วน่ะ

ครู่ต่อมามู่อี้ฟานก็เห็นลู่หลิน เซี่ยงกั๋วและเหมาอวี่เดินออกมา หัวใจเต้นระรัว ดูเหมือนว่าพระเอกก็กลับมาแล้ว

พอคิดถึงจ้านเป่ยเทียน ประกายตาก็ค่อยมืดลง หลังทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้ง จ้านเป่ยเทียนจะวางเขาไว้ในฐานะศัตรู ไม่หวนกลับเหมือนก่อนอีกต่อไป

มู่อี้ฟานแค่นึกถึงเรื่องนี้ จิตใจก็รู้สึกเศร้ามาก

เขาไม่กล้ายืนอยู่ข้างหน้าต่างนานเกินไป สัญชาตญาณความเป็นทหารพวกนี้เฉียบคมนัก มีเซนต์ไวว่ามีคนแอบมองพวกเขาอยู่

กลิ่นโอชะทำให้เขาเลียปากไม่หยุด นัยน์ตาสีแดงปรากฏขึ้น ท่าทางดูกระหายเลือด

มู่อี้ฟานเดินที่หน้าต่างอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ และกำลังจะเปิดหน้าต่างกระโดดลงไป

ฉับพลันบริเวณท้องก็เกิดกระตุกขึ้นอย่างรุนแรง อึดใจคนก็กลับมามีสติ และข่มความกระหายเนื้อมนุษย์ในสมองได้อย่างรวดเร็ว

มู่อี้ฟานเกาหัวอย่างอารมณ์เสีย อย่างไรเขาก็ไม่ใช่ซอมบี้ระดับสูง ไม่สามารถเหมือนชายชุดขาวคนนั้นที่สามารถควบคุมตัวเองไม่ให้กินมนุษย์ได้ดีมาก

เขาลูบวนท้องกลมมน พูดเศร้าๆ ว่า ฉันหิวมากเหรอเนี่ย

มู่อี้ฟานก้มศีรษะรวดเร็ว เลิกเสื้อดูพุงป่องๆ ไม่รู้ว่าเขาประสาทหลอนไปหรือเปล่า ท้องดูเหมือนจะใหญ่ขึ้นกว่าเดิม

เขาสัมผัสมันอย่างระวังอีกที และดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เมื่อครู่เขาน่าจะเข้าใจผิดไปเอง

แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดจะมาแล้ว

ตอนนี้เขากลายเป็นซอมบี้จริงๆ ร่างกายหยุดทำงานแล้ว อาการท้องอืดของเขาจะดีขึ้นได้ไหม

ย่ามันเถอะ

เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่กับท้องใหญ่ๆ ในอนาคต แบบนี้มันลำบากนะ หลังจากนี้เขาจะไปหาผู้หญิงได้อย่างไร

เอ่อ...

ตอนนี้เขาเป็นซอมบี้แล้วนี่เนอะ น้องชายตัวน้อยของเขาน่าจะไม่ตั้งแล้วล่ะมั้ง

งั้นหาผู้หญิงได้แล้วจะใช้อะไร

ใช่แล้ว จำได้ว่าหลังซอมบี้ในนิยายของเขาเปลี่ยนเป็นซอมบี้ระดับสูงก็จะคล้ายๆ คนธรรมดา ส่วนช่วงล่างจะยังเกิดปฏิกิริยาได้หรือไม่นะ เวลานั้นไม่ได้บรรยายโดยละเอียดด้วยสิ

มู่อี้ฟานทุบหน้าอกกระทืบเท้า[1] ทันที ตอนนั้นทำไมเขาไม่บรรยายให้ละเอียดสักหน่อยนะ

ไงล่ะตอนนี้ ถ้าน้องชายตัวน้อยไม่ผงาดต่อแล้ว เขาจะยังนับว่าเป็นผู้ชายอยู่ไหม

มู่อี้ฟานหนอมู่อี้ฟาน นายมันโคตรโง่จริงๆ สิ่งที่ควรเขียนดันไม่เขียน สิ่งที่ไม่น่าเขียนดันเขียนหมดซะงั้นเพียงแค่เขานึกถึงชื่อเพื่อนและครอบครัวในชีวิตจริง ซึ่งวางไว้ในนิยายเรื่องนี้ก็รู้สึกระคายสุดๆ

มู่อี้ฟานกลับไปยังห้องโถงชั้นหนึ่ง และหยิบเอาที่ชาร์จจากเป้ออกมาชาร์จโทรศัพท์

ต่อด้วยดึงแผ่นพลาสติกใสที่คลุมทีวีและโซฟาออกนั่งลงดูทีวี จึงทราบจากข่าวว่า วันนี้เป็นวันที่ 26 เดือนสี่ เวลา 12.08 น.

มู่อี้ฟานเปลี่ยนช่องไปหลายครั้ง ในที่สุดก็มีข่าวภาคเที่ยงดึงความสนใจของเขาไว้ได้ รายงานว่าเมื่อเร็วๆ นี้โรงพยาบาลหลายแห่งมีผู้ป่วยถูกคนกัดแอดมิดกันต่อเนื่อง และผู้ป่วยที่ถูกกัดจะหมดสติไปสองสามวันอย่างไม่มีสาเหตุ หลังตื่นขึ้นมาก็จะกัดคนไปทั่วเหมือนหมาบ้า

ปัจจุบันโรงพยาบาลต่างไม่สามารถหาสาเหตุของโรคนี้ได้ และไร้วิธีรักษาอีกด้วย อย่างไรก็ตาม กลับตรวจพบว่าโรคของผู้ป่วยจะติดต่ออีกฝ่ายหนึ่งได้ทางบาดแผล ขอแค่พวกเขาถูกกัด คนอื่นๆ ก็จะติดเชื้อได้เช่นกัน

พิธีกรข่าวแค่รายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ง่ายๆ ว่า นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น และประเทศยังไม่ได้ให้ความสำคัญในระดับสูง

เมื่อข่าวภาคเที่ยงรายงานจบ มู่อี้ฟานก็เปลี่ยนไปดูช่องอื่นตามที่ต้องการ จากนั้นวางรีโมตลง แนบหน้าลงกับท้องและอุทานว่า ทูนหัว เธออย่าขยับจะได้ไหม

เนื่องจากเมื่อครู่เขาอยากกินเนื้อมนุษย์ ฉิงเทียนจูในท้องไม่ได้หยุดอยู่นิ่งๆ เลย แต่ก็ไม่เต้นรุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้ ไม่เร็วจนเกินไป เพียงชั่วครู่ก็เต้นเช่นความถี่ของหัวใจ และแฝงความน้อยใจอยู่คลุมเครือ

ฉิงเทียนจูไม่ได้หยุดตามที่มู่อี้ฟานขอ ตรงกันข้ามกลับรู้ความจนร้ายกาจนัก

เธออยากทำอะไรกันแน่มู่อี้ฟานถามขึ้นอย่างจนใจ

ฉิงเทียนจูเต้นด้วยความถี่เดิมอีกครั้ง ดูค่อนข้างไม่พอใจ

เดิมทีมู่อี้ฟานไม่อยากให้ความสนใจเขา แต่การที่ขยับอยู่ตลอดก็ทำให้เขาไม่ค่อยสบายนัก ได้แต่ถามขึ้นว่า เธอคงอยากเจอจ้านเป่ยเทียนหรือเปล่า

ฉิงเทียนจูไม่ตอบสนองเท่าไร

ไม่อยากเจอจ้านเป่ยเทียนงั้นเหรอมู่อี้ฟานคิด ถามอีกรอบว่า หรือเธออยากออกไปเล่น?”

ฉิงเทียนจูยังไม่มีปฏิกิริยาเกินไปนัก

ไม่ใช่อีกเหรอมู่อี้ฟานไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร พูดอย่างหม่นหมองว่า ถ้าเธอพูดได้ก็ดีสิ เธอพูดไม่ได้แบบนี้ ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าเธออยากทำอะไรกันแน่ ฉันไม่เหมือนกับจ้านเป่ยเทียนที่สื่อสารกับเธอได้หรอกนะ

เขาแตะท้อง หิวจัง

อยากกินอะไรจัง แต่ตอนนี้เขาสนแค่มนุษย์เท่านั้น

เมื่อเขาพูดจบ ท้องก็เต้นระริกอย่างบ้าคลั่ง

มู่อี้ฟานเลิกคิ้ว เธอก็หิวด้วยเหรอ

ฉิงเทียนจูมีการตอบสนองเพิ่มขึ้นราวกับตอบรับ

แต่ตอนนี้ฉันออกไปไม่ได้นะ ถ้าฉันได้ออกไป กลัวว่าจะอดไม่ไหวกัดคนอื่นเข้าน่ะสิ

ฉิงเทียนจูไม่สนว่าเขาจะออกไปได้ไหม และเต้นอยู่ในท้องเขาตลอด กระทั่งมู่อี้ฟานก็อดเห็นด้วยไม่ได้ ได้ๆๆ เธอหยุดกระแทกสักทีเถอะ ฉันยังออกไปไม่ได้นะ? แต่ต้องรอให้ชาร์จแบตเต็มก่อนถึงจะออกไปได้ แล้วเธอกินอะไรได้บ้างล่ะ

เขาจำความสามารถในการดูดพลังงานจากหยกของฉิงเทียนจูได้ก็ถาม หยกอย่างนั้นเหรอ

ฉิงเทียนจูกระแทกเบาๆ จากนั้นก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอีก

มู่อี้ฟานกรอกตาใหญ่ แปลกใจนักว่าเพราะอะไรฉิงเทียนจูหลบอยู่ในท้องเขาไม่จากไปเลย

โอ๊ย!

ต่อจากนี้ไป เขาจะต้องเลี้ยงบรรพบุรุษตัวน้อยให้รอดแล้วล่ะ

ยังดีที่วันสิ้นโลกใกล้จะมาถึงแล้ว มิฉะนั้นแม้แต่มหาเศรษฐีพันล้านก็ถูกปีศาจน้อยตัวนี้ล้างผลาญเอาเช่นกัน




[1] หมายถึง มีท่าทางเศร้าเสียใจมาก


 

บทที่ 72 กวนตีนเหล่าจือสินะ

สองชั่วโมงต่อมา ในที่สุดโทรศัพท์ของมู่อี้ฟานก็ชาร์จเต็มแล้ว

เขาเปิดเครื่องก็เห็นสายไม่ได้รับ และข้อความจากจ้านเป่ยเทียนทันที

มู่อี้ฟานรีบเปิดข้อความดู ถึงแม้บนนั้นจะเขียนแค่หกคำสั้นๆ แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกดีใจมากๆ มันแปลว่าพระเอกเป็นห่วงเขา

แต่พอนึกถึงความสัมพันธ์ในอนาคตของทั้งคู่ เขาก็ยิ้มไม่ออกแล้ว

มู่อี้ฟานแสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากคิดและเริ่มลองแต่งตัว โชคดีที่มู่อี้ฟานคนเก่าเก็บเครื่องแต่งกายและวิกผมมากมายไว้ในวิลลาก่อนหน้านี้

เขาเลือกผมสั้นสีแดงอันใหญ่ขึ้นสวมศีรษะ เปลี่ยนสูทแฟชั่นที่สามารถซ่อนหน้าท้องได้ ใส่ต่างหูแบบเจาะและแว่นกันแดดกรอบขาว

แค่เวลาสั้นๆ ครึ่งชั่วโมงก็เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน โดยรวมดูทันสมัยมาก

พอยืนอยู่หน้ากระจก เขาแทบจะจำตัวเองไม่ได้ เชื่อว่าจ้านเป่ยเทียนและพวกผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็ยากจะดูออกว่าเขาคือมู่อี้ฟาน

สุดท้ายก็ใช้ลิปสติกเพิ่มสีริมฝีปากซีดของตัวเองนิดหน่อย ก่อนจะหยิบกุญแจและกระเป๋าสตางค์ออกจากวิลลา

มาถึงประตู มู่อี้ฟานดันพบว่าตัวเองยังไม่ได้ผูกเชือกรองเท้า

เขาก้มตัวลง แต่เพราะกางเกงรัดรูปเกินไปและติดพุง เลยก้มลงไปผูกเชือกรองเท้าได้ไม่เต็มที่ ต้องยกเท้าขึ้นข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างยันกำแพง

ไม่คาดคิดว่าเสียง แควก จะดังขึ้น เป้ากางเกงปริกะทันหัน

มู่อี้ฟานมีขีดสีดำขึ้นเต็มหน้า

เขาลองจับใต้เป้ากางเกง พบว่ากางเกงปริเล็กน้อย ไม่มากนัก

เมื่อเก็บมือขึ้น เล็บอันแหลมคมก็เกี่ยวกางเกงโดยไม่ทันระวัง

ตรงจุดนั้นรู้สึกว่าก้นเย็นวาบ

ความคลางแคลงใจฉายผ่านแววตาของมู่อี้ฟาน เขาลงไปจับอีกครั้ง พบว่าเป้ากางเกงซึ่งเดิมปริออกเพียงเล็กน้อย จู่ๆ ก็ปริจนถึงก้นจนกางเกงในข้างในก็ขาดออกจากกันเผยให้เห็นตะเข็บผ้า

ฉิบหายละหนังตาเขากระตุก รีบเอามือสองข้างปิดก้นแล้ววิ่งไปที่ประตูบ้าน

ขณะนั้น รปภ. ที่ลาดตะเวนสองคนก็กำลังเดินผ่านประตูใหญ่

มู่อี้ฟานเห็นมีคนเดินผ่าน ความหิวก็กลับมาอีกครั้ง เขารีบหันไปเผชิญหน้ากับ รปภ. พร้อมสาวเท้าฉับๆ ไปที่ประตูบ้าน และกดแรงกระตุ้นที่อยากจะกระโจนไปข้างหน้าเพื่อกัดคนด้วย

หนึ่งใน รปภ. ที่อยู่รอบนอกสังเกตได้อย่างรวดเร็วว่าพฤติกรรมแปลกๆ ของมู่อี้ฟานมีปัญหา จึงก้าวไปทันที และตะโกนถามว่า คุณผู้ชายท่านนี้ กรุณารอเดี๋ยวครับ

มู่อี้ฟานกรอกตาเงียบๆ

ให้ตายเถอะ

ทำไม รปภ. สองคนนี้ดันมาจับผิดเอาในเวลานี้กันนะ

รปภ. สองคนเดินมาเบื้องหน้ามู่อี้ฟาน เห็นเขาเอามือไว้ข้างหลังตลอดก็รู้สึกสงสัยมาก จึงพูดว่า คุณผู้ชาย โปรดยื่นมือของท่านออกมาด้วยครับ

มู่อี้ฟานจับสองขาแน่น พยายามเต็มที่ไม่ให้กางเกงด้านหลังปริไปกว่านี้ จากนั้นยื่นมือออกมาอย่างให้ความร่วมมือ ในมือไม่มีสิ่งอื่นนอกจากถือพวงกุญแจอยู่

รปภ. สังเกตเห็นเขาขยับขาก็ย่นคิ้ว คิดว่าต้องมีอะไรสักอย่างซ่อนอยู่ข้างหลังเขาแน่ๆ เลยกล่าวว่า กรุณาหันหลังครับ

ไม่หัน ก็บอกว่าฉันหันไม่ได้มู่อี้ฟานเต็มใจจะหันที่ไหนเล่า นั่นจะไม่ถูกเห็นก้นเปล่าหรือไง

“...” รปภ. ยิ่งแน่ใจว่าเขามีปัญหา สายตาจึงคมขึ้น คุณผู้ชาย งานของพวกเราคือความปลอดภัยในชุมชนนะครับ โปรดร่วมมือในการตรวจสอบของพวกเราด้วย

รปภ. อีกคนเดินไปข้างหลังเขาโต้งๆ กวาดตามองจนในไม่ช้าก็สังเกตเห็นรอยขาดที่กางเกงเขา

“...” รปภ. กลั้นยิ้มที่มุมปาก และลาก รปภ. ที่กำลังจะซักถามออกไป รอจนเดินพ้นประตูก็หัวเราะเยาะอย่างอดไม่ได้ ฮ่าฮ่า กางเกงเขาขาดว่ะ ไม่แปลกที่จะไม่ยอมหัน เหมือนสวมกางเกงเปิดเป้า[1] เลยว่ะ

มู่อี้ฟานในวิลลาได้ยินเสียงหัวเราะจากข้างนอกแว่วๆ หน้ามืดครึ้มปิดก้นต่อ และวิ่งกลับไปเปลี่ยนกางเกงในบ้าน

แต่กลับไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนยืนอยู่ตรงหน้าต่างห้องชั้นสองของวิลลาถัดไป ฉากเมื่อกี้นั้นอยู่ในสายตาทั้งหมดแล้ว

ดวงตาที่เยือกเย็นของจ้านเป่ยเทียนอดที่จะมีรอยยิ้มขบขันไม่ได้ รู้สึกว่าชายหนุ่มรูปหล่อคนนั้นมีท่าทางเหมือนมู่มู่ที่เขารู้จักเหลือเกิน น่าสนใจและตลกมาก

คิดถึงมู่มู่ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าริมฝีปากของชายหนุ่มคนนั้นคล้ายมู่มู่มาก ทั้งรูปร่าง ส่วนสูง และบุคลิกคึกคักกระฉับกระเฉงก็เหมือนมู่มู่เหลือเกิน

หรือว่าจะเป็น...

ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าชายคนนี้จะใส่แว่นกันแดดอันใหญ่บนหน้า บังใบหน้าไปกว่าครึ่ง แต่ยังคงให้ความรู้สึกคุ้นเคยราวกับเขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

จ้านเป่ยเทียนหรี่ตามองตามวิลลาข้างเคียงโดยไม่ขยับเป็นเวลานาน

อีกด้านมู่อี้ฟานเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาเอารถที่โรงจอดรถ

ร่างเดิมทะลึ่งมากที่เอากุญแจรถซ่อนไว้ใต้ล้อ เมื่อมู่อี้ฟานโน้มตัวลงไปเอากุญแจออกก็เปิดประตูรถอย่างชื่นชม และขับออกจากวิลลาไปเลือกหยกที่ร้านหยก

หยกในร้านหยกยิ่งราคาแพงเท่าไร ฉิงเทียนจูในท้องก็ยิ่งตื่นเต้น ซึ่งพิสูจน์ว่าหยกนั้นคุณภาพสูง อีกทั้งมันยังชอบหยกก้อนใหญ่เป็นพิเศษด้วย แต่ทางร้านไม่ได้จัดวางหยกก้อนใหญ่ชั้นเลิศไว้เลย

สุดท้ายมู่อี้ฟานก็ไม่กล้ารั้งอยู่ในร้านหยกนานเกินไป เพราะกลัวจะอดใจไม่ไหวจนกัดพวกเขาเข้า จากนั้นก็รีบร้อนซื้อหยกที่ไม่เลวสองก้อนแล้วออกไป

หยกสองก้อนนี้ไม่ได้ใหญ่มาก แค่ขนาดเท่ารองเท้าสองคู่ แต่มันกลับทำให้เขาเสียเงินหลายสิบล้านจนเขารู้สึกปวดใจเล็กน้อย

ทว่าฉิงเทียนจูยังไม่เต็มอิ่ม งอแงจะซื้อหยกต่อไป

มู่อี้ฟานจึงไม่มีทางเลือกนอกจากวิ่งไปที่ร้านหินดิบปล่อยให้มันดูดซับจนหนำใจ เดิมทีรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับเจ้าของร้านหินดิบและลูกค้าที่จะซื้อหินดิบในอนาคตนัก แต่อย่างไรเมื่อวันสิ้นโลกใกล้มาถึง หินดิบเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนเป็นหินที่ไร้ค่า ในใจเขาจึงไม่รู้สึกผิดถึงเพียงนั้นแล้ว

หลังฉิงเทียนจูดูดซับจนจุใจก็กระโดดโลดเต้นในท้องเขาด้วยความตื่นเต้น เขาก็ขับรถกลับวิลลา

กว่าจะกลับถึงวิลลาก็สองทุ่มแล้ว มู่อี้ฟานขับรถเข้าไปจอดในโรงรถของวิลลา

เมื่อออกมาก็ปิดประตูโรงรถ ขณะนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาหยิบออกมาดู เป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย

มู่อี้ฟานลังเลพักหนึ่งว่าจะกดรับหรือไม่รับดี อีกฝ่ายก็ตัดสายไปแล้ว

เขาจึงได้แต่หย่อนโทรศัพท์กลับลงในกระเป๋า ต่อมาโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกรอบ เขาหยิบขึ้นดูพบว่ายังเป็นเบอร์นั้น โทรศัพท์ดังอยู่สามที อีกฝั่งก็ตัดสายไปอีกแล้ว

มู่อี้ฟานขมวดคิ้วเอาโทรศัพท์ใส่กลับกระเป๋า เขาหยิบกุญแจเดินไปทางประตู

เมื่อเปิดประตูบ้าน โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขาหยิบออกมาดูอย่างห่อเหี่ยว มันยังคงเป็นเบอร์เดิม แถมดังอยู่สามครั้งก็วางสายไปด้วย

ให้ตายเถอะ กวนตีนเหล่าจือสินะ!มู่อี้ฟานยัดโทรศัพท์เข้าในกระเป๋ากางเกงอย่างโกรธๆ เปิดประตูบ้านเข้าไปในห้องโถง

ในขณะที่เขาปิดไฟในห้องโถง ชั้นสองของวิลลาที่อยู่ติดกันก็สว่างขึ้น ชายร่างสูงยืนอยู่หน้าต่างกำลังสไลด์โทรศัพท์ในมือ

จ้านเป่ยเทียนจ้องเบอร์โทรศัพท์ที่กดออกสามครั้งรวด มุมปากยกยิ้มน้อยๆ หมุนตัวกลับไปยังห้องโถงเอาโทรศัพท์คืนเหมาอวี่

เหมาอวี่ที่รับโทรศัพท์มาเอ่ยว่า บอสครับ ผมได้แจ้งพี่น้องทุกคนให้ทราบแล้ว แต่มีสมาชิกในครอบครัวไม่กี่คนที่เต็มใจมาเมือง G ครับ และผมขอให้พวกเขาบอกครอบครัวว่าต้องเตรียมข้าวและหมี่จำนวนมากที่บ้านให้เรียบร้อยด้วย

จ้านเป่ยเทียนผงกหัวรับ ทั้งหมดนี้อยู่ในความคาดหมายของเขา เขาถามเสียงเบาว่า แล้วสมาชิกในครอบครัวพวกนายล่ะ

เซี่ยงกั๋วตอบทันทีว่า มาแน่นอนครับ ผมลองเกลี้ยกล่อมพ่อแม่ผมได้แล้ว พวกเขาจะจองตั๋วเครื่องบินพรุ่งนี้เช้าทันที พรุ่งนี้ผมจะไปรับพวกเขาครับ

ผมก็ด้วยครับเหมาอวี่กล่าว

แม้ว่าจะไม่รู้ว่าบอสจะทำอะไร แต่เขาก็เชื่อว่าบอสทำเช่นนี้ต้องมีจุดประสงค์แน่ๆ

ซุนจื่อหาวเอ่ย ผมก็โทร.หาเหมือนกัน พวกเขาจะมาถึงบ่ายวันพรุ่งนี้

เหมาอวี่พูดต่อ พี่น้องที่งานเลี้ยงวันนั้นเรียกครอบครัวมาแล้วครับ ส่วนคนอื่นๆ ไม่มีครอบครัว

พี่น้องเหล่านี้ต่างเชื่อจ้านเป่ยเทียนอย่างไร้ข้อกังขา ดังนั้น บอสพูดอะไร พวกเขาก็ทำอย่างนั้น แม้จะต้องโกหกก็ต้องหลอกครอบครัวมาให้ได้

จ้านเป่ยเทียนหันไปมองเซี่ยงกั๋ว เรื่องที่ให้นายสืบเป็นไงบ้าง

ผมกำลังคิดจะบอกเรื่องนี้กับบอสเลยครับ คนที่ซื้อวิลลาหลังนี้คือนักธุรกิจที่ร่ำรวยคนหนึ่งชื่อ หวังเถี่ยเฉียน แต่ซื้อได้ครึ่งเดือนกว่าๆ ก็เปลี่ยนมือไป ทว่ากลับลากยาวจนถึงป่านนี้ก็ยังไม่โอน ดังนั้น จึงสืบไม่ได้ว่าใครเป็นผู้ซื้อวิลลาหลังนั้นครับ ภายหลังผมถาม รปภ. อีกครั้ง ซึ่งต่างก็บอกว่ามู่มู่อยู่ที่นี่มาตลอด จากนั้นผมก็สืบรายชื่อผู้ซื้อรายอื่นในเขตชุมชน แต่ไม่มีชื่อมู่มู่อยู่ในนั้นเลยครับ

นัยน์ตาจ้านเป่ยเทียนไหววูบเล็กน้อย สืบได้ไหมว่าใครซื้อวิลลาข้างๆ มา

อ้อ เป็นคนชนบทที่ชื่อหลิวต้าซานครับ จู่ๆ วันหนึ่งเขาเกิดรวยขึ้นมา และซื้อวิลลาของที่นี่น่ะครับ แต่อยู่ได้สองอาทิตย์ก็ออกไป ได้ยินว่าซื้อบ้านอยู่เมือง B เลยย้ายไปอยู่เมือง B ครับ

หลิวต้าซานคนนี้มีลูกชายไหม

ไม่มีครับ มีแค่ลูกสาวสามคน

จ้านเป่ยเทียนหรี่ตากวาดมองทั้งสามคน ถามอีกครั้งว่า ลู่หลินล่ะ

บอส ผมอยู่นี่ครับลู่หลินรีบวิ่งออกมาจากห้องครัว บอส คุณทายซิว่าวันนี้ผมสืบได้อะไร คุณต้องคิดไม่ถึงแน่ว่าเด็กของครอบครัวนั้นที่ถูกชนตายเป็นใคร




[1] ใช้สำหรับทารกก่อนฝึกเข้าห้องน้ำ

บทที่ 73 วันสิ้นโลกจะเริ่มขึ้นแล้ว

ซุนจื่อหาวกล่าว ลู่หลิน นายก็อย่ามัวอุบไว้สิ

ตอนนี้บอสอารมณ์ไม่ดี แต่ก็ไม่ใช่เวลาให้บอสมา ลองเดาดู นะ

ลู่หลินก็ไม่ได้ลีลากับพวกเขาอีกต่อไป พูดตรงๆ ว่า มู่อี้หาง ประธานบริษัทเทคโนโลยีมู่ซื่อกรุ๊ป และเป็นน้องชายของมู่อี้ฟานครับ

จ้านเป่ยเทียนดวงตาหรี่แคบลง อากาศหนาวเย็นขึ้น

วันนั้นมู่อี้หางนัดเพื่อนไปกินข้าวที่ฟาร์มสเตย์[1] แถวๆ หมู่บ้านสุ่ยครับ เพราะดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ก่อนที่จะประมาทชนเด็กของครอบครัวนั้นเข้า ต่อมาก็ใช้เส้นสายจำนวนมากถึงจะปิดเรื่องนี้อยู่ ส่วนตัวก็ชดเชยแค่หนึ่งแสนหยวนให้กับครอบครัวนั้น ว่าไปแล้ว มู่อี้หางคนนี้นั้นเดรัจฉานไม่น้อย ไม่เพียงจะส่งคนไปจับตาดูครอบครัวนั้นทุกฝีก้าวไม่ให้พวกเขามีโอกาสฟ้องร้องเท่านั้น แถมยังไม่ให้พวกเขาออกจากหมู่บ้านสุ่ยด้วยครับลู่หลินยิ่งพูดยิ่งเดือดดาล

ซุนจื่อหาวเย้ยหยัน ตามคาดว่าสองพี่น้องนั่นไม่ใช่ตัวดีอะไรเลย

มีรูปถ่ายมู่อี้หางหรือเปล่าจ้านเป่ยเทียนถามเสียงเย็นชา

ลู่หลินใช้โทรศัพท์เข้าเน็ตเสิร์ชหาภาพถ่ายของประธานบริษัทเทคโนโลยีมู่ซื่อกรุ๊ปทันที มันเป็นการเสิร์ชที่ง่ายมาก ทั้งหมดเป็นรูปของมู่อี้หาง

เขายื่นโทรศัพท์ให้จ้านเป่ยเทียน นี่คือเขาครับบอส

จ้านเป่ยเทียนมองผาดๆ อากาศหนาวเย็นบนร่างลดลงในฉับพลัน

เขามั่นใจมากว่าบุคคลในภาพไม่ใช่มู่มู่ ดวงตามู่มู่กระจ่างใสมากไม่เหมือนบุคคลในภาพที่เต็มไปด้วยแผนการแน่นอน นอกจากนี้ แม้ว่าจะปลอมตัวก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ดวงตาที่เต็มไปด้วยความฟอนเฟะกลายเป็นกระจ่างใสเช่นนั้นได้

จ้านเป่ยเทียนถามอีกว่า นายพลมู่มีลูกนอกสมรสไหม

ลู่หลินส่ายหัว ไม่นะครับ นายพลมู่มีแค่ลูกชายสองคน อ้อ! ยังมีหลี่ชิงเทียนที่เป็นแพทย์ประจำตระกูลมู่คนนั้น ตระกูลมู่ยังเปิดคลินิกส่วนตัวในตงเฉิงเพื่อเขาด้วยครับ มีชื่อเสียงน่าดู และกว่าหกเดือนที่ผ่านมานี้ เขาก็รับผิดชอบตรวจมะเร็งกระดูกของมู่อี้ฟานมาตลอดด้วยครับ

จ้านเป่ยเทียนได้ยินมู่อี้ฟานสามคำ ดวงตาที่หลุบอยู่ก็ทอประกายเหน็บหนาว แต่เมื่อได้ยินมะเร็งกระดูกสองคำก็สะดุ้งน้อยๆ จากนั้นริมฝีปากก็ขบแน่นโดยไม่กล่าวอะไรเลย

เหมาอวี่และคนอื่นๆ สัมผัสได้ว่าความกดอากาศของจ้านเป่ยเทียนไม่ถูกต้อง ทั้งหมดจึงไม่กล้าส่งเสียงและมองสบตากันและกันอย่างเงียบๆ ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาก็สงบปากสงบคำกันอยู่แบบนี้นี่แหละ

พวกเขาไม่เคยเห็นจ้านเป่ยเทียนเป็นอย่างนี้มาก่อน กลิ่นอายที่เล็ดลอดออกมาจากตัวคนช่างน่าสยองนัก จนพานให้ผู้คนสั่นสะท้านอย่างอธิบายไม่ถูก แม้กระทั่งความรู้สึกหายใจไม่ออกรวมอยู่ด้วย

จู่ๆ จ้านเป่ยเทียนก็ผุดขึ้นยืนและขึ้นไปห้องชั้นสอง

เหมาอวี่และพวกลู่หลินพลันถอนหายใจโล่งอก เมื่อกี้บอสท่าทางดูน่ากลัวจัง ฉันกลัวจนหัวใจดวงน้อยๆ สั่นไม่หยุดแล้วเนี่ย

ซุนจื่อหาวว่า ฉันไม่เคยเห็นบอสเป็นแบบนี้เลยว่ะ เมื่อก่อนถึงเขาจะโกรธก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นเหมือนเมื่อกี้

ฉันเคยเห็นนะเซี่ยงกั๋วโพล่งออกมา

พวกเหมาอวี่หันไปมองเซี่ยงกั๋วแบบอยากรู้ เมื่อไร?”

ประมาณสิบวันก่อนน่ะ ตอนนั้นพวกเราเจอมู่อี้ฟาน แววตาที่บอสมองมู่อี้ฟานเหมือนอยากจะฆ่าให้ตายอย่างเมื่อครู่เลย

เหมาอวี่ถามอย่างสงสัยว่า พวกนายเจอมู่อี้ฟาน? ไม่ถูกสิ ไม่ว่าเมื่อก่อนมู่อี้ฟานจะทำอะไรเกินเลยไปบ้าง บอสก็ไม่สนใจเขานี่ ทำไมอยู่ๆ ถึงเกลียดเขาขนาดนี้นะ หรือมู่อี้ฟานทำอะไรที่ไม่น่าให้อภัยอีกแล้ว?”

เซี่ยงกั๋วยักไหล่ ใครจะไปรู้ แต่มู่อี้ฟานก็ต้องได้รับบทเรียนอยู่ดี ถ้าฉันเห็นเขาเมื่อไร จะต้องซัดเขาแรงๆ สักตั้งแน่ๆ

เขาเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม

เหมาอวี่ยิ้ม ฉันเห็นด้วย แต่นายเห็นเขาก่อนหน้านี้ ไหงไม่ซัดเขาซะล่ะ

ฉันอยากกระทืบเขาจะตาย แต่เห็นบอสทำท่าจะฆ่าคน ฉันก็ได้แต่ทิ้งความตั้งใจไปห้ามบอสก่อนน่ะสิ

ลู่หลินกล่าว อันที่จริงฉันอยากรู้สิ่งที่บอสให้เราไปทำเมื่อเร็วๆ นี้มากกว่า ใครจะเดาถูกละว่าเขาคิดจะทำอะไร

อีกสามคนมองหน้ากันแล้วนิ่งเงียบ

ณ ชั้นบน จ้านเป่ยเทียนไม่ได้เปิดไฟ และเดินตรงไปเปิดผ้าม่านที่หน้าต่าง มองไปยังห้องชั้นสองที่สว่างของฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบๆ

ดูจากเงาสะท้อนบนเตียงชั้นสองอีกฝั่งแล้ว ชายคนนั้นเหมือนกำลังปูเตียง แต่การเคลื่อนไหวดูเงอะงะ จากนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเหยียบผ้าปูที่นอนจนลื่นล้มหรือเปล่า

หัวใจจ้านเป่ยเทียนพลันตกวูบ แต่ตอนที่เห็นคนอีกฟากรีบตลบและโยนผ้าปูที่นอนทิ้งด้วยความโมโห เขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

ทันใดนั้นเขาก็หุบยิ้ม เม้มริมฝีปากแน่น ในดวงตาทอแววสับสนอย่างช้าๆ แววตายิ่งชัดเจน ท้ายที่สุดก็ปล่อยสายตาเย็นเยือกที่ทำให้คนสั่นสะท้านออกมา

ในคืนนั้นมีฝนตกโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า

ฝนไม่ได้ตกมาก แต่เสียงหยดน้ำไม่เบาไม่หนัก พลอยให้คนรู้สึกหม่นๆ อย่างบอกไม่ถูก อารมณ์ดั่งท้องฟ้ามืดครึ้มอันมืดมัว

มู่อี้ฟานอยู่ในวิลลามาสองวันอย่างชาญฉลาด ไม่กล้าออกจากบ้านตามอำเภอใจ ข้อแรกคือ การกลัวเห็นคนเป็นๆ แล้วจะทำให้เขาอดกัดกินอย่างเสียไม่ได้ โดยเฉพาะในตอนนี้ที่เขาหิวจนเหมือนไม่ได้กินอะไรมาเป็นปี เห็นผู้คนที่นอกหน้าต่างก็ไม่ต่างกับเห็นน่องไก่เลิศรสชิ้นใหญ่ๆ ที่ทำเอาเขาน้ำลายสอหรอก

ข้อสองพวกจ้านเป่ยเทียนจะจำตัวเองได้ กองกำลังพิเศษเหล่านั้นมีสายตาแหลมคมกว่าเหยี่ยว มองคนก็เหมือนกับใส่แว่นตาซีทรู[2] ซึ่งสแกนได้สามร้อยหกสิบองศาทุกซอกทุกมุม คิดจะซ่อนตัวจากพวกเขานั้นสองครั้งยังโอเค แต่พอนานๆ ไปต้องถูกสงสัยขึ้นมาอย่างแน่นอน

เมื่อคิดถึงจ้านเป่ยเทียน มู่อี้ฟานรู้สึกว่าสองวันมานี้วิลลาหลังถัดไปนั้นเงียบเกินไปจนเขาระแวง และกังวลมากว่าจะมีเรื่องเลวร้ายอะไรรอตัวเองอยู่หลังจากนั้น

นอกจากนี้ ชัดเจนว่าเขาออกจากวิลลาไปแล้ว เพราะอะไรจ้านเป่ยเทียนยังอาศัยอยู่ในวิลลาของเขาด้วย อย่าบอกนะว่าคิดจะรอให้เขากลับมาเอาฉิงเทียนจูออกไปน่ะ

มู่อี้ฟานพลันนึกถึงฉากที่ รปภ. วิ่งออกมาจากวิลลาอย่างตื่นตระหนกเมื่อสองวันก่อนได้

คิดในใจว่า ในเมื่อจ้านเป่ยเทียนและคนอื่นๆ หา รปภ. พบแล้วคงเดาได้ว่าเขากับ รปภ. สมรู้ร่วมคิดกัน หลังจากนำตัว รปภ. มาสอบถามเรื่องเล็กน้อย ดังนั้น น่าจะพบว่าเขายังซ่อนอยู่ในวิลลา

ถ้าเป็นอย่างนี้ เหตุผลที่พระเอกไม่มาหาเขามีสองประการ พระเอกไม่สนใจเขาหรือฉิงเทียนจูแล้ว หรือไม่พระเอกก็รู้อยู่แล้วว่าเขาอยู่ที่ไหน

ยิ่งกว่านั้นด้วยความฉลาดของจ้านเป่ยเทียน การคิดจะหาตำแหน่งของเขาก็ไม่ได้ยากเลย

มู่อี้ฟานนึกถึงความเป็นไปได้นี้ก็นั่งไม่ติดเล็กน้อย

ในตอนนี้เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจ้านเป่ยเทียน และไม่ได้ร้ายกาจเท่าราชาซอมบี้ตัวจริงด้วย แม้ว่าจะเป็นซอมบี้ระดับสุดยอดอย่างราชาซอมบี้ก็ตาม แต่ในชาติก่อนก็ยังใช้วิธีสกปรกสารพัดถึงจะกำจัดพระเอกลงได้

มู่อี้ฟานเก็บความคิดกลับกำลังเตรียมจะออกจากที่นี่ก็ถูกข่าวหนึ่งขัดจังหวะเสียก่อน

ผู้ประกาศข่าวหญิงแสดงออกอย่างใจเย็นมาก แต่น้ำเสียงราบเรียบกลับเผยความวิตกออกมานิดหน่อย เรียนผู้ชมทุกท่านโปรดทราบ เมื่อเร็วๆ นี้เหตุมนุษย์กัดมนุษย์นับวันยิ่งควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่แล้วค่ะ หลายคนที่ถูกกัดจะติดเชื้อไวรัสที่ไม่รู้จักทันที...

หลังพิธีกรรายการพูดเป็นพะเนินก็ตัดเข้าภาพสถานที่เกิดเหตุอย่างโรงพยาบาล ผู้สื่อข่าวรายงานข่าวต่อทุกคน และแสดงให้ทุกคนเห็นภาพสถานการณ์มนุษย์กัดมนุษย์ด้วยกันเองในโรงพยาบาล

และยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนถือฉมวกยาว และเข้าจับกุมคนผิดปกติเหล่านั้นที่ไล่กัดผู้คนด้วย

ฉับพลันเงาสีขาวอยู่ๆ ก็โผล่ออกมาจากเลนส์กล้องพุ่งใส่ผู้สื่อข่าว

ผู้สื่อข่าวไม่ทันได้ตอบสนองก็ถูกคนที่กระโจนมากัดไปหนึ่งคำ ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น

เสียงร้องโหยหวนเสียจนผู้ชมที่ดูทีวีอยู่สั่นสะท้าน

สีหน้าผู้ประกาศข่าวเปลี่ยนไปตะโกนชื่อผู้สื่อข่าวซึ่งถูกกัดทันที ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบกลับมา

ทีมงานที่กำลังถ่ายทำหลังเห็นผู้สื่อข่าวถูกกัดจึงรีบเตะหมอที่กัดผู้สื่อข่าว แต่ผู้สื่อข่าวที่โดนกัดก็เสียชีวิตไปเสียแล้ว

ทีมงานผู้ถ่ายทำแบกกล้องวิดีโอขึ้นก็โกยอ้าวกันอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางมีฉากเลือดสาดมากมาย พวกผู้ชมจึงเห็นความสยดสยองเช่นกัน และรู้สึกว่ามันน่ากลัวมากๆ

ผู้ประกาศข่าวขอให้คนปิดสัญญาณถ่ายทอดสดทันที รีบร้อนพูดไปไม่กี่คำ ทีวีก็กลับมาเป็นละครโทรทัศน์คล้ายกับว่าเรื่องที่เห็นเมื่อครู่เป็นการเล่นตลกกับทุกคนก็ไม่ปาน

มู่อี้ฟานจ้องทีวีและพึมพำ วันสิ้นโลกจะเริ่มขึ้นแล้ว

ทันใดนั้นโทรศัพท์บนโต๊ะก็ดังขึ้น เขาเห็นเป็นมู่เยว่เฉิงโทร.มาจึงกดรับไม่รีรอ ป๊า

มู่เยว่เฉิงวิตกนิดหน่อยเอ่ยว่า อี้ฟาน ลูกเห็นข่าวคนไล่กัดกันไหม ตอนนี้สถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ มันมาถึงจุดที่ควบคุมไม่ได้แล้ว พ่อจะส่งเฮลิคอปเตอร์ไปรับพวกแกที่เมือง G ลูกรีบไปดาดฟ้าบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปเดี๋ยวนี้เลย ขึ้นเฮลิคอปเตอร์มาเมือง B ด้วยกันกับอี้หางนั่นแหละ

มู่อี้ฟานคิดจะหลบจ้านเป่ยเทียนพอดี ก็ตอบกลับโดยไม่ต้องคิดว่า ได้ครับ

หลังวางสายแล้ว ต่อจากนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกรอบซึ่งเป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย

มู่อี้ฟานไม่สนใจ รีบขึ้นไปเก็บข้าวของที่ชั้นบน ตอนลงมาโทรศัพท์ก็ยังดังอยู่

เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเบอร์โทรศัพท์ สีหน้าลังเล กังวลว่าพระเอกจะใช้เบอร์อื่นโทร.มา และรู้ว่าเขาน่าจะเปลี่ยนเบอร์แล้ว

มู่อี้ฟานเห็นอีกฝ่ายโทร.มาซ้ำๆ ด้วยความพยายามอย่างไม่ลดละ จึงตัดสินใจกดรับสาย และฟังว่าใครโทร.มา

ถ้าเป็นจ้านเป่ยเทียนโทร.มา เขาจะตัดสายเดี๋ยวนั้น

จากนั้นในโทรศัพท์กลับมีเสียงผู้หญิงเล็ดลอดออกมา สวัสดีค่ะ นี่คุณจ้านหรือเปล่าคะ ฉันหรงเสวี่ยเองค่ะ ไม่ทราบว่าคุณยังจำฉันได้ไหมคะ

หรงเสวี่ย?

นั่นไม่ใช่นางร้ายหรอกเหรอ

ผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนกับญาติผู้พี่หญิงของเขาคนนั้น

แต่ทำไมเธอถึงรู้เบอร์โทรศัพท์ของเขาได้ล่ะ แล้วทำไมถึงเรียกเขาว่าคุณจ้าน?

ไม่ช้ามู่อี้ฟานก็จำตอนที่เขาอยู่ภัตตาคารอาหารตะวันตกครั้งล่าสุดได้ แม้จ้านเป่ยเทียนจะเขียนชื่อตัวเองลงไปบนกระดาษเปล่า แต่เบอร์โทรศัพท์กลับเป็นของเขา

ฮัลโหล คุณจ้านคะหรงเสวี่ยเห็นไร้คนตอบกลับมา จึงส่งเสียงเรียกอีกครั้ง

มู่อี้ฟานว่า ผมไม่ใช่จ้านเป่ยเทียนครับ นี่ก็ไม่ใช่เบอร์จ้านเป่ยเทียนเหมือนกัน

หรงเสวี่ยอึ้ง รีบตรวจดูหมายเลขโทรศัพท์ หลังจากแน่ใจว่าไม่ผิดก็ถามอย่างฉงนว่า แล้วคุณคือ?”

ผมคือคนที่ถูกคุณหาว่าวิปริตวันนั้น

หรงเสวี่ยชะงักรอยยิ้ม ก่อนจะกลับมายิ้มอีกครั้ง ที่แท้ก็คุณนี่เอง ครั้งที่แล้วต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะ ฉันโทร.มาครั้งนี้แค่อยากขอโทษสำหรับเรื่องคราวก่อน ถ้าคุณกับคุณจ้านมีเวลาว่าง ฉันหวังว่าจะสามารถเชิญคุณกับคุณจ้านไปกินข้าวด้วยกันค่ะ เอาแบบนี้เป็นไงคะ ตอนนี้ใกล้จะเที่ยงแล้ว ออกมากินข้าวเที่ยงในตอนนี้เป็นอย่างไรคะ

คุณเสวี่ย ขอโทษด้วยนะครับ เดี๋ยวพวกเรา...

หรงเสวี่ยไม่ให้เขามีโอกาสพูดจนจบก็ขัดจังหวะว่า ตกลงกันตามนี้นะคะ ฉันจะรอพวกคุณที่ภัตตาคารซีหลันฝ่าครั้งที่แล้ว ไม่เจอไม่เลิกราค่ะ

คุยจบก็วางสายไป

“...”

มู่อี้ฟานขมวดคิ้ว หยิบเป้เดินจากห้องโถงไปเอารถที่โรงรถ ออกจากวิลลา และขับตรงไปที่บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป

ระหว่างทางเขาเห็นซอมบี้หลายตัวไล่กัดผู้คนจนเกิดความวุ่นวายขึ้นกะทันหัน

จู่ๆ มู่อี้ฟานก็นึกถึงหรงเสวี่ย ผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนกับพี่สาวเขาคนนั้นยังรอเขาอยู่ที่ภัตตาคารอาหารตะวันตก

เขาไม่รู้ว่าเป็นอะไร ทั้งที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่พี่สาวเขา อยู่ๆ ในใจกลับรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

มู่อี้ฟานเลี้ยวหัวรถกลับอย่างไว และขับไปจนถึงทางเข้าภัตตาคารซีหลันฝ่าที่ใจกลางเมือง จากนั้นก็หาที่จอดรถ เดินเข้าภัตตาคารอาหารตะวันตก และสอบถามตำแหน่งห้องส่วนตัวของหรงเสวี่ย

บริกรยังไม่ทันได้ตอบคำถาม ก็ได้ยินคนข้างๆ ถามว่า ขอถามหน่อยนะคะ สุภาพบุรุษท่านนี้ คุณคือ?”

มู่อี้ฟานหันกลับไป จำได้ว่าคนที่ถามเป็นเพื่อนของหรงเสวี่ย จึงพูดทันทีว่า ผมก็คือคนที่ถูกด่าเป็นไอ้โรคจิตครั้งก่อนไงครับ

ดวงตาเพื่อนเที่ยวทั้งสองคนของหรงเสวี่ยเป็นประกาย คาดไม่ถึงว่ามู่อี้ฟานจะหน้าตาหล่อเหลาปานนี้ หล่อไม่แพ้ดารารุ่นใหญ่ในทีวีเลย

หลังจากนั้นพวกเธอก็นึกถึงจุดประสงค์ที่มารอคนได้ จึงมองไปรอบๆ มู่อี้ฟาน เมื่อมองหาจ้านเป่ยเทียนที่เจอกันครั้งที่แล้วไม่เห็น จึงถามว่า คุณจ้านคนนั้นล่ะ ไม่ได้มากับคุณเหรอ

แววตามู่อี้ฟานสั่นไหวเล็กน้อย และส่ายหน้า เขาไม่ว่างน่ะ

เพื่อนสองคนของหรงเสวี่ยเหลือบมองกัน พลันเข้าไปล้อมตัวเขาไว้ แต่ละคนคล้องแขนของมู่อี้ฟานยิ้มว่า คุณชาย อย่าไปเลยนะคะ พวกเราสัญญากับคุณหนูหรงไว้แล้วว่าต้องพาพวกคุณมากินข้าวด้วยกันให้ได้ ถ้าคุณไปอย่างนี้ พวกเราจะอธิบายกับหรงเสวี่ยยังไงคะ

ผมจะบอกคุณหนูให้ชัดเจนเอง ทางที่ดีพวกคุณก็ออกจากที่นี่ให้ไว และกลับไปอยู่บ้านกันเถอะครับ

เพื่อนของหรงเสวี่ยทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ไม่น่าจะได้นะคะ ถ้าคุณไปแบบนี้ หรงเสวี่ยจะดุพวกเราแน่เลยค่ะ

มู่อี้ฟานหมดความอดทน บอกแล้วไงว่าผมมีธุระ คราวหน้าจะชวนเธอไปกินข้าวทีหลังถ้ามีเวลาว่างแล้วกันครับ

โอเคค่ะ เดินช้าๆ นะคะ ไม่ส่งค่ะเพื่อนหรงเสวี่ยปล่อยมู่อี้ฟานทันที และไม่ทำตัวเกาะแกะกับเขา

มู่อี้ฟานรู้สึกประหลาดใจ ท่าทีของพวกเธอเปลี่ยนเร็วเกินไป

แต่เขาก็ไม่ได้คิดมาก ออกจากภัตตาคารอาหารตะวันตกโดยเร็ว ขับรถไปที่บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป

เพื่อนสองคนของหรงเสวี่ยมองด้านหลังของเขาจากไป จากนั้นหันหน้ามองอีกฝ่าย เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา




[1] การท่องเที่ยวแบบบ้านไร่ ชื่นชมบรรยากาศรอบด้านที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ

[2] แว่นที่สามารถมองทะลุทุกอย่างได้


 

บทที่ 74 ตัวตนเปิดเผย

เพื่อนสองคนของหรงเสวี่ยมองด้านหลังของเขาจากไป จากนั้นหันหน้ามองอีกฝ่าย เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา

คนหนึ่งในนั้นชูมือขึ้น ถือโทรศัพท์สีขาวเครื่องหนึ่งเขย่าต่อหน้าอีกคน ฉีกยิ้มอย่างภูมิใจ หยิบมาจากกระเป๋าเขาละ

ดูเร็ว มีเบอร์คุณจ้านหรือเปล่า

ทั้งสองคนรีบเปิดดู โทรศัพท์มีการตั้งค่ารหัสผ่าน พวกเธอจึงต้องเอาซิมออกมาใส่ในโทรศัพท์ของพวกเธอ

โชคดีมากที่เบอร์ของจ้านเป่ยเทียนเก็บอยู่ในซิม ในโทรศัพท์ของพวกเธอก็แสดงเบอร์โทรดังกล่าวอย่างรวดเร็ว

พวกเธอรีบวิ่งขึ้นไปที่ชั้นสาม เปิดห้องส่วนตัวเข้าไปก็เห็นหรงเสวี่ยส่องกระจกแต่งหน้า

หรงเสวี่ยเห็นเพื่อนของเธออย่างหลิ่วชานและเซี่ยเสี่ยวเสี่ยวเข้ามาก็วางลิปสติกในมือลงทันที ถามอย่างร้อนรนว่า เป็นไง จ้านเป่ยเทียนมาไหม

ตามแผนที่พวกเธอวางไว้ก่อนหน้านี้ ถ้าจ้านเป่ยเทียนและมู่อี้ฟานมาด้วยกัน หลิ่วชานและเซี่ยเสี่ยวเสี่ยวจะรับผิดชอบกันมู่อี้ฟานออกไป ปล่อยให้เธอใช้เวลาอยู่กับจ้านเป่ยเทียนตามลำพัง

ถ้ามีแค่มู่อี้ฟานมา ก็บอกว่าเธอไม่ว่าง ส่วนหลิ่วชานและเซี่ยเสี่ยวเสี่ยวก็รับหน้ามู่อี้ฟานไป

ไม่หลิ่วชานส่ายหัว

เซี่ยเสี่ยวเสี่ยวเอ่ยต่อว่า แต่พวกเราได้เบอร์คุณจ้านมาแล้วนะ

หรงเสวี่ยเดาได้นานแล้วว่าจ้านเป่ยเทียนจะไม่มาแน่ ตอนนี้ได้เบอร์มา ถือว่าน่าพอใจมากแล้ว

เธอยื่นมือเรียวยาวไปทางเซี่ยเสี่ยวเสี่ยว เอามา

เซี่ยเสี่ยวเสี่ยวส่งโทรศัพท์ของตัวเองให้เดี๋ยวนั้นทันที

หรงเสวี่ยมองดูก็รู้ว่านั่นคือโทรศัพท์ของเซี่ยเสี่ยวเสี่ยว เห็นผู้ติดต่อในโทรศัพท์แสดงชื่อจ้านเป่ยเทียนก็ย่นคิ้วงามอย่างไม่พอใจ ทำไมในเครื่องเธอถึงมีเบอร์ติดต่อของจ้านเป่ยเทียนได้ละฮะ นี่เธอคิดจะแย่งผู้ชายกับฉันเหรอ

เซี่ยเสี่ยวเสี่ยวรีบอธิบายว่า ไม่ ไม่ใช่ ซิมในโทรศัพท์ไม่ใช่ของฉัน เป็นของเจ้าโรคจิตนั่น เพราะปลดรหัสผ่านของเจ้าโรคจิตไม่ได้ ฉันเลยเอาซิมใส่ในเครื่องของฉันน่ะ

หรงเสวี่ยสงสัย เธอเอาซิมเขามาได้ยังไง

เซี่ยเสี่ยวเสี่ยวเผยสีหน้าเจื่อนๆ ฉันขโมยมา

หรงเสวี่ยอึ้ง แค่นเสียงเย็นชา ยังพอมีกลยุทธ์อยู่บ้าง

ในคำพูดนั้นแฝงไปด้วยการเหน็บแหนม

เซี่ยเสี่ยวเสี่ยวหลุบเปลือกตาลงโดยไม่ได้พูดอะไร

หลิ่วชานมองหรงเสวี่ยซึ่งจดจ่อกับการบันทึกเบอร์ของจ้านเป่ยเทียนอยู่ กระซิบด่าทอว่า นังดอกทอง

เซี่ยเสี่ยวเสี่ยวซึ่งอยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดนี้จึงเหล่มองหลิ่วชาน

หลิ่วชานก็แลบลิ้นใส่หรงเสวี่ย

หรงเสวี่ยทุ่มเทความสนใจอยู่กับโทรศัพท์ เป็นธรรมดาที่จะไม่เห็นการเคลื่อนไหวเล็กๆ ของพวกเธอ

ในใจคิดอยู่ว่าจะใช้โทรศัพท์ตัวเองโทร.ไป หรือซิมโทรศัพท์ของเจ้าโรคจิตนั่นโทร.ไปดี

ในที่สุดเธอก็เลือกใช้ซิมโทรศัพท์มู่อี้ฟานในการติดต่อ มีแค่วิธีนี้ถึงจะทำให้จ้านเป่ยเทียนยอมรับสายได้

หรงเสวี่ยโทร.ออกด้วยหมายเลขของจ้านเป่ยเทียนโดยไม่ลังเล

จ้านเป่ยเทียนซึ่งกำลังเตรียมการให้สมาชิกในครอบครัวของลูกน้องอยู่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจึงหยิบมาดู เห็นสายแสดงชื่อมู่มู่ก็รีบกดรับอย่างรวดเร็ว มู่มู่?”

เขาคิดว่ามู่มู่เป็นคนโทร.มา ไม่ก็มีคนอื่นใช้โทรศัพท์เขาโทร.มา หรือไม่ก็เกิดอะไรขึ้นถึงได้ติดต่อมา ดังนั้น น้ำเสียงของเขาจึงแฝงไปด้วยความกังวลสายหนึ่งออกมา

พวกซุนจื่อหาวที่อยู่ข้างกายได้ยินบอสเรียกมู่มู่ จึงเหลียวไปมองกันทีละคน

มู่มู่ ในที่สุดก็โทร.หาบอสจนได้ซุนจื่อหาวพรูลมหายใจโล่งอกในทันที

เหมาอวี่เห็นจ้านเป่ยเทียนขมวดคิ้วเป็นปมก็ถอนหายใจ หวังว่าการติดต่อมาครั้งนี้จะไม่ใช่ข่าวร้ายนะ

ซุนจื่อหาวนึกถึงอาหารป่วยของมู่อี้ฟานก็รู้สึกกังวลเล็กน้อยไปด้วย

คุณจ้าน สวัสดีค่ะ

จ้านเป่ยเทียนได้ยินว่าเป็นเสียงผู้หญิง หว่างคิ้วจึงขมวดตึง ยิ่งน้ำเสียงนั้นเหมือนหรงเสวี่ยก็หรี่ตาลง คุณคือ?”

ไม่รู้ว่าคุณจ้านยังจำฉันได้ไหม ฉันชื่อหรงเสวี่ยค่ะ ที่คราวก่อนเข้าใจผิดว่าเพื่อนของคุณเป็นคนโรคจิตที่ภัตตาคารซีหลันฝ่าน่ะค่ะหรงเสวี่ยพยายามพูดคุยด้วยน้ำเสียงให้เกียรติมากๆ

หลิ่วชานและเซี่ยเสี่ยวเสี่ยวที่อยู่ข้างๆ ได้ฟังแล้วรู้สึกหนาวสั่น พวกเธอเคยเห็นกับตาว่าหรงเสวี่ยมีท่าทางเหมือนสุนัขจิ้งจอกเห่า[1] เวลานี้กลับแสร้งทำเป็นอ่อนโยน ช่างน่าคลื่นไส้เสียจริงๆ

โทรศัพท์มู่มู่มาอยู่กับคุณได้ยังไงน้ำเสียงจ้านเป่ยเทียนเย็นลง

คืออย่างนี้นะคะ วันนี้ฉันอยากขอโทษสำหรับเรื่องคราวที่แล้ว เลยเชิญคุณมู่มู่มากินข้าวโดยเฉพาะค่ะ แต่ยังไม่จบมื้อ อยู่ๆ เขาก็มีเรื่องด่วนแล้วก็รีบออกไปจนลืมหยิบโทรศัพท์ไปด้วยน่ะค่ะ เพื่อจะคืนโทรศัพท์เขา ฉันจึงค้นรายชื่อคนติดต่อในซิมโดยพลการ และในรายชื่อติดต่อของเขา ฉันรู้จักแค่คุณจ้านเท่านั้น ดังนั้น จึงโทร.มาสอบถามคุณจ้านว่าสะดวกมารับโทรศัพท์คืนในตอนนี้ไหมคะ

แต่เดิมจ้านเป่ยเทียนไม่อยากจะเจอหรงเสวี่ย เพราะกลัวจะอดไม่ไหวจัดการเธอไปซะ แต่นึกถึงโทรศัพท์ของมู่อี้ฟานซึ่งอยู่ในมือเธอ เขาก็มีความคิดอื่น

คุณอยู่ไหนตอนนี้

หรงเสวี่ยได้ยินดังนั้นจึงอดดีใจไม่ได้ ตอนนี้ฉันกำลังอยู่ที่ภัตตาคารซีหลันฝ่าค่ะ คือที่ที่พวกเราพบกันครั้งแรกคราวก่อนไงคะ ฉันอยู่ห้องส่วนตัวชั้นสาม หลังคุณมาถึง...

จ้านเป่ยเทียนรำคาญจะฟังเธอพล่ามไร้สาระ จึงตัดสายเองโดยตรง บอกกับเหมาอวี่และคนอื่นๆ ว่า ฉันมีธุระต้องออกไปสักหน่อย เรื่องที่เหลือก็ฝากพวกนายจัดการด้วย

ครับ

จ้านเป่ยเทียนขับรถออกไปจนมาถึงภัตตาคารซีหลันฝ่าในหนึ่งชั่วโมงต่อมา

เขาสอบถามบริกรถึงห้องส่วนตัวของหรงเสวี่ย เดินไปที่ชั้นสาม ผลักประตูของห้องส่วนตัวของหรงเสวี่ยเข้าไปทันที

เดิมทีหรงเสวี่ยไม่พอใจ คิดว่าบริกรพุ่งเข้ามาโดยไม่เคาะประตู แต่เห็นว่าเป็นจ้านเป่ยเทียน จึงคลี่ยิ้มหวานปุ๊บ คุณจ้าน คุณมาแล้ว ไม่ทราบว่าคุณกินมื้อเที่ยงมาหรือยังคะ ถ้ายังละก็ พวกเรามานั่งด้วยกันเถอะค่ะ

จ้านเป่ยเทียนเข้าประเด็น โทรศัพท์ล่ะ

อยู่นี่ค่ะหรงเสวี่ยก็ไม่ได้ใช้โทรศัพท์บีบให้เขานั่งกินอาหารด้วย จึงมอบให้เขาบนโต๊ะอาหาร

การกระทำทั้งหมดนี้เพื่อแสดงให้ตัวเองเป็นผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่ และมีไหวพริบต่อหน้าผู้ชายคนนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งความประทับใจจากอีกฝ่ายด้วย

จริงสิ ซิมเขายังอยู่ในมือถือของฉันค่ะ

หรงเสวี่ยยื่นโทรศัพท์ตัวเองให้เขาอีกครั้ง

จ้านเป่ยเทียนจ้องเธอด้วยสายตาเย็นชา เขารับมันมา และถอดเคสโทรศัพท์ออก

ในขณะนั้นโทรศัพท์กลับดังขึ้นมา

จ้านเป่ยเทียนมองคำว่า ป๊าหนึ่งคำที่แสดงบนนั้น

เขาลังเลเล็กน้อยก็รับสาย จึงได้ยินอีกฝ่ายใช้น้ำเสียงสนิทสนมพูดอย่างห่วงใยว่า อี้ฟาน ตอนนี้ลูกอยู่ไหนกัน เมื่อกี้อี้หางโทร.มาบอกว่าตอนนี้ลูกยังไม่ถึงบริษัทเลย พอโทร.เข้าเครื่องลูกก็เป็นผู้หญิงรับสาย มันเกิดอะไรขึ้นฮะ?”

อี้ฟาน? อี้หาง?

จ้านเป่ยเทียนหรี่ตาพรึบ ปลายสายเรียกเจ้าของเบอร์นี้ว่าอี้ฟานอย่างนั้นหรือ

มู่เยว่เฉิงไม่ได้ยินอีกฝั่งตอบกลับก็ถามอย่างกังวลว่า อี้ฟาน อี้ฟาน ลูกฟังอยู่ไหม

จ้านเป่ยเทียนฟังดูก็รู้ว่าเป็นเสียงของใครอยู่ในสาย นิ้วมือทั้งห้าจึงบีบโทรศัพท์แน่นอย่างช่วยไม่ได้ ฉับพลันก็มีเสียงกร๊อบจากเคสโทรศัพท์ส่งเสียงร้าวออกมา

หรงเสวี่ยเห็นเขามีสีหน้าเย็นเยียบ เส้นเลือดหลังมือปูดขึ้นมาทีละเส้น เธอจึงถามแบบห่วงๆ ว่า คุณจ้าน เป็นอะไรหรือเปล่าคะ

ได้ยินเสียงนั้น จ้านเป่ยเทียนก็ได้สติ กวาดสายตามองเธออย่างเย็นชา หรงเสวี่ยตกใจกลัวจนไม่กล้าเปล่งเสียง

จ้านเป่ยเทียนละสายตากลับ ตอบเสียงแหบห้าวว่า นายพลมู่

มู่เยว่เฉิงได้ยินเสียงผู้ชายซึ่งฝ่ายนั้นเรียกเขาด้วยยศทางกองทัพก็อดตกใจไม่ได้ คิดว่าลูกชายเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น เลยรีบถามว่า คุณเป็นใคร ทำไมโทรศัพท์อี้ฟานถึงมาอยู่กับคุณ

สายตาจ้านเป่ยเทียนทอประกายเย็นเยือกขึ้นเรื่อยๆ ผมจ้านเป่ยเทียนครับ เคยเป็นหัวหน้าของมู่อี้ฟาน ไม่ทราบว่านายพลมู่ยังจำได้ไหมครับ

มู่เยว่เฉิงถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที พลตรีจ้านนี่เอง อี้ฟานล่ะ เขาอยู่กับคุณที่นั่นหรือเปล่า

ไม่อยู่ครับ นายพลมู่หาเขามีอะไรเหรอครับ รอเขากลับมา ผมจะได้บอกเขาให้

มู่เยว่เฉิงก็ไม่ได้ปิดบังอะไร ก่อนหน้านี้ฉันส่งเฮลิคอปเตอร์ไปรับเขาที่เมือง G ให้เขารีบไปที่บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป และขึ้นเฮลิคอปเตอร์กลับเมือง B พร้อมน้องชายของเขาน่ะ แต่ถึงป่านนี้ก็ยังไม่เห็นคนเลย

จ้านเป่ยเทียนโกหกโดยหน้าไม่แดงใจไม่เต้นว่า ตอนนี้เมือง G วุ่นวายสุดๆ ไปเลยครับ รถต้องติดแน่นอน ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้อาจไปไม่ถึงบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปก็ได้นะครับ

มู่เยว่เฉิงตกใจมาก เมือง G ระส่ำระสายขนาดนั้นแล้ว?”

ใช่ครับ

นี่...มู่เยว่เฉิงกังวลว่ามู่อี้ฟานจะประสบอุบัติเหตุหรือไม่

ผมกับทีมของผมจะกลับเมือง B กันในอีกสองวัน ถ้านายพลมู่วางใจ ผมสามารถพามู่อี้ฟานกลับไปด้วยกันได้นะครับ แต่ก่อนอื่นคุณต้องให้คนที่บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปที่พบมู่อี้ฟานแล้ว ให้เขารออยู่ที่บริษัท และคุณก็อย่าเพิ่งบอกว่าใครมารับเขาก็พอครับ

มู่เยว่เฉิงถามอย่างสงสัย ทำไม?”

เมื่อกี้ผมแค่พูดเล่นๆ เขาก็โกรธจนลืมเอาโทรศัพท์ไปด้วยแล้วครับ ดังนั้น ผมเลยกังวลว่าเขาน่ะพอได้ยินว่าใครจะไปรับเขาแล้ว เป็นไปได้มากที่จะปฏิเสธจนหนีไปน่ะครับ

มู่เยว่เฉิงคิดว่าลูกชายคนโตของเขาคนนั้นเล่นมุกด้วยไม่ขึ้นจริงๆ ก็ถอนหายใจ ได้ เรื่องอี้ฟานขอฝากคุณด้วยนะ

เขาไม่ใช่ไม่อยากรอลูกชายคนโต แต่ลูกชายคนเล็กก็อยู่เมือง G เช่นกัน ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย จะดีกว่าถ้าพาคนหนึ่งออกไปก่อน ส่วนอีกคนก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรมากนัก นอกจากนี้ ก็ยังมีทีมของจ้านเป่ยเทียนอยู่ที่นั่นด้วย

หลังจากวางสายไป เสียงกร๊อบก็ดังขึ้นปุ๊บ โทรศัพท์ราคาแพงพลันถูกจ้านเป่ยเทียนบีบแหลกจนเป็นซาก จากนั้นเศษชิ้นส่วนก็กระจายเกลื่อนพื้น ส่งเสียงออกมา

และกลางฝ่ามือของจ้านเป่ยเทียนมีเลือดนองออกมา หยดลงบนพื้นหยดแล้วหยดเล่า ในพริบตาพรมสีขาวดุจหิมะก็ถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานอย่างสมบูรณ์




[1] ปากร้าย


 

บทที่ 75 เวลานี้จะให้พวกเราฆ่าคนเหรอ

ภัตตาคารซีหลันฝ่าอยู่ห่างจากบริษัทมู่ซื่อเทคโนโลยีไม่ไกลเท่าไรนัก มีแค่ถนนหลักแยกกันสามสาย ปกติใช้เวลาขับรถโดยประมาณมากสุดก็แค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หลังมู่อี้ฟานออกจากภัตตาคารอาหารตะวันตกก็พบเหตุการณ์ซอมบี้โจมตีผู้คนบนถนน ฝูงชนแตกกระเจิงกันหมด พลอยให้ถนนหนทางถูกปิดกั้น เมื่อมาถึงบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปก็เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงแล้ว

เขาขึ้นลิฟต์เฉพาะของประธานโดยตรงไปยังดาดฟ้าของบริษัทจนทันเห็นเฮลิคอปเตอร์ลอยขึ้นไปในอากาศห่างจากดาดฟ้าประมาณยี่สิบเมตร สามารถมองเห็นคนที่นั่งอยู่ด้านในได้อย่างชัดเจน

มู่อี้ฟานตะลึง ทำไมเฮลิคอปเตอร์ถึงออกเครื่องโดยไม่รอเขามาถึงล่ะ

เขาโบกมือไปทางเฮลิคอปเตอร์ทันที พลางตะโกนเรียกให้รอก่อน ช่างน่าเสียดาย เสียงของเฮลิคอปเตอร์กลบเสียงของเขาไปหมด

มู่อี้ฟานนึกขึ้นได้ว่าต้องโทรศัพท์จึงรีบปล่อยมือลง ล้วงในกระเป๋ากางเกงกลับพบว่าโทรศัพท์ของเขาหายไป

ดวงตามีความสงสัยวาบผ่าน โทรศัพท์น่าจะตกอยู่ในรถหรือเปล่านะ

มู่อี้ฟานขมวดคิ้วแน่น เงยหน้าขึ้นอย่างกังวลเล็กน้อย และเห็นมู่อี้หางซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าต่างมองลงมา

เขาจึงโบกมือให้มู่อี้หางทันที ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายดันยกรอยยิ้มลุ่มลึก โบกมือให้เขา เปิดปากบอกลาก่อนอย่างไร้เสียง และปล่อยให้เฮลิคอปเตอร์ออกไปจากตึกบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป

มู่อี้ฟานโกรธจนโพล่งออกไปว่า ระยำ” “แม่มันสิ ไอ้มู่อี้หางคนนี้จงใจให้เหล่าจือรอความตายอยู่ที่นี่

อย่างไรก็ตาม เฮลิคอปเตอร์เป็นมู่เยว่เฉิงที่ส่งมา นักบินจะฟังคำสั่งของมู่อี้หางได้อย่างไร

เมื่อเผชิญหน้ากับใบหน้าดวงนั้นซึ่งเหมือนญาติผู้พี่ในชีวิตจริงของเขา เขาจึงไม่สามารถโกรธจนเกินไป เขาหมุนตัวกลับไปที่ห้องประธานเตรียมโทร.หามู่เยว่เฉิงให้เขาเรียกเฮลิคอปเตอร์กลับมา

เลขาฯ สาวเห็นการมาเยือนของเขาก็ก้าวมาหาปุ๊บ กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า สวัสดีค่ะคุณชายใหญ่ ก่อนหน้านี้นายพลมู่โทร.หาพวกเราเพื่อฝากบอกคุณว่า ให้คุณรออยู่ที่บริษัทสักสองสามชั่วโมง หลังจากนั้นจะมีใครบางคนมารับคุณกลับเมือง B ค่ะ

มู่อี้ฟานได้ฟังเหตุผลก็พยักหน้า พ่อฉันบอกหรือเปล่าว่าใครมารับฉัน

นายพลมู่บอกว่าเป็นเพื่อนของเขาค่ะ

มู่อี้ฟานไม่ได้เข้าไปในห้องทำงานที่บริษัทเตรียมไว้ให้เขา แต่นั่งโซฟาข้างนอกห้องเลย

เลขาฯ สาวรินกาแฟให้เขาแล้ววางลงบนโต๊ะ

มู่อี้ฟานได้กลิ่นมนุษย์สดใหม่ที่โชยออกมาจากร่างของเธอ จึงขมวดคิ้ว คุณกลับไปทำงานที่ห้องเถอะ

ค่ะ

เลขาฯ สาวเพิ่งเดินไปถึงประตูห้องทำงานของตัวเอง พลันได้ยินมู่อี้ฟานตะโกนอีกว่า เดี๋ยว

เธอหันกลับไปมองเขา คุณชายใหญ่มีอะไรอีกเหรอคะ

มู่อี้ฟานครุ่นคิด คุณให้ผู้บริหารทั้งหมดขึ้นมาประชุมนะ

เลขาฯ สาวผงะ ตอนนี้?”

ใช่ ก็คือ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ด่วน

ค่ะเลขาฯ สาวรีบกลับเข้าห้องทำงานเพื่อแจ้งให้ผู้บริหารระดับสูงแผนกต่างๆ มาประชุม

มู่อี้ฟานมาที่ห้องประชุม รออยู่ที่นั่นประมาณสิบนาที จึงค่อยๆ มีคนผลักประตูเข้ามากันทีละคน

เมื่อผู้มาเยือนเห็นมู่อี้ฟานนั่งอยู่ตำแหน่งประธานก็พลันสั่นเทาด้วยความกลัว แต่ละคนตะโกนเรียกคุณชายใหญ่ พลางรีบหาที่นั่งประจำเวลาประชุมแล้วนั่งลง

สำหรับผู้บริหารเหล่านี้กล่าวได้ว่า คุณชายใหญ่คนนี้ยังน่ากลัวกว่าท่านประธานเสียอีก แม้หนึ่งปีจะเห็นไม่ถึงสามครั้ง แต่กลิ่นอายมืดมนก็พานให้รู้สึกอึดอัดใจอยู่ดี

อย่างไรก็ตาม คุณชายใหญ่ในปัจจุบันดูเหมือนจะแตกต่างจากเดิม ไม่ได้ใช้สายตาเย็นชาจ้องมองพวกเขาแล้ว

กลิ่นมนุษย์ผู้มีชีวิตในห้องประชุมยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มู่อี้ฟานอดกลั้นต่อความปรารถนาที่จะกัดมนุษย์สุดชีวิต กวาดมองที่นั่งซึ่งเกือบเต็ม กระซิบถามเลขาฯ สาวข้างๆ มากันครบหรือยัง

เลขาฯ สาวรายงาน มีผู้จัดการแผนกอีกสองคนออกไปทำงานนอกสถานที่ค่ะ จะกลับมาอีกทีก็วันมะรืน

มู่อี้ฟานมองไปทางผู้บริหารทั้งหมด ไม่ทราบว่าทุกคนได้ดูข่าวมนุษย์กัดมนุษย์ไหม

ทุกคนตกตะลึง แรกๆ คิดว่าคุณชายใหญ่จะกล่าวบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องบริษัท คาดไม่ถึงว่าจะพูดถึงเนื้อหาข่าว

พวกเขามองสบตากันแล้วพยักหน้า

สถานการณ์ในตอนนี้ร้ายแรงอย่างมาก ประชุมกันเสร็จแล้ว พวกคุณก็แจ้งให้พนักงานทั้งหมดทราบว่า เลิกงานแล้วให้รีบกลับบ้านทันที...

เลิกงานแล้วกลับบ้าน?

ทุกคนมองมู่อี้ฟานอย่างประหลาดใจ

ละ...เลิกงานแล้วกลับบ้าน? คือจะปล่อยให้เราหยุดกันใช่ไหมครับ

ใช่ แต่ก่อนหน้านั้นฉันมีสองสามประเด็นจะพูด ประเด็นแรก หลังพวกคุณเลิกงาน ให้รีบไปซื้อข้าวสาร เส้นบะหมี่ และอาหารอื่นๆ ที่สามารถเก็บไว้ในบ้านได้นานที่ซูเปอร์มาร์เก็ตซะ ประเด็นที่สอง หลังกลับบ้านอย่าออกไปข้างนอกตามอำเภอใจ ดูข่าวให้มาก ติดตามการเคลื่อนไหวของประเทศอย่างใกล้ชิด ประเด็นที่สาม หากพบคนที่ใบหน้าซีดขาว ดวงตาไร้แวว เคลื่อนไหวเชื่องช้า และมีเสียงครางในปาก ขอให้หนีไปโดยเร็ว สมมติว่าพบเจอการโจมตีของคนเหล่านี้ ก็ให้ใช้อาวุธมีคมกระหน่ำหัวอีกฝ่ายซะ ตรงนั้นเป็นจุดอ่อนของพวกเขา

ทั้งห้องประชุมเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยหารือกันอย่างอื้ออึง

มู่อี้ฟานมองห้องประชุมที่อึกทึกพลางเม้มริมฝีปาก

อย่ามองว่าในเวลานี้เขาพูดว่ากระหน่ำหัวซอมบี้นั้นเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ถ้าต้องทำขึ้นมาจริงๆ เขาก็ไม่แน่ใจว่าจะทำได้เหมือนกัน

ผู้บริหารบางคนถามด้วยความตกใจ คุณชายใหญ่ นี่คุณจะให้เราฆ่าคนเหรอครับ

มู่อี้ฟานไม่ได้ตอบเขาโดยตรง กล่าวต่อว่า ฟังฉันนะ อย่าปล่อยให้คนเหล่านี้ข่วน หรือกัดพวกคุณได้ ร่างกายพวกเขามีไวรัสซึ่งแพร่กระจายไปไวมาก หลังจากพวกเขาทำให้บาดเจ็บ จะกลายเป็นเหมือนพวกเขาภายในไม่กี่วัน หรืออาจจะสองสามชั่วโมง กลายเป็นศพเดินได้ ไร้จิตสำนึก ขอเพียงเห็นคนมีชีวิตก็คิดจะกัดกินเป็นอาหาร แม้อีกฝ่ายจะเป็นญาติพี่น้องก็ตาม พวกเขาก็จะไม่ปล่อยไป

ถึงแม้ในตอนนี้ร่างกายเขาจะเป็นซอมบี้ แต่กลับมีจิตสำนึกของตัวเอง เขาไม่สามารถทำเรื่องทำร้ายมนุษย์ หรือมองมนุษย์ได้รับบาดเจ็บอย่างนิ่งดูดายได้

คุณชายใหญ่ เรื่องเหล่านี้ที่คุณบรรยาย ฟังเหมือนซอมบี้ในภาพยนตร์เลยนะครับ

อุ๊บส์ใครบางคนหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

ส่วนคนอื่นๆ กลั้นรอยยิ้มไม่กล้าหัวเราะออกมา

มู่อี้ฟานกวาดสายตามองทุกคนโดยไม่ได้พูดอะไร

ขณะนั้นเอง ประตูห้องประชุมก็ถูกคนผลักออก

ผู้บริหารมองไปทางประตูทันที เห็นเพียงเลขาฯ ชายท่านประธานกำลังลากเท้าเข้ามา และเดินเข้ามาทางพวกเขาอย่างช้าๆ ในดวงตาเลื่อนลอย ท่าทางคล้ายกับไม่รู้ว่าต้องการทำอะไร

พวกเขาก็ไม่ได้สนใจกันมากนัก บางคนหยิบถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นจิบอึกหนึ่งให้ชุ่มคอ บางคนก็คิดว่าปากเลขาฯ ชายในวันนี้แดงอยู่บ้าง ริมฝีปากเหมือนเปื้อนเลือดจนพวกเขาอดมองด้วยสองตาไม่ได้

มู่อี้ฟานเห็นว่าคนด้านหลังประตูไม่เข้ามาสักทีเลยหันไปมอง ก็เห็นเลขาฯ ชายของมู่อี้หางอ้าปากสีแดงเลือดกัดคนไปแล้ว เสียงกรีดร้องดังขึ้น ทันใดนั้นก็ตะครุบผู้จัดการฝ่ายข่าวที่นั่งอยู่ข้างกายเขา

ทุกคนอุทาน

มู่อี้ฟานตอบสนองลุกขึ้นตวัดเตะไปที่เลขาฯ ชาย

เลขาฯ ชายถูกเตะกระเด็นไปหลายก้าว กระแทกเข้ากับกำแพงแล้วล้มลงกับพื้น

ผู้จัดการฝ่ายขายซึ่งเกือบถูกกัดตกใจจนตกจากเก้าอี้ จากนั้นก็รีบคลานออกจากตำแหน่งนั้นด้วยมือและเท้า

ละ...เลขาฯ จางเป็นอะไรน่ะผู้บริหารหญิงถามด้วยเสียงสั่นครือ

ท่าทางเขาดูเหมือนคนติดเชื้อไวรัสที่ข่าวกล่าวถึงเลย

ในปากของเขาแดงๆ เหมือนจะเป็นเลือดนะ เมื่อกี้น่าจะกัดใครมาก่อนมั้ง

ทุกคนวิ่งให้เร็วเลย อย่าให้เขากัดจนเป็นแผล จะติดเชื้อเอาได้

ทุกคนตื่นตระหนก รีบหนีออกจากประตูอีกบาน แต่ทันทีที่เปิดประตู ทุกคนก็ถูกร่างอาบไปด้วยเลือดคนที่ถูกกัดหน้าแหว่งไปหลายชิ้นด้านนอกทำเอาตกใจจนกรีดร้องต่อเนื่องกะทันหัน

คนนี้มันใครอีกฮะพวกเขาดูสภาพเดิมอีกฝ่ายไม่ออก จึงหมุนตัววิ่งกลับเข้าห้องประชุม

ซอมบี้ที่นอกประตูได้กลิ่นคนมีชีวิตก็กระโจนเข้าหาพวกเขาอย่างดุร้าย ตอนนั้นเอง ผู้บริหารหญิงที่วิ่งมาถึงคนสุดท้ายล้มลงกับพื้น

อ๊า! อ๊า! ปล่อยฉัน ปล่อยฉันนะผู้บริหารหญิงเสียขวัญจนร้องไห้เสียงดัง ยกเท้าขึ้นทั้งเตะทั้งถีบ

มู่อี้ฟานสะดุ้งรีบหยิบถ้วยเซรามิกบนโต๊ะออกแรงทุบลงบนโต๊ะดัง เพล้ง! จนถ้วยเซรามิกแตกเป็นชิ้นๆ ทันที

เขาหยิบหนึ่งในชิ้นที่คมขึ้นแล้วพุ่งเข้าชาร์จซอมบี้ตัวนั้น ถีบซอมบี้ที่ทำท่าจะกัดผู้บริหารหญิงออกไป จากนั้นยกเศษถ้วยขึ้น ออกแรงแทงลงในสมองของซอมบี้

ซอมบี้ที่แต่เดิมครางฮือๆ ทันทีก็กลายเป็นศพที่ขยับไม่ได้

มู่อี้ฟานคลายมือที่กำเศษถ้วยแน่น จ้องสองมือเปื้อนเลือดของตัวเองอย่างมึนงง ริมฝีปากนั้นกลับหยุดสั่นไม่ได้

เขาลงมือฆ่าคนแบบนี้ไปแล้วเหรอ

ก่อนหน้านี้ ในหัวเขาคิดแต่จะช่วยคน ไม่ได้คิดอะไรมากด้วยซ้ำ หลังจากคิดจะฆ่าคน เขาก็หยุดกลัวไม่ได้เลย

แท้จริงแล้ว ฉากจินตนาการตอนเขียนนิยายออกมากับความรู้สึกที่เรียนรู้จากประสบการณ์ด้วยตัวเองนั้นต่างกันสิ้นเชิง

มู่อี้ฟานจ้องมองร่างศพที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ใบหน้านั้นซึ่งถูกกัดจนจำเค้าแทบไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียน

ฉับพลันสติของเขาก็ปรากฏความคลุมเครือสายหนึ่งขึ้นมา แววตาค่อยๆ หม่นลง กลิ่นเนื้อมนุษย์สดๆ ดึงดูดเขาเรื่อยๆ ทำให้เขาอยากจะลิ้มลองรสชาติอันโอชะเป็นอย่างมาก

คนอื่นๆ ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของมู่อี้ฟาน และรีบวิ่งเข้าไปช่วยผู้บริหารหญิง ผู้จัดการเหอ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม โดนข่วนบ้างหรือเปล่า

มะ...ไม่เป็นไรค่ะผู้จัดการเหอร้องไห้โฮโดยไม่สนภาพลักษณ์อีกต่อไป พอเห็นก็รู้ว่าตกใจจนขวัญเสียจริงๆ

อ๊าก เลขาฯ จาง เลขาฯ จางคลานขึ้นมาแล้วบางคนกรีดร้องเสียงลั่น

เสียงดังจนเสียดแก้วหูทำให้มู่อี้ฟานได้สติในพริบตา

เขาสะบัดหัวแรงๆ รีบกดความอยากกินมนุษย์ส่วนนั้นลงไป ลุกขึ้นพุ่งไปหาเลขาฯ จาง

หลังจากหวี่ยงเลขาฯ จางที่กระโจนเข้าใส่ผู้บริหารออกไป เขายังไม่ทันทำอะไรก็ถูกคนที่วิ่งเข้ามาจากข้างนอกประตูเตะปลิวจนกระแทกกำแพงอย่างรุนแรง


 

บทที่ 76 มู่อี้ฟานก็คือมู่มู่

เมื่อเห็นมู่อี้ฟานโดนเตะลอยเคว้งไปอัดกำแพง ทุกคนก็อุทานตกใจ คุณชายใหญ่ คุณโอเคไหม

มู่อี้ฟานรู้สึกขอบคุณที่ตอนนี้ตัวเองไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด ไม่อย่างนั้นละก็ จะต้องเจ็บเอาเรื่องแน่ๆ เชี่ย ใครเตะเหล่าจือวะ

เขาหันกลับไป อยากจะดูนักว่าไอ้ลูกหมาตัวไหนมันเตะเขากัน

คนคนนั้นก็เดินมาถึงข้างตัวของเขา ก้มตัวลงฉับไวแล้วดึงคอเสื้อเขาขึ้น และชายในเครื่องแบบก็ดึงเขาขึ้นมาให้เผชิญหน้ากับเขา

มู่อี้ฟานเห็นใบหน้าฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน ใบหน้าก็ตกใจทีเดียว และมองไปยังคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ ปะ...เป่ยเทียน

พระเจ้าช่วย!

ทำไมพระเอกถึงมาอยู่ที่นี่

 




ยิ่งไปกว่านั้น สายตาของพระเอกน่ากลัวมาก สยองยิ่งกว่าตอนพบกันที่ใต้อพาร์ตเมนต์ของหลี่ชิงเทียนครั้งที่แล้วเสียอีก

จ้านเป่ยเทียนถลึงตามองใบหน้าซึ่งทำให้เขาแทบอยากจะแยกเป็นแปดส่วน ป่นกระดูกเป็นขี้เถ้าอย่างเย็นชา แล้วขบริมฝีปากแน่น

ไม่บ่งไม่บอกกันสักคำก็เปิดเสื้อของเขาออกเลย จึงเห็นหน้าท้องกลมมน และไฝสีแดงเล็กๆ ข้างในสะดือ ดวงตาก็ส่อแววตกใจ และรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ไม่อาจจับต้องได้

ที่แท้มู่อี้ฟานก็คือมู่มู่นี่เอง

เมื่อวันก่อน ตอนที่ลู่หลินรายงานผลให้ทราบ เขาก็เริ่มสงสัยแล้ว

ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุอะไรมู่มู่ถึงเอาเรื่องที่มู่อี้หางชนเด็กตายไว้ที่ตัวเองก็ตาม แต่ความจริงที่ว่าตัวอักษรมู่ () และตัวอักษรมู่ () พ้องเสียงกันนั้น ทำให้เขาเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัย คิดว่ามู่มู่อาจมีความสัมพันธ์บางอย่างกับตระกูลมู่

จำได้ว่าตอนอยู่หมู่บ้านไป๋ปี้ชุน เขาเคยถามมู่มู่ แต่ไม่ได้กังวลเลยว่าคนจากมู่ซื่อเทคโนโลยีจะสร้างปัญหา ทว่าตอนนั้นมู่มู่กลับมีท่าทีไม่เห็นมู่ซื่อกรุ๊ปอยู่ในสายตา ยิ่งทำให้เขาแน่ใจว่ามู่มู่มีความสัมพันธ์กับตระกูลมู่ มิฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่กลัวตระกูลมู่ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในเมือง G

ถึงแม้ว่าอำนาจของสองตระกูลจะพอฟัดพอเหวี่ยงกัน แต่ก็มีบางช่วงที่กริ่งเกรงกันบ้าง แต่มู่มู่นั้นไม่ใช่

ถัดมาก็คือ หลี่ชิงเทียน แพทย์ประจำตระกูลมู่ ซึ่งรับผิดชอบตรวจมะเร็งกระดูกของมู่อี้ฟาน ทำไมหลี่ชิงเทียนถึงได้ตรวจมะเร็งกระดูกให้มู่มู่แทน และเพราะอะไรถึงบังเอิญเป็นมะเร็งกระดูกเหมือนอย่างมู่อี้ฟานขนาดนี้

เวลานั้นเขาไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้ง เป็นเพราะเขารู้สึกว่ามู่มู่ไม่อาจเป็นมู่อี้ฟานผู้โหดเหี้ยมคนนั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นแววตาหรือนิสัย เขาก็ไม่นึกฝันว่าจะเป็นคนคนเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม เขายังคงสนใจในตัวตนที่แท้จริงของมู่มู่

ดังนั้น ตอนที่หรงเสวี่ยขอให้เขามาเอาโทรศัพท์มือถือ เดิมทีเขาไม่คิดจะไป แต่เพราะอยากจะดูว่ามีข้อมูลส่วนตัวในโทรศัพท์มู่มู่รั่วออกมาหรือไม่เท่านั้น

แต่ไม่คาดคิดว่าผลมันจะเป็นแบบนี้...

มู่อี้ฟานไม่ได้สังเกตเห็นถึงอารมณ์ของจ้านเป่ยเทียน ขณะนี้สมองเขาเต็มไปด้วย พระเอกต้องรู้แน่ว่าฉันคือมู่มู่ ควรทำยังไงกับเรื่องนี้ดี

จ้านเป่ยเทียนปล่อยเสื้อของเขา ดวงตามืดครึ้มที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดจ้องมองเขาเขม็ง มู่อี้ฟาน

สามคำนี้เล็ดลอดจากไรฟันเขาออกมา ทั้งแหบแห้งและเย็นชา หรือฉันควรจะเรียกนายว่ามู่มู่ดี

สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือ การหลอกลวงผู้อื่น แต่มู่อี้ฟานละเมิดข้อห้ามเขาอย่างสวยงาม ไม่เพียงแต่ใช้ชื่อปลอม ยังใช้ผ้ากอซพันใบหน้าแสร้งทำเป็นใครอีกคนมาอยู่ข้างกายเขาด้วย

สิ่งที่น่าขันยิ่งกว่าคือ เขาดันไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือศัตรูที่เขาต้องการสับเป็นหมื่นชิ้น หลังจากนั้นยังเชื่อใจคนคนนี้ขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นเอาแต่เป็นห่วงเป็นใยด้วย

สายตาจ้านเป่ยเทียนยิ่งเย็นชา ในไม่ช้าก็สังเกตได้ว่าสีหน้าและริมฝีปากของมู่อี้ฟานซีดมาก แถมขอบตายังดำ ทำให้เขาอดนึกถึงความผันผวนเมื่อสองวันก่อนขึ้นมาไม่ได้

นั่นคือพลังที่เวลาซอมบี้เลื่อนระดับปล่อยออกมา ประกอบกับเรื่องที่มู่อี้ฟานเป็นซอมบี้ในชาติที่แล้ว ทำให้เขามั่นใจว่ามู่อี้ฟานติดเชื้อมาก่อนหน้านั้นแล้ว นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมพอเขาเข้าประตูมาก็เตะมู่อี้ฟานและเหวี่ยงคนลงพื้น

อย่างไรก็ตาม หลังจากวันนั้น เขาก็ไม่เคยสัมผัสการคงอยู่ของซอมบี้ได้ น่าจะเป็นความช่วยเหลือจากฉิงเทียนจูซึ่งอยู่ในท้อง

แต่ทำไมฉิงเทียนจูถึงได้ช่วยซอมบี้ล่ะ

มู่อี้ฟานใจสั่นสะท้าน แทบไม่กล้ามองเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ และทั้งเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวคู่นั้น

พระเอกพบตัวตนของเขาเข้าแล้วจริงๆ ด้วย ชั่วขณะหนึ่ง เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะเผชิญหน้ากับพระเอกอย่างไร ในเมื่อที่ผ่านมาก็หลอกลวงเขามาตลอด

แต่พระเอกพบเขาได้ยังไง

พระเอกคงไม่คิดจัดการเขาทันทีหรอกใช่ไหม

คุณผู้ชาย คุณต้องการทำอะไรครับ กรุณาปล่อยคุณชายใหญ่ด้วย ไม่อย่างนั้นเราจะเรียก รปภ. นะครับมีผู้บริหารที่ค่อนข้างกล้าหาญกล่าว

จากนั้นก็มีคนกรีดร้อง อ๊า! เลขาฯ จางคลานขึ้นมาอีกแล้ว

จ้านเป่ยเทียนหันขวับ เห็นเลขาฯ จางคลานขึ้นมาอย่างช้าๆ ก็ตกใจเล็กน้อย คนที่ถูกมู่อี้ฟานเตะเมื่อครู่กลายเป็นซอมบี้ไปแล้วจริงๆ

หรือจะโดนมู่อี้ฟานทำให้บาดเจ็บจนกลายเป็นแบบนี้

เมื่อดูปฏิกิริยาของคนอื่นๆ ดูท่าคนคนนี้น่าจะกลายเป็นซอมบี้ตั้งนานแล้ว

จ้านเป่ยเทียนไม่เสียเวลาคิด หยิบปืนออกมายิงสมองเลขาฯ จาง เสียงดังปัง เลขาฯ จางถูกยิงหัวแล้วล้มลงกับพื้น

ทุกคนผวาอยู่กับที่

เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นฉากยิงกระสุนจังๆ ไม่กลัวจนตายก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

มู่อี้ฟานไม่อยากมีจุดจบแบบเลขาฯ จาง แล้วก็ไม่อยากตายเร็วๆ ด้วย จึงถือโอกาสผลักจ้านเป่ยเทียนออกไป พุ่งเข้าไปในกลุ่มผู้บริหาร ตะโกนบอกคนทั้งหมดว่า ออกไปกันเร็วเข้า

ทุกคนได้สติ รีบวิ่งออกจากห้องประชุมแล้วพุ่งเข้าลิฟต์

มู่อี้ฟานวิ่งตรงเข้าไปในลิฟต์ คนอื่นๆ เห็นเป็นลิฟต์ของประธานก็มีสีหน้าลังเล ภายหลังจึงมีคนที่ค่อนข้างกล้าค่อยๆ เดินเข้าไปทีละคน เพราะฉะนั้นจ้านเป่ยเทียนที่ตามหลังมาพอดีก็มีโอกาสเข้ามาในลิฟต์ด้วย

พอเขาเข้ามาก็ไปยืนอยู่ทางขวา ที่ตรงนั้นเป็นที่ป้อนรหัสผ่าน จากนั้นประตูลิฟต์ก็ถูกปิดลง

มู่อี้ฟานสะดุ้ง รีบเบียดเข้ามุมฝั่งตรงข้ามทันที สถานที่ตรงนั้นห่างไกลจากจ้านเป่ยเทียนที่สุด

คนอื่นๆ เห็นจ้านเป่ยเทียนก็ค่อยๆ เดินตามเข้ามาด้วย บนใบหน้าเผยความหวาดกลัว พยายามเอนตัวไปอีกด้านให้มากที่สุด กังวลว่าชายคนนี้จะยิงพวกเขาทิ้งได้ทุกเมื่อ

ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าพูดออกมา ทำให้ภายในลิฟต์เงียบฉี่จนสามารถได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน

ผ่านไปไม่นาน ลิฟต์ไม่ขยับหยุดอยู่กับที่ จนต้องเอ่ยปากเตือนเสียไม่ได้ คุณชายใหญ่ คุณยังไม่ได้ป้อนรหัสผ่านครับ

ทุกคนมองไปทางมู่อี้ฟาน

ความสูงของจ้านเป่ยเทียนนั้นสูงที่สุดของทุกคนในลิฟต์ ด้วยระดับสายตาจึงสามารถมองเห็นมู่อี้ฟานหดตัวอยู่ในมุม

มู่อี้ฟานถูกเขาจ้องจนหนังศีรษะรู้สึกชา สายตานั้นเกือบเหมือนฆ่าคนให้ตายได้ ทำให้เขาไม่กล้าก้าวขา

อย่างไรก็ตาม เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะยืนอยู่ในพื้นที่เล็กๆ นี้ได้ตลอดเวลา มิหนำซ้ำ ที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยกลิ่นสดๆ ของเนื้อมนุษย์ด้วย เขากลัวว่าตัวเองจะทนได้ไม่นาน จึงได้แต่กัดฟันก้าวไปข้างหน้าเพื่อป้อนรหัส

จ้านเป่ยเทียนมองมือที่สวมถุงมือคู่นั้นของมู่อี้ฟานอย่างเย็นชา

มู่อี้ฟานป้อนรหัสเสร็จเร็วมาก กดปุ่มไปที่ชั้นหนึ่ง จากนั้นก็พยายามถอยกลับที่เดิม ทว่ากลับถูกจ้านเป่ยเทียนคว้าหมับจนขยับไปไหนไม่ได้

จ้านเป่ยเทียนก็ไม่เอ่ยอะไร แค่ใช้แววตาน่ากลัวแบบนั้นจ้องมู่อี้ฟานที่หลบเลี่ยงไม่หยุดอย่างเอาเป็นเอาตาย ถึงขนาดที่ไม่กล้าแม้แต่จะมองเข้าไปในดวงตาที่ชัดเจนของตัวเองเลย

จนกระทั้งลิฟต์ดัง ติ๊ง ออกมา จ้านเป่ยเทียนถึงเอ่ยปากถามเสียงนิ่งว่า กินข้าวยัง

มีแค่จ้านเป่ยเทียนและมู่อี้ฟานที่เข้าใจความหมายของคำพูดสามคำนี้

มู่อี้ฟานส่ายหัวอย่างรวดเร็ว เขาไม่ต้องการกินเนื้อมนุษย์

จ้านเป่ยเทียนจึงคลายมือที่จับมือคู่นั้นของมู่อี้ฟานเล็กน้อย

ในเวลานี้ ประตูลิฟต์ก็เปิดออก

ผู้บริหารด้านหลังสบตากันเงียบๆ ใช้ประโยชน์ตอนเดินออกไป เบียดให้มู่อี้ฟานออกจากลิฟต์

คุณชายใหญ่ เร็วหน่อยครับมีคนเรียก

และมีอีกคนตะโกนตาม รปภ. รปภ. มีฆาตกรอยู่ตรงนี้

มีคนมากมายเป็นพิเศษที่ล็อบบี้สำนักงาน พอได้ยินว่าฆาตกรก็เกิดความวุ่นวายทันที

รปภ. ห้าถึงหกคนถือกระบองตำรวจพุ่งเข้าไปล้อมจ้านเป่ยเทียนเป็นวงกลม

มู่อี้ฟานรู้ว่าจ้านเป่ยเทียนคงจะไม่เป็นอะไรก็รีบโกยอ้าวออกจากตึกโดยตรง

จ้านเป่ยเทียนก็ไม่ขัดขืนอะไร แค่ยืนอยู่ที่เดิมอย่างนี้ สายตาเย็นชายังมองตามการเคลื่อนไหวของมู่อี้ฟานไม่หยุด จากนั้นมองผ่านกระจกใสก็เห็นมู่อี้ฟานขึ้นรถแล้วซิ่งรถออกไป

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ตำรวจก็มาถึง

จ้านเป่ยเทียนถูกจับขึ้นรถตำรวจ แต่ภายในไม่ถึงห้านาทีก็ถูกผู้กำกับกรมตำรวจปล่อยตัวอย่างเคารพยำเกรง

และบรรดาตำรวจในกรมที่จับจ้านเป่ยเทียน ในทางตรงกันข้ามก็ถูกผู้กำกับดุด่าหนึ่งยก รวมทั้งแต่ละคนต้องเขียนรายงานสำนึกผิดหนึ่งพันตัวอักษรส่งมอบขึ้นไปด้วย

ลู่หลินและคนอื่นได้รับข่าวว่าบอสถูกจับที่สถานีตำรวจก็เบิกตากว้าง ไม่ใช่ไปพบมู่มู่หรอกเหรอ ไปที่สถานีตำรวจได้อย่างไร

พวกเขาบึ่งรถไปรับคน เมื่อมาถึงสถานีตำรวจ ผู้กำกับกำลังเสิร์ฟน้ำชาให้จ้านเป่ยเทียนด้วยรอยยิ้มประจบสอพลอ หลังจากนั้นก็กล่าวขออภัยต่อความผิดพลาดของสถานีตำรวจไม่จบไม่สิ้น ท่าทางแบบนั้นก็เกือบจะเหมือนคุกเข่านมัสการบอสพวกเขาประหนึ่งพระใหญ่นั่นแหละ

ผู้กำกับเห็นคนมารับจ้านเป่ยเทียน ก็พรูลมหายใจออกมาทันที รีบส่งคนออกนอกสถานีด้วยความสุภาพ

พอขึ้นรถ เซี่ยงกั๋วก็ถาม บอส ไม่ใช่ว่าคุณไปพบมู่มู่เหรอ ทำไมถึงมาที่สถานีตำรวจได้ล่ะ

จ้านเป่ยเทียนได้ยินคำว่ามู่มู่สองคำ ความหนาวเย็นก็แผ่ซ่านทันที ตวัดมองเซี่ยงกั๋วด้วยสายตาเย็นชา

ลู่หลินรู้สึกว่าบรรยากาศไม่ถูกต้อง จึงรีบปิดหัวข้อสนทนา ให้ตายก็ไม่พูดถึงมู่มู่อีก

ในอีกไม่กี่วันครั้งหน้า ขอแค่พวกเขายังพูดถึงตัวอักษรมู่ หรือพูดถึงคำพ้องเสียงกันก็ต้องประสบกับสายตาเย็นชาสุดพรรณนาจากบอสกันทั้งหมด


 

บทที่ 77 เข้าใจเธอผิดไป

หลังจากมู่อี้ฟานหนีจากบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปก็ขับรถไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย จนตระหนักได้ว่ามาถึงสถานที่ที่มีรถและผู้คนสัญจรผ่านประปราย ก่อนจะจอดรถลง

เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ตบหน้าท้องไม่เบาไม่หนัก เธอบอกมาตามตรงเลยนะ เป็นเธอที่แจ้งข่าวจ้านเป่ยเทียนใช่ไหม

ทันใดนั้นหน้าท้องก็เกิดกระตุกอย่างรุนแรง แสดงถึงการประท้วงและคับข้องใจ

มู่อี้ฟานรู้สึกงุนงง ไม่ใช่เธอ แล้วใครมันเป็นคนบอก จ้านเป่ยเทียนรู้ตัวตนของฉันได้ยังไง แถมยังรู้ว่าฉันอยู่มู่ซื่อเทคโนโลยีอีก

หน้าท้องยังคงกระตุกไม่หยุด ซึ่งหมายความว่ามันไม่รู้

ในเวลานี้ เสียงเพลงที่คุ้นเคยก็ดึงความคิดมู่อี้ฟานกลับมา นั่นเป็นเสียงริงโทนโทรศัพท์ของเขาเอง

เขาก้มมองดูข้างเบาะก็ไม่เห็นโทรศัพท์ของเขา จากนั้นก็สัมผัสกระเป๋าอีกครั้ง โทรศัพท์ดันอยู่ในกระเป๋าเขาจริงๆ

เชี่ย โทรศัพท์เครื่องนี้มันคงไม่ได้ล่องหนหรอกใช่ไหม

เมื่อครู่ยามอยู่ชั้นดาดฟ้าบริษัทมู่ซื่อเทคโนโลยี เขาคลำหาทั่วตัวก็หาโทรศัพท์ของเขาไม่เห็นเลย ไหงมันมาโผล่เอาตอนนี้ล่ะ

มู่อี้ฟานเต็มไปด้วยความกังขา เห็นหมายเลขผู้โทร.เข้ามาคือ มู่เยว่เฉิง จู่ๆ ก็นึกเรื่องที่มู่เยว่เฉิงส่งคนมารับเขาที่บริษัทขึ้นมาได้ จึงรีบกดรับสาย ป๊าครับ ผม...

ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ มู่เยว่เฉิงก็หัวเราะขึ้นมาเสียก่อน อี้ฟาน พลตรีจ้านจะไปรับลูกที่บริษัทนะ

มู่อี้ฟานอึ้ง ฮะ พลตรีจ้าน?”

แซ่จ้าน?

ซ้ำยังเป็นพลตรี?

หรือว่าจะเป็นจ้านเป่ยเทียนนะ

เขาถามอย่างไม่แน่ใจ ที่ป๊าพูดถึงคือจ้านเป่ยเทียนหรือเปล่า

ใช่ เขาบอกพ่อว่าจะไปรับลูกที่บริษัท พาลูกกลับเมือง B น่ะ

มู่เยว่เฉิงเชื่อมั่นในตัวจ้านเป่ยเทียนมาก ไม่อย่างนั้นโทรศัพท์จะไม่กลับมาอยู่ในมือของมู่อี้ฟาน

มู่อี้ฟานกรอกตาใหญ่

เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถขึ้นเฮลิคอปเตอร์กลับเมือง B เองได้ เขาล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมมู่เยว่เฉิงถึงเปลี่ยนความคิดกะทันหันให้จ้านเป่ยเทียนมารับเขาแทน นี่มันไม่โอเวอร์ไปหน่อยเหรอ

ไม่รู้จริงๆ ว่ามู่เยว่เฉิงนั้นปกป้องเขาหรือเปล่า หรืออยากให้เขาตายไวๆ หรือให้ตายเร็วหน่อยกันแน่

เขาเคยเป็นผู้บังคับบัญชาของลูก ลูกต้องฟังที่เขาพูด รู้ไหม

เขาไม่อยากให้มู่เยว่เฉิงที่ห่วงใยเขาด้วยใจจริงต้องกลุ้มใจ จึงตอบว่า ผมรู้ครับ

อย่างนั้นแค่นี้ก่อนนะ ถ้ามีอะไรก็ให้ลูกมาเมือง B ก่อนค่อยพูดแล้วกันนะ

โอเคครับ

มู่อี้ฟานวางสายโทรศัพท์แล้วใส่โทรศัพท์ลงในกระเป๋า จากนั้นนั่งอยู่บนเบาะขับรถต่ออย่างเหม่อลอย

ก่อนหน้านี้เขาหนักใจที่จะไปเมือง B เพราะกังวลว่าจ้านเป่ยเทียนจะค้นพบตัวตนของเขา และโดนเขาฆ่าปิดปาก แต่ตอนนี้จ้านเป่ยเทียนรู้ตัวตนของเขาแล้ว เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องกลุ้มใจที่จะไปเมือง B อีกต่อไป

สำหรับเขา ณ ตอนนี้กล่าวได้ว่า เรื่องคอขาดบาดตายที่สุดในขณะนี้ก็คือ ต้องกำจัดความหิวโหยที่อยากจะกินเนื้อมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่นั่นเอง เพราะเขาค้นพบตอนที่อยู่ในบริษัทเมื่อครู่ว่า ขอแค่ตัวเองเห็นเลือด สติก็จะเลอะเลือน ความปรารถนาจะกัดคนก็มีแต่จะรุนแรงยิ่งขึ้น เขาในเวลานั้นควบคุมตัวเองได้ยากมาก ดังนั้น เขาจำเป็นต้องอยู่เมือง G เพื่อหาโอกาสเลื่อนขั้นซอมบี้ให้ได้

เขาจำได้ว่าหนึ่งเดือนหลังวันสิ้นโลก จะมีการเคลื่อนไหวจัดการเผาซอมบี้ครั้งมโหฬารทั่วทั้งประเทศ ในวันนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่

มนุษยชาติและซอมบี้ไม่เพียงจะได้รับพลังพิเศษที่แตกต่างกัน พืชและสัตว์ก็กลายพันธุ์ไปด้วย ที่สำคัญที่สุดคือ หลังจากศพของซอมบี้ถูกเผา จะเกิดแก่นคริสตัลขนาดใหญ่ ราชาซอมบี้มู่อี้ฟานก็จะดูดซับแก่นคริสตันขนาดใหญ่ ก่อนจะเลื่อนระดับจากซอมบี้ระดับต่ำไปยังซอมบี้ระดับกลาง ซึ่งจะอยู่ห่างจากซอมบี้ระดับสุดยอดแค่เพียงก้าวเดียวเท่านั้น

ดังนั้น ตราบใดที่เขาดูดซับพลังงานแก่นคริสตัล เขาก็สามารถเลื่อนขั้นเป็นซอมบี้ระดับสูงได้ และกำจัดความหิวโหยที่อยากจะกินเนื้อมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขายังต้องหาผู้ร่วมอุดมการณ์สักสองสามคนก่อน เพราะเมื่อเวลานั้นมาถึง บางทีอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขา

มู่อี้ฟานย้อนนึกถึงผู้ช่วยที่อยู่รอบตัวราชาซอมบี้ในนิยาย นอกจากจวงจือเยว่ คนอื่นๆ ก็รู้แค่ชื่อเท่านั้น และไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร คิดจะหาพวกเขามันไม่ง่ายเลย บางทีคงทำได้เพียงเดินตามพล็อตเท่านั้นถึงจะพบพวกเขาได้

แต่ถ้าเดินตามพล็อต การเผาครั้งยิ่งใหญ่หลังหนึ่งเดือนนี้ ไม่แน่ว่าจะเจอพวกเขาก็ได้

มู่อี้ฟานคิดหน้าคิดหลัง เขาจึงตัดสินใจจะไปบ้านจวงจือเยว่เพื่อดูให้แน่ใจหน่อย ไม่รู้ว่าหลังข่วนมือจวงจือเยว่จนเป็นแผลเมื่อคราวก่อนนั้น มันจะมีปัญหาไหม และก็ไม่รู้ว่าจวงจือเยว่ในตอนนี้กลายเป็นซอมบี้ไปแล้วหรือยัง

เขาหลุดจากภวังค์ เห็นว่าท้องยังคงกระตุกอย่างรุนแรงอยู่ ก็พลางลูบท้องปลอบ ขอโทษด้วยนะ ที่เมื่อกี้เข้าใจเธอผิดไป รอฉันว่างจะพาไปดูดพลังจากหินดิบนะ

ฉิงเทียนจูถึงจะสงบลง

มู่อี้ฟานขับรถตรงไปทางเขตวิลลาเทียนเยวี่ยนของจวงจือเยว่ตามความทรงจำในสมอง

เมื่อมาถึงเขตวิลลา เขาก็รู้สึกว่าบรรยากาศแปลกพิกล ข้างในช่างเงียบเกินไปแล้ว แถมยังไม่มี รปภ. เฝ้าอยู่ทางเข้าประตูอีกด้วย

พอมู่อี้ฟานขับรถเข้าไปก็เห็นแอ่งคราบเลือดแห้งกรังอยู่ไปทั่วบนพื้นและกองหญ้า ซึ่งเห็นได้ว่าภายในเขตวิลลานี้เคยมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมาก่อน และมันน่าจะเกี่ยวกับซอมบี้

ทว่าเขากลับไม่เห็นศพ และไม่เห็นซอมบี้เดินไปมาเลย

เขาเป็นห่วงว่าจวงจือเยว่จะเกิดเรื่องขึ้น จึงเร่งความเร็วรถทันทีจนมาถึงประตูวิลลาของจวงจือเยว่

ประตูทางเข้าบ้านถูกเปิดกว้าง เขาจึงจอดรถแล้ววิ่งเข้าไปในห้องโถงโดยไม่ชักช้า

ในห้องโถงไม่เป็นระเบียบราวกับว่าได้ผ่านสงครามโลกมา ทุกที่ระเกะระกะ แถมยังมีเลือดมนุษย์จำนวนมากกระเซ็นบนผนัง รวมทั้งรอยฝ่ามือเลือดของมนุษย์ ซึ่งน่าสยดสยองมากๆ

จากนั้นเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นก็ดังมาจากห้องครัวทางนู้น

มู่อี้ฟานรีบตะโกน จวงจือเยว่ นายอยู่นั่นไหม

พอพูดจบ ชายร่างสูงคนหนึ่งก็เดินออกมาจากในห้องครัว เขาสวมชุดไปรเวทสีดำ บนหน้าสวมหน้ากากอนามัยสีดำและแว่นกันแดด ทำให้เขาดูไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ตัดสินจากรูปร่างแล้ว ไม่ใช่จวงจือเยว่แน่นอน

แต่ในห้องครัวยังคงมีเสียงร้องไห้ออกมา แสดงว่ายังมีคนอยู่ในห้องครัว

ดวงตามู่อี้ฟานฉายแววระแวดระวัง นายเป็นใคร ทำไมถึงมาอยู่ในบ้านเพื่อนฉันได้

ชายชุดดำไม่พูดอะไรพลันก้าวมาหาเขา จากนั้นร่างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในห้องครัว และกอดเอวชายชุดดำไว้อย่างเหนียวแน่น อย่าทำร้ายคนอีก ขอร้องอย่าทำร้ายคนอีกเลยนะ

คนคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองมู่อี้ฟานพลางตะโกนว่า คุณผู้ชาย หนีไปเร็วเข้า อย่าอยู่ที่นี่อีก ที่นี่มันอันตรายมาก

สายตามู่อี้ฟานเบนไปทางชายที่ตะโกนขึ้น ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นคุ้นเคยนิดหน่อย คุณ...

เขาเพ่งมองและจำได้ว่าอีกฝ่ายก็คือหมอที่บอกว่าเขาท้องครั้งล่าสุดในโรงพยาบาล เชี่ย คุณมันหมอเถื่อนคนนั้นนี่ ทำไมคุณมาอยู่บ้านเพื่อนผมได้ฮะ

เจิ้งกั๋วจงเห็นอีกฝ่ายรู้จักเขา เสียงร้องไห้ก็หยุดชะงัก แล้วมองเขาอย่างงุนงง คุณคือ?”

มู่อี้ฟานพูดอย่างอารมณ์เสียว่า ผมก็คือผู้ชายที่ถูกคุณวินิจฉัยว่าตั้งครรภ์นั่นแหละ

อ๊ะ คุณนี่เอง!เจิ้งกั๋วจงถาม คุณทำแท้งหรือยังครับ

มู่อี้ฟานหดหู่ ให้ตายเถอะ คุณดูให้ชัดๆ นะ เหล่าจือเป็นผู้ชาย เจ้าหมอเถื่อนนี่

ชายชุดดำได้ยินเขาพูดดังนั้นก็ก้าวไปอีกก้าว

เจิ้งกั๋วจงรีบกอดชายชุดดำแน่น คุณมู่ คุณไปเร็วๆ เลย ถ้าคุณยังไม่ไปอีก ผมจะเอาเขาไม่อยู่แล้วนะ

มู่อี้ฟานเห็นเจิ้งกั๋วจงดูเหมือนจะกลัวชายชุดดำจะทำอะไรมาก เขาจึงถอยออกมาอยู่ในระยะปลอดภัยกว่า แล้วถามว่า คุณตอบผมมาก่อน พวกคุณมาอยู่ที่บ้านเพื่อนผมได้ยังไง เพื่อนของผมและครอบครัวของเขาไปไหนกันแล้ว

เจิ้งกั๋วจงถามอย่างรวดเร็วว่า เพื่อนของคุณคือใคร

จวงจือเยว่

คุณจวงเหรอ ผมไม่รู้นะ ตอนผมมา ที่นี่ก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว

มู่อี้ฟานสงสัย แล้วคุณมาร้องไห้ทำไมในครัวเนี่ย

เจิ้งกั๋วจงร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้งเมื่อถูกพูดถึงเรื่องน่าเศร้า ภรรยาของผมโดนคนกัดตายแล้ว

ทำไมภรรยาคุณมาอยู่บ้านเพื่อนผมล่ะ

ภรรยาผมเห็นคุณจวงให้เงินเดือนไม่เลว ทุกวันจึงมาที่นี่เพื่อช่วยทำอาหาร และหลังอาหารเย็นเสร็จแล้วก็จะกลับมาพักผ่อน แต่เช้านี้ผมกลับจากกะดึกมา แต่กลับไม่เห็นภรรยาของผม เพราะไม่สบายใจก็เลยโทร.หาเธอ แต่ไม่มีคนตอบรับ ผมจึงต้องมาดู แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้

เจิ้งกั๋วจงยิ่งเล่ายิ่งเศร้า สุดท้ายก็ร้องไห้เสียใจออกมาอีกครั้ง

คุณไม่เห็นเพื่อนของผมเลยเหรอ

ไม่เห็นครับ ตอนผมมาที่นี่ มันก็วุ่นวายอยู่แล้ว นอกวิลลาก็ไม่มีคนอื่นอยู่เลยครับ

มู่อี้ฟานก้มหน้าต่ำ อยู่ๆ ก็นึกได้ว่าต้องโทร.หาจวงจือเยว่ จึงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แต่โทรศัพท์อีกฝ่ายปิดเครื่องอยู่

เขาไม่คิดจะจากไปแบบนี้ จึงหมุนตัวเดินขึ้นไปชั้นบน ดูว่ามีใครอื่นอยู่อีกไหม

หลังจากยืนยันว่าไม่มีใครอยู่จริงๆ ถึงหันหลังกลับไปที่ห้องโถง และเห็นชายชุดดำกอดศพผู้หญิงที่ถูกกัดจนจำสภาพไม่ได้เดินออกมาจากห้องครัว

พวกนี้คือ...

เจิ้งกั๋วจงอธิบายว่า ผมอยากจะหาที่ฝังศพให้ภรรยาผมครับ

พวกคุณมีรถไหมมู่อี้ฟานจำได้ว่าตอนเข้ามาไม่เห็นมีรถจอดอยู่ข้างนอกเลย

พวกเรานั่งแท็กซี่มาครับ ไม่มีรถหรอก

งั้นผมไปส่งพวกคุณแล้วกัน

เจิ้งกั๋วจงรีบปฏิเสธ ไม่ครับ ไม่เป็นไร เดี๋ยวพวกเราแบกไปก็ได้ครับ

มู่อี้ฟานมองศพผู้หญิง ถ้าพวกคุณแบกออกไปแบบนี้ จะทำเอาคนตกใจได้นะ แถมยังอาจจะถูกตำรวจจับอีกด้วย

พอเจิ้งกั๋วจงได้ยินก็แสดงความลังเลออกมา จากนั้นก็หันไปกระซิบถามกับชายชุดดำว่า คุณทนได้ไหมครับ


 

บทที่ 78 ช่างเป็นคนพิลึกจริงๆ

ชายชุดดำพยักหน้า

มู่อี้ฟานมองไปที่ชายชุดดำแล้วพบว่าบนร่างของเขาไม่มีกลิ่นอายคนมีชีวิต และเกิดความรู้สึกอย่างเดียวกันกับเขา ซึ่งนี่น่าจะเป็นรีแอคชันระหว่างซอมบี้กับซอมบี้

เขาไม่ได้สังเกตมาก่อน เป็นเพราะใจของเขามัวแต่เป็นห่วงความปลอดภัยของจวงจือเยว่ และเขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปใส่ใจปัญหาอื่นๆ ด้วย

อีกอย่างคือ ซอมบี้ตัวนี้ท่าจะถึงระดับกลางแล้ว แต่เหมือนจะยังพูดไม่เป็น ระดับน่าจะอยู่ต่ำกว่าเขา

มันน่าแปลกจริงๆ ตอนนี้วันสิ้นโลกเพิ่งจะเริ่มต้นเอง ทำไมซอมบี้มีสติถึงเยอะขนาดนี้ หมอเถื่อนคนนี้ไปด้วยกันกับซอมบี้ได้อย่างไร

ตอนชายชุดดำเดินผ่านมู่อี้ฟานก็สังเกตเห็นถึงสิ่งนี้เช่นกัน

ดังนั้น ตอนจะขึ้นรถ เขาจึงลังเลอยู่สักหน่อย แต่เห็นมู่อี้ฟานเหมือนมนุษย์ธรรมดายิ่งกว่าเขาก็กอดศพตรงขึ้นรถไป

คุณมู่ ขอบพระคุณคุณมากจริงๆ นะครับเจิ้งกั๋วจงกล่าวขอบคุณมู่อี้ฟานซึ่งอยู่เบาะคนขับด้านหน้า

ไม่เป็นไรน่า คุณวางแผนจะนำภรรยาของคุณไปฝังที่ไหนกันล่ะมู่อี้ฟานถามพลางสตาร์ตรถ

ที่หมู่บ้านสุ่ย บ้านเกิดของผมมีสุสานครับ ระยะทางห่างจากเมือง G ห้าสิบกิโล ไม่ทราบว่าคุณมู่สะดวกไปส่งพวกเราที่นั่นไหมครับ

มู่อี้ฟานได้ยินชื่อหมู่บ้านสุ่ยก็อดนึกถึงตอนที่เขาพบกับจ้านเป่ยเทียนในนิยายครั้งแรกไม่ได้ แววตาจึงมืดมนลง หลังจากนั้นก็ยิ้มว่า สะดวกสิ ตอนนี้ผมไม่มีที่จะไปพอดี แต่ว่านะหมอเถื่อน ผมมีเรื่องจะเตือนคุณสักหน่อย ภรรยาคุณจะฝังเฉยๆ ไม่ได้ จำเป็นต้องเผา ไม่อย่างนั้นไวรัสในร่างของเธอจะแพร่ระบาดออกไปทางดิน

เจิ้งกั๋วจงตะลึง ถ้าใส่ในโลงจะแพร่ระบาดทางดินไหมครับ

อืม คุณอย่าประมาทไวรัสชนิดนี้ล่ะ

งั้นตอนนี้ผมต้องไปที่เผาศพเหรอครับ

มู่อี้ฟานส่ายหน้า ตอนนี้มีศพเยอะเกินไปที่ต้องเผา คุณไปก็ไม่ถึงตาคุณหรอก อีกอย่าง สถานที่แบบนั้นในเวลานี้ก็อันตรายมาก คุณอย่าไปจะดีกว่า ผมขอแนะนำให้คุณนำไปเผาด้วยตัวเอง

เจิ้งกั๋วจงหันไปมองชายชุดดำ ชายชุดดำก็ผงกหัว ฟังคุณมู่ละกันนะครับ

มู่อี้ฟานแวะไปเติมน้ำมันที่ปั๊มก่อนจะขับรถไปหมู่บ้านสุ่ย เนื่องจากบนถนนมีซอมบี้โผล่ออกมา จราจรจึงติดขัด กว่าจะมาถึงหมู่บ้านสุ่ยก็มืดค่ำเสียแล้ว

หมู่บ้านสุ่ยสงบสุขมากทีเดียว พวกเขาดูเหมือนไม่ตระหนักเลยว่าโลกภายนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง ยังคงมาเยี่ยมบ้านคนอื่นอย่างสามัคคีปรองดอง

นอกจากนี้ผู้เฒ่าผู้แก่สูงอายุบางคนนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พูดคุยหัวเราะไปพลางขณะรำลึกความหลังในสมัยนั้นไปด้วย บรรยากาศแลดูเงียบสงบมาก

เจิ้งกั๋วจงเห็นภาพสงบร่มเย็นที่นี่ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ ผมหวังจริงๆ ว่าที่นี่จะยังคงรักษาสภาพเช่นนี้ตลอดไป

มู่อี้ฟานยิ้ม เสนอตัวช่วยลงมือเผาศพภรรยาของเจิ้งกั๋วจงด้วยตัวเอง

หลังจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาตีสามแล้ว

เจิ้งกั๋วจงกลับตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จากความรู้สึกและเหตุผล เขาควรจะให้มู่อี้ฟานค้างอยู่ที่บ้านด้วยหนึ่งคืน แต่เขากังวลว่าจะเฝ้าชายชุดดำไม่ไหวและทำร้ายมู่อี้ฟาน ทำให้เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดี

มู่อี้ฟานดูออกว่าเขาลำบากใจ หมอเถื่อน คุณวางใจเถอะ เขาไม่กัดผมหรอก

ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนละก็ เขาต้องไม่ทำให้เจิ้งกั๋วจงอึดอัดใจ และเดินจากไปเองแน่นอน

แต่ว่าตอนนี้เขาไม่มีที่ไปจริงๆ และวิลลาก็มีจ้านเป่ยเทียนอยู่ ถ้าเขากลับไปก็เท่ากับรนหาที่ตาย

แน่นอนว่าเขาสามารถเลือกไปอยู่โรงแรมได้ แต่ที่นั่นมันอ้างว้าง และไม่มีคนคอยคุยด้วย ดังนั้น เขาจึงอยากอยู่ที่นี่มากกว่า

คุณ...เจิ้งกั๋วจงมองเขาด้วยสีหน้าตกใจ คุณรู้ได้ไงว่าเจียหมิงจะกัดคน

มู่อี้ฟานพูดอย่างตรงไปตรงมา เพราะผมก็เป็นเหมือนกับเขา

เดิมทีก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังสภาพร่างกายและตัวตนของเขาอยู่แล้ว แม้เขาจะไม่พูด ชายชุดดำก็บอกเรื่องนี้กับหมอเถื่อนอยู่ดี

เจิ้งกั๋วจงยิ่งประหลาดใจมากขึ้น อะไรนะ คุณก็เป็น...

มู่อี้ฟานพยักหน้า

เจิ้งกั๋วจงเอ่ยอย่างกังวลว่า แต่ว่าดูเหมือนคุณจะไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไปเลย อีกอย่างทำไมคุณพูดได้ แต่เจียหมิงบ้านผมกลับไม่ได้ล่ะ คุณรู้วิธีทำให้เจียหมิงกลายเป็นแบบคุณได้ไหมครับ

เจิ้งเจียหมิงซึ่งกำลังยุ่งได้ยินคำถามของเจิ้งกั๋วจงก็หยุดเรื่องที่ทำอยู่และมองมู่อี้ฟานอย่างคาดหวัง

มู่อี้ฟานปลอบโยนเขา อย่ากังวลไปเลย ไม่ช้าไม่เร็ว เขาก็จะพูดได้เองแหละ

จริงเหรอครับแววตาเจิ้งกั๋วจงเป็นประกายขึ้น

แน่นอนสิ ขอแค่เขาไม่เคยเป็นใบ้มาก่อน หลังจากนี้ก็คุยได้แล้ว

แล้วในอนาคตเขาจะยังกัดคนอยู่ไหมครับ

เรื่องนี้ยังต้องใช้เวลาหน่อย หลังรอร่างกายเปลี่ยนไปอีกระดับหนึ่งก็จะไม่เกิดความหิวต่อเนื้อมนุษย์เป็นๆ อีกต่อไปแล้วล่ะ

เจิ้งกั๋วจงปาดน้ำตาตรงหางตาอย่างมีความสุข เยี่ยมมาก เยี่ยมจริงๆ เจียหมิงจะกลับมาเป็นคนธรรมดาอีกครั้งแล้ว

เจิ้งเจียหมิงพาดแขนบนไหล่เขาและตบเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบประโลม

มู่อี้ฟานเห็นเจิ้งกั๋วจงมีความสุขขนาดนี้ก็ไม่ได้ไปขัดความสุขของเขา ในอนาคตค่อยหาโอกาสอธิบายให้ชัดเจนว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่พวกเขาจะกลับมาเป็นมนุษย์ปกติอีกครั้ง เว้นเสียแต่ไวรัสในร่างทั้งหมดจะถูกกำจัดออกไป

เจิ้งกั๋วจงเดินขึ้นชั้นสองอย่างสบายใจ เพื่อทำความสะอาดห้องให้มู่อี้ฟาน

เจิ้งเจียหมิงคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วพิมพ์ในนั้นไม่กี่คำ จากนั้นก็ยื่นให้มู่อี้ฟาน โปรดบอกผมมาตรงๆ เถอะครับ พวกเราจะกลายเป็นคนปกติได้จริงหรือ

มู่อี้ฟานส่ายหน้า เนื้อหนังไม่ต่างไปจากคนทั่วไป แต่จะยังมีไวรัสอยู่ในร่างกาย ในอนาคตข้างหน้า มนุษยชาติจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อฆ่าเราให้ตาย

เจิ้งเจียหมิงพิมพ์อีกว่า แล้วตอนนี้พวกเรานับเป็นอะไร

มู่อี้ฟานมองใบหน้าของเขาที่สวมหน้ากากอนามัยอยู่ พูดออกมาเบาๆ สองคำว่า ซอมบี้

ตุบ! โทรศัพท์มือถือของเจิ้งเจียหมิงตกพื้น เนิ่นนานสติก็ยังไม่กลับมา

ด้วยเหตุนี้มู่อี้ฟานจึงอยู่ที่บ้านเจิ้งกั๋วจง

เนื่องจากเจิ้งเจียหมิงยังไม่สามารถควบคุมการกัดของตัวเองได้ดีเหมือนมู่อี้ฟาน ดังนั้น ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะถูกเจิ้งกั๋วจงขังไว้ที่ชั้นสองตลอด มีเพียงเจิ้งกั๋วจงเท่านั้นที่จะพาเขาไปเดินเล่นได้บ้างหากมีเวลาว่าง

อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่กล้าพาไปสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน ทำได้แค่นั่งกินลมชมวิวอยู่ในทุ่งเท่านั้น

ในวันที่สี่ซึ่งมู่อี้ฟานมาเยือนหมู่บ้านสุ่ยนั้น เขาพบว่าตัวเองนับวันยิ่งควบคุมความหิวไม่ได้ขึ้นเรื่อยๆ และเกือบจะพุ่งใส่เจิ้งกั๋วจงหลายครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะมีความทุ่มเทในการยับยั้งตัวเองอย่างหนัก ย่อมนำไปสู่โศกนาฏกรรมอย่างแน่นอน

เขารู้ดีว่านี่เป็นเพราะเขาไม่ได้กินอาหารมานานเกินไป แต่ตอนนี้นอกจากเนื้อมนุษย์มีชีวิต เขาไม่มีความอยากอาหารต่อสิ่งอื่นเลย แต่ไม่กินสักหน่อยก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะกัดมนุษย์ในไม่ช้า

มู่อี้ฟานคิดมาคิดไป มีแค่เนื้อสัตว์ดิบเท่านั้นที่เติมเต็มกระเพาะของเขาได้ และเนื้อสัตว์ดิบที่เขาพอรับได้ก็มีแค่ปลาเท่านั้น

เมื่อก่อนเขากินซาซิมิบ่อยมาก แต่ตอนนี้ดึกดื่นเที่ยงคืนแล้วจะมีปลาจากไหนมาให้เขากินเล่า

มู่อี้ฟานไม่อาจไปรบกวนเจิ้งกั๋วจงซึ่งนอนหลับไปแล้ว ตอนหลังจึงนึกได้ว่ามีบ่อปลาอยู่อีกฟากของทุ่ง และเขาสามารถไปตกปลากินเองได้

เขาจึงค้นดูในบ้านว่ามีอะไรพอจะตกปลาได้บ้าง แต่สุดท้ายก็เจอแค่ตาข่าย เขาจึงทำตาข่ายจุ่มแบบหยาบๆ อันหนึ่งใส่ข้าวสารลงไปเล็กน้อยก่อนออกจากบ้านเจิ้งกั๋วจง แล้ววิ่งไปยังบ่อน้ำซึ่งห่างออกไปเป็นกิโล

และไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองไหม ตั้งแต่ออกมาจากบ้านเจิ้งกั๋วจงก็รู้สึกว่ามีใครคอยมองเขาอยู่ตลอด แถมเขายังได้กลิ่นเนื้อมนุษย์มีชีวิตอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม มีหลายครอบครัวที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ จะมีกลิ่นเนื้อมนุษย์มีชีวิตโชยมาบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

มู่อี้ฟานไม่คิดมาก หยิบข้าวออกมาหนึ่งกำโปรยลงในบ่อ จากนั้นก็ยกไฟฉายโทรศัพท์มือถือส่องบ่อปลา เมื่อเห็นว่าปลาว่ายมาทางนี้ก็รีบวางโทรศัพท์ลง ยกตาข่ายจุ่มทำมือช้อนปลาขึ้นมา

ในขณะนั้นเอง เสียงดุดันทุ้มต่ำก็ดังขึ้นมา ใครอยู่ตรงนั้น

มู่อี้ฟานสะดุ้งตกใจจนโยนตาข่ายจุ่มลงบ่อปลาไป

เชี่ยเอ้ย!

เขาถูกคนจับได้ว่าขโมยปลาเป็นครั้งแรก ต้องตกต่ำขนาดไหนวะเนี่ย

มู่อี้ฟานหันขวับก็เห็นเงาร่างสูงเดินมาหาเขา

ท่ามกลางความมืดมิด เขาเห็นเพียงรางๆ ว่าอีกฝ่ายสวมหมวกฟางขาดรุ่งริ่งไว้บนหัว ส่วนบนตัวสวมเสื้อกล้ามสีดำเย็นสบาย และกางเกงช่วงล่างถูกม้วนขึ้นไปถึงหัวเข่า เท้าด้านล่างไม่สวมรองเท้า และเดินเท้าเปล่ามาทั้งอย่างนั้นเลย

พี่ชาย คุณรู้ไหมว่าทำคนตกใจจะตายแล้วน่ะ

อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า นายขโมยปลาอยู่เหรอ

ไม่ใช่นะมู่อี้ฟานรีบปฏิเสธ ผมแค่นอนไม่หลับก็เลยมาเดินเล่นที่นี่ต่างหาก

ชายคนนั้นถามว่า ทำไมนอนไม่หลับ

มู่อี้ฟานลูบท้อง คิดว่าหาคนมาคุยด้วยก็ไม่เลว จึงเอ่ยไปตรงๆ ว่า ผมหิวจนนอนไม่หลับน่ะ

ในบ้านไม่มีอะไรกินได้เหรอ

มู่อี้ฟานถอนหายใจ ของพวกนั้น รสชาติไม่ถูกปากผม

แล้วนายอยากกินอะไร

มู่อี้ฟานไม่พูด

ชายคนนั้นก็พูดอีกครั้งว่า หรือไม่จะให้ฉันจับปลาให้นายกินไหม

เอ๋?”

ก่อนมู่อี้ฟานจะทันตอบสนอง อีกฝ่ายก็กระโดดลงน้ำไปแล้ว

ไม่ถึงครึ่งนาที ชายคนนั้นก็โผล่พ้นขึ้นมาจากน้ำ แต่ละมือจับปลาไว้ จากนั้นก็โยนขึ้นฝั่ง และหยิบหมวกฟางที่ลอยอยู่บนน้ำสวมกลับที่หัวแล้วค่อยปีนขึ้นฝั่งมา

มู่อี้ฟานถามฉับว่า พี่ชาย คุณสบายดีไหม

ชายคนนั้นโบกมือ ต้องการให้ฉันทำอาหารแทนนายไหม

มู่อี้ฟานรีบตอบ ไม่เป็นไรครับ ผมจะกินทั้งแบบนี้

กินทั้งแบบนี้เหรอ

อืม ผมจะแล่มันเป็นชิ้นๆ กินแบบซาซิมิ พี่ชายรู้จักซาซิมิใช่ไหม

ฉันรู้จักน่า แต่ปลาย่างมันอร่อยกว่ากินดิบไม่ใช่เหรอ

ดวงตามู่อี้ฟานมืดมนลง แต่ผมกินได้แค่แบบนี้

อีกฝ่ายเงียบลง ไม่ได้พูดอะไร และหมุนตัวออกไปจากบ่อ

มู่อี้ฟานรีบเอ่ยว่า พี่ชาย ขอบคุณสำหรับปลานะ ผมอยู่ที่...

แย่ล่ะ!

อาศัยอยู่บ้านหมอเถื่อนมาหลายวัน เขายังไม่รู้ว่าหมอเถื่อนชื่ออะไรเลย ทั้งไม่รู้ว่าแซ่ไหนด้วย พรุ่งนี้จะต้องถามเรื่องนี้ให้รู้เรื่อง

มู่อี้ฟานตะโกนต่อ ผมเป็นแขกอาศัยอยู่บ้านเจียหมิง พี่ชายรู้จักเจียหมิงไหม

ชายคนนั้นไม่ตอบ แต่เดินไปไกลขึ้นเรื่อยๆ พอเลี้ยวเข้ามุมก็ไม่เห็นเงาคนแล้ว

มู่อี้ฟานไม่แปลกใจ เพราะสถานที่มันไกลและมืดสนิท พึมพำว่า ช่างเป็นคนพิลึกจริงๆ

ยิ่งกว่านั้น บนตัวของชายคนนั้นยังมีกลิ่นเนื้อคนมีชีวิตปล่อยออกมาจนเขารู้สึกว่าอร่อยมาก ยังจะอร่อยยิ่งกว่าใครอื่น อร่อยพอๆ กับกลิ่นเนื้อคนมีชีวิตที่ปล่อยออกมาจากตัวจ้านเป่ยเทียน กระตุ้นจนเขาทนไม่ไหวอยากกัดแรงๆ สักคำเชียวแหละ

มู่อี้ฟานเก็บปลาที่ดิ้นอยู่บนพื้นขึ้นมา และกลับบ้านเจิ้งกั๋วจงเพื่อทำซาซิมิ

หลังจากมู่อี้ฟานเดินเข้าบ้านเจิ้งกั๋วจง ก็มีร่างเปียกปอนร่างหนึ่งก็เดินออกมาจากหัวมุม และมาที่ประตูทางเข้าบ้าน เขามองผ่านหน้าต่างก็เห็นมู่อี้ฟานจัดการปลาสองตัวนั้นอย่างเงอะๆ งะๆ

หลังจากรอให้ปลาสองตัวนั้นกลายเป็นซาซิมิจานใหญ่ เขาถึงหันหลังจากไป

มู่อี้ฟานมองออกไปนอกหน้าต่าง

เขายังคงรู้สึกว่ามีใครแอบมองเขาอยู่

เนื่องจากกลิ่นหอมของเนื้อคนมีชีวิตอยู่ใกล้มากทีเดียว คล้ายกับกลิ่นหอมบนตัวของพี่ชายเมื่อครู่เลย

มู่อี้ฟานถือซาซิมิออกจากห้องนั่งเล่นอย่างไม่สบายใจ และเดินไปข้างนอกประตูเพื่อดู ยืนยันว่าไม่มีใครอยู่แถวๆ นี้ ก่อนจะกลับเข้าบ้านไปกินซาซิมิ

ซาซิมิไม่ใช่เนื้อมนุษย์ กินแล้วก็ไม่มีรสชาติอะไร แต่ก็พอประทังความหิวของเขาได้ไม่มากก็น้อย

หลังกินอิ่มแล้ว ในที่สุดก็หลับฝันดี

ตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น มู่อี้ฟานก็เห็นเจิ้งกั๋วจงกำลังกินมื้อเช้าอยู่ จึงกล่าวอรุณสวัสดิ์

หลังจากนั่งลงด้วยความมึนเบลอ ปุ๊บปั๊บก็นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้ จึงถามว่า หมอเถื่อน ผมยังไม่รู้ว่าคุณแซ่อะไรเลยนะ คุณชื่ออะไรน่ะ

เจิ้งกั๋วจงหัวเราะชอบใจพลางว่า ผมชื่อเจิ้งกั๋วจง ทำไมจู่ๆ ถึงคิดถามชื่อผมขึ้นมาล่ะ ผมยังคิดว่าคุณเรียกหมอเถื่อนจนชินแล้วเสียอีก

มู่อี้ฟานหัวเราะแห้งๆ คุณชื่อเจิ้งกั๋วจง แล้วลูกชายคุณชื่อเจิ้งเจียหมิง ถูกไหม

ใช่แล้วครับ

เพื่อจำชื่อแล้ว มู่อี้ฟานก็งึมงำท่องอยู่หลายรอบ เจิ้งกั๋วจง เจิ้งเจียหมิง เจิ้งกั๋วจง เจิ้งเจียหมิง เจิ้งเจียหมิง...

เพราะอะไรเขาถึงรู้สึกว่าชื่อเจิ้งเจียหมิงคุ้นเคยขนาดนี้นะ ทันใดนั้นเขาพลันนึกอะไรขึ้นได้ก็เด้งตัวขึ้นทันที เชี่ย หมอเถื่อน ลูกชายคุณชื่อเจิ้งเจียหมิงจริงๆ อะ


 

บทที่ 79 ฉันทำให้นายรู้สึกกลัวเหรอ

เจิ้งกั๋วจงที่กำลังกินบะหมี่อยู่ถูกมู่อี้ฟานทำให้ตกใจจนสำลักบะหมี่และไออยู่หลายครั้ง รอหายใจได้คล่องขึ้นจึงสงสัยว่า ลูกชายของผมชื่อเจิ้งเจียหมิง มันเป็นยังไงเหรอครับ

ทันใดนั้นเขานึกถึงบางเรื่องออก และกระซิบอย่างรวดเร็วว่า เรื่องนี้ให้คนในหมู่บ้านรู้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไล่พวกเราออกจากหมู่บ้านแน่นอน

มู่อี้ฟานถาม คนในหมู่บ้านไม่รู้ว่าเจียหมิงเป็นคนไข้มาจากโรงพยาบาลจิตเวชใช่ไหม พวกเขาไม่ได้ดูข่าวเหรอ

เจิ้งกั๋วจงสวนด้วยความโกรธ ลูกชายผมไม่ได้เป็นบ้า ข่าวนั่นมันเหลวไหล

เขารู้สึกขอบคุณมากที่คนในหมู่บ้านไม่คอยติดตามข่าวสาร อีกทั้งกว่าคนในหมู่บ้านจะทำงานเสร็จทุกอย่างก็หมดเวลาข่าวแล้ว และก่อนข่าวภาคค่ำจะมาถึง พวกเขาก็ไปเข้านอนแล้ว นอกจากนี้ ไม่ใช่ข่าวทุกช่องจะออกอากาศข่าวเดียวกัน ดังนั้น คนในหมู่บ้านไม่รู้เรื่องข่าวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

แม้ว่าจะดูข่าวนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าคนในข่าวคือลูกชายของเขา เพราะพวกเขาย้ายที่อยู่ไปนานแล้ว

ทุกคนแทบจำไม่ได้แล้วว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร

มู่อี้ฟานพยักหน้า ผมรู้น่า เขาหนีออกมาจากสถาบันวิจัยแห่งชาติล่ะสิ

ไม่ผิด เจิ้งเจียหมิงก็คือหนึ่งในผู้ป่วยจากโรงพยาบาลจิตเวชเมือง H ตามรายงานในข่าว ตัวตนที่แท้จริงของเขาคือนักโบราณคดี

ไม่น่าแปลกที่วันสิ้นโลกเพิ่งมาถึง เจิ้งเจียหมิงจะมีความตระหนักรู้ด้วยตนเองเร็วขนาดนี้ นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่เจิ้งเจียหมิงสวมหน้ากากอนามัยและแว่นกันแดดบนใบหน้า และกลัวจะถูกคนในสถาบันวิจัยจับกลับไป

แน่นอนว่าเขาตกใจที่ลูกชายของเจิ้งกั๋วจงคือเจิ้งเจียหมิง แต่ไม่หยุดอยู่แค่เรื่องนี้เท่านั้น

ในนิยายที่เขาเขียน เจิ้งเจียหมิงยังเป็นลูกน้องผู้มีฝีมือที่ราชาซอมบี้เชื่อใจที่สุด

ถ้าพูดว่าจวงจือเยว่เป็นแขนซ้ายของราชาซอมบี้ ถ้าอย่างนั้นเจิ้งเจียหมิงก็คือแขนขวาของราชาซอมบี้ ความเชื่อมั่นในตัวเขาสูงมาก และทั้งสองยังถูกมนุษยชาติเรียกว่า ยมทูตขาวดำของราชาซอมบี้

เหตุผลที่เจิ้งเจียหมิงยอมจำนนต่อราชาซอมบี้ ทั้งหมดเป็นเพราะว่า ราชาซอมบี้เคยช่วยเจิ้งกั๋วจงพ่อของเขาไว้

และเจิ้งกั๋วจงก็รักลูกชายของเขามาก เขาคิดว่ามนุษยชาติละทิ้งลูกชายของเขาก่อน ถ้าเช่นนั้นเขาก็ละทิ้งมนุษยชาติได้เช่นกัน และติดตามราชาซอมบี้อย่างซื่อสัตย์และภักดี ทำสิ่งต่างๆ เพื่อราชาซอมบี้ ในสายตาของมนุษยชาตินั้น เขาก็คือ ผู้ทรยศต่อมนุษยชาตินั่นเอง

มู่อี้ฟานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เขาหาจวงจือเยว่ไม่พบ แต่กลับพบเจิ้งกั๋วจงและลูกชายของเขา มันช่างเป็นผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดจริงๆ

จู่ๆ ตะเกียบในมือของเจิ้งกั๋วจงก็หล่นลงบนโต๊ะ และมองไปที่มู่อี้ฟานด้วยสีหน้าตกใจ คะ...คุณรู้ได้ไง หรือว่าคุณก็มาจากสถาบันวิจัยแห่งชาติเหรอ

มู่อี้ฟานไม่ได้ตอบคำพูดของเขา แค่กล่าวว่า คุณไม่จำเป็นต้องให้เจียหมิงสวมหน้ากากอนามัย ตอนนี้ประเทศไม่มีเวลาไปสนใจเบาะแสของเขาหรอก และจะไม่ส่งใครมาจับเขากลับไปอีกด้วย

เจิ้งกั๋วจงยังไม่สบายใจ แต่...

ก่อนที่เขาจะพูดจบ ก็มีเสียงปึงปังโครมครามดังลั่นมาจากชั้นบน

ดวงตาของเจิ้งกั๋วจงมืดมนลง เมื่อไรเจียหมิงจะควบคุมไม่ให้กินเนื้อมนุษย์ได้เต็มร้อยครับ

มู่อี้ฟานกล่าวว่า เขาหิวมานานเกินไป ถ้ายังเป็นแบบนี้อีกต่อไป คนในหมู่บ้านจะพบความผิดปกติของที่นี่ แถมถ้าหิวนานจนเกินไป พอถึงเวลานั้น เขาจะไม่รู้จักคุณ และจะกัดคุณด้วยซ้ำ

เจิ้งกั๋วจงถามอย่างเป็นกังวล ถ้าอย่างนั้น...ผมควรทำอย่างไร

มู่อี้ฟานจำได้ว่าเมื่อคืนนี้ซาซิมิมีผลอยู่นิดหน่อย เขาจึงพูดว่า คุณไปซื้อปลาไนมาสองตัวแล้วทำเป็นซาซิมิ ผมจะเอาไปให้เขาเอง

เจิ้งกั๋วจงไม่มีความสงสัยต่อเขา เขาจึงลุกขึ้นไปซื้อปลา

สิบนาทีต่อมา เขากลับมาพร้อมกับปลาสองตัว ทำซาซิมิหนึ่งจาน และขอให้มู่อี้ฟานนำขึ้นไปยังชั้นสอง

เมื่อมู่อี้ฟานมาถึงชั้นสอง เสียงดังโครมครามยิ่งดังลั่นขึ้นเรื่อยๆ เสียงร้องโหยหวนเช่นเดียวกับสัตว์ร้ายดังออกมาจากในห้อง ทำให้เจิ้งกั๋วจงที่เดินตามหลังมาเงียบๆ ได้ยินแล้วทั้งรู้สึกกังวลและรู้สึกเป็นทุกข์

เจิ้งเจียหมิงข้างในห้องจวนจะสูญเสียสติ ได้กลิ่นหอมของคนมีชีวิตที่ลอยอยู่นอกประตู ฉับพลันก็วิ่งไปที่ประตูและตบประตูแรงๆ เสียงดัง ปังๆ

ชั่วขณะที่ประตูถูกเปิดโดยใครบางคน เขาก็รีบพุ่งออกมา แต่กลับชนกับมู่อี้ฟานซึ่งเข้ามาพร้อมกับซาซิมิ ด้วยเหตุผลบางอย่าง จู่ๆ คนตรงหน้านี้ก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก

ขณะที่มู่อี้ฟานเดินเข้าไปทีละก้าว เจิ้งเจียหมิงก็ก้าวถอยกลับเข้าห้องทีละก้าวเช่นกัน จนกระทั่งล้มตัวลงนอนบนเตียง

มู่อี้ฟานยื่นซาซิมิไปข้างหน้าเขา นี่คือซาซิมิ แม้ว่ามันจะอร่อยไม่เท่าเนื้อมนุษย์ที่มีชีวิต แต่อย่างน้อยก็ทำให้นายได้สติขึ้นมาบ้าง

เจิ้งเจียหมิงมองเขาแล้วมองไปที่ซาซิมิ เขารีบรับจานมา หยิบซาซิมิยัดเข้าปาก เมื่อเขากินไปพอประมาณแล้วก็ค่อยๆ หยุดชะงักลง เขามองมู่อี้ฟานแล้วอ้าปาก ส่งเสียงออกมาจากปากอย่างยากลำบาก ขะ...ขอบคุณ

มู่อี้ฟานอึ้ง คะ...คุณพูดได้แล้วนี่

เจิ้งเจียหมิงเองก็ตะลึงไปชั่วขณะ ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะพูดได้แล้ว

เจิ้งกั๋วจงที่แอบมองซ่อนตัวอยู่นอกห้องร้องไห้ด้วยความปลาบปลื้ม และวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้น เจียหมิง เจียหมิง ลูกพูดได้แล้ว

เจิ้งเจียหมิงมองไปทางเจิ้งกั๋วจงที่ประตู เรียกเสียงแหบว่า พ่อ

เจิ้งกั๋วจงตอบรับด้วยความตื่นเต้น อยากจะพุ่งเข้าไปกอดลูกชาย แต่มู่อี้ฟานห้ามไว้เสียก่อน หมอเถื่อน คุณควรมองอยู่ข้างนอกก่อนจะดีกว่า

เจิ้งกั๋วจงชะงักฝีเท้า ปาดน้ำตา และพยักหน้าอย่างสุขใจ โอเค

ตั้งแต่ภรรยาของเขาเสียชีวิต เขาก็ไม่มีความสุขเท่าวันนี้มาหลายวันแล้ว

เจิ้งเจียหมิงมองไปที่มู่อี้ฟาน เขาคิ้วขมวดและถามอย่างยากลำบากว่า มะ...เมื่อกี้ ตะ...ตอนคุณขะ...เข้ามา จะ...จู่ๆ คุณก็ทำให้ผะ...ผมกลัวมาก มะ...ไม่กล้าขัดขืน ทะ...ทำไมถึงเป็นแบบนี้

ดวงตาของมู่อี้ฟานงุนงง ฉันทำให้นายรู้สึกกลัวเหรอ

ในไม่ช้าเขาก็เข้าใจว่าทำไมถึงเกิดเรื่องนี้ขึ้น สาเหตุน่าจะเพราะระดับฉันสูงกว่าคุณมั้ง

หากเจิ้งเจียหมิงไม่ได้เอ่ยถึง เขาคงจะลืมไปแล้วว่าซอมบี้ที่มีระดับสูงกว่าจะสามารถควบคุมซอมบี้ที่มีระดับต่ำกว่าได้

เจิ้งเจียหมิงดูสับสน ระดับ?”

มู่อี้ฟานก็อธิบายรายละเอียดไม่ได้มากนัก คุณจะรู้เองในอนาคต ตอนนี้คุณยังออกไปไหนไม่ได้ รออีกสองสามวันพูดได้คล่อง ควบคุมตัวเองได้จริงๆ ค่อยออกไปข้างนอกนะ

เจิ้งเจียหมิงพยักหน้า

ในคืนนั้น เจิ้งกั๋วจงแสนจะมีความสุข และทำอาหารโต๊ะใหญ่เพื่อเฉลิมฉลอง

และไม่ว่ามู่อี้ฟานจะชอบกินหรือว่ากินได้ไหม แม้จะยืนกรานให้เขากินไม่กี่คำก็ต้องปล่อยเขาไป

เจิ้งกั๋วจงเห็นว่ามู่อี้ฟานกินอาหารปรุงสุกก็เหมือนกำลังกินสิ่งปฏิกูล ทั้งใบหน้ายับย่น และท่าทางแทบอาเจียนออกมาก็รู้สึกตลกสุดๆ

ในขณะนี้ มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จากนั้นก็มีคนถามว่า ลุงเจิ้ง ทีวีของบ้านคุณรับสัญญาณได้ไหม

เจิ้งกั๋วจงลุกขึ้นเดินออกไปเปิดประตู บ้านฉันไม่มีทีวี เลยไม่รู้ว่าจะรับสัญญาณได้หรือเปล่า โทรทัศน์บ้านคุณดูทีวีไม่ได้เหรอ

ใช่แล้ว อยู่ๆ จอโทรทัศน์ก็เป็นสีขาว

สิ้นคำจากชายหน้าประตู บ้านหลายหลังบริเวณใกล้เคียงก็วิ่งออกมาถามว่าดูทีวีได้ไหม บางคนหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร.หาสถานีโทรทัศน์โดยตรง โดยไม่คาดคิดว่าโทรศัพท์มือถือก็ไม่มีสัญญาณ

คนในหมู่บ้านรู้สึกว่ามันแปลกๆ โทรทัศน์ไม่มีสัญญาณก็ช่างเถอะ ทำไมโทรศัพท์ก็ไม่มีสัญญาณด้วยล่ะ

ทันใดนั้นหมู่บ้านก็เกิดเสียงดังเซ็งแซ่

เจิ้งกั๋วจงกลับเข้าห้องนั่งเล่น แล้วเล่าเรื่องโทรทัศน์และโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณกับมู่อี้ฟาน

มู่อี้ฟานรู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว และไม่คิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุใดๆ

ต่อจากนั้น ห้องนั่งเล่นก็มืดลงทันที

เสียงเจี๊ยวจ๊าวข้างนอกยิ่งดังกว่าเก่า เกิดอะไรขึ้น ทำไมไฟฟ้าถึงดับล่ะ

มู่อี้ฟานยืนขึ้นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาส่องแล้วเดินตามเจิ้งกั๋วจงออกจากประตูเพื่อดูสถานการณ์

ข้างนอกมืดสนิท คนในหมู่บ้านกลุ่มใหญ่ยืนหารือกันอยู่กลางถนน

จู่ๆ ไม่มีโทรทัศน์ให้ดู มันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไร แต่ถ้าไม่มีไฟฟ้า ทุกคนกลับปรับตัวได้ยาก

เจิ้งกั๋วจงเห็นความยุ่งเหยิงข้างนอกจึงกระซิบข้างหูของมู่อี้ฟานว่า คุณมู่ คุณรู้ไหมว่าทำไมทีวีและโทรศัพท์มือถือถึงไม่มีสัญญาณ แม้แต่ไฟฟ้าก็ดับ

มู่อี้ฟานพูดอย่างขบขัน หมอเถื่อน คุณถามแบบนี้เหมือนผมรู้เรื่องวงในเลยนะ

ผมก็แค่รู้สึกว่าคุณรู้มากแค่นั้นเอง ฉะนั้นผมจึงถามว่าคุณรู้เรื่องพวกนี้ไหมน่ะ

มู่อี้ฟานอ้าปากค้าง ขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เงาสีดำก็เข้ามาและตะโกนว่า ลุงเจิ้ง

เจิ้งกั๋วจงจำได้ว่าคนที่มาคือ จางเล่อ ลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านเหล่าจาง จึงยิ้มตาหยีถามว่า เสี่ยวจางมีอะไรเหรอ

จางเล่อหยิบกล่องเก็บของสดออกมาและส่งให้เจิ้งกั๋วจง มีผู้ชายคนหนึ่งขอให้ผมมอบสิ่งนี้ให้กับคุณมู่ แขกที่อาศัยอยู่ในบ้านของคุณ

ให้ฉัน?”

มู่อี้ฟานตะลึง รับกล่องเก็บของสดในมือเขามา จากนั้นใช้โทรศัพท์มือถือส่อง และพบว่าในนั้นเต็มไปด้วยซาซิมิทั้งหมด

มิหนำซ้ำ บนนั้นยังมีกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งเขียนไว้ว่า ไปเมือง G’


 

บทที่ 80 ค่อยหาคนที่ดีกว่าเขา

แวบแรกมู่อี้ฟานคิดถึงพี่ชายเมื่อคืนก่อนที่เป็นเป็นคนส่งซาซิมิให้เขา ไม่อย่างนั้นใครจะรู้ว่าเขาอยากกินซาซิมิ แน่นอนว่ายกเว้นเจิ้งกั๋วจง

แค่เขาทำตัวไร้ญาติขาดมิตรกับผู้ชายคนนั้น เพราะอะไรถึงส่งซาซิมิให้เขา แล้วทำไมเขาถึงบอกให้เขาไปเมือง G ด้วยล่ะ

เขาถามว่า เสี่ยวจาง ผู้ชายที่ส่งของมาให้ฉันเป็นคนในหมู่บ้านเหรอ

จางเล่อเล่าว่า ชายคนนั้นตัวสูงมาก บนหัวสวมหมวกฟางใบใหญ่ ปีกหมวกบังหน้าเขาเกือบครึ่ง แถมตอนนั้นอยู่ข้างถนน แสงไฟสลัวมาก เขาหันหลังให้กับแสงไฟ ผมมองเห็นหน้าตาเขาไม่ชัดนัก แต่ผมมั่นใจอย่างหนึ่ง เขาไม่ใช่คนในหมู่บ้าน

เจิ้งกั๋วจงถาม เธอไม่เห็นด้วยซ้ำว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร เธอรู้ได้ยังไงว่าเขาไม่ใช่คนในหมู่บ้านน่ะ

จางเล่อย้อน ในหมู่บ้านเราไม่มีใครสวมบูตหนัง

เจิ้งกั๋วจงลูบหัวของเขา เด็กดี เธอเองก็ระวังตัวหน่อยนะ"

มู่อี้ฟานเอ่ยขอบคุณจางเล่อและกลับไปที่ห้องนั่งเล่น เปิดกล่องเก็บของสด กลิ่นหอมเป็นพิเศษก็ลอยมาเตะจมูก ซึ่งไม่ต่างจากที่เขาได้กลิ่นเนื้อมนุษย์เลย

เขาอดจะหยิบตะเกียบบนโต๊ะขึ้นมาไม่ได้จริงๆ รีบคีบซาซิมิยัดเข้าปาก

เจิ้งกั๋วจงกลับมาที่ห้องนั่งเล่น เห็นมู่อี้ฟานกินอย่างออกรสก็ถามว่า เพื่อนคุณส่งมาอย่างนั้นเหรอ

มู่อี้ฟานส่ายหัวขณะที่กิน ผมก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร หมอเถื่อน คุณรีบเอาชามมาเก็บไว้ให้เจียหมิงเลย ไม่อย่างนั้นผมจะกินหมดแล้วนะ

เขาหยุดกินไม่ได้จริงๆ นะ คิดดูสิว่าเขาไม่ได้กินอาหารดีๆ แบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว โชคดีที่อีกฝ่ายเตรียมกล่องใหญ่มา

เจิ้งกั๋วจงลังเล นี่เป็นของที่คนอื่นให้คุณนี่ครับ

มู่อี้ฟานพูดว่า ส่งให้เหล่าจือก็เป็นของเหล่าจือสิ เหล่าจือจะแบ่งให้เจียหมิงบ้างจะเป็นไร แถมนี่น่ะเป็นของดี หลังผมกินแล้วก็ไม่รู้สึกหิว เหมือนกินเนื้อมนุษย์มีชีวิตเลยล่ะ

เจิ้งกั๋วจงได้ยินว่าหยุดความหิวได้ เขาจึงรีบไปที่ห้องครัว และหยิบชามที่สะอาดออกมา ขณะที่คีบก็พูดไปด้วยว่า คุณบอกว่ามันเหมือนเนื้อมนุษย์มีชีวิต อาจจะทำจากเนื้อมนุษย์มีชีวิตก็ได้นะ

ไม่ใช่ ผมยังกินได้แบบนี้ ต้องเป็นซาซิมิแน่นอน"

มู่อี้ฟานยิ่งกินยิ่งรู้สึกสบายตัวมากขึ้น เหมือนจู่ๆ ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยกำลัง ทำให้ทั่วร่างเขามีความสุข

จู่ๆ เขาก็นึกถึงบางอย่างได้ และหยุดตะเกียบทันที

สามารถทำซาซิมิให้เหมือนเนื้อมนุษย์มีชีวิตได้ และมีผลทำให้เขาไม่รู้สึกหิวอีกต่อไป นอกจากน้ำพุวิญญาณในมิติของจ้านเป่ยเทียน เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีใครในโลกนี้ที่สามารถทำซาซิมิให้อร่อยแบบนี้

แต่...

ดวงตามู่อี้ฟานมืดมนลงเมื่อนึกถึงวันที่เขาอยู่ที่บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป

จ้านเป่ยเทียนรู้แล้วว่าเขาก็คือ มู่อี้ฟาน ตอนนี้แทบจะรอไม่ไหวที่จะเชือดเขาเดี๋ยวนี้เลย แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะหยิบของจากในมิติมาให้เขากิน และจ้านเป่ยเทียนรู้ได้อย่างไรว่าเขาอยู่หมู่บ้านสุ่ย

แล้วถ้าไม่ใช่เขา ใครกันจะมีความสามารถแบบนี้ได้ล่ะ

เจิ้งกั๋วจงเห็นมู่อี้ฟานหยุดตะเกียบ ใบหน้าหม่นหมอง เขาก็ถามอย่างเป็นห่วงทันที คุณมู่ เป็นอะไรเหรอครับ ซาซิมิมีปัญหาอะไรหรือเปล่า

มู่อี้ฟานส่ายหัว ไม่มีอะไรหรอก จู่ๆ ผมก็แค่คิดถึงเพื่อนคนหนึ่งของผมน่ะ

เขาวางตะเกียบลง พลันหมดความอยากอาหาร

เจิ้งกั๋วจงถามว่า เพื่อนของคุณ? ใช่คนที่พาคุณไปโรงพยาบาลครั้งที่แล้วหรือเปล่า

ชายหนุ่มคนนั้นหน้าตาดีทีเดียว

เป็นเขานั่นแหละ ความสัมพันธ์ของผมกับเขาดีมาก

แต่หมายถึงความสัมพันธ์อันดีกับจ้านเป่ยเทียนในชีวิตจริงอะนะ ส่วนจ้านเป่ยเทียนในนิยายน่ะเหรอ บางทีไม่คบกันจริงจังกับเขาจะดีกว่า

เจิ้งกั๋วจงพยักหน้า ผมรู้ครับ

ถ้าความสัมพันธ์ไม่ดี ก็จะไม่มีเซ็กซ์กัน นับประสาอะไรกับการมีลูก

แต่ตอนนี้พวกเรา...มู่อี้ฟานคิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกเศร้า แต่คงจะดีไม่น้อยถ้ามีคนคอยบ่นเขา

เจิ้งกั๋วจงตบบ่าเขา อย่าเสียใจไปเลยครับ เลิกก็เลิกกันแล้ว ในอนาคตค่อยหาคนที่ดีกว่าเขาเถอะครับ

มู่อี้ฟานอึ้ง ฮะ?”

ทำไมรู้สึกว่าเขาอยู่คนละช่องกับหมอเถื่อนนะ

เพื่อไม่ให้เขาเสียใจ เจิ้งกั๋วจงจึงหันเหความสนใจของเขา และยื่นชามให้เขา ผมใส่ซาซิมิไว้ให้แล้ว คุณไปส่งแทนผมเถอะ

โอ้มู่อี้ฟานหยิบชามและกล่องเก็บความสดขึ้นมาไปยังห้องชั้นสองแล้วปิดประตู

เจิ้งเจียหมิงพอได้กลิ่นหอมก็เดินเข้ามา และถามว่า นะ...นี่อะไร

ซาซิมิมู่อี้ฟานวางชามลงบนโต๊ะ จากนั้นยื่นตะเกียบคู่หนึ่งให้เจิ้งเจียหมิง ลองชิมดูสิ

เจิ้งเจียหมิงไม่คิดอะไรด้วยซ้ำ เขาคีบชิ้นหนึ่งขึ้นมาแล้วส่งเข้าปากโดยตรง

เป็นไงบ้าง อร่อยไหมมู่อี้ฟานถามทันที

เจิ้งเจียหมิงพยักหน้า เหมือนว่าหลังกินเข้าไปแล้ว จะไม่รู้สึกหิวและทรมานอีกเลย น่าแปลกจริงๆ เป็นซาซิมิเหมือนกันชัดๆ ทำไมมันถึงต่างกับอันที่กินเมื่อเช้านี้ล่ะ

มู่อี้ฟานยิ้มว่า ฉันคิดว่าหลังคุณกินมันแล้ว คุณดูจะพูดชัดขึ้นนะ

กล่าวได้ว่า เขารู้จักเจิ้งเจียหมิงมาหลายวันแล้ว วันนี้ยังเป็นครั้งแรกที่เห็นเขาแสดงสีหน้าออกมา หน้าตานับว่าไม่หล่อเหลา แต่ดวงตาเรียวยาวนั้นพิเศษมาก มีกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งน่าดึงดูดผู้คน จริงเหรอเจิ้งเจียหมิงพูดสองสามคำได้สบาย และเขารู้สึกว่ามันพูดไม่ยากอีกต่อไป

มู่อี้ฟานรอให้เขากินจนเกือบหมดค่อยพูดว่า เจียหมิง มีเรื่องที่ฉันต้องบอกคุณล่ะ

อะไรเหรอเจิ้งเจียหมิงวางตะเกียบลงและตั้งใจฟัง นี่เป็นการแสดงการให้เกียรติต่อผู้อื่น

ถ้าเราอยากจัดการเรื่องกินเนื้อมนุษย์ เราจะอยู่ในหมู่บ้านสุ่ยต่อไปไม่ได้แล้ว แถมการซ่อนตัวอยู่ที่นี่มีแต่จะทำให้เราอ่อนแอลงเรื่อยๆ กระทั่งถูกมนุษย์คนอื่นฆ่า หรือถูกซอมบี้ตัวอื่นๆ ควบคุมอีกด้วย

เดิมทีมู่อี้ฟานคิดว่าจะรอเจ็ดวันแรก[1] ของแม่เจิ้งเจียหมิงผ่านไปแล้วค่อยบอก แต่หลังจากอ่านโน้ตเมื่อครู่นี้ เขาคิดว่าสามารถบอกเจิ้งเจียหมิงไว้ล่วงหน้าได้แล้ว เพื่อที่จะให้เขามีเวลาคิดเรื่องนี้ หลังจากเจ็ดวันแรกผ่านไปก็สามารถออกจากหมู่บ้านสุ่ยได้เลย

พอเจิ้งเจียหมิงได้ยินคำว่าควบคุมสองคำ แววตาก็มืดครึ้มลง เขาพลอยนึกถึงวันคืนอันน่าสังเวชตอนที่อยู่สถาบันวิจัยแห่งชาติ

คุณคิดจะทำอย่างไร

มู่อี้ฟานรู้ว่าเจิ้งเจียหมิงรับปากว่าจะจากไปแล้ว เขาจึงพูดว่า เรื่องนี้รอให้เจ็ดวันแรกของแม่คุณผ่านไปก่อนนะค่อยบอก แต่ก่อนหน้านั้นคุณต้องปรึกษากับพ่อคุณให้ดี

โอเค

อีกสองวันจะเป็นวันที่เจ็ดของแม่เจิ้งเจียหมิง ในช่วงเวลานี้ ทุกคนยังไม่ชินกับวันคืนที่ไร้ไฟฟ้า และแทบจะไม่ได้ออกไปข้างนอกกันเลย จึงไม่รู้ว่าในเมืองด้านนั้นเกิดอะไรขึ้น พวกเขายังคิดว่าตราบใดที่สายไฟในเมืองได้รับการซ่อมแซม ไฟก็จะมาเอง ดังนั้น จึงรอคอยอยู่ตลอด

นอกจากนี้ ทุกวันเวลาประมาณสองทุ่ม มู่อี้ฟานจะได้รับซาซิมิที่จางเล่อส่งมา แถมยังเป็นซาซิมิสดใหม่ด้วย

เพราะฉะนั้นเขาจึงอยากรู้มากว่าใครเป็นคนใจดีส่งซาซิมิให้เขาประทังหิว ดังนั้น เขาจึงแอบวิ่งไปซุ่มในพงหญ้าแถวๆ ทางเข้าบ้านของจางเล่อ

อย่างไรก็ตาม เขารอจนถึงสองทุ่มก็ยังไม่เห็นใครคนนั้นปรากฏตัว กลับเจอสุนัขหมาป่าดุร้ายตัวหนึ่งเห่ากระโชก แล้ววิ่งไล่กวดเขาไปตลอดทาง และเกือบจะกัดก้นเขาหลายครั้ง

จนกระทั่งเขากลับมาถึงบ้านของเจิ้งกั๋วจง เขาก็ปิดประตูดังปัง ถึงจะหยุดการไล่ล่าจากสุนัขหมาป่าดุร้ายได้

สุนัขหมาป่าฉลาดมาก รู้ว่าเข้าไปไม่ได้ก็เห่าสองครั้งแล้ววิ่งหนีไป

มู่อี้ฟานถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยังไม่ทันเข้าห้องนั่งเล่นก็ได้ยินเสียงใครตะโกนอยู่ข้างนอก คุณมู่ ผมมาส่งซาซิมิให้คุณแล้วครับ

แม่งเอ้ย!

ทำไมชายคนนั้นถึงส่งซาซิมิมาให้หลังจากเขากลับมาแล้วกันนะ

มู่อี้ฟานเปิดประตูอย่างหดหู่ และเห็นเพียงจางเล่อกล่าวอย่างยินดีในหายนะของผู้อื่น คุณมู่ คุณผู้ชายส่งซาซิมิคนนั้นฝากผมมาบอกคุณว่า การแอบซ่อนอยู่ในพงหญ้า มันง่ายต่อการถูกสุนัขไล่กัดนะครับ

มู่อี้ฟาน “...”

ให้ตายสิ

คนคนนั้นต้องรู้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้านานแล้วแน่ เขาจึงได้ไม่ปรากฏตัว

มู่อี้ฟานรับซาซิมิพลางพูดว่า นายบอกเขาด้วยว่า พรุ่งนี้ไม่ต้องส่งซาซิมิมาแล้ว แล้วก็ฝากกล่าวขอบคุณเขาแทนฉันด้วยนะ

จางเล่อถาม คุณจะไปจากที่นี่หรือครับ

อืม

จางเล่อก็ไม่ได้ถามมากความ จึงขอตัวแล้วจากไป

ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เจิ้งกั๋วจงและเจิ้งเจียหมิงขึ้นรถพร้อมกับมู่อี้ฟาน และออกจากหมู่บ้านสุ่ย

สำหรับหมู่บ้านสุ่ย พวกเขาก็ไม่มีอะไรให้ลังเลใจ อย่างไรพวกเขาก็อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่มาหลายปี และเจิ้งกั๋วจงคิดว่าลูกชายของเขาอยู่ที่ไหน เขาก็ควรอยู่ที่นั่นเช่นกัน ดังนั้น ตอนเจิ้งเจียหมิงบอกจะออกจากหมู่บ้านสุ่ย เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรและยอมตามไป

เมื่อพวกเขาออกห่างหมู่บ้านสุ่ยมาสิบกิโลเมตร พวกเขาก็เริ่มเห็นซอมบี้เดินช้าๆ อยู่บนถนน

พอซอมบี้กลุ่มนั้นเห็นรถของพวกเขาก็จะพุ่งเข้ามาอย่างดุร้าย ซอมบี้หลายตัวต่างถูกมู่อี้ฟานชนจนกระเด็นไปข้างถนน

เจิ้งกั๋วจงตะโกนครั้งแล้วครั้งเล่า ชนคนตาย ชนคนตายแล้ว

เจิ้งเจียหมิงกล่าวอย่างรวดเร็ว พ่อ พวกมันไม่โดนชนตายง่ายๆ หรอกครับ

ถ้าไม่มีเจิ้งกั๋วจงอยู่ด้วย ซอมบี้พวกนั้นจะไม่เข้าใกล้รถของพวกเขา

เจิ้งกั๋วจงเหลียวหลังไปดู เห็นคนที่ถูกชนกระเด็น จู่ๆ ก็คลานขึ้นมาอีกครั้ง

เขาเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว โอ้พระเจ้า พวกเขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า

เจิ้งเจียหมิงและมู่อี้ฟานเงียบกริบ




[1] พิธีงานศพ ซึ่งเชื่อว่าวิญญาณคนตายจะกลับบ้านภายในเจ็ดวัน ครอบครัวจะต้องเตรียมอาหารให้พร้อมก่อนวิญญาณผู้ตายจะมา


 

บทที่ 81 เผชิญหน้ากับพระเอกอีกครั้ง

หลังขับรถเข้าสู่เมือง G ซึ่งเหมือนถูกพายุไต้ฝุ่นระดับสิบสองพัดถล่ม ทำให้เจิ้งกั๋วจงและลูกชายมองอยู่เนิ่นนาน สติก็ยังไม่กลับเข้าร่าง

มหานครที่แต่เดิมเคยเจริญรุ่งเรืองในยุคนี้ กลับตกอยู่ในความยุ่งเหยิง ไม่เพียงมีรถทุกประเภททุกขนาดจอดอย่างระเนระนาดเท่านั้น แต่ยังมีศพถูกกัดตายไปทั่วทุกที่ด้วย รวมทั้งขยะมากมายซึ่งไร้คนมาทำความสะอาด

ถนนที่เคยคึกคักและพลุกพล่าน มาตอนนี้กลับเปลี่ยวร้างวังเวง ไร้คนมีชีวิตบนถนน มีเพียงแค่ซอมบี้ที่เป็นศพเดินได้เดินไปเดินมาอยู่บนถนนอย่างไร้จุดหมายเท่านั้น ทำให้เมือง G ทั้งเมืองดูเหมือนเมืองที่ถูกทิ้งร้างมานานหลายปี

นะ...นี่ พวกเราจากไปไม่กี่วัน เมือง G กลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรเจิ้งกั๋วจงเกาะขอบหน้าต่างมองทุกอย่างที่อยู่ภายนอกอย่างเหลือเชื่อ

เขาเกือบจะคิดว่าตัวเองมาผิดที่ หรือทะลุมา เมืองผีสักแห่ง

เจิ้งเจียหมิงเองก็คิดไม่ถึงว่าการติดเชื้อไวรัสจะรุนแรงขนาดนี้ การหลบหนีจากสถาบันวิจัยแห่งชาติของเขาก็เป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้ว ไม่นึกไม่ฝันว่าเมือง G จะกลายเป็นเมืองผีได้

ไม่รู้ว่าเมืองอื่นจะเหมือนอย่างเมือง G ที่มีซอมบี้เต็มไปหมดทุกหัวระแหงเช่นนี้ไหม

แม้มู่อี้ฟานจะรู้มาก่อนว่าเมือง G จะกลายเป็นแบบนี้ แต่ความตกตะลึงในใจก็ไม่น้อยไปกว่าพ่อลูกเจิ้งกั๋วจงเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นฉากแบบนี้ ราวกับว่าโลกทั้งใบเหลือเขากับพ่อลูกตระกูลเจิ้งแค่สองคนเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น ซอมบี้ในปัจจุบันยังน่าขยะแขยงมากกว่าซอมบี้ที่เห็นเมื่อเจ็ดวันก่อนเสียอีก ตอนนี้ซอมบี้ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นหน้าดำอมเขียว ลูกตาเหลือกขาว ริมฝีปากดำอมม่วง แถมบนตัวของพวกเขาไม่ใช่ใบหน้าถูกกัดก็เป็นร่างกายที่ถูกกัด เนื้อเน่าเกือบทั้งตัว และมีกลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียนออกมา

และเนื่องจากพวกมันต่อสู้ดิ้นรนก่อนตาย เสื้อผ้าบนตัวจึงเก่า ขาดรุ่งริ่ง และเปื้อนคราบเลือดแห้งกรังมาเป็นเวลานาน

มู่อี้ฟานเห็นซอมบี้ค่อยๆ ล้อมเข้ามาใกล้พวกเขา ก็เร่งความเร็วรถทันที และมุ่งหน้าไปที่ใจกลางเมือง พวกเราจะไปหาของกินที่ซูเปอร์มาร์เก็ตก่อน จะปล่อยให้หมอเถื่อนท้องหิวไม่ได้

แม้ว่าตอนที่พวกเขาออกมาจากหมู่บ้านสุ่ยจะนำข้าวสองกระสอบและผักผลไม้บางส่วนมาด้วย แต่ผักและผลไม้ก็เพียงพอให้เจิ้งกั๋วจงกินได้อีกเพียงแค่สองวัน

เจิ้งเจียหมิงที่สติกลับมาแล้วพยักหน้า

มู่อี้ฟานขับรถมาถึงซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆ

เมื่อพวกเขาลงจากรถ พวกเขาก็เห็นซอมบี้สองสามตัวย่อตัวแบ่งปันศพที่เพิ่งตายไม่นานที่ประตูซูเปอร์มาร์เก็ต

มู่อี้ฟานเห็นซอมบี้ดึงลำไส้ออกจากศพ และกองอุจจาระก็หลุดออกจากลำไส้ แต่ซอมบี้ไม่สนใจยัดลำไส้เข้าปากทั้งอย่างนั้น

เห็นฉากนี้ เขาแทบขย้อนซาซิมิที่กินเข้าไปเมื่อคืนออกมา

เจิ้งเจียหมิงเห็นเขาปิดปากตลอด ทำท่าจะอ้วกแต่ก็ไม่อ้วก จึงถามอย่างสงสัยว่า คุณไม่เคยกินเนื้อมนุษย์หรือ

มู่อี้ฟานส่ายหัวแรงๆ ไม่เคย

เจิ้งเจียหมิงเหม่อ พูดอย่างเยือกเย็นว่า แม้จะไม่รู้ว่าคุณผ่านมันมาได้อย่างไร แต่ขอขอบคุณคุณมากที่ไม่เคยกินเนื้อมนุษย์

ตอนเขากินเนื้อมนุษย์ครั้งแรก ไม่รู้ว่าเจ็บปวดแค่ไหน

เนื่องจากตอนนั้นมีสติ แต่กลับควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ ตอนยัดเนื้อเพื่อนร่วมงานเข้าปากทีละคำ ก็รู้สึกอร่อยมากและเศร้ามาก

แต่หลังจากเข้ารับการวิจัยจากคนของสถาบันวิจัยแห่งชาติ นอกจากพ่อของเขาแล้ว เขาแทบจะอดใจไม่ไหว ฉีกมนุษย์ทุกคนเป็นชิ้นๆ เลย

เขาในตอนนี้ไม่สามารถมีความเห็นใจต่อมนุษย์ได้อีกต่อไปแล้ว

เจิ้งกั๋วจงตบบ่าลูกชายอย่างปวดใจ มันผ่านไปแล้ว อย่าคิดมากเลยนะ

มู่อี้ฟานกวาดมองซอมบี้ที่พร้อมจู่โจมรอบๆ ตัว และกล่าวว่า พวกเรารีบเข้าไปเร็วเข้า หยิบของที่มีประโยชน์และออกไป เดี๋ยวฉันจะเป็นคนนำ หมอเถื่อนอยู่ตรงกลาง ส่วนเจียหมิงตามหลังนะ

ที่เขากล้าบ้าบิ่นพุ่งไปข้างหน้าขนาดนี้ มันเป็นเพราะตัวเองคือซอมบี้ ไม่กลัวซอมบี้ตัวอื่นจะมากัดเขา

เจิ้งกั๋วจงและเจิ้งเจียหมิงพยักหน้า

ทั้งสามรีบวิ่งเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต และเห็นชั้นแรกที่ขายผักและผลไม้ถูกกวาดหายไปหมด และมีเพียงผลไม้และเศษผักไม่กี่ใบหล่นบนพื้น นอกจากนี้ยังมีฝูงซอมบี้ที่ถูกคนกำจัดด้วย

มู่อี้ฟานขมวดคิ้ว น่าจะมีคนผ่านมาตรงนี้

แล้วเราจะต้องขึ้นไปไหม

ขึ้นสิ ข้างบนยังมีโซนอาหารและโซนเครื่องใช้ในบ้าน ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะพบของใช้ในชีวิตประจำวันที่มีประโยชน์ เช่น ไฟฉาย และอื่นๆ ในนั้นก็ได้

มู่อี้ฟานลากรถเข็นประเดิมนำ ใช้โทรศัพท์มือถือส่องทางข้างหน้า และเดินไปทางชั้นสอง ระหว่างทางพยายามหลบหลีกซากศพของซอมบี้อย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่ตายไม่สนิทข่วนเจิ้งกั๋วจงกะทันหัน

ทั้งสามคนเพิ่งขึ้นมาถึงชั้นสองก็ได้ยินเสียงคนจากข้างบน บอส อาหารทั้งหมดบนชั้นสอง ไม่ว่าบอสจะกินหรือไม่กิน พวกเราก็เก็บพวกมันทั้งหมดลงในถุงแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ชั้นสามเท่านั้นที่ยังไม่ได้ไป ว่ากันว่าซอมบี้บนนั้นเยอะมาก แถมยังมีคนติดอยู่บนนั้น บอสว่าพวกเราต้องขึ้นไปช่วยพวกเขาไหมครับ

มู่อี้ฟานรู้สึกว่าเสียงของอีกฝ่ายคุ้นเคยมาก ผ่านไปสักพักก็นึกไม่ออกว่าเป็นใคร

อย่างไรก็ตาม โชคดีที่เจิ้งกั๋วจงอยู่กับพวกเขา จึงดึงซอมบี้เหล่านั้นมาได้ ด้วยวิธีนี้จะไม่มีคนอื่นพบว่าเขาและเจิ้งเจียหมิงก็เป็นซอมบี้เช่นเดียวกัน

มีคนเจิ้งเจียหมิงกระซิบบอก

มู่อี้ฟานเข็นรถเข็นพร้อมใช้โทรศัพท์มือถือส่องข้างหน้าแล้วพูดว่า ตอนนี้พวกเราดูเหมือนคนปกติ ไม่ต้องกลัวใคร หรืออะไรทั้งนั้น ดังนั้น ไม่ต้องกังวล...

ก่อนที่เขาจะพูดจบ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ส่องเจอคนกลุ่มใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา แถมแต่ละคน เขาก็รู้จักทั้งหมด และหนึ่งในนั้นที่ยืนอยู่หน้าสุดก็คือพระเอก คนที่เขาหลีกเลี่ยงมากที่สุดเพราะความกลัวนั่นเอง

ผะ...ผี หนีเร็วอ๊าก~~~~”

มู่อี้ฟานลากรถเข็นวิ่งขึ้นชั้นสามอย่างรวดเร็ว

เชี่ย!

เพิ่งกลับถึงเมือง G ก็เผชิญหน้ากับพระเอกเลยเรอะ ต้องโชคชะตานำพาขนาดไหนวะเนี่ย

“...” เจิ้งกั๋วจงและเจิ้งเจียหมิงก็รีบวิ่งขึ้นไปชั้นสามพร้อมกับรถเข็น

จ้านเป่ยเทียนและคนอื่นๆ มองทั้งสามคนที่ไหลไปตามกันอย่างพูดไม่ออก “...”

เซี่ยงกั๋วพูดว่า ชายคนที่ถือโทรศัพท์อยู่ด้านหน้า ดูไปแล้วเหมือนมู่อี้ฟานเลย

เหมาอวี่ว่า ฉันก็ว่าเหมือน

ลู่หลิน ฉันด้วย

ซุนจื่อหาว ฉันก็ว่ามันคล้ายกันมาก

คนอื่นๆ ก็คิดแบบนั้น

จ้านเป่ยเทียน “...”

เซี่ยงกั๋วสงสัย แต่ไม่ใช่ว่ามู่อี้ฟานอยู่ในเมือง B ตอนนี้เหรอ แม้จะเป็นเขา ก็ไม่น่าจะมองเราเหมือนเห็นผีนะ แม้ชายอย่างเขาจะต้านรับศัตรูนับหมื่นอยู่เบื้องหน้าก็จะไม่คร่ำครวญสักคำ ไหนเลยจะตะโกนว่าผีเหมือนชายคนนั้นกัน

ถ้ามู่อี้ฟานไม่ได้ร้ายกาจและน่ารังเกียจจนเกินไปละก็ มู่อี้ฟานจะเป็นอีกคนที่ทำให้เขาชื่นชมนอกจากจ้านเป่ยเทียน อย่างไรก็ตาม ชายคนนี้ช่างโหดร้ายเกินไป แม้แต่ศัตรูก็กลัวในระดับหนึ่ง

ฉิบหายแล้ว พวกเขาวิ่งขึ้นไปที่ชั้นสามแล้ว บนนั้นมีซอมบี้อยู่ยั้วเยี้ยด้วยทันใดนั้นเหมาอวี่ก็จำเรื่องนี้ได้ และรีบตะโกนไปที่ชั้นสาม ทั้งสามคนเมื่อกี้น่ะ บนนั้นซอมบี้ตรึมนะ อันตรายมาก

ต่อจากนั้นข้างบนก็มีเสียงลงมา พวกนายดูอันตรายกว่าอีก อา แม่จ๋า พี่บี้ ~~~ เหล่าจือกลัวจะตายแล้ว รู้ไหม กลิ้งไปให้หมดเลยไป ~~~~~”

พวกเหมาอวี่ “...”

วินาทีต่อมา พวกเขาก็เห็นบอสผู้สงบเยือกเย็นใช้ความเร็วราวกับสายลมรีบวิ่งขึ้นไปที่ชั้นสาม พวกเขาอดที่จะอึ้งไม่ได้

เมื่อจ้านเป่ยเทียนวิ่งไปยังชั้นสาม ก็ยิงใส่ซอมบี้ที่วิ่งเข้ามาหาเขาหลายนัด หลังจากเห็นซอมบี้ทั้งหมดไม่กล้าเข้าใกล้พวกมู่อี้ฟาน กระทั่งถอยห่างออกไปห้าเมตรอย่างหวาดกลัว ก่อนจะหันกลับไปยังชั้นสอง และพูดกับพี่น้องที่กะจะพุ่งไปยังชั้นสามว่า ข้างบนมีซอมบี้เยอะมาก กลับไปเอาของที่รถก่อนค่อยว่ากัน

เซี่ยงกั๋วรีบถาม แล้วจะไม่ช่วยสามคนเมื่อกี้เหรอครับ แล้วผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ ล่ะครับ

จ้านเป่ยเทียนขมวดคิ้วแน่น คิดถึงสถานการณ์เมื่อครู่นี้ ก็พูดเรียบๆ ว่า พวกเขาจะออกมาเอง

เหมาอวี่และคนอื่นๆ แสดงความสงสัย แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา

——

บนชั้นสาม มู่อี้ฟานพาพ่อลูกตระกูลเจิ้งวิ่งไปยังสำนักงานแห่งหนึ่งก็พรูลมหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อกี้เหล่าจือกลัวแทบตายจริงๆ อย่างกับเข้าบ้านผีสิงแน่ะ

เขามัวแต่หลบเลี่ยงพระเอกโดยลืมไปว่าข้างหน้ามีซอมบี้รอพวกเขาอยู่ฝูงหนึ่ง จากนั้นเขาก็ถูกซอมบี้ที่โผล่มากะทันหันและต้องการตะครุบเจิ้งกั๋วจงพาเตลิด

ซอมบี้ตัวนั้นโคตรน่ารังเกียจจริงๆ หน้าเน่าทั้งหน้า ปากถูกซอมบี้กัดจนเผยฟันทั้งเขียวทั้งดำแถวหนึ่ง และดวงตาดำมืด มันน่ากลัวมากๆ โดยเฉพาะเมื่อเขาเอาโทรศัพท์ส่องมันยิ่งน่าสยอง

เขาเชื่อว่าไม่ว่าใครหน้าไหน ถ้าได้เจอซอมบี้โผล่พรวดก็สงบไม่ได้ขนาดนั้นหรอก

เจิ้งกั๋วจงตบหลังเขาปุๆ คุณโอเคดีไหมครับ

อันที่จริงเมื่อกี้เขาก็ตกใจเหมือนกัน เพียงแต่มีมู่อี้ฟานกันให้เขาเสียก่อน เขาจึงไม่ได้แหกปากออกไป

เจิ้งเจียหมิงกล่าวว่า ให้ฉันเดินนำหน้าเถอะ

มู่อี้ฟานโบกมือ ไม่เป็นไร เมื่อกี้ฉันตกใจเพราะคนกลุ่มนั้นจนเสียอาการน่ะ

เจิ้งเจียหมิงขมวดคิ้ว คนพวกนั้นเป็นใคร ทำไมคุณถึงต้องกลัวพวกเขาล่ะ


 

บทที่ 82 ยังคงร้ายกาจเหมือนเดิม

คำถามนี้ถามได้ดีมู่อี้ฟานก็ไม่กลัวที่จะบอกเจิ้งเจียหมิงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็จำเป็นต้องบอกเจิ้งเจียหมิงอยู่ดี เมื่อกี้คุณก็ได้เห็นไปแล้ว พวกเขามีอาวุธจริงในมือ เป็นทหารของประเทศ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เหตุผลหลักที่ฉันกลัวพวกเขา แต่หัวหน้าทีมของพวกเขารู้ว่าฉันเป็น...

เขาเหล่มองเจิ้งกั๋วจงซึ่งอยู่ข้างๆ รู้ว่าฉันเป็นนั่นแหละ เพราะอย่างนั้นเขาอาจดับฉันได้ทุกเมื่อ

เจิ้งเจียหมิง “...”

และที่สำคัญสุดๆ คือ ฉันยังเป็นศัตรูของเขาด้วย เมื่อกี้เขาไม่ได้เล็งปืนมาที่ฉัน แล้วเป่าหัวฉันกระจุยก็ดีแค่ไหนแล้ว

เจิ้งเจียหมิง “...”

เจิ้งกั๋วจงกล่าวว่า ถ้าผมดูไม่ผิด คนเมื่อครู่เป็นแฟนเก่าคุณไม่ใช่เหรอ

เจิ้งเจียหมิง “...”

มู่อี้ฟานกลอกตาอย่างอารมณ์เสีย แฟนเฟินอะไรล่ะ ควรจะเป็นเพื่อนผู้ชายสิ เพื่อนผู้ชายน่ะ เข้าใจไหม หมอเถื่อน คุณรู้ไหมว่าคำเพียงคำเดียว ความแตกต่างก็มากแล้วนะ

ครับๆๆ

เจิ้งกั๋วจงก็ไม่ทะเลาะกับเขาต่อ อย่างไรพวกเขาทั้งคู่ก็เลิกกันแล้ว เป็นแฟนก็ดี เป็นเพื่อนผู้ชายก็ช่าง มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาอยู่ดี

มู่อี้ฟานพูดต่อ อ้อ เขายังจำเจียหมิงได้ด้วยนะ เจียหมิง ในอนาคตคุณอย่าโง่พุ่งไปเจ๋อต่อหน้าเขาล่ะ ความสามารถของเขาไม่ใช่สิ่งที่นายจะจินตนาการได้

ในชีวิตก่อน พระเอกไม่เคยเจอเจิ้งกั๋วจงก็จริง แต่เขากลับเคยเจอเจิ้งเจียหมิง

เจิ้งเจียหมิงในฐานะแขนขวาของราชาซอมบี้ เขาก็ถูกพระเอกเหมารวมอยู่ในแบล็กลิสต์เช่นกัน

เจิ้งเจียหมิงแค่คิดง่ายๆ ว่าจ้านเป่ยเทียนเคยเห็นข่าวที่เขาหลบหนีออกจากโรงพยาบาลจิตเวชก็เลยพยักหน้า

ขณะนั้น โทรศัพท์ก็ส่งเสียงออกมา เป็นสัญญาณว่าแบตเหลือน้อยกว่าสิบห้าเปอร์เซ็นต์

มู่อี้ฟานเหลือบมองโทรศัพท์ โทรศัพท์แบตใกล้จะหมดแล้ว พวกเรารีบไปหาของด่วนเลย

เขานำเปิดประตูสำนักงานและไล่ซอมบี้ไปไกลๆ ก่อนจะให้พ่อลูกตระกูลเจิ้งออกมาหาของที่จำเป็นต้องใช้ในชั้นสาม

เนื่องจากไม่มีใครมากวาดของชั้นสามไปเลย ดังนั้น ของจึงยังอยู่ค่อนข้างครบ

ในโซนเสื้อผ้า มู่อี้ฟานหยิบชุดกีฬาไซส์ใหญ่มาสองสามตัวตามใจชอบ เพราะรู้สึกว่าเสื้อผ้าดูเหมือนจะหดลงเมื่อเร็วๆ นี้ และกางเกงที่สวมอยู่ก็คับนิดหน่อย รวมทั้งเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ในตอนนี้ก็แทบจะปิดหน้าท้องไม่อยู่แล้ว

เมื่อพวกเขาหยิบของเป็นเวลาพอสมควรแล้ว แบตโทรศัพท์ก็เริ่มหมดจนถูกบังคับให้ปิดเครื่อง

โชคดีที่พวกเขาเจอไฟฉายกันก่อนหน้านั้น รวมถึงแพ็กไฟฉายและแบตเตอรี่ทั้งหมดก็ถูกนำเอามาด้วย

ซอมบี้ชั้นสี่ของซูเปอร์มาร์เก็ตนั้นมีเยอะกว่าบริเวณชั้นสาม อย่างไรก็ตาม เมื่อมีมู่อี้ฟานและเจิ้งเจียหมิงอยู่ ซอมบี้ต่างไม่กล้าเข้าใกล้ และทำได้แต่มองพวกเขาอยู่ไกลๆ เท่านั้น

และนี่ก็ทำให้เจิ้งเจียหมิงรู้ว่าซอมบี้ระดับสูงมีประโยชน์แบบนี้ด้วย

ชั้นสี่มีแต่ชุดเครื่องนอนทั้งนั้น ไม่มีของที่พวกเราต้องการหรอก พวกเราไปกันเถอะเจิ้งกั๋วจงกล่าว

เจิ้งเจียหมิงพยักหน้า

ตอนพวกเขาคิดจะออกจากชั้นสี่ มู่อี้ฟานเหมือนได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนขอความช่วยเหลือ ราวกับกลัวจะดึงดูดความสนใจของซอมบี้ข้างนอกขึ้นมา เสียงจึงเล็กเป็นพิเศษ

เขาชะงักความเร็วย่างก้าว เดี๋ยวก่อน ฉันเหมือนได้ยินใครขอความช่วยเหลือเลย

เจิ้งกั๋วจงก็หยุดตามไปด้วย ผมได้ยินมาก่อนหน้านั้น แต่ผมเห็นพวกคุณไม่มีปฏิกิริยาเลย ผมก็นึกว่าตัวเองฟังผิดไป

มู่อี้ฟานถาม คุณได้ยินมาจากตรงไหน

เจิ้งกั๋วจงถือไฟฉายในมือแล้วชี้ไปที่ประตูเล็กๆ ทางซ้ายห่างประมาณสิบเมตร ซึ่งนอกประตูมีซอมบี้สี่ห้าตัวเดินอ้อยอิ่งเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก ตอนเราผ่านตรงนั้นมาเมื่อครู่ก็ได้ยินเสียงเล็ดลอดออกมาจากข้างใน เสียงดังอย่างกับเสียงยุงเลย

พวกเราไปดูกันเถอะมู่อี้ฟานเอาไฟฉายกลับมาถือเดินไปทางตรงนั้น หลังไล่ซอมบี้ไปหมดแล้ว จึงถามว่า มีใครอยู่ในนั้นไหม

ทันทีก็มีคนร้องไห้ฟูมฟายเป็นทุกข์ตอบกลับมา มีๆๆ พวกเราอยู่ที่นี่สิบกว่าคนค่ะคุณผู้ชาย ข้างนอกยังมีสัตว์ประหลาดกินคนพวกนั้นอยู่ไหมคะ

มี แต่มันไปไกลแล้ว รีบออกมาให้เร็วเลย

พอคนข้างในได้ยินดังนั้นก็รีบเปิดประตู เห็นมู่อี้ฟานสามคนเป็นคนมีชีวิตก็ร้องไห้ออกมาทันที

มู่อี้ฟานทนเสียงร้องไห้ของพวกเธอไม่ไหว จึงต้องขู่ให้ตกใจ พวกคุณร้องไห้กันต่อไป มีแต่จะดึงพวกสัตว์ประหลาดกินคนมานะ

คำพูดเหล่านี้ได้ผลมาก พนักงานขายของซูเปอร์มาร์เก็ตสิบหกคน และผู้จัดการหญิงคนหนึ่งรีบกลั้นเสียงร้องไห้ ไม่กล้าร้องไห้อีก

เจิ้งเจียหมิงพูดเบาๆ ว่า พวกเราออกจากที่นี่ก่อน ไว้ค่อยคุยกันเถอะ

ดี

——————

ในอีกด้านหนึ่ง หลังจ้านเป่ยเทียนและคนอื่นๆ เดินออกจากประตูซูเปอร์มาร์เก็ตก็ทำการกวาดล้างซอมบี้ที่ทางเข้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงบริเวณใกล้เคียงทันที จากนั้นขอให้รถบรรทุกขนาดใหญ่สองคันบรรทุกของกลับไปก่อน โดยทิ้งรถบรรทุกเปล่าและรถออฟโรดไว้อย่างละคัน รวมทั้งลูกน้องอีกยี่สิบคนซึ่งรออยู่ที่ทางเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต

เหมาอวี่และคนอื่นๆ เพื่อไม่ให้รบกวนจ้านเป่ยเทียนที่พิงรถออฟโรดอยู่ ก็พากันมาพูดคุยกระซิบกระซาบกันใต้รถบรรทุกใหญ่

นี่บอสต้องการทำอะไรกันแน่ ทิ้งคนไว้มากมายขนาดนี้ คิดจะเข้าไปช่วยคน แต่ทำไมถึงรออยู่ที่นี่ไม่ทำอะไรเลยล่ะ เขาไม่รู้เหรอว่าทำแบบนี้มันจะดึงซอมบี้มาได้ง่ายน่ะซุนจื่อหาวกล่าวอย่างกังวล

เหมาอวี่ขมวดคิ้ว ใครจะไปรู้ว่าบอสทำอะไรอยู่ ตั้งแต่บอสเรียกเรามาเมือง G ฉันก็เดาไม่ออกแล้วว่าบอสต้องการทำอะไรต่อไป ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเกินกว่าขอบเขตที่ฉันจะเข้าใจ ก็เหมือนตอนเริ่มซื้อของแรกๆ ฉันยังคิดอยู่ว่าเขาจะบริจาคสิ่งของให้คนในภูเขา หรืออยากจะเปิดซูเปอร์มาร์เก็ตไว้ใช้ แต่ตอนนี้ฉันกลับคิดว่าเป็นเพราะเขารู้ว่าจะมีวันนี้ จึงให้พวกเราทำเรื่องหลายอย่าง แถมเรื่องที่ว่าก็ประหลาดหน่อยๆ ถึงฉันพูดมากไม่ได้ พวกเราก็รู้ดีอยู่แก่ใจ

คนอื่นๆ อีกสามคนเห็นด้วยกับคำพูดนี้ของเขา ลู่หลินครางเบา ๆ พวกนายบอกบอสเดายากขึ้นเรื่อยๆ เหตุผลน่าจะเป็นเพราะมู่มู่หรือเปล่า อีกอย่างบอสก็ทำตัวแปลกไปหลังรับสายนั้นเมื่ออาทิตย์ก่อนด้วย ฉันเอะใจว่ามู่มู่น่าจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว ดังนั้น หัวหน้าเลยเปลี่ยนไปเพราะถูกกระตุ้น หลังจากนั้นมาพวกเราจึงเอ่ยคำพ้องเสียงที่มีตัวอักษรมู่เหมือนกันไม่ได้อีกไงล่ะ

เซี่ยงกั๋วตอบ ฉันคิดว่าบอสน่าจะช็อกเพราะการตายของมู่มู่ พวกนายไม่รู้หรอกว่าตอนฉันเฝ้ากะดึกไม่กี่คืนก่อน ฉันเห็นหัวหน้าเปียกโชกทั้งตัวลงจากรถ ใบหน้าทะมึนและน่าเกลียดมากๆ ฉันคิดว่าเขาคิดไม่ตกเรื่องการตายของมู่มู่ เลยวิ่งไปกระโดดลงแม่น้ำ แต่กลับถูกคนช่วยขึ้นมา หลังจากนั้น...

เหมาอวี่ขัดจังหวะคำพูดเขาอย่างหัวเสีย พอเลย เซี่ยงกั๋ว นายนี่มันมโนเก่งจริงๆ ขนาดเรื่องบอสตายเพื่อความรัก นายก็คิดขึ้นมาได้

เซี่ยงกั๋วแย้งอย่างไม่พอใจ ไม่ใช่ว่าฉันมโนไปเองสักหน่อย ไม่กี่วันต่อมา พอบอสกินข้าวเย็นเสร็จก็ขับรถออกไปอีก กลางดึกถึงจะกลับมา ไม่รู้ว่าออกไปทำอะไร

ลู่หลินรีบห้ามไม่ให้พวกเขาทะเลาะกันต่อ โอเค โอเค ไม่ต้องเดากันแล้ว สั้นๆ เลยนะ พวกเราต้องรู้ว่าไม่ว่าบอสจะทำอะไร มันจะต้องไม่เป็นอันตรายต่อพวกเราแน่นอน

ซุนจื่อหาวพยักหน้า ใช่ๆ เฮ้ พวกนายดูสิ มีคนออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตแล้ว

เซี่ยงกั๋วและคนอื่นๆ มองไปยังประตูทางเข้า คนกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต

และคนที่อยู่ข้างหน้าสุดก็ทำให้เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี

เชี่ย ไอ้คนที่วิ่งอยู่นำสุดนั่นมันมู่อี้ฟานไม่ใช่เหรอซุนจื่อหาวว่า

ลู่หลินขมวดคิ้ว เหมือน แต่ก็ไม่ค่อยเหมือนนะ รูปร่างหน้าตาดูบอบบางกว่า ไม่ค่อยเหมือนมู่อี้ฟานที่ฉันรู้จักนิดหน่อย

เซี่ยงกั๋วหรี่ตา ไม่ค่อยเหมือนอยู่บ้างจริงๆ ตอนฉันเห็นมู่อี้ฟานครั้งสุดท้าย ผิวหน้ายังเป็นสีบรอนซ์อยู่เลย แต่ตอนนี้ผ่านไปแค่ครึ่งเดือนกว่าเอง ไม่น่าจะกลายเป็นสีขาวขนาดนี้นะ

ซุนจื่อหาวว่า อาจจะเป็นน้องชายพ่อแม่เดียวกันของมู่อี้ฟานหรือเปล่า คนที่เห็นอยู่ชั้นสองเมื่อกี้ น่าจะเป็นเขาแหละมั้ง

เหมาอวี่เลิกคิ้ว ผู้หญิงกลุ่มนั้นสวมชุดของซูเปอร์มาร์เก็ตก็น่าจะเป็นพนักงานขายของที่ถูกขังอยู่บนชั้นสามหรือชั้นสี่ ไม่คิดเลยว่าด้วยพลังของสามคนนั้นจะนำคนออกมาได้ง่ายดายขนาดนี้ ฉันคิดว่าอีกฝ่ายคงเป็นมู่อี้ฟานจริงๆ นั่นแหละ ถึงได้มีความสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้

ขณะที่มู่อี้ฟานกำลังออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตก็อดสะดุ้งไม่ได้ เมื่อเห็นพวกจ้านเป่ยเทียนยังรออยู่ข้างนอก

จากนั้นเขารีบชี้ไปที่จ้านเป่ยเทียนและคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ไม่ไกล และพูดกับพนักงานขายหญิงกลุ่มนั้นว่า พวกคุณดูนั่นสิ พวกนั้นเป็นทหารที่มาช่วยพวกคุณ รีบไปเร็วเข้า พวกเขาจะจัดการปลายทางให้พวกคุณแน่

เมื่อพนักงานขายหญิงได้ยินดังนั้น พวกเธอก็วิ่งไปหากลุ่มคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า จากนั้นก็กระโดดเข้าใส่จ้านเป่ยเทียน และคนอื่นๆ ด้วยความตื่นเต้น

อาจเป็นเพราะปลอดภัยแล้ว พวกเธอจึงไม่สนใจอะไรอีก และเริ่มร้องไห้เสียงดังระงม ระบายความหวาดหวั่นและความกลัวที่เกิดขึ้นในวันนี้ออกมา

ซุนจื่อหาวถูกผู้หญิงสามคนสวมกอดแล้วร้องไห้เสียงดัง เช็ดน้ำตา สั่งน้ำมูกใส่ หน้าจึงเต็มไปด้วยขีดสีดำ

เขากัดฟันว่า ฉันมั่นใจว่าเขาคือมู่อี้ฟานแน่ๆ เพราะเขายังคงร้ายกาจเหมือนเดิม

มู่อี้ฟานเห็นพวกจ้านเป่ยเทียนถูกผู้หญิงกลุ่มนั้นถ่วงไว้ ก็รีบโยนของใส่ท้ายรถแล้วรีบขับรถออกไป

จ้านเป่ยเทียนมองรถที่จากไปด้วยสายตาว่างเปล่า “...”

จนกระทั่งมองไม่เห็นรถแล้ว เขาจึงก้มศีรษะลง และถามผู้หญิงสองสามคนที่กอดเขาไม่ปล่อยเสียงต่ำว่า ไม่ได้ถูกซอมบี้กัดใช่ไหม

ผู้จัดการหญิงเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าพลางสะอื้น มะ...ไม่ค่ะ พะ...พวกเราซ่อนตัวอยู่ในคลังสินค้าเล็กๆ มาตลอด จนถึงเมื่อกี้ พะ...เพิ่งถูกคนช่วยออกมา สามคนนั้นเป็นคนของพวกคุณหรือเปล่าคะ หวังว่าคุณจะขอบคุณพวกเขาแทนพวกฉันด้วยนะคะ

จ้านเป่ยเทียนหันมองทิศทางที่รถของมู่อี้ฟานจากไป ผ่านไปสักพักก็พูดว่า ขึ้นรถ


 

บทที่ 83 ชายชายไม่ควรใกล้ชิดกัน

มู่อี้ฟานเห็นพวกเป่ยเทียนไม่ได้ตามมาก็โล่งอกเล็กน้อย

พูดไปก็น่าแปลก ตามหลักแล้วจ้านเป่ยเทียนไม่ควรพาลูกน้องมาที่ซูเปอร์มาร์เก็ตในเวลานี้

ไม่ต้องพูดถึงว่าที่นี่ไม่เพียงแต่อยู่ห่างจากใจกลางเมืองเท่านั้น ซูเปอร์มาร์เก็ตที่นี่ก็เล็กกว่าซูเปอร์มาร์เก็ตในตัวเมืองด้วยซ้ำ แถมยังห่างจากเขตวิลลาที่เขาอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้ไกลลิบลิ่วด้วย ทำไมถึงวิ่งมาหาของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตตรงชานเมืองนี้ได้ล่ะ

พวกคุณไม่ควรบอกผมหน่อยเหรอว่าเกิดอะไรขึ้นเจิ้งกั๋วจงพูดขึ้นกะทันหัน

หลังเดินผ่านซูเปอร์มาร์เก็ตมา ทำให้เขาพบว่า มนุษย์กินคนนั้นฟังคำพูดของคุณมู่มาก และดูเหมือนจะกลัวลูกชายเขาเล็กน้อยจนไม่กล้าเข้ามาใกล้ตามอำเภอใจ

ถ้าบอกว่าคุณมู่และลูกชายเขานั้นไม่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์กินคน ให้ตายเขาก็ไม่มีทางเชื่อ

ได้ยินคำพูดนั้น มู่อี้ฟานก็เหลือบมองเจิ้งเจียหมิงที่นั่งอยู่เบาะหลังผ่านกระจกมองหลัง เขาพยักหน้าเล็กน้อย และขอให้เจิ้งเจียหมิงพูดกับเจิ้งกั๋วจงให้ชัดเจน

ตอนนี้เมือง G กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว การปิดบังต่อไปไม่เพียงจะไม่มีประโยชน์เท่านั้น ในทางกลับกันจะทำให้เจิ้งกั๋วจงกลายเป็นคนโง่เขลา ไม่เข้าใจวิธีการเอาชีวิตรอดในวันสิ้นโลก และเห็นไม่ชัดเจนว่าตัวเองควรจะไปอยู่ตรงไหน

เจิ้งเจียหมิงเท้าความถึงเรื่องที่เขาและเพื่อนร่วมงานของเขาติดไวรัส ที่ตอนนี้เมือง G กลายมาเป็นแบบนี้ เขาเองก็ปัดความรับผิดชอบไม่ได้ พ่อครับ มนุษย์กินคนพวกนั้นที่พ่อเห็นเรียกว่าซอมบี้ คล้ายกับซอมบี้ที่ดูในหนัง ตราบใดที่ถูกพวกมันข่วน หรือกัดจนมีแผล หลังผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง หรือหลายวันต่อมาก็จะกลายเป็นซอมบี้ และผมกับคุณมู่ก็เป็นหนึ่งในซอมบี้เช่นกันครับ

เจิ้งกั๋วจงไม่เชื่อว่าลูกชายเขาจะเหมือนกับซอมบี้ที่เขาเห็นในซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ตอนนี้พวกคุณกับพวกเขาแตกต่างกันชัดๆ ไม่เพียงแต่มีความนึกคิดและจิตสำนึกในตัวเอง แต่ยังสามารถพูดได้ด้วย เวลานี้ยังควบคุมไม่ให้กินมนุษย์เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป จะเป็นซอมบี้ที่พวกคุณนิยามได้ยังไง

มู่อี้ฟานอธิบายว่า ที่พวกเราแตกต่างจากซอมบี้ในซูเปอร์มาร์เก็ตน่ะ มันเป็นเพราะพวกเราต้องอาศัยจิตตานุภาพที่แข็งแกร่งมาคงสติเป็นครั้งสุดท้ายในระหว่างกระบวนการกลายเป็นซอมบี้ ถึงจะมีสติหลังกลายเป็นซอมบี้แล้วไงล่ะ สาเหตุที่เราดูเหมือนคนทั่วไป นั่นเป็นเพราะว่า พวกเราไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งพวกเราได้รับบาดเจ็บขึ้นมาละก็ บาดแผลจะไม่สมานตัว แถมยังเน่าเร็วขึ้นจนกลายเป็นเหมือนซอมบี้ในซูเปอร์มาร์เก็ตที่เนื้อเน่านั่นน่ะ

นะ...นี่...เจิ้งกั๋วจงถูกทำให้ตกใจเล็กน้อย

มู่อี้ฟานรีบพูดว่า หมอเถื่อน คุณอย่ากังวลไปเลย รอร่างกายพวกเราถึงระดับหนึ่ง มันจะมีความสามารถในการฟื้นฟูตัวเอง

เมื่อถึงตอนนั้น ความเร็วในการรักษาของซอมบี้จะเพิ่มขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะซอมบี้ระดับราชา ความเร็วก็เกือบหนึ่งวิเอง แน่นอนว่ามู่อี้ฟานไม่อาจบอกพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นได้มากนัก

เจิ้งกั๋วจงค่อนข้างรับไม่ได้ที่ลูกชายของเขาถูกเรียกว่า ศพทำไมพวกคุณถึงไล่ซะ...ซอมบี้พวกนั้นไปได้ล่ะ

ผมพูดได้แค่ว่าซอมบี้ก็เหมือนกับกองทัพที่มียศต่างๆ นั่นแหละ ซอมบี้ระดับสูงสามารถควบคุมซอมบี้ระดับต่ำได้

เจิ้งกั๋วจงถามสงสัยปนประหม่าว่า แล้วตอนนี้คุณอยู่ในระดับไหนแล้วครับ จะถูกซอมบี้ตัวอื่นควบคุมไหม

ตอนนี้ความแข็งแกร่งของผมถือว่าอยู่ในระดับกลาง รอ...

มู่อี้ฟานชะงักเมื่อพูดถึงตรงนี้

เดิมทีเขาอยากจะบอกว่ารอพวกเขามีพลัง พวกเขาจะถือว่าเป็นระดับกลางที่แท้จริง แต่คำพูดนี้ไม่สามารถบอกกับพวกเขาได้ เขาจึงต้องเอ่ยแก้คำพูดว่า รอพวกเราพบซอมบี้ระดับสูงกว่า ถ้าซอมบี้ระดับสูงต้องการควบคุมพวกเรา ร่างกายพวกเราจะไม่ฟังคำสั่งของเรา และจะอยู่ในการควบคุมของอีกฝ่าย

เจิ้งกั๋วจงสีหน้าดูกังวล ทำไมถึงเป็นแบบนี้

คุณมู่ ผมคิดว่าคุณรู้หลายสิ่งหลายอย่าง คุณสามารถบอกพวกเราถึงตัวตนที่แท้จริงของคุณได้ไหม ถ้าปกปิดต่อไป ดูเหมือนมันจะไม่แฟร์ต่อพวกเราทั้งสองฝ่ายนะเจิ้งเจียหมิงกล่าว

มู่อี้ฟานรู้เรื่องนี้ดีแน่นอน แต่เขาไม่สามารถพูดว่าตัวเองรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร เขาทำได้เพียงแค่โยนเรื่องไปให้มู่เยว่เฉิง

คุณพ่อของฉันเป็นนายพล แน่นอนว่าต้องรู้เรื่องต่างๆ มากกว่า นอกจากนี้ คุณรู้จักมู่ซื่อเทคโนโลยีของเมือง G ไหม นั่นคือบริษัทของฉันเอง ฉันชื่อมู่อี้ฟาน พวกคุณจะเรียกฉันว่าอี้ฟาน หรือมู่มู่ก็ได้ พอเรียกคุณมู่แล้วมันรู้สึกแปลกๆ น่ะ

เจิ้งกั๋วจงและเจิ้งเจียหมิงได้ยินตัวตนอันโดดเด่นของเขาก็ตกใจ ไม่น่าแปลกที่จะรู้เยอะขนาดนี้

ในตอนนั้น มู่อี้ฟานเห็นร้านหยกเปิดอ้าซ่าอยู่ข้างทาง จึงจอดรถอย่างรวดเร็ว พวกคุณรอฉันที่รถแป๊บหนึ่งนะ

ฉิงเทียนจูไม่ได้ดูดซับพลังงานจากหยกมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ดังนั้น สองวันที่ผ่านมาจึงส่งเสียงดังในตอนกลางคืน หากเขาไม่รีบหาหยกสักสองสามชิ้นมาเสริมให้มันละก็ เกรงว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้า เขาคงไม่สงบสุขแน่

มู่อี้ฟานเจอถุงอยู่ในร้านหยก จึงใส่หยกชิ้นเล็กๆ ลงในถุงก่อน จากนั้นก็ขนหยกชิ้นใหญ่ไปที่รถ

ฉิงเทียนจูในท้องของเขาตื่นเต้นเป็นพิเศษ ขณะที่มู่อี้ฟานเก็บหยก มันก็ดูดซับพลังงานไปด้วย

เจิ้งกั๋วจงและเจิ้งเจียหมิงมองมู่อี้ฟานขนหยกทีละก้อนๆ วางใส่เบาะด้านข้าง หางตาก็กระตุก คุณคงไม่ฉวยโอกาสในช่วงที่โลกวุ่นวายเพื่อสร้างโชคลาภใช่ไหม

มู่อี้ฟานอธิบายว่า ไม่ใช่ ฉันต้องใช้มันทำอย่างอื่นน่ะ

เขาเห็นว่ายัดใส่จนที่นั่งเต็มแล้วก็ขับรถออกไป

เจิ้งเจียหมิงแตะหยก ในเวลานี้ อาหารน่าจะมีค่ามากกว่าใช่ไหม

แน่นอนสิ ใช่แล้ว บ้านพวกคุณอยู่ที่ไหน

เจิ้งกั๋วจงบอกที่อยู่อพาร์ตเมนต์ทันที

มู่อี้ฟานเหยียบคันเร่งมาถึงย่านอพาร์ตเมนต์ของพ่อลูกตระกูลเจิ้ง ลานใหญ่บริเวณนี้กลายเป็นดินแดนของซอมบี้ไปนานแล้ว

ซอมบี้กลุ่มใหญ่ๆ เดินเตร่ไปมาในลาน พอพวกมันได้กลิ่นเนื้อมนุษย์ที่มีชีวิตก็กรูเข้ามาห้อมล้อมอย่างรวดเร็ว แต่เพราะหวาดกลัวมู่อี้ฟาน จึงได้แต่อยู่ห่างๆ จากรถ

เจิ้งกั๋วจงเห็นว่าซอมบี้ในลานนั้นล้วนเป็นใบหน้าที่คุ้นเคย เขาก็รู้สึกเศร้าใจ ตอนนี้ในโลกใบนี้ยังเหลือคนมีชีวิตอยู่อีกกี่คนกัน

มู่อี้ฟานเหลือบมองเขาผ่านกระจกมองหลัง

จำได้ว่าตอนจบนิยายของเขา หลังจากซอมบี้ทั้งหมดถูกทำลาย ทั่วทั้งโลกจะมีประชากรไม่ถึงหนึ่งในสิบด้วยซ้ำ

เขาจอดรถที่หน้าตึก D “เจียหมิง พวกเราพาพ่อคุณลงไปก่อน แล้วค่อยลงมาขนของ

เจิ้งเจียหมิงพยักหน้า

เขารู้สึกขอบคุณสำหรับความเอาใจใส่ในความปลอดภัยของคุณพ่อของเขามาเป็นอันดับแรกของมู่อี้ฟาน

บ้านของเจิ้งกั๋วจงอาศัยอยู่ที่ชั้นสาม มู่อี้ฟานและเจิ้งเจียหมิงจึงส่งเขากลับเข้าบ้าน หลังแน่ใจว่าไม่มีซอมบี้อยู่ที่บ้าน จึงได้ลงไปชั้นล่างเพื่อขนของ

เมื่อขนของเสร็จแล้ว มู่อี้ฟานก็กล่าวว่า ต่อไปนี้ฉันจะอยู่ที่นี่กับพวกคุณ คุณมีความคิดเห็นอะไรไหม

เขาช่วยพ่อลูกตระกูลเจิ้งมากมายขนาดนี้ พ่อลูกตระกูลเจิ้งย่อมไม่รังเกียจอย่างแน่นอน นอกจากนี้ การที่มู่อี้ฟานอยู่ที่นี่ก็ถือเป็นการดูแลซึ่งกันและกันด้วย

เจิ้งเจียหมิงกล่าวว่า แม้ว่าบ้านเราจะมีสามห้อง แต่หนึ่งในนั้นเป็นห้องหนังสือ เอาแบบนี้เถอะ อี้ฟาน ตอนกลางคืนคุณมานอนกับผมละกัน

ไม่ได้เจิ้งกั๋วจงลุกขึ้นยืนคัดค้านอย่างกะทันหัน แถมมีปฏิกิริยาใหญ่โตเล็กน้อย

เจิ้งเจียหมิงสงสัย ทำไมไม่ได้ล่ะครับ

เจิ้งกั๋วจงกลั้นไว้นานก่อนที่เขาจะพูดว่า ชายชายไม่ควรใกล้ชิดกัน

ถ้ามู่อี้ฟานมีความสัมพันธ์กับลูกชายของเขา เขาจะทำยังไง

เขารู้สึกว่าตัวเองรับไม่ค่อยได้ ดังนั้น เขาต้องไม่ปล่อยให้พวกเขานอนด้วยกัน

เจิ้งเจียหมิง “...”

เขาพบว่าช่วงหลังๆ มานี้ ตัวเองตามความคิดของพ่อไม่ทันเลย

มู่อี้ฟานไม่รู้ว่าเจิ้งกั๋วจงคิดอะไรอยู่ เขารู้แค่ว่าเขาไม่สามารถใช้ห้องร่วมกันกับเจิ้งเจียหมิงได้ เพราะตอนที่ฉิงเทียนจูดูดซับพลังงานจากหยกจะให้คนอื่นเห็นไม่ได้

ฉันปูที่นอนบนพื้นในห้องหนังสือก็ได้ แค่มีที่ซุกหัวนอนก็พอ ยังไงก็ได้ทั้งนั้น

พ่อลูกตระกูลเจิ้งรู้สึกละอายใจ จะปล่อยให้แขกปูที่นอนบนพื้นในห้องหนังสือได้ที่ไหน สุดท้ายก็ตัดสินใจว่า เจิ้งเจียหมิงปูที่นอนบนพื้นในห้องหนังสือ และให้มู่อี้ฟานนอนในห้องของเจิ้งเจียหมิง

มู่อี้ฟานไม่ได้โต้แย้งกับพวกเขา หลังจากถูกบอกว่าใช้น้ำประปาไม่ได้ เขาก็ไปซ่อนตัวในห้อง และเลี้ยงบรรพบุรุษตัวน้อยในท้องของเขาให้อิ่มก่อนค่อยว่ากัน

ในเช้าวันรุ่งขึ้นถึงจะออกมาจากห้อง

เขาเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟันก่อน เมื่อออกมาก็เห็นเจิ้งกั๋วจงกำลังทำบะหมี่อยู่ในครัว

หมอเถื่อน อรุณสวัสดิ์

เจิ้งกั๋วจงหันกลับไปมองเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า มู่มู่ อรุณสวัสดิ์

มู่อี้ฟานนั่งบนโซฟา และหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งขึ้นมาอ่าน

เจิ้งกั๋วจงทำอาหารเช้าเสร็จก็ออกมาถามว่า มู่มู่ ผมอยากถามคุณหน่อย ตอนนี้ไม่มีใครส่งซาชิมิให้พวกคุณ แถมตอนนี้เราก็ไม่มีปลาสดสำหรับทำซาชิมิด้วย ถ้าอย่างนั้นแล้วต่อไปเจียหมิงจะข่มใจไม่ให้อยากกัดคนได้ไหมครับ

มู่อี้ฟานกล่าวตรงๆ ว่า ตอนนี้เขาจะไม่รู้สึกหิวไปสักพัก ไม่อยากจะกัดคนหรอก ถ้าเขาหิวก็พยายามกลั้นไว้ก็พอ ขอแค่อดทนผ่านเดือนนี้ไปให้ได้ ในอนาคตเขาจะไม่รู้สึกหิวอีกเลย

รอให้เจิ้งเจียหมิงมีพลังและเลื่อนขั้นเป็นซอมบี้ระดับสูง เขาก็จะสามารถเป็นเหมือนคนทั่วไปได้

เจิ้งกั๋วจงถอนหายใจด้วยความโล่งอก งั้นก็ดีแล้ว

มู่อี้ฟานวางหนังสือพิมพ์ลง หมอเถื่อน เดี๋ยวฉันต้องออกไปสักพักนะ ฉันอยากตามหาเพื่อนของฉันน่ะ น่าจะตอนค่ำๆ ถึงจะกลับ

เจิ้งกั๋วจงถามว่า จะไปตามหาคุณจวงเหรอ

มู่อี้ฟานพยักหน้า

เจิ้งกั๋วจงยิ้มและพูดว่า เจ้าหนูอย่างคุณนี่ดีต่อเพื่อนใช้ได้เลยนะ

มู่อี้ฟานหัวเราะชอบใจ ลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย เสื้อผ้าบนตัวจึงร่นขึ้นไปตามการเคลื่อนไหวจนเผยให้เห็นหน้าท้องตุ้ยนุ้ยของเขาทันที

เจิ้งกั๋วจงที่กำลังกินบะหมี่เห็นหน้าท้องของเขา ดวงตาก็เบิกกว้างทันควัน ตะเกียบตกลงบนโต๊ะก็ยังไม่รู้ตัว

เขากระเด้งตัวขึ้นทันที ชี้ไปที่ท้องของมู่อี้ฟาน พลันพูดอย่างตกอกตกใจว่า มู่มู่ ท้องของคุณเป็นอะไร


 

บทที่ 84 ที่นี่ประหลาดเกินไปจริงๆ

มู่อี้ฟานก้มลงมองท้องของตัวเอง จากนั้นก็ดึงเสื้อลงและพูดว่า ไม่มีอะไร ก็แค่ท้องอืดเท่านั้น

ท้องอืด?” ดวงตาของเจิ้งกั๋วจงยิ่งเบิกกว้าง ท้องอืดมันจะไม่ใหญ่เกินไปหน่อยเหรอ เหมือนอุ้มท้องหกเจ็ดเดือนเลยนะนั่น คำพูดนี้คุณใช้หลอกตัวคุณเองได้ แต่หลอกผมที่เป็นหมอไม่ได้หรอกนะ ผมไม่เคยตรวจ หรือได้ยินใครเวลาเป็นท้องอืด จะมีท้องใหญ่ขนาดนี้

มู่อี้ฟานขมวดคิ้ว

อันที่จริงตอนเขาตื่นขึ้นมาก่อนหน้านี้ เขาก็พบว่าท้องของตัวเองใหญ่ขึ้นกว่าแต่ก่อน ก็อย่างที่เจิ้งกั๋วจงว่ามา มันดูเหมือนคนอุ้มท้องหกเจ็ดเดือนนั่นแหละ

ตอนนี้ถ้าเขายังรู้สึกว่าเป็นเพราะท้องอืดทำให้ท้องใหญ่ขนาดนี้ เช่นนั้นก็แสดงว่าเขาเป็นไอ้โง่แล้ว อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่เชื่อว่าตัวเองกำลังท้องอย่างที่เจิ้งกั๋วจงพูดหรอก แม้ว่าเขาจะท้องก็เถอะ มันก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะข้ามจากสามเดือนเป็นใหญ่หกเจ็ดเดือนขนาดนี้

เพราะฉะนั้น เหตุผลเดียวที่เป็นไปได้ก็คือ ฉิงเทียนจูนั่นแหละ อาจจะเป็นเพราะเมื่อวานดูดซับหยกมากเกินไป จึงทำให้ท้องเขาใหญ่ขึ้นก็เป็นได้

เจิ้งกั๋วจงนึกถึงเรื่องที่ตรวจล่าสุดทันทีก็ถามว่า ผมขอให้คุณทำแท้งครั้งที่แล้ว คุณไม่ได้ไปทำกันเหรอครับ

มู่อี้ฟานกลอกตาอย่างไร้คำพูด อย่างว่าหมอเถื่อนก็ยังเป็นหมอเถื่อนวันยังค่ำ คุณคิดว่าผู้ชายมันท้องได้ด้วยเหรอ เอาเถอะ แม้ฉันจะท้องจริงๆ แต่คุณคิดว่าท้องสามเดือนจะทำให้ท้องใหญ่รวดเดียวได้หรือ

โลกใบใหญ่เต็มไปด้วยสิ่งอัศจรรย์พันลึก เมื่อก่อนผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่หลังจากพบเจอเรื่องบางเรื่อง ผมก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้เลย

มู่อี้ฟาน “...”

เจิ้งกั๋วจงนั่งลงและตบเก้าอี้ข้างๆ เขา มานี่ ผมจะจับชีพจรให้คุณ

มู่อี้ฟานกลัวเขา จึงรีบกลับเข้าห้องหยิบกระเป๋าเป้และออกไปทันควัน

เจิ้งกั๋วจงเห็นเขาเปิดประตูก็ลุกขึ้นทันที นี่ คุณ...

หลังจากนั้นประตูก็ปิดลง

เด็กคนนี้!เจิ้งกั๋วจงนั่งลงอย่างไม่พอใจ

ในตอนนั้น เจิ้งเจียหมิงก็เดินออกมา พ่อครับ ตอนนี้เขาเป็นซอมบี้แล้ว ถึงพ่อจะจับชีพจรไปก็ตรวจไม่ได้หรอกนะครับ

เจิ้งกั๋วจงเลิกคิ้ว ลูกได้ยินทั้งหมดแล้วหรือ

เจิ้งเจียหมิงพยักหน้าอย่างซื่อสัตย์

พอเขาออกมาเมื่อครู่ก็ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา ตอนนั้นเจิ้งเจียหมิงรู้สึกไม่ดีที่จะแทรกเข้าไป เมื่อมู่อี้ฟานกลับเข้าห้องไปเอาเป้ เขาจึงกลับห้อง และรอให้มู่อี้ฟานออกไปก่อนจึงค่อยออกมา

พ่อครับ เรื่องที่อี้ฟานท้อง มันเกิดขึ้นได้ยังไงครับ

เดิมทีเจิ้งเจียหมิงไม่อยากฟังเรื่องส่วนตัวของคนอื่น แต่เขาอยากรู้เหลือเกินว่าผู้ชายคนหนึ่งจะท้องได้อย่างไร

เรื่องนี้ต้องเท้าความไปประมาณหนึ่งเดือนก่อนเจิ้งกั๋วจงบอกเจิ้งเจียหมิงเกี่ยวกับเรื่องในวันนั้น แต่เขาก็ไม่เชื่อท่าเดียว ภายหลังพ่อยังไปถามแพทย์หญิงที่ช่วยตรวจอัลตราซาวนด์โดยเฉพาะ ว่าผลอัลตราซาวนด์นั้นรายงานผิดหรือเปล่า แต่เธอบอกว่าไม่ใช่ แถมยังเห็นทารกในท้องของเขากับตาแน่ะ

ผู้ชายคนหนึ่งไม่มีมดลูกก็สามารถท้องได้ด้วยเจิ้งเจียหมิงประหลาดใจมาก แต่ตามที่พ่อพูดมา ตอนนี้อย่างมากสุดเขาก็ท้องแค่สี่เดือนนี่ แล้วท้องเขาจะใหญ่ขนาดหกเจ็ดเดือนได้ยังไง

ใครจะไปรู้เล่า ตอนนี้ไม่มีอัลตราซาวนด์อะไรให้พ่อตรวจดู ก็เลยไม่รู้สถานการณ์ในท้องของเขาชัดเจนนักเจิ้งกั๋วจงถอนหายใจ ปล่อยเขาไปเถอะ ยังไงเขาก็ไม่เชื่อเรื่องนี้อยู่ดี แถมตอนนี้เขาก็มีชีวิตชีวา มันไม่น่าจะอันตรายถึงชีวิตหรอก รอให้เขาคลอดออกมา ถึงจะรู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดขนาดไหน

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา ถึงตอนนั้น มาดูสิว่าเขายังจะกล้าเรียกพ่อว่าหมอเถื่อนอีกไหม

เจิ้งเจียหมิง “...”

——

มู่อี้ฟานเดินลงไปชั้นล่างขึ้นนั่งในรถแล้วตบท้อง เธอสารภาพความจริงมา เธอกินจนตัวเองพุงกางหรือเปล่า ถึงทำให้ท้องฉันใหญ่ขนาดนี้น่ะ

แน่นอนว่าในท้องไร้สัญญาณตอบกลับมา

มู่อี้ฟานตบเบาๆ อีกสองสามครั้ง นายท่าน ปีศาจน้อย เธอจะไม่ตอบคำถามหน่อยเหรอ

ท้องกระตุกครู่หนึ่ง มันก็ไม่สนใจมู่อี้ฟานอีกต่อไป

มู่อี้ฟานกลอกตา รอเรื่องการเผาครั้งใหญ่จบลง เธอก็อย่าตามฉันอีกเลยนะ กลับไปอยู่ข้างกายจ้านเป่ยเทียนเถอะ

เดิมทีในนิยายของเขามันก็ไม่เคยมีเรื่องฉิงเทียนจูวิ่งเข้าท้องคนอื่นอยู่แล้ว ดังนั้น เขาจึงไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่องฉิงเทียนจูอยู่ในท้องของเขา

เมื่อเห็นว่าท้องยังไม่ขยับ เขาจึงได้แต่ขับรถออกจากย่านอพาร์ตเมนต์ของเจิ้งกั๋วจงไปยังเขตวิลลาที่จวงจือเยว่อาศัยอยู่

คราวนี้มีซอมบี้มากกว่าฝูงหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ในสวนดอกไม้ของเขตวิลลา เมื่อเห็นรถของมู่อี้ฟานขับผ่านก็หลบออกไปข้างๆ ให้เขาครึ่งทาง

เขาดูใบหน้าของซอมบี้ให้แน่ใจว่าไม่ใช่คนที่เขารู้จัก ขณะขับรถมาด้านนอกวิลลาของจวงจือเยว่ ประตูยังคงเปิดอยู่เหมือนเดิม ในบ้านยังคงกระจัดกระจาย ไม่มีร่องรอยของการซ่อมแซม ซึ่งแสดงว่ายังไม่มีใครเคยกลับมาเลย

มู่อี้ฟานไม่ยอมแพ้ และหาไปรอบๆ วิลลา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครเหลืออยู่จริงๆ จึงค่อยออกมา

หลังจากกลับมาที่รถ เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าตามหลักแล้ว แม่ของเจิ้งเจียหมิงมาช่วยทำอาหารที่นี่ ซึ่งหมายความว่าจวงจือเยว่ หรือพ่อแม่ของเขาก็ควรจะอยู่ที่บ้านสิ ทำไมถึงไม่มีใครเลยล่ะ สุดท้ายแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

น่าเสียดายที่ในนิยายก็ไม่มีการกล่าวถึงเรื่องนี้เลย มีแค่กล่าวว่า จวงจือเยว่และครอบครัวของเขาเปลี่ยนเป็นซอมบี้แบบนี้ สำหรับข้อมูลเรื่องเปลี่ยนที่ไหน เปลี่ยนอย่างไร เพียงแค่เขียนผ่านๆ ไม่ได้ลงรายละเอียดไว้

มู่อี้ฟานเกาหัวอย่างหดหู่ สุดท้ายก็นึกขึ้นได้ว่า จวงจือเยว่ยังมีบ้านอยู่ที่อื่นอีก เขาจึงขับรถไปหาที่นั่น แต่ก็หาไม่เจอ

เขานึกถึงสถานที่ระดับไฮเอนด์ที่จวงจือเยว่มักไปบ่อยๆ ได้อีกครั้ง ไม่แน่ว่าเขาอาจหาจวงจือเยว่ซึ่งกลายเป็นซอมบี้พบที่นั่นก็ได้ อย่างไรก็ตาม เขาค้นหาจากร้านอาหาร และสถานบันเทิงหลายแห่งแล้ว แต่ก็ไม่พบคนที่เขาตามหาเลย

เมื่อเขาค้นหาจนถึงโรงแรมสุดท้าย ในขณะที่อยากจะยอมแพ้อยู่แล้วนั้น ณ ห้องสวีทสุดหรูชั้นบนสุดก็มีเสียงคนทะเลาะกันดังลอดออกมา

มู่อี้ฟานชมเชยคนข้างในมาก

ในเวลาแบบนี้ก็ยังเสียงดังกันได้นะ มิหนำซ้ำห้องที่อยู่ที่นี่ทุกห้องก็เป็นห้องเก็บเสียงด้วย การที่พวกเขาสามารถทะเลาะกันจนเสียงลอดออกมาได้เนี่ย ไม่รู้ว่ามันจะดังถึงระดับไหน

เดิมมู่อี้ฟานก็ไม่อยากสนใจ แต่คิดขึ้นมาได้ว่าเขาอาจจะคลาดกับจวงจือเยว่ก็ได้ จึงได้แต่เพียงเคาะประตูห้องแท่านั้น

ทันใดนั้นในห้องก็เงียบลง

เขาเคาะอีกครั้ง เคาะยาวสามครั้ง เคาะสั้นสองครั้ง บอกให้คนข้างในรู้ว่ามีคนเคาะประตูอยู่ข้างนอก

สักพักหนึ่ง ประตูก็ถูกแง้มออก หลังคนข้างในมองผ่านช่องว่างแล้วเห็นว่าคนข้างนอกเป็นใครก็พูดด้วยความประหลาดใจว่า เป็นคุณนั่นเอง คุณมู่

มู่อี้ฟานเห็นว่าคนที่อยู่ข้างในก็คือเพื่อนของหรงเสวี่ยก็ตกใจ ทำไมคุณถึงมาที่นี่

ใครเหรอหรงเสวี่ยเดินเข้ามา เห็นมู่อี้ฟานหน้าตาหล่อเหลา เธอก็ผงะหันหน้าไปถามว่า เสี่ยวเสี่ยว เขาเป็นใคร

เซี่ยเสี่ยวเสี่ยวรีบกระซิบที่ข้างหูของเธอสองสามคำอย่างรวดเร็ว

ดวงตาของหรงเสวี่ยเป็นประกายขึ้น ที่แท้ก็คุณมู่นี่เอง แล้วคุณจ้านมาด้วยหรือเปล่าคะ

เซี่ยเสี่ยวเสี่ยวเบ้ปาก คิดในใจว่า เวลาเช่นนี้ก็ยังคิดถึงแต่ผู้ชายอยู่ได้

พวกคุณรู้จักคนที่อยู่ข้างนอกเหรอเสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากหลังประตู

หรงเสวี่ยพยักหน้ารับ รู้จักค่ะ

จากนั้นชายอีกคนที่อยู่อีกด้านของประตูก็ถามอย่างระแวดระวังว่า คนข้างนอก คุณเคยโดนกัดไหม

มู่อี้ฟานตอบว่า ไม่

อีกฝ่ายลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เปิดประตูให้เขาเข้าไป

มู่อี้ฟานเข้าไปในห้องก็เห็นว่านอกจากหรงเสวี่ย เซี่ยเสี่ยวเสี่ยว รวมทั้งชายแปลกหน้าอีกสองคนแล้ว หรงเอี๋ยนและเพื่อนอีกคนของหรงเสวี่ยก็อยู่ที่นี่ด้วย

ดวงตาของเขาเปล่งประกายขึ้น เขาไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับเทพธิดาของเขาที่นี่

มู่อี้ฟานวิ่งไปเบื้องหน้าของหรงเอี๋ยน คนสวย คุณยังจำผมได้ไหม ผมมู่มู่ไงครับ

ทันใดนั้นเขาก็คิดได้ว่าหรงเอี๋ยนไม่เคยเห็นหน้าของเขา จึงพูดอีกครั้งว่า ผมก็คือผู้ชายที่พันผ้ากอซทั้งหน้าเมื่อยี่สิบกว่าวันก่อนไงครับ ใช่แล้ว ผมยังมีเพื่อนคนหนึ่ง คนคนนั้นที่ชื่อชุ่ยฮัวด้วยไง

หรงเอี๋ยนได้ยินคำว่าชุ่ยฮัวสองคำก็จำได้ทันทีว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้คือใครแล้วคลี่ยิ้ม คุณนี่เอง ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่คะ

ผมมาตามหาเพื่อนน่ะ คุณล่ะ ทำไมมาอยู่ที่นี่

หรงเอี๋ยนตอบว่า ฉันทำงานอยู่ แต่สองวันก่อนฉันถูกขังอยู่ที่นี่ ว่าแต่คุณผู้ชายคะ ข้างนอกมีมนุษย์กินคนเยอะขนาดนี้ คุณแอบเข้ามาได้ยังไงคะ

ตอนที่ผมมา ที่นี่ก็ไม่มีซอมบี้นะ

ซอมบี้? ใช่มนุษย์กินคนพวกนั้นหรือเปล่าคะ

มู่อี้ฟานพยักหน้า

เขาต้องตามหาจวงจือเยว่โดยเร็วที่สุด ดังนั้น ทุกครั้งที่เขาเห็นซอมบี้ เขาจะสั่งให้พวกมันออกจากโรงแรม เพื่อไม่ให้พวกมันเซไปเซมาจนทำให้เขาหาคนท่ามกลางพวกมันซ้ำๆ ไม่จบไม่สิ้น

ในเวลานี้ ชายที่อยู่ข้างประตูก็เดินเข้ามา คุณผู้ชายคนนี้ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามารำลึกความหลังนะครับ

หรงเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ แค่นเสียงเย็น นั่นสิ นี่มันเวลาอะไรแล้ว ยังจะมารำลึกความหลังกันอีก

ชายคนนั้นกวาดมองหรงเสวี่ยอย่างเย็นชา และถามมู่อี้ฟานว่า คุณผู้ชายคนนี้ คุณเพิ่งบอกว่าไม่มีซอมบี้ในโรงแรมแล้วอย่างนั้นเหรอ

ใช่แล้ว

มู่อี้ฟานมองประเมินชายผมสั้นตรงหน้าอย่างเงียบๆ ใบหน้าเด็ดเดี่ยวชอบธรรม บนตัวสวมเสื้อเชิ้ตรัดรูปสีดำเผยให้เห็นแขนสีข้าวสาลีแข็งแรงมาก ข้างล่างสวมกางเกงสีเขียวทหารและรองเท้าบูตทหาร ราวกับว่าเป็นทหารที่แต่งตัวออกไปข้างนอกในวันธรรมดา อีกทั้งในมือเขายังถือปืนจริง จากภาพโดยรวมแล้วดูเหมือนทหารอยู่ไม่น้อย

เขากล่าวต่อว่า แต่นอกโรงแรมมีซอมบี้อยู่มากมาย เกือบจะล้อมโรงแรมได้ทั้งหมด อยากออกไปก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

แล้วคุณฝ่าเข้ามาได้ยังไงชายอีกคนที่สวมเครื่องแบบเดียวกันเดินเข้ามาถาม

ผมขับรถตรงเข้ามาในโรงแรมเลย

หรงเสวี่ยรีบพูดว่า คุณมู่ อย่างนั้นคุณสามารถพาฉันขับรถฝ่าออกไปได้ไหมคะ

มู่อี้ฟานอึดอัดใจเล็กน้อย รถผมนั่งหลายคนไม่ได้น่ะ

หรงเสวี่ยรีบชี้ไปที่หรงเอี๋ยนและชายอีกสองคน แล้วพูดว่า เธอ เขา แล้วก็เขา ทิ้งพวกเขาอยู่ที่นี่ก็พอค่ะ ยังไงซะชีวิตก็ไร้ค่าอยู่แล้ว ถึงตายไปก็ไม่น่าเสียดายหรอกค่ะ

มู่อี้ฟานขมวดคิ้วแน่นอย่างรวดเร็ว

เขารู้ว่านางร้ายในนิยายของตัวเองเห็นแก่ตัวมาก แต่การที่มองเห็นใบหน้าเธอซึ่งคล้ายกับญาติผู้พี่ของเขา มันทำให้เขาอึดอัดจริงๆ อีกทั้งในใจยังรู้สึกรังเกียจด้วย

หรงเอี๋ยนมองหรงเสวี่ยด้วยใบหน้าเย็นชา หรงเสวี่ย เธอจะเห็นแก่ตัวก็ช่าง แต่อย่าพูดให้มันเกินไป

ชายอีกสองคนก็มีสีหน้าเย็นชา และหนึ่งในนั้นยังยับยั้งตัวเองไม่ให้พุ่งเข้าไปตบหรงเสวี่ยสักฉาด

หรงเสวี่ยหัวเราะ ฉันพูดเกินไปแล้วไงล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะแก ฉันจะมาติดอยู่ที่นี่กับแกไหม

หรงเอี๋ยนมองเธอบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างไม่น่าเชื่อ เธอขวางไม่ให้เราไปชัดๆ พวกเราถึงติดอยู่ที่นี่ต่างหาก ตอนนี้เธอทำได้ดีนี่ ผลักทุกเรื่องมาให้เราหมด

หรงเสวี่ยไม่สนว่าเธอจะพูดอะไร เกี่ยวแขนมู่อี้ฟานแล้วลากคนไปที่ประตู

มู่อี้ฟานเห็นสายตาดูถูกเหยียดหยามจากชายทั้งสองก็รีบเก็บความคิดกลับมา ชะงักเท้า ต้องการบอกทางหนีอีกทาง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงทุ้มหนักดังออกมาจากข้างนอกประตูห้องส่วนตัวที่หรงเสวี่ยเปิดไว้ บอส ที่นี่มันแปลกเกินไปจริงๆ ระหว่างทางที่เดินมาไม่เห็นจะมีซอมบี้เลย มันเกิดอะไรขึ้นครับ

มู่อี้ฟานสะดุ้ง เสียงนี้เหมือนกับเสียงของลู่หลินมาก

ชายสองคนในห้องส่วนตัวได้ยินเสียงข้างนอกนั้น ใบหน้าที่ไร้การแสดงออกพลันเผยความสุขออกมา และรีบสาวเท้าไปยังนอกประตู ท่านพลตรี


 

บทที่ 85 สมน้ำหน้า

มู่อี้ฟานได้ยินเสียงที่คล้ายกันกับลู่หลิน รวมทั้งทหารสองนายที่เรียกคนข้างนอกว่าท่านพลตรี ในใจจึงคิดว่าเป็นจ้านเป่ยเทียนอีกแน่ๆ

นี่มันแปลกๆ ชอบกลนะ เมือง G ใหญ่ขนาดนี้ ทำไมมาเจอกันเร็วปานนี้เนี่ย

อย่าบอกนะว่าสาเหตุเป็นเพราะฉิงเทียนจูน่ะ

มู่อี้ฟานคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นแบบนั้น

 

ที่นอกประตู ลู่หลินเห็นชายสองคนออกมาจากในห้องก็ถึงกับผงะ อวี๋เหอ อู๋จิ้งเหิง พวกนายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงน่ะ

อู๋จิ้งเหิงตอบว่า ท่านพลตรีส่งเรามาที่นี่เพื่อปกป้องคุณหรงครับ

หลังได้ยินเรื่องนี้ จ้านเป่ยเทียนก็จำได้ว่า เขาเคยส่งอวี๋เหอ อู๋จิ้งเหิง และทหารอีกสองนายไปปกป้องหรงเอี๋ยนและแม่ของเธอ

จากนั้นเขาก็ก้มลงดูของในมือตัวเองแล้วขมวดคิ้ว

ลู่หลินแอบเหล่มอง สายตาเห็นบอสกำลังดูเครื่องติดตาม แล้วเขากำลังติดตามใครอยู่ล่ะ

จ้านเป่ยเทียนเหลือบตาขึ้นมองไปทางประตูห้อง ถามอย่างเรียบๆ ว่า เธอไม่เป็นไรใช่ไหม

อวี๋เหอกล่าวว่า คุณหรงสบายดีครับ

หลังจากนั้นก็มีสองร่างพุ่งออกมา หนึ่งในร่างนั้นวิ่งไปหาจ้านเป่ยเทียนอย่างตื่นเต้น คุณจ้านคะ!

จ้านเป่ยเทียนไม่ได้มองหรงเสวี่ยเลย สายตาคมกริบกลับจ้องตรงไปยังคนที่วิ่งไปอีกทาง เขาก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว สับฝีเท้าไล่ตามคนที่ต้องการจะวิ่งหนี

อวี๋เหอที่เห็นหรงเสวี่ยวิ่งมาก็เหยียดเท้าขวาออกไปเงียบๆ

หลังจ้านเป่ยเทียนวิ่งผ่านไป หรงเสวี่ยจู่ๆ ก็สะดุดล้มถลาลงพื้นอย่างแรง และกลิ้งลงไปกินขี้หมา[1]ทันที

ความเจ็บปวดฉับพลันทำให้เธอพูดไม่ออก

อู๋จิ้งเหิงและอวี๋เหอสบตากัน มุมปากยกยิ้มเยาะ

นับตั้งแต่วันที่ซอมบี้ปะทุขึ้น พวกเขาก็ทนกับหรงเสวี่ยมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้

ในตอนนั้น เดิมทีพวกเขาถูกส่งมาเพื่อปกป้องความปลอดภัยของหรงเอี๋ยน ขณะต้องการจะพาหรงเอี๋ยนหนีออกไปจากที่ทำงาน แต่กลับพบหรงเสวี่ยผู้งี่เง่าไร้เหตุผลคนนี้เข้าโดยไม่คาดคิด แถมชักแม่น้ำทั้งห้ามาทำให้หรงเอี๋ยนรู้สึกอับอาย ถ่วงไม่ให้หรงเอี๋ยนจากไป สุดท้ายก็เป็นเหตุให้พวกเขาติดอยู่ในโรงแรม

อันที่จริง ติดอยู่ในโรงแรมมันก็ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่หรงเสวี่ยคนนี้กลับปฏิบัติต่อพวกเขาประหนึ่งคนรับใช้ และเล่นลวดลายสารพัดเพื่อซ้ำเติมหรงเอี๋ยน

หรงเอี๋ยนไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกผิด เพราะเธอและคุณแม่ได้ทิ้งน้องสาวไว้ในปีนั้น เธอจึงทนกับหรงเสวี่ยครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างไรก็ตาม หรงเสวี่ยกลับหนักข้อขึ้นเพราะเรื่องนี้ จนเกือบจะล่อซอมบี้เข้ามาในห้อง ทำให้ทุกคนตายคาที่นี่

โชคดีที่พวกเขาในเวลานั้นมีปืนอยู่ในมือ และโชคดีที่ท่านพลตรีบอกแต่เนิ่นๆ ว่าจุดอ่อนของซอมบี้คือสมอง ไม่เช่นนั้น พวกเขาคงจะกลายเป็นซอมบี้กินคนไปนานแล้ว

แต่หลังจากเหตุการณ์นี้ หรงเสวี่ยยังคงไม่รู้จักสำนึก และงี่เง่าสร้างปัญหาไม่หยุดหย่อนต่อไป ก่อนหน้านี้ก็กรีดร้องโวยวายเพราะต้องการจะออกไป น่าเบื่อจริงๆ สิ ให้ตายเถอะ

ดังนั้น พวกเขาจึงอดทนได้ดีมาโดยตลอด ทว่าความอดทนต่อเธอนั้นมาถึงขีดจำกัดแล้ว

หรงเสวี่ยยันตัวลุกขึ้น สายตาเห็นศพเน่าเปื่อยอยู่ไม่ไกลก็ตกใจกรีดร้องเสียงหลงทันที

เซี่ยเสี่ยวเสี่ยวและหลิ่วชานที่ตามหลังออกมาเห็นภาพนี้เข้า กระตุกมุมปากขึ้นพลันเหน็บแนมว่า สมน้ำหน้า

ในช่วงสองวันที่ผ่านมา พวกเธอก็เอือมระอาคุณหนูใหญ่คนนี้เช่นกัน ใช้พวกเธออย่างกับคนใช้ตลอด ไม่คิดบ้างหรือว่า ตอนอยู่บ้านพวกเธอก็เป็นสุดที่รักที่ถูกครอบครัวประคองไว้ในฝ่ามือเหมือนกัน หรงเสวี่ยนี่ช่างไม่เห็นพวกเธอเป็นมนุษย์เอาเสียเลย

หรงเอี๋ยนที่ออกมาสุดท้าย ก็ไม่มีความคิดจะยื่นแขนเข้าไปพยุงเช่นกัน

 

ในอีกด้านหนึ่ง จ้านเป่ยเทียนก้าวไม่กี่สิบก้าวเท่านั้นก็ไล่ตามมู่อี้ฟานที่วิ่งไปยังทางเดินที่ปลอดภัยทัน และกดคนเข้ามุมด้านหลังประตู

มู่อี้ฟานมองดวงตาเย็นชาของจ้านเป่ยเทียน พูดอย่างหดหู่ว่า ฉันประหลาดใจจริงๆ เมือง G ใหญ่ขนาดนี้ แต่เพราะอะไรกันนะไม่ว่าจะไปที่ไหนก็พบแต่นายเนี่ย นายบอกมา ฉันต้องทำยังไงถึงจะหนีนายพ้น แล้วไม่ต้องเจอนายอีกต่อไป ครั้งหน้าฉันจะได้ไปทำตามที่นายบอก

ได้ยินประโยคนี้ จ้านเป่ยเทียนก็กำหมัดแน่นยันกำแพง พูดเสียงแหบอย่างเย็นชาว่า คราวนี้นายยังคิดว่าจะหนีไปได้ไหมล่ะ

มู่อี้ฟานกลอกตาใหญ่ ถ้าไม่ได้ท้องโตละก็ ฉันหนีไปได้แน่ๆ

หลังเขาออกจากอพาร์ตเมนต์ของเจิ้งกั๋วจง ท้องก็หนักขึ้นเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ก็ดูเหมือนยัดแตงโมลูกใหญ่สองลูกไว้ข้างในเลย มันหนักจนเขาใกล้จะเหยียดหลังให้ตรงไม่ได้แล้ว

จ้านเป่ยเทียนสะดุดใจ นึกถึงเรื่องมู่อี้ฟานตั้งครรภ์จนมีเด็กขึ้นมาได้ จึงอดไม่ได้ที่จะก้มหัวลงมอง ก็พบว่าท้องของอีกฝ่ายนั้นใหญ่ขึ้นกว่าเดิมจริงๆ

ก่อนหน้านี้ยังสามารถใช้เพียงผ้าคลุมไว้ก็มองไม่เห็นแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะสวมหลวมๆ แค่ไหน ก็มองออกว่าท้องของมู่อี้ฟานนั้นมีความนูนขึ้น

จ้านเป่ยเทียนสะดุ้งเล็กน้อย

จู่ๆ ท้องก็ใหญ่ขึ้นอีก หรือว่าใกล้จะคลอดแล้ว?

เขาเลิกเสื้อของมู่อี้ฟานขึ้น สัมผัสหน้าท้องกลมที่ขาวดุจหิมะ

ท้องนิ่งสงบมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เขาแค่แตะท้อง ฉิงเทียนจูก็จะกระตุกอย่างมีชีวิตชีวา ตอนนี้ดูเหมือนจะจมอยู่ในห้วงนิทรา

ณ ตอนนั้นเอง ลู่หลินก็เดินเข้ามา บอสครับ คุณ...

เขาเห็นคนที่ถูกจ้านเป่ยเทียนกดไว้ข้างกำแพง ทันใดนั้นดวงตาก็เบิกกว้าง มู่อี้ฟาน! เชี่ย! มู่อี้ฟาน ทำไมนายมาอยู่ที่นี่ได้ฮะ คงไม่คิดเล่นตุกติกทำร้ายบอสหรอกนะ?”

มู่อี้ฟานเหลือบมองลู่หลินอย่างไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร ใครอยากจะทำร้ายเขาล่ะ เขาไม่มาทำร้ายฉันก็เป็นบุญหัวแค่ไหนแล้ว

เขาเห็นจ้านเป่ยเทียนยังคงสัมผัสท้องของเขาไม่หยุดก็รีบยกมือปัด นายแตะพอหรือยังฮะ แตะต่อไปก็ไม่แน่ว่าจะคลอดลูกให้นายแล้ว

จ้านเป่ยเทียน “...”

ลู่หลิน “...”

เขาก็อยากรู้มากเช่นกัน ว่าทำไมบอสถึงต้องแตะท้องของมู่อี้ฟานด้วย

มู่อี้ฟานรีบดึงเสื้อลง เห็นว่ามืออีกข้างของจ้านเป่ยเทียนไม่ได้ล็อกไว้ จึงเขยิบเท้าขวาอย่างเงียบๆ ขณะคิดจะพุ่งออกไป เขาก็ถูกจ้านเป่ยเทียนคว้าคอเสื้อไว้เสียก่อน

ลู่หลิน ไปได้แล้วจ้านเป่ยเทียนพูดเบาๆ

ลู่หลินหลุดจากภวังค์อย่างรวดเร็ว ครับ

เขารีบเรียกพวกอู๋จิ้งเหิง

อู๋จิ้งเหิงและคนอื่นๆ เรียกหรงเอี๋ยนแล้วเดินไปยังทางเดินที่ปลอดภัย

เซี่ยเสี่ยวเสี่ยวและหลิ่วชานรีบตามไป

หรงเสวี่ยที่รู้สึกอับอาย และได้รับความตื่นตระหนกเห็นหรงเอี๋ยนที่ถูกปกป้องจากอู๋จิ้งเหิงและคนอื่นๆ อยู่ด้านหน้า ความอิจฉาริษยาอย่างบ้าคลั่งผุดขึ้นจนดวงตาแดงก่ำ เธอกัดฟัน รีบลุกขึ้นเดินตามหลังพวกเขาไป

ร้อยเอกลู่ คนคนนั้นที่ท่านพลตรีหิ้วอยู่เป็นใครครับ?” อวี๋เหอถามเสียงต่ำ

ลู่หลินแค่นเสียงเย็นชา ยกมุมปากขึ้นแดกดัน เขาก็คือมู่อี้ฟานไงล่ะ

อวี๋เหอผงะ มู่อี้ฟาน?”

ก็คนนั้นไง ที่เมื่อก่อนหาโอกาสเล่นงานท่านพลตรีระหว่างปฏิบัติภารกิจไม่หยุดหย่อนบ่อยๆ น่ะอู๋จิ้งเหิงเตือนความจำเขา

ที่แท้คือเขาเหรอฮะอวี๋เหอแค่นเสียงเย็นชา ไม่แปลกใจที่เขาเต็มใจช่วยผู้หญิงเห็นแก่ตัวขี้อิจฉา และเต็มไปด้วยความเจ้าอารมณ์คนนั้น ที่แท้เพราะเป็นสุนัขแรคคูนบนเนินเขาลูกเดียวกัน[2]นี่เอง

ลู่หลินเหลือบมองพวกเขา พวกนายไปได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากไหน

ในวงในมีการรายงานเรื่องเหล่านี้ไว้ครับอู๋จิ้งเหิงกล่าว

ลู่หลินก็ไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิและยิ้มออกมา อ้อใช่ พวกนายปกป้องใครอยู่เหรอ

อู๋จิ้งเหิงพยักพเยิดไปทางหรงเอี๋ยนที่เดินอยู่ข้างหน้า เธอคนนั้นครับ

ลู่หลินมองหรงเอี๋ยน รอยยิ้มผุดขึ้นในดวงตา หน้าตาไม่เลวนี่

อวี๋เหอกระซิบถามข้างหูลู่หลิน ร้อยเอกลู่ เธอเป็นแฟนสาวของท่านพลตรีเหรอครับ

ลู่หลินผงะ พวกนายไปฟังใครพูดมาเนี่ย?”

คราวก่อน ไม่รู้ว่าใครบอกว่าท่านพลตรีมีแฟนสาวแล้ว หลังจากนั้นพวกเราก็เลยเดาว่าคุณหรงคือแฟนสาวของท่านพลตรีหรือเปล่าน่ะครับ ไม่อย่างนั้นทำไมพวกเราต้องยุ่งยากเพื่อไปปกป้องเธอด้วยล่ะ

ลู่หลินส่ายหัว ไม่ใช่เธอ วันหลังพวกนายอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกล่ะ

หากมีใครพูดถึงเรื่องเจ็บปวดของบอสขึ้นมาอีกครั้ง วันคืนของพวกเขาจะต้องผ่านไปอย่างยากลำบากแน่นอน

มู่อี้ฟานที่เดินอยู่ข้างหน้า เนื่องจากบันไดเงียบเชียบมาก ดังนั้นจึงได้ยินพวกลู่หลินพูดคุยกันแว่วๆ โดยเฉพาะประโยค แฟนสาวของท่านพลตรี หกคำที่ดังชัดเจนเข้ารูหู

ที่นายมาที่นี่ก็เพื่อมาหาแฟนสาวสินะมู่อี้ฟานเอ่ยอย่างบึ้งตึง

เขาลืมไปว่าในตอนจบของหนังสือ จ้านเป่ยเทียนอยู่ด้วยกันกับหรงเอี๋ยนในท้ายที่สุด แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ในใจเขากลับรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

จ้านเป่ยเทียนเห็นเขาห่อเหี่ยวลงก็ขมวดคิ้วแน่น และพูดเบาๆ ว่า ฉันไม่มีแฟนสาว

ดวงตาของมู่อี้ฟานสว่างขึ้น จริงเหรอ

จ้านเป่ยเทียนพยักหน้า

มู่อี้ฟานยิ้ม กล่าวว่า เยี่ยมไปเลย หมายความว่าฉันยังมีโอกาสตามจีบหรงเอี๋ยนสินะ

สีหน้าจ้านเป่ยเทียนเย็นชาลงฉับพลัน ลากคนเดินลงไปอย่างรวดเร็ว

มู่อี้ฟานถูกเขาดึงคอเสื้อก็รู้สึกอึดอัด เขายิ่งเดินเร็วไม่ได้ แถมท้องยังหนัก จึงรีบตะโกนว่า ช้าหน่อย ช้าหน่อย อ๊ะ ท้องของฉัน...

จ้านเป่ยเทียนหันไปมองมู่อี้ฟาน เห็นอีกฝ่ายพยุงเอวพลางกุมท้องไปด้วย จึงปล่อยมือจากคอเสื้อของเขาอย่างไม่รู้ตัว รวมทั้งชะลอฝีเท้าลง

ยามมองท่าทางที่อีกฝ่ายพยายามเดินลงไปชั้นล่าง ก็เม้มริมฝีปากบางแน่น หลังจากนั้นก็วางมือไว้บนเอวของมู่อี้ฟานและประคองหลังเอวเขา

มู่อี้ฟานเอี้ยวตัวไปด้านข้าง จับมือจ้านเป่ยเทียนเดินลงไปชั้นล่างทีละก้าว แม่งเอ๊ย ฉันรู้สึกเหมือนคนท้องยังไงก็ไม่รู้ ท้องมันใหญ่บังฉันจนมองบันไดไม่เห็นแล้วเนี่ย

จ้านเป่ยเทียน “...”

ลู่หลินและคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างหลังเขา “...”

พวกเขาก็รู้สึกว่ามู่อี้ฟานเหมือนคนกำลังท้องอยู่เลย แถมฉากที่อยู่ด้านหน้ายังทำให้พวกเขารู้สึกว่าเหมือน สามีกำลังพยุงภรรยาที่กำลังท้องเดินลงบันได เลย




[1] กินขี้หมา คือ ศัพท์แสลง ใช้สำหรับด่าคน

[2] สุนัขแรคคูนบนเนินเขาลูกเดียวกัน หมายถึง คนชั่วจับกลุ่มรวมกัน, คนประเภทเดียวกัน


 

บทที่ 86 นายก็ฝันไปเถอะ

ยิ่งเดินลงมาชั้นล่างเท่าไร ยิ่งเห็นซากศพเน่าเปื่อยตามพื้นมากยิ่งขึ้น ทำให้หญิงสาวขี้ขลาดสองสามคนตกใจกรี๊ดเสียงหลงหลายครั้ง พอมาถึงชั้นหนึ่ง ซากศพก็ปรากฏเต็มพื้นไปหมดจนแทบไม่มีที่ยืน

เซี่ยเสี่ยวเสี่ยว หลิ่วชาน พวกเธอมาช่วยพยุงฉันหน่อยซิเมื่อเดินมาถึงทางเข้าประตูล็อบบี้ หรงเสวี่ยที่สวมรองเท้าส้นสูงเจ็ดนิ้วเห็นว่ามีศพอยู่เกลื่อนพื้น เธอกดความอาฆาตในใจลง หยุดอยู่ที่ทางเข้า และตะโกนด้วยน้ำเสียงสั่งการ

เซี่ยเสี่ยวเสี่ยวและหลิ่วชานทำเป็นไม่ได้ยินเสียงเรียกของเธอ ทั้งสองคนช่วยกันพยุงซึ่งกันและกันเดินฝ่าซากศพระเกะระกะพลางเหยียบข้ามร่างไร้วิญญาณไปยังล็อบบี้

หรงเสวี่ยเห็นพวกเธอสองคนไม่สนใจตัวเอง ใบหน้าที่สวยงามก็เริ่มบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ นังสองตัวนี่

เซี่ยเสี่ยวเสี่ยวและหลิ่วชานหันขวับไปมองเธอ แล้วก็เดินหน้าต่อไป

หรงเอี๋ยนขมวดคิ้ว อยากจะหันกลับไปช่วยน้องสาวของเธอ แต่ถูกอู๋จิ้งเหิงหยุดไว้ คุณหรงครับ คุณรู้ไหมครับว่าที่ผ่านมา คุณทำแบบนี้ไม่ได้ช่วยเธอเลย แต่มันจะยิ่งทำให้เธอเคยตัวต่างหาก

หรงเอี๋ยนรู้สึกว่าคำพูดนี้มีเหตุผลมาก จึงไม่ได้ให้ความสนใจหรงเสวี่ยที่โมโหอิจฉาตาร้อนอีก และเดินตามพวกลู่หลินไปยังล็อบบี้

ก่อนจะมาถึงล็อบบี้ จ้านเป่ยเทียนก็ปล่อยมู่อี้ฟาน และกดเสียงต่ำ พูดด้วยประโยคแสนเย็นชาว่า ลองกล้าวิ่งไปสิ แค่นัดเดียวก็เป่าหัวนายได้แล้ว

มู่อี้ฟาน “...”

ผู้ชายคนนี้รู้ได้อย่างไรว่าเขาจะวิ่ง

 

เมื่อมาถึงล็อบบี้ พวกเขาก็เห็นรถออฟโรดห้าคันจอดอยู่กลางล็อบบี้ แต่ละคันมีคนนั่งอยู่ที่เบาะคนขับ ส่วนที่เหลือเฝ้าประตูเพื่อดูว่ามีซอมบี้ตัวอื่นจะเข้ามาที่นี่หรือไม่

ทหารที่นั่งอยู่ในรถคันสุดท้ายเห็นจ้านเป่ยเทียนออกมาก็พูดกับคนอื่นๆ ทันที นั่นบอส พวกเขาลงมากันแล้ว

พอคนเฝ้าประตูได้ยินดังนั้น ก็รีบหันไปมอง เห็นจ้านเป่ยเทียนและลู่หลิน พวกเขาก็ยิ้มออกมาอย่างยินดี บอส

ซุนจื่อหาวก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดว่า บอส คุณกับลู่หลินขึ้นไปกันนานเลยนะครับ ผมยังคิดว่าเกิดเรื่องขึ้นซะอีก เกือบจะส่งคนไปหาพวกคุณแล้วเชียว

เขามองเลยไปข้างหลังจ้านเป่ยเทียน เห็นว่านอกจากลู่หลินแล้วยังมีผู้หญิงสี่คน และผู้ชายอีกสองคนตามมาด้วย นอกจากนี้ยังมีคนมองไม่เห็นหน้าคนหนึ่งที่เดินตามหลังจ้านเป่ยเทียนอยู่ตลอด

ซุนจื่อหาวเลิกคิ้ว ข้างบนมีผู้รอดชีวิตอยู่อีกเหรอ เฮ้ย! สองคนนั้น ใช่อู๋จิ้งเหิงกับอวี๋เหอไหม มาอยู่ในโรงแรมได้ยังไงเนี่ย

ลู่หลินยิ้มขณะเดินไปข้างหน้า เป็นพวกเขานั่นแหละ พวกเขาถูกล้อมไว้ที่นี่เพราะมีภารกิจน่ะ ไม่นึกเลยว่าพวกเราจะได้เจอกัน เจ้าหนูสองคนนี้ดวงดีกันจริงๆ

ในตอนนี้ เหมาอวี่ก้าวไปข้างหน้า กล่าวว่า บอสครับ ที่นี่ไม่เหมาะจะอยู่นานๆ นะครับ

จ้านเป่ยเทียนพยักหน้า ขึ้นรถ

ลู่หลินชี้ไปที่รถคันสุดท้ายแล้วพูดว่า คุณผู้หญิงทั้งสี่คนขึ้นรถคันสุดท้ายนะครับ

พอหรงเสวี่ยได้ฟังก็รีบเข้าไปนั่งเบาะหน้าก่อนทันที

พวกเซี่ยเสี่ยวเสี่ยวไม่สนใจ เพราะพวกเธอก็ไม่อยากจะนั่งด้วยกันกับหรงเสวี่ยพอดี

หรงเอี๋ยนมองหรงเสวี่ยแล้วถอนหายใจ พลางส่ายหัว และเดินไปยังรถ

นาย[1]จะไปไหนจ้านเป่ยเทียนพลันพูดขึ้นมา

หรงเอี๋ยนสะดุ้งและหยุดชะงักฝีเท้า ชี้ไปที่รถคันสุดท้าย ไม่ใช่ว่าพวกผู้หญิงต้องนั่งรถคันสุดท้ายเหรอคะ

จ้านเป่ยเทียนพูดเบาๆ ว่า ผมไม่ได้หมายถึงคุณ

เขาหันกลับไปแล้วหิ้วมู่อี้ฟานที่อยากจะอัดขึ้นรถคันเดียวกับหรงเอี๋ยน นายจะไปไหน

มู่อี้ฟานชี้ไปทางหรงเอี๋ยน ฉันอยากนั่งรถคันเดียวกับเธอน่ะ

ลู่หลินหัวเราะเยาะ นายก็ฝันไปเถอะ

ใบหน้าจ้านเป่ยเทียนเย็นชา เขาหิ้วคนไปยังรถไฮคลาสที่ก่อนหน้านี้มู่อี้ฟานเป็นคนขับมา

ซุนจื่อหาวมองคนที่ถูกบอสหิ้วไป ดวงตาก็เบิกกว้างทันที เชี่ย! นั่นมันมู่อี้ฟานไม่ใช่เหรอ

ก่อนหน้านี้ คนคนนี้ยืนอยู่ด้านหลังบอสตลอด ดังนั้น เขาจึงไม่ได้สังเกตว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังจะเป็นมู่อี้ฟานไปได้

ลู่หลินเม้มปาก ก็เขานั่นแหละ ใช่แล้ว เซี่ยงกั๋วล่ะ? เซี่ยงกั๋วไม่ใช่บอกว่าถ้าเจอมู่อี้ฟานครั้งหน้าจะซัดเขาสักตั้งแน่ๆ ไม่ใช่เหรอ ทำไมฉันยังไม่เห็นเขาจะทำเลย

เหมาอวี่กล่าวว่า วันนี้เป็นตาของเซี่ยงกั๋วที่จะต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของวิลลาน่ะ ดังนั้น ครั้งนี้จึงไม่ได้มาด้วย เอาละ ถ้ามีอะไรจะพูด กลับไปก่อนค่อยพูดเถอะ ตอนนี้มู่อี้ฟานมีบอสดูอยู่ เชื่อเถอะว่าเขาหนีไม่พ้นหรอก

มู่อี้ฟานหนีไม่พ้นจริงๆ เพราะพอจ้านเป่ยเทียนขึ้นรถก็พูดว่า เจิ้งกั๋วจงถูกฉันเชิญมาที่วิลลาที่นายอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้ในฐานะแขกแล้ว

พอมู่อี้ฟานได้ฟังก็ถามอย่างกังวลว่า เจียหมิงล่ะ นายได้ทำอะไร เจียหมิงไหม

จ้านเป่ยเทียนเหลือบมองเขา ไม่ได้ตอบคำถาม สตาร์ตรถและขับตามขบวนรถออกจากโรงแรมไป

ตลอดทางทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรอีก ทำให้บรรยากาศในรถเงียบเป็นพิเศษ

มู่อี้ฟานอดไม่ได้ที่จะลอบมองจ้านเป่ยเทียนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเฉยชา หลังจากนั้นก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองโง่งมขึ้นมา

ตอนนี้พัฒนาการของพล็อตเกือบจะออกนอกวงโคจร ต่อจากนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระเอกจะทำอะไรกับเขา อย่างไรก็ตาม จากความเกลียดชังที่พระเอกมีต่อมู่อี้ฟานคนเดิม พระเอกน่าจะไม่เป่าหัวเขาเพียงกระสุนนัดเดียวให้ตายไปอย่างสบายนักหรอก

พูดอีกอย่างก็คือ มันมีโอกาสเป็นแบบในนิยาย ที่อีกฝ่ายจะทรมานเขาทีละนิดอย่างช้าๆ

ดังนั้น เขาจึงรู้สึกขอบคุณมากที่ตอนนี้ตัวเองไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ ไม่ว่าพระเอกจะทำอะไรกับเขาก็ไร้ประโยชน์ เว้นแต่จะเป่าหัวเขา หรือรอให้เขาเป็นซอมบี้ระดับสูงแล้วค่อยทรมานเขาทีหลัง

หนึ่งชั่วโมงต่อมา รถก็แล่นมาถึงประตูเขตวิลลาที่มู่อี้ฟานเคยอาศัยมาก่อน ทุกคนจำต้องลงจากรถเพื่อทำการตรวจสอบ

ผู้รับผิดชอบการตรวจเดิมเป็นคนของจ้านเป่ยเทียน โดยปกติก็ไม่ได้ลำบากใจอะไร แค่ต้องตรวจให้แน่ใจว่าทุกคนไม่ได้รับบาดเจ็บหรือติดเชื้อถึงจะปล่อยให้พวกเขาเข้าไปข้างในได้

สวนในเขตวิลลายังเหมือนเดิมทุกอย่าง และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แถวบริเวณสวนมีทหารจำนวนมากจัดตั้งทีมลาดตระเวนไปทุกหนทุกแห่งเพื่อปกป้องความปลอดภัยของเขตวิลลา

เมื่อพวกเขาเห็นขบวนรถของจ้านเป่ยเทียนกลับมาแล้ว พวกเขาก็หยุดเคลื่อนไหวทันที ทำความเคารพผู้คนในรถทีละคน พร้อมทั้งเดินไปด้านข้างเพื่อหลีกทางให้กับขบวนรถ

ต่อจากนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนอย่างมีความสุขจากที่ไกลๆ ว่า ท่านพลตรีกลับมาแล้ว เป็นพวกท่านพลตรีที่กลับมา

หลายคนวิ่งออกมาจากวิลลาทักทายพวกเขา

มู่อี้ฟานเห็นเจิ้งกั๋วจงยืนรออยู่ที่ประตู พอรถจอด เขาก็ลงจากรถ ทันที แล้ววิ่งไปหาเจิ้งกั๋วจง

เจิ้งกั๋วจงก็มองไปที่รถของมู่อี้ฟานด้วย แล้วรีบพุ่งเข้าไปกอดมู่อี้ฟานที่ลงมาจากที่นั่งบนรถแล้วพูดว่า มู่มู่ ดีจังเลย เห็นว่าคุณไม่เป็นไรก็ดีแล้ว

มู่อี้ฟานถามอย่างกังวลว่า หมอเถื่อน เจียหมิงล่ะ? เจียหมิงไม่เป็นอะไรใช่ไหม

เขากังวลว่าจ้านเป่ยเทียนจะลงมือกับเจียหมิง เพราะเจียหมิงมีความสัมพันธ์กับเขา

เจิ้งกั๋วจงเห็นว่ามู่อี้ฟานกังวลในความปลอดภัยของลูกชายของเขามาก จึงยิ้มด้วยความพอใจและปลอบโยนคนตรงหน้า คุณวางใจเถอะ เจียหมิงไม่เป็นไรหรอก

มู่อี้ฟานถอนหายใจอย่างโล่งอก เป็นอย่างนั้นก็ดีแล้ว ตอนนี้เจียหมิงอยู่ที่ไหนเหรอ

เจิ้งกั๋วจงมองไปรอบๆ เห็นคนเยอะเกินไปก็กระซิบว่า ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับพูดคุย ตามผมมา

เขาพามู่อี้ฟานเข้าไปในวิลลาที่อีกฝ่ายเคยอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้

มู่อี้ฟานมองเครื่องตกแต่งในห้องโถงด้วยความรู้สึกซับซ้อน เขาคาดไม่ถึงว่า ผ่านไปกว่าครึ่งเดือนแล้ว ที่นี่ยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย

เจิ้งกั๋วจงพาเขาไปยังห้องพักบนชั้นสอง นี่คือห้องที่พลตรีจ้านจัดให้ผม

มู่อี้ฟานมองห้องที่จ้านเป่ยเทียนเคยอยู่ก่อนหน้านี้ และกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า เขาให้คุณอยู่คนเดียวเหรอ

จากสถานการณ์ปัจจุบัน ห้องควรมีขนาดกะทัดรัดมากถึงจะถูกสิ จะยอมให้เจิ้งกั๋วจงอยู่คนเดียวได้อย่างไร แถมสถานะยังดีกว่าพวกลู่หลินเสียอีก

มู่อี้ฟานจำสิ่งที่เขาบรรยายในนิยายได้ว่า เนื่องจากพื้นที่ปลอดภัยมีขนาดกะทัดรัด ดังนั้น ทุกคนจึงต้องอยู่ห้าหกคนในห้องเดียวกัน

ผู้ที่มีความสามารถแข็งแกร่งมากกว่า หรือมีสถานะสูงกว่าในทีมเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้อยู่สองคนในห้องเดียวกันอย่างเช่นพระเอก ซึ่งเจิ้งกั๋วจงกลับมีห้องเป็นของตัวเอง

เจิ้งกั๋วจงปิดประตูห้อง พาเขานั่งลงบนเตียงจึงเอ่ยว่า ใช่ ที่นี่มีผมคนเดียวที่อยู่ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันครับ ถึงยังไงคนที่ส่งผมมาที่นี่ก็สุภาพกับผมมาก พอมาถึงก็จัดให้ผมอยู่คนเดียวทันที จากนั้นผมก็สอบถามได้ว่า คนอื่นๆ ต่างอยู่ในห้องเดียวกันหกเจ็ดคน ถ้าเป็นห้องใหญ่ก็เป็นสิบ หรือสิบห้าคนต่อห้องครับ

แล้วคุณโดนจับมาได้ยังไง? เจียหมิงไม่ได้มาด้วยกันเหรอ

เจิ้งกั๋วจงถอนหายใจ หลังจากคุณไปไม่นาน พลตรีจ้านก็พาคนกลุ่มหนึ่งมาที่บ้านของผม ผมกลัวพวกเขาจะทำร้ายเจียหมิง จึงมาที่นี่โดยสมัครใจน่ะครับ

ก็หมายความว่าเจียหมิงไม่เป็นอะไรใช่ไหม

ไม่น่าจะมีอะไรนะ ก่อนออกไป พลตรีจ้านสัญญากับผมว่า ระหว่างที่ผมอยู่ที่นี่ เจียหมิงจะไม่บาดเจ็บ

มู่อี้ฟานรู้สึกโล่งใจหลังจากได้ยินสิ่งนี้ ถ้าอย่างนั้นคุณก็วางใจได้ ในเมื่อจ้านเป่ยเทียนให้สัญญากับคุณไว้แล้ว เขาจะทำมันอย่างแน่นอน จะไม่กลับคำพูดเด็ดขาด

เจิ้งกั๋วจงกระชากเสียงด้วยความโกรธ คุณช่างเชื่อมั่นในผู้ชายของคุณจริงๆ!

มู่อี้ฟานกลอกตา ผู้ชายของฉันอะไรเล่า อย่าใช้คำซี้ซั้วน่า โอเค้? ฉันบอกกับคุณได้แค่ว่า ฉันกับเขาในตอนนี้คือศัตรูกัน

ผมไม่เชื่อ

เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่เลย

ถ้าเขาถือว่าคุณเป็นศัตรู จะพาผมมาที่นี่เพื่อดูแล...

ก่อนที่เจิ้งกั๋วจงจะพูดจบ ประตูห้องก็ถูกเคาะ


[1] nǐ แปลว่า คุณ, เธอ, นาย และอื่นๆ ตามบริบทในการสนทนา ดังนั้น หรงเอี๋ยนจึงเข้าใจผิดว่าจ้านเป่ยเทียนเรียกตัวเอง


 

บทที่ 87 นายกลัวอะไร

คนที่เคาะประตูคือทหารที่ส่งอาหารให้เจิ้งกั๋วจง อาหารที่ส่งมาคือเนื้อหนึ่งอย่าง ผักหนึ่งอย่าง และซุปหนึ่งอย่าง ซึ่งสำหรับวันสิ้นโลกแล้วถือว่าเป็นอาหารที่ไม่เลวเลยทีเดียว

มู่อี้ฟานก็ไม่ได้รบกวนการกินอาหารของเจิ้งกั๋วจง ยันมือสองข้างไว้บนเตียง พยายามลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งพยุงเอว อีกข้างกุมท้องเดินไปที่ประตู

ทันใดนั้นเสียง อุ๊ปส์ก็ดังมาจากด้านหลัง เจิ้งกั๋วจงอดหัวเราะไม่ได้ เมื่อมองอย่างไรท่าทางเขาก็ดูเหมือนหญิงมีครรภ์จริงๆ

มู่อี้ฟานหันกลับไปอย่างสงสัย หมอเถื่อน คุณหัวเราะอะไร

เจิ้งกั๋วจงกลั้นยิ้มแล้วโบกมือ ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ผมกินข้าวน่ะ กินข้าว

มู่อี้ฟานเดินออกจากห้องอย่างอธิบายไม่ถูก และเดินไปยังห้องที่เขาเคยอยู่

ขณะที่เขากำลังผลักประตู ก็ได้ยินเสียงทหารจากด้านหลังหยุดเขาไว้ คุณผู้ชายท่านนี้ ห้องนั้นนอกจากท่านพลตรีแล้ว ไม่ว่าใครก็เข้าไปไม่ได้ครับ

หือ?” มู่อี้ฟานผงะ

ให้เขาเข้าไปเสียงทุ้มต่ำดังมาจากบันได

ทหารหันหน้าไปและเห็นจ้านเป่ยเทียนอยู่หน้าบันได จึงทำความเคารพทันที ท่านพลตรี

จ้านเป่ยเทียนพูดเบาๆ ว่า นายลงไปก่อน

ครับ

มู่อี้ฟานผลักประตูเข้าไป เห็นห้องที่เขาเคยอยู่มาครึ่งเดือนกว่าก็รู้สึกสะเทือนใจ ไม่คิดเลยว่าหลังจากเดินเป็นวงกลม[1]อยู่นาน เขาก็ได้กลับมาที่นี่สักที

จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าจ้านเป่ยเทียนอยู่ข้างนอก จึงรีบปิดประตู โดยไม่คาดคิดว่าจะถูกจ้านเป่ยเทียนเอามือกันไว้อย่างเร็ว

มู่อี้ฟานกังวลว่ามันอาจหนีบนิ้วของจ้านเป่ยเทียนจึงปล่อยมือที่ปิดประตูออก กุมท้องและเดินไปทางเตียงอย่างยากลำบากทีละก้าว

สมควรตาย นับวันท้องยิ่งหนักจังโว้ย

ทันทีที่จ้านเป่ยเทียนเข้ามา ก็เห็นมู่อี้ฟานกุมท้องพยายามเดินไปถึงเตียงแล้วนั่งลง ถอดรองเท้า และนอนลงบนเตียง

มู่อี้ฟานหาท่านอนที่สบายได้แล้ว จึงพูดกับจ้านเป่ยเทียนที่เข้ามาว่า ฉันรู้สึกว่าเป็นเพราะลูกปัดของนายที่ทำให้ฉันท้องโตขนาดนี้ ดังนั้น ฉันจะไม่ขัดขืนอีกต่อไปถ้านายจะผ่าท้องของฉัน นายสามารถหาเวลาเอามันออกได้เลย ไม่อย่างนั้น ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันจะเดินไม่ไหวแล้ว

จ้านเป่ยเทียนมองหน้าท้องของอีกฝ่ายที่ดูใหญ่ขึ้นเพราะนอนลง ไม่ได้พูดเรื่องว่าจะเอาฉิงเทียนจูออกมาหรือไม่ เขาเดินมาถึงเตียงก็นั่งลง เอ่ยเสียงเย็นว่า นายควรอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างกับฉันไหม วันเช็งเม้งวันนั้น ทำไมนายถึงปรากฏตัวอยู่...

ก่อนที่เขาจะพูดจบ คนบนเตียงก็หลับตาไปแล้ว เสียงกรนเบาๆ ดังขึ้นมา

จ้านเป่ยเทียน “...”

หลับไปเร็วขนาดนี้เชียว?

จ้านเป่ยเทียนมองใบหน้าของมู่อี้ฟานแล้วหรี่ตาลง

ใบหน้านี้ทำให้เขาเกิดความคิดอยากจะฆ่าคนจริงๆ ทว่าใบหน้านี้ กลับมีความแตกต่างขนานใหญ่กับใบหน้าซึ่งเกลียดเข้ากระดูกดำที่ประทับในใจของเขา

เมื่อเทียบกับใบหน้าร้ายกาจโหดเหี้ยมที่รู้จักเมื่อชาติก่อนกลับดูหวานกว่ามาก แถมโครงร่างก็ดูนิ่มนวลกว่าราชาซอมบี้ที่เขารู้จักหนึ่งส่วนด้วย

อีกทั้งสีผิวก็ขาวนุ่มนิ่มขึ้นมากเช่นกัน จุดนี้คือส่วนที่มู่อี้ฟานเปลี่ยนไปมากที่สุด สาเหตุน่าจะมาจากการแช่น้ำพุในมิติ ปลายจมูกสวยได้รูปรับกับริมฝีปากบางซีดอย่างลงตัว

นอกจากนี้ ตัวคนยังเผยให้เห็นบุคลิกอันกระฉับกระเฉงปราดเปรียวซึ่งแตกต่างจากราชาซอมบี้ที่เขารู้จัก ที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยความโหดร้ายและมืดมน

จ้านเป่ยเทียนยกหลังนิ้วของเขาขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ไล้ใบหน้าขาวซีดของมู่อี้ฟานเบาๆ เคลื่อนลงไปยังส่วนลำคอ ทันใดนั้นสายตาของเขาก็เฉียบคมขึ้น นิ้วทั้งห้าบีบลูกกระเดือกของอีกฝ่าย พูดอย่างเยือกเย็นว่า ถ้ายังแกล้งหลับต่อไป ฉันจะบีบคอนายให้หัก

มู่อี้ฟานเห็นว่าไม่สามารถแสร้งได้อีกต่อไป จึงลืมตาขึ้นและยิ้มหน้าเจื่อน ฉันเป็นซอมบี้ หักคอฉันไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก

อันที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากแกล้งทำเป็นหลับหรอก แต่เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องทุกอย่างเช่นไรจริงๆ ดังนั้น จึงได้แต่แสร้งทำเป็นหลับเท่านั้น

ประกายเย็นชาวาบผ่านนัยน์ตาจ้านเป่ยเทียน มู่อี้ฟาน วันหลังอย่าให้ฉันได้ยินคำว่า ซอมบี้ สองคำนี้จากปากนายอีก

มู่อี้ฟานมองเขาอย่างหดหู่ ไม่พูดสองคำนี้ แล้วจะพูดอะไรล่ะ ถ้ามีวันหนึ่งเจอพวกมัน ตอนที่ต้องการจะเตือนคนอื่น ฉันควรพูดว่ายังไงเล่า บอกพวกเขาว่า พวกเพื่อนตัวน้อยของฉันจะมาแล้ว วิ่งเร็ว แบบนี้เหรอ?”

“...” จ้านเป่ยเทียนเม้มริมฝีปาก เอ่ยว่า นายสามารถพูดสองคำนี้ กับคนอื่นได้

หลังจากพูดประโยคนี้จบ เขาก็ขมวดคิ้วแน่นอย่างอดไม่ได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมตัวเองต้องคุยเรื่องนี้กับเขาด้วย

จ้านเป่ยเทียนยืนขึ้น ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป นายก็ต้องออกไปทำภารกิจหาเสบียงด้วยกันกับทหารด้วย

มู่อี้ฟานมองเขาหน้ามุ่ย นายแน่ใจนะ?”

หลังจากนั้นเขาก็ยื่นหน้าท้องป่องๆ ออกมา นายแน่ใจนะว่าจะให้ฉันไปจริงๆ? นายไม่กลัวฉันจะเป็นตัวถ่วงหรือไง

ทำไมต้องกลัว? ถึงตอนนั้นก็โยนนายไปที่นั่น พวกเราก็ไปต่อได้แล้ว ถึงยังไงก็ไม่ต้องกลัวว่าพวกมันจะกัดนาย

มู่อี้ฟานสวนกลับทันที ใครบอกว่าฉันไม่กลัว

จ้านเป่ยเทียนมองเขาแปลกๆ นายกลัวอะไร?”

ถึงแม้ก่อนหน้านี้พวกมันจะเป็นมนุษย์ แต่นายไม่คิดเหรอว่าตอนนี้พวกมันหน้าตาน่ากลัวเกินไป? โดยเฉพาะตอนมันโผล่ออกมาจากมุมถนน หรือหลังประตู หรือที่ที่นายมองไม่เห็นน่ะ ฉันจะรู้สึกกลัวมาก ยังมี ยังมี...

“...” เป็นครั้งแรกที่จ้านเป่ยเทียนได้ยินว่าซอมบี้กลัวซอมบี้ แถมเป็นซอมบี้ระดับกลางกลัวซอมบี้ระดับต่ำเสียด้วย

เขาไม่คิดจะฟังมู่อี้ฟานพูดต่อไป ทิ้งท้ายไว้ว่า พรุ่งนี้เช้าออกไปทำภารกิจก่อนออกจากห้องเพื่อไปจัดการเรื่องต่างๆ พอถึงสามทุ่มก็กลับห้องไปนอน

เช้าวันรุ่งขึ้น จ้านเป่ยเทียนปลุกมู่อี้ฟานขึ้นมาเพื่อให้ลงมากินมื้อเช้า

เหมาอวี่และลู่หลินที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหาร พวกเขาต่างมองบอสตัวเองและมู่อี้ฟานออกมาจากห้องที่มู่มู่เคยอยู่ด้วยดวงตาเบิกกว้าง

บอสไม่ให้ใครเข้าไปในห้องมู่มู่ไม่ใช่เหรอซุนจื่อหาวกระซิบ มู่อี้ฟานเข้าไปได้ยังไงกัน

ตั้งแต่มู่มู่จากไป บอสก็ไม่ยอมให้ใครเข้าไปอีกเลย แม้กระทั่งยามทำความสะอาดห้อง เขาก็เป็นคนลงมือทำด้วยตัวเอง

เหมาอวี่กล่าวว่า มู่อี้ฟานไม่เข้าไปไม่ได้หรอก เจ้าหมอนี่มีแค่บอสที่จับตาดูเขาได้

ฉันละไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมบอสถึงพาเขากลับมาด้วย ไม่กลัวเขาแว้งกัดพวกเราอีกหรือประโยคนี้เป็นเซี่ยงกั๋วพูด เขาเพิ่งมารู้ตอนเช้านี้ว่า บอสพามู่อี้ฟานกลับมาที่วิลลาด้วย

พอได้แล้ว อย่าพูดเรื่องไร้สาระอีกเลย อย่าลืมว่าบนโต๊ะยังมีคนหนึ่งค่อยเป็นหูเป็นตาให้มู่อี้ฟานอยู่ลู่หลินเตือนพวกเขาว่าอย่าพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา

สายตาคนสิบกว่าคนที่นั่งอยู่ต่างจ้องไปทางเจิ้งกั๋วจงที่กำลังยิ้มตาหยีมองมู่อี้ฟานลงมายังชั้นล่าง

ความสนใจของเจิ้งกั๋วจงอยู่ที่มู่อี้ฟานทั้งหมด มองท่าทางที่เขาอุ้มท้องโตๆ ขณะเอียงตัวลงมาด้านล่าง เขาก็เกิดอยากหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

พอมู่อี้ฟานลงมาก็ไปนั่งข้างเจิ้งกั๋วจง ห่างจากที่นั่งจ้านเป่ยเทียน หลายที่

เนื่องจากจ้านเป่ยเทียนอยู่ด้วย คนอื่นๆ จึงไม่อาจพูดจาเยาะเย้ยมู่อี้ฟานได้ จึงได้แต่ใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวจ้องเขาเขม็ง ถ้าหากสายตาสามารถฆ่าคนได้ ร่างของมู่อี้ฟานคงถูกยิงจนพรุนไปกี่รูแล้วก็ไม่รู้ในตอนนี้

จ้านเป่ยเทียนนั่งลงบนที่นั่งหลัก หยิบตะเกียบคีบซาลาเปานึ่งขึ้นมากัดหนึ่งคำ

คนอื่นๆ เห็นบอสกินซาลาเปาไปคำหนึ่งแล้วก็เริ่มจับตะเกียบกันทีละคน นอกจากนี้พวกเขาต่างประสานงานกันดีมาก เพราะส่วนของมื้อเช้าสองสามอย่าง เช่น ซาลาเปานึ่ง หมั่นโถว และผัดหมี่ที่อยู่ด้านหน้าของมู่อี้ฟานถูกกวาดเรียบทั้งหมด

มู่อี้ฟานรู้ว่าพวกเขาเจตนา แต่ก็ไม่ได้ไปสนใจนัก ถึงอย่างไรเขาก็ไม่จำเป็นต้องกินอยู่แล้ว เลยเล่นตะเกียบอย่างเซ็งๆ อยู่อย่างนั้น

เมื่อทุกคนรับประทานอาหารไปได้พอสมควรแล้ว ก็มีเสียงเอะอะจากนอกประตูดังลอดเข้ามา

จ้านเป่ยเทียนขมวดคิ้ว

เหมาอวี่ลุกขึ้นทันที ฉันจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น

มู่อี้ฟานที่เบื่อหน่ายก็ยืนขึ้น ฉันจะไปดูด้วย

พอทั้งสองออกไปก็ได้ยินเสียงโวยวายของผู้หญิง ฉันชื่อหรงเสวี่ย ฉันต้องการพบคุณจ้าน ขอแค่พวกนายบอกคุณจ้านว่าคุณหรงมาหาเขา เขาจะออกมาพบฉันแน่นอน

ทหารที่เฝ้าประตูไม่ขยับ ยึดมั่นในหน้าที่ และไม่ปล่อยให้หรงเสวี่ยเข้ามา

หรงเสวี่ยโกรธมาก ฉันเป็นเพื่อนท่านพลตรีของพวกนาย พวกนายไม่ปล่อยฉันเข้าไป ท่านพลตรีของพวกนายจะลงโทษพวกนายแน่

เหมาอวี่ที่เพิ่งเดินออกมาจากประตูได้ยินสิ่งที่หรงเสวี่ยพูดก็แค่นเสียงอย่างเย็นชา เดินไปยังประตูแล้วถามว่า มีอะไรกันเหรอ

ทหารที่เฝ้าประตูเอ่ยทันทีว่า รายงานร้อยเอกเหมา พอผู้หญิงคนนี้มาที่นี่ก็โวยวายให้พวกเราเตรียมโจ๊กรังนกให้เธอ แต่พวกเราไม่สนใจเธอ เธอเลยจะขอพบท่านพลตรีน่ะครับ

โจ๊กรังนก?” เหมาอวี่ยิ้มเย็นชา เวลานี้ยังคิดจะกินโจ๊กรังนกเนี่ยนะ

เมื่อหรงเสวี่ยรู้ว่าเป็นร้อยเอกของอีกฝ่าย ท่าทีก็เปลี่ยนเป็นดีขึ้นมาทันที ที่ฉันบอกเมื่อกี้ว่าอยากกินโจ๊กรังนกเป็นแค่ข้ออ้างค่ะ จริงๆ แล้ว ฉันอยากพบท่านพลตรี

เหมาอวี่พูดเสียงเรียบว่า พลตรีจ้านไม่มีเวลามาพบคุณหรอก

คุณ...

ในเวลานั้นเอง ก็มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่แต่งตัวเรียบๆ ถือชามเดินมาหา เสวี่ยเอ๋อร์ หยุดสร้างปัญหาเถอะนะ พวกเรากลับไปกินโจ๊กกันนะลูก ลูกดูสิ แม่เพิ่มผักดองใส่ในโจ๊กให้ลูกด้วย...

หรงเสวี่ยมองผักดองเส้นสีแดงๆ ที่ใส่ในโจ๊กก็ขมวดคิ้วด้วยความขยะแขยง และพูดอย่างโกรธๆ ว่า ฉันไม่อยากกินอาหารขยะนี่หรอก

คำพูดนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ ณ ตรงนั้นโกรธทันที

หรงเสวี่ยกลับไม่รู้เลยว่ามีคนมากมายเท่าไรที่เดือดกับคำพูดนี้ของตัวเอง เห็นมู่อี้ฟานยืนอยู่ในวิลลา ดวงตาพลันเปล่งประกายขึ้น รีบโบกมือให้มู่อี้ฟานอย่างรวดเร็ว คุณมู่คะ คุณมู่

เธอผลักทหารที่หยุดเธอออกไป แล้วพุ่งไปอยู่ข้างกายมู่อี้ฟาน ดึงแขนเสื้อของเขา พูดอ้อนๆ ว่า คุณมู่คะ พาฉันไปพบคุณจ้านหน่อยได้ไหมคะ?”

มู่อี้ฟานเลิกคิ้ว รับไม่ได้ที่ผู้หญิงหน้าเหมือนพี่สาวของเขาคนนี้ทำตัวออดอ้อนเขาจริงๆ ขณะกำลังคิดจะปฏิเสธก็ได้ยินลู่หลินที่เดินออกมาจากด้านหลังพูดว่า หากคุณอยากจะเจอท่านพลตรี รอตอนออกไปหาเสบียงด้วยกันก็ได้เจอแล้ว




[1] เดินเป็นวงกลม เป็นคำอุปมา หมายถึง การอ้อมไปอ้อมมา (ตามสถานการณ์)


 

บทที่ 88 อย่าพูดไร้สาระกับเขา

พอหรงเสวี่ยได้ยินว่าจะได้เจอจ้านเป่ยเทียน ก็ไม่สนคำห้ามปราม ของแม่แท้ๆ ตัวเอง และไม่สนใจความหมายของการหาเสบียงเลย เธอฟังแต่สิ่งที่ลู่หลินบอก และตามทหารกลุ่มหนึ่งขึ้นรถบรรทุกใหญ่ไป

ในตอนเริ่มต้น เธอรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะในไม่ช้าเธอก็จะได้เจอจ้านเป่ยเทียนแล้ว

แต่เมื่อเธอเห็นว่าสิ่งที่จ้านเป่ยเทียนนั่งคือรถออฟโรด แถมทั้งทีม ไม่ใช่ทหารก็เป็นผู้ชาย ในใจเธอจึงรู้สึกหวาดกลัวมาก

โดยเฉพาะเมื่อเห็นซอมบี้กลุ่มใหญ่ไล่ตามหลังรถ ทั้งร่างก็สั่นไม่หยุด

กระทั่งมาถึงที่หมาย ถึงได้สติกลับมา เธอรีบลงจากรถเร็วๆ และพุ่งไปหาจ้านเป่ยเทียน คุณจ้านคะ ฉันมีบางอย่างจะบอกคุณค่ะ

จ้านเป่ยเทียนไม่แม้แต่จะเหลือบสายตามองเธอ ตั้งใจฟังลู่หลินรายงาน หนึ่งในกลุ่มผู้รอดชีวิตที่ถูกช่วยเหลือจากทหารเมื่อคืนวานนี้เป็นเจ้าหน้าที่ยุ้งฉางครับ ตามที่เขาว่ามา โกดังใต้ดินที่นี่เก็บธัญพืชมากกว่าแสนตันไว้ครับ

เหมาอวี่กระซิบ ธัญพืชมากกว่าแสนตัน? เยอะพอดูนะนั่น แล้วทำไมไม่มีใครมานำอู่ข้าวอู่น้ำลอตใหญ่นี้ออกไปเลยล่ะ

เจ้าหน้าที่คนนั้นบอกว่า ซอมบี้ของที่นี่ดุร้ายมาก คนที่มาที่นี่เกือบทั้งหมดต่างเสียชีวิตที่นี่ครับ เขาจึงเชื่อว่า มีเพียงกองกำลังขนาดใหญ่อย่างกองทัพพวกเราเท่านั้นถึงจะนำธัญพืชจำนวนมากนี้ออกไปได้น่ะครับ

มู่อี้ฟานขมวดคิ้วแน่น

ในนิยายของเขา ไม่มีการบรรยายถึงเรื่องที่พระเอกมายุ้งฉางเพื่อหาเสบียงเลย

อย่างไรก็ตาม พล็อตมันผิดเพี้ยนจนย่อยยับแล้ว เรื่องต่างๆ มันอยู่เหนือขอบเขตจากที่เขารู้ก็ไม่เห็นแปลกอะไร

คุณจ้าน ฉันมีบางอย่างจะบอกคุณค่ะหรงเสวี่ยที่ถูกทหารกันไว้รีบตะโกนขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีใครสนใจเธอ

จ้านเป่ยเทียนกวาดตามองรอบๆ ก็ไม่เห็นแม้แต่ซอมบี้สักตัว จึงเม้มริมฝีปาก เจ้าหน้าที่คนนั้นบอกว่าซอมบี้ที่นี่ดุมากใช่ไหม เขาคนนั้นบอกหรือเปล่าว่าดุขนาดไหน

เขาก็ไม่ค่อยแน่ใจนักเหมือนกันครับ เรื่องนี้เขาฟังจากคนที่เคยมายุ้งฉางเล่ามาอีกทีน่ะครับลู่หลินยื่นกระดาษวาดเขียนในมือให้จ้านเป่ยเทียน นี่คือพิมพ์เขียวยุ้งฉางที่เจ้าหน้าที่คนนั้นนำออกมาในคืนนั้นได้ครับ

จ้านเป่ยเทียนรับมาดูต่อ

หรงเสวี่ยถือโอกาสตะโกนขึ้นอีกครั้ง คุณจ้านคะ จ้านเป่ยเทียน...

มู่อี้ฟานเห็นหรงเสวี่ยพยายามเรียกจ้านเป่ยเทียนอย่างไม่ลดละ จึงพบว่านางร้ายในนิยายของเขาช่างน่ารำคาญมากจริงๆ

อย่างไรก็ตาม มันกลับทำให้นึกถึงญาติผู้พี่หญิงของเขา ญาติผู้พี่หญิงของเขาก็ชอบจ้านเป่ยเทียนเหมือนกัน แถมพอชอบแล้วก็ชอบมาเป็นสิบกว่าปี และครั้งหนึ่งในอดีต เธอยังเคยต้องการทอดไมตรีกับจ้านเป่ยเทียนหลายต่อหลายครั้งเช่นเดียวกับหรงเสวี่ยอีกด้วย

ดังนั้น การเห็นหรงเสวี่ยเป็นแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกเห็นใจเล็กน้อย จึงเอ่ยเสียงเรียกว่า คุณหนูหรง...

ไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร จ้านเป่ยเทียนก็เปิดปากขึ้นว่า มู่อี้ฟาน นายอยู่ทีมพวกลู่หลินนะ

หือ? โอ้มู่อี้ฟานหันไปมองลู่หลิน ลู่หลินก็จ้องเขาทันที

จ้านเป่ยเทียนพูดอีกครั้งว่า คุณหรง คุณอยู่กับผม ส่วนที่เหลือจัดทีมเหมือนครั้งก่อน

พอหรงเสวี่ยได้ยินว่าอยู่ทีมเดียวกับจ้านเป่ยเทียนก็คลี่ยิ้มทันที และพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

มู่อี้ฟานเห็นว่าหรงเสวี่ยมีความสุขแบบนี้ ก็ถอนหายใจภายในใจ ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจ้านเป่ยเทียนจะทรมานหรงเสวี่ยอย่างไรอีก ถึงอย่างไรพระเอกในนิยายก็ไม่คิดจะทำให้หรงเสวี่ยมีชีวิตดีขึ้น และจะไม่ทำให้เธอตายไปสบายเช่นกัน สรุปเลยนะว่าแค่จะทำให้เธอมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายก็เท่านั้นเอง

ต่อมา แต่ละทีมก็เข้าไปในยุ้งฉางใต้ดินด้วยกัน

ทันใดนั้นลมหนาวก็เข้าปะทะใบหน้า จ้านเป่ยเทียนรู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติอยู่ข้างใน ฝีเท้าจึงชะงักอย่างช่วยไม่ได้

คนอื่นๆ เห็นการเคลื่อนไหวของจ้านเป่ยเทียนก็ชะลอฝีเท้าลง

จ้านเป่ยเทียนมองมู่อี้ฟาน

ทว่ามู่อี้ฟานกลับจ้องไปยังเส้นทางที่มืดมิด และพูดว่า ข้างในดูเหมือนจะมีซอมบี้จำนวนมาก

ซุนจื่อหาวยิ้มเยาะ ยังไม่ทันเข้าไป นายจะรู้ได้ยังไงว่าข้างในมีซอมบี้เท่าไร

มู่อี้ฟานแตะท้องป่องๆ ของเขาและไม่พูดอะไร

แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่ามีซอมบี้อยู่ข้างในกี่ตัว แต่กลับสัมผัสได้ว่ามีพวกเดียวกันอยู่หลายตัวข้างใน อีกอย่างลางสังหรณ์ประเภทนี้ยังไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน ซ้ำยังแรงกล้าอย่างมากเสียด้วย

จ้านเป่ยเทียนสีหน้าลังเล กำลังคิดว่าจะเข้าไปหรือไม่เข้าไปดี

เขาเหลียวกลับไปดูจำนวนทีมของเขา มีอยู่หลายร้อยคน นอกจากทหารมากกว่าหนึ่งโหลที่ไม่ได้รับการฝึกฝนจากเขา คนอื่นๆ ทั้งหมดต่างเป็นนักรบชั้นยอด การรับมือกับซอมบี้ที่ไม่มีความสามารถน่าจะเหลือเฟือแล้ว

ทุกคนระวังตัวด้วยจ้านเป่ยเทียนสั่งการลงไป

รับทราบ

ทางเดินที่ทอดยาวทำให้ผู้คนรู้สึกเหน็บหนาวอย่างยิ่ง และเพราะในทางเดินมันวังเวงเกินไป เสียงฝีเท้าจึงเกิดสะท้อนอยู่ในทางเดิน

แสงไฟข้างหน้ามืดสลัว ทุกคนเพิ่มความระมัดระวัง ใจมันจุกอยู่ในลำคอ และกลัวว่าจู่ๆ จะมีซอมบี้สักตัวโผล่มาข่วนหรือกัดตน

ทันใดนั้นจ้านเป่ยเทียนก็พบว่าแขนซ้ายเจ็บอยู่เล็กน้อย พอหันไปก็เห็นหรงเสวี่ยจับแขนซ้ายของเขาแน่นไม่ปล่อยเพราะหวาดกลัว

สีหน้าเขาเย็นชา กำลังคิดจะดึงมือของหรงเสวี่ยออก แต่กลับนึกขึ้นได้ทันทีว่ามีใครบางคนดูเหมือนจะเคยบอกไว้ว่า เขากลัวมากเหมือนกันเมื่อเห็นซอมบี้อยู่ๆ ก็โผล่ออกมา

จ้านเป่ยเทียนหันกลับไปมองมู่อี้ฟาน

เป็นไปตามคาด ฝ่ายนั้นกำลังกอดแขนลู่หลินไว้แน่น

ความสนใจของลู่หลินล้วนอยู่ข้างหน้า จึงไม่รู้ว่ามีคนกอดแขนเขาแน่น

ลู่หลิน

ลู่หลินได้ยินจ้านเป่ยเทียนเรียก เขาก็ได้สติกลับมาทันที อยู่นี่ครับ

ใบหน้าจ้านเป่ยเทียนเยือกเย็น เปลี่ยนตำแหน่ง

ครับเมื่อลู่หลินกำลังจะเดินไปหาจ้านเป่ยเทียน เขาเพิ่งจะสังเกตว่ามีใครบางคนกอดแขนเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

เขาหันไป พลันเห็นว่าคนที่กอดแขนเขาไว้คือมู่อี้ฟาน ใบหน้าก็มืดลง ฉันบอกนายเลยนะ เป็นผู้ชายตัวโตๆ เสียเปล่า จะมากอดแขนผู้ชายอีกคนได้ยังไง

มู่อี้ฟานปล่อยแขนลู่หลินโดยไม่พูดอะไร

คนอื่นๆ ก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะไปหยอกล้อมู่อี้ฟานในเวลานี้

จ้านเป่ยเทียนสลัดมือหรงเสวี่ยออก เดินไปข้างหน้ามู่อี้ฟาน บดบังการมองเห็นเบื้องหน้าของเขา กล่าวว่า เดินหน้าต่อ

รับทราบ

หลังจากเดินไปประมาณสามร้อยเมตร ทุกคนก็เห็นทางแยกห้าสาย จากนั้นตามการจัดสรรก่อนหน้านี้ แต่ละคนจึงพาทีมเข้าสู่เส้นทางสายเล็กๆ

มู่อี้ฟานและลู่หลินเดินไปประมาณยี่สิบเมตรก็หยุดชะงักเล็กน้อย มู่อี้ฟานพูดอย่างกระสับกระส่ายเล็กน้อยว่า ฉันรู้สึกว่าพวกเราอย่าเข้าไปจะดีกว่า

ลางสังหรณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ที่ทางเข้ายุ้งฉางยิ่งแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ เขารู้สึกว่าซอมบี้ข้างในไม่เพียงแต่มีจำนวนมาก แต่ยังไม่ใช่หมูๆ อีกด้วย ซึ่งน่าจะอยู่ในระดับกลางขึ้นไป หรืออาจจะสูงกว่านั้นก็ได้

ลู่หลินชะงักเท้าและหัวเราะเยาะ มู่อี้ฟาน ฉันพบว่าหลังจากนายปลดประจำการ คนไม่เพียงสมบูรณ์พูนสุข แม้แต่ความกล้าหาญก็ถดถอยไปด้วย ฉันคิดว่าเมื่อก่อนไม่ว่านายจะพบกับศัตรูน่ากลัวมากมายแค่ไหน นายก็ไม่เคยหวาดหวั่นแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้ล่ะ? ขนาดซอมบี้ยังไม่ทันเจอ นายก็พูดว่าจะกลับแล้ว? นายว่ามันไม่น่าขันไปหน่อยเหรอ

คนอื่นๆ ก็รู้สึกรำคาญเช่นกันเลยพูดว่า ถ้านายกลัวก็กลับไปเองเถอะ อย่ามาขวางมือขวางเท้าห้ามไม่ให้เราหาเสบียงที่นี่อีกเลย

มู่อี้ฟานเห็นทุกคนต่างผลักไสไล่ส่ง ในใจเขารู้สึกจนปัญญามาก

เขารู้ดีว่าสิ่งที่มู่อี้ฟานในอดีตทำทั้งหมดนั้น มันเกินไปจริงๆ แม้ตายไปสักร้อยครั้ง มันก็ไม่มีทางทำให้พวกลู่หลินคลายความเกลียดชัง ลงได้ ดังนั้น เขาจึงไม่อาจตำหนิพวกลู่หลินที่ชังน้ำหน้าเขาขนาดนี้ได้

บอสลู่ อย่าพูดไร้สาระกับเขาเลยครับ พวกเรารีบเข้าไปหาเสบียงแล้วรีบออกไปเถอะครับ

ลู่หลินเห็นว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับพูดคุย จึงเลิกสนใจมู่อี้ฟาน แล้วสั่งการให้เดินหน้าต่อไป

มู่อี้ฟานไม่สามารถหยุดพวกเขาได้ จึงได้แต่เดินตามไป

ทหารที่เดินอยู่ท้ายสุดเห็นมู่อี้ฟานพลางประคองเอว พลางกุมท้องไปด้วย ท่าทางการเดินดูเชื่องช้า เขาจึงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ไม่รู้ว่าท่านพลตรีคิดอย่างไร ทำไมถึงให้เขาตามมาด้วยนะ นายดูท่าทางเขาสิ ขนาดจะเดินก็ยังกินแรงมากขนาดนั้น ก็แค่มาเป็นตัวถ่วงนั่นแหละ

แม้ว่าเสียงพูดของเขาจะเบาที่สุดแล้ว แต่คนที่เดินอยู่ข้างหน้าก็ยังได้ยินชัดเจนอยู่ดี

ลู่หลินเหลือบมองตรงไปยังมู่อี้ฟานที่กระเตงท้องเดินอยู่ จึงพูดเสียงเย็นชาว่า มู่อี้ฟาน ถ้าเกิดนายพบเจอสถานการณ์ผิดปกติอะไร และนายวิ่งได้ไม่เร็วพอละก็ พวกเราก็จะไม่สนใจนายเลย

มู่อี้ฟานพลันชะงักฝีเท้า พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า ระวัง มีซอมบี้อยู่ข้างหน้า

ลู่หลินรีบยกไฟฉายขึ้นส่องด้านหน้าทันที ข้างในมีเนื้อที่กว้างมาก และเห็นถุงข้าวกองเป็นภูเขา แต่เขาก็ไม่เห็นซอมบี้ที่มู่อี้ฟานพูดถึง

นายเห็นซอมบี้?” ลู่หลินถามอย่างสงสัย

มู่อี้ฟานหาข้อแก้ตัวมั่วๆ อืม เมื่อกี้ดูเหมือนจะเห็นเงาซอมบี้น่ะ

ตอนซอมบี้เห็นมนุษย์ ไม่ใช่กระโจนเข้าหาเหรอ? จะซ่อนตัวไปทำไม

ฉันจะไปรู้ได้ยังไงเล่า

ถึงมู่อี้ฟานจะเอ่ยปากไปอย่างนั้น แต่ในใจจะไม่รู้สาเหตุเบื้องลึกได้อย่างไร ถ้าหากซอมบี้ระดับต่ำไม่พุ่งเข้ามาละก็ นั่นหมายความว่ามีซอมบี้ระดับสูงคอยควบคุมพวกมันอยู่ จุดนี้ก็คือสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด

ลู่หลินเองก็ไม่ใช่คนประเภทไม่เชื่อคำพูดของเขาเพราะมีอคติต่อมู่อี้ฟาน

เขาเห็นมู่อี้ฟานมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงหยิบปืนขึ้นมาทันที กระซิบว่า ทุกคนระวังตัวด้วย

คนอื่นๆ รีบหยิบปืนขึ้นมาแล้วเล็งไปข้างหน้า

ทุกคนเดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะปากอุโมงค์ทั้งสองด้าน ยิ่งเป็นทิศทางที่ปากกระบอกปืนของพวกเขาเล็งเตรียมพร้อม

ขณะพวกเขากำลังจะเดินออกจากปลายทางอุโมงค์ ทันใดนั้นเอง เงาหลายสายก็พุ่งเข้ามาหาพวกเขา


 

บทที่ 89 มีบางอย่างกำลังพุ่งเข้ามา

เหล่าทหารมีปฏิกิริยาเฉียบไวเป็นพิเศษ ในชั่วพริบตาที่ไฟฉายในมือส่องกระทบเงา เห็นเป็นซอมบี้ก็ยิงระเบิดสมองพวกมันโดยตรง

ซอมบี้ห้าตัวล้มลงกับพื้นทันที

เหล่าทหารถอนหายใจโล่งอกออกมา ไม่ใช่บอกว่าซอมบี้ไม่ฉลาดหรือ? จะไปรู้ได้อย่างไรว่ามันจะซ่อนตัวอยู่ประตูข้างกำแพงเพื่อโจมตีพวกเรา?”

ถ้าหากมู่อี้ฟานไม่ได้เตือนพวกเขาล่วงหน้า พวกเขาคงชะล่าใจเพราะคิดว่าซอมบี้ไม่มีสติปัญญา

ลู่หลินขมวดคิ้วแน่น ต่อไป พวกเรามีสมาธิจดจ่อกันสักหน่อย

ครับ

ลู่หลินมองมู่อี้ฟาน หลังเห็นว่าสองมือเขาว่างเปล่าก็คิ้วขมวดแน่น มู่อี้ฟาน นายไปอยู่ด้านหลังของทีม

“...” มู่อี้ฟานเดินไปด้านหลังของทีมอย่างเชื่อฟัง

ลู่หลินส่งสัญญาณให้ทหารที่อยู่ข้างหลังเล็งปืนไปที่ประตูทั้งสองด้าน ส่วนเขามีหน้าที่พุ่งเข้าไปทีละสเต็ป หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีซอมบี้อยู่ด้านหลังประตูถึงให้คนในทีมเข้ามา

ทุกคนเดินอยู่ในโกดังขนาดใหญ่รอบหนึ่งอย่างระมัดระวัง หลังจากแน่ใจว่าไม่มีซอมบี้แล้ว จึงหาวิธีขนข้าวออกไป

มู่อี้ฟานขมวดคิ้ว หยิบไฟฉายขึ้นส่องบริเวณโดยรอบ

ในยุ้งฉาง นอกจากข้าวสารในกระสอบที่วางไว้อย่างเป็นที่เป็นทางแล้ว ยังมีข้าวสารกองเท่าภูเขาที่ยังไม่ได้ใส่ในกระสอบด้วย ทั้งยังไม่มีร่องรอยของซอมบี้ตัวอื่นเลย

แต่ว่าเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีซอมบี้จำนวนมากอยู่ในยุ้งฉาง ทำไมถึงมีเพียงห้าตัวที่ประตูล่ะ

จนถึงตอนนี้ ลางสังหรณ์ที่รุนแรงนั้นยังคงดังในหัวของเขา บ่งบอกว่ามีซอมบี้อยู่รอบๆ แต่พวกมันซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกันล่ะ

มู่อี้ฟานไม่ตายใจ หยิบไฟฉายส่องดูรอบๆ อีกครั้ง ในที่สุดแสงไฟฉายของเขาก็หยุดอยู่ที่กองภูเขาข้าวสาร

เขารีบหันหน้าไปมองลู่หลินอย่างรวดเร็ว กำลังอยากจะให้ลู่หลินและคนอื่นๆ ระวังตัวสักหน่อย แต่กลับได้ยินลู่หลินตะโกนอย่างหมดความอดทนว่า มู่อี้ฟาน ไฟฉายนายน่ะอย่าส่องมั่วๆ จะได้ไหม มันแยงตาพวกเราหมดแล้ว

ขอโทษด้วยมู่อี้ฟานลดไฟฉายลงทันที ลู่หลิน นั่น...

ลู่หลินไม่สนใจเขา หันกลับไปพูดกับสมาชิกคนอื่นๆ ในทีม ทุกคนรีบลงมือเถอะ ขนข้าวออกไปให้หมด

ครับ

พวกทหารลงมือทันที เดินไปที่กองกระสอบข้าวที่กองพะเนินไว้ไม่สูงมากกลางยุ้งฉาง คนหนึ่งคนแบกข้าวสารสองกระสอบ ส่วนทหารที่แข็งแรงกว่าแบกสามกระสอบ

ลู่หลินเห็นทุกคนแบกข้าวอยู่บนหลัง จึงรับผิดชอบพาออกไป

มู่อี้ฟานก็รู้สึกไม่ดีที่ถูกทิ้งไว้คนเดียวในยุ้งฉางอันมืดมิดกว้างขวางจึงตามออกจากยุ้งฉาง

ตอนที่พวกเขามาถึงทางแยก เนื่องจากทุกคนเร่งฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆ เลยทำให้มู่อี้ฟานที่อุ้มท้องโตตามพวกเขาไม่ทัน จึงทำได้เพียงตะโกนว่า ลู่หลิน พวกนายยังจะกลับมาขนข้าวอีกไหม ฉันจะได้รอนายอยู่ที่นี่

ลู่หลินพูดอย่างอารมณ์เสีย นายรออยู่นี่ก็ดี

จากนั้นก็นำทีมออกไปอย่างรวดเร็ว

เนื่องจากที่นี่เป็นทางแยก บางครั้งจึงมีทหารขนย้ายข้าวออกมาเรื่อยๆ มู่อี้ฟานเลยรู้สึกว่าที่นี่ไม่ค่อยน่ากลัวสักเท่าไร

เขาหาที่สำหรับนั่งลง ต่อมาก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องดังมาจากทางเดินอื่น

มู่อี้ฟานเลิกคิ้วขึ้น ฟังออกว่านี่เป็นเสียงของหรงเสวี่ย แถมจากเสียงที่ได้ยิน ดูท่าหรงเสวี่ยจะหวาดกลัวเอามากๆ ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอข้างในนั้น

คนอื่นๆ ได้ยินเสียงร้องของหรงเสวี่ยก็ไม่ได้สนใจ ตรงกันข้ามเพราะเสียงของอีกฝ่าย จึงเร่งฝีเท้าเดินออกจากอุโมงค์

 

อีกด้านหนึ่ง หรงเสวี่ยในยุ้งฉางแห่งอื่นถูกทำให้ตกใจไม่เบาเลย เริ่มแรกก็ถูกซอมบี้น่าเกลียดน่ากลัวโถมล้มกับพื้น เฉียดโดนกัดที่ใบหน้าของเธอ และเมื่อล้มลงก็จูบเข้าที่หน้าเน่าเฟะของซอมบี้เต็มๆ

ภายหลัง จ้านเป่ยเทียนมอบกริชสั้นที่ไม่อาจสั้นไปกว่านี้ได้แล้วให้กับเธอและให้เธอฆ่าซอมบี้ โดยให้ฆ่าได้ประมาณสิบตัวก่อน เขาถึงจะเต็มใจฟังสิ่งที่หรงเสวี่ยต้องการจะพูด จากนั้นคนก็ถูกจ้านเป่ยเทียนผลักไปทางกลุ่มซอมบี้ และจงใจไม่ให้เธอส่องไฟฉายด้วย

ผู้หญิงอย่างเธอที่สิบนิ้วไม่เคยต้องแสงแดดน้ำในฤดูใบไม้ผลิ[1]จะกล้าฆ่าซอมบี้อะไรนั่นที่ไหน แค่ไม่ให้ส่องไฟฉายก็ทำให้เธอกลัวแทบแย่แล้ว

มู่อี้ฟานซึ่งนั่งอยู่ตรงทางแยกก็ไม่รู้ว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น เมื่อลู่หลินและคนอื่นๆ กลับเข้ามาอีกครั้ง เขาก็ตามเข้าไปในยุ้งฉางอีก

คราวนี้ พอเขาเข้าไปในยุ้งฉางก็เดินไปยังกองข้าวสารที่ไม่ได้ใส่กระสอบทันที หยิบพลั่วที่อยู่ข้างๆ เขาแล้วเริ่มโกยข้าวสารออกไป

เนื่องจากข้างล่างถูกขุดขึ้นมา ข้าวสารด้านบนจึงถล่มลงมาเสียงดัง ดึงดูดความสนใจของลู่หลินและคนอื่นๆ ทันที

พวกลู่หลินคิดว่าเป็นซอมบี้ จึงโยนข้าวลงกันทีละคน หยิบปืนพก ขึ้นมาชี้ไปทางที่มู่อี้ฟานอยู่

เมื่อเห็นมู่อี้ฟานหยิบพลั่วอันใหญ่เล่นข้าวอยู่ ทุกคนก็วางปืนพกลงด้วยความโกรธ

ลู่หลินพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า มู่อี้ฟาน ทำบ้าอะไรฮะ? ไม่ขนข้าวก็ช่างเถอะ ยังจะเพิ่มความวุ่นวายให้พวกเราอีก นายรู้ไหมว่าถ้าข้าวส่วนนั้นกระจัดกระจายไป เราจะเก็บงานไม่เรียบร้อยนะ

มู่อี้ฟานมองข้าวสารที่กระจายออก คิดในใจว่า ตอนนี้ทุกอย่างมันสงบมาก ถ้าเขาเอาซอมบี้ออกมาแล้ว มันจะกลายเป็นเรื่องยุ่งแทน

เขาโยนพลั่วทิ้ง และเดินไปหาพวกลู่หลิน

ทันใดนั้นเอง กระสอบข้าวทั้งสองด้านของประตูพลันหล่นลงมาพร้อมกับมีเสียงดังตุบ

ลู่หลินและคนอื่นๆ ได้ยินเสียง จึงหยิบไฟฉายขึ้นส่องที่ประตูทันที ก็เห็นกระสอบข้าวขวางประตู และมีซอมบี้หลายร้อยตัวซ่อนตัวอยู่ในกองกระสอบข้าว แต่ละตัวต่างมีใบหน้าดำอมเขียวเน่าเฟะ ค่อยๆ เหยียดตัวขึ้นแล้วปีนออกมาจากระสอบข้าวอย่างเชื่องช้า

ทุกคนตกใจใหญ่ ซอมบี้ เป็นซอมบี้ มีซอมบี้มากมายซ่อนอยู่ในกองข้าว

ทุกคนเห็นซอมบี้กลุ่มใหญ่ค่อยๆ คลานออกมานอกกระสอบข้าว ก็รีบโยนกระสอบข้าวทิ้งแล้วยิงปืนออกไป ทันใดนั้น เสียงปืนก็ดังสะท้อนก้องอยู่ภายในบริเวณยุ้งฉาง

หลังจากนั้น กองข้าวที่ยังไม่ได้ใส่กระสอบที่ด้านหลังของมู่อี้ฟานก็ส่งเสียงดังขึ้นอีกครั้ง ข้าวสารที่กองเป็นภูเขาพลันลดฮวบลงทั้งหมดและมีซอมบี้กลุ่มใหญ่โผล่ออกมาจากข้างใน

พระเจ้า ทางนั้นก็มีซอมบี้ซ่อนอยู่ทหารหลายคนได้ยินเสียงจึงรีบหันปากกระบอกปืนไปยังกองข้าวทางด้านนั้น โดยตั้งสมาธิในการลั่นไกปืน

มู่อี้ฟานย่อตัวลงอย่างรวดเร็ว หยิบพลั่วที่เพิ่งโยนทิ้งขึ้นมา และกลับไปหาลู่หลินและคนอื่นๆ

ในเวลานี้ สถานการณ์อันตรายมาก ทุกคนเหงื่อไหลออกเต็มหน้าผาก

ลู่หลินรีบดึงปืนพกจากขาโยนให้มู่อี้ฟาน ถ้ากระสุนหมดก็มาเอาเพิ่มจากฉัน

มู่อี้ฟานมือไม้อ่อนรับปืนมา “...”

เขารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อได้สัมผัสปืนจริงๆ เป็นครั้งแรก

ลู่หลินเห็นเขาเอาแต่มองปืนในมือไม่ขยับก็โกรธขึ้นมา นายมัวมองอะไรอยู่ ยังไม่รีบยิงอีก จะให้ทุกคนตายอยู่ที่นี่หรือไงฮะ

มู่อี้ฟาน “...”

ไอ้บ้า!

คนไม่เคยใช้ปืนมาก่อนจะยิงยังไงล่ะฮะ?

มู่อี้ฟานนึกถึงการแสดงในรายการทีวีขึ้นมา ยกปืนขึ้นด้วยมือเดียวแล้วกดไกปืน

เอ่อ?

ไร้การตอบสนอง?

แม่นายสิ มู่อี้ฟาน ปืนของนายยังไม่ปลดเซฟตี้[2]ด้วยซ้ำ นายห่างจากกองทัพมานานแค่ไหนฮะ แม้แต่ปลดเซฟตี้ปืนยังทำไม่เป็นเลย

“…” มู่อี้ฟานนึกถึงวิธีที่เจ้าของร่างเดิมปลดเซฟตี้ปืนพก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะปลดเซฟตี้ได้ แต่เขาก็ยิงไม่แม่นอยู่ดี แบบนี้จะเปลืองกระสุนเสียเปล่าๆ

เขาวางปืนลงเอาเสียดื้อๆ จ้องซอมบี้ที่เดินเข้ามาหาพวกเขาเขม็ง ส่งสัญญาณให้ซอมบี้ห้ามเข้ามาใกล้

ซอมบี้ได้รับคำสั่ง ฝีเท้าก็ช้าลง จากนั้นก็ก้าวถอยหลังไป

ทุกคนผงะ เกิดอะไรขึ้น?”

ลู่หลินเอ่ยเสียงต่ำว่า ไม่ต้องสนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น เป่าหัวพวกมันทั้งหมดก่อนค่อยว่ากัน

ครับทุกคนยิงอย่างเต็มกำลัง

ในสามวินาทีสั้นๆ ซอมบี้มากกว่าสามสิบตัวก็ล้มลง

ในเวลาเดียวกัน เสียงคำรามโกรธเกรี้ยวพลันดังมาจากมุมมืดในระยะไกล

มู่อี้ฟานได้ยินเสียงคำราม สมองของเขาพลันปวดตุบๆ ขึ้นมา เสียงนั้นยังดูเหมือนมีผลในการสะกดจิตได้ด้วย ทำให้เขามีความรู้สึกอยากฆ่ามนุษย์ทั้งหมดที่อยู่รอบตัวขึ้นมา

เขารีบเอามือกุมศีรษะ พยายามรักษาความตื่นตัวเต็มที่

จึงทำให้ซอมบี้ที่ถูกมู่อี้ฟานควบคุมนั้นเป็นอิสระพลันคำรามในลำคอสองสามครั้ง จากนั้นก็เร่งความเร็วเดินไปหาลู่หลินและคนอื่นๆ

ลู่หลินและทหารอีกสองคนเห็นสิ่งนี้ จึงรีบหยิบปืนกลที่ด้านหลังขึ้นมากราดยิงพวกมัน

ทหารในทางเดินคนอื่นๆ ได้ยินเสียงปืนดุเดือดก็รีบกรูกันเข้าไปทำให้เห็นกระสอบข้าวสารอุดประตูไว้ จึงรีบส่งเสียงถามว่า ข้างในเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ลู่หลินรีบตะโกนบอก มีซอมบี้จำนวนมากอยู่ในนี้

เมื่อคนข้างนอกได้ยินก็ขนกระสอบข้าวที่ขวางประตูอยู่ออกไปอย่างเร่งรีบ

ข้างในนั้น มู่อี้ฟานกุมศีรษะที่ปวดร้าว และจ้องไปยังสถานที่ในมุมมืดซึ่งอยู่ไกลๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย แน่นอนว่าที่นี่มีซอมบี้ที่ระดับสูงมากกว่าเขา แถมซอมบี้ที่ระดับสูงกว่าเขาที่ว่าดูเหมือนจะอยู่ตรงนั้นด้วย

เขายังมีความรู้สึกอย่างรุนแรงอีกว่า อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะจ้องมองมาที่เขาด้วยเหมือนกัน

มู่อี้ฟานเอาปืนเก็บกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกง มือกำพลั่วที่มือด้านซ้ายแน่น

ลู่หลินเหลือบไปเห็นเขาเก็บปืน จึงพูดด้วยความโกรธว่า มู่อี้ฟาน ทำไมนายไม่ยิงฮะ

มู่อี้ฟานเห็นเงาดำแวบๆ ในมุมมืดก็รีบพูดว่า มีบางอย่างกำลังพุ่งเข้ามา




[1] สิบนิ้วไม่เคยต้องแสงแดดน้ำในฤดูใบไม้ผลิ เป็นคำโบราณ คือช่วงฤดูใบไม้ผลิ (เดือนสามของจีน) จะหนาวมาก และอาจไม่ต้องซักผ้าด้วยตัวเอง ดังนั้น จึงใช้เปรียบเทียบคนที่มีสภาพครอบครัวที่ดี และไม่จำเป็นต้องทำอะไรด้วยตัวเอง ส่วนใหญ่ใช้อธิบายถึงผู้หญิง

[2] ปลดเซฟตี้ คือ ปลดระบบไกปืน หากไม่ปลด เวลาเหนี่ยวไกแล้วจะทำให้ไกไม่ทำงาน


 

บทที่ 90 นายทำให้ฉันผิดหวังมาก

บางอย่างอะไร?”

ลู่หลินหยิบไฟฉายขึ้นส่องไปยังทิศทางที่มู่อี้ฟานกำลังมองไป แน่นอนว่าเห็นเงาดำแวบผ่านมาเร็วมากจนเขาเห็นไม่ชัดว่านั่นมันคืออะไร

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่ทันยิงกราดออกไป และยังไม่ทันเตือนคนรอบข้าง ก็เห็นเพียงเงาดำพุ่งตรงเข้ามาถึงด้านหน้าของพวกเขาเสียก่อน และเปิดฉากโจมตีพวกเขา

ลู่หลินไม่มีเวลาโต้กลับ ทำได้เพียงมองอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาอย่างทำอะไรไม่ถูก

ในเวลานั้นเอง ก็มีร่างหนึ่งโผล่ออกมายืนขวางอยู่เบื้องหน้าเขาอย่างรวดเร็ว ตามด้วยเสียงดัง เคร้ง

 

เสียงดังเสียดแก้วหูทำให้ลู่หลินได้สติทันที และเห็นมู่อี้ฟานถือพลั่วป้องกันการโจมตีของอีกฝ่ายที่ทิ้งรอยฝ่ามือลึกไว้บนพลั่ว

มู่อี้ฟานพยายามต้านทานการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม ตะโกนใส่คนเบื้องหลังว่า ยังจะชักช้าอีก

ซอมบี้ตัวนี้มีพลังพิเศษจริงๆ แถมยังมีพลังพิเศษด้านความเร็วอีกด้วย

แต่ทำไมมันถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้ เห็นชัดว่าการเผาครั้งใหญ่ยังไม่เริ่มขึ้น เพราะอะไรถึงปรากฏซอมบี้ที่มีพลังพิเศษแล้ว?

ลู่หลินได้สติกลับคืนมา จึงรีบยกปืนขึ้นยิงไปยังเงาดำ

พอเงาดำกะพริบก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา จากนั้นก็ปรากฏตัวทางด้านหลังลู่หลิน

มู่อี้ฟานตกตะลึง สัมผัสได้ว่าเงาดำตัวนั้นก็อยู่ข้างหลังของเขาด้วยเช่นกัน จึงหมุนตัวกลับอย่างรวดเร็ว หยิบพลั่วขึ้นมาแล้วฟาดข้ามหัวลู่หลินไป

เงาดำตอบสนองเร็วกว่าเขา ก่อนที่พลั่วจะฟาดมาก็หลบหลีกการโจมตีได้ และหายไปต่อหน้ามู่อี้ฟานอีกครั้ง

ถอย ถอยไปที่ประตูเร็วเข้ามู่อี้ฟานพูดอย่างรีบร้อน

ลู่หลินรู้ว่าทีมของพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย จึงรีบสั่งการให้ทหารถอยไปที่ประตู

การกระทำนี้ดูเหมือนจะทำให้เงาดำโกรธ และคำรามขึ้นไปบนฟ้า

เสียงคำรามอันน่าเหลือเชื่อเสียดไปถึงแก้วหู ทำให้มนุษย์ทุกคนและพวกซอมบี้รู้สึกปวดร้าวหัวแทบแตก ถึงขั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

หลายคนที่ทนไม่ไหวก็ล้มลงกับพื้นไปทีละคน แม้แต่คนที่อยู่นอกยุ้งฉางก็ได้รับผลกระทบไปด้วย แต่ไม่ทรมานเท่าคนที่อยู่ข้างใน

มู่อี้ฟานพยายามลืมตาขึ้น และมองไปยังซอมบี้ที่คำรามอยู่ไม่ไกล

เขาในเวลานี้ไม่เพียงแต่ปวดหัวมาก แม้แต่ท้องก็ปวดเป็นบ้า ราวกับว่ากำลังจะระเบิดออก

เขากุมท้องไว้ พยายามใช้พลั่วพยุงร่างของตัวเองอย่างเต็มกำลัง หลังจากนั้นก็ใช้กำลังทั้งหมดพุ่งไปยังซอมบี้ที่ระดับสูงกว่าเขาตัวนั้นแล้วตวัดพลั่วใส่

ซอมบี้ตัวนั้นตื่นตกใจ จึงหยุดส่งเสียงคำรามทันที และหลบหลีกการโจมตีของมู่อี้ฟาน

คนอื่นๆ พากันโล่งอก แต่เพราะไร้เรี่ยวแรงพยุงร่างอีกต่อไป จึงทยอยร่วงลงกับพื้นกันทีละคน

ซอมบี้ที่ปรากฏตัวอยู่ไม่ไกลมองมู่อี้ฟาน ในปากส่งเสียงครวญครางในลำคอออกมาราวกับจะถามว่า ทำไมมู่อี้ฟานถึงช่วยเหลือมนุษย์

มู่อี้ฟานไม่สนใจมัน โบกพลั่วขึ้นอีกครั้ง

ซอมบี้ก็ไม่เกรงใจเขาอีกต่อไป ลงมือโจมตีสมองของเขาโดยตรง

มู่อี้ฟานเดาความคิดของมันได้ จึงหยิบพลั่วขึ้นมาสกัดทันที หลบการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างเฉียดฉิว

อย่างไรก็ตาม ด้ามพลั่วในมือกลับถูกซอมบี้ตีจนบุบ จากพลั่วที่ตรงกลายเป็นพลั่วที่งอ

หลังจากนั้น แม้ว่ามู่อี้ฟานจะสัมผัสถึงการเคลื่อนไหวของซอมบี้ได้ แต่ทำได้เพียงพยายามหลบหลีกอย่างสุดความสามารถเท่านั้น สุดท้าย เพราะท้องที่นูนออกมาทำให้ลำบากเกินไป เคลื่อนไหวไม่สะดวก จึงล้มลงกับพื้น

ซอมบี้ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ วาร์ปมาตรงหน้ามู่อี้ฟานแล้วโจมตีเขา

อีกเพียงนิดก่อนจะโจมตีโดนสมองของมู่อี้ฟาน ทันใดนั้น กระแสไฟฟ้าสีม่วงอมแดงก็พุ่งออกมาจากในร่างของมู่อี้ฟานโจมตีใส่ซอมบี้

ซอมบี้เบิกตากว้างทันควัน หลบหลีกอย่างลนลาน เมื่อมองเห็นมู่อี้ฟานที่ทั่วทั้งร่างปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าสีม่วงอมแดงออกมา จึงไม่กล้าเข้าไปใกล้อีก แล้วค่อยๆ ก้าวถอยหลังทีละก้าวอย่างช้าๆ จากนั้นก็หายเข้าไปในยุ้งฉาง

มู่อี้ฟานไม่ได้สังเกตเห็นกระแสไฟฟ้าบนร่างแม้แต่น้อย หลังจากมั่นใจว่าซอมบี้ออกจากยุ้งฉางแล้ว เขาถึงยันตัวลุกขึ้นอย่างช้าๆ

มองไปทางที่ซอมบี้หายวับไปก็ตบฝุ่นตามร่างกาย ในใจสงสัยอย่างยิ่งว่าตกลงซอมบี้ตัวนั้นคือใคร มิหนำซ้ำก่อนหน้านี้แสงมืดสลัวเกินไป ผมที่บังปรกหน้าซอมบี้พลอยทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายได้ชัดเจน

อีกอย่าง ทำไมจู่ๆ ถึงจากไปล่ะ?

มู่อี้ฟานนึกถึงลู่หลินและคนอื่นๆ จึงหมุนตัวเดินไปอยู่ข้างกายลู่หลิน ย่อตัวลงอย่างทุลักทุเลแล้วตบหน้าลู่หลิน ลู่หลิน? ลู่หลิน?”

ในขณะนั้นเอง คนที่นอกประตูก็เอ่ยว่า ท่านพลตรี ข้าวสารที่หน้าประตูขนออกหมดแล้วครับ

มู่อี้ฟานหันหน้าไป เหลือบมองคนที่นอกประตู หลังจากนั้นจึงยันมือทั้งสองบนขาสองข้างคิดจะลุกขึ้นยืน ไม่คาดคิดว่าท้องจะหนักเกินไป คนทรงตัวไม่อยู่จึงล้มลงบนตัวลู่หลิน

เมื่อยันตัวขึ้นยืนอีกครั้ง ก็ได้ยินจ้านเป่ยเทียนพูดอย่างโกรธเย็นชาว่า มู่อี้ฟาน นายจะทำอะไร

ทันทีหลังจากนั้น มู่อี้ฟานก็ถูกคนที่เข้ามาเตะออกไป ทำให้จุดศูนย์ถ่วงของตัวคนไม่สมดุล เขาจึงกลิ้งไปอีกด้านหนึ่ง หลังจากนั้น ก็มีบางอย่างเย็นๆ มาแตะบนหน้าผากของเขา

มู่อี้ฟานเห็นว่าเป็นปืนก็อดเงยหน้าขึ้นไม่ได้ สบกับสายตาเยือกเย็นและน่ากลัวจนน่าขนลุกของจ้านเป่ยเทียนเข้า

มู่อี้ฟานจ้องจ้านเป่ยเทียนด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ พระเอกถึงอยากจะฆ่าเขา

มู่อี้ฟาน นายทำให้ฉันผิดหวังมาก

จ้านเป่ยเทียนกล่าวด้วยความโกรธ รีบปลดเซฟตี้ปืนพก

ดะ...ดะ...เดี๋ยวก่อนครับบอสลู่หลินที่ค่อยๆ ตื่นรีบหยุดการกระทำของจ้านเป่ยเทียน

จ้านเป่ยเทียนหันไปมอง เห็นลู่หลินพยายามจะลุกขึ้น จึงรีบเก็บปืนพกกลับ เดินอย่างรวดเร็วเพื่อไปพยุงลู่หลินขึ้นแล้วเอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า ลู่หลิน นายไม่เป็นไรใช่ไหม

ลู่หลินส่ายหัว มะ...ไม่เป็นไรครับ

เขาไอ ในปากมีเลือดไหลออกมา มะ...เมื่อกี้พวกเราเพิ่งเจอซอมบี้โจมตีใส่ หนึ่งในนั้นมีซอมบี้ตัวหนึ่งร้ายกาจเป็นพิเศษด้วยครับ ความเร็วของมันไวมาก ไวจนเห็นเป็นเงาสายหนึ่งได้ แถมพละกำลังของมันเยอะมาก แค่ฝ่ามือเดียวก็ทิ้งรอยไว้บนพลั่วได้แล้ว และ...แค่ก...แค่ก...แค่กๆ

ลู่หลินไออย่างรุนแรงอยู่ข้างหลัง เมื่อหายใจได้ราบรื่นขึ้นก็พูดต่อว่า และเสียงคำรามของมันทำให้คนปวดหัวแทบแตกเป็นเสี่ยงได้ และเพราะเสียงคำรามของมัน ผมถึงสลบไปครับ

ในขณะเดียวกันซุนจื่อหาวเดินเข้ามาอย่างกระวนกระวาย ลู่หลิน นายเป็นยังไงบ้าง

ลู่หลินแตะมือเขา

มู่อี้ฟานลอบเล่นไม่ซื่ออีกแล้วใช่ไหม ทำนายจนบาดเจ็บแบบนี้? ฉันก็บอกแล้วว่าอย่าเพิ่มมู่อี้ฟานเข้ามาในทีมของพวกเรา แต่...

ซุนจื่อหาวมองจ้านเป่ยเทียนที่มีสีหน้าเย็นชาอยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดต่อ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องว่า บอสให้นายเฝ้าติดตามมู่อี้ฟานทุกฝีก้าวไม่ใช่เหรอ ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเล็กน้อย ก็แค่มอบกระสุนให้เขาสักนัด ทำไมนายไม่ทำตามที่บอสบอก

ลู่หลินกล่าวว่า มู่อี้ฟานไม่เกี่ยว มู่อี้ฟานไม่ได้ทำอะไรพวกเราเลย ตรงกันข้าม เขาช่วยชีวิตฉันไว้ ไม่อย่างนั้นตอนนี้พวกนายอาจจะเห็นฉันเป็นศพไปแล้วก็ได้

อะ...อะไรนะ?” ซุนจื่อหาวไม่เชื่อสักนิด มู่อี้ฟานช่วยนายจริงๆ เหรอ

ลู่หลินพยักหน้า ไม่ใช่แค่ฉัน ยังมีคนอื่นๆ ด้วย ถ้าไม่ได้เขาพุ่งเข้ามาต่อสู้กับซอมบี้ละก็ ทีมพวกเราคงจะเสร็จไปนานแล้ว

แม้ว่าเขาจะหมดสติไปในภายหลัง แต่กลับรู้อย่างชัดเจนว่ามันเกิดอะไรขึ้นก่อนหมดสติไป

จ้านเป่ยเทียนตกตะลึง

เขาเข้าใจมู่อี้ฟานผิดไปจริงๆ เสียแล้ว

ก่อนหน้านี้ เขายังคิดว่ามู่อี้ฟานจะกินลู่หลิน เพราะว่าตอนเขาเข้ามา ท่าทางนอนทับบนตัวลู่หลินของมู่อี้ฟาน มันเหมือนกับว่าจะกินเนื้อของลู่หลินเลย

เหตุผลว่าทำไมเขาเข้าใจผิดมู่อี้ฟานอย่างไม่แยกเขียวแดงดำขาว[1] ทั้งหมดทั้งมวลมันเป็นเพราะเรื่องที่ราชาซอมบี้มู่อี้ฟานกัดกินเลือดเนื้อสหายร่วมรบต่อหน้าต่อตาเขาในชาติที่แล้วไงละ มันฝังลึกเกินไป จนถึงตอนนี้ก็ยังคงจำติดตา ซึ่งมันทำให้เขาไม่ได้ดูและถามข้อเท็จจริงให้ดี ก็ลงไม้ลงมือกับมู่อี้ฟานแล้ว

ถ้าลู่หลินไม่หยุดเขาทันเวลาละก็ เกรงว่าเขาคงจะ...

จ้านเป่ยเทียนคิดมาถึงตรงนี้ก็หันขวับไปทางมู่อี้ฟาน

ทว่าที่นั่นไม่มีเงาร่างของมู่อี้ฟานอยู่เลย

เขากวาดตามองไปรอบๆ ยุ้งฉางอย่างกระวนกระวาย แต่กลับหาตัวมู่อี้ฟานไม่เจอ

 

ในทางเดินด้านนอกยุ้งฉาง มู่อี้ฟานลูบท้องที่ยังปวดไม่หายและออกจากยุ้งฉางอย่างยากลำบากทีละก้าว

พูดตามตรง เขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่มีอาการปวดท้องเท่านั้น แต่ใจยังเจ็บจนทรมาน โดยเฉพาะหลังได้ยินคำพูดของซุนจื่อหาวก็ยิ่งเสียใจจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี

เดิมทีแล้วภารกิจในครั้งนี้เป็นจ้านเป่ยเทียนลองใจว่าเขาจะจัดการสหายร่วมรบของอีกฝ่ายหรือเปล่าสินะ ไม่น่าแปลกที่พอพระเอกเข้ามาก็กังวลว่าลู่หลินจะเสียเปรียบเขา แถมไม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้นให้ชัดเจนก็หยิบปืนขึ้นมาจ่อหัวเขา ถ้าไม่ใช่ลู่หลินฟื้นขึ้นมาเร็วละก็ เขาคงจะ...

มู่อี้ฟานยิ้มอย่างขมขื่น

จริงๆ แล้วที่พระเอกไม่เชื่อเขาก็สมควรแล้ว ใครใช้ให้มู่อี้ฟานคนก่อนสร้างปัญหาเอาไว้เยอะจนทำให้พระเอกเกลียดเข้ากระดูกดำกันล่ะ ไม่ฆ่าแกงกันก็รู้สึกเป็นปลื้มแล้ว

กรี๊ด ช่วยด้วย ช่วยด้วย กรี๊ด

เสียงกรีดร้องของหญิงสาวขัดจังหวะความคิดของมู่อี้ฟาน

มู่อี้ฟานหันไปก็เห็นหรงเสวี่ยตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากวิ่งออกมาจากทางหนึ่งในทางแยก หลังจากนั้นก็วิ่งมาทางเขา

คุณมู่คะ คุณมู่ ช่วยด้วยค่ะ! ช่วยด้วย!

มู่อี้ฟานเห็นหรงเสวี่ยมีซอมบี้เป็นโขยงตามมาด้วย จึงกอดท้องแล้ววิ่ง ไปเร็ว

ที่เขาทำแบบนี้ เพียงเพราะไม่ต้องการให้หรงเสวี่ยรู้ว่าเขาเป็นซอมบี้ จากนั้นก็วิ่งตามไป

ทั้งสองวิ่งออกมานอกประตูทางเข้าอย่างรวดเร็ว แต่หนึ่งในพวกเขามีคนที่สวมรองเท้าส้นสูง และเหลือแรงไม่มากแล้ว ส่วนอีกหนึ่งเป็นคนที่มีท้องหนักๆ ยื่นออกมา ดังนั้นจึงพากันวิ่งได้ช้า

เมื่อเห็นว่าซอมบี้ใกล้จะไล่ตามทัน หรงเสวี่ยก็กรีดร้องขึ้นมาและยิ่งหวาดกลัวขึ้นเรื่อยๆ เหลือบมองเห็นผู้ชายไร้ประโยชน์ที่เอาแต่วิ่งอยู่ข้างๆ

ทันใดนั้น ดวงตาก็สว่างวาบขึ้นมา ความโหดเหี้ยมผุดขึ้นที่นัยน์ตา พลันยื่นมือออกไป และใช้แรงผลักมู่อี้ฟานไปทางซอมบี้ หลังจากนั้น มือก็รีบถอดรองเท้าส้นสูงออกแล้ววิ่งหนีจากไปทันที




[1] ไม่แยกเขียวแดงดำขาว หมายถึง ไม่แยกแยะผิดถูก


 

บทที่ 91 ชอบไหม

มู่อี้ฟานมองหรงเสวี่ยที่หนีหายไปอย่างรวดเร็วด้วยความเหลือเชื่อ อย่างไรก็คาดไม่ถึงมาก่อนว่า จู่ๆ เธอจะผลักเขาไปทางซอมบี้อย่างกะทันหัน และใช้เขาแลกเปลี่ยนเป็นโอกาสในการหลบหนีของเธอ

น่าเสียดาย เดิมทีเขาก็เป็นซอมบี้อยู่แล้ว ซอมบี้ที่ไล่ตามอยู่ด้านหลังจึงไม่แม้แต่จะชายตามองเขา เพียงแค่เดินผ่านตัวเขาโดยตรงและไล่ตามหรงเสวี่ยไป

อย่างไรก็ตาม เพราะเขาถูกหรงเสวี่ยผลักอย่างแรง ผลที่ตามมาคือทั้งร่างล้มลงกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง ทำให้ท้องปวดมากยิ่งขึ้นไปอีก ราวกับอะไรบางอย่างในท้องของเขากำลังปั่นป่วนอยู่ มันปวดเสียจนเขาลุกขึ้นยืนไม่ไหว

อย่างไรก็ตาม เขาเป็นซอมบี้ไปแล้วชัดๆ ไร้ความรู้สึกเจ็บปวด แต่ทำไมกลับยังรู้สึกปวดท้องได้อีก?

มู่อี้ฟานรู้สึกแปลกใจมาก ตามด้วยท้องที่ปวดขึ้นเรื่อยๆ สติสัมปชัญญะยิ่งพร่าเบลอ และสิ่งของที่อยู่ตรงหน้ายิ่งมองก็ยิ่งไม่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกัน

ท่ามกลางความเลือนราง ดูเหมือนเขาจะได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนเรียกมู่อี้ฟานอย่างร้อนรน ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นเสียงของจ้านเป่ยเทียน

จ้านเป่ยเทียนไม่พบมู่อี้ฟานในยุ้งฉางจึงวิ่งออกไปหา แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะเห็นมู่อี้ฟานนอนขดตัวอยู่บนพื้นโดยไม่ไหวติง

ใจพลันกระดอนขึ้นมาจุกอยู่ในลำคอ

ใบหน้าหล่อเหลาและสงบเยือกเย็นเป็นนิจมีความตื่นตระหนกวาบผ่าน เขาวิ่งไปอยู่ข้างกายของมู่อี้ฟานอย่างรวดเร็ว มู่อี้ฟาน มู่อี้ฟาน มู่มู่ มู่มู่ นายโอเคไหม

มู่อี้ฟานลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก มองใบหน้าที่พร่ามัวไม่ชัดพูดแผ่วเบาว่า ปะ...ปวด...ท้อง

จ้านเป่ยเทียนฟังออกว่าเขากำลังจะพูดอะไร จึงรีบหยิบหยกสีดำขนาดเท่ากำปั้นออกมาจากมิติยัดใส่ในมือของมู่อี้ฟาน

นายอดทนหน่อยนะ เดี๋ยวฉันจะพานายกลับไปให้หมอเจิ้งตรวจ

มู่อี้ฟานไม่ได้ทันฟังว่าจ้านเป่ยเทียนกำลังพูดอะไร พริบตาที่รับหยกมา ตัวคนก็หมดสติไปแล้ว

จ้านเป่ยเทียนเห็นเขาไม่ตอบสนอง สีหน้าก็เป็นกังวล แต่คิดได้ว่าตอนนี้มู่อี้ฟานเป็นซอมบี้ ร่างกายไม่ได้อ่อนแอเท่าไร จึงรีบอุ้มคนขึ้นมา

เขารับรู้ได้ทันทีว่า คนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาหนักกว่าเดิมห้าหกสิบจิน[1] มิน่าล่ะ ตอนที่มู่อี้ฟานกระเตงท้องเดิน เขาถึงเดินได้ลำบากขนาดนี้

จ้านเป่ยเทียนกอดคนก้าวฉับๆ จนมาถึงประตูทางเดิน ฉับพลันก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น รวมทั้งเสียงกรีดร้องของผู้หญิงจากด้านนอก ซึ่งมันน่าหนวกหูจริงๆ

เขาขมวดคิ้ววิ่งออกมาจากปากทางเดิน จากระยะไกลๆ ก็เห็นทหารที่เฝ้าอยู่ด้านนอกใช้ปืนยิงซอมบี้ที่ไล่ตามหรงเสวี่ย

เวลาสั้นๆ ผ่านไปไม่กี่วินาที ซอมบี้ทั้งหมดก็ถูกยิงสมองล้มลงกับพื้น

หรงเสวี่ยวิ่งมาถึงหน้ารถบรรทุกคันใหญ่อย่างกระหืดกระหอบ เรียกทหารบนรถให้ดึงเธอขึ้นรถไปด้วยความวิตกกังวลและหวาดกลัว

หลังขึ้นรถมาแล้ว เธอจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ได้ยินเสียงทหารตะโกนว่า ท่านพลตรี

หรงเสวี่ยหันหน้าไปอย่างตื่นเต้น และเห็นจ้านเป่ยเทียนเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเย็นชา

เธอกำลังเปิดปากจะพูดอะไรบางอย่าง กลับสังเกตเห็นว่าในอ้อมแขนของจ้านเป่ยเทียนยังกอดคนคนหนึ่งอยู่ และจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากมู่อี้ฟานที่ถูกเธอผลักไปหาซอมบี้ตรงทางเดินนั่นเอง ความรู้สึกผิดและหวาดกลัววาบผ่านใบหน้าในทันที กังวลว่าสิ่งที่ทำก่อนหน้านี้จะโดนจับได้

แต่ว่ามันแปลกจริงๆ นะ!

เธอผลักมู่อี้ฟานไปหาซอมบี้ชัดๆ ทำไมคนถึงไม่โดนกัดล่ะ? เป็นไปได้ไหมที่จ้านเป่ยเทียนรีบเข้าช่วยเหลือคนได้พอดีน่ะ?

จ้านเป่ยเทียนเอ่ยว่า พวกนายบอกกับลู่หลินและคนอื่นๆ ด้วยว่าฉันมีเรื่องต้องกลับไปก่อน ให้พวกเขาปฏิบัติการอย่างระมัดระวังในยุ้งฉางด้วย

รับทราบครับ

หรงเสวี่ยที่อยู่บนรถบรรทุกได้ยินคำพูดของจ้านเป่ยเทียนก็อยากจะตามกลับไปด้วยเช่นกัน แต่หลังจากเห็นในอ้อมกอดของจ้านเป่ยเทียนมีมู่อี้ฟาน รวมทั้งคิดถึงท่าทีของจ้านเป่ยเทียนที่มีต่อตัวเธอ จึงถอยกลับเข้ารถบรรทุกอย่างสำเหนียกได้อีกครั้ง แล้วจึงนั่งอยู่ในมุมของรถบรรทุกอย่างเชื่อฟัง รอให้คนอื่นกลับมาอย่างเงียบๆ

จ้านเป่ยเทียนอุ้มมู่อี้ฟานและวางคนไว้ที่เบาะหลังของรถออฟโรดอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางก็ซิ่งรถกลับไปยังวิลลาที่อาศัยอยู่

หลังจากจอดรถ เขาก็อุ้มมู่อี้ฟานขึ้นมาอีกครั้งอย่างรีบร้อน ขณะสับเท้าเร็วๆ เดินเข้าไปในวิลลาพลางตะโกนว่า หมอเจิ้ง หมอเจิ้ง

ทหารที่เฝ้าประตูรีบบอกว่า ท่านพลตรี หมอเจิ้งกำลังตรวจให้คนอื่นๆ ที่วิลลาข้างๆ อยู่น่ะครับ

ไปเรียกหมอเจิ้งกลับมาด่วน แล้วให้เขามาที่ห้องใต้ดิน

ครับนี่เป็นครั้งแรกที่ทหารเห็นท่านพลตรีกังวลขนาดนี้ จึงไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อย ไปเรียกเจิ้งกั๋วจงที่อยู่ในวิลลาถัดไปกลับมาทันที

พอเจิ้งกั๋วจงได้ยินว่ามู่อี้ฟานเกิดเรื่อง ก็รีบกลับไปที่ห้องใต้ดินของวิลลาหลังข้างๆ ทันที จากนั้นก็ต้องตกตะลึงกับห้องผ่าตัดเล็กที่อยู่ชั้นใต้ดิน

สิ่งใดที่เป็นเครื่องมือในห้องผ่าตัดของโรงพยาบาล ที่นี่ล้วนมีทั้งสิ้น แม้แต่เครื่องมือที่ในห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลไม่มี ที่นี่กลับมีเช่นกัน สรุปสั้นๆ ได้ว่า อุปกรณ์ทางการแพทย์ทุกอย่างของที่นี่ครบครันเป็นอย่างมาก

พอจ้านเป่ยเทียนเห็นเจิ้งกั๋วจงก็เดินไปหาเขาทันที หมอเจิ้ง คุณรีบตรวจให้มู่มู่หน่อย

เจิ้งกั๋วจงได้สติ รีบถามว่า มู่มู่ เป็นอะไรหรือครับ

ความรู้สึกผิดฉายอยู่ในดวงตาของจ้านเป่ยเทียน ผมก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกัน ตอนผมเห็นเขา เขาก็นอนอยู่บนพื้นแล้ว จากนั้นบอกว่าปวดท้องแล้วก็สลบไปเลย

เจิ้งกั๋วจงเลิกคิ้ว ปวดท้อง? หรือจะเกิดก๊าซในครรภ์[2]?”

จ้านเป่ยเทียน “...”

เจิ้งกั๋วจงทำการตรวจร่างกายมู่อี้ฟานไปตามลำดับ แต่เนื่องจากตอนนี้มู่อี้ฟานเป็นซอมบี้ อุปกรณ์ทางการแพทย์บางอย่างจึงไม่สามารถตรวจสอบสภาพร่างกายของมู่อี้ฟานได้ สุดท้ายก็ทำความเข้าใจได้คร่าวๆ

เขาคลุมผ้าห่มให้มู่อี้ฟานด้วยผ้านวมแล้วพูดว่า สภาพโดยรวมดูคร่าวๆ แล้วน่าจะไม่เป็นอะไรมาก ปล่อยให้เขานอนพักผ่อนที่นี่เถอะ ส่วนพวกเรามีเรื่องอะไรก็ขึ้นไปคุยกันที่ห้องโถงด้านบนดีกว่า

จ้านเป่ยเทียนพยักหน้า

ทั้งสองคนกลับไปยังห้องโถงแล้วนั่งลง เจิ้งกั๋วจงกล่าวว่า เขาน่าจะมีก๊าซในครรภ์ แถมน่าจะใกล้คลอดแล้วละ

มีก๊าซในครรภ์?

จ้านเป่ยเทียนนึกถึงลูกเตะที่ตัวเองมอบให้มู่อี้ฟานก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะใส่แรงเป็นพิเศษ

เขาขมวดคิ้วแน่นอย่างช่วยไม่ได้ น่าจะใกล้คลอดแล้ว? อย่างนั้นคุณรู้แม่นยำไหมว่าเขาจะคลอดประมาณเมื่อไร

เจิ้งกั๋วจงพูดอย่างอารมณ์เสีย ผมจะไปรู้ได้ยังไงเล่าว่าเมื่อไรเขาถึงจะคลอด เห็นได้ชัดว่าหนึ่งเดือนก่อน ผมเพิ่งจะตรวจพบว่าเขาตั้งครรภ์สามเดือน ตอนนี้เพิ่งจะผ่านไปเดือนเดียวก็ใกล้จะคลอดแล้ว มันเร็วพอๆ กับการเป่าลูกโป่งเลย ทำให้ผมก็ไม่สามารถคาดเดาได้เหมือนกันว่าเขาจะคลอดเมื่อไหร่

จ้านเป่ยเทียน “...”

เจิ้งกั๋วจงถอนหายใจ นอกจากนี้ ไม่รู้ว่าเพราะมู่มู่เป็นซอมบี้หรือเปล่า เครื่องมือเหล่านั้นถึงตรวจสภาพร่างกายของมู่มู่ไม่ได้เลย ตอนนี้ทำได้แค่ดูอารมณ์ของเด็กในครรภ์เท่านั้น

จ้านเป่ยเทียน “...”

เจิ้งกั๋วจงมองเขาแบบแปลกๆ เห็นท่าทีของคุณที่ไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอนได้ยินว่ามู่มู่ใกล้จะคลอด คุณน่าจะรู้ว่าเขาท้องอยู่แล้วสินะ อย่างนั้นแล้วทำไมคุณถึงยังจะพาเขาออกไปหาเสบียงอีก? คุณไม่รู้หรือว่าตอนนี้แม้แต่เวลาเขาเดิน มันก็กินแรงมากเป็นพิเศษน่ะ

จ้านเป่ยเทียนก้มหน้าโดยไม่ได้พูดอะไร

เจิ้งกั๋วจงดูออกว่าเขารู้สึกผิด แต่อย่างไรก็อดจะพูดกับเขาไม่ได้ว่า มู่มู่พูดอยู่ตลอดว่า คุณวางเขาไว้ในฐานะศัตรู ตอนแรกผมยังไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ไม่เชื่อไม่ได้แล้วจริงๆ ถึงแม้ผมจะไม่รู้เหตุผลที่คุณพาเขาไปหาเสบียง แต่ขอละ คุณอย่าใช้ประโยชน์จากเขา หรือทำร้ายเขาเลย

เขาคิดว่าการที่จ้านเป่ยเทียนพามู่อี้ฟานที่อุ้มท้องโตไปหาเสบียง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ตัวตนของมู่อี้ฟานที่เป็นซอมบี้เพื่อขับไล่ซอมบี้ตัวอื่น หรือต้องการหาทางทำร้ายมู่อี้ฟานขณะหาเสบียง หรืออยากจะทดสอบมู่อี้ฟานก็ตาม

มีสาเหตุมากมายที่ทำให้คิดได้ แต่ไม่รู้ว่าจ้านเป่ยเทียนคิดอย่างไร

ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกคุณ และไม่รู้ว่าทำไมภายในเดือนเดียวสั้นๆ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกคุณถึงเปลี่ยนเป็นพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน[3]ไปเสียได้ แต่ผมคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่มู่มู่เป็นซอมบี้

ถ้าเหตุผลของคุณเป็นเพราะเขาเป็นซอมบี้จริงๆ คุณก็ปล่อยเขาไปเถอะ คุณเอาเขาไว้ข้างกายคุณอย่างไรก็ไม่สบายใจ เป็นไปได้ว่าเมื่อเกิดเรื่องเล็กน้อยอะไรขึ้น มู่มู่จะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนทำทั้งหมด

จ้านเป่ยเทียนนึกถึงความเข้าใจผิดก่อนหน้านี้ สองมือกำหมัดแน่น และยังคงไม่พูดอะไร

ถ้าคุณไม่อยากให้เขาจากไปก็รักษาเขาให้ดีๆ หน่อย มู่มู่เป็นเด็กที่ไม่เลวคนหนึ่ง แม้ตอนนี้เขาจะกลายเป็นซอมบี้แล้วอย่างไรเล่า แต่เขาก็ไม่เคยกัดคนไม่ใช่เหรอ? อีกอย่างนะ ตอนนี้นอกจากกินอาหารปรุงสุกไม่ได้แล้ว เขาต่างอะไรกับคนธรรมดาบ้าง?”

เจิ้งกั๋วจงลุกขึ้นยืน ผมดูออกว่าคุณห่วงใยเขา ถ้าคุณชอบเขาจริงๆ ก็ดูแลให้ดีๆ อย่ารอให้เสียมันไปก่อน แล้วค่อยมาเสียใจทีหลังล่ะ

เรื่องนี้เขารู้ซึ้งดี เมื่อก่อนเคยรู้สึกว่าภรรยาแก่ของตัวเองจู้จี้จุกจิกและน่ารำคาญเป็นที่สุด แต่หลังจากไม่มีเธอแล้ว ข้างกายก็เงียบเชียบ ไม่มีคนคอยคุยด้วย ในใจรู้สึกทรมานเป็นอย่างมาก

คำพูดท้ายประโยคของเจิ้งกั๋วจงก็เหมือนกระบอง[4]ที่หวดใส่จ้านเป่ยเทียนจนสติไม่กลับมาเป็นเวลาเนิ่นนาน

ไม่รู้ว่านั่งอยู่ในห้องโถงนานแค่ไหน จ้านเป่ยเทียนถึงได้สติกลับมา และเดินไปยังห้องใต้ดิน มองคนที่นอนอยู่บนเตียง จากนั้นเดินเข้าไป ค่อยๆ ยกมือขึ้นลูบใบหน้าเย็นเฉียบที่ซีดเซียวไร้สีเลือด ร่องรอยความสับสนก็ปรากฏขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

ไม่นานก็กระซิบเบาๆ ว่า ชอบไหม?”




[1] 1 จิน เท่ากับ 500 กรัม

[2] เป็นอาการของคนท้อง เกิดจากความเครียด หรือร่างกายขณะท้องกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ทำให้เกิดภาวะเสี่ยงแท้งได้

[3] พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน หมายถึง เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก

[4] กระบองทุบผ้าที่ใช้สำหรับซักผ้า เป็นที่นิยมในระดับพื้นบ้าน ซึ่งรูปร่างก็ต่างไปตามแต่ละภูมิภาค


 

บทที่ 92 จะคลอดแล้ว

เมื่อมู่อี้ฟานตื่นขึ้นมา สิ่งที่เห็นก็คือเพดานที่คุ้นเคย ความสงสัยก็แวบผ่านดวงตา ที่นี่คือห้องของเขา?

เมื่อหันไป เขาก็เห็นใบหน้าที่มีความสุขของเจิ้งกั๋วจง แล้วค่อยๆอ้าริมฝีปากที่แห้งผากเรียกเสียงแหบว่า มะ...หมอเถื่อน

เจิ้งกั๋วจงกล่าวอย่างตื่นเต้น เยี่ยม ในที่สุดคุณก็ตื่นแล้ว ถ้าคุณไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย คนอื่นๆ คงจะสงสัยว่าผมเป็นหมอเถื่อนแน่

ฉันเป็นอะไรไปมู่อี้ฟานจำได้แค่ว่าตัวเองปวดท้องมาก สุดท้ายสติสัมปชัญญะก็เลือนรางขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น สรุปเลยว่า เขารู้สึกว่าหลับไปนานมาก

เจิ้งกั๋วจงถอนหายใจ คุณมีก๊าซใน...

เมื่อคิดขึ้นได้ว่ามู่อี้ฟานไม่เชื่อเรื่องที่ตัวเองตั้งครรภ์ ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อ คุณรู้ไหมว่าตัวคุณหลับไปนานเท่าไร

มู่อี้ฟานถามต่อ ฉันหลับไปนานแค่ไหน

เจิ้งกั๋วจงชูสองนิ้ว ยี่สิบวัน หลับไปยี่สิบวัน ไม่ขาดไม่เกิน

ในช่วงยี่สิบวันที่ผ่านมา เขาไม่รู้ว่าตัวเองใช้ชีวิตผ่านไปอย่างไร ไม่ถูกสายตาจ้านเป่ยเทียนจ้องจนแข็งตายก็ถือว่าโชคดีหนึ่งในหมื่นแล้ว

เชี่ย ฉันหลับไปนานขนาดนี้เชียว

มู่อี้ฟานนึกถึงเรื่องบางอย่าง จึงลุกขึ้นนั่งอย่างร้อนรน ไม่คาดคิดว่าท้องหนักเกินไป ไม่ทันลุกขึ้นนั่งก็ล้มกลับลงไปอีกครั้ง

ไอโยว บรรพบุรุษน้อยของผม คุณจะรีบลุกขึ้นอะไรอย่างนี้นะ นอนลงเร็ว นอนลงเดี๋ยวนี้เลย

เจิ้งกั๋วจงรีบวางหมอนให้เขาหนุน

มู่อี้ฟานสัมผัสท้องตัวเองอย่างร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา หมอเถื่อน ท้องของฉันดูเหมือนจะใหญ่กว่าเดิมอีกอะ แถมดูเหมือนจะหนักขึ้นอีกด้วย คุณรีบมาตรวจดูหน่อยเร็วว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”

เจิ้งกั๋วจงเหลือบมองท้องที่นูนขึ้นของเขาแล้วพึมพำว่า อย่างกับหญิงตั้งครรภ์ที่ท้องสิบเดือน จะไม่ใหญ่ไม่หนักได้ยังไงล่ะ

มู่อี้ฟานได้ยินไม่ชัดจึงถามอย่างสงสัยว่า คุณพูดว่าอะไรนะ?”

ไม่มีอะไร คุณแค่ท้องอืดเท่านั้น

มู่อี้ฟานถามอย่างไม่สบอารมณ์ว่า คุณกวนโอ๊ยฉันเรอะ มันดูเหมือนท้องอืดตรงไหนฮะ? ตอนท้องอืด ท้องมันใหญ่ขนาดนี้ไหมล่ะ?”

เจิ้งกั๋วจงกลอกตา ก็คุณบอกผมเองว่าเป็นท้องอืดน่ะ

มู่อี้ฟาน “...”

เจิ้งกั๋วจงรีบปลอบใจเขา เอาละ เอาละ อย่าคิดมากเกินไปเลยน่า เดี๋ยวผ่านไปไม่กี่วันก็ดีขึ้นแล้ว ใช่แล้ว พลตรีจ้านยังไม่รู้ว่าคุณฟื้นแล้ว เดี๋ยวผมจะไปเรียกเขามานะ

เดี๋ยวก่อนมู่อี้ฟานรีบจับมือเจิ้งกั๋วจง อย่าไปเรียกเขานะ

เจิ้งกั๋วจงถามด้วยความฉงน ทำไมล่ะ

มู่อี้ฟานนึกถึงความเข้าใจผิดและไม่ไว้วางใจของจ้านเป่ยเทียนต่อตัวเอง ในใจยังคงหลงเหลือความรู้สึกเศร้าอยู่ หมอเถื่อน ฉันยังไม่อยากเจอจ้านเป่ยเทียนตอนนี้

นอกห้อง จ้านเป่ยเทียนที่ได้ยินคำพูดนี้ก็ชะงักฝีเท้าทันที

เมื่อครู่เป็นเพราะได้ยินเสียงลอดออกมาจากในห้อง เขาถึงรีบขึ้นมาดู ไม่ได้คาดฝันว่าจะได้ยินประโยคนี้

ดวงตาของจ้านเป่ยเทียนมืดหม่นลง เอนกายพิงผนังที่ด้านนอกประตูเบาๆ

ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ที่ยุ้งฉางวันนั้น ไม่ใช่มู่อี้ฟานที่ทำให้เขาผิดหวังหรอก แต่เป็นตัวเองต่างหากที่ทำให้มู่อี้ฟานผิดหวัง

เจิ้งกั๋วจงเห็นท่าทางมู่อี้ฟานเสียใจมาก ในใจคงนึกถึงวันนั้นที่ไปเก็บเสบียง พลตรีจ้านต้องทำให้มู่มู่ใจสลายแน่ๆ

เขาถอนหายใจ ลูบหัวของมู่อี้ฟาน ได้ พวกเราไม่เจอเขาน่ะดีแล้ว

อืม

มู่อี้ฟานพยักหน้า และไม่ใช่เพราะมีความสุขเมื่อไม่ต้องเจอจ้านเป่ยเทียน ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกผิดหวังมากกว่า

เจิ้งกั๋วจงสัมผัสได้ว่าอารมณ์ของเขาดิ่งลงมากกว่าเดิม จึงสัพยอกเขาว่า ทำไม? ไม่ต้องเห็นเขาแล้วนี่ คุณไม่ดีใจเหรอ

มู่อี้ฟานแค่นเสียงเย็นชา ใครบอกว่าไม่ดีใจล่ะ

เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก จึงเปลี่ยนหัวข้อ หมอเถื่อน ขอร้องคุณสักเรื่องสิ

เจิ้งกั๋วจงได้ยินเขาใช้คำว่า ขอร้อง ก็มองอีกฝ่ายด้วยความสนใจ เรื่องอะไรล่ะ ของเพียงผมทำได้ ย่อมต้องช่วยคุณแน่

มู่อี้ฟานรีบพูดว่า ในท้องของฉันมีลูกปัด อยากให้คุณช่วยผ่าเอามันออกมาให้ฉันหน่อย แล้วหลังจากนั้นก็เอาไปส่งคืนให้จ้านเป่ยเทียนแทนฉันที จะได้ไหม

เจิ้งกั๋วจงสงสัย ลูกปัดอะไร?”

ตอนเขาตรวจมู่อี้ฟานไม่เห็นจะมีลูกปัดอะไรในท้องของเขาเลยนะ

เป็นลูกปัดสีแดงลูกหนึ่ง จ้านเป่ยเทียนบอกว่ามันสำคัญมาก ดังนั้นฉันอยากเอาออกคืนให้เขาน่ะ

เจิ้งกั๋วจงจ้องมองเขาแล้วพูดว่า ทำไมผมรู้สึกว่าการที่คุณคืนลูกปัดให้เขา เหมือนต้องการจะขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับเขาเลยล่ะ

มู่อี้ฟานหลุบเปลือกตาลง จะว่าอย่างนั้นก็ได้

เหตุผลข้อใหญ่ที่สุดคือ ฉิงเทียนจูทำให้ท้องของเขาทั้งใหญ่ทั้งหนัก ถ้ายังไม่เอาออกอีก เกรงว่าท้องของเขาคงใกล้ถูกพังยับแล้ว

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จ้านเป่ยเทียนที่อยู่นอกประตูก็กำหมัดแน่น

เจิ้งกั๋วจงถอนหายใจเล็กน้อย ตอนนี้คุณเพิ่งจะฟื้น ไม่ควรผ่าตัดส่งเดช เรื่องนี้ค่อยคุยกันทีหลังเถอะ

เมื่อเด็กคลอดออกมา ไม่แน่ว่าลูกปัดลูกนั้นอาจจะออกมาด้วยก็เป็นได้

เจิ้งกั๋วจงชำเลืองดูท้องของมู่อี้ฟานอีกครั้ง เวลาที่เด็กลืมตาดูโลกน่าจะประมาณสองสามวันนี้มั้ง

มู่อี้ฟานรู้สึกว่าคำพูดของเจิ้งกั๋วจงมีเหตุผล จึงเห็นด้วย เรื่องนี้อีกหลายวันผ่านไปค่อยผ่าเอาก็ได้ ตกลง อีกไม่กี่วันค่อยว่ากัน ตอนนี้ฉันอยากออกไปเดินเล่น

จ้านเป่ยเทียนที่อยู่นอกประตูได้ยินดังนั้น จึงหมุนตัวจากไป

ในห้อง มู่อี้ฟานพยุงตัวลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ท้องของเขาหนักมากจึงกินแรงไปไม่น้อยทีเดียว

เจิ้งกั๋วจงรีบช่วยเขา และใส่รองเท้าให้เขาแทน

มู่อี้ฟานยืนขึ้นอย่างยากลำบาก เจิ้งกั๋วจงจึงพาเดินไปที่ประตูทีละก้าว

มู่มู่ ท้องของคุณหนักขนาดนี้เลยหรือเจิ้งกั๋วจงเห็นเขาเดินลำบากขนาดนี้ ก็อดถามอย่างสงสัยไม่ได้

มู่อี้ฟานกลอกตา คุณลองมีถุงน้ำสักหกเจ็ดสิบจินห้อยอยู่บนท้องสิ แล้วดูว่ามันหนักไหม

แต่ตอนภรรยาผมท้องเจียหมิง ก็ไม่เห็นจะทรหดเหมือนคุณขนาดนี้เลย

ฉันไม่ได้ท้อง นี่เทียบกันได้ที่ไหน

“...” เจิ้งกั๋วจงเลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องการตั้งครรภ์อีกอย่างชาญฉลาด

ทั้งสองคนลงไปที่ชั้นหนึ่งก็เห็นลู่หลินเข็นวีลแชร์เข้าประตูมา

ลู่หลินมองพวกเขา ถามทันทีว่า มู่อี้ฟาน นายฟื้นแล้ว แล้วนี่จะไปไหนกับหมอเจิ้งล่ะ

มู่อี้ฟานว่า จะออกไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อยน่ะ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการช่วยลู่หลินในยุ้งฉางหรือเปล่า เขารู้สึกว่าลู่หลินมีทัศนคติต่อเขาดีขึ้นนิดหน่อย

ลู่หลินมองเขาที่เคลื่อนไหวไม่สะดวก ฉันคิดว่านายเดินลำบากมาก ต้องการนั่งวีลแชร์คันนี้ออกไปเดินเล่นไหม

มู่อี้ฟานเห็นวีลแชร์ที่นั่งได้ก็รีบพยักหน้า ต่อมาก็ลังเลนิดหน่อย วีลแชร์คันนี้เป็นของใคร? คนอื่นๆ ไม่ต้องใช้หรือ

ลู่หลินอธิบายว่า ไม่กี่วันก่อน มีทหารนายหนึ่งได้รับบาดเจ็บที่ขาก็เลยยืมวีลแชร์ไปนั่งหลายวัน ตอนนี้ขาดีขึ้นแล้ว จึงได้คืนกลับมา

อย่างนั้นก็โอเค รบกวนนายเอาวีลแชร์วางไว้ข้างนอกด้วย ขอบคุณ

ลู่หลินเข็นวีลแชร์ออกไปอีกครั้ง จากนั้นชิงเข็นมู่อี้ฟานไปทางสวนดอกไม้พร้อมกับเจิ้งกั๋วจง

หลังจากพวกเขาออกจากวิลลา เหมาอวี่ เซี่ยงกั๋ว และซุนจื่อหาว ที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องครัวก็เดินออกมาที่หน้าต่างฝรั่งเศส[1] มองลู่หลินเข็นมู่อี้ฟานออกจากประตูใหญ่ไป

ฉันว่ามันออกจะแปลกๆ นะ ทำไมจู่ๆ บอสถึงได้ทำดีกับมู่อี้ฟานขนาดนี้เซี่ยงกั๋วสงสัย หรือจะเป็นเพราะมู่อี้ฟานช่วยลู่หลินที่ยุ้งฉางกันนะ

ซุนจื่อหาวเอ่ยว่า น่าจะนะ ที่ฉันแปลกใจกว่าคือ ทำไมบอสให้ลู่หลินแก้ตัวด้วยการส่งวีลแชร์ด้วยล่ะ เหมาอวี่นายคิดว่ายังไง?”

เหมาอวี่พูดเบาๆ ฉันคิดอะไรได้บ้างละ ฉันรู้แค่ว่า ตอนที่มู่อี้ฟานอาการโคม่า บอสเฝ้าเขาทั้งกลางวันทั้งกลางคืนเลย พอในห้องมีความเคลื่อนไหวก็รีบวิ่งไป แถมในระหว่างนั้น บอสใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวบ่อยๆ ด้วย ไม่รู้ว่าคิดอะไรเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม บอสทำให้ฉันรู้สึกว่า เขาเป็นห่วงมู่อี้ฟานมาก

เซี่ยงกั๋วส่งเสียงเยาะ เหมาอวี่ นายล้อเล่นหรือเปล่า บอสเป็นห่วงมู่อี้ฟานเนี่ยนะ จะเป็นไปได้ยังไง

ใช่ ฉันก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้

อย่างนั้นพวกนายบอกมาสิว่า ทำไมบอสถึงแปลกไป

เซี่ยงกั๋ว “...”

ซุนจื่อหาว “...”

 

ในขณะที่พวกเขาหารือกันเรื่องมู่อี้ฟาน มู่อี้ฟานก็กำลังถูกลู่หลินเข็นไปรอบๆ สวนดอกไม้

ตอนแรก เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย เห็นชัดอยู่ว่าลู่หลินเกลียดเขาจะตาย แต่ตอนนี้กลับเข็นเขาเดินเล่นในสวน คิดอย่างไรก็รู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง

ต่อมา เพราะมู่อี้ฟานจำเรื่องสำคัญได้ จึงโยนความไม่สบายใจไปหลังสมองทันที และถามลู่หลินว่า

ลู่หลิน กองทัพของประเทศได้ส่งกองกำลังมาทำความสะอาดซากศพซอมบี้แล้วเหรอ?”

ลู่หลินไม่คาดคิดว่ามู่อี้ฟานจะถามคำถามแบบนี้ จึงรู้สึกตกตะลึง ใช่

ดวงตาของมู่อี้ฟานมีความประหลาดใจและวิตกกังวลวาบผ่านจึงรีบถามว่า แล้วนายรู้ไหมว่ากองทัพมีแผนจะเริ่มวันไหน แล้วรู้ไหมว่าจะเผาศพที่ไหน

สิ่งที่เขาบรรยายในนิยายคือ ศพจะถูกเผาอยู่ในลานขยะเมื่อวันที่สิบเดือนหก ก็ไม่รู้ว่าเวลาและสถานที่จะเปลี่ยนไปหรือไม่

ศพถูกเผาในลานขยะเมื่อวันที่ห้าเดือนหก ทำไม? นายสนใจเรื่องนี้? อยากไปดูเหรอ

มู่อี้ฟานส่ายหัว ตอนนี้วันที่เท่าไร

วันที่หนึ่งเดือนหก

ดวงตาของมู่อี้ฟานเบิกกว้าง เป็นวันที่หนึ่งเดือนหกแล้ว แต่เขายังอุ้มท้องหนักๆ อยู่เลย จะทำยังไงดี

เขาจะไปหาหรือเก็บแกนคริสตัลขนาดใหญ่นั้นอย่างไรล่ะเนี่ย

มู่อี้ฟานรีบหันหน้าไปถามเจิ้งกั๋วจง หมอเถื่อน พรุ่งนี้ฉันผ่าตัดเอาลูกปัดออกจากท้องเลยได้ไหม

เจิ้งกั๋วจงปฏิเสธเขาอย่างไม่ต้องได้คิด ไม่ได้

มู่อี้ฟานรู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่ฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ อุ้มท้องโตไม่ได้ แบบนี้มันไม่สะดวก

ไม่ว่าเรื่องสำคัญอะไร ก็ไม่สำคัญเท่าร่างกายของคุณหรอก

ไม่เป็นไร ฉันเป็นซอม...

มู่อี้ฟานนึกขึ้นได้ว่าลู่หลินยังอยู่ข้างกาย จึงทำได้เพียงหุบปากลง

ลู่หลินถาม มู่อี้ฟาน นายมีเรื่องสำคัญอะไรที่ต้องจัดการเหรอ ถ้าช่วยได้ ฉันจะช่วยนายจัดการแน่นอน

เขาให้สัญญากับบอสมาก่อนว่า ขอเพียงเป็นคำขอที่มู่อี้ฟานเอ่ยออกมา จะต้องรับปากเขา

มู่อี้ฟานส่ายหัว นายช่วยฉันไม่ได้หรอก เรื่องนี้ฉันต้องไปทำด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะได้

เดิมทีเขาอยากจะหาคนหลายคนมาช่วย แต่เขากลับหาได้แค่เจิ้งเจียหมิงพบ อย่างไรก็ตาม หลังจากพบซอมบี้ที่มีระดับสูงกว่าเขาในยุ้งฉาง มีเจิ้งเจียหมิงไปก็ไร้ประโยชน์แล้ว

ถ้าไปด้วยกันกับเจิ้งเจียหมิงอีก จะกลายเป็นแค่ภาระเปล่าๆ พวกเขาสองคนอาจจะถูกซอมบี้ที่มีระดับสูงกว่าควบคุมหรือเปล่าก็ไม่แน่

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ มู่อี้ฟานก็พลันหมดอารมณ์ กลับกันเถอะ

เจิ้งกั๋วจงพูดอย่างประหลาดใจ พวกเราเพิ่งออกมากันไม่ใช่เหรอ ทำไมจะกลับไปแล้วล่ะ

ลู่หลินกล่าวว่า นายเพิ่งฟื้น ดูรอบๆ ก่อนค่อยกลับเถอะ

มู่อี้ฟานไม่มีความคิดเห็น พวกลู่หลินก็เข็นเขาเดินเล่นอยู่รอบๆ สวนดอกไม้หนึ่งรอบใหญ่ หลังจากนั้นจึงวกกลับไปยังถนนอีกเส้นเพื่อไปยังวิลลาที่อาศัยอยู่

ระหว่างทาง เขาเห็นผู้รอดชีวิตมากมาย ภายใต้การจัดการของจ้านเป่ยเทียน พวกเขาได้รับการรับรองความปลอดภัย และทุกคนก็จะไม่หิวไม่หนาว

ทันใดนั้น เงาร่างที่คุ้นเคยในวิลลาหลังหนึ่งก็ดึงดูดความสนใจของมู่อี้ฟาน เขารีบหันไปพูดกับเจิ้งกั๋วจงว่า หมอเถื่อน ฉันเหมือนจะเห็นเสี่ยวจางคนนั้นจากหมู่บ้านของคุณเลย

เจิ้งกั๋วจงหันหน้าไปมอง ที่ไหน

มู่อี้ฟานมองย้อนกลับไปทางก่อนหน้านี้ ที่นั่นไม่มีเงาคนแล้ว หือ? ทำไมไม่เห็นแล้วล่ะ หรือว่าฉันดูผิดไป

คุณน่าจะดูผิดนะ เสี่ยวจางจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

อาจจะมั้งนะ

ในขณะนั้นเองก็มีเสียงดังมาจากท้องฟ้า เรียนผู้รอดชีวิตทุกท่านโปรดทราบ เรียนผู้รอดชีวิตทุกท่านโปรดทราบ โปรดอพยพออกจากเมือง G ไปทางเหนือก่อนวันที่ห้า โปรดอพยพออกจากเมือง G ไปทางเหนือก่อนวันที่ห้า เรียนผู้รอดชีวิตทุกท่านโปรดทราบ เรียนผู้รอดชีวิตทุกท่านโปรดทราบ พวกเราจะทิ้งระเบิดที่เมือง G ภายในวันที่ห้า พวกเราจะทิ้งระเบิดที่เมือง G ภายในวันที่ห้า

พอคนในวิลลาได้ยินดังนั้น ก็ทยอยกันวิ่งออกมา แหงนมองขึ้นไปก็เห็นเครื่องบินควบคุมระยะไกลขนาดเล็กบินอยู่บนท้องฟ้า ประกาศเนื้อหาก่อนหน้านี้ไม่หยุด

เกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องระเบิดเมือง G” เจิ้งกั๋วจงถามอย่างกังวล

มู่อี้ฟานขมวดคิ้ว น่าจะไม่ได้ระเบิดเมือง G แต่น่าจะต้อนฝูงซอมบี้ไปที่เดียวกันแล้วทิ้งระเบิดมากกว่า ไม่ได้จะทำลายเมืองทั้งหมดอย่างสมบูรณ์

ลู่หลินพยักหน้า เป็นเรื่องจริง

เจิ้งกั๋วจงกล่าวอย่างกังวลว่า ไม่ ผมจะไปหาเจียหมิง

มู่อี้ฟานรีบห้ามเจิ้งกั๋วจงที่กำลังจะไป หมอเถื่อน คุณรอเดี๋ยว โอ๊ย ~~~”

เจิ้งกั๋วจงได้ยินเสียงร้องลั่นของมู่อี้ฟานก็รีบวิ่งกลับไป คุณเป็นอะไรไป มู่มู่?”

มู่อี้ฟานกุมท้อง พูดอย่างลำบากว่า ทะ...ท้องของฉันปวด...

เจิ้งกั๋วจงตกตะลึง ได้สติอย่างรวดเร็ว สัมผัสท้องของมู่อี้ฟานและพูดอย่างกังวลว่า จะคลอดแล้ว อาจจะคลอดแล้ว!




[1] หน้าต่างฝรั่งเศส คือ หน้าต่างบานเปิดขนาดใหญ่ซึ่งเป็นกระจก


 

บทที่ 93 เด็กออกมาแล้ว

มู่อี้ฟานจับมือเจิ้งกั๋วจง อดทนต่อความเจ็บปวด พยายามถามว่า หมอเถื่อน จะ...จะคลอดแล้วหมายความว่ายังไง

“...” เจิ้งกั๋วจงไม่รู้จะอธิบายอย่างไรกับผู้ชายที่ไม่เชื่อว่าตัวเองท้องและเขากำลังจะคลอดแล้ว

เขาหันไปมองลู่หลินที่ตกตะลึงอยู่ พูดอย่างกังวลว่า คุณมัวอึ้งอะไรอยู่อีก รีบเข็นคนกลับไปสักทีสิ

ลู่หลินได้สติ หือ? อ้อๆ

เมื่อกี้เขาได้ยินผิดหรือเปล่า

หมอเจิ้งบอกว่ามู่อี้ฟานจะคลอดแล้ว!

คลอดมันหมายความว่าอย่างไร

คงไม่ใช่แบบที่เขาคิดหรอกนะ

ลู่หลินรีบเข็นวีลแชร์ไปยังวิลลาที่พวกเขาอาศัยอยู่

หลังจากกลับถึงวิลลา ท้องของมู่อี้ฟานหนักมาก แถมยังปวดจนลุกขึ้นยืนไม่ได้

ลู่หลินอุ้มมู่อี้ฟานที่หนักเกินไปขึ้นไม่ไหว จึงต้องร้องเรียกคนในบ้าน ซุนจื่อหาว รีบออกมาช่วยกันหน่อย

ซุนจื่อหาวได้ยินน้ำเสียงวิตกกังวลของลู่หลินจึงตอบสนองอย่างรวดเร็ว พุ่งออกมานอกวิลลาในก้าวเดียว

เหมาอวี่และเซี่ยงกั๋วก็รีบตามออกไปเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น

ลู่หลินรีบเอ่ยว่า ซุนจื่อหาว พวกเราสองคนแบกเขากันคนละข้างนะ เร็วเข้า

เกิดอะไรขึ้นซุนจื่อหาววิ่งไปพลางถามไปพลางขณะมองมู่อี้ฟานที่กุมท้องและร้องด้วยความเจ็บปวด

ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน

เจิ้งกั๋วจงกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า พวกคุณอุ้มเขาไปที่เตียงผ่าตัด ที่ห้องใต้ดิน

ลู่หลินพาดแขนของมู่อี้ฟานไว้บนไหล่ตัวเอง หลังจากนั้นมือหนึ่งพยุงหลัง มือหนึ่งโอบเอว ซุนจื่อหาว นายต้องใช้แรงหน่อย พวกเราต้องร่วมมือกันอุ้มเขาเข้าไป

เขาหนักขนาดนั้นเลยเหรอ

ซุนจื่อหาวมีใบหน้างุนงง เหมือนว่าทหารที่ได้รับการฝึกฝนเหล่านั้น เลือกสุ่มๆ ก็สามารถอุ้มผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งได้ ทำไมคนเพียงคนเดียวต้องอุ้มพร้อมกันถึงสองคนด้วยล่ะ

แต่ขณะที่เขาอุ้มมู่อี้ฟานขึ้นมา เอวแก่ๆ ของเขาก็แทบจะลั่น แม่ง มู่อี้ฟาน นายกินอะไรบ้างวะ ทำไมถึงหนักขนาดนี้ฮะ?”

ฉะ...ฉันจะไปรู้ได้ยังไงเล่ามู่อี้ฟานปวดจนพูดแทบไม่ออก

เหมาอวี่และเซี่ยงกั๋วที่ยืนดูอยู่หน้าประตูรีบหลีกทางให้พวกเขาอุ้มคนเข้าไปที่เตียงผ่าตัดในห้องใต้ดินของวิลลา

เจิ้งกั๋วจงสวมชุดผ่าตัด พร้อมทั้งพูดอย่างรวดเร็วว่า พวกคุณไปเรียกพลตรีจ้านกลับมา

ซุนจื่อหาวเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก ถามอย่างไม่เข้าใจว่า เรียกบอสกลับมาทำไม

มู่อี้ฟานไม่สบายแล้วเกี่ยวอะไรกับบอสพวกเขาด้วย เรียกบอส กลับมา จะทำให้มู่อี้ฟานหายปวดท้องได้ไหมล่ะ

เจิ้งกั๋วจงเอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า ลูกของเขาจะเกิดแล้ว คุณว่าต้องเรียกเขากลับมาไหม?”

ฮะ?”

ฮะ?”

ซุนจื่อหาวและลู่หลินตะลึงอยู่กับที่

อะไรนะ?” มู่อี้ฟานที่เจ็บปวดจนใกล้หมดสติเงยหน้าขึ้นทันควัน หมอเถื่อน เมื่อกี้ว่าอะไรนะ

เขาเจ็บปวดเกินไปจนมีอาการหูหลอนหรือเปล่านะ?

ไม่ได้พูดอะไรนะเจิ้งกั๋วจงโบกมือ จากนั้นก็ตะโกนใส่สองคนที่ยืนเอ๋ออยู่ที่ประตู พวกคุณยังไม่ไปเร็วๆ อีก ก็แค่บอกว่ามู่อี้ฟานจะคลอดแล้ว

มู่อี้ฟาน “...”

อ้อ ครับๆ

ลู่หลินและซุนจื่อหาววิ่งกลับไปยังห้องโถงอย่างเร่งรีบ ลู่หลินว่า ซุนจื่อหาว บอสฝึกทหารอยู่ที่สนามบาสฯ นายไปหาเขาเลย

โอ้ โอเคซุนจื่อหาวรีบวิ่งออกจากวิลลา

ลู่หลินนั่งลงบนโซฟาด้วยความเหนื่อยล้า

จากการวิ่งกลับมาที่นี่ซึ่งห่างกันไม่กี่ร้อยเมตร แต่เขากลับรู้สึกว่าตัวเองถ่วงน้ำหนักวิ่งหลายสิบกิโลเมตรเสียอย่างนั้น มันเหนื่อยจริงๆ

เซี่ยงกั๋วและเหมาอวี่รีบมานั่งข้างๆ เขา แล้วถามอย่างสงสัยว่า มู่อี้ฟานเป็นอะไรล่ะ

ลู่หลินพรูลมหายใจออก หมอเจิ้งบอกว่ามู่อี้ฟานจะคลอดแล้ว

เหมาอวี่ผงะ

ฮ้า!? จะคลอดแล้ว?” เซี่ยงกั๋วนึกถึงมู่อี้ฟานที่จะคลอดลูกเหมือนสตรีมีครรภ์ทันที ด้วยความรู้สึกแปลกใจและขบขัน จึงคลี่ยิ้มขึ้น ที่จะคลอดแล้วหมายความว่ายังไง

ลู่หลินกลอกตา ผีเถอะ ถึงรู้ว่าหมายถึงอะไร แต่เมื่อกี้หมอเจิ้งบอกว่า ตอนนี้ลูกของบอสจะคลอดแล้ว ให้พวกเรารีบเรียกบอสกลับมา

ก่อนหน้านี้ตอนได้ยินเรื่องนี้ เขาก็ถูกทำให้ตกใจเหมือนกัน

อะไรนะ? ลูกของบอสจะคลอดแล้ว? ใครเป็นคนคลอดลูกให้บอส?” เซี่ยงกั๋วอึ้งกิมกี่จนคางแทบค้าง

เหมาอวี่ได้สติ ความหมายของหมอเจิ้งน่าจะประมาณว่า มู่อี้ฟานจะคลอดลูกแล้ว แถมที่เกิดยังเป็นลูกของบอสด้วยหรือเปล่า

จะเป็นไปได้ยังไง!?” เซี่ยงกั๋วลุกขึ้นยืนอย่างพรวดพราด พูดด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่า มู่อี้ฟานเป็นผู้ชายชัดๆ เขาจะคลอดลูกได้ยังไง บอสจะทำอะ...ไอ้นั่นกับมู่อี้ฟานลงเหรอ?”

เรื่องนี้ฆ่าเขาให้ตายก็ไม่เชื่อ

ลู่หลินขมวดคิ้ว ไม่สำคัญว่าเรื่องคลอดลูกจะจริงหรือไม่จริง แต่มีเรื่องหนึ่งที่ฉันแปลกใจมากมาตลอดตั้งแต่เมื่อกี้นี้

เหมาอวี่ถาม เรื่องอะไร

เมื่อกี้ตอนพวกเราเดินเล่นอยู่ ฉันได้ยินหมอเจิ้งเรียกมู่อี้ฟานว่ามู่มู่

มู่มู่?” เหมาอวี่และเซี่ยงกั๋วสะดุ้ง ลู่หลิน นายคิดว่ามู่มู่ที่พวกเรารู้จักก่อนหน้านี้คือมู่อี้ฟานในตอนนี้หรือเปล่า

ลู่หลินพยักหน้า ถ้าพวกนายคิดดูดีๆ ละก็ แซ่สกุลของมู่อี้ฟานและมู่มู่ต่างออกเสียงเหมือนกัน แถมทั้งคู่ยังป่วยเป็นมะเร็งกระดูกในเวลาเดียวกันอีก และทัศนคติของเจ้านายที่มีต่อมู่อี้ฟานก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนเมื่อก่อนด้วย ดังนั้น เรื่องเหล่านี้ทำให้ฉันสงสัยว่ามู่อี้ฟานจะเป็นมู่มู่หรือเปล่า

นี่มัน...ที่ลู่หลินวิเคราะห์มามันสมเหตุสมผลมาก อย่างไรก็ตาม เหมาอวี่ยังคงไม่ค่อยแน่ใจว่าพวกเขาทั้งสองคนเป็นคนเดียวกัน

เซี่ยงกั๋วก้มหน้า ฉันไม่เชื่อว่าพวกเขาจะเป็นคนเดียวกัน

เหมาอวี่กล่าวว่า เซี่ยงกั๋ว อย่าสติแตกไปเลย รอให้บอสกลับมา เดี๋ยวก็รู้เองแหละว่าเกิดอะไรขึ้น

 

อีกด้านหนึ่ง ซุนจื่อหาวเร่งรีบวิ่งไปที่สนามบาสฯ เห็นจ้านเป่ยเทียนยืนอยู่กลางสนาม จึงเร่งฝีเท้าวิ่งเข้าไปทันที บะ...บอส

จ้านเป่ยเทียนเห็นเขาหอบแฮกๆ ก็ขมวดคิ้ว เกิดอะไรขึ้น

ซุนจื่อหาวหอบหายใจและเกาหัว ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้จะบอกจ้านเป่ยเทียนอย่างไร

เรื่องที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้เป็นเรื่องที่มีเพียงในจินตนาการ กลัวว่าพูดออกมาจริงๆ แล้วจะถูกพลตรีดุเอา

ให้ตายเถอะ น่าจะถามให้ชัดเจนก่อนที่จะวิ่งมา

จ้านเป่ยเทียนกดเสียงต่ำ ซุนจื่อหาว สรุปนายมีเรื่องอะไร

ซุนจื่อหาวไม่สนใจแล้วว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ เขารีบยืนตัวตรง รายงานเรื่องเจิ้งกั๋วจงตามความเป็นจริง รายงานท่านพลตรี หมอเจิ้งให้ผมมาบอกคุณว่า มู่อี้ฟานจะคลอดแล้วครับ

ทันทีที่พูดจบ คนตรงหน้าเขาก็วิ่งสปีดไปสิบเมตรแล้ว

ซุนจื่อหาวมองด้านหลังของจ้านเป่ยเทียนอย่างกังวลแล้วพึมพำว่า เชี่ย อย่าบอกนะว่ามู่อี้ฟานท้องลูกของบอสจริงๆ น่ะ

ข่าวนี้มันอัศจรรย์เกินไปไหม?

ไม่ได้การแล้ว

เขารู้สึกว่าตัวเองต้องการเวลาสงบสติอารมณ์ และมาย่อยเรื่องนี้ให้ดีๆ

อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนี้ต้องย้อนกลับไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ซุนจื่อหาวหลุดจากภวังค์ก็วิ่งกลับไปยังวิลลาอย่างรวดเร็ว เห็นจ้านเป่ยเทียนยืนอยู่ในห้องโถงใช้น้ำเสียงนิ่งๆ และค่อนข้างกังวลสั่งสามคนที่เซ่อไปแล้วให้ไปเตรียมน้ำอุ่นสำหรับอาบน้ำ และนมอุ่น รวมทั้งผ้าขนหนูที่สามารถห่อตัวเด็กได้

หลังจากรัวอธิบายเสร็จ จ้านเป่ยเทียนก็รีบสาวเท้าไปยังห้องใต้ดิน และได้ยินเจิ้งกั๋วจงพูดด้วยความทุกข์ใจว่า คุณว่าผมต้องหาหมอตำแยสักคนให้คุณไหม

จ้านเป่ยเทียน “...”

มู่อี้ฟานจ้องมองเจิ้งกั๋วจงอย่างอ่อนแรง เหล่าจือเป็นผู้ชาย เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่มีช่องคลอด คุณจะหาหมอตำแยมาทำบ้าอะไร

เจิ้งกั๋วจงรู้สึกสับสนมาก แต่ผมไม่ใช่หมอสูตินารีแพทย์นะ ไม่เคยผ่าตัดคนท้อง ผมว่าขอให้ท่านพลตรีหาหมอสูตินารีแพทย์เถอะ

มู่อี้ฟานกลอกตา หมอเถื่อน คุณแน่ใจจริงๆ เหรอว่าเหล่าจือท้อง

ทำไมตอนนี้คุณยังไม่เชื่อว่าตัวเองท้อง?”

แม่มันเถอะ คุณจะให้ผู้ชายตัวโตๆ คนหนึ่งเชื่อว่าตัวเองท้องได้ยังไง โอ๊ย ~~ ปวดๆๆ คุณรีบหาวิธีเอาลูกปัดออกมาเร็วเข้ามู่อี้ฟานเจ็บปวดจนใบหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมา จึงรีบลูบท้องอย่างรวดเร็ว

ไม่ใช่ลูกปัด แต่เป็นเด็กต่างหาก ลูกปัดที่คุณกลืนเข้าไปจะใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร

“...” มู่อี้ฟานไม่รู้จะอธิบายเรื่องฉิงเทียนจูให้เขาฟังยังไง

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ตอนนี้เขาใกล้จะถูกความเจ็บปวดเล่นงานจนตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว หมอเถื่อนยังเอาแต่พูดยืดยาวไม่ยอมเอาลูกปัดในท้องเขาออกมาสักที ช่างน่าหดหู่จริงๆ

จ้านเป่ยเทียนเห็นมู่อี้ฟานทรมานขึ้นเรื่อยๆ ก็รีบทำให้จิตใจสงบลง และพูดอย่างใจเย็นว่า หมอเจิ้ง คุณก็ทำเหมือนการผ่าตัดเล็กตามปกติ และผ่าเปิดท้องเอาเด็กออกมานั่นแหละ

ได้ยินดังนั้น มู่อี้ฟานหันไปมองจ้านเป่ยเทียนที่อยู่ตรงประตูก็สะดุ้งตกใจ ด้วยความเก้อกระดากเล็กน้อยจึงเบนหน้าหนี ฉับพลันเขาก็หันกลับไปจ้องจ้านเป่ยเทียนอีกครั้ง คำพูดของนายเมื่อกี้มันหมายความว่ายังไง อย่าบอกนะว่านายก็ยังคิดว่าฉันท้องด้วยคนน่ะ

จ้านเป่ยเทียนมองใบหน้าซีดเซียวเต็มทีก็มุ่นคิ้วน้อยๆ ไม่ได้หมายความว่าอะไร นายไม่ต้องการนำลูกปัดออกมาแล้วเหรอ นายก็ถือซะว่าพวกเราเอาลูกปัดออกมาให้นายตอนนี้ไง

มู่อี้ฟานขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด และไม่ส่งเสียงคัดค้านอีก

จ้านเป่ยเทียนกล่าวกับหมอเจิ้งว่า หมอเจิ้ง คุณฉีดยาชาลดความเจ็บปวดให้เขาก่อน

เจิ้งกั๋วจงพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า ผมเพิ่งฉีดยาไป แต่มันไม่มีผลต่อเขาเลย

จ้านเป่ยเทียนคิดขึ้นได้ว่า ตอนนี้มู่อี้ฟานเป็นซอมบี้ จึงไม่ควรกลัวความเจ็บปวดจากการผ่าตัด แล้วพูดว่า ถ้างั้นก็ผ่าเขาทั้งแบบนี้เถอะ

แต่ว่า...

เจิ้งกั๋วจงลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า จึงตัดสินใจลงมือผ่าตัดด้วยตัวเอง

มู่อี้ฟานตึงเครียดมากจนไม่กล้าดูคนอื่นผ่าตัดบนร่างกายเขา ก่อนที่เจิ้งกั๋วจงจะลงมือก็รีบพูดว่า พวกคุณหาผ้ามาปิดตาฉันหน่อยจะได้ไหม

จ้านเป่ยเทียนเดินตรงไปหน้าเตียงผ่าตัด ใช้มือปิดตาทั้งสองข้างของมู่อี้ฟาน และใช้สายตาส่งสัญญาณให้เจิ้งกั๋วจงลงมือให้ไว

บางทีอาจเพราะมู่อี้ฟานเป็นซอมบี้ ในระหว่างการผ่าตัดจึงไม่รู้สึกว่าเจิ้งกั๋วจงทำอะไรกับร่างกายเขาบ้างแม้แต่น้อย สรุปคือตอนที่มีดผ่าบนร่างกายของเขานั้น มันไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเลย

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว เขารู้สึกว่าเจิ้งกั๋วจงเอาบางอย่างในท้องของเขาออกมา จากนั้นท้องก็ไม่ได้รู้สึกปวดอีกต่อไปแล้ว หลังจากนั้นก็มีเสียงร้องอุแว้ของทารกดังขึ้น

เจิ้งกั๋วจงอุทานด้วยความดีใจ ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว เด็กออกมาแล้ว

เมื่อจ้านเป่ยเทียนเห็นเด็กทารก ก็เอามือที่ปิดตามู่อี้ฟานออกแล้วจ้องไปที่เด็กทารกที่ร้องอุแว้ๆ อยู่ ในดวงตาเฉยชามีรอยยิ้มอ่อนโยนผุดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

มู่อี้ฟานลืมตาขึ้นทันที และเห็นในอ้อมแขนของเจิ้งกั๋วจงอุ้มทารกน้อยขาวอวบอ้วนที่มีเลือดติดอยู่บนตัว ดวงตาทั้งคู่ก็จ้องตรงไปในทันที เชี่ยเอ๊ย ไหนที่พูดมาซะดิบดีว่าท้องอืดล่ะ

จ้านเป่ยเทียน “...”


 

บทที่ 94 นี่คือลูกของคุณ

เจิ้งกั๋วจงยิ้มฉุนกับคำพูดของมู่อี้ฟาน มาจนป่านนี้แล้ว คุณยังรับข้อเท็จจริงไม่ได้อีกหรือ

เขาส่งเด็กไปข้างหน้า ดูสิ นี่คือหลักฐานพิสูจน์ว่าคุณท้องและยังเป็นหลักฐานว่าเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ผมไม่ได้วินิจฉัยผิด ฮึ่ม ดูสิ คุณยังจะกล้าเรียกผมว่าหมอเถื่อนในอนาคตอีกไหม

“...” มู่อี้ฟานแอบเหลือบมองน้องชายตัวน้อยตรงหว่างขาเด็กอย่างลับๆ จู่ๆ ก็รู้สึกอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา

เขาให้กำเนิดลูกชายโดยไม่รู้ตัวจริงๆ แล้วอีกอย่างคือทำไมลูกชายถึงหน้าตาไม่เหมือนเขาเลยล่ะ

คุณดูสิ เด็กคนนี้หล่อมาก เหมือนแม่พิมพ์ที่แกะออกจากพลตรีจ้านเลยเจิ้งกั๋วจงหัวเราะร่าเริง

จ้านเป่ยเทียนมองเด็กคนนั้นอย่างจริงจัง ใบหน้าเล็กๆ นั้นยับย่นจนมองไม่ออกว่าเหมือนเขาตรงไหน

มู่อี้ฟานมองเจิ้งกั๋วจงอย่างสงสัย เอ๊ะ เด็กคนนี้ไม่ใช่ฉันคลอดออกมาเหรอ เกี่ยวอะไรกับจ้านเป่ยเทียนด้วยเล่า

ไม่จำเป็นว่าคุณเป็นคนคลอดแล้วหน้าตาจะต้องเหมือนคุณซะหน่อย มันขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนหว่านเมล็ดในร่างกายของคุณต่างหาก

จ้านเป่ยเทียน “...”

มู่อี้ฟานอารมณ์ขึ้น หมอเถื่อน คุณ...

บ้าเอ๊ย พูดอะไรออกมาเนี่ยฮะ

นี่ไม่ได้หมายความว่าจ้านเป่ยเทียนเคยหว่านเมล็ดพืชในร่างกายของเขาหรือไง

ไข่แม่มันเถอะ

เขาไปมีอะไรกับจ้านเป่ยเทียนเมื่อไรกัน

เดี๋ยวนะ

ตอนนี้เขายอมรับเรื่องคลอดลูกเร็วเกินไปหรือเปล่าวะ

ลูกตาที่ลุกเป็นไฟของมู่อี้ฟานกลอกไปมา และหยุดลงที่ร่างจ้านเป่ยเทียน แล้วถามอย่างอึมครึมว่า สหายจ้านเป่ยเทียนที่รัก รบกวนนายอธิบายเรื่องกว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมาหน่อย นายคิดยังไงถึงโกหกว่าฉันเป็นท้องอืด?”

“...” จ้านเป่ยเทียนแตะจมูกอย่างไม่สบายใจ จากนั้นก็รับเด็กมาจากเจิ้งกั๋วจงอย่างลุกลี้ลุกลนแล้วพูด หมอเจิ้ง ผมพาเด็กขึ้นไปอาบน้ำก่อน ส่วนคุณก็ช่วยมู่มู่เย็บท้องกลับคืนไปนะ

โอเคๆ อย่าให้เด็กจับไข้ล่ะ

มู่อี้ฟานมองจ้านเป่ยเทียนสับฝีเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว จึงรีบตะโกนว่า จ้านเป่ยเทียน นายกลับมาอธิบายให้ชัดเจนเลยนะ จ้านเป่ยเทียน ไอ้คนสารเลว

เจิ้งกั๋วจงรีบปลอบว่า เอาละ เอาละ อย่าตะโกนเลย คุณเพิ่งคลอดลูกนะ จะโกรธเกินไปไม่ได้

มู่อี้ฟานพูดด้วยความโมโหว่า เหล่าจือจะไม่โกรธได้หรือฮะ? เหล่าจือเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ให้กำเกิดลูกชายอย่างอัศจรรย์พันลึกแบบนี้นี่...นี่ว่าไปแล้วจะไม่แปลกเกินไปหน่อยหรือ?”

เรื่องนี้มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละ

เพราะอะไรเขาถึงท้องอย่างไร้เหตุผลกันนะ

มู่อี้ฟานพลันนึกถึงฉิงเทียนจูขึ้นมาได้ คิดในใจว่า เด็กคนนี้คงไม่ใช่แปรสภาพจากฉิงเทียนจูหรอกนะ?

เขายิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มันเป็นไปได้

พระเจ้า

จู่ๆ เขาก็รู้สึกอยากตายขึ้นมา

ถ้ารู้มาก่อนหน้านี้ว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้ เขาไม่น่าทิ้งฉิงเทียนจูไว้ในท้องเลย

เจิ้งกั๋วจงปลอบโยน ตอนนี้เด็กก็คลอดออกมาแล้ว อย่าได้คิดเยอะไปเลย ถ้าจะต้องคิด ก็ควรคิดหาวิธีเลี้ยงลูกให้โตเถอะ

มู่อี้ฟาน “...”

 

จ้านเป่ยเทียนเพิ่งเดินออกจากประตูห้องใต้ดินก็เห็นเหมาอวี่ ซุนจื่อหาว ลู่หลินและเซี่ยงกั๋วอยู่นอกประตูมองเขาอุ้มเด็กเดินออกมากันอย่างตาวาว

สายตาของทั้งสี่คนตกอยู่ที่ตัวเด็กในอ้อมแขนของจ้านเป่ยเทียน ทันใดนั้นดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นจนลูกกะตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า

แม่เจ้าโว้ย

เด็กคนนี้หน้าตาเหมือนเจ้านายของพวกเขาจริงๆ เกือบจะแกะออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน

เป็นเวลานาน ซุนจื่อหาวถึงจะหาเสียงเจอแล้วถามว่า บะ...บอส นะ...นี่ลูกของคุณ?”

อืมจ้านเป่ยเทียนรับคำแผ่วเบา

พออีกสามคนได้ยินดังนั้น ก็ตกใจจนขากรรไกรใกล้จะตกลงไปที่พื้น

แม้ในใจพวกเขาจะมั่นใจว่าลูกเป็นของบอสก็ตาม แต่เมื่อได้ยินบอสเอ่ยปากยอมรับเอง ถึงยังไงก็ยอมรับไม่ได้อยู่ดี

เพราะเรื่องนี้มันเหลือเชื่อจริงๆ

พวกเขาไม่อยากจะเชื่อจริงๆ เลยว่าเด็กคนนี้จะเป็นผู้ชายคลอดออกมา และไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ผู้ชายที่ให้กำเนิดลูกชายของบอสก็คือคนที่พวกเขาเคยเกลียดสุดขั้ว

จ้านเป่ยเทียนถามว่า น้ำอาบเตรียมไว้หรือยัง?”

เหมาอวี่ได้สติ และรีบพูดว่า เตรียมแล้วครับ อยู่ในห้องน้ำของห้องครัว บอสครับ ต้องการหาพี่เลี้ยงเด็กมาช่วยดูแลเด็กไหมครับ

จ้านเป่ยเทียนครุ่นคิด พวกเขาซึ่งเป็นผู้ชายตัวโต มือเท้าหยาบกร้านต้องการผู้หญิงมาช่วยเด็กอาบน้ำจริงๆ นั่นแหละ

เขาพยักหน้า นายไปหาพี่เลี้ยงเด็กมาเดี๋ยวนี้ และต่อจากนั้นพวกนายต้องดูพี่เลี้ยงเด็กว่าต้องอาบน้ำและใส่ผ้าอ้อมอย่างไรให้ดีๆ ด้วย ในอนาคตไม่แน่ว่าหน้าที่การอาบน้ำเปลี่ยนผ้าอ้อมต้องมอบให้พวกนายไปทำแล้ว

เด็กคนนี้พิเศษมาก เขาไม่ต้องการให้มีคนรู้ความลับของเด็กมากเกินไป

พวกลู่หลินสี่คน “...”

เหมาอวี่ออกไปจากวิลลาไม่นาน ในไม่ช้าก็หาพี่เลี้ยงเด็กซึ่งเป็นแม่บ้านคนหนึ่งท่ามกลางผู้รอดชีวิตได้

จ้านเป่ยเทียนเห็นคนที่จะมาดูแลเด็กคือแม่ของหรงเอี๋ยนก็ตกตะลึง โดยไม่ได้พูดอะไรก็วางเด็กไว้ในมือของคุณแม่หรงให้เธอพาเด็กไปอาบน้ำ

คนอื่นๆ ไปห้องน้ำเพื่อเรียนรู้วิธีอาบน้ำ สวมเสื้อผ้า เปลี่ยนผ้าอ้อม และวิธีให้นมลูกด้วยกัน

ร่างกายนุ่มนิ่มของเด็กทำให้พวกเขาที่เป็นผู้ชายตัวใหญ่ มือเท้าหยาบกร้านไม่กล้าใช้แรงเกินไป ตอนที่อุ้มเด็กต่างไม่รู้ว่าควรวางมือเท้าไว้ที่ไหนดี กลัวว่าถ้าไม่ระวังจะทำให้เด็กบาดเจ็บขึ้นมาได้

หลังเด็กหลับไปก็ถูกจ้านเป่ยเทียนพากลับห้อง ในที่สุดพวกเขาชายฉกรรจ์ทั้งสี่ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ได้สักที จากนั้นก็ทรุดตัวลงบนโซฟาในห้องโถงอย่างหมดสภาพ

โอ้แม่เจ้า เลี้ยงเด็กมันลำบากมากกว่าฉันไปทำจับกัง[1]ซะอีก อีกอย่างจนถึงตอนนี้ ฉันก็ยังไม่อยากเชื่อว่าบอสจะมีลูกชายหนึ่งคนแล้วซุนจื่อหาวกล่าว

ลู่หลินว่า การที่บอสมีลูกชาย มันเป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว ที่สำคัญคือแม่ของเด็กต่างหากที่ยอมรับไม่ได้

เซี่ยงกั๋วแค่นเสียงเย็นชาลุกขึ้นกลับห้องที่ชั้นสองแล้วกระแทกประตูอย่างแรงดังปัง

เหมาอวี่เอ่ยว่า อันที่จริงคนที่ทุกข์ที่สุด และยอมรับไม่ได้ที่สุดคือเซี่ยงกั๋ว นึกย้อนกลับไปในปีนั้น มู่อี้ฟานเกือบจะฆ่าเซี่ยงกั๋วและลู่หลินตาย

ลู่หลินนึกถึงภารกิจในคราวนั้น ดวงตาก็หม่นลง ไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา

ซุนจื่อหาวไม่กล้าพูดเรื่องของปีนั้นอีก และไม่อยากให้ลู่หลินหวนนึกถึงเรื่องในอดีต จึงปิดปากอย่างสงบเสงี่ยมไม่พูดอะไรต่อ

ในขณะนั้นเสียงของเจิ้งกั๋วจงก็ดังมาจากประตูทางเข้าของห้องใต้ดิน ผมบอกคุณให้พักผ่อนดีๆ ค่อยขึ้นมาไม่ใช่เหรอ

ทั้งสามคนซึ่งนั่งอยู่บนโซฟายืดตัวตรงขึ้น และมองไปที่ประตูห้องใต้ดิน

ฉันก็บอกว่าไม่เป็นไรไง ตอนนี้ฉันแค่อยากไปดูลูก

หลังจากมู่อี้ฟานคลอดลูกเรียบร้อย ท้องไม่เพียงแต่ไม่ปวดแล้ว แต่ยังฟื้นฟูสู่สภาพเดิม ซ้ำยังสามารถกระโดดโลดเต้นได้เหมือนเดิมด้วย

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรอยเย็บที่หน้าท้อง เขาจึงไม่สามารถขยับได้มากนัก เพราะกลัวว่าเลือดสีดำและลำไส้ในนั้นจะไหลออกมาจนหมด

พวกลู่หลินทั้งสามคนเห็นเจิ้งกั๋วจงประคองมู่อี้ฟานเดินออกมาทีละก้าวๆ อาการพูดไม่ออกแปลกๆ ก็วาบขึ้นบนใบหน้า พวกเขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าผู้ชายตัวโตๆ คนหนึ่งจะตั้งครรภ์คลอดบุตรได้

เหมาอวี่เห็นพวกเจิ้งกั๋วจงโผล่ขึ้นมาก็พูดว่า เด็กเพิ่งหลับไป บอสพากลับห้องไปแล้ว

เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่อี้ฟานไม่เห็นลูก ก็รู้สึกจิตตกนิดหน่อย จึงพูดกับเจิ้งกั๋วจงว่า ในเมื่อลูกหลับไปแล้ว ฉันก็จะไม่ไปกวนพวกเขา ฉันไปพักผ่อนที่ห้องคุณก่อนแล้วกัน

โอเคเจิ้งกั๋วจงพยุงมู่อี้ฟานกลับห้องของเขา จากนั้นหลังปิดประตูก็พูดว่า มู่มู่ ผมอยากไปหาเจียหมิง

มู่อี้ฟานรู้ว่าเขาเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเจิ้งเจียหมิงจึงปลอบใจทันทีว่า หมอเถื่อน คุณก็อย่าเป็นห่วงเจียหมิงไปเลย เขาน่ะเป็นซอมบี้ที่ฉลาด เพราะงั้นคงไม่ถูกทหารเหล่านั้นดึงดูดไปโดนระเบิดแบบโง่ๆ หรอก

เจิ้งกั๋วจงยังคงไม่วางใจ แต่...

อย่านะ อย่าแม้แต่จะคิดแอบไปหาเจียหมิงเชียว ฉันกล้าพูดได้เลยว่า แค่คุณออกไปจากวิลลาหนึ่งร้อยเมตร คงได้ถูกซอมบี้กินแน่นอน ดังนั้น คุณอยู่ในวิลลาอย่างเชื่อฟังจะดีกว่า

มู่อี้ฟานตบบ่าเขา แล้วฉันจะไปหาเขาในอีกสองวัน พาเขาออกจากเมือง G แล้วไปสมทบกับคุณที่ทางเหนือเป็นอย่างไร

คุณ?” เจิ้งกั๋วจงขมวดคิ้ว ท่านพลตรีจะให้คุณไปหรือ

เขารู้สึกว่าจ้านเป่ยเทียนไม่ปล่อยมู่อี้ฟานจากไปแน่นอน

มู่อี้ฟานหรี่ตาลง ไม่ให้ฉันไป ก็จะแอบหนีไปไงล่ะ เพราะฉันมีเรื่องสำคัญต้องไปทำ เพราะงั้นไม่ไปไม่ได้หรอก

เขาจับมือของเจิ้งกั๋วจงและพูดว่า หมอเถื่อน จากนี้ไปคุณต้องตามจ้านเป่ยเทียนนะ สถานที่ที่มีเขาอยู่ปลอดภัยแน่นอน ฉันกับเจียหมิงจะได้สบายใจมากขึ้น

เจิ้งกั๋วจงถามอย่างรีบร้อนว่า แต่คุณไปแล้ว ลูกของคุณจะเป็นยังไง คุณไม่ต้องการลูกแล้วหรือ

มุมปากมู่อี้ฟานกระตุกไม่เอ่ยถึงเรื่องลูก เพียงกล่าวว่า คุณไม่ต้องห่วงมากขนาดนั้น สรุปคือหลังฉันจากไป คุณจะให้จ้านเป่ยเทียนรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าฉันจะไปหาเจียหมิง เอาละ พวกเราพักผ่อนกันสักครู่เถอะ หลังตื่นขึ้นมาค่อยไปดูเด็กพร้อมกัน

ตกลง

ทั้งสองคนนอนอยู่บนเตียงสองชั่วโมง เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นก็ไปดูเด็กทันที จ้านเป่ยเทียนกลับพูดกับพวกเขาว่า เมื่อเห็นเด็กแล้ว ขอให้อย่าตกใจกันเกินไปล่ะ




[1] จับกัง คือ ผู้ใช้แรงงาน, ผู้รับจ้างทำงานต่างๆ, กรรมกร


 

บทที่ 95 คนหลงลูก

เมื่อมู่อี้ฟานและเจิ้งกั๋วจงได้ยินคำพูดของจ้านเป่ยเทียน พวกเขามองหน้ากันแล้วถามจ้านเป่ยเทียนพร้อมกันว่า

เขาน่าจะกลายพันธุ์ใช่ไหม

เด็กคงไม่ใช่อายุข้ามไปสิบแปดปีใช่ไหม

จ้านเป่ยเทียน “...”

เขาพบว่าการเปิดรับของทั้งสองคนนี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง ความกังวลเมื่อกี้มันไม่จำเป็นเลย

เจิ้งกั๋วจงจ้องมู่อี้ฟานอย่างอารมณ์เสีย มีใครเคยว่าลูกตัวเองแบบนี้บ้างฮะ? พูดออกมาได้ไงว่าลูกตัวเองกลายพันธุ์น่ะ

“...” มู่อี้ฟานรู้สึกว่าตัวเองถูกด่าอย่างไม่เป็นธรรม

ฉิงเทียนจูจากลูกปัดเล็กๆ ลูกหนึ่งกลายเป็นทารกน้อยในท้องของเขา ใครจะไปรู้ว่ามันจะกลายพันธุ์จากทารกน้อยไปเป็นแบบอื่นอีกไหม ดังนั้นจะโทษเขาที่คิดเพ้อเจ้อไม่ได้

จ้านเป่ยเทียนที่ขวางประตูเอียงตัวปล่อยให้พวกเขาเข้ามาดูเด็ก

ทั้งสองคนสาวเท้าเข้ามาในห้องก็เห็นเด็กอายุสองสามขวบที่ดูเหมือนจ้านเป่ยเทียนจูเนียร์ซึ่งนั่งอยู่บนเตียงมองพวกเขาอย่างเงียบๆ

เจิ้งกั๋วจงกล่าวอย่างประหลาดใจว่า นี่...นี่คือทารกที่เพิ่งคลอดก่อนหน้านี้หรือ? นี่...นี่มันจะโตเร็วเกินไปไหม

สิ่งที่เขาพูดก่อนเข้ามานั้นก็แค่คำพูดส่งๆ คาดไม่ถึงว่าเด็กดันโตเร็วขนาดนี้จริงๆ เด็กจะเติบโตในเวลาสั้นๆ อย่างต่อเนื่องในอนาคตไหม

ถ้าเป็นตามที่พูดต่อไป อีกไม่กี่วันเด็กก็คงจะกลายเป็นคนแก่ เด็กคนนี้จะน่าสงสารเกินไปแล้ว

จ้านเป่ยเทียนส่ายหัว การเติบโตในอนาคตจะเหมือนเด็กทั่วไป ตอนนี้สามารถเติบโตได้เท่านี้ มันเป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว

ที่ลูกกลายเป็นแบบนี้ เป็นเพราะเขาพาลูกเข้าไปในมิติเพื่อดูดซับพลังวิญญาณและแช่ในน้ำพุวิญญาณก่อนหน้านี้ ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถเติบโตได้ขนาดนี้หรอก

อย่างไรก็ตาม แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

ในช่วงวันสิ้นโลกนั้น การพาทารกน้อยแรกเกิดวิ่งไปทั่วสารทิศมันไม่สะดวกจริงๆ ตอนนี้ลูกมีอายุสองสามขวบสามารถพูดได้เดินได้ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้นแล้ว

เจิ้งกั๋วจงถอนหายใจโล่งอกแทนเด็ก อย่างนั้นก็ดี

เขามองไปยังเจ้าหนูน้อยซึ่งนั่งอยู่บนเตียงที่ไม่ร้องไม่งอแง นิ่งเงียบราวกับตุ๊กตาเซรามิก

ในสายตาของเขานั้นทั้งดูน่ารักทั้งหล่อเหลาบางส่วนในเวลาเดียวกัน ใบหน้ากลมละมุน คิ้วหนาหล่อเหลา ดวงตากลมโตสดใส ปากเล็กๆ สีแดงสดไล่สีอ่อน ดูไปแล้วเป็นจอมขึงขังน้อยเหมือนจ้านเป่ยเทียนและเหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อยเป๊ะ สะกิดความรักใคร่เอ็นดูมาก ทำให้เขาเกิดความรู้สึกอยากอุ้มขึ้นมาแล้วหยอกให้เด็กชอบใจ

จ้านเป่ยเทียนหันไปมองมู่อี้ฟาน หลังจากเข้ามา มู่อี้ฟานก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่จากอารมณ์ในดวงตาเขาจะเห็นได้ว่า อารมณ์ของเขาในเวลานี้ซับซ้อนมาก

อารมณ์ของมู่อี้ฟานจะไม่ซับซ้อนได้หรือ?

ชั่วพริบตาที่เขาเห็นลูกก็เหมือนย้อนไปเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนตอนที่เขาเล่นด้วยกันกับเพื่อนสมัยเด็กจ้านเป่ยเทียน ทว่าเด็กตรงหน้าไม่ใช่เพื่อนสมัยเด็กของเขา แต่เป็นลูกที่คลอดออกมาจากท้องของเขาต่างหาก

อย่างไรก็ตาม ลูกกลับหน้าตาไม่เหมือนเขาสักนิดเลย ตรงกันข้าม ลูกกลับเหมือนพิมพ์ออกมาจากพระเอกจ้านเป่ยเทียน ทว่ามันก็ไม่ขัดขวางความรักชอบที่เขามีต่อลูกเลย ถึงอย่างไรลูกก็เป็นเขาคลอดออกมา ทั้งหน้าตายังเหมือนเพื่อนสมัยเด็กทุกประการก็ยิ่งรู้สึกชอบมากเหลือเกิน

มู่อี้ฟานนั่งยองๆ อยู่ข้างหน้าลูก เอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าเล็กนุ่มนิ่มอย่างอ่อนโยน แล้วลองส่งเสียงเรียกว่า บรรพบุรุษน้อย?”

ที่เรียกลูกแบบนั้นเพียงเพราะอยากรู้ว่า เด็กคนนี้กลายร่างมาจากฉิงเทียนจูหรือเปล่า

อย่างไรก็ตาม เจิ้งกั๋วจงซึ่งยืนอยู่ข้างหลังเขากลับไม่รู้ความหมายคำว่า บรรพบุรุษน้อย นี้ เขาจึงหัวเราะออกมาเสียงดัง พอมองมู่มู่แล้วก็รู้ว่าต้องเป็นคนหลงลูกในอนาคตแน่

มีที่ไหนเรียกลูกตัวเองว่าบรรพบุรุษน้อย เป็นไปได้ไหมว่าในอนาคตจะบูชาลูกตัวเองเหมือนเป็นบรรพบุรุษน่ะ

มู่อี้ฟาน “...”

จ้านเป่ยเทียน “...”

เจ้าหนูน้อยมองออกว่ามู่อี้ฟานชอบตัวเอง ลูกตาเล็กๆ ขยับแล้วยื่นมือทั้งสองข้างไปหามู่อี้ฟาน เรียกเสียงอ้อแอ้ว่า ป่าป๊า อุ้มๆ

จ้านเป่ยเทียนอึ้งเล็กน้อย

หลังจากเจ้าตัวน้อยเปลี่ยนจากทารกมาเป็นเด็กสองสามขวบก็ไม่ส่งเสียงสักแอะออกมาเลย

เขาคิดว่าลูกพูดไม่ได้ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าลูกไม่อยากคุยด้วย ตอนนี้ยินยอมเรียกมู่อี้ฟานว่าป่าป๊า ซึ่งแสดงว่าเขาชอบมู่อี้ฟานมากๆ

มู่อี้ฟานได้ยินคำว่า ป่าป๊า สองคำก็อึ้งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็อุ้มลูกขึ้นมาจูบอย่างตื่นเต้น

แม้ลูกจะถูกแปรสภาพจากฉิงเทียนจูมาอยู่ในท้องของเขามานานกว่าหนึ่งเดือน และไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเขา แต่ท้ายที่สุดก็ออกมาจากท้องของเขาอยู่ดี แถมลูกยังน่ารักขนาดนี้ทั้งเรียกเขาอย่างหวานๆ ว่าป่าป๊า ไม่อยากชอบก็ยากแล้ว

จ้านเป่ยเทียนเห็นว่ามู่อี้ฟานไม่มีท่าทีรังเกียจลูก ก็พรูลมหายใจออกมาเบาๆ

ในความเป็นจริงตั้งแต่ลูกลืมตาดูโลก ก็กังวลมาตลอดว่ามู่อี้ฟานจะเกลียดเด็กคนนี้ที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมา ถึงอย่างไรลูกก็ออกมาจากท้องของมู่อี้ฟาน ถ้าเขาเกลียดเด็กคนนี้ ลูกก็คงจะเสียใจมากแน่ๆ

เจิ้งกั๋วจงเห็นว่ามู่อี้ฟานหยอกล้อกับลูกได้อย่างมีความสุขขนาดนั้น จึงไม่อยากรบกวนช่วงเวลาที่ครอบครัวสามคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน เขากระซิบบอกจ้านเป่ยเทียนว่าขอออกไปก่อน จากนั้นก็ถอยออกจากห้อง และปิดประตูแทนพวกเขา

ขณะที่มู่อี้ฟานมีความสุขได้พอสมควรถึงสังเกตเห็นว่ามีแค่เขากับจ้านเป่ยเทียนและลูกเหลืออยู่ในห้องเท่านั้น พลันรู้สึกเคอะเขินอยู่บ้างขึ้นมาทันที

ก่อนอื่นไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จ้านเป่ยเทียนเข้าใจเขาผิดนั้นยังไม่ได้ผ่านไป ส่วนสำหรับเรื่องลูกนั้น ลูกคลอดออกมาจากในท้องของเขาชัดๆ แต่รูปร่างหน้าตากลับไปเหมือนจ้านเป่ยเทียนซะได้ ไม่ว่าจะเป็นใครต่างก็รู้สึกว่าเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดบางอย่างกับจ้านเป่ยเทียน

สิ่งนี้ทำให้ในใจเขามีความรู้สึกแปลกประหลาด เดิมทีตำแหน่งพระเอกในใจเขาก็ซับซ้อนมาก ตอนนี้มีความสัมพันธ์ถึงขั้นมีลูกกันแบบนี้ ยังไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายคนนี้อย่างไร

มู่อี้ฟานไม่อยากอยู่ตามลำพังในห้องกับจ้านเป่ยเทียนชั่วคราว จึงอุ้มลูกพร้อมสาวเท้าไปยังประตูอย่างรวดเร็ว

ขณะที่เขากำลังเปิดประตู จู่ๆ ก็มีเสียงขอโทษดังขึ้นมาจากข้างหลัง ขอโทษ

มู่อี้ฟานสะดุ้ง

คิดไม่ถึงว่าจ้านเป่ยเทียนจะขอโทษเขาในเวลานี้

ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าจะเป็นจ้านเป่ยเทียนในชีวิตจริง หรือจ้านเป่ยเทียน ในนิยายต่างพูดขอโทษกับคนอื่นน้อยมาก เพราะอย่างนั้นในใจจึงอดรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

จ้านเป่ยเทียนเห็นเขาหยุดฝีเท้า จึงพูดต่อว่า วันนั้นที่ไปหาเสบียงที่ยุ้งฉาง ฉันคิดว่านายจะกินลู่หลิน เพราะอย่างนั้นเลย...

เขาชะงัก มู่อี้ฟาน เป็นฉันเข้าใจนายผิดเอง ฉันมาที่นี่เพื่อพูดขอโทษกับนาย

มู่อี้ฟานได้ยินเขาพูดคำว่าขอโทษอีกครั้ง มือก็จับลูกบิดประตูไว้แน่น ชั่วขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าจะให้อภัยจ้านเป่ยเทียนดีหรือเปล่า

ถ้าเขายกโทษให้จ้านเป่ยเทียนในตอนนี้ คราวหน้าก็อาจเข้าใจเขาผิดอีกก็ได้

เพราะจ้านเป่ยเทียนไม่เชื่อใจเขา ดังนั้น จึงคิดว่าเขาจะทำร้ายพวกพี่น้องของเขาได้ตลอดเวลา

เด็กในอ้อมแขนดูเหมือนจะจับความลังเลของเขาได้ จึงพูดอ้อแอ้ว่า ป่าป๊า หนูหิวแล้ว

มู่อี้ฟานหลุดจากภวังค์ หิวแล้วเหรอ อย่างนั้นพวกเราลงไปหาของกินข้างล่างเถอะ

เขาเปิดประตูอุ้มลูกเดินออกจากห้อง

เด็กที่อยู่ในอ้อมแขนกอดคอของมู่อี้ฟานเอาไว้ และยิ้มน้อยๆ ให้จ้านเป่ยเทียนที่อยู่เบื้องหลัง

จ้านเป่ยเทียน “...”

รอยยิ้มของลูกทั้งไร้เดียงสาและน่ารักมาก แต่ทำไมเขาถึงมีความรู้สึกว่า เด็กคนนี้จงใจขัดจังหวะเขาขอโทษมู่อี้ฟาน กันนะ

บอส ได้เวลากินข้าวแล้วครับซุนจื่อหาวที่กำลังเตรียมขึ้นไปเรียกจ้านเป่ยเทียนกินข้าวเห็นมู่อี้ฟานออกมาก็รีบเรียกทันที

จ้านเป่ยเทียนถอนสายตากลับ หันไปมองซุนจื่อหาวที่อยู่ชั้นล่างแล้วตอบกลับเบาๆ

ตอนที่มู่อี้ฟานได้ยินว่าซุนจื่อหาวเรียกกินข้าว จึงเดินลงไปชั้นล่าง กระซิบถามว่า บรรพบุรุษน้อย ลูกจะกินข้าวหรือดูดซับหยก

ป่าป๊า หนูจะกินข้าว

มู่อี้ฟานอุ้มลูกนั่งลงข้างเจิ้งกั๋วจง

ทันใดนั้นสายตาของสิบกว่าคนก็ตกอยู่ที่ตัวเด็กในอ้อมแขนของมู่อี้ฟานทั้งหมด

นอกจากเหมาอวี่ ซุนจื่อหาว ลู่หลินและเซี่ยงกั๋วที่จ้องมองเด็กด้วยดวงตาเบิกกว้าง คนอื่นๆ ต่างสงสัยว่าเด็กโผล่มาจากไหน ทำไมเด็กคนนี้ยิ่งพวกเขาดูยิ่งเหมือนคนคนหนึ่ง

ในเวลานี้เอง จ้านเป่ยเทียนที่เดินลงมาตามหลังนั่งลงที่ที่นั่งหัวโต๊ะ คนอื่นๆ เก็บสายตากลับแล้วหันไปมองจ้านเป่ยเทียน ทยอยเรียกบอสออกมาทีละคน

ต่อมาพวกเขาก็จ้องจ้านเป่ยเทียนเขม็ง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าบอสของพวกเขายิ่งดูยิ่งเหมือนคนคนหนึ่ง

น่าแปลกใจจริงๆ

วันนี้มองใครอย่างไรก็รู้สึกว่าเหมือนคนคนหนึ่ง

จากนั้นพวกเขาทั้งมองเด็กทั้งมองจ้านเป่ยเทียน ราวกับจะเห็นอะไรบางอย่าง ก็พากันเบิกตากว้างทีละคน

แม่เจ้าโว้ย!

ทำไมพวกเขารู้สึกว่าบอสหน้าตาเหมือนเด็กคนนั้นล่ะ

ไม่สิ!

ควรจะพูดว่าเด็กที่มู่อี้ฟานอุ้มอยู่ ทำไมถึงเหมือนบอสของพวกเขาขนาดนี้นะ เกือบจะเหมือนแกะพิมพ์กันออกมา ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ หรือบุคลิกต่างก็เหมือนร้อยเปอร์เซ็นต์

จะบอกว่าเด็กไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับบอสของพวกเขา ให้ตายพวกเขาก็ไม่เชื่อ

เหมาอวี่ ซุนจื่อหาว ลู่หลินและเซี่ยงกั๋วมองเด็กคนนั้นอยู่นาน สุดท้ายซุนจื่อหาวก็ทนไม่ไหว ถามว่า บอส คุณคงไม่ได้มีลูกชายคนโตอีกคนใช่ไหม


 

บทที่ 96 เขาไม่ใช่เขา

จ้านเป่ยเทียน “...”

มู่อี้ฟาน “...”

เจิ้งกั๋วจงหัวเราะพรืดออกมา

ลูกชายคนโต?” คนที่ไม่รู้ก็เบิกตากว้างไปตามๆ กัน บอสมีลูกชายแล้ว? แถมยังมีมากกว่าสองคน?”

เชี่ย ลูกชายบอสคลอดเมื่อไรวะ

เออว่ะ ทำไมฉันไม่เคยได้ยินว่าบอสแต่งงานแล้ว

ในเมื่อบอสมีลูกชายแล้ว ถ้าอย่างนั้นพี่สะใภ้เป็นใครล่ะ ทำไมไม่เห็นพี่สะใภ้ออกมากินข้าว

ทุกคนถามเสียงคึกคักขึ้นมา

มู่อี้ฟาน “...”

พวกเหมาอวี่ “...”

เจิ้งกั๋วจงได้ยินคำพูดพวกเขาก็หัวเราะชอบใจยิ่งขึ้น

จ้านเป่ยเทียนกวาดตามองพวกเขา สายตาตกอยู่ที่ตัวซุนจื่อหาว เด็กก็ยังเป็นคนเดิม

ซุนจื่อหาวและพวกเหมาอวี่ตกตะลึง อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเด็กในอ้อมแขนของมู่อี้ฟานอีกครั้ง

ทำไมเด็กคนนี้ถึงมีอายุสองสามขวบได้ จะเป็นทารกน้อยก่อนหน้านั้นได้อย่างไร

แม้ซุนจื่อหาวและคนอื่นๆ จะมีความสงสัยอยู่เต็มท้อง แต่ถามออกมาต่อหน้าคนหมู่มากมันไม่ใช่เรื่องดี จึงทำได้เพียงเก็บความอยากรู้อยากเห็นกลับลงท้องเท่านั้น

จ้านเป่ยเทียนมองไปยังคนอื่นๆ กินข้าว

พวกเขาดูออกว่าจ้านเป่ยเทียนไม่อยากตอบเรื่องพี่สะใภ้ จึงต้องเปลี่ยนเรื่อง บอส เด็กชื่ออะไรเหรอครับ

จ้านเป่ยเทียนขมวดคิ้ว

เขาจำชื่อที่ตั้งให้ลูกไม่ได้แล้ว

จ้านเป่ยเทียนมองลูกในอ้อมแขนของมู่อี้ฟาน กำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็ได้ยินเจ้าหนูน้อยพูดว่า ผมชื่อฉิงเทียน

ฉิงเทียน? จ้านฉิงเทียน? ชื่อนี้ดีมากเลยทุกคนทยอยกันเอ่ยปากชม ในชื่อมีเพียงตัวอักษรเดียวที่ต่างจากบอส

มู่อี้ฟานฟังคำชมของพวกเขาแล้วจ้องจ้านเป่ยเทียนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะอย่างไม่พอใจ

แม้ว่าฉิงเทียนจูจะเป็นของจ้านเป่ยเทียน แต่ลูกก็คลอดออกมาจากท้องเขานะ ตอนนี้กลับมีแซ่จ้านนำหน้าก็กลายเป็นว่าเหมือนกับไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา

จ้านเป่ยเทียนถูกมู่อี้ฟานจ้องอย่างลึกล้ำยากจะเข้าใจ

เจ้าหนูน้อยในอ้อมแขนเงยหน้ามองมู่อี้ฟาน และใช้น้ำเสียงอ่อนโยนพูดว่า คุณลุงทุกคน พวกคุณพูดผิดแล้ว ผมไม่ได้ชื่อจ้านฉิงเทียน

ทุกคนถามอย่างสงสัย หนูไม่แซ่จ้าน แล้วแซ่อะไรล่ะ

ผมแซ่มู่ ชื่อมู่ฉิงเทียนต่างหากมู่ฉิงเทียนพูดคำนี้จบ ก็เงยหน้าพูดกับมู่อี้ฟานว่า ป่าป๊า หนูจะกินซุป

คนทั้งหมดสับสนท่ามกลางสายลม[1]ทันที

ทำไมลูกชายของบอสไม่ใช้แซ่จ้านแต่กลับเป็นแซ่มู่กันล่ะ

แซ่มู่ก็ช่างเถอะ ทำไมลูกชายของบอสถึงเรียกมู่อี้ฟานว่าพ่อ

เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกชายของบอสเหรอ?

ถ้าไม่ใช่ลูกชายของบอส ทำไมถึงได้เหมือนบอสขนาดนี้ล่ะ?

มู่อี้ฟานกุมหน้าผากอย่างช่วยไม่ได้ และกดเสียงต่ำว่า อันที่จริงแซ่จ้านของนายก็ดีอยู่นะ

ตอนนี้ทุกคนต้องเดาความสัมพันธ์ของเขากับเด็กแน่ๆ รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับจ้านเป่ยเทียนด้วย

เจิ้งกั๋วจงหัวเราะฮ่าๆ หยิบชามขึ้นมาเติมซุปให้เด็ก

คนอื่นๆ ไม่ได้รับคำตอบก็แสร้งทำมึนกินข้าวให้เสร็จ จากนั้นก็กดดันเหมาอวี่และพวกลู่หลินเพื่อบังคับให้สารภาพ

เพราะว่าไม่มีแหล่งจ่ายไฟในตอนกลางคืน ดังนั้น หลังมู่อี้ฟานกับลูก และเจิ้งกั๋วจงกินข้าวเรียบร้อยแล้วก็กลับห้องไปพักผ่อนโดยเร็ว

เนื่องจากเด็กเพิ่งเกิด พลังกายยันไว้ไม่อยู่ พอกลับห้องหัวแตะถึงหมอนก็หลับปุ๋ยทันที

มู่อี้ฟานนอนตะแคงบนเตียงมองใบหน้ายามหลับที่น่ารักของลูกอย่างยิ้มๆ

บอกตามตรง จนถึงตอนนี้เขายังไม่กล้าเชื่อเลยว่า เด็กคนนี้จะคลอดออกมาจากในท้องของเขา

ตอนที่ลูกเรียกเขาว่าป่าป๊าทีละคำ ในใจทั้งมีความสุขทั้งซับซ้อนอย่างมาก แถมไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตัวกับเด็กคนนี้อย่างไรถึงจะดี

สุดท้ายเด็กคนนี้ฉลาดกว่าเด็กทั่วไปนัก ถ้าปฏิบัติต่อลูกแบบหยอกลูกเล่นให้สนุกเหมือนเด็กสองสามขวบตามอายุที่แท้จริง เกรงว่าจะถูกลูกมองเป็นไอ้โง่คนหนึ่ง ถ้าปฏิบัติต่อลูกด้วยทัศนคติแบบผู้ใหญ่มันก็จะรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยอีก ขณะเดียวกันก็จะทำให้คนอื่นๆ รู้ได้ว่าเด็กคนนี้แตกต่างจากคนอื่น

ในเวลานั้นก็มีเสียงบิดประตูดังขึ้น

มู่อี้ฟานรู้ว่าเป็นจ้านเป่ยเทียนกลับมาแล้ว จึงแสร้งทำเป็นหลับทันที

ก่อนหน้านี้ เดิมทีเขาอยากนอนด้วยกันกับเจิ้งกั๋วจง แต่กลับถูกเจิ้งกั๋วจงไล่ออกมา บอกว่า ครอบครัวเดียวกันก็ควรจะอยู่ด้วยกันมากกว่านี้หน่อยแล้วปิดประตูห้องใส่

จ้านเป่ยเทียนถือไฟฉายเดินเข้ามา และเห็นหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กล้วนนอนอยู่บนเตียง ยืนมองอยู่ข้างเตียงสักพัก ก่อนจะเปลี่ยนชุดนอนและนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเตียง

เขาย้ายลูกขึ้นไปบนหัวเตียงนิดหน่อยอย่างระมัดระวัง ส่วนตัวเองค่อยเขยิบเข้าไปใกล้มู่อี้ฟาน จากนั้นก็เลิกชุดนอนของมู่อี้ฟานขึ้น มองส่วนที่ถูกเย็บเป็นตะเข็บบนท้อง

มู่อี้ฟานที่กำลังแสร้งหลับรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เดิมทีเขาที่หลับตาลงไม่รู้ว่าจ้านเป่ยเทียนจะทำอะไร แค่เดาได้จากความรู้สึกว่าจ้านเป่ยเทียนคงกำลังสัมผัสท้องที่ผ่าตัดในวันนี้อยู่เบาๆ

ต่อจากนั้น เขารู้สึกว่ามีความลากเย็นผ่านหน้าท้องไป ไม่นานนัก จ้านเป่ยเทียนก็ดึงชุดนอนของเขากลับ จากนั้นเขาก็ไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใดๆ จากคนข้างๆ อีก

ห้องเงียบมากจนมู่อี้ฟานผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

หลังจากเขาหลับไป คนข้างๆ เขาก็ขยับกาย

เตรียมจะเอนตัวกลับไปยังตำแหน่งเดิม ทันใดนั้นเงาสีขาวก็วูบผ่านหางตาของเขา ช่วงต่อมาเงาสีขาวก็ติดอยู่กับข้างมุมปาก

ดวงตาจ้านเป่ยเทียนทอประกายคมกริบ ใช้แรงไม่หนักไม่เบาตบฝ่าเท้าน้อยๆ ที่ตรงมุมปากของเขา กดเสียงพูดอย่างเย็นชาว่า ทำไมชอบแกล้งหลับเหมือนพ่อของหนูล่ะ

เจ้าหนูน้อยที่หลับอยู่บนหัวเตียงหัวเราะคิกคัก เก็บขาน้อยๆ ขึ้นไป คลานกลับมานอนที่เดิมเพื่อแยกมู่อี้ฟานและจ้านเป่ยเทียนออกจากกัน

เขาตบเตียงเป็นสัญญาณให้จ้านเป่ยเทียนนอนลงไป

จ้านเป่ยเทียนไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร จึงนอนลงและมองเขาในแนวราบตามที่เขาต้องการ

นอนเถอะเจ้าหนูน้อยพูดสองคำนี้จบ ก็กลับตัวโก่งตูดน้อยๆ ใส่เขา

จ้านเป่ยเทียน “...”

เขายังคิดว่าฉิงเทียนจูมีเรื่องสำคัญอะไรจะบอกเขาเสียอีก เช่นว่าทำไมต้องเลือกมู่อี้ฟานมาตั้งครรภ์ให้กำเนิดเขา

จ้านเป่ยเทียนจ้องเจ้าหนูน้อยอยู่ครู่หนึ่ง ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายพูดอะไรอีกจึงหันตัวกลับ ปิดไฟฉายแล้ววางไว้บนโต๊ะหัวเตียง

จากนั้นเขาก็ได้ยินเจ้าหนูน้อยพูดอย่างสะลึมสะลือว่า เขาไม่ใช่เขา

อะไรนะ?”

จ้านเป่ยเทียนหันกลับไป แต่เจ้าตัวน้อยก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

 

เมื่อมู่อี้ฟานตื่นขึ้น จ้านเป่ยเทียนก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว ไม่รู้ว่าลูกถูกอุ้มไปไหน

เขานึกถึงเมื่อคืนที่จ้านเป่ยเทียนได้สัมผัสหน้าท้อง จึงรีบเปิดชุดนอนขึ้น ถอดผ้าก๊อซบนท้องออกอย่างระมัดระวัง และเห็นว่าตรงส่วนที่ถูกผ่าตัดเมื่อวานปิดสนิทแล้ว

มู่อี้ฟานอึ้ง ในใจคิดว่าพระเอกน่าจะใช้น้ำพุวิญญาณในมิติในการรักษาบาดแผลของเขา ทันใดนั้นอารมณ์ของเขาก็ซับซ้อนยิ่งขึ้น

เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพระเอกคิดอะไรอยู่ เห็นชัดๆ ว่าเกลียดเขาจนอยากฆ่าให้ตาย จู่ๆ ทำไมถึงดีกับเขาขนาดนี้ แถมยังเจาะจงใช้น้ำพุวิญญาณเพื่อมารักษาบาดแผลของเขาอีก

มู่อี้ฟานเอ๋ออยู่บนเตียงพักหนึ่ง ก่อนจะลุกไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วออกจากห้องไป

ในห้องโถงมีเพียงเจิ้งกั๋วจงนั่งอยู่คนเดียวพลิกอ่านนิตยสารเก่าๆ บนโซฟา

เขาได้ยินเสียงใครบางคนเดินลงมาจากชั้นบนก็เงยหน้าขึ้นมอง คนนั้นแล้วกล่าวว่า ท่านพลตรีฝากผมบอกกับคุณว่า เด็กถูกพวกเหมาอวี่พาออกไปเล่นแล้ว

อ้อมู่อี้ฟานนั่งลงข้างเจิ้งกั๋วจง ได้ยินเสียงเอะอะดังผ่านเข้ามาจากด้านนอกประตู จึงถามอย่างสงสัย ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น?”

เจิ้งกั๋วจงวางนิตยสารลง แล้วกล่าวว่า ทุกคนต่างเก็บข้าวของเตรียมออกจากเมือง G น่ะ

ไป ออกไปดูกันมู่อี้ฟานลากเจิ้งกั๋วจงออกจากวิลลา และเห็นทุกคนต่างยุ่งอยู่กับการทำอย่างไรให้รถบรรทุกใหญ่ใช้นอนสบาย

ไม่อยากจากไปจริงๆเจิ้งกั๋วจงถอนหายใจ สุดท้ายอาศัยอยู่เมือง G มาหลายสิบปี พอต้องย้ายออก ผมทำใจไม่ได้จริงๆ ในอนาคตไม่รู้ว่าจะเป็นเหมือนอย่างวันนี้ไหม ต้องย้ายไปย้ายมาราวกับคนเร่ร่อนไม่มีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยมั่นคง

มู่อี้ฟานปลอบเขา อย่ากังวลไปเลย พอหาสถานที่มั่นคงได้แล้วก็ไม่ต้องจากไปไหนอีก

หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ

มู่อี้ฟานมองทุกคนยุ่งทั้งบนล่าง ตัวเขาและเจิ้งกั๋วจงกลับเฝ้าดูอยู่ข้างๆ ไม่ขยับมือช่วย ก็รู้สึกอับอายอยู่บ้างจริงๆ ยิ่งกว่านั้นก็ไม่รู้จะช่วยยังไงเพื่อไม่ให้ไปทำให้พวกเขายุ่งยากเพิ่มด้วย ทั้งสองคนจึงตัดสินใจกลับไปอยู่ในวิลลาต่อ

แต่เพิ่งจะหมุนตัวกลับก็เห็นหรงเอี๋ยน หรงเสวี่ย และคุณแม่หรงสามคนเดินพูดคุยหัวเราะหอบของใช้ในชีวิตประจำวันมาทางพวกเขา

มู่อี้ฟานพลันจำภาพที่ถูกหรงเสวี่ยผลักไปหาซอมบี้ที่ยุ้งฉางขึ้นมาได้ ตอนนั้น ถ้าเดิมทีเขาไม่ใช่ซอมบี้ละก็ เกรงว่าเขาคงจะไปอยู่ใต้น้ำพุเหลือง[2]แล้ว

นึกถึงตรงนี้ ในใจเขาก็รู้สึกสั่นสะท้านเล็กน้อย

หรงเสวี่ยเป็นคนแรกที่เห็นมู่อี้ฟาน ความรู้สึกผิดวาบผ่านดวงตาและรีบซ่อนตัวอยู่ข้างหลังคุณแม่หรง

มีอะไรเหรอจ๊ะ?” คุณแม่มองความผิดปกติของหรงเสวี่ยออกจึงถามขึ้นอย่างห่วงใย

แม่ คนนั้นคือคุณมู่หรงเสวี่ยกระซิบ

คุณแม่หรงเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นชายหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ หมอเจิ้ง จึงรีบพาลูกสาวสองคนเดินไปหาพวกเขา




[1] สับสนท่ามกลางสายลม เป็นคำศัพท์ใหม่ที่ใช้บนอินเทอร์เน็ตในไม่กี่ปีที่ผ่านมา หมายถึง สับสนมาก

[2] น้ำพุเหลือง เทียบเท่ากับ นรกในตำนานยมโลกของจีน


 

บทที่ 97 ผู้หญิงของพลตรีจ้าน

สวัสดีค่ะคุณมู่ ดิฉันเป็นแม่ของหรงเสวี่ยค่ะคุณแม่หรงมีใบหน้าอ่อนโยน กิริยาท่าทางเป็นมิตร น้ำเสียงและการแสดงออกนั้นขออภัยอย่างสุดซึ้ง พอเดินมาเบื้องหน้าก็มาอธิบายความตั้งใจของตัวเอง ดิฉันมาขออภัยคุณมู่สำหรับหรงเสวี่ยของดิฉันด้วยนะคะ

เธอดึงหรงเสวี่ยออกมาจากด้านหลัง เรื่องที่เด็กคนนี้ทำทั้งหมดในยุ้งฉาง หลังกลับมาก็บอกกับพวกเราเรียบร้อยแล้วค่ะ สำหรับการกระทำที่ผิดคุณธรรมของเธอ พวกเราก็ไม่เห็นด้วย ดังนั้นจึงอยากหาโอกาสมาขอโทษคุณมู่มาโดยตลอด แต่ถูกคนของท่านพลตรีขวางไว้นอกประตู จึงไม่ได้พบคุณมู่ อีกทั้งยังไม่ทราบสถานการณ์ของคุณมู่เลย ตอนนี้เห็นคุณมู่ปลอดภัยดี พวกเราก็สบายใจขึ้นแล้วค่ะ

คุณแม่หรงหันไปมองหรงเสวี่ย หรงเสวี่ย ลูกยังไม่รีบออกมาขอโทษคุณมู่อีก

ใบหน้าหรงเสวี่ยมีความไม่เต็มใจวาบผ่าน แต่ในไม่ช้าก็ถูกแทนที่ด้วยการแสดงออกอย่างขอโทษขอโพยทันที คุณมู่ วันนั้นขอโทษจริงๆ นะคะ ตอนนั้นเพราะฉันกลัวมากเลยทำเรื่องไร้มนุษยธรรมเช่นนั้นออกไป และหวังว่าคุณมู่จะให้อภัยด้วยนะคะ

คุณแม่หรงรีบพูดอีกว่า คุณมู่ ลูกสาวดิฉันไม่รู้ความ หลังจากกลับมาวันนั้น เธอก็ฝันร้ายอยู่ทุกวัน เสียใจอย่างยิ่งสำหรับสิ่งที่เคยทำลงไป มโนธรรมก็ถูกประณามเช่นกัน ดังนั้นจึงขอให้คุณมู่ได้โปรดยกโทษให้เธอด้วยเถอะค่ะ

มู่อี้ฟานเห็นคุณแม่หรงขอโทษสำหรับพฤติกรรมของหรงเสวี่ยไม่หยุดก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น ขอโทษนะครับ ผมไม่สามารถยอมรับคำขอโทษจากพวกคุณได้

ในตอนเริ่มแรก เนื่องจากตัวเองเพิ่งเข้ามาในโลกอันแปลกประหลาด ดังนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับหรงเสวี่ยที่หน้าตาคล้ายญาติผู้พี่หญิงของเขา ในใจก็อุ่นใจเล็กน้อย อย่างน้อยโลกใบนี้ก็ไม่ถือว่าแปลกตามากนัก

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงรู้สึกเห็นใจหรงเสวี่ย จนบางทีทนเห็นคนที่คล้ายกับญาติผู้พี่ได้รับบาดเจ็บไม่ได้

อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านเรื่องราวที่ยุ้งฉางมา เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายก็แค่มีเปลือกเหมือนญาติผู้พี่หญิงของเขาเท่านั้น บุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ความสบายใจก่อนหน้านั้นก็แค่หลอกตัวเองเท่านั้น

นอกจากนี้ นางร้ายในนิยายก็เป็นเขาเขียนออกมา เขาจะไม่รู้ได้ยังไงว่ามีนิสัยแบบไหน

ที่หรงเสวี่ยขอโทษเขาในตอนนี้ นั่นมันก็แค่การรอมชอมเท่านั้น รอจนเมื่อสถานการณ์เธอดีขึ้นก็จะกลับไปใช้มุกเดิมอีก

หรงเสวี่ยตกตะลึง ฉันขอโทษแล้ว ทำไมคุณไม่รับล่ะ ถึงยังไงคุณก็ไม่ได้ถูกกัดนี่ คุณ...

หรงเสวี่ย!คุณแม่หรงพลันกดเสียงลงเพื่อหยุดเธอไม่ให้พูดต่อ

หรงเอี๋ยนรู้สึกพูดไม่ออกกับน้องสาวคนนี้ของเธอโดยสิ้นเชิง ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ ของเธอละก็ เธอก็ไม่อยากจะเดินด้วยกันแบบนี้เลยจริงๆ

หรงเสวี่ยกลั้นเสียงโกรธและกัดริมฝีปากล่างอย่างไม่เต็มใจ

มู่อี้ฟานพูดอย่างเย็นชาว่า คุณหรงเสวี่ย ใช่ว่าคุณขอโทษแล้ว คนอื่นจะยอมรับนะ ถ้าตอนนั้นผมถูกกัดจนกลายเป็นซอมบี้ คุณจะขอโทษอย่างไร จะวิ่งไปขอโทษผมที่กลายเป็นซอมบี้แล้วไหมล่ะ

หรงเสวี่ยจ้องเขาเงียบๆ

คุณแม่หรงรู้ดีว่าการกระทำของหรงเสวี่ยยากจะให้อภัยและน่าอับอายที่จะอยู่ต่อไป จึงยัดผลไม้สองสามลูกในมือใส่มือของเจิ้งกั๋วจงแล้วพาลูกสาวสองคนเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

เจิ้งกั๋วจงมองแอปเปิลไม่กี่ลูกในมือแล้วถามว่า เกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณกับผู้หญิงที่ชื่อหรงเสวี่ยคนนั้น

มู่อี้ฟานถอนหายใจเบาๆ พูดอย่างง่ายดายว่า ตอนที่ฉันอยู่ที่ยุ้งฉางวันนั้น ฉันกับหรงเสวี่ยถูกซอมบี้วิ่งไล่ตาม แต่คิดไม่ถึง เพื่อให้หลุดพ้นซอมบี้เหล่านั้น เธอถึงกับผลักฉันไปหาพวกมัน

เจิ้งกั๋วจงอ้าปากค้าง มิวายโกรธจัดขึ้นมา ผู้หญิงแบบนี้ไม่น่าให้อภัยจริงๆ ถ้าไม่ใช่ว่าคุณเป็น...เหมือนกันละก็ เกรงว่าจะถูกกินไปนานแล้ว

มู่อี้ฟานเห็นเจิ้งกั๋วจงโกรธแทนตัวเองก็รู้สึกมีความสุขมาก นั่นแสดงว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเป็นใยตัวเอง อย่าโกรธเลย โกรธผู้หญิงคนนั้นมันไม่คุ้มหรอก

เจิ้งกั๋วจงยังคงโกรธ และพูดว่า พอมองเธอก็รู้ว่าไม่นับเป็นตัวดีอะไร วันถัดมาที่คุณกลับมาจากยุ้งฉาง หรงเสวี่ยคนนั้นก็เอะอะจะกลับบ้านท่าเดียว ไหนจะสิ่งที่แม่ของเธอพูดว่ามโนธรรมถูกประณามแล้วนั่นอีก

พูดถึงตรงนี้ เขาก็เก็บความโกรธไป พูดไปแล้ว ผมก็แปลกใจ ทั้งที่เธอกรีดร้องโวยวายปานนั้น ทำไมท่านพลตรีถึงไม่รีบให้เธอไป แถมยังส่งรถให้ส่งเธอกลับไปดูบ้านอีก แต่ตั้งแต่เธอกลับบ้านไปรอบหนึ่ง คนก็สงบเสงี่ยมลงเยอะ และไม่กล้าสร้างปัญหาต่อไปด้วย

มู่อี้ฟานรู้ดีว่าทำไมจ้านเป่ยเทียนไม่รีบให้หรงเสวี่ยออกไป เนื่องจากการเก็บไว้ข้างกายถึงจะได้ทรมานคนได้ทุกที่ทุกเวลา

จู่ๆ เจิ้งกั๋วจงก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าพลันเผยความลังเล มู่มู่ มีบางอย่างที่ผมไม่อยากพูดกับคุณ แต่ผมคิดว่าไม่ช้าก็เร็วคุณก็จะรู้ ไม่สู้พูดเร็วขึ้นหน่อย เพื่อไม่ให้คุณคิดฟุ้งซ่านในภายหลัง

มู่อี้ฟานมองเขาอย่างสงสัย พูดถึงอะไร?”

คุณรู้จักหรงเอี๋ยนไหมเจิ้งกั๋วจงมองคนที่เดินไปไกลแล้วตรงหน้า ก็คือพี่สาวของหรงเสวี่ยคนนั้นไง

มู่อี้ฟานได้ยินเขาเอ่ยถึงเทพธิดาของตัวเอง จึงถามอย่างวิตกทันทีว่า เธอเป็นอะไร?”

เจิ้งกั๋วจงมองรอบด้าน มั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ ก่อนจะพูดว่า ตอนนี้คนในเขตวิลลาต่างลือว่าเธอเป็นผู้หญิงของพลตรีจ้าน

มู่อี้ฟาน “...”

ในนิยาย หรงเอี๋ยนเป็นผู้หญิงของจ้านเป่ยเทียนจริงๆ ภายหลังพวกเขายังแต่งงานมีลูกกันด้วย

แต่ทำไมหัวใจถึงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยล่ะ เป็นไปได้ไหมว่าเป็นเพราะเทพธิดาผู้อยู่ในใจถูกชิงไปน่ะ

เจิ้งกั๋วจงเห็นว่าเขาไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ก็เอ่ยอย่างกังวลว่า ที่ผมบอกไป คุณไม่กังวลสักหน่อยเหรอ

มู่อี้ฟานมองเขาอย่างไม่เข้าใจ ให้ฉันกังวลอะไร?”

ผู้ชายของคุณจะถูกชิงไปแล้ว คุณไม่ควรกังวลเหรอ

มู่อี้ฟาน “...”

เขาคิดว่าเจิ้งกั๋วจงเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า

หมอเถื่อน ฉันกับจ้านเป่ยเทียนไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด

เจิ้งกั๋วจงพูดอย่างอารมณ์เสียว่า พวกคุณมีลูกด้วยกันแล้ว ยังไม่ใช่อย่างที่ผมคิดอีกเหรอ งั้นคุณก็บอกมาสิว่าเป็นแบบไหน

มู่อี้ฟาน “...”

กระโดดลงน้ำก็ล้างไม่สะอาด[1]จริงๆ

คุณดูสิ คุณดูด้วยตัวเองเลยเจิ้งกั๋วจงชี้ไปยังที่ไกลๆ คุณดูว่าพลตรีจ้านไปดูหรงเอี๋ยนอีกแล้ว

มู่อี้ฟานหันไปยังทิศทางที่เขาชี้ และเห็นจ้านเป่ยเทียนกำลังพูดอะไรบางอย่างกับหรงเอี๋ยนและคุณแม่หรง ส่วนหรงเสวี่ยยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่สายตากลับไม่ละไปจากจ้านเป่ยเทียนเลย

ผมได้ยินมาว่าเพื่อปกป้องความปลอดภัยของหรงเอี๋ยนและคุณแม่หรง พลตรีจ้านถึงขนาดส่งทหารสี่นายไปปกป้องความปลอดภัยของพวกเธอ ทหารที่ปกป้องพวกเธอกลับมาก็บอกว่านั่นเป็นผู้หญิงของท่านพลตรี แรกๆ ผมยังไม่เชื่อ แต่เห็นจ้านเป่ยเทียนดูแลพวกเธอแม่ลูกเป็นอย่างดี ผมไม่อยากเชื่อก็ยากแล้ว

เจิ้งกั๋วจงหันกลับไปมองมู่อี้ฟาน ยังไงก็ตาม ขนาดผมยังดูออกว่าท่านพลตรีเพียงแค่ดูแลพวกหรงเอี๋ยนมากหน่อยเท่านั้น แต่สำหรับคุณกลับพิเศษออกไปนะ คุณล่ะ ถ้าไม่จับไว้ให้แน่นหน่อย ปล่อยให้ท่านพลตรีหลุดมือไป คุณนั่นแหละจะร้องไห้

มู่อี้ฟานกลอกตา หมอเถื่อน ฉัน...

เจิ้งกั๋วจงขัดจังหวะการพูดเขา คุณกล้าพูดไหมว่า ตอนได้ยินเรื่องพลตรีจ้านและหรงเอี๋ยนเป็นคู่กันคุณไม่รู้สึกอึดอัด? คุณกล้าพูดไหมว่า ตอนที่เห็นพลตรีจ้านยืนอยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิดกับหรงเอี๋ยนคุณไม่รู้สึกอิจฉา?”

มู่อี้ฟาน “...”

เขารู้สึกอึดอัด แต่คงไม่ใช่เพราะจ้านเป่ยเทียนหรอก

เจิ้งกั๋วจงเห็นเขาเงียบๆ ก็สัพยอกว่า ไงล่ะ มีอะไรจะแย้งไหม

มู่อี้ฟานเหลือกตาใส่เขา ไม่พูดเรื่องนี้

ไม่พูดก็ไม่พูด พวกเรากลับกันเถอะ

มู่อี้ฟานมองไปทางด้านจ้านเป่ยเทียนและหรงเอี๋ยนอีกครั้งและขมวดคิ้วแน่น ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งดึงดูดความสนใจของเขา

เขารีบตะโกนทันที เสี่ยวจาง จางเล่อ

เจิ้งกั๋วจงได้ยินดังนั้นก็ผงะถอยหลังทันที เห็นเด็กหนุ่มที่เดินอยู่ข้างหน้าไม่ไกล จึงรีบตะโกนว่า เสี่ยวจาง

เขาหันไปมองมู่อี้ฟานแล้วยิ้ม เป็นเจ้าเด็กคนนี้จริงๆ ด้วย ตอนที่เมื่อวานคุณบอกว่าเห็นเขา ผมยังไม่ค่อยเชื่อเลย

จางเล่อได้ยินใครบางคนตะโกนเรียกเขาจึงหันไป เมื่อเห็นเป็นมู่อี้ฟานและเจิ้งกั๋วจง ดวงตาก็สว่างขึ้น คลี่ยิ้มแล้ววิ่งเข้ามาหา ลุงเจิ้ง คุณมู่ ทำไมพวกคุณก็อยู่ที่นี่ด้วยครับ?”

เจิ้งกั๋วจงตอบว่า พวกเราก็อยากจะถามอยู่เหมือนกันว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ใช่แล้ว พ่อแม่เธอล่ะ มาที่นี่ด้วยไหม

จางเล่อยิ้มว่า มาครับ มาหมดแล้ว พวกเราได้รับการดูแลจากอดีตสหายร่วมรบของพี่ชายผมครับ ดังนั้นถึงได้มาที่นี่

เจิ้งกั๋วจงนึกขึ้นได้ว่า พี่ชายของจางเล่อเคยเป็นทหารมาก่อนจึงถามว่า สหายร่วมรบของพี่เธอ...

จางเล่อก็ไม่ได้ปิดบัง คือพลตรีจ้านครับ

มู่อี้ฟานเลิกคิ้ว

เขานึกออกแล้ว ในเทศกาลเช็งเม้ง สหายร่วมรบที่จ้านเป่ยเทียนไปเซ่นไหว้ที่หมู่บ้านสุ่ยก็แซ่จาง

ภายหลังเมื่อวันสิ้นโลกมาเยือน พระเอกก็รับเอาครอบครัวสหายร่วมรบแซ่จางมาดูแลอยู่ข้างกาย

พูดมาแล้ว การตายของพี่ชายจางเล่อและมู่อี้ฟานคนเดิมก็แยกความเกี่ยวพันกันไม่ออก

มู่อี้ฟานนึกถึงเรื่องนี้ก็ขมวดคิ้วด้วยความหดหู่

เจ้าของร่างเดิมทำเรื่องต่ำช้ามาเยอะจริงๆ

เจิ้งกั๋วจงกล่าวอย่างแปลกใจว่า พี่เธอเป็นสหายร่วมรบกับพลตรีจ้านจริงหรือ

จางเล่อยิ้มอย่างเขินอาย

พลตรีจ้านช่างดีจริงๆ ยังไม่ลืมดูแลครอบครัวสหายร่วมรบด้วย

ใช่ครับ

ทันใดนั้นมู่อี้ฟานก็นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ จึงถามทันทีว่า เสี่ยวจาง ตอนอยู่หมู่บ้านสุ่ย ซาซิมิที่นายส่งให้ฉัน ใช่จ้านเป่ยเทียนให้นายมาส่งไหม




[1] กระโดดลงน้ำก็ล้างไม่สะอาด มาจากประโยคเต็มว่า กระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ล้างไม่สะอาด หมายถึง ถึงแม้พิสูจน์ตนแล้ว ก็ยากจะหลีกเลี่ยงความสงสัยไปได้


 

บทที่ 98 จะไม่กัดนาย

จางเล่อสะดุ้ง พลันยิ้มแล้วกล่าวว่า คุณมู่ ผมไม่ได้บอกว่าแสงไฟตอนกลางคืนวันนั้นมันสลัวเกินไปจนมองไม่เห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายเหรอ ทำไมคุณถึงคิดว่าพลตรีจ้านส่งซาซิมิให้คุณล่ะ ถ้าเขาส่งซาซิมิให้คุณจริงๆ ละก็ ทำไมผมจะจำไม่ได้ ถูกไหมครับ

มู่อี้ฟานก็ไม่พูด เพียงแต่จ้องดวงตาคู่นั้นของเขาที่ฉายแววคลุมเครือไม่หยุดอยู่อย่างนั้น

จางเล่อมองเขาด้วยความอึดอัดเล็กน้อย และรีบหาข้ออ้างปลีกตัวไป ลุงเจิ้ง พ่อแม่ผมยังรอให้ผมกลับไปอยู่ วันหลังถ้ามีเวลาค่อยมาพูดคุยกันนะครับ

เจิ้งกั๋วจงพยักหน้า โอเค รอพวกเราปักหลักได้ ฉันค่อยไปหาพ่อแม่นาย

พอจางเล่อจากไป เจิ้งกั๋วจงก็หันมาพูดกับมู่อี้ฟานทันที เจ้าเด็กคนนั้นต้องรู้ว่าใครเป็นคนส่งซาซิมิให้คุณแน่

มู่อี้ฟานมองไปยังทิศที่จ้านเป่ยเทียนยืนอยู่ ในดวงตาปรากฏอารมณ์หลากหลายมาก น่าจะเป็นจ้านเป่ยเทียนที่ส่งมา

เขายิ่งไม่เข้าใจพระเอกมากขึ้นเรื่อยๆ ทำไมทุกครั้งหลังจากที่ต้องการฆ่าเขา อีกฝ่ายถึงดีต่อเขาอย่างน่าประหลาดกันนะ

เจิ้งกั๋วจงยิ้มแล้วพูดว่า ผมก็บอกแล้วว่าพลตรีจ้านดีกับคุณมาก คุณกลับเอาแต่พูดว่าเขาถือคุณเป็นศัตรูตลอด แต่จนถึงตอนนี้ ผมก็ไม่เห็นเขาจะเป็นอย่างนั้นกับคุณ ตรงกันข้ามกลับให้คุณเข้าออกวิลลาได้อย่างอิสระ

มู่อี้ฟานมองเขา หมอเถื่อน ฉันพบว่าคุณพูดแต่สิ่งดีๆ ช่วยจ้านเป่ยเทียน แต่อย่าลืมนะว่าฉันกับเจียหมิงเป็นซอมบี้ทั้งคู่ เขามีโอกาสจะฆ่าเราได้ทุกเมื่อนะ

เจิ้งกั๋วจงหุบยิ้ม ใช่ เขามีโอกาสจะฆ่าพวกคุณที่เป็นซอมบี้ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นใช่ไหมล่ะ ฉะนั้นจึงไม่สามารถพึ่งเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือแค่อาศัยการคาดเดาว่าเขามีโอกาสจะเป็นภัยต่อพวกคุณ แล้วก็ใช้สายตาแบบคนอื่นมามองเขา ด้วยเหตุผลนั้นเลยมองข้ามนิสัยที่แท้จริงของเขา ใช่ไหม?”

มู่อี้ฟานสะดุ้ง

คำพูดเจิ้งกั๋วจงปลุกเขาให้ตื่นขึ้น

ภายในจิตใต้สำนึกของเขา เขาคิดอยู่ตลอดว่าพระเอกจะทรมานเขาจนตายเหมือนพล็อตในนิยาย แต่เขากลับไม่เคยคิดว่าพระเอกจะอ่อนข้อให้เขา เพราะเขาต่างจากมู่อี้ฟานคนก่อน

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพระเอกยังคงไม่เชื่อในตัวเขา ไม่อย่างนั้นตอนที่อยู่ยุ้งฉางคงไม่เข้าใจผิดอย่างนั้น

เจิ้งกั๋วจงเห็นว่ามู่อี้ฟานนิ่งเงียบก็คิดว่าเขาพูดอะไรผิด จึงรีบพูดว่า มู่มู่ ใช่ว่าผมไม่เชื่อคำพูดของคุณ แต่ในเวลาช่วงสั้นๆ นี้ ผมรู้สึกว่าพลตรีจ้านใช้ได้ทีเดียว นอกจากภายนอกที่ดูเย็นชา แต่ข้างในจิตใจนั้นดีเลยละ อย่างน้อยก็ไม่ปล่อยให้ผู้รอดชีวิตที่นี่เร่ร่อนอยู่ข้างนอกไม่ใช่หรือ

ฉันรู้ ฉันไม่ได้บอกว่าคุณไม่เชื่อซะหน่อยมู่อี้ฟานมองไปทางจ้านเป่ยเทียนอีกครั้ง จึงเห็นคุณแม่หรงใช้สายตา แม่ยายมองลูกเขยที่ยิ่งมองยิ่งถูกใจ กับจ้านเป่ยเทียน ในใจรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก

เขารีบถอนสายตากลับแล้วเอ่ยว่า หมอเถื่อน ขอรบกวนคุณสักเรื่องสิ

ว่าไงล่ะ

มู่อี้ฟานกระซิบที่ข้างหูของเจิ้งกั๋วจง คุณไปบอกกับจ้านเป่ยเทียน ว่าร่างกายฉันดูเหมือนไม่ค่อยสบาย แล้วให้เขากลับมาดู

เจิ้งกั๋วจงหัวเราะอย่างมีเลศนัย ในที่สุดเด็กอย่างคุณก็ปลงใจกับพลตรีจ้านได้สักทีนะ โอเค เดี๋ยวผมจะไปล่อกลับมาให้คุณ และไม่ให้พวกแม่ลูกนั่นลักพาตัวพลตรีจ้านไปแล้วกัน

มู่อี้ฟาน “...”

เขาพบว่าหมอเถื่อนเข้าใจความหมายของเขาผิดอีกแล้ว

ช่างเถอะ

ถึงอย่างไรกระโดดลงน้ำก็ล้างไม่สะอาดแล้ว ชอบคิดยังไงก็ให้คิดอย่างนั้น

เจิ้งกั๋วจงโบกมือส่งสัญญาณให้มู่อี้ฟานกลับไปโดยเร็ว คุณรีบกลับห้องไปนอนให้ดีๆ จะแสร้งเป็นหนักได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น เพื่อให้พลตรีจ้านสงสารคุณมากขึ้น

มู่อี้ฟาน “...”

เห็นพระเอกเป็นคนโง่เหรอ?

ซอมบี้จะป่วยเป็นโรคอะไรได้?

เจิ้งกั๋วจงเห็นมู่อี้ฟานกลับเข้าไปในวิลลาแล้ว ก็ทำท่าวิ่งอยู่ที่เดิมสองสามรอบทันที จากนั้นก็แสร้งทำทีเป็นวิตกกังวลมาก และวิ่งไปหาจ้านเป่ยเทียน

พะ...พลตรีจ้าน

จ้านเป่ยเทียนหันไปมอง เห็นเจิ้งกั๋วจงวิ่งมาอย่างเร่งรีบก็ขมวดคิ้วแน่น เกิดอะไรขึ้น?”

คุณแม่หรง หรงเอี๋ยน และหรงเสวี่ยมองเจิ้งกั๋วจง

เจิ้งกั๋วจงหอบแฮก มู่...มู่เหมือนจะไม่สบาย คุณรีบกลับไปดูเถอะ

จ้านเป่ยเทียนเปลี่ยนสีหน้าแล้วสาวเท้าเร่งสปีดวิ่งกลับไปที่วิลลา

เจิ้งกั๋วจงเห็นท่าทางจ้านเป่ยเทียนรีบร้อนวิ่งออกไป ในใจก็รู้สึกยินดีแทนมู่อี้ฟาน

คุณแม่หรงเห็นจ้านเป่ยเทียนจากไป ในใจก็รู้สึกเสียดายมาก พวกเธอเพิ่งจะคุยกับพลตรีจ้านได้แค่ไม่กี่ประโยคเอง

เธอหันไปหาเจิ้งกั๋วจงที่อยู่ข้างๆ หมอเจิ้ง บอกพวกเราได้ไหมคะ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของคุณมู่

เจิ้งกั๋วจงส่ายหัว ไม่รู้ครับ ผมเห็นร่างกายมู่มู่ผิดปกติ ก็เลยรีบมาหาพลตรีจ้านทันที

หรงเสวี่ยมองเขาอย่างแปลกๆ คุณไม่ใช่หมอเหรอ? ในเมื่อเขาไม่สบาย คุณก็ควรตรวจร่างกายเขาสิ วิ่งมาหาท่านพลตรีเพื่ออะไร

เจิ้งกั๋วจงกล่าวอย่างมีนัยยะว่า ร่างกายของมู่มู่มีเพียงพลตรีจ้าน เท่านั้นที่สามารถดูได้

หรงเสวี่ยแสดงสีหน้ารังเกียจ นี่มันโรคประหลาดอะไรกันเนี่ย

หรงเสวี่ยคุณแม่หรงส่งสายตาให้หรงเสวี่ยไม่ให้พูดมาก จากนั้นก็ถามเจิ้งกั๋วจงว่า หมอเจิ้ง ฉันอยากสอบถามสักเรื่องหน่อยค่ะ

เจิ้งกั๋วจงยิ้มตาหยีมองเธอ อะไรเหรอครับ

คือเรื่องมันเป็นแบบนี้ค่ะ เมื่อวานฉันไปวิลลาที่ท่านพลตรีอาศัยอยู่เพื่ออาบน้ำให้เด็กที่เพิ่งคลอดน่ะค่ะ ฉันเห็นหน้าตาของเด็กคนนั้นคล้ายท่านพลตรีหลายส่วน อยากถามว่าเด็กคนนั้นใช่ลูกของท่านพลตรีไหมคะ

เจิ้งกั๋วจงตอบว่า ในเมื่อเด็กหน้าตาคล้ายท่านพลตรี แน่นอนว่าเด็กคนนั้นต้องเป็นลูกท่านพลตรีสิครับ ไม่อย่างนั้นมีลูกครอบครัวใครบ้างที่คลอดออกมาจะหน้าตาเหมือนท่านพลตรี

สีหน้าหรงเอี๋ยนพลันแย่ลงเล็กน้อย

ใครๆ ต่างก็ลือกันว่าเธอเป็นแฟนสาวของจ้านเป่ยเทียน แรกๆ เธอก็ไม่ค่อยสนใจหรอก แถมยังจะอธิบายด้วยว่าเธอไม่ใช่แฟนสาวของจ้านเป่ยเทียน

แต่หลังจากได้พบกับจ้านเป่ยเทียนในภายหลังหลายต่อหลายครั้ง เธอก็ถูกชายผู้หล่อเหลา สูงใหญ่ และกล้าหาญคนนี้ดึงดูด จึงปล่อยให้ทุกคนกระจายคำเล่าลือว่าเธอคือแฟนสาวของจ้านเป่ยเทียนออกไป

ถึงอย่างไรจ้านเป่ยเทียนก็ปฏิบัติต่อเธอและแม่ของเธอไม่เลว เทียบกับคนอื่นแล้วมันพิเศษจริงๆ น้ำเสียงที่จ้านเป่ยเทียนใช้พูดกับเธอก็อ่อนโยนมากกว่าคนอื่น ดังนั้น เธอจึงค่อยๆ เชื่อในสิ่งที่ทหารบอกว่าจ้านเป่ยเทียนสนใจตัวเอง

แต่ไม่ได้คาดว่าจะมีเด็กคนหนึ่งโผล่ออกมากะทันหัน แถมยังไม่เคยเห็นแม่ของลูกมาก่อนเลย

หรงเสวี่ยเห็นหรงเอี๋ยนมีสีหน้าน่าเกลียดก็เหยียดรอยยิ้มเยาะอย่างยินดีบนความทุกข์ของผู้อื่น

หาได้ยากที่จะเห็นหรงเอี๋ยนอับอายขนาดนี้ ในใจจึงรู้สึกมีความสุขมาก ไม่ว่าจ้านเป่ยเทียนจะมีผู้หญิงคนอื่นก็ดี เธอก็ไม่หวังให้จ้านเป่ยเทียนต้องตาหรงเอี๋ยน

คุณแม่หรงพูดอย่างเจื่อนๆ ว่า งั้นเหรอคะ โอ้ใช่แล้ว พวกเรายังมีเรื่องต้องทำ คงไม่อยู่คุยมากกว่านี้กับหมอเจิ้งแล้วละค่ะ

เธอพาลูกสาวสองคนจากไปอย่างรวดเร็ว

เจิ้งกั๋วจงมองด้านหลังของพวกเธอจากไปก็ยิ้มอย่างมีชัย

 

จ้านเป่ยเทียนวิ่งกลับวิลลาอย่างใจร้อนดุจไฟลน แต่เพิ่งผ่านประตูห้องมา มุมหางตาก็เห็นเงาคนสายหนึ่งพุ่งเข้าใส่อย่างกะทันหัน

จิตใจเขาเยือกเย็น คว้าแขนของฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ได้คิดอะไรแล้วจับทุ่มข้ามไหล่

โครม ฝ่ายตรงข้ามถูกเขาทุ่มลงกับพื้นอย่างรุนแรง

กำลังจะล็อกแขนขาของอีกฝ่าย ก็ได้ยินคนบนพื้นร้อง เชี่ยออกมา ถึงฉันเป็นซอมบี้ที่ไร้ความเจ็บปวด แต่นายก็ไม่จำเป็นต้องใช้แรงจับฉันทุ่มลงกับพื้นขนาดนี้

จ้านเป่ยเทียนเห็นคนที่ถูกเขาทุ่มลงพื้นคือมู่อี้ฟานที่เจิ้งกั๋วจงบอกว่าร่างกายผิดปกติ พลันสะดุ้ง สีหน้าขรึมลง นายในฐานะที่เคยเป็นทหารมาก่อน น่าจะรู้ว่าไม่ควรเคลื่อนไหวด้านหลังอย่างการตบบ่ากับคนเป็นศิลปะการต่อสู้ มันจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามจับทางได้ง่ายจนได้รับบาดเจ็บเอานะ

ผีสิถึงจะรู้มู่อี้ฟานยื่นมือออก ดึงฉันขึ้น

จ้านเป่ยเทียนมองเขาด้วยสีหน้าท่าทางหดหู่ ยื่นมือดึงเขาขึ้นแล้วถามว่า ไม่ใช่ว่านายไม่สบายอยู่เหรอ

ฉันรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ เพราะอยาก...มู่อี้ฟานใช้โอกาสตอนที่จ้านเป่ยเทียนไม่สนใจกระโจนใส่อีกครั้ง

ครั้งนี้เพราะจ้านเป่ยเทียนรู้ว่าคนที่พุ่งใส่เขาคือมู่อี้ฟาน จึงไม่ได้สวนกลับอะไร ด้วยเหตุนี้จึงถูกมู่อี้ฟานพาล้มลงบนเตียงอย่างง่ายดาย

มู่อี้ฟานถือโอกาสที่จ้านเป่ยเทียนไม่ทันตอบสนอง รีบก้มหัวต่ำ อ้าปากกว้าง แล้วกัดลงไปที่คอของจ้านเป่ยเทียน

จากนั้นขณะห่างอยู่จากคอสามเซนติเมตร เขาก็หยุดทันที หุบปากลง ลูบคอของจ้านเป่ยเทียน และถามอย่างหดหู่ว่า จ้านเป่ยเทียน นายรู้ไหมว่าฉันจะกัดนายน่ะ

ฉันรู้จ้านเป่ยเทียนพูดอย่างเบาๆ

มู่อี้ฟานรู้สึกหดหู่มากขึ้น ในเมื่อรู้แล้วทำไมนายไม่ขัดขืนล่ะ เพราะอะไรถึงไม่ผลักฉันออกไป อย่าบอกนะว่าไม่กลัวว่าฉันจะกัดลงไป จริงๆ น่ะ

เพราะฉันอยากลองดูว่านายจะกัดฉันไหม เพราะงั้นทำไมต้องขัดขืนด้วยล่ะ

แต่ถ้าฉันกัดนายจริงๆ ล่ะจะทำยังไง พอถึงเวลานั้น นายก็จะกลายเป็นซอมบี้เหมือนกันนะ

จ้านเป่ยเทียนถามเขากลับ แล้วนายจะกัดไหม

มู่อี้ฟานนอนอยู่บนตัวเขาเป็นเวลานาน ก่อนจะพูดอย่างงัวเงียว่า ถ้าฉันกัดใคร ก็จะไม่กัดนาย

จู่ๆ จ้านเป่ยเทียนก็พลิกตัว และกดมู่อี้ฟานไว้ใต้ตัวเขา


 

บทที่ 99 พูดอีกรอบสิ

จู่ๆ จ้านเป่ยเทียนก็พลิกตัว และกดมู่อี้ฟานไว้ใต้ตัวเขา

แววตาของเขาร้อนแรงราวกับไฟ จับจ้องคนใต้ร่างอย่างแน่วแน่ พูดเสียงแหบพร่าว่า ประโยคเมื่อกี้ พูดอีกรอบสิ

“...” มู่อี้ฟานจ้องนัยน์ตาดำขลับลึกซึ้งที่อยู่ห่างเพียงแค่หนึ่งฟุตจนวูบไหวไปโดยไม่รู้ตัว

นี่เป็นครั้งแรกที่พบว่าดวงตาของจ้านเป่ยเทียนมีเสน่ห์ ดุจดวงดาวสีดำอันพร่างพราวในท้องฟ้ายามค่ำคืน ดึงดูดสายตาเขาอย่างเหนียวแน่น

มู่อี้ฟานอดใจไม่ไหว ยกมือที่สวมถุงมือยื่นนิ้วชี้ออกมาค่อยๆ ไล้ขนตาที่ทั้งดำทั้งหนาทั้งยาวราวกับพัดจิ๋วสีดำ ปัดมันเบาๆ ไม่หยุด

จ้านเป่ยเทียนจับมือซุกซนคู่นั้นไว้ ใช้น้ำเสียงแหบพร่าทวนซ้ำอีกรอบว่า มู่มู่ ที่พูดเมื่อกี้ พูดอีกรอบสิ

มู่อี้ฟานรู้สึกว่าสุ้มเสียงของจ้านเป่ยเทียนเองก็น่าฟังเช่นกัน ทุ้มต่ำแหบพร่า ยั่วยวนใจจนพานพูดไม่ออก ทำให้เขาหลงใหลมาก

เขาดึงมือที่ถูกจับออกแล้วแตะลูกกระเดือกของจ้านเป่ยเทียน

ลมหายใจของจ้านเป่ยเทียนกระชั้นขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงตระหนักได้ว่า ตัวเองถูกมู่อี้ฟานสัมผัสจนเกิดปฏิกิริยาแล้ว ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง สายตายิ่งร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ มองริมฝีปากซีดขาว ก้มต่ำลงอย่างลืมตัว

ขณะที่กำลังแตะริมฝีปากของอีกฝ่าย กลับได้ยินอีกฝ่ายพึมพำว่า เป่ยเทียน กลิ่นตัวนายหอมมากเลย

จ้านเป่ยเทียนดึงสติขึ้นมาในพริบตา และเงยหน้าขึ้นมองมู่อี้ฟานอย่างรวดเร็ว จึงพบว่าแววตาอีกฝ่ายเริ่มหม่นลงเล็กน้อย

เขาเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นเห็นท่าทางมู่อี้ฟานมองตัวเองอย่างน้ำลายสอก็ทั้งโกรธทั้งขบขัน เห็นได้ชัดว่าท่าทางอีกฝ่ายอยากกินตัวเอง

มู่อี้ฟานยันตัวส่วนบนขึ้นสูดดมลำคอและใบหน้าของจ้านเป่ยเทียน มันหอมมาก ท่าทางน่าอร่อย

จ้านเป่ยเทียน “...”

เมื่อกี้ยังพูดว่า ฉันกัดใครก็จะไม่กัดนาย อยู่เลย นี่ผ่านไปไม่กี่วิก็รู้สึกว่าเขาน่าอร่อยมากแล้ว

เขาดูออกว่าสติสัมปชัญญะของมู่อี้ฟานเลือนรางขึ้นเรื่อยๆ จะว่าไป มู่อี้ฟานไม่ได้กินอะไรเลยมายี่สิบวันแล้ว อดทนมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าไม่เลว

จ้านเป่ยเทียนไม่ขยับปล่อยให้มู่อี้ฟานดมกลิ่นบนตัวเขา อยากดูว่าต่อไปเขาจะทำอะไรกับตัวเองบ้าง

มู่อี้ฟานเกี่ยวคอของจ้านเป่ยเทียนดึงคนลงมา ยังคงสูดดมและถูไถใบหน้าจ้านเป่ยเทียนไม่หยุด กลิ่นมนุษย์บนตัวเขานั้นพูดได้เลยว่าหอมมากๆ มีเสน่ห์เย้ายวนใจสุดจะพรรณนา แต่เขาก็ไม่ได้อ้าปากงับลงไป ขนาดแลบลิ้นออกมาเลียก็ยังไม่ทำ

แม้ว่าสติสัมปชัญญะของเขาจะพร่ามัวขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับรู้ชัดแจ้งดีว่าคนบนตัวคือใคร

มู่อี้ฟานรู้สึกอึดอัดมาก อยากกินเนื้อมากเลย แต่เนื้อตรงหน้าไม่สามารถกินได้ ในที่สุดก็ออกแรงผลักจ้านเป่ยเทียนออก แล้ววิ่งไปที่ห้องน้ำ

เสียง ปัง ดังขึ้น เขาปิดประตูห้องน้ำ และขังตัวเองไว้ข้างใน

จ้านเป่ยเทียนลุกขึ้นยืนอยู่กับที่ จ้องประตูห้องน้ำโดยไม่ไหวติง

เขาผู้มีประสบการณ์มาหนึ่งชาติ รู้ดีอย่างชัดเจนว่า เนื้อมนุษย์ขณะมีชีวิตนั้นน่าดึงดูดต่อซอมบี้มากเพียงใด โดยเฉพาะซอมบี้ที่ค่อยๆ สูญเสียสติสัมปชัญญะไป พูดได้ว่ามันยิ่งยากจะห้ามใจ

ถ้าหักใจไม่กินอย่างสุดกำลัง ก็เหมือนกับการติดยาซ้ำซาก แต่ก็จำเป็นต้องงดเสพ มันทรมานมาก และก็เจ็บปวดมากเช่นกัน

ป่าป๊า หนูกลับมาแล้วน้ำเสียงอ่อนเยาว์รื่นเริงดังเข้ามาจากนอกห้อง

ต่อจากนั้นร่างน้อยๆ ก็วิ่งเข้ามาในห้องพร้อมกับก้าวเล็กๆ อย่างน่ารัก

มู่ฉิงเทียนเห็นมีเพียงจ้านเป่ยเทียนอยู่คนเดียวในห้องก็ทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ แสดงท่าทางว่ารังเกียจมากออกมา ทำไมมีแค่คุณที่อยู่ที่นี่

จ้านเป่ยเทียนหลุดจากภวังค์ ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วอุ้มมู่ฉิงเทียนขึ้น ฉิงเทียน ลูกรู้วิธีอะไรที่ทำให้ซอมบี้กลับมาเป็นมนุษย์ไหม

พริบตาในครู่นั้น เขาลืมเรื่องที่มู่อี้ฟานเป็นซอมบี้ไปเสียสนิทจนเกือบจะจูบริมฝีปากอีกฝ่ายแล้ว

ถ้าหากเป็นแค่การแตะปากกับปากก็ไม่มีอะไรหรอก แต่ถ้ารับน้ำลายซอมบี้เข้าปากโดยไม่ระวังละก็ เขาในฐานะมนุษย์จะสามารถติดเชื้อไวรัสได้

มู่ฉิงเทียนส่ายหัว ในตอนนี้ยังไม่มีวิธี ทำได้เพียงพึ่งมนุษย์อย่างพวกคุณผลิตเซรุ่มออกมาเพื่อขจัดไวรัสในร่างกายของซอมบี้เท่านั้น

คิ้วของจ้านเป่ยเทียนขมวดแน่นยิ่งขึ้น ถ้าเป็นน้ำจากน้ำพุวิญญาณในมิติล่ะจะกำจัดไวรัสในซอมบี้ได้ไหม

น้ำจากน้ำพุวิญญาณจะทำให้ซอมบี้ร้ายกาจและคลั่งหนักขึ้นเท่านั้น เมื่อก่อนไม่ใช่คุณให้ป่าป๊าดื่มน้ำจากน้ำพุวิญญาณหรอกเหรอ นี่คือเหตุผลว่าทำไมป่าป๊าถึงสามารถกระโดดจากซอมบี้ระดับต่ำจากมนุษย์กลายเป็นซอมบี้ระดับกลางได้

“...”

แววตาจ้านเป่ยเทียนมืดลง อุ้มลูกออกจากห้อง ขณะลงบันได จู่ๆ ในมือพลันปรากฏปลาไนออกมาจากความว่างเปล่า

มาถึงห้องโถงก็เอาปลาไนให้เหมาอวี่ไปทำเป็นซาซิมิ จากนั้นเขาค่อยนำกลับห้องไปให้มู่อี้ฟานกิน

หลังจากมู่อี้ฟานกินซาซิมิแล้ว สติสัมปชัญญะก็ค่อยๆ กลับคืนมา

ในใจคิดว่าซาซิมิที่จางเล่อส่งมานั้นเป็นจ้านเป่ยเทียนฝากมาจริงๆ รสชาติถึงเหมือนกับที่กินตอนนี้เลย

จากนั้นเขาก็จำเรื่องเมื่อครู่ขึ้นมาได้ ก็ยิ่งรู้สึกแย่ไปอีก

เห็นได้ชัดว่าเขาอยากทดสอบท่าทีที่จ้านเป่ยเทียนมีต่อเขา อยากลองดูว่าตอนเขากัดจ้านเป่ยเทียนแล้วจะตอบโต้อย่างไรกลับมาบ้าง จะปฏิบัติกับตนอย่างไร

แต่คาดไม่ถึง เขากลับถูกจ้านเป่ยเทียนหยั่งเชิงกลับ จนทำให้เขาทดสอบทัศนคติที่จ้านเป่ยเทียนมีต่อตัวเองไม่ได้ว่ามีความเชื่อใจต่อตนเองอยู่กี่ส่วน

จ้านเป่ยเทียนนั่งอยู่ที่หน้าต่างฝรั่งเศสพลางคิดเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ได้ยินเสียงมู่อี้ฟานวางตะเกียบก็หลุดจากภวังค์ หันกลับไปก็เห็นว่าเขากินซาซิมิในจานเสร็จแล้ว จึงเอ่ยว่า พวกเราจะออกจากเมือง G ในพรุ่งนี้เช้านะ

อ้อ

มู่อี้ฟานได้ยินเรื่องนี้ก็เหม่อลอยมากขึ้นกว่าเดิม

พรุ่งนี้จะออกจากเมือง G แล้ว ถ้าอย่างนั้นก่อนออกจากเมือง G เขาต้องฉวยโอกาสตอนที่จ้านเป่ยเทียนไม่ทันสังเกตออกจากที่นี่ให้ได้

เนื่องจากเขาคิดถึงเรื่องต่างๆ มากเกินไป ถึงไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนกำลังยกศีรษะน้อยๆ ขึ้นมองเขาตาใส

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าเพิ่งทอแสงแรกอรุณ ในบริเวณเขตวิลลาก็เริ่มร้อนจนแสบไส้แล้ว

มู่อี้ฟานไม่กล้าเข้านอนเหมือนปกติ หลังจากจ้านเป่ยเทียนออกจากห้องไป เขาก็รีบลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน เก็บเสื้อผ้าที่สวมใส่ในยามปกติใส่ลงไปในกระเป๋าเป้

หลังจากจูบเจ้าตัวน้อยที่ยังหลับอยู่ ก็ออกจากห้องอย่างเบามือเบาเท้า พอปิดประตูก็พบเจิ้งกั๋วจงที่กลับมาจากข้างนอกพอดี

เจิ้งกั๋วจงรีบก้าวไปข้างหน้า พูดกดเสียงต่ำว่า คนในวิลลาต่างไปช่วยทำงานกันหมด คุณจะวางแผนออกไปยังไงต่อไป? ข้างนอกนั่นมีคนเต็มไปหมด คุณคิดจะแอบออกไปนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

มู่อี้ฟานกล่าวว่า ฉันออกทางประตูหลังได้ ขอเพียงหลบหลีกคนที่รู้จักฉันก็ใช้ได้แล้ว

เจิ้งกั๋วจงตบไหล่เขา พูดอย่างจริงใจว่า ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าคุณต้องการทำอะไร แต่ตัวคุณเองก็ต้องระวังด้วย อย่าคิดว่าเพราะตัวเองเป็นซอมบี้แล้วจะไม่กลัวผลที่ตามมานะรู้ไหม

มู่อี้ฟานพยักหน้า

อีกเรื่องคือ หลังจากเจอเจียหมิงก็ต้องให้เขาระวังตัวด้วย อย่าได้เอาชีวิตน้อยๆ ไปทิ้งเพียงเพราะอยากกินเนื้อมนุษย์มีชีวิตเชียว คุณก็รู้ว่าเขาทนไม่ได้เท่าคุณ

มู่อี้ฟานกอดเขา ฉันจะบอกเขาให้นะ คุณก็วางใจเถอะ ลูกชายของคุณไม่ได้ไร้น้ำยาอย่างที่คุณคิดหรอก

คนที่อยู่ในฐานะแขนซ้ายแขนขวาของราชาซอมบี้จะเป็นตัวละครธรรมดาไปได้ยังไง

เจิ้งกั๋วจงก็ไม่พูดจามากความอีก ไปเถอะ เรื่องที่คุณต้องทำก็ทำให้เสร็จซะ อย่าลืมมาหาพวกเรานะรู้ไหม

อื้อๆ

มู่อี้ฟานไม่พูดเยอะกับเขาอีก ถือโอกาสก่อนที่จะมีใครกลับมารีบเดินลงไปชั้นล่าง และออกทางประตูหลัง

ตอนนี้ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการขนย้ายสิ่งของขึ้นรถเพื่อออกเดินทาง ดังนั้น จึงมีทีมลาดตระเวนในพื้นที่วิลลาค่อนข้างน้อย มีเพียงสามคนที่ตั้งทีมลาดตระเวนในสวนดอกไม้ แถมมีเพียงทีมเดียวเท่านั้นที่ผ่านไปทุกๆ ห้านาที หรือมากกว่านั้น

คนที่เหลือซึ่งเดินอยู่ในสวนดอกไม้คือผู้รอดชีวิต แต่พวกเขาต่างยุ่งอยู่กับการขนย้ายสิ่งของจนไม่ได้สังเกตเห็นมู่อี้ฟานเลย

หลังจากมู่อี้ฟานผ่านทีมลาดตระเวนมา ก็รีบวิ่งออกจากสวนหลังบ้านไปทางรั้วของเขตวิลลาอีกฝั่งอย่างรวดเร็ว

ต่อจากนั้น ยิ่งเขาอยู่ห่างออกไปจากวิลลาที่อาศัยอยู่ ผู้คนก็ยิ่งบางตาลงเรื่อยๆ

เมื่อเขามาถึงใต้รั้วของเขตวิลลา รอบๆ แทบจะไม่มีคนเดินไปมาสักเท่าไร พูดได้ว่ามันดีกว่านี้อีกไม่ได้แล้ว

แต่ว่ารั้วของเขตวิลลาล้วนถูกคนของจ้านเป่ยเทียนใช้ไม้กระดานเสริมความสูง เพราะต้องการป้องกันไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านนอกปีนเข้ามา

มู่อี้ฟานเงยหน้าขึ้นมองรั้วสูงราวๆ ห้าเมตรแล้วเกาหัวอย่างหดหู่ เดินวนอยู่แถวๆ นั้น ก่อนจะหาสถานที่ที่เตี้ยกว่าและปีนง่ายกว่าเจอ

หลังจากนั้น เขาใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะปีนขึ้นไปบนรั้วได้ ก้มลงมองความสูงของตัวเองที่ห่างจากพื้นดิน แต่กลับไม่คาดฝัน เขาพลันสบกับใบหน้าเล็กๆ ที่หัวเราะหึๆ ออกมา ป่าป๊า ถ้าป่าป๊าไม่พาหนูไปด้วย หนูจะเรียกพ่อมาที่นี่นะ


 

บทที่ 100 ป่าป๊า โง่จริงๆ

มู่อี้ฟานเกือบพลัดตกจากรั้ว ทั้งสองมือจึงยึดจับรั้วไว้ เขาโบกมือพูดเสียงกดต่ำว่า ฉิงเทียน ลูกตามมาที่นี่ทำไม รีบกลับไปเร็ว

มู่ฉิงเทียนไม่ไป ถ้าป่าป๊าไม่พาหนูไปเล่นด้วย หนูจะฟ้องพ่อ

ป๊าไม่ได้จะไปเล่นมู่อี้ฟานไม่เคยได้ยินเจ้าตัวน้อยเรียกใครว่าพ่อมาก่อน ดังนั้น ได้ยินเขาเอ่ยถึงพ่อสองครั้ง ก็ถามอย่างสงสัย แล้วพ่อของลูกเป็นใครล่ะ

จ้านเป่ยเทียน

หางตามู่อี้ฟานกระตุกหนัก ลูกแน่มาก

เพื่อไม่ให้หนีไปครึ่งทางก็ถูกจับกลับไป จึงทำได้เพียงปีนกลับลงมาที่พื้นช้าๆ อีกครั้ง และอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นนั่งบนไหล่ดีๆ กอดแน่นๆ ล่ะ

มู่ฉิงเทียนใช้มือน้อยๆ กอดหัวของมู่อี้ฟานไว้

มู่อี้ฟานต้องใช้ความพยายามอย่างหนักอีกครั้งถึงจะปีนขึ้นไปบนรั้วสำเร็จ จากนั้นก็ไต่ลงอย่างระมัดระวัง

ทันทีที่คนลงพื้นก็วิ่งไปที่ถนนฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว หารถไร้เจ้าของที่เสียบกุญแจไว้ในรถเจอก็ขับออกไปทันที

หลังจากอยู่ไกลจากเขตวิลลา เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นหันไปพูดกับเจ้าตัวน้อยข้างตัวว่า ตอนนี้ป๊าพาลูกออกมาแล้ว หนูก็ฟ้องจ้านเป่ยเทียนไม่ได้แล้ว

เจ้าตัวน้อยพูดด้วยน้ำเสียงแบบเด็กๆ ว่า หนูจะเล่นให้พอแล้วค่อยกลับ

ก็บอกแล้วว่าไม่ได้ไปเล่นมู่อี้ฟานกลัวจะเกิดปัญหา จึงเตือนล่วงหน้าว่า ป๊ามีเรื่องสำคัญมากต้องทำ จนถึงตอนนั้นลูกจะวิ่งไปทั่วไม่ได้

เจ้าหนูน้อยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

มู่อี้ฟานเหยียบคันเร่งไปยังอพาร์ตเมนต์ที่เจิ้งกั๋วจงอาศัยอยู่ ระหว่างทางเห็นทหารในกองทัพ รวมทั้งผู้คนที่สวมใส่ชุดป้องกันจำนวนมากกำลังเก็บศพเตรียมจะนำไปเผาทิ้งที่กองขยะ

มู่ฉิงเทียนปลดเข็มขัดนิรภัยลุกขึ้นพิงหน้าต่างมองไปยังโลกภายนอก

อันที่จริงเขาก็เป็นเด็กแรกเกิด ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโลกภายนอกมาก เมื่อเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ดวงตาเล็กๆ ก็จะจ้องสิ่งนั้นตลอดจนกว่าจะลับสายตาไป

มู่อี้ฟานมาที่ชุมชนอพาร์ตเมนต์ อุ้มลูกเดินหาชั้นที่เจิ้งกั๋วจงอาศัยอยู่จนเจอก็เคาะประตูแล้วตะโกนว่า เจียหมิง เจียหมิงอยู่ไหม ฉันอี้ฟานเอง

เขาตะโกนเรียกหลายครั้ง แต่ไม่มีใครตอบกลับมา

มู่อี้ฟานฉงนสุดใจ หรือว่าเจียหมิงจะออกไปหาอาหาร?

เขาคิดว่าคงรอให้เจิ้งเจียหมิงกลับมาไม่ได้แน่ จึงค้นกระดาษและปากกาออกมาจากกระเป๋าเป้ เขียนบนกระดาษเปล่าว่า หลังจากเห็นโน้ตแผ่นนี้แล้ว ให้รีบออกจากเมือง G ไปทางเหนือ ไปหาพ่อของคุณ

มู่อี้ฟานหยุดเขียน มองโน้ตแล้วครุ่นคิด จากนั้นก็เขียนเพิ่มอีกสี่คำต่อท้าย : ฝนดำ[1]สาดซัด

หลังจากเขียนเสร็จก็อ่านทวนอีกรอบ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรต้องอธิบายเพิ่มเติมแล้วถึงจะสอดกระดาษโน้ตเข้าไปในช่องใต้ประตู

หวังว่าเจียหมิงจะเห็นนะ

หลังจากมู่อี้ฟานพูดแล้วก็ถอนหายใจ หมุนตัวออกจากอพาร์ตเมนต์กลับไปที่รถ

วันนี้เพิ่งวันที่สาม ยังมีเวลาอีกสองวันก่อนถึงวันที่ห้า ดังนั้น เขาจึงไม่รู้ว่าจะไปไหนสักพักดี

มู่อี้ฟานหันไปมองเจ้าตัวน้อยที่นั่งอยู่เบาะหน้าซึ่งมองไปด้านนอกอย่างสนอกสนใจ พูดว่า เดี๋ยวจะพาลูกไปเล่นที่สวนสนุกเป็นไง?”

พอมู่ฉิงเทียนได้ยินก็กระโดดขึ้นมาทันทีอย่างตื่นเต้น ดีฮะ

มู่อี้ฟานเห็นเขามีความสุขขนาดนี้ ก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ จึงลูบหัวน้อยๆ ของเขา และขับรถไปจากชุมชนอพาร์ตเมนต์

อย่างไรก็ตาม ระหว่างทางไปสวนสนุกก็ถูกหยุดโดยทหารของกองทัพ

มู่อี้ฟานจำต้องจอดรถ และลดหน้าต่างลง

หนึ่งในทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาหา มองเด็กที่อยู่เบาะหน้าแล้วถามว่า คุณผู้ชาย คุณจะไปที่ไหนเหรอครับ

แน่นอนว่ามู่อี้ฟานไม่สามารถพูดว่าจะไปสวนสนุกได้ จึงต้องหาข้ออ้างมาพูดว่า ผมจะกลับบ้านครับ

ทหารถามอีกครั้งว่า บ้านคุณอยู่ที่ไหนครับ

อยู่ที่สวนสนุกทางด้านนั้นครับ

ทหารคนนั้นขมวดคิ้วทันที ผมแนะนำให้คุณไม่ต้องกลับไป รีบพาลูกของคุณออกจากเมือง G ไปทางเหนือ ที่นั่นมีเขตปลอดภัยหลายแห่ง อยู่ที่นั่นสามารถให้พวกคุณสองพ่อลูกผ่านวันคืนไปด้วยดีได้

พอมู่อี้ฟานได้ยินก็รู้ว่าต้องเกิดอะไรขึ้นในสวนสนุกทางด้านนั้น แต่ผมจำเป็นต้องกลับไปอีกรอบนะครับ เพราะภรรยาของผม แบบว่าผมเก็บภาพถ่ายคนตายและเถ้ากระดูกแม่ของลูกไว้ในบ้านทั้งหมดเลยครับ ที่ผมกลับไปคราวนี้ เพื่อจะนำภาพถ่ายและเถ้ากระดูกของเธอไปด้วยน่ะครับ

มู่ฉิงเทียน “...”

ทหารมีสีหน้าลังเลแต่ก็ยังส่ายหัว ด้านนั้นมันอันตรายเกินไป คุณอย่ากลับไปจะดีกว่า

แต่ตอนผมออกมาก็ไม่เห็นมีอะไรอันตรายนะครับ

ทหารคนนั้นเม้มริมฝีปากโดยไม่พูดอะไร

มู่อี้ฟานรีบถามว่า สหาย ที่คุณบอกว่ามันอันตรายมาก ถ้าอย่างนั้นคุณบอกผมหน่อยได้ไหมว่าทางด้านนั้นมันเกิดอะไรขึ้นเหรอ

ทหารยังคงขมวดคิ้วไม่ได้พูดอะไรออกมา

สหาย ถ้าคุณไม่บอกผม ผมก็จะไม่ยอมแพ้หรอกนะ คุณควรรู้ว่าภาพถ่ายคนตายและเถ้ากระดูกมีความสำคัญมากต่อพวกเราผู้รอดชีวิต

ทหารเห็นเขากังวลขนาดนี้ ก็ไม่อยากจะเสียเวลากับเขา จึงต้องพูดตรงๆ ว่า สถานการณ์จริงของที่นั่น ผมไม่รู้ชัดเจนนัก แค่ได้ยินมาว่า มีซอมบี้ตัวหนึ่งที่นั่นร้ายกาจมาก ความเร็วของมันไวมาก แม้แต่ปืนก็ยิงไม่โดนมัน คนที่พวกเราส่งไปต่างก็ถูกมันกัดจนตายแล้ว ตอนนี้คนในทีมของพวกเราทำเพียงขวางผู้รอดชีวิตไม่ให้ผ่านไปทางนั้น

ซอมบี้ร้ายกาจ? ความเร็วโคตรไว?” มู่อี้ฟานนึกถึงซอมบี้ตัวนั้นที่เห็นอยู่ในยุ้งฉาง

ถ้าเป็นซอมบี้ตัวนั้นจริงๆ มันก็เป็นเรื่องปกติที่กองทัพจัดการมันไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วซอมบี้ตัวนั้นก็มีพลังพิเศษ

ขอบคุณนะสหาย ผมจะพาลูกชายออกไปเดี๋ยวนี้

มู่อี้ฟานขับรถออกไป หลังจากนั้นก็พูดกับมู่ฉิงเทียนว่า ลูกก็ได้ยินแล้ว ที่นั้นมีซอมบี้ร้ายกาจอยู่ ตอนนี้พวกเราไปเล่นที่สวนสนุกไม่ได้แล้ว

ถึงอย่างไรพวกเขาไปแล้วก็ไม่มีอะไรน่าเล่นหรอก เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนใหญ่ที่นั่นต้องใช้ไฟฟ้า ไม่มีไฟฟ้าก็เท่ากับเล่นไม่ได้

มู่ฉิงเทียนมุ่ยปากน้อยๆ อย่างไม่พอใจ

มู่อี้ฟานเองก็รู้สึกเสียแผนเหมือนกัน ครุ่นคิดสักพักก็ขับรถไปที่โรงเรียนอนุบาลใกล้ๆ และพาเจ้าตัวน้อยไปเล่นที่โรงเรียนอนุบาลสักพักหนึ่ง หลังจากหัวใจเจ้าตัวน้อยเต็มอิ่มแล้วถึงจะไปหาสถานที่อาศัยที่ห่างจากลานขยะไม่ไกล ทั้งมีซอมบี้อยู่น้อย

จากนั้นเขาก็ทำก๋วยเตี๋ยวให้มู่ฉิงเทียนหนึ่งชาม หลังกินอิ่มก็อุ้มเขาไปนอนบนเตียง

ต่อมาพวกเขาก็อยู่ในห้องตลอดทั้งวัน และไม่ได้ไปไหนเลย จนกระทั่งวันที่ห้ามาถึง ก่อนรุ่งสาง มู่อี้ฟานก็พามู่ฉิงเทียนขับรถมาถึงลานขยะ

ในเวลานี้ลานขยะทั้งหมดเต็มไปด้วยซอมบี้และซากศพมนุษย์กองสูงเท่าภูเขา แถมในอากาศก็อบอวลไปด้วยกลิ่นศพ ซึ่งโคตรเหม็นโฉ่ และฉุนกึกมาก

เนื่องจากหลังรุ่งสางก็จะเผาศพ ดังนั้น มู่อี้ฟานจึงหาสถานที่ที่ค่อนข้างไกลจอดรถ เพื่อรอให้รุ่งอรุณมาเยือน

มู่ฉิงเทียนทนกลิ่นไม่ไหวจริงๆ เลยดึงหน้ากากขนาดเล็กออกจากกระเป๋ามาใส่บนหน้า

พอมู่อี้ฟานเห็นแบบนี้ ก็พูดอย่างประหลาดใจว่า ทำไมลูกมีหน้ากากอยู่ในกระเป๋าด้วย

มู่ฉิงเทียนหยิบหน้ากากสีขาวออกมาจากกระเป๋าอีกข้างแล้วยื่นให้เขาพลางพูดว่า ป่าป๊า โง่จริงๆ ป่าป๊าลืมว่าหนูมีมิติเหรอ

ลูกก็มีมิติด้วยเหรอมู่อี้ฟานมองมู่ฉิงเทียนอย่างอัศจรรย์ใจ ทันทีที่คิดอะไรออกก็รีบถามว่า ลูกใช้มิติร่วมกันกับจ้านเป่ยเทียนเหรอ

อื้อ

ดวงตาของมู่อี้ฟานยิ่งเบิกกว้าง ถ้าอย่างนั้นฉันก็พกซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่เดินได้ออกมาด้วยน่ะสิ?”

มู่ฉิงเทียนเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า ตอนนี้ป่าป๊ารู้ประโยชน์ของการพกหนูออกมาด้วยแล้วละสิ? ป่าป๊าอยากได้อะไร หนูก็หยิบออกมาให้ป่าป๊าได้ทั้งหมด

มู่อี้ฟานกล่าวว่า ป่าป๊าอยากได้น้ำพุสักแก้วที่เปลี่ยนกลับเป็นมนุษย์ได้ เอามาให้ป่าป๊าหนึ่งแก้วสิ

มู่ฉิงเทียน “...”

หนูทำไม่ได้ใช่ไหมล่ะมู่อี้ฟานไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะล้อเล่นกับเขา จึงลูบหัวเล็กๆ แล้วพูดว่า หลังจากศพเริ่มเผาแล้ว ลูกรอป๊าอยู่ที่นี่อย่างเชื่อฟังนะ ถ้าพบอันตรายเข้า ก็รีบซ่อนตัวอยู่ในมิตินะ รู้ไหม

ก่อนหน้านี้ยังกังวลว่าตอนไปหาแกนคริสตัล ลูกจะเป็นอย่างไร เขาควรทิ้งไว้ในรถ หรือควรพาติดตัวไปด้วย

ถ้าทิ้งไว้ในรถจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีซอมบี้มา? เขาไม่อยู่ข้างๆ ซอมบี้มีโอกาสจะทุบหน้าต่างแล้วจับเจ้าตัวน้อยกินหรือเปล่า

แต่การพกลูกติดตัวไปด้วยก็ไม่ปลอดภัยเหมือนกัน

เขากังวลว่าตัวเองจะพบกับซอมบี้ระดับสูงอย่างเช่นซอมบี้ตัวนั้นในยุ้งฉางหรือสวนสนุก ซึ่งเขาจะไม่สามารถปกป้องลูกได้

ตอนนี้หลังจากรู้ว่าลูกมีมิติ เขาก็ไม่มีอะไรให้เป็นห่วงแล้ว ขอแค่มีอันตรายแล้วซ่อนตัวอยู่ในมิติ ใครหน้าไหนก็ทำร้ายลูกไม่ได้แล้ว

มู่ฉิงเทียนไม่ได้พยักหน้าหรือส่ายหัว และหันไปมองท้องฟ้าด้านนอก

ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น เมื่อขอบฟ้าเปลี่ยนเป็นสีขาว ในที่สุดโลกที่เงียบสงบก็เกิดการเคลื่อนไหว

มู่อี้ฟานได้ยินเสียงซอมบี้จำนวนมากคำราม กรรรรอย่างรางๆ ซึ่งเหมือนจะดังมาจากสถานที่ห่างไกลมาก อาจเพราะมีจำนวนไม่น้อย ดังนั้น กระแสเสียงจึงคละเคล้าไม่สม่ำเสมอกัน

ณ ตอนนี้เอง พระอาทิตย์ลอยขึ้นจากท้องฟ้า ส่องสว่างไปทั่วแผ่นดินเกิด

ต่อจากนั้น เสียงตูมดังกึกก้อง ระเบิดความสงบในช่วงฟ้าสาง




[1] ฝนดำ เป็นคำที่ผู้รอดชีวิตจากการทิ้งระเบิดปรมาณูในฮิโรชิมาและนางาซากิใช้ ความหมายดั้งเดิมคือ ฝนปนเปื้อนเถ้ากัมมันตรังสีที่ตกลงมา ซึ่งในบริบทนี้หมายถึง การทิ้งระเบิด


 

ความคิดเห็น