ชายาคุณธรรมนั้นเป็นยาก 91-100

91 ข้าเชิญเจ้ามาเป็นชายา เป็นอย่างไร

 

ได้เวลาอาหารกลางวัน องค์ชายเจาจงใจเรียกจ้าวซานหลางมาเป็นพิเศษ กล่าวชมเชยความสามารถในการมาช่วยปราบโจรครั้งนี้ของเขาก่อนจากนั้นค่อยมอบหมายให้เขาไปรับหน้าที่ดูแลเสบียงอาหาร

"ซานหลางอายุก็มิใช่น้อยแล้ว ควรมีหน้าที่ความรับผิดชอบ อยู่อย่างเอ้อระเหยลอยชายไม่เป็นโล้เป็นพายรังแต่จะทำให้ศัตรูเป็นสุข คนที่รักต้องเจ็บปวด"

จ้าวซานหลางก้มหน้าไม่กล้าปฏิเสธ จำต้องขานรับอย่างว่าง่าย นับแต่นี้สถานะของเขาเปลี่ยนไป กลายเป็นผู้มีตำแหน่งขุนนางแล้ว เสบียงเป็นหัวใจของกองทัพ ตำแหน่งไม่ใหญ่แต่งานเยอะมาก ในแต่ละวันต้องใช้เสบียงเท่าไร จะป้องกันโจรขโมย ป้องกันหนูอย่างไร ล้วนเป็นภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของเขาทั้งสิ้น ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลามาเกาะแกะกวนใจขอเรียนนั่นเรียนนี่จากถังเยว่อีก ในที่สุดองค์ชายเจาก็สามารถมองเห็นใครบางคนในกระโจมของตัวเองได้นานๆ แล้ว

"อักษรพันตัวที่ข้าเคยสอนเจ้าไปก่อนหน้านี้จำได้หมดแล้วหรือ?"องค์ชายเจาพิจารณาสั่งการหนังสือทางการเสร็จ จึงหันมาเอ่ยถามถังเยว่ที่กำลังแหย่นกเล่น

นกตัวนี้เชวี่ยจับมาได้จากบนเขา ขนของมันมีสีสันสวยสด ปากสีเหลืองอ่อน เสียงที่ขับขานออกมาดุจดั่งเสียงแมวร้อง เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถังเยว่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาเอาอาหารจากมือซ้ายย้ายไปมือขวา แกล้งไม่ให้นกได้กิน แล้วตอบโดยไม่หันหน้ากลับไป "แค่พันตัวตัวอักษรเรื่องเล็ก ตอนนี้กระหม่อมสามารถอ่านได้คล่องแล้ว"

องค์ชายเจาลุกขึ้นเดินไปยืนข้างกายอีกฝ่าย ใช้นิ้วหยอกเย้านกตัวนั้นแล้วถาม "เอามาจากไหน?"

"องครักษ์คนหนึ่งจับมาให้จากบนภูเขา น่ารักมากใช่ไหม?"

ถังเยว่เลียนเสียงนกร้องออกมาคำหนึ่ง เจ้านกน้อยก็ร้องตอบเขากลับมา เสียงเล็กแหลมแฝงซึ่งความเศร้าสร้อย ให้ความรู้สึกที่พิเศษมากจริงๆ

"ไม่ไพเราะ!" องค์ชายเจาวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา

ถังเยว่ไร้คำโต้แย้ง เมื่อคืนเจ้านกตัวนี้ทำให้คนฝันร้ายไปตั้งไม่รู้เท่าไร ทั้งยังทำให้เขาต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วไม่กล้านอนตาค้างอยู่คนเดียว ต้องไปลากซานมาอยู่เป็นเพื่อน

แต่เรื่องแค่นี้เขาทนได้ ใครใช้ให้มันสวยแบบนี้ล่ะ ของสวยๆ งามๆมักมีความพิเศษแฝงอยู่ในตัว เดิมทีถังเยว่ตั้งใจจะมอบเจ้านกน้อยตัวนี้ให้องค์ชายเจา ทว่าตอนนี้เขาไม่กล้าเอ่ยปากเสียแล้ว

"หรือไม่ ... จะให้เอาไปปล่อย?"

"ถ้าเจ้าชอบจะเลี้ยงไว้ก็ได้ แค่นกตัวเดียว" องค์ชายเจาตอบอย่างไม่ใส่ใจ พูดเสียจนถังเยว่คิดอยากจะเอาไปปล่อยหนักกว่าเดิม

มีสัตว์มากมายในหุบเขาแห่งนี้ที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน คิดว่าอาจจะสูญพันธุ์ไปตามกาลเวลาของประวัติศาสตร์อันยาวนาน หรือไม่ก็เป็นความแตกต่างทางสายพันธุ์ของโลกทั้งสองภพ ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใดถังเยว่ที่ได้เห็นสิ่งซึ่งไม่เคยพบเจอมาก่อนก็เต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งแปลกใหม่

"จะให้เลี้ยงหรือไม่ เรื่องนี้ยกให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินใจเองก็แล้วกัน"ถังเยว่บอกขณะแก้มัดเชือกซึ่งล่ามอยู่ที่ขานก นำมันไปวางไว้ตรงประตูทางเข้ากระโจม หากมันอยากโบยบินก็จะปล่อยมันกลับคืนสู่อ้อมกอดธรรมชาติ

เดิมทีนึกว่าเจ้านกน้อยจะรู้สึกอาลัยอาวรณ์เขาสักนิด อย่างน้อยเขาก็เคยป้อนอาหารให้ แต่ใครจะรู้ว่าเพิ่งจะเปิดประตูกระโจม เจ้านกน้อยก็รีบบินหนีไปทันทีอย่างไม่รีรอ

"เจ้านกไม่รู้จักคุณคน!" ถังเยว่ส่ายศีรษะแล้วถอนใจอย่างปลงๆ

แต่คิดดูดีๆ ก็พอเข้าใจได้ อิสรภาพอยู่ตรงหน้า ลำพังความรักกับแผ่นแป้งจะไปสู้อะไรได้ นกก็มีสิทธิ์ไขว่คว้าหาอิสรภาพของตัวเอง พอเขาหันกลับเข้าไปด้านใน องค์ชายเจาก็ส่งกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งให้

"ให้กระหม่อมหรือ?"

ของขวัญตนไม่ได้มอบออกไปแต่กลับเป็นฝ่ายได้รับ รู้สึกกระดากใจเล็กน้อย

"ลองเปิดดูสิ"

องค์ชายเจาพยายามทำสีหน้าให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด เหมือนเป็นเพียงการปูนบำเหน็จให้ผู้ใต้บังคับบัญชาธรรมดาเท่านั้น

ถังเยว่เปิดกล่องออกมาด้วยความรู้สึกทั้งตื่นเต้นและคาดหวัง พบว่าด้านไหนเป็นวัตถุทรงกลม ดูคล้ายลูกปัด ผิวนอกเรียบลื่น ไม่มีสิ่งใดปะปนดูอย่างไรก็ไม่เหมือนว่าเป็นไข่มุกเพราะมีขนาดใหญ่กว่าไข่มุกที่เขาเคยเห็นหลายเท่า

ถังเยว่ไม่ยอมเสียหน้าถามว่าของสิ่งนี้คืออะไร? มีไว้ใช้ทำอะไร? ได้แต่ฝืนใจกล่าวตามมารยาท "งดงามเหลือเกิน ขอบพระทัยสำหรับของขวัญฝาบาทเสด็จออกไปทำธุระยังอุตส่าห์ระลึกถึงกระหม่อม นำของมาฝากเช่นนี้ ช่างน่าตื้นตันใจยิ่งนัก"

สายตาองค์ชายเจาร้ายกาจยิ่ง มองปราดเดียวก็รู้ว่าถังเยว่ปากไม่ตรงกับใจ คิ้วเรียวขมวดมุ่นเป็นปม แย่งกล่องที่อยู่ในมือเขากลับไป

"ทำไมล่ะ?" หรือว่าให้แล้วเกิดนึกเสียดาย คิดจะเอาคืนกลับไป?แบบนี้ก็ได้เหรอ?

องค์ชายเจาดึงม่านบังแสงในกระโจมลง ภายในมืดลงฉับพลันแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวคือแสงที่ส่องประกายมาจากกลางฝ่ามือของฝ่ายนั้น

ถังเยว่ตรองดูครู่หนึ่ง จึงร้องอุทานขึ้นมาทันที "ไข่มุกราตรี?"

องค์ชายเจาถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากทั้งสองฝ่ายต่างมอบของกำนัลให้กัน แล้วอีกฝ่ายไม่รู้จักจะมีประโยชน์อะไร

คุณค่าของไข่มุกเลิศล้ำทว่ากลับไม่เป็นที่ประจักษ์ สิ่งที่เขาต้องการหาใช่ผลลัพธ์เยี่ยงนั้นไม่

"ใช่ มันคือไข่มุกราตรี เจ้าชอบหรือไม่?" องค์ชายเจาส่งกล่องกลับคืนให้อีกครั้ง

คราวนี้ถังเยว่ระมัดระวังขึ้นมาก ประคับประคองด้วยสองมือ จ้องมองกล่องใบนั้นแบบไม่กะพริบตา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นไข่มุกราตรีของจริง เมื่อก่อนเคยเห็นของปลอมแบบที่ใช้เทคนิคพิเศษในโทรทัศน์ แน่นอนว่าไม่ใช่ของแท้ระดับคุณภาพเช่นนี้

"ที่แท้บนโลกนี้ก็มีไข่มุกราตรีอยู่จริงหรือนี่ ... "

ถังเยว่วางกล่องไว้บนโต๊ะ ค่อยๆ หยิบไข่มุกมาวางไว้ในมือแล้วพิจารณาใกล้ๆ

ไข่มุกเม็ดนี้มีขนาดพอกับกำปั้นทารก เมื่อครู่เห็นเป็นเพียงสีอำพันธรรมดา ทว่าตอนนี้กลับส่องประกายแสงสีเหลืองอมเขียวท่ามกลางความมืดมหัศจรรย์น่าตื่นตะลึงยิ่งนัก

"ฝ่าบาทไปได้มาจากที่ไหน?"

ที่จริงคำถามนี้ไม่ต้องถามก็รู้คำตอบ สามวันก่อนองค์ชายเจาไปแค่เมืองฉินหยาง นอกจากที่นั่นแล้วจะเป็นที่ไหนได้อีก

"ข้ายึดมาจากจวนรองเจ้าเมือง" องค์ชายเจาตอบรวบรัดชัดเจน

มิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้เขาเห็นด้านหลังรถคุมขังนักโทษมีรถม้าซึ่งคลุมด้วยผ้าหนาหลายคัน น่าจะต้องเป็นขบวนรถที่บรรทุกสมบัติมาแน่

ถังเยว่กลืนน้ำลายลงคอแล้วถาม "มอบของสิ่งนี้ให้กระหม่อมได้จริงหรือ?"

ถ้ากล่าวสถานเบาคือเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นของส่วนตัว ถ้ากล่าวสถานหนักก็เรียกว่ายักยอกทรัพย์แผ่นดิน

ไข่มุกราตรี สำหรับเขาแล้วของสิ่งนี้มีอยู่แค่ในตำนานไม่เคยคิดเลยว่าชั่วชีวิตนี้จะมีโอกาสได้เห็นของจริง

"เมื่อข้าให้เจ้า มันย่อมเป็นของเจ้า"

"จะไม่ถูกใครนำไปโพนทะนาใช่หรือไหม?"

องค์ชายเจายกยิ้มจางๆ ตรงมุมปาก "หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นผู้ที่ผิดย่อมเป็นข้า"

"ก็ถูก" อย่างน้อยถังเยว่เป็นผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด "แต่ถ้าหากจักรพรรดิรู้เข้าคงไม่ดีแน่"

"ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องให้รู้" องค์ชายเจาตอบอย่างสงบนิ่ง

ถังเยว่กลืนน้ำลาย แอบพึมพำกับตัวเอง 'แม่เจ้า! ทำไมถึงรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงชนวนระเบิด พ่อลูกคู่นี้คงไม่ได้มีความแค้นต่อกันหรอกใช่ไหม?'

พูดตามตรง เขาก็ไม่รู้สึกว่าจักรพรรดิจะรักใคร่โปรดปรานโอรสองค์นี้สักเท่าไร มีที่ไหนโอรสได้รับบาดเจ็บขนาดนั้นกลับไม่เคยมาเยี่ยมเลยสักครั้ง ทั้งยังระงับเรื่องที่จะแต่งตั้งเป็นรัชทายาทไว้อีก พอโอรสขาหายดี แม้จะแสดงความห่วงใย แต่ตำแหน่งรัชทายาทก็ยังรีรอ ไม่ประกาศแต่งตั้งอย่างเป็นทางการสักที คิดได้เช่นนี้ ถังเยว่ก็จัดแจงประคองส่งไข่มุกราตรีคืนให้อีกฝ่าย

"หากฝ่าบาทถวายสมบัติล้ำค่านี้ให้องค์จักรพรรดิ จะต้องทรงดีพระทัยมากแน่"

"เสด็จพ่อเคยเห็นของล้ำค่ามานับไม่ถ้วน ไข่มุกราตรีเพียงเม็ดเดียวไม่ทรงสนพระทัยหรอก"

"ไม่ลองดูจะรู้ได้อย่างไร?" ถังเยว่บอกแล้วก้าวเข้าไปกระซิบใกล้ๆ "สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับฝ่าบาทในเวลานี้คือต้องได้ครองตำแหน่งรัชทายาทให้แน่นอนเสียก่อน ยืดเยื้อนานวันไปอาจเกิดการเปลี่ยนแปลง หากไข่มุกราตรีเม็ดเดียวไม่พอก็ต้องคิดหาวิธีอื่นให้จักรพรรดิทรงพอพระทัย คนเฒ่าคนแก่เวลาดีใจ จะขออะไรก็คุยง่าย"

องค์ชายเจามองถังเยว่ด้วยความประหลาดใจล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล่าวคำพูดพวกนี้กับตน คำพูดเช่นนี้กระทั่งหูจินเผิงก็ยังไม่กล้าเอ่ยออกมาตรงๆ

ถังเยว่รู้ตัวว่าพูดมากเกินความจำเป็น เขาก็แค่ไม่ต้องการเห็นผู้ปกครองดินแดนนี้ในอนาคตไม่ใช่องค์ชายเจา

"ความเอาใจใส่ของคุณชาย ข้าเข้าใจชัดเจนแล้ว เพียงแต่ไข่มุกราตรีเม็ดนี้ ข้ามอบให้เจ้าแทนคำขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ"

ถังเยว่สั่นศีรษะ "กระหม่อมเป็นหมอ ฝ่าบาทเป็นคนไข้ พวกเราคนหนึ่งรับการรักษา อีกคนให้การรักษา นับเป็นหลักการที่ถูกต้องดีแล้วไม่จำเป็นต้องมอบของล้ำค่าแทนคำขอบคุณหรอก"

"เช่นนั้น ... ถ้าข้าบอกว่า ... ไข่มุกราตรีเม็ดนี้มอบให้เป็น 'ของหมั้น'เจ้าล่ะ?" จู่ๆ องค์ชายเจาก็โพล่งประโยคนี้ออกมา ทำเอาถังเยว่ตกใจระคนมึนงง

"ฝ่า ... ฝ่าบาทรับสั่งอะไรออกมา? ... หมายความว่าอย่างไร?"

อะไรคือของหมั้น? หรือว่าของหมั้นในยุคนี้มีความหมายเป็นอย่างอื่น?

"ข้าจะเชิญเจ้ามาเป็นชายา เจ้าจะว่าอย่างไร?"

ถังเยว่ตกใจจนพูดไม่ออก ได้แต่มองอีกฝ่ายอย่างตะลึงงันตาค้างพยายามใคร่ครวญว่าองค์ชายเจากำลังเย้าเขาเล่นอยู่หรือไม่

แต่ในความทรงจำของเขา องค์ชายเจาไม่ใช่ผู้ที่จะมาพูดจาล้อเล่นเช่นนี้

ถังเยว่หยิกต้นขาตัวเองหนึ่งที ความเจ็บทำให้มั่นใจว่าตนไม่ได้กำลังฝันกลางวันอยู่ แม้ในฝันเขาจะเคยทำพฤติกรรมเกินเลยกับอีกฝ่าย แต่ไม่เคยมีความคิดล่วงล้ำถึงขั้นที่จะสู่ขอองค์ชายเจามาเป็นภรรยาเลยสักครั้ง แน่นอนว่าความคิดที่ว่าจะถูกองค์ชายเจาสู่ขอยิ่งไม่เคยมีอยู่ในหัวเข้าไปใหญ่

"ฝ่าบาท อย่าเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นสิ เดี๋ยวกระหม่อมเอาจริงนะเหอะๆ ... " ถังเยว่พูดกลั้วหัวเราะกลบเกลื่อน

องค์ชายเจาค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ แววตามุ่งมั่นอย่างหาใดเปรียบสายตาเช่นนี้ทำให้ถังเยว่รู้สึกได้รับความสำคัญและความใส่ใจ เขาใจกระตุกวาบ เกือบหลุดปากโพล่งออกไปว่า ยอมรับ!

"ข้าจะให้เวลาเจ้าได้ไตร่ตรองสักสองสามวัน ก่อนกลับถึงเมืองเย่เฉิงเจ้าต้องคิดให้ดี"

ถังเยว่พยักหน้าอย่างมึนๆ แม้แต่ตัวเองเดินออกมานอกกระโจมได้อย่างไรก็ยังไม่รู้


 

92 นับว่าเป็นบุรุษครึ่งหนึ่งแล้ว

 

ถังเยว่เดินเรื่อยเปื่อยไปไกลพอควร กว่าระบบความคิดจะเริ่มฟื้นคืนสู่สภาวะปกติ ก่อนหน้านี้ในสมองสับสนวุ่นวายไปหมด ไม่สามารถที่จะไตร่ตรองครุ่นคิดสิ่งใดได้เลย

เขาหยิกแก้มตัวเองเพื่อยืนยันอีกครั้งว่าไม่ได้ฝันไป หันกลับไปมองกระโจมองค์ชายเจาแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าตรงปากประตูมีคนยืนอยู่จึงตกใจวิ่งไปข้างหน้าต่ออีกหลายก้าว

"ไม่ถูกต้องสิ จะวิ่งทำไม? คนที่สารภาพคือเขาชัดๆ แต่เดี๋ยวก่อนนะนี่ก็ดูไม่เหมือนการสารภาพ แต่เป็นการขอแต่งงานตรงๆ คนโบราณคงจะไม่คบหาดูใจกันก่อนสินะ" ถังเยว่ยืนรำพึงรำพันกับตัวเองอยู่ตรงที่เดิม "เจ้าเด็กนี่ถูกใจเรางั้นเหรอ? ลูกนัยน์ตาถูกห่านป่าจิกมาหรือไง?"

แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองแย่ แต่เมื่อเทียบกับองค์ชายเจามักรู้สึกว่าไม่ใช่คนที่อยู่ในโลกเดียวกัน เหมือนความรักของซินเดอเรลล่ากับเจ้าชาย แม้จะเป็นเรื่องราวแสนซาบซึ้งกินใจแต่ก็ยากจะเกิดขึ้นจริง

สำคัญที่สุดคือ เขามีหน้าตาที่สุดแสนจะธรรมดา!

นี่เป็นยุคสมัยที่ต้องใช้หน้าตา หน้าตาไม่ดีแม้แต่ขุนนางก็ยังเป็นไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเป็นชายาองค์ชาย

"นี่ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม? ถึงเจ้าเด็กนั่นจะพูดด้วยท่าทางจริงจังมากสีหน้าจริงจังมาก แววตายิ่งจริงจังมาก แล้วปกติก็ไม่ใช่คนชอบพูดเล่น แต่อาจจะลมบ้าหมูกำเริบขึ้นมาหรือเปล่า?"

สักพักถังเยว่ก็คิดขึ้นว่า หากสามารถหาคู่ครองแบบนี้ได้จะไม่นับว่าเป็นเรื่องมีหน้ามีตาและเป็นเกียรติอย่างที่สุดหรอกหรือ? แม้ฝ่ายนั้นจะมีความเชื่อว่าผู้มีอำนาจเป็นใหญ่อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่มีอีกหลายเรื่องที่เขายังยอมรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น อีกทั้งไม่ค่อยจุกจิกบังคับใคร

สักพักก็คิดขึ้นมาอีกว่าอย่าเพ้อฝันสร้างวิมานในอากาศไปเลย คนที่มีฐานะสูงส่งเช่นนั้น เกรงว่าเรื่องแต่งงานคงไม่อาจตัดสินใจได้ด้วยตัวเองจะไปเชื่อคำพูดอีกฝ่ายได้อย่างไร?

อีกอย่างตัวเขาเป็นฝ่ายรุกมาตลอด ให้ขึ้นคร่อมองค์ชายเจา ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมขึ้นมาจะทำอย่างไร? หรือจะให้เปลี่ยนหลักการของตัวเองอย่างนั้นหรือ?

"ไม่ถูกต้อง เพราะอะไรต้องคิดวุ่นวายใจมากมายแบบนี้ ถามไปตรงๆ เลยไม่ดีกว่าหรือ?"

ถังเยว่ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าแบบนี้จึงจะถูกต้อง ดังนั้นจึงหันหลังกลับแล้วพุ่งตรงไปหาองค์ชายเจา

"เจ้าคิดไตร่ตรองได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียว?" องค์ชายเจาถามด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แม้ส่วนลึกแน่ใจว่าถังเยว่ต้องเห็นด้วยกับเรื่องนี้

เขาไม่เคยคิดในแง่ที่ว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็นด้วยมาก่อน หากถังเยว่ชอบบุรุษจริง เขาย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งหนุ่มแน่น มากความสามารถ อนาคตไกล ไม่ว่าอย่างไรย่อมเหนือกว่าจ้าวซานหลางและซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงหลายเท่า

อีกอย่างเขาวางแผนว่าจะแต่งงานอย่างถูกต้อง ออกหน้าออกตาแตกต่างจากพวกเขาเหล่านั้นที่ต้องคบหากันแบบหลบๆ ซ่อนๆ ลิบลับ

"พวกเรามานั่งลงคุยกันด้วยจิตใจสงบเยือกเย็นก่อนเถอะ" ถังเยว่พูดขณะทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามกับองค์ชายเจา ตั้งท่าเจรจาอย่างจริงจัง

นอกจากตอนทำงาน น้อยครั้งมากที่เขาจะมีท่าทางเคร่งขรึมจริงจังอย่างนี้ คนที่รู้จักต่างรู้ว่าเขาเป็นคนอารมณ์ดี อ่อนโยน อาจจะดูใสซื่อเกินไปในบางครั้ง แต่ก็ทำให้เข้ากับคนอื่นได้ง่าย

"ข้าสนทนากับเจ้าด้วยจิตใจที่สงบเยือกเย็นมาโดยตลอด"

"ถูกต้อง เป็นกระหม่อมเองที่จิตใจไม่สงบพอ ฝ่าบาท เมื่อครู่ ... ที่ตรัสมา รับสั่งจริงใช่หรือไม่?"

"ข้าไม่เคยพูดเล่น" องค์ชายเจาให้คำตอบที่แน่นอนชัดเจน

"เหตุใดถึงมีความคิดเช่นนี้?"

องค์ชายเจาครุ่นคิดสักพักก่อนตอบ "ข้าต้องการแต่งชายาที่เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถและคุณธรรม"

"แต่กระหม่อมเป็นผู้ชาย!"

"ชายหญิงล้วนไม่แตกต่าง ข้าไม่ใส่ใจในเรื่องนี้"

ประเพณีหนานจิ้นเปิดกว้าง โปรดปรานบุรุษหาใช่เรื่องน่าอับอายในวังหลังของจักรพรรดิก็มีสนมชายหลายคน ชาวบ้านชายที่ใช้ชีวิตอยู่กินกับผู้ชายด้วยกันก็มีไม่น้อย

ชีวิตทุกข์ยาก มีราษฎรมากมายที่สู่ขอภรรยาไม่ไหว บางคนสู่ขอมาได้ก็เลี้ยงไม่รอด ระหว่างให้อดอยากตายทั้งครอบครัว ไม่สู้หาผู้ชายดีๆ ที่ถูกใจสักคน อยู่กินใช้ชีวิตร่วมกัน สองแรงแข็งขันช่วยกันทำมาหากิน ขอเพียงไม่ประสบภัยพิบัติทั้งจากธรรมชาติและน้ำมือมนุษย์ ก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้

"ฝ่าบาทเห็นว่ากระหม่อมเพียบพร้อมไปด้วยความสามารถและคุณธรรมที่ตรงไหน?"

แม้ชาติที่แล้วจะเคยมีคนหยอกล้อเขาด้วยคำพูดทำนองนี้ แต่ทุกคนเพียงบอกว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดี เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถและคุณธรรมหากใครได้แต่งงานมาเป็นภรรยาของเขาถือเป็นวาสนา

"มีความสามารถรอบด้าน เก่งทั้งงานนอกบ้านและงานครัว เช่นนี้แล้ว คุณชายรู้สึกว่าตัวเองยังเพียบพร้อมไม่พออีกหรือ? เจ้ามีฝีมือการรักษาโรควิเศษดุจเทพเซียน สามารถทำอาหารโอชะที่ข้าโปรดปรานได้ ขอถามหน่อย มีสตรีนางใดทำได้เช่นนี้บ้าง?"

"ดังนั้นนี่คือเหตุผลที่ฝ่าบาทต้องการแต่งกับกระหม่อม?"

ถังเยว่ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายความรู้สึกตัวเองอย่างไร ที่แท้อีกฝ่ายถูกใจในความสามารถของเขา หาใช่ตัวตนของเขาไม่ พูดอีกอย่างก็คือองค์ชายเจาไม่ได้รักหรือชอบพอเขาถึงได้ขอแต่งงาน งานแต่งที่ปราศจากความรักเช่นนี้เขาขอปฏิเสธ!

องค์ชายเจาขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย "เหตุผลเท่านี้ยังไม่เพียงพออีกหรือ?"

ถังเยว่หัวเราะเหอะๆ ยกมือขึ้นลูบหน้าตนเอง แล้วผุดลุกขึ้นตวัดแขนคล้องคออีกฝ่าย ประทับจูบลงบนริมฝีปาก ดูดดุนรุนแรงไปหลายที ในตอนที่ทำท่าจะสอดปลายลิ้นเข้าไป องค์ชายเจาก็ผลักเขาออกและมองด้วยดวงตาคมปลาบที่เป็นสีเข้มจัด

เขาก็แค่อยากบอกองค์ชายเจาว่าความสัมพันธ์ในชีวิตแต่งงานของผู้ชายสองคน หากต้องการเพียงผลประโยชน์คงอยู่กันไม่ยืด และเขาก็ไม่ชอบที่จะคบหากันเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อถึงตอนลิกรา ทั่วทั้งหนานจิ้นต่างรู้ว่าเขาเคยแต่งกับองค์ชายเจา แล้วต่อไปเขาจะแต่งงานครั้งที่สองกับใครได้อีก?

"รู้สึกอย่างไรบ้าง?" ถังเยว่เช็ดน้ำลายบนริมฝีปาก เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปกติ ราวกับกำลังเล่นซุกซนอยู่

ปฏิกิริยาผลักไสของตนเมื่อครู่ เป็นการทำลงไปตามสัญชาตญาณของความตกใจ พอได้ยินถังเยว่ถามเช่นนี้ องค์ชายเจาจึงครุ่นคิดอย่างจริงจังครู่หนึ่ง

"เมื่อครู่เวลาสั้นไป ข้ายังใคร่ครวญได้ไม่แน่ชัด มาลองกันอีกครั้ง"

ทันใดนั้นภายใต้สถานการณ์ที่ถังเยว่ยังคงยืนนิ่งตะลึงงัน อีกฝ่ายก็โถมตัวเข้ามา ใช้วิธีที่รวดเร็วรุนแรงยิ่งกว่าด้วยการกดเขาลงกับโต๊ะ แล้วขบลงบนริมฝีปาก

ต้องเรียกว่าขบของจริง ถังเยว่ถึงขั้นสัมผัสได้ถึงรสคาวปะแล่มในปาก เขาร้องอึกอักได้สองคำ พอเห็นว่าต่อต้านไปไม่ได้ผล จำต้องปล่อยเลยตามเลย เขาแอบคิดเงียบๆ ในใจ 'เดี๋ยวก็คงรู้สึกขยะแขยง หวังว่าคงไม่ถึงขั้นอ้วกออกมาหรอกมั้ง? แต่ถ้าแบบนั้นก็ดีเหมือนกัน จะได้จดจำให้แม่นยำและหนีห่างไปให้ไกล'

องค์ชายเจาขบริมฝีปากของเขาอีกครั้ง พร้อมกับเอ่ยประท้วง

"เจ้าไม่มีสมาธิ"

ถังเยว่พูดไม่ออก แค่จะทดสอบว่าอีกฝ่ายยอมรับผู้ชายได้หรือไม่

ทำไมต้องให้เขามีสมาธิด้วย? ถ้าหากไฟปรารถนาเกิดลุกโชนขึ้นมาล่ะ จะช่วยดับให้ไหม?

"อื้อ ... พอหรือยัง?"

เห็นอีกฝ่ายคิดจะสอดปลายลิ้นเข้ามาเช่นกัน ถังเยว่จึงรีบดันร่างที่อยู่ด้านบนออก

องค์ชายเจายอมปล่อยด้วยท่าทางไม่เต็มใจแล้วถาม "เหตุใดถึงไม่ทำต่อ เมื่อครู่เจ้าคิดจะทำเช่นนี้มิใช่หรือ?"

"ฝ่าบาทก็ผลักกระหม่อมออกเหมือนกันมิใช่หรือ?"

'อะไรเรียกว่าความเสมอภาค อะไรเรียกว่าปฏิบัติอย่างยุติธรรม ก็นี่ยังไงล่ะ! ในเมื่อนายไม่ยอมรับการจูบแสนดูดดื่มของฉัน แล้วมีสิทธิ์อะไรเรียกร้องให้ฉันยอมให้นายทำ?'

"เมื่อครู่ข้าไม่ทันตั้งตัว ก็ตกลงกันดีแล้วว่าจะทำต่อมิใช่หรือ?"

"ถ้าเช่นนั้นบอกมาก่อนว่ารู้สึกอย่างไร? ขยะแขยงหรือไม่? รู้สึกอึดอัดหรือเปล่า?"

องค์ชายเจาเลียริมฝีปากล่าง "ไม่ขยะแขยง สบายมาก มาลองกันอีกครั้ง"

พูดจบก็ไม่สนใจว่าถังเยว่จะตอบรับหรือไม่ ฉุดเขาเข้ามาประทับจูบครั้งนี้แงะฟันที่ขบกันแน่นของเขาออก แล้วสอดปลายลิ้นเข้ามา

ดวงตาถังเยว่เบิกกว้าง เพราะถูกฝ่ายตรงข้ามก่อกวนรุกล้ำจนหมดเรี่ยวแรง มือข้างหนึ่งขององค์ชายเจาช้อนท้ายทอยของเขาไว้ ส่วนมืออีกข้างจับคางเขาเชยขึ้นเพื่อกดจุมพิตให้ลึกซึ้ง หลังจากผ่านการสัมผัสเหมือนทักทายไปสองครั้ง คราวนี้องค์ชายเจาพลิกสถานการณ์มาเป็นฝ่ายรุกรานอย่างแท้จริง เลื่อนมือหนึ่งกดเข้าไปตรงบั้นเอวด้านหลังของถังเยว่ โอบกระชับแน่นหนา อีกมือบิดคางปรับมุมองศา ครอบครองสิทธิในการรุกล้ำ ยึดอำนาจการตัดสินใจทั้งหมดมาเป็นของตน

จุมพิตนั้นเริ่มจากแข็งทื่อมากลายเป็นช่ำชองภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที แม้แต่ถังเยว่ที่เคยผ่านประสบการณ์มาบ้างแล้วยังต้องยอมรับว่าความสามารถในการเรียนรู้ของคนผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

"พอแล้ว ... " ถังเยว่ปรามด้วยลมหายใจหอบสะท้าน

"ยังไม่พอ" องค์ชายเจาเพิ่งเคยได้ลิ้มรสชาติจุมพิตแสนงดงาม มีหรือจะยอมเลิกราง่ายๆ เขาเพิ่งเข้าสู่วัยเจริญเติบโต มีความรู้เรื่องเพศศึกษาแสนจำกัด แม้จะฟังเรื่องเล่าชู้สาวคาวโลกีย์ในค่ายทหารมาไม่น้อย ตอนอยู่ในวังหลังก็เคยพบเห็นจนชินหูเจนตามาตั้งแต่เด็ก ขาดก็แต่ประสบการณ์ที่ยังไม่เคยได้ลงมือฝึกปรือด้วยตนเองเท่านั้น

ถังเยว่ถูกจูบจนแทบหายใจไม่ออก ถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าตนกับองค์ชายเจาไม่เพียงมีสถานะที่แตกต่างกัน กระทั่งพละกำลังก็แตกต่างกันไม่น้อย

เจ้าเด็กบ้านี่กินอะไรเข้าไปกันแน่ถึงโตมาเป็นแบบนี้? บางทีเขาคงไม่ต้องจัดเตรียมรายการอาหารเพื่อช่วยบำรุงร่างกายให้อีกฝ่ายแล้ว ขืนบำรุงไปมากกว่านี้คงไม่เหมือนมนุษย์โลก!

ในที่สุดองค์ชายเจาก็ยอมปล่อยลิ้นที่ชาหนึบของถังเยว่ แล้วถอนริมฝีปากออก หยาดน้ำใสไหลเป็นทางยาวออกมาจากมุมปาก ใบหน้าหล่อเหลาดูเคลิบเคลิ้มล่องลอยคล้ายอาลัยในรสเสน่หา

ทั้งสองหายใจหอบสะท้าน แต่ถังเยว่ดูเหมือนจะอาการหนักกว่า เขายกมือทาบอกโกยอากาศสดชื่นเข้าปอดไปหลายเฮือก ถ้าขืนยังจูบต่ออีกแม้แต่วินาทีเดียว เขาสงสัยว่าตัวเองคงขาดอากาศหายใจตายแน่

"สรุปว่าตกลงตามนี้" องค์ชายเจาบอกแล้วลุกขึ้นยืน เหลือบมองร่างกายท่อนล่างของถังเยว่ด้วยดวงตาดำมืดลึกล้ำ

ถังเยว์รีบหนีบสองขาเข้าหากันแน่นตามสัญชาตญาณ จุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ เขาในฐานะที่เป็นผู้ชายปกติย่อมมีปฏิกิริยาตอบสนองเป็นธรรมดา แต่พอถูกองค์ชายเจาเห็นเข้าก็รู้สึกเคอะเขินทำตัวไม่ถูก ทั้งที่ตามหลักแล้วต่างฝ่ายต่างเป็นผู้ชาย ไม่จำเป็นต้องกระมิดกระเมี้ยนเขินอายแก้ผ้าคุยกันก็ถือเป็นเรื่องปกติ ใช้มือช่วยผ่อนคลายให้กันและกันแม้จะเสียศักดิ์ศรีไปบ้างก็ไม่ถือว่าแปลกประหลาด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายเขากลับรู้สึกว่า เหตุใดวันนี้ตนถึงโชคร้ายแบบนี้

"ต้องการให้ช่วยไหม?" องค์ชายเจาถามด้วยรอยยิ้มบาง

ถังเยว่หน้าแดงหนักกว่าเดิม ขยับตัวลุกขึ้นแม้ขาจะสั่นระริกก็ฝืนจัดเสื้อผ้าและกางเกงให้เรียบร้อย กัดฟันเหยียดมุมปากเป็นรอยยิ้ม แล้วเอ่ยยั่วเย้า "ขนฝ่าบาทยังขึ้นไม่ครบเลย นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ไม่เกี่ยวกับเด็ก"

"ข้าโตแล้ว เจ้าก็รู้มิใช่หรือ?"

ถังเยว่ติดตามอีกฝ่ายมานานขนาดนี้ บางวันตอนเช้าก็ได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น บวกกับน้ำเสียงแตกหนุ่ม ในฐานะคนเป็นหมอ เข้าใจชัดเจนดีที่สุดว่าการเจริญเติบโตขององค์ชายเจาถึงขั้นไหนแล้ว

เด็กวัยกึ่งโตเช่นนี้นับว่าเป็นบุรุษแล้วครึ่งหนึ่ง จะแต่งงานมีบุตรล้วนไม่ใช่ปัญหา เพียงแต่คุณภาพอาจยังไม่เต็มร้อย ก็แค่นั้น


 

93 บอกได้คำเดียวว่าเหนื่อยมาก!

 

ถังเยว่วิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงอีกครั้ง ผู้คนรอบข้างต่างมองมาด้วยสายตางุนงงไม่เข้าใจว่าองค์ชายเจาล่วงเกินอะไรคุณชายท่านนี้ จึงทำให้เขาหลบเลี่ยงดุจหนีอสรพิษร้าย

กลับถึงกระโจมตัวเอง ถังเยว่ล้มตัวลงนอนบนเตียง นิ้วมือลูบไล้ไปตามริมฝีปากอย่างเผลอไผล บนริมฝีปากยังมีรอยแผลเล็กๆ อยู่สองสามจุดเมื่อใช้ลิ้นเลียรู้สึกเจ็บนิดๆ

"เกิดปีจอหรือไงนะ?" เขาบ่นพึมพำประโยคหนึ่ง แล้วพลิกตัว พลันประสานเข้ากับดวงตาเบิกกว้างของหูจินเผิง "อ้าก!" ถังเยว่ร้องลั่น "พี่หู ท่านทำข้าตกใจหมดเลย เหตุใดมาไม่ให้สุ้มให้เสียง"

หูจินเผิงมองอีกฝ่ายอย่างไร้ความรู้สึกผิด "คุณชายทำเหมือนไม่เห็นข้า ตั้งแต่เปิดประตูเข้ามาข้าเรียกสองครั้งท่านก็ไม่ตอบ เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วก็บ่นพึมพำกับตัวเอง ข้ายังนึกว่าท่านถูกภูตผีสิงเข้าเสียแล้ว"

"มีเรื่องแบบนั้นที่ไหนกันเล่า!"

เขาจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ได้อย่างไรกัน เรื่องแบบนั้นน่ะ ไม่มีเหตุมีผลเอาเสียเลย!

หูจินเผิงไหวไหล่ "ดูจากท่าทางเคลิบเคลิ้มล่องลอยของคุณชายคาดว่าคงไปรู้สึกดีๆ กับคุณชายท่านไหนเข้าละสิท่า ข้าเดาว่าต้องไม่ใช่จ้าวซานหลางหรือซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงแน่"

"เพราะเหตุใด?" ถังเยว่ถามด้วยดวงตาเบิกกว้าง อยากรู้ว่าเพราะเหตุใดอีกฝ่ายจึงเห็นว่าตนเคลิบเคลิ้มล่องลอย ไม่ใช่ว่าแห้งแล้งมานานแล้วได้รับความชุ่มชื่นเล็กน้อยหรอกหรือ? นั่นมันห่างไกลจากเคลิบเคลิ้มล่องลอยเลยนะ!

"จ้าวซานหลางมีดีแค่หน้าตาหล่อเหลา แต่ความจริงไม่เอาไหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกงที่ทั้งนอกทั้งในล้วนไม่ได้ความ เกรงว่ายากที่จะทำให้คุณชายตื่นเต้นหวั่นไหวเช่นนี้ได้"

ถังเยว่มุมปากกระตุก "เหตุใดท่านถึงรู้สึกว่าข้าจะต้องรู้สึกดีกับใครเข้าให้แล้ว? บางทีข้าอาจเก็บทองคำได้ หรือไม่ก็อาจไปเจอสาวงามเข้าก็ได้นี่"

"คุณชายชื่นชอบสตรีงั้นหรือ?" หูจินเผิงพูดด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อถือ "ดวงตาคู่นี้ของคุณชายไม่เคยจับจ้องสตรีใด เกรงว่าตลอดสิบหกปีที่ผ่านมาน่าจะไม่เคยสัมผัสเรือนร่างหญิงสาวเลยด้วยซ้ำ ส่วนทองคำ เหอะๆ ... "หูจินเผิงใช้เสียงหัวเราะเพียงสองคำในการอธิบายให้ถังเยว่เข้าใจว่าความรู้สึกในยามที่เก็บทองคำได้เป็นเช่นไร

ถังเยว่คิดในใจว่า หากเป็นในโลกปัจจุบัน เขาถูกรางวัลห้าล้านคงไปแอบหาที่หัวเราะอย่างคลุ้มคลั่งแน่ แต่ในโลกยุคนี้หากเขาเก็บทองคำได้ก็ดูเหมือนจะไม่ตื่นเต้นแล้วจริงๆ

เป็นความจริงที่เมื่อมนุษย์มีเงินมากเข้า ความต้องการทางวัตถุก็จะลดลง

ถังเยว่ขึงตาจ้องหูจินเผิงแล้วถามอย่างจริงจัง "พี่หู ท่านแต่งงานแล้วหรือยัง?"

ฝ่ายตรงข้ามโต้กลับด้วยสายตา ตั้งท่าเตรียมรับมือ "แต่งแล้วสิ มีภรรยาเอกหนึ่งคน อนุสิบสามคน บุตรธิดาสี่คน"

'อธิบายละเอียดยิบเชียวนะ!' ถังเยว่กลอกตา นี่คือกลัวว่าเขาจะติดใจตัวเองเข้าหรือไง?

น่าเสียดาย ถึงเขาจะชื่นชอบชายหนุ่มรูปงาม แต่ชายมีกล้ามกลับชอบไม่ลง เมื่อก่อนคนรักที่คบหาด้วยแม้จะไม่ได้ตุ้งติ้งแต่ต้องเป็นหนุ่มหล่อร่างบางอย่างแน่นอน

"ท่านไม่ค่อยอยู่บ้าน มีภรรยามากมายเช่นนี้ดูแลทั่วถึงได้อย่างไร?"ถังเยว่จ้องมองท่อนล่างของหูจินเผิงด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ "ข้าช่วยจัดยาดีสำหรับบำรุงไตให้ท่านสักสองสามเทียบดีหรือไม่?"

หูจินเผิงส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรวดเร็ว "ไม่ต้อง ไม่ต้อง ... "

ด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายเขา จะหาความสำราญกับเหล่าสตรีกี่ค่ำคืนก็ล้วนไม่ใช่ปัญหาจึงไม่จำเป็นต้องกินยาบำรุงใด

ถังเยว่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาได้สำเร็จ เขาชวนหูจินเผิงคุยเรื่อยเปื่อยไม่ก้าวก่ายเรื่องครอบครัว ถามเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับตัวตนของอีกฝ่าย มีเล่นมุกใต้สะดือบ้างเล็กๆ น้อยๆ พอให้คุยกันได้อย่างสนุกสนาน

 

วันรุ่งขึ้น พวกเขาเตรียมจัดทัพกลับเมืองเย่เฉิง แต่ถังเยว่ขอให้องค์ชายเจาอยู่ต่ออีกหนึ่งวัน แล้วใช้เวลาหนึ่งวันนี้อธิบายกับชาวบ้านในพื้นที่เรื่องการดูแลรักษาสมุนไพร

ความจริงเขาเองก็ยังไม่เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งถึงแก่นแท้ จึงได้แต่สอนเฉพาะเรื่องง่ายๆ รอให้เขาเปิดร้านขายยาก่อน จะต้องสร้างเครือข่ายแพทย์แผนจีนขึ้นมาให้จงได้ เมื่อนั้นพวกเขาถึงจะเป็นจิตวิญญาณทางการแพทย์ในยุคนี้ได้อย่างแท้จริง

วุ่นวายมาทั้งวัน ถังเยว่อาบน้ำเสร็จก็มุดเข้าผ้าห่มแล้วเคลิ้มหลับไปอย่างรวดเร็ว ตอนดึกองค์ชายเจาเข้ามาหาครั้งหนึ่ง ช่วยห่มผ้าให้และนั่งลงบนเตียงมองเขาอยู่นาน

ภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ทำเอาหูจินเผิงตกใจไม่น้อยแต่ก็ไม่กล้าโผล่หน้าออกมา ได้แต่แอบอยู่ในม้วนผ้าห่มแสร้งทำเป็นหลับ

"เหตุใดท่านพี่ถึงไม่ถาม?" องค์ชายเจาเอ่ยเสียงเบา

หูจินเผิงลืมตาขึ้นหัวเราะแห้งๆ แก้เก้อ ชี้ไปทางถังเยว่ที่กำลังนอนหลับสนิท " นี่ฝ่าบาท ... "

"ก็เป็นอย่างที่ท่านเห็น ข้าคิดจะแต่งเขาเป็นชายา"

ชั่วขณะนั้นหูจินเผิงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าลงกลางศีรษะ ตะลึงงันจนพูดไม่ออก

หากองค์ชายเจาเพียงบอกว่าคิดจะสานสัมพันธ์กับถังเยว่ก่อนแล้วค่อยพัฒนาไปสู่การสมรส หูจินเผิงจะยกสองแขนสนับสนุนเต็มร้อย แต่จู่ๆจะอภิเษกเป็นชายาโดยทันที ... อันนี้ ไม่ค่อยเหมาะกระมัง?

"องค์ชายทรงตรึกตรองรอบคอบดีแล้วหรือ?" หูจินเผิงลุกขึ้นนั่งสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นทันตา

"ท่านพี่เคยเห็นข้าตัดสินใจส่งเดชด้วยหรือ?"

เรื่องแบบนั้นไม่เคยเกิดขึ้น แต่ ... "แม้จะมีบุรุษไม่น้อยที่ใช้ชีวิตร่วมกัน แต่ฐานะของฝ่าบาทมิใช่ธรรมดา หากชายาเอกไม่อาจมีโอรส วันหน้าตำแหน่งรัชทายาทก็มิอาจยืนยันแน่นอนได้"

"นี่เป็นเรื่องของวันหน้า ยังเร็วเกินไปที่จะพูดอะไรในตอนนี้"

"หากองค์จักรพรรดิและพระมารดาไม่เห็นด้วยเล่า?"

มุมปากองค์ชายเจาหยักโค้งเป็นรอยยิ้ม "เสด็จแม่ต้องทรงเห็นด้วยแน่ ส่วนเสด็จพ่อ ตอนนี้พระองค์ทรงรู้สึกผิดต่อข้า ขอเพียงมีคนไปแจกแจงให้ทรงทราบว่าความสัมพันธ์นี้มีผลประโยชน์เช่นไร ก็จะต้องทรงเห็นด้วย"

"มีผลประโยชน์?"

หูจินเผิงเป็นจอมทัพผู้ห้าวหาญอันดับหนึ่ง แต่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความซับซ้อนในด้านการเมืองนั้นถือว่าอ่อนด้อยมาก

"เสด็จแม่มาจากจวนอานกั่วกงแห่งสกุลหู เมื่อข้าได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาท แน่นอนว่าย่อมมีจวนอานกั่วกงให้การสนับสนุน หากจะอภิเษกชายา ตามหลักแล้วตัวเลือกแรกที่เหมาะสมก็คือธิดาจากจวนกั่วกงไม่ก็ธิดาของจวิ้นอ๋อง ถ้าข้าเลือกเช่นนั้นก็เท่ากับว่าจะได้รับการสนับสนุนจากสองตระกูลใหญ่ ท่านพี่รู้สึกว่าเสด็จพ่อจะพระทัยกว้างพอให้รัชทายาทผู้เปี่ยมอำนาจเช่นนี้ยังดำรงอยู่ต่อไปได้อีกหรือ?"

แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นปัญหากวนใจของผู้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ มีโอรสไม่ดีก็เป็นทุกข์ มีโอรสประเสริฐเกินไปก็กลัดกลุ้ม หากมีโอรสที่ทั้งประเสริฐเกินไปและยังมีกองกำลังแข็งแกร่งคอยสนับสนุน นั่นยิ่งนับว่าน่าเป็นทุกข์และกลัดกลุ้มยิ่งกว่า

"ความหมายขององค์ชายคือ หากทรงอภิเษกกับถังเยวซึ่งมาจากจวนโหว ฐานะของเขาแม้ไม่สูงส่งแต่ก็ไม่ต่ำต้อย ความกังวลขององค์จักรพรรดิคงลดทอนไปได้หลายส่วน ใช่หรือไม่?"

"ถูกต้อง เป็นเช่นนั้น"

องค์ชายเจาหันกลับไปมองถังเยว่แวบหนึ่ง ไม่มีทางที่อยู่ดีๆ เขาจะนึกอยากอภิเษกชายาโดยไร้ต้นสายปลายเหตุ ทุกอย่างต้องผ่านกระบวนการคิดรอบด้าน เมื่อรู้สึกว่าเหมาะสมจึงค่อยตัดสินใจ

แน่นอนว่าพื้นฐานหลักเหนืออื่นใดคือเขาต้องไม่รู้สึกรังเกียจคนผู้นั้น

กับถังเยว่ ไม่เพียงไม่รังเกียจ แต่ยังมีความรู้สึกชอบพออยู่ข้างใน

นึกถึงเหตุการณ์จุมพิตแสนดื่มด่ำก่อนหน้านี้ ก็ยิ่งมั่นใจว่าคนผู้นี้เหมาะจะเป็นชายาของตน จะมีใครเหมาะยิ่งไปกว่าเขาอีก?

หูจินเผิงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ดีไม่น้อย ทั่วทั้งหนานจิ้นหากคิดจะหาบุรุษที่ประเสริฐกว่าองค์ชายเจานั้นแทบเป็นไปไม่ได้ถังเยว่เองก็ชอบพอบุรุษ การผสมผสานเช่นนี้เรียกว่าสมประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่ายอย่างแท้จริง จริงด้วย! ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว!

ทว่าสิ่งหนึ่งที่พวกเขากำลังมองข้ามไปก็คือ ถังเยว่เป็นพวกไม่ชอบข้องเกี่ยวกับความยุ่งยากทั้งปวง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจะยินยอมเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการแก่งแย่งชิงดีภายในราชวงศ์อย่างนั้นหรือ?

หากเขาแต่งกับองค์ชายเจา กระทั่งจวนโหวก็ต้องถูกดึงเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ด้วย แน่นอนว่า นี่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เขายินดีอยากจะเห็น!

 

ยามเฉินของวันรุ่งขึ้น ขบวนกองทัพเริ่มออกเดินทาง จำนวนคนขากลับมากกว่าขามาหลายเท่า นอกจากคนที่พวกเขาพากลับมาด้วยแล้วยังมีพวกโจรป่าที่ถูกจับกุมมานับร้อยกับรถคุมขังนักโทษอีกหลายคัน

ถังเยว่ยังคงขี่ลูกม้าซึ่งได้รับการดูแลเอาใจใส่จากเขาเป็นอย่างดีจนสนิทสนมกันมากแล้ว ลูกม้าวิ่งอย่างลิงโลด มุดอุตลุดไปมาอยู่ในกองทัพทำให้พิกัดของเจ้านายมันรวนเรไปหมด แต่ก็ไม่มีใครกล้าว่ากล่าวเจ้าม้าน้อยที่แสนร่าเริงตัวนี้

ตั้งแต่จ้าวซานหลางได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขุนนางเล็กๆ ดูแลกองเสบียงก็งานยุ่งมากจนไม่อาจปลีกตัว จนเมื่อออกเดินทางแล้วนั่นละ จึงเพิ่งจะหาเวลามาพูดคุยกับถังเยว์ได้

"ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเรื่องเสบียงอาหารของกองทัพที่มีขนาดหลักพันคนจะยุ่งยากซับซ้อนถึงเพียงนี้" จ้าวซานหลางบ่นขณะขี่ม้าเคียงข้างไปกับถังเยว่

"รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?"

"บอกได้คำเดียวว่าเหนื่อยมาก!" จ้าวซานหลางถอนหายใจ ดูซูบผอมลงไปไม่น้อย

หากถังเยว่รู้แต่แรกว่าการดูแลเรื่องเสบียงอาหารจะส่งผลให้ผอมลงได้ เขาจะต้องแนะนำผิงซุ่นไปอย่างแน่นอน

เขามองหาไปในฝูงชนจนทั่วแต่ก็ไม่เห็นผิงซุ่น จึงเรียกคนมาถาม

"เจ้าเห็นซื่อจื่อหรือไม่?"

'คงไม่ได้ถูกพวกเขาลืมทิ้งไว้กลางทางหรอกนะ'

พลทหารนายนั้นตอบกลับอย่างนอบน้อม "เรียนคุณชาย ชื่อจื่อไปเล่นปาก้อนหินกับคนบนรถคุมขังนักโทษที่ด้านหลังขอรับ"

"ว่าไงนะ! รถขังนักโทษ?" ถังเยว่กับจ้าวซานหลางตกใจ หมู่นี้พวกเขาต่างงานยุ่งมากจนหลงลืมเจ้าเด็กผิงซุ่นไปเลย เหตุใดเจ้านั่นจึงไปโผล่บนรถคุมขังนักโทษเสียแล้ว

นักโทษที่สามารถนั่งบนรถได้มีแค่ครอบครัวรองเจ้าเมืองฉินหยางองค์ชายเจาไม่เพียงจับตัวรองเจ้าเมืองมา กระทั่งครอบครัวของเขาไม่ว่าเด็กหรือแก่ก็จับมาด้วยหมด เพื่อพาตัวกลับไปรับโทษที่เมืองเย่เฉิงพร้อมกัน

 

ถังเยว่เคยถามว่าสมาชิกครอบครัวรองเจ้าเมืองจะถูกตัดสินโทษเช่นไร องค์ชายเจาบอกว่า ตามกฎหมายของหนานจิ้น สมาชิกครอบครัวสายตรงต้องรับผิดร่วมกัน หากรองเจ้าเมืองต้องโทษประหาร พวกเขาก็ต้องถูกประหารไปด้วย หากถูกเนรเทศ ก็ต้องติดตามไปด้วย

สรุปว่าจะอยู่หรือตายล้วนขึ้นอยู่กับรองเจ้าเมืองคนนั้น

ถังเยวไม่ได้วิจารณ์ว่าการตัดสินให้ต้องโทษแบบรับผิดชอบร่วมกันเช่นนี้ไม่สมเหตุสมผล แต่ละยุคสมัยล้วนมีกฎหมายของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นหนานจิ้นให้ความสำคัญกับเรื่องกฎหมาย เป็นแคว้นที่ส่งเสริมหลักนิติธรรมแนวคิดของสำนักปรัชญาขงจื๊อยังไม่แพร่หลายที่นี่

ทว่าในความคิดของถังเยว่ เขาดูแล้วว่าบทบัญญัตินี้แท้จริงแล้วสามารถบังคับใช้ได้กับคนบางส่วนเท่านั้น ชนชั้นสูงส่วนมากยังคงอยู่เหนือกฎหมาย อีกทั้งที่นี่ยังมีโทษประหารและบทลงโทษที่โหดร้ายทารุณเกินกว่าจะจินตนาการได้ ถังเยว่จึงได้แต่พยายามอยู่ให้ห่างเรื่องเหล่านี้เอาไว้

พอได้ยินพลทหารรายงานเช่นนั้น เขากับจ้าวซานหลางก็พากันกระตุกบังเหียน ขี่ม้าย้อนกลับมุ่งหน้าไปยังรถคุมขังนักโทษที่อยู่ทางด้านหลังทันที พวกเขาอยากจะดูนักว่าเจ้าเด็กผิงซุ่นเกิดบ้าอะไรขึ้นมา เหตุใดถึงไปมั่วสุมกับนักโทษได้

ถังเยว่ยิ่งหวั่นเกรงมากไปกว่านั้น คงไม่ใช่ว่าเจ้าเด็กนั่นเกิดไปถูกตาต้องใจธิดาคนงามของนักโทษเข้าหรอกใช่ไหม?


 

94 ชีวิตคนเราเงียบเหงาดั่งหิมะ

 

ทั้งสองควบม้าไปถึงด้านหลัง ค้นหาตามรถคุมขังนักโทษทีละคันถึงเห็นเจ้าอ้วนหมูตอนนั่งอยู่ในรถคุมขังนักโทษคันสุดท้าย

จ้าวซานหลางถกแขนเสื้อคิดจะพุ่งเข้าไปซ้อมคน ถังเยว์รีบดึงเขาเอาไว้ แล้วสำรวจคนที่กำลังเล่นอยู่กับผิงซุ่นอย่างละเอียด คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าฐานะที่แท้จริงของเด็กคนนี้เป็นใคร ถึงได้นั่งอยู่บนรถคุมขังนักโทษเพียงลำพัง อายุประมาณสิบกว่าขวบเห็นจะได้ ดูเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ เมื่อเทียบใบหน้าระหว่างผิงซุ่นกับเด็กนั่น ผิงซุ่นดูไร้เดียงสา ไร้เล่ห์เหลี่ยมมากกว่าหลายเท่า

"เขาคือผู้ใด?" ถังเยว่ดึงทหารที่อยู่ข้างๆ มาซักถาม

"เรียนคุณชาย เขาคือเจ้าเมืองฉินหยางขอรับ"

ถังเยว่ตะลึงงัน "เหตุใดถึงจับตัวเขามาด้วย?"

"ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ" ทหารตอบเสร็จก็กล่าวขอตัวแล้วเดินไปข้างหน้า

ถังเยว่กับจ้าวซานหลางหันมาสบตากัน จ้าวซานหลางเป็นคนที่เกิดและโตมาในยุคนี้อย่างแท้จริง ใคร่ครวญเพียงชั่วครู่จึงเข้าใจเรื่องราวได้ทันที

"รองเจ้าเมืองฉินหยางสมคบโจรชั่ว ทำร้ายประชาชน ตามหลักแล้วเจ้าเมืองควรได้รับโทษฐานที่กวดขันไม่เข้มงวด"

"เขายังเป็นเด็กอยู่เลย" ถังเยว่อดที่จะยืนสงบไว้อาลัยให้เด็กคนนี้อยู่ในใจชั่วครู่หนึ่งไม่ได้ แม้ชะตาชีวิตจะถูกลิขิตให้เกิดมามีฐานะไม่ธรรมดาทว่าไม่ได้ให้เวลาในการเติบโตที่เพียงพอแก่เขา เพิ่งสิบขวบจะสามารถบริหารเมืองทั้งเมืองให้ดีได้อย่างไร

"ข้าชนะอีกแล้ว ของกินล่ะ รีบหยิบออกมาเร็วเข้าสิ!" เด็กน้อยคนนั้นยื่นมือไปตรงหน้าผิงซุ่น พอฝ่ายนั้นล้วงขนมเปี๊ยะออกมาชิ้นหนึ่งเด็กน้อยก็รีบแย่งไปยัดใส่ปาก ราวกับหิวโหยมาสิบวันครึ่งเดือน

'อย่าบอกนะว่าไม่ให้นักโทษกินข้าว' ถังเยว่คิดในใจ แต่ก็ตอบตัวเองได้ว่าด้วยนิสัยองค์ชายเจาคงไม่ถึงกับทารุณกรรมนักโทษหรอกกระมัง

แต่คนที่ดูแลเรื่องเสบียงอาหารคือจ้าวซานหลาง เช่นนี้ก็พูดยากแล้วด้วยเหตุนี้เขาจึงหันไปมองจ้าวซานหลางอย่างตำหนิ

"เหตุใดถึงมองข้าเช่นนี้?" จ้าวซานหลางงุนงงไม่เข้าใจ กะพริบตาสองทีถึงเข้าใจความหมายในสายตาของถังเยว่ จึงโวยวายขึ้นทันที "หนอยแน่ะ!กล้าดีนักนะถังเยว่ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมองข้าเช่นนี้ ข้าเป็นคนประเภทนั้นหรืออย่างไร?"

ถังเยว่ส่ายหน้า "เปล่า ข้าแค่เป็นห่วงว่าเสบียงจะไม่พอ ดังนั้น ... "ก็อย่างที่เจ้าเข้าใจ

หากเกิดเหตุการณ์เสบียงไม่พอขึ้นมาจริงๆ ลำดับแรกที่ต้องอดตายก่อนย่อมเป็นนักโทษอย่างไม่ต้องสงสัย นี่เป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจโต้แย้ง

จ้าวซานหลางไม่สนใจเขาอีก วิ่งตรงไปเคาะรถคุมขังนักโทษ แล้วตะโกนถาม

"นี่ เจ้าหนู เจ้าหลอกเอาอาหารของเขาไปอย่างเต็มปากเต็มคำเช่นนี้ อาหารเช้าของเจ้าเอาไปเลี้ยงสุนัขหมดแล้วหรือไง?"

ผิงซุ่นปาก้อนหินทิ้ง ยกมือเกาศีรษะแกรกๆ จ้องมองมาที่ถังเยว่กับจ้าวซานหลางอย่างกระอักกระอ่วน เขาถูกเจ้าเด็กนี่ตีสนิทโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อพูดคุยกันแล้วพบว่าเด็กน้อยดูน่าสนุก ทั้งยังเต็มใจที่จะเล่นเป็นเพื่อนกับเขา ก็แค่หาเพื่อนเล่นแก้เบื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจเท่านั้น

"กินไม่อิ่ม โจ๊กใสแจ๋วแค่ถ้วยเดียวยังไม่พออุดซอกฟันเลยด้วยซ้ำไม่รู้หรือไงว่าเด็กกินจุ" เจรจาไปก็แทะขนมเปี๊ยะจนหมดไปอย่างรวดเร็วเจ้าเมืองน้อยปรายตามองพวกเขาแวบหนึ่ง แล้วหันไปถามผิงซุ่น "จะเล่นต่ออีกไหม?"

ผิงซุ่นส่ายหน้า ยื่นถุงผ้าที่ว่างเปล่าให้อีกฝ่ายดู "ข้าไม่มีอาหารแล้ว"

เจ้าเมืองน้อยผลักผิงซุ่นออกไปทันที แล้วหันมาหาสองคนที่มาใหม่ส่งยิ้มการค้าให้แล้วถามว่า "พวกเจ้าสนใจจะเล่นไหม? ใครแพ้ต้องจ่ายด้วยขนมเปี๊ยะ"

ถังเยว่กะพริบตาปริบๆ เขารู้สึกสนิทชิดเชื้อกับเด็กคนนี้เป็นพิเศษอย่างน่าประหลาด หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เขารู้สึกคุ้นเคยในรูปแบบและวิธีการพูดของเด็กน้อยคนนี้ จึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย "เล่นอะไรปาก้อนหินหรือ? เล่นยังไง?"

เจ้าเมืองน้อยสอนเขาอย่างกระตือรือร้นหนึ่งรอบ "ง่ายมาก พวกเราแต่ละคนแบ่งก้อนหินเล็กนี้คนละสิบก้อน วางก้อนหินไว้ตรงตำแหน่งต่างๆจากนั้นค่อยดีดก้อนหินออกไป ถ้าดีดโดน เจ้าก็เป็นฝ่ายชนะ ใครดีดไม่โดนครบสิบก้อนก่อน คนนั้นก็จะเป็นฝ่ายแพ้"

ดีมาก ที่แท้นี่ก็คือเกมดีดลูกแก้วแบบง่ายนั่นเอง ถังเยว่พิจารณาเด็กตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอยู่หลายรอบ พยายามค้นหาลักษณะของคนในยุคปัจจุบันจากอีกฝ่าย

"หรือไม่ ... จะเล่นอย่างอื่นไหม? เอาอย่างนี้ พวกเรามาเล่นทายก้อนหินกัน แค่ทายให้ถูกว่าก้อนหินอยู่ในมือซ้ายหรือมือขวาของข้า ทายถูกก็ถือว่าชนะแล้ว เป็นไง?" พอถังเยว่ส่ายหน้า ฝ่ายตรงข้ามก็ขมวดคิ้ว ลูบคางครุ่นคิดอยู่สักพัก "พวกเรามีสี่คน ความจริงยังสามารถเล่นอะไรที่สนุกได้มากกว่านี้ น่าเสียดายที่ไม่มีอุปกรณ์"

"คืออะไร?"

"พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก!" เจ้าเมืองน้อยกระชากเสียงยักไหล่ ทว่าสีหน้ากลับเคลือบแฝงไว้ด้วยความว้าเหว่ "เฮ้อ ชีวิตคนเราเงียบเหงาดุจหิมะ!"

ถังเยว่เปิดประตูรถคุมขังนักโทษ มุดตัวเข้าไปด้านใน พวกทหารเห็นแล้วไม่มีใครกล้าเข้าไปห้ามปราม คงเป็นเพราะในรถคุมขังนักโทษคันนี้มีเด็กน้อยแค่คนเดียว โดยรอบก็มีทหารคอยเฝ้ายามอยู่ ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าเขาจะหลบหนี

"เล่นพวกนี้จะไปมีความหมายอะไร เปลี่ยนไปเล่นอย่างอื่นเถอะ"ถังเยว่เบียดผิงซุ่นให้กระเถิบออก แล้วเลื่อนตัวเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเจ้าเมืองน้อยแทน

"ถ้างั้นเจ้าอยากเล่นอะไร?"

"โต้วตี้จู่เล่นเป็นไหม?"

"..."

"สู้วัวกระทิงล่ะ?"

"..."

"หรือเจ้าชอบเล่นไพ่นกกระจอก?"

"..."

เด็กน้อยจ้องมองถังเยว่ด้วยท่าทางตื่นตระหนกตกใจ รีบกระถดกายถอยหลัง กระทั่งไม่มีที่ให้ถอยได้อีก จึงชี้หน้าถังเยว่ "เจ้า ... เจ้า ... " เรียกแบบนั้นอยู่เป็นนาน

ถังเยว่ยื่นมือออกไปดึงเด็กน้อยมาตรงหน้า รถคุมขังนักโทษมีขนาดพื้นที่เพียงเท่านี้ จะสามารถหลบหนีไปไหนได้?

ดูจากสีหน้าของเด็กชาย เขาก็รู้คำตอบแล้ว ความรู้สึกที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูดผุดขึ้นในใจ ถังเยว่มองอีกฝ่ายแล้วถาม "พวกเรา ... คุยกันหน่อยไหม?"

ฝ่ายตรงข้ามรีบพยักหน้ารัว คิดไม่ถึงว่า ทันใดนั้นน้ำตาก็พรั่งพรูออกมา ร่างเล็กของเด็กน้อยกระโจนเข้ากอดเขาร้องไห้โฮ

ภาพเหตุการณ์นี้ไม่เพียงทำให้จ้าวซานหลางกับผิงซุ่นตกใจ กระทั่งทหารที่อยู่รอบๆ ต่างก็มองทั้งสองที่กอดกันกลมด้วยสายตาประหลาดใจ

ถังเยว่ตบหลังอีกฝ่ายเบาๆ "เอาละ เจ้าจะร้องไห้ทำไม หรือจะเป็นเด็กจริงๆ?"

น้ำตาของฝ่ายนั้นหยุดไหลทันที เขาเงยหน้าขึ้นมาขอบตาแดงเรื่อแล้วกล่าว "อย่างน้อยตอนนี้ก็ใช่!"

ถังเยวไล่ผิงซุ่นลงจากรถ สั่งให้พวกเขาเดินไปไกลๆ จากนั้นทั้งสองก็คุยกันอยู่ในรถคุมขังนักโทษแบบไหล่เคียงไหล่

ความรู้สึกที่ต้องประสบกับเรื่องประหลาดเช่นนี้พูดมากไปก็มีแต่จะต้องร่ำไห้ ถังเยว่อดที่จะนึกถึงเรื่องเสียใจขึ้นมาไม่ได้ จึงน้ำตาไหลลงมาสองหยด

ชาติที่แล้วเด็กคนนี้มีชื่อว่าจางฉุน เป็นนักแสดงตัวประกอบไร้ชื่อเสียง ประเภทที่เล่นเป็นศพ คนเดินถนนอะไรเทือกนั้น ไม่รู้จักหน้าพ่อแม่ค้าประเวณี ป่วยตายเมื่อสิบปีก่อน ตัวเขาประสบอุบัติเหตุเกี่ยวกับระเบิดในกองถ่าย หลังจากฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกลายเป็นเด็กน้อยอายุสิบขวบ

แน่นอนว่า นี่เป็นเรื่องราวทั้งชีวิตของเขาที่ถังเยว่สรุปออกมาได้หากใช้คำพูดตามที่จางฉุนเล่าก็คือ "ผมไม่มีพ่อมาตั้งแต่เกิด ไม่รู้จักผู้ชายที่สละน้ำเชื้อให้ผมเกิดมาคนนั้น แต่ดูจากหน้าตาผมแล้ว จะต้องไม่ใช่คนหล่อแน่ๆ ไม่เช่นนั้นผมคงหล่อและมีชื่อเสียงโด่งดังไปแล้ว แม่ผมเป็นผู้หญิงขายบริการ มีแฟนที่คบหากันค่อนข้างเป็นตัวเป็นตนอยู่คนสองคน เอาเป็นว่าไม่อดตายก็แล้วกัน

"ตอนผมอายุสิบสาม แม่ก็ป่วยตาย พอแม่จากไปผมก็พยายามยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ตอนแรกไปทำงานเป็นเด็กล้างจาน จากนั้นก็เป็นพนักงานเสิร์ฟ ตอนหลังพอดูโทรทัศน์มากเข้า นึกอยากมีชื่อเสียงจึงเริ่มไปเป็นนักแสดงตัวประกอบ ทุกวันนั่งๆ นอนๆ ก็ได้เงินหลายสิบเหรียญแล้วสบายกว่าเดินถือจานเสิร์ฟตั้งเยอะ อีกอย่างถ้าเกิดเข้าตาผู้กำกับใหญ่ขึ้นมาผมก็อาจจะมีชื่อเสียงโด่งดังได้ไม่ใช่เหรอ?"

"ถ้าอย่างนั้นตอนที่นายข้ามมิติมาโลกนี้คงสุขสบายน่าดู เป็นถึงเจ้าเมืองเชียวนะ แค่คิดก็เท่จะแย่ แล้วทำไมแค่เรื่องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในยุคโบราณนายถึงยังเอาชนะไม่ได้ มิหนำซ้ำยังถูกหางเลขต้องมาอยู่ในรถคุมขังนักโทษแบบนี้อีก"

"ปัดโธ่! คุณนึกว่าผมชอบหรือไง! ฟื้นขึ้นมาก็ถูกทหารทั้งฝูงบุกเข้ามาจับตัวแล้ว ผมยังนึกว่าเป็นการแสดงอยู่เลย ตอนหลังถึงได้รู้ว่าเจ้าเด็กโชคร้ายนี่ตกใจกลัวจนกลืนยาพิษตาย ทำให้ผมต้องกลายมาเป็นแพะรับบาป! ให้ตายเถอะ!"

"ก็ไม่เลวนี่ อย่างน้อยก็ยังได้ชีวิตกลับคืนมา แถมยังได้โอกาสมาท่องเที่ยวยุคโบราณอีกด้วย ฐานะในตอนนี้ก็สูงส่งไม่เบา นับว่ามีอนาคต!"

"หา?" จางฉุนคว้ามือถังเยว์ไปเขย่าถามอย่างร้อนรน "อย่างนี้ยังเรียกว่ามีอนาคตได้อีกหรือ? ไม่ใช่ว่าจะถูกลากตัวกลับไปตัดหัวหรือไง?" เขาคิดว่าตัวเองต้องตายแน่ ดังนั้นจะตายทั้งทีก็ขอให้เป็นผีที่อิ่มท้อง ถึงได้หาทางหลอกล่อเอาของกินจากผิงซุ่นอยู่ทุกวัน

"ไม่ตายหรอก อย่างมากนายก็แค่ถูกลงโทษที่ดูแลไม่เข้มงวด น่าจะถอดยศปลดออกจากตำแหน่งขุนนางแบบนั้นมากกว่า โทษไม่ถึงตายหรอกน่า"

"พี่ชาย มีคำพูดประโยคนี้ของคุณ ผมก็วางใจแล้ว" จางฉุนฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันที "จากนี้ไปให้ผมติดตามคุณเถอะนะ จริงสิ คุณทำงานอะไร?"

ถังเยว่ครุ่นคิดสักพักจึงตอบกลับไป "เมื่อก่อนฉันเป็นศัลยแพทย์พอมาที่นี่แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นหมอต่ออยู่แล้ว"

"อ้อ เข้าใจ หมอทหาร ยิ่งใหญ่มาก!"

ถังเยว่หัวเราะเหอะๆ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เขาคิดว่า หากตนเองรับปากคำขอขององค์ชายเจาขึ้นมาจริงๆ ฐานะของเขาในตอนนี้ก็จะกลายเป็นว่าที่ชายาองค์ชาย ถ้าบอกไปจะไม่ทำให้เจ้าเด็กนี่ตกใจตายหรือ?

"งั้นเอางี้ ผมเรียนหมอกับคุณ ดีไหม?" จางฉุนพูดอย่างตื่นเต้น "ถึงผมจะเรียนไม่สูง แต่สมองดีเยี่ยม ถ้าเริ่มเรียนตั้งแต่อายุเท่านี้ อีกสักแปดปีสิบปี จะต้องจบการฝึกฝนจากท่านอาจารย์ได้แน่"

ถังเยว่ใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง "ก็ได้ ว่าแต่นายสนใจจะเดินทางสายนี้จริงหรือ? ความจริงนายลองทำการค้าดูก็ได้นะ แต่เป็นพ่อค้าในยุคนี้มีฐานะต้อยต่ำมาก ไม่ค่อยมีเกียรติเท่าไร"

"จริงด้วย แม่ผมที่ตายไปแล้วบอกว่าผมฉลาดมาตั้งแต่เด็ก โตขึ้นต้องได้เป็นเถ้าแก่ใหญ่แน่นอน ชาติที่แล้วอนาคตผมไปได้ไม่ไกล ชาตินี้ก็ยังพยายามต่อได้ ฮ่าๆ ... "

เห็นคู่สนทนาจมดิ่งฝันหวานว่าได้เป็นเถ้าแก่ใหญ่ ถังเยว่ทนใจดำขัดจังหวะไม่ลง จึงได้แต่มองเขาเพ้อฝันต่อ

"คุณชายถัง องค์ชายเชิญพบขอรับ" พลทหารนายหนึ่งวิ่งมารายงานอยู่นอกรถคุมขังนักโทษ

ถังเยว่เหลือบมองสีท้องฟ้า ถึงเพิ่งรู้ว่าพวกเขาคุยกันนานกว่าครึ่งค่อนวันโดยไม่ทันรู้สึกตัว

"งั้นฉันไปก่อนละ วาดโครงการสวยหรูของนายต่อไปนะ!" ถังเยว่ตบบ่าจางฉุน แล้วลงจากรถคุมขังนักโทษ เดินจากมาได้สองก้าวก็หันกลับไปประสานมือคารวะ แล้วกล่าวเสียงดัง "ท่านเจ้าเมืองโปรดถนอมสุขภาพด้วย โรคป่วยใจของท่านเป็นมานานแล้ว โรคทางใจก็ต้องรักษาด้วยยาใจดังนั้นต้องผ่อนคลายจิตใจให้มาก"

พริบตานั้นผู้คนรอบข้างต่างโล่งใจไปตามๆ กัน ที่แท้ท่านเจ้าเมืองก็ไม่สบายนี่เอง มิน่าล่ะเมื่อครู่ถึงได้ร่ำไห้เศร้าสลดถึงเพียงนั้น

คิดแล้วก็สมควรอยู่ เด็กที่อายุน้อยเพียงเท่านี้ต้องไร้พ่อขาดแม่แบกรับภาระหน้าที่ใหญ่หลวงไว้เพียงลำพัง ถูกคนควบคุมอำนาจยังพอทำเนา สุดท้ายยังต้องมีจุดจบเยี่ยงนี้ ช่างน่าเวทนายิ่งนัก


 

95 ได้ยินว่าเป็นถึงองค์ชายเชียวนะ สุดยอดไปเลย!

 

"ขึ้นมาสิ!" องค์ชายเจาเปิดประตูรถม้าแล้วยื่นมือส่งให้

พอเห็นอีกฝ่ายถังเยว่ก็พลันรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที เขาก้าวขึ้นรถม้าอย่างอ้อยอิ่ง ทันใดนั้นก็ถูกอีกฝ่ายฉุดขึ้นไปนั่งข้างๆ

"เจ้าสนิทกับเจ้าเมืองฉินหยางงั้นหรือ?"

"จะเป็นไปได้อย่างไร? นี่เพิ่งเป็นการพบกันครั้งแรก" ถังเยว่ตอบอย่างซื่อตรง ไม่โกหกเสแสร้งเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ปิดบังความจริงเรื่องพวกเขามีความเป็นมาในแบบเดียวกัน

องค์ชายเจาเองก็คิดไม่ออกว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์กันได้อย่างไร เพียงแต่ไม่ว่าเอ่ยถามหาถังเยว่กี่ครั้งกี่หน คำตอบที่ได้รับคืออยู่กับท่านเจ้าเมือง ได้ยินว่าทั้งโอบกอดร่ำไห้ ทั้งพูดคุยกันอย่างสรวลเสเฮฮา ทำให้เขารู้สึกขัดเคืองใจไม่น้อย

"เช่นนั้นก็คือ ถูกชะตาตั้งแต่แรกเจอ?"

ถังเยว่ส่ายหน้า "หาได้มีเรื่องเช่นนั้นไม่ ตรงนี้ของเจ้าเมืองน้อยมีปัญหานิดหน่อย ... " ถังเยว่ชี้ไปที่ศีรษะตัวเอง "หากฝ่าบาทสังเกตดูดีๆ ก็จะพบ อารมณ์ของคนผู้นี้อ่อนไหว ตื่นเต้นง่ายกว่าปกติ มักจะอารมณ์ขึ้นๆลงๆ และยังมีแนวโน้มที่จะทำร้ายตัวเอง เข้าข่ายผู้ป่วยทางจิต"

จางฉุนส่งเสียงจามฟืดฟัดแล้วบ่นพึมพำกับตัวเอง "มีคนคิดถึงฉันงั้นหรือ? ไม่แน่อาจเป็นแฟนคลับคนไหนที่แอบหลงรักฉันก็เป็นไปได้"

เขายังไม่รู้ตัวว่าตอนนี้ได้ถูกถังเยว่ยกฐานะให้กลายเป็นผู้ป่วยทางจิต จึงเริ่มพยามยามตีสนิทกับองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ

"ผู้ป่วยทางจิต? นั่นเป็นโรคชนิดใด?" องค์ชายเจาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกว่าจิตก็ป่วยเป็นโรคได้

ถังเยว่เรียบเรียงคำศัพท์และภาษาเล็กน้อย เพื่อหาคำมาอธิบายให้อีกฝ่ายฟังเข้าใจง่ายขึ้น

"โรคทางจิตใจก็คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของจิตใจ ในใจคนผู้นั้นจะเต็มไปด้วยความมืดมิด มีอารมณ์รุนแรง ถ้าจะพูดให้ร้ายแรงก็คือคนเสียสติ ... ฝ่าบาทเคยเห็นคนเสียสติบ้างหรือไม่?"

องค์ชายเจาเลิกคิ้ว "เคยเห็นที่ชายแดน มีทหารบางคนอยู่ดีๆ ก็คลุ้มคลั่งขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ มีบางคนทำร้ายตัวเอง มีบางคนพูดจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อน บางคนทำเรื่องประหลาด พวกนี้จัดว่าเป็นผู้ป่วยทางจิตหรือไม่?"

"ถูกต้อง!" ถังเยว่ดีดนิ้วเปาะ อาการเหล่านี้มีสาเหตุมาจากปัญหาทางใจอย่างแน่นอน

เหล่าทหารชายแดนต้องเผชิญหน้าความกดดันจากความตายทุกวัน จิตใจไม่ได้รับการผ่อนคลายเป็นเวลานาน ย่อมก่อให้เกิดอาการป่วยทางจิตได้เป็นธรรมดา

"มีวิธีรักษาหรือไม่?"

"ฝ่าบาทเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่าโรคทางใจต้องรักษาด้วยยาใจหรือไม่?" ถังเยว่ไม่ใช่จิตแพทย์ ต่อให้รู้สาเหตุก็ไม่อาจหาคำชี้แนะดีๆ มาให้ได้

"เช่นนั้นก็แสดงว่าไม่มียารักษา" นี่คือความเข้าใจที่องค์ชายเจามีต่อคำพูดประโยคนี้ ยาใจคือสิ่งใด หากสามารถรักษาได้ด้วยยาใจ แล้วจะมีโรคทางใจมาจากที่ใด?

"หากข้างกายฝ่าบาทมีคนที่มีความเชี่ยวชาญในการสื่อสารกับผู้อื่นเข้ากับคนง่าย ไม่ว่ากับใครก็สามารถสร้างไมตรีที่ดีได้ คนแบบนี้อาจจะสามารถเป็นผู้ชักนำ จูงใจผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตเหล่านั้น ขอเพียงสามารถเปิดใจพวกเขา ให้พวกเขาคิดถึงเรื่องหวาดกลัวและลดความกดดันในใจให้น้อยลง บางทีอาการป่วยก็สามารถดีขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้ยารักษา"

"เจ้าไง"

"หา?"

"คนที่เจ้าพูดถึงก็คือตัวเจ้าเองมิใช่หรือ? เชี่ยวชาญที่จะสื่อสารกับผู้อื่น เข้ากับคนง่าย ไม่ว่ากับใครก็สามารถสร้างไมตรีที่ดีได้ คนแบบนี้ที่ข้าเคยพบเห็นก็มีแค่เจ้าคนเดียว"

ถังเยว่หมดสิ้นคำพูดที่จะโต้ตอบ ที่แท้ภาพลักษณ์ของเขาในใจอีกฝ่ายก็เป็นเช่นนี้นี่เอง

เขาหัวเราะเหอะๆ สองที เขาเป็นหมอ การเชี่ยวชาญที่จะสื่อสารกับผู้อื่นนั้นเป็นวิชาบังคับ ไม่เช่นนั้นจะอธิบายอาการป่วยของโรคให้คนไข้ฟังได้อย่างไร จะปลอบใจญาติคนไข้อย่างไรกัน?

นอกเหนือจากนั้นอีกสองประการเขาไม่ยอมรับ เขาเข้ากับคนง่ายก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ว่าสร้างสัมพันธไมตรีที่ดีกับใครก็ได้ และยิ่งไม่ใช่คนที่เข้ากับทุกคนได้อย่างรวดเร็ว

หัวข้อสนทนาถูกถังเยว่เปลี่ยนประเด็นได้สำเร็จ จากอาการป่วยทางจิตค่อยๆ โยงไปสู่การสร้างระบบการรักษาของหมอทหาร

ถังเยว่มีแนวความคิดเบื้องต้นสำหรับเรื่องนี้แล้ว เพียงแต่จะทำความคิดนี้ให้กลายเป็นความจริงจำเป็นต้องใช้เวลา

"หมอทหารมีน้อยเกินไป สามารถรักษาผู้บาดเจ็บได้อย่างจำกัด มีทหารจำนวนมากที่ได้รับการรักษาไม่ทันท่วงทีแล้วทนพิษบาดแผลไม่ไหวขาดใจตาย ถูกต้องหรือไม่?"

องค์ชายเจาพยักหน้า "ทั้งชายแดนมีหมอเพียงสิบห้าคน มีหมอฝึกหัดอีกสามสิบห้าคน ต่อให้ทุกคนมีแขนขางอกเพิ่มออกมาเป็นสี่ก็ยังรักษาไม่ทัน ได้แต่ดูแลผู้ที่บาดเจ็บไม่สาหัสก่อน"

ในสนามรบ ใช่ว่าทหารทุกคนจะเข้าใจวิธีว่าต้องจัดการกับบาดแผลอย่างไร ทำแผลอย่างไร มีแต่ทหารเก่าที่เคยมีประสบการณ์แล้วเท่านั้นถึงจะพอเข้าใจบ้าง หลักการของถังเยว่คือจัดการกับผู้ป่วยที่มีอาการสาหัสก่อนส่วนผู้ป่วยอาการไม่หนักก็รักษาตัวเองไป ใครทำไม่ได้ก็ต้องเข้าแถวรอ ดังนั้นเขาจึงคิดอยากจะจัดตั้งหน่วยพยาบาลขึ้น สำหรับรักษาผู้ป่วยอาการไม่สาหัสโดยเฉพาะ และคอยดูแลพยาบาลผู้ป่วยสาหัสหลังได้รับการรักษาแล้ว

ขึ้นชื่อว่าหน่วยรักษาพยาบาลแล้ว ย่อมขาดบุคลากรสำคัญอย่างพยาบาลไปไม่ได้และบุคลากรส่วนนี้ก็ฝึกอบรมได้ไม่ยากนัก เพราะต้องการแค่ความรู้พื้นฐานและความชำนาญในการทำแผลเท่านั้น หากต่อไปภายหน้าสร้างเครื่องปั่นเลือดขึ้นมาได้ก็จะสามารถดำเนินการถ่ายโลหิต ให้

เลือดได้ และยังจำเป็นต้องฝึกให้พวกเขาฝังเข็มเป็นด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ยังง่ายกว่าฝึกฝนหมอขึ้นมาสักคน

"ฝ่าบาท มีใครที่อยู่ว่างไม่ค่อยได้ใช้งานบ้างหรือไม่? อายุ เพศล้วนไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงมือไม้คล่องแคล่วก็พอ"

"ต้องการจำนวนเท่าไร?"

"เบื้องต้นเปิดชั้นพื้นฐานแค่ร้อยคนก่อน คนพวกนี้ตอนกลางวันสามารถไปปฏิบัติภารกิจของตน กลางคืนเจียดเวลาเพียงหนึ่งชั่วยามเพื่อมาเรียนความรู้พื้นฐาน กระหม่อมจะสอนพวกเขาให้รู้จักวิธีปฐมพยาบาล วิธีรักษาบาดแผลภายนอก การพยาบาลดูแลหลังได้รับการรักษาว่าควรทำอย่างไร"

"เจ้าจะรับร้อยคนนี้เป็นศิษย์งั้นหรือ?" องค์ชายเจารู้สึกว่าความคิดนี้ของถังเยว่ออกจะใจกว้างเกินไปสักหน่อย ความสัมพันธ์ของศิษย์อาจารย์ในยุคสมัยนี้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ประหนึ่งบิดาและบุตร ฉะนั้นจึงมีคำพูดว่า 'เป็นครูเป็นศิษย์เพียงหนึ่งวัน ดังพ่อลูกกันชั่วชีวิต'

"ไม่ถึงกับเรียกว่าเป็นศิษย์อาจารย์ได้ เพียงถ่ายทอดความรู้ง่ายๆ ให้เท่านั้น หากฝ่าบาทรู้สึกว่ากระหม่อมขาดทุน ให้พวกเขาจ่ายค่าเรียนนิดหน่อยก็ได้ แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าคนเหล่านี้จำเป็นต้องมอบให้กระหม่อมไว้ใช้สอย!"

องค์ชายเจาคิดมากกว่านั้น การจะคัดเลือกบุคคลสักแปดสิบหรือร้อยคนเป็นเรื่องง่าย แต่คนเหล่านี้จะต้องมีใจจงรักภักดี เชื่อฟัง และต้องมีความสามารถในการตัดสินใจด้วยตัวเอง

"ทหารที่ปลดประจำการเพราะได้รับบาดเจ็บ เจ้ารับหรือไม่?"

"ขอเพียงแขนขาสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ตามปกติ หากแขนขาขาดก็ขอให้รู้จักตัวหนังสือ พออ่านออกเขียนได้หรือจำแนกยาเป็นก็ใช้ได้"

"ดังเช่นองครักษ์ข้างกายเจ้า ที่แม้แต่เดินก็ยังไม่มั่นคงคนนั้นน่ะหรือ?" ครั้งแรกที่เห็นว่าถังเยว่มีผู้ติดตามเป็นคนพิการ เขายังรู้สึกเห็นใจเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงไม่มีคนให้เลือกจึงจำต้องรับองครักษ์ที่ร่างกายไม่สมประกอบเช่นนี้เอาไว้ ภายหลังถึงรู้ว่าคนผู้นี้รู้จักสมุนไพรไม่น้อย สามารถแบ่งเบาและช่วยถังเยว่ทำงานได้ จึงค่อยโล่งใจ

"เชวี่ยมีความรู้ด้านสมุนไพร ช่วยงานข้าได้ไม่น้อยทีเดียว ขาของเขาหากทายาอย่างต่อเนื่องอีกสักครึ่งปี บางทีอาการอาจดีขึ้นบ้าง"

"คนแบบนี้มีไม่มาก ไว้รอกลับเมืองเย่เฉิง เจ้าค่อยไปเลือกกับข้าก็ได้" คำพูดเพียงประโยคเดียวขององค์ชายเจาก็สามารถช่วยจัดการแก้ไขปัญหากลุ้มใจของถังเยว่ได้แล้ว

หนึ่งร้อยคนดูเหมือนไม่มาก แต่หากต้องคัดเลือกอย่างละเอียดและถ้วนถี่ก็ไม่ง่าย ถ้าให้ถังเยวไปหาเอง เกรงว่าเขาคงเลือกได้เพียงคนในจวนลี่หยางโหว เช่นนั้นแล้วคุณภาพของผู้ที่ถูกคัดเลือกอาจไม่ดีพอ

"นอกจากคนแล้ว ยังจำเป็นต้องจัดเตรียมสมุนไพรให้เพียงพอ จึงจะสามารถรองรับและตอบสนองความต้องการได้ทุกสมรภูมิ มีหมอแต่ขาดยา ต่อให้เป็นหมอที่เก่งกาจสักแค่ไหนก็ช่วยชีวิตได้เพียงไม่กี่คน"

"ข้ามีคลังส่วนตัว หากเจ้าตอบตกลงแต่งเข้าจวนข้า ต่อไปภายหน้าคลังส่วนตัวของข้าจะยกให้เจ้าดูแล"

จู่ๆ องค์ชายเจาก็กล่าวประโยคนี้ออกมา ถังเยว่ที่หัวสมองกำลังคิดสรรสร้างสิ่งต่างๆ อย่างคึกคัก ถูกคำว่า 'แต่งเข้า' ของอีกฝ่ายหยุดไว้ในทันที

"ยังไม่พูดถึงเรื่องนี้จะได้หรือไม่?"

"เจ้าไม่เห็นด้วยงั้นหรือ?" องค์ชายเจาขมวดคิ้ว ไม่อาจยอมรับท่าทางการปฏิเสธของเขาได้

"หามิได้ ... ฝ่าบาทต้องให้เวลาและพื้นที่สำหรับการไตร่ตรองกับกระหม่อม พวกเราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้กันชั่วคราวได้หรือไม่?"

องค์ชายเจาฝืนใจพยักหน้า "เจ้าพูดต่อเถอะ นอกจากสมุนไพรและคนแล้ว ยังต้องการสิ่งใดอีก?"

"ตอนนี้ยังคิดไม่ออก ไว้รอให้คิดออกแล้วค่อยทูลให้ทรงทราบนะพ่ะย่ะค่ะ"

"ก็ได้ เพียงแต่ตอนจดรายการคราวหน้า จำไว้ว่าต้องใช้คำศัพท์ที่ทุกคนสามารถอ่านเข้าใจ"

ถังเยว่ยิ้มอย่างเขินอาย ใบรายการฉบับนี้เขาเขียนไปเขียนมาก็เผลอเขียนคำศัพท์ที่ตนมักใช้เป็นประจำในอดีตโผล่มาด้วย เพราะมีบางทีที่หาคำศัพท์มาใช้ทดแทนกันไม่ได้ บ้างครั้งก็เป็นเพราะไม่รู้ว่าในยุคนี้สิ่งที่เขาต้องการเรียกว่าอะไร ดังนั้นจึงใช้ผสมปนเปกันไป

ตอนเที่ยง ขบวนกองทัพหยุดพักกินข้าวกลางวัน ถังเยว่กินข้าวเป็นเพื่อนองค์ชายเจา จากนั้นก็หยิบขนมเปี๊ยะสองชิ้นไปหาจางฉุน

แม้นักโทษจะมีอาหารให้ดื่มกินตามปกติ แต่ถึงอย่างไรคุณภาพและปริมาณก็ยังจัดว่าแย่อยู่ดี

ก็เหมือนอย่างที่จางฉุนพูด เด็กในวัยอย่างเขาอยู่ในช่วงกำลังเจริญเติบโต กินจุมาก อาหารเพียงน้อยนิดแค่นั้นสามารถอิ่มได้ก็แปลกแล้ว

"เอ้า กินสิ" ถังเยว่ส่งขนมเปี๊ยะให้

"ทำไมเป็นขนมเปี๊ยะอีกแล้วล่ะ? หรือว่าไม่มีอาหารอย่างปกติกับเขาบ้างเลยหรือไง?" จางฉุนหยิบขนมเปี๊ยะไปกัด กินไปบ่นไป

"นายนึกว่าออกมาปิกนิกหรือไง ถึงจะได้มีหมูเห็ดเป็ดไก่มาประเคนให้"

"ก็จริง แต่ผมคิดว่าขุนนางใหญ่สุดน่าจะกินดีอยู่ดีกว่านี้นะ พูดถึงขุนนางคนนั้น วันก่อนผมเห็นแค่แวบเดียวก็ตะลึงพรึงเพริดไปเลย หน้าตาหล่อมาก ถ้าเข้าวงการบันเทิงต้องดังแน่! ไม่รู้ว่าจะมีแฟนคลับทั้งหญิงทั้งชายมาหลงใหลหัวปักหัวปำมากแค่ไหน ได้ยินว่าเป็นถึงองค์ชายเชียวนะ สุดยอดไปเลย!"

"แค่กๆ ... ฝ่าบาทก็เสวยเหมือนนายนี่แหละ" ถังเยว่จ้องขนมที่อยู่ในปากอีกฝ่าย อยากจะบอกมากว่าหนึ่งในสองชิ้นของขนมเปี๊ยะที่นายกินอยู่ก็ได้มาจากองค์ชายผู้หล่อเหลาสุดยอดคนนั้นนั่นละ

"คุณรู้ได้ยังไง?" จางฉุนเคี้ยวหยับๆ คำโต แป๊บเดียวขนมก็หมดจากนั้นก็กรอกน้ำตามไปสองอึก อิ่มเอมจนหนำใจก็เรอออกมา

ถังเยว่ตอบในใจ 'ก็เพราะพวกเรากินข้าวด้วยกันน่ะสิ'

"ในกองทัพมีกฎว่าทุกคนเสมอภาคกัน ไม่ว่าขุนนางจะสูงหรือต่ำล้วนต้องกินเหมือนกันหมด หากอยากกินของดีๆ ก็ต้องไปหุงหาทำกินเอาเองแต่ตลอดการเดินทางของนายครั้งนี้คงไม่มีทางได้เสวยสุขอย่างนั้น"

"ได้ รอให้ผมถูกปลดปล่อยพันธนาการได้รับอิสระอีกครั้งก่อนเถอะผมจะไปเปิดหอสุรา ทำอาหารเลิศรสทุกอย่างที่เคยกินออกมาขาย รับรองว่าคนโบราณพวกนี้จะต้องกินแล้วอยากกินอีก จดจำแบบไม่มีวันลืมเลือน!"

"เหอะๆ" ถังเยว่ยิ้มเย็นให้อีกฝ่ายหนึ่งที "ทำให้ได้ก่อนเถอะแล้วค่อยมาพูด!"


 

96 จิตใจหยาบกระด้างเกินไปก็ถือว่าป่วย ต้องรักษา!

 

จางฉุนนับนิ้วว่าตนทำอะไรเป็นบ้าง นับไปนับมาก็พบว่าอะไรก็ทำไม่เป็น ดูเหมือนว่าประสบการณ์ชีวิตในชาติที่แล้วจะไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์กับที่นี่ได้เลย

"โธ่เว้ย! ในฐานะที่ผมเป็นผู้ชายห้าดี[1]แห่งยุคใหม่ แต่กลับทำอะไรในยุคนี้ไม่เป็นเลยสักอย่าง ... คุณว่าผมไปเล่นงิ้วซะเลยดีไหม?" [1 ผู้ชายห้าดี หมายถึง ผู้ชายที่มีความมั่นใจในตัวเอง ใจกว้าง รักความก้าวหน้า หนักแน่นมั่นคงและดูแลเอาใจเก่ง]

ถังเยว่ปรายตามองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อถือ แล้วย้อนถามกลับไป

"ถ้ายุคนี้ยังไม่มีนักแสดงงิ้วล่ะ?"

"ไม่มีเหรอ ... ไม่มีก็ดีสิ ผมจะได้เป็นผู้บุกเบิกละครงิ้วคนแรกของประวัติศาสตร์ ยิ่งใหญ่มากเลยใช่ไหม?"

"นายร้องงิ้วเป็นหรือร่ายรำได้ล่ะ?"

จางฉุนชะงักกึก แล้วก้มหน้าไม่พูดอะไรอีก ท้ายที่สุดแล้วก็คือทำอะไรไม่เป็นอยู่ดี น่าสงสารที่เมื่อก่อนใฝ่หาความรู้มาน้อย ตอนนี้จึงเป็นแค่มอดที่ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเลยสักอย่าง!

จะว่าไปหากตอนนั้นเขาจับพลัดจับผลูได้เรียนมหาวิทยาลัย แล้วเลือกเรียนวิชาที่ต้องใช้เครื่องมือเครื่องไม้ทันสมัยอย่างเอกคอมพิวเตอร์เอกการเงินเข้าให้ แบบนั้นเมื่อต้องมาอยู่ยุคนี้จะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ หากได้เรียนก็ต้องเป็นวิชาอย่างถังเยว่ เรียนวิชาชีพเฉพาะที่สามารถใช้ได้ทั้งในยุคโบราณและยุคปัจจุบัน จึงจะสามารถเอาตัวรอดได้

ขากลับเดินทางกันช้ามาก ถังเยว่ใช้เวลาส่วนใหญ่ขลุกอยู่กับจางฉุน จะอย่างไรพวกเขาก็มาจากยุคเดียวกัน พูดจาภาษาเดียวกัน จึงมีเรื่องราวให้พูดคุยกันไม่จบไม่สิ้น

มิหนำซ้ำถังเยว่ใช้ข้ออ้างว่ามาตรวจโรคให้อีกฝ่าย จึงสามารถขลุกอยู่ในรถคุมขังนักโทษกับเขาได้อย่างเปิดเผย จากนั้นทุกคนก็เห็นเจ้าเมืองน้อยที่เป็นโรคทางใจร่าเริงขึ้นทุกวัน ใบหน้าเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม แต่ละคนล้วนเอ่ยชมว่าฝีมือรักษาของคุณชายถังช่างวิเศษยิ่งนัก

ทุกครั้งที่จางฉุนเห็นเขาถูกคนอื่นชมอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ ก็มักพูดกระเซ้า "ดูสิ ปล่อยให้คุณเล่นละครไปก่อนก็ได้ ผมเป็นโรคประสาทที่ไหนกัน?"

"นายไม่ได้เป็นโรคประสาท นายแค่ป่วยทางจิตเท่านั้น" ถังเยว่หัวเราะเสียงเย็น "จิตใจหยาบกระด้างเกินไปก็ถือว่าป่วย ต้องรักษา!"

ผิงซุ่นยังคงชื่นชอบที่จะมาเล่นกับจางฉุน เพราะจางฉุนคนนี้พูดตามตรงแล้วก็คือนักเลงจอมเจ้าเล่ห์ คลุกคลีอยู่ในสังคมระดับล่างหลายปีย่อมมีลูกเล่นวิธีเข้าหาผู้อื่นแบบเฉพาะตัว

คนแบบนี้มีจิตฝักใฝ่ในผลประโยชน์สูง เมื่อใดก็ตามที่ได้เจอคนที่มีประโยชน์ต่อเขาย่อมมีลูกไม้สารพัดที่จะงัดออกมาเอาอกเอาใจคนผู้นั้น ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เขาอยากได้อาหารในมือผิงซุ่น ก็มีวิธีที่จะทำให้ผิงซุ่นพ่ายแพ้จนต้องยอมมอบอาหารเหล่านั้นให้ด้วยความเต็มใจ

โชคดีที่เขาไม่ได้มีจิตคิดร้าย ไม่ใช่คนชั่วช้าอำมหิต และก็ไม่มีพฤติกรรมที่ถึงกับชวนให้นึกรังเกียจ หากจะบอกว่าคนทั้งขบวนทัพใครที่เห็นเขารกหูรกตา เกรงจะต้องบอกว่ามีเพียงองค์ชายเจาเสียกระมัง

แค่ถังเยว่มาอยู่ตามลำพังกับจางฉุนเกินหนึ่งชั่วยาม องค์ชายเจาก็ต้องสั่งให้คนมาตาม หากไม่เห็นว่าอีกฝ่ายยังเด็กอยู่ เดาว่าจางฉุนคงถูกองค์ชายเจาลอบจัดการกลางทางเป็นแน่ ปฏิบัติกับสิ่งมีชีวิตที่เป็นศัตรูหัวใจองค์ชายเจาสามารถลงมือได้โหดเหี้ยมอำมหิตที่สุด เพียงแค่ ณ เวลานี้ เขายังไม่มีศัตรูหัวใจที่จะต้องจัดการด้วยแผนการระดับนั้น

กลับถึงเมืองเย่เฉิง องค์ชายเจาสั่งให้คนลากรถนักโทษแห่ไปตามท้องถนน จากประตูเมือง เข้าเมือง แล้วอ้อมไปยังหน่วยราชทัณฑ์ นำตัวนักโทษไปส่งที่คุกใหญ่ก่อน

เพราะโทษของจางฉุนมิได้ร้ายแรง ทั้งยังเป็นผู้มีบรรดาศักดิ์ จึงได้รับการละเว้นไม่ต้องเข้าคุกคุมขัง แต่ถูกองค์ชายเจากักตัวไว้ที่จวนชั่วคราว

จางฉุนยังนึกว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะประจบเพื่อหวังพึ่งบารมี เตรียมจะใช้วาทศิลป์ของตนเลียแข้งเลียขาเพื่อจะได้เกาะองค์ชายเจาผู้เป็นเสมือนไม้ใหญ่ ไหนเลยจะรู้ว่าองค์ชายไม่สนใจเขาอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ต้องพูดเรื่องเอ่ยปากประจบประแจง เพราะแม้แต่หน้าก็ยังไม่ได้เจอ เขาถูกส่งตัวไปกักขังไว้ในห้องพักห้องหนึ่ง

อยู่ในยุคโบราณที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีโทรทัศน์ ถูกขังไว้ในห้องคนเดียว แท้จริงแล้วไม่ต่างอะไรจากการติดคุกเลยสักนิด นักโทษในยุคปัจจุบันยังมีเวลาได้ปล่อยออกมากลางแจ้งรับแดดลมบ้าง แต่ที่นี่ถูกปิดตายอย่างสิ้นเชิง ทำเอาจางฉุนแทบเป็นโรคประสาทขึ้นมาจริงๆ

 

องค์ชายเจากลับจวนไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเครื่องแบบราชสำนัก แล้วจึงเข้าวังพร้อมกับหูจินเผิง

เขาเดินทางต่างถิ่นคราวนี้ แม้บอกกับผู้อื่นว่าเป็นการไปผ่อนคลายแต่ความจริงแล้วเป็นการหาโอกาสทวงอำนาจการบริหารราชสำนักที่ควรเป็นของตนกลับคืน

"เดินทางไปต่างถิ่นคราวนี้ สิ่งที่เก็บเกี่ยวได้หาใช่เพียงการปราบปรามโจรผู้ร้ายและจัดการกับรองเจ้าเมืองไม่ ลูกยังได้ของล้ำค่าที่เป็นคุณประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองมาอีกสองสิ่ง" องค์ชายเจารายงานด้วยเสียงดังกังวานในท้องพระโรง

ทันทีที่จักรพรรดิหนานจิ้นรู้ว่ามีสิ่งของล้ำค่า อารมณ์ก็แช่มชื่นขึ้นเหล่าเสนาบดีก็ต่างกางหูรอฟัง สิ่งที่สามารถถูกองค์ชายเจายกให้เป็นของล้ำค่าได้นั้น จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

"รีบนำขึ้นมา" จักรพรรดิหนานจิ้นสั่งแล้วยืดคอยาวรอดู เห็นเพียงหูจินเผิงที่รออยู่หน้าท้องพระโรงยกถาดที่ปูด้วยแพรแดงก้าวยาวๆ เข้ามา

สิ่งของในถาดเล็กเกินไป จักรพรรดิหนานจิ้นจึงเห็นไม่ถนัดนัก ฝ่ายเสนาบดีที่ยืนอยู่ระหว่างทางที่หูจินเผิงเดินผ่านแม้จะเห็นชัดแล้ว แต่ไม่มีใครสามารถเข้าใจถึงคุณประโยชน์ของสิ่งของสองสิ่งนี้

กิ่งไผ่แท่งเล็กๆ กับแผ่นเหล็กดำทะมึน นี่ถือว่าเป็นสิ่งของล้ำค่าจากสำนักไหนกัน?

ในใจเต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วยระคนงงงันเล็กน้อย ทุกคนต่างกลั้นหายใจรอให้องค์ชายเจาเอ่ยปาก หูจินเผิงยืนนิ่งอยู่ข้างกายองค์ชายเจาสายตาไม่ว่อกแว่ก กระทั่งอานกั่วกงซึ่งพยายามสบตาบุตรชายยังถึงกับต้องเอ่ยพึมพำ "เจ้าลูกอกตัญญูคนนี้ มีของล้ำค่าแต่กลับไม่บอกให้พ่อรู้สักคำ..."

องค์ชายเจาหยิบกิ่งไผ่แท่งเล็กๆ ขึ้นมา ส่งขึ้นไปให้จักรพรรดิหนานจิ้นดูเป็นสิ่งแรก จากนั้นจักรพรรดิจึงให้ขันทีนำไปให้ทุกคนในท้องพระโรงได้ชมกันถ้วนทั่ว

"กิ่งไผ่มีขนยัดอยู่ปลายด้านหนึ่งนี่คือสิ่งใด? มีไว้ใช้ทำอะไร?"จักรพรรดิหนานจิ้นเอ่ยถาม

"เสด็จพ่ออย่าเพิ่งพระทัยร้อน โปรดให้คนส่งม้วนหนังสือที่ว่างเปล่าขึ้นมาหนึ่งม้วน"

จักรพรรดิหนานจิ้นอนุญาต ขันทีรีบหอบม้วนไม้ไผ่ว่างเปล่าขึ้นมาม้วนหนึ่ง

องค์ชายเจาสั่งให้เขากางม้วนไม้ไผ่ออก ในมือถือพู่กัน ใช้ปลายขนจุ่มหมึกเล็กน้อย แล้วเขียนอักษรลงไปบนม้วนไม้ไผ่ที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็วจากนั้นก็ส่งม้วนไม้ไผ่ขึ้นไปให้จักรพรรดิดู

"ของสิ่งนี้เรียกว่า พู่กัน ทำจากขนสัตว์ สามารถใช้เขียนอักษรลงบนม้วนไม้ไผ่แทนการใช้มีดแกะสลักได้ น้ำหนักเบา สะดวก และเขียนได้รวดเร็วอีกทั้งยังมีราคาถูกกว่ามีดแกะสลักหลายเท่าพ่ะย่ะค่ะ ลูกคิดว่าใช้มีดแกะสลักนั้นทั้งเปลืองแรงและกินเวลาเกินไป มิสู้เปลี่ยนจากการแกะสลักอักษรมาเป็นการใช้พู่กัน เผยแพร่ให้ใช้กันแพร่หลายไปทั่วทั้งหนานจิ้น"

จักรพรรดิหนานจิ้นหยิบหนังสือม้วนนั้นขึ้นมาดูอย่างจริงจัง อักษรสีหมึกประทับอยู่บนผืนไผ่สีเขียวอ่อน เห็นแล้วรู้สึกรื่นตาสบายใจ เมื่อลองใช้มือลูบคลำอักษรเหล่านั้น ก็สัมผัสถูกบางจุดที่หมึกยังไม่แห้ง ตัวอักษรจึงเลอะและเลือนรางได้ง่าย แต่ตรงจุดที่แห้งแล้วยังคงเดิมมิได้เปลี่ยนแปลงสักนิด

"ของเหลวสีดำข้นนี้ล่ะ คือสิ่งใด?" จักรพรรดิหนานจิ้นสั่งให้คนส่งน้ำหมึกที่องค์ชายเจาเพิ่งใช้เมื่อครู่นำขึ้นมาให้ดู

"ของสิ่งนี้เรียกว่าหมึก ความหมายคือของเหลวสีดำ ขั้นตอนการทำยุ่งยากซับซ้อน คือใช้ต้นสนทำขึ้นมา ทนทานใช้ได้นาน ต้นทุนแพงกว่าพู่กันไม่น้อย"

จักรพรรดิหนานจิ้นใช้ปลายนิ้วแตะหมึกเล็กน้อย ยกขึ้นมาดมใกล้ๆคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากัน กลิ่นหมึกนั้นบางคนได้กลิ่นแล้วรู้สึกเหม็น แต่มีบางคนกลับรู้สึกว่าหอมมาก ดูจากสีหน้าจักรพรรดิก็รู้ว่าไม่ชื่นชอบกลิ่นประเภทนี้ แต่ของที่ไว้ใช้สำหรับเขียนหนังสือ กลิ่นหอมหรือไม่ หาใช่สิ่งสำคัญ

"ส่งไปให้เหล่าเสนาบดีได้ชมกัน"

จักรพรรดิหนานจิ้นสั่งให้คนนำม้วนไม้ไผ่ส่งลงไป เหล่าเสนาบดีต่างรอที่จะได้ชื่นชมสิ่งประดิษฐ์ชิ้นสำคัญนี้มาครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ได้ดูมันใกล้ๆเสียที เมื่อเห็นแล้วก็พากันร้องอุทานอย่างตื่นตะลึง

"สะดวกกว่าการแกะสลักตัวอักษรมากมายหลายเท่าจริงๆ เขียนตัวอักษรก็ไม่ต้องออกแรงมากเกินไป มิหนำซ้ำเห็นระดับความเร็วที่องค์ชายเจาทรงจรดสิ่งที่เรียกว่าพู่กันนี้แล้ว ว่องไวกว่าการแกะสลักตัวอักษรมาก"

"เป็นเช่นนั้นจริงๆ อีกอย่างสีสันก็สดใสแจ่มชัด อ่านได้ชัด เพียงแต่สิ่งนี้ ... หมึก เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ สีจะซีดจางลงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"

องค์ชายเจาไม่ได้ให้คำตอบที่มั่นอกมั่นใจนัก เพียงบอกว่า "เรื่องนี้ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ข้าก็ยังมิอาจยืนยันได้แน่ชัด"

นี่เป็นคำตอบที่ทุกคนพอจะคาดเดาได้ ถึงอย่างไรก็เป็นของใหม่นี่นะ

"ยังมีของล้ำค่าอีกสิ่งหนึ่งมิใช่หรือ?" จักรพรรดิหนานจิ้นถามขัดจังหวะการหารือของทุกคน

องค์ชายเจาหยิบของชิ้นที่สองขึ้นมาจากในถาด แผ่นเหล็กดำมะเมื่อมที่ทุกคนต่างรู้จัก ทว่ามีพู่กันเป็นตัวอย่างแล้ว ทุกคนต่างรู้ว่าของสิ่งนี้ต้องไม่ธรรมดา

"ของสิ่งนี้เรียกว่าเกือกม้าเหล็ก มีความหมายตรงตามชื่อคือแผ่นเหล็กที่ใช้รองกีบเท้าม้า ช่วยชะลอไม่ให้กีบเท้าม้าสึกเร็วเกินไป ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้สูญเสียม้าศึก มิหนำซ้ำยังช่วยเพิ่มความเร็วในการวิ่ง ทำให้ม้าศึกวิ่งได้รวดเร็วขึ้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ"

"อะไรนะ ...! " ทุกคนต่างตกตะลึง ของสิ่งนี้ยิ่งน่าทึ่งกว่าพู่กันเสียอีก

"เร็ว! รีบนำมาให้ข้าดู" จักรพรรดิหนานจิ้นสั่งเร่งเร้าอย่างทนรอไม่ไหว

สองแคว้นทางเหนือและใต้เปิดศึกกันไม่เคยหยุด ทุกปีเงินภาษีกว่าครึ่งถูกใช้ไปกับการทำสงคราม และในส่วนนี้รายจ่ายที่หมดไปกับม้าศึกก็นับว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ หากสามารถลดการสึกหรอของกีบเท้าม้าให้เบาลงได้จริง ไม่เพียงเป็นการช่วยให้ทางการลดค่าใช้จ่ายได้มาก ยังสามารถเพิ่มจำนวนม้าให้กับเหล่าทหารได้มากขึ้นอีกด้วย

หน้าที่ของกองทหารม้าในสนามรบมีความสำคัญอย่างยิ่ง ความสามารถของกองทัพทหารม้าที่ดีหนึ่งกองสูงกว่าทหารราบนับสิบเท่า เป็นความแตกต่างในระดับหนึ่งต่อสิบเลยทีเดียว

จักรพรรดิหนานจิ้นหยิบเกือกม้าเหล็กชิ้นนั้นขึ้นมาพลิกไปมา แต่ดูอย่างไรก็ไม่เข้าใจในประโยชน์ใช้สอยของมัน

"ของสิ่งนี้จะใช้กับกีบเท้าม้าได้อย่างไร?"

องค์ชายเจาอธิบาย "เสด็จพ่อมิทรงรู้สึกว่ารูปร่างของเหล็กชิ้นนี้มีลักษณะคล้ายกีบเท้าม้าหรือพ่ะย่ะค่ะ? เพียงตอกเหล็กให้ติดกับกีบเท้าม้าด้วยตะปู เท่านี้ก็ใช้การได้แล้ว ง่ายมากพ่ะย่ะค่ะ"

"เจ้าเคยทดลองดูแล้วหรือยัง?"

"ลูกได้เตรียมม้าและนายช่างไว้แล้ว เชิญเสด็จพ่อทอดพระเนตรใต้เท้าทุกท่าน ขอเชิญไปชมด้วยกัน"

"ได้!" จักรพรรดิหนานจิ้นขยับตัวลุกขึ้นอย่างตื่นเต้น ก้าวเท้ายาวๆเดินลงไปตบบ่าโอรสเบาๆ อย่างยินดี "เจาเอ๋อร์สร้างผลงานความดีความชอบครั้งใหญ่อีกแล้ว ประเดี๋ยวหลังจากนี้ต้องมาเล่าให้พ่อฟังอย่างละเอียดนะว่าเจ้าได้ของล้ำค่าสองสิ่งนี้มาได้อย่างไร"

องค์ชายเจาโค้งคำนับ เอ่ยตอบรับคำอย่างอ่อนน้อมระมัดระวัง "พ่ะย่ะค่ะ"

"ฮ่าๆๆ หากของสิ่งนี้มีประโยชน์จริงอย่างเจ้าว่า เพียงหวังว่าหนานจิ้นของข้าจะจะสามารถย่ำเหยียบเป่ยเยว่ให้ราบคาบ รวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง!"

"องค์จักรพรรดิทรงปราดเปรื่องเพียบพร้อมด้วยปรีชาญาณ หนานจิ้นของพวกเรานับวันจะยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากขึ้นอย่างแน่นอน เรื่องย่ำเหยียบเป่ยเยว่ต้องเป็นจริงในไม่ช้า" หัวหน้าขันทีที่อยู่ข้างๆ รีบพูดประจบ

คำพูดประโยคนี้ไม่ว่าเมื่อไรก็สามารถทำให้พอใจได้เสมอ จักรพรรดิหนานจิ้นจึงหัวเราะอย่างเบิกบานใจยิ่งขึ้น

องค์ชายเจาเดินไปยืนข้างกายจักรพรรดิด้วยสีหน้าเรียบเฉย มิได้เอ่ยแสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด


 

97 แก้วแตกยากสมาน

 

ในโรงม้า องค์ชายเจาสั่งให้คนเลือกยอดอาชาไนยที่กำลังขยับย่ำเท้าอยู่ไม่นิ่งออกมาเตรียมไว้ล่วงหน้า คงเพราะมีคนล้อมรอบมากเกินไป จึงทำให้มันไม่ยอมสงบลงสักที

"ลงมือเถอะ" องค์ชายเจาพยักหน้าให้นายช่าง แทนความหมายให้เขาเริ่มต้นลงมือได้

นายช่างไม่ได้เพิ่งทำสิ่งนี้เป็นครั้งแรก ด้วยเหตุนี้จึงเยือกเย็นมาก

เป็นไปไม่ได้ที่องค์ชายเจาจะนำสิ่งของซึ่งไม่ได้ผ่านการทดลองจนประสบความสำเร็จเข้าไปกราบทูลในราชสำนัก ต้องเห็นของกับตาทดลองจริงเองกับมือก่อนเท่านั้น สิ่งที่เขาต้องการคือให้จักรพรรดิหนานจิ้นและเหล่าเสนาบดีได้เป็นสักขีพยานกับความมหัศจรรย์ของสิ่งของชิ้นนี้

นับแต่ถังเยว่ปรากฏตัวเข้ามาในชีวิต สิ่งมหัศจรรย์ที่เขาได้พบเจอก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาทนรอไม่ไหว อยากจะผูกมัดถังเยว่ไว้ข้างกาย

ทุกคนเห็นเพียงช่างฝีมือนำชิ้นเหล็กตอกยึดเข้าไปในกีบเท้าม้าทว่าทั้งที่ถูกตะปูตอก ตัวม้ากลับยืนเล็มหญ้านิ่ง ไม่แสดงอาการเจ็บปวดใดๆหลังจากเสียงตอกเหล็กสิ้นสุดลง ทุกคนยังคงงุนงงเล็กน้อย

"แค่นี้ก็เสร็จแล้วหรือ?" จักรพรรดิหนานจิ้นถามโอรสอย่างไม่อยากเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง

"พ่ะย่ะค่ะ เพียงใช้ตะปูตอกยึดเกือกม้าเหล็กเข้าไปในเนื้อกีบก็พอทางที่ดีควรเชิญผู้ดูแลมาตรวจดูกีบเท้าม้าอย่างละเอียดอีกครั้ง หากมีจุดไหนที่เสียหายหรือบาดเจ็บจะได้รักษาอย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันมิให้เป็นโรคบาดทะยัก"

"รีบสั่งให้ม้าวิ่งแสดงฝีเท้าให้ข้าชมหน่อยสิ!"

ในใจจักรพรรดิหนานจิ้นตอนนี้นั้นหากไม่เพราะเป็นห่วงว่าจะไม่ปลอดภัย ก็แทบอยากจะกระโดดขึ้นขี่บนหลังม้า พิสูจน์ดูด้วยตัวเองสักครั้งด้วยซ้ำ

ทันทีที่องค์ชายเจาโบกมือ หูจินเผิงก็ก้าวยาวๆ เข้ามา กระโดดขึ้นหลังม้าด้วยท่วงท่าคล่องแคล่วปราดเปรียว มือกระตุกเชือกบังเหียน ขาทั้งสองข้างซึ่งหนีบอยู่ที่ท้องม้ากระทุ้งเบาๆ แล้ว ตะโกนเสียงดังลั่น "ย่าห์ ...! "

ม้าวิ่งห้ออยู่ในลานกว้าง พื้นหญ้ารอบโรงม้าอ่อนนุ่มเกินไป ฟังไม่ได้ยินเสียงเกือกม้าเหล็กที่กระทบพื้น แต่ทุกคนที่ได้เห็นรับรู้ว่าม้ายังคงวิ่งได้อย่างเริงร่า ก็ไม่เหลือความกังวลสงสัยใดๆ อีก

องค์ชายเสียนทราบข่าวจึงรีบตามมายืนอยู่อีกด้าน มองภาพเหตุการณ์นี้ด้วยสีหน้ามืดมน

"เพียงใช้ของสิ่งนี้ตอกยึดเข้าไปที่กีบเท้าม้า ก็สามารถลดการสูญเสียม้าศึกให้น้อยลงได้แล้วหรือ? ฟังแล้วออกจะโอ้อวดเกินจริงไปหน่อยหรือไม่?"

องค์ชายเจาไม่แม้แต่จะปรายตามองอีกฝ่าย เพียงแค่เอ่ยตอบ "วาจานี้เกินจริงหรือไม่ สามารถให้คนเลี้ยงม้ามาตรวจพิสูจน์ได้"

"เร็ว จูงม้ากลับมาตรวจดูให้ละเอียด" จักรพรรดิหนานจิ้นรู้สึกชื่นชมยินดีจนถึงกับตัดสินใจว่าจะลองขึ้นขี่อาชาเพื่อทดสอบด้วยตัวเอง

หูจินเผิงขี่ม้ากลับมา ตบคอชมมัน กระโดดลงจากหลังม้าแล้วกล่าว

"ทูลฝ่าบาท ม้าตัวนี้หลังใส่เกือกม้าเหล็กช่วงแรกยังปรับตัวไม่ค่อยได้ จึงยังควบคุมฝีเท้าได้ไม่ดี แต่พอวิ่งไปได้สักระยะ ยิ่งวิ่งยิ่งมั่นคง รู้สึกว่าวิ่งได้เร็วและมั่นคงกว่าไม่ใส่เกือกม้าเหล็กพ่ะย่ะค่ะ"

"เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?" จักรพรรดิหนานจิ้นฟังแล้วทนรอไม่ไหวถอดชุดคลุมรุ่มร่ามออก เหนี่ยวตัวขึ้นไปอยู่บนหลังม้า สะบัดแส้หนึ่งที แล้วควบขี่อาชาออกไปรวดเร็วดุจสายฟ้า

จักรพรรดิหนานจิ้นเองก็เคยเป็นผู้ออกรบบนหลังม้ามาก่อน ฝีมือการขี่ม้าแม้จะเทียบไม่ได้กับสมัยที่ยังหนุ่มแน่นทรงพลัง แต่ก็ยังนับว่าเข้มแข็งกว่าเด็กหนุ่มทั่วไป

หลังจากวนครบหนึ่งรอบก็กลับมา ภายในใจรู้สึกฮึกเหิม แย้มยิ้มแล้วส่งเสียงหัวเราะดังลั่น

"ฮ่าๆๆ ดี! วิเศษมาก ข้ารู้สึกเหมือนได้ความรู้สึกครั้งควบม้าฝ่าสมรภูมิอย่างในวัยหนุ่มกลับคืนมาอีกครั้ง"

หลังกระโดดลงจากหลังม้าก็ยอบตัวลง เพื่อยกกีบเท้าม้าขึ้นดูด้วยตัวเอง

ทุกคนรีบค้าน "ฝ่าบาท! ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!"

ม้าตัวนั้นถีบขาหลัง เกือบดีดถูกองค์จักรพรรดิ โชคดีที่ฝ่ายนั้นอารมณ์ดี นอกจากไม่โกรธแล้วยังเยินยอมันอีกด้วย

"แรงดี! สมแล้วที่เป็นสุดยอดอาชา!" องค์ชายเจาฉวยโอกาสนี้เสนอเรื่องนำเข้าม้าศึกพันธุ์ดีจากเป่ยเยว่ จักรพรรดิหนานจิ้นเอ่ยถามอย่างลังเล "ขอซื้ออย่างเปิดเผยเช่นนี้ เป่ยเยว่จะยอมขายให้เราหรือ?"

"ลูกได้ลองศึกษาดูแล้ว พบว่าเหล่าพ่อค้าวาณิชมีการขนส่งม้าไปมาระหว่างสองแคว้นเป็นการส่วนตัว ม้าพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ไม่จำเป็นต้องมีมากมีสักร้อยตัวก็เพียงพอ ดังนั้นลูกจึงคิดจะจัดตั้งกองคาราวานสำหรับทำการค้าขายระหว่างทางเหนือกับใต้โดยเฉพาะ ทางเหนือมีสมุนไพร หนังสัตว์ปศุสัตว์ ธัญญาหาร พวกเราสามารถทดลองนำเข้ามาได้"

นี่คือผลสรุปที่องค์ชายเจาหารือกับถังเยว่มาตลอดทาง ถังเยว่เพียงต้องการสมุนไพรที่ขึ้นอยู่ในภาคเหนือจำนวนหนึ่ง อีกทั้งอยากทดลองนำธัญพืชของภาคเหนือมาปลูกที่ภาคใต้ ทั้งสองคิดเห็นตรงกัน จึงตัดสินใจที่จะสร้างกองคาราวานร่วมกัน ถังเยว่นั้นยังคิดต่อไปอีกว่า รอให้จางฉุนถูกตัดสินลงโทษเรียบร้อย ค่อยให้เขาไปฝึกประสบการณ์ในกองคาราวานสักสองสามปี การเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้เป็นการฝึกฝนคนที่ดีที่สุด เขามีความคิดพลิกแพลงอย่างคนสมัยใหม่ ทั้งรู้วิธีเอาตัวรอด ขาดก็แต่นิสัยอดทนไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากอย่างคนยุคนี้เท่านั้น

"จัดตั้งกองคาราวาน? เรามีชาวบ้านที่เป็นพ่อค้าวาณิชอยู่แล้วเกณฑ์คนพวกนั้นมาใช้ก็พอ ไยต้องยุ่งยากทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย"

"กองคาราวานนี้ไม่หวังผลกำไร หวังเพียงเพื่อขนส่งข้าวของน่าสนใจจากเป่ยเยว่กลับมา ลูกจึงตั้งใจว่าจะใช้บ่าวไพร่ที่ซื่อสัตย์ภักดีมาทำงานนี้พ่ะย่ะค่ะ"

"ก็ได้" จักรพรรดิหนานจิ้นพยักหน้า "หากจำเป็น ให้มุขมนตรีฝ่ายตรวจสอบคอยช่วยเหลือ งดเก็บภาษีกองคาราวานนี้ อนุญาตให้เดินทางได้ทั่วหนานจิ้น ... ทว่าการจะนำเข้าม้าจำนวนมากนั้นค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ...ทรัพย์สินในท้องพระคลังมีอยู่จำกัด เกรงว่ายากที่จะจัดซื้อม้าพันธุ์ดีจำนวนมากเท่าที่ต้องการได้"

"เรื่องนี้ลูกจะลองคิดหาวิธีดูพ่ะย่ะค่ะ" องค์ชายเจาอาสารับมือกับปัญหาที่ทำให้ทุกคนต้องปวดเศียรเวียนเกล้านี้เอง

แม้ทุกคนจะมิได้แสดงออกทางสีหน้า ทว่าในใจกลับเชื่อมั่นในตัวองค์ชายเจาว่าต้องทำได้แน่ มีผู้สืบทอดที่มีความรับผิดชอบและเปี่ยมสามารถเช่นนี้ หนานจิ้นยังต้องเป็นทุกข์ว่าจะไม่เจริญรุ่งเรืองอีกหรือ

หลังดูการทดสอบเกือกม้าเสร็จ ทุกคนก็กลับมายังท้องพระโรงจักรพรรดิหนานจิ้นบัญชาให้นำม้าศึกในแคว้นมาใส่เกือกม้าเหล็กให้หมดทุกตัวในทันที

"ทูลฝ่าบาท หากจะทำเช่นนั้นเกรงว่าเหล็กที่มีเก็บไว้จะไม่พอใช้เดิมทีเหล็กเหล่านี้มีไว้เพื่อทำอุปกรณ์การเกษตรสำหรับเตรียมเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิปีหน้าพ่ะย่ะค่ะ"

"เร่งขุดแร่เหล็กให้เร็วขึ้นได้หรือไม่?"

"ด้านกำลังคน ... คงต้องเกณฑ์แรงงานเพิ่ม"

"ทำเช่นนั้นเกรงจะไม่เหมาะ" องค์ชายเจาเอ่ยค้านเป็นคนแรก แล้วออกความเห็น "แต่ละเมืองในหนานจิ้นมีนักโทษที่ถูกจองจำอยู่ไม่น้อย มิสู้เราส่งนักโทษพวกนี้ไปยังเขตเหมืองแร่ ให้พวกเขาได้ทำคุณไถ่โทษ"

"ข้อเสนอนี้ขององค์ชายเก้ากระหม่อมไม่เห็นด้วย" หลู่กั่วกงลุกขึ้นก้าวออกมากล่าว "นักโทษพวกนี้ล้วนชั่วช้าอำมหิต มีโทษมหันต์ หากปล่อยออกไปทำงานแล้วฉวยโอกาสหลบหนี เกรงว่าจะกลายเป็นภัยใหญ่หลวงเดิมทีพวกเขาก็เป็นกลุ่มคนที่ไม่กลัวตาย หากหนีไปแล้วจะตามจับได้ที่ใด"

องค์ชายเจาปรายตามองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเรียบ "อีกไม่นานก็จะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ฤดูหนาวมีศึกสงครามน้อย สามารถส่งทหารไปเฝ้าคุมเขตเหมืองแร่ หากแม้แต่นักโทษเพียงไม่กี่คนยังดูแลไม่ได้ ยังจะสามารถฝากความหวังให้พวกเขาปกป้องชาติบ้านเมืองได้อีกหรือ"

เสนาบดีจำนวนไม่น้อยต่างคล้อยตาม "องค์ชายเจารับสั่งมีเหตุผลใช้นักโทษแทนกรรมกรชาวบ้าน ไม่เพียงลดภาระของราษฎร ยังสามารถให้นักโทษทำคุณประโยชน์แก่หนานจิ้นได้ด้วย"

จะได้ไม่ต้องถูกขังอยู่ในคุกเปลืองข้าวเปลืองน้ำไปวันๆ!

จักรพรรดิหนานจิ้นทรงครุ่นคิดสักพักก็พยักหน้ารับเห็นชอบ "ได้ แต่ต้องควบคุมดูแลคนกลุ่มนี้ไว้ให้ดี หากมีใครกล้าหลบหนี ฆ่าทิ้งทันที!"

"รับด้วยเกล้า"

หลังจัดการงานใหญ่หลายเรื่องเสร็จ จักรพรรดิหนานจิ้นก็รู้สึกโล่งอก โดยไม่สนใจว่าฟ้าจะมืดแล้วหรือยัง ก็หันไปถามโอรสเรื่องที่ค้างคาใจในทันที "เจาเอ๋อร์ บอกพ่อได้หรือไม่ ว่าเจ้าได้ของพวกนี้มาได้อย่างไร เป็นฝีมือคิดค้นของคนมหัศจรรย์พันลึกผู้ใดกันแน่?"

องค์ชายเจาคิดคำตอบเตรียมไว้แล้ว จึงแจกแจงได้อย่างคล่องปากเป็นขั้นเป็นตอน

"ลูกเดินทางไปเมืองฉินหยางคราวนี้ ระหว่างทางเห็นผู้อาวุโสท่านหนึ่งนำขนหางหมาป่ามัดรวมกันทำเป็นแปรง ใช้จุ่มสีทากำแพง ลูกจึงเกิดความคิด อยากจะนำขนมาผลิตเป็นพู่กันใช้เขียนอักษร จึงได้สั่งให้คนทดลองทำครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดก็สามารถทำพู่กันออกมาได้ ส่วนหมึกคุณชายถังแห่งจวนลี่หยางโหวเป็นผู้ศึกษาค้นคว้าและทำขึ้น เสด็จพ่อน่าจะทรงรู้จัก เขาคือหมอที่รักษาขาลูกจนหายดี ส่วนเกือกม้าเหล็ก ระหว่างที่เดินทางไปเมืองฉินหยางลูกยังได้พบผู้เฒ่ารักสัตว์ท่านหนึ่ง เขาใช้แผ่นเหล็กบางๆห่อกีบเท้าวัวที่ตนเลี้ยงอาไว้ ลูกจึงคิดว่าหากใช้กับกีบเท้าวัวได้ ย่อมต้องใช้กับกีบเท้าม้าได้เช่นกัน จึงสั่งให้คนออกแบบเป็นเกือกม้าเหล็กพ่ะย่ะค่ะ"

คำพูดพวกนี้แม้จะเป็นถ้อยคำเสกสรรปั้นแต่ง แต่เชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่จักรพรรดิหนานจิ้นจะตรวจสอบหาความจริง ต่อให้ตรวจสอบขึ้นมาจริงๆ องค์ชายเจาก็ได้ตระเตรียมการล่วงหน้าไว้แล้ว แต่ไหนแต่ไรมาทุกคนในราชสำนักต่างรู้สึกว่าทักษะการสังเกตและสติปัญญาขององค์ชายเจาเลิศล้ำเกินคนทั่วไป ทั้งยังสามารถนำข้อสังเกตเล็กๆ น้อยๆ มาต่อยอดเป็นคุณประโยชน์ใหญ่หลวงได้เสมอ ประกอบกับเหตุผลที่ให้ก็ล้วนฟังขึ้น เพราะผ่านการคิดทบทวนมาแล้วอย่างรอบคอบ จึงไม่มีใครสงสัยว่าในครั้งนี้องค์ชายเจาจะแต่งเรื่องขึ้น แม้เมื่อฟังแล้วออกจะดูเหมือนโชคช่วยไปสักหน่อย แต่ใครใช้ให้เขาเป็นบุคคลที่ได้รับการเอ็นดูจากสวรรค์เบื้องบนกันเล่า หากเป็นพวกเขาได้เห็นภาพเหตุการณ์เหล่านั้น ก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถดัดแปลงสิ่งของสองอย่างนี้ให้กลายเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มาก่อนได้

ครั้งนี้องค์ชายเจาได้สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย ตำแหน่งรัชทายาทที่รั้งไว้นาน เวลานี้จักรพรรดิหนานจิ้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะถ่วงเวลาไว้ไม่ยกให้อีก

"เจาเอ๋อร์ยังเยาว์นัก เดิมทีข้าคิดจะให้ฝึกฝนประสบการณ์ให้มากไว้รออีกสักสองสามปีก่อน แต่จะทำอย่างไรได้ เจ้าเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสข้าคงไม่กล้าให้เจ้าออกไปตรากตรำในสนามรบอีกแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้มิสู้ให้เจ้ามาเริ่มเรียนรู้การบริหารงานราชกิจตามข้า"

"ออกศึกสงครามเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของลูก หากมีศึกสงครามเกิดขึ้นลูกย่อมต้องอาสาไปชายแดน แม้จะไม่สามารถทำหน้าที่บนหลังม้าสังหารศัตรูได้ แต่ยังสามารถบัญชาการอยู่ด้านหลัง ถือเป็นการสนับสนุนด้วยกำลังเสี้ยวเล็กๆ ของลูก!"

ทุกคนที่ได้ยินต่างพากันสรรเสริญ "องค์ชายเก้าคุณธรรมสูงส่ง ... "

เสนาบดีผู้หนึ่งกล่าวขึ้น "องค์ชายเก้าทรงเปี่ยมด้วยเมตตา แต่มิควรออกไปเสี่ยงอันตรายอีกต่อไป"

อานกั่วกงรีบขยิบหูขยิบตาให้ขุนนางอีกผู้หนึ่งที่ฝักใฝ่อยู่ข้างตนฝ่ายนั้นจึงรีบลุกขึ้นก้าวออกมากล่าวอย่างฉะฉาน "ข้าพระบาททั้งหลาย ขอกราบทูลให้องค์จักรพรรดิทรงแต่งตั้งองค์ชายเก้าเป็นรัชทายาทด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!"

ข้อเสนอนี้ได้รับการยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์จากทุกคน แม้แต่เสนาบดีที่สนับสนุนองค์ชายอื่น ก็มิอาจหาข้ออ้างหักล้างว่าองค์ชายเจาคุณสมบัติไม่พอ ไม่อาจแบกรับภาระหน้าที่สำคัญนี้ได้

องค์ชายเสียนขบกรามแน่นด้วยความขัดเคือง เขาขยิบตาให้หลู่กั่วกง ทว่าฝ่ายนั้นกลับหรี่ตาลงราวกับหลับ ทำท่าประหนึ่งมองไม่เห็นสัญญาณนั้นโดยสิ้นเชิง

จักรพรรดิหนานจิ้นลังเลอยู่ชั่วครู่ ทว่าในที่สุดก็พยักหน้าตอบรับ

"เอาเถอะ เราจะมีราชโองการตามนี้ จริงสิ เจาเอ๋อร์เองก็มีอายุเหมาะสม ควรถือโอกาสนี้เลือกชายาได้แล้ว"

"ทูลฝ่าบาท ตามความคิดกระหม่อม ท่านหญิงถังซีคือตัวเลือกที่ดี

ที่สุด บุรุษปรีชาสตรีงามล้ำ หากทรงพระราชทานงานอภิเษก จะยิ่งเป็นมงคลเสริมมงคลนะพ่ะย่ะค่ะ"

"เฮอะ ... " อานกั่วกงแค่นหัวเราะ "อี๋อันโหวช่างล้อเล่นเก่งจริง ฝ่ายนั้นขอยกเลิกงานอภิเษกไปแล้วยังกล้าเอ่ยขึ้นมาอีกหรือ? ท่านเห็นองค์ชายเจาเป็นใคร เอาพระยศพระเกียรติไปไว้ที่ไหน นึกอยากแต่งก็แต่ง ไม่อยากแต่งก็ไม่แต่งได้งั้นหรือ!"

ส่วนองค์ชายเจาเพียงเอ่ยประโยคสั้นๆ "แก้วแตกยากสมาน"


 

98 บ้าผู้ชายก็ไม่ได้!

 

จักรพรรดิหนานจิ้นสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ ทว่าในใจนึกตำหนิอี๋อันโหว สิ่งใดที่ตัวเขาไม่อยากได้ยินได้ฟังก็ยังจะกล่าวถึงอีกจนได้

ท่านหญิงถังซีเป็นสตรีที่เขาเลือกให้เป็นชายาเอกของโอรสเมื่อครั้งก่อนหน้า แม้จะยังมิได้มีราชโองการพระราชทานงานอภิเษกอย่างเป็นทางการ แต่ในเวลานั้นทุกคนต่างก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องที่กำหนดไว้แน่นอนมั่นคง

นึกไม่ถึงว่าพอโอรสของพระองค์ขาพิการ ฝ่ายนั้นก็รีบมาถอนหมั้นราวกับไม่อาจทนรอไหว ในตอนนั้นจวิ้นอ๋องเฒ่าเข้าวังมาร้องห่มร้องไห้กล่าวว่าสิ่งที่ตัวเขารักดั่งแก้วตาดวงใจที่สุดในชาตินี้ก็คือบุตรี อีกทั้งเขามีธิดาที่เกิดกับภรรยาเอกเพียงคนเดียว ทนทำใจให้นางได้รับความอยุติธรรมไม่ได้จริงๆ

ความอยุติธรรมที่ฝ่ายนั้นพูดถึง คือการให้ท่านหญิงถังซีแต่งกับบุรุษพิการ!

แม้จักรพรรดิหนานจิ้นจะกริ้วโกรธเพียงใดก็ไม่มีเหตุผลที่จะบังคับบุตรสาวของอีกฝ่ายให้แต่งกับโอรสตน จักรพรรดิกับจวิ้นอ๋องเฒ่ามิได้มีความสัมพันธ์เป็นเพียงลูกพี่ลูกน้อง ทว่ายังเป็นพี่น้องที่สามารถไว้เนื้อเชื่อใจฝากชีวิตกันได้สนามรบ ที่จักรพรรดิเลือกท่านหญิงถังซีให้เป็นว่าที่ชายาองค์ชายเจา ก็เพราะความสัมพันธ์ที่สนิทสนมใกล้ชิดกันถึงขั้นนี้ จึงเชื่อมั่นว่าครอบครัวจวิ้นอ๋องเฒ่าจะต้องไม่คิดแปรพักตร์และให้การสนับสนุนพระองค์ตลอดไป

ทว่าต่อให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นดุจเหล็กกล้า แต่การถูกฝ่ายตรงข้ามหักหน้าเช่นนี้ก็ย่อมมีรอยร้าว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจักรพรรดิหนานจิ้นซึ่งเป็นถึงผู้ครองแคว้น ย่อมให้ความสำคัญแก่ชื่อเสียงเกียรติยศเหนือสิ่งใด

"เสด็จพ่อ ลูกมีคนที่หมายปองในใจแล้ว เสด็จพ่อมิต้องทรงลำบากช่วยคัดเลือกชายาให้ลูกหรอกพ่ะย่ะค่ะ" คำพูดประโยคนี้ขององค์ชายเจาเป็นเหตุให้คลื่นลมลูกใหญ่ก่อเกิดขึ้นอีกครา

หูจินเผิงมององค์ชายเจาแวบหนึ่ง รำพึงรำพันในใจ 'บุคคลที่หมายปองยังไม่ตกปากรับคำ อย่าบอกนะว่าฝ่าบาทจะทรงประกาศต่อหน้าทุกคนไปก่อน'

เช่นนั้นมิเท่าเป็นการบังคับแต่งหรอกหรือ! ถ้าหากจักรพรรดิมีราชโองการพระราชทานงานอภิเษก คุณชายถังจะตอบรับหรือปฏิเสธ แน่นอนว่าคำตอบต้องเป็นข้อแรกเท่านั้น

"หืม? เจาเอ๋อร์ เจ้าไปถูกใจธิดาบ้านไหนเข้าล่ะ คุณหนูขุนนางคนใดช่างโชคดีเช่นนี้" จักรพรรดิหนานจิ้นใจเต้นรัว กวาดตามองไปทั่วท้องพระโรงอย่างระแวดระวัง

"หาใช่ธิดาบ้านไหนไม่ คนผู้นี้ยังไม่รับปากว่าจะแต่งกับลูก โปรดพระราชทานอภัยที่ลูกยังทูลเสด็จพ่อไม่ได้ในตอนนี้"

หาใช่ธิดาบ้านไหนไม่! ความหมายของคำพูดประโยคนี้ต้องมีความนัยลึกซึ้งแน่

สิ่งแรกที่ทุกคนคิดได้คือ หากไม่ใช่สตรีก็ต้องเป็นบุรุษ คาดไม่ถึงว่าองค์ชายเจาจะทรงโปรดปรานบุรุษ!

แต่ต่อมาก็มีคนแอบคิดในใจ บางทีองค์ชายเจาอาจไปหมายปองภรรยาบ้านใครเข้าก็เป็นได้

แน่นอนว่าคนที่มีความคิดเช่นนี้ย่อมมิได้มีเจตนาดี

เสร็จธุระแล้วองค์ชายเจาจึงออกจากวัง เมื่อกลับถึงจวน ถังเยวซึ่งรออยู่นานแล้วรีบออกมาต้อนรับทันที

"เป็นอย่างไรบ้าง? ทุกอย่างราบรื่นดีหรือไม่?" ถังเยว่ถาม อารามตื่นเต้นจึงเผลอคว้ามือองค์ชายเจามาจับไว้

ฝ่ายตรงข้ามคลี่ยิ้มเจิดจรัสสดใส เป็นประกายเจิดจ้าไปทั้งวงหน้าอย่างหาดูได้ยาก จูงมือถังเยว่พาเข้าไปยังห้องทรงพระอักษร แล้วเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง

ถังเยว่ฟังไปพลางกุมมือตัวเองไปพลาง มีความรู้สึกว่าความร้อนและสัมผัสจากการจับมือเมื่อครู่นี้ยังไม่ยอมจางหายไปสักที

"ฝ่าบาทได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทแล้วหรือ!" เขารู้สึกตื่นตะลึงกับข่าวสุดท้ายที่ได้ยิน แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ไม่เหนือความคาดหมาย เขาจึงรีบประสานมือคารวะขณะกล่าวด้วยรอยยิ้ม "ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทเช่นนี้ต้องปูนบำเหน็จใช่หรือไม่?"

องค์ชายเจาอารมณ์ดีอย่างยิ่ง จึงกล่าวหยอกกลับ "เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ชายาตัดสินใจเองเลยก็ได้"

ถังเยว่หน้าแดงวาบขึ้นทันที เมื่อก่อนส่วนใหญ่เขาเป็นฝ่ายแทะโลมผู้อื่น บัดนี้กลับตกเป็นฝ่ายถูกเด็กน้อยเกี้ยวพาราสีเสียได้ ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก!

แต่อยู่เบื้องหน้าองค์ชายเจา เขามักปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในตำแหน่งผู้อ่อนด้อยกว่าอย่างไม่รู้ตัว ขอเพียงที่ใดก็ตามมีเด็กหนุ่มผู้นี้อยู่ไม่ว่าแสงสว่างใดก็คล้ายจะย้ายไปสาดส่องอยู่บนตัวเขาจนหมดสิ้น

"แค่กๆ ... ฝ่าบาทอย่าทรงล้อเล่นเช่นนี้ ไม่ขำเลยสักนิด"

"ข้าไม่เคยพูดล้อเล่นมาแต่ไหนแต่ไร" องค์ชายเจาเอ่ยด้วยเสียงจริงจัง แล้วถาม "เจ้าไตร่ตรองดีแล้วหรือยัง?"

ถังเยว่ส่ายหน้ารัว "แม้เรื่องนี้จะดูน่าดึงดูดใจ แต่กระหม่อมยังคงโปรดปรานความอิสรเสรีมากกว่า"

ไม่ว่าจะเป็นตัวองค์ชายเจาเอง หรือตำแหน่งฐานะของอีกฝ่าย ล้วนเป็นเงื่อนไขที่ดีงามเพียบพร้อมอย่างไม่ต้องสงสัย แต่น่าเสียดายที่ถังเยว่ไม่อยากให้อนาคตของตัวเองต้องถูกจำกัดควบคุม โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงละครศึกแย่งชิงในวังด้วยแล้ว เขาขอยอมอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต ดีกว่าจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องราวน่าปวดเศียรเวียนเกล้าเหล่านั้น

"แต่งกับข้า ข้าจะไม่จำกัดอิสรภาพของเจ้า ตรงกันข้ามเจ้าปรารถนาจะทำอะไรก็ได้ตามแต่ใจเจ้าต้องการ เช่นนี้แล้วยังมีสิ่งใดไม่ดี?"

"อยากทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ? เกรงว่าจะไม่แน่เสมอไปกระมัง"ถังเยว่จ้องตาอีกฝ่ายเขม็งแล้วเอ่ยถาม "แต่งกับฝ่าบาท ทั้งผลประโยชน์ของกระหม่อมและจวนลี่หยางโหวล้วนต้องถูกผูกติดกับฝ่าบาท บุตรชายลี่หยางโหวเป็นหมอได้ พระชายาเป็นได้หรือ? บุตรชายลี่หยางโหวสามารถร่ำสุรากับบุรุษได้ กอดคอ โอบไหล่ได้ พระชายาทำได้หรือ? บุตรชายลี่หยางโหวสามารถสืบทอดสมบัติของตระกูล มีทายาทสืบสกุล พระชายาทำได้หรือ? เช่นนี้แล้วฝ่าบาททรงคิดว่า ในฐานะบุตรชายลี่หยางโหวอิสระกว่า หรือเป็นพระชายาอิสระกว่า?"

นี่เป็นเหตุผลที่ไม่ว่าใครต่างก็เข้าใจ มีบางคนเพราะอยากยกตำแหน่งฐานะตัวเองให้สูงขึ้น จึงสามารถยอมสละสิ่งต่างๆ ได้มากมายทว่ามีบางคนอีกเช่นกันที่เพื่ออิสรภาพแล้วก็สามารถละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างได้แม้ถังเยว่จะมิได้ใจเด็ดถึงขั้นนั้น แต่หากเลือกได้ เขายอมเลือกเป็นนายน้อยแห่งจวนลี่หยางโหว อนาคตได้สืบทอดสมบัติมหาศาลของตระกูล มิหนำซ้ำยังมีบรรดาศักดิ์ แต่ไม่ขอเป็นพระชายาอะไรนั่น

แต่หากเขารักใคร่ชอบพอกับองค์ชายเจา เรื่องนี้อาจมีข้อสรุปต่างออกไป

น่าเสียดาย ... พวกเขาไม่ได้รักกัน!

องค์ชายเจาขมวดคิ้ว พยายามลองค้นหาเผื่อจะเจอบางอย่างจากใบหน้าถังเยว่ ทว่าอีกฝ่ายกลับทำหน้าขมเื่อนอย่างจนใจ ประหนึ่งว่าแต่งกับเขาเป็นเรื่องยากที่จะทำใจยอมรับได้

"ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ที่ข้าเลือกเจ้าเพราะเจ้าเหมาะสม เหตุที่เหมาะสม เพราะเจ้ามีทักษะความรู้ความสามารถ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์ต่อหนานจิ้น อีกอย่าง ข้าชอบความรู้สึกเวลาที่ได้อยู่กับเจ้า"

"หากฝ่าบาทเพียงต้องการใช้ประโยชน์จากความรู้ความสามารถของกระหม่อม ไม่จำเป็นต้องเสียสละตัวเองมากมายถึงเพียงนี้ แค่จ่ายค่าตอบแทนมาก็พอ ทุกอย่างสามารถทำการแลกเปลี่ยนได้"

"เช่นนั้นข้าเชิญเจ้ามาเป็นชายา ควรจ่ายเท่าไร?" องค์ชายเจาถามยังคงมุ่งมั่นกับสิ่งที่ตัวเองต้องการต่อไป

"เชิญ?" ถังเยว่ลูบคางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ตัวเขาจะสามารถใช้การแต่งงานมาเป็นการค้าได้หรือไม่นะ

หากอยู่ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เขาย่อมปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำแต่อยู่ที่นี่ ปัญหาใหญ่ที่สุดซึ่งเขาต้องเผชิญหน้าในไม่ช้านี้ก็คือเรื่องแต่งงาน

อายุสิบหกก็สามารถแต่งงานสร้างฐานะมีครอบครัวได้แล้ว ต่อให้เขาสามารถหาข้ออ้างไม่แต่งงานได้ชั่วคราว แต่ก็ต้องให้กำเนิดบุตรสักสองสามคน จวนลี่หยางโหวมีทายาทชายน้อยมาก ทุกคนในบ้านตั้งแต่เด็กยันแก่จึงฝากความหวังไว้ที่เขา ปรารถนาให้เขามีทายาทสืบสกุลให้แก่วงศ์ตระกูล

หากเขาแต่งกับองค์ชายเจา เช่นนั้นก็จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างราบรื่น เพียงแต่ลี่หยางโหวกับฮูหยินเฒ่าคงผิดหวังมาก

"บิดามีกระหม่อมเป็นลูกชายเพียงคนเดียว ฝ่าบาทวางแผนว่าจะเกลี้ยกล่อมให้เขายอมยกบุตรชายเพียงคนเดียวให้แต่งด้วยได้อย่างไร?"

หากจะชิงตัวมาอย่างเปิดเผยชอบธรรมย่อมเป็นไปไม่ได้

"วันหน้าก็ยกลูกของพวกเราให้ลี่หยางโหวคนหนึ่งก็ได้ อีกทั้งบรรดาศักดิ์ของเขาจะต้องยกระดับสูงขึ้นอย่างแน่นอน ในฐานะเป็นพ่อตาว่าที่จักรพรรดิ ผลประโยชน์ที่เขาจะได้เสพสุขมีล้นเหลือ"

องค์ชายเจาไม่คิดว่าจะเกลี้ยกล่อมลี่หยางโหวไม่สำเร็จ อย่างไรเสียฝ่ายนั้นคงไม่กล้าคัดค้าน

"ช้าก่อน ลูกของพวกเรา ...? "

ถังเยว่มองไปที่ท้องขององค์ชายเจาอย่างตื่นตระหนก หรือว่าเขาเข้าใจผิด ที่แท้องค์ชายเจาเป็นสตรีงั้นหรือ !?

องค์ชายเจาขมวดคิ้วมอง ถามอย่างไม่เข้าใจ "บุตรข้าย่อมต้องเป็นบุตรเจ้า มีสิ่งใดไม่เหมาะ?"

ถังเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ฝืนควบคุมตัวเองไม่ให้วู่วามเผ่นหนีไปเสียก่อน

ช่องว่างของยุคสมัยนับพันกว่าปี ความแตกต่างมิใช่มีแค่เรื่องกาลเวลา แม้เขาจะพยายามปรับตัวให้เข้ากับโลกยุคนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่อาจยอมรับแนวคิดหนึ่งสามีหลายภรรยาเช่นนี้ได้อยู่ดี โดยเฉพาะหากกรณีหนึ่งสามีหลายภรรยานี้เกิดขึ้นกับตัวเอง ก็ยิ่งทำใจกว้างให้อภัยไม่ได้

"เหอะๆ" ถังเยว่หัวเราะเสียงต่ำสองคำ ตอนเงยขึ้นมาอีกครั้งได้เปลี่ยนสีหน้าเป็นสงบเยือกเย็น "ในเมื่อเป็นการเชิญมารับตำแหน่ง เช่นนั้นพวกเราต้องตกลงกันให้ชัดเจน" เขาขยับตัวให้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามองค์ชายเจาทั้งน้ำเสียงและท่าทางเปลี่ยนเป็นการเป็นงานขึ้นมาทันที

องค์ชายเจารู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็มิได้เก็บมาครุ่นคิด เพียงแค่ผายมือ "เชิญว่ามา"

"ข้อแรก แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องมีข้าวให้กิน มีที่ให้อยู่ นอกจากนี้ฝ่าบาทยังต้องจ่ายค่าแรงให้กระหม่อมตรงตามเวลาทุกเดือน"

"จ่ายค่าแรง? สมบัติทั้งหมดในจวนนี้เจ้าสามารถหยิบใช้สอยได้ตามสะดวก เหตุใดถึงยังต้องจ่ายค่าแรงด้วย?"

ถังเยว่ส่ายหน้า "ข้าวของในจวนฝ่าบาท กระหม่อมจะช่วยดูแลจัดการให้ชั่วคราว แต่ไม่นับว่าเป็นทรัพย์สินของกระหม่อม"

หากอนาคตหย่าขาดกันแล้วเกิดปัญหาเรื่องแบ่งสมบัติไม่ลงตัวจะวุ่นวายเอาได้

"ข้อสอง ในเรือนที่กระหม่อมพักอยู่ ห้ามมีสาวใช้ห้องข้าง[1]หรืออนุชายามาปะปน หากฝ่าบาทมีความต้องการเรื่องอย่างว่า อย่าให้กระหม่อมรู้เป็นดีที่สุด อ้อ แน่นอนว่าอยู่ข้างนอกก็ห้ามเจ้าชู้"

จะให้เขาทนดูคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่ครองของตนไปกะหนุงกะหนิงกับหญิงอื่นก็ไม่ได้เช่นกัน

"ข้อนี้ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่ลุ่มหลงในอิสตรี"

"บ้าบุรุษก็ไม่ได้!" ถังเยว่เน้นย้ำ

องค์ชายเจาเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ยิ้มบางแล้วเอ่ย "ข้าฟังเจ้า"

ถังเยว่รู้สึกใบหูร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างประหลาด ทำไมคำสามคำนี้ถึงได้ฟังรื่นหูนักนะ?

เขาพยายามควบคุมหัวใจที่กำลังเต้นไม่เป็นจังหวะให้สงบลงแล้วกล่าวต่อ "หลังแต่งงานจะต้องนอนร่วมห้องหรือไม่?"

"ไม่ร่วมห้องแล้วจะเป็นสามีภรรยากันได้อย่างไร?" องค์ชายเจารู้สึกว่าอีกฝ่ายเริ่มถามคำถามประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ

"หากต้องนอนร่วมห้อง เช่นนั้นค่าแรงก็ต้องใช้อีกมาตรฐานหนึ่ง"ถังเยว่แจ้งตัวเลข ฝ่ายตรงข้ามพยักหน้าอย่างงุนงง

"ร่วมห้องแล้วต้องร่วมเตียงด้วยหรือไม่? หากฝ่าบาทจะทรงบรรทมบนพื้นก็ย่อมได้" ถังเยว่พูดจบก็แย้งขึ้นเอง "เอาเถอะ กระหม่อมนอนพื้นเองก็ได้"

"เจ้าหมายความเช่นไรกันแน่ ไยสามีภรรยาต้องแยกเตียง ไม่ร่วมเตียงเคียงหมอนกันด้วยเล่า"

ถังเยว่ลอบถลึงตาด้วยความโมโหอยู่ในใจ แม้ความงามของอีกฝ่ายจะเย้ายวนใจ แต่เขาก็มีเงื่อนไขของตัวเอง "ก็ได้ๆ ถ้าเช่นนั้นไม่ล้างเท้าห้ามขึ้นเตียง ไม่แปรงฟันห้ามจูบ นี่กระหม่อมยอมถอยให้สุดขีดแล้วนะหากยังอยากให้กระหม่อมบริการพิเศษอีกละก็ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้วเกรงว่าฝ่าบาทคงไม่ทรงอยากทำการค้าครั้งนี้แล้วกระมัง"

องค์ชายเจาตระหนักได้ว่า บางทีสิ่งที่ตัวเขาคิดกับถังเยว่คิดนั้นอาจเป็นคนละเรื่อง แต่จะเป็นไรไป ถึงอย่างไรคุณชายถังก็ชอบพูดในสิ่งที่เขาฟังไม่เข้าใจอยู่แล้ว ขอเพียงหาทางเอาตัวอีกฝ่ายมาไว้ในครอบครองให้ได้ก่อนเรื่องอื่นค่อยหาเวลาสื่อสารทำความเข้าใจกันภายหลัง เขาจึงพยักหน้า "ล้วนฟังเจ้าทั้งสิ้น"

ถังเยว่ฟังคำตอบแล้วถึงกับสำลัก นายจ้างที่คุยง่ายตกลงง่ายขนาดนี้ ถ้าในอนาคตเขาเกิดไม่อยากถอนตัวขึ้นมาล่ะ จะไม่แย่เอาหรือ?

แต่การแก้ปัญหาใหญ่ในตอนนี้ให้ได้ก่อนย่อมเป็นสิ่งสำคัญกว่า จะรอจนเหล่าผู้อาวุโสส่งสตรีมาถึงเตียงเขาแล้วค่อยหาวิธีรับมือได้อย่างไรกัน

หลังจากที่สนทนาราวไก่คุยกับเป็ดอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็บรรลุวัตถุประสงค์ตรงกัน เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง

 

 

1 สาวใช้ห้องข้าง คือ สาวใช้ที่เป็นนางบำเรอของนายผู้ชายด้วย ฐานะสูงกว่าสาวใช้ทั่วไป แต่ต่ำกว่าอนุภรรยา


 

 [ฉากพิเศษในวันเทศกาลแห่งความรัก]

ถังเยว่                 เถ้าแก่ ท่านล้ำเส้นแล้ว!

องค์ชายเจา          เส้นอยู่ไหน?

ถังเยว่                             ตอนแรกพวกเราตกลงกันไว้ว่านอนร่วมเตียงร่วมห้อง แต่ไม่เหมารวมบริการพิเศษนะ

องค์ชายเจา          เช่นนั้นเพิ่มเข้าไปก็ได้ ต้องจ่ายค่าตอบแทนให้เจ้าเท่าไรเชิญว่ามาได้เลย!

ถังเยว่                 เหอะๆ เงินไม่ใช่ปัญหา

องค์ชายเจา          แล้วสิ่งใดคือปัญหา?

ถังเยว่                             ข้อแรก เอาทรัพย์สินที่มีออกมาแล้วเปลี่ยนเป็นชื่อกระหม่อมให้หมด ข้อสอง ห้ามมีสาวใช้ห้องข้าง อนุชายา สนมชายก็ไม่ได้ ข้อสาม ไม่อนุญาตให้นอกใจไม่ว่าจะทางกายหรือทางใจ

องค์ชายเจา          โปรดพูดภาษามนุษย์!

ถังเยว่                 …


 

99 ข้าถูกใจเจ้า ถือว่าเป็นเกียรติของเจ้าแล้ว

 

ถังเยว่กลับถึงจวนโหว ยังหน้ามืดวิงเวียนไม่หาย ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนได้ตัดสินใจไปนั้นถูกต้องหรือไม่

เชิญเทพมาง่ายแต่จะส่งเทพกลับไปนั้นเป็นเรื่องยาก รอให้ตนเข้าไปอยู่จวนองค์ชายเจาคิดถอยก็คงไม่ง่ายแล้ว

ทันทีที่เข้าประตูมา ถังเยว่ก็หน้าประจันหน้ากับลี่หยางโหวเข้าพอดีพอเอียงคอ ก็สบเข้ากับตาม้าคู่หนึ่ง เขาตกใจสะดุ้งโหยง ถอยหลังไปหลายก้าวแล้วถามขึ้น "ท่านพ่อ จะออกไปข้างนอกหรือขอรับ?"

ลี่หยางโหวใบหน้าเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม เข้ามากุมแขนถังเยว่แล้วพูดอย่างตื่นเต้น "เยว่เอ๋อร์ มาดูสิ พ่อทำตามวิธีขององค์ชายเจา ฝังเหล็กเข้ากับกีบเท้าม้า เวลาม้าวิ่งเกิดเสียงดังกุบกับ ไพเราะเสนาะหูยิ่งนัก"

ถังเยว่ยอบกายลงตรวจดูเท้าม้าทั้งสี่ข้าง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีบาดแผลก็ลุกขึ้น "นี่ท่านพ่อจะจูงม้าไปเดินเล่นงั้นหรือ?"

"พวกตาเฒ่าคร่ำครึชอบพูดว่าม้าบ้านตัวเองดี พ่อจะพายอดอาชาของบ้านเราไปให้พวกเขาได้ชม ให้พวกไม่ประสีประสาทั้งกลุ่มได้ดูชัดๆ ว่าแบบไหนถึงเรียกว่ายอดอาชากันแน่"

ถังเยว่ไม่ได้ศึกษาเรื่องของสัตว์ แต่ม้าที่ลี่หยางโหวจูงมาตัวนี้รูปลักษณ์ไม่เลวเลยจริงๆ แข็งแรงปราดเปรียว สีขนสม่ำเสมอ ดวงตาทั้งคู่เป็นประกาย เมื่อครู่ตนเพิ่งถูกจ้องตา เป็นม้าที่มีจิตใจหยิ่งผยองอย่างเห็นได้ชัด

"องค์ชายเจาเป็นดาวจักรพรรดิที่ลงมาจุติในแดนมนุษย์แท้ๆ สติปัญญาชาญฉลาดเหนือใคร กล้าทำกล้ารับ ช่างเป็นวาสนาของทายาทรุ่นหลังของหนานจิ้นเสียจริง!" ลี่หยางโหวกล่าวชมองค์ชายเจาออกมายาวเหยียดอย่างอดไม่ได้

ถังเยว่แอบนึกระอาอยู่ในใจ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความรู้จากยุคของตัวเขาแท้ๆ องค์ชายเจาส้มหล่นได้ผลประโยชน์ไปเต็มเปา เขาคิดว่าในเมื่อลี่หยางโหวประเมินค่าองค์ชายเจาไว้สูงขนาดนี้ หากรู้เรื่องที่ฝ่ายนั้นจะมาสู่ขอตนก็คงไม่โกรธเคืองกระมัง

ทายาทรุ่นหลังที่ลี่หยางโหวเพิ่งเอ่ยออกมานั้น ถ้าจะฝากความหวังไว้ที่เขาก็อย่าหวังเลยว่าจะได้มี

"ท่านพ่อ ... " ถังเยว่เรียกลี่หยางโหวไว้

"ว่าอย่างไร?" ลี่หยางโหวใช้มือลูบไปตามเส้นขนแผงคอม้า เจ้าตัวที่ถูกลูบสบายจนส่งเสียงฟืดฟาดออกมาทางจมูก

"ไม่มีอะไร ... " ถังเยว่กลืนคำที่จะพูดลงท้องแล้วเปลี่ยนประเด็น "รอให้ม้าของเป่ยเยว่ถูกส่งมาก่อน ข้าค่อยเลือกม้าชั้นดีให้ท่านพ่อสักตัว"

ลี่หยางโหวส่ายหน้า "ไม่จำเป็น ม้าแก่ตัวนี้อยู่กับพ่อมาหลายปี พ่อผูกพันกับมัน ต่อให้ตัวอื่นดีเพียงใดก็เทียบมันไม่ได้"

พูดจบบิดาก็แยกตัวจากไป ถังเยว่เข้ามาในเรือนตัวเอง รู้สึกว่าตนลืมอะไรไปบางอย่าง แต่ก็นึกไม่ออกว่าคืออะไร กระทั่งเห็นผิงซุ่นกับองครักษ์เล่นกีฬายัดลูกหนังลงห่วง จึงเพิ่งนึกถึงเรื่องที่ตนลืมไปขึ้นมาได้

"ข้าลืมเรื่องจางฉุนไปเสียสนิทเลย!"

ตอนแรกเขายังคิดว่าจะไปสืบข่าวเจ้าเด็กนั่นว่าจะถูกลงโทษอย่างไรแล้วถือโอกาสขอให้องค์ชายเจาลงโทษสถานเบา ถึงอย่างไรอีกฝ่ายแค่สั่งประโยคเดียวทุกอย่างก็สามารถคลี่คลายได้อยู่แล้ว

มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขนาดนี้ไม่ใช้ให้เกิดประโยชน์ คงผิดต่อเพื่อนร่วมบ้านเกิดน่าดู

"คุณชายถัง เมื่อครู่จ้าวซานหลางส่งจดหมายมา สิบวันหลังวันลี่ตง1นัดหมายให้ทุกคนไปแช่น้ำพุร้อนที่บ้านพักบนภูเขาเถิงอวิ๋น กินเนื้อกวางย่างด้วยกัน" ผิงซุ่นหาจังหวะเลี่ยงมาบอกกล่าว

ถังเยว่ฟังแล้วรู้สึกประหลาดใจ "ใกล้ถึงวันลี่ตงแล้วหรือนี่?"

ในโลกปัจจุบันที่จากมาเขาใช้ชีวิตอยู่ภาคเหนือ ช่วงฤดูหนาวมีแต่ความเหน็บหนาวแห้งแล้ง แต่มาตอนนี้ทั้งที่เป็นฤดูเดียวกัน อากาศกลับเพียงแค่เย็นลงเล็กน้อยเท่านั้น แทบไม่รู้สึกเลยว่าฤดูหนาวย่างเข้ามาแล้ว

"เจ้าไม่รู้หรือ?" ผิงซุ่นยัดลูกหนังลงห่วงแล้ววิ่งเข้ามาหา เหงื่อแตกพลั่กๆ เสื้อบางๆ เพียงชั้นเดียวแนบเนื้อ บางจุดเริ่มมีมัดกล้าม ดูแข็งแกร่งขึ้นมาก "วันลี่ตงของทุกปี ทุกคนต้องไปแช่น้ำพุร้อนที่บ้านพักบนภูเขาเถิงอวิ๋นที่นั่นมีนางระบำนับร้อยที่ซิ่นหลิงจวินลี้ยงไว้ เรียกได้ว่าเป็นสรวงสวรรค์ของบุรุษเลยทีเดียว"

ถังเยว่มองดูสีหน้าตื่นเต้นของอีกฝ่าย แล้วยกมือตบศีรษะอย่างโหดร้ายไปหนึ่งที "ต่อให้มีสตรีเจ้าก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้าเจ้ากล้าเหลวไหลข้าจะไม่ปล่อยเจ้าออกจากบ้าน!"

ผิงซุ่นร้องโอดครวญ ยกมือกุมศีรษะแล้วถลึงตาเบิกโพลง "ข้าซื่อจื่อไม่ได้แตะต้องสตรีมาหลายเดือนแล้วนะ ขืนอัดอั้นต่อไปสุขภาพข้าย่ำแย่ขึ้นมาจะทำอย่างไร!"

ถังเยว่อยากโต้ตอบไปว่า 'ข้าเองไม่ได้เฉียดกรายใกล้สตรีมาเป็นสิบปีแล้ว ก็ยังมีชีวิตปกติสุขดีไม่ใช่หรือ?'

เขาเหลือบมองท่อนล่างของผิงซุ่นแวบหนึ่ง ก่อนแสยะยิ้มกล่าว "สุขภาพของเจ้าหากเข้าใกล้สตรีนั่นต่างหากถึงจะจบเห่ของจริง ใช้มากเกินไปไม่ถูกครรลอง ระวังน้ำเชื้อหมดแล้วจะแห้งตาย!"

ผิงซุ่นเอามือกุมเป้าโดยสัญชาตญาณ มองมาทางเขาด้วยสีหน้าบึ้งตึง "คุณชายถัง เจ้าก็ดีแต่ขู่ข้า"

"เป็นคำขู่หรือไม่ เจ้าลองไปหาหมอหลวงตรวจดูก็รู้เอง แต่คำพูดประเภทนี้ต่อให้พวกเขารู้ดีอยู่แก่ใจก็ไม่แน่ว่าจะกล้าพูด คำซื่อตรงจริงใจมักไม่ถูกหู"

ถังเยว่พูดจบก็ไม่สนใจว่าสีหน้าผิงซุ่นจะเปลี่ยนเป็นเช่นไร เชิดหน้ายืดอก เดินเข้าห้องไปทันที

 

รุ่งสาง ขณะที่ถังเยว่ยังอยู่ในห้วงนิทรา ประตูห้องก็ถูกเคาะรัวแรงราวกับนาทีถัดไปจะพังประตูเข้ามาเสียให้ได้ ถังเยว่ตกใจสะดุ้งตื่น ตะโกนถามดังลั่น "ใคร !? "

"คุณชาย ... รีบตื่นเถอะ คนของจวนองค์ชายเจามาแล้ว" เสียงท่านอาเฉวียนซึ่งเป็นพ่อบ้านดังมาจากด้านนอก พอถังเยว่ได้ยินว่าเป็นคนของจวนองค์ชายเจาก็เด้งตัวกระโดดผลุงลงจากเตียง กระโจนไปเปิดประตู แล้วโพล่งถาม "ใครมางั้นหรือ? มาทำอะไร?"

"ข้าน้อยก็ไม่ทราบ ผู้มาคือรองแม่ทัพหู สนทนากับท่านโหวในห้องหนังสือนานแล้ว ท่านโหวสั่งให้ข้าน้อยมาตามท่านไปพบ ดูลักษณะเหมือนเร่งรีบมากขอรับ"

ถังเยว่กลับเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ใช้น้ำเย็นสาดหน้าแล้วรีบออกไป ไม่รู้ว่าหูจินเผิงเล่นพิเรนทร์อะไรถึงได้มาแต่เช้าตรู่เช่นนี้

เมื่อเคาะประตูห้องหนังสือ ก็ได้ยินเสียงเคร่งขรึมของลี่หยางโหวดังมาจากด้านใน "เข้ามา"

"ท่านพ่อ เรียกลูกมามีธุระอันใดหรือขอรับ?" ถังเยว่กวาดตามองรอบห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว ไม่เห็นองค์ชายเจา ในใจจึงค่อยสงบมั่นคงขึ้นมาบ้าง

ลี่หยางโหวไม่พูดไม่จา ใช้แววตาแบบที่ไม่เคยเห็นมองมาที่เขาอย่างจับจ้อง มองจนถังเยว่เริ่มรู้สึกขนลุกนั่นละถึงได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

ถังเยว่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จึงหันไปถามหูจินเผิงด้วยสายตาฝ่ายนั้นไหวไหล่ แสดงท่าทีว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน

"เยว่เอ๋อร์ เข้ามานี่ มาดูใบรายการของขวัญนี่สิ" ลี่หยางโหวดันกล่องใบหนึ่งออกมา กล่องนั้นทำจากไม้จื่อถาน สลักลวดลายประณีตวิจิตร ดูก็รู้ว่าราคาไม่ธรรมดา

ถังเยว่รับมาเปิดดู ด้านในมีหนังแพะหลายแผ่น ใช้พู่กันเขียนรายการสิ่งของไว้อย่างละเอียดชัดเจน เมื่ออ่านดูทีละอย่างแล้ว ถังเยว่รู้สึกว่าตนช่างมีความรู้แค่หางอึ่ง

ไข่มุกราตรีที่องค์ชายเจามอบให้คราวก่อน เขาไม่กล้าเอาออกมาอวด เพราะเกรงว่าหากถูกคนเอาไปพูดต่ออาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงขององค์ชายเจา และส่งผลกระทบต่ออารมณ์ขององค์จักรพรรดิ คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะแจ้งรายการของขวัญทั้งหีบที่มอบให้เขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ดูท่าทางคาดว่าน่าจะเป็นสินสอดทองหมั้น

"นี่คือ ... " เขาฝืนเอ่ยถามลี่หยางโหว พยายามวางท่าประหนึ่งว่าข้าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น!

"องค์ชายเจาสู่ขอเจ้าไปเป็นชายา เจ้าคิดเห็นเช่นไร?" ลี่หยางโหวถาม

"นี่ ... เอ่อ ... แต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ควรให้พ่อแม่เป็นผู้ตัดสินใจ ไม่ว่าท่านว่าอย่างไรลูกล้วนเชื่อฟังท่านพ่อขอรับ" ถังเยว่แสร้งทำตัวหัวอ่อนว่าง่าย เพราะอยากดูว่าลี่หยางโหวมีความคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง

"พ่อไม่กลัวว่าเจ้าจะหัวเราะเยาะหรอกนะ เจ้าเป็นทายาทชายเพียงหนึ่งเดียวของจวนโหว รับภาระมีบุตรธิดาสืบสกุล บอกตามตรงว่าหากเป็นบุรุษอื่นมีความคิดเช่นนี้ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตพ่อก็จะตีเขาให้ขาหัก!"

ถังเยว่หัวเราะอย่างเก้อกระดาก เข้าใจแล้วว่าบิดาของตนมีความรู้สึกเช่นไรเมื่อพบว่าบุตรชายถูกบุรุษมาฉกตัวไป

"แต่ครั้งนี้ผู้เอ่ยปากคือองค์ชายเจา ไม่สิ เมื่อวานมีราชโองการลงมาบัดนี้ทรงเป็นรัชทายาทแล้ว พ่อย่อมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ"

ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธก็คือต่อให้อยากปฏิเสธใจแทบขาดก็ไม่กล้า ถังเยว่ไม่รู้ว่าหูจินเผิงพูดกับบิดาเขาอย่างไร ถึงทำให้ท่านโหวมีสีหน้าจนใจเช่นนี้

"ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วตัวเจ้าล่ะ มีความคิดเห็นเช่นไร?" ลี่หยางโหวถาม "หากเจ้าไม่ยินดี พ่อจะไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ จะไม่ฝืนบังคับให้เจ้าต้องทำเรื่องลำบากใจ"

จะบังคับลูกผู้ชายอกสามศอกให้ออกเรือนแต่งกับบุรุษโดยไม่เต็มใจได้อย่างไร หากทำเช่นนั้นไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจคงไม่อาจทนรับไหวแน่

"เรื่องนี้ลูก ... มิได้ลำบากใจแต่อย่างใด เพียงแต่รู้สึกผิดต่อสกุลถัง"

คำพูดประโยคเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้ลี่หยางโหวเข้าใจความคิดอ่านของบุตรชาย เขาถอนหายใจซ้ำอีกครั้ง

"เฮ้อ ช่างเถอะ อันที่จริงการที่องค์รัชทายาทซึ่งคนมากมายต่างใฝ่ฝันกลับถูกจวนโหวเล็กๆ ของเราคว้ามาครอง ได้เกี่ยวดองกันเช่นนี้ ไม่นับว่าเป็นเรื่องมีหน้ามีตายิ่งกว่ามียอดอาชาพันธุ์ดีหรอกหรือ"

"ท่านโหวมีความคิดเช่นนี้ได้นับว่าดีที่สุดแล้ว ก่อนข้ามาที่จวนนี้รัชทายาทกำชับไว้ หากท่านโหวไม่เต็มใจ จะเสด็จมาคุยอย่างละเอียดด้วยตนเอง"

ลี่หยางโหวรีบยกมือยกไม้ปฏิเสธ "มิกล้า มิกล้า"

รัชทายาทต้องใจทายาทจวนโหวของพวกเขานับว่าเป็นเกียรติที่สุดในแผ่นดินแล้ว มีหรือที่เขาจะกล้ากล่าวคำปฏิเสธ

"เป็นเช่นนี้ย่อมดีที่สุด รัชทายาทตรัสว่า จัดงานอภิเษกยิ่งเร็วยิ่งดีหากท่านไม่คัดค้าน ฝ่าบาทจะสั่งให้คนเริ่มเฟ้นหาวันมงคลเลย"

"มีเรื่องหนึ่งต้องกราบทูลให้ฝ่าบาททรงทราบไว้ก่อน" ลี่หยางโหวชี้ไปที่ถังเยว่แล้วกล่าว "บุตรชายข้าตอนเด็กเคยได้พบพระอาจารย์ท่านหนึ่งท่านได้ดูดวงชะตาเขาแล้วทำนายว่าไม่ควรรีบสมรส มิฉะนั้นจะเกิดเหตุร้ายแก่ชีวิต ถ้าเคราะห์หนักอาจเกิดหายนะกับวงศ์ตระกูล ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้ชะลอไปก่อนสักสองสามปี"

หูจินเผิงมองถังเยว่ด้วยความประหลาดใจครู่หนึ่ง เห็นเขายืนนิ่งอยู่กับที่ ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จริงหรือหลอก

"ข้าจะนำคำของท่านไปทูลตามความจริง ส่วนต้องยืดเวลาออกไปหรือไม่นั้น ต้องแล้วแต่พระประสงค์ของฝ่าบาท"

"เช่นนั้นต้องรบกวนท่านรองแม่ทัพหูช่วยเป็นธุระให้แล้ว"

หลังส่งหูจินเผิงจากไป สองคนพ่อลูกขังตัวเองจ้องตากันไปมาอยู่ในห้องหนังสืออยู่นาน ถังเยว่ถูกมองจนขนลุกไปทั้งตัว ได้ยินเสียงอีกฝ่ายทอดถอนใจครั้งแล้วครั้งเล่า คล้ายจนปัญญาอย่างที่สุด

"ได้แต่งกับองค์รัชทายาท เป็นทั้งวาสนาและหายนะ" ลี่หยางโหวอดพูดเตือนสติขึ้นมาไม่ได้ "ทว่าในเมื่อรัชทายาทหมายปองเจ้า ก็นับว่าเป็นเกียรติกับเจ้าแล้ว ต่อไปภายภาคหน้าห้ามลืมตัวอวดดี ทำการใดต้องระมัดระวังรอบคอบ พูดให้น้อยทำให้มาก"

"เหตุใดจึงนับว่าเป็นเกียรติกับข้ากันเล่า?" ถังเยว่บ่นพึมพำ นอกจากตำแหน่งฐานะ สิ่งที่รัชทายาทมี ตนก็มี ซ้ำบางอย่างที่เขามี ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายจะมี ไม่จัดว่าเขาอาจเอื้อมใฝ่สูงสักหน่อย

 

 

1 วันเริ่มต้นฤดูหนาวของจีน


 

100 ส่งมอบสินสอด

 

ลี่หยางโหวมองพิจารณาบุตรชายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าขึ้นๆลงๆ อยู่นาน ไม่รู้ว่ารัชทายาทถูกใจบุตรชายเขาที่ตรงไหน หรือว่าเรื่องนี้จะเป็นไปเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ?

"รัชทายาทเคยแสดงออกว่าชอบเจ้าหรือไม่?"

ลี่หยางโหวกลัวเหลือเกินว่าลูกจะเด็กเกินไป ไม่รู้ความ จนถูกอำนาจและอิทธิพลบังตาพาให้ลุ่มหลง ไม่ว่าอย่างไร บุรุษแต่งกับบุรุษย่อมมิใช่ชื่อเสียงอันดี แม้ในหมู่ชาวบ้านจะมีเรื่องเช่นนี้อยู่ไม่น้อย แต่พวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นคนอับจนหนทางถึงเลือกเดินเส้นทางสายนี้

ฐานะพระชายาฟังดูไพเราะ แต่หากนำมาใช้กับบุรุษก็มิใช่คำเรียกขานที่ดีงามแม้แต่น้อย

ถ้าวันนี้คนที่องค์รัชทายาทหมายปองเป็นบุตรสาวของพวกเขาลี่หยางโหวจะไม่พูดพร่ำตักเตือนให้มากความ แต่จะเร่งมือจัดเตรียมสินเดิมไว้ให้พร้อมสรรพ

ถังเยว่ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า "ข้ายังนึกว่าฝ่าบาทล้อเล่น"

"เจ้ารู้หรือไม่ว่าแต่งกับรัชทายาทมีความหมายเช่นไร?"

"มีความหมายเช่นไร?"

"จักรพรรดิยังอยู่ในช่วงวัยฉกรรจ์ สุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง แต่บรรดาองค์ชายที่บรรลุนิติภาวะแล้วมีความคิดเป็นของตนเองความสามารถของรัชทายาทเกินคนทั่วไปก็จริง แต่หากจะสืบทอดราชบัลลังก์ก็ย่อมต้องฝ่าฟันอุปสรรค"

พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ หากถังเยว่ย่างเท้าเข้าไป อนาคตต้องประสบกับภยันตรายนานัปการ

"ลูกกลัวแต่ว่าจะทำให้ที่บ้านพลอยลำบากไปด้วย" นี่คือสิ่งที่ถังเยว่หวั่นเกรงมากที่สุด

ลี่หยางโหวมองเห็นสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจของถังเยว่ที่มาพร้อมกับประโยคนี้ จิตใจก็พลันอ่อนยวบลงทันที

"เยว่เอ๋อร์ เจ้ากังวลมากไปแล้ว ถึงตำแหน่งโหวของพ่อจะไม่ได้แข็งแกร่งยิ่งใหญ่เทียบเท่ากั่วกงทั้งเจ็ด จวิ้นอ๋องทั้งสาม แต่ในเมืองเย่เฉิงมีใครบ้างที่ไม่เห็นแก่หน้าพ่อ หากจะเลือกองค์ชายสักคนให้ขึ้นครองราชย์บิดาเจ้าย่อมต้องสนับสนุนองค์รัชทายาทแน่นอน ตรงจุดนี้เจ้าไม่ต้องกังวลใจไปหรอก"

ถังเยว่กลอกตาใช้ความคิด ก้าวเท้าขยับไปยืนด้านหน้าบิดา แล้วลองถามหยั่งเชิง "เช่นนั้นท่านพ่อช่วยเล่าสถานการณ์ในราชสำนักให้ข้าทราบสักหน่อยได้หรือไม่ ป้องกันไม่ให้ข้าออกเรือนไปแล้วถูกปิดหูปิดตา ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรสักอย่าง"

ลี่หยางโหวถลึงตาใส่เขา ทำหน้าดุดันราวพยัคฆ์ บุตรคนนี้มีใจใฝ่คนนอกเร็วเกินไปหน่อยแล้วกระมัง ยังไม่ทันจะออกเรือนก็เริ่มทุกข์ใจในเรื่องนี้แล้ว

"ข้างกายพ่อมีนักวางแผน นามอาจารย์เสวียนจิ้ง ไว้หลังเจ้าแต่งออกไปแล้ว พ่อจะยกเขาให้แก่เจ้า มีปัญหาอะไรก็ถามเขาได้เลย"

"อาจารย์เสวียนจิ้ง" กระทั่งนามยังลึกล้ำขนาดนี้ หรือจะเป็นผู้วิเศษเร้นกายอะไรทำนองนั้น

อีกอย่างเขาอยู่จวนโหวมานาน ยังไม่เคยพบเจอคนผู้นี้เลย ไม่รู้ว่าไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน? คงไม่ใช่ยอดฝีมือที่ไปมาไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้หรอกนะ

สองพ่อลูกเพิ่งบรรลุวัตถุประสงค์มีความเห็นตรงกัน ฝ่ายจวนองค์ชายเจาก็ทนรอไม่ไหวรีบส่งสินสอดทองหมั้นมาให้ ทั้งยังมีสินสอดพระราชทานจากวังหลวงอีก

ถังเยว่รู้สึกตื่นตะลึงกับประสิทธิภาพการจัดการเรื่องราวต่างๆ ของหลี่เจา ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ไม่แค่สามารถจัดหาของหมั้นได้มากมาย ยังสามารถจัดการกับบิดาของเขาได้อยู่หมัด ไม่รู้ว่าทำเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไรกัน?

แต่ก็ต้องยอมรับว่า ความใจร้อนของอีกฝ่ายทำให้ถังเยว่แอบกระหยิ่มยิ้มย่อง ภาคภูมิใจในตัวเองอยู่นิดๆ มีคนสนใจไยดีเขาถึงเพียงนี้ ต่อให้ที่อีกฝ่ายทำลงไปเป็นเพราะอัจฉริยภาพของเขา ก็ยังเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การภาคภูมิใจอยู่ดี

ทันทีที่เดินออกมาจากประตูห้อง ก็รู้สึกถึงบรรยากาศแปลกประหลาดอันเข้มข้น ผู้ที่ได้พบระหว่างทางต่างมองมาด้วยสายตาที่มีความยำเกรงมากขึ้น ท่าทางตอนทำความเคารพก็ดูจริงจังกว่าที่เคยเป็นมานับร้อยเท่าหมอบกรานลงกับพื้นราวกับไม่คิดจะลุกยืนขึ้นอีกแล้ว

ถังเยว่ยิ้มจนใบหน้าแข็งค้าง กระทั่งเข้ามาในห้องโถง ก็ต้องตะลึงกับบรรยากาศมงคลที่อบอวลไปทั่วห้อง

เขามองห้องโถงที่บัดนี้ถูกแปลงโฉมใหม่อย่างตื่นตะลึง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่ห้องโถงแห่งนี้ถูกประดับด้วยแพรแดง พื้นขัดมันเป็นเงาวับ ทันทีที่เหยียบลงไปบนพื้นที่ปูด้วยศิลาเขียว ก็ถึงกับสามารถเห็นเงาสะท้อนของตัวเองได้เลยทีเดียว

"เยว่เอ๋อร์ รีบมาดูนี่เร็วเข้า ของขวัญที่รัชทายาทส่งมามีมากมายจริงๆ!" ฮูหยินเฒ่ายิ้มกว้างจนริ้วรอยยับย่นบนใบหน้าปรากฏเด่นชัด เผยให้เห็นฟันที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ซี่ในปาก ดวงตายิบหยีจนแทบมองไม่เห็น

ถังเยว่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย เมื่อต้องอยู่ท่ามกลางสายตาหยอกเย้าของทุกคน เขาเดินเข้าไปอย่างเก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ถูก

"ท่านย่ามั่งมีเงินทองเป็นกองภูเขา มีอะไรที่ท่านไม่เคยเห็นด้วยหรือ?ไหนเลยจะมาถูกใจกับของขวัญคร่ำครึพวกนี้" ถังเยว่ก้าวเข้าไปยืนด้านหลังฮูหยินเฒ่า ช่วยนวดไหล่ให้นาง

ฮูหยินเฒ่าที่ถูกประจบกำลังมีความสุขเป็นพิเศษ นางยื่นกล่องไข่มุกบูรพาที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือมาตรงหน้าเขา "เจ้าอย่าได้พูดจาเหลวไหล อย่างไข่มุกบูรพาที่ทั้งใหญ่และสมบูรณ์ขนาดนี้ ต่อให้แม่เฒ่าอย่างข้ามีเงินก็ไม่อาจซื้อหาได้ ต้องอาศัยบารมีเจ้านี่ละ จึงได้รับเป็นของขวัญจากรัชทายาทอย่างไม่คาดฝัน"

"หือ? ฝ่าบาทพระราชทานของขวัญให้ท่านย่าแค่นี้เองหรือ แบบนี้ไม่ได้การ ... " ถังเยว่ส่ายหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง "ท่านย่าเป็นถึงดาวเป๋ยโต่วที่ส่องสว่างเหนือเขาไท่ซาน[1]ของตระกูล ประทานไข่มุกบูรพาให้สิบกล่องก็เป็นเรื่องที่สมควรทำแล้ว"

"ฮ่าๆ ปากหวานจริงนะเจ้า มิน่าเล่ารัชทายาทถึงได้หมายปอง น่าเสียดายที่บิดาไม่อาจให้รูปโฉมงดงามแก่เจ้าได้ ไม่เช่นนั้นไหนเลยจะต้องมากังวลกันอีก ... เฮ้อ ... " ฮูหยินเฒ่าดูเหมือนมีบางอย่างอยากจะพูด แต่ก็ไม่อาจพูดออกมา ทว่าถังเยว่กลับสามารถเข้าใจได้ว่านางเป็นห่วงเรื่องอะไร

คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ตนหน้าตาแสนธรรมดาเกินไป คงเกรงว่าตนจะไม่อาจมัดใจรัชทายาทไว้ได้

ความจริงทุกคนต่างกังวลมากเกินไป ตอนนี้สิ่งที่เขาคิดคือ รักษาความสัมพันธ์ที่แสนเรียบง่ายในฐานะนายจ้างกับลูกจ้าง ส่วนหลังจากนี้เหตุการณ์ในโลกหล้ายากจะคาดเดา ใครจะสามารถครุ่นคิดใคร่ครวญมากมายไปไกลได้เช่นนั้น

"ท่านย่า ท่านดูดีๆ อีกทีสิ หน้าตาของหลานคนนี้ดูไม่ได้ที่ไหนกันหน้าผากเอิบอิ่ม ใบหน้าคมสัน มีความองอาจเยี่ยงบุรุษเต็มเปี่ยม ได้รับถ่ายทอดลักษณะเด่นอันงดงามจากสกุลถังของพวกเรามาอย่างสมบูรณ์ เห็นปุ๊บก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นโหงวเฮ้งของผู้มีบุญวาสนา!" ถังเยว่พูดชมตัวเองพลางดึงหน้าทำท่าประกอบ หยอกเย้าจนฮูหยินเฒ่าและเหล่าน้องสาวต่างพากันหัวเราะขบขันไม่หยุด "อีกอย่างผู้ชายควรใช้ความสามารถคุณธรรมในการเป็นวีรบุรุษ จะดูแค่รูปโฉมภายนอกอย่างเดียวได้อย่างไร รัชทายาทหาได้ตัดสินคนตื้นเขินเช่นนั้นไม่"

"ถูกต้อง เยว่เอ๋อร์พูดมีเหตุผล!" ลี่หยางโหวถูกคนพูดว่าเขามีหน้าตาธรรมดามาตั้งแต่เด็ก ตอนเป็นหนุ่มต้องได้รับความกระทบกระเทือนทางใจเพราะใบหน้าดวงนี้มาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง พอได้ฟังถังเยว่กล่าวเช่นนี้แน่นอนว่าย่อมรู้สึกรื่นรมย์อยู่แล้ว

โหวฮูหยินเอามือปิดปากหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น "ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่รัชทายาทหาใช่คนธรรมดาไม่ ภายภาคหน้าต้องมีสามภรรยาสี่อนุที่แสนงดงามราวกับบุปผาบานสะพรั่งมาให้เชยชม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มีหรือจิตใจจะไม่สั่นคลอน"

บรรยากาศเงียบลงในทันที ถังหย่าดึงแขนเสื้อมารดาตัวเอง เป็นการปรามห้ามมิให้นางพูดเรื่องแสลงหู

"พิโธ่ ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง วันมหามงคลแบบนี้ พวกเราไม่ควรพูดเรื่องแบบนี้สินะ" โหวฮูหยินรีบพูดแก้สถานการณ์ให้ตัวเอง "ท่านโหวรีบมาดูเร็วเข้า รัชทายาททรงคิดการรอบคอบยิ่งนัก ประทานของขวัญให้ทุกคนในบ้านคนละชิ้น"

ถังเยว่มองทุกคนที่กำลังรื้อค้นของขวัญอย่างมีความสุข เผลอปากไวโพล่งถามออกไปประโยคหนึ่ง "ไม่ทราบว่ารัชทายาทประทานของขวัญอะไรให้ฮูหยินงั้นหรือ?"

'อย่าให้ของที่มีค่ามากเกินไปนักนะ เปลือง!'

โหวฮูหยินมุมปากกระตุก ใบหน้าซ่อนรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ ถังเยว่ดวงตาเป็นประกาย แล้วซักต่อ "ต้องเป็นของล้ำค่าที่ในใต้หล้านี้หาได้ยากยิ่งใช่หรือไม่ ฮูหยินรีบนำออกมาให้ทุกคนได้เปิดหูเปิดตาเร็วเข้าเถิด"

สายตาของทุกคนหันไปจับจ้องที่โหวฮูหยิน ต่อให้นางไม่เต็มใจก็ยังต้องหยิบของสิ่งนั้นออกมาอยู่ดี เป็นกล่องไม้ถานงามวิจิตร ถังเยว่ใจกระตุกอย่าบอกนะว่าตนคิดผิดไป

ดูท่าว่าสตรีนางนี้อาจไม่ได้หวงแหนเกินกว่าจะหยิบออกมา แต่ดูคล้ายว่าไม่อยากจะเอาออกมาให้ดูมากกว่า

กล่องถูกเปิดออก ทุกคนเห็นเพียงก้อนตำลึงทองกองเต็มอยู่ในนั้นสีทองเปล่งปลั่งเรืองรอง เรียงซ้อนกันทีละก้อนๆ อย่างเป็นระเบียบ คาดว่าน่าจะมีนับร้อยตำลึงทอง

ถังเยว่สูดลมเย็นๆ เข้าปอดเฮือกหนึ่ง รู้สึกเจ็บเนื้ออย่างรุนแรงของขวัญของคนอื่นจะสูงส่งล้ำค่าเพียงใดเขาไม่รู้ แต่ทองคำที่เป็นรูปธรรมขนาดนี้ เขามองปราดเดียวก็เข้าใจมูลค่า

ลี่หยางโหวกระแอมขึ้นทีหนึ่ง พูดปลอบด้วยคำอ้อมค้อม "ฮูหยินเป็นคนใน รัชทายาทคงสืบไม่รู้ว่าเจ้าโปรดปรานสิ่งใด จึงตั้งใจประทานทองคำให้เจ้าโดยเฉพาะ"

ฮูหยินเฒ่าหัวเราะเหอะๆ ก่อนเปรยขึ้นลอยๆ "บางทีอาจทรงเห็นว่าลูกสะใภ้ดูแลบ้านเหนื่อยยากลำบากมาก จึงสงเคราะห์เงินทองไว้ให้นางใช้สอย"

ถังเยว่แอบคิด 'เกรงว่าจะเห็นสตรีนางนี้แสนขี้เหนียว ถึงได้มอบทองคำมาให้นางขุ่นเคืองเล่นน่ะสิไม่ว่า'

แต่ไม่ว่าอย่างไร ถังเยว่ด้านหนึ่งเสียดายทองคำ อีกด้านหนึ่งก็แอบยินดี

ของขวัญที่พระราชทานให้น้องสาวทั้งเจ็ดมิได้พิสดาร ล้วนเป็นแพรพรรณชั้นดี เครื่องประดับจำพวกปิ่นปักผมของเด็กผู้หญิง ทุกสิ่งประณีตวิจิตรสูงศักดิ์ล้ำค่า ทั้งยังใช้งานได้จริง

เห็นได้ชัดว่าหลี่เจาทุ่มเทความคิดจิตใจมากเพียงใด แม้อาจจะแค่เอ่ยปากสั่งการ แต่ก็ต้องยอมรับว่าความใส่ใจนี้มีความจริงใจมากพอ

นอกจากมอบของขวัญให้ทุกคนในจวนลี่หยางโหวแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นสินสอดทองหมั้น กองเต็มกว่าครึ่งห้องโถง แต่ละหีบแต่ละกระบุงล้วนคลุมด้วยผ้าไหมสีแดง มัดดอกไม้แดง ไม่ต้องพูดก็แสดงให้เห็นได้ว่าเปี่ยมด้วยความมงคลมากเพียงใด

ชาติที่แล้วถังเยว่ไม่ได้แต่งงาน ย่อมไม่ได้เสพสำราญความอภิรมย์ของชีวิตสมรส บัดนี้ถูกห้อมล้อมด้วยบรรยากาศเฉลิมฉลองน่ายินดี แม้จะรู้สึกอิ่มเอิบใจไปทั้งร่าง แต่ในอีกด้านก็อดทอดถอนใจไม่ได้

"ท่านพี่ ท่านแต่งงานแล้วยังอยู่ในบ้านนี้ต่อไปได้หรือไม่?" ถังอวิ๋นย่างเท้าเล็กๆ ก้าวเข้ามาถาม

ถังเยว่หยิกแก้มยุ้ยของนาง เด็กหญิงอายุยังน้อย แต่มองออกว่าอนาคตจะต้องเป็นสาวงามแน่ ถังเยว่เคยเห็นมารดาแท้ๆ ของนางหนหนึ่งเป็นสาวงามสุภาพนุ่มนวลแห่งเจียงหนัน

"อาอวิ๋นอยากให้พี่พักอยู่ในบ้านนี้หรือไม่?" ถังเยว่ถามหยอกเย้า

"อยากสิ" ถังอวิ๋นพยักหน้าอย่างมั่นคง พลางยกมือขึ้นมานับนิ้วถึงข้อดีของการมีถังเยว่อยู่ในบ้าน "ท่านพี่อยู่บ้าน อาอวิ๋นก็จะได้กินขนมลูกกวาดอร่อยๆ ยังได้รับที่ติดผมสวยๆ และยังได้ดูท่านพี่รังแกคนด้วย"

"แค่กๆ อาอวิ้นอย่าพูดเหลวไหล พี่เคยรังแกใครเมื่อไรกัน?"

อาอวิ๋นมองหารอบๆ จนทั่ว แต่ก็ยังไม่เห็นคนที่นางต้องการหา จึงวาดมือทำท่าประกอบ"คุณชายคนนั้นที่ ... ตัวใหญ่ๆ กลมๆ กลิ้งได้"

โหวฮูหยินไม่พอใจเป็นคนแรก ตวาดลั่น "อาอวิ๋น ไร้มารยาทเช่นนี้ได้หรือ! อนาคตซื่อจื่อจะเป็นพี่เขยเจ้า!"

ถังเยว่เห็นถังอวิ๋นถูกสีหน้าเข้มงวดของโหวฮูหยินทำให้ตกใจ จึงอุ้มนางขึ้นมาแล้วกล่าว "คุณชายที่อาอวิ๋นพูดถึง เขาเป็นซื่อจื่อแห่งเหิงกั่วกง เป็นคู่หมั้นของอาหย่า ตอนนี้เขาไม่ใช่คนตัวกลมๆ กลิ้งได้อีกแล้ว เจ้าต้องเปลี่ยนคำเรียกใหม่แล้วละ"

ถังเยว่พูดไปก็เหลือบมองถังหย่าไปด้วย พบว่านางมิได้มีสีหน้าเดียดฉันท์เหมือนอย่างแต่ก่อนแล้ว แต่สีหน้าก็ยังเรียบเฉย มองไม่เห็นถึงความยินดีเช่นกัน คิดๆ แล้วก็เห็นพ้องว่าก็สมควรเป็นเช่นนั้น ต่อให้เจ้าเด็กผิงซุ่นผอมลง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนเป็นคุณชายผู้งามสง่า คาดว่าก็คงชื่อบื้อเป็นตอไม้เหมือนเดิม คิดจะมัดใจคนงาม ยากยิ่งนัก

สองวันนี้ถังเยวไม่ได้สนใจไยดีเจ้าเด็กนั่น ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน แต่ถึงอย่างไรองครักษ์กว่าครึ่งในเรือนเขาก็คงอยู่ 'เล่น' เป็นเพื่อน จึงไม่ต้องกลัวว่าเขาจะหลบลี้หนีหายไป

"ท่านพี่ คู่หมั้นคืออะไรหรือเจ้าคะ?" ถังอวิ๋นขมวดคิ้วนิ่วหน้าครุ่นคิดอยู่นานถึงถามประโยคนี้ออกมา ท่าทางไร้เดียงสาน่ารักเช่นนั้นเย้าให้ทุกคนต่างหัวเราะขบขัน

" ... รอให้อาอวิ๋นโตแล้วก็จะรู้เอง" ถังเยว่ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเช่นไร จะพูดเรื่องผัวๆ เมียๆ ให้เด็กผู้หญิงฟังก็ดูจะไม่เหมาะ

"จริงสิ รัชทายาทส่งหนังสือสมรสมาหรือยัง? แล้วฤกษ์พิธีกำหนดเมื่อไร?" ลี่หยางโหวถามแทรกขึ้น

"ส่งมาแล้ว ฤกษ์พิธีคือวันเทศกาลล่าปา[2]ก่อนปีใหม่ เวลาออกจะฉุกละหุกไปสักหน่อย"

ฮูหยินเฒ่าขมวดคิ้ว ในใจคิดอยากให้บุตรชายไปเจรจาขอเลื่อนวันออกไปอีกสักหน่อย แต่กลับไม่สะดวกจะเอ่ยปาก ในใจนางคิดว่า หลานคนนี้เพิ่งกลับมาได้ไม่กี่เดือน ตอนนี้กลับต้องออกเรือนไปเสียแล้ว ก่อนหน้านี้ฮูหยินเฒ่าต้องนั่งอยู่ในหอพระหนึ่งคืนเต็มๆ กว่าจะปลงตกทำใจยอมรับเรื่องที่หลานชายเพียงคนเดียวต้องออกเรือนได้

"รัชทายาท ... ดูเหมือนจะใจร้อนมาก" ลี่หยางโหวปรายตามองบุตรชายแวบหนึ่ง ทำให้ถังเยว่หน้าแดงซ่านไปทั้งดวง

ถึงอย่างไรเขาก็พูดไม่ได้ว่าที่หลี่เจาให้ความสำคัญคือความสามารถพิเศษของเขา ที่อยากให้เขารีบแต่งเข้าก็เพราะประสงค์จะให้ไปช่วยคิดแผนการนโยบายบางอย่างเสียกระมัง

เหตุผลเช่นนี้อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังเชื่อไม่ลง

ฉะนั้น ไม่รู้ว่าเจ้าหนูนี่เร่งรีบจะแต่งกับเขาแท้จริงแล้วเพื่อเหตุใดกันแน่? แม้ถังเยว่จะมีคำตอบในใจอยู่รางๆ แต่กลับรู้สึกคล้ายไม่ใช่เรื่องจริง

 

 

1 เป็นวลีที่ใช้เปรียบเปรยผู้มีคุณธรรม ชื่อเสียงโด่งดัง หรือมีอำนาจล้นหลาม

2 เทศกาลล่าปา ตรงกับวันขึ้น 8 ค่ำเดือน12 ตามปฏิทินจันทรคติจีน แต่โบราณมาชาวจีนจะกราบไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษในเทศล่าปาเพื่อความเป็นสิริมงคล ขอพรให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ ในวันนี้ชาวจีนยังมีธรรมเนียมกินโจ๊กล่าปาซึ่งเป็นโจ๊กที่ต้มจากธัญพืชหลากหลายชนิด


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม