ชายาคุณธรรมนั้นเป็นยาก 71-80


71 หากเจ้าตายแล้วเขาจะหาใครมาคอยดูแล ยามแก่เฒ่าได้เล่า?

 

ถังเยว่เพิ่งเดินออกมาจากจวนองค์ชายเจาก็ถูกจ้าวซานหลางกระโดดเข้ามาขวางไว้

"คุณชายถัง เจ้ายังเห็นข้าอยู่ในสายตาบ้างหรือไม่?"

หูจินเผิงที่เดินมาส่งถังเยว่ออกจากจวนพลันสันหลังเย็นวาบ รู้สึกว่าตนกำลังได้ล่วงรู้ความลับบางอย่างเข้าอีกแล้ว

ดูท่าว่าคุณชายถังผู้นี้คงโปรดปรานบุรุษอย่างที่คิดไว้ไม่ผิดแน่มิหนำซ้ำดูเหมือนจะตกเข้าสู่หลุมพรางความรักหลายเส้าและความสัมพันธ์อันแสนยุ่งเหยิงอีกด้วย

"เกิดอะไรขึ้น?" เหตุใดคำพูดนี้จึงทำให้เขาดูเหมือนเป็นบุรุษเสเพลเจ้าสำราญ ถังเยว่พลันงุนงง

"เจ้ากางปีกปกป้องเจ้าอ้วนซะขนาดนั้น ส่วนข้า เจ้าไม่เห็นจะช่วยพูดแทนข้าสักคำ!" มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าใครสำคัญกว่า

ถังเยว่ฟังแล้วอับอายจนเหงื่อแตก

"มีเรื่องเช่นนั้นที่ไหน? เขาเป็นคนไข้ของข้า ข้าก็แค่พยายามคิดหาวิธีช่วยรักษาเขาเท่านั้น!"

คำพูดนี้อาจหลอกคนอื่นได้ แต่สำหรับจ้าวซานหลาง แม้ความฉลาดทางอารมณ์จะต่ำเตี้ย ทว่าความฉลาดทางสติปัญญาไม่ต่ำตาม เขาตวัดแขนรัดคอถังเยว่แล้วเอ่ยถาม "เจ้าอ้วนนั่นป่วยเป็นอะไร ไหนบอกข้ามาสิ!"

"แค่กๆ ปล่อยข้าก่อน ... ความอ้วนก็ถือเป็นโรค แค่กๆ สามารถนำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวานโรคข้ออักเสบได้อย่างง่ายดาย ... ไม่รักษาไม่ได้!"

ถังเยว่พ่นคำศัพท์แปลกประหลาดไม่คุ้นหูออกมายาวเหยียด ไม่เพียงขู่จ้าวซานหลางได้ แม้แต่สองพ่อลูกเหิงกั๋วกงซึ่งอยู่ด้านหลังก็งงเป็นไก่ตาแตก

โรคพวกนั้นคืออะไร? ได้ยินแล้วชวนให้รู้สึกตกใจ หัวคิ้วเหิงกั๋วกงขมวดมุ่น ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขบุตรชายให้จงได้

ในเมื่อตัวเองมิอาจทำใจดำกับลูกได้ลงคอ เช่นนั้นก็ต้องให้ถังเยว่เป็นผู้ลงมือ มีความสัมพันธ์ว่าจะผูกดองเป็นญาติสนิทกันเช่นนี้ เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องพยายามอย่างสุดความสามารถแน่

ผิงซุ่นหน้ามืดวิงเวียนขณะถูกบิดาผลักไสไล่ให้ไปหาศัตรูตัวฉกาจได้แต่ทำตาปริบๆ มองพ่อบังเกิดเกล้าที่ทอดทิ้งเขาแล้วเดินจากไป มิหนำซ้ำก่อนไปบิดายังพูดทิ้งท้ายไว้อีกหนึ่งประโยค "หลานชาย ลูกข้าขอมอบให้เจ้าจำไว้ ห้ามใจอ่อนเด็ดขาด!"

ถังเยว่ตื้นตันจนน้ำตารึ้น การได้รับความไว้วางใจจากญาติคนไข้เป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ ไม่เสียแรงที่เขาสู้อุตส่าห์ทุ่มเทเวลาแรงกายแรงใจไปกับผิงซุ่น

เขาฮึกเหิมคันไม้คันมือ จนต้องเปล่งเสียงหัวเราะคิกคักกับตัวเอง

"ซื่อจื่อ เจ้ารอรับการฝึกฝนกระบวนท่าต่อไปได้เลย"

ซื่อจื่อแห่งเหิงกั๋วกงตกใจจนเหงื่อเย็นๆ ไหลโซมกาย เขาขึ้นรถม้าของจวนลี่หยางโหวด้วยอาการหน้ามืดวิงเวียน นั่งขดตัวเล็กลีบอยู่ในรถ แต่ด้วยขนาดตัวของเขาแม้จะพยายามหดตัวสักแค่ไหนก็ไม่มีใครเห็นเป็นมนุษย์ล่องหนไปได้

ทันทีที่กลับมาถึงจวน ถังเยว่ก็สั่งให้คนตระเตรียมสัมภาระสำหรับออกเดินทางให้เขากับผิงซุ่น จากนั้นก็สั่งให้คนมารื้อเสาท่อนซุงในเรือนออก กลบดินให้เรียบเสมอกันดังเดิม ส่วนของตกแต่งอย่างอื่นยังคงไว้ไม่เปลี่ยนแปลง

"นับจากวันนี้ไป เจ้าคิดอยากจะเข้าออกเรือนข้าเมื่อไรก็ได้ ขอเพียงมีความสามารถ เจ้าหาเนื้อมาได้มากเท่าไรก็กินได้มากเท่านั้น ข้าจะไม่จำกัดปริมาณอาหารของเจ้าอีก แต่ ... " น้ำเสียงของถังเยว่เปลี่ยนไปคล้ายล่อหลอก "เหลือเวลาอีกห้าวันก่อนออกเดินทาง ห้าวันนี้ เจ้าจำเป็นจะต้องฝึกฝนตามเงื่อนไขของข้า"

ผิงซุ่นพยักหน้าอย่างยากลำบาก เหงื่อที่หน้าผากหลั่งรินจนชุ่มโชกทั้งยังรู้สึกเหนื่อยตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มการฝึก

ถังเยว่เดินนำเข้าไปในห้องของตัวเอง หยิบขวดสามใบออกมาจากกล่องยา

"ขั้นตอนแรกต้องจดจำลักษณะของยาในขวดทั้งสาม มีผงห้ามเลือดผงซันชี และผงปูนขาว ส่วนประกอบสำคัญของผงห้ามเลือดคือซิงต้าหวงกับสือฮวา ถ้าหากเจ้าได้รับบาดเจ็บเลือดไหล จำไว้ว่าให้รีบใช้ผงห้ามเลือดโรยลงบนบาดแผลทันที ผงซันชีไม่เพียงช่วยห้ามเลือด ยังสามารถกระตุ้นการไหลเวียนเลือด สลายเลือดคั่ง ลดอาการบวมอักเสบ ระงับปวด ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแกร่งทรงพลัง ต้านอาการอ่อนเพลีย ถ้าหากเจ้าใช้พละกำลังมากเกินไป หรือเลือดออกมากเกินไป สิ้นไร้เรี่ยวแรงไปทั้งตัว ก็ให้กินยาตัวนี้เข้าไป จำได้แล้วใช่ไหม?"

ผิงซุ่นพยักหน้า แต่เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเหตุใดตนจะต้องมานั่งจำเรื่องเหล่านี้

ถังเยว่เห็นสายตาของอีกฝ่ายก็รู้ได้ทันทีว่าไม่เข้าใจ จึงย้ายเก้าอี้มานั่งฝั่งตรงข้าม บอกเล่าสถานการณ์ที่ต้องเผชิญในอนาคตให้เขาได้รับรู้

"ฟังนะ เจ้าต้องออกรบสังหารข้าศึกศัตรู ข้าไม่รู้วิธีสังหารคน แต่ข้าสามารถสอนวิธีรักษาชีวิตอย่างง่ายๆ ให้เจ้าได้ ผงยาทั้งสองชนิดนี้เก็บไว้ใช้เมื่อเจ้าถูกคมกระบี่เฉือนจนได้รับบาดเจ็บ จะต้องพกติดตัวไว้เสมอ!"

คราวนี้ผิงซุ่นเข้าใจแล้ว แต่ยังคงตกใจจนหน้าขาวซีด

"แล้ว ... แล้วผงปูนขาวล่ะ?"

ถังเยว่เทผงปูนขาวใส่ฝ่ามือตนเองเล็กน้อย

"ขวดนี้มิได้มีไว้ให้เจ้าทาหรือกิน แต่มีไว้ให้ใช้กับข้าศึกศัตรู ยามที่เจ้าประมือกับฝ่ายตรงข้าม ให้ฉวยจังหวะที่ศัตรูไม่ทันระวังตัว สาดผงปูนขาวใส่ตาเขา ถ้ามีเวลามากพอให้สาดน้ำใส่หน้าเขาซ้ำ รับประกันได้เลยว่าศัตรูเจ้าต้องหมดสิ้นความสามารถที่จะต่อต้านขัดขืนได้อีก จะสนใจแต่ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับตัวเองเท่านั้น"

ถังเยว่ใช้แก้วใบเล็กใส่ผงปูนขาวลงไปเล็กน้อย จากนั้นก็เทน้ำสะอาดตามลงไป แล้วจับมือผิงซุ่นเข้าไปสัมผัสใกล้ๆ

"มันร้อน" ผิงซุ่นลูบแก้วแล้วกล่าว จากนั้นก็คิดถึงอีกปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้ "หากต้องสาดน้ำใส่ ... ใช้น้ำลายได้หรือไม่?"

ถังเยว่กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะพยักหน้าอย่างยากเย็น "ดูเหมือนว่าเมื่อถึงเวลานั้นขึ้นมา ก็คงมีเพียงน้ำลายจริงๆ" เห็นทีเขาต้องเตรียมแก้วน้ำที่สะดวกแก่การพกพาไว้ให้อีกฝ่ายด้วย "ผงปูนขาวเมื่อเจอกับน้ำจะเกิดความร้อน สามารถทำให้ผิวหนังไหม้ได้ เจ้าต้องจดจำไว้ให้ดีว่าจะต้องสาดใส่ลูกนัยน์ตาศัตรู ถึงจะได้ผลลัพธ์ดีที่สุด จากนั้นก็ฉวยโอกาสตอนเขามองไม่เห็น ใช้มีดแทงเขาให้ตายในดาบเดียว!" ถังเยว่ทำท่าปลิดชีพคน "ช้าก่อน!เจ้ารู้หรือไม่ว่าใช้มีดฆ่าคนได้อย่างไร?"

ผิงซุ่นครุ่นคิดสักพัก จึงพยักหน้า "ทำอย่างองค์ชายเสียน แทงกระบี่เดียวลงไปที่หน้าอกของเขา แต่ ... ถ้าเกิดไม่ตายล่ะ?"

ถังเยว่นึกอยากยกนิ้วให้องค์ชายเสียนจริงๆ คิดไม่ถึงว่ากรณีศึกษาจากพฤติกรรมเชิงลบของฝ่ายนั้นจะสามารถนำมาใช้เป็นสื่อการสอนเชิงบวกได้ด้วย

"เจ้าไม่ควรเอาเขาเป็นเยี่ยงอย่าง เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าเพียงใช้มีดหรือกระบี่ ตัดเส้นเลือดใหญ่อีกฝ่าย ง่ายกว่าแทงทะลุหัวใจหลายเท่า"

ถังเยว่ใช้สองนิ้วกดบริเวณเส้นเลือดใหญ่ของผิงซุ่น เพื่อบอกตำแหน่งให้เขารู้

ผิงซุ่นลูบเส้นเลือดที่เต้นตุบๆ ของตัวเองพลางเอ่ยถามเสียงอ่อย "อย่างนี้ ... จะเจ็บมากใช่ไหม?"

ถังเยวไร้ซึ่งคำพูดจะตอบโต้

เจ็บหรือ? แน่นอนอยู่แล้ว จนถึงตอนนี้เขายังจำความรู้สึกเมื่อถูกของมีคมแทงเข้าเนื้อในนาทีก่อนตายได้อย่างแม่นยำ

แต่ ... จะทำอย่างไรได้ล่ะ?

ทั้งสองนิ่งเงียบอยู่นาน ถังเยว่จึงตบบ่าอีกฝ่ายแล้วเอ่ยปลอบ

"ออกรบสังหารศัตรูก็เป็นเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เขาลาลับก็ต้องเป็นเจ้าที่ดับสูญ เจ้าคิดถึงแค่เหิงกั๋วกงก็พอ บิดาเจ้ามีทายาทคนเดียว ถ้าเจ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา เขาจะหาใครมาคอยดูแลยามแก่เฒ่าได้?"

ผิงซุ่นพยักหน้าแรงๆ "เช่นนั้น ... ข้าจะถือเสียว่าเขาไม่เจ็บก็แล้วกัน"

เหอะๆ ทันใดนั้นถังเยว่พลันรู้สึกว่าเจ้าเด็กอ้วนนี่ก็มีมุมน่ารักอยู่เหมือนกัน หากสามารถแก้ไขข้อบกพร่องเรื่องบ้ากามได้ ก็นับว่าเป็นผู้ชายที่ซื่อตรงคนหนึ่ง

"เจ้ารู้จักกตัญญูก็ดีแล้ว"

ถังเยว่สั่งให้อีกฝ่ายจดจำลักษณะของผงยาทั้งสามขวดให้แม่นยำและยังใช้เชือกต่างสีมัดไว้ที่ปากของแต่ละขวด ป้องกันไม่ให้ผิงซุ่นสับสน

หลังเสร็จธุระ เขาเรียกซานให้เข้ามาเพื่อพาซื่อจื่อไปเลือกอาวุธซึ่งมีทั้งหมดสิบแปดชนิด ถึงอย่างไรก็น่าจะมีสักอย่างที่เหมาะกับผิงซุ่น เช่นนี้จึงจะสามารถออกแรงเพียงครึ่งแต่ได้ผลมากเป็นเท่าตัว

"ข้าอยากใช้ธนูกับลูกศร" ผิงซุ่นอ้อมแอ้มแจ้งความประสงค์ของตัวเอง

ถังเยวไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม "ใช้ธนูกับลูกศรก็ดี ไม่ต้องเข้าปะทะในระยะประชิด แต่ ... การยิงธนูนั้นฝึกได้ไม่ง่ายนัก เวลาแค่ห้าวันเกรงว่าจะไม่เพียงพอ"

"ฝีมือการยิงธนูของข้านับว่าไม่เลว"

ถังเยว่คิดในใจ 'ถึงข้าจะเอ่ยชมเจ้า แต่นั่นเป็นแค่การฝืนพูดออกไปจะถือเป็นจริงเป็นจังไม่ได้'

"อะแฮ่ม ฝีมือการยิงธนูของเจ้าใช้ฆ่าไก่น่ะพอได้ แต่ถ้าฆ่าคนมิต้องเอ่ยถึง"

ตัดใจซะเถอะ!

มองแผ่นหลังห่อเหี่ยวของผิงซุ่น ถังเยว่พลันตบท้ายทอยตัวเอง ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้คงไม่กล่าวชมเขาตั้งแต่แรก บาปกรรมจริงๆ

ถังเยว่พยายามหวนนึกถึงหนังแอ็กชั่นที่เคยดู การจะลงมือสังหารได้รวดเร็วและแม่นยำก็ต้องใช้การเรียนรู้เช่นกัน แม้เขาจะไม่เคยฆ่าคนแต่ก็เคยดูหนังดูละครมาไม่น้อย ย่อมต้องรู้หลักการอยู่บ้าง

ขณะรอผิงซุ่นที่หายไปเลือกอาวุธ จู่ๆ ก็เห็นอีกฝ่ายแบกค้อนยักษ์สองอันเดินเข้ามาหา เห็นแบบนั้นแล้วตกใจจนปัสสาวะแทบเล็ด

"นี่ ... เจ้าคิดจะทุบคนให้กลายเป็นเนื้อบดหรืออย่างไร?"

เขาลองยกค้อนยักษ์สองอันนั้นมาถือ พบว่าน้ำหนักไม่เบาเลย มิน่าเจ้าเด็กนี่จึงต้องออกแรงยกเสียจนเส้นเลือดปูดโปน

"เจ้ามั่นใจหรือว่าจะถือไหว?"

ถังเยว่เป็นห่วงเกี่ยวกับรูปร่างเหมือนคนตั้งครรภ์ของอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง มองภายนอกเห็นว่ารูปร่างสูงใหญ่ดูบึกบึน แท้จริงแล้วเป็นแค่เจ้าอ้วนผู้แสนอ่อนแอ

ผิงซุ่นวางค้อนยักษ์หนักอึ้งลงบนพื้น ยกมือปาดเหงื่อ พลางบอก "บิดาข้าใช้อาวุธชนิดนี้"

เยี่ยมมาก! คิดอยากเป็นทายาทรับช่วงต่อจากบิดา แต่เจ้าต้องพิจารณาความสามารถของตัวเองก่อน!

ถังเยว่พยายามคลี่ยิ้ม แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยน "ท่านกั๋วกงเป็นบุรุษผู้มีจิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ แม้เจ้าจะไม่ได้แย่แต่เพราะอายุยังเยาว์พละกำลังจึงมีเพียงน้อยนิดใช้สิ่งนี้คงไม่เหมาะ คิดดูสิ เจ้าต้องแบกค้อนยักษ์ที่หนักมากขนาดนี้เดินทางรอนแรมสิบวันถึงครึ่งเดือน ทั้งยังต้องยกมันขึ้นมาถึงจะทุบคนได้ เจ้าจะไหวหรือ?"

อย่าว่าแต่เดินสิบวันหรือครึ่งเดือนเลย แค่ให้เขาแบกไว้หนึ่งชั่วยามให้ได้ก่อนก็พอ

"ถ้าเช่นนั้น ... ข้าควรเลือกอาวุธชนิดใด?"

"มีด กระบี่ อาวุธจำพวกนี้น้ำหนักเบา แต่สามารถใช้ได้ทั้งทำร้ายและสังหาร"

ถังเยว่เพียงรู้สึกว่าหากเป็นอาวุธแบบที่นิยมใช้กันสักหน่อย ถ้าเกิดเสียหายขึ้นกลางทาง ก็สามารถเปลี่ยนอันใหม่ได้ง่าย ใช้ค้อนยักษ์ถ้าเกิดสูญหายหรือพังไป แล้วจะหาได้จากที่ใดกันเล่า?

ด้วยเหตุนี้ ซื่อจื่อจึงไปเลือกอาวุธใหม่อยู่อีกพัก ไม่นานก็แบกดาบใหญ่สองเล่มเดินเข้ามา

ถังเยว่ยกมือกุมขมับ ดูเหมือนเจ้าเด็กนี่จะโปรดปรานของที่เป็นคู่เป็นพิเศษ แต่หลังจากได้ตรวจสอบน้ำหนักของดาบคู่นั้นแล้ว ถังเยว่ก็ปล่อยตามใจ

"เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้ข้าจะสอนให้เจ้ารู้จักโครงสร้างร่างกายมนุษย์ เช่นนี้เจ้าจะได้รู้ว่าต้องฟันแทงลงไปตรงส่วนไหนจึงจะสังหารคนได้รวดเร็วที่สุด"

ผิงซุ่นผงกศีรษะรับ ทว่าสีหน้ายังดูเหมือนทำใจยอมรับเรื่องที่ตนจะต้องถือดาบไปไล่ฟันคนไม่ได้

ถังเยวไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก ในเมื่ออยากเติบโต อย่างไรเสียก็ย่อมมีสิ่งแลกเปลี่ยนที่ต้องจ่าย นิสัยแบบผิงซุ่นถ้าไม่ลงมือเคี่ยวกรำอย่างหนักคงมีสภาพไม่ต่างจากวัวแก่เทียมเกวียนเก่า อย่าคิดหวังที่จะเอาชนะผู้อื่นได้ไปตลอดชาติ

ยิ่งกว่านั้นตัวเขาเองก็มีงานอื่นที่ต้องไปจัดการ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ติดตามกองทัพออกปฏิบัติหน้าที่ สมัยหนุ่มๆ เขาเคยไปเป็นจิตอาสาแถบแอฟริกาใต้อยู่หนึ่งปี ทว่านั่นเป็นช่วงที่ดินแดนแถบนั้นสงบสุข ที่ต้องต่อสู้ด้วยจึงมีเพียงโรคภัยไข้เจ็บซึ่งเปรียบเสมือนปีศาจร้ายเท่านั้น

ร่วมกับกองทัพออกจับโจรครั้งนี้ เขาไม่ใช่แค่ต้องรักษาความเจ็บป่วยช่วยชีวิตคน เพราะสิ่งแรกที่ต้องรักษาคือชีวิตตนให้อยู่รอดก่อน ต่อให้ไม่ต้องไปเป็นแนวหน้าก็มิได้หมายความว่าจะปลอดภัยไร้กังวล

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีข้าวของหลายสิ่งที่ต้องจัดเตรียม เขาจำเป็นต้องจดรายการออกมาให้เร็วที่สุดเพื่อส่งให้ราชสำนักไปจัดหา องค์ชายเจาสัญญาว่าจะมอบตำแหน่งแพทย์ทหารให้ เขาย่อมต้องมีสิทธิ์ในเรื่องนี้


 

72 ชีวิตแต่ละคนเกิดมาสูงต่ำไม่เท่าเทียม

 

"ฝ่าบาท คุณชายถังส่งรายการสิ่งของมาให้แล้ว"หูจินเผิงกล่าวแล้วส่งม้วนไม้ไผ่ให้องค์ชายเจาซึ่งรับไปคลี่ออก ตัวอักษรที่ใช้มีดแกะสลักปรากฏแก่สายตา ฝีมือการใช้มีดนั้นนับว่ายอดเยี่ยมอักษรแต่ละตัวดูอ่อนช้อยดุจภาพวาด งดงามยิ่งนัก แต่ก็ยังมองออกว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยคุ้นเคยกับวิธีนี้

หูจินเผิงเห็นแล้วเอ่ยจากใจ "คุณชายถังปราดเปรื่องจริงๆ เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนสามารถศึกษาอักษรพันตัวได้หมด มิหนำซ้ำลายมือยังไม่เหมือนผู้เพิ่งหัดเรียนเลยสักนิด"

"เขามีความน่าสงสัยหลายอย่าง แต่ไม่จำเป็นต้องสืบเสาะเกินขอบเขต" องค์ชายเจาอ่านรายการสิ่งของหนึ่งรอบ ใช้พู่กันจุ่มหมึกสีแดงวงกลมไว้สองสามจุด "ข้าวของสองสามอย่างนี้ให้คุณชายถังไปแก้ไข ให้ใช้คำที่คนทั่วไปอ่านแล้วเข้าใจมาใหม่"

หูจินเผิงชะโงกหน้าเหลือบมองแวบหนึ่ง อะไรคือสบู่ ถุงมือสะอาดปราศจากสิ่งสกปรกเจือปน เสื้อคลุมยาวสีขาว เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งของที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

"สบู่ จะหมายถึงจ้าวเจี่ยวหรือเปล่านะ?" หูจินเผิงคาดเดา

"ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม บอกคุณชายถังระบุให้ชัดเจน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตคนเจ็บ จะเลินเล่อไม่ได้เป็นอันขาด"

"พ่ะย่ะค่ะ" หูจินเผิงยืนไว้อาลัยในใจให้คุณชายถังเงียบๆ ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว "ฝ่าบาทเชื่อว่าคุณชายถังอาสาไปทัพครั้งนี้เพราะตั้งใจไปศึกษาเพื่อเป็นแพทย์ทหารชายแดนจริงหรือ?"

"เขาย่อมตั้งใจแน่" องค์ชายเจาตอบอย่างมั่นใจ เขามองเห็นธาตุแท้อันดีงามในตัวถังเยว่ แม้คนผู้นี้ปกติจะไม่ได้มีบุคลิกสุขุมนัก แต่ถ้าหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนจะระมัดระวังรอบคอบเป็นพิเศษ

ไม่แน่ว่าถังเยว่อาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับหนานจิ้น แต่เขาให้ความสำคัญกับทุกชีวิต

นี่กระมังที่เรียกว่าจรรยาบรรณแพทย์ ไม่ว่าจะยากดีมีจน สูงส่งหรือต้อยต่ำ มิตรหรือศัตรู ในสายตาของผู้เป็นหมอที่มีคุณธรรมสูงแล้ว ย่อมปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม

"ต้องคุ้มครองเขาให้ดี" องค์ชายเจากล่าวย้ำหนักแน่น

หูจินเผิงตบอกรับรอง "ขอฝ่าบาทโปรดวางพระทัย ข้าจะต้องพาเขากลับมาอย่างปลอดภัยแน่"

"ระหว่างทางต้องคอยสังเกตว่าเขามีท่าทางผิดปกติหรือไม่ หากมิได้เรียกร้องเกินเลยก็ให้ทำตามความประสงค์ของเขา ส่วนซื่อจื่อแห่งเหิงกั๋วกงกับจ้าวซานหลาง ขอเพียงไม่ส่งผลกระทบต่อภารกิจการทหารก็ปล่อยพวกเขาไป"

"เช่นนั้นเงื่อนไขที่ฝ่าบาทรับสั่งไว้ก่อนหน้านี้ ... "

"คำไหนคำนั้น หากตัดหัวพวกโจรกลับมาไม่ได้ ก็ให้พวกเขาไปขับรถม้า!"

องค์ชายเจาไม่เคยอ่อนข้อปรานีให้คนหนุ่มทายาทตระกูลผู้ดีพวกนี้

หูจินเผิงจำได้ดีว่าครั้งหนึ่งระหว่างการเดินทาง พวกเขาเคยประสบเหตุลูกผู้ดีมีเงินฉุดคร่าตัวหญิงสาวชาวบ้าน อ้างฐานะอำนาจบารมีสังหารบิดาของนาง เพราะต้องการนำตัวนางไปเป็นทาสในจวน

ถือเป็นคราวเคราะห์ของทายาทคหบดีผู้นั้นที่มาพบองค์ชายเจา ซึ่งมิได้กล่าวสิ่งใดให้มากความ เพียงแค่สั่งให้บุรุษผู้นั้นไปเป็นคนเลี้ยงม้าอยู่ชายแดน ประโยคหนึ่งในคำพูดขององค์ชายเจาก็คือ 'ในเมื่อเจ้ามีเวลาว่างเที่ยวเตร่สร้างความเดือดร้อนเช่นนี้ มิสู้เอาเวลาไปสร้างประโยชน์ให้กับหนานจิ้น เช่นนั้นย่อมดีกว่ามาสร้างความอับอายขายหน้าให้บิดามารดาอยู่ในเมืองเย่เฉิง'

"ได้ยินว่าคุณชายถังทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่น้อยเพื่อช่วยให้ผิงซุ่นลดน้ำหนัก ไม่ใช่แค่กินโจ๊กเปล่าเป็นเพื่อนเขาถึงหนึ่งเดือนเท่านั้น แต่ยังคอยดูแลใกล้ชิดทั้งวันทั้งคืนเพื่อควบคุมให้เขาออกกำลัง" องค์ชายเจาฟังแล้วขมวดคิ้วเข้าหากัน โยนม้วนไม้ไผ่ที่ถืออยู่ในมือลงไปบนโต๊ะอย่างแรงจนเกิดเสียงดังกังวาน "เพื่อความสุขชั่วชีวิตของน้องสาว เพื่อสร้างความประทับใจแก่สองสามีภรรยาลี่หยางโหว เขาจะไม่ทำเช่นนั้นได้อย่างไร?"

สีหน้าหูจินเผิงฉายแววกระอักกระอ่วนเล็กน้อยก่อนจะกระแอมเบาๆ "ข้าคิดว่ามิใช่เพียงแค่นั้น"

"หืม?" องค์ชายเจาหันมองคนพูด ส่งสายตาว่าให้กล่าวต่อ

"ก่อนหน้านี้ ที่หน้าประตูจวน ข้าเห็นคุณชายถังกับผิงซุ่นมีพฤติกรรมแนบชิดสนิทสนมกัน เกรงว่าทั้งสองอาจมีความสัมพันธ์แบบตัดแขนเสื้อแบ่งท้อ[1]อะไรทำนองนั้น"

ดวงตาองค์ชายเจาฉายแววคาดไม่ถึงขณะพึมพำเสียงแผ่ว "มิน่าเป็นเช่นนี้นี่เอง"

 

ถังเยว่ที่กำลังถ่ายทอดความรู้ให้ผิงซุ่นอยู่ในบ้านส่งเสียงจามดังลั่นแล้วบ่นงึมงำ "เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว กลางคืนอากาศเย็นขึ้นไม่น้อย ต้องไม่ลืมบอกพ่อบ้านให้เตรียมเสื้อคลุมไปสองตัวถึงจะพอใช้"

ผิงซุ่นกำลังเปลือยกายท่อนบน ชูแขนทั้งสองข้างขึ้นอยู่หน้ากระจกสำริด บริเวณหน้าอกถูกถังเยว่วาดภาพต่างๆ ไว้หลายภาพ

"จำไว้ ... หัวใจอยู่ตำแหน่งนี้ ... ตรงนี้คือไต ... ถัดลงไปเป็น ... " ถังเยว่บอกขณะใช้ท่อนไม้ไผ่ยาวเรียวเป็นอุปกรณ์ชี้สอนให้ผิงซุ่นรู้จักอวัยวะตันทั้งห้า อวัยวะกลวงทั้งหกภายในร่างกายมนุษย์

"เหตุใดข้าต้องศึกษาเรื่องพวกนี้ด้วย?" ผิงซุ่นถาม ตอนนี้เขาหนาวจนตัวสั่น ขนลุกซู่ ผิวหนังขึ้นเป็นตุ่มหนังไก่ไปทั้งตัว

"เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรู เจ้าต้องรู้จักหลบหลีก ไม่ให้ถูกทำร้ายตรงจุดสำคัญของร่างกาย เช่นนี้แม้เจ้าจะได้รับบาดเจ็บ ข้าก็ยังพอรักษาให้ได้ แต่ถ้าหากถูกทำร้ายตรงจุดสำคัญ ต่อให้เป็นมหาเทพต้าหลัว ก็เกรงว่าคงช่วยเจ้าไม่ได้"

ผิงซุ่นใช้ฝ่ามือลูบหน้าอกซ้ายของตัวเอง สัมผัสได้ถึงแรงเต้นของหัวใจที่กระเพื่อมไหวอยู่ใต้ฝ่ามือ ที่แท้ตรงนี้เองคือจุดสำคัญของร่างกายมนุษย์ ถ้าถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บหรือได้รับความเสียหาย ความตายคงรออยู่ไม่ไกล

หวนนึกถึงตอนอยู่จวนองค์ชายเจา ภาพเหตุการณ์ที่ถังเยว่ช่วยรักษาบ่าวที่จวนนั้นทำให้หัวใจของผิงซุ่นพลันเต้นรัวเร็วขึ้น เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าที่แท้ยังมีคนที่มีความสามารถดุจเทพเซียนเช่นนี้อยู่ด้วย สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน อีกทั้งยังสามารถกู้สถานการณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม

เทียบกับถังเยว่แล้ว เขาพลันรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่องอะไรสักอย่างช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี!

"ข้าขอเรียนวิชาการแพทย์ด้วยได้หรือไม่?" ผิงซุ่นหลุดประโยคนี้ออกไปโดยมิได้ผ่านการไตร่ตรอง

ถังเยว่นิ่งอึ้งแล้วเอ่ยถามอย่างเหลือเชื่อ "เจ้าสนใจอยากเรียนวิชาการแพทย์งั้นหรือ?"

ผิงซุ่นได้สติกลับคืนมา รีบส่ายหน้าปฏิเสธแรงๆ "เปล่า ข้า ... ข้าก็แค่ .. ถามไปอย่างนั้น"

เขาจะอยากเรียนวิชาการแพทย์ได้อย่างไร? สงสัยเขาจะบ้าไปแล้วถึงได้หลุดปากไปแบบนั้น!

"ข้าคิดว่าเจ้าไม่เหมาะที่จะเดินเส้นทางนี้" ถังเยว่ยักไหล่ กล่าววาจาตรงไปตรงมาอย่างไม่เกรงใจ "ผู้จะเป็นหมอได้ต้องมีจิตใจเปี่ยมเมตตา เห็นคนไข้ทุกคนที่อยู่ตรงหน้าเสมอภาคเท่าเทียมกัน แนวคิดแบ่งชนชั้นวรรณะของซื่อจื่อเช่นเจ้าฝังรากหยั่งลึกมั่นคง จึงไม่เหมาะที่จะเดินบนเส้นทางสายนี้"

"เหตุใดจึงกล่าวว่าทุกคนเสมอภาคกัน? ชีวิตแต่ละคนเกิดมาสูงต่ำไม่เท่าเทียม ข้าเป็นถึงซื่อจื่อ หากสำเร็จวิชาการแพทย์ย่อมต้องเลือกรักษาเฉพาะชนชั้นสูงอยู่แล้ว"

ถังเยว่หัวเราะหึหึ แต่มิได้โต้แย้ง แนวคิดของคนยุคนี้กับยุคที่เขาจากมาย่อมแตกต่างกัน เขาจึงไม่คิดจะยัดเยียดแนวคิดเรื่องความเสมอภาคของแต่ละบุคคลให้ผิงซุ่น

"เจ้าเกิดมามีบุญ" ถังเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ

คำพูดนี้ย่อมไม่ใช่แค่ถังเยว่ที่พูด ผิงซุ่นฟังแล้วจึงมิได้รู้สึกขัดหูตรงกันข้ามกลับพูดตอบด้วยน้ำเสียงกระหยิ่มยิ้มย่องและเป็นสุข "ชะตาฟ้าลิขิตมาเช่นนี้ อิจฉาไปก็ไร้ประโยชน์!"

ถังเยว่ได้ยินแล้วให้รู้สึกหมั่นไส้จนนึกอยากจะข่วนหน้าอีกฝ่ายจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวสั่งสอน "แต่น่าเสียดายที่เจ้าไม่เห็นค่าของโอกาสอันใหญ่หลวงที่สวรรค์ประทานให้ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง หากเป็นผู้อื่นป่านนี้คงได้ดีมีอนาคตไกลไปนานแล้ว"

มีต้นทุนที่ดีถึงเพียงนี้แต่กลับไม่ใช้ให้เกิดประโยชน์ ละทิ้งข้อได้เปรียบของการเกิดมาในจวนกั๋วกงไปอย่างสูญเปล่า ถังเยว่เห็นแล้วอดรู้สึกเสียดายแทนเขาไม่ได้จริงๆ

ในยุคนี้ไม่มีการสอบคัดเลือกขุนนาง ชนชั้นสูงใช้อิทธิพลยึดกุมอำนาจการปกครองแบบเบ็ดเสร็จเผด็จการ เหล่าผู้มีการศึกษาล้วนต้องอาศัยพึ่งพาชนชั้นสูงในการหาเงินยังชีพเพื่อเลี้ยงปากท้อง มีบัณฑิตมากมายที่เปี่ยมความสามารถแต่ขาดโอกาสแสดงฝีมือ บางทีชั่วชีวิตไม่ได้ทำตามปณิธานเลยก็มาก นี่จึงไม่ใช่ยุคสมัยที่จะมาพูดถึงความยุติธรรมเสมอภาค

"เอาละ รีบจดจำอวัยวะแต่ละส่วนที่ข้าเพิ่งสอนไปเมื่อครู่ให้ได้ เจ้ามีเวลาแค่คืนนี้คืนเดียวเท่านั้น ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้าจะต้องไปร่ำเรียนฝึกฝนวิชาดาบกับซาน"

ผิงซุ่นหน้างอง้ำ ก้มมองผืนอกที่ตอนนี้ถูกวาดรูปไว้เป็นส่วนต่างๆราวกับโครงกระดูกผี แล้วค่อยๆ ทบทวนความรู้เกี่ยวกับอวัยวะในร่างกายของตัวเองซ้ำใหม่อีกครั้ง

จะว่าไปก็น่าแปลก เหตุใดคุณชายถังถึงรู้เรื่องพวกนี้? หรือว่า ... เขาจะเคยนำศพมนุษย์ออกมาผ่าชำแหละ !?

ความคิดนี้ทำให้ผิงซุ่นหนาวเยือกไปทั้งตัว เลือดในกายสูบฉีดพลุ่งพล่านด้วยความหวาดกลัวจนขนหัวลุก เกรงจะถูกอีกฝ่ายผ่าท้องแหวกอกเอาบ้าง

เขาแอบเหลือบมองถังเยว่ผ่านบานกระจก เห็นอีกฝ่ายกำลังเล่นมีดที่อยู่ในมือด้วยท่าทางจดจ่อ มีดเล่มนั้นมีขนาดเล็กมาก รูปลักษณ์ภายนอกดูแปลกตา เจ้าตัวเคยบอกว่าใช้สำหรับการผ่าตัด

อะไรคือการผ่าตัด? เขาไม่เข้าใจ แต่ได้ยินมาว่าถังเยว่ใช้มีดนี้ผ่าแหวกเนื้อที่ขาองค์ชายเจา ผิงซุ่นเห็นแล้วพาลให้รู้สึกราวกับกำลังถูกมีดเล่มนั้นกรีดลงบนร่างกายตน

เขากลืนน้ำลายอย่างฝืดฝืน แล้วพูดเสียงแผ่ว "อันที่จริงเมื่อถึงเวลานั้น ตอนฆ่าคนให้เจ้าเป็นคนลงมือก็ได้นี่ เพียงแค่อย่าให้ถูกรองแม่ทัพหูเห็น พวกเขาก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าใครเป็นคนฆ่า"

ถังเยว่เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง แสยะยิ้มเย็นพลางเหลือบมองคนพูด

"เหตุใดข้าต้องช่วยเจ้าฆ่าคนด้วย? นี่คือภารกิจหน้าที่ที่เจ้าจะต้องทำ ไม่เกี่ยวกับข้าเลยสักนิด!"

"เจ้า! เอาอย่างนี้ดีไหม งั้นซื่อจื่ออย่างข้าจะยอมเรียกเจ้าว่าท่านพี่เมียก็ได้!"

"อย่าเลย น้องเขยอย่างเจ้าสูงส่งเกินไป ข้ารับไม่ไหวหรอก!" ถังเยว่โยนรูปกายวิภาคของมนุษย์แผ่นหนึ่งให้อีกฝ่าย แล้วไล่เขาออกจากห้อง "ที่ควรสอนก็สอนหมดแล้ว เจ้าไปทำความเข้าใจเอาเองเถอะ"

ให้ตายเถอะ! ถ้าไม่ใช่เพราะการแต่งงานครั้งนี้ยกเลิกไม่ได้แล้วละก็ชาตินี้เขาไม่มีทางยอมคบค้ากับเจ้าอ้วนคนนี้แน่!

 

ยิ่งใกล้ถึงวันเดินทาง ถังเยว่ยิ่งรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เขาหาโอกาสไปดูผิงซุ่นฝึกเพลงดาบบ้างเป็นครั้งคราว จากช่วงแรกที่ฟันสะเปะสะปะตอนนี้เริ่มดูเข้าท่าเข้าทางขึ้นบ้างแล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นบุตรชายแม่ทัพใหญ่ยังพอมีเลือดนักรบหลงเหลืออยู่ในกายบ้าง

แน่นอนว่าที่พูดมาทั้งหมดนี้ล้วนมองข้ามสรีระของเขาไป หากมองภาพรวมแล้วละก็ สามารถเรียกได้ว่าเป็นภาพที่ทำร้ายลูกนัยน์ตาอย่างแท้จริง!

สองสามวันมานี้ผิงซุ่นไม่ผอมลงเลย ตัวเลขน้ำหนักที่ถังเยว่บันทึกได้ในแต่ละวันล้วนเท่าเดิม นับแต่เขาอนุญาตให้กินเนื้อสัตว์ได้ ทั้งสามมื้อของเจ้านั่นไม่มีมื้อใดที่จะขาดเนื้อสัตว์เลยสักมื้อ

หากไม่คำนึงเรื่องที่ว่าเขาต้องใช้พละกำลังมาก จำเป็นต้องได้รับสารอาหารครบถ้วน ถังเยว่จะเอาเนื้อพวกนั้นโยนให้สุนัขกินให้หมด ไม่เหลือให้เจ้านี่กินอีกเด็ดขาด!

"ท่านอาเฉวียน อย่าลืมส่งใบรายการไปเรียกเก็บเงินที่จวนเหิงกั๋วกงด้วยนะ บอกให้พวกเขาชำระเงินค่าอาหารกับค่ารักษาของหนึ่งเดือนนี้มาด้วย"

พ่อบ้านฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะขัน เรื่องแบบนี้อย่าว่าแต่เขาทำไม่ได้เลย แม้แต่ท่านโหวกับฮูหยินก็ทำไม่ลงเช่นกัน ที่นั่นไม่ใช่แค่จวนกั๋วกง แต่ยังเป็นผู้ที่พวกเขาต้องเกี่ยวดองด้วยในวันหน้า จะมาคิดหยุมหยิมกับเงินเล็กน้อยพวกนี้ได้อย่างไร?

"นายน้อย ท่านโหวบอกให้ท่านไปที่หน้าจวนเพื่อเลือกองครักษ์ที่จะติดตามไปด้วย ท่านจะไปดูตอนนี้เลยหรือไม่ขอรับ?"

"เหตุใดยังต้องเลือกองครักษ์อีก?" ถังเยว่ถามอย่างประหลาดใจข้างกายเขาตอนนี้มีผู้คุ้มกันอยู่แล้วมากกว่าหนึ่งโหล ยังไม่รู้เลยว่าจะพาไปด้วยได้ครบหมดทุกคนหรือไม่?

"การเดินทางของท่านครั้งนี้ ข้างกายต้องมีองครักษ์อย่างน้อยห้าสิบคน ท่านโหวเป็นห่วงความปลอดภัยของท่าน"

ห้าสิบคน? ถังเยว่เบิกตาโต นึกสงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า

ทหารร่วมเดินทางไปปราบโจรทั้งกองรวมแล้วเพียงไม่กี่ร้อย แต่เขาคนเดียวให้พาองครักษ์ไปถึงห้าสิบคน แบบนี้ไม่เป็นการสิ้นเปลืองผู้คนเกินไปหรือ?

ถ้าหากจ้าวซานหลางกับผิงซุ่นพาองครักษ์ไปด้วยแค่ไม่กี่คน จะไม่กลายเป็นว่าเขาโอ้อวดศักดาจนน่ารังเกียจหรืออย่างไร? ถ้าเป็นแบบนั้นเขาจะไม่ถูกทับถมจนตายหรือ?

 

 

1 ตัดแขนเสื้อ แบ่งท้อ หมายถึง ความสัมพันธ์แบบชายรักชาย


 

73 เป็นแผนการที่ล้ำเลิศจริงๆ

 

ขณะกำลังกระหยิ่มยิ้มย่องเพราะจะได้รับอาคารร้านค้าหลังหนึ่งจากองค์ชายเจาเป็นผลตอบแทนจากการทำงาน แต่กลับมีคนบอกเขาว่าร้านค้าในตระกูลมีอยู่แล้วตั้งมากมาย ไม่เห็นต้องลำบากลำบนอยากได้จากคนอื่น

ถามว่าเขาจะรู้สึกเช่นไรน่ะหรือ?

ก็เป็นความรู้สึกแบบที่นึกว่าตัวเองเป็นเพียงทายาทรุ่นสองของชนชั้นกลาง แต่ที่แท้กลับเป็นทายาทรุ่นสองของคหบดีผู้มั่งคั่งน่ะสิ!

ทว่าความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้ทำให้ถังเยว่ยินดีปรีดาสักเท่าไร ตรงกันข้ามกลับยิ่งรู้สึกกดดันเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ เขาเคยใช้ชีวิตสุขสบายอยู่ลำพัง จู่ๆ ก็พบว่าต้องแบกภาระหนักอึ้งไว้บนบ่า ต้องรับผิดชอบทั้งครอบครัวและสังคมซึ่งล้วนสำคัญทั้งคู่

"ท่านโหวคัดเลือกองครักษ์ให้สิบนาย ล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ที่อยู่กันมานาน แม้กำลังวังชามิอาจสู้ตอนยังหนุ่ม แต่ประสบการณ์เปี่ยมล้น มีพวกเขาไว้ข้างกายย่อมเกิดประโยชน์แน่ขอรับ"

ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด ถังเยว่เพียงกังวลว่าความสามารถของตนจะไม่สามารถสยบคนเหล่านี้ให้อยู่ใต้อาณัติได้

"ส่งคนมาให้ข้าไว้ใช้ แล้วทางท่านพ่อล่ะ จะสะดวกหรือ?"

"นายน้อยไม่ต้องเป็นห่วง ท่านโหวอยู่ในเมืองเย่เฉิงซึ่งตอนนี้สงบสุขดี ยังมิต้องกรีธาทัพออกรบ ข้างกายจึงไม่จำเป็นต้องใช้คนมากขอรับ"

ถังเยว่พยักหน้า จากนั้นก็เดินไปที่ลานบ้านโดยมีสายตาของกลุ่มชายฉกรรจ์จับจ้อง

เขาสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกแล้วแต่รูปร่างยังผอมบาง เมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าองครักษ์ผู้ห้าวหาญจึงยิ่งดูบอบบางไปถนัดตา

คนข้างนอกต่างเล่าลือกันว่านายน้อยแห่งจวนลี่หยางโหวเป็นหมอเทวดาบนแดนดิน ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีผู้ใดไม่ให้ความเคารพ ต่างยืนสงบเสงี่ยมดุจลูกแกะน้อย รอคอยเป็นผู้ถูกเลือก

ถังเยว่รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ตัวเขามีรสนิยมชมชอบเพศเดียวกัน โปรดปรานบุรุษ พอต้องมาคัดเลือกคนเช่นนี้ ทำให้รู้สึกราวกับตนเป็นฮ่องเต้ยุคโบราณกำลังคัดเลือกเหล่านางสนม จึงทั้งตื่นเต้นและเคอะเขิน

"อะแฮ่ม ... ทุกคนคงรู้ว่าหากถูกข้าเลือก นับจากนี้จะต้องเชื่อฟังคำสั่งข้าเพียงผู้เดียว หากไม่เต็มใจที่จะติดตามข้า ให้ก้าวออกมาข้างหน้าได้เลย"

ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวออกมาจากกลุ่มชน เขาเดินได้ช้ามากอีกทั้งขายังกะเผลกเล็กน้อย ใบหน้ามีรอยแผลเป็นจากไฟไหม้ขนาดใหญ่ถังเยว่นึกว่าอีกฝ่ายจะแยกตัวออกไป คิดไม่ถึงว่าหลังจากเดินออกมาแล้วกลับคุกเข่าลงตรงหน้าเขา

"นายน้อย บ่าวมีนามว่าเชวี่ย เดิมทีคิดว่าชีวิตนี้จะต้องนอนอยู่บนเตียงไปตลอดชาติ แต่เพราะยาวิเศษของท่าน ทำให้บ่าวสามารถลุกขึ้นยืนได้ใหม่อีกครั้ง บ่าวยินดีบุกน้ำลุยไฟเพื่อนายน้อย บ่าวรู้ตัวดีว่าร่างกายพิการไร้ประโยชน์ แต่บ่าวมีความรู้เรื่องสมุนไพรเป็นอย่างดี ขอให้ท่านโปรดรับบ่าวไว้ด้วยเถิด"

ถังเยว่หันไปมองพ่อบ้านอย่างเหนือความคาดหมาย อีกฝ่ายขยับเข้ามาอธิบายข้างหูประโยคหนึ่งจึงได้เข้าใจว่า ที่แท้เป็นเพราะยากอเอี๊ยะที่เขาทำขึ้นมานั่นเอง มีส่วนหนึ่งที่ปันให้บ่าวไพร่ซึ่งได้รับบาดเจ็บในจวนนำไปใช้ เชวี่ยคนนี้ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับประโยชน์นั้น

"เจ้าเคยเรียนหมอหรือ?" ถังเยว่ถาม

"ตอนยังเล็กบ่าวเคยติดตามหมอเฒ่าท่านหนึ่ง เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ไปเป็นหมอฝึกหัด ต่อมาหมอเฒ่าเสียชีวิต บ่าวจึงขายตัวเองมาเป็นข้ารับใช้ในจวนโหวขอรับ"

พ่อบ้านพยักหน้า "เชวี่ยเคยใช้สมุนไพรช่วยชีวิตท่านโหวตอนอยู่ชายแดน เขาเป็นคนซื่อสัตย์จริงใจขอรับ"

เมื่อมีคำยืนยันเช่นนี้ ถังเยว่ก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวลสงสัยอีกข้างกายเขายังขาดคนที่จะสามารถมาเป็นผู้ช่วยได้อย่างแท้จริง

มีหนึ่งย่อมมีสองตามมา ทุกคนพอเห็นชายชราเสนอตัว ผู้ที่มีความคิดก็ทยอยกันออกมายืนนำเสนอขันอาสาด้วยตัวเองบ้าง

อันที่จริงคนฉลาดต่างรู้ว่าวันข้างหน้าจวนโหวแห่งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตกเป็นของถังเยว่ ติดตามเขาย่อมเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

พอมีคนมาก นิสัยลังเลเลือกยากของถังเยว่ก็กำเริบ เขาจึงให้พ่อบ้านเป็นผู้บอกความสามารถพิเศษของแต่ละคนให้รู้ แล้วค่อยคัดเลือกคนที่สามารถใช้งานได้จริง

วุ่นวายกับการคัดสรรคนตลอดครึ่งวันเช้า ถังเยว่ถึงเพิ่งจะคัดเลือกคนได้ครบ พอหันไปเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ที่เดินตามอยู่ด้านหลังแล้ว แผ่นหลังของเขาก็พลันยืดตรงขึ้นโดยสัญชาตญาณ

มหาบัณฑิตในสมัยโบราณมักมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก คอยปกป้องคุ้มครองเขาโดยปราศจากเรื่องผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง ถังเยว่มิใช่มหาบัณฑิต แต่บางทีในอนาคตเขาอาจจะมีผู้ติดตามแสนสัตย์ซื่อที่ไม่สนใจในชื่อเสียงลาภยศเงินทอง ขอเพียงได้ตอบแทนพระคุณบ้างก็เป็นได้

ในยุคปัจจุบันที่เขาจากมา ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับหมอเกี่ยวข้องกันในเชิงพาณิชย์ แลกเปลี่ยนทางการค้ากันอย่างตรงไปตรงมาผู้ป่วยจ่ายเงิน หมอลงแรง เมื่อหายป่วยแล้วก็ไม่ข้องแวะกันอีก ไม่ติดค้างกันและกัน

ทว่าอยู่ที่นี่จะมีผู้ป่วยตั้งป้ายอายุวัฒนะ[1]ให้หมอที่ช่วยรักษาตนจนหาย ด้วยมีใจซาบซึ้งในพระคุณ

ความเย็นชาที่ติดตัวมาจากเมืองหลวงในยุคปัจจุบันจึงถูกที่นี่ทำให้จืดจางลงไปมาก ถังเยว่เพิ่งค้นพบเป็นครั้งแรกว่า ตนรู้สึกชื่นชอบมิตรภาพอันบริสุทธิ์ของผู้คนในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีล้าหลังเช่นนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว

ยามเฉินของวันรุ่งขึ้น ลี่หยางโหวไปส่งบุตรชายรายงานตัวด้วยตนเอง บังเอิญพบเหิงกั๋วกงระหว่างทาง สองบิดาต่างมีความรู้สึกเสียดายที่พวกเขาสนิทสนมกันช้าไป

เหิงกั๋วกงกล่าวชมถังเยวไม่ขาดปาก เห็นได้ชัดว่าชอบจนเข้ากระดูกไปแล้ว สีหน้าลี่หยางโหวเองก็แช่มชื่นมีสง่าราศี มิได้มีความรังเกียจเดียดฉันท์ว่าที่บุตรเขยอย่างเมื่อก่อน ยังดีที่พอมีแววให้เขาได้เห็นบ้าง เหล่านี้ล้วนเป็นความดีความชอบของบุตรชายตนทั้งสิ้น

มาถึงจุดนัดพบ ทันทีที่เห็นจำนวนคน ถังเยว่ก็รู้สึกว่านี่ไม่ถูกต้องไหนบอกว่าส่งทหารไปหลักร้อย แต่ที่เห็นอยู่ในตอนนี้ไม่ว่าดูอย่างไรก็น่าจะหลายพันคน

จวบจนขันทีประกาศราชโองการ ถังเยว่ถึงได้รู้จากปากจ้าวซานหลางว่าราชสำนักส่งทหารไปเพียงแปดร้อยนาย ที่เหลือเป็นองครักษ์จากแต่ละตระกูลพามาเอง

แค่องครักษ์ที่มาจากจวนเจิ้นกั๋วกงก็ปาเข้าไปสามร้อยคนแล้วพวกเขาส่วนใหญ่ติดตามจ้าวซานหลางอย่างใกล้ชิด แค่ฝ่ายนั้นขยับตัวกลุ่มคนด้านหลังก็จะขยับตาม เป็นภาพที่ดูโอ่อ่าอลังการมาก

เมื่อเทียบกันแล้ว องครักษ์ที่ถังเยว่พามาเพียงห้าสิบคนจึงไม่โดดเด่นเป็นที่สะดุดตาเลยสักนิด ในบรรดาเหล่าทายาทรุ่นที่สองของแต่ละตระกูล นับว่าเขาถ่อมตนที่สุดแล้ว

ทว่าเมื่อได้เห็นรถม้าซึ่งด้านนอกตัวรถแขวนสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์เคลื่อนเข้ามา ด้านหลังมีกองกำลังทหารเดินเรียงแถวตามมาอย่างเป็นระเบียบ แค่ดูก็รู้ว่ากระบวนทัพของพวกเขาเทียบไม่ติดฝุ่นเลยจริงๆถังเยว่ก็ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ "องค์ชายเจาก็เสด็จไปด้วยหรือนี่?"

ใครช่วยบอกเขาที เหตุใดแค่ไปปราบโจรถึงต้องเคลื่อนพลอย่างเป็นระบบระเบียบถึงเพียงนี้ นี่ไม่เป็นการเอายอดฝีมือมาใช้ทำงานกระจอกหรอกหรือ?

จ้าวซานหลางล่วงรู้ข่าวล่ามาเร็วจึงรีบกระซิบบอก "องค์ชายเจากราบทูลจักรพรรดิว่าพักผ่อนอยู่ในจวนมานานหลายเดือน คิดอยากออกไปผ่อนคลาย พอดีกับที่สามารถติดตามไปเป็นกุนซือให้กองทัพปราบโจรจักรพรรดิก็เห็นชอบด้วย"

และยังบอกอีกด้วยว่าที่แท้ขบวนกองทัพอันยิ่งใหญ่ที่เห็นอยู่นี้ความจริงแล้วถือว่าเคลื่อนพลไปเที่ยวชมภูผาลำธารเป็นเพื่อนองค์ชาย เรื่องปราบโจรถือเป็นผลพลอยได้เท่านั้น

เยี่ยมยอด เป็นแผนการที่ล้ำเลิศจริงๆ!

ก่อนออกเดินทาง ซานจูงม้าเดินเข้ามาหาแล้วบอกว่า "นายน้อยลูกม้าตัวนี้อ่อนโยนว่าง่าย ท่านลองขี่ดูสิขอรับ"

ถังเยว่ตะลึงตาค้าง เขาขี่ม้าไม่เป็นจึงถามออกไปทันที "นั่งรถม้าไม่ได้หรือ?"

"เอ่อ ... " ซานลำบากใจ ติดตามกองทัพเดินทางไปต่างถิ่นจะนั่งรถม้าได้อย่างไร ส่วนองค์ชายเจาเป็นเพราะขาบาดเจ็บขี่ม้าไม่สะดวกจึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ

ในจังหวะนั้นเอง รถม้าขององค์ชายเจาก็เคลื่อนผ่านข้างกาย ม่านหน้าต่างถูกรวบขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลางามสง่ายากจะหาผู้ใดเทียบของผู้เป็นเจ้าของ

"คุณชายถัง ขึ้นรถสิ ข้ามีธุระจะหารือด้วย"

ถังเยว่ดวงตาลุกวาว โค้งคำนับจนหน้าแทบติดเข่า "รับด้วยเกล้า"จากนั้นก็รีบมุดเข้ารถม้าองค์ชายเจาไปอย่างรวดเร็ว

หลังขึ้นรถม้าแล้ว ถังเยว่รอให้องค์ชายเจาเอ่ยปากก่อน แต่รออยู่นานอีกฝ่ายก็ยังไม่ส่งเสียงใด ได้แต่ยกตำราขึ้นอ่านอย่างเพลิดเพลิน

"มีธุระจะหารือกับกระหม่อมมิใช่หรือ?" ถังเยว่ทนรอไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถาม

องค์ชายเจาตอบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า "ไม่มีธุระ แค่เป็นห่วงว่าหมอทหารเพียงหนึ่งเดียวจะไปไม่ถึงเมืองฉินหยางเท่านั้น"

จะบอกว่านี่เป็นการช่วยแก้หน้าให้เขาโดยเฉพาะอย่างนั้นสิ!

ถังเยวตื้นตันใจ หยิบขนมเปี๊ยะกรอบจากในถุงย่ามที่สะพายอยู่ออกมาส่งให้อีกฝ่ายห่อหนึ่ง

"เช่นนั้นก็ต้องขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงอนุเคราะห์ ลองชิมขนมนี่ดูสิใส่หัวหอมและกระเทียมลงไปเล็กน้อย รสชาติจะออกเค็ม"

ช่วงที่พักอยู่ในจวนองค์ชายเจา ถังเยว่รู้รสชาติที่อีกฝ่ายโปรดปรานเป็นอย่างดี ห้ามหวาน ห้ามเปรี้ยว ชอบรสชาติค่อนไปทางจืด โปรดปรานผักสด และชื่นชอบขนมทุกชนิด

องค์ชายเจาชิมไปสองชิ้น ดูจากสีหน้ายากจะตัดสินว่าพอใจหรือไม่แต่ตามความเข้าใจของถังเยว่คือถ้ากินชิ้นที่สอง เป็นไปได้สูงมากว่าพอใจ

มิน่าล่ะคนของราชสำนักถึงได้มีความคล่องแคล่วปราดเปรื่องเรื่องดูสีหน้า ที่แท้ก็เพราะจิตใจของผู้เป็นนายยากแท้หยั่งถึง

"ขาฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง ไม่เจ็บแล้วใช่ไหม?"

"อืม เข็มทองฝังจุดชีพจรของหมอหลวงอูได้ผลดีมาก"

"นั่นน่ะสิ เหตุใดฝ่าบาทไม่พาเขามาด้วย? ทางที่ดีทุกสองสามวันควรให้เขาช่วยฝังเข็มคลายเส้นเอ็นให้หนึ่งครั้ง"

"พระสนมอู่ในวังตั้งครรภ์ เขาปลีกตัวมาไม่ได้"

ถังเยว่เลื่อมใสความสามารถในการผลิตทายาทขององค์จักรพรรดิอย่างสุดซึ้ง องค์หญิงองค์ชายเชื้อพระวงศ์ตอนนี้มีเป็นกระบุง เหตุใดยังไม่พอใจ โชคดีที่มั่งมีมหาศาล ไม่เช่นนั้นจะเลี้ยงอย่างไรไหว?

เพราะเกรงว่าองค์ชายเจาจะมีปมในใจ เขาจึงข้ามประเด็นนี้ไปไม่พูดถึงอีก เพียงถามขึ้นประโยคหนึ่ง "ถ้าจะขอให้หมอหลวงอูช่วยสอนวิชาฝังเข็มให้กระหม่อม จะได้หรือไม่?"

ฝีมือการรักษาโรคของเขาขึ้นอยู่กับเครื่องมืออุปกรณ์ มีการผ่าตัดหลายอย่างที่ไม่อาจทำได้ในยุคนี้ หากได้ศึกษาการแพทย์แผนจีนเพิ่มเติมสักนิดแล้วนำมาผสมผสานกับการแพทย์แผนตะวันตก ต้องสามารถแก้ไขปัญหาหลายอย่างได้แน่

องค์ชายเจาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ "วิชาแพทย์ของคุณชาย แม้แต่หมอหลวงอูก็ยังต้องยอมให้ ไยต้องไปขอคำชี้แนะจากเขาอีก?"

"แต่ละคนล้วนมีความเชี่ยวชาญต่างกัน ที่กระหม่อมเป็น พอดีเขา

เป็น ที่เขาเป็น พอดีกระหม่อมไม่เป็น หยิบยาวปะสั้นเช่นนี้จึงจะสามารถก้าวหน้า พัฒนาไปด้วยกันได้"

องค์ชายเจาพยักหน้า "ไว้รอปราบโจรกลับมาข้าจะช่วยจัดการเรื่องนี้ให้"

ถังเยว่คิดไม่ถึงว่าแค่เอ่ยปากอีกฝ่ายก็รับคำทันที จึงกล่าวขอบคุณกลั้วหัวเราะ แล้วขยับเข้าไปใกล้ "เช่นนั้นกระหม่อมจะช่วยนวดให้ฝ่าบาทเองไม่ได้ฝังเข็มใช้การนวดแทนก็ได้"

องค์ชายเจามิได้คัดค้านแต่เหยียดขาออกมาอย่างเป็นธรรมชาติปล่อยให้ถังเยว่ถอดรองเท้าออก แล้วม้วนชายกางเกงขึ้นไป

ถังเยว่คลำดูกระดูกขานั้นอย่างละเอียดรอบคอบซ้ำหลายครั้ง

"ฟื้นตัวดีมาก หายบวมแล้ว กระดูกขาประสานตรง ตอนนี้ฝ่าบาทสามารถใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติ เพียงแต่ต้องหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหักโหม"

องค์ชายเจาจ้องมือคู่นั้นไม่ละสายตา มือสองข้างนี้เสมือนดั่งมีเวทมนตร์ ทุกครั้งที่เคลื่อนไหวกดลงที่ใดล้วนรู้สึกพอดี แรงกดพอเหมาะ ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สบายอย่างยิ่งยวด

ถังเยว่บำรุงรักษามือตัวเองมาสองเดือนจนเปลี่ยนเป็นขาวเนียนเรียวยาว รอยด้านหลุดออกไปหมดแล้ว เล็บก็ตัดเล็มได้ระดับ เห็นแล้วรู้สึกว่างดงามยิ่งกว่าเรียวนิ้วของอิสตรีแม่ศรีเรือน

 

 

1 ป้ายที่สร้างขึ้นมาไว้อธิษฐานขอพรให้ผู้มีพระคุณอายุมั่นขวัญยืน


 

74 ต่างอาชีพ ความรู้ความเข้าใจย่อมแตกต่าง

 

ทักษะการนวดของถังเยว่มีความเป็นมืออาชีพมาก เข้าใจจุดฝังเข็มในร่างกายคนอย่างทะลุปรุโปร่ง องค์ชายเจาถูกเขานวดกว่าครึ่งชั่วยาม รู้สึกว่าขาทั้งสองข้างโล่งเบาสบายขึ้นมาก

หลังเสร็จสิ้นกระบวนการ คนรับใช้ซึ่งตลอดมาทำตัวเสมือนดั่งมนุษย์ล่องหนก็ส่งผ้าเปียกผืนหนึ่งให้เช็ดมือ ถังเยว่พบว่าที่แท้ก็เป็นคนคุ้นเคย อีกฝ่ายคือคนที่เคยเข้าไปเป็นผู้ช่วยให้เขาในห้องผ่าตัดนั่นเอง

เกิดเรื่องขายหน้าขึ้นขนาดนั้นแล้วยังไม่ถูกไล่ออก เห็นทีเจ้าเด็กนี่ต้องมีดีเหนือกว่าคนอื่นแน่

กองทัพขบวนใหญ่ทำให้เดินทางได้ช้ามาก หลังกินมื้อเที่ยงเสร็จและพักผ่อนเป็นเวลาหนึ่งเค่อจึงได้ออกเดินทางกันต่อ จนกระทั่งถึงช่วงพลบค่ำพระอาทิตย์ตกดิน หูจินเผิงจึงสั่งให้คนตั้งค่าย

ถังเยว่นั่งรถม้ามาทั้งวันปวดเมื่อยไปทั้งตัว พอกระโดดลงจากรถจึงขยับแข้งขยับขายืดเส้นยืดสาย ตั้งใจว่าจะไปดูผิงซุ่นสักหน่อย

ไม่รู้ว่ารูปร่างอย่างผิงซุ่นจะขี่ม้าได้หรือไม่ หากขี่ไม่ได้จะเป็นการดีมาก ให้เขาได้เดินร่วมไปกับขบวนย่อมเป็นการฝึกฝนที่ดีที่สุด

เมื่อถามตำแหน่งที่อยู่ของผิงซุ่นแน่ชัดแล้ว ถังเยว่ก็นำองครักษ์กลุ่มหนึ่งไปหา สามารถมองเห็นเจ้าเด็กอ้วนตัวใหญ่อยู่ท่ามกลางฝูงชนได้อย่างง่ายดาย

ก่อนออกเดินทางเหิงกั๋วกงเพิ่งบอกว่าได้ส่งองครักษ์หนึ่งร้อยคนติดตามมาด้วย แต่คนเหล่านั้นต้องฟังคำสั่งจากถังเยว่ กับผิงซุ่นก็มีหน้าที่แค่คอยคุ้มกันให้ปลอดภัย

ผิงซุ่นนั่งเป็นอัมพาตอยู่บนพื้นหญ้า นวดยาตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงปลีน่องทั้งสองข้าง ยาที่ใช้ก็เป็นผงซันชีที่ถังเยว่เตรียมไว้ให้

"ขี่ม้าแล้วเสียดสีจนเนื้อแตกงั้นหรือ?"

นี่เหนือความคาดหมายของเขาเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะกล้าขี่ม้าด้วย อดรู้สึกทุกข์กังวลแทนม้าตัวนั้นไม่ได้จริงๆ แบกรับภาระอันหนักอึ้งวิ่งมาตลอดทั้งวัน ไม่รู้ว่าป่านนี้อ้วกแตกน้ำลายฟูมปากไปบ้างหรือยัง

ถังเยว่เพิ่งกังวลอยู่แท้ๆ พลทหารผู้หนึ่งก็โผล่พรวดเข้ามาตะโกนเสียงดัง "แย่แล้ว! ซื่อจื่อ อยู่ดีๆ ม้าของจวนเหิงกั๋วกงก็ล้มไปสองตัว"

ผิงซุ่นหันไปมองด้วยสายตางงงัน ราวกับไม่เข้าใจว่าม้าล้มแล้วมาบอกเขาทำไม?

ตอนอยู่บ้านเขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มาก่อน พอได้ยินข่าวนี้จึงไม่รู้ว่าจะต้องทำประการใด ถังเยว่จึงตบศีรษะเขาไปหนึ่งฝ่ามือ

"ไปเร็ว ไปดูสิ ม้าจากจวนเหิงกั๋วกงของเจ้า จะปล่อยให้เป็นภาระผู้อื่นต้องวิตกกังวลไม่ได้"

ในยุคสมัยนี้ ม้าเป็นทรัพยากรที่สำคัญมาก ราคาสูงลิ่ว จะปล่อยให้ล้มตายง่ายๆ ไม่ได้เป็นอันขาด

ผิงซุ่นลุกขึ้นยืนอย่างไม่เต็มใจนัก ก้าวเดินด้วยท่าทางแปลกประหลาดอยู่ด้านหลังถังเยว่ เพื่อตามพลทหารนายนั้นไปดูม้าด้วยกัน

ถังเยว่ถามถึงอาการม้า พลทหารนายนั้นก็ตอบได้อย่างลื่นไหล

"ก่อนหน้านี้ก็ยังดีๆ อยู่เลยขอรับ จู่ๆ ก็ล้มลงอย่างกะทันหัน ผิวหนังและขาทั้งสี่แข็งเกร็ง น้ำลายไหล ... "

"เจ้ามีหน้าที่ดูแลม้างั้นหรือ?" ถังเยว่เห็นอีกฝ่ายตอบได้อย่างละเอียด คิดว่าต้องไม่ใช่พวกมือใหม่แน่

พลทหารนายนั้นเกรงความผิดจะมาถึงตัว จึงรีบส่ายหน้า "ข้าน้อยมีหน้าที่เพียงให้อาหารม้า" และเน้นเสียงหนักแน่นเป็นพิเศษในประโยคถัดมา "ม้าทั้งสองตัวที่ล้มยังไม่ได้กินอาหารนะขอรับ"

ความหมายคือ มันไม่ได้ล้มเพราะกินอาหารของข้า!

ถังเยว่พยักหน้ารับรู้ เขาเดินไปยังบริเวณที่ผูกม้าไว้ เห็นม้าฝูงหนึ่งยืนเบียดกัน รอบๆ ใช้กิ่งไม้ล้อมทำเป็นรั้วกั้น บนพื้นปูด้วยหญ้าซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาหารของม้า

ม้าสองตัวที่ล้มถูกยกออกมาแล้ว ทหารเฒ่าสองนายกำลังกระซิบกระซาบ ท่าทางเหมือนปรึกษาหารืออะไรบางอย่าง พวกเขาไม่มีสัตวแพทย์เดิมคิดว่าหน้าที่เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่น่าจะเจอปัญหาหนักหนา ใครจะรู้ว่าเพิ่งออกเดินทางวันแรกก็เจอดีเข้าให้แล้ว

"ท่านพี่ทั้งสอง สังเกตเห็นอะไรเข้าหรือ?" ถังเยว่เอ่ยถามจากด้านหลังของพวกเขา

ทหารเฒ่าสองนายนั้นตกใจจนสะดุ้งโหยง รีบหันมาทำความเคารพแล้วตอบ "เหตุการณ์แบบนี้มักเจอได้บ่อยในค่ายทหาร จำได้ว่าคนเลี้ยงม้าเคยบอกไว้ เรียกว่า ... โรค ... โรคอะไรสักอย่าง"

"บาดทะยักหรือโรคเจียอานเฟิง?

"เอ่อ ... ข้าก็จำไม่ได้ขอรับ"

ถังเยว่เดินวนรอบม้าสองตัวนั้นสองรอบ สีขนของม้าสองตัวนี้เป็นระเบียบเรียงสวย สะท้อนแสงเป็นประกายเงางาม ร่างกายเปี่ยมพละกำลังในยามปกติจะต้องได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแน่

เขาเรียกผิงซุ่นให้เข้ามาใกล้ "เจ้าลองตรวจดูให้ละเอียดสิว่าบนร่างม้าสองตัวนี้มีบาดแผลตรงไหนบ้าง"

"เหตุใดต้องให้ข้าไปดูด้วยล่ะ?" ผิงซุ่นปฏิเสธทันที แล้วหันไปเรียกพลทหารที่อยู่ข้างๆ ให้เข้าไปจัดการแทน

ถังเยว่เหลือบมองอย่างอ่อนใจ เขาเพียงต้องการให้เจ้าเด็กนี่เคลื่อนไหวให้มาก เรียนรู้ให้มาก นึกไม่ถึงว่ายามที่ผิงซุ่นชี้นิ้วสั่งคนจะคล่องแคล่วลื่นไหลรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้

ไม่รอให้พลทหารผู้นั้นได้ลงมือ ทหารเฒ่าทั้งสองก็ตอบขึ้นมาก่อน

"ข้าน้อยได้ตรวจสอบดูแล้ว บนตัวม้าปราศจากร่องรอยบาดแผลใดๆ ทั้งสิ้นขอรับ"

ถังเยว่มีความรู้เกี่ยวกับโรคของสัตว์ไม่มากนัก แต่สำหรับโรคที่พบได้บ่อยก็เคยได้ยินมาบ้าง

"หากเป็นโรคเจียอานเฟิง ม้าจะกลัวแสง กลัวลม กลัวเสียง จำเป็นต้องให้อยู่ในห้องมืด" ถังเยว่ยอบตัวลงสำรวจอาการอย่างละเอียด อาการของม้าทั้งสองมีลักษณะคล้ายคลึงกัน หอบหายใจแรง กัดฟันแน่น เหงื่อออกน้ำลายไหล ... ดูจากอาการแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ดูเหมือนโรคบาดทะยัก "ไม่มีบาดแผลจริงหรือ? ที่สมานไปแล้วก็ถือว่าใช่นะ" ถังเยว่เค้นถาม

ทหารเฒ่าทั้งสองหันมองหน้ากันก่อนตอบ "ข้าน้อยเพิ่งรับหน้าที่ดูแลม้าสองตัวนี้ จึงมิอาจทราบได้ว่าพวกมันเคยได้รับบาดเจ็บหรือไม่คุณชายคงต้องเรียกคนของจวนเหิงกั๋วกงมาสอบถามแล้วละขอรับ"

ถังเยว่หันไปมองผิงซุ่น ในที่สุดเจ้าเด็กนี่ก็มีไหวพริบ สั่งให้คนไปเชิญองครักษ์จากจวนที่ติดตามทัพมา

ทว่าคำตอบที่ได้รับยังคงเหมือนเดิม คือไม่เคยได้รับบาดเจ็บใดๆถังเยว่เจอโจทย์ยาก อาการเช่นนี้จะไม่ใช่บาดทะยักได้อย่างไร?

"ข้าก็มิใช่สัตวแพทย์เฉพาะทาง ... " เห็นสายตาของทุกคนที่มองเขาด้วยความคาดหวังแล้ว ถังเยว์ได้แต่กระแอมหนึ่งที "ถ้าอย่างไร ... ลองรักษาไปตามอาการของโรคเจียอานเฟิงก่อนดีไหม?"

"แบบที่เรียกว่ารักษาม้าตายดุจม้าเป็น[1]สินะ?" ผิงซุ่นพึมพำ

ถังเยว่หน้าแดง หันไปถลึงตาใส่อีกฝ่ายแล้วหันกลับมาที่ร่างม้าซึ่งนอนนิ่งอยู่

"ขอข้าดูหน่อย" พูดแล้วก็ลงมือพลิกสำรวจม้าสองตัวนั้นอย่างละเอียด ไม่ปล่อยให้เล็ดลอดไปแม้แต่กระเบียดนิ้วเดียว

ใช้เวลาไปไม่น้อย คนที่เข้ามามุงก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆจ้าวซานหลางแบกทวนยาววิ่งเข้ามา ตัวยังไม่ทันถึงก็ตะโกนส่งเสียงดังลั่นมาก่อน "โอ้ คุณชายถัง เจ้าไม่เพียงช่วยรักษาโรคให้คนได้ นี่ยังสามารถรักษาเดรัจฉานได้ด้วยหรือนี่?" เสียงคนพูดไม่ได้แฝงนัยเย้ยหยัน แต่ในกลุ่มผู้ได้ยินกลับมีบางคนคิดในแง่ลบและส่งเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา

"หัวเราะอะไรกัน?"

จ้าวซานหลางคิดช้า เพิ่งรู้สึกตัวว่าคำพูดตนไม่น่าฟังนักจึงสะบัดทวนยาวออกไป เกือบแทงถูกคนผู้นั้นชวนให้เสียวไส้ตกใจเล่น

ถังเยว่ไม่สนใจอีกฝ่าย ยกเท้าม้าขึ้นมาข้างหนึ่ง ตรวจดูสภาพตามรอยแยกของกีบเท้าม้า

"ข้ายังไม่เคยเห็นใครตรวจม้าเช่นนี้มาก่อน แค่มองดูก็รู้ว่าไม่มีประสบการณ์!"

"แม้คุณชายถังจะถูกยกย่องให้เป็นหมอเทวดา แต่ก็เป็นหมอรักษาคน ตรวจดูสัตว์ย่อมไม่ใช่มืออาชีพ ต่างอาชีพ ความรู้ความเข้าใจย่อมแตกต่างกัน"

"ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถรักษาได้หรือไม่"

"ดูจากสภาพม้าสองตัวนั้นแล้ว เกรงว่าน่าจะรักษาไม่หาย ข้าเคยเห็นอาการป่วยเช่นนี้ ยิ่งนับวันอาการจะยิ่งทรุดหนักลงเรื่อยๆ"

"เฮ้อ น่าเสียดายลูกม้าพันธุ์ดีสองตัวนี้ยิ่งนัก"

ทันใดนั้นฝูงชนก็เงียบสงัดลงทันที ทว่าถังเยว่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาสำรวจจึงไม่ทันได้สังเกต จนกระทั่งได้ยินเสียงถามมาจากทางด้านหลัง

"พบสิ่งใดหรือไม่?"

เขาหันขวับไปทันที เห็นองค์ชายเจายืนสองมือไพล่หลัง จ้องมองมาที่เขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

"กำลังตรวจสอบอยู่พ่ะย่ะค่ะ" ถังเยว่หน้านิ่วคิ้วขมวดขณะตรวจดูกีบเท้าม้าแล้วพึมพำกับตัวเอง "ดูเหมือนยุคนี้จะยังไม่มีการประดิษฐ์เกือกม้า"

ในยุคที่เกือกม้ายังไม่ได้รับการประดิษฐ์ขึ้นนี้ ม้าของเหล่าทหารล้วนต้องอาศัยการตัดแต่งกีบ และม้าสองตัวนี้น่าจะเพิ่งได้รับการตัดแต่งกีบเท้าก่อนออกเดินทาง คิดแล้วก็เอะใจ พลิกดูขาสี่ข้างของม้าทั้งสองตัวเป็นพิเศษโดยเฉพาะบริเวณกีบเท้าตรวจดูอย่างละเอียด

"บาดทะยักจริงๆ ด้วย" ถังเยว่พึมพำขณะระบายลมหายใจ แล้วจึงหันมากล่าวกับองค์ชายเจา "เชิญฝ่าบาทเสด็จทอดพระเนตรตรงนี้ ... " เขาแยกกีบเท้าหลังม้าออกข้างหนึ่ง ชี้ไปที่เปลือกแข็งและเปลือกนิ่มพลางอธิบาย "บาดแผลอยู่ตรงบริเวณนี้ น่าจะเกิดขึ้นตอนตัดแต่งกีบม้าโดยไม่ทันระวังทำให้เกิดบาดแผลทิ้งไว้"

"แล้วจะเป็นเช่นไร?"

การตัดแต่งกีบเท้าม้าสำหรับองค์ชายเจาแล้วหาใช่เรื่องแปลกใหม่ไม่ เนื่องจากม้าศึกต้องวิ่งเป็นระยะทางไกลและยาวนาน เปลือกแข็งบนกีบเท้าจึงหลุดได้ง่าย ทำให้เนื้อกีบสึกหรอรุนแรง การสูญเสียม้าศึกของหนานจิ้นส่วนใหญ่ล้วนมีสาเหตุมาจากเท้าทั้งสี่ข้างของม้าได้รับความเสียหาย

"ฝ่าบาทเคยได้ยินโรคกีบเท้าติดเชื้อบ้างหรือไม่?" ถังเยว่พยายามใช้คำอธิบายที่ง่ายที่สุด

องค์ชายเจาส่ายหน้า "กีบเท้าติดเชื้อ? เป็นโรคชนิดใด? จะมีผลกระทบต่อม้ามากหรือไม่?"

ถังเยว่อธิบายคร่าวๆ "เพราะตัดแต่งไม่ระวัง ทำให้กีบเท้าม้าได้รับบาดเจ็บจนเกิดเป็นบาดแผล หากดูแลแผลไม่ดีก็จะ ... เอ่อ เกิดการอักเสบเชื้อจะอยู่ในช่วงระยะฟักตัวเจ็ดถึงแปดวันจึงจะแสดงอาการ หรืออาจกำเริบในวันเดียวก็ได้เช่นกัน ม้าสองตัวนี้น่าจะเป็นเพราะถูกใช้งานมาตลอดทั้งวันอาการจึงกำเริบอย่างรวดเร็ว"

"เหตุใดถึงอักเสบ?"

'นึกแล้วเชียวว่าต้องถามคำถามนี้!' ถังเยว่ยกมือกุมขมับ คิดหาคำอธิบายในใจเพื่อนำมาใช้ตอบอีกฝ่าย

"พูดง่ายๆ ก็คือเพราะดูแลบาดแผลไม่ดี ทำให้แผลเกิดอาการบวมแดง ร้อน จนถึงขั้นเน่าเปื่อยเป็นหนอง เช่นเดียวกับคนเราหลังได้รับบาดเจ็บหากบาดแผลถูกทิ้งไว้นานโดยไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง ก็จะไม่อาจสมานตัวจนหายเป็นปกติได้"

องค์ชายเจาพยักหน้า "ม้าสองตัวนี้จะรักษาให้หายได้หรือไม่?"

"เอ่อ คือ ... "

ถังเยว่ขมวดคิ้ว วิธีรักษาโรคบาดทะยักต้องใช้เซรุ่มต้านพิษ เขาไม่มีทางที่จะสกัดเซรุ่มเช่นนี้ออกมาได้ นั่นหมายความว่าย่อมไม่มีทางรักษาม้าสองตัวนี้ได้เช่นกัน

เขารู้สึกหดหู่เศร้าหมอง เดิมทีวิชาแพทย์ของตนเมื่ออยู่ในยุคโบราณเช่นนี้ก็ตกอยู่ในฐานะก้าวเดียวเดินลำบากอยู่แล้ว ต่อให้เปี่ยมประสบการณ์แล้วอย่างไร? เสียเลือดมากเกินไปก็ไม่สามารถหาโลหิตหมู่เดียวกันมาถ่ายเลือดให้กันได้ ไม่มียาปฏิชีวนะ ไม่มียาต้านพิษ แม้แต่จะฉีดยาเข้าเส้นเลือดก็ยังทำไม่ได้เพราะไม่มีเข็มฉีดยา

หากปัญหาเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไข ทักษะการรักษาด้วยวิชาชีพศัลยแพทย์ของเขาก็ไม่ต่างจากการวางแผนรบบนกระดาษ

องค์ชายเจามองสีหน้าของอีกฝ่ายก็สามารถคาดเดาคำตอบได้ จึงสั่งให้คนบันทึกอาการม้าทั้งสองตัวนี้ไว้อย่างละเอียด เมื่อกลับไปแล้วจะมอบให้เป็นหน้าที่ของผู้ดูแลม้าในวัง และยังตักเตือนพวกเขาว่าต่อไปเวลาตัดแต่งกีบม้าจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ห้ามทำให้เกิดบาดแผลเป็นอันขาด

ถังเยว่ขยับปากอยากจะบอก วิธีดีที่สุดคือติดเกือกม้าเหล็กที่กีบเท้าม้า เช่นนี้ถึงจะสามารถลดปริมาณการสูญเสียม้าศึกได้

แต่ ... เขาควรบอกเรื่องราวจากโลกอนาคตซึ่งที่จริงแล้วควรพัฒนาไปตามลำดับขั้นทางประวัติศาสตร์ให้อีกฝ่ายฟังหรือ?

ภายในใจพลันรู้สึกว้าวุ่นสับสนขึ้นมา ที่เขาทำพู่กันเพราะต้องการความสะดวกในการเขียนหนังสือ เขาอยากผลิตกระดาษก็เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้ตัวเอง อย่างน้อยเวลาเข้าห้องน้ำก็ไม่ต้องทุกข์ทรมาน เขาอยากนำการแพทย์แผนตะวันตกเข้ามา เพราะนี่คือสิ่งที่เขาถนัด เพื่อให้อาชีพการงานของเขาได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แต่ถ้าหากเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเขาโดยตรงล่ะ?

ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเขาควรทำเช่นไรถึงจะถูกต้องเหมาะสมชั่วขณะนั้นถังเยว่รู้สึกสับสน เขาไม่อาจล่วงรู้ความหมายของการพลัดหลงเข้ามาอยู่ในยุคนี้ของตนว่าคืออะไร?

สวรรค์ต้องการให้เขามาเปลี่ยนแปลงแก้ไขโลกใบนี้อย่างนั้นหรือ?เห็นอยู่ทนโท่ว่าไม่ใช่!

หรือต้องการให้เขาได้เข้ามาเรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของคนโบราณ? ถ้าแบบนั้นทำไมไม่ให้เขาไปเกิดใหม่เป็นทาสไปเสียเลย จะได้สัมผัสประการณ์ตรงจริงยิ่งกว่า

"เจ้าอย่าตำหนิตัวเองเลย ไม่ว่าคนหรือสัตว์เกิดดับแล้วแต่โชคชะตาเจ้าพยายามเต็มที่แล้ว"

เสียงดังกังวานผ่านเข้ามาในหู ถังเยว์ได้สติขึ้นมาในฉับพลัน เขาหันมองสบลึกลงไปในดวงตาขององค์ชายเจา เพียงครู่เดียวความสับสนภายในใจก็ดูเหมือนจะสงบลงจนตั้งหลักได้

เขารู้สึกเหมือนตัวเองตกหลุมพรางของความเข้าใจผิดครั้งใหญ่โตมโหฬารเข้าให้แล้ว

ทำไมเขาจะต้องสนใจว่าสิ่งที่ตนทำลงไปทั้งหมดจะก่อให้เกิดผลกระทบใดในยุคสมัยนี้ ตัวเขายิ่งใหญ่พอจะเปลี่ยนแปลงวงโคจรของประวัติศาสตร์ได้อย่างนั้นหรือ?

แน่นอนว่าพละกำลังของเขาเพียงคนเดียวย่อมไม่อาจเขย่าโลก และยิ่งไม่อาจเปลี่ยนหนานจิ้นจากสังคมศักดินาให้เป็นระบอบสังคมนิยม สิ่งที่เขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ย่อมมีขีดจำกัด

เขามิใช่เทพเจ้า จะห่วงหน้าพะวงหลังไปเพื่ออะไร แค่ทำในสิ่งที่อยากทำต่อไปก็ดีแล้ว

ถังเยว่ยกยิ้มมุมปาก แล้วพูดกลั้วหัวเราะ "อีกประเดี๋ยว กระหม่อมมีของกำนัลชิ้นใหญ่จะถวายให้ฝ่าบาท"

 

 

1 สำนวนจีน หมายความว่า พยายามทำในสิ่งที่สิ้นหวัง


 

75 เจ้าเป็นดาวนำโชคของข้าจริงๆ

 

มีตัวอย่างจากม้าสองตัวนี้แล้ว องค์ชายเจาจึงสั่งการให้ผู้ติดตามกองทัพตรวจดูม้าทุกตัวให้ครบตามคำแนะนำของถังเยว่ ขอเพียงเป็นบาดแผล ไม่ว่าจะขนาดไหน เล็ก ใหญ่ ตื้น ลึกเพียงใดก็ต้องรีบรักษาให้ทันตั้งแต่อาการยังไม่กำเริบ โอกาสเกิดโรคบาดทะยักก็จะลดลง สามารถลดอัตราการตายของม้าให้เหลือน้อยที่สุดได้

ด้วยเหตุนี้จึงมีงานยุ่งกันทั้งขบวนทัพ มากคนมากกำลัง อีกทั้งจำนวนม้ามีน้อย ทั้งขบวนมีม้าไม่ถึงร้อยตัว จึงสามารถตรวจเสร็จครบถ้วนได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว

ใส่ยาให้ม้าที่มีบาดแผลไม่กี่ตัวเสร็จแล้ว ถังเยว่กำชับให้คนคอยดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด หากมีอะไรผิดปกติให้รีบไปหาเขาทันทีเพื่อไม่ให้การรักษาล่าช้าออกไป เพราะโรคนี้หากตรวจพบอาการแล้วรีบทำการรักษาอย่างทันท่วงที โอกาสหายก็จะมีมากขึ้น

อาหารมื้อเย็นนั้นเรียบง่าย เป็นแผ่นแป้งข้าวฟ่างอบแห้งแสนเย็นชืดกับน้ำแกงผักป่าร้อนๆ ชามโต รสชาติไม่อาจเรียกได้ว่าดี แต่ก็สามารถทำให้ทุกคนอิ่มท้องได้

เดิมทีถังเยว่นึกว่าองค์ชายเจากับเหล่าคุณชายทั้งหลายไม่มีทางกินอาหารประเภทนี้ได้เป็นอันขาด แต่พอโรงครัวนำมาส่งจึงเห็นว่าอาหารของทุกคนล้วนเหมือนกัน มีเพียงองค์ชายเจาซึ่งร่างกายยังอยู่ในระยะฟื้นตัวที่มีน้ำแกงพิราบตุ๋นเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชาม

"ให้กินของพวกนี้น่ะหรือ?" จ้าวซานหลางแสดงอาการประท้วงออกมาเป็นคนแรก

"เหตุใดจึงไม่มีเนื้อสัตว์?" ผิงซุ่นร่วมผสมโรง ขณะจ้องเนื้อในชามองค์ชายเจาตาเป็นมัน กลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก

"อยู่ในช่วงเดินทัพ เหล่าทหารล้วนต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน"องค์ชายเจากล่าว ปรายตามองพวกเขาแล้วหยิบแผ่นแป้งข้าวฟ่างอบแห้งขึ้นมาบิเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ปาก

จ้าวซานหลางกับผิงซุ่นรีบทำตัวว่าง่าย แทะแผ่นแป้งแข็งโป๊กชิ้นนั้นโดยไม่งอแงอีก ถังเยว่นั่งกินเงียบๆ หลังจากได้เห็นว่าแม้แต่องค์ชายเจายังกินอาหารประเภทนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าไม่มีทางเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้อีก

ด้วยฐานะขององค์ชายเจาใช่จะหาอาหารดีๆ ไม่ได้ มีทหารองครักษ์ติดตามมาด้วยถึงหนึ่งพันนาย จะสั่งให้ไปล่าสัตว์ป่ามาเป็นอาหารให้กินอย่างอิ่มหนำสำราญอย่างไรก็ย่อมได้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำ จิตใจที่มุ่งมั่นร่วมทุกข์ร่วมสุขกับไพร่พลเช่นนี้ สามารถบันทึกรวมไว้เป็นเกียรติประวัติให้ศึกษาในตำราเล่าเรียนได้เลย

หลังมื้อค่ำ ถังเยว่เดินมาคุยเป็นการส่วนตัวกับองค์ชายเจา บอกอย่างตรงไปตรงมา

"โรคบาดทะยักสามารถรักษาให้หายได้"

องค์ชายเจายืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง ดวงตาสว่างวาบดุจคบเพลิง

"เจ้าต้องการสิ่งใดบ้าง?"

เขารู้ดีอยู่แล้วว่าเมื่อถังเยว่สามารถบอกอาการและวินิจฉัยโรคได้อย่างชัดเจน ก็คงเคยพบเจออาการของโรคเช่นนี้มาแล้ว สีหน้าของอีกฝ่ายในตอนก่อนหน้านี้บ่งบอกเพียงแค่ยังไม่มีหนทาง แต่มิได้สิ้นหวังว่าโรคนี้ไม่อาจรักษาได้ เช่นเดียวกับตอนรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของเขา ถังเยว่อาจมีวิธีรักษา ขาดแค่อุปกรณ์ข้าวของบางอย่างเท่านั้น

ถังเยว่หัวเราะร่า คุยกับผู้มีปัญญาล้ำเลิศช่างเบาแรงยิ่งนัก

"โรคบาดทะยักเกิดขึ้นเพราะบาดแผลไม่ได้รับการทำความสะอาดฆ่าเชื้ออย่างทันท่วงที เชื้อโรคจึงแพร่เข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อเกร็งกระตุก เป็นตะคริวผิดปกติ ฝ่าบาทอย่าเพิ่งพระทัยร้อนรีบถามกระหม่อมว่าอะไรคือเชื้อโรค อะไรคือการฆ่าเชื้อ อะไรคือการติดเชื้อ ศัพท์เฉพาะทางการแพทย์เหล่านี้ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องเข้าพระทัย ขอเพียงทรงรู้ไว้ว่าโรคบาดทะยักชนิดนี้ควรป้องกันไว้ก่อน ดีกว่ามาตามรักษาในภายหลัง โรคนี้สามารถป้องกันล่วงหน้าได้ด้วยการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ร่วมกับการดูแลบาดแผลด้วยวิธีที่ถูกต้อง แต่ถ้าได้รับบาดเจ็บต้องฉีดเซรุ่มเพื่อต้านพิษนี่คือส่วนที่ยากเพราะแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะสกัดเซรุ่มออกมาในตอนนี้ เซรุ่มต้านพิษเป็นสิ่งที่สกัดได้จากเลือดของม้าที่เคยป่วยเป็นโรคนี้แต่ได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว ต้องเจาะเลือดจากม้าตัวนั้น สกัดเป็นเซรุ่มออกมา จากนั้นนำไปฉีดให้กับม้าที่ป่วย จึงจะช่วยต้านพิษได้ วิธีรักษาแบบนี้ไม่เพียงใช้ได้กับสัตว์ กับคนก็ใช้ได้เช่นกัน ที่ผ่านมาไพร่พลซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคบาดทะยักคาดว่าคงมีจำนวนไม่น้อย"

แม้องค์ชายเจาจะไม่อาจทำความเข้าใจคำพูดของถังเยว่ได้ทุกถ้อยคำ แต่ก็พอจับเนื้อหาใจความสำคัญที่อีกฝ่ายพยายามอธิบายได้อย่างแจ่มแจ้ง กุญแจสำคัญของศัพท์แปลกประหลาดทั้งหมดนี้คือ เซรุ่มต้านพิษ

ถึงจะไม่เคยได้ยินวิธีรักษาเช่นนี้มาก่อน แต่ขอเพียงมีหวัง ลองดูสักตั้งจะเป็นไรไป ที่ลงทุนรักษาม้าตายดุจม้าเป็นก็ด้วยเหตุผลเช่นนี้มิใช่หรือ?

"ต้องทำเช่นไรจึงจะสามารถหา ... เซรุ่มต้านพิษที่เจ้าพูดถึงได้?"

"ต้องเจาะเลือดม้าที่เคยป่วย แล้วนำไปสกัดแยกเซรุ่มออกมา จากนั้นก็ฉีดใส่ตัวม้าหรือในร่างกายมนุษย์"

"หาม้าลักษณะนี้มิใช่เรื่องยาก ต้องการเลือดของมันก็ไม่ยาก แต่จะแยกเซรุ่มได้อย่างไร?"

องค์ชายเจาพลันรู้สึกว่าช่วงเวลาที่เติบโตมาสิบกว่าปีนี้ช่างสูญเปล่าคาดไม่ถึงว่าตัวเขาจะมีวันที่รู้สึกเหมือนตนเองมีความรู้แค่หางอึ่งเยี่ยงนี้

ถังเยว่ครุ่นคิดจริงจัง

"กระหม่อมต้องการอุปกรณ์ที่สลับซับซ้อนสองสามอย่าง ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ เกรงว่าจะทำไม่สำเร็จ รอไว้กลับถึงเมืองเย่เฉิงแล้ว หวังว่าฝ่าบาทจะทรงสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง"

"ขอเพียงเป็นสิ่งที่ข้าสามารถหาให้ได้ เจ้าเอ่ยปากมาได้เลย"

ถังเยว่รู้สึกโล่งใจ แม้จะยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถสร้างเครื่องปั่นเลือด[1]ขึ้นมาได้ แต่อย่างน้อยก็มีแสงแห่งความหวัง เขาวางแผนว่าจะทำเข็มฉีดยาขึ้นมาก่อน เรื่องนี้ไม่น่ายากนัก

"นี่เป็นของกำนัลที่เจ้าบอกว่าจะมอบให้ข้างั้นหรือ?" องค์ชายเจายิ้มถาม ของกำนัลชิ้นนี้แม้สำคัญ แต่ยังไม่แน่ว่าจะสามารถเป็นจริงได้

ถังเยว์รีบส่ายหน้า "ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ ของกำนัลชิ้นใหญ่ที่ว่าเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับม้าศึก"

"หืม?" สีหน้าขององค์ชายเจากลับมาเคร่งขรึมดังเดิม แล้วเชิญให้เขากล่าวต่อ

องค์ชายเจาไม่นึกสงสัยว่าเหตุใดคุณชายน้อยท่านนี้จึงกล่าววาจาชวนประหลาดใจออกมาไม่หยุด ในตัวอีกฝ่ายดูเหมือนจะมีเรื่องราวมากมายที่มิอาจใช้แค่วิชาความรู้ของตัวเขาเองมาอธิบายได้

"กีบเท้าม้าสึกได้ง่าย นี่คงเป็นปัญหาใหญ่ที่ม้าศึกกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ใช่หรือไม่?"

องค์ชายเจาพยักหน้า "หนานจิ้นมีทุ่งหญ้ากว้างค่อนข้างจำกัด ม้าศึกที่เพาะเลี้ยงได้จึงมีขนาดเล็ก แบกรับน้ำหนักได้น้อย ไม่อดทนพอ ทั้งยังไม่เหมาะที่จะใช้บุกป่าฝ่าดงเป็นระยะทางไกลๆ เมื่อเทียบกับม้าศึกของเป่ยเยว่แล้วนับว่าด้อยกว่ามาก เมื่อกีบเท้าม้าสึกมากขึ้นจะทำให้เกิดการบาดเจ็บ ล้มตาย ม้าศึกจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่หนานจิ้นขาดแคลนมากที่สุดมาโดยตลอด"

"เช่นนั้นหากมีวิธีที่จะสามารถลดการสึกของกีบเท้าม้าได้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ?"

องค์ชายเจาแสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้าอย่างหาได้ยากยิ่งขณะรีบเอ่ยถาม "วิธีใด?"

ถังเยว่ใช้พู่กันวาดรูปลงบนผ้าขาว "มีของอย่างหนึ่งเรียกว่าเกือกม้าเหล็ก เป็นแผ่นเหล็กเรียบที่ดัดให้โค้งงอเป็นวง ไว้ใช้ปกป้องและรักษากีบเท้าม้า เชิญฝ่าบาททอดพระเนตร" พูดแล้วก็ขยับผืนผ้าให้อีกฝ่ายดูได้ถนัดขึ้น"ให้นายช่างใช้ตะปูตอกยึดเกือกม้าเหล็กเข้าไปบนผิวชั้นนอกของกีบเท้าม้าวิธีคือนำเกือกม้าเหล็กที่หล่อเป็นทรงโค้งงอแล้ว เอามารองที่ใต้ฝ่าเท้าม้าจากนั้นใช้ค้อนกับตะปูตอกโลหะหนาชิ้นนี้ให้ยึดติดกับฝ่าเท้าม้า ฝ่าบาทยังสามารถทำขอบเกือกม้าให้เป็นคลื่นเล็กน้อย จะช่วยให้ยึดเกาะพื้นได้แน่นขึ้นเมื่อม้าเหยียบลงไปบนพื้นจะยิ่งมีพลังมั่นคง"

องค์ชายเจาทั้งตะลึงทั้งตื่นเต้น ของสิ่งนี้ที่สามารถปกป้องและรักษาม้าศึกได้ดีที่สุด ไม่เพียงลดอัตราการสูญเสียม้าศึกได้ ยังช่วยเพิ่มความเร็วและพัฒนาคุณภาพของกองทหารม้าได้ด้วย

"ถังเยว่ ... " องค์ชายเจาเรียกด้วยเสียงแผ่วเบาทำเอาถังเยว่จิตใจสั่นไหว เขาเงยหน้าสบนัยน์ตาคู่นั้นของอีกฝ่าย รู้สึกเพียงแววตาอ่อนโยนจนสามารถละลายใจคนได้ "เจ้าเป็นดาวนำโชคของข้าจริงๆ!"

ถังเยว่หน้าแดงซ่านจนต้องหันหน้าไปอีกทาง

"ในเมื่อฝ่าบาทรับสั่งเช่นนี้ ... กระหม่อมคงได้แต่ต้องพยายามอย่างเต็มกำลังความสามารถ ทั้งยังหวังว่าฝ่าบาทอย่าได้สืบสาวเรื่องราวเก่าก่อนของกระหม่อมอีกเลย"

องค์ชายเจาเข้าใจความหมายนี้ ความรู้ที่ถังเยว่มีย่อมไม่มีทางที่ชาวบ้านธรรมดาของหนานจิ้นจะสามารถศึกษาได้เด็ดขาด ความเป็นมาของคนผู้นี้จึงเป็นข้อสงสัยที่ควรค่าแก่การสืบหาความจริง

แต่เขาก็มิได้คิดจะสืบหาความกระจ่าง ในเมื่ออีกฝ่ายเลือกที่จะนำเรื่องราวที่ผู้อื่นไม่ล่วงรู้มาแจ้งให้ตนรู้ นี่นับเป็นเครื่องยืนยันความเชื่อมั่นที่ถังเยว่มีต่อเขา ไม่ว่าเพื่อหนานจิ้นหรือเพื่อส่วนตัว เขาล้วนควรปกป้องรักษาบุคคลผู้นี้ไว้ให้ดี แทนที่จะหาเรื่องกดขี่ข่มเหงเพราะที่มาที่ไปซึ่งไม่ชัดเจนของอีกฝ่าย

"วางใจเถิด ขอเพียงมีข้าอยู่ ย่อมต้องปกป้องเจ้าเป็นอย่างดี"

ถังเยว่แทบสำลักน้ำลายตัวเอง แววตาหลุกหลิกพลางคิดในใจ 'ทำไมฟังคำพูดนี้แล้วรู้สึกจั๊กจี้ยังไงชอบกล? เหมือนกำลังถูกสารภาพรักเลยแฮะ!'

แค่เด็กหนุ่มผู้นี้กล่าวคำมั่นสัญญาที่เปี่ยมพลัง ไม่รู้เพราะอะไรเขาถึงได้รู้สึกเขินจนไม่รู้ว่าควรจะทำหน้าอย่างไรดี

"เรื่องนี้ฝ่าบาทควรนำไปบอกต่อผู้อื่นว่าทรงคิดค้นได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องเอ่ยอ้างถึงกระหม่อม"

"ความดีความชอบครั้งนี้เจ้าไม่ต้องการอย่างนั้นหรือ?"

ถังเยว่ยักไหล่ กล่าวอย่างทะนงตน "กระหม่อมมิได้ขาดแคลนเงินทอง!"

ความดีความชอบมักต้องแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ ทว่าปัจจุบันเขาไม่ได้ขาดแคลนสิ่งเหล่านี้เลยสักนิด จวนลี่หยางโหวมีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาล เขาจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือยตามอำเภอใจอย่างไรก็ไม่มีวันหมดความจริงเขาไม่จำเป็นต้องหารายได้สร้างกำไรให้ยุ่งยากเลยด้วยซ้ำ

แต่แน่นอนว่าเขาชอบที่จะหาเงินด้วยตัวเอง และชอบความรู้สึกที่ได้ใช้จ่ายเงินจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองมากกว่า

องค์ชายเจาส่ายหน้า ยกริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม เขาไม่เคยเจอใครใจกว้างเช่นนี้มาก่อนเลยจริงๆ ไม่ว่าถังเยว่จะมาจากที่ใด ก็ล้วนเป็นโชคดีของหนานจิ้น

"พู่กันที่เจ้าทำไว้ก่อนหน้านี้ ข้ายังไม่ได้นำไปเผยแพร่ เจ้าถือสาหรือไม่?"

ถังเยว่ลูบจมูก ขณะแอบคิดอยู่ในใจ มิน่าล่ะถึงไม่เห็นพู่กันตามท้องตลาดเลย เขายังนึกว่าเป็นเพราะทุกคนยอมรับสิ่งใหม่ๆ ไม่ได้เสียอีก

"ขอเพียงฝ่าบาทยอมจ่ายค่าสิทธิบัตรเล็กน้อยให้กระหม่อม จากนั้นอยากนำไปเผยแพร่เมื่อไรก็ตามสบาย"

"ค่าสิทธิบัตร?" องค์ชายเจาครุ่นคิดสักพักจึงพยักหน้ากล่าว "นั่นสินะ หากเจ้านำของเหล่านี้ออกไปขาย ต้องได้กำไรเป็นเงินก้อนโตแน่"

องค์ชายเจาจึงลงมือร่างสัญญาขึ้นฉบับหนึ่งแล้วยัดใส่มือถังเยว่ ซึ่งเพียงก้มอ่านคร่าวๆ ก็คลี่ยิ้มด้วยความพอใจออกมาทันที

"ฝ่าบาทพระทัยกว้างอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด วันข้างหน้าหากจวนโหวประสบหายนะ กระหม่อมจะคิดค้นอะไรดีๆ ออกมาอีกสักสองสามอย่างไว้ใช้หาเงินสร้างกำไร"

องค์ชายเจาหน้าดำทะมึนขึ้นมาทันที มีใครแช่งวงศ์ตระกูลตัวเองเช่นนี้บ้าง?

"ฟังคำพูดนี้ของคุณชายแล้ว ข้าชักอยากจะเห็นจวนลี่หยางโหวหายนะเสียพรุ่งนี้เลย" กล่าวจบองค์ชายเจาก็หัวเราะขึ้นมาเอง หากเป็นเช่นนั้นจริงก็จะสามารถเร่งให้ถังเยว่ทำของดีๆ มาเพิ่มให้ได้อีกหลายอย่างยิ่งนึกก็ยิ่งอยากใช้กลอุบายจัดการให้เป็นไปตามที่พูดยิ่งนัก

แต่นี่ก็เป็นแค่ความคิดเท่านั้น ดูจากพฤติกรรมที่ถังเยว่ปฏิบัติต่อซื่อจื่อก็พอจะรู้ว่าเขาเป็นคนให้ความสำคัญกับครอบครัว หากทำร้ายคนในครอบครัวเขาแม้เพียงนิด บางทีอาจถูกต่อต้านคืนเป็นสิบเท่า

ถังเยว่ยิ้มกริ่ม "ถ้าเช่นนั้นถือเสียว่ากระหม่อมไม่ได้พูดก็แล้วกัน"

 

 

1 เครื่องปั่นเลือด คือเครื่องปั่นเพื่อแยกส่วนประกอบของเลือด เช่น เม็ดเลือดแดง พลาสมา เกล็ดเลือดออกมาเพื่อจะนำไปใช้ในการรักษาโรคได้ตรงตามความต้องการ


 

76 ข้อศอกงอเข้าด้านใน

 

หลังจากบรรลุข้อตกลงตรงกันก็รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก พวกเขาศึกษาโครงสร้างเข็มฉีดยาและเครื่องปั่นเลือดอยู่ในรถม้าตลอดทั้งวัน บางครั้งช่วงพักสมองถังเยว่ยังสามารถคิดสร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่ให้องค์ชายเจาได้อีกด้วย

ตลอดทั้งวันนี้องค์ชายเจาเฝ้าแต่หมกมุ่นอยู่กับภาพเกราะหนักที่ถังเยว่วาดให้ดูอย่างคร่าวๆ ถึงขนาดฟ้ามืดลงแล้วก็ยังไม่สังเกตเห็น

บนรถม้าในตอนนี้มีเพียงพวกเขาสองคน เพราะนับแต่หารือลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ องค์ชายเจาก็ไม่ให้ใครอยู่ปรนนิบัติข้างกายอีก

กระทั่งลำแสงสุดท้ายของวันเลือนลับหายไปจากเส้นขอบฟ้าองค์ชายเจานวดคิ้วไปมาแล้วถาม "ถังเยว่ เจ้าบอกว่าชุดเกราะหนักนี่สามารถสวมลงไปบนตัวม้าได้จริงหรือ?"

ถังเยว่กัดด้ามพู่กัน ขยำผ้าขาวที่ถูกวาดจนเละเทะเป็นก้อน ข้างเท้าเต็มไปด้วยภาพที่วาดเสียกองโต เขาไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้ จะให้วาดรูปโครงสร้างเครื่องปั่นโลหิตออกมาเป็นงานที่ยากเกินไปจริงๆ เขายืดหลังนั่งตัวตรง นวดไหล่ที่เมื่อยขบไปมา "กองทหารม้าสามารถแบ่งเป็นกองหนักกับกองเบา กองทหารม้าเบาปรับใหม่ให้ปราดเปรียวคล่องตัว พร้อมจู่โจมหรือถอยกลับได้ทุกเมื่อ กองทหารม้าหนักทรงอานุภาพในการสังหารข้าศึก ไม่ว่าโจมตีหรือตั้งรับล้วนมีอำนาจเหนือกว่ากองทหารม้าเบา"

"เกราะหนักเพิ่มภาระในการแบกรับน้ำหนักให้กับม้า ทำให้เคลื่อนไหวได้ช้าลง ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของคนกับม้าสูงเป็นพิเศษหากคิดสร้างกองทัพติดอาวุธเช่นนี้เป็นเรื่องยากยิ่ง ข้าก็เคยคิดที่จะสร้างกองทัพอานุภาพเกรียงไกรขึ้นมาทัพหนึ่งเช่นกัน แต่ไม่ว่าอาวุธหรือทหารล้วนมิอาจบรรลุผลตรงตามความต้องการของข้าได้"

องค์ชายเจาลูบคลำภาพจำลอง แผนการที่เคยอยู่แค่ในหัวทำท่าจะกลายเป็นจริง มุมปากพลันปรากฏรอยแย้มยิ้มขึ้นมา หากสามารถทำสำเร็จได้จริง กองทัพที่มีชุดนักรบเช่นนี้ ไม่ว่าสู้ศึกใดย่อมไร้ความปราชัยเป็นแน่!

ถังเยว่นึกถึงภาพยนตร์ที่เคยดู กองกำลังทหารสวมเกราะหนักอย่างเป็นระเบียบ บุกตะลุยไปข้างหน้าเพื่อคว้าชัยชนะอย่างไร้ซึ่งอุปสรรค น่าตื่นตะลึงจนผู้พบเห็นไม่อาจลืมเลือน

ถ้าสามารถทำให้ฉากจากภาพยนตร์นั้นกระโดดออกจากจอกลายเป็นภาพจริง จะต้องเป็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเห็นมาในทั้งสองภพของตนแน่

หลังจากปลดบ่วงความกังวลลงได้ ถังเยว่ก็เริ่มไม่รู้สึกผิดกับการกระทำที่เหมือนใช้สูตรโกงเกมของตน จะสนไปทำไมว่าประวัติศาสตร์จะขับเคลื่อนต่อไปอย่างไร ขอแค่ชีวิตแสนสั้นของเขาอยู่ได้อย่างมีความสุขก็พอ

"ทหารที่แข็งแกร่งสามารถบ่มเพาะได้ แต่ม้าที่มีสุขภาพแข็งแรงเพาะเลี้ยงไม่ง่าย ม้าสายเลือดหนานจิ้นปราชัยให้กับเป่ยเยว่ ดังนั้นเราอาจนำเข้าม้าพันธุ์ดีจากเป่ยเยว่ ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี จะต้องสามารถสร้างกองทัพทหารม้าพันตัวขึ้นได้แน่!"

องค์ชายเจาใช้นิ้วเคาะขอบหน้าต่าง ขบวนกองทัพหยุดลง คนบนรถไม่เคลื่อนไหว คนนอกรถย่อมต้องทำตามเช่นกัน

จ้าวซานหลางยังคงกลั่นแกล้งผิงซุ่นจนอีกฝ่ายต้องวิ่งป่วนไปทั่ว มีเสียงกลั้นหัวเราะพิลึกพิลั่นดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ หูจินเผิงปรายตามองพวกเขาก่อนจะถอนหายใจอย่างเอือมระอา ดูจากหน่วยก้านของทั้งคู่ หากจะให้สังหารข้าศึกศัตรูเกรงว่าคงจะยาก เขานึกอยากเห็นภาพบุตรชายของกั๋วกงผู้แสนองอาจตอนไปกุมบังเหียนบังคับรถม้าเสียจริง คาดว่าคงกลายเป็นเรื่องตลกขบขันไปทั่วเมืองเย่เฉิงสามปีเล่าสืบต่อกันไปไม่เลิกราแน่

เขาขี่ม้าไปหยุดอยู่ตรงด้านนอกรถม้าองค์ชายเจาในระยะห่างห้าก้าว แล้วเอ่ยถาม "ฝ่าบาท หยุดพักตั้งค่ายหุงหาอาหารก่อนดีหรือไม่?"

ในรถม้านิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เสียงแหบเล็กน้อยขององค์ชายเจาจึงดังลอดออกมา "ดี"

องค์ชายเจาอยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต เสียงจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นทั้งแหบและห้าวทุ้ม ถังเยว่แอบหัวเราะขบขันไปพร้อมกับช่วยจัดรายการอาหารสำหรับบำรุงร่างกายให้

วัยแตกเนื้อหนุ่มเป็นช่วงที่สำคัญมาก ร่างของเขาในภพนี้พลาดช่วงเวลาการดูแลสุขภาพที่ดีที่สุดไปแล้ว จึงผอมแห้งและอ่อนแอมาตลอดทว่าองค์ชายเจามีทุกอย่างพรั่งพร้อม เขาจึงพยายามดูแลอีกฝ่ายอย่างเต็มที่

เมื่อก่อนเขายังเคยคิดว่ารอให้หาคนรักที่สามารถอยู่ร่วมกันไปตลอดชีวิตได้ จะขอเด็กผู้ชายมาเลี้ยง ดูแลจนเติบใหญ่ กระทั่งแต่ละช่วงวัยต้องระวังดูแลตรงจุดใดเป็นพิเศษบ้างเขาก็ทำตารางจดบันทึกไว้อย่างละเอียดลออ

น่าเสียดายที่ต้นกล้าของความหวังอันสวยหรูเพิ่งจะได้เริ่มบ่มเพาะเขาก็ถูกสวรรค์กลั่นแกล้งให้ต้องมาอยู่ในโลกอันแสนพิลึกพิลั่นและไม่คุ้นเคยนี้

ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถทำฝันให้กลายเป็นจริงในโลกนี้ได้หรือไม่แม้ว่าการได้มีชีวิตเช่นนั้นช่างแสนงดงาม แต่ก็ดูเหมือนจะห่างไกลเกินเอื้อม

ตอนถังเยว่ลงจากรถม้า เห็นผิงซุ่นวิ่งตรงมาหาแต่ไกล ทว่าพอเห็นองค์ชายเจาที่อยู่ด้านหลังเขา เจ้าเด็กนั่นก็รีบหยุดเท้าในทันที ท่าทางลังเลเหมือนไม่กล้าก้าวเข้ามาหาอีก

"ที่เจ้าพาเขามาด้วยในครั้งนี้เพราะต้องการฝึกฝนให้เขาเป็นผู้มีความสามารถอย่างนั้นหรือ?" องค์ชายเจาถามขณะมองไปที่ร่างซึ่งผอมลงไปมากของผิงซุ่น

"ก็ไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้สูงเช่นนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ เพียงหวังให้เขาสามารถเปลี่ยนแนวทางการดำเนินชีวิตดูบ้าง จะได้เลิกใช้ชีวิตแบบหมูเสียที"

ใช้คำว่า 'ใช้ชีวิตแบบหมู' มาอธิบายแนวทางการดำเนินชีวิตของซื่อจื่อแห่งเหิงกั๋วกงในอดีต นับว่าไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยสักนิด ทว่าสิ่งที่ทำให้ถังเยว่ประหลาดใจก็คือ ผิงซุ่นใช้ชีวิตมั่วโลกีย์ถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่มีบุตรนอกสมรสเลยสักคน

เรื่องนี้ทำให้รู้สึกโล่งอกก็จริง แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้อดเป็นกังวลเรื่องสุขภาพของอีกฝ่ายขึ้นมาไม่ได้

"ซื่อจื่อ เจ้าถูกจ้าวซานหลางรังแกมาอีกแล้วหรือ?" ถังเยว่จงใจถามเสียงดัง

ทุกคนได้ยินแล้วต่างพากันหัวเราะครื้นเครง ผิงซุ่นหน้าแดงก่ำถลึงตาใส่เขาแล้วหันหลังวิ่งกลับไป

ถังเยว่ตะโกนไล่หลังอีกฝ่าย "เหตุใดเจ้าไม่ลองแข็งข้อดูบ้าง? เจ้าสูงกว่า ตัวก็หนักกว่าเขา กำปั้นเดียวของเจ้าเท่ากับเขาสองกำปั้น แล้วยังต้องกลัวอะไรอีก?"

"เฮ้! นี่ คุณชายถัง! ถังเยว่! เจ้าหมายความว่าอย่างไร? คิดจะเป็นพวกข้อศอกงอเข้าด้านใน[1]งั้นหรือ?" จ้าวซานหลางยืนเท้าเอวถามด้วยสีหน้าเอาเรื่อง

"ข้อศอกก็ต้องงอเข้าด้านในอยู่แล้ว ซานหลาง ไยเจ้าต้องโมโหโทโสด้วย? เอาอย่างนี้ไหมล่ะ เจ้าลองสู้กับซื่อจื่อสักยก ใครแพ้ต้องเรียกอีกฝ่ายว่าพี่ใหญ่"

"ข้าโตกว่าเขา!" จ้าวซานหลางไม่คล้อยตาม

"เจ้าเอาแต่กลั่นแกล้งรังแกเขาทุกวันเช่นนี้ไม่ละอายใจบ้างหรือ?แบบนี้จะเรียกว่าโตกว่าเขาได้อย่างไร?"

เดิมทีถังเยว่ไม่อยากยุ่ง ถึงอย่างไรจ้าวซานหลางก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายเพียงแค่หาเรื่องทำแก้เบื่อ จึงเห็นผิงซุ่นเป็นดั่งลิงอ้วนเอาไว้เย้าแหย่เล่น

ในขบวนกองทัพนี้มีแค่พวกเขาสองคนที่ฝีมือสูสีพอฟัดพอเหวี่ยงภูมิหลังก็คล้ายคลึงกัน เทียบกำลังกันได้ เพราะหูจินเผิงนั้นเหนือกว่าพวกเขามิใช่เพียงขั้นเดียว จึงไม่คิดสนใจพวกเขาแม้แต่น้อย ส่วนพี่ชายร่วมบิดาของจ้าวซานหลาง มักมองมาทางพวกเขาด้วยสายตาหยามเหยียด ทำเสมือนว่าตนไม่เคยรู้จักน้องชายคนนี้

ถังเยว่เฝ้าสังเกตบุตรชายคนโตของเจิ้นกั๋วกงมาตลอดทางอย่างละเอียด พบว่าฝ่ายนั้นมีความสามารถอยู่จริง แต่อวดดีเกินตัว อีกทั้งยังใจคอคับแคบ ชอบทำงานเอาหน้า เป็นคนประเภทที่เขาชิงชังที่สุด เมื่อเห็นคนผู้นั้นแล้วขัดหูขัดตาจึงรู้สึกอยากเล่นงานเป็นพิเศษ วิธีเล่นงานที่ดีที่สุดก็คือทำให้จ้าวซานหลางโดดเด่นเกินหน้าคนผู้นั้นให้ได้

แต่จะทำให้ทั้งฐานะและความสามารถของจ้าวซานหลางข่มฝ่ายนั้นได้อย่างไรน่ะหรือ? ก็ต้องทำให้เจ้าเด็กนี่ได้มีรายชื่ออยู่ในหน่วยฝึกทหารให้ได้ก่อน

จ้าวซานหลางเห็นผิงซุ่นวิ่งกลับมาหาตนอีกครั้ง จึงถลกแขนเสื้อขึ้นพร้อมพูดจาโอหัง

"อยากมีเรื่องกับข้าก็มาเลย! คิดว่าข้ากลัวเจ้างั้นเหรอ?"

ผิงซุ่นใจฝ่อไปเล็กน้อย ทว่าพอหันมาเห็นสายตาให้กำลังใจของถังเยว่ก็ตัดสินใจขยับเท้ากระโจนเข้าใส่

ทั้งสองต่อยตีกันอุตลุด ถึงอย่างไรจ้าวซานหลางก็เคยเรียนศิลปะการต่อสู้มาก่อน กระบวนท่าลวดลายจึงดูมีเชิงชั้น แต่เมื่อต้องมาเจอกับซื่อจื่อผู้ปล่อยหมัดสะเปะสะปะสุ่มสี่สุ่มห้า ไร้ซึ่งความรู้และหลักการใดๆ เขาก็สงบใจรักษารูปแบบไว้ได้ไม่กี่กระบวนท่า สุดท้ายก็เละเทะสะเปะสะปะไม่แพ้กัน

ซื่อจื่อกระโดดทิ้งตัวหงายหลัง หวังใช้ร่างตัวเองทับอีกฝ่าย แต่จ้าวซานหลางเดาทางได้ ยกขาถีบก้นเขาโดยแรง น่าเสียดายที่ซื่อจื่อไม่ได้ลอยละลิ่วปลิวตามลม แต่เป็นจ้าวซานหลางเสียเองที่ถูกแรงสะท้อนกลับทำให้เซถลาเสียหลักล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปบนพื้น

เดิมทีเหล่าทหารต่างมุงดูด้วยความตื่นเต้นอย่างเงียบๆ ไม่กล้าส่งเสียงใดออกมา ทว่าเมื่อบรรยากาศเริ่มดุเดือดขึ้นทุกขณะ ต่างก็เริ่มส่งเสียงเอะอะโวยวายออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

ด้านหนึ่งตะโกนว่า "ทับเลย ทับเลย ซื่อจื่อ เร็วเข้า ... "

อีกด้านหนึ่งตะโกนว่า "คุณชายเสี่ยน รีบลุกเร็ว ... ใช้กระบวนท่าลิงเด็ดลูกท้อ ... "

กระทั่งถังเยว่เองยังถูกบรรยากาศที่เข้มข้นนี้ดึงดูด ทำให้หลุดปากร่วมร้องตะโกนเชียร์ไปด้วยหลายคำ โดยมีองค์ชายเจายืนดูพวกเขาก่อเรื่อง

วุนวายตั้งแต่ต้นจนจบอยู่ข้างๆ

"ในกองทัพข้า ไม่เคยเกิดเรื่องเหลวไหลไร้สาระเช่นนี้มาก่อน"

ถังเยว่ชะงัก หัวเราะแหะๆ "ในกองทัพควรมีกฎระเบียบก็จริง แต่ก็ควรปลูกฝังให้มีมิตรภาพเกิดขึ้นด้วย ความสามัคคีคือหนทางที่จะนำชัยชนะมาสู่กองทัพ"

"มิตรภาพ?" องค์ชายเจาพึมพำกับตัวเอง "สำหรับทหารแล้วควรเข้มงวดเรื่องวินัยมิใช่หรือ?"

ถังเยว่ไม่ทันได้ยินเสียงพึมพำของอีกฝ่าย เขาง่วนอยู่กับการรื้อค้นสัมภาระของกองเสบียงจนได้กลองเล็กมาหนึ่งใบ จึงตีไปพร้อมขับขาน

"ไยว่าไร้อาภรณ์ ข้ายินดีสวมผ้าคลุมเสื้อเกราะร่วมกันกับเจ้ากษัตริย์ให้เราออกรบ ซ่อมหอกดาบของเรา ร่วมโรมรันศัตรูด้วยกัน

ไยว่าไร้อาภรณ์ ข้ายินดีสวมเสื้อรองเกราะร่วมกันกับเจ้า กษัตริย์ให้เราออกรบ ซ่อมหอกง้าวของเรา ข้ายินดีสู้ศึกร่วมกันกับเจ้า

ไยว่าไร้อาภรณ์ ข้ายินดีสวมชุดเกราะร่วมกันกับเจ้า กษัตริย์ให้เราออกรบ ซ่อมชุดเกราะศัสตราวุธของเรา ข้าเต็มใจก้าวไปข้างหน้า ร่วมกันกับเจ้า[2]"

หมู่ชนเงียบเสียงลง แม้แต่คุณชายทั้งสองที่กำลังต่อสู้กันจนร่างบิดเป็นเกลียวประหนึ่งขนมเกลียวทอดยังเงยหน้ามองถังเยว่พร้อมกัน

เสียงกลองที่ดังก้องถูกส่งออกไป ทว่าที่กระทบถึงหูพวกเขากลับมิใช่เสียงกลอง แต่ราวกับมีมือข้างหนึ่งยื่นมาเคาะโจมตีหัวใจ ชวนให้หวนระลึกนึกถึงประสบการณ์ในสนามรบที่พวกเขาเหล่าทหารหาญต่างรอดพ้นปากเหยี่ยวปากกามาได้อย่างน่าพิศวง

เสียงนั้นดังแหวกอากาศก้องสะท้อนต่อเนื่องไปทั่วทั้งทุ่งหญ้า แต่ละท่วงทำนองราวกับบทกวีแสนซาบซึ้งใจที่สะกดให้ทุกคนน้ำตารินไหล

ความทรงจำของพวกเขาหวนกลับไปนึกถึงเหล่าสหายร่วมรบ นึกถึงช่วงเวลาที่พวกเขาเอ่ยเรียกขานนามของกันและกัน มอบกำลังใจให้กัน ต่างไม่สนเป็นตาย เฝ้าเดินหน้าเข่นฆ่าศัตรูคู่แค้นร่วมกัน

จ้าวซานหลางปล่อยมือที่บีบคอผิงซุ่นออกแล้วถาม "เจ้าอ้วน หากถึงวันที่พวกเราต้องออกศึกด้วยกัน เจ้าจะเผชิญหน้าข้าศึกร่วมกันกับข้าหรือไม่?

ผิงซุ่นชะงักก่อนพยักหน้า "ขอเพียงเจ้าไม่เยาะเย้ยว่าข้าซื่อจื่อโง่งมอย่างหมูอีก ข้ายินดีเป็นกำลังเสริมช่วยเจ้าอีกแรง"

จ้าวซานหลางอ้าปากคล้ายจะพูด แต่แล้วจู่ๆ ก็กลายเป็นปล่อยหมัดตะบันใส่หน้าผิงซุ่น "เฮอะ อย่างเจ้านี่นะจะเป็นกำลังเสริมให้คุณชายอย่างข้า"

ผิงซุ่นถูกกระตุ้นด้วยหมัดนี้ของจ้าวซานหลาง จึงยกเข่ากระทุ้งเข้าเต็มท้องอีกฝ่าย จ้าวซานหลางทรุดตัวลงกับพื้นร้องโอดโอย ก่อนจะกัดฟันพุ่งใส่ผิงซุ่นด้วยอาการเกรี้ยวกราด

หลังจากนั้น บรรยากาศสุดซาบซึ้งของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอันแข็งแกร่งที่เพิ่งก่อตัวขึ้นเมื่อครู่ ก็ถูกคุณชายจอมป่วนทั้งสองก่อกวนจนสูญสลายหายไปจนหมดสิ้น

ทุกคนเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น ต่างปลดปล่อยอารมณ์คึกคะนองฮึกเหิมของตัวเองต่อ ทว่ามิได้ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายอีก

 

 

1 เข้าข้างพวกเดียวกัน

2 กวีไร้อาภรณ์ โดย ฉินเฟิง


 

77 งี่เง่าชะมัด

 

ตอนผิงซุ่นต่อยท้องจ้าวซานหลางไปหนึ่งหมัด ความรู้สึกแปลกๆอย่างหนึ่งก็พลันผุดขึ้นในใจ เขารู้สึกว่าชีวิตนี้ของตัวเองไม่เคยห้าวหาญเช่นนี้มาก่อน

ผิงซุ่นโชคดีมีชีวิตราบรื่นมาตั้งแต่เด็กสมดั่งชื่อของเขา[1] ทว่านอกจากจะบุ๋นไม่สำเร็จบู๊ก็ไม่ได้เรื่อง เรียกได้ว่าไม่มีความสามารถอะไรสักอย่างยังดีที่เขาไม่เอาอย่างลูกผู้ดีมีเงินทั้งหลายที่เกะกะระรานเที่ยวข่มเหงรังแกชาวบ้าน งานอดิเรกเพียงหนึ่งเดียวที่เขามีคือการหาความสำราญกับเหล่าสตรี

แต่หากคิดตามคำพูดของถังเยว่ สิ่งที่เขาทำอยู่ไม่นับว่าเป็นงานอดิเรก เป็นเพียงการผ่อนคลายอารมณ์ฆ่าเวลาแก้เบื่อเท่านั้น ขอเพียงเขาสามารถหาสิ่งที่น่าสนใจกว่าทำได้ ย่อมไม่ต้องกลายเป็นตัวราคะผูกติดอยู่กับสตรีตลอดทั้งวี่ทั้งวันดังเช่นที่ผ่านมา

ยกนี้จบลงที่จ้าวซานหลางกดเขาลงกับพื้นได้อย่างดิ้นไม่หลุด ไม่มีสิ่งใดเหนือความคาดหมายเลยสักนิด ทุกคนเฮลั่น ไม่รู้ใครบังอาจตะโกนขึ้นมาประโยคหนึ่ง "ซื่อจื่อ กล้ามเนื้อบนตัวท่านมีไปก็ไร้ประโยชน์ ฮ่าๆๆ"

จ้าวซานหลางกระตุกยิ้มมุมปาก ไม่สนใจว่ารอยซ้ำจ้ำเขียวบนใบหน้าว่าจะทำลายภาพลักษณ์หนึ่งในสี่บุรุษงามของเมือง เขายกมือตบศีรษะผิงซุ่นแล้วพูด "เด็กดี เรียกข้าว่าพี่ใหญ่สิ!"

ผิงซุ่นยกมือกุมรอยช้ำบนใบหน้าที่ตอนนี้บวมปูดราวกับสุกร แล้วครางออกมาคำหนึ่ง

"ว่าไงนะ พี่ใหญ่ได้ยินไม่ถนัด" จ้าวซานหลางหัวเราะลั่น "เรียกดังๆอีกครั้งสิ"

ผิงซุ่นฮึดฮัดขัดขืน น่าเสียดายที่ร่างกายอ่อนปวกเปียกไร้ซึ่งเรี่ยวแรงไม่สามารถผลักจ้าวซานหลางที่ทับร่างตัวเองอยู่ให้กระเด็นหลุดออกไปได้ต้องจำใจยอมตะโกนเสียงดังลั่น "พี่ใหญ่!"

"ฮ่าๆๆ เด็กดี ต่อจากนี้เจ้าเป็นน้องชายของข้า จ้าวซานหลางผู้เป็นพี่ชายจะคุ้มครองเจ้าเอง!"

ถังเยว่หัวเราะเฮอะออกมาหนึ่งคำ เจ้าทึ่มสองคนนี้ตีกันยกเดียวกลับเพิ่มความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกลมเกลียว หากสามารถดูแลซึ่งกันและกันได้จริง คาดว่าคงตั้งเป็นกลุ่มคู่หูซื่อบื้อได้เลย

จ้าวซานหลางยืนขึ้น ยื่นมือออกไปคิดจะช่วยดึงผิงซุ่นให้ลุกขึ้นจากพื้น แต่ใครจะนึกว่าออกแรงดึงอยู่นานก็ยังไม่สามารถฉุดผิงซุ่นให้ขยับลุกขึ้นมาได้เลยสักนิด บรรดาผู้ชมซึ่งเดิมทีจะแยกย้ายไปแล้วพอหันมาเห็นเข้าต่างก็พากันหัวเราะขบขัน

องค์ชายเจาเดินเข้าไป ยื่นมือกุมแขนผิงซุ่นไว้ เพียงแค่ออกแรงเล็กน้อยก็สามารถหิ้วฝ่ายนั้นขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย

จ้าวซานหลางรีบก้มหน้าหลบตาทันทีพร้อมกับเตรียมชักเท้าวิ่งหนี

ผิงซุ่นเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าคู่กรณีสักเท่าไร เขาอับอายขายหน้าจนเหลือจะกล่าว ถ้าทำได้ก็อยากจะย้อนเวลากลับไปลบเหตุการณ์ที่เขาต่อยตีกับจ้าวซานหลางเมื่อครู่นี้ทิ้งไปให้หมดสิ้น

"พวกเจ้าทั้งสอง ... " แค่องค์ชายเจาเอ่ยปาก คุณชายทั้งสองจากจวนกั๋วกงก็เกร็งไปทั้งตัว แม้ใจอยากจะวิ่งแต่ขากลับก้าวไม่ออก

"นับแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ทุกวันพวกเจ้าต้องตื่นยามเหม่า[2]เพื่อมาฝึกกับรองแม่ทัพหู ข้าเห็นแก่ที่พวกเจ้าเป็นคนใหม่ ลดการฝึกซ้อมลงให้กึ่งหนึ่ง"

จ้าวซานหลางสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที แม้ใจอยากโต้แย้งแต่ไม่กล้าอ้าปาก ส่วนผิงซุ่นดูเหมือนยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน ใบหน้าจึงดูงงงัน

องค์ชายเจามิได้สนใจสิ่งเหล่านี้ หลังออกคำสั่งเสร็จก็เดินจากไปถังเยว่เดินเข้ามาตบหลังสหายเป็นการปลอบ

"เฮ้อ ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตนละนะ"

"คุณ-ชาย-ถัง!" จ้าวซานหลางพุ่งเข้ามาด้วยอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน"ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า หากไม่ใช่เพราะเจ้าปล่อยให้เจ้าอ้วนนั่นทำตามใจชอบไหนเลยจะทำให้องค์ชายเจารำคาญใจได้?"

ถังเยว่ง้างเท้าถีบเข่าจ้าวซานหลาง แล้วดึงมีดผ่าตัดที่พกติดตัวออกมา "ที่แท้เจ้าก็รู้ด้วยหรือว่าคนอื่นเขารำคาญใจ งี่เง่าชะมัด!"

มีดผ่าตัดหมุนอย่างคล่องแคล่วว่องไวอยู่ระหว่างนิ้วของถังเยว่คมมีดที่ส่องประกายวาววับทำให้จ้าวซานหลางผงะถอยหลังไปหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ

ดวงตาเขาจับจ้องที่มือคู่นั้นเขม็ง

"นี่ ... นี่ทำได้อย่างไร?

ถังเยว่ตวัดมีดผ่าตัดกลับมาอยู่ในฝ่ามือ มีดเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มหมุนคว้างกลางฝ่ามืออย่างรวดเร็ว จากนั้นนิ้วทั้งห้าก็เคลื่อนกำมีดผ่าตัดนั้นไว้

"อยากทำสิ่งใดให้ได้ดีก็ต้องยอมแลกด้วยการสละเวลาเพื่อฝึกฝนเจ้านึกว่าฝีมือข้าที่เจ้าเห็นใช้เวลาฝึกเพียงวันสองวันก็สามารถทำได้คล่องแคล่วเช่นนี้หรือ?"

จ้าวซานหลางสั่นศีรษะ

ถังเยว่เก็บกิ่งไม้แห้งกิ่งหนึ่งขึ้นมาจากพื้น หักออกเป็นท่อนเล็กปอกเปลือกนอกที่แห้งแข็งออก แล้วใช้มีดแกะสลักกิ่งไม้อย่างรวดเร็วว่องไวมองเห็นเพียงเศษไม้ร่วงกราว แล้วจู่ๆ กิ่งไม้ทื่อหยาบเมื่อครู่ก็กลายร่างเป็นมังกรลำตัวเรียวยาวอ่อนช้อย

ผิงซุ่นที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับตกตะลึงตาค้าง จ้าวซานหลางก็ตั้งใจมองจนลืมกะพริบตาเช่นกัน

เขารู้ว่าฝีมือการแกะสลักของถังเยว่ยอดเยี่ยม แต่ไม่เคยเห็นตั้งแต่ต้นจนจบกับตาตัวเองแบบนี้มาก่อน คิดไม่ถึงเลยว่าจะน่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้

ผู้คนมากมายเดินเข้ามามุงดู ต่างพากันอุทานด้วยความตกตะลึงในฝีมือการแกะสลักของถังเยว พวกเขาต่างนึกว่าหมอทหารซึ่งยังเป็นเด็กหนุ่มผู้นี้มีพรสวรรค์แค่เพียงวิชาการแพทย์ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าถังเยว่ยังมีฝีมือแกะสลักที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้

สวรรค์เมตตาเอ็นดูเขามากแค่ไหนกัน คนอย่างนี้เกิดมาเพื่ออยู่เหนือคนอื่นโดยแท้

แสงจากเปลวเพลิงค่อยๆ ส่องสว่างไปทั่วบริเวณที่เปิดโล่ง ถังเยว่อาศัยแสงรำไรทำขั้นตอนสุดท้ายจนเสร็จสมบูรณ์ แล้วเงยหน้าขึ้นสั่งจ้าวซานหลาง

"ไปหยิบถ่านไม้มาให้ข้าหนึ่งชิ้น"

จ้าวซานหลางพยักหน้าอย่างอึ้งๆ หมุนตัววิ่งไปยังกองไฟ เลือกถ่านไม้ชิ้นบางอันหนึ่งกลับมา จากนั้นก็มองดูถังเยว่ใช้แท่งถ่านดำเกรียมแต้มเป็นดวงตาทั้งสองข้างของมังกร

"เอ้า ข้าให้เจ้า ขอให้อนาคตเจ้าลอยสูงสู่ฟากฟ้านับหมื่นลี้"

ถังเยว่วางหุ่นไม้สลักใส่มืออีกฝ่าย จ้าวซานหลางประคองชิ้นงานนั้นไว้อย่างระมัดระวัง ขณะที่ปากยังคงอ้าค้างอย่างตกตะลึง

หุ่นไม้แกะสลักสีเหลืองเข้มมีขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้น แม้รายละเอียดจะมิได้วิจิตรบรรจง แต่ด้วยวัสดุเช่นนี้ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบนี้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เท่านี้ สามารถสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมขนาดนี้ ช่างน่าเลื่อมใสยิ่งนัก

"ซานหลาง เจ้าใช้ชีวิตตามอำเภอใจ ไม่ทุกข์ร้อนเรื่องดินฟ้า ไม่เข้าใจความทุกข์ยากของปวงประชา นี่นับเป็นความโชคดีของเจ้า หากความโชคดีนี้สามารถอยู่กับเจ้าไปได้ทั้งชาติ ทำให้เจ้าไร้ทุกข์ไร้โศกไปได้ชั่วชีวิต ย่อมนับเป็นโชคดีอย่างที่สุด ทว่าชีวิตมนุษย์นั้น ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ย่อมต้องประสบพบเจอกับเรื่องที่ไม่สมหวังแปดถึงเก้าในสิบส่วน พูดอย่างไม่น่าฟัง หากมีวันใดเจ้าขาดทุนรอนให้ใช้จ่ายตามอำเภอใจ เจ้าจะยังสามารถดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้หรือ?"

จ้าวซานหลางขมวดคิ้วแย้งกลับ "แม้ข้าจะมิกล้าพูดว่าตัวเองมีความรู้มากมาย แต่ข้าก็ต่างกับผิงซุ่นที่ไม่มีความรู้และไร้วรยุทธ์ ต่อให้ไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกง ข้าก็ยังสามารถเป็นขุนนางในราชสำนักได้"

ถังเยว่ตบไหล่สหายแล้วพูดยิ้มๆ "มันไม่ง่ายอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ"

หากไม่เป็นเพราะมีคนหนุนหลัง ด้วยนิสัยไม่เห็นแก่หน้าใครของเจ้าเด็กนี่ เห็นทีคงถูกคิดบัญชีไปนานแล้ว

ต่างกับผิงซุ่นที่แม้จะมีรูปร่างอ้วนท้วน แต่ไม่ว่าอย่างไรรูปร่างที่ใหญ่โตนั้นก็ยังมีเครื่องหมาย 'ข้าไม่ใช่คนที่จะมาล้อเล่นด้วยได้ง่ายๆ' แปะไว้ ส่วนจ้าวซานหลางน่ะหรือ เหมือนมีคำว่า 'ใสซื่อบริสุทธิ์ รีบมาหลอกข้าเร็วเข้า' แขวนไว้บนศีรษะ

ผิงซุ่นขยับเข้ามาใกล้ ใช้ศอกกระทุ้งสีข้างถังเยว่แล้วกระซิบถาม "ถังเยว่ ขอมังกรให้ข้าตัวหนึ่งได้ไหม?"

ถังเยวหันไปตอบ "ได้สิ ขอเพียงเมื่อไปถึงเมืองฉินหยาง เจ้าสามารถผอมลงได้อีกสามชั่ง ข้าจะแกะสลักมังกรที่ละเอียดประณีตกว่านี้ให้เจ้า"

ในยุคสมัยนี้มังกรยังคงเป็นเพียงสัตว์ในเทพนิยาย มิได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของราชนิกูล เสื้อคลุมมังกรชุดยาวก็ยังไม่อุบัติขึ้น ปฏิกิริยาของผู้คนที่มีต่อสัตว์เทวะชนิดนี้จึงยังไม่ต้องระมัดระวังมากนัก

ผิงซุ่นพยักหน้า นัยน์ตาดอกท้อเปล่งประกายงดงาม หากมองเฉพาะดวงตาคู่นี้ ถังเยว่รู้สึกว่าคงไม่มีสตรีนางใดสามารถหลุดพ้นเงื้อมมือของเขาไปได้

 

มื้อค่ำกินโจ๊กที่เคี่ยวจนข้นกับยำผักป่า รอบกายได้ยินแต่เสียงซดโจ๊กดังโฮกๆ ถังเยว่รู้สึกว่ากระเพาะตัวเองเจริญอาหารขึ้นมาก อีกทั้งยังไม่เลือกกินเหมือนอย่างที่ผ่านมา แน่นอนว่าต่อให้เขาอยากเลือก ก็ไม่มีให้เลือก

ในกองทัพผู้ที่สามารถทำอาหารมื้อพิเศษได้มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคือองค์ชายเจา ทุกคนต่างคำนึงถึงร่างกายของเขา ปฏิบัติด้วยอย่างเทิดทูนบูชาดุจตุ๊กตาแก้ว แทบอยากจะยกขึ้นหิ้งเสียด้วยซ้ำส่วนคนอื่นหากอยากทำอาหารมื้อพิเศษกินเอง ก็ต้องทำแบบหลบๆ ซ่อนๆ อย่าให้คนอื่นรู้ มิฉะนั้นต้องถูกลงโทษตามวินัยทหาร

หลังมื้ออาหาร จ้าวซานหลางประคองมังกรตัวนั้นไปนั่งที่ริมแม่น้ำเงยหน้าทอดตามองไปยังยอดเขาสูงที่อยู่ไกลลิบ ไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่

ไม่เคยมีใครพูดกับเขาแบบที่ถังเยว่พูด ไม่มีใครหาญกล้าสมมุติต่อหน้าเขาว่าหากจวนเจิ้นกั๋วกงไม่อยู่แล้วเขาจะเป็นเช่นไร มารดาเขาอยู่ในเรือนเสมือนเครื่องประดับ ไม่มีสิทธิ์มีปากมีเสียง บิดาพร่ำบ่นว่าเขาเอาแต่เที่ยวเตร่ ขี้เกียจสันหลังยาว ไม่สบอารมณ์ในความไม่เอาถ่าน ด้วยเหตุนี้จึงให้ความสำคัญกับพี่ชายซึ่งเป็นลูกที่เกิดจากอนุภรรยามากกว่า

แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าที่เป็นอยู่นี้ไม่ดีตรงไหน จนกระทั่งวันนี้ได้เห็นถังเยว่เล่นมีดอย่างชำนาญ มีวิชาแพทย์ที่วิเศษยอดเยี่ยมอีกทั้งยังมีฝีมือการแกะสลักและการทำอาหารที่บุรุษน้อยคนนักจะสามารถทำได้ ความมั่นใจในตัวเอง ทำทุกสิ่งได้ตามใจปรารถนาแบบนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่เขาใฝ่หามาตลอด แต่กลับไม่ได้รับ

'คนที่มีอายุเพียงสิบหก ไปศึกษาวิชาความรู้มากมายเช่นนี้มาจากที่ใด? ตั้งแต่เด็กเขาเติบโตมาอย่างไรกันแน่?"

จ้าวซานหลางทึ้งผมไปมาอย่างว้าวุ่น ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรตนจะต้องมานั่งคิดเรื่องกลุ้มใจอยู่ตรงนี้

เขาคุยโวโอ้อวดว่าตัวเองใช้ชีวิตตามอำเภอใจมาตลอด แล้วเหตุใดแค่คำพูดประโยคสองประโยคกลับทำให้เขาสับสนวุ่นวายใจได้เล่า?

ทั้งหมดต้องโทษเจ้าคุณชายถังสมควรตายนั่น อยู่ดีๆ ก็จับเขามาเทศนา หรือว่าหมู่นี้อบรมสั่งสอนเจ้าอ้วนหมูตอนจนเสพติดไปแล้ว คิดอยากเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้อื่นหรือไง?

จ้าวซานหลางลุกขึ้นปัดก้น เตรียมสลัดความคิดยุ่งเหยิงเหล่านี้ทิ้งไปจากสมอง ทว่ายังไม่ทันจะหันกลับ ก็ได้ยินเสียงคนพูดขึ้นจากด้านหลัง

"ซานหลาง เจ้าไม่ควรมาเลย"

เขาหันกลับไปมองหน้าพี่ชายร่วมบิดาผู้ซึ่งประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายเอาแน่เอานอนไม่ได้ แล้วกระตุกมุมปากถาม "พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?"

"เจ้าถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก ทนความลำบากไม่ได้หรอก เจ้ามาคราวนี้ไม่เพียงทำให้ตัวเองอับอาย ยังทำให้จวนเจิ้นกั๋วกงต้องเสื่อมเสียไปด้วย หากท่านพ่อรู้เข้าต้องโมโหมากแน่"

จ้าวซานหลางแค่นหัวเราะเสียงเย็น

"ข้าก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะเป็นหน้าเป็นตาให้วงศ์ตระกูลสักเท่าไร อย่ามา

จุนจ้านเรื่องของข้าจะดีกว่า"

"พี่หวังดีกับเจ้า ทำขายหน้าต่อเบื้องพระพักตร์องค์ชายเจาแบบนั้นเจ้าจะยังมีที่ให้ยืนในราชสำนักได้อยู่อีกหรือ?"

"ฉะนั้นควรเรียนรู้วิธีการประจบสอพลอเช่นเจ้าสินะ?"

บุตรชายคนโตแห่งสกุลจ้าวหน้าตึงขึ้นมาทันที เกือบระเบิดอารมณ์ออกมา แต่สุดท้ายก็ควบคุมตัวเองไว้ได้

"เจ้ายังเด็ก ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก พี่เพียงอยากเตือนเจ้า อยากมาก็ได้มาแล้ว พยายามอย่าทำเรื่องขายหน้า ทำตัวดีๆ ล่ะ"

จ้าวซานหลางถลึงตาจ้องอีกฝ่ายอย่างแค้นเคือง แค่นหัวเราะหึๆ

"เจ้าดูแลตัวเองให้ดีก่อนเถอะ!"

 

 

1 ผิงซุ่น แปลว่า ราบรื่น ไม่มีอุปสรรค

2 เวลา 05.00 - 07.00 น.


 

78 ประเมินสถานการณ์

 

ตอนแรกถังเยว่นึกว่าความเร็วของขบวนที่มีตัวภาระติดสอยห้อยตามมามากมายเช่นนี้คงเคลื่อนตัวได้ช้ามาก ไม่คาดคิดว่ายังไม่ทันถึงครึ่งเดือน พวกเขาก็เดินทางมาถึงเขตเมืองฉินหยางแล้ว

เมืองฉินหยางอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเย่เฉิง เป็นเขตพื้นที่ที่มีโจรผู้ร้ายออกอาละวาดชุกชุมมาโดยตลอด ที่นี่เทือกเขามากที่นาน้อยราษฎรไม่อาจทำนาเพาะปลูกจึงมีบางส่วนยึดครองพื้นที่บนหุบเขา อาศัยการปล้นสดมภ์สมบัติของพ่อค้าที่ผ่านทางมาเป็นการยังชีพ

ไปทางตะวันตกของเมืองฉินหยางจะเป็นดินแดนป่าเถื่อน ทว่ามั่งคั่งไปด้วยสมุนไพรและอุดมไปด้วยแร่โลหะ กองคาราวานที่สัญจรไปมาล้วนต้องผ่านถนนเส้นนี้ และนี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทางราชสำนักต้องเร่งปราบปราม

"ฝ่าบาท คาดว่าคืนนี้เราจะต้องพักแรมกันกลางป่าเขาแล้วพ่ะย่ะค่ะ"หูจินเผิงสวมเครื่องแบบทหาร สะพายกระบี่โลหะทั้งหนาและหนักไว้ที่เอวสง่าผ่าเผยบารมีน่าเกรงขาม

"นี่มิใช่การค้างแรมกลางป่าครั้งแรกเสียเมื่อไร ไยต้องตื่นเต้นด้วย"จ้าวซานหลางซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้าพึมพำ หากมองเพียงภายนอกดูมีบุคลิกองอาจสมชายชาตรีอยู่บ้าง

ข้างรถม้ายังมีลูกม้าโตไม่เต็มวัยอีกหนึ่งตัว ขนสีแดงพุทรา สูงเพียงสองในสามของม้าที่โตเต็มวัย ต้องวิ่งเหยาะๆ จึงสามารถไล่ตามฝีเท้าขบวนกองทัพได้ทัน

ถังเยว่นั่งอยู่บนหลังม้าตัวนั้น มือกำบังเหียนไว้แน่นทั้งสองข้างสองขาหนีบแน่นแข็งเกร็ง ดูไม่เหมือนทหารม้ายิ่งกว่าผิงซุ่นซึ่งจัดว่ามีฝีมือขี่ม้าชั้นปลายแถวเสียอีก

เช้าวันนี้ จู่ๆ ถังเยว่ก็เกิดความคิดพิสดารนึกอยากเรียนขี่ม้าองค์ชายเจาจึงบอกให้คนไปหาม้ายังโตไม่เต็มวัยมีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กจากเมืองที่เดินทางผ่านมา เจ้าม้าน้อยนิสัยร่าเริงกระฉับกระเฉงแต่อ่อนโยนสอนง่าย เหมาะสำหรับผู้เริ่มหัดขี่

ถังเยว่ได้รับการชี้แนะจากหูจินเผิงครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดก็สามารถนั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้าได้ ช่วงเริ่มต้นยังต้องมีองครักษ์คอยจูงเดินภายหลังเขาบ่นว่าแบบนี้ดูไม่น่ามอง จึงดึงดันที่จะขี่เองให้ได้

ยังดีที่หลังจากเข้าสู่ภูมิประเทศที่เป็นเนินเขา ระดับความเร็วของกองทัพช้าลง เขาจึงสามารถขี่ลูกม้าน้อยตามมาอยู่ข้างรถม้าขององค์ชายเจาได้ทัน ทั้งสองสนทนากันบ้างเป็นครั้งคราว บางครั้งก็ชมทัศนียภาพข้างทางทำให้รู้สึกว่าการเดินทางมิได้น่าเบื่อ

เนื่องจากไม่มีพื้นที่ราบซึ่งกว้างใหญ่เพียงพอ ขบวนกองทัพจึงต้องแยกย้ายกันเป็นกลุ่มย่อยเพื่อไปตั้งค่าย ถังเยว่พาคนมาด้วยน้อยที่สุดจำต้องอยู่รวมกับขบวนขององค์ชายเจา จึงมองไม่เห็นแววตาเศร้าสร้อยของจ้าวซานหลางและผิงซุ่นที่ต้องแยกไปอยู่อีกกลุ่ม

เขาจับมือซานเพื่อพยุงตัวลงจากหลังม้า ขาทั้งสองข้างในตอนนี้ราวกับไม่ใช่ขาของตัวเองเพราะชาดิกจนไร้ความรู้สึก เหยียบลงไปบนพื้นยังไม่รับรู้ถึงสัมผัสที่เท้าแตะพื้นเลยแม้แต่น้อย

"เป็นอย่างไรบ้าง?" องค์ชายเจาเดินเข้ามาอย่างมั่นคง ทั้งสองเมื่อเทียบกันในตอนนี้กลับเป็นถังเยว่ที่มีสภาพเหมือนผู้ป่วยขาได้รับบาดเจ็บทั้งสองข้างมากกว่าเสียด้วยซ้ำ

"ก็ดีพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทไม่ทรงเห็นหรือว่ากระหม่อมขี่ม้าได้คล่องแล้วอีกไม่นานก็สามารถเปลี่ยนไปขี่ม้าที่องอาจผึ่งผายโตเต็มวัยได้"

เพิ่งจะพูดอย่างลำพองใจจบ ฝ่าเท้าก็เหยียบโดนหลุม ล้มคะมำไปข้างหน้าทั้งตัว

"ให้ ... อ๊ะ ... " องค์ชายเจาที่อยู่ด้านหน้าหลบไม่ทัน จำต้องใช้หลังรับร่างถังเยว่ที่เซถลามาชน

ใบหน้าถังเยว่กระแทกกับแผ่นหลังของอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง ฟันขบริมฝีปาก กลิ่นคาวเลือดคลุ้งไปทั่วทั้งโพรงปาก มือทั้งสองข้างคว้าหาสิ่งพยุงตัวตามสัญชาตญาณ น้ำหนักทั้งตัวจึงโถมเข้าทับแผ่นหลังผู้ที่อยู่ด้านหน้าไปเต็มที่

องค์ชายเจาเสียหลักเซไปข้างหน้าเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวก็สามารถทรงตัวยืนได้อย่างมั่นคง เขาก้มดูเรียวแขนที่กำลังกอดเอวตนเอาไว้แน่น พลันรู้สึกว่าผิวบริเวณนั้นร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างน่าพิศวง

ด้วยฐานะองค์ชาย เขาสัมผัสถูกต้องเนื้อตัวกับผู้อื่นน้อยมาก ยกเว้นสมัยเด็กที่ยังมิรู้ความ หลังจากเจริญวัยขึ้นมาก็ดูเหมือนจะเพิ่งมีถังเยว่นี่เองที่สัมผัสใกล้ชิดกันมากที่สุด

รู้สึกเจ็บเล็กน้อยบริเวณแผ่นหลังที่ถูกกระแทก ทว่าเมื่อถูกลมหายใจอุ่นๆ ของคนที่อยู่ด้านหลังรินรด ความเจ็บก็พลันสลายจางหายไปกลับกลายเป็นจั๊กจี้

"ขอประทานอภัย กระหม่อมมิได้ตั้งใจ"

ถังเยว่ผวารีบทรงตัวยืนตรง แม้สัมผัสแข็งตึงใต้ฝ่ามือจะทำให้เกิดความรู้สึกอาวรณ์อยู่บ้างแต่ก็ต้องพยายามขยับตัวเคลื่อนออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ

องค์ชายเจาชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วก้าวเดินต่อไปข้างหน้าด้วยท่าทางปกติ เพียงแค่หันไปสั่งด้วยเสียงดังขึ้นเล็กน้อย "เด็กๆ ขาคุณชายถังไม่มีแรง มาช่วยพยุงเขาเดินไปที"

ถังเยว่ทุบขาที่ยังชาหนึบ ขณะรับการช่วยประคองจากคนอื่นด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน

กระทั่งกระโจมสร้างเสร็จแล้ว ถังเยว่พบว่าห้องเดี่ยวส่วนตัวของตนก่อนหน้านี้ไม่มีแล้ว คาดไม่ถึงว่าต้องเบียดอยู่ห้องเดียวกับหูจินเผิง

"ภูมิประเทศกลางป่ากลางเขาไม่ค่อยมีพื้นที่ราบ ตั้งกระโจมได้อย่างจำกัด ต้องทนอยู่แบบนี้ไปก่อน" หูจินเผิงถอดเสื้อเกราะออกพร้อมอธิบาย

ถังเยว่ไม่ถือสาที่ต้องพักร่วมห้องกับคนอื่น เมื่อก่อนออกไปใช้ชีวิตนอกบ้าน ตอนนั่งรถไฟยังต้องเบียดกับคนเป็นร้อย ได้พักสองคนต่อห้องนับว่าไม่เลวแล้ว

เพียงแต่พี่ชายสุดหล่อกับตนต้องนอนด้วยกันเช่นนี้ หากกลางดึกเกิดคึกคะนองมีความคิดไม่ดีไม่งามขึ้นมา เขาจะข่มกลั้นหรือรุกใส่แบบสู้ตายดีนะ?

ถังเยว่ยืนอึ้งอยู่ด้านหลังหูจินเผิงพักใหญ่ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย

"พี่หู ท่านเข้าสู่สนามรบตั้งแต่อายุเท่าไร? รอยแผลเป็นบนแผ่นหลังท่านคาดว่าคงมีมาจวนสิบปีแล้วกระมัง"

"สมกับที่เป็นหมอเทวดา คุณชายกล่าวถูกต้องแล้ว บาดแผลนี้เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน ตอนนั้นข้าเพิ่งร่วมออกรบ มุทะลุบุ่มบ่าม จึงถูกคมดาบจากด้านหลัง ดูน่ากลัวใช่หรือไม่?"

"ไม่หรอก บุรุษนี่นะ ต้องมีแผลเป็นบ้างสักสองสามรอย จะได้ดูสมเป็นชายชาตรี แต่หากตอนนั้นท่านได้พบข้า รอยแผลเป็นคงไม่เด่นชัดถึงเพียงนี้"

หากได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง ย่อมเป็นผลดีต่อสภาพผิวหนังหลังบาดแผลสมานตัว ดังนั้นผู้คนส่วนใหญ่หลังได้รับบาดเจ็บจึงนิยมไปเย็บแผลที่โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่ง ก็เพื่อที่เมื่อบาดแผลหายดีแล้วจะได้ไม่เหลือร่องรอยแผลเป็นทิ้งไว้

"ฮ่าๆ ตอนนั้นคุณชายเพิ่งอายุได้ไม่กี่ขวบ ต่อให้ได้พบกันจริง ท่านจะทำอะไรได้?"

ถังเยว่เองก็หัวเราะ เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อสิบปีก่อนเขายังไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับโลกยุคนี้ เรื่องที่ว่าจะได้พบกันยิ่งเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!

ไม่นานก็มีคนนำอาหารมาส่ง ถังเยว่ได้กลิ่นของอาหารที่ดูน่าจะรสชาติดีกว่าเมื่อหลายวันก่อน

เขาเลือกเนื้อชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากในจานกับข้าว แล้วส่งเสียงจุปาก "วันนี้มีของดีให้กินซะด้วย มีเรื่องน่ายินดีอันใดหรือ?"

หูจินเผิงกำลังอ้าปากกินข้าวคำโต คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพล้วนเป็นเช่นนี้ กินข้าวได้ดูน่าอร่อยมาก หลังกลืนอาหารลงคอแล้วถึงเอ่ยปากอธิบายn "พรุ่งนี้จะถึงเมืองฉินหยาง เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของเหล่าทหาร ก่อนออกรบหนึ่งวันต้องกินของดีๆ ให้อิ่มหมีพีมัน โดยไม่ต้องใส่ใจสิ่งใดทั้งสิ้น"

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ถังเยว่กัดเนื้อที่ไม่มีกลิ่นหอม รับรู้ได้ว่ารสชาติค่อนข้างดี มิน่าล่ะถึงได้มีคนกล่าวไว้ว่าข้าวมื้อก่อนหัวจะขาดมักอร่อยเป็นพิเศษ

ถุยๆ! เอาคำพูดพล่อยๆ ของเด็กน้อยมาคิดในเวลานี้ได้อย่างไร!ถังเยว์รีบแอบถ่มน้ำลายทิ้ง

"เมื่อถึงเมืองฉินหยางแล้วต้องพักก่อนจึงค่อยไปปราบโจรใช่หรือไม่?"

หูจินเผิงส่ายหน้า "ตามข่าวที่แจ้งมา รังโจรอยู่ในเส้นทางที่เราจำเป็นต้องผ่านเพื่อเข้าสู่เมืองฉินหยาง ไม่แน่ว่าอาจได้ปะทะกันตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าเมืองด้วยซ้ำ"

พอได้ยินอีกฝ่ายบอกแบบนั้น ถังเยว่ก็รีบตักข้าวยัดใส่ปากหมดภายในสามคำแล้วทิ้งชามข้าวรีบวิ่งไปหาจ้าวซานหลางกับผิงซุ่นทันที

เขาไม่ลืมว่าเจ้าซื่อบื้อทั้งสองมีภารกิจต้องสังหารพวกโจรคนละหนึ่งชีวิต แต่ที่ไม่รู้คือพวกเขาจะเอาชีวิตผู้อื่นหรือถูกผู้อื่นปลิดชีพกันแน่!

จ้าวซานหลางกับผิงซุ่นพักอยู่อีกด้านหนึ่งของยอดเขา ถังเยว่ฝ่าออกมาจากป่ากลางเขาต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยาม ได้พบหมาป่าหนึ่งฝูง เสือหนึ่งตัว ทำให้กระต่ายป่าสุนัขป่าตกใจแตกตื่นเผ่นหนีไปอีกหลายตัว

โชคดีที่เขาพาองครักษ์มาด้วยหลายคน ฝูงหมาป่าเห็นมาแต่ไกลยังไม่ทันจะได้เข้ามาใกล้ก็ล่าถอยไปก่อน ส่วนเสือที่ไม่ประเมินสถานการณ์ตัวนั้นถูกซานและพวกจัดการเรียบร้อย

เห็นสัตว์ป่าคุ้มครองของชาติต้องมาตายไปแบบนี้ถังเยว่แทบทนทำใจรับไม่ไหว ได้แต่นึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจพักใหญ่

ตอนที่หาจ้าวซานหลางเจอ ก็พบว่าเขากำลังเปิดฉากต่อยตีกับผิงซุ่นอีกแล้ว องครักษ์ของสองตระกูลต่างฝ่ายต่างยึดพื้นที่คนละฝั่ง คอยส่งเสียงยุยงให้เจ้านายตัวเองฮึกเหิม

เมื่อถังเยว่ไปถึงพวกเขาก็ต่อยตีกันจนใกล้เลิกราแล้ว ยังคงเป็นจ้าวซานหลางที่เป็นฝ่ายชนะ ทว่าก็มิได้เป็นฝ่ายได้เปรียบสักเท่าไร บนใบหน้ามีทั้งแผลเก่าแผลใหม่เต็มไปหมด ภาพลักษณ์หนุ่มรูปงามปลิวสลายหายไปนานแล้ว

"ในเมื่อมีพละกำลังและความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กันขนาดนี้ พรุ่งนี้ข้าก็คงไม่ต้องเป็นห่วงพวกเจ้าว่าจะถูกพวกโจรสังหารแล้วสินะ" ถังเยว่เอ่ยเย้า

"พรุ่งนี้!" คุณชายทั้งสองตะโกนออกมาพร้อมกัน อ้าปากค้างไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร

ไม่มีอารมณ์สนุกพอจะตีต่อยกันแล้ว ทั้งสองเปลี่ยนเป็นญาติดีต่อกัน ใช้น้ำในกะละมังเดียวกันล้างมือแล้วรีบจูงถังเยว่เข้าไปหารือในกระโจมอย่างเป็นงานเป็นการ

ลูกไม้เล็กน้อยที่ถังเยว่เคยถ่ายทอดแก่ผิงซุ่นก่อนหน้านี้ก็สอนให้จ้าวซานหลางด้วยเช่นกัน แม้กระทั่งยาก็เตรียมไว้ให้เขาหนึ่งชุดเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน

"จำไว้ อย่าอวดดีเป็นอันขาด ไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าชีวิต หากพวกเจ้าจะต้องไปเป็นคนขับรถม้าจริง ข้าก็จะ ... "

"จะไปเป็นเพื่อนพวกเรางั้นหรือ?" จ้าวซานหลางถามอย่างตื่นเต้น

ถังเยว่กลอกตา "เรื่องน่าขายหน้าเช่นนั้นข้าไม่ทำเป็นอันขาด แต่ข้าสามารถปลอบประโลมทางใจให้กับพวกเจ้าได้"

"ปลอบประโลมทางใจ? อย่างไร?"

"ก็แบบนี้ไง ... " พูดจบถังเยว่ก็สวมกอดจ้าวซานหลางกับผิงซุ่น "พยายามเข้าล่ะ ทำให้องค์ชายเจาเห็นถึงความสามารถของพวกเจ้าให้จงได้!"

สองคนที่ถูกกอดตั้งสติไม่ทัน ในยุคนี้ยังไม่นิยมแสดงกิริยาใกล้ชิดกันแบบนี้ นอกจากจะทำให้คนตกใจแล้วยังทำให้เกิดความเข้าใจผิดในแง่ไม่ดีไม่งามอีกด้วย

โดยเฉพาะจ้าวซานหลางที่ก้มหน้าไม่พูดไม่จาทำท่าประดักประเดิดเวลาผ่านไปครู่หนึ่งถึงโพล่งออกมาหนึ่งประโยค "ข้ารักเทิดทูนท่านหญิงฮุ่ยจูเจ้า ... เจ้า ... ไม่มีโอกาสหรอก"

ถังเยว่มุมปากกระตุก แทบอยากจับอีกฝ่ายโยนลงเขาให้ไปเป็นอาหารฝูงหมาป่า

"ต่อให้เจ้ามีความคิดเช่นนี้ข้าก็ไม่เอาด้วยหรอก นอกจากใบหน้าดวงนี้แล้วเจ้ามีอะไรดีอีกบ้าง?"

จ้าวซานหลางไม่ยอมแพ้ "แน่นอนว่าหน้าตาข้าเป็นข้อได้เปรียบที่สุด ทุกครั้งที่ข้าไปข้างนอกมีสตรีโยนผ้าเช็ดหน้าให้เก็บตั้งไม่รู้เท่าไร"

"ถ้าเจ้ามีความสามารถพอก็เชิญพวกนางมาช่วยเจ้าฆ่าคนสิ!"ถังเยว่แค่นเสียงขึ้นจมูก

จ้าวซานหลางแบกทวนยาวของตัวเอง กวัดแกว่งด้วยท่วงท่างดงาม "หลายวันมานี้ข้าฝึกฝนอย่างหนัก แค่ต่อกรกับพวกโจรกระจอกย่อมมิใช่ปัญหา"

"ขอให้เป็นเช่นนั้นเถอะ"

ทว่าถังเยว่ไม่ได้มองโลกในแง่ดีขนาดนั้น จึงหยิบยาให้พวกเขาอีกสองขวดแล้วกำชับซ้ำอีกหลายรอบ


 

79 ป่าเถื่อนชะมัด

 

เมื่อกลับมาถึงกระโจม ถังเยว่ตรวจดูยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่พวกเขานำมาด้วยอีกหนึ่งรอบ จากนั้นก็สั่งให้คนแบกเสือที่ล่าได้ไปหาองค์ชายเจา

องค์ชายเจาพักอยู่ในกระโจมส่วนตัว ตอนถังเยว่เข้าไปฝ่ายนั้นกำลังสนทนาอยู่กับหูจินเผิง ข้างมือมีท่อนไม้ไผ่ลำหนึ่งวางอยู่ รูปทรงของสิ่งนั้นดูคุ้นตามาก

"เอ ... นี่ไม่ใช่ ... " เข็มฉีดยาที่เขาต้องการจะทำหรอกหรือ !?

ถังเยว่หยิบท่อนไม้ไผ่นั้นขึ้นมาถือไว้มือ พลิกไปมาพิจารณาอยู่หลายรอบ สีหน้าแสดงความประหลาดใจระคนยินดีจนลืมว่าหูจินเผิงก็อยู่ตรงนั้นด้วย เขารีบเอ่ยถาม "ฝ่าบาท ทรงทำเองหรือ?"

ภาพร่างที่เขาวาดมีเพียงพวกเขาสองคนที่เห็น เชื่อว่าอย่างไรเสียองค์ชายเจาคงไม่แพร่งพรายออกไปส่งเดช อีกอย่างหากคนที่เห็นเป็นหูจินเผิง เขาก็ไม่กังวลเลยสักนิด นิสัยของคนผู้นี้เชื่อถือได้

องค์ชายเจาพยักหน้า ชี้ไปที่ส่วนปลายของเข็มฉีดยาแล้วตอบ "ส่วนของลูกสูบที่เจ้าบอก ข้ายังไม่ค่อยเข้าใจดีนัก ไม่รู้ว่าทำออกมาได้ถูกต้องหรือไม่"

ถังเยว่ต้องการทำเข็มฉีดยาแบบง่ายๆ ประกอบด้วยตัวเข็มหนึ่งกระบอกฉีดหนึ่ง ลูกสูบหนึ่ง สิ่งที่เห็นอยู่นี้นอกจากตัวเข็มแล้วส่วนอื่นล้วนทำมาจากไม้ไผ่ เรียบง่ายมาก

ตัวเข็มนั้นเขาได้สั่งให้ช่างฝีมือทำเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ในยุคนี้ไร้หนทางที่จะทำแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง จำต้องใช้วนไป ขอเพียงฆ่าเชื้อให้สะอาดเท่านั้นก็ไม่น่ามีปัญหา

คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าองค์ชายเจาจะสามารถทำเข็มฉีดยาได้ภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ มิหนำซ้ำหน้าตายังดูเข้าท่าเข้าทีอีกต่างหาก

ถังเยว่วิ่งไปรินน้ำมาหนึ่งชาม จากนั้นก็ใช้กระบอกฉีดยาที่ทำจากไม้ไผ่นี้ค่อยๆ สูบน้ำเข้าไปต่อหน้าองค์ชายเจาและหูจินเผิง แล้วค่อยๆ กดฉีดน้ำออกมา เขาทดลองซ้ำสามครั้งแล้วบอกว่า "ลูกสูบหลวมเกินไป แรงดันอากาศข้างในไม่พอ"

แน่นอนว่าผู้ชมทั้งสองย่อมไม่เข้าใจว่าแรงดันอากาศคืออะไร แต่ฟังกว่าครึ่งของประโยคแรกเข้าใจ ใบหน้าใสขององค์ชายเจาแดงระเรื่อขึ้นเมื่อเห็นว่าการทดลองใช้กระบอกฉีดยาประสบผลไม่ดีเท่าที่ควร

"ข้าเพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรก ย่อมมิอาจหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด"

ถังเยว่หัวเราะลั่น "ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ฝ่าบาททรงปราดเปรื่องยิ่งนัก ทอดพระเนตรภาพวาดเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำเข็มฉีดยาออกมาได้เช่นนี้ นับว่าทรงปรีชามากแล้ว"

นี่คำเป็นสรรเสริญเยินยอจากใจจริง คนยุคปัจจุบันเคยเห็นเข็มฉีดยารู้หลักการของมัน ดังนั้นหากจะสร้างมันขึ้นมาจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเห็นของจริง เห็นแค่ภาพวาด มิหนำซ้ำดูเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้เป็นจริงได้ในระดับนี้ นับเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง

ถังเยวไม่เคยสงสัยในระดับสติปัญญาขององค์ชายเจาเลยสักครั้งบุคคลผู้นี้หากข้ามมิติไปอยู่ในยุคปัจจุบัน ต้องได้เป็นตัวแทนนักเรียนระดับหัวกะทิแน่

หูจินเผิงมองไม้ไผ่ท่อนนั้นอย่างสนใจใคร่รู้ "ท่อนไม้ไผ่นี่มีประโยชน์อันใดหรือ?"

ถังเยว่จงใจเอาส่วนของตัวเข็มยื่นเข้าไปใกล้อีกฝ่าย แล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำอึมครึม

"เพียงใช้เข็มนี้จิ้มไปในร่างท่าน มันก็จะสามารถสูบเลือดในตัวท่านออกมาได้ จากนั้น ... ฮิฮิ ... "

หูจินเผิงผงะถอยหลังไปหนึ่งก้าว มองเข็มเล็กๆ นั้นด้วยสีหน้าแข็งค้าง พลันเกิดเสียงโครมดังลั่น คาดไม่ถึงว่ารองแม่ทัพหูผู้องอาจจะล้มลงหมดสติไปแล้ว!

ถังเยว่หันไปมององค์ชายเจาด้วยสีหน้าแสดงความบริสุทธิ์ใจ "กระหม่อม ... ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ"

องค์ชายเจาขมวดคิ้ว ขยับตัวลุกขึ้นไปดูหูจินเผิงพบว่าเป็นลมไปจริงๆ จึงเคลื่อนสายตามามองเข็มฉีดยาในมือถังเยว่

ถังเยว่ตบท้ายทอยตัวเองเบาๆ แล้วร้องออกมาดังลั่น "หรือว่าพี่หูท่าน ... กลัวเข็มฉีดยา!"

หูจินเผิงผู้เป็นถึงรองแม่ทัพ แต่เป็นลมเพราะเข็มฉีดยา! คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าชายฉกรรจ์ผู้แข็งแกร่งห้าวหาญ ผ่านคมหอกคมดาบและศึกสงครามมานับร้อยพันจะกลัวเข็มฉีดยา!

เขาวางสิ่งที่อยู่ในมือลง ผายมือสองข้างออกพร้อมกับอธิบาย

"มีบางคนพอเห็นเข็มแบบนี้แล้วเป็นลม คล้ายกับบางคนที่เวลาเห็นเลือดแล้วเป็นลม"

"เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?"

"เอ่อ ... " เรื่องนี้ยากจะอธิบาย อาการกลัวเข็มฉีดยาเกิดได้จากหลายสาเหตุ บ้างก็เป็นภาวะอาการทางจิต บ้างก็มีสาเหตุมาจากร่างกาย "ไม่แน่ว่าเขาอาจตื่นเต้นเกินไป" ถังเยว่ตอบอย่างไม่มั่นใจนัก

เขาเดินเข้าไปหยิกหูจินเผิง ฝ่ายนั้นฟื้นขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังได้สติก็มองเขาด้วยสีหน้างุนงง

ถังเยว่จำต้องอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เจ้าตัวฟัง อาการกลัวเข็มนั้นมีอยู่จริง แต่คนที่มีสุขภาพแข็งแรงและไม่ใช่คนขี้ขลาดอย่างหูจินเผิงจู่ๆ กลับเกิดอาการนี้ขึ้นมา นับเป็นเรื่องที่เข้าใจยากไปสักหน่อย

เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หูจินเผิงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจจนทำตัวไม่ถูกจึงหาข้ออ้างปลีกตัวออกไป

ถังเยว่แอบคิดในใจ เรื่องนี้เขาคงจดจำไปชั่วชีวิต นี่ไม่ใช่จุดอ่อนเล็กๆ เสียด้วย ถือเป็นการเอาคืนเรื่องราวก่อนหน้านี้ก็แล้วกัน!

องค์ชายเจาหยิบเข็มฉีดยามาทดลองดูครั้งหนึ่ง ตอนที่นิ้วกดลงไปทำให้ลูกสูบในท่อนไม้ไผ่ดันน้ำออกมาได้นั้น รู้สึกว่าน่าสนใจมาก

แต่พอคิดว่าของสิ่งนี้จะถูกนำมาใช้กับร่างกายคน ก็รู้สึกขนลุกชันขึ้นมาทันที

"สามารถสูบเลือดออกมาจากตัวคนได้จริงหรือ?" องค์ชายเจาถามขณะจ่อปลายเข็มไปที่แขนตน เตรียมจะทิ่มลงไปบนผิวเพื่อทดสอบ

ถังเยว์รีบยั้งมืออีกฝ่ายไว้ เขาอยากบอกเหลือเกินว่า 'พี่น้อง ไม่ต้องลงทุนขนาดนี้ก็ได้ แม้แต่เส้นเลือดท่านยังหาไม่เจอ หลอดเลือดดำหลอดเลือดแดงก็แยกไม่ออก ยังจะกล้าแทงเข็มลงไปในเนื้อตัวเองอีกหรือ น่านับถือจริงๆ'

เขาชี้ซากเสือที่ตายแล้วบนพื้นพลางเอ่ย "หากฝ่าบาทอยากจะทดสอบ ลองกับแมวใหญ่นั่นก็ได้ ห้ามทำอะไรกับร่างกายตนเองเป็นอันขาด"

ในตอนนี้องค์ชายเจาถึงเพิ่งสังเกตเห็นซากเสือ

"พบระหว่างทางหรือ?"

"พ่ะย่ะค่ะ เห็นพวกเราสี่สิบห้าสิบคนแล้วยังกล้าบุกเข้ามาอีก มีตาแต่ไร้แววจริงๆ"

"ในป่าเขาเช่นนี้แมวใหญ่ส่วนมากย่อมไม่เคยเจอผู้คน ในสายตาพวกมัน เห็นพวกเจ้าเป็นเพียงฝูงอาหารเท่านั้น"

องค์ชายเจาใช้เข็มฉีดยาแทงลงไปบนตัวเสือ ออกแรงดึงลูกสูบแล้วถอนออก ทว่ากลับไม่มีเลือดติดออกมาสักหยด

ถังเยว่ลองกดตัวเสือ ยังไม่แข็งเกร็ง เช่นนี้เลือดก็น่าจะยังไม่แข็งตัวมีความเป็นไปได้สูงมากที่อีกฝ่ายอาจแทงไม่ถูกหลอดเลือด

"มานี่ กระหม่อมจะสอนให้" เขาใช้มีดโกนขนบริเวณคอเสือออกไปบางส่วน แล้วแทงเข็มฉีดยาลงไป ก่อนจะค่อยๆ ดึงลูกสูบให้ขยับ "ต้องดึงลูกสูบให้เคลื่อนตัวออกมาช้าๆ แบบนี้ จะไม่ค่อยเจ็บเท่าไร"

จากนั้นก็ดึงเข็มออกมา เขย่ากระบอกฉีดยาเล็กน้อย เลือดในหลอดมีไม่มากนัก ดูท่าว่าซากเสือคงเริ่มแข็งตัวแล้ว

องค์ชายเจาทดสอบด้วยตัวเอง รู้สึกไม่ค่อยพอใจนักกับผลที่ได้

"หากอยากได้เลือดเหตุใดต้องยุ่งยากถึงเพียงนี้ ใช้มีดแทงลงไปโดยตรงแล้วเอาชามมารองไม่เร็วกว่าหรือ?"

ถังเยว่นิ่งอึ้ง กะพริบตาปริบๆ ขณะคิดในใจ 'ป่าเถื่อนชะมัด!'

"เอ่อ ... ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนหรือสิ่งมีชีวิต หากใช้มีดแทงลงไปก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัส"

เขาต้องการเลือดมาช่วยคน ไม่ใช่ต้องการฆ่าคน

องค์ชายเจาพยักหน้า ไม่รู้ว่ายอมรับคำตอบนี้จากใจจริงหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ไม่มองว่าเข็มฉีดยาเป็นแค่ของเล่นอีกแล้ว

"ในเมื่อเสือตัวนี้พวกเจ้าล่ามาได้ ก็เอาไปสิ เหตุใดจึงลากมาที่กระโจมข้า?"

"ทุกคนบอกว่าต้องการแสดงความกตัญญูต่อฝ่าบาท"

ความจริงถังเยว่ทำใจลงมือจัดการเองไม่ได้ จึงได้นำมามอบให้อีกฝ่าย

กระดูกเสือแช่เหล้าในตำราแพทย์แผนจีนบอกว่ามีสรรพคุณดีต่อเส้นเอ็น ทำให้ไตแข็งแรง ช่วยขจัดอาการหนาวเย็น แม้ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด แต่ก็เป็นตำรับยาที่สืบทอดแพร่หลายมานับพันปี ดังนั้นน่าจะพอมีเหตุผลที่เชื่อถือได้อยู่บ้าง

"ฝ่าบาทเหลือกระดูกไว้ให้กระหม่อมก็พอ"

ถึงอย่างไรเขาก็กินเนื้อเสือไม่ลงอยู่แล้ว บอกเลยว่าเอาชนะด่านในใจไม่ได้

องค์ชายเจาจึงไม่ปฏิเสธ จัดการแบ่งสรรปันส่วนและสั่งให้นำหนังเสือไปทำเสื้อกั๊กให้ถังเยว่ วันหน้าอากาศหนาว สุขภาพของถังเยว่อ่อนแอทั้งยังเป็นแพทย์ทหารเพียงคนเดียว ย่อมต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ

ถังเยว่ไม่ระแคะระคายว่าตนได้รับการดูแลเป็นพิเศษถึงเพียงนี้เขาถือเข็มฉีดยากลับไปนอนด้วยความตื่นเต้นดีใจ ฝันดีตลอดทั้งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นก็พบคราบชื้นบนกางเกง

เขาขยี้ผม สลัดภาพความฝันที่ยังติดค้างให้ออกไปจากความทรงจำคงเป็นเพราะหมู่นี้คลุกคลีใกล้ชิดกับองค์ชายเจามากเกินไป อีกทั้งฝ่ายนั้นยังเป็นชายหนุ่มรูปงามระดับคุณภาพดีเยี่ยม จึงไม่แปลกที่จะเข้ามาอยู่ในฝันของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ถึงอย่างไรเรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถควบคุมได้ สมัยก่อนตอนไม่มีแฟน คนที่เขาเก็บมาฝันก็คือดาราหรือไม่ก็นักกีฬาบางคน บางครั้งอาจเป็นชายหนุ่มรูปงามที่ได้พบปะเจอะเจอกันโดยบังเอิญ แต่ก็ไม่ได้มีความหมายพิเศษแต่อย่างใด

กระทั่งเขาล้างหน้าแปรงฟันเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ออกไปด้านนอกภาพแรกที่เห็นคือองค์ชายเจาสวมเสื้อตัวเดียวฝึกกระบี่ใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า ภาพบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในสมองพลันพรั่งพรูออกมา ทำให้เขาร้อนวูบวาบไปทั้งตัว

ถังเยว์รีบสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ให้อากาศเย็นๆ เข้าไปดับไฟราคะรุ่มร้อนในใจ รอจนร่างกายกลับคืนสู่สภาวะปกติถึงเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย

"สวัสดียามเช้า" ถังเยว่ยืนทักทายองค์ชายเจาในจุดที่ไม่ไกลกันนัก

เสียงฝึกภาคเช้าของเหล่าทหารดังสะท้อนก้องไปทั่วทั้งป่าเขา สลายความง่วงงุนของถังเยว่ไปจนหมดสิ้น ปลุกเขาให้เข้าสู่เช้าวันใหม่อย่างมีชีวิตชีวา

ในกองทัพมีเพียงถังเยว่กับองค์ชายเจาที่มีสิทธิ์ได้เสพสุขกับการนอนตื่นสาย ทว่าองค์ชายเจาเป็นคนตื่นเช้ามาตลอด ดังนั้นถังเยว่จึงพยายามไม่นอนตื่นสาย แต่อากาศแบบนี้ช่างเชิญชวนให้นอนซุกอยู่ในม้วนผ้าห่มเสียเหลือเกิน

องค์ชายเจาหันมาพยักหน้าให้ แต่ก็มิได้หยุดกระบวนท่าที่ทำอยู่สองมือกุมกระบี่แสนหนักอึ้ง ทำท่าจ้วงฟันซ้ำๆ แม้ท่วงท่าลีลาจะไม่ฉวัดเฉวียนเลิศล้ำอย่างในหนังกำลังภายใน แต่ถังเยว่รู้ว่ากระบวนท่าเรียบง่ายเช่นนี้ก็สามารถปลิดชีพคนได้ไม่ต่างกัน

กระบี่ในยุคนี้ไม่ใช่กระบี่เล่มบาง เป็นประกายเรืองรอง คมกริบและเงาวับจนสามารถสะท้อนเห็นเงาคนอย่างที่เขาคุ้นเคย ในยุคนี้ล้วนเป็นกระบี่ที่หนักมาก หลอมจากเหล็กกล้าสีดำทะมึน ตัวกระบี่กว้างและหนา ต้องใช้สองมือจับจึงจะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว

ถังเยว่เคยลองถือกระบี่ร่ายรำครั้งหนึ่ง ยังไม่ถึงสองกระบวนท่าก็รู้สึกแขนล้าจนปวดไปหมด อย่าว่าแต่ฆ่าคนเลย เกรงว่าแม้แต่ใช้กระบี่เชือดไก่ก็ยังยาก

มิน่าล่ะผู้ที่มีฝีมือเพลงดาบล้ำเลิศถึงเป็นที่ยกย่องของชนชั้นสูง ยอมจ่ายเงินก้อนโตเลี้ยงดูพวกเขาไว้เป็นองครักษ์ประจำตัว ทั้งยังให้อิสระอย่างเต็มที่

ถังเยว่มองดูร่างกายที่มิได้ล่ำสันบึกปึนขององค์ชายเจา เห็นแล้วสามารถจินตนาการได้ทันทีว่าเพื่อฝึกฝนเพลงกระบี่ คนผู้นี้ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจไปมากมายเพียงใด ก็เหมือนที่เขาพูดกับจ้าวซานหลาง ไม่ว่าทักษะฝีมือใดก็หาใช่อยู่ดีๆ จะมีขึ้นมาได้เอง หากไร้ซึ่งความมุ่งมั่นและการทุ่มเทที่มากพอย่อมไม่ประสบผลสำเร็จ


 

80 เรื่องนี้ยังต้องค่อยๆ ปรึกษากันให้ดีก่อน

 

หลังกินมื้อเช้าอิ่มแล้ว กองทัพก็เคลื่อนขบวนเดินทางต่อ เส้นทางสู่เมืองฉินหยางเปลี่ยนเป็นลดเลี้ยวเคี้ยวคด มีบางที่แม้แต่รถม้าก็ยังผ่านไปไม่ได้

องค์ชายเจาลงจากรถม้าเปลี่ยนมานั่งเกี้ยวแทน ถังเยว่ยังคงขี่ลูกม้าของเขาอยู่ท่ามกลางขบวนด้วยใจระทึก

ระหว่างทางผ่านหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีชาวบ้านอาศัยอยู่บางตาแค่ไม่กี่สิบหลังคาเรือน หูจินเผิงสั่งให้กองทัพหยุดพักสักครู่ ถือโอกาสบอกให้ทหารไปขอน้ำดื่มจากคนในหมู่บ้าน

"เหตุใดหมู่บ้านแห่งนี้ถึงได้เงียบสงัดยิ่งนัก" จ้าวซานหลางกระโดดลงจากหลังม้า แบกทวนยาว เดินไปยังทางเข้าหมู่บ้านเพื่อตรวจตราดูโดยรอบ

วันนี้เขาดูคึกคักตื่นตัวเป็นพิเศษตั้งแต่ออกเดินทาง ขณะนั่งอยู่บนหลังม้าบางทีก็ขับกลอน บางทีก็ร้องเพลง ละม้ายคล้ายผู้ป่วยทางจิตไม่ผิดเพี้ยน

โชคดีที่ขบวนยาว คนมาก ผู้ที่ได้เห็นท่าทางเหมือนคนวิกลจริตของเขาจึงมีน้อย ถังเยว่เองก็พยายามที่จะไม่ไปเย้าแหย่ ด้วยเกรงว่าหากไปกระตุ้นถูกต่อมอะไรเข้า ฝ่ายนั้นอาจหงุดหงิดจนควบคุมตัวเองไม่ได้

หูจินเผิงส่งทหารกลุ่มเล็กราวยี่สิบคนเข้าไปสำรวจหมู่บ้าน พอเห็นจ้าวซานหลางถือทวนออกมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกก็พูดปลอบ "บางทีพอเห็นพวกเราผ่านมา ชาวบ้านอาจตกใจก็เลยพากันหลบซ่อนตัว"

กำลังทหารนับพันนายของพวกเขาเคลื่อนทัพมาทั้งโขยง ตลอดทางอย่าว่าแต่ตกเป็นเป้าสายตา กล่าวกันตามจริงคือไปถึงที่ไหนผู้คนล้วนแตกฮือ น่าพรั่นพรึงยิ่งกว่าสัตว์ป่าที่ดุร้าย

จ้าวซานหลางจับทวนตั้งตรงกับพื้น ปาดเหงื่อที่หน้าผาก ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทั้งที่เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อากาศค่อนข้างเย็น อีกทั้งเขายังไม่ใช่ซื่อจื่อแห่งเหิงกั๋วกงที่ขยับนิดขยับหน่อยก็เหงื่อแตกเต็มตัวถึงกระนั้นวันนี้กลับเอาแต่บ่นว่าอากาศร้อนได้ไม่หยุด

"พี่หู ท่านว่าโจรภูเขาพวกนั้นจะปรากฏตัววันนี้จริงหรือ?"

"จะปรากฏตัวหรือไม่มิอาจล่วงรู้ได้ แต่วันนี้พวกเราจะต้องผ่านไปยังละแวกนั้นแน่ คาดว่าภายในหนึ่งชั่วยามนี่ละ"

"เช่นนั้น ... ถ้าไม่เจอพวกมันในวันนี้ พวกเราก็ไปตั้งหลักที่เมืองฉินหยางสักสองสามวันก่อน แล้วค่อยวางแผนกันใหม่ใช่หรือไม่?"

หูจินเผิงปรายตามองคนพูดแวบหนึ่ง ก่อนตอบเสียงเรียบ

"การเดินทางครั้งนี้มิได้รีบร้อน จึงไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าเมืองเพื่อตั้งหลัก องค์ชายไม่อยากรบกวนให้ราษฎรต้องเดือดร้อน"

เพียงเอ่ยชื่อองค์ชายเจา จ้าวซานหลางแม้มีคำพูดมากมายอยากจะเอ่ยแต่ก็ไม่กล้ากล่าวออกมา นั่นเพราะเขาตั้งใจจะติดตามองค์ชายเจานับจากนี้ ส่วนภารกิจสังหารศัตรูที่ได้รับมอบหมาย เขาวางแผนไว้ว่ารอให้ซ่องโจรร้ายถูกทลาย เขาค่อยหาโจรที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสสักคนแล้วแทงซ้ำไปอีกแผล ถึงอย่างไรเงื่อนไขก็บอกไว้แค่สังหารศัตรูหนึ่งคน มิได้กำหนดว่าฆ่าเมื่อไรและอย่างไร

เขารู้สึกว่าตัวเองช่างฉลาดเลิศเหลือล้ำ!

จ้าวซานหลางรีบวิ่งนำความคิดนี้กลับไปแบ่งปันแก่ผิงซุ่น ถือโอกาสส่งสายตาและรอยยิ้มกระหยิ่มให้ถังเยว่ ทำเอาเขาตกใจตะลึงงัน นึกว่าสหายมีอาการโรคลมบ้าหมูกำเริบ

เหล่าทหารที่เข้าไปในหมู่บ้านเพียงไม่นานก็กลับออกมา ในมือหิ้วกาน้ำมาด้วยหลายใบ หนึ่งในนั้นส่งกาน้ำให้หูจินเผิงพร้อมกับกล่าวรายงาน

"เรียนท่านรองแม่ทัพ ในหมู่บ้านมีแค่เด็ก สตรี คนชรา คนหนุ่มที่แข็งแรงไม่มีให้เห็นเลยสักคนขอรับ"

"อ้อ แล้วเจ้าได้ถามมาหรือไม่ว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?"

"ท่านน้าคนหนึ่งบอกว่าหนุ่มสาวในหมู่บ้านออกไปทำงานหาเลี้ยงชีพยังต่างเมือง จะกลับมาในตอนช่วงฉลองตรุษจีนของทุกปี"

สภาพการณ์เช่นนี้มีให้เห็นอยู่ดาษดื่น โดยเฉพาะในปีที่ประสบปัญหาข้าวยากหมากแพงทำไร่นาไม่ได้ผล ชาวบ้านที่อาศัยผืนแผ่นดินในการยังชีพเมื่อผลผลิตไม่ดีย่อมต้องเข้าเมืองไปหางานทำ เพื่อนำรายได้มาจุนเจือครอบครัว

หูจินเผิงมองดูพระอาทิตย์ แล้วเอ่ยถามองค์ชายเจา "ฝ่าบาท เราพักกินข้าวกลางวันกันที่นี่แล้วค่อยออกเดินทางต่อ ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?"

เบื้องหน้ามีความเป็นไปได้สูงมากที่พวกเขาจะต้องเผชิญกับเหล่าโจรร้าย ย่อมต้องเกิดการปะทะต่อสู้กันอย่างเลี่ยงไม่ได้

องค์ชายเจาพยักหน้า "ได้ กินข้าวเสร็จแล้วให้ทุกคนตรวจตราอาวุธยุทโธปกรณ์ให้เรียบร้อย ยาห้ามเลือดที่คุณชายถังจัดเตรียมมา ให้ทุกคนพกติดตัวไปด้วย"

นี่เป็นของที่ถังเยว่เตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง ตามความคิดเขาทหารทุกคนควรมีถุงปฐมพยาบาลติดตัว ในนั้นบรรจุยาสำหรับใช้เบื้องต้นที่ตระเตรียมไว้พร้อมสรรพจำนวนหนึ่ง หากได้รับบาดเจ็บก็สามารถบรรเทาอาการไม่ให้ทรุดหนัก ยืดเวลาชีวิตออกไปเพื่อรอรับการช่วยเหลือ

ในสมรภูมิที่ทั้งสองฝ่ายต่างขับเคี่ยวกันด้วยเวลาและชีวิต หากสามารถยื้อชีวิตได้อีกหนึ่งนาทีก็เท่ากับมีโอกาสรอดมากขึ้นอีกหนึ่งส่วน

แต่สถานการณ์ในตอนนี้มิได้เป็นไปดังวาดหวัง ปริมาณยาสำหรับหนึ่งพันคนไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ยาห้ามเลือดที่เตรียมไว้นั้นผลิตขึ้นตามตำรับยาที่เขาค้นคว้าและจัดทำขึ้นเอง ในเวลากระชั้นชิดเช่นนี้จึงสามารถทำออกมาได้ในจำนวนจำกัด

เหล่าพลทหารก่อกองไฟตรงที่ว่างหน้าหมู่บ้าน ทำตะแกรงขึ้นมาปิ้งแผ่นแป้งแล้วต้มน้ำร้อนกินคู่กัน

ถังเยว่สังเกตเห็นว่า ในหมู่บ้านมีคนโผล่หน้าออกมาดูพวกเขาเป็นระยะ โดยเฉพาะตอนที่พวกเขากินอาหาร แววตาที่แอบมองมายิ่งเปล่งแสงแรงกล้า ราวกับจะแผดเผามือของพวกเขาให้มอดไหม้กลายเป็นโพรง

ถังเยว่วางอาหารลง กระซิบถามองค์ชายเจา "พวกเรายังมีเสบียงเหลือบ้างหรือไม่? สามารถแบ่งปันให้คนในหมู่บ้านได้หรือเปล่า?"

องค์ชายเจาหันมองด้วยความประหลาดใจ สาเหตุที่เขาพยายามเลี่ยงการค้างแรมตามหมู่บ้านมาตลอดทาง ก็เพราะต้องการหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้

ราษฎรมีชีวิตความเป็นอยู่ลำบากยากแค้น คนที่กินไม่อิ่มนอนไม่อุ่นมีอยู่กลาดเกลื่อน หากเป็นคนมีจิตเมตตาย่อมมีใจอยากช่วยเหลือเจือจุนพวกเขาอย่างไม่อาจห้าม โดยเฉพาะเหล่าทหารหาญที่มีชาติกำเนิดมาจากครอบครัวยากจนข้นแค้นด้วยแล้ว มักใจอ่อนเป็นที่สุด

แต่กองทัพออกเดินทางไกลในต่างถิ่น จะนำเสบียงติดตัวมาด้วยในปริมาณมากย่อมเป็นไปไม่ได้ แค่ไม่รีดไถเสบียงจากชาวบ้านก็นับว่าเมตตามากแล้ว เรื่องจะมีอาหารเหลือพอแบ่งปันให้พวกเขาได้นั้นจะเป็นไปได้อย่างไร?

"แผ่นดินกว้างใหญ่ เจ้าสามารถช่วยเหลือคนได้สักกี่คน ต่อให้นำอาหารทั้งหมดที่มีมอบให้พวกเขา อย่างดีก็แค่ช่วยประทังความหิวได้วันสองวัน แล้วหลังจากนั้นล่ะ?"

ถังเยว่ฟังแล้วถึงเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองถามคำถามโง่งมออกไป ในโลกปัจจุบันที่จากมาเขาไม่ค่อยได้ทำบุญ ไม่เคยร่วมงานจิตอาสา ไม่เคยช่วยสุนัขเร่ร่อนข้างทาง มีแค่หากทางสถานศึกษามาเรี่ยไรให้ช่วยกันบริจาคก็บริจาคไปบ้างพอเป็นพิธี เหตุใดพอมาอยู่ในยุคนี้จึงกลายเป็นผู้มีจิตเมตตาดั่งพระโพธิสัตว์ไปได้?

"กระหม่อมเข้าใจแล้ว แค่พลั้งปาก เผลอพูดจาเหลวไหล ฝ่าบาทโปรดอย่าได้ถือสา"

พูดจบก็บิแผ่นแป้งยัดใส่ปาก แผ่นแป้งที่ทำจากข้าวซึ่งยังไม่ได้ขัดสีนี้รสชาติแย่มาก ทั้งแห้งทั้งฝืดคอ ต้องกินคู่กับน้ำจึงพอจะสามารถฝืนกลืนลงไปได้บ้าง

แม้จะเป็นอาหารหยาบอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่กลับมีหลายครอบครัวที่แม้อยากกินก็ไม่อาจได้ลิ้มรส วัฒนธรรมอาหารห้าพันปีของแผ่นดินจีนคงแพร่หลายเฉพาะในสังคมชนชั้นสูงและเหล่าผู้มั่งมีเท่านั้น

"คุณชายถัง เจ้าคงรู้สึกว่าหนานจิ้นยากจนข้นแค้นมากใช่หรือไม่?" องค์ชายเจากำมือแน่นขณะเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง

"เหตุใดถึงถามเช่นนี้?"

"เพราะข้าเห็นความเวทนาสงสารและเศร้าสลดในแววตาของเจ้า" องค์ชายเจาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของถังเยว่ "คนที่กินไม่อิ่มนอนไม่อุ่นมาแต่เด็กย่อมไม่มีคุณสมบัติที่จะเวทนาสงสารผู้อื่น เด็กกำพร้าที่ไร้พ่อขาดแม่มาตั้งแต่เล็กย่อมไม่มีคุณสมบัติที่จะทุกข์โศกแทนใคร"

ถังเยว่ยกมือขึ้นลูบหน้าคลำเปลือกตาตัวเองโดยสัญชาตญาณ ที่แท้เมื่อครู่เขาเผลอแสดงอารมณ์ออกมาชัดเจนรุนแรงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? หรือองค์ชายเจาจะตาทิพย์จึงสามารถล่วงรู้ได้ทุกอย่าง

"ฝ่าบาท ... กำลังสงสัยตัวตนที่มาของกระหม่อมใช่หรือไม่?"

องค์ชายเจาพยักหน้ารับตามความสัตย์จริง พร้อมกล่าวเสริมอีกประโยค "ขอเพียงเจ้าไม่เป็นภัยคุกคามหนานจิ้น ข้าก็หาได้สนใจไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครหรือมาจากแห่งหนไหน"

ถังเยว่ล่วงรู้ความคิดนี้ขององค์ชายเจาอยู่แล้ว แต่เมื่อได้เห็นอีกฝ่ายพูดออกมาจากปาก ได้ยินถ้อยคำนี้ด้วยหูของตัวเองก็ยิ่งรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก

"เรื่องที่มาของกระหม่อมนั้นไว้มีโอกาสค่อยอธิบายให้ฝ่าบาทฟังตามความเห็นกระหม่อม คนที่ลำบากยากแค้นในหนานจิ้นมีเพียงราษฎรและข้าทาส ชนชั้นสูงร่ำรวยมั่งมี อาภรณ์พรั่งพร้อม อาหารไม่ขาดแคลน มีอภิสิทธิ์เสวยสุขเป็นพิเศษ มีบทกวีท่อนหนึ่งเขียนไว้ว่า 'เศรษฐีเหลือกินใช้ ปล่อยให้เน่าเสีย ยาจกอดอยากหิวตาย ร่างสลายอยู่ข้างถนน' กระหม่อมรู้ดีว่าที่เป็นเช่นนี้หาใช่ความผิดของผู้ใดไม่ แต่เป็นลักษณะเฉพาะของยุคสมัย สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้มีเพียงพยายามทำงานหนักเพื่อพัฒนาและเพิ่มกำลังการผลิต ทำให้ปวงประชาสามารถปลูกพืชผลได้เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น ถักทอผืนผ้าได้มากขึ้น เมื่อมีสินค้าและวัตถุดิบอุดมสมบูรณ์ ชาวประชาจึงจะสามารถหลุดพ้นจากความหิวโหยและเหน็บหนาวได้มากที่สุด"

"เศรษฐีเหลือกินใช้ ปล่อยให้เน่าเสีย ยาจกอดอยากหิวตาย ร่างสลายอยู่ข้างถนน" องค์ชายเจาเอ่ยทวนบทกวีท่อนนี้ซ้ำอยู่หลายรอบ แม้ในยุคสมัยนี้ยังไม่มีกวี แต่คำพูดประโยคนี้ล้วนเป็นคำธรรมดาสามัญ เข้าใจได้ง่ายและอธิบายไม่ยาก "เหล่าชนชั้นสูงมีฐานะเหนือกว่าชาวบ้าน จึงได้รับอภิสิทธิ์ที่จะเสวยสุข ทว่าที่เจ้าพูดมานั้นถูกต้อง ไม่ว่าสูงต่ำล้วนเป็นราษฎรหนานจิ้น ข้าจะพยายามอย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อประโยชน์ของพวกเขา ทำให้พวกเขาได้กินอิ่ม มีเสื้อผ้าอบอุ่นใส่กันถ้วนหน้า"

ถังเยว่รู้ว่าองค์ชายเจาจะต้องเป็นกษัตริย์ที่ดีอย่างที่หาได้ยากยิ่งได้มีโอกาสพบปะคนเช่นนี้น่าจะเรียกว่าเป็นบุญวาสนาของเขากระมัง

เขารู้สึกว่าหากอย่างตัวเองนับเป็นคนที่มีจิตใจดีแล้ว เช่นนั้นอย่างองค์ชายเจาก็ต้องได้ชื่อว่าเป็นผู้เปี่ยมด้วยเมตตา สองคำนี้ดูผิวเผินคล้ายคลึงกัน แต่ตามความเข้าใจของถังเยว่ เมตตาไว้ใช้กับผู้มีอำนาจ ส่วนจิตใจดีจึงจะเหมาะกับประชาชนคนธรรมดาอย่างเขา

"เช่นนั้นเจ้ายินดีที่จะช่วยข้าฟื้นฟูดินน้ำ เพิ่มพูนความรู้แก่เหล่าราษฎรหรือไม่?"

จู่ๆ อีกฝ่ายก็ถามขึ้นด้วยคำพูดแฝงนัยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

ถังเยว่อึ้งไปครู่หนึ่ง ด้วยไม่เข้าใจว่าการเชื้อเชิญนี้หมายถึงอะไร?คิดจะให้เขาเข้าไปเป็นขุนนางในราชสำนัก หรือจะให้เขาเป็นกุนซือที่ปรึกษาทัพช่วยวางแผนกลยุทธ์กันแน่?

แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ดูจะไม่สอดคล้องกับแผนการที่ตัวเขาเองวางไว้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่ศัลยแพทย์เท่านั้น

อีกฝ่ายเห็นเขาไม่ตอบจึงกล่าวต่อ "ภายหน้าข้าจะเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในหนานจิ้น เจ้าเป็นผู้มีปัญญาเลิศล้ำยากที่ใครจะสามารถคิดจินตนาการได้ ความคิดทั้งหมดของเจ้าสามารถส่งผ่านมาให้ข้า แล้วข้าจะเป็นผู้สรรสร้างมันให้เป็นจริง ส่วนความปรารถนาที่จะช่วยเหลือราษฎรของข้า ก็จะสำเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความช่วยเหลือจากเจ้า เช่นนี้เรียกว่าต่างเติมเต็มซึ่งกันและกันโดยแท้"

ทำไมถึงกลายเป็นเรื่องต่างเติมเต็มซึ่งกันและกันไปได้นะ? ตอนนี้เขาถูกยกระดับให้สูงส่งเทียบเท่าชนชั้นปกครองแล้วหรือนี่? รู้สึกไม่ชินเอาเสียเลย

ถังเยว่หยิกเนื้อบริเวณต้นขาของตัวเอง ขณะพยายามปั้นหน้าให้ดูสงบนิ่ง

"เอ่อ ... เรื่องนี้ ... ยังต้องค่อยๆ หารือกันให้ดีก่อน"

องค์ชายเจาหรี่ตา เขาอ่านความรู้สึกเบื้องลึกจากดวงตาคู่นั้นของถังเยวไม่ออก ริมฝีปากได้รูปขยับเล็กน้อย และพูดออกมาแค่คำเดียว "ได้"

ทว่าคำเดียวนี้ก็สามารถทำให้ถังเยว่โล่งใจไปมาก เขากลัวความคิดประเภท 'คล้อยตามข้าอยู่ ขัดขวางข้าตาย' ของเหล่าผู้ที่มีฐานะองค์ชายเสียเหลือเกิน

ผู้มีอำนาจเบื้องบนเหล่านี้มักเคยชินกับการควบคุมผู้อื่นให้อยู่ในกำมือ และมักสังหารผู้ที่มิอาจควบคุมให้อยู่ใต้อาณัติตน

อย่างที่เรียกว่า หากข้ามิได้ครอบครอง ผู้อื่นก็อย่าหวังจะได้แตะต้อง!


 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม