ชายาคุณธรรมนั้นเป็นยาก 101-113

 

101 วันนี้เจ้าตื่นนอนแล้วไม่ได้ส่องกระจกละสิ?

 

นายน้อยจากตระกูลลี่หยางโหวจะแต่งกับรัชทายาท ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองเย่เฉิงอย่างรวดเร็วราวกับพายุ

ตอนนี้หากใครเอ่ยถึงถังเยว่ ก็จะไม่พูดว่าหมอเทวดาน้อยแห่งจวนลี่หยางโหวแล้ว แต่กลับเรียกว่าคุณชายหมอเทวดาที่กำลังจะอภิเษกกับรัชทายาทในเร็ววันนี้ผู้นั้น

ตอนที่จ้าวซานหลางได้ยินข่าวนี้ เขากำลังแสดงฝีมือทำอาหารอยู่ที่จวนท่านหญิง ทันทีที่ได้ฟังข่าวก็มือไม้สั่น เทน้ำมันพรวดลงมาทั้งหม้อ ทำเอาไฟแทบไหม้ห้องครัว

"กล้าโอ้อวดว่าตัวเองเป็นพ่อครัวเทวดา สามารถทำอาหารเลิศรสได้สารพัดอย่างนั้นอย่างนี้ ผลสุดท้ายกลายเป็นว่าแม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็ยังทำไม่สำเร็จ เอาเจ้ามามีประโยชน์อันใด" จวิ้นอ๋องน้อยที่เปื้อนควันไปทั้งหน้าวิ่งออกมาจากห้องครัว ตะโกนถามเขาด้วยรังสีอำมหิต

จ้าวซานหลางไม่มีแม้แต่อารมณ์ที่จะโต้ตอบ ดึงตัวคนรับใช้ผู้กระจายข่าวเข้าไปถาม "เจ้าพูดว่าอะไรนะ!" คนรับใช้ตกใจคุกเข่าโขกศีรษะลงกับพื้น หน้าผากแตกไปหนึ่งแผล "ลุกขึ้น แล้วพูดในสิ่งที่เจ้าพูดเมื่อครู่ใหม่อีกรอบ เหตุใดถึงได้พูดว่าคุณชายถังจะแต่งกับรัชทายาท?"

จวิ้นอ๋องน้อยสีหน้าดำทะมึนยืนอยู่ด้านข้าง สาวใช้สองคนรีบถลันเข้ามาช่วยเช็ดหน้า หวีผมให้จนวุ่นวายเป็นพัลวัน

"คือ...คือ บ่าวเพิ่งกลับมาจากข้างนอก ทุกคนเล่าลือกันว่ารัชทายาทพระราชทานสินสอดให้กับหมอเทวดาแห่งจวนลี่หยางโหวแล้ว เพราะมีพระประสงค์ต้องการสู่ขอหมอเทวดาไปเป็นพระชายาขอรับ"

"ข่าวนี้เป็นความจริงงั้นหรือ?" จ้าวซานหลางรู้สึกว่าโลกนี้ช่างน่าขันเกินไปแล้ว คุณชายถังอยู่ดีๆ จะออกเรือนได้อย่างไร แถมยังแต่งกับองค์ชายเจาผู้ซึ่งเพิ่งขึ้นรับตำแหน่งเป็นรัชทายาทอีก

เพียงแค่คิดว่าต่อจากนี้หากจะไปหาคุณชายถังต้องไปที่จวนองค์ชายเจา เขาก็ขนลุกชันไปทั้งตัวแล้ว

"ไม่ได้! ข้าต้องไปถามให้รู้เรื่อง คุณชายถังบังอาจปิดบังข้าไปแต่งกับคนอื่น บัดซบเกินไปแล้ว!" จ้าวซานหลางพูดจบก็ดึงชุดนอกที่ถูกไฟไหม้เป็นรูหลายจุดออก แล้ววิ่งกระโจนไปข้างนอกทันที

"คุณชาย...คุณชาย...ท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ก่อน..." บ่าวไพร่หลายคนตะโกนเรียกตามหลัง วิ่งกระหืดกระหอบติดตามไปจนเหงื่อแตกเต็มตัว

จวิ้นอ๋องน้อยผลักสาวใช้ที่ช่วยจัดเสื้อผ้าเขาให้เป็นระเบียบอยู่ออกมองห้องครัวที่ถูกเผาจนมีสภาพดูไม่ได้ด้วยสายตาเย็นเยียบ แล้วสั่ง

"ไปเตรียมม้า!"

"จวิ้นอ๋องน้อย ท่านหญิงสั่งว่าวันนี้ห้ามท่านออกไปข้างนอกอีกประเดี๋ยวต้องไปร่วมแสดงความยินดีที่จวนรัชทายาทแล้วเจ้าค่ะ...จวิ้นอ๋องน้อย..."

"ไสหัวไป!" จวิ้นอ๋องน้อยผลักสาวใช้ที่เข้ามาขวาง แล้วสาวเท้าวิ่งตามจ้าวซานหลางไป

 

จ้าวซานหลางมาถึงจวนลี่หยางโหว หลังลงจากรถม้าก็ทำให้ยามที่ประตูใหญ่ของจวนโหวต้องตกใจ ยังนึกว่าคุณชายเสี่ยนมีเรื่องใหญ่ไฟลนก้นอะไรเกิดขึ้น ถึงได้รีบจนไม่ได้สวมแม้กระทั่งชุดคลุมตัวนอก

"นายน้อยของพวกเจ้าล่ะ !?" จ้าวซานหลางแผ่รังสีอำมหิตพุ่งเข้าไปจับยามคนหนึ่งมาสอบถาม

"คุณชาย...คุณชาย...คือว่า..." เหอผู้เคราะห์ร้ายอยากพูดเหลือเกินว่ามีแขกมาเยือนถึงประตูบ้านสมควรต้องสั่งให้คนไปแจ้งเจ้านายให้ทราบก่อน

"พูดยังไม่เป็นภาษา คุณชายถังเลี้ยงเศษสวะเอาไว้แท้ๆ!"

เหอหน้าแดง ปากก็รีบตอบด้วยความรวดเร็วไปประโยคหนึ่ง "เรียนคุณชาย นายน้อยอยู่กับนายท่านและเหล่าคุณหนูในห้องโถงขอรับ"

จ้าวซานหลางตบแก้มเขาเบาๆ แล้วกล่าวชม "พูดดีๆ ก็พูดได้นี่นาต้องให้ข้าด่าก่อนทำไมกัน!"

จากนั้นก็ปล่อยเหอแล้วมุ่งหน้าตรงไปยังห้องโถง

จวนลี่หยางโหวหาใช่สถานที่แปลกใหม่สำหรับเขา นับตั้งแต่คุณชายถังมา เขาก็มาเยือนที่นี่หลายครั้งแล้ว ทว่าจ้าวซานหลางมัวแต่สนใจที่จะมุ่งไปข้างหน้า จึงไม่เห็นว่าสีหน้าจวิ้นอ๋องน้อยที่เดินตามหลังเขามานั้นดำทะมึนขึ้นเรื่อยๆ

"คุณชายถัง ... คุณชายถัง ... เจ้าออกมาพูดกันให้รู้เรื่อง..."

หลังจากจ้าวซานหลางบุกเข้าไปในห้องโถงก็ต้องตะลึงตาค้างในทันที ทั่วทั้งห้องโถงเต็มไปด้วยสีแดง ยังมีสินสอดทองหมั้นกองโต เห็นเท่านี้ก็ไม่ต้องอธิบายอะไรแล้ว

ถังเยว่เดินเข้ามามองสหายด้วยความประหลาดใจ "เจ้าเป็นอะไรภัยพิบัติครั้งใหญ่ตกใส่หัว หรือไปทำลูกสาวบ้านไหนท้องกันล่ะ?"

คนทั้งบ้านต่างมองถังเยว่อย่างตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าปกติเขาจะพูดจากับสหายส่งเดชเยี่ยงนี้

ฮูหยินเฒ่าขยิบหูขยิบตาให้จ้าวซื่อ ส่งสัญญาณบอกใบ้ให้นางพาเหล่าธิดาไปเรือนด้านหลังก่อน แม้ธรรมเนียมแบ่งแยกชายหญิงในยุคนี้จะไม่เข้มงวดมากแล้วก็ตาม แต่เวลานี้เสื้อผ้าของจ้าวซานหลางไม่เรียบร้อยหลีกเลี่ยงไว้ก่อนจะดีกว่า

จ้าวซานหลางยังไม่รู้ตัวว่าตนได้กลายเป็นคนบ้ากามที่ต้องป้องกันจึงรีบจับถังเยว่มาสอบถาม

"บอกมาซะดีๆ ว่าเจ้าไปมีอะไรกับรัชทายาทตั้งแต่เมื่อไร?"

"เรื่องนี้เองน่ะหรือ?" ถังเยว่พิจารณาอีกฝ่ายอย่างละเอียดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า จากนั้นก็หยิบผักสีเขียวใบหนึ่งออกจากมวยผมของเขา ได้กลิ่นไหม้โชยออกมาจึงกระเซ้าว่า "นี่คงไม่ได้หมายความว่าเจ้าแอบหลงรักข้ามานานแล้ว ดังนั้นพอได้ยินว่าข้าจะแต่งงานถึงต้องโวยวายจะเป็นจะตายเยี่ยงนี้"

จวิ้นอ๋องน้อยที่เดินตามหลังมาได้ยินคำพูดประโยคนี้เข้าพอดีนัยน์ตาอินทรีคู่นั้นถลึงจ้องจ้าวซานหลางเขม็ง

ในตอนนี้เองถังเยว่ถึงเพิ่งรู้ว่าที่ด้านหลังของจ้าวซานหลางยังมีเด็กน้อยสูงศักดิ์ติดตามมาด้วย จึงยกเท้าเตะขาสหายไปหนึ่งที

"นี่อย่าบอกนะว่าเจ้าได้รับความสะเทือนใจจากจวนท่านหญิงมาอีกแล้ว"

จ้าวซานหลางตกใจสะดุ้งโหยง สติกลับเข้าร่างอย่างสมบูรณ์ตอนนี้ถึงได้รู้ตัวว่าตนได้ทำเรื่องโง่เขลาเบาปัญญาครั้งใหญ่ลงไป เขารีบลนลานจัดเสื้อผ้าที่กระเซอะกระเซิงให้เข้าที่เรียบร้อย รวบผมไปด้านหลัง ขยับเข้าไปคารวะผู้อาวุโสทั้งสามด้วยอากัปกิริยาที่เป็นธรรมชาติ

"หลานไม่ทันดูตาม้าตาเรือ หวังว่าฮูหยินเฒ่ากับท่านโหวจะให้อภัยได้ยินข่าวว่าถังเยว่จะแต่งงานก็ตกใจมากจริงๆ"

ฮูหยินเฒ่าหัวเราะอย่างเข้าใจในความรู้สึก ตอนนางได้ยินเรื่องนี้ยังตกใจจนทำถ้วยชาแตกไปใบหนึ่ง เช่นนี้สามารถบอกได้ว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์สนิทสนมกันแน่นแฟ้น นับเป็นเรื่องดี!

"ซานหลางเอ๋ย รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ด้านหลังก่อนเถอะ เดี๋ยวจะเป็นหวัด" ฮูหยินเ่ากล่าวด้วยความเมตตาเอ็นดู

จ้าวซานหลางไม่อยากไปก็ต้องไป ถึงอย่างไรก็คงกลับไปสภาพนี้ไม่ได้ ดังนั้นจึงหาเสื้อผ้าของถังเยว่ที่มีขนาดพอกันมาผลัดเปลี่ยน

หลังจากทั้งสองเข้ามาในห้องแล้ว วาจายิ่งกำเริบเสิบสานหนักกว่าเดิม จ้าวซานหลางสวมเสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จก็คว้าคอเสื้อถังเยว่มาถาม

"ตอนนี้พูดได้หรือยัง ตกลงเจ้าทำอะไรกันแน่? หรือว่าจะออกเรือนแต่งเข้าจวนองค์ชายเจาจริงๆ"

"แค่กๆ เดี๋ยวก็เป็นจวนรัชทายาทแล้ว" ถังเยว่แก้คำพูดให้ใหม่

"อย่าบอกนะว่าเพราะเจ้าเห็นเขาได้รับแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทถึงได้เสนอตัวให้เอง?"

"คำพูดนี้ข้าไม่ชอบฟัง เหตุใดถึงเป็นข้าไปเสนอตัวให้เขา" ถังเยว่แกะมือจ้าวซานหลางออก แล้วตบศีรษะเขา จากนั้นก็ไปนั่งดื่มชาอย่างไม่แยแสอยู่ด้านข้าง "เป็นรัชทายาทต่างหากที่ต้องใจข้าอย่างสุดจิตสุดใจหมายมั่นจะสู่ขอข้าไปเป็นชายาให้จงได้ ข้าจึงไม่มีทางเลือก!" พูดจบเขาก็ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย

จ้าวซานหลางไม่เชื่อสักนิด จึงเอ่ยถามด้วยความหมั่นไส้ "คุณชายถังวันนี้เจ้าตื่นนอนแล้วยังไม่ได้ส่องกระจกละสิ?"

รัชทายาทมีฐานะสูงส่งเพียงนั้นจะมาถูกใจเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจงั้นหรือ?

"พอ! เลิกถามได้แล้ว ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ถูกกำหนดไว้แล้ว เจ้าคงไม่ดูถูกข้าเพียงเพราะข้าออกเรือนแต่งกับบุรุษหรอกใช่ไหม?"

ถังเยว่ค่อนข้างใส่ใจในจุดนี้ มีบางคนรังเกียจความรักแบบเพศเดียวกัน ไม่ว่ายุคสมัยใดล้วนเหมือนกัน

จ้าวซานหลางทรุดตัวลงนั่งข้างเขา แย่งถ้วยชาเขามาดื่มอึกหนึ่ง

"เรื่องแค่นี้จะเป็นไร่ไป หากไม่เป็นเพราะข้าชอบส่วนเว้าส่วนโค้งของสาวงาม ก็ไม่ถือสาที่จะหาคุณชายรูปงามมาอยู่ในบ้านหรอก แต่ว่า ... " เขาหยุดชะงักไปเล็กน้อย "เจ้าแต่งออก เช่นนั้นก็..." เขาจ้องส่วนกลางลำตัวของถังเยว่ แล้วหัวเราะอย่างสัปดน

มีหรือที่ถังเยว่จะไม่เข้าใจว่าในสมองเขาคิดอะไรอยู่ จึงไหวไหล่และพูดอย่างไม่แยแส "เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องคิดหนักให้เปลืองสมอง คนอื่นอยากได้โอกาสนี้ก็ยังไม่มี"

คำพูดนี้เป็นความจริง จ้าวซานจึงหลางพยักหน้า "ก่อนหน้านี้ข้าเคยเห็นท่านหญิงถังซีอดีตคู่หมั้นรัชทายาท ไม่คู่ควรกับพระองค์เลยจริงๆ แต่พอเป็นเจ้า ข้ากลับรู้สึกว่ารัชทายาทเป็นฝ่ายได้กำไร นี่มันเกิดอะไรขึ้น?"

"หมายความว่าข้าวิเศษยอดเยี่ยมมากน่ะสิ"

ถังเยว่รู้สึกว่าคำพูดนี้ฟังแล้วช่างรู้สึกดีเหลือเกิน ครอบครัวของเขาต่างรู้สึกว่าตนอาจเอื้อม มีแต่เจ้าเด็กนี่แหละที่ตามีแวว แต่จ้าวซานหลางคงไม่ได้ต้องใจเขาเข้าจริงๆ ใช่มั้ย? ไม่เช่นนั้นจะประเมินค่าเขาไว้สูงขนาดนี้ได้อย่างไร?

"ท่านหญิงถังซี ... คนนั้น" ถังเยว่ลังเลครู่หนึ่งจึงตัดสินใจลองสืบข้อมูลศัตรูหัวใจ "รูปโฉมท่านหญิงเป็นเช่นไร แล้วนิสัยล่ะเป็นอย่างไรบ้าง?"

"รูปโฉมงามล่มบ้านล่มเมือง เพียงแต่ด้อยกว่าท่านหญิงฮุ่ยจูเล็กน้อย ทว่าเมื่อพูดถึงนิสัยใจคอ เหอะๆ เสียทีที่หน้าตางดงามเสียเปล่า"

ถังเยว่บังเกิดความข้องใจในคำพูดประโยคนี้ ไม่ว่าใครก็ตามที่ถูกนำไปเทียบกับท่านหญิงฮุ่ยจู เขาก็ต้องติดใจสงสัยทั้งนั้น

ทว่าไม่ถูกจ้าวซานหลางผู้ลุ่มหลงในรูปโฉมวิจารณ์ว่าขี้เหร่ แสดงว่าจะต้องงดงามอย่างแท้จริง

"เอาแต่ใจงั้นเหรอ? หรือป่าเถื่อน? มั่วโลกีย์? หรือโง่งมมาก?"

เสียงหัวเราะ 'เหอะๆ' นั่นเป็นนามธรรมเกินไป

จ้าวซานหลางมองเขาด้วยหางตา "เหตุใดเจ้าถึงร้อนรนเช่นนี้ หรือคิดว่ารัชทายาทจะยังฝังใจอยู่กับนาง?"

ถังเยว่ส่ายหน้าอย่างคิดไม่ตรงกับใจ แล้วพูดว่า "ข้าเพียงกังวลว่านางจะยังลืมองค์รัชทายาทไม่ลง"

ถึงอย่างไรก็เคยเป็นคู่หมั้นคู่หมายกันมาก่อน มิหนำซ้ำหลี่เจายังเป็นรัชทายาทระดับคุณภาพดีเยี่ยมที่อยากได้รูปโฉมมีรูปโฉม อยากได้อำนาจมีอำนาจ อยากได้เงินทองก็มีเงินทองให้

"เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ... "

ถังเยว่กำลังจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่กลับได้ยินเสียงจ้าวซานหลางหัวเราะอย่างชั่วร้ายและกล่าวต่อ "ท่านหญิงถังซีจะต้องชอบองค์รัชทายาทอย่างแน่นอน ตอนนั้นที่มีเรื่องถอนหมั้นเกิดขึ้น ได้ยินว่าท่านหญิงไม่ยอมกินอะไรไปสามวัน หากไม่เป็นเพราะหมอหลวงยืนยันหลายครั้งหลายคราว่าขาของรัชทายาทรักษาไม่หายแล้วจริงๆ เจ้าคิดว่าเรื่องถอนหมั้นจะง่ายดายเพียงนั้นเชียวหรือ"

ถังเยว่คิดอยากจะตบอีกฝ่ายสักฉาดจริงๆ "เอาเถอะ แค่ผู้หญิงคนเดียว เรื่องเล็กน้อยยิ่งนัก"

เห็นทีคราวหน้าถ้าเจอหลี่เจา ต้องถามดูก่อนว่าขัดขวางดวงดอกท้อ[1]ก็อยู่ในขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบของเขาด้วยหรือไม่ นี่เป็นงานที่เปลืองแรง ได้ไม่คุ้มเสีย ต้องขึ้นราคา! [1 ดวงเนื้อคู่]


 

[ฉากพิเศษ]

ถังเยว่                 ได้ข่าวว่าฝ่าบาทมีคู่หมั้นที่ปักใจแน่วแน่ต่อฝ่าบาทอยู่แล้ว

รัชทายาทเจา        อดีตคู่หมั้น

ถังเยว่                 นี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก

รัชทายาทเจา        หึม?

ถังเยว่                 ประเด็นคือนางยังปักใจแน่วแน่ต่อฝ่าบาท หากนางแสดงออกถึงความรักที่มีต่อฝ่าบาท หรือนางพยายามที่จะอภิเษกด้วยให้จงได้ ฝ่าบาทจะทรงทำเช่นไร?

รัชทายาทเจา        นั่นก็เป็นเรื่องของนาง ข้าไม่จำเป็นจะต้องไปใส่ใจ!

ถังเยว่                 ดีมาก หากครั้งหน้านางกล้าทำเช่นนี้อีก ฝ่าบาทต้องรับสั่งให้นางไสหัวไปให้ไกลๆ ยิ่งไกลเท่าไรยิ่งดี! ไปให้พ้นระยะสายตาของฝ่าบาทอย่างละมุนละม่อม

รัชทายาทเจา        ชายาใจคอคับแคบ ทั้งยังมีจิตริษยา ไม่ดี ต้องแก้ไข!

ถังเยว่                


 

102 แม้แต่คิดก็จงอย่าได้คิด!

 

"ผู้ที่อยู่ข้างนอกนั่นอย่างไรกัน? ทำราวกับว่าเจ้าไปฆ่าล้างตระกูลเขาอย่างนั้นละ หน้าตาถมึงทึงอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ" ถังเยว่ชี้ไปยังเด็กน้อยผู้ทำตัวราวกับเทพทวารบาลอยู่ด้านนอก

จ้าวซานหลางลอบแอบมอง แล้วรีบหดคอกลับมา พลางตอบอย่างระแวดระวัง "ทั้งหมดนี่ต้องโทษเจ้านั่นละ ก่อนหน้านี้ข้ากำลังแสดงความสามารถพิเศษอยู่ที่จวนท่านหญิง ใครจะไปรู้พอข้าได้ยินข่าวว่าเจ้าจะแต่งงานไม่ทันระวัง เผลอไปเผาบ้านเขาเข้า"

ถังเยว่มองอีกฝ่ายอย่างพูดไม่ออก "เจ้ามีความสามารถพิเศษอะไรที่จะแสดงได้?" ทำไมเขาถึงไม่รู้ "มิหนำซ้ำยังสามารถเผาบ้านเขาได้ด้วย หรือว่าจะแสดงการพ่นไฟ"

จ้าวซานหลางไอแห้งๆ สองที "ก่อนหน้านี้ข้าเคยเรียนทำอาหารอยู่หลายวันมิใช่หรือ หลังจากกลับไปก็ฝึกฝนต่ออีกหลายวันจนประสบความสำเร็จ ถึงได้คิดจะไปทำอาหารให้ท่านหญิงลองชิมสักสองอย่าง"

"หลายวัน? ครึ่งวันยังไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ!"

ถังเยว่จดจำได้แม่นยำ คนผู้นี้แม้แต่หั่นผักยังเรียนไม่สำเร็จก็ถูกรัชทายาทรับสั่งให้ไปดูแลเรื่องเสบียงกองทัพแล้ว ฝีมืออย่างเขาอาศัยการฝึกฝนเพียงลำพังจะปรุงอาหารอะไรออกมาได้งั้นหรือ? คำพูดนี้แม้แต่ผีก็ยังไม่เชื่อ!

"เจ้าวางแผนจะทำอาหารอะไรให้ท่านหญิง ทำไมถึงไฟไหม้ขึ้นมาได้?" เขามั่นใจว่าเรื่องก่อฟืนในเตาต้องไม่ใช่หน้าที่ของจ้าวซานหลางแน่ถ้าเช่นนั้นจู่ๆ ไฟจะไหม้ขึ้นมาได้อย่างไร?

จ้าวซานหลางเล่าลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังอย่างละเอียด ทั้งยังดึงปลายผมที่ถูกไฟไหม้เกรียมของตนมาบ่นงึมงำ "เส้นผมดำขลับของข้า สู้อุตส่าห์ดูแลรักษามาหลายปี กลับต้องถูกไฟไหม้เสียหายเพราะเหตุนี้"

ถังเยว่ฟังจบก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงจะปลอบใจ แค่ทอดไก่หลิวยังสามารถสาดน้ำมันลงไปทั้งหม้อจนเป็นเหตุให้เกิดไฟไหม้ได้ ให้มันได้อย่างนี้สิ!

เขาช่วยตัดปลายผมที่ไหม้ไฟให้ ทำเอาจ้าวซานหลางปวดใจแทบเป็นแทบตาย

"เอาละ นี่ก็สายมากแล้ว เจ้าควรกลับไปขอโทษและชดใช้ความผิดที่จวนท่านหญิงได้แล้ว"

"ไม่ไป!" จ้าวซานหลางกอดอกส่ายหน้าแรงๆ เกิดเรื่องน่าอับอายเช่นนี้เขาจะเอาหน้าที่ไหนไปบอกกับท่านหญิงฮุ่ยจู ที่เมื่อครู่วิ่งออกมาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ส่วนหนึ่งก็เพราะต้องการจะเผ่นหนีออกมานั่นเอง ฉวยโอกาสนี้ยืมชื่อถังเยว่ทำให้หนีออกมาได้โดยง่าย ต่อให้ตีเขาให้ตายก็ไม่กลับไปอีกเป็นอันขาด

ถังเยว่ถอนหายใจ "ซานหลางเอ๋ย เป็นบุรุษสิ่งแรกที่ควรมีคือความรับผิดชอบ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เจ้ายังไม่กล้าเอ่ยปากขอโทษ ต่อไปภายหน้าเจ้าจะรับผิดชอบต่อครอบครัวและวงศ์ตระกูลได้อย่างไร"

"นี่ ... " จ้าวซานหลางขมวดคิ้วแน่นเป็นปม เหลือบมองถังเยว่อยู่หลายที สุดท้ายก็บ่นพึมพำกับตัวเองอีกสองประโยค ก่อนจะลุกขึ้นปัดก้น "ก็ได้ งั้นข้าไปละ"

เพิ่งก้าวพ้นประตู ก็เห็นสีหน้าดำทะมึนของจวิ้นอ๋องน้อย จ้าวซานหลางไม่มีอารมณ์คิดจะสนใจ จึงเชิดหน้าคอตั้งเดินตรงไป

จวิ้นอ๋องน้อยจ้องแผ่นหลังจ้าวซานหลางตาเขม็ง กระทั่งฝ่ายนั้นหายลับไปจากสายตา ถึงมั่นใจว่าบุรุษผู้นี้ทำการแข็งข้อ มิหนำซ้ำยังคาดไม่ถึงว่าจะกล้ามองเมินไม่เห็นหัวเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้

"คุณชายถัง ในเมื่อเจ้ากำลังจะออกเรือนแล้วก็อยู่ให้ห่างจ้าวเสี่ยนไกลๆ หน่อย" จวิ้นอ๋องน้อยหันไปเตือนถังเยว่

"จวิ้นอ๋อง กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?" ถังเยว่ถามด้วยความพิศวง "ความสัมพันธ์ของข้ากับซานหลางดุจมือและเท้า เป็นสหายที่สนิทสนมกัน เหตุใดจะต้องอยู่ให้ห่างจากเขา"

"เพราะว่า ... " จวิ้นอ๋องน้อยหลุดพูดเสียงสูงออกมาเพียงสองคำ แต่กลับไม่พูดต่อให้จบก็กลืนคำพูดที่เหลือลงคอไป "เอาเป็นว่า ห้ามเจ้าเข้าใกล้เขามากเกินไปก็แล้วกัน!"

ถังเยว่เห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กน้อยอายุสิบสองขวบ จึงจงใจถามแหย่เล่น "หรือเพราะท่านคิดอยากให้เขามาสู่ขอมารดาท่าน จวิ้นอ๋องอย่าเข้าใจผิดในความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเขาเลย พวกเราคบหากันด้วยมิตรภาพที่บริสุทธิ์ใจ ไม่มีสิ่งใดจะบริสุทธิ์ไปกว่านี้อีกแล้ว"


 

จวิ้นอ๋องน้อยเลิกคิ้วคล้ายโกรธเกรี้ยว แต่ยังดีที่ควบคุมอารมณ์ไว้ได้ "เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง ขอเพียงจดจำไว้ว่าไม่อนุญาตให้เจ้าเข้าใกล้เขามากเกินไป"

ถังเยวไม่พยักหน้าและไม่ส่ายหน้า คิดในใจว่า 'เจ้าเด็กนี่นิสัยเสียขนาดนี้แท้ๆ ทำไมไม่มีใครอบรมสั่งสอนบ้าง? ดูเหมือนท่านหญิงฮุ่ยจูจะไม่ค่อยสนใจเขาเท่าไร หรือเขาจะไม่ใช่ลูกในไส้ของนาง?’

อยู่เมืองเย่เฉิงมานานพอควร ทำให้เข้าใจเรื่องราวต่างๆ มากกว่าตอนเพิ่งมาใหม่ไม่น้อย รวมถึงเรื่องราวความเจ้าสำราญของท่านหญิงฮุ่ยจูและความอันธพาลป่าเถื่อนของจวิ้นอ๋องน้อย ว่ากันว่าท่านหญิงฮุ่ยจูตั้งใจจะอบรมเลี้ยงดูโอรสคนนี้ให้เติบโตมาเหมือนสามีที่ลาลับของนาง ให้เขาได้เติบโตขึ้นเป็นบัณฑิตผู้เปี่ยมไปด้วยความรู้ งามสง่า แต่ใครจะรู้ว่าเด็กนี่ราวกับเกิดผิดครรภ์ นอกจากจะไม่สืบทอดเชื้อสายคุณงามความดีของผู้เป็นบิดา ยังป่าเถื่อนหยาบกระด้างมาแต่เยาว์วัย ใจคอดุร้าย ดังนั้นจึงไม่ค่อยได้รับความโปรดปรานจากมารดานัก

ความจริงถังเยว่ก็พอจะเข้าใจ จากเรื่องราวที่เขาได้ฟังมา ท่านหญิงฮุ่ยจูรักสามีที่จากไปของนางมาก บัดนี้สามีไม่อยู่แล้วก็เป็นธรรมดาที่จะอยากค้นหาเงาร่างของสามีจากบุตรชาย ส่วนเรื่องที่นางเลี้ยงดูหนุ่มๆ ไว้ ถังเยว่เลือกที่จะมองข้ามไป

โอรสหัวดื้อเสมือนม้าป่าหลุดจากบังเหียน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสุภาพมีมารยาท แค่จะทำใจให้สงบเยือกเย็นหนักแน่นยังทำไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมมิอาจหลีกเลี่ยงความผิดหวัง

"ได้ยินว่ารัชทายาทไปปกป้องชาติบ้านเมืองอยู่ชายแดนตั้งแต่อายุสิบปี จวิ้นอ๋องมีพละกำลังมาระบายอารมณ์กับจ้าวซานหลางเช่นนี้ มิสู้เอารัชทายาทเป็นแบบอย่าง ออกไปฝึกฝนสั่งสมประสบการณ์ให้ตัวเองดีกว่า"

"เจ้ามีนิสัยชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านแบบนี้มาตลอดเลยหรือ" จวิ้นอ๋องน้อยยกยิ้มเย็นขณะเอ่ยถาม

ถังเยว่ถูกย้อนจนสำลักตอบไม่ถูก อยากถอนคำพูดเมื่อครู่กลับคืนเสียเหลือเกิน "เหอะๆ ในเมื่อจวิ้นอ๋องไม่ชอบฟัง เช่นนั้นก็เชิญเถอะ ข้าไม่ส่ง"

จวิ้นอ๋องน้อยพิจารณาเขาขึ้นลงอย่างละเอียดหลายรอบ ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเปรยขึ้นลอยๆ "เสด็จพี่คงอยู่ชายแดนนานเกินไป ไม่เคยได้พบสาวงามถึงได้ต้องใจในตัวเจ้า ไว้ให้เสด็จพี่พำนักอยู่ในเมืองเย่เฉิงอีกสักสองสามปี ก็คงจะทอดทิ้งเจ้าเอง"

"ให้ตายสิ!" ถังเยว่เพิ่งเคยวู่วามคิดอยากลงมือทำร้ายเด็กเป็นครั้งแรก 'ทำไมเจ้าเด็กบ้านี่ถึงได้ทำตัวน่าโมโหสุดจะทนทานขนาดนี้!'

"ใครก็ได้ ... พ่อบ้าน ... ส่งแขก!" เขาหงุดหงิดจนไม่อยากจะต้อนรับเจ้าเด็กบ้าไร้มารยาทเช่นนี้แล้ว

จวิ้นอ๋องน้อยแค่นเสียงหัวเราะเย็น ไม่รอให้คนมาไล่ก็เดินยืดอกเชิดหน้าจากไป

ถังเยว่สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ สองทีถึงจะสามารถปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติได้ ถ้าเจ้าเด็กนี่เป็นลูกชาย เขาจะซ้อมให้จำหน้าพ่อไม่ได้กันเลยทีเดียว

ไม่นาน พ่อบ้านก็ส่งเสียงขานรับ ถังเยว่สั่งกำชับ "วันหน้าหากจวิ้นอ๋องน้อยมาที่บ้าน ให้เอาชาชั้นต่ำหรืออาหารชั้นเลวมารับรองเขาก็พอข้าว่าเขากินดีอยู่ดีมากเกินไปถึงได้นิสัยเสียแบบนี้"

พ่อบ้านเพียงยิ้มน้อยๆ ไม่ตอบอะไรก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง

"นายน้อย ท่านไปเปลี่ยนชุดใหม่แล้วรีบเตรียมตัวเถอะ อีกครู่ท่านโหวจะพาท่านไปจวนรัชทายาทขอรับ"

"ไปจวนรัชทายาททำไม?" ถังเยว่อยากปฏิเสธ จู่ๆ ต้องมากลายเป็นว่าที่คู่หมั้น เมื่อต้องไปพบหน้ากันก็ออกจะเก้อกระดากอยู่ไม่น้อย

"ท่านลืมแล้วหรือ วันนี้เป็นวันเปลี่ยนป้ายหน้าประตูจวนองค์ชายเจาทุกคนต่างไปร่วมแสดงความยินดีด้วยกันทั้งนั้น"

"อ้อ ... " ที่แท้ก็ไม่ได้ไปเพราะเรื่องงานแต่งของพวกเขา เช่นนั้นก็ดีแล้ว!

"ไม่ไปได้หรือไม่?" ออกไปในเวลาเช่นนี้ ดีไม่ดีจะถูกคนมุงดูราวกับเป็นลิงอุรังอุตัง

"ดูจากความสัมพันธ์ของท่านกับรัชทายาทในเวลานี้ เกรงว่าจะไม่ได้ คนนอกอาจครหาเอาได้นะขอรับ"

"ถึงไปก็ถูกครหาอยู่ดี ไม่ไปอย่างน้อยข้าก็ไม่ได้ยิน" ถังเยว่ทำท่าราวกับหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก แต่เขาก็รู้ว่าเมื่อเข้าไปร่วมในวงศ์วานนี้แล้วมีบางเรื่องที่ไม่ทำไม่ได้

เขาหมุนตัวเดินกลับเข้าห้อง เลือกชุดสีฟ้าสดใสออกมาจากกองเสื้อผ้าใหม่แล้วไปผลัดเปลี่ยน ในบรรดาสินสอดที่ส่งมาคราวนี้มีเสื้อผ้าใหม่ของเขาสิบหีบ ไม่รู้ฝ่ายนั้นทำอย่างไร ถึงสามารถทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้

เปลี่ยนชุดใหม่ออกมาข้างนอก พอพ่อบ้านเห็นเข้าก็ขมวดคิ้วเป็นปมถังเยว่เอ่ยถาม

"มีสิ่งใดไม่ถูกต้องหรือ?"

พ่อบ้านส่ายหน้า พูดอย่างลังเล "วันนี้เป็นวันมหามงคล นายน้อยควรเปลี่ยนมาสวมชุดเฉลิมฉลองจะเหมาะสมกว่าหรือไม่ขอรับ"

"เจ้าคิดจะให้ข้าสวมชุดแดงออกจากบ้านอย่างนั้นหรือ?" ถังเยว่เบิกตาโต ปฏิเสธเสียงแข็ง "แม้แต่คิดก็จงอย่าได้คิด!"

พ่อบ้านไม่มีวิธีเปลี่ยนความคิดเขา แต่คนอื่นมี ในตอนที่ถังเยว่เดินเข้าไปในห้องโถง ประโยคแรกของฮูหยินเฒ่าก็คือคำพูดเดียวกันนี้ แม้แต่ลี่หยางโหวก็พยักหน้าเห็นพ้องอยู่ข้างๆ

เสียงข้างน้อยย่อมแพ้เสียงข้างมาก ถังเยว่จำใจเปลี่ยนมาสวมชุดสีแดงเข้ม ลายตารางสีดำ ดูหนักแน่นมั่นคงกว่ายามปกติไม่น้อย

"ไปกันทั้งบ้านเลยหรือ?" เห็นสมาชิกทั้งสิบเอ็ดชีวิตมากันอย่างพร้อมเพรียง ถังเยว่จึงหันไปถามผู้เป็นบิดา

"ตอนแรกมีแค่พ่อกับเจ้าเท่านั้นที่จะไป แต่เมื่อครู่รัชทายาทส่งคนมาแจ้งว่าให้ไปด้วยกันให้หมดทุกคน"

ถังเยว่เกิดลางสังหรณ์มิสู้ดี รู้สึกว่าเจ้าเด็กนั่นจะต้องมีความคิดแผลงๆ แถมต้องเกี่ยวข้องกับเขาอย่างแน่นอน

"น้องๆ อายุยังน้อย พาไปด้วยไม่เป็นไรหรือขอรับ?"

"ไม่เป็นไร เพราะอายุยังน้อยนี่ละจึงสมควรพาออกไปเปิดหูเปิดตานอกบ้านให้มากหน่อย ไว้อายุเท่าอาหย่าจึงจะต้องระวังบ้าง" ฮูหยินเฒ่าลูบหัวถังอวิ๋น เด็กน้อยเงยหน้าอย่างงุนงงไม่เข้าใจ กะพริบตาปริบๆ สองทีก่อนจะก้มหน้าเล่นตัวต่อภาพปริศนาทำจากไม้ที่ถังเยว่ทำให้

ปกติเวลาถังเยว่แกะสลักมักมีเศษไม้เหลือ ด้วยเหตุนี้จึงหาเวลาว่างนำมาทำตัวต่อภาพปริศนาขนาดเล็ก จากนั้นก็ใช้พู่กันวาดรูปภาพง่ายๆ แล้วมอบให้นางเอาไว้เล่น

ถังเยว่อุ้มนางขึ้นมา "อาอวิ๋นเด็กดี พี่จะพาเจ้าไปกินของอร่อย ไว้พวกเรากลับมาแล้วค่อยมาเล่นเจ้านี่กันดีไหม?"

ถังอวิ๋นวางของเล่นในมือลงอย่างว่าง่าย แล้วใช้สองแขนคล้องคอถังเยว่ "ท่านพี่ ที่บ้านรัชทายาทจะมีของอร่อยเหมือนอย่างที่ท่านพี่ทำหรือไม่?'

"มีสิ พ่อครัวที่บ้านรัชทายาทก็ทำขนมซงจื่อ[1]อร่อย อร่อยกว่าที่พี่ทำอีกนะ!" [1 ขนมซงจื่อ เป็นขนมทำจากเมล็ดสน ลักษณะคล้ายถั่วตัด มีรสสัมผัสกรุบกรอบ]

"โกหก! จะมีคนทำขนมอร่อยกว่าท่านพี่ได้อย่างไร" ถังอวิ๋นพูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่น

ถังเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกหัวใจพองโต หอมแก้มใสของเด็กหญิงตัวน้อยไปหลายที ผิวพรรณเนียนนุ่มให้ความรู้สึกน่าสัมผัสดีจริงๆ

"คำพูดนี้พี่ชอบฟัง ถือเป็นการให้รางวัล คราวหน้าพี่จะทำที่ติดผมสวยๆ ให้เจ้า"

นัยน์ตาดำขลับของถังอวิ๋นเป็นประกายวาววับ หอมแก้มถังเยว่ด้วยสีหน้าเขินอายไปหนึ่งที แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา "ขอบคุณท่านพี่"

"ฮ่าๆ ... อาอวิ๋นของเราน่ารักที่สุด!"


 

103 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

 

ตอนที่คนทั้งครอบครัวของถังเยว่มาถึง มีรถม้าจอดอยู่ด้านนอกเต็มไปหมดแล้ว ถนนทั้งสายล้วนถูกทหารปิดล้อมไว้ ดูเคร่งขรึม สง่างามน่ายำเกรงอย่างเห็นได้ชัด

เดิมทีเป็นจวนองค์ชายเจา บัดนี้เปลี่ยนเป็นจวนรัชทายาท มีกิเลนทองแดงตั้งมั่นรักษาอยู่หน้าประตูเพิ่มขึ้นสองตัว ใต้ชายคามีโคมแดงขนาดใหญ่แขวนห้อยไว้หนึ่งคู่

"ลี่หยางโหวมาถึงแล้ว ... " ยามที่ประตูใหญ่ตะโกนแจ้งเสียงดังชั่วขณะนั้น แววตาของผู้คนโดยรอบต่างหันมองมา

"ท่านนั้นคือคุณชายที่องค์รัชทายาทสู่ขอมาเป็นพระชายาเช่นนั้นหรือ?" มีคนชี้มาทางถังเยว่แล้วแอบกระซิบถาม

"ใช่ เขานั่นละ ได้ยินว่าเป็นหมอเทวดากลับชาติมาเกิด รักษาขาทั้งสองข้างของรัชทายาทจนหายเป็นปกติ"

"นี่ยังไม่ใช่แค่นั้น เขายังสามารถทำให้ซื่อจื่อแห่งเหิงกั๋วกงผอมลงได้ถึงห้าสิบชั่ง พวกเจ้ายังไม่เคยเห็น ตอนนี้ซื่อจื่อแห่งเหิงกั๋วกงดูหล่อเหลาขึ้นมาก"

พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา ทหารยามหน้าประตูใหญ่ตะโกนขึ้นว่า "เหิงกั๋วกงมาถึงแล้ว..."

ถังเยว่เป็นเป็นคนเพิ่งย้ายมาเข้ามาอยู่ภายหลัง ในเมืองเย่เฉิงมีผู้คนมากมายที่ไม่รู้จักเขา แต่ผิงซุ่นเป็นชาวเย่เฉิงแต่กำเนิด คนเหล่านี้ย่อมเคยพบเห็นเขามาบ้าง ฉะนั้นพอได้เห็นซื่อจื่อผอมลง ทุกคนไม่มีใครที่ไม่ตกตะลึงตาค้าง พึมพำซุบซิบกันอย่างไม่อยากจะเชื่อ

"นี่ใช่ซื่อจื่อแห่งเหิงกั๋วกงจริงเหรอ ... ไม่น่าจะใช่นะ ดูดวงตาคู่นั้นสิคมคร้ามหล่อเหลาขึ้นมาก"

"เป็นผลงานของคุณชายถังจริงหรือ? ทำได้อย่างไร เรื่องที่หมอหลวงหลายคนต่างทำไม่สำเร็จ..."

"เรื่องแค่นี้นับประสาอะไร เขาเป็นถึงหมอเทวดา รักษาได้กระทั่งขารัชทายาท เรื่องแค่นี้น่าประหลาดตรงไหน?"

ทันใดนั้นก็มีคนร้องไห้โฮออกมา "ท่านแม่ที่น่าสงสารของข้า ถ้าไม่ได้เสียชีวิตตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน ก็คงจะได้หมอเทวดาช่วยรักษาแล้วแท้ๆ"

ถังเยว่ตกใจสะดุ้งโหยง รีบหลบไปอยู่ด้านหลังลี่หยางโหวประหนึ่งสาวน้อยขี้อาย แววตาของคนพวกนี้ทิ่มแทงทะลุทะลวงยิ่งกว่าแสงเลเซอร์จ้องจนเขาจะพรุนอยู่รอมร่อ

มีคนรีบอุดปากคนผู้นั้นไว้แล้วลากตัวไปอีกด้าน พลางกระซิบตำหนิ "เจ้าเป็นบ้าหรืออย่างไร ไม่ดูเสียบ้างว่าที่นี่คือที่ไหน และวันนี้เป็นวันอะไร"

พอผิงซุ่นเห็นถังเยว่ก็รีบพุ่งเข้ามาหา เจ้าเด็กนี่แอบหนีกลับบ้านโดยไม่บอกให้รู้สักคำ ทำเอาตกใจนึกว่าหายตัวไป ยังดีที่มีองครักษ์เห็นเขาปีนออกไปจึงสะกดรอยตามจนรู้ว่าเข้าไปในจวนเหิงกั๋วกง ไม่เช่นนั้นถังเยว่คงต้องไปตระเวนตามหาเขารอบโลกเป็นแน่

"เจ้านี่นะ จะไปจะมาก็ไม่รู้จักร่ำลากันสักคำ" ถังเยว่ถลึงตาใส่ ก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยทักทายเหิงกั๋วกงที่อยู่ด้านหลังผิงซุ่น "คารวะท่านกั๋วกง"

"ฮ่าๆ หลานชาย อาดูเจ้าไม่ผิดจริงๆ เป็นเด็กหนุ่มอนาคตไกลโดยแท้" เหิงกั๋วกงกล่าวชมเชยสองประโยค ถังเยว่รู้สึกว่าคนที่ชอบชื่นชมแบบนี้จะว่าดีก็ดี แต่มักทำให้คนเหลิงได้ง่าย ดูผิงซุ่นเป็นตัวอย่างก็รู้แล้ว

ทันทีที่เข้าประตูมา ถังเยว่ก็ถูกเชิญไปยังเรือนด้านหลังเพียงลำพังด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องบอกลาครอบครัวท่ามกลางสายตาของฝูงชนที่จับจ้องมา ประหนึ่งว่ามีแสงสปอร์ตไลท์สาดฉายอยู่บนตัวเขา แล้วเดินตามคนรับใช้ที่มีนามว่าเคอไป

ถังเยว่เคยสงสัยว่าคนรับใช้ผู้นี้มีความสัมพันธ์กับหลี่เจา ตอนนี้คิดดูแล้วก็ยังค่อนข้างสงสัยอยู่

"เจ้าติดตามอยู่ข้างกายรัชทายาทมานานแค่ไหนแล้ว?" ถังเยว่เอ่ยถามด้วยท่าทางที่แสร้งคล้ายไม่ใส่ใจ

"บ่าวติดตามรับใช้ฝ่าบาทมาตั้งแต่อายุยังน้อย นี่ก็สิบกว่าปีแล้ว"

"เด็กขนาดนั้นทำอะไรได้"

"พระอัครมเหสีทรงเห็นว่าฝ่าบาทอยู่เพียงลำพังไม่มีเพื่อนเล่น จึงทรงคัดเลือกบ่าวไพร่ที่อายุไล่เลี่ยกันสองสามคนให้มาคอยติดตามเติบโตไปกับฝ่าบาท เพียงแต่คนที่ยังมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ได้ก็มีแค่บ่าวคนเดียวเท่านั้นขอรับ"

"เพราะอะไร? พวกเขาตายได้อย่างไร?" ถังเยว่ตื่นตะลึง ที่สำคัญเหตุใดเพื่อนเล่นขององค์ชายถึงต้องเลือกจากบ่าวไพร่ เหตุใดจึงมิใช่ลูกขุนนางหรือเสนาบดี ในยุคโบราณเช่นนี้นิยมที่จะมีพระสหายร่วมเรียนอะไรทำนองนั้นไม่ใช่หรือ?

เคอยิ้มอย่างจนใจ "สถานการณ์ในราชสำนักค่อนข้างซับซ้อน ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยภยันตราย มีบางคนโง่เขลาก็ถูกคนอื่นให้ร้าย มีบางคนก็รับเคราะห์แทนนาย"

ถังเยวไม่อาจจินตนาการสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยอันตรายเช่นนั้นได้ คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ในขณะที่ยังเป็นเด็กเล็กก็ไม่ละเว้น ทั้งยังไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าตั้งแต่เล็กจนโตหลี่เจามีชีวิตความเป็นอยู่เช่นไร บางทีเขาอาจเหนื่อยหน่ายกับเล่ห์เหลี่ยมกลโกงในราชสำนัก ถึงได้เลือกที่จะไปอยู่ไกลถึงชายแดนตั้งแต่อายุน้อยขนาดนั้นกระมัง?

พอมาคิดดูอีกที เด็กหนุ่มที่สามารถเติบโตมาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ทีละก้าว ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย

"ถึงแล้วขอรับ เชิญคุณชายเข้าไปด้านใน รัชทายาทกำลังรอท่านอยู่ในเรือน" เคอพาเขามาถึงหน้าประตูเรือนหลังหนึ่งแล้วแจ้งให้ทราบโดยไม่คิดจะก้าวเข้าไปด้วย

ถังเยว่เคยอยู่จวนแห่งนี้มาหนึ่งเดือน พอจะรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้างเขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้เรือนที่อยู่ตรงหน้าเขาหลังนี้ถูกปล่อยว่างไว้ ตอนนั้นรู้สึกเพียงเป็นเรือนที่มีทัศนียภาพงดงาม แต่กลับไม่เคยได้ย่างเท้าก้าวเข้ามาเลยสักครั้ง

เขาก้าวเข้าไปด้านใน ตามทางเดินปลูกต้นไม้เขียวขจีไว้เป็นหย่อมยังมีสวนดอกไม้ที่ถูกจัดตกแต่งไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตอนนี้ที่กำลังผลิดอกบานสะพรั่งก็มีเพียงดอกเบญจมาศ

เมื่อพิจารณาแล้วเห็นรูปแบบของเรือนหลังนี้แตกต่างจากเรือนหลังอื่นในจวนอย่างสิ้นเชิง ไม่รู้ว่ามีไว้ใช้ทำสิ่งใดกันแน่?

ประตูห้องไม่ได้ปิด ถังเยว่ยืนอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง ส่งเสียงกระแอมสองที แล้วเอ่ยถาม "รัชทายาท อยู่ด้านในหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?"

"เข้ามาสิ"

ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วันแต่ไม่รู้ทำไมพอได้ยินเสียง ถังเยว่ก็รู้สึกทั้งตื่นเต้น ดีใจ ระคนประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย เขาเดินเข้าไปด้วยอาการแข็งเกร็งแบบแขนขาไปพร้อมกัน พอเข้าประตูแล้วเลี้ยวก็เห็นหลี่เจานั่งอยู่หลังโต๊ะท่าทางเหมือนกำลังอ่านอะไรสักอย่าง

ถังเยว่จงใจลงน้ำหนักเท้ามากกว่าปกติในตอนที่ก้าวเข้าไป เป็นครู่ใหญ่ยังไม่ได้รับปฏิกิริยาตอบกลับจากอีกฝ่าย ในที่สุดจึงต้องเอ่ยถาม

"ฝ่าบาททรงเรียกกระหม่อมเข้ามา มีสิ่งใดจะรับสั่งหรือ?"

"มานี่" หลี่เจากวักมือเรียกเขา แล้วส่งของในมือให้

ถังเยว่รับหนังแพะผืนนั้นมา พบว่าบนนั้นเป็นภาพวาดแบบแปลนก่อสร้าง เพียงแต่ดูซับซ้อนกว่าภาพวาดในยุคปัจจุบันหลายเท่า หรือพูดได้ว่ามีรายละเอียดยิบย่อยมากกว่า

แบบแปลนก่อสร้างในยุคปัจจุบันส่วนมากเป็นเพียงลายเส้นกับตัวเลข แต่แบบแปลนก่อสร้างในยุคนี้ดูราวกับแบบจำลอง รายละเอียดทุกส่วนถูกวาดออกมาอย่างชัดเจน

"นี่คืออะไร?" ถังเยว่ดูแล้วรู้สึกงุนงง ไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย

"ไม่รู้สึกว่าคุ้นตาบ้างหรือ?"

ถังเยว่พยักหน้าก่อน จากนั้นก็ส่ายหน้า จริงอยู่ที่รู้สึกคุ้นตา แต่สิ่งปลูกสร้างในยุคนี้ดูก็เหมือนๆ กัน แทบหาความแตกต่างไม่พบ

"นี่คือร้านขายยาของเจ้า ข้าสั่งให้คนเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เจ้าสามารถเปิดกิจการได้ทุกเมื่อที่ปรารถนา"

"เอ๋?" ถังเยวได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ก็รีบดูแปลนภาพซ้ำอีกหลายรอบรู้สึกว่ามีบางจุดที่ยังไม่ถูกต้องตามที่ตกลงกันไว้นัก "ดูเหมือน ... มีขนาดใหญ่กว่าโฉนดที่ดินที่เคยดูก่อนหน้านี้หลายเท่า"

แม้ด้านในไม่ได้ระบุขนาดพื้นที่ของสิ่งปลูกสร้างนี้ไว้อย่างชัดเจนแต่ดูจากโครงสร้างของตัวเรือนย่อมไม่ใช่ร้านเล็กๆ ที่เรียบง่ายอย่างที่เคยตกลงกันไว้อย่างแน่นอน

"ข้าสั่งให้คนเอาเรือนด้านหลังและเรือนอีกสองหลังฝั่งซ้ายขวามารวมไว้ด้วยกัน ทำเช่นนี้ด้านหน้าสามารถใช้เป็นร้าน ด้านหลังสามารถทำเป็นที่พักอาศัย หากเจ้าเหนื่อยล้าก็มีที่ให้พักผ่อนได้"

'ใส่ใจเพียงนี้เชียว' ถังเยว่มองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ

"นี่ไม่เหมือนกับที่เราได้คุยกันไว้ก่อนหน้านี้"

หลี่เจาปรายตามอง "ก่อนหน้านี้ก็คือก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็คือตอนนี้เจ้าคิดว่าความสัมพันธ์ของข้ากับเจ้าในตอนนี้ยังต้องพูดเรื่องการแลกเปลี่ยนกันอย่างยุติธรรมอยู่อีกหรือ?"

ชั่วขณะนั้นถังเยว่เกิดความรู้สึกเหมือนมีเสี่ยมารับเลี้ยงไม่มีผิด

"เอ่อ ... นี่ ... ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด"

เขานึกถึงทองคำกล่องนั้นที่อีกฝ่ายมอบให้แก่โหวฮูหยินขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถาม "ฝ่าบาทประทานทองคำกล่องนั้นให้โหวฮูหยิน มีนัยพิเศษอันใดหรือไม่?"

"ข้าคิดว่านางขาดแคลนเงินทอง" หลี่เจาตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก "เห็นนางปฏิบัติต่อเจ้าอย่างละเลย ข้าจึงคิดว่านางขาดแคลนเงินทองที่จะใช้สอยอีกทั้งตรวจสอบไม่พบว่านางชื่นชอบข้าวของสิ่งใด จึงส่งทองคำไปให้ แล้วแต่นางจะเอาไปใช้สอย"

ถังเยว่อยากยกนิ้วโป้งให้ใจแทบขาด ทว่าทำได้เพียงถอนหายใจแล้วพูดชม "ของขวัญชิ้นนี้ฝ่าบาทประทานได้ถูกต้องเกินไปแล้ว"

"ทำไม? นางไม่ดีต่อเจ้าจริงหรือ?" หลี่เจาขมวดคิ้วเข้าหากัน ราวกับว่าเพียงถังเยว่พยักหน้าก็จะรีบรุดไปทวงคืนความยุติธรรมให้

"ก็ไม่ถึงกับว่าไม่ดีหรอก แต่เรื่องที่ว่าเห็นกระหม่อมแล้วขัดหูขัดตาย่อมเป็นเรื่องที่หลีกหนีไม่พ้น ใครใช้ให้กระหม่อมเป็นบุตรชายนอกสมรสกันล่ะ"

ถังเยว่คิดว่าหากวันข้างหน้าหลี่เจามีลูกกับหญิงอื่น ตนก็คงทำใจให้ชอบเด็กคนนั้นได้ไม่ลงเหมือนกัน

"บุตรชายคนโตเกิดแต่อนุภรรยาอาจจะชวนให้กระอักกระอ่วนไปบ้าง จ้าวซื่อมีชาติกำเนิดจากตระกูลบัณฑิต เรื่องการวางตัวนางยังถือว่าทำได้ไม่เลว แต่หากนางทำอะไรที่เป็นผลร้ายต่อเจ้าจริง ข้าจะไม่ละเว้นนางเป็นอันขาด!"

ถังเยว่ยื่นมือออกไปลูบแก้มอีกฝ่ายอย่างอดไม่ได้

"นึกไม่ถึงเลยว่าฝ่าบาทจะใส่พระทัยมากมายถึงเพียงนี้ กระหม่อมควรจะรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งใช่หรือไม่?"

หลี่เจากุมมือที่ลูบไล้สะเปะสะปะนั้นไว้ แล้วออกแรงฉุดตัวถังเยว่เข้ามาใกล้ ก่อนจะประทับจุมพิตลงบนริมฝีปากหยักคู่นั้น

ถังเยว่เพียงตะลึงเล็กน้อยก่อนจะเริ่มตอบสนองอีกฝ่าย นี่เป็นจูบครั้งที่สองของพวกเขา เมื่อเทียบกับครั้งแรก ลีลาหลี่เจาช่ำชองขึ้นไม่ใช่แค่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าไปหาใครมาฝึกปรือด้วยหรือไม่

เขาควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่ จมดิ่งสู่ห้วงแห่งจุมพิตอันแสนดูดดื่มลึกซึ้ง มือข้างหนึ่งค่อยๆ ไต่ไปยังท้ายทอยอีกฝ่าย เปลี่ยนมุมเปลี่ยนองศาไปหลายท่า

ริมฝีปากและลิ้นของทั้งคู่เกาะเกี่ยวพัวพันกันเนิ่นนาน เสียงกลองประโคมจากด้านนอกดังเข้ามาตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบได้ แต่ก็ไม่ได้ขัดจังหวะอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของพวกเขา

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ริมฝีปากของทั้งสองถึงผละออกจากกัน ถังเยว่พบว่าตัวเองรู้สึกหวามไหวมิหนำซ้ำยังเผลอไผลเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของหลี่เจาโดยไม่รู้ตัว

ส่วนสูงของพวกเขาใกล้เคียงกัน รูปร่างของถังเยว่ผอมบางกว่าเล็กน้อย ต่อให้อิงแอบเช่นนี้ก็ไม่รู้สึกกระดากใจอะไร

"ฝ่าบาทยังไม่ได้แปรงฟันละสิ" ถังเยว่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ

"ข้าไม่เคยแปรงฟัน" หลี่เจาตอบกลับมาประโยคหนึ่ง ทำเอาถังเยว่เกือบจุกคอตาย

เขาลืมไปได้อย่างไรว่าคนในยุคนี้ไม่แปรงฟัน เพียงแต่จะทำความสะอาดฟันตามระยะเวลาที่กำหนด วันธรรมดาก็ใช้น้ำเกลือบ้วนปากคาดไม่ถึงว่าจะไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่งนัก

"อะแฮ่ม ... กระหม่อมทำแปรงสีฟันที่มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้าให้เอาไหม?"

"เหมือนอย่างเจ้า ที่ตัดเอาขนหมูใส่เข้าไปในปาก ...? " หลี่เจาขมวดคิ้วแน่นจนปรากฏรอยย่น เห็นได้ชัดว่าไม่อาจยอมรับของสิ่งนี้ได้สักเท่าไร

"ของเหล่านั้นล้วนใช้น้ำเดือดต้มฆ่าเชื้อโรคเรียบร้อยแล้ว ไม่สกปรกสักหน่อย" แม้ถังเยว่จะคิดว่ากลิ่นขนหมูออกจะประหลาดไปสักนิด ยอมรับได้ยากไปสักหน่อย แต่นี่ก็เพราะไม่มีทางเลือก "ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมทำแปรงไม้ให้พระองค์ด้ามหนึ่งก็ได้ จะลองดูหรือไม่"

ถังเยว่คิดว่าเพื่อคุณภาพจูบที่ดีของพวกเขาในภายภาคหน้า จำเป็นต้องปลูกฝังให้หลี่เจาแปรงฟันทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืนจนเกิดเป็นความเคยชินให้จงได้

"ขอบใจ แต่อย่าเลย" หลี่เจาตอบกลับมาเพียงเท่านี้ เขาเชยคางถังเยว่ให้เชิดขึ้นเตรียมจะบรรเลงเพลงจูบต่อจากเมื่อครู่ ทว่าจู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูจากด้านนอกดังขึ้นขัดจังหวะ

"รัชทายาท แขกเหรื่อต่างมากันพร้อมแล้ว ได้ฤกษ์มงคลแล้วพ่ะย่ะค่ะ"

ถังเยว่หน้าแดงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ รีบผละออกจากอ้อมอกที่อิงแอบ จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง เหลือบตามองท้องฟ้า

"รีบออกไปกันเถอะ อย่าให้ผู้อื่นต้องรอนาน"

"ปล่อยให้พวกเขารอไปสิ หรือมีใครกล้าพูดอะไร"

ถังเยว่ส่งเสียง "เหอะๆ" ออกมา รู้ตัวว่าพูดจาไร้สาระออกมาเสียแล้วเดิมทีงานเลี้ยงวันนี้ก็ไม่ใช่งานที่จวนรัชทายาทตั้งใจจัดขึ้น แต่เป็นเพราะทุกคนที่ได้ยินข่าวต่างแห่กันมาเอง ผู้ที่ได้รับการเชื้อเชิญจากองค์รัชทายาทเกรงว่าจะมีเพียงครอบครัวจวนลี่หยางโหวเท่านั้น

หลี่เจานำภาพแปลนวางลงในมือเขา

"กลับไปดูให้ละเอียด หากมีตรงไหนที่ไม่พอใจก็บอกได้ วันเปิดกิจการเจ้าเลือกไว้แล้วหรือยัง?"

"ตอนนี้กำลังให้คนไปจัดซื้อสมุนไพรอยู่ อย่างไรเสียก็ต้องรอให้มีวัตถุปรุงยาพร้อมสรรพก่อนถึงจะสามารถเปิดกิจการได้ น่าจะประมาณอีกครึ่งเดือนกระมัง"

"ครึ่งเดือน ... " หลี่เจาพึมพำขณะไตร่ตรอง "เช่นนั้นก็กำหนดวันเปิดกิจการเป็นช่วงต้นเดือนหน้าเถิด"

"เพราะเหตุใด?" ถังเยว่ลองคำนวณเวลาแล้วเหลือแค่อีกยี่สิบวันนับว่ากระชั้นอยู่

"เพราะอีกไม่นานเจ้าก็จะไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องพวกนี้แล้ว"

ถังเยว่มองอีกฝ่ายด้วยอาการคล้ายพูดไม่ออก หลี่เจาจึงพูดต่อด้วยเสียงไม่เบาไม่ดัง "พิธีอภิเษกกำลังจะมีขึ้นในไม่ช้า เจ้าจะมีเวลามาทำเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร ต้องอยู่บ้านเตรียมตัวให้พร้อมออกเรือน"

"เตรียมออกเรือน?" ถังเยว่เลิกคิ้ว แล้วเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ "เหตุใดบุรุษต้องเตรียมตัวออกเรือนด้วย? นี่คงมิได้หมายความว่าจะให้กระหม่อมปักชุดแต่งงานเองหรอกกระมัง"

ขออภัย ต่อให้เขามีฝีมือเย็บผ้าดีเพียงใด แต่ไม่ถึงกับปักผ้าเก่ง

หลี่เจาหัวเราะขันเบาๆ หนึ่งที "ต่อให้เจ้าคิดจะทำ ข้าก็ไม่ปล่อยให้เจ้าปักชุดเองหรอก ข้าไม่ต้องการให้ชายาสวมชุดแต่งงานที่แสนจะขี้เหร่"

"ช้าก่อน เราคุยกันก่อน ชุดแต่งงานนี่ ... รูปแบบเป็นอย่างไร"

"แล้วเจ้าอยากใส่ชุดแต่งงานแบบไหนกันล่ะ" หลี่เจาจงใจแกล้งแหย่"จะให้ปักรูปหงส์หรือรูปดอกโบตั๋นดี?"

'โอ้ แม่เจ้า! ไม่เอาได้ไหม?'

"เหอะๆ เราไม่ควรไปเปลืองเวลากับสิ่งนั้นเลย ขอแบบธรรมดาเรียบง่ายก็พอ สวมชุดแดงก็ดูเป็นสตรีพอแล้ว ขืนปักลวดลายอะไรลงไปอีกจะกลายเป็นบุรุษก็ไม่ใช่ สตรีก็ไม่เชิงกันพอดี"

หลี่เจาพยักหน้า ชี้ปากตัวเองแล้วกล่าว "คำพูดนี้มีเหตุผล ถ้าชายายอมติดสินบน ข้าจะสั่งให้คนแก้แบบชุดแต่งงานให้"

ถังเยว่ถลึงตา ความรู้สึกถูกแทะโลมเช่นนี้คืออะไร? กล้ามีความคิดเจ้าเล่ห์แสนกลกับเขาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?

"ฝาบาทตรัสเองนะ" ถังเยว่บอกเสียงกร้าว แล้วถลันเข้าไปงับริมฝีปากอีกฝ่ายแรงๆ จนสัมผัสได้ถึงรสปะแล่มของคาวเลือดจึงยอมปล่อย

ขณะที่เขากำลังหัวเราะคิกคัก อีกฝ่ายก็กัดคืนโดยไม่เปิดโอกาสให้ทันได้ตั้งตัว มิหนำซ้ำยังจงใจเลือกตำแหน่งเดียวกับที่เขากัดลงไปเมื่อครู่ ตรงกับสุภาษิตที่ว่า 'ตาต่อตา ฟันต่อฟัน' แบบรู้เท่าทันกันอย่างแท้จริง

ถังเยว่คิดอย่างคนเพิ่งจะมารู้ตัวทีหลัง สภาพแบบนี้จะออกไปข้างนอกได้อย่างไร นี่มิเท่ากับประกาศให้ทุกคนได้รู้ว่าเขากับรัชทายาทแอบเล่นจูบกันในห้องอย่างนั้นหรือ?

หรือหากใครคิดมากกว่านั้นอีกสักหน่อย ไม่แน่อาจนึกว่าเมื่อครู่พวกเขาเพิ่งทำศึกหนักกันมา พฤติกรรมการมีความสัมพันธ์ก่อนเข้าพิธีอภิเษกแม้จะไม่ใช่เรื่องน่าละอาย แต่ก็เป็นเรื่องที่ผู้คนนิยมเอาไปซุบซิบนินทากันอย่างสนุกปาก

ถังยว่เลียริมฝีปาก คิดอย่างอ่อนแรงว่าถ้าแกล้งเป็นลมหรือใช้ข้ออ้างปวดปัสสาวะเพื่อเผ่นหนีไปในตอนนี้ยังจะทันอยู่หรือไม่?


 

104 สหายเสแสร้งเกินไปแล้ว!

 

รัชทายาทเจาในวันนี้แต่งกายด้วยชุดเซินอีสีดำ กุ๊นขอบด้วยผ้าไหมทอง รัดเอวด้วยสายคาดลายมังกร ศีรษะสวมหมวกหยกดูสูงสง่าหรูหรา น่าเคารพเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง

ถังเยว่ชำเลืองมองหลายรอบพลางคิดในใจ คาดว่าทุกคนคงไม่ทันสังเกตรอยแตกตรงมุมปากของรัชทายาท จะมีใครกล้าจ้องหน้ารัชทายาทตาเขม็งแบบตรงๆ กันบ้างล่ะ?

เขาเดินตามหลังหลี่เจาออกมาจากในเรือน แล้วจึงเอ่ยถาม "เหตุใดฝ่าบาทถึงมาประทับอยู่ในเรือนหลังนี้?"

ฝ่ายนั้นชะงักฝีเท้าหยุดเดิน หันกลับมาปรายตามองเขาอย่างมีนัยลึกซึ้ง "ที่นี่เป็นเรือนหอของข้า"

เรือนหอ? ถังเยว่นิ่งอึ้ง กะพริบตาปริบๆ สองที แล้วพิจารณาเรือนหลังนี้อย่างละเอียดใหม่อีกครั้ง แน่นอนว่าดูงามวิจิตรกว่าเรือนหลังเก่าของหลี่เจาหลายเท่า

"แค่กๆ ฝ่าบาทช่างใส่พระทัยยิ่งนัก"

"เจ้าชอบหรือไม่?"

หลี่เจาก็ไม่รู้ว่าเหตุใดตนถึงคิดอยากย้ายเรือนใหม่ เมื่อก่อนตอนถังเยว่มาพักที่จวนก็ไม่เคยแสดงอาการหรือความคิดเห็นว่าไม่ถูกใจสภาพแวดล้อมของที่นี่ เพียงแต่ในใจเขาอยากให้ถังเยวได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดียิ่งกว่า

เมื่อก่อนจวนหลังนี้ไม่มีทั้งนายผู้หญิงและนายผู้ชาย ตัวเขาเองก็อยู่ในสมรภูมิชายแดนเกือบตลอดทั้งปี จึงไม่ใส่ใจเรื่องสภาพแวดล้อมดอกไม้ใบหญ้าในเรือนนัก ขอเพียงใช้พักอาศัยได้ก็พอแล้ว

แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สถานที่ที่จะถูกเรียกว่า 'บ้าน' ย่อมต้องไม่ว่างเปล่าหยาบกระด้างเช่นนั้น

ถังเยว่ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า เรือนหลังนี้ราวกับเป็นอุทยานขนาดย่อม มีดอกไม้ใบหญ้า มีต้นไม้และสระน้ำ ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ย่อมทำให้จิตใจเบิกบาน ผ่อนคลาย

ทั้งสองมาปรากฏตัวในห้องรับรองแขกพร้อมกัน ก่อนเข้าประตูหลี่เจาจงใจชะลอฝีเท้า แล้วเดินเคียงบ่าเคียงไหล่เข้าไปด้านในพร้อมกับถังเยว่ การปฏิบัติเช่นนี้ ทั่วทั้งใต้หล้าเกรงว่าคงมีไม่เกินสิบคน

ในห้องรับรองแขกมีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด บรรยากาศที่เมื่อครู่ยังจ้อกแจ้กจอแจ พอองค์รัชทายาทเสด็จมาถึงก็พลันเงียบสงบลง

ทุกคนถวายบังคมอย่างพร้อมเพรียงกัน ถังเยว่จึงฉวยโอกาสกลับไปนั่งอยู่กับคนของจวนลี่หยางโหว น้องสาวต่างนั่งอยู่ด้านหลังโหวฮูหยินอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย พอเห็นถังเยว่กลับมาก็แอบหันมาขยิบตาให้เขา

ถังเยว่รู้สึกเก้อเขินไปชั่วขณะ เม้มริมฝีปากกลั้นขำ

"ใต้เท้าทุกท่านลุกขึ้นได้" เสียงติดแหบเล็กน้อยของรัชทายาทเจาดังขึ้น ถังเยว่จึงเบือนสายตากลับมา นั่งคุกเข่าตัวตรงอยู่ด้านหลังลี่หยางโหวอย่างสง่าผ่าเผย

เมื่อเทียบกับงานเลี้ยงเปิดจวนองค์ชายเจาคราวก่อน บรรยากาศครั้งนี้ดูผ่อนคลายและครื้นเครงกว่ามาก องค์ชายเสียนไม่ได้มาก่อกวน และไม่มีใครทำให้รัชทายาทต้องอึดอัดใจในวันมงคลเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องรู้สึกเกษมเปรมปรีดิ์มากกว่า

เมื่ออาหารและสุราถูกยกออกมาจากห้องเครื่องของจวนรัชทายาทก็สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ทุกคนอีกครั้ง นับตั้งแต่ถังเยว์ได้มอบตำรับอาหารไว้ให้ เหล่าพ่อครัวก็เก็บรักษาไว้ดุจสมบัติล้ำค่า ทั้งยังหมั่นนำออกมาศึกษาค้นคว้าว่าจะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้อย่างไรบ้างกันทั้งวัน

ถังเยวได้ชิมขนมชนิดหนึ่ง รสสัมผัสในปากให้ความรู้สึกคล้ายขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะ ด้านในเป็นไส้ผลไม้ รสชาติถือว่าไม่เลวเลยจริงๆน้องสาวของเขาต่างชื่นชอบไปตามๆ กัน

ด้วยโป๊ยกั้กจำนวนมากที่นำกลับมาจากเมืองฉินหยางเมื่อครั้งก่อนทำให้มีอาหารพะโล้หลายอย่างบนโต๊ะอาหารในวันนี้ แต่อาหารสำหรับงานเลี้ยงแขกระดับนี้ เครื่องในสัตว์กับส่วนเกินที่ไม่สวยงามย่อมเอามาขึ้นโต๊ะไม่ได้แน่ ไม่เช่นนั้นถังเยว่บอกได้เลยว่า ลิ้นกับคอเป็ดพะโล้นั้นรสชาติเยี่ยมยอดกว่านี้มาก

ได้อิ่มเอมกับอาหารเลิศรสหนึ่งมื้อ ทุกคนต่างไม่อยากกลับ เหิงกั๋วกงพูดล้อเล่นว่าจะส่งพ่อครัวมาศึกษาวิชาทำอาหารกับพ่อครัวของจวนรัชทายาท ทว่าเมื่อรัชทายาทเจาฟังแล้วกลับเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง "ข้าเห็นว่าซื่อจื่อมีพรสวรรค์มาก หากกั๋วกงตัดใจได้ สามารถให้เขาพักอยู่ในจวนสักระยะ คาดว่าน่าจะต้องศึกษาวิธีปรุงอาหารได้ดีแน่"

เหิงกั๋วกงตอนนี้แค่เอ่ยถึงบุตรก็ปลาบปลื้มจนเหลือจะกล่าวแล้ว แม้บุตรของเขาจะยังห่างไกลจากคำว่ายอดคนผู้เปี่ยมสามารถ แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังพาออกมานอกบ้านด้วยได้

มิหนำซ้ำการติดตามรัชทายาทไปปราบโจรครั้งนี้ ยังได้รับคำชื่นชมจากองค์จักรพรรดิ ทั้งยังปูนบำเหน็จแต่งตั้งตำแหน่งทหารเล็กๆ ให้ ทำให้เขาคุยโวเรื่องบุตรชายไปออกศึกปราบโจรเสียทั่วเมือง

นี่ช่างเหมาะสมกับคำพูดที่ว่า 'ความรักของพ่อไร้ที่สิ้นสุด!'

ส่วนเจิ้นกั๋วกงนั้นตรงกันข้าม พวกเขาดูไม่เหมือนบิดากับบุตรแท้ๆเลยสักนิด เจิ้นกั๋วกงยังคงปฏิบัติต่อจ้าวซานหลางเหมือนเดิม ต่อให้ฝ่ายนั้นได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งจากองค์จักรพรรดิ อย่างมากก็ทำให้เขาหัวเราะได้มากที่สุดแค่สองที ต่อจากนั้นยังตำหนิการกระทำอันเหลวไหลตลอดการเดินทางของจ้าวซานหลางอย่างเข้มงวด

จ้าวซานหลางเกือบตีกับพี่ชายร่วมบิดาของเขาเพราะเรื่องนี้มาแล้วเขาค่อนขอดอีกฝ่ายทั้งวี่ทั้งวันว่า "เจ้าขี้ฟ้อง ต้องเป็นเขาที่คาบข่าวไปฟ้องท่านพ่อแน่"

เมื่อบรรยากาศของจวนเจิ้นกั๋วกงตึงเครียดขึ้น โอกาสที่ถังเยว่ได้พบหน้าจ้าวซานหลางก็พลอยสูงขึ้นด้วย ส่วนเรื่องที่เคยคุยกันไว้ก่อนหน้านี้อย่างดิบดีว่าจะไปตรวจโรคให้เจิ้นกั๋วกงนั้นมีอันต้องเลื่อนไปก่อน ไม่ใช่ว่าจ้าวซานหลางไม่กตัญญู แต่เป็นเพราะเขาหาโอกาสที่จะอ้าปากพูดเรื่องนี้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง พอเขาอ้าปากจะพูดเรื่องตรวจโรค เจิ้นกั๋วกงก็ทำหน้าประหนึ่งถูกเหยียบเท้าข้างที่กำลังเจ็บ แล้วก่นด่าเขายกใหญ่ ถังเยว่เคยเจอคนไข้ที่เป็นตาแก่อารมณ์ร้ายแบบนี้มานักต่อนัก นอกจากหว่านล้อมอย่างใจเย็น ก็ไม่มีหนทางอื่นแล้วจริงๆ

หลังงานเลี้ยงเลิก จ้าวซานหลางทำท่าทางลับๆ ล่อๆ ลากถังเยวไปอีกด้าน แล้วพูดด้วยสีหน้าพิศวง "ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เจ้าปิดบังข้าจริงๆด้วย"

ถังเยว่งุนงงไม่เข้าใจ เม้มปากมองอีกฝ่าย สงสัยว่าเจ้าเด็กนี่สมองกลับหรืออย่างไร ทำไมถึงได้ทำพฤติกรรมลึกลับแปลกประหลาดเช่นนี้

"เจ้าอย่าปิดบังอีกเลย ข้าได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว เจ้าเริ่มสนิทกับองค์รัชทายาทตั้งแต่ตอนที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้ เกรงว่าคงตกหลุมรักพระองค์ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วสิท่า"

'ให้ตายสิ! ข่าวลือนี้มาได้อย่างไร?' ถังเยว่ส่ายหน้าไม่ยอมรับ "ฟ้าดินเป็นพยานได้ ไม่มีเรื่องเช่นนั้นเป็นอันขาด เจ้าไปได้ยินมาจากไหน?"

สีหน้าจ้าวซานหลางเต็มไปด้วยความเหยียดหยามระคนผิดหวัง

"ตอนแรกข้านึกว่าความสัมพันธ์ของพวกเราแน่นแฟ้นดุจพี่น้องไม่นึกเลยว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้เจ้ากลับปิดบังข้า เจ้าทำให้ข้าผิดหวังมากจริงๆ" นิ้วของเขาชี้ที่ริมฝีปากถังเยว่ตรงจุดที่มีแผล แล้วส่ายหน้าทอดถอนใจ "ร้อนแรงขนาดนี้แล้วยังจะกล้าโป้ปดอยู่อีก คุณชายถังนะคุณชายถัง ข้าไม่รู้จะว่าเจ้ายังไงดีเลยจริงๆ"

ถังเยว่หน่ายใจเหลือแสน ปัดมืออีกฝ่ายทิ้ง "ไม่มีเรื่องอื่นแล้วใช่ไหม? งั้นข้าไปก่อนละ"

จ้าวซานหลางไหนเลยจะยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ ดึงแขนเสื้อเขาแล้วกล่าว "คุณชายถัง ดูเจ้าสิอีกไม่นานก็จะต้องแต่งออกแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้มิสู้ให้ข้าไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่จวนโหว เพื่อใช้เวลาในช่วงสุดท้ายของสหายสนิทอย่างพวกเราด้วยกันไม่ดีหรือ?

"เจ้าอยากมาอยู่บ้านข้า?" ถังเยว่ไม่ได้เห็นด้วยทันที เขาจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาตรวจสอบแบบเจาะลึก

"ไม่ได้งั้นหรือ?"

"ไม่ใช่ว่าไม่ได้ เพียงแต่เหตุใดเจ้าถึงอยากมาอยู่จวนโหว" เห็นจ้าวซานหลางอ้าปากทำท่าจะพูด ถังเยว่ก็รีบดักคอเขาด้วยคำพูดประโยคหนึ่ง "ไม่ต้องพูดนะว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนข้า"

จ้าวซานหลางไม่โง่ ในเมื่อเหตุผลนั้นใช้ไม่ได้เขาจึงเลือกใช้ผิงซุ่นเป็นข้ออ้างบังหน้าแทน "ช่วงนี้เจ้าคงยุ่งมาก ได้ข่าวว่าผิงซุ่นรู้สึกอ้างว้างจนถึงกับทนไม่ไหว ต้องหนีกลับบ้านไปไม่ใช่หรือ? ข้าว่าเขาดูน่าสงสารมาก ดังนั้นจึงคิดว่าน่าจะไปอยู่เป็นเพื่อนเขา"

"ก็ได้ เจ้าชนะแล้ว" ถังเยว่คร้านจะสืบหาความจริงว่าเหตุใดเจ้าหมอนี่จึงคิดหนีออกจากบ้าน ต่อให้เขากระทำความผิดอาญาอะไรเอาไว้ก็คงไม่ถือว่าตนปกป้องคนผิดหรอกกระมัง แล้วก็เป็นความจริงเช่นที่อีกฝ่ายพูดต่อจากนี้เขาก็ยุ่งมากจริงๆ และไม่อยากให้ผิงซุ่นกลับไปเอาแต่หมกตัวอยู่ในจวนเหิงกั๋วกง ให้เขากลับมาและมีคนอยู่เป็นเพื่อนก็น่าจะดี

"งั้นข้าจะสั่งให้คนไปย้ายสัมภาระออกมานะ!" จ้าวซานหลางพูดด้วยความตื่นเต้นยินดี

ถังเยว่กลัวนิสัยคุณชายของอีกฝ่ายจะกำเริบ จึงกำชับหลายรอบ

"ข้าวของที่ต้องใช้จวนโหวมีครบครัน เจ้าแค่เอาเสื้อผ้ามาสองสามชุดก็พอ ห้ามขนของมาราวกับจะย้ายมาทั้งบ้านเป็นอันขาด"

จ้าวซานหลางส่งเสียงฟืดฟัดสองสามที ก่อนฝืนจำยอมตกลงตอนกลับยังได้ยินเสียงเขาบ่นลับหลัง "ข้านี่คบสหายไม่ระวังเลยจริงๆ!"

ถังเยว่ได้ยินแล้วแทบอยากจะยกเท้าถีบให้สักโครม หากจะกล่าวว่าคบสหายไม่ระวัง น่าจะเป็นตัวเขาเสียมากกว่า จ้าวซานหลางหนึ่ง ซื่อจื่อแห่งเหิงกั๋วกงหนึ่ง คนหนึ่งบ้าอีกคนหนึ่งโง่ ดูสิว่าเขาคบค้าสมาคมกับคนประเภทไหนกัน!

"คุยกับใคร?" หลี่เจาเดินออกมาจากความมืด ทันเห็นเพียงแผ่นหลังของจ้าวซานหลางที่เดินจากไปไกลแล้ว

ถังเยวไม่ปิดบัง "ซานหลาง เขาบอกว่าอยากจะย้ายไปอยู่ที่จวนโหวสักระยะ"

หลี่เจาเลิกคิ้วขึ้น ไม่ได้แสดงอาการต่อต้านคัดค้าน เพียงแต่หลังจากถังเยว่กลับไปได้สองสามวันจึงได้รู้ว่าคนที่คุยกันไว้เสียดิบดีว่าจะมาอยู่ด้วยแต่จนแล้วจนรอดยังไม่มาสักทีนั้น เมื่อส่งคนไปสอบถามถึงได้รู้ว่าที่แท้จ้าวซานหลางถูกคนในฝ่ายทหารเรียกตัวให้ไปจัดการเรื่องเสบียงกองทัพต่อแม้แต่ซื่อจื่อแห่งเหิงกั๋วกงก็ถูกเรียกตัวเข้ากรมทหาร เพื่อให้เขาไปเป็นนายกองระดับล่างพร้อมกันด้วย

แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้เพิ่งเกิดขึ้นภายหลัง

"ฝ่าบาท ขออนุญาตทูลถามเรื่องคดีของจางฉุน สรุปว่าเป็นอย่างไรบ้าง?" ในที่สุดตอนนี้ถังเยว่ก็นึกถึงเพื่อนร่วมบ้านเกิดของตนขึ้นได้เสียที

"จางฉุนคือผู้ใด?"

แย่แล้ว! ถังเยว่นิ่งอึ้ง เผลอปากไวไปหน่อย ดันหลุดปากเรียกชื่อจางฉุนออกไปได้

เดี๋ยวก่อน ว่าแต่เจ้าเด็กนั่นอยู่ที่นี่มีชื่อว่าอะไรนะ? ดูจากสถานการณ์ของเขา คนที่ชื่อแซ่เดียวกันมีความเป็นไปได้น้อยมาก

เขาขบคิดใช้ไหวพริบ แล้วพูดสีหน้าใสซื่อว่า "หรือกระหม่อมจำชื่อผิด ก็เจ้าเมืองน้อยแห่งฉินหยางผู้นั้น ก่อนหน้านี้กระหม่อมช่วยตรวจโรคให้เขา วินิจฉัยว่าเป็นโรคทางใจและยังไม่หายเป็นปกติ"

คิ้วหลี่เจาขยับไหวเล็กน้อย แต่ก็มิได้เปิดโปงคำโป้ปดของเขา

"หวงฝู่ฉุนอายุยังน้อยไม่รู้ความ แม้จะกล่าวว่าปกครองไม่รอบคอบแต่ก็มีเหตุผลสมควรแก่การให้อภัย เรื่องนี้เสด็จพ่อได้ตัดสินชี้ขาดแล้ว คงจะประกาศในวันพรุ่งนี้"

"แล้วตัวเขาล่ะ ...? "

"เขาป่วยหนักมากงั้นหรือ?"

"ก็ไม่เชิง ... เพียงแต่ไม่ได้ตรวจดูอาการมาหลายวัน อาจทำให้อาการเขาทรุดหนักได้ ฝ่าบาทก็ทรงทราบ ผู้ป่วยที่มีภาวะทางจิตเช่นเขา นึกจะกำเริบก็กำเริบ" ถังเยว่อธิบายแล้วเงยหน้ามองฟ้า ไม่กล้าสบตากับอีกฝ่ายตรงๆ

"เจ้าตามข้ามา" หลี่เจาหมุนตัวเดินไปอีกทางหนึ่ง ส่งสัญญาณให้เขาเดินตามไปด้วย

ถังเยว่ลูบหัวใจตัวเองเพื่อปลอบขวัญ "ทำให้นายต้องลำบากแล้วโกหกต่อหน้านายท่านผู้นี้ทีไร รู้สึกใจสั่นรัวเหมือนวัวสันหลังหวะเสียทุกที"

เดินอ้อมไปมากว่าครึ่งตำหนัก จึงมาถึงเรือนเปลี่ยวลับตาคนหลังหนึ่ง รอบด้านล้วนเต็มไปด้วยเหล่าทหารถือดาบใหญ่ทวนยาวล้อมเรือนไว้อย่างแน่นหนา ประดุจกรงขังหลังใหญ่

และในความเป็นจริง ที่นี่ก็เป็นเรือนจำจริงๆ นั่นละ ทันทีที่ถังเยว่เดินเข้าไปก็พบว่าบรรยากาศไม่ปกติ ในเรือนมีเพียงแสงไฟริบหรี่ ห้องที่อยู่ทั้งสี่ด้านมืดสลัว มีเสียงคนส่งเสียงคำรามเป็นระยะ

"ปล่อยข้าออกไป ... ปล่อยข้าออกไปเดี๋ยวนี้ ...! "

ถังเยว่ได้ยินแล้วพลันหนาวสะท้านขึ้นมาทันที "คือว่า ... หวงฝู่ฉุนถูกขังไว้ที่นี่หรือ?"

'เด็กน้อยผู้น่าสงสาร นับแต่มาอยู่ในโลกนี้คงยังไม่เคยมีช่วงเวลาที่เป็นสุขเลยกระมัง'

"ไม่ถึงกับถูกขัง เพียงแค่กักบริเวณ นอกจากไม่สามารถออกไป

นอกได้อย่างอิสระแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นสุขดี"

ดวงตาถังเยว่ค่อยๆ ปรับให้ชินกับความสว่างระดับนี้จนเริ่มเห็นชัดขึ้น เขามองไปรอบๆ พบว่าเป็นเรือนที่เงียบสงบหลังหนึ่ง รูปแบบก็เหมือนกับเรือนที่หลี่เจาเคยพักอาศัยก่อนหน้า

ที่นี่ย่อมสบายกว่าคุกเป็นร้อยเท่า อีกอย่างเสียงคำรามที่เปี่ยมไปด้วยพลังของคนผู้นั้นก่อนหน้านี้ ฟังแล้วรู้ได้ทันทีว่าต้องไม่ประสบปัญหาเรื่องอดอยากหิวโหยแน่

รัชทายาทเจาหันไปส่งสายตาให้องครักษ์ที่อยู่ข้างๆ ฝ่ายนั้นรีบหยิบลูกกุญแจออกมาไขประตูห้องปีกตะวันตก ถังเยว่เดินตามไป ยืนร้องเรียกเสียงไม่ดังนักอยู่ตรงประตู

"หวงฝู่ฉุนอยู่หรือเปล่า?"

ในห้องเงียบสงัดไม่ได้ยินเสียงใดทั้งสิ้น ถังเยว่นึกว่าฝ่ายตรงข้ามหลับอยู่ จึงสั่งให้คนจุดตะเกียงเดินเข้าไป

หลี่เจาจับมือเขาไว้ เดินตามมาด้านหลัง ทั้งสองเพิ่งจะก้าวเข้ามาในห้อง ก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านหน้า จากนั้นก็เห็นองครักษ์ผู้นั้นล้มคะมำตะเกียงน้ำมันพลิกคว่ำลงบนพื้น หลี่เจาฉุดมือถังเยว่ ดึงตัวเขาให้ไปแอบอยู่ด้านหลัง พร้อมกับชักกระบี่ออกจากฝัก ชี้ไปยังใต้โต๊ะก่อนจะเอ่ยสั่งเสียงเข้ม

"ออกมา!"

ในห้องยังคงเงียบสงัดไม่มีเสียงใดสักนิด ถังเยว่โผล่ศีรษะออกมาจากด้านหลัง แล้วบอกเสียงไม่ดังนัก "หวงฝู่ฉุน ข้าเอง ถังเยว่"

จากนั้นก็มีเสียงขาโต๊ะครูดกับพื้น ร่างของหนุ่มน้อยที่ยังไม่โตเต็มวัยคนหนึ่งคลานออกมาจากใต้โต๊ะอย่างรวดเร็ว โผเข้ามากอดแล้วตะโกนเสียงดัง "พี่ชาย ในที่สุดท่านก็มาช่วยข้าแล้ว ถ้าหากท่านยังไม่มาอีกละก็ ข้าคงต้องตายแน่ๆ ... "

ถังเยว่เห็นสองมือสองเท้าของเขาเกาะหลี่เจาติดหนึบ พลันเจ็บจี๊ดที่ลูกตา จึงปราดเข้าไปลากตัวอีกฝ่ายออกมาโดยเร็ว "อย่าเห็นใครก็เที่ยวเรียกว่าพี่ชายไปทั่ว ไม่เบิกตากว้างๆ ดูให้ดีเสียก่อนว่าตรงหน้าเจ้าเป็นใครกันแน่!"

คนที่จะเรียกองค์รัชทายาทว่าพี่ชายได้ล้วนต้องเป็นลูกหลานมังกรทั้งสิ้น เจ้าเด็กน้อยช่างรู้จักปิดทองบนหน้าตัวเองเสียจริง[1] [1 พูดเอาความดีความชอบเข้าตัว]

เสียงร้องไห้ของจางฉุนหยุดชะงักลง จนกระทั่งเห็นชัดแล้วว่าคนที่ตนกอดอยู่เป็นใคร ก็ตกใจจนรีบปล่อยมือแทบไม่ทัน เสียหลักหกล้มก้นจ้ำเบ้า

"นี่ไม่ใช่ ... นี่ไม่ใช่ ... "

"อะแฮม นี้คือองค์รัชทายาทแห่งหนานจิ้น ก่อนหน้านี้เจ้าก็เคยพบแล้วมิใช่หรือ?" ถังเยว่เตือนสติ

"อ่า ... รัช ... รัชทายาท ... " ให้ตายสิ มีฐานะสูงส่งถึงเพียงนี้ ถ้าเกิดเสียขวัญไปจะทำอย่างไร?

จางฉุนตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้น คลี่ยิ้มด้วยใบหน้าเอียงอายก่อนจะเอ่ยทักทายรัชทายาท "ฝ่าบาท เมื่อไรจะทรงปล่อยกระหม่อมออกไปถูกขังอยู่ในห้องนี้ กระหม่อมจวนจะเป็นบ้าอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ"

หลี่เจาแค่นยิ้มเย็นชา "อย่างนั้นรึ ข้าเห็นเจ้าก็สบายดีนี่ ยังสามารถตีองครักษ์ข้าจนสลบได้อยู่เลย"

ถังเยว่เบนสายตาไปมองชายฉกรรจ์ที่นอนอยู่บนพื้น ในใจอดนึกชมจางฉุนไม่ได้ เมื่อก่อนเจ้าเด็กนี่โตมายังไงกันแน่ คาดไม่ถึงว่าตัวเล็กแค่นี้แต่สามารถตีชายร่างกำยำให้สลบเหมือดคาที่ได้

หรือว่าพวกนักแสดงตัวประกอบต้องมีศิลปะป้องกันตัวที่เหนือชั้นอย่างนั้นหรือ?

จางฉุนเกาหัวแกรกอย่างเก้อกระดาก "ฝ่าบาทโปรดฟังกระหม่อมอธิบายก่อน ที่เรือนหลังนี้พอตกกลางคืนจะเต็มไปด้วยเสียงผีร้องไห้คร่ำครวญหมาป่าเห่าหอนสารพัด กระหม่อมอายุยังน้อยจิตใจอ่อนแอบอบบาง ถูกทำให้ตกใจก็นอนไม่หลับไปทั้งคืน จิตประสาทเตลิดเปิดเปิงอย่างเลี่ยงไม่ได้เมื่อครู่เลยเกิดการพลั้งมือไปเล็กน้อย แต่ก็มีเหตุผลสมควรแก่การให้อภัยได้ไม่ใช่หรือ?" เขาขยิบหูขยิบตาให้ถังเยว่พลางเอ่ยถาม "พี่ถัง ท่านเป็นหมอไหนบอกสิว่าใช่หรือไม่?"

ถังเยว่ไตร่ตรองอย่างจริงจัง พูดด้วยศัพท์เฉพาะอย่างมืออาชีพ "เป็นเรื่องจริงที่ผู้ป่วยบางคนมีสภาพเช่นนี้ จิตใจอ่อนแอ ประสาทตึงเครียด ไม่ว่าเหตุการณ์เล็กน้อยอย่างลมพัดหญ้ากระดิก ล้วนสามารถกระตุ้นจิตใจที่เปราะบางของพวกเขาได้ทั้งสิ้น เป็นเพราะการหลั่งสารในร่างกายขาดความสมดุล ทำให้เกิดพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่เหมาะสมออกมาได้"

"ใช่ๆ กระหม่อมมีสภาพเป็นเช่นนั้นนั่นละ ... โอ๊ยๆๆ กระหม่อมรู้สึกว่าสมองมึนงง สับสนว้าวุ่นไปหมดแล้ว ... "

ถังเยว่ถลึงตาใส่เด็กน้อย บุ้ยใบ้ปรามว่าอย่าเสแสร้งมากเกินไปไม่ดูบ้างเลยว่าที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นใคร!

หลี่เจานิ่งเงียบอยู่นานจึงเอ่ยปาก "ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เปลี่ยนสถานที่จำคุกเจ้าเมืองก่อน"


 

105 ขี้งกจริงเชียว! แม้แต่จูบราตรีสวัสดิ์ก็ยังไม่มี

 

แค่ได้ยินว่าจะถูกขังต่อ จางฉุนก็หน้าซีดเผือด อาศัยอยู่ในห้องเล็กๆเช่นนี้ แม้จะไม่เป็นทุกข์เรื่องกิน เรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ แต่ลำพังความน่าเบื่อไม่มีอะไรทำก็สามารถทรมานคนให้ตายได้เช่นกัน

เขาทรุดฮวบคุกเข่าเบื้องหน้ารัชทายาทเจา ร้องไห้ร่ำไรรำพัน "ฝ่าบาทโปรดเมตตา กระหม่อมไร้พ่อขาดแม่มาตั้งแต่เด็ก ไม่มีคนอบรมสั่งสอน แม้แต่ตัวอักษรก็ยังอ่านไม่ออก ไหนเลยจะมีความสามารถเป็นเจ้าเมืองได้ มิหนำซ้ำยังมีคนละโมบคิดแผนการร้ายสารพัด จ้องจะเล่นงานเลื่อยขาเก้าอี้ แต่ละคนล้วนเขี้ยวลากดินทั้งสิ้น กระหม่อมหาใช่คู่ปรับของพวกเขาไม่"

ถังเยว่เอามือปิดตา คิดในใจว่า 'นักแสดงช่างต่างจากคนทั่วไปจริงๆบทพูดท่องออกมาได้เป็นฉากๆ'

"รัชทายาทโปรดทรงเข้าพระทัยในความยากลำบากของกระหม่อมด้วยเถิด ดังที่กล่าวว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ดูจากลักษณะและรัศมีที่แผ่ซ่านจากทั่วกายฝ่าบาทแล้ว จะต้องเป็นมังกรกลับชาติมาเกิด ต้องเป็นจักรพรรดิผู้ทรงปรีชาได้แน่ ขอเวลากระหม่อมสิบปี ไม่สิ! ห้าปี กระหม่อมจะมุมานะบากบั่นตั้งใจศึกษาเล่าเรียน พัฒนาตัวเอง เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการทำคุณประโยชน์แก่ราษฎรและบ้านเมืองอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ"

"พูดจบหรือยัง?" หลี่เจาถามเสียงเรียบประโยคหนึ่ง

จางฉุนเลียริมฝีปากที่แห้งผาก พลางส่ายหน้า "ฝ่าบาทฟังกระหม่อมพูดอีกสักประโยค แค่ประโยคเดียว ... ระบบการรับช่วงต่อตำแหน่งเจ้าเมืองเช่นนี้จำเป็นต้องปรับแก้ จะให้เด็กอมมือคนหนึ่งเป็นเจ้าเมือง เช่นนี้ไม่เท่ากับไล่เป็ดให้ขึ้นคอนบังคับฝืนใจให้ทำในสิ่งที่เกินความสามารถหรอกหรือ ทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้คนร้ายมีช่องทางกระทำความผิดอีกด้วย"

ไม่ว่ารัชทายาทเจาจะเข้าใจคำพูดที่ไม่ปกตินี้มากน้อยเพียงใดถึงอย่างไรจางฉุนก็กล่าวคำพูดเหล่านี้จบแล้วด้วยท่าทางหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก[1] ดึงดันที่จะอยู่ข้างกายถังเยวไม่ยอมขยับ [1 หมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงความหน้าด้านหรือไม่หวั่นเกรงเพราะไม่มีอะไรจะเสียแล้ว]

ความคิดของจางฉุนในตอนนี้คือ โชคดีที่เขาดูออก สหายผู้นี้น่าจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ในฐานะที่ไม่เลวเลย เมื่อครู่แม้แต่รัชทายาทผู้องอาจยังปกป้องเขาไว้ด้านหลัง มีคนเช่นนี้เป็นสหาย เขายังจะต้องกังวลอะไรอีก

"ก่อนจะมีการพิพากษา เจ้าพูดอะไรไปก็ไร้ประโยชน์ เรื่องนี้มีแต่องค์จักรพรรดิที่มีอำนาจตัดสิน" หลี่เจาดึงถังเยว่มายืนข้างกาย พอดีกับองครักษ์ที่ถูกตีจนสลบฟื้นขึ้นมา จึงคุมตัวจางฉุนเตรียมจากไป

จางฉุนก้าวเท้าละล้าละลัง จึงถูกองครักษ์ผู้นั้นหิ้วห้อยต่องแต่งออกไป

"ปล่อยให้ข้าเดินเองได้ไหม?" จางฉุนเรียกร้องเสียงอ่อย

องครักษ์หัวเราะเสียงต่ำ "ท่านเจ้าเมืองหวงฝู่อายุยังน้อย ร่างกายอ่อนแอ ขาสั้นเดินช้า ให้ข้าน้อยพาไปนี่ละเหมาะสมที่สุดแล้ว"

'พับผ่าสิ! แม้แต่องครักษ์ก็ยังร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ ทั้งองครักษ์ทั้งเจ้านายร้ายกาจทัดเทียมกันเลยจริงๆ'

ภายหลัง จางฉุนถึงเพิ่งรู้ว่าตนกระทำในสิ่งที่โง่เขลาเบาปัญญาลงไปตีใครสลบไม่ตี ดันไปตีเอาคนเจ้าคิดเจ้าแค้น มิหนำซ้ำยังเป็นคนที่ทั้งฐานะและตำแหน่งไม่ด้อยไปกว่าเขาอีกด้วย

"สหาย เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ? พวกเราหากไม่ตีกันก็จะไม่รู้จัก นี่ถือเป็นวาสนานะ" จางฉุนพยายามตีสนิทขณะที่ถังเยว่ซึ่งหันไปมองพวกเขากำลังกระซิบถามหลี่เจาเบาๆ "องครักษ์ผู้นี้เป็นใคร เหตุใดถึงรู้สึกคุ้นหน้ายิ่งนัก"

หลี่เจาตอบด้วยดวงตาสงบนิ่งมั่นคง "เขาก็คือบุตรเจ้าเมืองอวี้ซินอย่างไรล่ะ"

ถังเยว่ตกตะลึงนิ่งอึ้ง ยืนสงบนิ่งไว้อาลัยให้จางฉุนหลายนาทีเจ้าเด็กนี่ดวงไม่ดีเอาเสียจริงๆ หรือดวงจะไม่สมพงษ์กับโลกในภพนี้กันนะเขาตะโกนบอกจางฉุนด้วยความเห็นใจ "เจ้าเมืองหวงฝู่ ทำตัวดีๆ อย่าก่อเรื่องล่ะ ระวังโรคเก่าจะกำเริบ"

หากถูกจดลงบัญชีแค้นขึ้นมา ต่อให้เจ้าเป็นโรคประสาทหรือป่วยทางใจ ก็คงถูกเอาคืนจนอนาถเกินเยียวยาแน่!

"คืนนี้เจ้าค้างที่จวนข้าก่อนดีหรือไม่?" หลี่เจาหยุดเดินหันมาเชื้อเชิญ

ถังเยว่ตัดสินใจส่ายหน้าปฏิเสธรัวเร็วทันที "ที่บ้านมีภารกิจที่ต้องไปจัดการมากมาย กระหม่อมไม่รบกวนฝ่าบาทแล้ว"

เรื่องนอนค้างอ้างแรมบ้านว่าที่สามีเช่นนี้ ควรระมัดระวังไว้เป็นดีที่สุด

ไม่ใช่กลัวว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรเขา แต่เกรงว่าตนเองนี่ละที่จะหักห้ามใจไม่ไหว แล้วเป็นฝ่ายเข้าหาเสียมากกว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นคงขายหน้าแย่

 

ออกมาจากจวนรัชทายาท ด้านหลังถังเยว่มีผู้ติดตามเพิ่มมาหนึ่งคนบนศีรษะคลุมผ้าโพกไว้ราวกับนักโทษหลบหนีอาญา

"ต้องทำถึงขนาดนี้เชียวเหรอ?" ถังเยว่เห็นแล้วอึ้งจนแทบพูดไม่ออก

"คุณไม่เข้าใจหรอก นี่เรียกว่าป้องกันการถูกสงสัย ถึงแม้คุณจะมีรัชทายาทคอยหนุนหลัง แต่พวกเราไม่ควรใช้ความสัมพันธ์นี้เกินขอบเขตถ้าเกิดมีใครรู้ว่าคุณให้ที่หลบซ่อนตัวแก่คนร้าย ต่อไปวันหน้าจะทำยังไง"จางฉุนอธิบายพลางคิดในใจว่าตนมีจิตห่วงใยทั้งสองฝ่าย ช่างเป็นคนดีมีศีลธรรมเสียจริง

กระทั่งหลังจากพวกเขาเดินออกมาด้านนอก เห็นบ่าวไพร่ในจวนต่างคำนับทำความเคารพถังเยว่และทำเหมือนมองไม่เห็นเขา จวบจนขึ้นรถม้าแล้วก็ไม่มีใครปรายตามองเขาเลยสักนิด จึงเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองทำเกินความจำเป็น

"หรือว่าพวกเขาตาบอดกันหมด?" จางฉุนบ่นพึมพำ

ถังเยว่ตอบเป็นคำถามกลับมาประโยคหนึ่ง "นายคิดว่าในเมืองเย่เฉิงจะมีใครจำนายได้บ้าง?"

ก็จริง หลังจากเข้าเมืองมาแล้วเขาก็ไม่ได้ถูกลากไปประจานทั่วเมืองจึงย่อมไม่เป็นที่รู้จักในเมืองนี้ ขุนนางราชสำนักก็แทบไม่เคยเห็น ย่อมไม่มีคนสนใจเด็กน้อยอายุสิบขวบอย่างเขา

"ก็น่าจะบอกให้เร็วกว่านี้ ปล่อยให้ผมเป็นกังวลอยู่ได้ตั้งนาน"จางฉุนแกะผ้าโพกศีรษะที่พันไว้หลายทบออกไปพร้อมกับชมทัศนียภาพนอกรถม้า "จะว่าไป ที่บ้านคุณทำอะไรกันแน่ แค่หมอทหารคนหนึ่งจะมาใกล้ชิดรัชทายาทได้ยังไง คนทั้งจวนรัชทายาทยังให้ความเคารพนบนอบคุณขนาดนั้น"

แน่นอนว่าถังเยว่ไม่มีทางบอกว่านั่นคือบ้านว่าที่สามีในอนาคตของตน เขาเบือนหน้าพูดเฉไฉ

"ไว้วันหน้านายก็รู้เอง"

จางฉุนเองก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ไม่ว่าถังเยว่จะมีฐานะอะไรก็ไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา เวลานี้เขาเหมือนคนที่จมน้ำ จู่ๆ คว้าเชือกช่วยชีวิตไว้ได้เส้นหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ยอมปล่อยมือแน่ เขาสับสนงุนงงกับโลกใบนี้ ความหวังน้อยนิดเพียงหนึ่งเดียวก็คือถังเยว่ ต่อให้ต้องเป็นขอทานก็ไม่เป็นไร

รถม้ามาจอดหน้าประตูจวนลี่หยางโหว จางฉุนกระโดดลงจากรถพยายามอ่านอักษรสี่ตัวเหนือบานประตูอยู่นานก็อ่านไม่ออก จึงได้แต่เดินตามถังเยว่เข้าประตูไปด้วยความมึนงง

"นึกถึงตอนนั้น ผมเคยได้รับรางวัลนักเรียนสามดีเด่น[2]ถึงแม้การศึกษาผมจะต่ำแต่อย่างน้อยก็อ่านหนังสือออกนะ..." [2 มีคุณธรรมดี เรียนดี สุขภาพดี]

ถังเยว่พูดปลอบ "ไม่ต้องคิดมาก นายก็เหมือนกับฉันนั่นละ ขนาดฉันเรียนจบเป็นหมอ แต่ตอนมาที่นี่ใหม่ๆ ก็อ่านหนังสือไม่ออกเหมือนกัน"

คำพูดประโยคนี้ทำให้ในใจจางฉุนรู้สึกดีขึ้นมาก เขาเขย่งปลายเท้ากอดไหล่ถังเยว่ "พูดแบบนี้ก็แสดงว่าพวกเราสามารถเป็นพี่น้องร่วมชะตากรรมเดียวกันได้น่ะสิ"

ถังเยว่หัวเราะเหอะๆ "เกรงว่าน่าจะยาก เพราะตอนนี้ฉันได้เรียนรู้ตัวอักษรของยุคสมัยนี้ครบหมดแล้ว"

จางฉุนตะลึงงัน แล้วบ่นพึมพำเบาๆ "แล้งน้ำใจ!"

จวนลี่หยางโหวใหญ่โตมาก อย่างน้อยในสายตาของจางฉุนผู้ซึ่งไม่เคยเห็นคฤหาสน์ของชนชั้นสูงสมัยโบราณมาก่อนก็นับว่าใหญ่โตมากแล้ว

"บ้านคุณ ... ดูท่าว่าคงจะรวยมาก"

"แค่ธรรมดาเท่านั้น" ถังเยว่กล่าวอย่างถ่อมตน ความจริงหากจะพูดถึงความร่ำรวย จวนลี่หยางโหวจัดอยู่ในสามอันดับต้นของเมืองเย่เฉิง

กระทั่งเข้ามาในเรือนถังเยว่ เนื้อที่อย่างน้อยประมาณพันตารางเมตรเห็นจะได้ รูปแบบยังเป็นเรือนสี่ประสาน จางฉุนยิ่งตื่นตะลึงตาค้าง "นี่ถ้าเป็นในยุคปัจจุบัน จัดได้ว่าเป็นมหาเศรษฐีระดับมาตรฐานเชียวนะ"

"หรือว่าบ้านนายไม่เป็นแบบนี้ ทั่วทั้งเมืองฉินหยางบ้านนายใหญ่ที่สุด จวนเจ้าเมืองต้องหรูหรายิ่งกว่าที่นี่อยู่แล้ว"

จางฉุนพยายามนึกย้อนกลับไป ก่อนจะส่ายหน้า "ผมเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาก็ถูกคนจับตัวไว้ แถมยังเป็นตอนกลางคืนดึกสงัด กระทั่งหน้าประตูใหญ่มีรูปร่างลักษณะอย่างไรก็ยังมองไม่ชัดเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ไป ที่นั่นยังจะถือว่าเป็นบ้านผมอยู่หรือเปล่า"

ความจริงจางฉุนไม่คิดจะกลับไปเมืองฉินหยางแล้ว เขาไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ กับที่นั่น ยอมใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเย่เฉิงเสียยังดีกว่า อย่างน้อยก็เป็นเมืองหลวงของแคว้น เพียงแต่หากบ้านหลังเดิมสามารถขายทิ้งแล้วเปลี่ยนเป็นเงินได้ก็จะยอดเยี่ยมมาก ไม่แน่บ้านหลังนั้นอาจเพียงพอให้เขามีเงินไว้ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายได้ตลอดชาติ แค่คิดก็อิ่มเอมใจแล้ว

เป็นตัวมอดของสังคม กินๆ นอนๆ ไม่ต้องทำงาน สิ่งนี้เป็นความใฝ่ฝันของจางฉุนมาโดยตลอด

ถังเยว่ผลักประตูให้เปิดออก การตกแต่งภายในห้องไม่มีอะไรสักอย่าง จางฉุนถอนหายใจ

"จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ดีอยู่หรอก แต่น่าเสียดาย ถึงยังไงผมก็ยังชอบชีวิตที่สุขสบายเต็มไปด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอำนวยความสะดวกในยุคปัจจุบันมากกว่า มีเครื่องปรับอากาศ จะให้ร้อนหรือหนาวก็ได้ อยากอาบน้ำก็มีเครื่องทำน้ำอุ่น ถ้าเบื่อไม่มีอะไรทำก็ยังดูโทรทัศน์ เล่นอินเทอร์เน็ตได้ ต่อให้ต้องอยู่ในห้องแคบๆ เท่ารูหนูขนาดไม่กี่สิบตารางเมตร ผมก็ยังเต็มใจ"

ถังเยวไม่อาจพูดได้อย่างชัดเจนว่าชีวิตแบบไหนดีกว่า จึงพูดได้เพียงว่าต่างฝ่ายต่างมีข้อดี ทว่าต่อให้ยุคปัจจุบันจะดีสักเพียงใด พวกเขาก็กลับไปไม่ได้อีกแล้ว

ขณะที่กำลังเกิดความคิดคะนึงหาโลกที่จากมา ตัวการสำคัญกลับลืมความทุกข์ไปจนหมดสิ้น สายตาจ้องสาวใช้ทั้งสี่นางที่เดินเข้าประตูมาจนน้ำลายไหล

"พะ ... พี่ถัง ... พวกนางคือ ... "

หลังจากสาวใช้ทั้งสี่นางของถังเยว่ถูกฮูหยินเฒ่าอบรมสั่งสอน บุคลิกก็ยิ่งงดงามมากขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ได้เหมือนกับตอนที่เพิ่งมาถึงใหม่ๆ ที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นบ่าวไพร่

ก่อนหน้านี้ตอนผิงซุ่นมาอยู่ ถังเยว่ไม่ให้พวกนางกลับมารับใช้ข้างกาย บางทีอาจเพราะได้ยินว่าซื่อจื่อแห่งเหิงกั๋วกงกลับไปแล้ว พวกนางถึงได้ขันอาสาขอกลับมาที่นี่อีก

เหลือบมองท่าทางน้ำลายหกอย่างคนสัปดนของจางฉุน ถังเยว่พลันรู้สึกว่าส่งพวกนางกลับไปหาฮูหยินเฒ่าน่าจะดีกว่า

เขาไม่ถือสาที่จะมีเพื่อนบ้ากามเพิ่มอีกคน แต่ถ้าเพื่อนคนนี้มาทำเรื่องไม่ดีไม่งามในบ้านเขา ถังเยว่ย่อมรับไม่ได้อย่างแน่นอน

"คุณชายเชิญเปลี่ยนเสื้อผ้าเจ้าค่ะ" สาวใช้ทั้งสี่เข้ามาห้อมล้อมพร้อมกับยื่นมือมาปลดสายคาดเอวถังเยว่

"อะแฮ่ม ... " จางฉุนทนต่อไปไม่ไหว เตือนพวกเขาว่ายังมีคนนอกอยู่ด้วย โปรดอย่าวางก้ามราวกับขุนนางแบบนี้ได้หรือไม่

"ข้าทำเอง พวกเจ้าไปจัดเก็บห้องพักด้านหลังให้เรียบร้อย แล้วพาคุณชายฉุนไปพักที่นั่น"

"เจ้าค่ะ" สาวงามทั้งสี่ล่าถอยออกไปอย่างว่าง่าย รอกระทั่งพวกนางลับหายไปจากสายตาแล้ว จางฉุนถึงเบือนสายตากลับมา

"อันที่จริง ... ผมคิดว่ายุคโบราณดีกว่า!" เขาลืมชีวิตสุขสบายมีเครื่องใช้ไฟฟ้าคอยอำนวยความสะดวกไปทันที ยกนิ้วขึ้นมานับ "ที่นี่สามารถมีสามภรรยาสี่อนุได้อย่างเปิดเผยและชอบธรรม มีสาวงามให้เชยชมนับไม่ถ้วน สามารถมีสาวใช้บ่าวไพร่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย จะเปลี่ยนเสื้อผ้าก็แค่ยื่นแขนออกไป จะกินข้าวก็แค่อ้าปาก ชีวิตเช่นนี้สุขสบายยิ่งกว่าเป็นเทพเซียนเสียอีก"

ถังเยว่มองเขาด้วยแววตาดูแคลนแวบหนึ่ง "นายไม่มีความทะเยอทะยานอยากบ้างเลยหรือ?"

"สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความใฝ่ฝันของผู้ชายทุกคนนี่นา คุณลองดูผู้ชายยุคใหม่สิ กินในชามมองในหม้อ[3]แอบซ่อนกิ๊กซุกเมียน้อยไว้ลับๆ กันทั้งนั้น มีหรือที่จะกล้าเปิดเผยสะดวกราบรื่นเหมือนอย่างที่นี่" [3 มีใจละโมบ ไม่รู้จักพอ]

"ถ้าอยากเป็นแบบนั้นนายก็ต้องมีเสน่ห์ก่อน"

แต่ไหนแต่ไรมาถังเยวไม่เคยสนับสนุนระบบหนึ่งสามีมากภรรยาแต่เขาก็ไม่เคยคิดจะสอดปากวิจารณ์ทางเลือกของผู้อื่น ต้องการเพศสัมพันธ์หรือความรัก ล้วนเป็นทางเลือกของแต่ละคน เขาย่อมไม่มีสิทธิ์ตัดสินความถูกต้องของชีวิตผู้อื่น

ทั้งสองแยกย้ายกันไปอาบน้ำ ตอนนี้ดึกมากแล้ว จางฉุนหาวหวอดเดินเข้าห้องตัวเอง แต่ก่อนจะเดินออกไปจงใจถามทิ้งไว้ประโยคหนึ่ง "ผมหาสาวงามมาอุ่นเตียงให้ได้ไหม?"

ถังเยว่ยิ้มเย็น "รอให้ขนนายขึ้นครบก่อนค่อยมาว่ากัน"

เจ้าเด็กน้อยริอ่านฟุ้งซ่านคิดเรื่องลามก ไม่กลัวไตพร่องบ้างเลยหรือไง!

ถังเยว่อาบน้ำแล้วนำอุปกรณ์ผ่าตัดออกมาจากล่วมยา ลูบไล้เบาๆทีละชิ้นจนครบทุกอัน

"วันหน้า ไม่รู้ว่าจะสามารถส่งเสริมให้พวกแกเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้ไหม"

เขาใช้มีดแกะสลักที่หลี่เจามอบให้ทำแปรงสีฟันเล็กๆ สองด้าม และยังตั้งใจแกะสลักชื่อหลี่เจาไว้บนด้ามแปรงโดยเฉพาะ วาดรูปหน้าหนึ่งยิ้มหน้าหนึ่งบึ้ง สบประสานสายตากัน สร้างความรู้สึกลึกซึ้งเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน

เขากำลังเก็บข้าวของเตรียมจะขึ้นเตียงนอน ประตูห้องก็ถูกเคาะเสียงดังลั่น กลางดึกสงัดเช่นนี้น่าตกใจไม่น้อย โดยเฉพาะมีเสียงหลอนคล้ายวิญญาณดังมาจากนอกประตู

"พี่ถัง ... นอนหรือยัง?"

ถังเยว่สาวเท้ายาวๆ ตรงไปเปิดประตู ถลึงตาถามจางฉุน "ดึกดื่นป่านนี้ไม่หลับไม่นอนมาทำอะไร เคาะประตูก็ให้มันเบาๆ หน่อย เคาะเสียงดังทำไม แล้วนายจะทำเสียงเป็นวิญญาณผีเร่ร่อนเพื่อ?"

จางฉุนหัวเราะแหะๆ ลอดใต้แขนเขาแทรกตัวเข้ามาในห้อง กอดหมอนแล้วพุ่งไปที่เตียงถังเยว่ ดึงผ้าห่มมาห่มอย่างดิบดี เหลือไว้แค่ใบหน้าโผล่มา

"นอนคนเดียวน่ากลัวจะตาย ตั้งแต่ผมมาอยู่โลกนี้ก็ไม่เคยได้นอนหลับสนิทเลยสักครั้ง"

ถังเยว่คิดแล้วก็เห็นว่าควรเป็นเช่นนั้น เจ้าเด็กนี่มาถึงก็ถูกจับตลอดทางก็อยู่แต่ในรถคุมขังนักโทษ พอมาถึงเมืองเย่เฉิงก็ถูกกักบริเวณไม่เป็นโรคประสาทไปก่อนก็ถือว่าจิตใจเข้มแข็งมากแล้วเขาจึงไม่ถือสาหาความกับอีกฝ่าย เพียงแต่สั่งไว้ประโยคหนึ่ง

"ฉันเป็นเกย์ ถ้าไม่กลัวว่ากลางดึกจะถูกข่มขืน จะนอนที่นี่ก็เชิญตามสบาย"

จางฉุนเบิกตาโต อ้าปากค้าง ตะลึงงันอยู่นานก่อนจะพูดว่า "โอ้!ที่แท้พวกเราก็มีรสนิยมแบบเดียวกันนี่เอง เป็นเกียรติจริงๆ!"

หนนี้ถึงคราวถังเยว่ต้องเป็นฝ่ายงงงันเป็นไก่ตาแตกบ้างแล้ว เขามองจางฉุนตาแทบถลนด้วยสีหน้าราวกับเจอผีหลอก ปกติคนที่มีรสนิยมแบบเดียวกันมักจะมองกันออก ทว่าเพราะอะไรเขาถึงจับสัญญาณจากตัวจางฉุนไม่ได้เลย แน่นอนว่า หากจับสัญญาณแบบนั้นจากตัวเด็กน้อยอายุสิบขวบคนหนึ่งได้ เช่นนั้นก็คงไม่ใช่คนแล้วละ

"แล้วนายจะหวังเรื่องสามภรรยาสี่อนุไปเพื่ออะไร!" ถังเยว่ถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วก้าวขึ้นเตียง จัดแจงแย่งผ้าห่มมาจากจางฉุนครึ่งหนึ่ง

"นั่นเรียกว่าจิตนาการ คุณเข้าใจไหม?" จางฉุนตอบแล้วมุดเข้ามาในอ้อมแขนถังเยว่ ลามปามถึงขั้นยื่นหน้าจะหอมแก้ม แต่ถูกเขาห้ามไว้ก่อน

"ถ้าจะนอนก็นอนดีๆ ไม่งั้นฉันจะโยนนายออกไป!"

"ขี้เหนียวจริงเชียว แม้แต่จูบราตรีสวัสดิ์ก็ยังไม่มี"

"เหอะ..."

ทั้งสองค่อยๆ จมเข้าสู่ห้วงนิทรา ในฝัน พวกเขาแทบจะฝันเหมือนกันในเวลาเดียวกัน คือฝันเห็นว่าได้กลับไปยังบ้านเกิดของตัวเอง กลับไปยังโลกอันแสนคุ้นเคยของพวกเขา

บนถนนคับคั่งไปด้วยรถรา เนืองแน่นไปด้วยผู้คน มีเสียงเครื่องยนต์ของรถและกลิ่นควันจากท่อไอเสียที่ดมจนเคยชิน

ถังเยว่นั่งอยู่ในห้องทำงานของตัวเอง มองข้อมูลผู้ป่วยในมือด้วยท่าทีเหม่อลอย ผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆ กำลังบอกเล่าอาการป่วยของคนไข้อย่างจริงจังแบบไม่หยุดพัก

"หัวหน้าถัง ... หัวหน้า ... "

ถังเยว่หันกลับไปมอง เผยให้เห็นสีหน้างุนงงแกมประหลาดใจ

"หัวหน้า คุณคิดว่าจัดให้ผ่าตัดตอนไหนถึงจะเหมาะสม ผมดูตารางคิวผ่าตัดของคุณช่วงหนึ่งสัปดาห์นี้เต็มหมดแล้ว"

ถังเยว่หยิกตัวเองหนึ่งที ไม่รู้ว่าอยู่ในดินแดนแห่งความฝันเจ็บจริงหรือเจ็บปลอมกันแน่ หัวคิ้วทั้งสองข้างขมวดยุ่งเป็นปม

"คุณออกไปก่อน ผมอยากอยู่เงียบๆ"

"หัวหน้า คุณไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า จะให้ตามเสี่ยวเลี่ยวมาไหม? วันนี้เขาไม่ต้องเข้าเวรกลางคืนพอดี" ผู้ช่วยมองเขาด้วยสายตากำกวม

ผ่านไปนานมากกว่าเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองว่าเสี่ยวเลี่ยวที่อีกฝ่ายพูดถึงคือใคร เขาลืมไปแล้วว่าตนไม่ได้นึกถึงแฟนหนุ่มน้อยคนนั้นมานานแค่ไหน

"เขา ... ยังสบายดีไหม?"

ตอนนั้นถังเยว่เสียชีวิตกะทันหัน ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะเสียใจหรือไม่ได้เสียน้ำตาให้เขาสักหยดบ้างหรือเปล่านะ

"สบายดี จะไม่ดีได้ยังไง มีคุณแนะนำรับรองให้ เขารีบเตรียมตัวบินไปร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนทางวิชาการที่ต่างประเทศแล้ว อย่าหาว่าผมพูดมากเลยนะ แต่คุณดีกับเขาเกินไปจริงๆ ถ้ารู้แต่แรกว่าเป็นแฟนคุณแล้วจะมีสวัสดิการดีขนาดนี้ ผมคงชิงลงมือก่อนนานแล้ว" ผู้ช่วยตอบอย่างแฝงแววริษยาอยู่นิดๆ

ถังเยว่ปั้นหน้าฉีกยิ้ม เขาจำได้ว่าผู้ช่วยคนนี้ชอบพูดจาล้อเล่นเพียงแต่บางครั้งก็ออกจะปากไม่มีหูรูดไปสักหน่อย

"คุณออกไปก่อนเถอะ"

"ได้ ท่าทางคุณดูเหนื่อยมากจริงๆ พักผ่อนเยอะๆ นะ เดี๋ยวตอนพักเที่ยงผมค่อยมาเรียกคุณอีกทีแล้วกัน"

ถังเยว่รอให้อีกฝ่ายเดินพ้นประตูไปแล้วค่อยยืนขึ้น กวาดตามองไปรอบห้องทำงานส่วนตัวแบบห้องเดี่ยวของเขา การตกแต่งทุกจุดล้วนเป็นเขาออกแบบเอง กระถางต้นไม้ทุกใบล้วนปลูกพืชพันธุ์ที่เขากำหนดเอง ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งดูคุ้นเคยระคนแปลกหน้า

"ฉันต้องกำลังฝันไปแน่ ต้องใช่แน่ๆ" ถังเยว่พึมพำกับตัวเอง แล้วเปิดประตูเดินออกไป ตลอดทางเจอเพื่อนร่วมงานที่แสนคุ้นเคย ต่างก็ทักทายเขา

"หัวหน้าถัง คนร้ายที่แทงคุณบาดเจ็บถูกตัดสินให้จำคุกแปดปีข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยเจตนา ถือว่าช่วยให้คุณได้หายแค้นบ้างละนะ"

ถังเยว่คลำหน้าอกตัวเองตามสัญชาตญาณ ทำไมเขาถึงไม่ตาย?แค่บาดเจ็บ? ล้อเล่นหรือเปล่า?

เขารีบปลดกระดุมตรวจดูหน้าอกตัวเองอย่างทนรอไม่ไหว บนนั้นมีรอยแผลเป็นปรากฏอยู่จุดหนึ่ง ดูจากรูปลักษณ์แล้วเกิดจากอาวุธในวันนั้นไม่ผิดแน่

"เป็นไปไม่ได้! อย่าบอกนะว่าหนานจิ้นเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่งหลี่เจาล่ะ? จ้าวซานหลาง? จวนโหวก็ด้วย คนที่ฉันรู้จักเยอะแยะมากมายพวกนั้นล่ะ"

ถังเยว่ขวางหน้าพยาบาลนางหนึ่ง แย่งปากกาในมือเธอ ฉีกกระดาษออกมาหนึ่งหน้าเขียนอักษรหลายตัว

"เอ๋! หัวหน้าถัง นี่คุณเขียนตัวอักษรอะไร? ดูแล้วเหมือนอักษรจ้วนซู[1]เลย คิดไม่ถึงว่าคุณจะรู้จักตัวอักษรโบราณพวกนี้ด้วย..." [4 ชื่อรูปแบบตัวอักษรจีนชนิดหนึ่ง]

จริงสิ! หากเป็นเพียงความฝันหนึ่งตื่น เขาจะเขียนตัวอักษรของหนานจิ้นได้อย่างไร?

ถังเยว่เดินโซเซโงนเงนพุ่งออกจากโรงพยาบาล แล้ววิ่งกลับไปยังบ้านของตัวเอง


 

106 ตอนนี้ผมเป็นถึงขุนนางระดับโหวเชียวนะ

 

ถังเยว่ได้พบกับพ่อแม่บังเกิดเกล้าที่เขาคิดถึงมาแสนนาน พวกท่านทั้งสองเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เส้นผมกลายเป็นสีดอกเลา ดูชรากว่าภาพในความทรงจำของเขาร่วมสิบปี

ยังไม่ทันจะได้อ้าปาก น้ำตาก็พรั่งพรูนองเต็มหน้า

"คุณพ่อ ... คุณแม่ ... "

เขานึกว่าแม่จะต้องเป็นดั่งในอดีตที่ผ่านมา ตื่นเต้นอ่อนไหวง่ายส่วนพ่อก็จะเอาไม้ไล่ตะเพิดเขาออกจากบ้าน คิดไม่ถึงว่าทั้งสองต่างนิ่งสงบอย่างเหลือเชื่อ มีเพียงความกังวลล้ำลึกที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของดวงตา

"มาแล้วเหรอ รีบเข้ามาสิ ... เสี่ยวเลี่ยวไม่ได้มาด้วยหรอกเหรอ?"

ถังเยว่ทำอะไรไม่ถูก เหตุใดถึงดึงเสี่ยวเลี่ยวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีกแล้ว นี่มันยังไงกันแน่!

"ในเมื่อลูกตัดสินใจแล้ว ก็เอาตามนั้นเถอะ พ่อกับแม่ไม่ได้ต้องการอะไร ขอเพียงลูกมีชีวิตที่ราบรื่นเป็นสุขก็ดีแล้ว"

ถังเยว่สะอึกจนพูดไม่ออก ตอนนั้นเขาคาดหวังที่จะได้ฟังคำพูดประโยคนี้จากพ่อแม่มากเพียงใด น่าเสียดาย ...

เมื่อถอดรองเท้าเข้าบ้าน ก็ได้กลิ่นกับข้าวหอมกรุ่น นี่เป็นกลิ่นที่ห่างหายไปนาน ตลอดหลายปีมานี้เขาได้ลิ้มรสมันแค่ในความฝันเท่านั้น

พวกเขาสามคนล้อมวงกินข้าวกันอย่างสงบสุข ถังเยว่วางถ้วยกับตะเกียบลง เขาหลับตาแล้วพูดเสียงแผ่วเบา "คุณพ่อคุณแม่ ท่านทั้งสองต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ ... "

'ผมมีชีวิตอยู่อีกโลกหนึ่งมีความสุขดี พวกท่านก็ต้องมีความสุขเช่นกันนะครับ'

พูดประโยคนี้จบก็ถอยหลังไปทีละก้าว ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าค่อยๆ เลือนรางและหายลับไปในที่สุด

ถังเยว่ลืมตาพรี่บขึ้นมา กายใจจมจ่อมอยู่ในภาพแห่งความฝันที่ยังคงติดค้าง เวลาผ่านไปนานมากก็ยังไม่อาจตั้งสติให้กลับคืนสู่ปกติได้

ข้างกายมีเสียงสะอื้นเบาๆ ถังเยว่หันไปมอง เห็นจางฉุนขดตัวร้องไห้อยู่ในโปงผ้าห่ม

เขาถอนใจ ใช้หลังมือปาดไปที่หางตาพบว่าตัวเองก็ไม่ได้สงบนิ่งขนาดนั้นเช่นกัน ภาพเหตุการณ์ร้องไห้ในความฝันอาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง

"เลิกร้องไห้ได้แล้ว ขืนยังร้องต่อเดี๋ยวคนอื่นก็แตกตื่นแห่กันมาหรอก"

จางฉุนสะอื้นอีกสองทีก็โผล่ออกมาจากใต้ผ้าห่ม ดวงตาบวมเป่งราวกับผลวอลนัท

"พี่ถัง คุณเคยคิดถึงปัญหาเรื่องที่ว่าเราจะกลับไปได้ยังไงบ้างหรือเปล่า?"

"เคยคิดสิ ... "

ทำไมจะไม่เคยคิด ตอนเพิ่งมาใหม่ๆ เมื่อหนึ่งเดือนแรก เขารับสภาพความเป็นจริงไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เขารังเกียจทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ รวมถึงร่างนี้ด้วย

"แต่คิดไปจะมีประโยชน์อะไร ในโลกนั้นพวกเราต่างก็ตายไปแล้วจะกลับไปได้ยังไงกัน?"

"มันก็ไม่แน่หรอกนะ ในนิยายแนวข้ามภพทะลุมิติก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ ไม่แน่เมื่อพวกเราทำภารกิจบางอย่างเสร็จสิ้น อุโมงค์มิติแห่งกาลเวลาอาจจะเปิดก็ได้ เช่นเราอาจแค่มาช่วยองค์ชายบางคนให้ได้ขึ้นครองราชย์ หรือช่วยให้โอรสสวรรค์ตัวจริงชิงบัลลังก์มังกรทำนองนี้ บางทีฟ้าอาจไม่ได้ลิขิตให้หลี่เจาเป็นโอรสสวรรค์ตัวจริง แต่เป็นตัวร้าย และจุดประสงค์ในการมีอยู่ของพวกเราก็เพื่อล้มล้างระบอบการปกครองของเขา และช่วยให้โอรสสวรรค์ตัวจริงได้ขึ้นครองตำแหน่งจักรพรรดิ เปลี่ยนแปลงหลักการของโลกนี้ แก้ไขสถาปนาระบบการปกครองขึ้นมาใหม่ อีกอย่าง ไม่แน่ผมอาจเป็นโอรสสวรรค์คนนั้นก็เป็นได้!"

ถังเยว่อ้าปากหาว ตบศีรษะจางฉุน "พ่อหนุ่ม นายอ่านนิยายมากเกินไป ตอนนี้ยังดึกอยู่ รีบนอนต่อเถอะ นายจะได้ทำภารกิจสถาปนาบ้านเมืองในฝันต่อให้จบ"

หลังจากหลับต่อแล้ว ถังเยว่ก็ไม่ฝันอีกจนฟ้าสาง จวบจนเขากับจางฉุนลุกจากเตียงไปล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเรียบร้อย ก็ได้ยินเสียงพ่อบ้านรายงานว่ามีคนจากจวนรัชทายาทมา

ถังเยว่เหลือบมองจางฉุนแวบหนึ่ง ในใจคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่คำพิพากษาของเจ้าเด็กนี่ได้มีการตัดสินลงมาแล้ว

เป็นจริงดังคาด เคอนำหนังสือคำตัดสินของจักรพรรดิมาประกาศต่อหน้าจางฉุนหนึ่งรอบ ก็นับว่าเสร็จสิ้นพิธีแล้ว

กระทั่งฟังเนื้อหาทั้งหมดจบ จางฉุนก็ยังงุนงงไม่เข้าใจอยู่ดี จึงลอบถามถังเยว่ "พี่ถัง ช่วยแปลให้ฟังหน่อย มันหมายความว่ายังไงกันแน่?"

"ไม่ได้ฟังที่เขาบอกหรือไง เห็นแก่หวงฝู่ฉุนยังเป็นเด็กไม่รู้ความไม่มีใครสั่งสอน จึงให้ลงโทษสถานเบา ปลดออกจากตำแหน่งเจ้าเมือง ได้รับยศเป็นเพียงโหว ไม่สามารถสืบทอดตำแหน่งให้แก่ทายาทรุ่นต่อไปได้อีก"

"แล้วบ้านล่ะ? ดูเหมือนจะไม่ได้พูดถึง"

สิ่งที่จางฉุนสนใจมากที่สุดคือคฤหาสน์ของเขา นั่นเป็นทรัพย์สินก้อนใหญ่มหาศาลเชียวนะ เขาได้รับความลำบากมาตั้งหลายวัน อย่างน้อยก็น่าจะมีค่าตอบแทนให้บ้าง

ถังเยว่อยากจะเปิดสมองอีกฝ่ายออกมาดูข้างในจริงๆ ว่ามีโครงสร้างเป็นเช่นไรกันแน่ ในเวลาแบบนี้ควรตะโกนก้องสะเทือนฟ้าสะท้านดินด้วยความยินดี ที่ตนสามารถแคล้วคลาดรอดพ้นจากโทษอาญา ทั้งยังสามารถรักษาบรรดาศักดิ์ไว้ได้ เพียงเท่านี้ก็ดีงามเหลือจะกล่าวแล้วแท้ๆ

"เอาเถอะ ไว้วันหน้าจะไปช่วยสอบถามให้ หรือว่านายยังคิดอยากจะกลับไปเมืองฉินหยาง"

"ต่อให้ไม่กลับไป บ้านก็จะต้องเอาไว้ ต่อให้ขายไม่ได้ปล่อยไว้ก็ยังถือว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์มูลค่ามหาศาล อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นทางหนีทีไล่เผื่อเอาไว้"

"เลิกคิดได้แล้ว ในเมื่อเป็นจวนเจ้าเมือง ย่อมต้องตกทอดเป็นของเจ้าเมืองคนต่อไป ไม่ใช่เก็บไว้ให้นาย"

จางฉุนหน้างอง้ำ "ที่พูดมาก็ถูก"

"แต่ในเมื่อตระกูลเจ้าเมืองสืบทอดตำแหน่งขุนนางมาสามรุ่น สมบัติของตระกูลย่อมมีไม่น้อย ไม่แน่อาจมีอสังหาริมทรัพย์อีกมาก ของเหล่านี้เบื้องบนไม่ได้กล่าวว่าจะยึดคืน นายให้คนลองไปถามดูก็ได้"

จางฉุนดวงตาเป็นประกาย "จริงด้วย ไม่ได้ถูกยึดทรัพย์สักหน่อยของเหล่านี้ก็ต้องยังเป็นของผมอยู่ ฮ่าๆ"

ถังเยว่อยากบอกอีกฝ่ายว่าอย่าเพิ่งดีใจเร็วไปนัก เขาจากมานานขนาดนี้ ไม่รู้ว่าของเหล่านั้นตกไปอยู่ในมือใครบ้างแล้ว แต่เมื่อเห็นท่าทางดีอกดีใจของอีกฝ่ายก็ไม่อยากทำลายความสุขของเขา

"คุณชาย รัชทายาทให้บ่าวพาคนที่ท่านต้องการมาส่ง จะให้พวกเขาอยู่ที่ไหนดีขอรับ?"

ถังเยว่เลิกสนใจจางฉุน "พามาส่งทั้งหมดแล้วหรือ อยู่ไหนล่ะ?"

"อยู่นอกจวนโหวทั้งหมด ท่านตามบ่าวไปดูสิขอรับ รัชทายาทรับสั่งว่า หากท่านไม่พอใจสามารถเปลี่ยนใหม่ได้ทันที"

ถังเยว่ก้าวยาวๆ ไปนอกจวน จางฉุนตัวเล็กขาสั้น วิ่งเหยาะๆ ตามหลังมา นึกอยากเห็นว่าคนประเภทไหนที่ทำให้ถังเยว่ตื่นเต้นได้ขนาดนี้

ทว่าเมื่อมาถึงหน้าประตู เห็นด้านนอกมีคนฝูงใหญ่ยืนเป็นระเบียบความตื่นเต้นหายวับไปในทันที อย่าว่าแต่ไม่มีสาวงามเลยสักคน กระทั่งชายหนุ่มที่หน้าตาดูได้ก็ยังไม่มีให้เห็น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นชายสูงวัย มีบางคนยืนค้ำไม้เท้าอีกต่างหาก พับผ่าสิ! นี่วางแผนจะเลือกกากบุรุษไปสร้างหายนะให้คู่ต่อสู้หรืออย่างไร

เคอส่งสมุดรายชื่อให้ถังเยว่

"คนพวกนี้มีส่วนหนึ่งเป็นทหารชราปลดประจำการ ล้วนมีประสบการณ์จัดการกับบาดแผลของตัวเอง และยังมีบางส่วนเป็นบ่าวรับใช้ที่มาจากจวนรัชทายาท ล้วนเคยปรนนิบัติรับใช้ผู้อื่นมาแล้วทั้งสิ้น"

"ในนี้มีคนที่รู้หนังสืออยู่เท่าไร?" ถังเยว่ถาม

"ประมาณยี่สิบคน ส่วนอีกสิบคนสามารถอ่านตัวอักษรง่ายๆ พอเข้าใจ แต่เขียนไม่เป็นขอรับ"

ถังเยว่พยักหน้า "พาพวกเขาไปพักยังเรือนรับรองทางด้านชานเมืองตะวันออกก่อน ช่วงพลบค่ำของทุกวันข้าจะเจียดเวลาหนึ่งชั่วยามไปสอนความรู้พื้นฐานให้พวกเขา ทุกเดือนต้องมีการสอบวัดระดับหนึ่งครั้ง คนที่สอบไม่ผ่านจะถูกคัดออก"

"ขอรับ บ่าวจะถ่ายทอดคำพูดของคุณชายไปให้พวกเขารับทราบขอรับ"

ถังเยว่หันไปยิ้มให้เคออย่างพอใจ คนที่เติบโตมากับหลี่เจาไม่เหมือนคนทั่วไปจริงๆ ละเอียดรอบคอบ ทำงานมีประสิทธิภาพสูง น่าเสียดายที่กลัวเลือด ตามหลักแล้วน่าจะเป็นเพราะปมในใจสมัยเด็ก แต่ก็อาจเป็นเพราะเขามีความกล้าน้อยกว่าบ่าวไพร่คนอื่น ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่กล้าออกหน้าถึงได้มีชีวิตอยู่รอดมาจนบัดนี้

จวบจนเคอพาคนจากไปแล้ว จางฉุนถึงเอ่ยถามด้วยความข้องใจ

"คุณจะเอาคนแก่กลุ่มนี้ไปทำอะไร หรือว่ามีแผนร้ายอะไรอยู่?"

"ประสาท! ถ้ามีแผนร้ายจะทำอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งแบบนี้ได้หรือไง?"

"เรื่องนี้พูดยาก คนโบราณพวกนี้ใสซื่อมาก ไหนเลยจะมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวอย่างพวกเรา"

"เฮ้อ อย่าเหมารวมฉันไปด้วยสิ ฉันเป็นคนดีมีเมตตาของแท้แน่นอนไม่ใช่คนแบบเดียวกับนาย" ถังเยว่เหลือบตามองอย่างเคืองๆ แล้วกล่าวต่อ "อย่าดูถูกคนโบราณ พวกเขาแค่มีความรู้น้อย แต่ไม่ได้หมายความว่าสมองของพวกเขาจะเบาปัญญา"

"รู้แล้วน่า คุณยังไม่บอกเลยว่าจะเอาคนพวกนี้มาทำอะไรกันแน่แต่ละคนดูไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยทั้งสิ้น"

"ฉันเตรียมจะตั้งหน่วยพยาบาล ไว้ไปช่วยชีวิตทหารยามออกศึกสงคราม"

"พยาบาล ก็ต้องเป็นนางฟ้าในชุดขาวไม่ใช่หรือไง? ทำไมถึงไม่หาผู้หญิงมาเป็นเล่า" ในความคิดของจางฉุน พยาบาลต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้นถึงจะถูกต้อง

"นายคิดว่ายุคสมัยนี้จะให้ผู้หญิงเป็นฝูงไปอยู่ในสนามรบได้หรือไง?"

ต่อให้เพื่อทำการรักษาบาดแผลเล็กน้อยก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี ในกองทัพมีผู้ชายมากมายขนาดนั้น แต่ละคนล้วนเป็นดั่งหมาป่าพยัคฆ์ร้ายหากพาพยาบาลสาวไปด้วยกลุ่มหนึ่งจริง คงไม่ต้องทำอย่างอื่นกันแล้ว เพราะอย่างแรกที่ต้องทำ คือปกป้องพรหมจรรย์ของพวกเธอ

จางฉุนยิ้มเอียงอาย เพิ่งรู้ว่าความคิดของตนเหมือนเด็กอนุบาลเกินไป

"โทษที พอดีผมลืมคิดเรื่องนี้ไป"

นี่คงเป็นข้อเสียที่ผู้ข้ามภพทะลุมิติต้องเป็นกันทุกคน คนเราต้องใช้เวลาพอสมควรในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อม ฉะนั้นถังเยว่จึงไม่ได้หัวเราะเยาะเขา และฉวยโอกาสตอนยังไม่มีธุระพาจางฉุนไปที่ร้านขายยาของตัวเอง นับตั้งแต่นาทีที่ได้เห็นภาพแบบแปลน เขาก็อยากเห็นร้านขายยานี้ด้วยตาตัวเองมาตลอด

ทำเลที่ตั้งร้านดีมาก อยู่บนถนนที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองเย่เฉิงปริมาณผู้คนที่สัญจรไปมาย่อมเทียบกับยุคปัจจุบันไม่ติด แต่สำหรับหนานจิ้นก็ถือว่าเป็นจุดคึกคักที่สุดแล้ว

พื้นที่หน้าร้านมีขนาดใหญ่มาก แบ่งออกเป็นส่วนตู้เก็บสมุนไพรส่วนห้องตรวจโรค และส่วนโต๊ะเก็บเงิน ลองนับจำนวนลิ้นชักของตู้เก็บสมุนไพรคร่าวๆ แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะมีถึงพันช่อง

ตู้ยาแต่ละตู้ล้วนติดตั้งบันไดไว้ เพราะลิ้นชักชั้นบนสุดต้องปีนขึ้นไปจึงจะหยิบยาได้

จางฉุนเงยหน้ามองดูตู้สูงพวกนั้น ถึงกับออกปากบ่น "รูปแบบอย่างนี้ ตามร้านขายยาแพทย์แผนจีนก็ไม่ได้มีให้พบเห็นอยู่บ่อยๆ เป็นพนักงานร้านคุณไม่ง่ายเลยจริงๆ"

ถังเยว่กลับไม่บ่นว่าเยอะเกินไป เพียงแต่เกรงว่าจะไม่มีสมุนไพรมากพอบรรจุในตู้พวกนี้ วัตถุดิบปรุงยาชุดแรกใกล้จะมาถึงแล้ว ถึงตอนนั้นยังต้องคัดเลือก ยังต้องบดอีก กว่าจะเอาขึ้นตู้ได้ต้องใช้เวลาอีกสักเล็กน้อย

"เอาแบบนี้สิ นายมาเป็นพนักงานคนแรก ลองสัมผัสประสบการณ์ดู แบบนี้ดีไหม" ถังเยว่พูดกึ่งเย้า

จางฉุนเชิดคางขึ้นสูง "ตอนนี้ผมเป็นถึงขุนนางระดับโหวเชียวนะลำพังเงินเดือนที่ได้รับก็ไม่จำเป็นต้องทำงานแล้ว ผมยังต้องมาทำงานให้คุณอีกงั้นหรือ?"

หากจะพูดเรื่องฐานะ ตอนนี้จางฉุนนับว่าสูงกว่าถังเยว่ เพียงแต่ฐานะนี้มีแค่ในนามเท่านั้น ส่วนถังเยว่มีอำนาจของหมอทหารอยู่ในมือ ด้วยผลงานความดีความชอบคราวที่แล้วจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหมอหลวงขั้นสาม สามารถรับลูกศิษย์ได้สิบคน มิหนำซ้ำทางการจะเป็นผู้ออกเงินให้

ด้านหลังร้านขายยาเป็นลานเปิดโล่ง ปลูกต้นสนเขียวขจีไว้สองแถวพื้นที่ว่างที่เหลือทำเป็นชั้นไม้สำหรับใช้ตากสมุนไพร ต่อไปวันข้างหน้าจะกลายเป็นห้องแปรรูปครบวงจร แบ่งเป็นห้องอบแห้ง ห้องบดยา ห้องต้มยาและอื่นๆ ห้องปีกทั้งสองด้านเป็นโกดังขนาดใหญ่ ใช้สำหรับกักตุนสมุนไพร

เลยจากห้องแปรรูปมาเป็นที่พักอาศัย นอกจากเรือนเล็กอันเป็นส่วนตัวของถังเยว่ ยังได้แบ่งเป็นหอพักสำหรับคนงาน ห้องครัว ห้องส้วมเรียกได้ว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิตอย่างครบครัน

ถังเยว่นับถือในความละเอียดรอบคอบของหลี่เจาจริงๆ เขาปรับปรุงที่นี่จนแทบจะเป็นบ้านหลังที่สองของถังเยว่เลยก็ว่าได้ ทั้งยังเป็นแบบที่แค่หิ้วกระเป๋าเข้ามาก็พร้อมอยู่อาศัยได้ทันที

"สวัสดิการไม่เลวเลย ยิ่งดูผมยิ่งหวั่นไหวไปหมดแล้ว"

หลังจากที่จางฉุนเดินดูจนครบรอบ พลันเกิดความรู้สึกอยากยึดสักห้องของที่นี่ อย่าเห็นว่าตอนนี้เขามีตำแหน่งเป็นโหว แต่เรื่องเงินเดือนกับสวัสดิการยังไม่ได้คุยกันเลย และก็ยังไม่รู้ว่าในหนึ่งเดือนจะเบิกข้าวสารได้สักกี่มากน้อย

"ท่านประธานถัง นี่รวมค่ากินอยู่ด้วยหรือไม่?" เขาถามด้วยใบหน้าเอียงอาย

"รวมสิ" ถังเยว่ตบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ "หรือไม่ก็ถือว่าเป็นงานชั่วคราวไปก่อนก็ได้ ช่วยฉันดูแลเรื่องโต๊ะเก็บเงินไปก่อน ท่าทางนายดูฉลาดดี คงทำบัญชีได้ดีแน่"

"แหะๆ ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เมื่อก่อนผมเคยทำงานเป็นพนักงานเก็บเงินในร้านอาหาร ไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง" จางฉุนตบอกผางอย่างมั่นใจ

ออกมาจากร้านขายยา ถังเยว่เงยหน้ามองป้ายประตูที่ว่างเปล่าลูบคางพลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์ นั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังจวนรัชทายาท

จวบจนวันนี้จางฉุนเพิ่งได้เห็นประตูจวนรัชทายาทแบบชัดๆ จึงแยกไม่ออกว่าที่นี่เป็นที่ไหน เพียงเดินตามถังเยว่เข้าประตูมาอย่างวางมาด กระทั่งเห็นรัชทายาทเจา ถึงนึกอยากวิ่งหนีก็ไม่ทันแล้ว

ไม่ต่างอะไรกับทุกคนที่หวาดกลัวรัชทายาท จางฉุนเป็นคนแบบที่เพียงพบหน้าอีกฝ่ายก็รู้สึกเหมือนเขามีรัศมียิ่งใหญ่ส่องสว่างจากทั่วร่างจัดเป็นคนประเภทที่สามารถชื่นชมอยู่ห่างๆ แต่มิพึงเข้าใกล้สนิทสนมหากจะพูดให้ชัดเจนก็คือ คนประเภทนี้เห็นปุ๊บก็รู้ได้ว่าเป็นคนเหนือคนอยู่คนละชนชั้นกับพวกเขา

แน่นอนว่าโดยความจริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น รัชทายาทเจามีชาติกำเนิดเป็นถึงองค์ชายผู้สูงศักดิ์ ส่วนตนเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดา จะเหมือนกันได้อย่างไร?

จางฉุนถวายบังคม จรรยามารยาทของเขาบกพร่องไม่ถูกต้อง แต่มีเหตุผลหนึ่งที่ว่า 'ไม่มีคนอบรมสั่งสอน' ดังนั้นจึงไม่มีใครตำหนิหรือทำให้เขาต้องลำบากใจ

"ในเมื่อเสด็จพ่อไม่ได้ถอดบรรดาศักดิ์ของเจ้า ฉะนั้นเจ้าก็ควรที่จะศึกษามารยาทพิธีการอย่างเป็นทางการ นับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไปในยามเฉินเจ้าจะต้องมาจวนรัชทายาท ข้าจะจัดคนไว้สอนเจ้าให้ได้เรียนรู้"

จางฉุนเบิกตาโพลงขึ้นทันที "เรียนรู้สิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ?"

"เรื่องประเพณีจรรยามารยาททุกชนิดของหนานจิ้น ส่วนจะเรียนวิชาบุ๋นหรือบู๊ก็แล้วแต่เจ้าจะตัดสินใจเอาเอง"

'เหอะๆ เปิดกว้างไม่ปิดกั้นดีจังนะ!' แม้จางฉุนอยากพูดเหลือเกินว่า "ไม่!" ทว่าถังเยว่ที่อยู่ข้างๆ พยายามขยิบหูขยิบตาให้อย่างสุดชีวิต ดังนั้นต่อให้เขาอยากพูดก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยออกไป

ทุกอย่างถูกกำหนดง่ายดายอย่างนี้เอง รัชทายาทเจาสั่งให้เขาออกไปเลือกอาจารย์ ส่วนตัวเองพาถังเยว่ไปยังห้องทรงพระอักษร


 

107 บุคลิกเปี่ยมไปด้วยความเป็นสุภาพชน

 

ถังเยว่อุ้มไม้กระดานแผ่นหนึ่งมาวางไว้ตรงเบื้องหน้าหลี่เจาแล้วกล่าวยิ้มๆ "ฝ่าบาท โปรดพระราชทานตัวอักษรให้กระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!"

"พระราชทานอักษรใด?"

"ร้านขายยาของกระหม่อมกำลังจะเปิดบริการในเร็ววันนี้ แต่ยังมิได้ตั้งชื่อ ป้ายคำขวัญก็ยังไม่ได้ทำ เหล่านี้คงต้องขอยกให้เป็นความรับผิดชอบของฝ่าบาทแล้ว"

หลี่เจาเงยหน้า ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนบอกเสียงเรียบ

"หมึกข้าล้ำค่าหาได้ราคาถูกๆ ไม่"

"อีกไม่นานพวกเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จะมาพูดเรื่องเงินให้เสียความรู้สึกกันไปไย"

"จะเอามาปะปนกันไม่ได้ พี่น้องร่วมอุทรยังต้องคิดบัญชีให้ชัดเจนยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้เจ้ายังได้เคยพูดถึงเงื่อนไขหลังแต่งไว้หลายข้อ ก็พูดถึงเรื่องเงินทุกจุดมิใช่หรือ?"

ถังเยว่เถียงไม่ออก "ตกลง เช่นนั้นรับสั่งมาสิ ว่าต้องการเท่าไร?"

"ข้ากำลังเตรียมก่อตั้งกองทัพทหารม้าสำคัญกว่าพันนาย ไว้ถึงเวลาจะเชิญคุณชายมาเป็นหมอทหาร ตกลงหรือไม่?"

"แค่ลายพระหัตถ์เพียงไม่กี่ตัว คิดจะแลกกับการให้กระหม่อมทำงานทุ่มเทชีวิตเพื่อฝ่าบาท ไม่เอาเปรียบกันไปหน่อยหรือ?"

"เดิมทีสามีภรรยานับเป็นคนคนเดียวกัน ถูกสามีเอาเปรียบนิดหน่อยจะเป็นไรไป"

ถังเยว่กะพริบตาปริบๆ แอบคิดในใจ 'คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะหน้าหนาถึงเพียงนี้ ไม่แน่อาจยังมีความเจ้าเล่ห์พ่วงมาด้วยอีกมากก็เป็นได้'

ทว่าท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอของอีกฝ่าย เพราะเขาเองก็คิดไว้อยู่แล้วว่าสักวันจะสามารถพาหน่วยพยาบาลที่ตนก่อตั้งขึ้นร่วมออกศึก สร้างเป็นหน่วยพยาบาลทหารที่สามารถเคลื่อนย้ายได้คล่องตัว มีประสิทธิภาพสูง

หลี่เจาลังเลระหว่างพู่กันกับมีดแกะสลักอยู่สักพัก สุดท้ายก็เลือกที่จะใช้มีดแกะสลัก เพราะสิ่งนี้คือวิธีการเขียนอักษรที่ตัวเขาคุ้นเคยที่สุด

"ชื่อก็จะให้ข้าตั้งให้งั้นหรือ? นี่เป็นร้านขายยาของเจ้านะ" หลี่เจาเตือน

ถังเยวไหวไหล่ "ก็แค่ชื่อเท่านั้น ยังไงก็ได้"

ถึงอย่างไรในสมองของเขาก็มีแต่ชื่อร้านขายยาโบราณคร่ำครึจำพวก 'หอเหรินเหอ (อบอุ่นอ่อนโยน)' 'หอจี้ซื่อ (ช่วยเหลือประชาราษฎร์)'ให้หลี่เจาตั้งให้ บางทีอาจมีความคิดใหม่ๆ ขึ้นมาบ้าง

แต่ความหวังของเขาก็ต้องสูญเปล่า เมื่อหลี่เจาครุ่นคิดสักพัก ก็รวบแขนเสื้อแกะสลักลงบนแผ่นไม้กระดานว่า 'หอฮุ่ยอาน (ศีลธรรมสูงล้ำ)'ตัวโตๆ สามตัว

"เหตุใดถึงตั้งว่าหอฮุ่ยอาน"

'เป็นพี่น้องกับหอถงเหริน (ใช้ความรักศีลธรรมในการช่วยเหลือผู้คน)หรือหอถงอาน (มีความสงบสุขถ้วนหน้า) หรือไง?'

"ไม่ดีหรือ?"

"หามิได้ ... "

เพียงแต่นี่ไม่ใช่ความคิดแปลกใหม่เลยสักนิด แน่นอนว่าถังเยว่ย่อมรู้ดีว่าชื่อร้านขายยาล้วนเป็นแนวนี้ทั้งนั้น จุดประสงค์หลักก็เพื่อต้องการความเป็นสิริมงคล

แต่ไม่ว่าชื่อจะแปลกใหม่หรือไม่ อักษรสามตัวที่หลี่เจาแกะสลักให้ก็งดงามอย่างยิ่ง น้ำหนักแต่ละเส้นลงลึกกำลังดี ขอบเส้นตัวอักษรเชื่อมต่อเปี่ยมพลัง หากสลักลงบนป้ายศิลา บางทีอีกพันปีข้างหน้าอาจกลายเป็นของล้ำค่าก็เป็นได้

ถังเยว่เตรียมจะเอาไม้กระดานแผ่นนี้ไปให้คนลงสี เขาตั้งใจเลือกใช้ไม้เฮยถานโดยเฉพาะ ปิดขอบทอง จากนั้นก็ทาตัวอักษรด้วยสีทอง เท่านี้ก็งดงามไร้ที่ติ จะต้องเป็นป้ายร้านระดับคุณภาพอย่างแน่นอน

"จะเปลี่ยนเป็นคำอื่นไหม?" หลี่เจาเห็นท่าทางไม่ค่อยพอใจของอีกฝ่าย จึงคิดชื่อที่เหมาะสำหรับใช้ตั้งเป็นชื่อร้านไว้อีกสองสามชื่อ

"ไม่เป็นไร นี่ก็ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ" ถังเยว่ลูบเบาๆ ก่อนจะอุ้มป้ายชื่อเดินจากไปราวของรัก

หลี่เจาทอดตามองแผ่นหลังของถังเยว่แล้วส่ายหน้า ความคิดของคนผู้นี้คาดเดายากยิ่งนัก

พลันนึกถึงเจ้าเด็กที่ไล่ออกไปก่อนหน้านี้ สีหน้าของเขาเคร่งขรึมลงในทันที ขณะร้องสั่งไปยังด้านนอก

"เด็กๆ ... "

เคอเปิดประตูเดินเข้ามา คุกเข่าคำนับแล้วเอ่ยถาม "ฝ่าบาทมีสิ่งใดจะรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ?"

"ให้คนไปร่างรายการมรดกที่เหลืออยู่ของจงโหย่งโหวออกมา แล้วให้โหวคนปัจจุบันไปรับด้วยตัวเอง หากให้เขาอยู่ที่เมืองฉินหยางได้เลยจะเป็นการดีที่สุด"

เคอค้อมศีรษะลงมากกว่าเดิมแล้วขานรับ "รับด้วยเกล้า"

ดูเหมือนว่ารัชทายาทจะไม่พอใจที่ท่านโหวคนนี้ทำตัวติดกับคุณชายถังทั้งวี่ทั้งวัน จึงคิดจะขับไล่ไปให้ไกลๆ น่าเสียดายที่คงไม่ง่ายดายเช่นนั้น

 

จางฉุนจามฟุดฟิด เขาถูจมูกตัวเอง จ้องมองชายสองคนตรงหน้าอยู่นานสองนาน

ถ้าพูดถึงเรื่องหน้าตา เขาย่อมต้องเลือกคนฝั่งซ้ายมือ ทั้งหนุ่มทั้งหล่อ หุ่นก็ยอดเยี่ยมเหนือคำบรรยาย เรียกได้ว่าระดับคุณภาพของแท้จางฉุนมองจนน้ำลายจะไหลลงมาอยู่รอมร่อ

แน่นอนว่าเขาในเวลานี้ได้แต่มองหนุ่มหล่อแล้วน้ำลายสอ นอกนั้นยังทำอะไรไม่ได้

แต่น่าเสียดาย เขามีคดีแค้นกับพี่ชายสุดหล่อคุณภาพดีเยี่ยมคนนี้อานุภาพของไม้กระบองด้ามนั้นสร้างปัญหาตามมาเป็นพรวน จนบัดนี้ฝ่ายตรงข้ามยังมองเขาด้วยสายตาแฝงคมมีด

ส่วนอีกคนเป็นชายวัยกลางคนที่ไว้เคราแพะ สวมเซินอีสีเทา ศีรษะสวมหมวกชีซาหล่ง จมูกเล็กตาตี่ รูปร่างเตี้ยตัน ไม่ว่ามองมุมไหนก็หาจุดดีไม่เจอ

สองคนนี้หนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊ เขาสามารถเลือกเรียนกับใครก็ได้หนึ่งในนี้หรือจะเลือกเรียนกับทั้งสองคนเลยก็ได้ เพื่อจะได้เป็นบุคลากรสมัยใหม่ที่มีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ควบคู่กัน!

"ไม่มีคนอื่นให้เลือกอีกแล้วหรือ?"

จวนรัชทายาทออกจะใหญ่โตกลับมีคนที่สามารถเป็นอาจารย์ได้แค่สองคน พูดไปใครจะเชื่อ

จางฉุนหันไปมองพ่อบ้านที่พาเขามาด้วยแววตาน่าสงสาร ฝ่ายนั้นกระแอมแห้งๆ แล้วเบือนสายตาไปทางอื่น

"ไม่ใช่ว่ารัชทายาทพระทัยแคบ แต่ปัญญาชนกับนักดาบในจวนนี้ต่างมีภารกิจของตัวเอง ปุบปับเช่นนี้ยากจะหาคนที่เหมาะสมได้ ท่านโหวน้อยไม่พอใจพวกเขาทั้งสองหรือขอรับ?"

จางฉุนพยักหน้า ชี้ไปที่องครักษ์หนุ่มผู้นั้นแล้วกล่าว "เจ้าดูเขาสิร่างกายไม่มีกล้ามเนื้อเลยสักนิด อายุก็ยังน้อย จะไปมีความสามารถได้อย่างไร เป็นไปได้สูงมากว่าหาคนที่มีความสามารถไม่ได้แล้ว จึงเอาเขามาแก้ขัดไปก่อนละสิท่า ถึงอย่างไรข้าก็เป็นผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ ให้คนระดับนี้มาเป็นอาจารย์ มันควรแล้วหรือ?"

พ่อบ้านแก้มกระตุก อ้าปากค้าง เขาเพิ่งเคยได้ยินคนกล้าตำหนิผู้ที่เจ้านายของเขาเป็นผู้เลือกให้ว่าไม่ได้ความ มิหนำซ้ำหากมองคุณชายตรงหน้าว่าเป็นคนชั้นต่ำ เช่นนั้นทั้งจวนรัชทายาทก็ไม่มีองครักษ์ชั้นสูงแล้ว อยากบอกเจ้าหนูนี่เหลือเกินว่าหากจะพูดถึงเรื่องฐานะ คุณชายท่านนี้สูงศักดิ์กว่าเจ้าด้วยซ้ำ การให้มาเป็นครูสอนวิทยายุทธ์นับว่าฝ่าบาทกรุณามากแล้ว

จางฉุนไม่รอให้พ่อบ้านได้อ้าปากพูดก็ชี้ไปยังผู้ชายอีกคน ติว่า

"ดูเขาสิ ไหนบอกว่าหนานจิ้นให้ความสำคัญแก่รูปโฉม รูปลักษณ์เช่นนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ผ่านเกณฑ์ เขาเข้ามาเป็นองครักษ์ที่นี่ได้อย่างไร คงไม่ใช่แค่คนงานชั่วคราวหรอกใช่ไหม?"

พ่อบ้านฟังแล้วรู้สึกระอา "ท่านโหวน้อยอย่าพูดล้อเล่นแบบนี้สิคนในจวนรัชทายาทล้วนมีความสามารถทั้งสิ้น อีกอย่าง ฝ่าบาทมิได้ใช้รูปลักษณ์ภายนอกเป็นตัวตัดสินความเป็นวีรบุรุษ ขอเพียงมีความสามารถรูปลักษณ์ภายนอกหาได้สำคัญไม่"

ไม่เช่นนั้นจะถูกใจนายน้อยแห่งจวนลี่หยางโหวได้อย่างไร

หวังติ่งจวินสองมือกอดอกมองจางฉุน แสยะยิ้มมุมปาก ที่คราวก่อนถูกเจ้าเปี๊ยกนี่ตีสลบได้เป็นเพราะเขาประมาทศัตรูเกินไป อีกอย่างแม้ฝ่ายตรงข้ามจะอายุน้อย แต่พละกำลังกลับไม่น้อยเลย มิหนำซ้ำยังรู้ด้วยว่าต้องตีตำแหน่งใดถึงจะทำให้คนสลบได้ในคราวเดียว

เพราะเหตุนี้ พอรู้ว่าเจ้าเด็กนี่จะเลือกอาจารย์ เขาถึงได้ขันอาสามาเอง รอให้อีกฝ่ายตกอยู่ในกำมือเสียก่อน รอดูแล้วกันว่าเขาจะเอาคืนอย่างไรบ้าง!

"ความจริงเจ้ากลัวละสิ" เขาเอ่ยประชดเหน็บแนม

จางฉุนยืดอกมองผู้พูดด้วยหางตา "ข้าเป็นถึงท่านโหว มีอะไรต้องกลัว คนที่ต้องกังวลควรเป็นเจ้ามากกว่า หากเจ้ากล้าฉวยโอกาสแก้แค้นข้าจะทูลฟ้ององค์รัชทายาทให้ลงโทษเจ้า"

"ข้าหวังติ่งจวินเป็นคนจิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ จะทำเรื่องไร้คุณธรรมเช่นนั้นได้อย่างไร?"

จะแก้แค้นย่อมทำอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้อยู่แล้ว เขาไม่โง่ขนาดนั้นหรอกน่า!

ส่วนอาจารย์อีกท่านกลับนิ่งสงบกว่าอย่างเห็นได้ชัด พอได้ยินว่าจางฉุนไม่อยากให้ตนเป็นอาจารย์ เขาก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที รีบประสานสองมือคารวะ เอ่ยเสียงเครือซาบซึ้งจนน้ำตาแทบหลั่งริน

"ขอบคุณท่านโหวที่เหลือทางรอดไว้ให้ข้าน้อย ชาตินี้ข้าน้อยยังหวังอยากเป็นขุนนางในราชสำนัก สร้างชื่อเสียงเชิดชูเกียรติยศแห่งวงศ์ตระกูลหาได้เต็มใจที่จะเปลืองเวลาอบรมสั่งสอนเด็กน้อยผู้โง่เขลาไม่"

"เจ้าว่าใครเป็นเด็กน้อยผู้โง่เขลา?" จางฉุนขมวดคิ้ว ถลึงตาใส่ตาแก่คนนี้กล้าด่าเขาต่อหน้า บังอาจเกินไปแล้ว หรือว่าคนในยุคนี้อยากจะพูดอะไรก็พูดได้ตามอำเภอใจงั้นหรือ?

พ่อบ้านเห็นบรรยากาศตึงเครียด จึงเข้าไปยิ้มกลบเกลื่อนแล้วช่วยไกล่เกลี่ย

"ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านโหวน้อยเลือกองครักษ์หวังใช่หรือไม่?องครักษ์หวังเป็นถึงบุตรเจ้าเมืองอวี้ซินเชียวนะขอรับ"

เทียบกับเจ้าเมืองที่เพิ่งถูกปลดอย่างเจ้าแล้ว อีกฝ่ายมีภาษีเหนือกว่าหลายเท่านัก

จางฉุนตะลึงงัน บุตรเจ้าเมืองอวี้ซิน เป็นฐานะที่สุดยอดแค่ไหนเขาไม่รู้ แต่สถานะคงสูงกว่าเขาในเวลานี้ ด้วยเหตุนี้จึงยิ่งสายหน้าเป็นพัลวัน "ไม่เอาๆ เอาคนแบบนี้มาเป็นครูฝึกให้ข้า สิ้นเปลืองทรัพยากรเปล่าๆ"

คนจะเป็นศิษย์ไม่ว่าพูดอะไรก็ไม่เห็นด้วย ส่วนอีกคนไม่ว่าอย่างไรก็จะเป็นอาจารย์อีกฝ่ายให้ได้ พ่อบ้านรู้สึกลำบากใจ น้อยครั้งที่เขาจะเจอคนกล้าปฏิเสธผู้ที่รัชทายาทเลือกให้

"ถ้าอย่างไรทั้งสองท่านรอสักครู่ เดี๋ยวข้าน้อยไปปรึกษาฝ่าบาทก่อน"

"ไม่ต้อง!" สองเสียงที่แตกต่างตอบขึ้นพร้อมกัน

สองคน หนึ่งสูงหนึ่งเตี้ย รูปร่างของจางฉุนยังโตไม่เต็มวัย สูงถึงแค่ราวเหนือรักแร้ของหวังติ่งจวินเท่านั้น เฉพาะบุคลิกก็พ่ายแพ้ขาดลอย

ดังนั้นหลังจากถูกสายตาคุกคามของหวังติ่งจวินกดดันไม่กี่ที จางฉุนก็ต้องจำใจเห็นด้วย คิดว่าถ้าภายภาคหน้าไม่ไหวจริงๆ ก็จะใช้เส้นสายของถังเยว่ให้ช่วย เห็นท่าทางเขาเข้าออกจวนรัชทายาทราวกับบ้านตัวเองคงพอมีเส้นสายช่วยเหลือได้บ้าง

"เช่นนั้น ... ท่านโหวน้อยเลือกที่จะฝึกวิทยายุทธ์สินะขอรับ" พ่อบ้านถามเพื่อยืนยันอีกครั้ง

 

ตอนถังเยว่แบกป้ายร้านออกมา เห็นจางฉุนก้มหน้าก้มตาเล่นอะไรอยู่ใต้กิ่งไม้จึงเดินเข้าไปดู ถึงได้รู้ว่านิสัยแบบเด็กๆ ของเขากำเริบขึ้นมาอีกแล้ว จึงได้มาระบายอารมณ์ใส่รังมดแบบนี้

"นายทำอะไร? พูดพึมพำกับตัวเอง แถมยังรังแกทำลายชีวิตผู้อื่นอีก!"

จางฉุนพูดโดยไม่เงยหน้า "ผมกำลังสวดอธิษฐานอยู่ คุณอย่ามาพูดจาเหลวไหล"

"นายเชื่อในพระเจ้าด้วยงั้นเหรอ?"

"ไม่เชื่อ ผมเป็นคนไม่มีศาสนา"

"งั้นนายสวดอธิษฐานเพื่อ?"

"ตอนนี้ยอมคิดว่ามีไว้ก่อน ดีกว่าคิดว่าไม่มี ขอซ้ำๆ หลายๆ รอบไม่แน่พระโพธิสัตว์อาจศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้าอาจบันดาลให้เป็นจริงก็ได้"

ถังเยว่เหล่มองอีกฝ่ายด้วยความดูแคลนอย่างสง่างามแวบหนึ่ง

"ขอร้องทีเถอะ พระโพธิสัตว์ไม่เกี่ยวกับพระเจ้า นายอย่าเอาศาสนามาปะปนกันมั่วได้ไหม"

"จะเป็นไรไป ต่างก็อยู่บนฟ้าด้วยกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง ขอให้ใครสักคนฟังได้ยินเป็นใช้ได้"

"บนฟ้ามีแต่ชั้นบรรยากาศต่างหาก" ถังเยว่ตบศีรษะอีกฝ่าย "เอาเถอะ เดิมทีก็มีความรู้แค่หางอึ่งอยู่แล้ว อย่าทำตัวโง่เขลาไปกว่านี้เลย!"

"เชอะ ... " ไม้นี้ใช้ไม่ได้ผลแฮะ!

จางฉุนยืดตัวลุกขึ้น แต่เพราะนั่งยองๆ นานเกินไป ไม่เพียงขาเป็นเหน็บยังรู้สึกหน้ามืดตาลายอีกต่างหาก

"เขยิบมานี่หน่อยสิ ให้ผมยืมตัวพิงหน่อย ... " จางฉุนกำลังทิ้งตัวจะซบ ทว่าถังเยว่ยังไม่ทันยื่นมือไปรับก็มีคนปรี่เข้ามาดึงร่างจางฉุนออกไปอีกทาง

"ทำไมเป็นเจ้าอีกแล้ว! วิญญาณเจ้ายังไม่แตกสลายไปอีกหรือ ...!" เมื่อทรงตัวยืนดีแล้วจางฉุนก็บ่นออกมาประโยคหนึ่ง

หวังติ่งจวินเหยียดมุมปาก "รัชทายาทมีพระบัญชา พรุ่งนี้ให้คุ้มกันเจ้ากลับเมืองฉินหยาง"

"อะไรนะ?" "อะไรนะ?" จางฉุนกับถังเยว่ร้องถามขึ้นพร้อมกัน

หวังติ่งจวินประสานมือคำนับถังเยว่ รายงานตามที่ได้รับคำสั่ง

ที่แท้ฝ่าบาททรงต้องการส่งคนไปจัดการมรดกของจงโหย่งโหวหลายปีขนาดนี้แล้ว เกรงว่ากิจการจำนวนมากคงถูกคนอื่นยึดครอง ไม่ก็ปิดตัวไปแล้ว ถ้าไม่ส่งคนไปลงพื้นที่ก็จะไม่มีทางได้รู้สถานการณ์ที่แท้จริง

"ไปรับมรดกงั้นหรือ?" จางฉุนตาโตเป็นประกายเจิดจ้า

'เงิน นั่นล้วนคือเงิน อีกเดี๋ยวเขาก็จะกลายเป็นมหาเศรษฐีแล้วงั้นหรือ?'

เขาตบบ่าถังเยว่ หัวเราะฮิๆ แล้วกล่าว "สหายเอ๋ย รอให้น้องชายเจริญรุ่งเรือง รับรองจะดูแลพี่ชายเป็นคนแรกแน่นอน!"

ถังเยว่ปัดมืออีกฝ่ายออก หัวเราะเหอะๆ "รอให้ถึงวันที่นายเจริญรุ่งเรืองก่อนค่อยว่ากัน"

"นี่คุณทำธุระเสร็จหรือยัง กลับกันได้เลยไหม?" จางฉุนกระตุกแขนเสื้อกว้างของเขา

ถังเยว่พยักหน้า ที่จริงจุดประสงค์หลักของการมาในวันนี้ก็คือเพื่อให้หลี่เจาเขียนอักษรให้ แต่กลายเป็นว่าพวกเขาใช้เวลาในห้องห้องทรงพระอักษรไปนานมาก เพราะถูกหลี่เจาถ่วงเวลาปรึกษาเรื่องการทหารหลายเรื่อง ตัวเขาไม่เข้าใจเรื่องเคลื่อนทัพออกศึก จึงได้แต่พูดเรื่องการติดตั้งยุทโธปกรณ์และตั้งค่ายออกรบตามที่เคยเห็นในโทรทัศน์ แม้ไม่รู้ว่ามีประโยชน์หรือไม่ ก็พยายามเค้นสมองออกความคิดเห็นอย่างเต็มที่

"เรื่องเลือกอาจารย์เรียบร้อยดีแล้วหรือ?"

จางฉุนไหวไหล่ ชี้ไปที่หวังติ่งจวินพลางแค่นหัวเราะทีหนึ่ง "รัชทายาทจะต้องมีอคติกับผมแน่"

ถังเยว่เพ่งพิศหวังติ่งจวินอย่างละเอียด รู้สึกว่าคุ้นตาเอามากๆ แต่กลับนึกชื่อไม่ออก

"ได้ยินว่าเป็นถึงลูกเจ้าเมืองเชียวนะ คุณว่าเขาสติดีหรือเปล่า เป็นคุณชายอยู่ดีๆ ไม่ชอบ ดันมาเป็นขี้ข้าชาวบ้าน!"

ถังเยว่ถูกจางฉุนเตือนสติด้วยคำพูดนี้จึงนึกออกว่าหวังติ่งจวินเป็นใคร เลยแก้ไขคำพูดเขาเสียใหม่ "พูดให้ถูกหลักเขาเป็นทหารองครักษ์ มีตำแหน่งขุนนาง มีอำนาจจริงในมือ ไม่แน่ว่าสูงศักดิ์กว่านายด้วยซ้ำ! อย่าพูดจาเหลวไหล!"

สองคนกระซิบกระซาบกันสักพัก หวังติ่งจวินยืนจับตามองพวกเขาอยู่ทางด้านข้างมาตลอด ใบหน้าประดับรอยยิ้มการค้า บุคลิกเปี่ยมไปด้วยความเป็นสุภาพชน


 

 [ฉากพิเศษ]

จางฉุน                อาจารย์ โปรดละเว้นข้าด้วย!

หวังติ่งจวิน           ใครใช้ให้เจ้าเคยฟาดหัวอาจารย์กันล่ะ สมน้ำหน้า!

จางฉุน                ไยเจ้าถึงเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนี้? นั่นมันเรื่องเก่าผ่านมานานแค่ไหนแล้ว อีกอย่างก็บอกเป็นร้อยรอบแล้วว่าไม่ได้เจตนา!

หวังติ่งจวิน           เหอะๆ กล้าทำให้อาจารย์ขายหน้า อาจารย์ก็กล้าที่จะให้เจ้าเนื้อหลุดบ้าง! ย่อลงไปดีๆ!"

จางฉุน                ขืนให้เนื้อหลุดอีกก็จะเหลือแต่กระดูกแล้ว!

หวังติ่งจวิน           ไม่เห็นจะเป็นไร ตอนนี้ผอมเหลือแต่กระดูกกำลังนิยม หรือว่าเจ้าอยากกลายเป็นซื่อจื่อแห่งเหิงกั๋วกงคนที่สอง

จางฉุน                ถูกเจ้าทรมานทุกวี่ทุกวัน ไม่เหนื่อยตายก็ใจตายด้านก่อนต้องสบายอกสบายใจร่างกายถึงจะอ้วนท้วนต่างหากเล่า!

หวังติ่งจวิน           เจ้าผ่อนคลายจิตใจให้อาจารย์สั่งสอนเจ้าก็พอ

จางฉุน                (ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย! ใครก็ได้มาจัดการเจ้าโรคจิตคนนี้ที!)


 

108 ผู้เฒ่าชอบไม้นวมไม่ชอบไม้แข็ง

 

พอถังเยว่ตั้งท่าจะกลับ จางฉุนก็รีบตามติด ทว่ายังไม่ทันก้าวออกพ้นประตูก็ถูกหวังติ่งจวินตามมารั้งตัวไว้

"ศิษย์เอ๋ย เจ้าจะรีบไปไหน?" หวังติ่งจวินถามยิ้มๆ

"กลับบ้านน่ะสิ" จางฉุนรีบเคลื่อนตัวไปแอบอยู่ข้างหลังถังเยว่ ตอบพร้อมกับยิ้มแหย

"บ้านเจ้าอยู่ที่ใด ในเมืองเย่เฉิงมีจวนจงโหย่งโหวด้วยหรือ?"

"บ้านสหายก็คือบ้านข้า จริงไหมพี่ถัง?" จางฉุนหยิกถังเยว์ไปหนึ่งทีส่งสัญญาณให้ช่วยออกหน้าให้หน่อย เขาพอจะมองออกว่าเจ้าสารเลวคนนี้ที่ปฏิบัติกับเขาดุจจะข่มขืนก่อนแล้วค่อยฆ่านั้นให้ความเคารพนับถือถังเยว่มาก

ถังเยว่ย่นคิ้วใคร่ครวญ จางฉุนผู้นี้แม้จะไม่เต็มเต็งไปสักหน่อย แต่อยู่ในจวนรัชทายาทจะต้องไม่กล้าสร้างปัญหาอย่างแน่นอน พอคิดได้เช่นนั้นแล้วจึงเอ่ย "อยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน ถึงอย่างไรพรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางแล้ว จะได้ไม่ต้องไปๆ มาๆ"

จางฉุนหันมองรอยยิ้มแฝงแววอันตรายของหวังติ่งจวินแล้วรู้สึกขนลุกชันไปทั้งตัว "ข้าไม่กลัวความยุ่งยาก จริงๆ นะ พรุ่งนี้จะมาแต่เช้าแน่นอน พี่ถัง ... เจ้าคงไม่ทิ้งข้าอย่างไม่ไยดีหรอกใช่ไหม?"

ถังเยว่มองท่าทางขลาดกลัวของอีกฝ่ายแล้วพูดไม่ออก อยากบอกเหลือเกินว่าตนกับเขาไม่รู้จักกัน เสียแรงที่เกิดเป็นคนรุ่นใหม่ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ทำไมถึงได้ตื่นกลัวคนโบราณถึงเพียงนี้ เขาดันจางฉุนไปทางหวังติ่งจวินอย่างไร้เยื่อใย "ต้องรบกวนองครักษ์หวังแล้ว เขาอายุน้อย ยังไม่ค่อยรู้ความ รบกวนท่านช่วยชี้แนะด้วย"

"โปรดวางใจ รัชทายาทมีพระบัญชาให้ข้าน้อยสอนวิทยายุทธ์ให้แก่เขา ข้าน้อยย่อมต้องตั้งใจดูแลเขาอย่างดีแน่นอน"

'ฉันขอให้นายไม่ต้องจริงจังขนาดนี้จะได้ไหม?' จางฉุนอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา

ถังเยว่โบกมือเดินจากไปไม่หันกลับมามอง ทิ้งให้จางฉุนใช้ชีวิตอยู่ในจวนที่สร้างปมในใจให้เขาต่อไปเพียงลำพัง

หวังติ่งจวินยังไม่ได้รังแกอีกฝ่ายในทันที เพราะเขาถือคติว่า 'วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล'

 

หลังออกจากจวนรัชทายาท ถังเยว่ก็สั่งให้คนขับรถม้าพาเขาไปยังจวนหมอหลวงอู กิจการร้านขายยานั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเขานั่งให้การรักษาอยู่เพียงคนเดียว ต้องหาหมอที่มีชื่อเสียงและจ้างหมอฝึกหัดมาประจำด้วยดังนั้นสานสัมพันธ์กับหมอหลวงจึงน่าจะเป็นวิธีรวดเร็วที่สุด

หมอหลวงอูเป็นยอดฝีมือด้านวิชาแพทย์ขนานแท้ อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นระดับสุดยอดแห่งยุคนี้ ซึ่งมีวิชาแพทย์แผนจีนเป็นวิธีรักษาเพียงอย่างเดียว ถังเยว่ต้องการคนที่มีความสามารถเช่นนี้อย่างเร่งด่วน

พอมาถึงหน้าจวนหมอหลวงอู เขาก็ให้คนส่งเทียบเข้าไป ยามที่ประตูใหญ่ถือว่ามีความเกรงใจ เชิญพวกเขาให้เข้าไปนั่งรอในห้อง ส่วนตัวเองไปแจ้งข่าว

ถังเยว่รอสักประเดี๋ยวก็เห็นหมอหลวงอูสวมชุดคลุมสั้นเดินเข้ามาเท้าทั้งสองข้างเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน บนศีรษะมีใบไม้แห้งติดอยู่สองสามใบ ทันทีที่ฝ่ายนั้นก้าวเข้าประตูมาก็พูดเสียงดัง

"คุณชายถัง มาถึงนี่มีธุระอันใดหรือ?"

ถังเยวรีบลุกขึ้นประสานมือคารวะ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมีไมตรี

"วันนี้ผู้น้อยมีเวลาว่าง จึงตั้งใจมาขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสสองสามคำถามโดยเฉพาะ"

"โอ้ เหตุใดวันนี้ถึงรู้จักมีมารยาทเช่นนี้ คงไม่ได้มีเรื่องจะมาขอร้องข้าหรอกนะ?"

ถังเยว่ยิ้มเหนียมอาย มาขอร้องผู้อื่นแน่นอนว่าต้องทำตัวให้อ่อนน้อมเข้าไว้ แต่ก็ต้องดูฝ่ายตรงข้ามด้วยว่าเป็นใคร เกรงว่าผู้เฒ่าท่านนี้คงชอบไม้นวมไม่ชอบไม้แข็ง

"ท่านกล่าวหนักไปแล้ว ผู้น้อยเลื่อมใสในวิชาการแพทย์ของผู้อาวุโสมาตลอด เดิมทีควรมาเรียนรู้จากท่านตั้งนานแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้งานยุ่งมากจึงหาเวลาว่างไม่ได้เลย"

"ฮึ!" หมอหลวงอูสะบัดรองเท้าออก เดินเท้าเปล่ามานั่งในตำแหน่งเจ้าบ้าน สั่งให้คนยกน้ำชามาโดยไม่ปริปากตอบ เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำพูดของเขา


 

ถังเยว่ไม่ใส่ใจปฏิกิริยานั้น กล่าวต่อไปอย่างตรงไปตรงมาและรวบรัด "ผู้น้อยเปิดร้านขายยาขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก ยังขาดแพทย์ประจำร้านกับหมอฝึกหัด ไม่ทราบว่าท่านหมอหลวงพอจะมีใครแนะนำให้ได้บ้างหรือไม่?"

หมอหลวงอูตวัดสายตามองเขาอย่างขุ่นเคืองแวบหนึ่ง "เรื่องแบบนี้เหตุใดถึงมาถามข้า บุตรชายท่านโหวจะเปิดร้านทั้งที ยังต้องเป็นทุกข์เรื่องหาคนไม่ได้อีกหรือ? อีกอย่าง ไปขอให้องค์รัชทายาทช่วยจัดการให้ก็สิ้นเรื่อง"

หลายวันมานี้หมอหลวงอูเก็บตัวปลูกสมุนไพรอยู่แต่ในบ้าน จึงยังไม่รู้ข่าวว่าอีกไม่นานถังเยว่ก็จะได้เป็นพระชายาแล้ว มิฉะนั้นคาดว่าคงยิ่งกระแหนะกระแหนเขาอีกยาว

"จะเหมือนกันได้อย่างไร ท่านเป็นถึงดาวเป๋ยโต่วส่องสว่างเหนือเขาไท่ซาน เป็นผู้ที่สามารถส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อวงการแพทย์ มิหนำซ้ำยังมีตำแหน่งเป็นถึงหมอหลวงเอก มาหาท่านย่อมเหมาะสมที่สุด" ถังเยว่พูดประจบ แม้อีกฝ่ายจะยังไม่ถึงกับหลงกล แต่สีหน้าก็ถือว่าดูดีกว่าเมื่อครู่

"ร้านขายยาต่างจากอาชีพอื่น สิ่งสำคัญคือช่วยรักษาโรคให้ชาวบ้านจะเห็นแต่การค้าเป็นหลักไม่ได้"

"ผู้น้อยมิได้ขาดแคลนเงินทอง ย่อมมิได้เปิดร้านขายยาเพื่อแสวงหากำไร"

คำพูดนี้ของถังเยว่สามารถกล่าวได้ว่าเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด และเป็นจริงเช่นนั้น เพราะต่อให้เขาไม่ทำมาหากินอะไรเลย ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่ต้องเป็นทุกข์เรื่องปากท้องหรือเสื้อผ้าอาภรณ์ที่อยู่อาศัย อีกทั้งเขายังไม่ใช่คนหน้าเงิน ขอเพียงมีชีวิตความเป็นอยู่ระดับปานกลางก็พอใจแล้ว

หมอหลวงอูได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็มีท่าทีดีขึ้นมาก ความจริงแล้วระหว่างพวกเขาเดิมทีก็ไม่ได้มีความแค้นต่อกัน เพียงแต่ผู้เฒ่าถูกเด็กหนุ่มอายุน้อยกว่ามีความสามารถล้ำหน้าย่อมรู้สึกขุ่นเคืองใจไปบ้าง

ถังเยว่เห็นท่าทีอีกฝ่ายลดการตั้งแง่ลงมาบ้างแล้ว จึงรีบกล่าวเสริมสำทับเข้าไปอีก

"ท่านคงยังไม่ทราบ ร้านขายยาของผู้น้อยมีจุดประสงค์หลักเพื่อจ่ายยาให้เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บในสนามรบ สภาพแวดล้อมในสมรภูมิเต็มไปด้วยอันตราย ขาดหมอ ซ้ำมียาน้อย ทหารจำนวนมากต้องพลีชีพเพราะได้รับการรักษาไม่ทันท่วงที หากท่านเป็นผู้แนะนำบุคคลที่มีความสามารถให้ย่อมรับประกันนิสัยใจคอของพวกเขาได้ เพราะผู้น้อยเองก็ไม่คิดรับคนที่ไร้จรรยาบรรณแพทย์"

"เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?" ถึงตอนนี้หมอหลวงอูจึงเพิ่งจะหวั่นไหว จึงกล่าวด้วยเสียงจริงจังว่า "แม้สำนักหมอหลวงจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องหมอทหารแต่ทุกปีจะต้องส่งหมอไปช่วยที่ชายแดน คนที่รอดกลับมามีน้อยแสนน้อยทั้งกำลังคนทั้งปริมาณยาไม่เพียงพอความต้องการ อีกทั้งพวกเขาอยู่ไกลถึงชายแดน ย่อมจนปัญญาที่จะรับมือ"

ทุกปีสำนักหมอหลวงต้องอบรมปลูกฝังลูกศิษย์ ผู้ที่สามารถจบการฝึกฝนจากอาจารย์จะถูกส่งไปทำงานฝึกฝีมือในพื้นที่ต่างๆ ถูกส่งไปสนามรบก็มีไม่น้อย สุดท้ายผู้มีฝีมือที่สามารถรอดกลับมาได้ถึงจะนับว่ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าไปเป็นหมอหลวง ลักษณะคล้ายกับการฝึกปฏิบัติงานของแพทย์ฝึกหัดในยุคปัจจุบัน เพียงแต่เงื่อนไขทารุณกว่าบททดสอบอันตรายกว่าเท่านั้น

หมอหลวงอูตรึกตรองอย่างรอบคอบสักพัก ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม "ฝีมือการรักษาโรคของคุณชายเหนือกว่าข้า มิหนำซ้ำวิชาความรู้ก็ต่างจากข้าอย่างสิ้นเชิง เกรงว่าแนะนำคนให้คุณชายไปก็เปล่าประโยชน์"

"ท่านถ่อมตัวเกินไปแล้ว วิชาการรักษาโรคของผู้น้อยต่างจากระบบวิชาการแพทย์ของที่นี่ก็จริง แต่หากจะพูดถึงระดับฝีมือแล้ว ท่านย่อมเหนือกว่าอย่างชัดเจน อีกทั้งคนเป็นหมอต้องไม่แบ่งแยกสำนัก ขอเพียงสามารถรักษาคนป่วยให้หายได้ก็พอ ทุกคำแนะนำจึงมิอาจกล่าวว่าเปล่าประโยชน์ได้"

ชั่วขณะนั้นหมอหลวงอูเริ่มรู้สึกว่าเจ้าเด็กนี่ก็ไม่เลว อคติที่เคยมีก่อนหน้านี้มลายหายไปจนหมดสิ้น อันที่จริงเขาเลื่อมใสในวิชาการแพทย์ของถังเยว่ แต่ก็รู้สึกเกรงขามระคนแปลกใจในวิชาการแพทย์ที่ไม่รู้จักนี้โดยเฉพาะเมื่อคนของสำนักหมอหลวงได้มีการรวมตัวกันเพื่อศึกษาวิธีรักษาของถังเยว่มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็มิอาจหาข้อสรุปหรือหลักการได้

หมอหลวงอูลุกขึ้น หัวเราะร่า เดินนำถังเยว่ออกไปด้านนอก

"ฮ่าๆ คำพูดนี้พูดได้ดี เป็นหมอต้องไม่แบ่งแยกสำนัก ถูกต้องที่สุดถ้าเช่นนั้นข้ามีโรคแปลกที่รักษายาก อยากให้คุณชายมาช่วยวินิจฉัยหน่อย"

ถังเยว์วิ่งเหยาะๆ ตามหมอหลวงอูไป ห้องที่พวกเขาเข้าไปนั้นเต็มไปด้วยชั้นวางหนังสือ ม้วนไม้ไผ่ถูกวางระเกะระกะ บนพื้นมีม้วนหนังสือไม้ไผ่ที่ยังอ่านไม่จบแผ่กางทิ้งไว้มากมาย

"มีผู้ป่วยคนหนึ่ง อายุเลยหกสิบ ปกติมีสุขภาพแข็งแรง แต่จะมีอาการปวดท้อง อาเจียน ปวดแน่นหน้าอกเกิดขึ้นเป็นระยะ เคยร้ายแรงที่สุดถึงขั้นหมดสติไป แต่พอพักผ่อนสักสองสามวันก็กลับมาเป็นปกติ อาการเช่นนี้ตกลงว่าเป็นโรคอะไรกันแน่?"

"จังหวะการเต้นของชีพจรผิดปกติหรือไม่?"

"จากที่ตรวจดูพบว่าชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ"

ถังเยว่วินิจฉัยเบื้องต้นในใจว่าน่าจะเป็นอาการของโรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งเป็นโรคที่พบมากในผู้สูงอายุ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นภาวะหัวใจล้มเหลว วิธีดีที่สุดคือการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ วัดจำนวนเม็ดเลือดขาวในกระแสเลือด และอัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดงซึ่งแน่นอนว่าในยุคสมัยนี้ไม่มีเครื่องมือใดที่จะสามารถตรวจสอบได้

เขาสอบถามปัญหาเกี่ยวกับความเคยชินในการใช้ชีวิตประจำวันของคนไข้อีกหลายคำถาม ยิ่งฟังก็ยิ่งมั่นใจว่าจะต้องเป็นโรคหัวใจขาดเลือดอย่างแน่นอน โดยทั่วไปแล้วการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดมีด้วยกันได้หลายสาเหตุ เช่น เหนื่อยล้าเกินไป บริโภคอาหารเยอะเกินไป ท้องผูก อารมณ์ถูกกระตุ้นมากเกินไป หรือมีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ

"เวลานี้ยังไม่มีวิธีรักษาที่ดีพอ แต่มีข้อปฏิบัติเล็กน้อยที่ผู้ป่วยพึงกระทำ ต้องฝากท่านหมอหลวงไปบอกผู้ป่วยด้วย"

"โปรดรอสักครู่" หมอหลวงอูรีบหยิบพู่กันกับม้วนไม้ไผ่ที่วางไว้บนโต๊ะหนังสือ แล้วเดินมานั่งลงตรงหน้าถังเยว่ด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง

ถังเยว่พอเห็นอีกฝ่ายใช้พู่กันก็รู้ได้ทันทีว่าเครื่องเขียนชนิดนี้น่าจะแพร่หลายเร็วกว่าที่เขาคาดไว้มาก เห็นแล้วอดไม่ได้ จึงปากมากเอ่ยถามประโยคหนึ่ง "พู่กันนี้ใช้ได้ดีหรือไม่?"

หมอหลวงอูชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะหัวเราะเสียงดังลั่น "ดี ดีมาก!ใช้พู่กันด้ามนี้เขียนได้รวดเร็วกว่าใช้มีดแกะสลักหลายเท่า ข้าอายุมากแล้วมือไม่นิ่ง ใช้มีดแกะสลักมีพละกำลังไม่พอ ใช้เจ้าสิ่งนี้เบาแรงกว่ากันมากทีเดียว"

ถังเยว่ฟังแล้วหัวเราะอย่างเบิกบาน การทำในสิ่งที่ผู้อื่นสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้นั้น ช่างเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจยิ่งนัก

"รัชทายาททรงประดิษฐ์สิ่งนี้ขึ้นมาได้ นับเป็นวาสนาของประชาราษฎร์ ต่อไปภายหน้าการศึกษาเล่าเรียนก็จะสะดวกสบายขึ้นมาก"

ถังเยว่รู้ว่าสิ่งที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงการศึกษาได้อย่างแท้จริงคือกระดาษต่างหาก นั่นถึงจะเรียกว่าสิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญที่สุด

"ท่านหมอหลวงโปรดจดไว้ให้ดี ในเรื่องการบริโภคอาหาร ผู้ป่วยประเภทนี้น่าจะกินจุมาก ต้องกินให้น้อยลง แต่สามารถแบ่งเป็นหลายมื้อได้อย่ากินอาหารที่มีไขมันสูง ให้พลังงานสูง แล้วก็อย่ากินอาหารรสจัดมากเกินไป ห้ามดื่มสุรา สามารถกินโจ๊กยา[1]"ได้" [1 โจ๊กยา คือโจ๊กที่ทำจากธัญพืชเป็นหลัก ผสมผลไม้ ผัก เนื้อปลา ไข่ นม หรือสมุนไพรต่างๆ]

"ช้าก่อน ... มันคือสิ่งใด ... อาหารที่มีไขมันสูงและพลังงานสูง?"หมอหลวงอูมีสีหน้างุนงงไม่เข้าใจ

"พูดแบบเข้าใจง่ายก็คืออาหารที่ใช้น้ำมันทอด อาหารประเภทเนื้อและอาหารหมักดอง หากกินเยอะเกินไปจะทำให้อาการของโรค ... ทรุดหนักลงเร็วขึ้น" เดิมทีถังเยว่อยากบอกว่าความดันโลหิตสูง แต่ยากที่จะอธิบายคำนิยามของความดันโลหิตสูงให้อีกฝ่ายเข้าใจได้จึงละคำนั้นไว้

นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว ยังมีการรักษาด้วยเวชภัณฑ์ในแพทย์แผนตะวันตก เช่น แอสไพริน แต่ถังเยว์ไม่ได้พูดถึง ตั้งใจว่าเมื่อกลับไปจะลองเก็บสะสมออกซิเจนไว้หลายๆ ขวด เพื่อเตรียมมาใช้กับผู้ป่วยท่านนี้


 

109 ต่อให้เป็นอาหารโอชาเลิศรสเพียงใด ก็ไม่อาจเยียวยาความระทมทุกข์ใจของเขาได้

 

"เจ้าอายุยังน้อยอยู่แท้ๆ ก็สามารถเล่าเรียนจนมีความรู้ทางการแพทย์เช่นนี้ ยิ่งต้องเพิ่มความขยันหมั่นเพียร ห้ามทะนงตัวอวดดีเป็นอันขาด" หมอหลวงอูลูบเคราขณะกำชับถังเยว่

"ท่านสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว" ถังเยว่ประสานมือคารวะ แล้วพูดยิ้มๆ "ผู้น้อยมาครั้งนี้ยังมีอีกเรื่องอยากจะขอร้องท่าน"

หมอหลวงอูรอฟังอย่างอารมณ์ดี

"ผู้น้อยอยากคารวะท่านเป็นอาจารย์ เพื่อศึกษาและสืบทอดวิชาการแพทย์!"

ความคิดนี้ของถังเยว่ได้ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบ อยู่ในยุคนี้ หากอยากพัฒนาแพทย์แผนตะวันตกยังมีหนทางให้ต้องเดินอีกยาวไกลอันดับแรกคือต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากนั้นถึงจะเป็นวิชาแพทย์ ดังนั้นสิ่งที่เหมาะกับเงื่อนไขที่สุดก็คือแพทย์แผนจีน แล้วเสริมความรู้แพทย์แผนตะวันตกเข้าไป ผสมผสานทั้งจีนและตะวันตกจึงจะดีที่สุด

หมอหลวงอูหน้าเปลี่ยนสีอย่างฉับพลัน ตกตะลึงงันจนพูดไม่ออกคำพูดเมื่อครู่นี้ก็เรียกว่าเขาถือสิทธิ์ที่ตนอาวุโสกว่าดูแคลนผู้น้อยแล้ว หากรับถังเยว่เป็นศิษย์จริง องค์รัชทายาทจะมองเขาอย่างไร? ราษฎรเมืองเย่เฉิงจะมองเขาอย่างไร? ปวงประชาชาวหนานจิ้นจะมองเขาอย่างไร? นี่มิเท่ากับเป็นการหาเหาใส่หัวหรอกหรือ?

"เหตุใดเจ้าถึงมีความคิดเช่นนี้? วิชาการแพทย์ของเจ้าเหนือกว่าข้าข้าสอนเจ้าไม่ได้หรอก!" หมอหลวงอูส่ายหน้าปฏิเสธ

ถังเยว่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจเอ่ยถามหนึ่งคำถาม "ท่านหมอหลวงรู้สึกว่าไข้รากสาดน้อยควรรักษาเช่นไร?"

"ไข้รากสาดน้อย?" หมอหลวงอูนั่งตัวตรง ตอบอย่างเคร่งขรึม "ไข้รากสาดน้อยเป็นโรคที่พบได้โดยทั่วไปแต่ก็จัดเป็นโรคที่มีอาการซับซ้อนถ้าผู้ป่วยหนาวสั่นไปทั้งตัว ปวดศีรษะ ไอ เสมหะสีขาวเยอะ คัดจมูกแต่ไม่มีเหงื่อออก ชีพจรแน่นหรือเนิบช้า สามารถใช้ชงไป๋ ขิงแก่สดมาต้มแล้วดื่มหากมีอาการตัวร้อน ปวดศีรษะ ลำคอปวดบวม ไอ เสมหะเหลือง ลิ้นเป็นฝ้าขาวหรือเหลือง ปลายลิ้นแดง ชีพจรลอยต้องรักษาด้วยซางจวี๋ จินหยินฮวาและเหลียนเฉียว แต่ข้ายังเคยเห็นไข้รากสาดน้อยที่อาการรุนแรงยิ่งกว่าผู้ป่วยมีไข้หนาวสั่น ความร้อนไม่สูงมาก มีอาเจียน ถ่ายท้อง ปวดศีรษะปวดแขนปวดขา ไม่มีเหงื่อ ชีพจรลอย ใช้ตำรับยาทั้งสองขนานที่ว่ามาก็ยังไม่เห็นผล"

ถังเยว่เผลอทบทวนอาการที่ได้ฟังในใจรอบหนึ่ง แล้วเอ่ยตอบตามความเคยชิน "ที่ท่านว่ามาน่าจะเป็นโรคหวัดลงกระเพาะหรือโรคหวัดฤดูร้อนสามารถใช้ชางจู๋ เฉินผี โฮ่วพ่อ ไป๋จื่อ ฝูหลิง ต้าฟูผี เชิงป้านเซี่ย สารสกัดจากกานเฉ่า น้ำมันก่วงฮั่วเซียง น้ำมันจื่อซูเยี่ย ใช้น้ำขิงแห้งเป็นวัตถุดิบเสริมเคี่ยวเป็นน้ำฮั่วเซียงเจิ้งชี่ไว้ดื่มบรรเทาอาการ"

"โรคหวัดงั้นหรือ?"

"แค่ก เอ่อ หวัดเป็นคำเรียกอีกอย่างของไข้รากสาดน้อย"

"คุณชายอายุยังไม่มาก แต่กลับเข้าใจเภสัชศาสตร์เกินกว่าความรู้ที่ข้าได้ศึกษาค้นคว้ามาทั้งชีวิตเสียอีก ข้าเลื่อมใส!" หมอหลวงอูกล่าวพลางทอดถอนใจ

ถังเยว่กะพริบตาปริบๆ ทั้งที่ตั้งใจโยนคำถามเพื่อให้อีกฝ่ายตอบแสดงภูมิปัญญา แต่ตัวเองดันเผลอเสนอความเห็นที่ดูเหมือนมีวิชาเหนือกว่าไปได้ จึงรีบพูดแก้สถานการณ์อย่างอ่อนน้อม "ท่านหมอหลวงชมเกินไปแล้วผู้น้อยเพียงรู้จักเทียบยาแพทย์แผนจีนบ้างนิดหน่อย สมุนไพรก็รู้จักแค่ที่พบบ่อยอย่างเซิงป้านเซีย โฮ่วพ่อ แท้จริงแล้วไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวยาเหล่านั้นมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร"

หมอหลวงอูส่ายหน้าถอนหายใจ "ไม่กลัวถูกคุณชายหัวเราะเยาะบอกตามตรงว่า ข้าเกิดมาจนป่านนี้ก็ยังไม่เคยได้ยินชื่อสมุนไพรเหล่านี้มาก่อนเลย แต่แผ่นดินกว้างใหญ่ยังมีสมุนไพรอีกมากมายที่พวกเรายังไม่ค้นพบ"

ถังเยว่เองก็จนใจในเรื่องนี้ สมุนไพรหลายชนิดในตำราแพทย์แผนจีนมีหลายชื่อเรียก ระยะเวลาหนึ่งพันสองพันปีผ่านพ้น ของยังเป็นสิ่งเดิม แต่ชื่ออาจถูกเปลี่ยนไปหลายรอบแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นหากไม่รู้ย่อมไม่แปลก เขารีบกลับเข้าสู่ประเด็น "ผู้น้อยมีใจอยากเรียนรู้จากท่านหมอหลวงจริงๆความสามารถในการดู ดม ถาม แมะ และวิชาฝังเข็มของท่าน ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้น้อยอ่อนด้อยยิ่งนัก"

"หากคิดอยากเรียนจริงๆ ไม่จำเป็นต้องไหว้ครูฝากตัวเป็นศิษย์พวกเราสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ศึกษาวิชาของกันและกันก็ได้นี่"หมอหลวงอูหรี่ตา มีประกายวาววับอยู่ในดวงตาคู่นั้น

ตัวเขาเองก็อยากศึกษาวิชาการแพทย์ของถังเยว่มานานแล้วน่าเสียดายที่ตลอดมาทำใจบากหน้าไปขอเรียนตรงๆ ไม่ลง บัดนี้ชายหนุ่มเป็นฝ่ายมาหาเขาเองถึงบ้าน ไม่มีอะไรยอดเยี่ยมไปกว่านี้อีกแล้ว

ถังเยว่เองก็รู้สึกว่าข้อเสนอนี้ไม่เลวเลย จัดการหมอหลวงอูได้ก็เท่ากับจัดการหมอหลวงได้เกินครึ่งวัง ต่อไปหากมีเรื่องที่ไม่เข้าใจก็ไม่ต้องกลุ้มใจว่าไม่มีคนให้ปรึกษาอีกแล้ว

ในยุคนี้ไม่ใช่ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ที่หากมีเรื่องไม่เข้าใจก็สามารถค้นหาในไปตู้หรือในตำราได้ ทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญแต่ละแขนงวิชาคอยให้ความรู้ออนไลน์ แต่ยุคสมัยนี้ กระทั่งตำราวิชาการแพทย์สักเล่มยังหายากช่างน่าสงสารเสียจริง!

ถังเยว่มองม้วนไม้ไผ่ที่ถูกวางระเกะระกะอยู่ในห้องหนังสือ เขายิ้มกริ่มแล้วกล่าว "ผู้น้อยทราบว่าท่านหมอหลวงคงงานยุ่งมาก เช่นนั้นมิสู้ให้ผู้น้อยช่วยจัดเก็บห้องนี้ให้จะดีกว่าไหมขอรับ"

ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นตำราโบราณที่ขาดการสืบทอดไปแล้วก็เป็นได้น่าจะต้องมีตำรับยาลับหลายขนานเป็นแน่

หมอหลวงอูมองข้ามแผนการของเขา พยักหน้ากล่าวอย่างง่ายๆ "ในเมื่อคุณชายมีน้ำใจ เช่นนั้นก็ต้องรบกวนแล้ว"

สามารถให้หมอเทวดาชื่อเสียงเลื่องลือมาช่วยจัดห้องหนังสือให้หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเขาคงมีหน้ามีตาไม่น้อย ในใจทั้งสองต่างดีดลูกคิดรางแก้ว ในที่สุดก็บรรลุข้อตกลงอย่างสวยงาม

ด้วยเหตุนี้วันนั้นถังเยว่จึงไม่กลับบ้าน ถือโอกาสพักอยู่จวนหมอหลวงอูเป็นการชั่วคราว เขาจัดเก็บหนังสือม้วนใม้ไผ่ทั้งห้องจนเป็นระเบียบเรียบร้อย ประสิทธิภาพการทำงานของเขาทำให้หมอหลวงเฒ่าที่ไร้ความสามารถในด้านการจัดเก็บข้าวของถึงกับตะลึงงันตาค้าง

มองด้วยสายตาอาจเห็นว่าที่นี่แน่นขนัด แต่ความจริงแล้วกลับมีม้วนไม้ไผ่จำนวนไม่มากนักเพียงแต่เล่มหนึ่งกินพื้นที่เยอะเท่านั้น ถังเยว่ท่องตำรับยาที่ไม่เคยเห็นไว้หลายสิบอย่าง ตั้งใจว่าจะนำกลับไปศึกษาอย่างละเอียด

วันรุ่งขึ้น หมอหลวงอูพาคนอายุแตกต่างกันมาหาเขาร่วมสิบคนภายในนั้นมีสามคนที่เป็นหมอเปี่ยมประสบการณ์ คนที่เหลือเป็นหมอฝึกหัดที่เพิ่งเริ่มศึกษาเภสัชศาสตร์ได้ไม่กี่ปี

"ผู้เฒ่าทั้งสามนี้เป็นคนเก่าคนแก่ที่รู้จักกับข้ามานานหลายปี เรื่องฝีมือการรักษาไม่ต้องพูดถึง แต่น่าเสียดายที่ไปล่วงเกินผู้สูงศักดิ์เข้า จึงถูกปลดจากสำนักหมอหลวง หากคุณชายไม่รังเกียจ ก็รับพวกเขาไว้เถิด"หมอหลวงอูบอกเล่าละเอียดกระทั่งว่าทั้งสามไปล่วงเกินตระกูลไหนอย่างไม่คิดปิดบัง

ถังเยว่กลับไม่รู้สึกว่าจะมีปัญหาอะไร เป็นหมอยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ล่วงเกินผู้อื่น รักษาโรคไม่หายหรือวินิจฉัยผิดพลาด ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนก็กลายเป็นปมเหตุให้ความสัมพันธ์ระหว่างหมอและคนไข้ตึงเครียดได้

เขาคารวะท่านหมอทั้งสาม แล้วกล่าวว่า "ผู้อาวุโส หากพวกท่านไม่รังเกียจว่าร้านขายยาของข้าน้อยเล็กนัก เช่นนั้นต้องรบกวนขอความช่วยเหลือจากพวกท่านแล้ว"

"คุณชายกล่าวหนักไปแล้ว"

หมอทั้งสามท่านนี้เป็นผู้มีความสามารถแต่ไม่มีโอกาสแสดงฝีมือวันนี้ยังมีคนเชื่อถือในฝีมือการรักษาโรคของพวกเขา นับว่าเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องคุณงามความดีผลสำเร็จของคุณชายถังท่านนี้พวกเขาเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างแล้ว ผู้ที่ถูกยกย่องให้เป็นหมอเทวดาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันหาใช่ไม่เคยมี แต่คนที่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงกลับมีไม่มาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุคคลที่กุเรื่องเล่าลือกันไปเอง แต่คนที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นผู้รักษาโรคที่เหล่าหมอหลวงอย่างพวกเขาไร้กำลังความสามารถที่จะรักษาให้หายได้จริง

"ขอบคุณคุณชายที่ให้ความสำคัญ หากมีสิ่งใดที่จะนำความไม่สะดวกมาแก่ท่าน เชิญท่าน ... " หมอชรารูปร่างผอมดำคนหนึ่งเหมือนมีบางสิ่งอยากพูด แต่กลับหยุดชะงักค้างไว้แค่นั้น

หมอหลวงอูซึ่งอยู่ข้างๆ กล่าวแนะนำตัวแทน "ท่านหมอผู้นี้แซ่เฉินมีนามว่าเจียง เชี่ยวชาญในด้าน...นรีเวชศาสตร์ เมื่อสามปีก่อน อนุของหลู่กั๋วกงคนหนึ่งคลอดบุตรยาก ได้เชิญหมอหลวงเฉินไปดูอาการ ผลลัพธ์คือไม่อาจยื้อชีวิตทั้งแม่และลูกไว้ได้ กั๋วกงโมโหมากสั่งให้สังหารหมอหลวงเฉินยังดีที่ข้าตามไปทัน จึงสามารถรักษาชีวิตของเขาไว้ได้"

หมอหลวงเฉินทอดถอนใจอย่างหนักหน่วง "ขอบคุณที่ใต้เท้าเมตตาช่วยชีวิตข้าไว้ เฮ้อ ตอนนั้นข้า ... เลือกหนทางพลาดไปจริงๆ"

ในยุคนี้หมอสูตินรีเวชที่เป็นผู้ชายมีน้อยกว่าน้อย ต่อให้มีฝีมืออยู่จริงก็ไม่มีใครกล้าเชิญพวกเขาไปวินิจฉัยถึงที่บ้าน แม้จะบอกว่าแนวคิดของประชาชนหนานจิ้นค่อนข้างเปิดกว้าง การห้ามไม่ให้บุรุษสตรีข้องแวะกันก็มิได้เข้มงวดกวดขันนัก ทว่าการรักษาด้านนรีเวชต้องเปลื้องผ้าถอดกางเกงต่อให้สังคมเปิดกว้างเพียงใดก็ยังไม่อาจยอมรับถึงขั้นนั้นได้อยู่ดี

ต่อให้เป็นยุคปัจจุบันก็มีผู้ป่วยหญิงจำนวนไม่น้อยที่ไม่ชอบไปหาหมอสูตินรีเวชที่เป็นผู้ชาย เพราะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างไรชอบกล

ถังเยว่ดวงตาเป็นประกายวาววับ คว้ามือหมอหลวงเฉินมากุมไว้แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจ "คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า ผู้น้อยจะมีโอกาสได้พบหมอสูตินรีเวชมือฉมัง ต่อไปวันหน้าสุขภาพน้องสาวที่บ้านผู้น้อยคงต้องฝากให้ท่านหมอหลวงเฉินช่วยดูแลด้วย"

"คุณชายยกย่องเกินไปแล้ว อีกอย่าง ข้าน้อยหาใช่หมอหลวงอีกต่อไป ท่านเรียกข้าว่าหมอเฉินก็พอ"

"ฮ่าๆ ... ได้ ท่านหมอเฉิน เช่นนั้นพวกเรามาหารือเรื่องค่าตอบแทนกันดีกว่า"

ถังเยว์รีบตกลงว่าจ้างพวกเขาทันที ไม่เพียงแค่หมอทั้งสาม ยังมีหมอฝึกหัดอีกเจ็ดคน เป็นบุคลากรที่ผ่านการฝึกฝนเรียนรู้มาแล้วหลายปีล้วนปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้เป็นอันขาด

ในมือถังเยว่มิได้ขาดแคลนเงินทอง จึงเสนอราคาอย่างใจป้ำ ให้เงินเดือนสูงยิ่งกว่าที่หมอหลวงอูได้รับเสียอีก นอกจากนี้ยังมีเงินบำเหน็จปลายปีและค่าฉลองเทศกาลต่างๆ อีกทั้งยังมีวันหยุดเดือนละสี่วัน นับเป็นสวัสดิการที่วิเศษมาก

ทุกคนรีบรับลงนามในสัญญาร่วมงานกับถังเยว่ทันที แต่ละคนมีสัญญาในมือคนละฉบับ ถังเยว่นัดหมายกับพวกเขาว่าพรุ่งนี้ให้มาทำความคุ้นเคยกับสถานที่ก่อน พอดีกับที่สมุนไพรชุดแรกจะถูกส่งมา จะได้ช่วยกันปรุงและจัดตู้ยา

ตอนเที่ยง ถังเยว่กำลังตรึกตรองว่าจะลงมือทำอาหารเองเพื่อมัดกระเพาะของคนเหล่านี้ให้อยู่หมัดดีหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าจะมีกับข้าวกับปลาส่งมาให้ถึงที่

ยามเฝ้าประตูหน้าจวนหมอหลวงอูพาคนเข้ามาด้วยสีหน้างุนงงพอดูดีๆ แล้วยังพบว่าแข้งขาของเขาดูอ่อนปวกเปียก

"นี่เป็นอาหารที่ส่งมาจากร้านไหนหรือ?" หมอหลวงอูอายุมากลูกหลานมิได้อยู่ข้างกาย บางครั้งก็สั่งอาหารมาจากข้างนอก ยามเฝ้าประตูอ้ำอึ้งอยู่นานมากกว่าจะพูดออกมาได้

"เห็นบอกว่า ... บอกว่าส่งมาจากจวนรัชทายาทขอรับ"

ถังเยว่เดินไปดู เห็นสองคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาหาบคานซึ่งห้อยกล่องอาหารกล่องใหญ่เข้ามา ดูละลานตาไปหมด

'เหอะๆ นี่เป็นห่วงว่าเขาจะหิวหรืออย่างไรกันแน่?'

"คุณชาย ฝ่าบาทรับสั่งให้บ่าวนำอาหารมาส่งให้คุณชายและหมอหลวงทุกท่านขอรับ ฝ่าบาทยังรับสั่งอีกว่าท่านหารือกันเรื่องวิชาการแพทย์นั้นเป็นเรื่องดี แต่ก็ต้องถนอมสุขภาพด้วย พิธีมงคลสมรสใกล้เข้ามาแล้ว อย่าปล่อยให้ตัวเองเหนื่อยจนถึงขั้นล้มป่วย มีธุระสิ่งใดใช้ให้บ่าวไปทำแทนก็ได้"

ทุกคนฟังบ่าวไพร่ผู้นั้นรายงานทุกถ้อยคำจนจบด้วยอาการตกตะลึงจากนั้นก็ลอบชำเลืองมองถังเยว่ แอบคิดในใจว่ารัชทายาทที่บ่าวไพร่ผู้นี้กล่าวถึง ใช่คนเดียวกับที่พวกเขารู้จักจริงหรือ?

ถังเยว่หน้าเห่อร้อน กำลังจะอ้าปากตอบกลับก็ถูกหมอหลวงอูฉุดเข้าไปถาม "ใกล้พิธีมงคลสมรส? คุณชายใกล้จะแต่งงานมีเหย้าเรือนแล้วหรือ ขอแสดงความยินดีด้วย!" เขากล่าวพลางทำท่าจะรี่ไปเปิดหีบเตรียมของขวัญแสดงความยินดี แต่ถูกเพื่อนเก่าดึงมือไว้ ยื่นหน้ากระซิบกระซาบข้างหูสองสามประโยค ทุกคนเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของหมอหลวงอูที่ตอนนี้ดวงตาแทบถลนออกจากเบ้า

"เหอะๆ ... " ถังเยว่ลูบจมูก แล้วบอกกับทุกคน "เรามากินข้าวกันก่อนเถอะ พ่อครัวจากจวนรัชทายาทมีชื่อเสียงขจรขจายเลื่องลือ เชิญทุกคนมาชิมด้วยกันสิ"

เรื่องนี้ยังต้องให้พูดอีกหรือ ทุกคนต่างได้กลิ่นหอมโชยกรุ่นมาแต่ไกลมิหนำซ้ำผู้คนข้างนอกต่างเล่าลือถึงพ่อครัวจวนรัชทายาทอย่างมหัศจรรย์พันลึก ถึงขั้นกล่าวว่าเทียบกันกับพ่อครัววังหลวงแล้วยังเหนือชั้นกว่าตั้งไม่รู้กี่ขั้น

และเพราะการที่เล่าลือกันถึงเพียงนี้ รัชทายาทเจาจึงจำต้องยกพ่อครัวสองคนถวายตัวเข้าไปในวัง เพื่อมิให้ข่าวลือถูกแพร่สะพัดไปในทางลบอีก

"พระชายา ... ข้าเสียมารยาทแล้วจริงๆ" หมอหลวงอูโค้งคำนับ สีหน้าตื่นตระหนก ในใจเต็มไปด้วยความว้าวุ่นสับสน

แม้ถังเยว่จะเป็นบุรุษ แต่อย่างไรก็เป็นถึงว่าที่พระชายาในอนาคตมากินอยู่ที่บ้านเขาเช่นนี้ได้อย่างไร ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าในใจองค์รัชทายาทจะคิดเห็นเป็นเช่นไรบ้าง

หมอหลวงอูอยู่มาจนอายุปูนนี้ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าทำพลาดพลั้งโดยสิ้นเชิง ช่างน่าเวทนาอะไรเยี่ยงนี้!

ฉับพลันนั้นเขามีความคิดอยากจะไล่ตะเพิดตัวปัญหาออกไป แต่เพราะมีคนอื่นอยู่ด้วย จึงไม่อาจเอ่ยปาก ได้แต่กินข้าวร่วมโต๊ะไปทั้งอย่างนั้นทว่าในเวลานี้ ต่อให้เป็นอาหารโอชาเลิศรสเพียงใด ก็ไม่อาจเยียวยาความระทมทุกข์ใจของเขาได้


 

110 คงมิใช่หลอกลวงกันหรอกนะ

 

ถังเยว่พักอยู่จวนหมอหลวงอูสามวัน ระหว่างนี้หมอหลวงอูถูกรัชทายาทเจามีรับสั่งเรียกตัวให้เข้าเฝ้าสองครั้ง แจ้งเหตุผลว่าเพื่อให้ไปตรวจร่างกายองค์รัชทายาท แต่ความจริงคือเรียกไปสอบถามความเป็นอยู่ของถังเยว่

หมอหลวงอูผู้น่าสงสารอายุปาเข้าไปปูนนี้แล้ว ยังต้องเข้าไปพัวพันกับชีวิตรักของพวกคนหนุ่ม ทุกครั้งที่กลับมามักจ้องมองถังเยว่ด้วยสายตาที่ต่างออกไป ในใจคิดสงสัยว่า 'เจ้าเด็กนี่คงต้องสั่งสมบุญวาสนามาแปดชาติกระมัง ชาตินี้ถึงได้โชคดีเช่นนี้'

สามวันให้หลัง สมุนไพรชุดแรกถูกส่งมาถึง ถังเยว่พาคนงานใหม่ของเขากับหมอหลวงอูซึ่งเรียกได้ว่าในตอนนี้เป็นสหายต่างวัยกลับไปที่ร้านขายยา

ป้ายร้านทำเสร็จและแขวนขึ้นเรียบร้อยแล้ว แต่ยังคลุมไว้ด้วยแพรแดง ถังเยว่ตั้งใจจะทำตามพิธีเปิดกิจการใหม่ของคนยุคปัจจุบัน ทำพิธีตัดริบบิ้นแล้วค่อยเปิดป้าย จากนั้นก็จัดกิจกรรมการกุศลตรวจรักษาแบบไม่เก็บเงินสามวัน แล้วค่อยจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ฉลองเปิดกิจการ

สมุนไพรกองอยู่ในโกดังของเรือนด้านหลัง ถังเยว่พาทุกคนเดินเข้าไป กลิ่นหอมสดชื่นของสมุนไพรคละคลุ้งปะปนอยู่ในอากาศ ทำให้ผู้เฒ่าทั้งหลายต่างคลี่ยิ้ม

"คาดว่าคุณชายคงเป็นเจ้าของกิจการสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดของหนานจิ้นแล้ว" สูตินรีแพทย์นามหมอเฉินลูบเคราแล้วเปรยขึ้น

การค้าขายในยุคนี้ยังไม่รุ่งเรืองเฟื่องฟูนัก พ่อค้าวาณิชแม้มีมากมายแต่ก็ทำได้เพียงกิจการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ส่วนกิจการขนาดใหญ่ที่ซื้อสินค้าหนานเป่ยมาขายต่อเพื่อเก็งกำไร ล้วนต้องมีเหล่าชนชั้นสูงให้การสนับสนุน

ทว่าจนบัดนี้ก็ยังไม่มีคนปลูกสมุนไพรในปริมาณมาก ฉะนั้นแหล่งที่มาของสมุนไพรจึงไม่แน่ไม่นอน ร้านขายยาส่วนใหญ่ขายแค่สมุนไพรพันธุ์ที่รับซื้อได้ในท้องถิ่นเพื่อใช้รักษาโรคทั่วไปเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

เชวี่ยยกกล่องไม้ใบหนึ่งเข้ามาแล้วคลี่ยิ้มกว้างหน้าบานเป็นดอกเบญจมาศ "นายน้อย โชคดีที่ทำตามคำสั่งได้สำเร็จ จากการรวบรวมครั้งนี้ได้สมุนไพรมากกว่าร้อยชนิด นี่เป็นใบรายการขอรับ"

"จ่ายเงินหมดแล้วหรือยัง?"

"ล้วนชำระหมดแล้วขอรับ ทองคำที่ท่านให้มาก็ใช้ไปพอสมควรแล้วเช่นกัน" เชวี่ยอธิบายก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย "มีภูเขาลูกหนึ่งมีต้นมั่นถัวหลัวขึ้นอยู่เต็มไปหมด บ่าวเคยได้ยินท่านบอกว่าสมุนไพรชนิดนี้สำคัญมาก จึงตัดสินใจเองโดยพลการด้วยการซื้อภูเขาลูกนั้นไว้ทั้งหมดจ่ายไปเป็นเงินสามสิบตำลึงทองขอรับ"

ถังเยว่ตบบ่าเชวี่ยแรงๆ แล้วกล่าวชม "เยี่ยม!" อยู่หลายคำ ช่างเป็นลูกน้องที่ทำงานได้ยอดเยี่ยมจริงๆ ตัดสินใจทำได้ถูกต้องที่สุดแล้ว

ที่ดินยุคนี้ราคาไม่แพง แต่ก็เพียงสำหรับชนชั้นสูงเท่านั้น ในสายตาปุถุชนคนธรรมดา เงินสามสิบตำลึงทองไม่แน่ว่าใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังหาได้ไม่ถึง

"ต้นมั่นถัวหลัว?" หมอหลวงอูไม่เคยได้ยินสมุนไพรชื่อนี้ ด้วยความสนใจใคร่รู้ จึงเอ่ยถาม "สมุนไพรชนิดนี้มีประโยชน์อะไรหรือ?"

ถังเยว่เล่าอย่างย่อว่ามั่นถัวหลัวสามารถนำมาสกัดทำยาสลบได้จากนั้นก็พาอีกฝ่ายไปดู หมอหลวงอูพอได้เห็นก็ร้อง "เอ๋?" ออกมาคำหนึ่ง "นี่มันซานเฉียจื่อมิใช่หรือ แต่มันเป็นพืชมีพิษนี่!"

ถังเยว่รู้เพียงว่ามั่นถัวหลัวเป็นพืชวงศ์มะเขือ ส่วนมีชื่อเรียกว่าซานเฉียจื่อหรือไม่นั้นเขาก็มิอาจรู้ได้

"ต้นมั่นถัวหลัวทั้งต้นมีพิษ ทว่าใบ ดอก เมล็ดล้วนสามารถใช้เป็นยาได้ รสเผ็ด ธาตุร้อน สรรพคุณทางยาคือระงับปวด ทำให้ชาหรือสลบแก้ไอ ลดอาการหอบหืด รักษาสิวบนใบหน้า ไส้ตรงปลิ้น โรคข้ออักเสบรอยฟกช้ำดำเขียว แน่นอนว่าผู้น้อยคิดจะนำมาใช้ผลิตยาชาเป็นหลัก"

"ยาชา?" หมอหลวงอูฉีกใบมั่นถัวหลัวมาชิ้นหนึ่งแล้วส่งเข้าปากเพียงไม่นานก็รู้สึกชาๆ อย่างที่คาด หากใช้ในปริมาณที่พอเหมาะอาจสามารถใช้เป็นยาชาได้จริง แต่เขายังคงรู้สึกว่าใช้เข็มทองฝังลงไปบนจุดชีพจรถึงจะปลอดภัยที่สุด ของมีพิษแบบนี้หากใช้ไม่ระวังอาจพลาดพลั้งทำให้ผู้ป่วยถูกพิษได้โดยง่าย

การใช้สมุนไพรจีนเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งมากแขนงหนึ่ง 'คัมภีร์เสินหนงเปิ้นเฉ่าจิง' เขียนไว้อย่างมีเหตุมีผลว่ายาใดมีพิษไร้พิษ การตากในที่ร่มและตากใต้แสงตะวัน ดิบและสุก สถานที่ปลูก เวลาที่เก็บเกี่ยว ของจริงของปลอม ของเก่าของใหม่ ทั้งหมดล้วนส่งผลที่แตกต่าง หากมีพิษแต่นำไปใช้อย่างเหมาะสม จะเป็นการใช้พิษข่มพิษ แต่อย่านำมาใช้ปะปนกัน

มียาหลายชนิดต้องเผา กลั่น อบ ย่าง ใช้แบบสุกหรือดิบล้วนมีข้อกำหนดที่แน่นอน ใช้เปลือกหรือเนื้อใน ใช้รากตัดกิ่ง ใช้ดอกใช้ผล ล้วนขึ้นอยู่กับตำรับยา เลือกใช้ตามลักษณะที่แตกต่างกัน อย่างเช่นขิง เป็นของที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยดีอยู่แล้ว ทว่าในฐานะสมุนไพร ขิงสดกับขิงแห้งก็มีวิธีใช้ที่ไม่เหมือนกัน แบบปอกเปลือกกับใช้ทั้งเปลือกก็ใช้ต่างกัน เป็นรายละเอียดที่ประณีตพิถีพิถันมาก

 

ครึ่งเดือนผ่านไป คนทั้งกลุ่มต้องกินนอนอยู่ที่ร้านขายยา จึงสามารถจัดการกับสมุนไพรทั้งหมดได้ครบถ้วน สมุนไพรบางชนิดแค่ตากแห้งมาแล้วเท่านั้น ยังต้องผ่านกรรมวิธีจัดการ บางชนิดเกิดความชื้นในระหว่างทาง ต้องนำไปอบแห้ง ผึ่งแดดใหม่

ถังเยว่สั่งให้คนนำยาที่ต้องใช้ประจำจัดใส่ไว้ในตู้ที่สามารถหยิบฉวยได้ง่าย ส่วนที่ไม่ค่อยได้ใช้ก็ให้เอาไปไว้ในตำแหน่งที่สูงหรือไม่ก็เตี้ย สมุนไพรบางอย่างที่มีความเป็นพิษสูงก็ไม่ใส่ไว้ในตู้ แต่ไปเก็บไว้ในห้องเล็กแยกต่างหาก ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้ต้องผ่านความเห็นชอบจากหมอทั้งสามท่านก่อนจึงจะสามารถหยิบมาใช้ได้ กระบวนการจัดยาต้องระมัดระวังและรอบคอบ ห้ามเกิดความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย

กระทั่งถึงต้นเดือนสิบสอง อากาศหนาวจัด ตื่นนอนตอนเช้ายังสามารถเห็นน้ำค้างแข็งปกคลุมอยู่บนหลังคาและยอดหญ้า ถังเยวชินกับการใช้เครื่องทำความร้อนในช่วงฤดูหนาว แต่พอต้องมาอยู่ในยุคโบราณที่มีสภาพดั้งเดิมเช่นนี้ ฤดูหนาวอยู่ยากเป็นพิเศษอย่างเห็นได้ชัด

เขาสวมชุดคลุมขนแกะตัวหนา นั่งรถม้าจากบ้านไปร้านขายยาวันนี้มีพิธีเปิดร้าน รัชทายาทเจาสั่งให้คนดูฤกษ์มงคลให้ บอกว่ายามเฉินสามเค่อเป็นช่วงเวลาเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยที่สุด

เพิ่งเลี้ยวออกจากจวนโหว ก็เห็นรถม้าจากจวนรัชทายาทจอดอยู่เบื้องหน้า สีเรียบไม่สะดุดตา แต่ถังเยว่จำคนขับรถม้ากับหน่วยองครักษ์ผู้ติดตามได้

"คุณชาย ยินดีด้วย เปิดกิจการขอให้การค้ารุ่งเรืองเป็นศิริมงคล"หูจินเผิงยื่นกิเลนทองคู่หนึ่งให้ "ที่ท่านเปิดคือร้านขายยา พี่ชายจะไม่อวยพรให้เงินไหลนองทองไหลมาหรอกนะ มิฉะนั้นหายนะจะไปตกอยู่ที่ชาวเมืองเย่เฉิง"

"ขอบคุณ ขอบคุณ" ถังเยว่ก้าวขึ้นรถม้าของจวนรัชทายาท เพิ่งเปิดประตูก็ถูกไอร้อนปะทะใส่จนอุ่นไปทั้งตัว "รถม้าของฝ่าบาทอบอุ่นดีจริง"ถังเยว่ถูมือแล้วมุดเข้าข้างใน หมวกขนปุยใบหนึ่งถูกสวมลงบนศีรษะเขาทันที

"ดูแลร่างกายให้อบอุ่น อย่าปล่อยให้ไม่สบาย"

ที่จริงหลี่เจาคิดอยากกอดอีกฝ่ายเอาไว้ในอกด้วยซ้ำ แต่ตระหนักได้ว่าถังเยว่ถูกห่อจนมีสภาพเหมือนลูกหนังขนาดนี้แล้ว จึงไม่ได้ทำดังที่คิด เขากุมมือถังเยว่เพื่อแบ่งปันไออุ่นให้อีกฝ่ายสักพัก จึงค่อยเอ่ยถาม "เหตุใดถึงต้องปฏิเสธความหวังดีของข้า ส่งพ่อครัวพวกนั้นคืนกลับมา"

"จะใช้งานพ่อครัวจากจวนฝ่าบาทส่งเดชได้อย่างไร หากได้กินอาหารโอชะเลิศรสจนชิน ต่อไปวันหน้าทุกคนต่างอยากขอยืมตัวพ่อครัวของฝ่าบาทขึ้นมาจะทำเช่นไร?"

เดิมทีถังเยว่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะจัดงานเลี้ยงในร้านตัวเอง ยุคนี้ยังไม่นิยมจัดงานเลี้ยงตามโรงแรม แน่นอนว่าโรงแรมก็ไม่มีด้วย มีแต่ร้านอาหารซึ่งมีขนาดเล็กแค่ไม่กี่โต๊ะ ดังนั้นเขาจึงเตรียมอาหารแบบบริการตัวเองไว้ที่ลานว่างด้านหลังร้าน มีรายการอาหารเนื้อย่างมากหน่อย ทำสลัดผักจานโตไว้อีกหลายจาน กับผลไม้ถาดใหญ่ พร้อมกับมีสุราดีอีกหลายไห ทำกับแกล้มอีกสองสามอย่าง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว สุราที่จักรพรรดิพระราชทานให้เมื่อครั้งก่อนเขายังไม่ได้แตะสักหยด เก็บไว้เพื่อรอมาเปิดผนึกในวันนี้

กระทั่งมาถึงหน้าประตูร้านขายยา พบว่ามีแขกเหรื่อมาเช้ากว่าเขารถม้าหลายคันจอดเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ตรงประตูทางเข้าร้านขายยา

ถังเยว่ก้าวลงจากรถม้า มองไปรอบๆ เห็นชาวบ้านมามุงดูกันไม่น้อยแต่ละคนหดคอซุก สวมเสื้อผ้าไม่ได้หนาเลยสักนิด ใบหน้าซีดเซียวเพราะอากาศอันเหน็บหนาว

เขาเดินเข้าไปสองสามก้าว แล้วกล่าวเสียงดัง "พ่อแม่พี่น้องทุกท่านวันนี้ร้านขายยาของข้าน้อยเปิดกิจการวันแรก จะรักษาเพื่อการกุศลไม่เก็บเงินสามวัน พร้อมกับแจกยาทาแก้หิมะกัดให้ไม่คิดเงิน มาก่อนได้ก่อนนอกจากนี้ยังสามารถมารับสุรามงคลไปดื่มได้เลย"

ร้านขายยาของถังเยว่ตระเตรียมมาระยะหนึ่งแล้ว เอิกเกริกจนรู้กันทั่วทั้งเมืองเย่เฉิง บวกกับชื่อเสียงของหมอเทวดา จึงมีคนเฝ้ารอวันนี้กันเป็นจำนวนมาก

ทันทีที่ทุกคนได้ยินว่ารักษาการกุศล แถมยังมียาทาแจกให้แบบไม่คิดเงิน ใบหน้าต่างยิ้มระรื่นโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าลมหนาวในเหมันตฤดูนี้ไม่ได้หนาวเหน็บอีกต่อไป

ชายชราผู้หนึ่งอุ้มเด็กแทรกฝูงชนเข้ามา คุกเข่าลงตรงหน้าถังเยว่

"ท่านหมอเทวดา ช่วยรักษาหลานข้าทีจะได้หรือไม่?"

ผู้เฒ่ารายนี้มาจากแดนไกล เงินที่มีติดตัวมาใช้หมดไปนานแล้วอยากหาหมอขอรับการรักษาแต่ก็จนปัญญา พอได้ยินข่าวลือเรื่องเล่าเกี่ยวกับหมอเทวดาก็รีบดั้นด้นมาเผื่อจะโชคดี ตอนแรกลังเลไม่กล้าเข้ามาพอได้ยินว่ารักษาการกุศลก็ไม่ชักช้าพิรี้พิไรอีกต่อไป

จ้าวซานหลางก้าวมายืนข้างหน้าถังเยว่อย่างองอาจผึ่งผาย

"เฮ้! ตาเฒ่า ร้านขายยาแห่งนี้ยังไม่เปิดกิจการ ไปรอข้างๆ ก่อน!"

"คุณชายท่านนี้ ข้ารอได้ แต่หลานชายที่น่าสงสารของข้าเขารอไม่ไหว ... เขา ... เขา ... "

ถังเยว่ดันจ้าวซานหลางให้หลบไปด้านข้าง ยอบกายลงจับชีพจรของเด็กชายคนนั้น เพียงปลายนิ้วแตะก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งแม้ผู้เป็นปู่ของเด็กน้อยจะใช้ผ้าห่อตัวเขาไว้ ก็ไม่สามารถต้านทานความหนาวได้เลย

เมื่อมองพิจารณาจนทั่วจึงสังเกตเห็นว่าทั้งสองไม่ได้สวมรองเท้าเท้าของพวกเขาทั้งแดงและบวม มีรอยแตกอยู่หลายจุด ถังเยว่ทอดถอนใจ "อุ้มเขาเข้าไปข้างในก่อนเถอะ ด้านนอกอากาศหนาวเกินไป"

เขาลุกขึ้นยืน สั่งให้หมอฝึกหัดพาผู้เฒ่าเข้าไปด้านใน แล้วเดินไปตรงหน้าหลี่เจากล่าวอย่างลังเล "ฝ่าบาท ช่วยอะไรกระหม่อมสักอย่างได้หรือไม่?"

วันนี้หลี่เจาแต่งกายด้วยชุดคลุมบุนวมสีแดงอมม่วง คลุมทับด้วยเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวดุจหิมะ สิริโฉมงดงามแม้ปราศจากรอยแย้มยิ้มแม้เศษเสี้ยว แต่ในใจถังเยว่คิดว่ามองแล้วก็ชวนให้รู้สึกน่ารักน่าชังไม่น้อย

เขาไม่เกรงกลัวรัศมีดุดันของอีกฝ่าย คลี่ยิ้มกว้างและชี้ไปยังผ้าแพรสีแดงที่คลุมป้ายประตูเอาไว้

"สิ่งนี้ต้องขอมอบให้ฝ่าบาทจัดการแล้ว มีผู้เปี่ยมบารมีเช่นฝ่าบาทมาช่วยทำพิธีเปิดป้ายให้ร้านขายยาของกระหม่อมเช่นนี้ ถือเป็นเกียรติอันใหญ่หลวงที่สุด!"

หลี่เจากุมมือเขาแล้วบอก "ข้าจะให้เคอพาคนไปช่วย ครั้งนี้ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด"

ถังเยว์รีบพยักหน้า เขาเป็นห่วงว่าวันนี้จะยุ่งมากจนรับมือไม่ไหวจึงตั้งใจพาหน่วยองครักษ์ของตัวเองมาช่วยโดยเฉพาะ ต่อให้คนพวกนี้ไม่รู้วิชาแพทย์ อย่างน้อยก็สามารถช่วยต้มน้ำเคี่ยวยาได้ เขาหันไปพูดกระเซ้าเคอประโยคหนึ่ง "จำไว้ให้ดีว่าห้ามโผล่หน้าเข้าไปในห้องตรวจรักษา ถ้าเห็นเลือดแล้วหมดสติไปอีก ข้าไม่มีเวลามาดูแลเจ้านะ"

เคอหน้าแดงกระอักกระอ่วน ก้มหน้าจ้องมองรองเท้าตัวเองพูดเสียงอ่อย "ข้าน้อยจะไม่เป็นภาระรบกวนคุณชายอย่างแน่นอนขอรับ!"

ถังเยว่หันหลังเดินเข้าไปด้านใน หมอหลวงอูและหมอคนอื่นๆ ก็รีบเดินตามเข้าไป ด้านนอกต่อให้ครึกครื้นเพียงใดก็ราวกับว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขาแล้ว เขาสั่งให้คนเผาถ่านเข้ามาสองกระถาง เปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมสีขาว แล้วหิ้วล่วมยาเดินเข้าห้องตรวจ

ชายชรารอจนเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ใบหน้าผอมเหลืองซูบตอบเต็มไปด้วยความกังวล มีเพียงตอนที่หันมาเห็นถังเยว่ถึงมีสีหน้ายินดีขึ้นหลายส่วน

"ท่านผู้เฒ่าไปรอข้างนอกก่อนเถิด เดี๋ยวผลสรุปออกมาแล้วข้าจะรีบแจ้งให้ท่านทราบทันที" ถังเยว่ให้คนเชิญเขาออกไปข้างนอก จากนั้นก็สวมถุงมือเริ่มทำการตรวจ

เขาสั่งให้คนถอดเสื้อและกางเกงของเด็กชายคนนั้นออกจนหมดเริ่มจากการสำรวจว่ามีบาดแผลที่เห็นได้ชัดเจนหรือไม่ "คนไข้สูงร้อยห้าสิบโดยประมาณ อายุสิบสามปีโดยประมาณ เพศชาย มีรอยซ้ำม่วงทั่วตัว มีแผลหิมะกัดชัดเจน ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอมาเป็นเวลานาน ท้องแห้งแบนคงไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว หลัง หน้าอกและต้นขาปรากฏรอยแผลเป็นที่สมานตัวแล้ว สงสัยว่าจะถูกของแข็งทำร้าย ผู้ป่วยมีไข้ ตัวร้อนสูง จากที่ใช้มือวัดอุณหภูมิได้น่าจะราวสามสิบเก้าองศา มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นไข้เพราะอากาศที่หนาวเย็น แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจเกิดจากการอักเสบภายในร่างกาย"

เขาเลือกผู้ช่วยมาสองคน คนหนึ่งคือเหอจากจวนลี่หยางโหวเด็กผู้ชายที่เขาได้พบเป็นคนแรกหลังจากที่เข้าเมืองมา ส่วนอีกคนเป็นหนึ่งในเจ็ดหมอฝึกหัด มีนามว่าเซี่ยงอัน บิดาเป็นหมอชันสูตรศพที่มีชื่อเสียงของหนานจิ้น

"พวกเจ้าต้องจดบันทึกคำพูดของข้าทุกประโยค เข้าใจไหม?" ถังเยว่กำชับอีกครั้ง

ทั้งสองพยักหน้า มือเล็กกำพู่กันเขียนลงบนม้วนไม้ไผ่ที่ทั้งหนาและหนักอย่างรวดเร็ว แม้ตัวอักษรจะดูหวัดไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็สามารถเขียนได้เร็ว ตามคำพูดของถังเยวได้ทัน

ถังเยว่เปิดเปลือกตาเด็กชายคนนั้นเพื่อตรวจดูลูกนัยน์ตา ต่อมาก็ตรวจจมูก ปาก ลิ้น หู มือและเท้า พลิกดูอย่างละเอียดทีละจุด

หมอหลวงอูลอบพยักหน้า ตามหลักการ 'ดู ดม ถาม แมะ' คุณชายถังทำการ 'ดู' แล้ว ไม่รู้ว่าต่อจากนี้เขาควรวินิจฉัยเช่นไรต่อ

"ไปเรียกผู้เฒ่าท่านนั้นมาหน่อย ข้ามีเรื่องอยากจะถาม"

ทันทีที่ชายชราเข้าประตูมาก็โผมาที่ข้างเตียงอย่างตื่นเต้น คิดว่าถึงมือหมอเทวดาแล้วหลานของเขาจะต้องหายดีในทันใด แต่ใครจะรู้ว่าหลานของเขายังคงมีสภาพหายใจออกมากกว่าหายใจเข้า หัวใจชายชราพลันหนาวสะท้านไปทั้งดวง

"ท่านหมอเทวดา ... นี่ ... " คงมิใช่หลอกลวงกันหรอกนะ?

ถังเยว่ปลอบอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม "อย่าเพิ่งใจร้อน ข้าขอถามท่านสักสองสามคำถามก่อน หลานชายของท่านอาศัยอยู่ร่วมกับท่านมาตั้งแต่เล็กใช่หรือไม่?"

ชายชราพยักหน้า "ตั้งแต่เขาเกิดมา บุตรชายผู้แสนอายุสั้นของข้าตายในสนามรบที่ชายแดน แม่แท้ๆ ของเขาทนความลำบากไม่ไหวจึงแต่งงานใหม่ไปแล้ว พวกเราสองปู่หลานอยู่กันตามมีตามเกิด"

"ปกติท่านตีเขาบ้างหรือไม่?"

แววตาชายชราเจือความระแวงขณะส่ายหน้ารัว "ไม่เคยเลยขอรับ"

"ท่านปู่ หากท่านไม่ให้ความร่วมมือ พวกเราก็ไร้หนทางที่จะรักษาหลานของท่านให้หายได้" ถังเยว่เดินมาข้างเตียง ชี้ไปยังรอยแผลเป็นบนแผ่นหลังและน่องของเด็กน้อยแล้วถาม "รอยแผลพวกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?"

"นี่ ... ปกติข้างานยุ่ง ละเลยที่จะดูแลเอาใจใส่ ปล่อยให้หลานชายถูกรังแก"

ถังเยว่รู้ว่าเรื่องราวคงไม่ได้ง่ายดายแบบนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าชายชราปิดบังไม่ยอมพูดความจริง อีกอย่างดูจากท่าทางลนลานแล้วไม่เหมือนว่าเขาเป็นคนทุบตี

"ให้น้ำเกลือเขาก่อน ป้อนน้ำอุ่นเล็กน้อย แล้วก็ไปเคี่ยวโจ๊กใสมาหนึ่งถ้วย ... ให้คนเอาผ้าชุบน้ำร้อนช่วยเช็ดตัวให้เขาด้วย"

ทันทีที่ถังเยว่พูดจบ ทุกคนเห็นชายวัยกลางคนสองคนเปิดล่วมยาหยิบไม้ไผ่ท่อนหนึ่งออกมาแขวนไว้บนราวเหล็กบนเตียง ที่ปลายไม้ไผ่ด้านหนึ่งเสียบสายบางอย่างไว้ ปลายสายอีกด้านดูเหมือนจะเชื่อมต่อเข็มเล่มเล็ก จากนั้นก็นำเข็มเล่มเล็กนั่นเสียบเข้าไปบนหลังมือของคนไข้

หมอหลวงอูระงับอาการไม่ให้ตัวเองวู่วามโพล่งถามออกไป เฝ้ามองทุกการกระทำของพวกเขาพลางคิดคำนึงถึงจุดประสงค์ของการกระทำเช่นนี้

"เอ๋ ... คุณชาย ท่านมาดูนี่สิ" บุรุษพยาบาลที่ช่วยเช็ดตัวให้เด็กชายร้องออกมาด้วยความตกใจ

ถังเยว่เดินเข้าไปดู แววตาเปลี่ยนไปในทันที เมื่อครู่เขาไม่ได้ตรวจทวารของคนไข้ จากสภาพที่เห็นบ่งบอกได้ว่าคนไข้ถูกคนล่วงละเมิดทางเพศผนวกกับรอยแผลเป็นทั้งเก่าและใหม่บนเนื้อตัวของเด็กชาย เกรงว่าน่าจะมิได้เกิดขึ้นจากการถูกกระทำเพียงครั้งเดียว

"ท่านปู่ นี่มันเรื่องอะไรกัน? ห้ามบอกว่าตัวเองไม่รู้เป็นอันขาด"

ถังเยว่รู้สึกอัดอั้นไปทั้งอก ไม่ว่าในยุคสมัยใดก็ต้องมีกากเดนซึ่งมีรสนิยมวิตถารแบบนี้อยู่เสมอ!

ชายชราเห็นว่าคงปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว จึงกล่าวออกมาด้วยเสียงสะอื้นน้ำตานองหน้า "ข้าอายุมากแล้วไม่มีปัญญาเลี้ยงเขา จึงส่งเขาไปเป็นคนงานรับใช้ในบ้านเศรษฐี หวังให้เขาได้มีกินอิ่มท้องเติบโตอย่างราบรื่นหลายวันก่อน มีเพื่อนบ้านบอกว่าระหว่างทางเห็นหลานชายข้าถูกคนหามออกไปนอกเมือง ดูท่าทางบาดเจ็บสาหัส ตอนที่ข้าตามไปถึงก็เห็นพวกสัตว์เดรัจฉานกลุ่มนั้นทิ้งหลานชายข้าไว้ในป่าช้า ร่างเขาถูกห่อด้วยเสื่อเนื้อตัวเย็นเฉียบไม่เหลือไออุ่นของคน ส่วนบาดแผลบนตัวเขา ข้าได้สอบถามตอนที่เขาฟื้นขึ้นมา ที่แท้นับตั้งแต่ปีที่แล้ว นายรองของตระกูลเศรษฐีถูกใจเขา ให้เขาเป็นสหายเรียนหนังสืออยู่ข้างกาย ตอนแรกก็นึกว่าเป็นเรื่องดี แต่ใครจะรู้ว่าคนผู้นี้หน้าเนื้อใจเสือ ทำทารุณกับหลานชายผู้น่าสงสารของข้าจนมีสภาพเยี่ยงนี้ ... "

ถังเยว่ฟังไปพร้อมกับเขียนใบสั่งยา แล้วกล่าวอย่างมีสติ "ให้คนไปเคี่ยวยา นำยาแก้อักเสบที่เตรียมไว้มาให้ข้าด้วย บาดแผลอักเสบรุนแรง ยังดีที่อากาศหนาวเย็น นี่ถ้าเป็นหน้าร้อนเกรงว่าคงจะเน่าเปื่อยเป็นหนองไปนานแล้ว"

ในตำแหน่งที่น่ากระอักกระอ่วนเช่นนี้ หากถึงขั้นเน่าเปื่อยพุพองขึ้นมาจริงๆ เขาก็ไม่รู้ว่าจะกล้าลงมือผ่าตัดให้หรือไม่


 

111 จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ

 

เสียงจุดประทัดดังขึ้น เสียงตีฆ้องประโคมกลองดังมาจากหน้าร้านขายยา ทว่าในห้องตรวจโรคขนาดเล็กห้องนี้ราวกับเป็นพื้นที่ที่ถูกลืม ไม่มีคนมารบกวน

ถังเยว่ใช้แหนบคีบก้อนสำลีชุบยาน้ำทำความสะอาดปากแผลให้เด็กชายอย่างระมัดระวัง

ถึงกระนั้นสุดท้ายก็ยังต้องเย็บห้าเข็ม ช่วงระยะเวลาหลายวันต่อจากนี้เกรงว่าเด็กน้อยจะกินอาหารมากไม่ได้ มิฉะนั้นถึงตอนนั้นจึงจะเรียกว่ารับกรรมของจริง

"นอนพักรักษาตัวให้ดี บาดแผลบนตัวต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนจึงจะหาย แต่เขาถูกทรมานมาเป็นเวลานานอีกทั้งยังอดข้าว สุขภาพย่ำแย่ ต่อไปภายหน้า ... " ถังเยว่เหลือบมองชายชราที่มีสีหน้าทั้งตื่นตระหนกและเศร้าสลดทอดถอนใจแต่ไร้เสียง

'ช่วยได้ครั้งหนึ่งใช่ว่าจะช่วยได้ตลอดไป' ถังเยว่เข้าใจเหตุผลข้อนี้เป็นอย่างดี

ชายชราโขกศีรษะคำนับเก้าครั้ง "ขอเพียงสามารถรักษาชีวิตหลานข้าได้ วันข้างหน้าต่อให้ต้องเป็นขอทานข้างถนน ข้าก็จะไม่ยอมอยู่ห่างจากเขาแม้เพียงครึ่งก้าว"

ถังเยว่ล้างมือจนสะอาดแล้วเดินออกมาจากห้องรักษา พบว่าหน้าประตูร้านขายยามีคนยืนออแน่นขนัด มีบางคนทนรอไม่ไหว รีบทายาแก้หิมะกัดลงบนมือเท้าทันที มือและเท้าแต่ละคู่ล้วนบวมแดงเพราะความเหน็บหนาว

"คุณชาย เห็นทียาทาแก้หิมะกัดห้าร้อยตลับครึ่งวันก็คงแจกหมดแล้ว จะทำขึ้นใหม่ตอนนี้ก็คงไม่ทัน" เชวี่ยเดินลากขากะเผลกเข้ามาบอก

ถังเยว่กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะสั่ง "ให้คนเคี่ยวยาน้ำหม้อใหญ่เติมซูเยี่ย หวงฉิน หนิวป้างจื่อแจกให้ทุกคนที่เดินผ่านมาคนละหนึ่งชามใหญ่เพื่อป้องกันโรคจากอากาศหนาว"

"ขอรับ" เซวี่ยรับคำสั่งแล้วรีบไปทำตามทันที หมอหลวงอูเอ่ยพึมพำจากด้านหลัง "น้ำแกงป้องกันโรคจากอากาศหนาว ตามหลักแล้วควรจะใส่ไท่จื่อเซินลงไปเคี่ยวด้วยถึงจะเหมาะสม"

ถังเยว่หันไปมอง หัวเราะแล้วกล่าว "เรื่องนี้ผู้น้อยทราบแล้ว แต่ไท่จื่อเซินเป็นสมุนไพรหายากราคาแพง ผู้น้อยแจกไม่ไหวจริงๆ"

หมอหลวงอูลูบหนวด แค่นเสียงขึ้นจมูกเอามือไพล่หลังแล้วเดินจากไป

ถังเยว่จัดกิจกรรมรักษาโรคเพื่อการกุศลสามวัน พอข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ชาวบ้านในละแวกนี้ต่างแห่กันมาเต็มไปหมด ทว่ามีบางคนยังสงสัยข้องใจ เดินวนเวียนอยู่หน้าประตูด้วยท่าทีเหมือนมาดูลาดเลา

มีคนไข้ทยอยกันมา ถังเยว่ให้หมอเฉินกับหมออื่นอีกสองคนเป็นหมอนั่งตรวจประจำร้าน ส่วนตนเองคอยศึกษาอยู่ข้างๆ ขณะเดียวกันก็สังเกตระดับความสามารถของหมอทั้งสามไปในตัว

หมอเฉินเชี่ยวชาญนรีเวช ที่จริงถังเยว่อยากจะตั้งป้ายตัวอักษรคำว่า 'นรีเวช' ไว้บนโต๊ะเขา ติดตรงคนที่อ่านหนังสือออกมีอยู่จำกัด อีกอย่างโรคทางนรีเวชในยุคนี้ยังเป็นแนวคิดที่คลุมเครือ ต่อให้ไม่สบายก็ไม่มีใครยินดีให้หมอผู้ชายรักษา

"หลีกๆๆ ถอยไป ... ชาวบ้านชั้นต่ำอย่างพวกเจ้า เห็นขบวนรถองค์ชายเสด็จแล้วยังไม่รีบถอยไปอีกหรือ?" คำขู่ตะคอกเสียงแหลมดังเข้ามาถึงในร้านขายยา ทุกคนต่างหันไปมองเป็นตาเดียว ภาพที่เห็นคือองครักษ์สองแถวกำลังทั้งผลักทั้งเบียดประชาชนที่ยืนอยู่หน้าประตูเพื่อเปิดทาง

"นึกว่าใคร ที่แท้ก็องค์ชายเสียนนี่เอง เชอะ !... " จ้าวซานหลางเดินเข้าไปใกล้แล้วปรายตามองอย่างหยามเหยียด

ถังเยว่ยกมือกุมขมับ ชายผู้นี้เป็นผู้นำพาความโชคร้ายอย่างแท้จริงไปถึงไหนหายนะเกิดที่นั่น ไว้วันไหนจะแอบเอาเลือดสุนัขสาดใส่ บางทีอาจช่วยขับไล่ความโชคร้ายให้เขาได้บ้าง

"ซานหลาง ทำไมเจ้าไม่อยู่ที่เรือนด้านหลัง มาทำอะไรตรงนี้?"

พอเปิดป้ายร้านเสร็จ รัชทายาทเจาก็กลับจวนทันที ทิ้งให้เหล่าคุณชายทั้งฝูงหาความสำราญด้วยตัวเองอยู่ในเรือนด้านหลัง

ถังเยว่ไม่ว่างที่จะสนใจจึงปล่อยให้พวกเขาเล่นสนุกกันเองอย่างอิสระ ได้ยินว่าจ้าวซานหลางทำไพ่ขึ้นมาหลายสำรับ สอนเหล่าคุณชายเล่นโต้วตี้จู่ สนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง

"ก็มันน่าเบื่อ มีแต่พวกโง่ทั้งฝูง ไม่มีใครเอาชนะข้าได้เลยสักคน!"

ถังเยว่รู้สึกข้องใจในสิ่งที่ได้ยิน แต่ก็คร้านจะหาข้อยืนยันพิสูจน์ความจริง เขาเหยียดยิ้มมุมปาก แล้วก้าวออกไปทำความเคารพผู้มาใหม่

"องค์ชายสามประชวรหรือพ่ะย่ะค่ะ ถึงจะเป็นร้านเล็กๆ ที่เพิ่งเปิดกิจการ แต่ทั้งหมอและยาล้วนมีครบครัน รับประกันว่าวางพระทัยได้!"

"คุณชายถัง เจ้ากำลังแช่งข้างั้นหรือ?" ทันทีที่องค์ชายเสียนเปิดปากก็มีแต่กลิ่นสุราโชยฟุ้งออกมา

ถังเยวไม่ได้เจออีกฝ่ายมาพักใหญ่ ยังนึกว่าเขาไปแอบร้องไห้อยู่ซอกมุมไหน เพราะตำแหน่งรัชทายาทถูกกำหนดแล้ว ย่อมไม่มีหวังจะชิงคืนมาได้โดยง่าย ตอนนี้พอดูแล้ว การคาดเดาของเขาถูกต้องตรงเผง ถึงขั้นต้องใช้สุราคลายทุกข์ ส่วนร้องไห้หรือไม่ใครจะรู้ แต่ผู้แพ้ที่ดื่มเหล้าเมามายแล้วออกมาก่อเรื่องย่อมไม่มีใครเห็นใจ

"กระหม่อมดูจากพระพักตร์ขององค์ชาย สีแดงออกม่วง หน้าผากมีสีดำคล้ำเล็กน้อย ดวงตาไร้ประกาย เกรงว่าคงอดนอนมานานแล้วกระมัง?ยามเช้าหลังตื่นบรรทมถ่ายไม่ออก ทั้งยังมีกลิ่นปาก มีอาการคลื่นไส้อาเจียนอารมณ์ไม่กระปรี้กระเปร่าใช่หรือไม่?"

องค์ชายเสียนยังไม่ทันปริปาก บุรุษที่สวมชุดขันทีซึ่งทำตัวเป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือก็จัดแจงร้องขึ้นมาก่อนเจ้าตัว "เจ้ารู้ได้อย่างไร ?! "

ในตอนนี้ถังเยว่ถึงเพิ่งรู้สึกว่า ในจวนรัชทายาทไม่มีขันทีเลยสักคนไม่รู้ว่าเป็นเพราะหลี่เจาไม่อยากใช้หรือมีสาเหตุอื่นกันแน่

เขาหัวเราะอย่างมั่นใจในตัวเอง "ข้าเป็นหมอ มีวิชาการแพทย์พอตัวอาการป่วยเช่นนี้ย่อมสามารถดูออก"

ฝีมือการรักษาของถังเยว่เป็นเช่นไรองค์ชายเสียนย่อมไม่คลางแคลงจึงแค่นหัวเราะเสียงเย็น "ปัญหาเล็กน้อยเท่านั้น ไฉนท่านหมอเทวดาต้องตื่นตูมด้วยเล่า"

ฝ่ายนั้นจงใจเน้นหนักคำว่า 'หมอเทวดา' มุมปากทำองศาเฉียงขึ้นจนแทบแขวนขวดน้ำมันได้

ถังเยว่ส่ายหน้า "นี่จะเป็นปัญหาเล็กๆ ได้อย่างไร? องค์ชายลองกดขมับดู มีอาการวิงเวียนหรือไม่ ปวดแบบเป็นๆ หายๆ ลองกดซ้ำอีกหลายทีจะรู้สึกดีขึ้น ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?"

"ข้าก็แค่เมาค้างเท่านั้น" องค์ชายเสียนตวัดตามองเขา ใช้สายตาที่บ่งบอกว่า 'อย่ามาหลอกข้าซะให้ยาก!' ในการถลึงจ้องถังเยว่

"หมอหลวงอูก็อยู่ที่นี่ด้วย มิสู้ลองถามเขาดูก็ได้ว่าปกติอาการเมาค้างมีลักษณะเช่นนี้หรือไม่?"

ถังเยว่สั่งให้คนไปเชิญหมอหลวงอูมา หมอหลวงเฒ่าซึ่งทนอยู่เฉยไม่ไหว กำลังตั้งโต๊ะตรวจโรคเพื่อช่วยรักษาการกุศลด้วยอีกโต๊ะ

ทันทีที่ได้ยินว่าถังเยว่เชิญ หมอหลวงอูก็รีบวิ่งมา บนตัวยังสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวของถังเยว่ ชายเสื้อยาวละพื้น หากมือค้ำไม้เท้าด้วยละก็คาดว่าคงสามารถรับบทแสดงเป็นถู่สิงซุน[1]ได้ไม่ขัดตา [1 ชื่อตัวละครในวรรณกรรมเรื่องห้องสินเอี้ยนหงี (ภาษาฮกเกี้ยน) หรือเฟิงเฉินหยั่นอี้ (ภาษาจีนกลาง) เป็นนิยายที่ประพันธ์ขึ้นในยุคราชวงศ์หมิง พิมพ์ครั้งแรกราวทศวรรษ 1550 จัดอยู่ในนิยายประเภทภูตผีปีศาจ]

พอเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ถังเยว่ หมอหลวงเฒ่าก็ชะงักฝีเท้า สีหน้าเปลี่ยนเป็นสุขุมเยือกเย็นสุดจะคาดเดาภายในพริบตา ก้าวเท้าเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า "กระหม่อมเข้าพบองค์ชายสาม คารวะองค์ชาย" หมอหลวงอูประสานมือโค้งคำนับ หนวดสีขาวสั่นไหว ก่อนจะรีบยืดกายยืนตัวตรง

"หมอหลวงอู เหตุใดท่านไม่อยู่ในสำนักหมอหลวงแต่กลับมาอยู่ในร้านขายยาชาวบ้าน หรือว่าท่านไม่อยากเป็นหมอหลวงแล้ว?"

"รับสั่งหนักไปแล้ว วันนี้เป็นวันหยุดของกระหม่อม"

ถังเยว่เกรงว่าเจ้าบ้านี่จะหันไปอาฆาตกระทั่งหมอหลวงอู จึงรีบเปลี่ยนประเด็นวกกลับเข้ามาปัญหาเมื่อครู่นี้ใหม่อีกครั้ง "ท่านหมอหลวงอูมิทราบว่าลักษณะอาการเช่นนี้ขององค์ชายสาม ใช่อาการเมาค้างหรือไม่?"

หมอหลวงอูไม่รู้ว่าถังเยว่คิดอะไรอยู่ แต่ในเมื่อไม่ได้แจ้งเขาล่วงหน้าก็คิดว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโป้ปด จึงกล่าวไปตามความเป็นจริงโดยภาพรวมแล้วก็เหมือนที่ถังเยว่พูด เพียงแต่ไม่ได้ฟังลึกล้ำเท่า

ถังเยว่ดันหมอหลวงอูออก แล้วรับมือกับองค์ชายเสียนต่อด้วยตนเอง

"หมู่นี้พระองค์ยังทรงสมบูรณ์ขึ้นไม่น้อยสินะ? มีอาการปวดท้องน้อยในลักษณะที่บางทีปวดแน่นบางทีปวดหน่วงบ้างหรือไม่?"

"มีอะไรก็พูดมา อย่ามัวแต่ถามนู่นนี่พูดจาอ้อมค้อมเล่นลิ้น!"

"เหอะๆ ถ้าเช่นนั้นเชิญตามกระหม่อมมา ตรงนี้คนเยอะเกินไปไม่สะดวกที่จะพูด" ถังเยว่ชี้ไปทางห้องตรวจที่คั่นแยกเป็นส่วนตัว คิดว่าจะพาคนเข้าไปแล้วค่อยๆ ตะล่อมให้เชื่อ

แต่ใครจะรู้ว่าองค์ชายเสียนไม่หลงกล

"คนเยอะแล้วเป็นอย่างไร หรือว่ามีอะไรที่พูดตรงนี้ไม่ได้?"

ในความคิดขององค์ชายเสียนคือ ใครจะไปรู้ว่าด้านในจะมีการดักซุ่มลอบทำร้ายเขาหรือไม่?

ถังเยว่แอบก่นด่าในใจ 'ก่อกรรมทำเข็ญไว้มากเท่าใดย่อมได้รับผลกรรมมากเท่านั้น หลี่เสียนผู้นี้ต้องทำเรื่องชั่วไว้มากแน่ ถึงได้กลัวนั่นกลัวนี่'

"ก็ไม่ใช่ว่าจะบอกคนนอกไม่ได้ เพียงแต่ ... อาการเช่นนี้ยิ่งมีคนรู้น้อยยิ่งดี แน่นอนว่าถ้าองค์ชายไม่ถือสา กระหม่อมก็ไม่ว่ากระไร"

องค์ชายเสียนจ้องหน้าถังเยว่อย่างเคลือบแคลงสงสัย ในใจหวั่นไหวลังเล ด้านหนึ่งก็ระแวงว่าถังเยว่จะหลอกลวง อีกด้านหนึ่งก็เป็นกังวลว่าตนอาจจะป่วยเป็นโรคประหลาดขึ้นมาจริงๆ

มนุษย์ทุกคนล้วนกลัวตาย องค์ชายเสียนก็มิได้อยู่ในข้อยกเว้น เขาจึงเตรียมจะยกเท้าก้าวเดิน แต่ขันทีที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเตือนขึ้นมาก่อน "ฝ่าบาทพวกเราระวังตัวไว้หน่อยจะดีกว่า รัชทายาทเพิ่งเสด็จกลับไป ถ้าเกิด ... "

ถ้าเกิดวางแผนร้ายอะไรไว้ที่นี่ จะมิเป็นการกระโดดลงไปในหลุมพรางด้วยตนเองหรอกหรือ?

"เขาไม่กล้าหรอก!" พูดจบก็แสยะยิ้มและผลักถังเยว่ไปหนึ่งที "มีอะไรก็พูดมาตามตรง อย่ามาเสแสร้งแกล้งอมพะนำ"

ถังเยว่คนนี้ร่างผอมบางอ่อนแอ ถูกผลักหนึ่งทีก็เกือบเซล้มคะมำโชคดีที่จ้าวซานหลางตาดีมือไวถลันเข้ามาประคองไว้ได้ทัน เขาลอบหยิกถังเยว่ไปหนึ่งที แล้วกระซิบเบาๆ ข้างหู "ข้าส่งคนไปรายงานรัชทายาทแล้วทนอีกสักเดี๋ยวนะ" พูดจบก็เลี่ยงหลบไป เห็นได้ชัดว่าไม่คิดอยากจะเสวนากับองค์ชายเสียน

ก่อนหน้านี้ถังเยว่สืบเรื่ององค์ชายเสียนมาไม่น้อย บุคคลผู้นี้ฉลาดหลักแหลม แต่มีจิตใจคับแคบ จุกจิกหยุมหยิม จึงไม่ได้รับความชมชอบจากทุกคน

แต่สิ่งของแบ่งแยกด้วยประเภท มนุษย์แบ่งแยกด้วยนิสัย ไม่ว่าอย่างไรในราชสำนักย่อมต้องมีกลุ่มคนที่ยินดีจะเป็นพรรคพวกของเขาร่วมมือกันขัดขวางไม่ให้หลี่เจาได้ขึ้นครองราชย์อย่างทรงเกียรติ

"เฮ้อ ... ในเมื่อต้องการให้พูด กระหม่อมก็จะพูดตามความเป็นจริง"ถังเยว่เชิญให้อีกฝ่ายนั่งลง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ความจริงแล้วอาการทั้งหมดขององค์ชายเกิดขึ้นเพราะในท้องมีหนอน!"

"หา ...! " ผู้คนรอบข้างต่างส่งเสียงฮือฮาพร้อมกับถอยร่นไปตามๆกัน สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่องค์ชายเสียนด้วยความตื่นตระหนกหวาดกลัว

ในยุคสมัยนี้ยังไม่มีคำจำกัดความของพยาธิ ทันทีที่ทุกคนได้ยินว่าในท้องมีหนอนก็ตกใจจนอยากจะอาเจียน

องค์ชายเสียนเพิ่งทรุดตัวลงนั่งก้นยังไม่ทันร้อนก็ผุดลุกพรวดขึ้นมายกขาถีบถังเยว่ทันที โชคดีที่เขาเตรียมรับมือไว้อยู่ก่อนแล้วจึงหลบได้ทัน

"ทรงเชื่อกระหม่อมเถิด ... "

"ทหาร! มาจับตัวคนผู้นี้ไว้ มันปล่อยข่าวลือต้มตุ๋นหลอกลวง! ข้าจะจับตัวมันไปลงโทษต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อ!"

"กระหม่อมพูดความจริง ระยะนี้ท้องขององค์ชายใหญ่ขึ้นไม่น้อยเลยมิใช่หรือ? เสวยอาหารมากแต่กลับหิวง่ายใช่หรือเปล่า? ตื่นนอนตอนเช้ามักรู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียน และมักรู้สึกว่าในท้องมีเสียงด้วยใช่หรือไม่?"

คนอื่นๆ ได้ยินคำพูดที่ละเอียดลออเช่นนี้ต่างก็เชื่อหมดใจ แม้สติปัญญาขององค์ชายเสียนจะบอกว่าอย่าไปเชื่อ แต่กระนั้นก็ยังเริ่มไขว้เขว

"พูดจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อน ... พูดปากเปล่าไร้ข้อพิสูจน์!"

"ถ้าไม่ทรงเชื่อกระหม่อมก็ทำอะไรไม่ได้" ถังเยว่ไหวไหล่ สีหน้าบ่งบอกว่า 'จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ'

องค์ชายเสียนขยิบหูขยิบตาให้ขันทีที่อยู่ข้างๆ ฝ่ายนั้นตะลึงงันด้วยยังตั้งตัวไม่ทัน กระทั่งถูกเท้ายันไปทีหนึ่งถึงได้เดินตัวแข็งทื่อแขนขาไปพร้อมกันมาหาเขา

"คุณชายถัง ท่านคิดว่าจะรักษาอาการประชวรขององค์ชายอย่างไร?"

ท่าทางของถังเยว่เหมือนมีบางอย่างอยากพูด แต่กลับไม่พูดออกมาทำเอาทุกคนลุ้นระทึกไปตามๆ กัน

"ในท้องมีหนอนยังสามารถรักษาได้อีกหรือ?" มีคนเอ่ยถามพร้อมกับคลำท้องตัวเองโดยสัญชาตญาณ

"ได้สิ เพียงแต่หาวิธีเอามันออกมา เท่านี้ก็ได้แล้ว"

"พูดน่ะง่าย หากทำได้เช่นนั้นจริง จะยังมีหลงเหลืออยู่ในท้องจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร?"

ทุกคนพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานาจนองค์ชายเสียนหน้าซีดเผือด "ทหาร! ไล่ราษฎรชั้นต่ำฝูงนี้ออกไปให้หมด เกะกะรกหูรกตาข้านัก!"

คนทั้งกลุ่มถูกไล่ตะเพิดกระเจิดกระเจิง ในร้านขายยานอกจากผู้ป่วยหลายคนที่กำลังตรวจอาการอยู่ไม่สามารถออกไปในทันทีแล้ว คนอื่นๆ ต่างวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงกันไปหมด แต่พวกเขาไม่ได้วิ่งไปไหนไกล เพียงแอบหลบอยู่ในบริเวณนั้นเพื่อรอชมเหตุการณ์ต่อ

การชอบมุงดูเรื่องสนุกเป็นนิสัยที่สืบทอดต่อกันมาของมนุษยชาติโดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนสูงศักดิ์มีอำนาจ ยิ่งดึงดูดความสนใจใคร่รู้ของพวกเขาเป็นอย่างดี

องค์ชายเสียนแย่งกระบี่มาจากมือองครักษ์ แล้วตวัดไปพาดบ่าถังเยว่

"ทางที่ดีเจ้าอย่าโกหกข้าไปหน่อยเลย มิฉะนั้น ... "

"มิฉะนั้นจะเป็นเช่นไร?" ถังเยว่เลิกคิ้วขึ้นสูง สีหน้าไม่ยี่หระ "น้ำพระทัยขององค์ชายสามมีแค่นี้เองหรือ? หมอทุกคนที่บอกอาการ องค์ชายก็คงปฏิบัติเช่นนี้ต่อพวกเขาสินะ หากเป็นเช่นนี้ ต่อไปภายหน้าจะมีหมอคนไหนกล้าทูลความจริงให้ทรงทราบอีก? ปิดบังอาการป่วยไม่ยอมรับการรักษาเป็นข้อห้ามใหญ่หลวง ทรงเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าหากรักษาไม่ทันท่วงที หนอนในท้องจะยิ่งเพิ่มจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ ออกลูกออกหลานแพร่พันธุ์เป็นวัฏจักร หมุนเวียนอยู่ในร่างกายของพระองค์ พอถึงตอนนั้น ... "

"แหวะ ... หุบปาก!" องค์ชายเสียนถูกทำให้ตกใจจนหน้าขาวซีด ไม่มีสีโลหิตเลยสักหยด แทบจะสำรอกอาหารที่กินเข้าไปเมื่อคืนออกมาอยู่รอมร่อ

แน่นอนว่า ถังเยว่ก็ทรมานไม่แพ้กัน เพราะใบหน้าดวงนี้หาได้น่ามองเลยสักนิด แต่จะให้เขาเป็นฝ่ายถูกกดขี่ข่มขู่ด้วยอำนาจทุกครั้งได้อย่างไร ต้องให้อีกฝ่ายได้ลิ้มรสความลำบากบ้าง

"จะรักษาอย่างไร พูดมา!" องค์ชายเสียนออกแรงที่มือหนักขึ้นคมกระบี่เกือบเฉือนถูกผิวถังเยว่ซึ่งมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา แล้วพูดเนิบๆ ว่า "วิธีดีที่สุดคือต้องผ่าตัดเปิดช่องท้องเพื่อนำเอาหนอนและไข่ของมันออกมา จากนั้นก็เย็บปิด ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม!"

ไม่เพียงองค์ชายเสียน แม้แต่คนที่เหลือเมื่อได้ฟังคำพูดนี้ต่างก็แข็งเป็นหินไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สีหน้าตื่นตะลึงจนไม่อาจหาถ้อยคำใดมาบรรยายได้

ผ่าท้องคน? คำพูดเช่นนี้เกรงว่าคงมีถังเยว่เท่านั้นที่กล้าพูดออกมา

หมอหลวงอูที่เลี่ยงไปยืนร่วมมุงดูได้ยินแล้วหันมองถังเยว่อย่างไม่เห็นด้วย เพียงแต่ติดตรงที่มีคนนอกอยู่ด้วยจึงไม่สะดวกที่จะพูด

"เจ้ารนหาที่ตาย!" องค์ชายเสียนกำหมัดแน่น เงื้อดาบขึ้นสูง แล้วกดน้ำหนักฟันลงมาอย่างเหี้ยมโหด


 

112 มีเรื่องอยากขอร้อง

 

องครักษ์ข้างกายถังเยว่ก็มิได้นิ่งดูดาย ย่อมไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเขาได้แน่ อีกอย่างแม้กำลังของถังเยว่จะมีไม่พอ แต่ความปราดเปรียวว่องไวของร่างกายกลับไม่เลวนัก สามารถหลบหลีกคมกระบี่ได้อย่างสบายองค์ชายเสียนวู่วามใจร้อน พอกระบี่ฟันไม่โดนก็รีบโยนทิ้ง

"ฮึ เจ้านึกว่าแต่งเรื่องเหลวไหลขึ้นมาส่งเดชก็จะสามารถลงมีดกับข้าอย่างเปิดเผยชอบธรรมได้อย่างนั้นหรือ? คิดจะฉวยโอกาสประทุษร้ายข้าเจ้าเอาความขวัญกล้านี้มาจากไหน? นึกว่ามีหลี่เจาแล้วเจ้าจะเหยียบหัวข้าได้ตามอำเภอใจหรือไง? นึกว่ามีความรู้ รักษาโรคเป็นนิดหน่อยก็จะสามารถหลอกลวงข้า ปั่นหัวราษฎรในใต้หล้าได้งั้นหรือ? หากวันหน้าองค์จักรพรรดิทรงประชวร เจ้ายังกล้าลงมีดกับพระวรกายของพระองค์หรือไม่?"

องค์ชายเสียนเพลิงโทสะโหมกระพือจนพูดต่อไม่ออก ถังเยว่แอบชูนิ้วกลางให้อยู่ในใจ "หากองค์ชายสามจะทรงเอาความคิดคนทรามมาตัดสินจิตใจวิญญูชนเยี่ยงนี้กระหม่อมก็จนด้วยเกล้า คงกล่าวได้แค่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ จะรักษาหรือไม่รักษาก็แล้วแต่จะตัดสินพระทัย"

ถังเยว่นั่งจิบชาอย่างสงบอยู่ทางด้านข้าง ท่าทางไม่สะทกสะท้านเช่นนั้นทำให้ผู้คนต่างเชื่อถือในคำพูด นี่ถ้าจางฉุนอยู่ในเหตุการณ์ด้วยละก็เดาว่าต้องนับถือในฝีมือการแสดงของเขาเป็นแน่

องค์ชายเสียนกำลังจะอ้าปากโต้แย้ง แต่มือปราบพร้อมอาวุธครบมือกลุ่มหนึ่งโผล่พรวดพราดเข้ามาเสียก่อน เสียงตะโกนถามดังลั่น "ได้ข่าวว่ามีผู้มาก่อกวนที่หอฮุ่ยอาน คนก่อเหตุอยู่ที่ใด?"

ถังเยว่จะเปิดร้านที่นี่ ย่อมต้องเคยไปทักทายกองมือปราบในละแวกนี้มาบ้าง คำโบราณกล่าวไว้มีเส้นสายเป็นคนของทางการทำอะไรย่อมสะดวกราบรื่น ตอนนี้เขาเป็นบุคคลที่มีฐานะทางสังคม จะให้คนอื่นดูแลอำนวยความสะดวกให้ก็เพียงแค่เอ่ยปากคำเดียวเท่านั้น

ไม่รู้ว่าใครไปแจ้งทางการ พอกองมือปราบได้ยินว่านายน้อยแห่งจวนลี่หยางโหวเกิดเรื่อง ย่อมไม่กล้าเกียจคร้าน รีบพาเจ้าหน้าที่รุดมายังที่เกิดเหตุทันที

กระทั่งผู้มาเยือนเห็นองค์ชายเสียนก็ตกใจมือเท้าอ่อนยวบ ทว่ายังดีที่เคยมีประสบการณ์ผ่านโลกมาไม่น้อย เพียงครู่เดียวก็กลับสงบนิ่งได้ดังเดิม

"ในเมื่อองค์ชายสามทรงอยู่ที่นี่ด้วย คาดว่าคงไม่มีโจรร้ายกล้าก่อเรื่อง เช่นนั้นข้าพระองค์ขอตัวก่อน"

"อย่าเพิ่งไป! จับตัวพ่อมดหมอผีจอมต้มตุ๋นผู้นี้ไปเดี๋ยวนี้!"องค์ชายเสียนชี้ไปที่ถังเยว่พร้อมกับออกคำสั่ง

"นี่ ... " พวกมือปราบยิ่งไม่กล้า พักเรื่องฐานะจวนลี่หยางโหวไว้ก่อนเพราะท่านนี้คือว่าที่ชายารัชทายาทในอนาคตเชียวนะ อย่าว่าแต่จับกุมตัวเลย แค่แตะต้องแม้แต่ปลายก้อยยังเกรงว่าจะเป็นการล่วงเกินองค์รัชทายาทด้วยซ้ำ

"ที่แท้เสด็จพี่สามประชวรจริงๆ ด้วย มิน่าล่ะ เสด็จพ่อถึงตรัสว่าไม่เห็นเสด็จพี่เข้าวังมาหลายวันแล้ว" เสียงแหบพร่าดังขึ้นมาจากนอกประตูแม้จะเป็นน้ำเสียงที่อยู่ในช่วงแตกเนื้อหนุ่ม แต่ก็มีคนไม่น้อยที่สามารถแยกแยะออกได้ว่าเจ้าของเสียงคือใคร

ความจริงนี้ทำให้ทุกคนที่ห่วงว่าถังเยว่จะถูกรังแกพากันโล่งอกไปตามๆ กัน

"ดูไม่ออกเลยนะว่าน้องเก้าจะหลงใหลบุรุษผู้นี้จนโงหัวไม่ขึ้นเหอะๆ ... " องค์ชายเสียนเหลือบมองถังเยว่อย่างมีนัยอื่นแอบแฝง แววตาเย็นชาดุจอสรพิษร้าย ชวนให้รู้สึกชาหนึบระคนขยะแขยงในเวลาเดียวกัน

หลี่เจาไม่สนใจคำถากถางของอีกฝ่าย เดินเข้าไปกุมมืออยู่ข้างกายถังเยว่

"เหนื่อยหรือไม่ จะกลับไปพักก่อนไหม?"

ถังเยว่ถูกสายตามากมายจับจ้องเช่นนี้ พลันรู้สึกกระดากที่จะเล่นบทรักหวานชื่น จึงดึงมือออกแล้วพูดด้วยเสียงสงบนิ่ง "ไม่เหนื่อยพ่ะย่ะค่ะคนไข้ยังอยู่ หมอจะกลับก่อนได้อย่างไร?"

"ในเมื่อคนป่วยไม่อยากรักษา เจ้าจะบังคับเขาไปไย? จะเป็นจะตายก็ไม่เกี่ยวกับเจ้าสักหน่อย"

ถังเยว่ก็ไม่รู้ว่าทำไมทั้งที่เพิ่งมาถึงแท้ๆ แต่หลี่เจากลับรู้เรื่องราวอย่างละเอียด เมื่อคนหนุนหลังมาแล้ว ความมั่นใจของตนก็ท่วมท้นขึ้นมาอย่างฉับพลัน

"รัชทยาทรับสั่งมีเหตุผล ถึงแม้หมอจะมีหน้าที่รักษาคนไข้ แต่ถ้าผู้ป่วยอยากตาย พวกเราก็อับจนหนทาง" ถังเยว่พูดจบก็ถอนหายใจ

องค์ชายเสียนทั้งเกรี้ยวกราดทั้งขุ่นเคือง ยิ่งพอลองลอบหยิกท้องตัวเองหนึ่งที เกิดความรู้สึกคล้ายมีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในนั้นกรดเปรี้ยวก็พลันพุ่งขึ้นจากกระเพาะอาหารในทันใด ล้นขึ้นมาจนถึงคอหอยเขาพยายามสะกดกลั้นความคลื่นเหียนไว้อย่างสุดกำลัง แล้วพูดเสียงต่ำ

"ถังเยว่ นอกจากคว้านไส้คว้านพุงออกมาแล้ว ยังมีวิธีรักษาอย่างอื่นอีกหรือไม่?"

ถังเยว่ทำท่าครุ่นคิดสักพัก จู่ๆ ก็ตบมือดังฉาด "อ้อ กระหม่อมคิดออกแล้ว มียาชนิดหนึ่ง บางทีอาจใช้ได้ แต่จะได้ผลหรือไม่ต้องลองเสวยดูก่อนถึงจะรู้"

พอได้ยินว่าไม่ต้องผ่าตัด องค์ชายเสียนก็โล่งใจ แม้ความวิตกกังวลยังคงอยู่ แต่แค่กินยายังอยู่ในขอบเขตที่เขาพอรับได้

"ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เขียนใบสั่งยามา ข้าจะสั่งให้คนไปจัดหาสมุนไพรเอง"

มีหรือถังเยว่จะไม่เข้าใจความคิดของอีกฝ่าย แต่ในเมื่อเปิดฉากด้วยกลโกงก็ย่อมต้องหลอกไปจนจบ ไม่เช่นนั้นคำโกหกนี้ต้องถูกเปิดโปงแน่

"องค์ชายสามจะทรงไปจัดหาสมุนไพรเองกระหม่อมย่อมไม่ขัดเพียงแต่นอกจากสมุนไพรแล้วยังต้องใช้กรรมวิธีปรุงยาซึ่งเป็นความลับเพื่อผลิตเป็นยาลูกกลอน นี่เป็นเคล็ดลับเฉพาะตัวของกระหม่อม เปิดเผยให้คนนอกรู้ไม่ได้เป็นอันขาด!"

เงื่อนไขนี้ฟังดูสมเหตุสมผล ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นพ้องตรงกันรู้สึกว่าหากฝ่ายตรงข้ามไม่เห็นด้วยก็ออกจะเกินไปหน่อย

องค์ชายเสียนเชิดคางขึ้น "ข้าใช้เงินก้อนโตซื้อสูตรลับของเจ้าก็ได้เจ้าตั้งราคามาได้เลย"

ถังเยว่ก็เชิดคางขึ้นแบบเดียวกัน ถึงแม้ส่วนสูงจะต่างกันเล็กน้อยแต่ความห้าวหาญนั้นจัดว่ากินกันไม่ลงจริงๆ

"ขออภัย กระหม่อมมิได้ขาดแคลนเงินทอง ดังนั้น ... ไม่ขายพ่ะย่ะค่ะ!"

คิดจะเอาเงินมาฟาดหัวเขา มาผิดทางแล้ว!

"เสด็จพี่สาม บางทีถังเยว่ก็ดื้อแบบนี้ มิสู้เสด็จพี่สามรีบกลับไปตระเตรียมสมุนไพร เผื่อจะได้หายเร็วขึ้น!" หลี่เจาเอ่ยปากไล่

สองพี่น้องมีฐานะแตกต่างกันมาตั้งแต่เล็ก ต่อให้องค์ชายเสียนกำแหงสักแค่ไหนก็กล้าเหิมเกริมเฉพาะตอนที่น้องชายขาได้รับบาดเจ็บเท่านั้น ตอนนี้อีกฝ่ายมีฐานะสูงส่งเป็นถึงองค์รัชทายาท ความยโสของเขาจึงจำต้องระงับไว้ชั่วคราวก่อน

"ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหอกุ้ย เจ้าอยู่ที่นี่ รอให้คุณชายถังปรุงยาเสร็จจำไว้ให้ดีอย่าปล่อยให้คุณชายถังเหน็ดเหนื่อยเกินไป มิฉะนั้นองค์รัชทายาทของพวกเราจะขุ่นข้องหมองพระทัย ฮ่าๆๆ ... "

องค์ชายเสียนหาความสุขกลบเกลื่อนความทุกข์ แล้วเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น น่าเสียดายที่ผู้คนรอบข้างต่างมองด้วยแววตาเห็นใจ ยิ่งทำให้เขาดูน่าเวทนามากขึ้นไปอีก

องค์ชายเสียนเผ่นหนีไปแล้ว ร้านขายยาถึงกลับคืนสู่สภาพปกติถังเยว่หันมามองขันทีที่ถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพังแล้วกะพริบตาถี่ๆ "เจ้าชื่อเหอกุ้ยสินะ ในเมื่อเจ้านายสั่งไว้ เจ้าก็รีบไปจัดหาสมุนไพรมาก่อนเถอะ"

ถังเยว่แจ้งชื่อยายาวเหยียดเป็นพรวน นับรวมแล้วยี่สิบกว่าชนิดทั้งโสม เขากวางอ่อน บัวหิมะล้วนมีอยู่ในนั้นครบถ้วน

อีกฝ่ายไม่เสียทีที่เป็นขันทีรับใช้ข้างกายองค์ชายสาม ความจำไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ถังเยว่บอกเพียงรอบเดียวก็สามารถจดจำได้หมด น่าเสียดายที่ความจำดีไปก็ไม่เกิดประโยชน์

"คุณชาย ข้าน้อย ... ข้าน้อยไม่รู้จักสมุนไพร ท่านช่วย ... "

ถังเยวไหวไหล่ แล้วพูดแบบเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับตน "ข้าก็อยากช่วยอยู่หรอกนะ แต่น่าเสียดายที่เจ้านายของเจ้าเป็นกังวลว่าข้าจะปองร้ายหากมีปัญหาเกิดขึ้น ใครจะรับผิดชอบ?"

ขันทีน้อยแทบอยากร้องไห้ เขาไม่กล้าพูดออกไปว่า 'ข้ารับผิดชอบ'จึงได้แต่จดชื่อสมุนไพรยี่สิบอย่างนี้ลงไป แล้วค่อยๆ หาตามตู้ทีละลิ้นชัก

โชคดีที่ทุกลิ้นชักล้วนเขียนชื่อยากำกับไว้ จัดให้ตรงกับชื่อยาที่เขียนไว้ก็พอ ส่วนอันไหนที่นี่ไม่มี ก็ต้องกลับจวนไปคิดหาวิธีเอาเอง จวนองค์ชายออกจะใหญ่โต คงไม่ถึงขั้นแม้แต่โสมสักต้นก็หาไม่ได้หรอกกระมัง

ถังเยว่ปล่อยให้ขันทีน้อยทรมานไปตามยถากรรม เพราะถึงอย่างไรก็เป็นตำรับยาที่บอกไปมั่วๆ ส่วนตัวเขาจูงมือหลี่เจาไปยังเรือนด้านหลัง

"ในเมื่อเสด็จมาแล้ว ก็อยู่เสวยด้วยกันก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ"

หลี่เจาพยักหน้า กระทั่งเลี้ยวเข้าประตูหลัง ฉับพลันนั้นเขาก็จับถังเยว่กดกับกำแพง ใช้ปลายนิ้วเชยคางขึ้นถาม "เจ้าถูกหลี่เสียนรังแกงั้นหรือ?"

ถังเยว่เลิกคิ้ว "ฝ่าบาทก็ทอดพระเนตรเห็นแล้วมิใช่หรือ กระหม่อมดูเหมือนคนถูกรังแกหรือพ่ะย่ะค่ะ?"

ถ้าจะพูดว่าถูกรังแก ควรเป็นอีกฝ่ายมากกว่า เดาว่าเจ้าคนเคราะห์ร้ายนั่นตอนนี้คงหนีไปแอบอ้วกอยู่ที่ไหนแล้วกระมัง ฮ่าๆ แค่คิดถึงภาพนั้นก็อารมณ์ดีแล้ว!

"เขาป่วยจริงหรือ?" หลี่เจาถามอย่างไม่มั่นใจ คำพูดเมื่อครู่ของถังเยว่อาจหลอกทุกคนได้ แต่สำหรับรัชทายาทเช่นเขา ฟังแล้วรู้สึกว่าเกินจริงไปไกล จึงสงสัยและข้องใจอยู่ไม่น้อย

"จริงสิ ฝ่าบาทไม่ทรงเห็นหรือว่าเขาเจอใครก็เที่ยวไล่กัดไปทั่ว นั่นไม่เรียกว่าป่วยหรือ? เหมือนผู้ป่วยทางจิตที่กระหม่อมเคยทูลหรือไม่" ถังเยว่กะพริบตาถี่ๆ แล้วตีหน้าซื่อหัวเราะอย่างมีเจตนาแอบแฝง

หลี่เจาใช้ปลายนิ้วไล้ริมฝีปากเขา แล้วโน้มหน้าลงมาชิมซ้ำๆ ถังเยว่เบิกตากว้าง จากนั้นจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังจะถอนริมฝีปากออก เขาก็กระหวัดแขนโอบรอบคอแล้วเป็นฝ่ายประทับจูบให้ดูดดื่มลึกซึ้งกว่าเดิม

จุดที่ทั้งสองยืนอยู่หาได้ลับตาคนไม่ จากโถงด้านหน้ามายังเรือนด้านหลังต้องผ่านตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ ฉะนั้นครั้งนี้ถังเยว่จึงไม่ได้จูบยาวนานนัก ไม่ทันไรก็ผละออก

"เจ้ากล้าโกหกเขาเช่นนี้ไม่กลัวว่าวันหน้าเขารู้ความจริงแล้วจะมาแก้แค้นงั้นหรือ?" หลี่เจาถามเสียงเข้ม

"เขาจะรู้ความจริงได้อย่างไร?" ถังเยว่หัวเราะกระหยิ่มยิ้มย่อง "ในเมื่อกระหม่อมกล้าเริ่มเรื่องนี้ ย่อมต้องมั่นใจว่าสามารถทำให้เขาเชื่อว่าตัวเองป่วยจริงได้"

"หรือเจ้าสามารถทำให้ในท้องของเขามีหนอนเกิดขึ้นได้จริงๆ?"

"ความลับ! บอกไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ" ถังเยว่ดันร่างอีกฝ่ายออกแล้วเดินหน้าต่อแต่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็หันกลับมาจูงมือ "เร็วเข้า ขืนชักช้าสุราดีจะไม่มีให้เสวยแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ"

ตอนที่เขาไปขนสุราพระราชทานมาจากที่บ้าน พวกขี้เหล้าทำท่าจะอดใจไม่ไหวอยู่รอมร่อ หากไม่ใช่เพราะเขาสั่งกำชับหลายรอบว่าไม่อนุญาตให้ดื่มก่อน เกรงว่าป่านนี้คงไม่เหลือสักหยดแล้วกระมัง

หลี่เจาได้สั่งให้สร้างเรือนด้านหลังเป็นเหมือนลานผึ่งแดด มีชั้นไม้วางเรียงรายเป็นทิวแถว เวลานี้ใช้สำหรับตากสมุนไพรส่วนหนึ่ง อีกส่วนถูกจัดเป็นวงกลมใช้สำหรับวางอาหาร เนื้อย่างส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว

ที่เมื่อครู่ด้านนอกเกิดเรื่อง เหล่าคุณชายแถวนี้ต่างเงี่ยหูฟัง ความเลื่อมใสที่มีต่อถังเยว่เพิ่มมากขึ้นอีกขั้น ภาพลักษณ์ของใครสักคนที่แค่ได้ฟังจากปากคนอื่นมักเชื่อถือไม่ได้ ต้องเห็นเองกับตา ได้ยินเองกับหูเท่านั้นจึงจะถือเป็นเรื่องจริง

องค์ชายเสียนอยู่ข้างนอกชื่อเสียงไม่ถึงกับแย่ เพียงแต่เมื่อใดก็ตามที่มีรัชทายาทเจาผู้มีรัศมีเจิดจ้ากว่ามายืนตรงหน้า เขาก็จะหม่นหมองไร้ราศีไปทันที ดังนั้นจึงไม่ได้มีชื่อเสียงโดดเด่นแต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้ตอนรัชทายาทเจาขาใช้การไม่ได้ทั้งสองข้าง มีข่าวลือว่าจักรพรรดิจะแต่งตั้งองค์ชายเสียนเป็นรัชทายาท จึงมีคนมาประจบเอาใจข้างกายเขาไม่น้อย บัดนี้ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ทั่วราชสำนักไม่รู้ว่าแอบไปน้ำตาตกอยู่ที่บ้านกันมากมายเท่าไรแล้ว

แต่คนที่ต้องเสียใจเพราะเดินหมากพลาดมากที่สุดคงหนีไม่พ้นครอบครัวท่านหญิงถังซี!

 

รัชทายาทเจายกจอกสุราขึ้นเป็นคนแรก แล้วกล่าวเปิดงาน

"วันนี้เป็นวันมงคลที่หอฮุ่ยอานเปิดกิจการ ข้าเชื่อว่าเมื่อมีหอฮุ่ยอานแล้ว ต่อไปวันข้างหน้าคนป่วยมากมายจะได้รับการรักษาเยียวยา โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ จะต้องถูกขจัดปัดเป่า หอฮุ่ยอานมิได้เป็นเพียงร้านขายยาของถังเยว่คนเดียว และก็หาใช่การค้าของจวนลี่หยางโหวแต่เพียงผู้เดียว หากแต่เป็นกิจการที่หนานจิ้นของพวกเราพึงช่วยกันสนับสนุน ข้าขอประกาศ ณ ที่นี้ว่าหากมีใครกล้าปั้นน้ำเป็นตัว คิดมาก่อความวุ่นวายที่ร้านขายยาแห่งนี้ ก็เหมือนกับประกาศเป็นอริกับจวนรัชทายาท เป็นศัตรูกับข้า เป็นปรปักษ์ต่อราชสำนักหนานจิ้น!

"วันนี้ทุกคนได้มายืนอยู่ที่นี่ ก็อธิบายได้ถึงท่าทีที่พวกเจ้ามีต่อถังเยว่เมื่อไม่กี่เค่อก่อนหน้านี้องค์ชายเสียนมาก่อความวุ่นวายที่โถงด้านหน้าพวกเจ้ากลับไม่มีใครยื่นมือช่วยเขาเลยสักคน มีเพียงจ้าวซานหลางที่แอบส่งคนไปแจ้งข่าวให้ข้ารู้ ข้ามิได้มีใจจะตำหนิพวกเจ้า เพียงแต่ทุกคนลองถามใจตัวเองดูว่ายังมีหน้าดื่มเหล้าจอกนี้ได้ลงอีกหรือ?"

คำพูดเหล่านี้ของรัชทายาทเจาทำเอาทุกคนในงานต่างหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างฉับพลัน ต่างก้มหน้าอย่างกระอักกระอ่วน แทบอยากจะขุดรูมุดดินหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด

เดิมทีถังเยว่ยังมีใบหน้ายิ้มแย้ม แต่พอได้ฟังคำพูดนี้ก็หุบยิ้มลงทันทีความจริงหากจะพูดว่าในใจไม่ถือสาก็ออกจะโกหกเกินไป เพียงแต่เขาไม่ได้คาดหวังอะไรกับคนพวกนี้มากอยู่แล้ว คนส่วนใหญ่ต่างเป็นเพียงคนคุ้นหน้าของเขาเท่านั้น กระทั่งเพื่อนยังไม่ใช่ จะให้ยืดอกออกมารับหน้าแทนเขาได้อย่างไร?

ไม่ว่าอยู่โลกไหน เพื่อนแท้ที่รู้ใจกันจริงๆ มีแค่ไม่กี่คนก็พอ คนอื่นที่เหลือขอแค่ไม่แทงข้างหลัง ไหนเลยจะกล้าคาดหวังให้ทุกคนล้วนเห็นเขาเป็นดั่งสหายที่สนิทชิดเชื้อกัน

ถังเยว่คลี่ยิ้มใหม่อีกครั้งแล้วพูดขึ้นเสียงดัง "มาๆ อย่าให้เรื่องเล็กน้อยมาทำลายไมตรีที่มีต่อกันเลย เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่หาใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่ฐานะของผู้ป่วยไม่ธรรมดาเท่านั้น ต่อให้ทุกท่านยื่นมือเข้ามาก็ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้ ข้าเข้าใจในข้อนี้เป็นอย่างดี"

พูดจบก็หันไปถลึงตาจ้องหลี่เจาแวบหนึ่ง "หากฝ่าบาทจะสั่งสอนก็โปรดอย่าเพิ่งสั่งสอนวันนี้เลย วันนี้เป็นวันมหามงคลที่หอฮุ่ยอานเปิดกิจการบรรยากาศดีๆ ถูกฝ่าบาททำลายหมดแล้ว เฮ้อ ... "

หลี่เจาสะบัดแขนเสื้อยาว เงยหน้าดื่มเหล้าในจอก

"สุราจอกนี้ ถือว่าข้าดื่มเพื่อขอขมาทุกคน อย่างไรก็ตามคำพูดเมื่อครู่ของข้า ขอให้ทุกคนกลับไปคิดทบทวนให้ดี พวกเจ้าล้วนเป็นทายาทของชนชั้นสูงแห่งหนานจิ้น เป็นว่าที่เสาหลักของแคว้นในอนาคต หากแม้แต่ความกล้าหาญนี้ยังแบกรับไม่ไหว ต่อไปภายภาคหน้าจะสามารถรับใช้ราชสำนักได้อย่างไร?"

นี่เป็นยุคสมัยที่ยังไม่มีการสอบ การคัดเลือกขุนนางล้วนเลือกมาจากทายาทลูกหลานชนชั้นสูงเกือบทั้งสิ้น เหล่าบัณฑิตยากจนหากคิดอยากมีอนาคต นอกเสียจากจะมีคนชนชั้นสูงแนะนำว่ามีความรู้ความสามารถจริงมิฉะนั้นการจะได้เชิดหน้าชูตาช่างยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์

ทุกคนต่างก้มหน้าน้อมรับ "รัชทายาททรงสั่งสอนได้ถูกต้องที่สุดพวกกระหม่อมมันขี้ขลาด ไม่คู่ควรเป็นราษฎรหนานจิ้น!"

จ้าวซานหลางกัดริมฝีปากล่าง เดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว "ฝ่าบาทกระหม่อมมีเรื่องอยากขอร้องพ่ะย่ะค่ะ"

"เชิญว่ามา"

"กระหม่อมอยากไปเป็นทหารชายแดน ได้ยินมาว่าฝ่าบาทกำลังคัดเลือกทหารนักรบ สร้างหน่วยรบพิเศษ กระหม่อมขอเข้าร่วมด้วย หวังว่าจะทรงอนุญาต"

คำพูดเหล่านี้ของจ้าวซานหลางทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างตะลึงงันแม้แต่ถังเยว่ก็ไม่รู้ว่าเขาไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหน เสียงก้องกังวานและเปี่ยมพลังกับแววตาที่แน่วแน่มั่นคงเช่นนี้ของจ้าวซานหลาง ต่างจากผู้ที่เขาเคยรู้จักราวกับเป็นคนละคน!


 

113 ไม่มีความรู้รอบตัวเลยสักนิด

 

"กองทัพข้าไม่รับคนไร้ประโยชน์" หลี่เจาปฏิเสธออกมาอย่างชัดเจนแค่คำพูดประโยคเดียวก็เท่ากับลงโทษประหารจ้าวซานหลางแล้ว

จ้าวซานหลางทำอะไรเป็น?

ร่ายกลอนรักแสนระทมได้สองสามวรรค แต่ก็เป็นกลอนที่คนอื่นแต่งรำทวนสองกระบวนท่า ก็ได้แค่สวยงามแต่ใช้การจริงไม่ได้ คุยเรื่องใหญ่ระดับชาติบ้านเมืองได้สองสามประโยคยังล้วนเป็นคำพูดที่แอบฟังจากปากบิดาเอามาพูดต่อ

ให้เขาออกสนามรบ วรยุทธ์ก็ไม่ผ่านด่าน ให้เขาเป็นขุนนาง ในท้องก็มีความรู้ไม่พอ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนสามารถค่อยๆ ฝึกปรือสั่งสมประสบการณ์ได้ แต่สำหรับจ้าวซานหลางในเวลานี้ ยังเป็นคุณชายที่รู้จักแต่กินเที่ยวเล่นไปวันๆ อีกแค่ไม่กี่ก้าวก็จะได้ชื่อว่าเป็นคุณชายสำมะเลเทเมา

จ้าวซานหลางแอบขยิบหูขยิบตาให้ถังเยว่ ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือให้ช่วยพูด แต่ถังเยว่เป็นผู้เสนอความคิดให้ตั้งกองทัพนั้นขึ้นมาย่อมรู้ดีว่าจ้าวซานหลางไม่เหมาะ อย่างน้อยปัจจุบันก็ยังไม่เหมาะ

เขาจึงทำได้แค่ส่ายหน้าเบาๆ บอกว่าตนไร้ความสามารถไม่อาจช่วยได้

จ้าวซานหลางไหล่ตก ถอยหลังหนึ่งก้าวแล้วกล่าวต่อ "เช่นนั้นขอให้ท่านรองแม่ทัพหูรับข้าน้อยไว้เป็นพลทหารปลายแถวได้หรือไม่?"

"หากเจ้ามีใจคิดอยากเป็นพลทหารจริง เหตุใดยังต้องมาขอต่อหน้าข้าอีก ทั่วเมืองเย่เฉิงมีค่ายฝึกทหารอยู่แปดจุด แค่เจ้าหอบเสื้อผ้าไปก็สามารถเข้าร่วมกองทัพได้แล้ว" หลี่เจาทิ่มแทงเขาด้วยคำพูดไม่ไว้หน้า

แต่ที่ฝ่ายนั้นพูดมาก็เป็นเรื่องจริง ด้วยฐานะของจ้าวซานหลาง ถ้าจะเริ่มต้นด้วยตำแหน่งพลทหารเห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ ที่นี่ไม่เหมือนในยุคปัจจุบัน ที่ต่อให้เป็นทายาททหารรุ่นสองรุ่นสามยังต้องเริ่มฝึกฝนตั้งแต่ขั้นพื้นฐานแล้วไต่เต้าขึ้นไปทีละขั้น

"กลับไปเพียรฝึกฝนให้มากกว่านี้ ต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า หากเจ้าสามารถทำได้ตามระดับมาตรฐานที่ข้าต้องการ ข้าจะพาเจ้าร่วมสมรภูมิด้วยตัวข้าเอง"

จ้าวซานหลางสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ "พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะต้องทำให้ได้อย่างแน่นอน!"

ถังเยว่เห็นบรรยากาศไม่ค่อยครึกครื้น จึงจงใจเล่นมุก เล่าเรื่องตลกฝึดให้ทุกคนได้หัวเราะ แม้จะมิได้ฟังเข้าใจกันทุกคนก็ตาม แต่ก็ยังนับว่าไม่ได้กดดันเหมือนอย่างตอนแรกแล้ว

หลังจากนั้น ที่ควรกินก็กิน ที่ควรดื่มก็ดื่ม เหล้าเหลืองลงท้องไปหลายจอก อารมณ์ทุกคนถึงค่อยกลับมารื่นเริงอีกครา

ถังเยว่ยกอาหารมาให้หลี่เจา กระซิบถามเบาๆ "จวนเจิ้นกั๋วกงเกิดเรื่องอันใดขึ้น?"

หลี่เจาหมุนส้อมในมือเล่น นี่เป็นสิ่งที่ถังเยว่ตั้งใจสั่งทำขึ้นมาใช้สำหรับจัดเลี้ยงแบบให้แขกบริการตัวเองครั้งนี้โดยเฉพาะ ทำจากเงินแท้กระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักมาก

เขามิได้ตอบคำถามนั้นในทันที แต่จิ้มเนื้อในจานขึ้นมาชิ้นหนึ่งค่อยๆ เคี้ยวอย่างเชื่องช้า รอจนกระทั่งกลืนอาหารลงคอไปแล้วถึงตอบว่า "รุ่งสางวันนี้ บุตรคนโตของเจิ้นกั๋วกงได้รับการแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อแล้ว"

ถังเยว่ตะลึงงันไปชั่วขณะ เรื่องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันในครอบครัวแบบนี้ เขายากจะสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ทว่าบุตรคนโตผู้เกิดแต่อนุภรรยาแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงคนนั้น เขาทำใจให้ชอบไม่ลงจริงๆ

"บุตรชายที่เกิดแต่ภรรยาเอกควรได้รับพิจารณาก่อนมิใช่หรือ?จ้าวซานหลางก็ไม่ได้ทำความผิดอะไรใหญ่โตสักหน่อย เจิ้นกั๋วกงทำเช่นนี้คงไม่ค่อยเหมาะกระมัง"

หลี่เจาพยักหน้า "เสด็จพ่อยังไม่ทรงรับปาก แต่หากกั๋วกงยืนกรานเช่นนี้ต่อไป เสด็จพ่ออาจทรงรับปากเข้าสักวัน มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นคือให้จ้าวซานหลางเป็นขุนนางหรือทหาร สร้างผลงาน จึงจะสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้"

บุตรชายภรรยาเอกไม่เป็นโล้เป็นพายถูกหมางเมินได้ แต่หากเป็นบุตรชายภรรยาเอกที่มีชื่อเสียง มีความดีความชอบ หาได้ก้าวข้ามง่ายๆเช่นนั้นไม่

หลี่เจาจิ้มเนื้อชิ้นหนึ่งส่งมาให้ถึงปาก ถังเยว่ซึ่งยังไม่หลุดออกจากห้วงแห่งความคิดพลันได้สติมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึงตาค้าง

ผู้คนรอบข้างต่างพากันหลบเลี่ยงอย่างรู้กาลเทศะ แต่ละคนแอบมองทั้งสองอย่างลับๆ ล่อๆ คนจำนวนไม่น้อยตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กัน

รัชทายาทยามปกติแสนเย็นชา วาจาเชือดเฉือน ตำหนิคนครั้งใดไม่เคยเหลือหนทางให้มีข้ออ้างแก้ตัว คาดไม่ถึงว่ายังมีมุมหวานซึ้งอ่อนโยนเช่นนี้ด้วย ช่างน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก

ไม่รู้ว่าคุณชายถังผู้นี้เก่งกาจมาจากไหน ถึงสามารถทำให้รัชทายาทหลงใหลได้มากมายถึงเพียงนี้

"กินสิ" หลี่เจาส่งเสียงเตือน

ถังเยวได้สติ มองซ้ายแลขวาตามสัญชาตญาณ ใบหน้าแดงเรื่อไปถึงลำคอ แย่งส้อมในมืออีกฝ่าย ส่งเนื้อใส่ปากกินเองแล้วค่อยคืนส้อมให้พลางบ่นพึมพำ "อายุเท่าไรแล้ว ทำไมยังทำตัวเป็นเด็กๆ เช่นนี้อยู่อีก"

หลี่เจายกมุมปากหยักโค้ง แย้มยิ้มสดใสระรื่นดุจสายลมในวสันตฤดูผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์จำนวนไม่น้อยมองจนตาแทบหลุดออกจากเบ้า บุรุษหลายคนที่มีรสนิยมชมชอบบุรุษยิ่งแอบมองจนน้ำลายหก

ในฐานะผู้มีรูปโฉมอันดับหนึ่งของสี่หนุ่มรูปงามแห่งเมืองเย่เฉิงรูปโฉมองค์รัชทายาทงดงามเพียงใดไม่ต้องพูดถึง โดยเฉพาะเมื่อถังเยว่ผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ มีหน้าตาแสนธรรมดา ก็ยิ่งขับให้อีกฝ่ายหล่อเหลาหาใดเปรียบ

"หรือความรักทำให้มองเห็นเพียงสิ่งดีงาม?" มีคนพูดพึมพำกับตัวเองเบาๆ คนที่อยู่ด้านข้าง รีบเออออตามทันที "มีความเป็นไปได้ว่าฝ่าบาทอยู่ชายแดนมานาน จึงแยกไม่ออกระหว่างโฉมงามกับอัปลักษณ์"

ความหมายก็คือ เห็นแต่ผู้ชายมากเกินไปจนหน้ามืดตามัวไปเสียแล้ว

ไม่ว่าเป็นเพราะสาเหตุใดก็ตาม ถึงอย่างไรคนอื่นก็ได้แต่อิจฉา

หลังจากดื่มกินกันจนอิ่มหนำสำราญ กลุ่มคนเตรียมจะแยกย้ายกันกลับ พอดีกับที่เซี่ยงอันผู้ช่วยของถังเยว่วิ่งเข้ามา

"อาจารย์ มีคนมาก่อความวุ่นวายอีกแล้ว!"

ถังเยว่เคาะศีรษะอีกฝ่าย "เคยบอกตั้งกี่ครั้งแล้ว ไม่อนุญาตให้เรียกข้าว่าอาจารย์!"

เขายังไม่มีความคิดจะรับศิษย์ จากสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนี้ แต่เซี่ยงอันเป็นพวกหัวแข็งดื้อรั้น ตามที่รู้มาบิดาต้องการให้เขาสืบทอดงานเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ ผลปรากฏว่าเขาไปช่วยงานได้ไม่กี่วันศพในสุสานสงเคราะห์ถูกชำแหละชันสูตรหมดทุกร่าง ทำเอาบิดาของเขาโมโหแทบกระอัก

กระทั่งเขาเล่นกับศพจนหนำใจ เจ้าเด็กนี่ก็บอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพไม่มีความน่าสนใจ คลุกคลีกับคนตายทุกวี่ทุกวันเช่นนี้มิสู้มาเป็นหมอเสียดีกว่า เขาจึงหันเป้าหมายมาที่ถังเยว่

ช่วงนี้ชื่อเสียงของถังเยว่เลื่องลือไปไกล ทั้งยังหนุ่มแน่นและเป็นมิตรเข้ากับผู้อื่นง่าย เซี่ยงอันแอบสังเกตการณ์อยู่หลายวันถึงได้ขันอาสามาเป็นศิษย์ ถังเยวไม่ยอมรับ เซี่ยงอันก็นั่งอยู่หน้าประตูจวนลี่หยางโหว ไล่เท่าไรก็ไม่ไป ตากทั้งแดด ลม ฝนก็ยอม

"ช้าเร็วท่านก็ต้องเป็นอาจารย์ข้า เรียกไว้ก่อนก็ไม่เห็นจะเป็นไร"เซี่ยงอันฉุดมือเขาเตรียมจะพาออกไปข้างนอก "รีบไปดูเร็วเข้าเถอะ คนที่มาก่อเรื่องคราวนี้ไล่เท่าไรก็ไม่ยอมไป"

ถังเยวไม่รู้ว่าหลี่เจาเลือกทำเลผิดหรือดูฤกษ์ผิดให้เขากันแน่ ไม่เช่นนั้นเหตุใดเพิ่งจะเปิดกิจการแท้ๆ ก็มีคนมาก่อความวุ่นวายครั้งแล้วครั้งเล่า

เขาเอ่ยปากขอตัวจากทุกคน แล้วเดินตามเซี่ยงอันไปยังโถงด้านหน้า

คนอื่นที่เหลือเดิมทีจะแยกย้ายกันกลับ จึงถือโอกาสตามไปดูด้วยที่สำคัญครั้งนี้รัชทายาทก็อยู่ที่นี่ ต่อให้ผู้ก่อกวนมีอำนาจเพียงใดพวกเขาก็ไม่เกรงกลัว

ถังเยว่เพิ่งจะเดินเลี้ยวมาก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับบิดามารดาลาลับ กระทั่งเขาได้เห็นต้นตอที่มาของเสียงนั้นจึงต้องแอบพึมพำกับตัวเองว่า "อืม พ่อแม่เสียของจริงแฮะ"

มีสองศพนอนอยู่บนพื้น หญิงหนึ่งชายหนึ่งอายุประมาณสี่สิบขึ้นไปพอจะมองออกว่าพวกเขาน่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดา แต่สตรีที่กำลังร่ำไห้ผู้นั้นสวยหยาดเยิ้มชวนมอง ใบหน้างดงามนองไปด้วยน้ำตา ยิ่งชวนให้น่าสงสารจับใจ

"ไหนบอกมาสิว่าเกิดอะไรขึ้น?" ถังเยว่เดินไปข้างหน้าสตรีนางนั้นเอ่ยถามด้วยสีหน้าดำทะมึน

"ท่าน ... ท่านคือหมอเทวดาใช่หรือไม่?" หญิงสาวอายุยังเยาว์ น่าจะประมาณสิบสามสิบสี่เห็นจะได้ ทันทีที่เงยหน้าหยาดน้ำตาก็พรั่งพรูหลั่งรินชวนให้ผู้พบเห็นรู้สึกเวทนาเห็นใจยิ่งนัก

แต่ทำไมถึงรู้สึกว่าเจือความเสแสร้งกันนะ? ถังเยว่ยากจะเข้าใจ

"ข้ามิใช่หมอเทวดา ข้าเป็นแค่เจ้าของร้านขายยาแห่งนี้"

"ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ผิด เจ้ามันคนใจบาป คืนชีวิตท่านพ่อท่านแม่ข้ามาเดี๋ยวนี้!" หญิงสาวกระโจนเข้ามาหวังเอาชีวิตเขาอย่างโหดเหี้ยม

ถังเยว่เบี่ยงตัวหลบ องครักษ์ที่อยู่ข้างๆ ปราดเข้าไปควบคุมตัวหญิงสาวนางนั้นไว้ พลิกข้อมือกดนางไว้กับพื้นอย่างไม่ทะนุถนอมสงสารเลยสักนิด

ที่เขากลัวที่สุดคือคนประเภทนี้ เอะอะก็ลงไม้ลงมือโดยไม่สนใจจะอธิบายเรื่องราวให้ชัดเจนก่อน จึงตะคอกออกไปประโยคหนึ่ง "พูดให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยร้อง เอาแต่ร้องไห้จะมีประโยชน์อะไร!"

'ให้ข้าได้ทำการค้าแบบปกติสุขบ้างได้ไหม?'

หญิงสาวนางนั้นสะอื้นไห้ทีหนึ่ง ก่อนจะละล่ำละลักออกมา "หนึ่งชั่วยามก่อน ท่านพ่อท่านแม่ของข้ายังดีๆ อยู่เลย หลังจากที่พวกเขามาดื่มยาในร้านของเจ้าไปหนึ่งชาม กลับไปไม่นานก็ล้มลง พวกท่านลองคิดดูด้วยเหตุผล ว่าท่านพ่อท่านแม่ข้าตายเพราะกินยาของเขาผู้นี้ใช่หรือไม่?"

ทันทีที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่ดื่มยาขับความหนาวเข้าไปต่างกระสับกระส่ายไปทั้งตัว หวาดกลัวจับจิตจับใจว่าอีกประเดี๋ยวตนจะต้องตายอย่างลึกลับ

ถังเยว่ขมวดคิ้วเป็นปม คาดเดาว่าจะมีสาเหตุมาจากการกินอาหารที่มีฤทธิ์ขัดกับยาหรือไม่ แต่สมุนไพรที่นำมาใช้ปรุงยาก็เป็นสมุนไพรธรรมดาแพร่หลายทั่วไป สรรพคุณของยาเพื่อให้ความอบอุ่น ตามหลักแล้วไม่น่าจะมีอันตรายแต่อย่างใด

เขาเดินไปยอบตัวลงตรงหน้าศพคู่นั้น ยื่นมือออกไปด้านข้างแล้วกล่าว "ขอถุงมือกับผ้าปิดปาก"

เซี่ยงอันเตรียมไว้พร้อมตั้งแต่แรกแล้ว ทั้งยังช่วยสวมให้ถังเยว่อย่างตั้งใจ ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายขณะเอ่ยถาม "อาจารย์ ให้ข้าจัดการให้ไหมขอรับ? เรื่องนี้ข้าคุ้นเคยเป็นอย่างดี"

ถังเยว่ผลักเขาให้ไปอยู่ข้างๆ "ไปยืนตรงโน้นก่อน ให้คนไปแจ้งความกับทางการ ให้ส่งเจ้าหน้าที่ชันสูตรที่มีประสบการณ์มาด้วย"

"ข้าจะไปตามท่านพ่อมา เขามีประสบการณ์ที่สุดแล้ว" เด็กน้อยพูดจบก็วิ่งตื๋อออกไป ถังเยว่มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายพลางส่ายศีรษะ

เจ้าเด็กนี่มีพรสวรรค์ก็จริง แต่ติดเล่นสนุกมากเกินไป ที่เขาคิดอยากเป็นหมอหาใช่เพราะหวังอยากจะช่วยชีวิตผู้คน แค่อยากลองสัมผัสความตื่นเต้นที่สามารถทำให้คนใกล้ตายกลับมามีลมหายใจได้ใหม่เท่านั้น

หากใช้คำพูดเด็กน้อยก็คือ สามารถช่วงชิงชีวิตมนุษย์จากเงื้อมมือพญายมได้ นั่นจะเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่สักเพียงใด!

ถังเยวไม่ได้เรียนนิติเวช ไม่อาจยืนยันเวลาตายที่แน่นอนของผู้เสียชีวิตหรือคาดเดาสถานที่ตายได้ แต่ในฐานะที่เป็นศัลยแพทย์จะพิสูจน์สาเหตุการตายย่อมไม่ใช่ปัญหา

อีกอย่างใบหน้าของผู้ตายทั้งสองเป็นสีม่วง โดยเฉพาะริมฝีปากม่วงคล้ำชัดเจน มุมปากมีคราบเลือดสีดำแห้งกรังติดอยู่ ที่สำคัญที่สุดคือศพแข็งแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เพิ่งตายได้ไม่นาน

"เจ้าบอกว่าหนึ่งชั่วยามก่อนพ่อแม่ของเจ้ายังแข็งแรงดีอยู่อย่างนั้นหรือ?" ถังเยว่มุมปากกระตุกแสยะยิ้ม

"ซะ ... ใช่นะสิ"

"ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่จะทำให้เลือดแข็งตัวได้ต้องใช้เวลานานเท่าใด? มนุษย์หลังจากล่วงลับแล้วอุณหภูมิของศพจะเปลี่ยนไปต้องใช้เวลานานเท่าไร?" ถังเยว่ลุกขึ้นถอดถุงมือออก สั่งให้คนนำตัวสตรีนางนี้พร้อมศพทั้งสองส่งไปให้ทางการ

"คุณชาย ดูเหมือนว่าสองคนนี้จะตายเพราะถูกยาพิษ ไม่เกี่ยวข้องกับที่พวกเขาดื่มยาขับความหนาวเข้าไปจริงหรือ?" คนที่มามุงดูเอ่ยถามอย่างไม่วางใจ

ถังเยว่ยืดอก ถามเสียงดัง "ทุกท่านในที่นี้มีใครเห็นว่าพวกเขาสองคนกินยาของร้านข้าบ้าง?"

ทุกคนหันมองกันไปมาก่อนจะส่ายหน้า คนเมื่อครู่กล่าวต่อ "สองคนนี้มีหน้าตาธรรมดา บางทีอาจไม่ใช่ชาวบ้านละแวกนี้ก็เป็นได้ หรือต่อให้มาแล้วทุกคนจำไม่ได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ"

ถังเยว่พยักหน้า "คำพูดนี้มีเหตุผล เช่นนั้นข้าขอถามต่อว่า นอกจากสองคนนี้ พวกท่านที่ดื่มยาของร้านข้าแล้วมีใครรู้สึกไม่สบายอีกหรือไม่?"

มีสตรีนางหนึ่งก้าวออกมา "คุณชายเป็นหมอเทวดา เมื่อวานข้ารู้สึกเหมือนจะเป็นไข้เพราะอากาศหนาว ปวดหัวตัวร้อน หลังจากได้ดื่มยาขับความหนาวเข้าไปถ้วยเดียว เหงื่อก็ออก รู้สึกโล่งสบายไปทั้งตัว"

"ยานี้ดื่มเข้าไปแล้วข้างในมันร้อนๆ ไม่ได้รู้สึกไม่สบายเลยจริงๆ"ผู้คนจำนวนมากต่างคล้อยตาม

ถังเยว่เอ่ยชื่อส่วนผสมของตัวยา "ส่วนผสมทั้งหมดคือสมุนไพรที่ข้าว่ามานี้ หากทุกคนไม่วางใจ ก็สามารถไปสอบถามร้านขายยาหรือหมอท่านอื่นได้ เหล่านี้ล้วนเป็นสมุนไพรที่ใช้ประจำ พวกเขาต้องรู้จักอย่างแน่นอน"

"ไหนบอกว่าจ่ายยาให้ตรงกับโรคมิใช่หรือ คุณชายแจกจ่ายยาขับความหนาวให้ทุกคนโดยไม่คิดเงินนับเป็นเรื่องดี แต่ถ้าหากมีคนที่ป่วยอยู่ก่อน แล้วไม่ถูกกับยาตัวนี้เข้า อย่างนั้นจะทำเช่นไร?"

ถังเยว่หันไปสั่งองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ เบาๆ ประโยคหนึ่ง บอกให้พวกเขานำตัวคนที่พูดยุแยงออกมา ดูท่าว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีคนเจาะจงเล่นงานเขา

หรือจะเป็นองค์ชายเสียนอีกแล้ว? ถังเยว่ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนสักพักว่าตนได้ไปล่วงเกินใครอีกหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าไม่มี

เขาไม่ได้เป็นคนดีมากมาย แต่ที่แน่ๆ เขาเป็นคนโอนอ่อนผ่อนตามน้อยมากที่จะมีเรื่องขุ่นเคืองใจกับผู้อื่น บางครั้งเกิดความขัดแย้งกับญาติคนไข้บ้างก็จริง แต่นั่นก็ทำไปเพราะหน้าที่ อยู่ที่นี่ไม่ควรมีปัญหานี้เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ

"เช่นนั้นท่านรู้สึกว่าเดิมทีสองสามีภรรยาคู่นี้ป่วยอยู่ก่อนแล้ว แต่เพราะดื่มยาของหอฮุ่ยอานเข้าไป ฤทธิ์ยาเกิดขัดกับอาการป่วย จึงส่งผลถึงขั้นเสียชีวิตอย่างนั้นหรือ?" ถังเยว่หัวเราะเสียงเย็น "งั้นท่านลองบอกสิว่าโรคอะไรถึงทำให้ดื่มยาขับความหนาวเข้าไปแล้วกลายเป็นพิษ ทั้งยังเสียชีวิตภายในเวลาอันรวดเร็วและน่าเวทนาเช่นนี้"

ไม่มีความรู้รอบตัวสักนิดเลยจริงๆ!

คนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้บางทีคิดอยากจะทำลายชื่อเสียงเขาบางทีคิดอยากจะทำให้หอฮุ่ยอานยังไม่ทันเปิดกิจการก็ชื่อเสียงเหม็นโฉ่เสียก่อนแล้ว

น่าเสียดายที่บุคคลผู้นี้มีความรู้อย่างจำกัดมาก ยังไม่ทันศึกษาให้แน่ชัดว่าหลังเสียชีวิตสภาพศพจะมีลักษณะเช่นไร ก็มาเล่นละครใส่ร้ายป้ายสีโยนความผิดให้เสียแล้ว ประเมินค่าความฉลาดทางสติปัญญาของเขาต่ำไปแล้วจริงๆ

ฝ่ายตรงข้ามถูกถามจนพูดไม่ออก ขณะที่กำลังจะหลบหนีก็ถูกซานและองครักษ์อีกคนจับตัวไว้ "ฮึ! ทำไมต้องไปแอบพูดอยู่ข้างหลังคนอื่นลับๆ ล่อๆ ด้วย หากมีอะไรจะพูดก็ก้าวออกมาพูดกันซึ่งหน้าสิ"

"โอ๊ยๆ พวกเจ้าคิดจะฆ่าคนปิดปากงั้นหรือ? ข้าเป็นแค่ชาวบ้านตัวเล็กๆ หรือแค่พูดทวงความยุติธรรมเพียงไม่กี่ประโยคก็ยังไม่ได้?"

"พูดเลย ทำไมจะพูดไม่ได้" ถังเยว์ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเป็นที่สุดพลางกล่าวยิ้มๆ "มีอะไรก็พูดที่นี่ให้ชัดเจนกันไปเลย จะได้ป้องกันไม่ให้คนที่มีเจตนาชั่วร้ายแอบแฝงบิดเบือนความจริง ทำลายชื่อเสียงของหอฮุ่ยอาน"

ผู้ต้องสงสัยรายแรกของถังเยว่คือคนทำอาชีพเดียวกัน การแก่งแย่งชิงดีด้วยเล่ห์เหลี่ยมแบบนี้เขาเห็นมานักต่อนักแล้ว แต่ร้านขายยาในเมืองเย่เฉิงมีไม่มาก จะกล้าเป็นปฏิปักษ์กับเขาอย่างเปิดเผย ถึงขั้นไม่หวั่นเกรงต่อผู้ที่หนุนหลังเขาอย่างองค์รัชทายาทเชียวหรือ ใคร่ครวญดูแล้วเกรงว่าจะเป็นคนอื่นเสียมากกว่า


 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม