ชายาคุณธรรมนั้นเป็นยาก 51-60

 

51 สำเร็จหรือล้มเหลวล้วนขึ้นอยู่กับปวงประชา ว่าจะสนับสนุนหรือคัดค้าน

 

ถังเยว่ฝนหมึกให้องค์ชายเจาด้วยตัวเอง พร้อมกับเร่งให้ทดลองใช้ขอเพียงองค์ชายเจาใช้ได้อย่างราบรื่น ทั้งหมึกและพู่กันนี้ก็จะสามารถนำไปเผยแพร่สู่สังคมภายนอกได้

เขาไม่ได้คิดวางแผนจะใช้ของสิ่งนี้มาค้าขายสร้างกำไร ในหัวของเขามีความรู้ล้ำสมัยมากมาย หากคิดอยากหาเงินสร้างกำไรในยุคนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถังเยว่กลับมิได้มีใจคิดอยากเป็นนักธุรกิจถึงเพียงนั้น ขอแค่สร้างชื่อเสียงเป็นหมอที่ดีได้สำเร็จก็เพียงพอแล้ว

องค์ชายเจาใช้ปลายพู่กันจุ่มหมึกเล็กน้อย บรรจงเขียนตัวอักษรคำว่า 'จิ้น' ลงไปบนม้วนไม้ไผ่ พร้อมกับรับสั่งด้วยเสียงดังกังวานเปี่ยมพลัง

"หนานจิ้นของข้า ต่อไปภายหน้าจะได้เป็นเจ้าแห่งใต้หล้า"

ถังเยว่ประจักษ์แจ้งถึงความยากลำบากของอีกฝ่าย รวมถึงแววตามุ่งมั่นที่จะเอาคืนด้วยเช่นกัน

คนผู้นี้แม้อายุยังน้อย ทว่ามีความคิดอ่านสุขุมรอบคอบ จิตใจหนักแน่นมั่นคงยิ่งกว่าคนที่บรรลุนิติภาวะแล้วด้วยซ้ำ เขามิได้หมดอาลัยตายอยากสิ้นหวังเมื่อขาคู่นี้พิการ และมิใช่เพราะมีความหวังว่าขาจะหายจึงเบิกบานยินดี

มีปณิธานกว้างใหญ่อยู่ในอก มีจิตคิดทำเพื่อปวงประชา หากได้ครองบัลลังก์มังกร จะต้องเป็นมหาราชาผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างแน่นอน

ราษฎรในยุคสมัยนี้น่าสงสารเห็นใจอย่างยิ่ง พวกเขาขาดแคลนเสื้อผ้า อาหาร และปัจจัยต่างๆ ในการดำรงชีวิต เกิดมาก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนหวังเพียงให้ได้กินอิ่มนอนอุ่น หากวันเลวคืนร้ายประสบภัยพิบัติ ประชาราษฎร์ที่ต้องอดอยากหิวโหยหรือล้มป่วยจนตายนั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน

อันที่จริงตัวเขาเองก็ไม่ใช่คนใจบุญสุนทานอะไร และยิ่งไม่ใช่คนประเภทเห็นใครลำบากเป็นต้องแสดงความสงสารเห็นใจไปทั่ว เพียงแต่ตลอดทางที่รอนแรมมายังเมืองเย่เฉิง ได้เห็นผู้คนที่อยู่ในสภาพทุกขเวทนามาไม่น้อย

เวลานี้เขาได้มาอยู่ยังสถานที่แห่งนี้ เรื่องที่เขามีแรงกำลังสามารถทำได้ก็แค่ให้ตัวเองได้มีชีวิตที่ดีขึ้นเท่านั้น

"เป่ยเยว่ ... แข็งแกร่งหรือไม่?"

นี่เป็นครั้งแรกที่เขานึกอยากเข้าใจประเทศชาติอย่างจริงจัง

องค์ชายเจาวางพู่กันลง หยิบแท่งหมึกขึ้นมาวางบนฝ่ามือ พลิกไปมาอย่างพินิจพิเคราะห์

"เป่ยเยว่กับหนานจิ้นถูกกั้นกลางด้วยแม่น้ำสายหนึ่ง เหนือใต้แตกต่างกันมาก ภาคใต้ปลูกข้าวฟ่าง ภาคเหนือปลูกข้าวสาลี ภาคใต้ฝนตกชุกมีน้ำมาก ภาคเหนืออากาศแห้งแล้ง อาณาเขตเหนือใต้อยู่ใกล้กัน ประชากรภาคเหนือมีมากกว่าภาคใต้ถึงสองเท่า ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจหรือกำลังทหารล้วนแข็งแกร่งกว่าหนานจิ้น"

ถังเยว่รู้ว่าภาคเหนือในยุคนี้แตกต่างจากภาคเหนือที่เขารู้จัก ที่นั่นเป็นแหล่งกำเนิดมนุษย์ ส่วนภาคใต้ในสายตาของพวกเขาเป็นดั่งคนเถื่อนถ่อย

"เช่นนั้นหนานจิ้นอยู่รอดมาจนถึงป่านนี้ได้อย่างไร? สองฝ่ายทำศึกสู้รบกันมานานหลายปี ถ้าความเข้มแข็งแตกต่างกันมากถึงเพียงนี้ หนานจิ้นก็น่าจะพ่ายแพ้ล่มสลายไปนานแล้ว"

องค์ชายเจาเงยหน้า เบนสายตามาทางเขา มองอย่างตรวจสอบแฝงความเคลือบแคลง

"สถานการณ์ทางการเมืองของเป่ยเยว่ยุ่งเหยิง กษัตริย์กับขุนนางไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ขูดรีดภาษีที่นาและภาษีทุกชนิด พสกนิกรมีชีวิตความเป็นอยู่ยากลำบาก ชาติบ้านเมืองเช่นนี้ ต่อให้แข็งแกร่งเกรียงไกรเพียงใดก็เกรงว่าคงไม่พอที่จะค้ำจุนแผ่นดินให้ร่มเย็นได้"

ถังเยว่ลอบอุทานในใจว่าแย่แล้ว เขาในฐานะชาวเป่ยเยว่คนหนึ่งซึ่งใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมาสิบกว่าปีแต่กลับไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับบ้านเมืองเลยสักอย่าง แบบนี้มิเท่ากับเป็นการเผยพิรุธหรอกหรือ?

แม้องค์ชายเจาจะสงสัย แต่ก็มิได้คิดสืบสาวราวเรื่องหาความจริงยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ

"เป่ยเยว่เข้มแข็งเกรียงไกรมาก ทว่ากลับมีสภาพประหนึ่งเม็ดทรายที่กระจัดกระจาย ส่วนหนานจิ้นของข้านั้น แม้จะมิได้เข้มแข็งทรงพลังเท่า แต่เหล่าข้าราชบริพารและปวงประชาต่างมีใจสมัครสมานสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวนับวันจึงยิ่งเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น จะต้องมีสักวันที่เราสามารถเอาชนะเป่ยเยว่ได้อย่างแน่นอน"

สำเร็จหรือล้มเหลวล้วนขึ้นกับปวงประชา ว่าจะสนับสนุนหรือคัดค้าน คำพูดประโยคนี้หาใช่คำพูดที่เอ่ยอ้างขึ้นอย่างไร้เหตุผล

"เช่นนั้นฝ่าบาทจะลองแทรกแซงราชสำนักของพวกเขาก็ได้นี่ใช้เงินก้อนโตซื้อตัวเหล่าเสนาบดีมาก็ได้ หรือจะเสี้ยมให้แตกกันก็ดี สรุปคือยิ่งทำให้เป่ยเยว่เกิดความวุ่นวายได้มากเท่าไร ยิ่งมีประโยชน์ต่อพวกเรามากขึ้นเท่านั้น" ถังเยว่เสนอความคิด

แม้วิธีการเช่นนี้ออกจะสกปรกไปสักหน่อย แต่เมื่อนำมาใช้ในด้านการเมืองกลับกลายเป็นดีและเหมาะสมที่สุด

เพราะเหตุนี้ ชีวิตทั้งสองชาติของถังเยว่จึงไม่เคยคิดอยากจะเป็นขุนนาง มีบางเรื่องแค่ฟังยังพอทำเนา แต่ถ้าได้เห็นเองกับตาหรือต้องลงมือทำเองกับมือ ไม่แน่ว่ากลางคืนอาจต้องนอนฝันร้ายไม่รู้จบ

องค์ชายเจายกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ทำให้ใบหน้าดวงนั้นดูสว่างสดใสขึ้นมาทันที ถังเยว่ที่ไม่ทันตั้งตัวถึงกับจ้องมองจนตาค้าง

พอได้สติก็รีบเบือนหน้าไปอีกทาง พลางหัวเราะแห้งๆ กลบเกลื่อนไปสองที

"หนานจิ้นมีภัย ราษฎรทุกคนล้วนมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ กระหม่อมก็พูดจาเหลวไหลไปอย่างนั้นเอง"

"ไม่เลย เจ้าพูดได้ดี เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าไม่ชอบข้องเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เสียอีก"

ถังเยว่คิดในใจ 'ถูกต้อง ข้าไม่ชอบเรื่องพวกนี้เลยสักนิด แต่ในจุดยืนที่ต่างกัน ย่อมมีเรื่องให้คิดคำนึงต่างกัน'

ในเมื่อเขาหวังอยากเป็นหมอในโลกที่ไร้ซึ่งสงครามและการแก่งแย่งชิงดี ย่อมต้องปรารถนาให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สงบสุขมั่นคงมิฉะนั้นทุกอย่างก็จะเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ

โดยเฉพาะเวลานี้ อันดับแรกเขาต้องเป็นนายน้อยแห่งจวนลี่หยางโหวรองลงมาค่อยเป็นหมอรักษาคนไข้

"ถ้าฝ่าบาทสนพระทัยอยากฟัง กระหม่อมมีทั้งแผนการและกลอุบายมากมายที่จะเล่า บางทีเรื่องราวเหล่านี้ฝ่าบาทอาจสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้"

นี่เป็นข้อดีของการดูหนังดูละคร ต่อให้ตัวเองไม่มีเซลล์สมองทางด้านนั้น ก็สามารถหยิบยืมเรื่องราวความคิดของตัวละครมาใช้ได้

อย่างน้อยเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนจอในยุคปัจจุบันก็เป็นสติปัญญาที่ผ่านการสั่งสมมานับพันปี ย่อมไม่อ่อนด้อยไปกว่าแนวทางของคนในยุคสมัยนี้อย่างแน่นอน

องค์ชายเจาส่ายหน้าแล้วหัวเราะเบาๆ

"จิตใจเยี่ยงเจ้า เป็นหมอต่อไปน่ะดีแล้ว"

ได้อยู่ร่วมกันมาระยะหนึ่ง ทำให้องค์ชายเจาได้รู้ว่านิสัยของถังเยว่นั้น ถ้าจะพูดแบบไม่อ้อมค้อมก็คือคุณชายน้อยท่านนี้แม้ฉลาดเฉลียวแต่กลับไร้เดียงสาเกินไป เหมือนลูกอินทรีย์ที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์ความยากลำบาก จึงขาดสัญชาตญาณเตือนภัยในการระวังอันตรายไปหลายส่วนอีกทั้งยังขาดประสบการณ์เรียนรู้เกี่ยวกับความซับซ้อนของผู้คนไปไม่น้อย

ชั่วขณะนั้นถังเยว่รู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายมองด้วยสายตาหยามเหยียด

"เช่นนั้นก็ช่างเถอะ กระหม่อมเองก็มิได้ชอบพูดถึงเรื่องนี้สักเท่าไร"

"ถังเยว่ เจ้ามีความสามารถของนักวางแผน แต่กลับไร้หัวใจของการเป็นนักวางแผน ถ้าเจ้าเป็นเช่นนี้ตลอดไปก็คงดี แต่หากวันใดเจ้าเปลี่ยนความตั้งใจเดิม จะต้องกลับมาอยู่ใต้อาณัติข้าเท่านั้น"

ถังเยว่มองสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชาของอีกฝ่ายแล้วยกยิ้มมุมปาก

"กระหม่อมเข้าใจความหมายของฝ่าบาท"

เขาเองก็อยากเห็นด้วยตาตนเองว่า เมื่อหนานจิ้นตกอยู่ในมือของหลี่เจาคนนี้ บ้านเมืองจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปเช่นไร

 

 [ฉากพิเศษ]

ถังเยว่                 กระหม่อมสอนสามสิบหกกลยุทธ์พิชัยสงครามของซุนวูให้เอาไหม?

องค์ชายเจา          องค์ชายอย่างข้ายังต้องให้เจ้าสอนอีกงั้นหรือ?

ถังเยว่                 ใช่ ไม่คิดเงินด้วยนะ

องค์ชายเจา          เช่นนั้นเจ้าใช้กลยุทธ์สาวงามให้ข้าดูก่อน

ถังเยว่                 ในสมองของฝ่าบาทมีแต่เรื่องคนงาม เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?

องค์ชายเจา          ช่วยไม่ได้ วันวันเห็นแต่คนอัปลักษณ์อยู่หน้าเดียว จึงได้แต่คิดคะนึงหาคนงามในสมอง


 

52 เหตุใดคำพูดนี้ฟังดูสองแง่สองง่ามชอบกล

 

วันเวลาที่ถังเยว่ใช้ชีวิตอยู่ในจวนองค์ชายเจานับได้ว่าสดชื่นมีชีวิตชีวา เขาให้ความใกล้ชิดสนิทสนมเป็นกันเองกับบ่าวไพร่ ปฏิบัติกับคนเหล่านั้นโดยไม่เคยวางอำนาจบาตรใหญ่ กระทั่งถึงขนาดช่วยตรวจสุขภาพรักษาโรคให้พวกเขา จึงได้รับคำสรรเสริญยกย่องไม่น้อย

ระยะเวลาหนึ่งเดือนใกล้จะครบกำหนด คนไข้คนแรกที่ถังเยว่รักษาให้ ตอนนี้กระดูกประสานเข้าที่ดีแล้ว องค์ชายเจาได้เชิญหมอหลวงมาตรวจวินิจฉัย ไม่มีใครกล้าพูดว่าไม่ดีเลยสักคน

"ข้ารู้สึกว่าการรักษาแบบนี้ให้ประสิทธิผลไม่ต่างกับการต่อกระดูกทั่วไป หาได้มีสิ่งใดพิเศษไม่"

ถังเยว่เหล่มองหมอหลวงหนวดขาวผู้นั้นแวบหนึ่ง เขารู้ว่าคนผู้นี้คือหมอหลวงอูซึ่งสามารถวางยาสลบด้วยเข็มเงิน ดังนั้นจึงไม่อยากใส่ใจคำพูดและกิริยาท่าทางที่แฝงแววเชือดเฉือนของอีกฝ่ายมากนัก

คนแก่มากความสามารถย่อมมีความเย่อหยิ่งทะนงตนสูงลิ่ว นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

"หมอหลวงอูกล่าวถูกต้อง ไม่ว่าวิธีรักษาแบบใดล้วนมุ่งไปที่ผลลัพธ์เดียวกัน คือรักษาอาการกระดูกหักให้หาย เช่นนี้แล้วท่านคิดว่าวิธีรักษาของข้าเป็นอย่างไร?"

ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือรักษากระดูกหักให้ประสานติดกันดังเดิม ในเมื่อเป็นแบบนี้จะมีอะไรพิเศษกันล่ะ? หรือพวกเขาคิดว่าการรักษาด้วยแพทย์แผนตะวันตกนั้นนอกจากจะทำให้กระดูกประสานติดกันได้แล้ว ยังจะสามารถเปลี่ยนขาทั้งสองข้างให้ขาวยาวสวยขึ้นมาได้หรืออย่างไร?

"ยังไม่อาจด่วนสรุปได้ ต้องรอถอดเฝือกที่ขาองค์ชายเจาก่อน"

เหล่าหมอหลวงทั้งกลุ่มต่างเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อมาหนึ่งเดือนเต็ม ... ทั้งหมดก็เพื่อวันนี้

แม้ปากพวกเขาจะยังไม่ยอมรับ แต่ในใจกลับคาดหวังว่าจะได้เป็นสักขีพยานในปาฏิหาริย์สักครั้ง

ถังเยว่บอกให้คนพาตัวองค์ชายเจาออกมานอนบนตั่งด้านนอกจากนั้นจึงเริ่มลงมือใช้ผ้าเปียกเช็ดเฝือกให้นิ่มลง แล้วใช้เลื่อยค่อยๆ เลื่อยตัวเฝือกออก

กี๊ด ... กี๊ด ...

เสียงใบเลื่อยเสียดสีกับเฝือกทำเอาทุกคนต่างใจเต้นรัวจนขนหัวลุกไปตามๆ กัน

หูจินเผิงที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่กล้าละสายตาแม้สักวินาที กระทั่งจะกะพริบตาสักครั้งยังไม่กล้า เพราะเกรงว่าถังเยว่อาจมือสั่น เผลอเลื่อยพลาดตัดถูกผิวหนังขององค์ชายเจาเข้า

ต่างจากผู้ป่วยที่นิ่งสงบ เขารู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเบาๆ ที่ขา หลังถูกยึดให้อยู่นิ่งมาตลอดหนึ่งเดือน ในที่สุดประสาทการรับรู้ก็เริ่มกลับคืนมา

ถังเยว่เชี่ยวชาญการผ่าเฝือก เมื่อเฝือกขาดออกเริ่มเผยให้เห็นขาทั้งสองข้างขององค์ชายเจา เหล่าหมอหลวงเฒ่าทั้งกลุ่มก็ดูเหมือนจะทนรอต่อไปไม่ไหว รีบกรูกันเข้ามามุงล้อมจนแทบจะกระโดดกอดขาคู่นั้นเพื่อศึกษาวิเคราะห์กันอย่างละเอียดลออเลยทีเดียว

"เป็นอย่างไร?"

หมอหลวงอูคุกเข่าแทบเท้าองค์ชายเจาซึ่งตอนนี้กำลังเอียงหน้าถามถังเยว่ ดวงตาคู่นั้นฉายแววแห่งความหวัง

ถังเยว่ถอดเฝือกจนหมดแล้วจึงเริ่มลงมือทำความสะอาด ใช้ผ้าสะอาดเช็ดขาสองรอบ จากนั้นก็ค่อยๆ ตรวจคลำสภาพการเชื่อมต่อของกระดูกที่หัก

"ขาทั้งสองข้างมีอาการบวมเล็กน้อย นี่ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นเพราะออกกำลังกายน้อยเกินไป ทำให้เลือดลมหมุนเวียนไม่สะดวก เพียงออกกำลังกายให้เหมาะสมสักระยะก็จะดีขึ้นเอง ส่วนกระดูกขาของฝ่าบาทเป็นเช่นไรนั้น ... ให้หมอหลวงทุกท่านได้ตรวจวินิจฉัยด้วยตัวเองน่าจะดีกว่า"

ถังเยว่ขยับถอยออกมาเพื่อหลีกทางให้เหล่าหมอหลวงเข้าไปตรวจวินิจฉัย ส่วนตัวเองก็เดินไปด้านข้างเพื่อเขียนรายการอาหารหนึ่งชุดกับใบสั่งยาอีกหนึ่งแผ่น

"ขอข้าดูหน่อย มันอัศจรรย์อย่างที่คุณชายถังกล่าวไว้หรือไม่?"

หมอหลวงเฒ่าผู้หนึ่งซึ่งล้างมือจนสะอาดแล้วถลาเข้าไปประคองขาทั้งสองข้างขององค์ชายเจาขึ้นมาตรวจดูอย่างระมัดระวัง

"เป็นอย่างไร? ประสานกันสนิทดีหรือไม่?"

หมอหลวงคนอื่นๆ รีบเอ่ยถามขึ้นอย่างร้อนใจ

ดวงตาของหมอหลวงเฒ่าผู้นั้นฉายแววงงงัน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจระคนยินดี เขากอดขาองค์ชายเจาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

"ประสานกันสนิทดีจริงหรือ?" หมอหลวงอูดันอีกฝ่ายออกเพราะยังแคลงใจ จึงลงมือตรวจวินิจฉัยด้วยตนเอง ผ่านไปสักพักก็พึมพำออกมาหนึ่งประโยคด้วยสีหน้าตื่นตะลึง "ประสานกันสนิทดีจริงๆ ด้วย ... "

"ฝ่าบาท ทรงลองลุกเดินดูสักสองก้าวสิพ่ะย่ะค่ะ"

"ใช่แล้ว ลองเดินดูว่ารู้สึกเจ็บตรงไหนหรือไม่ นี่เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น กระดูกยังประสานกันไม่สนิทดี เนื้อกระดูกยังไม่แข็งแรงมั่นคงระยะนี้พยายามหลีกเลี่ยงอย่าออกกำลังกายหักโหม ป้องกันกระดูกหักซ้ำ"

ถังเยว่กล่าวเสริมอยู่ทางด้านข้าง

"ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้ให้ฝ่าบาทนอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียงต่อไปไม่ดีกว่าหรือ รอให้หายเป็นปกติก่อนแล้วค่อยลงจากเตียงก็ยังไม่สาย"

หูจินเผิงเพิ่งพูดจบ ก็ถูกทั้งถังเยว่และหมอหลวงประสานเสียงขัดขึ้นพร้อมกัน

"ไม่ได้!"

"ไม่ได้เด็ดขาด!"

"จากสภาพของผู้ป่วยในตอนนี้จำเป็นต้องใช้วิธีออกกำลังกายอย่างเหมาะสมเข้ามาช่วยในการฟื้นฟูร่างกาย เช่นนี้จึงจะทำให้กลับมาแข็งแรงได้เร็วขึ้น ทั้งยังเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและความคล่องตัวของข้อกระดูก หากเอาแต่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ต่อให้กระดูกประสานกันดีแล้ว การเคลื่อนไหวก็จะไม่คล่องตัว แต่ตอนนี้ยังออกกำลังหนักมากไม่ได้ ค่อยเป็นค่อยไป ห้ามหักโหมใจร้อนเป็นอันขาด"

"ใช่ เหตุผลนี้ละ คุณชายถังกล่าวได้ถูกต้อง ผู้คนมากมายเข้าใจว่าหลังกระดูกหักห้ามเดินห้ามกระโดด แท้จริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ ร่างกายมนุษย์หากไม่ขยับเขยื้อนนานวันไปก็จะกลายเป็นเหมือนเหล็กที่ขึ้นสนิม ถึงตอนนั้นจะมารักษากันภายหลังก็ยากที่จะฟื้นคืนเป็นปกติได้"

หาได้ยากยิ่งที่ถังเยว่จะได้รับเสียงสนับสนุนจากหมอหลวงเหล่านี้เขาจึงหันไปมองหมอหลวงอูด้วยแววตาเป็นมิตร

"หมอหลวงอูกล่าวได้ถูกต้องที่สุด ข้าได้ยินมาว่าฝีมือฝังเข็มของท่านยอดเยี่ยมดุจเทพเซียน เอาอย่างนี้ดีไหม ในช่วงที่ฝ่าบาททรงพักฟื้น ท่านเข้ามารับหน้าที่ดูแลต่อ เช่นนี้ท่านคิดว่าเป็นอย่างไร?"

ทุกคนต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง กระทั่งองค์ชายเจาก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงได้ตัดสินใจเช่นนี้ จนถึงกับต้องเอ่ยปาก

"หรือคุณชายถังจะไม่รับผิดชอบข้าจนถึงที่สุด?"

ถังเยว่ถึงกับผงะไปด้วยความงงงัน เหตุใดคำพูดนี้ฟังแล้วรู้สึกสองแง่สองง่ามชอบกล?

 

[ฉากพิเศษ]

องค์ชายเจา          เจ้าไม่คิดจะรับผิดชอบข้าจนถึงที่สุดเช่นนั้นหรือ?

ถังเยว่                             จะเป็นไปได้อย่างไร กระหม่อมรับผิดชอบไปชั่วชีวิตนั่นละกระหม่อมขอสาบาน!

องค์ชายเจา          รับผิดชอบไปชั่วชีวิต? เจ้าแช่งให้ขาข้ารักษาไม่หายไปชั่วชีวิตอย่างนั้นหรือ?


 

53 วิชาแพทย์ไร้พรมแดน

 

"แค่กๆ ... ทูลฝ่าบาท แม้กระหม่อมจะมีวิชาการแพทย์ติดตัวอยู่บ้างแต่ก็มิได้เก่งกาจเชี่ยวชาญไปหมดทุกด้าน หน้าที่ดูแลช่วงฝ่าบาทพักฟื้นขอมอบให้หมอหลวงอูดูแลจะเป็นการดีที่สุด"

หมอหลวงอูลูบหนวดยาวๆ ของตนพลางคิดในใจ

'อย่างน้อยเจ้าเด็กนี่ก็มิได้โอหังเกินไป ด้วยอายุของเขา รอบรู้วิธีการรักษาขนาดนี้ถือว่าอัจฉริยะมากแล้ว เช่นนี้ดูท่าว่าเขาก็มิได้เป็นเด็กอวดดี'

หมอหลวงอูเพิ่งจะเปลี่ยนทัศนะที่มีต่อถังเยว่เพียงเล็กน้อย ก็ได้ยินฝ่ายนั้นพูดต่อ

"นี่เป็นขั้นตอนและข้อควรระวังที่ข้าน้อยได้เขียนไว้แล้ว เชิญท่านหมอหลวงอูลองอ่านดู"

ผ้าเช็ดหน้าบางเบาพลิ้วปลิวไสวถูกยื่นส่งมาตรงหน้า บนผืนผ้าปรากฏตัวอักษรยุ่บยั่บสีดำ สีของตัวอักษรเป็นสีเดียวกับใบหน้าหมอหลวงอูในเวลานี้

หมอหลวงอูถลึงตาจ้องหน้าถังเยว่ด้วยความฉุนเฉียว

"เจ้านึกว่าข้าไม่รู้เรื่องพวกนี้หรืออย่างไร?"

เขาประกอบวิชาชีพแพทย์มาหลายสิบปี จู่ๆ วันนี้กลับถูกเด็กอมมือมาสอนวิชา หากแพร่งพรายออกไปต้องถูกผู้คนหัวเราะเยาะแน่

ถังเยว่วางท่านอบน้อม ขณะกล่าวเอาใจ

"ท่านหมอหลวงอูมีประสบการณ์มากล้นย่อมเข้าใจเรื่องเหล่านี้ดีอยู่แล้ว เพียงแต่วิชาแพทย์ไร้พรมแดน พวกเราสามารถศึกษาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เช่นนี้มิดีกว่าหรือ? ถือเสียว่าเป็นการหยิบยาวปะสั้น[1]อย่างไรเล่า"

หมอหลวงอูดึงผ้าเช็ดหน้ามาจากมือถังเยว่ ตวัดตามองเพียงผ่านๆแต่กลับถูกตัวหนังสือที่อีกฝ่ายเขียนไว้สร้างความตื่นตะลึงให้จนมิอาจละสายตา

มิน่าเล่าถึงมีคนบอกว่านายน้อยแห่งจวนลี่หยางโหวไม่รู้หนังสือ ดูลายมือสุนัขเขี่ยพวกนี้สิ ช่างน่าขายหน้าเสียจริง!

ทว่าหลังจากได้อ่านเนื้อหาใจความทั้งหมด หมอหลวงอู้ก็สลัดความคิดดูถูกเหยียดหยามนั้นออกไปจากสมองทันที เขาตั้งใจอ่านจริงจังทุกตัวอักษรซ้ำใหม่อีกรอบ หลังแก้คำที่เขียนผิดบางตัวแล้ว ก็รู้สึกว่านี่เป็นแผนการดูแลคนไข้ในช่วงพักฟื้นที่สมบูรณ์แบบอย่างหาที่ติไม่ได้

เดิมทีหมอหลวงอูคิดเพียงจะใช้วิธีฝังเข็มช่วยลดอาการกล้ามเนื้อบวมอักเสบ แต่ไม่ทันคิดว่าสามารถใช้การนวดร่วมด้วยได้ เขาเพียงแค่คิดให้องค์ชายเจาเดินออกกำลังกายสักสองสามรอบเป็นประจำทุกวัน แต่คิดไม่ถึงว่ายังมีวิธีออกกำลังกายด้วยการเคลื่อนไหวแขนขาเพิ่มเข้ามาด้วย

เห็นเช่นนี้แล้ว คุณชายถังมิใช่ไม่รู้วิธีฝึกฝนร่างกายช่วงพักฟื้นสักหน่อย

หรือเจ้าเด็กนี่ตั้งใจยกหน้าที่และความดีความชอบให้เขา?

พอคิดได้เช่นนี้ แววตาของหมอหลวงอูที่มองถังเยว่ก็แปรเปลี่ยนเป็นซาบซึ้งขึ้นมาทันที

ถังเยว่ยังไม่รู้ตัวว่าได้กลายเป็นคนดีในสายตาอีกฝ่ายไปแล้ว เขาเข้าไปประคององค์ชายเจาให้ลุกขึ้นเดินสองสามก้าว แล้วเอ่ยถาม

"เป็นอย่างไร? รู้สึกเจ็บตรงไหนบ้างหรือไม่?"

องค์ชายเจาพยักหน้า ถังเยว่ยิ้มกว้างจนเห็นฟัน

"ไม่เป็นไร นี่เป็นอาการปกติ กระดูกประสานกันสนิทดีแล้ว เดี๋ยวก็ค่อยๆ หายไปเอง"

"หลังหายแล้วจะมีสิ่งใดแตกต่างจากเมื่อก่อนหรือไม่?" หมอหลวงอูมองถังเยว่ด้วยแววตาวิบวับ

"ทางที่ดีภายในหนึ่งปีห้ามออกกำลังกายหักโหม วิ่งเหยาะๆ ก็ถือว่าอยู่ในขีดจำกัดแล้ว หากออกรบควรบัญชาการอยู่ด้านหลัง รอหลังจากหนึ่งปีไปแล้วทุกอย่างก็จะเป็นปกติดังเดิม"

เหล่าหมอหลวงในที่นั้นต่างหันมาจ้องมองขาขององค์ชายเจาพร้อมกันเป็นตาเดียว พวกเขาแทบอยากจะเข้าไปตะครุบเฝือกที่ถูกผ่าเพื่อนำมาทำการศึกษาวิจัยอย่างละเอียด

หมอหลวงอูจำต้องยอมเสียหน้าเอ่ยถาม

"ฝ่าบาท ขอทรงประทานอนุญาตให้หมอหลวงทุกคนได้ศึกษาวินิจฉัยขาของพระองค์สักนิดจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?"

ที่ถังเยว่พูดน่ะถูกต้องแล้ว การแพทย์ต้องศึกษาแลกเปลี่ยน จึงจะสามารถพัฒนาไปด้วยกันได้

วิธีรักษาของถังเยว่ช่วยเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้พวกเขา ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินวิธีรักษาเช่นนี้มาก่อน แต่ตอนนี้หลักฐานประจักษ์แจ้งอยู่ตรงหน้า จะไม่เชื่อก็คงไม่ได้

ติดอยู่ตรงที่ แค่คิดว่าผู้สร้างวิวัฒนาการการรักษาแบบใหม่นี้เป็นเพียงนายน้อยซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ ใบหน้าของพวกเขาก็พลันเห่อร้อนด้วยความละอายขึ้นมาทันที

ก่อนหน้านี้พวกเขาเพิ่งจงใจคุยโววางก้ามว่าร้ายเด็กหนุ่มผู้นี้อย่างไร้ยางอายอยู่แท้ๆ ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า ถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง แถมยังเกิดขึ้นต่อหน้าองค์ชายเจา รู้สึกอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว

ที่องค์ชายเจาเชิญพวกเขามา ก็เพื่อให้หมอหลวงทุกคนเป็นสักขีพยานว่าขาคู่นี้หายเป็นปกติดีแล้ว เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาเคยลงมติตัดสินเป็นเสียงเดียวกันว่าขาคู่นี้พิการ รักษาไม่หาย บัดนี้จึงต้องให้พวกเขาเป็นผู้แก้คำวินิจฉัยด้วยตัวเอง ถึงจะได้รับความเชื่อมั่นจากผู้คน

เหล่าหมอหลวงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าไปตรวจดูอาการกระดูกคดหรือไม่แค่คลำดูก็รู้ ทว่าทุกคนล้วนได้ข้อสรุปเห็นพ้องต้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์

"เป็นเช่นไร?" องค์ชายเจาบอกให้คนเอาขากางเกงของตนเองลงแล้วเอ่ยถาม

"ทูลองค์ชาย กระดูกสมานกันสมบูรณ์แล้ว เพียงแค่พักฟื้นอีกสักระยะก็จะหายเป็นปกติ วิธีรักษาของคุณชายถังได้ผลยอดเยี่ยมดีมาก"

"ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต้องรบกวนหมอหลวงทุกท่านโปรดเข้าวังเพื่อนำเรื่องนี้ไปถวายรายงานต่อเสด็จพ่อ จะได้ทรงวางพระทัย" องค์ชายเจากล่าวอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม

เรื่องที่เกิดขึ้นตลอดหนึ่งเดือนมานี้ถูกโจษจันไปทั่ว ภายในวังหลวงย่อมต้องรู้ข่าวนี้เช่นกัน เดิมทีวันนี้พระอัครมเหสีจะมาเยี่ยมด้วยตนเอง แต่กลับมีบางอย่างมาขัดขวางไว้ ทำให้ออกมาไม่ได้

องค์ชายเจาจึงไม่คิดที่จะรีบเข้าวังเพื่อบอกกับบิดาว่า 'ขาของลูกหายดีแล้ว เสด็จพ่อประกาศแต่งตั้งให้ลูกเป็นรัชทายาทได้แล้ว'

เพราะการกระทำเช่นนั้นดูไร้เดียงสาเกินไป

ในเมื่อมีเหล่าหมอหลวงเป็นกระบอกเสียง เขาเชื่อว่าอีกไม่นานองค์จักรพรรดิจะมีราชโองการเรียกตัวเขาเข้าวังเอง

นับแต่ถูกตัดสินว่าเป็นคนพิการไร้น้ำยา เขาก็ไม่เคยได้พบหน้าบิดาอีกเลย ความสลดหดหู่ใจนั้นไม่ต้องพูดถึง ทว่าตอนนี้ขาของเขาหายดีแล้วดังนั้นอะไรก็ตามที่เป็นของเขา เขาจะทวงคืนกลับมาให้หมด!

"พ่ะย่ะค่ะ พวกข้าพระองค์จะกราบทูลองค์จักรพรรดิอย่างละเอียด"

หมอหลวงทุกคนรับคำ

องค์ชายเจาพอใจอย่างยิ่ง จึงปูนบำเหน็จให้ถังเยว่อย่างคนใจกว้างนอกจากค่ารักษาที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ห้าร้อยตำลึงทองกับร้านค้าอีกหนึ่งร้านแล้ว ยังมอบรางวัลพิเศษให้ คือคฤหาสน์หนึ่งหลังกับองครักษ์วิทยายุทธ์ล้ำเลิศทรงพลังอีกสิบนาย

ยุคสมัยนี้หากตระกูลผู้สูงศักดิ์ต้องการมีองครักษ์ล้วนต้องจ่ายเงินซื้อหามาเลี้ยงดูฝึกฝนเอง ซึ่งองครักษ์เหล่านี้มักมีความจงรักภักดีเป็นที่หนึ่งควรค่าแก่การไว้วางใจ

มีบ้างเป็นส่วนน้อยที่จะเชิญนักดาบและจอมยุทธ์มารับหน้าที่ ทว่าคนพวกนี้แม้วรยุทธ์ล้ำเลิศ แต่กลับไม่ยอมอยู่ภายใต้กฎระเบียบของใคร เป็นผู้คุ้มกันที่ชอบงานสบายแต่ได้รับค่าตอบแทนสูง บ้างก็มีนิสัยเกียจคร้านไม่ยอมรับการถูกอบรมสั่งสอน ผู้ว่าจ้างจะได้รับการปกป้องคุ้มครองก็ต่อเมื่ออยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน

ดังนั้นในยุคสมัยนี้หากเดินอยู่ตามท้องถนน เห็นคนถือมีดไล่ฟันใครสักคนตายจึงไม่ใช่เรื่องแปลก มิหนำซ้ำยังไม่มีใครกล้านำความไปแจ้งกับทางการอีกด้วย

 

ถังเยว่กลับบ้านพร้อมความสำเร็จครั้งใหญ่ นั่งเกี้ยวหลังโตกลับมาจวนโหว มีองครักษ์เดินพิทักษ์รอบด้าน ดูทรงเกียรติดุจจอหงวนเสื้อแพรเดินทางกลับบ้านเกิด

จวนลี่หยางโหวได้รับทราบเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นแล้ว ลี่หยางโหวจึงสั่งฮูหยินจ้าวซื่อให้เรียกบุตรสาวทั้งเจ็ดมารอพร้อมกันที่หน้าประตูใหญ่เพื่อตั้งแถวต้อนรับการกลับมาของถังเยว่อย่างเอิกเกริก

จ้าวซื่อดึงทึ้งผ้าเช็ดหน้าจนขาดไปหลายผืน ใบหน้าแข็งกระด้างดวงตาแฝงแววมาดร้าย

"ฮูหยิน ท่านทำหน้าตายินดีหน่อยสิเจ้าคะ ประเดี๋ยวท่านโหวเห็นเข้าจะไม่พอใจเอาได้" ผิงอวี้ บ่าวรับใช้คนสนิทกระซิบเตือนอยู่ด้านข้าง

จ้าวซื่อพยายามแค่นยิ้ม ขณะกัดฟันกล่าว

"ข้าประเมินมันต่ำเกินไป! ไม่รู้ว่ามันทำได้อย่างไร?"

"ฮูหยิน ในจวนของเรามีนายน้อยที่รู้วิชาแพทย์ขั้นสูงเพิ่มมาหนึ่งคนหากภายหน้ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น อาจเป็นประโยชน์ต่อฮูหยินก็ได้นะเจ้าคะ"

"เกิดเรื่องร้ายอะไร? นี่เจ้ากำลังแช่งข้างั้นรึ?" จ้าวซื่อตวาดถามเสียงขุ่น หน้าตาบึ้งตึง

ผิงอวี้ตกใจรีบคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้น

"ฮูหยินได้โปรดอภัย บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ บ่าวพูดผิดไปแล้วเจ้าค่ะ"

"ลุกขึ้น! คนมากมายกำลังมองอยู่ เจ้าอยากให้คนอื่นรู้นักใช่ไหมว่าข้ามีอคติกับมัน?"

ผิงอวี้รีบลุกขึ้น แล้วเคลื่อนตัวไปยืนอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ด้านหลังโดยไม่กล่าวคำใดอีก

ถังหย่าจูงมือน้องๆ ไว้พลางกล่าวอย่างเบิกบาน

"ไม่เจอกันแรมเดือน ข้าคิดถึงพี่ใหญ่"

ถังหว่านพยักหน้าเห็นพ้องด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนโยน

"ใช่ๆ ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่ไปอยู่จวนองค์ชายเจาจะได้รับความลำบากอันใดหรือไม่"

"ลำบากงั้นรึ! องค์ชายเจาจะปฏิบัติอย่างทารุณกับผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตพระองค์ได้อย่างไรกันเล่า?"

ถังหย่ากล่าวแล้วยกมือลูบปิ่นไม้ที่ประดับอยู่บนเรือนผมดำขลับของตน ใบหน้าเกลื่อนด้วยรอยยิ้มสดใส

"ปิ่นอันนี้สวยจังเลยพี่หย่า หว่านเอ๋อร์ก็อยากได้ ให้พี่ใหญ่ทำให้ข้าสักอันสิ"

"ย่อมได้อยู่แล้ว ไม่ใช่แค่ทำให้เจ้านะ ข้าจะขอให้พี่ใหญ่ทำให้น้องๆทุกคนเลย ใครใช้ให้เขาเป็นพี่ใหญ่ของเราล่ะ จริงไหม?"

เหล่านางฟ้าทั้งเจ็ดหยอกเย้ากระเซ้าแหย่กันอย่างสนุกสนาน ทำให้บรรยากาศดูชื่นมื่นกลมเกลียว

เมื่อก่อนแม้ถังหย่าจะไม่ได้ตั้งใจข่มเหงรังแกน้องๆ ทว่าในฐานะพี่ใหญ่ นางย่อมไม่เห็นน้องคนอื่นอยู่ในสายตา แต่พอมีพี่ชายที่โตกว่านางเพิ่มขึ้น ความคิดที่ถือตนเป็นใหญ่ของนางก็ลดลงมาก

"ข้าขอแบบเดียวกับของพี่หย่าได้ไหม?" เด็กน้อยถังอวิ๋นเงยหน้าถาม

ถังหย่าชำเลืองมองผมสั้นๆ ของนาง นัยน์ตาสวยเบิกกว้าง

"ไม่ได้! ให้เจ้าไปก็ไม่ได้ใช้ ให้พี่ใหญ่ทำที่ติดผมให้ก็พอ"

ถังอวิ๋นเบะปากเตรียมร้องไห้ แต่น้ำตายังไม่ทันจะหยด ก็เหลือบเห็นเกี้ยวหรูหรางดงามหลังหนึ่งอยู่ลิบๆ ดวงตากลมโตเบิกกว้างตกตะลึงจนลืมเรื่องร้องไห้เสียสนิท

"นายน้อยกลับมาแล้ว!"

พ่อบ้านซึ่งจดจำคนในขบวนของจวนองค์ชายเจาได้รีบร้องบอก

ถังเยว่เพิ่งจะลงจากเกี้ยวตรงหน้าประตูจวน ก็ถูกเหล่านางฟ้าทั้งเจ็ดล้อมหน้าล้อมหลังไว้จนมิด นัยน์ตางดงามทุกคู่กวาดมองเขาขึ้นลงอย่างพินิจพิจารณา ราวกับมองสิ่งล้ำค่าหายาก

ถังอวิ๋นน้องคนสุดท้องตัวเล็กขาสั้น แหวกช่องมุดเข้าไปด้านใน กอดขาถังเยว่ไว้พลางเอ่ยด้วยเสียงอ้อแอ้เพราะยังพูดไม่ค่อยชัด

"ท่านพี่ อวิ๋นเอ๋อร์จะเอาปิ่นด้วย!"

ถังเยว่นิ่งอึ้งไปสักพักจึงเพิ่งเข้าใจความหมายที่มาที่ไปของคำพูดนั้นเขาเหลือบมองบนเส้นผมของถังหย่าจึงเห็นปิ่นปักผมที่เขาแกะสลักเองกับมือประดับอยู่บนนั้น ถังเยว่ก้มลงอุ้มถังอวิ๋นขึ้นมา

"ได้สิ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ทำให้อาอวิ๋นนะ" พอเห็นว่าน้องสาวทุกคนต่างจ้องมองมาที่เขาเป็นตาเดียว ถังเยว่ก็รีบพูด "ทำให้ทุกคนเลย"

จบประโยคนั้น เหล่าน้องสาวนางฟ้าทั้งเจ็ดต่างยิ้มแย้มแก้มปริไปตามๆ กัน

 

 

1 หมายความว่า มองเห็นจุดด้อยของตัวเอง ดูดซับจับเอาส่วนดีของผู้อื่นมาใช้พัฒนาตนเอง

 

 [ฉากพิเศษ]

ถังอวิ๋น                พี่ใหญ่ใจดีที่สุดเลย ช่วยทำที่ติดผมสวยๆ ให้ข้าด้วย

เพื่อนสาวตัวน้อย   ก็แค่เศษไม้กระจอกๆ มิใช่หรือ มีอะไรให้น่าดีใจ ข้ายกที่ติดผมของข้าให้เจ้าก็ได้

ถังอวิ๋น                (ทำปากเบะ) สวยสู้ของข้าไม่ได้หรอก

เพื่อนสาวตัวน้อย    งั้นก็ให้พี่ชายเจ้าใช้ทองคำทำสิ!

ถังอวิ๋น                (ส่ายหน้า) ไม่ เดี๋ยวพี่ข้าเหนื่อย

ถังเยว่ฟังแล้วซาบซึ้งเหลือคณา วันรุ่งขึ้นเขาจึงทำเครื่องประดับที่มีอัญมณีให้ถังอวิ๋น

เพื่อนสาวตัวน้อย    อาอวิ๋น ข้าจะแลกพี่ชายกับเจ้า เอาพี่ชายเจ้ามาให้ข้าเถอะ

ถังอวิ๋น                ...


 

54 ข้าละจนปัญญากับเจ้าจริงๆ

 

ถังเยว่ปลอบขวัญน้องๆ เสร็จถึงเพิ่งสังเกตเห็นโหวฮูหยินที่ยืนอยู่ด้านหลัง จึงรีบคลี่ยิ้มกล่าวทัก

"ลำบากฮูหยินต้องออกมาต้อนรับด้วยตัวเองเช่นนี้ ถังเยว่มิกล้า"

จ้าวซื่อกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

"เจ้าเป็นที่เชิดหน้าชูตาของจวนลี่หยางโหว มีสิ่งใดมิกล้า รีบเข้าไปข้างในเถอะ ท่านพ่อกับท่านย่ากำลังรอเจ้าอยู่"

ถังเยวพยายามมองข้ามความห่างเหินและชิงชังที่ซุกซ่อนอยู่ในแววตาของนาง เขาพยักหน้าก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำเข้าไป ด้านหลังมีฝูงชนตามมาเป็นขบวน ดูยิ่งใหญ่อลังการเป็นอย่างมาก

คนของจวนองค์ชายเจาแบกหีบสองใบใหญ่เดินรั้งท้าย ผู้คนกรูกันเข้ามาในห้องโถง ทำให้บรรยากาศดูครึกครื้นขึ้นมาในพริบตา หากมีการประดับโคมแดงด้วยแล้วละก็คงมีผู้คิดว่าจวนโหวกำลังจัดงานมงคลเป็นแน่

"ข้าอกตัญญู ทำให้ท่านย่ากับท่านพ่อต้องเป็นห่วง"

ถังเยว่คุกเข่าคำนับ ท่วงท่าและคำพูดคำจาถูกต้องตามธรรมเนียมกว่าตอนที่เพิ่งมาถึงเมืองเย่เฉิงใหม่ๆ มาก

นั่นเพราะตอนอยู่ในจวนองค์ชายเจา นอกจากเล่าเรียนเขียนอ่านแล้ว เขายังได้ศึกษาจรรยามารยาทพื้นฐาน แม้การคุกเข่าทำความเคารพยังอึดอัดไม่คุ้นชินอยู่บ้าง แต่วันข้างหน้าการคุกเข่าคำนับทั้งจักรพรรดิและพ่อแม่ล้วนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าหัวเข่าของคนยุคนี้ทนได้อย่างไร กินก็คุกเข่าดื่มก็คุกเข่า คุยกันก็คุกเข่า ทำสิ่งใดก็ล้วนคุกเข่า ช่างน่าสงสารหัวเข่าคู่นี้เสียจริง!

 

"ดีๆ กลับมาก็ดีแล้ว รีบสั่งให้คนตั้งโต๊ะเถอะ จะได้กินอาหารบำรุง"

ฮูหยินเฒ่ากวักมือเรียกถังเยว่ให้เดินเข้าไปหา พินิจพิจารณาเขาอย่างละเอียดลออหลายรอบ แล้วลงความเห็นว่าหลานชายไม่เพียงอ้วนท้วนขึ้น หน้าตาก็ยังดูมีน้ำมีนวลกว่าตอนมาใหม่ๆ มาก

"จวนองค์ชายเจาคงเลี้ยงเจ้าดีสินะ"

ถังเยว่ถูจมูก ร่างนี้ของเขาเดิมทีผ่ายผอมมากอยู่แล้ว ทั้งยังเคยไปเยือนปรโลกมาแล้วคราวหนึ่ง สีหน้าย่อมหาความอิ่มเอิบไม่เจอ มิหนำซ้ำหลังมาอยู่จวนโหวได้ไม่กี่วันก็ต้องย้ายไปจวนองค์ชายเจา ทว่าระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนกลับสามารถขุนเขาจนมีเนื้อมีหนังได้ ไม่แปลกเลยที่ฮูหยินเฒ่าจะเอ่ยเช่นนี้

"หากได้กินนอนอยู่ในบ้าน ย่อมดีกว่านี้แน่"

ถังเยว่กล่าวประจบ ฮูหยินเฒ่าหัวเราะอย่างมีความสุขเป็นพิเศษ

"ปากดีจริงนะเจ้าน่ะ"

ลี่หยางโหวถลึงตาใส่ถังเยว่ แต่ท่าทางนั้นกลับไร้ซึ่งความโกรธเกรี้ยวใดๆ

ถังเยว่สั่งให้คนยกหีบสองใบใหญ่เข้ามาแล้วเปิดออก ภายในนั้นเต็มไปด้วยทองคำอร่ามเรืองรอง

"องค์ชายเจามอบค่าตอบแทนให้ลูกทั้งหมดห้าร้อยตำลึงทอง ลูกขอเก็บไว้ใช้เองหนึ่งร้อยตำลึงทอง ที่เหลือเก็บไว้ให้น้องๆ ใช้เป็นสินเดิมตอนออกเรือน"

ห้าร้อยตำลึงทองไม่ใช่สินทรัพย์จำนวนน้อย ไม่ว่าในยุคสมัยใดล้วนนับเป็นลาภลอยก้อนโต ถังเยว่ทำความเข้าใจแบบคร่าวๆ แล้วพบว่า ราษฎรทั่วไปมีเพียงสิบตำลึงทองก็สามารถอยู่อย่างสุขสบายไปชั่วชีวิต มีร้อยตำลึงทองเพียงพอที่จะใช้ชีวิตอย่างเศรษฐี ห้าร้อยตำลึงทองจึงสามารถใช้ชีวิตหรูหราฟู่ฟ่าได้อย่างเต็มที่

"เยว่เอ๋อร์ องค์ชายเก้ามีเมตตายอมให้เจ้าไปถวายการรักษา เหตุใดจึงกล้ารับค่ารักษาจากพระองค์อีก ช่างไม่รู้จักกาลเทศะเลยจริงๆ"

โหวฮูหยินกล่าวสั่งสอนด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ

แม้ลี่หยางโหวจะไม่สบอารมณ์ในความไม่เอาไหนข้อนี้ของบุตรชายแต่ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว จะเอาทองคำไปคืนก็คงไม่ได้

"ฮูหยินกังวลเกินไปแล้ว เงินค่ารักษาจำนวนนี้ได้ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก ทำการค้าแบบตรงไปตรงมา ไม่มีใครติดค้างใคร"

"เจ้านี่ช่าง ... "

โหวฮูหยินส่ายหน้าพลางถอนใจ ทำหน้าประหนึ่ง 'ข้าละจนปัญญากับเจ้าจริงๆ'

"เอาเถอะ ค่อยๆ สอนกันไป เยว่เอ๋อร์มีความสามารถเช่นนี้ วันหน้าคงมีโอกาสได้รับใช้พระองค์อีก"

เห็นได้ชัดว่าฮูหยินเฒ่าเองก็รู้สึกว่าการที่ถังเยว่รับเงินห้าร้อยตำลึงทองเพื่อแลกกับขาคู่นั้นขององค์ชายเจาเป็นเรื่องที่โง่เง่าเกินไป

แต่เด็กคนหนึ่งซึ่งเติบโตขึ้นอย่างยากไร้ในชนบท เขาจะเข้าใจเรื่องน้ำใจในการคบหาสมาคมได้อย่างไร? ไม่รู้ว่าเวลานี้องค์ชายเจาจะมองสกุลถังของพวกเขาเป็นเช่นไร

ในยุคสมัยที่ให้ความสำคัญกับความสง่างามและนิสัยใจคอของคนเช่นนี้ หากสามารถไม่ต้องใช้เงินเป็นตัววัดมูลค่านับเป็นสิ่งประเสริฐ ทุกคนจึงพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่ใช้เงินในการแก้ปัญหาและจัดการสิ่งต่างๆ

ฮูหยินเฒ่าทอดถอนใจ แล้วสั่งให้พ่อบ้านนำกับข้าวมาตั้งโต๊ะ

อาหารถูกนำมาลำเลียงขึ้นโต๊ะ ถังเยว่นั่งประจำที่นั่งตน พบว่าอาหารที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าล้วนเป็นกับข้าวและขนมที่เขาเคยทำ แต่สีสันและหน้าตาเปลี่ยนไปไม่น้อย บ่งบอกว่าทางห้องครัวคงต้องใช้ฝีมือพอสมควร

"ท่านโหว พ่อครัวทั้งสามที่ทางจวนองค์ชายเจาส่งมาสมควรส่งกลับคืนไปได้หรือยังเจ้าคะ?"

โหวฮูหยินคิดว่าในเมื่อทำการค้าแบบตรงไปตรงมา เช่นนั้นทั้งคนและสิ่งของที่เกินมา ถึงอย่างไรก็ต้องส่งคืน

ลี่หยางโหวกำลังจะพยักหน้า แต่ถังเยว่ชิงตอบขึ้นเสียก่อน

"ไม่ต้องขอรับ พ่อครัวทั้งสามนั้นองค์ชายเจามอบให้น้องๆ"

"อะไรนะ?" ผู้อาวุโสทั้งสามที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานต่างอุทานออกมาพร้อมกัน โหวฮูหยินเอ่ยถามด้วยสีหน้าตกตะลึง "หรือว่าองค์ชายเจาถูกใจบุตรสาวคนใดในจวนโหวของพวกเราอย่างนั้นหรือ?"

คิดอะไรไปขนาดนั้น? ถังเยว่พลันรู้สึกอิดหนาระอาใจขึ้นมาทันทีแต่เมื่อเห็นสายตาของทุกคนมองมาทางเขาด้วยความคาดหวัง จึงจำต้องปรับสีหน้าและอธิบายอย่างเสียไม่ได้

"มิใช่เช่นนั้นหรอกขอรับ เพียงแต่องค์ชายเจาได้ยินว่าลูกทำกับข้าวให้น้องๆ กิน จึงสั่งให้ส่งพ่อครัวทั้งสามมาช่วยทำอาหารให้น้องๆ แทนระหว่างที่ลูกไม่อยู่"

ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือพ่อครัวทั้งสามถูกส่งมาให้เขา เพียงแต่ผู้รับบริการกลับเป็นบรรดาน้องสาวในครอบครัวของเขาก็เท่านั้น

"ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงจริงหรือ?" โหวฮูหยินยังไม่ยอมเชื่อง่ายๆ

นางหันไปมองเหล่าบุตรีที่สวยสดงดงามดังบุปผาอัญมณีแล้วรู้สึกทำใจไม่ได้ที่ธิดาคนโตต้องแต่งงานกับซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกง แม้จะนับว่าได้แต่งกับคนมีชาติตระกูลสูงส่ง ทว่าทั้งรูปลักษณ์และนิสัยใจคอของว่าที่บุตรเขยนั้นไม่น่าชื่นชมสรรเสริญเอาเสียเลย

หากมีตัวเลือกอย่างองค์ชายเจาละก็ นางจะรีบถีบหัวส่งซื่อจื่อที่แสนไม่ได้ความผู้นั้นทิ้งทันที

"ด้วยอายุขององค์ชายเจา เกรงว่ามีแต่อาหว่านเท่านั้นที่เหมาะสมแต่งตั้งให้เป็นพระชายาขององค์ชายคงเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยได้เป็นชายารองก็นับว่าไม่เลว"

ฮูหยินเฒ่าเริ่มคิดแผน หากตระกูลพวกเขาได้เกี่ยวดองเกาะเบื้องสูงเช่นองค์ชายเจา รอให้อนาคตพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์ ตำแหน่งชายารองก็นับว่าเป็นฐานะที่ไม่เลวเลย

ยิ่งไปกว่านั้น อาหว่านของพวกเขามีนิสัยสุภาพ นุ่มนวลละมุนละไมใจคอกว้างขวาง เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถและคุณธรรม มองทางใดก็ล้วนมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นชายารองขององค์ชายเจาได้อย่างไม่น่าเกลียด

ถังเยว่ชำเลืองมองถังหว่านซึ่งกำลังก้มหน้าด้วยความเขินอายแล้วต้องปาดเหงื่ออยู่ในใจ ในสายตาเขาถังหว่านยังเป็นเพียงสาวน้อยวัยแรกแย้มแต่กลับสามารถแต่งงานออกเรือนได้แล้วหรือนี่!

ยิ่งเมื่อนึกถึงนิสัยเย็นชาขององค์ชายเจาด้วยแล้ว ก็คิดไม่ออกเลยว่าจะเป็นคู่สร้างคู่สมกันได้อย่างไร?

"อะแฮ่ม ท่านย่าขอรับ องค์ชายเจามิได้มีความหมายอื่นจริงๆ และต่อให้ตำแหน่งชายารองจะดีสักเพียงใดก็ยังคงเป็นแค่อนุ มิสู้หาทายาทคนมีชาติมีตระกูลดีๆ ให้อาหว่านได้เป็นเมียเอกยังจะดีเสียกว่า"

ลี่หยางโหวพยักหน้าเห็นพ้อง

"เยว่เอ๋อร์พูดมีเหตุผล ถึงองค์ชายเจาจะดี แต่เมื่อพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์ ชายาก็จะต้องไปอยู่ในวังหลังซึ่งเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง แก่งแย่งชิงดี ไม่แน่ว่าอาหว่านจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่มีความสุขได้"

ถังเยว่หันไปสบตาผู้เป็นบิดาอย่างเห็นด้วย ดูเหมือนว่าในบ้านหลังนี้ท่านโหวจะเป็นผู้ที่เข้าใจโลกมากที่สุด

พักเรื่องราวต่างๆ ไว้ก่อน ถังเยว่ลงมือกินข้าวมื้อนี้อย่างสบายใจหลังกินอิ่มก็สั่งให้พ่อบ้านจัดเตรียมที่พักให้เหล่าองครักษ์ที่องค์ชายเจาประทานให้ ต่อไปคนกลุ่มนี้จะเป็นคนใต้อาณัติของเขา จึงต้องดูแลชีวิตความเป็นอยู่ทุกด้าน

ลี่หยางโหวพอรู้อย่างนั้น แค่โบกมือก็สามารถเสกเรือนว่างด้านข้างซึ่งอยู่ติดกับเรือนถังเยว่ให้เป็นที่พักขององครักษ์ได้อย่างรวดเร็วทันใจ มีสนามหญ้าแปลงเล็กคั่นกลางระหว่างเรือนทั้งสอง ดอกไม้บานสะพรั่ง ต้นหญ้าเขียวขจี เห็นแล้วชวนให้รู้สึกรื่นรมย์ ไว้วันไหนมีเวลาค่อยสร้างกำแพงล้อมใหม่อีกชั้น ที่นั่นก็จะกลายเป็นโลกส่วนตัวใบเล็กของเขาโดยเฉพาะ

ชั่วขณะนั้นถังเยว่รู้สึกเหมือนกับว่าชนชั้นปัญญาชนระดับสูงเช่นเขากลับกลายเป็นเจ้าของสวนเกษตร เศรษฐีจะไต่เต้าไม่จำเป็นต้องขึ้นบันไดทีละขั้นจริงๆ

ได้อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ขนาดย่อม มีพื้นที่ประมาณพันตารางเมตรมีสาวงามสี่นางคอยปรนนิบัติรับใช้ข้างกาย ทั้งยังมีผู้คุ้มกันอีกสิบกว่าคน เดินทางไปไหนมีเกี้ยวหลังใหญ่หรูหราคอยบริการรับส่ง ขนาดระดับนายทุนใหญ่ในยุคสมัยที่เขาจากมายังไม่ได้มีชีวิตอู้ฟู่หรูหราเช่นนี้

มิน่าล่ะ ในนิยายข้ามภพทะลุมิติทั้งหลาย ผู้ชายเมื่อย้อนเวลากลับไปในสมัยโบราณถึงได้โปรดปรานสร้างความรุ่งเรืองจนประสบความสำเร็จขยายอาณาจักรวังหลัง ที่แท้มันมีความสุขอย่างนี้นี่เอง

วันรุ่งขึ้น ถังเยว่ตื่นแต่เช้า ขณะกำลังกินมื้อเช้าอยู่นั้น พ่อบ้านก็หอบเทียบเชิญกองใหญ่มาให้

เทียบเชิญในยุคนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างมาก บ้างทำจากไผ่ทำจากไม้สูงค่า ทำจากผ้า มีครบหมดทุกรูปแบบ ทั้งยังมีลวดลายสวยงามแบบต่างๆ

พ่อบ้านเตรียมจะอธิบายแจกแจงรายละเอียดของเทียบเชิญให้ถังเยว่ฟัง แต่นายน้อยของเขากลับหยิบขึ้นมาอ่านเอง อีกทั้งท่าทางก็ดูเหมือนว่าสามารถอ่านได้เข้าใจ

ไม่พบกันเพียงเดือนเดียว นายน้อยก็สามารถรู้หนังสืออ่านออกเขียนได้แล้วหรือ อัศจรรย์ยิ่งนัก!

"เชิญข้า?"

ถังเยว่ถามด้วยความประหลาดใจ เขาเพิ่งกลับมาถึงจึงยังมิได้รับรู้ข่าวสารของโลกภายนอก ดูเหมือนว่าในตอนนี้ชื่อเสียงของเขาจะขจรขจายไปไกล

"ขอรับ ก่อนหน้านี้ตอนนายน้อยไปอยู่จวนองค์ชายเจา ทุกคนล้วนมีท่าทีเหมือนรอดูเรื่องสนุก บัดนี้ท่านรักษาขาองค์ชายเจาหาย จึงมีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวขานไปทั่ว ต่อไปจะมีเทียบเชิญเช่นนี้ส่งมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ"

ถังเยว่ไม่อยากเอาตัวเองไปพัวพันกับครอบครัวตระกูลชนชั้นสูง ที่ใช้ชีวิตสำเริงสำราญเสพสุขดื่มเหล้าเคล้านารีไปวันๆ พวกนี้

"ท่านอาเฉวียนช่วยดูให้หน่อย อันไหนจำเป็นต้องไปบ้าง ที่เหลือก็ปฏิเสธไปแล้วกัน"

พ่อบ้านแซ่จาง ชื่อเฉวียน ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนแก่กว่าลี่หยางโหวทั้งที่ความจริงแล้วอายุน้อยกว่าหลายปี เขาเห็นพ้องกับความคิดนี้ของผู้เป็นนายจึงรีบคัดเลือกเทียบเชิญออกมาสามฉบับ

"นี่เป็นเทียบเชิญซึ่งถูกส่งมาจากจ้าวซานหลางแห่งเจิ้นกั่วกง ดูจากความสัมพันธ์ของนายน้อยกับจ้าวซานหลางแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็คงปฏิเสธไม่ได้"

ถังเยว่ฟังแล้วครุ่นคิด อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจ้าวซานหลาง? ก็แค่คนรู้จักทั่วไปที่เคยพบหน้ากันสองสามครั้งเท่านั้น

แต่คนผู้นี้ก็อาจนับได้ว่าเป็นหนึ่งในสหายซึ่งหาได้ยากยิ่งในโลกยุคนี้มิตรภาพควรรักษา เขาจึงควรไว้หน้าอีกฝ่าย ยิ่งไปกว่านั้น เขาเองก็อยากรู้ว่าเจ้าหมอนั่นพัฒนาความสัมพันธ์กับท่านหญิงไปถึงขั้นไหนแล้วด้วย

"อีกฉบับถูกส่งมาจากจวนเหิงกั่วกง ข้าคิดว่านายน้อยคงไม่อยากไปที่นี่"

ถังเยว่ถึงกับหันขวับทันทีที่ได้ยิน

"เหิงกั่วกง?" นั่นมันตระกูลว่าที่น้องเขยของเขามิใช่หรือ "ไปสิ ไปแน่! จะไม่อยากไปได้อย่างไร?"

หลังจากได้ฟังคำพูดของลี่หยางโหวเมื่อครั้งก่อน เขาก็คิดไว้แต่แรกแล้วว่าจะต้องลองทำความรู้จักกับว่าที่น้องเขยคนนี้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นโคลนตมหรือหนอนจำศีล อย่างไรเสียก็ต้องทำความรู้จักในทุกแง่มุมเสียก่อนจึงจะหาข้อสรุปที่แน่ชัดได้

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อฟังจากคำพูดของลี่หยางโหวแล้ว โอกาสที่จะยกเลิกงานแต่งครั้งนี้มีความเป็นไปได้น้อยมาก ดังนั้นจะมานั่งรอความตายอยู่แบบนี้คงไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง


 

55 ทำลายความสัมพันธ์สามีภรรยา นับเป็นเรื่องชั่วช้าไร้คุณธรรม

 

"เทียบเชิญฉบับที่สามส่งมาจากจวนอานกั่วกง นายน้อยช่วยรักษาองค์ชายเจา ตระกูลอานกั่วกงแสดงออกเช่นนี้นับเป็นเรื่องปกติ"

เพียงได้ยินว่าเป็นสกุลหู ถังเยว่ก็โล่งใจ พยักหน้าตกปากรับคำ

"เช่นนั้นก็เอาสามสกุลนี้ วันเวลานัดหมายไม่ชนกันใช่หรือไม่?"

"เรื่องนี้วางใจได้ ก่อนตระกูลใหญ่จะจัดงานเลี้ยงเชิญแขก ต่างต้องปรึกษาหารือจนเห็นพ้องต้องกัน การนัดหมายครั้งนี้เรียงต่อกันสามวันพอดีหนึ่งวันหนึ่งจวน วันนี้คือจวนเหิงกั่วกง ข้าจะไปช่วยนายน้อยจัดเตรียมของกำนัลที่เหมาะสมนะขอรับ"

ถังเยว่พ่นลมหายใจดังเฮือก จู่ๆ ต้องยกระดับตัวเองมาเข้าร่วมวงสังคมชนชั้นสูงแบบกะทันหันเช่นนี้นับเป็นเรื่องน่าเหนื่อยใจไม่น้อย เพราะที่ผ่านมาตัวเขาเองก็มิได้ชื่นชอบการออกงานสังสรรค์เช่นนี้เลย ต่อไปยุ่งเกี่ยวกับงานแบบนี้ให้น้อยหน่อยน่าจะดีที่สุด

"ต้องรบกวนท่านอาเฉวียนแล้ว"

"นายน้อยกล่าวหนักไปแล้ว"

พ่อบ้านคลี่ยิ้มบาง ทำความเคารพ แล้วขอตัวจากไป

ถังเยว่กำลังเตรียมจะไปที่เรือนช่างไม้เพื่อหาคนช่วยทำเก้าอี้ตัวเล็กๆให้ แม้เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม แต่จะให้นั่งคุกเข่าทุกวันไม่เป็นผลดีต่อร่างกายท่อนล่างของเขาจริงๆ เวลาอยู่ในเรือนตัวเอง เขาหวังอยากทำตัวสบายๆ เป็นตัวของตัวเอง ได้ทำในสิ่งที่ตนเองชื่นชอบมากที่สุด

ทว่ายังไม่ทันก้าวพ้นประตูเรือน พ่อบ้านที่เพิ่งจากไปก็รีบวิ่งหน้าตื่นกลับมา

"นายน้อย ... เร็วเข้า ... รีบตามข้าน้อยไปรับราชโองการที่โถงหน้าเร็ว!"

ถังเยว่ไม่กล้าร่ำไร รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก้าวเท้ายาวๆ ตามหลังพ่อบ้านไปยังโถงหน้า เพียงก้าวเข้าประตู ก็เห็นคนทั้งตระกูลตั้งแต่เด็กเล็กจนแก่เฒ่าอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา

ทุกคนในบ้านต่างคุกเข่าอย่างเป็นระเบียบ ฟังขันทีอ่านราชโองการด้วยเสียงแหบแห้ง ตามด้วยรายการของพระราชทานยาวเหยียดเป็นหางว่าววิเคราะห์จากสีหน้าของคนที่อยู่ภายในห้องนั้นก็พอจะรู้ได้ว่าการปูนบำเหน็จครั้งนี้จะต้องมีข้าวของล้ำค่ามากมายทีเดียว

ดูเหมือนองค์จักรพรรดิจะพอใจที่เขาสามารถรักษาองค์ชายเจาจนหายได้เป็นอย่างมาก อย่างน้อยสถานการณ์ในเวลานี้ก็บอกว่าเป็นเช่นนั้น

หลังมอบสินน้ำใจให้แก่ขันทีแล้ว ถังเยว่ก็ร่วมชื่นชมของพระราชทานไปพร้อมกับทุกคน นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่เขาได้รับของพระราชทานจากองค์จักรพรรดิในยุคโบราณ เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

ที่สำคัญข้าวของเหล่านี้ล้วนเป็นของดีทั้งสิ้น ผ้าหนึ่งคันรถนั้นไม่ว่าจะเป็นลวดลายหรือเนื้อผ้าล้วนเป็นของดีชั้นสูง ยังมีสุราชั้นเลิศอีกครึ่งคันรถที่ตกเป็นของลี่หยางโหว

ข้าวของอื่นที่สามารถนำไปใช้ได้ถูกแบ่งสรรโดยฮูหยินเฒ่า ส่วนพวกที่ไม่ได้ใช้ก็เอาไปเก็บไว้ในห้องเก็บของ ปิดผนึกแน่นหนามีคนคอยดูแลเป็นพิเศษ

เพิ่งจะแบ่งสรรปันส่วนได้ลงตัว ก็มีของพระราชทานตามมาอีกเป็นกองใหญ่ ครั้งนี้เป็นของจากพระอัครมเหสี ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าของพระราชทานจากองค์จักรพรรดิพอสมควร คาดว่าคงไม่ต้องการข้ามหน้าข้ามตาเป็นแน่

แต่สาวงามสิบนางนั้นช่างสะสวยสะดุดตาอย่างยิ่ง ถังเยว่ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ดูเหมือนชนชั้นสูงในยุคนี้จะนิยมส่งมอบมนุษย์ให้เป็นของกำนัล ซึ่งมนุษย์ที่ว่านั้นแม้จะมีหลากหลายรูปแบบ แต่ทุกรูปแบบล้วนได้รับการฝึกฝนหน้าที่มาเป็นอย่างดี

ชำเลืองมองไปทางโหวฮูหยินที่มีสีหน้าแข็งค้างแล้ว ถังเยว่แอบคิดอย่างชั่วร้ายว่าถ้าเขายกสาวงามทั้งหมดนี้ให้กับลี่หยางโหว ไม่รู้ว่าฮูหยินจะอยากจับเขากินทั้งเป็นหรือไม่

แต่ช่างเถอะ ครอบครัวรักใคร่สามัคคีคือสิ่งวิเศษที่สุดแล้ว ทำลายความสัมพันธ์สามีภรรยานับเป็นเรื่องชั่วช้าไร้คุณธรรม

ถังเยว่จึงจัดให้เหล่าสาวงามไปทำงานใช้แรงงาน โดยมิได้สนใจแววตาประหลาดใจของทุกคน ก่อนจะหอบไม้เนื้อดีแสนล้ำค่าหีบใหญ่กลับเรือนตัวเองอย่างหน้าตาชื่นบาน

เขารู้สึกว่าของหีบนี้น่าจะมาจากองค์ชายเจา หลังจากได้นำไม้ออกมาตรวจดูก็พบว่ามีมากถึงสิบสองชนิด ทำให้ยิ่งมั่นใจว่าต้องเป็นของที่องค์ชายเจามอบให้อย่างแน่นอน

 

เพียงแต่ ... ส่งไม้พวกนี้มาให้ คงไม่ได้หมายความว่าจะสั่งให้เขาแกะสลักสิบสองนักษัตรให้ใหม่อีกครั้งใช่ไหม?

ถังเยว่เบ้ปาก แล้วรีบสั่นศีรษะเพื่อสลัดความคิดนี้ทิ้งไปจากสมองเขาเลือกไม้จื่อถาน[1]ออกมาท่อนหนึ่ง เตรียมจะแกะสลักทำสร้อยข้อมือประคำให้ฮูหยินเฒ่า

เขาแกะสลักบทสวดมนต์ลงบนลูกประคำไม่เป็น แต่สามารถแกะรูปพระพุทธรูปไว้ตรงด้านบนได้ไม่มีปัญหา จากนั้นค่อยแกะป้ายประดับให้ลี่หยางโหวด้วยไม้เฉินเซียง[2]เนื้อดี ซึ่งนอกจากจะมีกลิ่นหอมแล้วยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย

สำหรับโหวฮูหยิน ข้ามไปก่อนชั่วคราว ไว้รอให้นางเลิกทำตัวร้ายกาจใส่เขาเมื่อไรค่อยแสดงความเคารพกตัญญูต่อนางเมื่อนั้น

เหล่านี้เป็นงานที่ต้องใช้เวลาพอประมาณ ทว่าถังเยว่ก็มิได้รีบร้อนจะทำให้เสร็จสิ้นในวันนี้พรุ่งนี้ จึงถือเป็นกิจกรรมฆ่าเวลายามว่าง

งานเลี้ยงตอนเย็นของยุคนี้จัดขึ้นแต่วัน เพิ่งจะยามเซินสองเค่อ ซึ่งถ้าหากคิดเป็นเวลายุคปัจจุบันก็เพิ่งบ่ายสามโมงครึ่ง ถังเยว่ก็นั่งรถม้าไปร่วมงานตามเทียบเชิญที่จวนเหิงกั่วกงแล้ว

พ่อบ้านบังคับรถม้ามาเป็นระยะทางไกลพอควร เขาเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก นี่ใกล้จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เหตุใดจึงยังร้อนอบอ้าวถึงเพียงนี้?

และในตอนที่เขากำลังนำขบวนสาวๆ ซึ่งส่งเสียงเจื้อยแจ้วมุ่งหน้ากลับจวนลี่หยางโหว ก็บังเอิญพบกับขบวนชมบุปผาของโหวฮูหยินกลางทางจึงรีบนำคนเข้าไปทำความเคารพ

"เกิดอะไรขึ้น? คนพวกนี้จะนำส่งไปที่จวนเหิงกั่วกงมิใช่หรือ?"

โหวฮูหยินชี้ไปยังเหล่าสาวงามที่อยู่ด้านหลังพ่อบ้าน

พ่อบ้านก้มศีรษะขณะตอบ

"นายน้อยบอกว่า ด้วยความสัมพันธ์ของสองตระกูล หากส่งสาวงามไปให้จวนเหิงกั่วกงเกรงจะเป็นการไม่เหมาะสม"

"มีสิ่งใดไม่เหมาะสม?"

"คือ ... นายน้อยบอกว่า ซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงมีนิสัยชอบมั่วโลกีย์อยู่เป็นทุนเดิม ข้างกายห้อมล้อมไปด้วยสาวงาม อีกทั้งยังมีนิสัยได้ใหม่ลืมเก่าหากส่งสาวงามไปให้อีก เกรงว่าต่อไปภายภาคหน้าชายาเอกจะยิ่งดูแลหลังบ้านได้ลำบากขึ้น"

ความจริงถังเยว่ยังมีคำพูดอีกหนึ่งประโยค แต่พ่อบ้านไม่สะดวกใจจะกล่าวให้โหวฮูหยินฟัง

คำพูดประโยคนั้นของถังเยว่ก็คือ

"น้ำเชื้อในร่างกายมนุษย์มีอยู่จำกัด หากตอนนี้ถูกผู้หญิงพวกนั้นรีดไปจนแห้งเหือดหมดแล้วละก็ อนาคตเมื่ออาหย่าแต่งงานออกเรือนไป จะเอาน้ำเชื้อที่ไหนมาตั้งครรภ์"

ตระกูลใหญ่แบบนี้หากไม่มีทายาทสืบสกุลก็จะถูกปลดได้ง่าย

ต่อให้เป็นปัญหาของฝ่ายชาย ก็ไม่แคล้วที่จะปัดความรับผิดชอบมาให้ฝ่ายหญิง ดังนั้นเขาจำเป็นต้องรับประกันให้ได้ว่าซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงก่อนแต่งนั้น ยังมีสมรรถภาพมากพอที่จะให้กำเนิดบุตรได้

 

 

1 จื่อถาน มีชื่อไทยว่าไม้จันทน์แดง เป็นไม้เขตร้อน เนื้อแน่น หนัก สีโทนดำม่วงหรือดำแดงลวดลายเนื้อไม้ละเอียดเหมือนเส้นผม หายากและโตช้ามาก จึงมีราคาสูงมาก

2 เฉินเซียง มีชื่อไทยว่าไม้กฤษณา เป็นไม้มีกลิ่นหอมและสามารถใช้ปรุงยาได้

 

[ฉากพิเศษ]

โหวฮูหยิน            เหตุใดเจ้าถึงพาหญิงงามที่จะมอบให้จวนเหิงกั่วกงกลับมา?

พ่อบ้าน               นายน้อยบอกว่าจะให้ซื่อจื่อเลิกมั่วโลกีย์ขอรับ!

โหวฮูหยิน            เลิกเช่นไร?

พ่อบ้าน               ไม่ทราบขอรับ

โหวฮูหยิน            งั้นเจ้าไปถามสิว่าจะสามารถทำให้เขางดดื่มสุราด้วยได้หรือไม่?

พ่อบ้าน               ตามความหมายของนายน้อย โทสะ โมหะ โลภะ ราคะล้วนต้องละเว้นทั้งสิ้น

โหวฮูหยิน            เช่นนั้นจะยังเป็นคนอยู่อีกหรือ?

พ่อบ้าน               ก็คง ... ใช่กระมังขอรับ! (หลวงจีนก็เป็นคนมิใช่หรือ?)


 

56 ยินยอมน้อมรับอย่างเต็มใจ ทว่าถึงตายเรื่องนี้ก็จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลง

 

รถม้าหยุดจอดหน้าประตูจวนเหิงกั่วกง ถังเยว่กระโดดลงจากรถ ใช้สายตาสำรวจประตูที่แสดงถึงความดุดันน่าเกรงขามแล้วครุ่นคิด กล่าวกันว่าในบรรดาเจ็ดกั่วกงแห่งหนานจิ้น เหิงกั่วกงผู้นี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับองค์จักรพรรดิมากที่สุด ได้รับความสำคัญมากกว่าอานกั่วกงผู้นับเป็นญาติกับองค์จักรพรรดิเสียอีก

ถังเยว่กำลังจะเดินนำขบวนองครักษ์เข้าไปด้านใน แต่กลับถูกยามที่เฝ้าหน้าประตูขวางทางไว้ เขามองอีกฝ่ายซึ่งกำลังแบมือมาตรงหน้าด้วยแววตางงงัน แล้วพลันนึกขึ้นได้ จึงบอกให้องครักษ์ผู้ติดตามส่งเทียบเชิญให้เป็นไปได้ว่าคฤหาสน์ตระกูลใหญ่เช่นนี้คงจะต้องแสดงหลักฐานยืนยันตัวตนจึงจะสามารถผ่านเข้าไปด้านในได้

แต่ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายเพียงเหลือบมองเทียบเชิญด้วยหางตา ทำสีหน้าอิดหนาระอาใจ จากนั้นก็ยื่นมือออกมาตรงหน้าเขาตามเดิม

ถังเยว่ขมวดคิ้วมองหน้าอีกฝ่ายแล้วเอ่ยถาม

"ยังต้องการสิ่งใดอีก?"

ยามผู้นั้นเห็นเขาไม่เข้าใจธรรมเนียมจึงแค่นเสียงขึ้นจมูกดังฮึ! แล้วชักมือกลับ กอดอก ยอมหลีกทางให้

เข้าได้แล้วหรือ? นี่มันธรรมเนียมอะไรกันแน่!

ถังเยว่เห็นว่าด้านหลังมีคนกำลังเดินเข้ามา จึงหลบไปอีกทาง เขาอยากจะดูนักว่าเจ้ายามเฝ้าประตูผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่

"อ้าว คุณชายถัง!"

เด็กหนุ่มคนหนึ่งโบกมือส่งเสียงเรียกชื่อเขาดังลั่น ร่างนั้นกำลังเบียดแทรกฝูงชนพร้อมก้าวยาวๆ เดินเข้ามาหา

ถังเยว่คลี่ยิ้มออกมาทันที ได้เจอคนรู้จักภายใต้สถานการณ์เช่นนี้นับว่าไม่เลว ยิ่งไปกว่านั้นตัวจ้าวซานหลางเองก็เป็นบุคคลซึ่งเป็นที่รู้จักคนหนึ่ง

"จ้าวซานหลาง เจ้ามาแต่หัววันเชียว"

ถังเยว่ตั้งใจมาเร็วเป็นพิเศษ เพื่อจะใช้จังหวะช่วงคนยังบางตาหาโอกาสพูดคุยความในใจกับว่าที่น้องเขยในอนาคต

"วันนี้น่าเบื่อไม่มีอะไรทำ ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมาก็เลยตั้งใจมาเร็วเป็นพิเศษ เดี๋ยวพวกเราไปเล่นโยนลูกธนูลงโถกัน"

'เด็กน้อยชะมัด!'

ในใจถังเยว่เอ่ยปฏิเสธเป็นร้อยรอบ แต่ปากกลับมิได้บอกปัด ถือเสียว่ายอมเป็นเพื่อนเล่นกับสหายหนุ่มน้อยก็แล้วกัน

"ถึงอย่างไรคนที่แพ้ก็ย่อมมิใช่ข้าอย่างแน่นอน" ถังเยว่กล่าวพลางยักไหล่ ก่อนหันไปทักทายคนที่อยู่ด้านหลังจ้าวซานหลาง "คุณชายสวี ไม่เจอกันนาน คงสบายดีสินะ"

ฝ่ายนั้นมองเขาด้วยหางตา สีหน้าบอกบุญไม่รับ พลางส่งเสียงฮึ!เป็นอันจบการทักทาย

ถังเยว์ไม่ใส่ใจกิริยาสะบัดสะบิ้งเยี่ยงอิสตรีเช่นนั้น ถึงอย่างไรนิสัยของอีกฝ่ายก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร

แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือ ข้างกายจ้าวซานหลางยังมีเด็กชายอายุประมาณสิบสองสิบสามคนหนึ่งยืนอยู่ ที่สำคัญเด็กน้อยผู้นี้ดูคุ้นตามากทีเดียว

อายุเพิ่งจะแค่นี้กลับทำหน้าถมึงทึง แม้อาภรณ์ที่สวมใส่อยู่จะหรูหราแต่ท่าทางดูแล้วกลับไม่เหมือนเด็กน้อยที่เรียบร้อยอยู่ในโอวาท ออกจะดูวู่วามและไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครง่ายๆ ด้วยซ้ำ

"ที่แท้ก็จวิ้นอ๋องน้อยนั่นเอง"

ถังเยว่ถูปลายจมูก นึกขึ้นได้ว่าคราวก่อนตนเองได้แกล้งหยอกล้ออีกฝ่ายไว้ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะเป็นเด็กเจ้าคิดเจ้าแค้นหรือไม่

คำตอบถูกเฉลยออกมาภายในเวลาอันรวดเร็ว เพราะฝ่ายนั้นมองพิจารณาเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้ววนกลับจากปลายเท้าขึ้นไปจรดศีรษะอีกรอบด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ ขณะเอ่ยเสียงเย็นเยียบ

"ที่แท้เจ้าก็คือคุณชายถัง"

คำพูดสั้นๆ เพียงประโยคเดียวนี้แฝงความหมายลึกซึ้ง ทำให้สามารถเข้าใจได้ว่าชื่อเสียงของถังเยว่ในตอนนี้ขจรขจายไปทั่ว กระทั่งเด็กอย่างจวิ้นอ๋องน้อยผู้นี้ก็ยังเคยได้ยินชื่อเขา หรืออีกนัยหนึ่งก็สามารถสื่อความหมายได้ว่า เขารู้แล้วว่าใครคือผู้ที่วางแผนให้จ้าวซานหลางใช้ในการตามจีบมารดาของเขา

แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร ถังเยว่ก็รู้สึกถึงสายตาที่ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

อายุยังน้อยอยู่แท้ๆ กลับลึกล้ำถึงเพียงนี้ ต่อไปคงร้ายกาจไม่เบามิหนำซ้ำยังเป็นชนชั้นที่มีเอกสิทธิ์ทางอำนาจบารมีอีกต่างหาก เวรกรรมเวรกรรม!

"เป็นเกียรติยิ่งนัก" ถังเยว่กล่าวตอบพร้อมกับล้วงถุงผ้าใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าใบย่อมที่พกติดตัว พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนประหนึ่งพี่ชายผู้แสนดี "นี่เป็นขนมซูถังที่ข้าเพิ่งทำมาจากบ้าน อร่อยมากเลยนะ ลองชิมดูสักหน่อยสิ"

ทุกคนเงียบกริบ จ้าวซานหลางเบิกตากว้างจ้องหน้าถังเยว่ราวกับถูกผีหลอก

ขนมซูถังหอมมากจริงๆ นี่มิใช่รูปแบบการทำขนมของยุคสมัยนี้ดังนั้นแม้จะมีผ้าห่อกั้นกลางไว้อีกชั้น กลิ่นหอมก็ยังโชยกรุ่นออกมาได้อยู่ดี

สีหน้าจวิ้นอ๋องน้อยแม้ยังไม่ผ่อนคลายจากอาการตึงเครียด แต่ปลายจมูกขยับฟุดฟิดตามหาต้นตอของกลิ่นหอม จากนั้นก็กระชากแย่งถุงผ้าจากมือถังเยว่ไปอย่างกักขฬะ

"หือ ... เหตุใดถึงมองข้าเช่นนี้" ถังเยว่มองไปโดยรอบ "พวกเจ้าอายุเลยวัยที่จะกินขนมแล้ว ไม่มีส่วนแบ่งของพวกเจ้าหรอก!"

ทุกคนต่างทำตาปะหลับปะเหลือกใส่เขา ให้ตายสิ! ใครจะไปอยากได้ขนมเพียงไม่กี่ชิ้นของเจ้ากันเล่า? บางคนจึงเดินแยกจากไป ขณะที่บางคนอยู่รอดูเรื่องสนุกต่อ นั่นเพราะมีคนไม่น้อยที่รู้สึกว่าการที่จวิ้นอ๋องน้อยรับของกินจากผู้อื่นเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเกินไป จึงต่างรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้

หลายคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ถึงตัวตนที่มาของถังเยว่ รวมถึงชื่อเสียงอันลือเลื่อง มีคนไม่น้อยที่เคยเห็นตัวจริงของเขา เห็นว่าเขาใกล้ชิดสนิทสนมกับจ้าวซานหลาง ทว่าในตอนนี้แม้แต่จวิ้นอ๋องน้อยก็ยังสามารถปราบได้อยู่หมัด บ่งบอกว่ามิใช่คนธรรมดา

ถังเยวไม่สนใจสายตาสืบเสาะเจาะลึกพวกนั้น เขายกมือกอดไหล่จ้าวซานหลาง พาเดินเลี่ยงมาทางด้านข้างแล้วกระซิบถาม

"เจ้ามากับเด็กนี่ได้อย่างไร? หรือว่าไปถูกซ้อมที่จวนท่านหญิงมาอีกแล้ว?"

จ้าวซานหลางหัวเราะเบิกบาน

"มิใช่เช่นนั้นสักหน่อย วิธีของเจ้าใช้ได้ผลดีมาก ข้ารู้สึกมีความหวังขึ้นไม่น้อย"

ถังเยว่ตะลึงงันไปชั่วขณะ

"ใช้ได้ผลจริงหรือ?"

เขานึกว่าชาตินี้จ้าวซานหลางตามจีบให้ตาย ก็ไม่มีทางจีบท่านหญิงฮุ่ยจูติด

จ้าวซานหลางเหล่มองซ้ายขวา แล้วขยับเข้ามากระซิบข้างหู

"ข้าทำตามที่เจ้าบอก ส่งดอกไม้ไปให้ทุกวัน ใครจะคิดว่าจวิ้นอ๋องน้อยจะชอบวิธีเอาใจแบบเด็กสาวเช่นนี้ ตอนนี้เขาเลิกทำร้ายร่างกายข้าแล้ว ฮ่าๆ"

" ..... " สีหน้าถังเยว่เปลี่ยนไปทันตา มองจ้าวซานหลางด้วยความประหลาดใจ "หมายความว่า ... เจ้าส่งดอกไม้ให้จวิ้นอ๋องน้อย?"

เห็นจ้าวซานหลางพยักหน้า ถังเยว่รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าจนไหม้เกรียมเป็นตอตะโก แบบกรอบนอกนุ่มใน หรือเจ้าเด็กนี่ไม่รู้ว่าการส่งดอกไม้ให้มีความหมายเช่นไร?

ถึงแม้ในยุคสมัยนี้จะไม่นิยมใช้ดอกไม้เป็นตัวแทนสื่อความรัก แต่การมอบดอกไม้ให้กันและกันระหว่างหนุ่มสาว ความหมายของมันก็ชัดเจน

อยู่แล้วมิใช่หรือ? อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยเห็นว่ามีผู้ชายปกติคนไหนมอบดอกไม้ให้ผู้ชายด้วยกันมาก่อน

การมอบดอกไม้ให้กับว่าที่ลูกเลี้ยงของตัวเองในอนาคตแบบนี้ มันไม่ตลกไปหน่อยหรือ?

"ข้าไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าการส่งดอกไม้สีแดงหมายถึงการแสดงความรักที่มีต่ออีกฝ่าย?"

"ข้ารู้ แต่ในเมื่อนานครั้งจวิ้นอ๋องน้อยจะถูกใจอะไรสักที เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าดอกไม้นี่ยิ่งมีประโยชน์มากขึ้นกว่าเดิม"

จ้าวซานหลางเพียงคิดง่ายๆ ว่าวิธีใดก็ได้ ขอเพียงสามารถซื้อใจจวิ้นอ๋องน้อยได้เท่านั้นพอ แค่นี้เขาก็จิตใจเบิกบานมีความสุขมากแล้ว

อาจเพราะถูกซ้อมจนกลายเป็นปมในใจไปแล้วกระมัง ตอนนี้จึงรู้สึกว่าขอแค่สามารถหันหน้ามาปรองดองกับอีกฝ่ายได้ก็นับเป็นเรื่องประเสริฐสุด

ส่วนท่านหญิงฮุ่ยจู เขาจะต้องหาวิธีจีบให้ได้อย่างแน่นอน

ถังเยว่ลอบชำเลืองมองเด็กน้อยที่กำลังนั่งเงียบกินขนมอย่างเอร็ดอร่อยแวบหนึ่ง ในใจพลันรู้สึกโล่งอก โชคดีที่อีกฝ่ายยังเป็นเพียงเด็กน้อย มิฉะนั้นความผิดของจ้าวซานหลางคงหนักหนาสาหัสเอาการ

"จริงสิ เกือบลืมธุระสำคัญไปเลย ยามที่เฝ้าประตูเอาแต่ยื่นมือมาข้างหน้าข้าตลอด เขาต้องการสิ่งใดกันแน่?"

ถังเยว่ชี้ไปที่ยามหน้าประตูเมื่อครู่

จ้าวซานหลางมองตามนิ้วที่ชี้ไปแล้วหัวเราะเสียงเย็น

"มันเรียกร้องค่าผ่านประตูจากเจ้างั้นหรือ?"

"ค่าผ่านประตูอะไร?"

หวังว่าคงไม่ใช่แบบที่เขาคิดหรอกนะ แต่เมื่อครู่เขาเห็นเด็กหนุ่มคนอื่นๆ ก็ผ่านเข้าประตูมาได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินนี่นา

"หากวันนี้ข้าไม่ได้ยินว่าเจ้าจะมาที่นี่ ข้าไม่มีทางมาเหยียบที่จวนเหิงกั่วกงแน่! ทั้งจวนนอกจากท่านกั่วกงที่น่าเคารพเลื่อมใสแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นเพียงเศษสวะกากเดน!"

'ปากร้ายชะมัด!'

ถังเยว่รู้ว่าเจ้าเด็กนี้เป็นคนปากเสีย แต่คิดไม่ถึงว่าจะกล้าด่ากราดทั้งตระกูลคนอื่นให้เสียหายได้ถึงเพียงนี้ อีกประการหนึ่ง เขาควรเตือนอีกฝ่ายหรือไม่ว่าถึงจวนเหิงกั่วกงจะเลวร้ายสักเพียงใด แต่ก็เป็นตระกูลว่าที่น้องเขยในอนาคตของเขา

ทว่าพอนึกถึงที่จ้าวซานหลางพูดถึงซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงเมื่อคราวก่อน ถังเยว่ก็พลันรู้สึกว่าเจ้าเด็กคนนี้คงไม่ได้ปากร้ายไปเสียทั้งหมด แม้ว่าครั้งนั้นสิ่งที่เขาพูดจะไม่ตรงกับความรู้สึกในใจเลยก็ตาม

"ไป! ไปดูว่าข้าจะสั่งสอนเจ้าสุนัขเฝ้าประตูนั่นเยี่ยงไร"

จ้าวซานหลางจูงถังเยว่เดินอาดๆ ตรงเข้าไปหายามเฝ้าประตูผู้นั้น

"เฮ้! เจ้านั่นน่ะ!" พออีกฝ่ายหันมา จ้าวซานหลางซึ่งยังไม่ทันได้ซักถามสิ่งใดก็เงื้อมือตบหน้าไปหลายฉาด แล้วหันมองมาทางถังเยว่ก่อนจะหันกลับไปตะคอกใส่ "เจ้ามันตัวอะไร! ไม่รู้หรือว่าคุณชายท่านนี้เป็นใคร?เจ้าสุนัขตาบอด!"

แล้วโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว ก็ยกเท้าถีบซ้ำเข้าไปอีกที

"โอ๊ย ... "

ยามเฝ้าประตูกลิ้งหลุนๆ ลงไปกับพื้น ร่างกระแทกเข้ากับเสาหน้าประตูใหญ่ ส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังลั่น

"ฮึ! ปฏิบัติกับสุนัขที่ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือให้ดีต้องทำแบบนี้รู้ไหม?"

จ้าวซานหลางเชิดหน้า แล้วหันมากระดกคางใส่ถังเยว่เป็นเชิงสั่งสอน

ก่อนหน้านี้ถังเยว่ดูไม่ออกเลยว่าที่จริงแล้วยามเฝ้าประตูผู้นี้กำลังวางก้ามอวดศักดาใส่ ต้องยอมรับว่าเป็นเขาเองที่ไร้เดียงสาเกินไป

หากเขาย้อนเวลามาอยู่ในฐานะบ่าวไพร่หรือประชาชนคนธรรมดาต่อให้พยายามมีชีวิตที่ราบเรียบสงบเสงี่ยมเพียงใด ก็เกรงว่าคงถูกข่มเหงรังแกไม่น้อย

คนในสังคมยุคปัจจุบันที่เขาจากมา โดยทั่วไปมักมีความสงสารเห็นใจแก่ผู้ที่อ่อนแอหรืออยู่ในฐานะต้อยต่ำกว่าตน ถังเยว่เองก็ไม่เว้น แต่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เขากลับไม่รู้สึกว่าคนที่ถูกซ้อมมีความน่าสงสารเลยสักนิด บางทีนี่อาจตรงกับคำพูดทีว่า 'แม้แต่คนที่น่าเวทนาก็ยังมีบ้างที่น่ารังเกียจ'

เขาควรจะเรียนรู้ว่าต้องปฏิบัติตัวในสังคมที่แบ่งแยกชนชั้นเช่นนี้อย่างไร

ถ้าจะใช้มุมมองด้านการให้คุณค่ากับผู้คนและทัศนะการมองโลกของยุคปัจจุบันมาปฏิบัติกับคนในยุคนี้ก็ดูจะไร้เดียงสาเกินไป ถ้าหากเขายังดื้อรั้นไม่ทำตัวให้กลมกลืนกับวัฒนธรรมของที่นี่ อาจมีสักวันที่ต้องถูกตัดสินให้เป็นฝ่ายตกรอบ

สวีจื่อเหิงเดินมากระทึบซ้ำเข้าที่ท้องของยามผู้นั้นไปอีกที

"สุนัขรับใช้ของจวนเหิงกั่วกงขาดการอบรมสั่งสอนที่ดี"

เมื่อหนำใจแล้วจึงหยิบเทียบเชิญออกมาเช็ดพื้นรองเท้า ถังเยว่มองแล้วนึกในใจ

'มุมมองด้านคุณค่าและทัศนะการมองโลกอาจต้องปรับปรุง แต่รสนิยมด้านสุนทรียภาพของความงามต้องคงไว้ดังเดิม'

ต่อให้ผู้คนจะตั้งข้อสงสัยในรสนิยมของเขา เขาก็จะยินยอมน้อมรับอย่างเต็มใจ ทว่าถึงตายเรื่องนี้ก็จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลง!

 

 [ฉากพิเศษ]

จ้าวซานหลาง       รับมือกับกากเดนพวกนี้ เจ้าต้องบดขยี้พวกมันเยี่ยงปลวกแมลงน่ารังเกียจ!

ถังเยว่                 ข้าได้รับการสั่งสอนแล้ว!

สวีจื่อเหิง                         หากแม้แต่ขี้ข้าสารเลวแบบนี้ยังสามารถรังแกกดขี่ข่มเหงเจ้าได้ สู้เจ้าตายแล้วกลับไปเกิดใหม่เสียยังจะดีกว่า!

ถังเยว่                 เจ้าพูดถูกต้อง!

จวิ้นอ๋องน้อย         ถอยไป ข้าจัดการเอง!

ถังเยว่                 เด็กน้อยเล่นขายของ ไปกินขนมตรงโน้นไป!

จ้าวซานหลาง      

สวีจื่อเหิง            

จวิ้นอ๋องน้อย        

จ้าวซานหลาง       ข้าลืมบอก หากเจอคนแบบจวิ้นอ๋องน้อย เออออห่อหมกตามไปจะดีที่สุด


 

57 อยู่ห่างสตรีสักครู่จะตายหรืออย่างไร!

 

ปกติหากทายาทตามกฎหมายของเจิ้นกั่วกงลงมือสั่งสอนบ่าวไพร่ย่อมไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามาสอด ถังเยว่จึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจก่อนจะประคองยามซึ่งนอนกองอยู่บนพื้นขึ้นมา จากนั้นจึงนวดคลึงที่ท้องแรงๆ ทำเอาอีกฝ่ายส่งเสียงร้องดังลั่นขึ้นมาทันที

"เจ้าจะหาเรื่องใส่ตัวไปทำไม? สุนัขที่คิดจะอาศัยบารมีเจ้านายมา

รังแกชาวบ้าน อย่างน้อยก็ต้องมองให้ออกด้วยว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ออกไปเดินข้างนอกยามดึกดื่นบ่อยๆ ย่อมต้องเจอผีเข้าสักวัน[1]" ถังเยว่สั่งสอนด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงโยนยานวดให้ขวดหนึ่ง "หากรักชีวิต อยู่ให้ห่างคุณชายเหล่านี้เอาไว้!"

เรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าประตูอึกทึกไม่น้อย ไม่นานจึงมีพ่อบ้านนำคนมาขออภัย ดูเหมือนว่าเรื่องแบบนี้คงไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก พ่อบ้านจึงจัดการทุกอย่างได้อย่างคล่องแคล่วชำนิชำนาญ

เชื้อเชิญบรรดาคุณชายทั้งหลายเข้าไปข้างในได้ เรื่องก็ถือว่าจบลงเพียงเท่านี้

จวนเหิงกั่วกงจัดงานเลี้ยง ผู้ที่ได้รับเทียบเชิญต่างมากันครบลักษณะของครอบครัวนี้คือบิดาพยัคฆ์มีบุตรสุนัข ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง ฉะนั้นจึงจัดงานเลี้ยงรับรองแขกค่อนข้างน้อยครั้งมาก

ถังเยว่ประเมินคุณภาพจากยามเฝ้าประตูก็สามารถมองออกว่าภายในครอบครัวนี้ยุ่งเหยิงเพียงใด แล้วก็จริงดังคาด สตรีที่ไร้ความเป็นแม่เรือนย่อมไม่อาจดูแลจัดการเรื่องราวต่างๆ ในบ้านให้งดงามเรียบร้อยได้

ลี่หยางโหวเคยบอกไว้ว่าเมื่อถังหย่าแต่งงานออกเรือน ก็จะได้เป็นนายหญิงของจวนนี้ เหิงกั่วกงนั้นถึงขั้นเร่งให้ถังหย่ารีบแต่งกับลูกชายของเขาในเร็ววัน เกรงว่าคงต้องการให้นางมาจัดการความยุ่งเหยิงเหล่านี้เป็นแน่

"ในเมื่อไม่มีนายหญิง ผู้ใดควบคุมดูแลจวนนี้? ผู้ใดควบคุมบริหารหลังบ้าน?"

ถังเยว่หันไปถามจ้าวซานหลางที่อยู่ข้างๆ

เจ้าเด็กนี่รู้เรื่องเล่าข่าวลือมากมาย ดังนั้นถามเขานี่ละถูกต้องที่สุด

"เหิงกั่วกงรักชายาฉีมาก แม้นางจะล่วงลับไปหลายปีก็ไม่เคยคิดแต่งตั้งใครขึ้นมาใหม่ แต่ในจวนมีเหล่าอนุอยู่ไม่น้อย พ่อบ้านดูแลจัดการเรือนด้านหน้า ชายารองนางหนึ่งบริหารจัดการเรือนหลัง จวนเหิงกั่วกงจึงได้ยุ่งเหยิงไร้ระบบระเบียบเช่นนี้ ประการแรก พ่อบ้านกับอนุไม่ลงรอยกันประการที่สอง อนุซึ่งมีหน้าที่ดูแลนั้นโฉมงามแต่ไร้สมอง"

ถังเยว่พยักหน้ารับรู้ สภาพแวดล้อมภายในบ้านเป็นเช่นนี้นี่เอง ไม่แปลกเลยที่จะเลี้ยงดูซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงออกมามีสภาพอย่างที่เห็น

เขาพอจะคาดเดาได้ว่า เหิงกั่วกงคงให้ความสำคัญกับหน้าที่ มีภารกิจต้องรับผิดชอบมากมาย จึงไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนบุตร เหล่าอนุก็ไร้คุณสมบัติที่จะอบรม ดังนั้นว่าที่น้องเขยของเขาจึงกลายเป็นหญ้าที่เติบโตขึ้นเองตามมีตามเกิด

น่าเสียดายที่หญ้าต้นนี้ถูกลมพัดจนไหวเอน ทำให้เติบโตมาอย่างบิดเบี้ยว จึงได้มีจิตใจต่ำทรามร่างกายอ้วนฉุเป็นหมูตอนเช่นนี้

ตลอดทางที่เดินผ่านมา ถังเยว่เห็นตัวบ้านและการตกแต่งหรูหราตระการตา เมื่อเทียบกับจวนลี่หยางโหวหรือกระทั่งจวนองค์ชายเจา ก็ยังดูร่ำรวยมั่งคั่งกว่าถึงสามส่วน

แต่ภายใต้ความร่ำรวยก็เผยให้เห็นถึงความยุ่งหยิง

ผู้ที่มาต้อนรับพวกเขาคงเป็นชายารองของเหิงกั่วกง รูปโฉมงดงามแต่ก็ดูมีอายุ ทำทุกสิ่งอย่างระมัดระวังรอบคอบ ไม่แปลกที่จะปราบภูตผีปีศาจในบ้านนี้ได้

ในฐานะทายาทเพียงหนึ่งเดียวของจวน ซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงย่อมต้องออกมาต้อนรับแขกด้วย เพียงแต่ก้อนเนื้อเดินได้ผู้นั้นเคลื่อนไหวเชื่องช้าไปสักหน่อย ซ้ายขวามีสาวงามคอยประคองขนาบข้าง ถ้าใครไม่รู้คงคิดว่าเป็นคนแก่เฒ่าที่เดินเหินเองไม่ไหว

ถังเยว่ลอบส่ายหน้าอย่างเอือมระอา สภาพเช่นนี้เว้นเสียแต่เหิงกั่วกงไม่มีตา มิฉะนั้นก็ไม่รู้จริงๆ ว่าในใจเขามีลูกคนนี้อยู่บ้างหรือไม่ ถึงได้ปล่อยปละละเลยไม่ดูแลจนมีสภาพเป็นเยี่ยงนี้

หรือเขาคิดว่าอีกร้อยปีให้หลังค่อยยกจวนกั่วกงให้เจ้าอ้วนผู้นี้สืบทอดต่ออย่างนั้นหรือ?

"ชื่อจื่อ ท่านนี้คือคุณชายถังแห่งจวนลี่หยางโหว ตามหลักแล้วเจ้าต้องเรียกเขาว่าพี่ใหญ่"

เจ้าอ้วนหรี่ตามองเขา ครู่หนึ่งก็ทำตาโตเป็นประกายวิบวับขึ้นมาทันที

"เจ้าคือหมอที่รักษาขาคู่นั้นขององค์ชายเจาจนหายดีใช่หรือไม่?"

"ชื่อจื่อ ... "

ชายารองผู้นั้นรีบเรียกคล้ายจะปราม เจ้าอ้วนที่เหมือนมีบางอย่างอยากจะพูดจึงเงียบไป

ถังเยว่โบกมือ ไม่ถือสาที่อีกฝ่ายถามเขาตรงๆ ทั้งยังประสานมือโค้งคำนับ

"เป็นข้าเอง ข้ามีนามว่าถังเยว่ ไม่ทราบว่านามของซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงคือ ...? "

"เจ้าไม่รู้หรือ?"

อีกฝ่ายมีสีหน้าประหลาดใจ อ้าปากค้างอย่างตื่นตะลึง เผยให้เห็นฟันที่เหลืองเป็นคราบ

"ข้าเพิ่งมาถึงเมืองนี้ไม่นาน ยังมิเคยสอบถามนามของซื่อจื่อมาก่อน

แน่นอนว่าประโยคนี้คือเสแสร้ง ทั้งสองตระกูลกำลังจะเกี่ยวดองกันย่อมต้องรู้พื้นเพกันเป็นอย่างดี

นามของซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงคือผิงซุ่น เห็นว่าตอนที่เขาเกิดมาบิดามารดาต่างคาดหวังให้มีชีวิตที่ราบรื่นไปตลอดชาติ แต่ไม่รู้ว่าจะสมหวังเช่นนั้นหรือไม่

"ไม่รู้ก็ช่างเถอะ เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็เรียกชื่อข้าผู้เป็นซื่อจื่อตรงๆไม่ได้อยู่ดี"

น้อยครั้งมากที่ซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงจะพูดอะไรเป็นงานเป็นการเช่นนี้ พอพูดจบก็ถึงกับหอบแฮ่กๆ

ถังเยว่คิดในใจ เจ้าอ้วนนี่ถึงคุณสมบัติทางร่างกายจะดูอ่อนด้อยแต่ก็มิได้โง่

"ชื่อจื่อพูดมีเหตุผล จริงสิ บนเทียบเชิญระบุไว้ว่าวันนี้เชิญทุกคนมาร่วมชมเบญจมาศ ไม่ทราบว่าดอกเบญจมาศอยู่ที่ใดหรือ?"

ถังเยว่หันซ้ายแลขวา เวลานี้พวกเขาอยู่ในอุทยาน มีต้นหญ้าต้นไม้ร่มครึ้มเขียวขจี แต่กลับไม่เห็นดอกเบญจมาศบานสะพรั่งเลยสักดอก

"ดอกเบญจมาศ?"

ชื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงอึ้งไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าไม่รู้จริงๆ หรือจำไม่ได้ว่าที่บ้านส่งเทียบเชิญไปด้วยเรื่องใดกันแน่

"ชื่อจื่อ เมื่อคืนวานฝนตกหนัก ข้าจึงสั่งให้คนนำดอกเบญจมาศย้ายไปไว้ในบ้าน ขอคุณชายทุกท่านโปรดรอสักครู่"

ชายารองของเหิงกั่วกงรีบพาคนเดินออกไปอย่างรีบร้อน

ถังเยว่มองท้องฟ้าสีครามกระจ่างใส จำได้ว่าท้องฟ้าปลอดโปร่งตั้งแต่เช้า จึงได้แต่ทอดถอนใจให้กับประสิทธิภาพการทำงานของคนในจวนเหิงกั่วกง ไม่แปลกเลยที่จะถูกผู้อื่นเอาไปนินทา

แต่จุดประสงค์การมาที่นี่ของเขามิใช่เพื่อชมดอกไม้ จ้าวซานหลางเสนอให้เล่นโยนลูกธนูลงโถ แล้วจงใจยัดลูกธนูใส่มือถังเยว่ หวังอยากให้เขาได้แสดงฝีมือ

ถังเยว่เคยเล่นแล้วครั้งหนึ่ง จึงยังพอจำได้รางๆ ดอกแรกยังกะระยะไม่ถูกจึงออกแรงน้อยไปหน่อย อีกเก้าดอกที่เหลือลงโถหมด ชนะแบบขาดลอยได้รับเสียงปรบมือล้นหลาม

"ที่แท้ก็เป็นเขา ... "

"ยังอายุน้อยๆ อยู่เลย เขารักษาขาองค์ชายเจาหายจริงหรือ?"

"ยังจะเป็นเรื่องโกหกได้อีกหรือ? ข่าวลือออกมาจากในพระราชวังและจวนองค์ชายเจา ได้ข่าวว่าองค์จักรพรรดิและพระอัครมเหสีต่างปูนบำเหน็จรางวัลให้เขาอย่างงาม"

"เช่นนี้ มิเท่ากับว่าคุณชายท่านนี้เป็นหมอเทวดาหรอกหรือ?"

"จะเป็นหมอเทวดาหรือไม่ ไม่สำคัญ ขอเพียงเขาสามารถรักษาโรคได้ พวกเราคบหาเขาไว้ย่อมไม่เสียหาย"

มีใครกล้ารับประกันได้บ้างว่าชาตินี้จะไม่เจ็บป่วย ไม่บาดเจ็บ มีสหายเปี่ยมวิชาความรู้ทางการแพทย์ไว้บ้างย่อมเป็นเรื่องดี

"มีเหตุผล แม้หน้าตาจะธรรมดาแต่ฝีมือโยนลูกธนูลงโถก็ล้ำเลิศไม่เลว ฐานะก็ไม่ด้อย ถือว่าผ่านเกณฑ์"

ถังเยวไม่ใส่ใจคำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่น ไม่สนใจว่าพวกเขากล่าวถึงตนในแง่บวกหรือลบ ถือเสียว่าเป็นเพียงลมผ่านหูเท่านั้น

หลังโยนลูกธนูดอกสุดท้ายเสร็จ เขาก็ลอบชำเลืองมองซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกง พบว่าฝ่ายนั้นกำลังตระกองกอดสาวงามอย่างเร่าร้อน

'เจ้าอ้วนเอ๊ย! อยู่ห่างสตรีสักครู่จะตายหรืออย่างไร!' ถังเยว่บ่นในใจ 'ถ้าไม่ใช่เพื่อถังหย่าละก็ คนแบบนี้ต้องใช้ความป่าเถื่อนเล่นงานให้ตายไปเลย'

"อะแฮ่ม ... ซื่อจื่อ ไม่ไปเล่นโยนลูกธนูลงโถหรือ?"

ถังเยว่เดินไปหยุดยืนตรงหน้า แสร้งทำมองไม่เห็นภาพบัดสีหยาบโลนที่อีกฝ่ายกำลังกระทำอยู่

ฝ่ายนั้นหอบสะท้าน แต่ปากยังไม่หยุด คงคิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาพูดคุยกับตัวเอง จึงเงยหน้าด้วยความประหลาดใจ ทำปากจู๋ค้างอยู่อย่างนั้น

"ชื่อจื่อไม่ไปเล่นโยนลูกธนูลงโถหรือ?"

ถังเยว่ถามซ้ำอีกครั้ง คราวนี้เขาใช้น้ำเสียงที่แสดงความใกล้ชิดสนิทสนมเป็นกันเอง

"เจ้ากำลังพูดกับข้า?"

"ถูกต้อง เหตุใดซื่อจื่อต้องแปลกใจเช่นนี้ด้วยเล่า?"

ก็แค่มาพูดคุยด้วยเท่านั้น ทำไมต้องมองเขาด้วยสีหน้าราวกับเห็นผี

"ไม่ ... ข้า ... ไม่ชอบเล่นโยนลูกธนูลงโถ"

ขนตาอีกฝ่ายกะพริบไหว แล้วก้มหน้าเล่นนิ้วมือของสาวงาม

จังหวะนี้ถังเยว่จึงเพิ่งสังเกตเห็นว่า แม้ดวงตาของเจ้าอ้วนจะเรียวเล็ก แต่ขนตากลับงอนยาวเป็นแพ ประเมินจากรูปโฉมของคู่สามีภรรยาเหิงกั่วกง บุตรชายของพวกเขาไม่น่าออกมาหน้าตาขี้เหร่

"ความจริง ข้าก็ไม่ชอบเล่นโยนลูกธนูลงโถ" ถังเยว่หัวเราะเหอะๆ

"พี่ใหญ่ชอบเล่นอะไรล่ะ? เดี๋ยวข้าจะให้คนไปเตรียมให้"

ถังเยวรีบจ้องมองอีกฝ่ายพลางยิ้มร่า

"ข้ารู้จักการละเล่นที่ทำกันเพียงสองคน สนุกมากทีเดียว ท่านสนใจไปเล่นด้วยกันหรือไม่?"

"สนุกเหมือนเล่นกับสตรีหรือไม่?"

อีกฝ่ายแสดงออกว่าเกิดความสนใจขึ้นมาเล็กน้อย

ถังเยว่พูดไม่ออกไปพักใหญ่ จากนั้นจึงค่อยพยักหน้าแรงๆ

"แน่นอน แต่สตรีมีให้เล่นทุกวัน นึกอยากเล่นเมื่อไรก็เล่นได้เมื่อนั้นไม่ใช่ของหายากเลยสักนิด"

ซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงคิดแล้วก็เห็นพ้องว่าเป็นเช่นนั้น เขารู้สึกเอียนแล้วจริงๆ เพียงแต่ไม่มีใครสมัครใจเล่นเป็นเพื่อนเขา กระทั่งคนที่จะพูดคุยด้วยก็ยังไม่มี นอกจากหาความสุขจากเรือนกายของสตรีแล้ว เขาก็หาความสำราญใจอื่นใดไม่ได้อีก

มิน่า ท่านพ่อถึงได้บอกให้เขาหาทางตีสนิทกับนายน้อยแห่งจวนลี่หยางโหวไว้ให้มาก ที่แท้เขาก็เป็นคนดีแบบนี้นี่เอง!

ถังเยวไม่รู้ว่าถูกฝ่ายตรงข้ามคิดว่าเขาเป็นคนดีถึงเพียงนั้น เขาบอกให้ซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงแยกจากสองสาวงามเพื่อไปหาที่เงียบๆ นั่งคุยกัน

"เช่นนั้นไปที่หอพระด้านหลังกันเถอะ ที่นั่นวันปกติไม่ค่อยมีใครเฉียดไปใกล้"

ถังเยว่ลังเลเล็กน้อย สถานที่ในหอพระ ... ดูไม่เหมาะจะใช้ทำเรื่องชั่วสักเท่าไร

 

 

1 หมายความว่า ทำความผิดบ่อยๆ แม้ไม่ถูกจับ แต่ความจริงอาจถูกเปิดโปงเข้าสักวัน

 

 [ฉากพิเศษ]

ถังเยว่                 เล่นผู้หญิงสนุกไหม?

ซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกง  ไม่สนุก

ถังเยว่                 ข้าเห็นเจ้าออกจะเพลิดเพลินสำราญใจมิใช่หรือ?

ซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกง สตรีสร้างความสำราญให้บุรุษได้ นี่คือสิ่งที่ท่านแม่กล่าวไว้ ดังนั้นข้าจึงจดจำมาตลอด ตอนที่ไม่มีใคร ไม่มีอะไรให้เล่น ก็ต้องเล่นกับสตรี

ถังเยว่                 ... (ช่างเป็นเหตุผลที่ดูมีน้ำหนักอย่างยิ่ง!)


 

58 เหตุใดการกระทำของเจ้าจึงกักขฬะถึงเพียงนี้

 

หอพระของจวนเหิงกั่วกงสร้างอยู่ด้านหลังเรือน มีต้นท้อปลูกไว้ทั่วบริเวณ บรรยากาศเงียบสงัดเกินปกติ เหมาะจะใช้เป็นสถานที่เล่นซ่อนแอบ

แอ๊ด ... ถังเยว่ผลักประตูหอพระเปิดเข้าไป ด้านในสะอาดสะอ้านผิดคาด คงมีคนมาปัดกวาดทุกวัน

"ในจวนนี้ยังมีคนนับถือพุทธอยู่ด้วยหรือ?"

ถังเยว่ถามด้วยความงงงัน สถานที่แห่งนี้ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนรูปแบบของครอบครัวนี้

"ตอนท่านแม่ยังมีชีวิตมักมาที่นี่ประจำ ... นางนับถือพุทธ"

ซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงตอบด้วยเสียงหอบแบบคนหายใจไม่ทัน เพิ่งเดินเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็เหงื่อแตกเต็มตัว แข้งขาอ่อนแรงไปหมด

ถังเยว่มองสำรวจสถานที่จนทั่วแล้วจึงหันมาทางซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกง

"ชื่อจื่อ จะพักสักครู่หรือไม่?"

'หอบแฮ่กขนาดนี้อย่าช็อกตายไปก่อนล่ะ'

ยากจะจินตนาการถึงยามที่เจ้าอ้วนผู้นี้ทำกิจกรรมบนเตียงกับสตรีนึกไม่ออกเลยว่าจะสามารถยืนหยัดทำจนถึงตอนจบได้อย่างไร เกรงว่าน่าจะเป็นฝ่ายนอนเสพสุขเสียกระมัง

"ดี ... ข้าซื่อจื่อ ขอพักสักครู่"

ซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงดึงเบาะผูถวน[1]ออกมา ทันทีที่หย่อนก้นนั่ง ก้อนไขมันเป็นวงๆ ก็ย้อยมากองรวมกันจนเสื้อผ้ารัดแน่นแทบปริ มองเห็นเป็นรูปห่วงยางหลายเส้นซ้อนกัน

ถังเยว่เดินมานั่งลงที่ด้านข้าง แล้วถามด้วยท่าทางของพี่ชายที่แสนดี

"ร่างกายมีเนื้อเยอะเช่นนี้คงเหนื่อยมากสินะ"

อีกฝ่ายพยักหน้า หันมามองเขาอย่างข้องใจ คล้ายกับว่าหากเห็นเขาแสดงสีหน้ารังเกียจก็จะขยับตัวลุกหนีทันที

มุมปากถังเยว่หยักโค้งขึ้น เผยรอยยิ้มการค้าประจำตัว

"ข้าเคยเจอคนไข้ที่มีลักษณะเช่นนี้มาไม่น้อย ตัวอ้วนตุ๊ต๊ะ ตัวร้อนเหงื่อออกเยอะ ออกกำลังกายนิดหน่อยก็อ่อนปวกเปียกไปทั้งร่าง ถึงขั้นนกเขาไม่ขันเลยก็มี ช่วงแรกจะแค่รู้สึกไม่กระชุ่มกระชวย เหนื่อย เพลีย แต่นานวันไปจะมิใช่เพียงแค่นี้"

"เจ้ากำลังบอกว่าข้าป่วยงั้นหรือ?"

ซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงพยายามเบิ่งตากว้างขณะเอ่ยถาม

ถังเยว่ตบบ่าปลอบใจ รู้สึกว่าใต้ฝ่ามือนุ่มนิ่มไปหมด กระดูกสักนิดก็คลำไม่เจอ

"อย่าเพิ่งร้อนใจไป อันที่จริงก็ไม่ถึงกับนับว่าป่วย ความจริงเป็นเพราะสารอาหารส่วนใหญ่ในร่างกายถูกนำมาใช้สร้างก้อนเนื้อ มิได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์กับส่วนอื่นๆ เท่านั้น ... รู้สึกว่าตัวเองสูงไม่พอหรือไม่ ร่างกายอ่อนล้าปวกเปียก เวลาทำเรื่องบนเตียงก็ใช้เวลาสั้นมากใช่หรือไม่?"

ชื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงเผลอพยักหน้าตอบรับตามสัญชาตญาณ แล้วตั้งใจฟังถังเยว่กล่าวต่อ

"พอถึงช่วงฤดูหนาวกลัวหนาว ถึงฤดูร้อนก็กลัวร้อน แขนขาปวดระบม มีอาการวิงเวียนง่าย มักปากแห้งลิ้นแห้งเป็นประจำ ตกกลางคืนก็นอนไม่ค่อยหลับใช่หรือไม่?"

ซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงพยักหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

"เจ้ายังไม่ได้จับชีพจร รู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?"

ถังเยว่คิดในใจ 'อ้วนจนมีสารรูปเยี่ยงนี้ กระทั่งคนทั่วไปก็ย่อมรู้ว่ามีปัญหาอะไรบ้าง สหายเอ๋ย เกรงว่าแม้แต่ยกขา เจ้าก็ยังยกไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ'

"ดู ดม ถาม แมะ[2] ไม่จำเป็นต้องจับชีพจรเท่านั้นจึงจะรู้อาการของโรค แน่นอนว่าอาการเช่นนี้ไม่นับว่าป่วย"

ชื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงเพิ่งระลึกขึ้นได้ว่า อีกฝ่ายสามารถรักษาขาขององค์ชายเจาให้หายดีได้ เช่นนั้นแล้ววิชาการแพทย์ของคนผู้นี้จะต้องเยี่ยมยอดลึกล้ำมากแน่ ยิ่งสามารถมองข้อบกพร่องของผู้อื่นออกเช่นนี้ย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัด

เขายื่นมือออกไปบีบจับกล้ามเนื้อตามตัวถังเยว่ ให้สัมผัสที่รู้สึกดีมาก เขาชอบคนผอมมีแต่กระดูกมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ต้องมีเนื้อเยอะ หน้าอกไม่ต้องใหญ่ เพราะถึงอย่างไรสิ่งเหล่านี้ในตัวเขาก็มีล้นเหลืออยู่แล้ว

หากสามารถสลัดก้อนเนื้อบนตัวทิ้งไปได้แน่นอนว่าซื่อจื่อย่อมรู้สึกยินดียิ่ง เพราะไม่ว่าใครล้วนไม่อยากเป็นก้อนเนื้อขาวๆ กลมกลิ้งด้วยกันทั้งนั้น

 

"เจ้ามีวิธีจัดการกับก้อนเนื้อบนตัวข้าหรือไม่?"

มิใช่ว่าเหิงกั่วกงไม่เคยเชิญหมอชื่อดังมารักษา ยาก็กินแล้ว แต่น่าเสียดายที่ผลลัพธ์กลับไม่ได้ดังใจ

ถังเยว่หัวเราะด้วยท่าทางที่สุดจะคาดเดา

"ขอเพียงเจ้าเชื่อใจข้า ย่อมมีวิธีแน่ เพียงแต่ขั้นตอนลำบากหน่อยนะ"

ซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงปรายตามองอีกฝ่ายอย่างเตรียมตั้งรับ

"อย่าบอกนะว่าเจ้าจะให้ข้างดเนื้อสัตว์ ละเว้นกาเม ต้องขยับเขยื้อนร่างกายไม่หยุดทุกวัน หากเป็นเช่นนั้น ก็จงอย่าแม้แต่จะคิด!"

ถังเยว่แอบเบ้ปากในใจ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เขาก็ว่าแล้ว เหิงกั่วกงผู้ปรีชาปราดเปรื่องจนเป็นตำนาน ไม่ว่าอย่างไรย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะทนดูหน้าหมั่นโถวจืดๆ ขาวๆ ของลูกชายทุกวันโดยไม่คิดอ่านแก้ไข มีความเป็นไปได้สูงมากที่เจ้าเด็กนี่ยืนหยัดต่อความลำบากจากการลดความอ้วนไม่ไหวเองต่างหาก

ในยุคปัจจุบันที่เขาจากมา การลดความอ้วนนับเป็นประเด็นมหาชนมีวิธีการนับพันนับหมื่น ลูกไม้สารพัด ผลิตภัณฑ์นานาชนิดผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด แต่หากถามหมอว่าวิธีใดได้ผลลัพธ์ดีที่สุด ย่อมหนีไม่พ้นห้าคำนี้ 'กินน้อย เคลื่อนไหวมาก'

และยังมีคำที่ใช้ปลุกสำนึกทางจิตวิญญาณอีกสองคำนั่นคือ 'มุ่งมั่น'

แต่คนที่สามารถทำถึงจุดนั้นได้มีน้อยกว่าน้อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกผู้หญิงร่ำรวยที่คิดอยากลดความอ้วนทำอย่างไรกันล่ะ?

ตราบเท่าที่ยินดีจ่ายเงิน สถาบันลดความอ้วนมืออาชีพย่อมสามารถหาวิธีลดน้ำหนักที่เหมาะสมเฉพาะบุคคลได้ ถึงแม้ยังต้องควบคุมเรื่องการบริโภคอาหาร แต่อย่างน้อยก็ช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานไปได้มาก

ถังเยว่สวมหน้ากากพี่ชายใจดีแล้วกล่าวคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยเหตุผลและมีพลัง

"คำพูดนี้ไม่ว่าหมอคนไหนต่างก็ต้องพูดตรงกัน ถึงแม้ว่าการทำเช่นนั้นจะสามารถลดความอ้วนได้จริง แต่นอกจากนี้แล้วยังมีหนทางอื่นอีก ... "

"จริงหรือ?"

"แน่นอน ใครจะกล้าหลอกลวงซื่อจื่อกันล่ะ"

หลอกลวงเจ้าโดยไม่ต้องปรึกษาน่ะสิ!

"หนทางใด?"

ซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงขยับหมุนตัวอย่างยากลำบากเพื่อหันมาเผชิญหน้ากับถังเยว่

ถังเยว่นำถุงย่ามที่พกติดตัวออกมา ปากก็พูดโน้มน้าวจูงใจ

"อยากลองด้วยตัวเองไหมล่ะ?"

ชื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงเหลือบมองสิ่งของซึ่งตนไม่รู้จักที่อีกฝ่ายหยิบออกมาแล้วส่ายหน้าโดยสัญชาตญาณ พลางขยับตัวถอยห่างไปทางด้านหลัง

"เจ้า ... เจ้าบอกว่าจะเล่นกับข้ามิใช่หรือ?"

"ก็นี่ยังไงล่ะ" ถังเยว่หยิบแผ่นกัวซา[3]ขึ้นมาแกว่งไปมาตรงหน้าอีกฝ่าย "สนุกมากเลยนะ ตอนแรกอาจจะรู้สึกเจ็บบ้าง แต่รับรองว่าหลังจากนั้นจะรู้สึกสบายมาก มิหนำซ้ำเมื่อทำเสร็จแล้วข้าจะเข้าครัวทำอาหารมื้อใหญ่ให้เจ้าด้วยตัวเอง"

ทันทีที่ได้ยินว่ามีของกิน ดวงตาซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงก็เป็นประกายวาววับขึ้นมาทันที เขาจับสิ่งของที่ถังเยว่นำออกมาพลิกพินิจดูอย่างสนใจความใคร่รู้ชนะสติปัญญา ในที่สุดเด็กหนุ่มร่างอ้วนก็พยักหน้ายินยอม

"เช่นนั้นก็มาเถอะ ถอดเสื้อผ้าออกก่อน"

ถังเยว่หยิบชามกระเบื้องจากโต๊ะบูชามาหนึ่งใบ เทน้ำมันหมูในขวดออกมาใส่ไปครึ่งชาม จากนั้นจึงผสมกับของเหลวใสๆ อีกครึ่งขวด แล้วคนให้เข้ากัน

"เหตุใดถึงต้องถอดเสื้อผ้าด้วย"

ชื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงชะเง้อคอดมกลิ่น พบว่าของเหลวในชามกระเบื้องนั้นมีกลิ่นหอมมาก

"ถอดแล้วก็จะรู้เอง ... " ถังเยว่ยกชามเดินมาหา ชี้เบาะผูถวนที่วางอยู่บนพื้นแล้วบอก "ถอดเสร็จแล้วนอนคว่ำลงบนเบาะ"

แม้พื้นที่บนเบาะผูถวนจะรองรับร่างกายนั้นไว้ได้ไม่หมด แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีสิ่งใดรองรับเลย

หอพระแห่งนี้แม้จะได้รับการปัดกวาดสะอาดเกลี้ยงเกลา แต่ก็มองออกว่าไม่ได้ใช้งานมานานแล้ว บนโต๊ะบูชามีธูปปักอยู่เพียงสามดอก แม้แต่ของเซ่นไหว้ก็ยังไม่มี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานที่ไว้ให้พักผ่อน

ความอยากรู้อยากเห็นของซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงถูกจุดประกายให้ลุกโชนขึ้นอย่างเต็มที่ เขาเอนกายลงบนพื้น อ้าแขนทั้งสองข้างออกกว้าง

'ทำท่าทางแบบนี้ ... หมายความว่าอะไร?' ถังเยว่งงงัน

พอเห็นเขาเอาแต่ทำสีหน้างุนงงโดยไม่ยอมขยับตัวสักทีจึงร้องสั่ง

"รีบมาถอดเสื้อผ้าให้ข้าสิ!"

'ให้ตายเถอะเจ้าอ้วนนี่! นึกว่าข้าเป็นสาวใช้ของเจ้างั้นเหรอ?'

ถังเยว่สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ตัดสินใจที่จะไม่ถือสาหาความในการกระทำอันแสนงี่เง่าของอีกฝ่าย คาดว่าเจ้าเด็กนี่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าก็แค่กางแขน จะกินข้าวก็แค่อ้าปากรอรับการปรนนิบัติมาตั้งแต่เล็ก แม้แต่กระดุมก็คงยังแกะไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ

แน่นอนว่า เครื่องแต่งกายในยุคนี้ยังไม่มีกระดุม!

ถังเยวฝืนทนความกระอักกระอ่วนอย่างรุนแรง กระตุกสายคาดชุดเจ้าอ้วน รู้สึกว่าฝืนทนมองดูฉากที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ตรงๆ ไม่ได้

ถอดเสื้อผ้าเป็นงานถนัด หลังจับอีกฝ่ายปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจนหมดแล้ว ก็พลิกร่างนั้นให้นอนคว่ำลง

"อ๊ะ ... เหตุใดการกระทำของเจ้าจึงหยาบคายถึงเพียงนี้"

เจ้าอ้วนหมูตอนร้องอุทธรณ์เสียงแหลม

ถังเยว่มือสั่นระริก รีบตวัดตาเหลือบมองไปที่ประตูอย่างร้อนตัวถ้าหากจู่ๆ มีคนบุกเข้ามาตอนนี้ ไม่ว่าจะพูดอธิบายอย่างไรก็คงยากที่จะแก้ต่างให้ตัวเองได้

เขาตบหลังเจ้าอ้วนหมูตอน กัดฟันสงบจิตสงบใจแล้วกล่าวอย่างเป็นมิตร

"เอาละๆ ไม่ต้องร้องแล้ว"

ถ้าแบบนี้ยังเรียกว่าหยาบคาย สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้จะไม่นับว่ากักขฟะเลยหรือ?

จริงดังคาด พอถังเยว่เริ่มลงมือทำกัวซา ซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงก็แหกปากร้องระงม ระดับเสียงโหยหวนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านักโทษที่ถูกลงทัณฑ์ในห้องพิจารณาความคดีอาญาเลยสักนิด หากไม่ใช่เพราะบริเวณนี้เป็นที่ลับตาคน อีกทั้งเงียบสงบมากพอ เกรงว่าป่านนี้ผู้คนคงแห่แหนกันมามุงดูไปนานแล้ว

"ไม่ ... ไม่ไหวแล้ว ... เหตุใดจึงเจ็บถึงเพียงนี้?"

ชื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงในตอนนี้สองแขนค้ำยันอยู่บนพื้น พยายามตะเกียกตะกายที่จะลุกขึ้น แต่ถังเยว่ใช้ขาข้างหนึ่งกดที่เอวไว้ ฝืนแรงไม่ให้เขาลุกขึ้นได้

"เจ้า ... เจ้าทำแบบนี้กับข้าได้ยังไง ... ข้าเป็นซื่อจื่อนะ ... ข้าจะ ... "

"ชื่อจื่อจะทำอะไร?"

ถังเยว่ใช้ข้อนิ้วชี้กดจุดเลือดลมบนร่างกายอีกฝ่ายแรงๆ เจ้าอ้วนแหกปากร้องลั่นขึ้นทันที

"เจ้า ... เจ้า ... รังแกข้า ... ว้าก ... "

ถังเยว่ผ่อนแรงลง ก้มหัวเอียงหน้ามอง พบว่าซื่อจื่อร้องไห้ตามคาด พลันบังเกิดความรู้สึกผิดบาปขึ้นในใจ

"เฮ้ ... อย่าใจร้อนสิ ก็บอกแล้วไงว่าขั้นตอนจะทรมานนิดนึง แต่ผลที่ได้จะสบายมากๆ เลยนะ"

"โกหก!"

"ถ้าไม่เชื่อก็รอให้เสร็จเรื่องก่อน แล้วเจ้าก็จะรับรู้ได้เอง"

ถังเยว่ยังคงลงมือขูดอย่างต่อเนื่องไม่หยุด ผิวขาวเนียนของร่างที่อยู่ใต้ฝ่ามือปรากฏริ้วรอยสีแดงเป็นปื้นไปทั่ว เห็นแล้วสะดุดตาน่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก

 

 

1 เบาะรองนั่งทรงกลม สานจากใบต้นหางแมวและฟางข้าวสาลี

2 การตรวจวินิจฉัยโรคของแพทย์แผนจีน มีวิธีตรวจ 4 อย่าง หนึ่งดูลักษณะโดยรวมของคนไข้สองดม/ฟังเสียง สามสอบถามอาการ สี่จับชีพจร หรือ "แมะ" เชื่อว่าสามารถบอกความผิดปกติของอวัยวะในร่างกายที่สำคัญ คือ ปอด ม้าม ไต หัวใจ ตับได้

3 การขูดผิวหนังเพื่อหาพิษหรือโรคที่แอบแฝงอยู่ในร่างกาย กระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิตขับพิษและความร้อนออกจากร่างกาย โดยวัสดุที่ใช้ขูดซึ่งเรียกว่าแผ่นกัวซานั้น จะมีลักษณะเป็นก้อนหรือเป็นแผ่นบาง ทำจากวัสดุหลากลาย เช่น เซรามิก หยก ไม้ หรือใช้เหรียญก็ได้

 

[ฉากพิเศษ]

เจ้าอ้วน   เจ้าจะทำอะไร ?... อย่าเข้ามานะ ... ถ้ายังขืนเข้ามาอีกข้าจะร้องให้คนช่วย ...

ถังเยว่     เอาสิ ร้องเลย ต่อให้ตะโกนจนคอแตกก็ไม่มีใครมาช่วยเจ้าหรอก ...

เจ้าอ้วน   อ๊าก ... ช่วยด้วย ... เจ็บ ... เบาๆ หน่อย ...

ถังเยว่     จะแหกปากร้องตะโกนไปทำไม? ทำอย่างกับข้าจะข่มขืนเจ้าอย่างนั้นแหละ

เจ้าอ้วน   เช่นนั้นเจ้าก็ข่มขืนข้าเสียเถอะ ขอร้องละ ...


 

59 เขารังแกซื่อจื่ออย่างข้า

 

"ฮู่ ... "

ในที่สุดก็จบสิ้นลงสักที ทั้งสองต่างพ่นลมหายใจออกมาพร้อมกันคนหนึ่งนอนแผ่อยู่บนพื้น ส่วนอีกคนนั่งหอบแฮ่ก ไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆ

กระบวนการขั้นตอนการทำกัวซาใช้เวลาหนึ่งชั่วยามเต็ม ซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงแหกปากร้องจนเสียงแหบแห้ง น้ำตาที่เอ่อนองก็แห้งเหือดไปหมดแล้ว ตอนนี้ทำได้เพียงนอนกางแขนกางขาอยู่บนพื้นราวกับร่างไร้ชีวิต

ถังเยว่เองก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีกว่าอีกฝ่ายสักเท่าไร เสื้อผ้าชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ แนบลู่ไปกับเรือนร่าง หอบสะท้านหมดเรี่ยวแรง มือทั้งสองข้างสั่นระริกจนแทบไม่มีแรงยกขึ้นมา

เขานวดมือที่เมื่อยจนชาของตัวเอง ทุกส่วนเจ็บระบมราวกับถูกเข็มแทง

พื้นที่บนตัวเจ้าอ้วนหมูตอนนั้นใหญ่มากจริงๆ เนื้อหนาเป็นชั้นๆ หากจะให้ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการจะไม่ออกแรงให้สุดก็ไม่ได้ ต้องใช้แรงอย่างหนักหน่วงต่อเนื่องกันถึงสองชั่วโมง เหนื่อยยิ่งกว่ายืนผ่าตัดเสียอีก

ผ่านไปได้สักพัก พละกำลังของถังเยว่ค่อยๆ ฟื้นคืน เขาขยับตัวลุกขึ้นยืนโงนเงน ยกมือลูบหน้า

"เอาละ ลุกขึ้นเถอะ ดูสิว่ารู้สึกเบาเนื้อเบาตัว โล่งขึ้นมากเลยใช่ไหม?"

เวลานี้ใต้ร่างซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงเจิ่งนองไปด้วยน้ำที่แยกไม่ออกว่าเป็นเหงื่อหรือน้ำตา ร่างอ้วนท้วนนั้นขยับนิ้ว ก่อนจะค่อยๆ พลิกตัวกลับมา

ถังเยว่รีบเบือนหน้าไปอีกทาง เจ้าเด็กนี่คงลืมไปแล้วว่าตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเปลือยเปล่า

เขาเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่ถอดทิ้งกระจัดกระจายอยู่ข้างๆ ส่งให้ แต่นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายคงใส่เสื้อผ้าไม่เป็น จึงช่วยปรนนิบัติใส่ให้เองกับมือ แถมด้วยการช่วยเช็ดคราบเหงื่อบนเนื้อตัวให้อย่างลวกๆ การสวมเสื้อผ้าให้เจ้าอ้วนเป็นไปอย่างยากลำบาก เวลาถอดง่าย เวลาใส่ยาก ยิ่งไปกว่านั้นเครื่องแต่งกายแบบโบราณมีความซับซ้อนมากกว่าเสื้อผ้าสมัยใหม่

"ลองขยับแขนขยับขาดูสิ"

ถังเยว่สั่งยังไงอีกฝ่ายก็ยอมทำตาม ดูเชื่อฟังและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

เห็นแล้วก็รู้สึกโล่งอกว่าเจ้าเด็กนี่คงมิได้เกินเยียวยาไปเสียทีเดียวถ้าสั่งสอนดีๆ บางทีอาจยังกลับเนื้อกลับตัวมาเป็นคนปกติได้

ทั้งสองอยู่ในหอพระนานมาก สาวใช้จึงมาตาม ตอนเสียงเคาะประตูดังขึ้น พวกเขาต่างตกใจสะดุ้งโหยงขึ้นพร้อมกัน

ถังเยว์รีบจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ แสร้งทำสีหน้าท่าทางราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ก่อนจะเปิดประตูแล้วเป็นฝ่ายเดินออกไปพบสาวใช้ ภายในหอพระคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหงื่ออบอวลในอากาศ ไม่กล้าให้คนนอกเข้ามาในตอนนี้เลยจริงๆ

ถังเยว่ขยับตัวยืนขวางหน้าประตูไว้ก่อน พร้อมกับใช้สายตาดักสาวใช้ทั้งสองเอาไว้ แล้วพูดยิ้มๆ

"ห้องครัวอยู่ที่ไหน? ช่วยพาข้าไปหน่อย"

ซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงที่อยู่ด้านหลังพอได้ฟังคำพูดประโยคนี้ก็ต้องรีบกลืนคำพูดที่เตรียมไว้ก่อนหน้าลงคอ แล้วตะโกนสั่งหนึ่งในสาวใช้

"เอี้ยน เจ้าพาเขาไป ควบคุมให้ทำอาหารรสโอชาหนึ่งโต๊ะ มิฉะนั้นอย่าปล่อยให้กลับไปเป็นอันขาด!"

"เจ้าค่ะ"

สาวใช้ซึ่งมีนามว่า 'เอี้ยน' เบี่ยงกายเชิญให้ถังเยว่เดินตามนางไปรอกระทั่งพวกเขาจากไปแล้ว ซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงก็ล้มลงนอนแผ่กับพื้นพร้อมกับสาวใช้อีกนางหนึ่ง ปากก็ร้องสั่งอย่างเข่นเขี้ยว

"รอให้ถังเยว่ทำกับข้าวเสร็จ สั่งให้องครักษ์ทุบตี แล้วขับไล่มันออกไปทันที!"

ฮึ! กล้ารังแกซื่อจื่ออย่างข้า ต้องสั่งสอนให้ได้รับบทเรียนเสียบ้าง!

สาวใช้กล่าวอย่างลังเล

"ชื่อจื่อ คุณชายถังเป็นว่าที่พี่ภรรยาในอนาคตของท่านนะเจ้าคะถ้าปฏิบัติกับเขาเช่นนั้น หากกั่วกงรู้เข้า เกรงจะไม่ดีนะเจ้าคะ"

"ไม่ดียังไง? มันรังแกข้า!"

ซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงตะโกนเสียงดัง พร้อมกับผลักสาวใช้ออกแล้วลุกขึ้นก้าวเดินอาดๆ ด้วยขาตัวเอง

เพิ่งเดินไปได้เพียงสองก้าว ก็พบว่าร่างกายของตนมีบางอย่างเปลี่ยนไป รู้สึกเนื้อตัวโล่งเบาสบายขึ้นไม่น้อย เดินเหินไม่ลำบากเปลืองแรงเหมือนอย่างแต่ก่อน เพียงแต่ทรมานยากจะทนรับไหว

เขาไม่รู้ว่าสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังกำลังเบิกตาโพลงขณะจ้องมองมาที่ลำคอของเขาด้วยแววตาตื่นตะลึง เพราะบริเวณลำคอด้านหลังตั้งแต่เหนือคอเสื้อขึ้นไปของซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงนั้นในตอนนี้ปรากฏรอยแดงเป็นจ้ำเด่นชัดมาก และบางรอยดูละม้ายคล้ายรอยจูบ

ในหัวของนางกำลังนำคำพูดของซื่อจื่อก่อนหน้านี้มาปะติดปะต่อเข้ากับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า ดูจากสภาพเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยและเหงื่อที่โซมกายของคนทั้งคู่แล้ว ความคิดไม่ดีไม่งามบางอย่างพลันบังเกิดขึ้นในสมอง ดังนั้นเมื่อผู้เป็นนายหันหน้ากลับมาจึงเห็นสาวใช้ยืนตัวแข็งทื่อ ตะลึงงันเป็นก้อนหินไปแล้ว

"เจ้ามัวแต่ยืนอึ้งอะไรอยู่ ทำไมยังไม่รีบมาประคองข้า ข้าทั้งหิวทั้งกระหาย อยากดื่มชา!"

"จะ ... เจ้าค่ะ ... "

สาวใช้รีบวิ่งเข้าไปด้วยอาการอกสั่นขวัญหาย แต่หางตายังแอบเหลือบมองรอยจ้ำบนหลังคอของซื่อจื่ออีกครั้งอย่างห้ามใจไม่อยู่ พลางคิดในใจ

'คิดไม่ถึงเลยว่านายน้อยแห่งจวนลี่หยางโหวจะใจกล้าถึงเพียงนี้'

ถึงขนาดกล้าทำสัปดนกับซื่อจื่อของพวกตน ถ้ากั่วกงรู้เข้า หัวของเขาต้องหลุดจากบ่าแน่!

ส่วนพวกนางซึ่งเป็นเหล่าสาวใช้ที่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายก็ต้องพลอยถูกหางเลขไปด้วย

คิดมาถึงตรงนี้ นางก็เผลอบีบแขนซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว อีกฝ่ายร้องเสียงหลงพร้อมกับผลักนางล้มลงไปบนพื้น

"ทำไมวันนี้เจ้าถึงได้โง่งมเช่นนี้ ถึงกับกล้าบีบแขนข้า ข้าเจ็บนะ!"

สาวใช้รีบคุกเข่าหมอบกรานลงกับพื้น โขกศีรษะขอให้ไว้ชีวิต โชคดีที่ความคิดจิตใจของซื่อจื่อมิได้อยู่ที่นาง ในสมองเขาเวลานี้เต็มไปด้วยแผนการที่จะใช้สั่งสอนถังเยว่ แค่ทุบตีอย่างเดียวยังไม่สาแก่ใจ

แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเอาคืนอีกฝ่ายด้วยวิธีการใดดี ตอนนั้นถึงจะเจ็บปวดทรมานจนแทบทนไม่ไหว จนถึงตอนนี้ลูบไปตามเนื้อตัวก็ยังเจ็บไม่หายแต่กลับรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นอย่างน่าประหลาด

หรือนี่คือความอัศจรรย์ของวิชาการแพทย์? หรือบางทีเขาอาจจะเข้าใจถังเยว่ผิดไปจริงๆ?

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ยังไงก็ต้องตี ต้องทำให้เจ้านั่นได้เจ็บตัวบ้างสักครั้งก็ยังดี!

 

[ฉากพิเศษ]

สาวใช้หนึ่ง           แย่แล้ว! ดูเหมือนว่าซื่อจื่อของพวกเราจะถูกผู้อื่นร่วมหลับนอนด้วย!

สาวใช้สอง            นายน้อยก็หลับนอนเป็นประจำทุกวันอยู่แล้วมิใช่หรือ? ไม่เห็นว่าจะมีอะไรแปลก

สาวใช้หนึ่ง           มิใช่! ครั้งนี้เป็นบุรุษ

สาวใช้สอง            อ๋า ... คุณชายบ้านไหนสามารถทนรับน้ำหนักตัวซื่อจื่อของพวกเราได้?

สาวใช้หนึ่ง           ไม่ใช่ ซื่อจื่อของพวกเราเป็นฝ่ายอยู่ข้างล่าง!

สาวใช้สอง            อยู่ข้างล่าง ... รสนิยมของคุณชายท่านนี้พิเศษพิสดารยิ่งนักเหอะๆๆ ...


 

60 คนอัปลักษณ์ชอบทำตัวเด่น!

 

ถังเยว่เดินตามสาวใช้ไปยังห้องครัว พอเหล่าพ่อครัวในจวนเห็นคุณชายสวมชุดงามสง่าเดินเข้ามาก็ต่างแปลกใจไปตามๆ กัน ยิ่งได้ยินว่าเขาจะเตรียมอาหารให้ซื่อจื่อด้วยตัวเองก็ยิ่งตื่นตะลึงจนอ้าปากค้าง

ถังเยว่แจ้งรายการวัตถุดิบที่ต้องใช้ยาวเหยียด สั่งให้คนไปจัดหามาตามที่ต้องการ จากนั้นจึงล้างมือจนสะอาดแล้วสั่งคนงานเริ่มปฏิบัติการ

ข้อดีของห้องครัวชนชั้นสูงคือเขาไม่ต้องลงมือทำเอง อยากได้วัตถุดิบอะไรก็สั่งให้คนงานไปหา อยากจัดการสิ่งใดตรงไหนก็ชี้นิ้วสั่งได้เลยอยากให้หั่นแบบไหนล้วนมีคนช่วยหั่นแทน

ยิ่งการเอาลงกระทะยิ่งสะดวกใหญ่ พ่อครัวเก่าแก่มากประสบการณ์สามารถคุมไฟได้ดีกว่าเขา ทั้งยังสามารถทำพร้อมกันได้หลายกระทะประหยัดเวลา ทุ่นแรงไปมากเป็นเท่าตัว

แต่คนงานในครัวกว่าครึ่งต่างกรูกันมาช่วยงานเขา ทั้งที่วันนี้ในจวนมีแขกเหรื่อคนสำคัญมากมายที่รอรับประทานอาหารอยู่เช่นกัน

ชายาชิงซึ่งคอยรับรองแขกอยู่ด้านหน้าได้ยินข่าวนี้ก็งงงันไปพักใหญ่เป็นถึงนายน้อยแห่งจวนลี่หยางโหว เหตุใดจึงไปวุ่นวายอยู่ในครัว?

ได้ยินว่าจะทำอาหารให้ซื่อจื่อของพวกเขา เหลวไหลไร้สาระเกินไปแล้ว อาหารทุกมื้อของซื่อจื่อมีพ่อครัวใหญ่พิถีพิถันจัดเตรียมให้เป็นพิเศษไหนเลยจะยอมกินรสมือของนายน้อยแซ่ถังผู้นี้?

แต่นางจะไปห้ามปรามก็ไม่ได้ ในจวนนี้ ผู้มีอำนาจตัดสินใจคือท่านกั่วกงซึ่งตามใจชื่อจื่อเป็นที่สุด

แม่นมคนสนิทที่อยู่ข้างๆ กระซิบเตือนนางประโยคหนึ่ง ชายาชิงพลันนึกขึ้นได้ทันที

นางเดินส่ายเอวไปตรงหน้าแขกเหรื่อ แล้วค้อมตัวเล็กน้อย

"ข้าได้ยินว่าคุณชายถังมีฝีมือด้านการทำอาหาร วันนี้จึงถือเป็นลาภปากคุณชายทุกท่าน เพราะในตอนนี้คุณชายถังกำลังแสดงฝีมือปรุงอาหารสำหรับทุกท่านอยู่ที่ห้องครัว"

ทำหนึ่งโต๊ะก็คือทำ ทำสิบโต๊ะก็คือทำ นางจึงสั่งให้พ่อครัวทุกคนทำอาหารตามรายการอาหารของคุณชายถัง

จ้าวซานหลางกำลังแข่งงัดข้อ พอได้ยินข่าวนี้เรี่ยวแรงก็พลันสูญสิ้นถูกกดแขนลงบนพื้นได้อย่างง่ายดาย

แต่เขากลับไม่ถือสา ลุกขึ้นยืนหัวเราะร่าแล้วกล่าว

"ไม่เล่นแล้ว ข้าจะรอกินอาหาร ฝีมือคุณชายถังยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งรับรองว่าพวกเจ้าจะต้องติดใจแน่!"

"จ้าวซานหลาง จวนเจิ้นกั่วกงคงไม่ได้สั่งงดอาหารเจ้าใช่ไหมเหตุใดจึงดูหิวโหยเยี่ยงนี้"

สวีจื่อเหิงยังคงไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้เหน็บแนมอีกฝ่าย

เรื่องที่พวกเขาทั้งสองไม่ลงรอยกันมิใช่เพิ่งเกิดขึ้นเพียงวันสองวันทุกคนต่างเห็นเป็นปกติจนชินชาเสียแล้ว แต่ข่าวที่ถังเยว่มีฝีมือการทำอาหารยอดเยี่ยมนั้นช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก

แม้ทุกคนต่างเคยได้ยินเรื่องนี้จากปากจ้าวซานหลาง แต่ก็มิได้ใส่ใจจริงจัง ทว่าในตอนนี้พวกเขาต่างสนใจขึ้นมาทันที หรือว่าคุณชายถังผู้นั้นจะสามารถปรุงอาหารเลิศรสได้จริง?

บ้างก็คาดหวัง บ้างก็เหยียดหยาม ทุกคนมีทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้แตกต่างกันไป

และมีอยู่บ้างที่แสยะยิ้มอยู่ข้างๆ หนึ่งในนั้นก็คือคุณชายชุดขาวซึ่งเอ่ยขึ้นเสียงดัง

"เกิดเป็นบุรุษอกสามศอก ไยจึงลดเกียรติลงไปทำครัว ทำให้จวนลี่หยางโหวขายหน้ายังพอว่า แต่นี่อาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงคุณชายแห่งเมืองเย่เฉิงอย่างพวกเราด้วยน่ะสิ!"

จ้าวซานหลางหัวเราะเหอะๆ แล้วคลี่ยิ้มเย็น

"คุณชายเพ่ย เจ้าเคยมีชื่อเสียงด้านดีด้วยหรือ มาจากที่ใดกันเล่า?"

"ฮ่าๆๆ ... "

ทุกคนหัวเราะลั่น คุณชายเพ่ยหน้างอง้ำ แต่ก็ไม่กล้ามีเรื่องกับทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงหนึ่งเดียวของจวนเจิ้นกั่วกง

เมืองเย่เฉิงจะว่าเล็กก็ไม่เล็ก จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ การคบหาระหว่างคนชนชั้นสูง คิดอยากรักษาระดับความสนิทสนมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

คุณชายเพ่ยท่านนี้ก็มิใช่คนดีเด่อะไร ทำเรื่องข่มเหงบุรุษรังแกสตรีมาไม่น้อย ชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วเมือง

เห็นฝ่ายนั้นไม่พูดจาโต้ตอบ จ้าวซานหลางจึงกระตุกยิ้มมุมปาก

"อันที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไร เพียงแค่คุณชายถังมีความรู้รอบด้านลำพังเรื่องของกินก็สามารถคิดรายการอาหารออกมาได้นับไม่ถ้วน อีกทั้งเขาไม่ได้ลงมือทำเองสักหน่อย ถ้าไม่เชื่อ พวกเจ้าจะไปดูที่ห้องครัวก็ได้ ดูว่าคุณชายถังเป็นพ่อครัวเองหรือไม่"

แม้สวีจื่อเหิงกับจ้าวซานหลางจะไม่ถูกกัน กับถังเยว่ก็มิได้มีความประทับใจสักกี่มากน้อย แต่ก็จะไม่ใช้เหตุนี้โจมตีเขา ตรงกันข้ามยังกลับช่วยพูดเสริมหนึ่งประโยค

"ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้ชายาชิงช่วยพาคนระดับคุณชายเพ่ยไปที่ห้องครัวเพื่อดูให้ชัดเจนด้วยตาตนเองสักหน่อยหรือ?"

ชายาชิงหัวเราะ

"เรื่องนี้คงไม่จำเป็น ก่อนหน้านี้พ่อบ้านได้มารายงานแล้วว่าคุณชายถังเพียงสั่งการ มิได้ลงมือเอง เวลานี้กำลังนั่งจิบสุราอยู่ในห้องครัว มิหนำซ้ำยังติว่าสุราของจวนกั่วกงรสชาติไม่อร่อย"

ชายาชิงกล่าวพลางยกแขนเสื้อขึ้นมาบังหน้าหัวเราะขบขัน นางคิดไม่ถึงว่านายน้อยแห่งจวนลี่หยางโหวจะน่าสนใจถึงเพียงนี้ ดูท่าหากคุณหนูสกุลถังซึ่งเป็นว่าที่ภรรยาของซื่อจื่อแต่งเข้ามาเมื่อใด สิทธิ์อำนาจในการดูแลเหย้าเรือนที่นางมีอยู่ในตอนนี้คงรักษาไว้ไม่ได้แน่

แม้จะเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างรู้ดี แต่ในใจนางมีความคิดบางอย่าง

คุณชายเพ่ยผู้นั้นต้องเสียหน้า ข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่ จึงรีบขอโอกาสแก้มือคืน แค่นหัวเราะเสียงเย็น

"สุราดีของจวนเหิงกั่วกงเป็นที่กล่าวขวัญกันทั่ว สุราที่นำมารับรองแขกในจวนยิ่งต้องเป็นเหล้าชั้นดี คุณชายเยว่ช่างลิ้นทองคำเสียจริง!"

"เขาลิ้นทองคำแล้วยังไง? เขาได้รับพระราชทานสุราบ่อโบราณ[1]มาเป็นคันรถ หรือว่านั่นยังเทียบชั้นกับเหล้าที่จวนนี้นำมารับรองแขกไม่ได้?"จ้าวซานหลางกล่าวแล้วบ่นพึมพำต่ออีกประโยค "คนอัปลักษณ์ชอบทำตัวเด่น!"

"จ้าวซานหลาง นี่เจ้า ... "

คุณชายเพ่ยบันดาลโทสะจนตั้งท่าจะอาละวาด ทว่าถูกสหายรักตาไวมือเร็วที่อยู่ข้างๆ ห้ามไว้

ในห้วงเวลานั้น ใจที่คิดแต่จะหาเรื่องเล่นสนุกของเหล่าคุณชายพลันลดน้อยลง เพราะมัวจดจ่อรอดูอาหารโอชะของคุณชายถังว่าจะมีหน้าตาเป็นเช่นไร พูดตามตรง หากมิได้ลองลิ้มชิมรสด้วยตัวเอง พวกเขาก็ไม่เชื่อถ้อยคำอวดอ้างของจ้าวซานหลางเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้นถังเยว่เพียงแค่ใช้ปาก มิได้ลงมือ ต่อให้อร่อยก็ถือว่าเป็นผลงานของพ่อครัวจวนกั่วกงมิใช่หรือ?

"ได้ยินว่าองค์ชายเจาส่งพ่อครัวสามคนที่องค์จักรพรรดิพระราชทานให้ไปที่จวนลี่หยางโหว เห็นได้ชัดว่าในสายตาองค์ชายเจาคุณชายถังท่านนี้มีความสำคัญเพียงใด"

"เขาเป็นผู้ที่รักษาขาองค์ชายเจาจนหายนี่นะ ขาคู่นั้นน่ะทุกคนต่างก็รู้ว่ามิได้มีความหมายเพียงแค่ขาเท่านั้น!"

ขาทั้งสองข้างขององค์ชายเจามีคุณค่าสูงส่งเพียงใด คนทั้งเมืองย่อมรู้ดี พูดง่ายๆ ก็คือ หากขาคู่นั้นมิอาจกลับมาเดินเหินได้อย่างปกติ ก็เท่ากับว่าองค์ชายเจาต้องสูญเสียหนานจิ้นไปทั้งแผ่นดิน!

ฉะนั้นไม่ว่าใครต่างก็รู้ซึ้งถึงผลงานอันยิ่งใหญ่ของถังเยว่ ต่อให้วันนี้พวกเขามิได้มีใจที่จะคิดคบหาคุณชายผู้นี้เป็นสหาย แต่ย่อมไม่คิดที่จะเป็นศัตรู คนที่โง่เขลาเบาปัญญาเช่นคุณชายเพ่ยนี้ถือว่ามีน้อย

จวบจนใกล้ครบหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มีคนมาแจ้งว่าอาหารได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว จ้าวซานหลางพุ่งตัวไปก่อนเป็นคนแรก จึงถูกคุณชายเพยแอบเหน็บแนมเบาๆ ประโยคหนึ่ง

"ผีหิวโหยกลับชาติมาเกิด!"

ทุกคนต่างมานั่งรอพร้อมหน้าที่โต๊ะ ชายาชิงจึงสั่งให้คนไปเชิญท่านกั่วกง งานเลี้ยงวันนี้จัดขึ้นเพื่อให้ซื่อจื่อของพวกเขาได้ทำความรู้จักกับถังเยว่โดยเฉพาะ ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองอยู่ด้วยกันในหอพระเป็นเวลาถึงหนึ่งชั่วยาม ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นคือคุณชายถังไปทำอาหารให้ซื่อจื่อในห้องครัว แต่ซื่อจื่อกลับสั่งให้คนทุบตีคุณชายถังแล้วขับไล่ออกไป

ความสัมพันธ์ครั้งนี้ไม่ว่ามองอย่างไรก็ดูเหมือนว่าคุณชายถังจะล่วงเกินซื่อจื่อเข้าให้แล้ว ชายาชิงมิอาจขัดความประสงค์ซื่อจื่อ แต่ย่อมมิอาจทำตามคำสั่งนั้นได้ จึงจำต้องฉวยโอกาสนี้เชิญท่านกั่วกงออกมา

ถังเยว่อยู่ดูแลจนอาหารชนิดสุดท้ายถูกตักออกจากหม้อ เขาลองชิมหนึ่งคำแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

"ดีมาก ฝีมือทำอาหารของทุกคนยอดเยี่ยมที่สุด ข้าจะขอรางวัลมาให้พวกท่าน"

"คุณชายกล่าวหนักไปแล้ว ทุกอย่างล้วนทำตามคำสั่งของท่าน"

พูดตามตรง พวกเขาเป็นพ่อครัวมาทั้งชีวิตยังไม่เคยพบเห็นอาหารเช่นนี้มาก่อน รับรองว่าจะต้องทำให้พวกคนชั้นสูงตกตะลึงพรึงเพริดอย่างแน่นอน

"ผิงซุ่น มานี่สิ"

จ้าวซานหลางนั่งตำแหน่งที่สองใต้ประธาน ผู้ที่นั่งตำแหน่งเหนือกว่าเขาคือจวิ้นอ๋องน้อย ฝั่งตรงข้ามเป็นที่นั่งของซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกง เว้นที่นั่งด้านข้างไว้ให้ถังเยว่ เห็นได้ชัดว่าจวนเหิงกั่วกงให้ความสำคัญกับบุคคลทั้งสอง

แม้จ้าวซานหลางจะยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อ แต่เขาก็เป็นทายาทตามกฎหมายเพียงหนึ่งเดียวของเจิ้นกั่วกง หากไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น ตำแหน่งนี้ย่อมไม่แคล้วที่จะต้องตกเป็นของเขา ฉะนั้นฐานะของเขากับซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงจึงทัดเทียมกัน

เห็นได้ชัดว่าซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงเกรงกลัวเขา จึงละล้าละลังไม่อยากก้าวไปข้างหน้า จ้าวซานหลางจึงเป็นฝ่ายออกแรงลากเจ้าอ้วนมาตรงหน้าด้วยตัวเอง

"พูดสิ เจ้าไปไหนกับคุณชายถังมา? พวกเจ้าไปเล่นอะไรกัน?"

จ้าวซานหลางเค้นถามเสียงต่ำ เขาเห็นทั้งสองเดินตามกันไป แต่เพราะนึกได้ว่าความสัมพันธ์ของสองตระกูลนี้กำลังจะเกี่ยวดองกันในวันข้างหน้าจึงมิได้ขวางไว้ อีกทั้งยังเชื่อว่าคุณชายถังไม่มีทางจะถูกเจ้าอ้วนหมูตอนรังแกอย่างแน่นอน

ซื่อจื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว ส่วนสาวใช้ที่ช่วยปรนนิบัติเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นั้น พอเห็นว่าบนตัวเขาปรากฏรอยซ้ำเป็นจ้ำแดงไปทั่วจนหาที่ว่างแทบไม่เจอ ก็ถึงกับเป็นลมหมดสติ ตอนนี้ยังไม่ฟื้น

นับแต่ออกมาจากหอพระ ซื่อจื่อเข้าห้องน้ำไปแล้วสามครั้ง ตอนนี้แข้งขาอ่อนยวบ หิวจนหมดแรง จึงไม่มีอารมณ์จะพูดคุยกับจ้าวซานหลางให้มากความ

"ทำไมไม่ตอบ อยากถูกซ้อมนักใช่ไหม?"

จ้าวซานหลางเค้นเสียงถามแล้วแอบต่อยท้องอีกฝ่ายไปหนึ่งหมัดพร้อมกับเปล่งรัศมีคุกคามอย่างเต็มที่

ทันทีที่ถังเยว่ก้าวเข้าประตูมาก็เห็นภาพเหตุการณ์นั้นต่อหน้า จึงรู้ได้ทันทีว่าหลายปีมานี้ว่าที่น้องเขยคงถูกจ้าวซานหลางรังแกมาไม่น้อย

แต่เมื่อคิดดูดีๆ นี่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ สองตระกูลมีฐานะทัดเทียมลูกหลานย่อมคลุกคลีตีโมงเติบโตมาด้วยกัน ซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงก็เปรียบเหมือนลูกเป็ดขี้เหร่ในฝูงหงส์ ถ้าไม่ถูกรังแกสิแปลก

อีกอย่างจ้าวซานหลางนั้นจะแสร้งทำตัวเป็นพ่อพระก็แค่เวลาอยู่ต่อหน้าท่านหญิงฮุ่ยจูและจวิ้นอ๋องน้อย แต่ถ้าเป็นกับคนอื่นเขาจะวางก้ามเบ่งบารมีข่มขวัญใส่

 

 

1 สุราบ่อโบราณเป็นสุรามีชื่อของจีนผลิตในแถบกู้จิ่ง มณฑลอานฮุย ตั้งแต่ 196 ปีก่อนคริสตศักราชใช้เป็นเครื่องบรรณาการสมัยราชวงศ์ฮั่น

 

 [ฉากพิเศษ]

จ้าวซานหลาง       ถังเยว่ ข้าช่วยพูดแทนเจ้า เจ้าจะตอบแทนข้าอย่างไร?

ถังเยว่                 ตอบแทนด้วยร่างกายข้าได้หรือไม่ ?!

จ้าวซานหลาง       อย่าล้อเล่นน่า ร่างกายและจิตใจข้าล้วนมอบให้ท่านหญิงไปหมดแล้ว!

ถังเยว่                 แล้วจวิ้นอ๋องน้อยล่ะ?

จ้าวซานหลาง       เจ้าเด็กโรคจิตนั่น ... รอให้เขาโตก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที!


 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม