ชายาคุณธรรมนั้นเป็นยาก
221 จอมวายร้าย
ฟ้าเริ่มสาง รถม้าหลายคันเรียงแถวยาวเหยียดออกจากเมืองทางประตูเหนือ ทหารยามเฝ้าประตูขวางรถไว้เพื่อเรียกตรวจตามหน้าที่
ขณะกำลังจะวางก้ามเบ่งใส่ก็เหลือบเห็นบุรุษผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า
ทหารยามตกใจจนแข้งขาอ่อนแรง ทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นทันที
“ทำหน้าที่ของพวกเจ้าต่อไป”
ขาทั้งสองข้างที่หนีบอยู่ตรงท้องม้าของบุรุษผู้เอ่ยประโยคนั้นเคาะเบาๆ
ก่อนจะนำขบวนเคลื่อนจากไป
กระทั่งขบวนรถจากไปไกลแล้ว ทหารอีกนายจึงวิ่งเข้ามาเตะเพื่อนทหารที่ยังคงคุกเข่าอยู่กับพื้นทีหนึ่ง “เฮอะ! คนจากไปไกลจนไม่เห็นแม้แต่เงาแล้วยังจะมัวคุกเข่าทำบ้าอะไรอยู่ เขาคือผู้ใด? เหตุใดเจ้าจึงกลัวจนลนลานเสียอาการขนาดนี้”
“ถุย! ไม่อยากมีชีวิตแล้วใช่ไหมเจ้าเด็กเมื่อวานซืน!” ทหารนายนั้นปาดเหงื่อเย็นๆ ที่ผุดพราย
คว้ามือเพื่อนทหารเพื่อพยุงตัวลุกขึ้น “เขาผู้นั้นเป็นบุตรอานกั๋วกง
เป็นเจ้านายของหัวหน้าพวกเรา ท่านแม่ทัพหูอย่างไรเล่าอีกอย่าง
ผู้ที่ได้รับการคุ้มกันจากเขา ผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ในรถม้านั่น…”
ทุกคนต่างเนื้อตัวสั่นเทา
บางคนไม่กล้าคิดต่อได้แต่แอบขยี้ตาเกรงว่าจะไปลบหลู่ล่วงเกินผู้สูงศักดิ์คนใดเข้า
รถม้าสองคัน คันหนึ่งนำหน้า คันหนึ่งตามหลัง ครั้งนี้หูจินเผิงเป็นฝ่ายขันอาสามารับหน้าที่เป็นองครักษ์ พาองครักษ์สามสิบนายและองครักษ์ลับอีกสิบนายร่วมเดินทางเพื่อคุ้มกัน
ในรถม้าคันหน้าถังเยว่หลับตาพักเอาแรง
จางฉุนจ้องหน้าเขาอยู่นานในที่สุดก็ทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยถาม
“พวกคุณทะเลาะกันเพราะเรื่องนั้นหรือ?”
เขาอาศัยอยู่จวนรัชทายาทมาหลายปีเพิ่งจะได้เห็นสามีภรรยาคู่นี้ทะเลาะกันเป็นครั้งแรก
แปลกใหม่ดีจริงๆ
ถังเยว่เผยอเปลือกตาขึ้นมาเหลือบมอง
“สงครามเย็น รู้จักไหมสงครามเย็นน่ะ!”
“เฮอะ! สงครามยงสงครามเย็นอะไรกัน” เขาต่างหากที่ทำสงครามเย็นกับหวังติ่งจวิน “ว่าแต่พวกคุณแยกกันแบบนี้ไม่เป็นไรจริงหรือ ใจผมเต้นรัวไปหมดแล้ว ทำให้สงบลงไม่ได้เลย
พวกเราแยกกันเดินทางกับเขาผู้นั้นไม่ดีกว่าเหรอ?”
แค่คิดว่าต้องร่วมเดินทางไปกับรัชทายาท
จางฉุนก็รู้สึกหวาดเสียวอย่างสุดแสน
ไม่รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะเกิดเหตุลอบสังหารขึ้นบ้างหรือไม่ ตามบทในละครโทรทัศน์ล้วนเป็นแบบนี้ทั้งนั้นไม่ใช่หรือ
ในฐานะที่เคยเป็นนักแสดงตัวประกอบเขาเคยเห็นฉากพวกนั้นจากในละครมานักต่อนัก
ตอนนี้จึงทั้งตื่นเต้นและกังวลใจ
ถังเยว่ไม่อยากตอบคำถามเขา
ที่หลี่เจาออกเดินทางมาในครั้งนี้ก็เพราะอยากจะร่วมเดินทางไปด้วยไม่ใช่หรือไง
ไม่เช่นนั้นจะวางแผนเพื่อให้มีโอกาสได้เดินทางไปพร้อมกันเพื่ออะไร
ตามหลักแล้วหากรัชทายาทไม่ได้รับอนุญาตจากจักรพรรดิจะเดินทางออกจากเย่เฉิงไม่ได้ ครั้งนี้เพื่อที่จะได้เดินทางไปด้วยกันหลี่เจาจึงต้องลงทุนลงแรงไปไม่น้อย
ฉีอ๋องยังไม่ตาย ทหารที่อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ส่งข่าวมาแจ้งว่าแผนการลอบสังหารล้มเหลว ฉีอ๋องโกรธแค้นส่งทหารออกไปสามหมื่นนาย เผ่าเยว่อี๋นำไพร่พลติดตามมาอีกสองหมื่น
มีแนวโน้มพร้อมจู่โจมได้ทุกเมื่อ
ข่าวนี้ยังไม่ทันจะแพร่ออกไปจักรพรรดิหนานจิ้นที่ได้รับรายงานลับก็เรียกรัชทายาทเข้าวังทันที สองพ่อลูกหารือกันอยู่ในห้องทรงพระอักษรเป็นเวลานาน
เรื่องราวเป็นความลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้ วันรุ่งขึ้น
จักรพรรดิหนานจิ้นก็มีราชโองการลงโทษกักบริเวณรัชทายาทสามเดือนเพื่อให้สำนึกตน
ส่วนให้สำนึกตนเรื่องใดก็ไม่มีใครรู้ ได้แต่คาดเดากันเองว่ารัชทายาทเจาคงทำให้จักรพรรดิไม่พอใจ
ทุกคนถึงขั้นคิดว่าหากไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้องค์รัชทายาทได้สร้างรากฐานไว้แข็งแกร่งมั่นคง
ไม่แน่ว่าครั้งนี้อาจสูญเสียความโปรดปรานจากจักรพรรดิไปแล้วก็เป็นได้
แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่ารัชทายาทที่ถูกสั่งกักบริเวณนั้นเวลานี้กำลังแอบเดินทางออกนอกเมือง จุดหมายปลายทางคือเมืองฉินหยางที่กำลังตกอยู่ในภาวะคับขัน
รัชทายาทเจานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโอรส
ยามอยู่ต่อหน้าเขาเสี่ยวลั่วลั่วจะเป็นเด็กดี อยู่ในระเบียบวินัย ว่านอนสอนง่าย ดังเช่นในตอนนี้ที่เด็กน้อยนั่งคุกเข่าราบ แผ่นหลังตั้งตรง สองมือวางลงบนเข่าอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม สายตาแน่วแน่ไม่หลุกหลิก
ว่อกแว่ก
รัชทายาทเจาอ่านหนังสือราชการจบไปหนึ่งฉบับก็หยิบถั่วเปลือกแข็งจานหนึ่งออกมาจากตู้ลิ้นชักเล็กๆ วางลงตรงหน้าโอรสแล้วเอ่ยเสียงสั้นกระชับแต่ชัดเจน
“กินซะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวลั่วลั่วทำตาม
สั่งสิ่งไหนก็ทำสิ่งนั้น กินถั่วแต่ละชนิดไปอย่างละห้าเมล็ดแล้วหยุดมือ นี่เป็นกฎที่ถังเยว่กำหนดไว้ ทุกคนในจวนต่างก็รู้ว่าคำพูดของพระชายามีความสำคัญต่อองค์รัชทายาทยิ่งกว่าราชโองการไม่ว่าผู้ใดจึงล้วนต้องปฏิบัติตาม
แม้เมื่ออยู่ต่อหน้าถังเยว่เสี่ยวลั่วลั่วจะไม่เคยทำตามกฎ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เป็นบิดาเขากลับไม่กล้าฝ่าฝืน
ก๊อกๆ เสียงเคาะหน้าต่างดังขึ้น
เสี่ยวลั่วลั่วหันไปมองด้วยความอยากรู้ จากนั้นก็แอบขยับขาที่เหน็บกินจนชา
“มีอะไร?”
“ฝ่าบาท สำเร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงหูจินเผิงดังมาจากด้านนอกบ่งบอกถึงความตื่นเต้นยินดีอย่างเห็นได้ชัด
เสี่ยวลั่วลั่วรู้จักหูจินเผิง ถังเยว่สอนให้เขาเรียกอีกฝ่ายว่าท่านลุงหู
เมื่อได้ยินเสียงตื่นเต้นยินดีของท่านลุงหูเด็กน้อยจึงพลอยตื่นเต้นตามไปด้วย
ที่สำคัญในที่สุดก็ไม่ต้องอยู่กันแค่สองคนกับบิดาแล้ว
“ฝ่าบาท ต้องรีบส่งข่าวกลับไปเมืองเย่เฉิงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่จำเป็น ปิดข่าวไว้ก่อน
คิดว่าเหล่าขุนพลที่อยู่ใต้อาณัติฉีอ๋องคงยังไม่อยากให้ข่าวนี้แพร่งพรายไป ไม่เช่นนั้นพวกแรกที่จะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ ก็คือเผ่าเยว่อี๋”
“เช่นนั้นก็ตรงกับความต้องการของเราพอดีมิใช่หรือ?” หูจินเผิงแปลกใจเล็กน้อย
“ตอนแรกข้าวางแผนไว้แบบนั้น
แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วแค่ให้พวกเขาถอยทัพอย่างเดียวยังไม่สมใจข้า” รัชทายาทเจาหยิบป้ายคำสั่งออกมาจากในอกเสื้อ ยื่นออกไปนอกหน้าต่าง “รับไว้ ถึงเวลาที่เหล่านักรบซึ่งฝึกซ้อมไว้จะได้ลงสนามจริงเสียที”
หูจินเผิงรับป้ายไม้สีดำมาถือไว้ในมือด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้งขึ้นหลายเท่า
เขารู้จักป้ายคำสั่งนี้
เป็นป้ายคำสั่งบัญชาการกองทัพหน่วยรบพิเศษส่วนพระองค์ของรัชทายาท
เขามีวาสนาได้ไปเปิดหูเปิดตามาครั้งหนึ่ง พูดตามตรงว่าภาพที่ได้เห็นในครั้งนั้นอยู่เหนือคำว่า ‘ตื่นตะลึง’ ไปไม่รู้กี่เท่า
“ฝ่าบาท…เอ่อนี่…”
เขาเคยคิดว่าหน่วยรบพิเศษนี้รัชทายาทจะเป็นผู้บัญชาการด้วยตนเอง แล้วเหตุใดถึงมอบป้ายคำสั่งนี้ให้เขา
“ป้ายคำสั่งนี้เป็นแค่เครื่องหมายสัญญาณเท่านั้น
ไม่มีความหมายอื่น ทหารกองทัพนี้เชื่อฟังคำสั่งจากตัวบุคคลมิใช่วัตถุ หากมีวันใดที่ข้าไม่อยู่ต้องกำหนดผู้สืบทอดมาดูแลแทน
ไม่เช่นนั้นใครก็อย่าหวังว่าจะบัญชาการพวกเขาได้”
หูจินเผิงพยักหน้า
แต่พอนึกขึ้นได้ว่ารัชทายาทคงมองไม่เห็นจึงพูดขึ้น
“ฝ่าบาททรงคิดการรอบคอบยิ่งนัก กระหม่อมจะไปจัดการตามพระบัญชา”
ในที่สุดหน่วยรบพิเศษที่ไม่เป็นสองรองใครกองทัพนี้ก็จะได้ออกโรงสักที
ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถทำให้ข้าศึกจดจำฝังลึกมิอาจลืมเลือนได้หรือไม่
“เสด็จพ่อ ลูกขอไปนั่งรถม้าคันหน้าจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
นั่งมาครึ่งค่อนวันแล้วในที่สุดเสี่ยวลั่วลั่วก็ทนต่อไปไม่ไหว
อยากเผ่นเต็มที ต้องนั่งกับบิดาผู้เย็นเยือกดุจน้ำแข็งเช่นนี้สู้ยอมไปเบียดกับท่านอาฉุนเสียยังดีกว่า
อยู่กับบิดาน่าเบื่อสุดจะทน ไม่รู้จริงๆ ว่าเตียเตียถูกใจหลงรักเขาที่ตรงไหน
“ทำไม นั่งกับข้าทำให้เจ้าทรมานมากนักหรือ?”
เสี่ยวลั่วลั่วรีบส่ายหน้า
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ลูกคิดถึงเตียเตียแล้ว”
เด็กน้อยตอบพลางเหลือบมองสีหน้าอีกฝ่าย
เห็นสีหน้าบิดาบึ้งตึงขึ้นไม่น้อย
แต่ในดวงตายังคงความอ่อนโยนไว้อย่างเต็มเปี่ยมก็รู้ว่าคำพูดของตัวเองน่าจะตรงกับใจบิดาเช่นกัน
อย่าดูถูกว่าเขาอายุยังน้อยแล้วจะไม่รู้ความ
เขาเห็นมานานแล้วว่าระยะนี้ทั้งสองไม่พูดคุยกัน เห็นได้ชัดว่าทะเลาะกัน ฮึ! ต้องเป็นบิดาที่ไปยั่วโทสะทำเตียเตียโกรธเป็นแน่
ในใจเสี่ยวลั่วลั่วลำเอียงเข้าข้างเตียเตียของตนตลอดกาล
ถึงขั้นตั้งปณิธานไว้ว่าเมื่อโตขึ้นจะพาเตียเตียหนีไปให้ไกล
จะได้หลุดพ้นจากห้วงทุกข์ โชคดีที่ปณิธานนี้ของเขาไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ไม่เช่นนั้นรัชทายาทคงถีบส่งเขากลับเข้าท้องมารดาให้ได้กลับชาติไปเกิดใหม่อย่างแน่นอน
ในมือรัชทายาทเจาถือกระดาษแผ่นหนึ่ง
ที่ร้อยเรียงอยู่บนแผ่นกระดาษนั้นเป็นบันทึกของถังเยว่
แต่เขียนสิ่งใดไว้เขาก็มิได้อ่านให้แน่ชัด เพราะในเวลานี้พื้นที่ในสมองเต็มไปด้วยภาพของถังเยว่
เขาเองก็คิดถึงถังเยว่แล้วเช่นกัน...
ขณะทอดตามองไปยังโอรส ความคิดก็พลันเปลี่ยน เขาล้วงหยิบถุงผ้าใบเล็กออกมาจากอกเสื้อแล้วโยนให้อีกฝ่าย
“หากสามารถทำให้เตียเตียมานั่งรถม้าคันนี้ได้ ของสิ่งนี้จะเป็นของเจ้า”
เสี่ยวลั่วลั่วผินหน้าไปอีกทางด้วยสีหน้า ‘เสด็จพ่ออย่าคิดติดสินบนลูกซะให้ยาก!’
แต่เขาก็ทนความอยากรู้ไม่ไหวจึงต้องเปิดถุงผ้าใบนั้นออกดู
ข้างในเป็นก้อนหินแวววาวระยิบระยับ นี่เป็นก้อนหินที่เขาเคยชอบมาก เพียงแต่บิดาไม่เข้าใจที่จะซาบซึ้งชื่นชม
ตอนนี้แค่จะให้เตียเตียยอมยกโทษให้บิดาถึงกับประจบคนเป็นแล้ว
‘จอมวายร้าย!’ เสี่ยวลั่วลั่วแอบตั้งฉายาให้บิดาผู้ยิ่งใหญ่ในใจเด็กน้อยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกเห็นด้วยขึ้นมา
ข้อแรก เขาคิดถึงเตียเตียแล้ว ข้อสอง มีเตียเตียอยู่ด้วยเขาถึงจะมีความสุข
ไม่ทันไรหน้ารถม้าถังเยว่ก็มีคนมาดักขวางไว้
องครักษ์นายหนึ่งตรงมาเคาะหน้าต่างอย่างร้อนรน
“คุณชาย! รีบไปที่รถม้าคันหลังเร็วเข้า คุณชายน้อยดูเหมือนจะไม่สบายขอรับ”
ทันทีที่ได้ยินว่าลูกชายไม่สบายถังเยว่ไหนเลยจะมีใจคิดว่าตนถูกหลอก
เขาหิ้วล่วมยาที่มักพกติดตัวกระโดดลงจากรถม้าแล้ววิ่งไปข้างหลังทันที
หลี่เจาพอเห็นท่าทางร้อนรนของถังเยว่ก็อดรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาไม่ได้
ที่แท้โกหกอีกฝ่ายง่ายดายเช่นนี้เอง ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจเลยจริงๆ
หากรู้อย่างนี้เมื่อครู่ควรใช้ชื่อของตนเสียตั้งแต่แรก
อยากรู้นักว่าถังเยว่จะเป็นห่วงเขาจนร้อนรนเช่นนี้หรือไม่
อารมณ์ชั่ววูบทำให้หลี่เจารู้สึกหึงหวงกระทั่งลูกตัวเอง
ส่งผลให้เสี่ยวลั่วลั่วที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข
เด็กน้อยแอบคิดในใจ ‘เสด็จพ่อนิสัยไม่ดีขนาดนี้ เตียเตียทนไปได้ยังไง’
“ลั่วลั่ว ไม่สบายตรงไหนลูก?” ถังเยว่รีบกระโจนขึ้นมาบนรถม้า
ไม่ทันหันไปมองหลี่เจาก็เอ่ยปากถามพร้อมกับยกมืออังหน้าผากเสี่ยวลั่วลั่วทันที
หลี่เจาแผ่รังสีเย็นเยียบตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า
ลอบถลึงตาใส่โอรส ฝ่ายตรงข้ามรีบร้องโอดโอย แล้วโผเข้าสู่อ้อมกอดถังเยว่
“โอ๊ย เตียเตีย ข้าเวียนหัว”
เวียนหัวเป็นข้ออ้างที่ได้ผลชะงัด
ตรวจไปก็ไม่เจอว่าโกหกหรือเรื่องจริง ถึงอย่างนั้นถังเยว่ก็ยังตรวจดูอาการลูกชายอย่างละเอียดแต่ก็ไม่พบความผิดปกติ
ต้องยกความดีความชอบให้กับการอบรมสั่งสอนที่แสนเข้มงวดของหลี่เจา
เสี่ยวลั่วลั่วเพิ่งหัดเดินก็เริ่มฝึกท่านั่งม้าแล้ว
เพิ่งวิ่งเป็นก็ให้เริ่มฝึกฝนร่างกาย สภาพร่างกายจึงแข็งแกร่งยอดเยี่ยมเป็นพิเศษ
“นั่งรถม้านานเลยอ่อนเพลียหรือเปล่า?”
ถังเยว่พึมพำกับตัวเอง
เสี่ยวลั่วลั่วกลอกตาหนึ่งตลบแล้วเอนศีรษะอิงซบถังเยว่
“อืม ต้องใช่แน่ๆ
เมื่อเช้ายังไม่เป็นไรเลย รถม้าโยกไปโยกมาเลยเวียนหัว”
หนทางในยุคนี้ไม่มีปูนซีเมนต์
ไม่มีถนนลาดยาง มีแต่ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ รถม้าสามารถขับผ่านไปได้อย่างราบรื่นก็บุญแล้ว
จะให้นั่งสบายไม่กระแทกกระทั้นโคลงเคลงย่อมเป็นไปไม่ได้
ถังเยว่ทายาแก้ปวดเมื่อยที่ผลิตเองให้บุตรชายพลางพูดปลอบ
“ทนอีกสองเค่อนะ เดี๋ยวขบวนกองทัพก็จะหยุดพักแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยลงจากรถไปเดินขยับแข้งขยับขาสักหน่อยน่าจะดีขึ้น”
กล่าวประโยคนี้จบก็หันไปมองหลี่เจาตาขวาง
หากไม่ใช่เพราะจอมเผด็จการผู้นี้ดึงดันที่จะส่งลูกไปอยู่ที่อื่น
เสี่ยวลั่วลั่วก็ไม่ต้องมาป่วย
ลูกเพิ่งจะตัวแค่นี้หากทนต่อการเดินทางสมบุกสมบันบุกป่าฝ่าดงไม่ไหวขึ้นมาจะทำอย่างไร
การเดินทางของพวกเขาไม่แน่ว่าอาจต้องค้างแรมกลางแจ้งผู้ใหญ่ยังเหน็ดเหนื่อยแทบทนไม่ไหว
นับประสาอะไรกับเด็กตัวแค่นี้
หลี่เจาถึงจะถูกมองตาขวางแต่ก็ยังรู้สึกอารมณ์ดี เพราะอย่างน้อยก็อธิบายได้ว่าอีกฝ่ายมิได้หมางเมินเขาเสียทีเดียว
222 มาฉินหยางด้วยตัวเอง
เสี่ยวลั่วลั่วยิ้มอย่างบรรลุเป้าหมาย
อดไม่ได้ที่จะทำหน้าโอ้อวดใส่บิดาในมุมที่ถังเยว่มองไม่เห็น
ยั่วให้รัชทายาทเจาผู้เยือกเย็นแทบทนไม่ไหว
“เตียเตียอย่าไปนะ ข้าอยากให้เตียเตียกอด”
เสี่ยวลั่วลั่วฉวยโอกาสออดอ้อน
แน่นอนว่าถังเยว่ไม่ปฏิเสธ แต่เขาไม่อยากนั่งรถร่วมกับใครบางคนในตอนนี้
ขณะกำลังขบคิดว่าจะพาลูกไปนั่งรถม้าคันหน้าดีหรือไม่ จู่ๆ
รถม้าก็โคลงเคลงขึ้นมาอย่างกะทันหันเหมือนล้อเคลื่อนทับก้อนหินเขามองสภาพแวดล้อมภายในรถคันนี้แล้วตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ
รถม้าคันนี้สั่งทำตามความต้องการของสมาชิกทั้งสามคนในครอบครัวจึงกว้างขวางใหญ่โตกว่าคันข้างหน้า
อีกทั้งยังปูพรมผืนหนา มีเตาผิง เหมาะที่จะให้เด็กน้อยโดยสาร
เขาส่งคนไปบอกให้จางฉุนรับรู้
ฝ่ายนั้นก็มิได้แปลกใจ
นอนกระดิกเท้าไขว่ห้างกินขนมอยู่ในรถคนเดียวก็มิได้รู้สึกเบื่อหน่าย
ร่วมเดินทางมากับครอบครัวรัชทายาท จางฉุนเดาได้ว่าเขาคงไม่ได้รับบทตัวเอกแน่
แต่ได้บทเป็นตัวประกอบที่ไม่โดดเด่นสะดุดตาก็ถือเป็นเรื่องดี
อย่างน้อยหากต้องพบเจอภยันตรายชาวบ้านก็จะมองข้ามเขาไป
การเดินทางของพวกเขาเป็นไปได้ไม่รวดเร็วนัก
ดูเหมือนรัชทายาทจะมิได้เร่งรีบ เพราะทุกครั้งที่ไปถึงสถานที่ที่น่าสนใจก็จะหยุดขบวนเพื่อให้ถังเยว่และเสี่ยวลั่วลั่วลงไปเที่ยวชมโดยให้เหตุผลว่าถือเป็นการเยี่ยมเยียนราษฎร
แต่จางฉุนคิดว่ารัชทายาทคงถือโอกาสนี้สานความสัมพันธ์ในครอบครัวให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นมากกว่า
เห็นรัชทายาทประเดี๋ยวก็ส่งน้ำให้โอรส ประเดี๋ยวก็ซับเหงื่อให้ชายา
ท่าทีเอาใจใส่ด้วยความแข็งขันเช่นนี้คนที่พบเห็นหากไม่รู้มาก่อนคงนึกไม่ถึงว่าชายคนนี้คือรัชทายาท
แต่ที่แน่ๆ คือทำให้คนโสดเห็นแล้วรู้สึกอิจฉาจนตาแทบลุกเป็นไฟไปตามๆ กัน
หนึ่งเดือนให้หลัง
ในที่สุดเมืองฉินหยางก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
จางฉุนอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ทั้งยังรู้สึกกังวลใจขึ้นมา
ไม่รู้ว่าอีกประเดี๋ยวเมื่อได้พบหน้าหวังติ่งจวินแล้วเขาควรทำตัวเช่นไร
ควรพูดอะไรบ้าง
ตั้งแต่สองปีก่อนเขารู้สึกได้ว่าท่าทีที่หวังติ่งจวินมีต่อเขาผิดแผกไปจากเดิม
ในฐานะคนที่เคยคลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิงเขาจึงเข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายได้ในเวลาอันรวดเร็ว
หลังจากที่ว้าวุ่นใจอยู่หลายคืนจึงตระหนักได้ว่าตนเองก็อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวใจ
ทำให้เกิดความรู้สึกวูบวาบกับอีกฝ่าย ดึงดูดเข้าหากันภายในเวลาอันรวดเร็ว
แต่เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นและดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ
แม้แต่กับถังเยว่เขาก็ไม่ได้บอกเล่า นั่นเพราะเขารู้สึกว่าตัวเองตอนนี้ยังเด็กอยู่
จะพูดอะไรก็เร็วเกินไป ยิ่งกว่านั้นหวังติ่งจวินแก่กว่าเขาหลายปี
พวกเขาจะสามารถเดินไปด้วยกันจนสุดทางได้หรือไม่นั้นยังพูดยาก
ตอนที่หวังติ่งจวินต้องกลับไปสืบทอดสมบัติของวงศ์ตระกูล
ฝ่ายนั้นทั้งเชิญและชวนให้เขาร่วมเดินทางไปด้วยกัน
เขาก็บอกไม่ถูกว่าเพราะกลัวหรือเพราะเหตุใดจึงได้ปฏิเสธด้วยเหตุผลเรื่องหน้าที่การงานในเมืองเย่เฉิง
การปฏิเสธครั้งนั้นย่อมสร้างความไม่พอใจให้หวังติ่งจวินเป็นอย่างมาก
เดิมทีฝ่ายนั้นก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนรักสนุก
ไม่เหมือนคนที่จะสามารถมอบความรักที่แท้จริงให้แก่ตนได้
หลังถูกทำร้ายจิตใจอย่างหนักหน่วงด้วยคำปฏิเสธจึงท้อแท้หมดกำลังใจ
และจากมาโดยไม่พูดพร่ำสิ่งใดต่อให้มากความ
หากมิใช่เพราะหลังจากนั้นหวังติ่งจวินไม่ยอมแพ้
ส่งจดหมายหาวันละฉบับทุกวัน จางฉุนคงนึกว่าเขาถอดใจไปแล้ว
เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนั้นทำเอาจางฉุนกินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายวัน
จะเสียใจภายหลังก็ไม่ทันแล้ว
ถังเยว่นั่งอยู่นอกรถม้า
เห็นประตูเมืองปิดสนิท กำแพงเมืองมีทหารยืนเฝ้าอย่างแน่นหนา
เครื่องยิงหินขนาดใหญ่ตั้งเรียงรายเหนือกำแพง เห็นแล้วชวนให้รู้สึกขนลุกขนชัน
“ฉีอ๋องสิ้นชีพแล้ว
เมืองฉินหยางปลอดภัยแล้วใช่หรือไม่?” ถังเยว่ถามหลี่เจาที่อยู่ด้านหลัง
ข่าวการตายของฉีอ๋องเขารู้แล้วแต่ไม่รู้ว่าจักรพรรดิหนานจิ้นจะรู้หรือยัง
แม้หลี่เจาจะพยายามปิดข่าวอย่างสุดกำลังแต่เมืองฉินหยางใหญ่โตถึงเพียงนี้
มีสงครามหรือไม่ย่อมปิดไม่มิด
“ตอนนี้ปลอดภัย
แต่ทันทีที่จวนฉีอ๋องมีคนรับช่วงต่อ ศึกครั้งนี้ก็ยังต้องดำเนินต่อไป”
“หมายความว่าตอนนี้คลื่นลมสงบก่อนที่พายุใหญ่จะมาเยือนอย่างนั้นหรือ?” ถังเยว่ถามขณะมองดูองครักษ์นายหนึ่งขี่ม้าออกจากขบวนไปส่งเสียงตะโกนเรียกอยู่หน้ากำแพงเมือง “พวกข้าเป็นคนจากเมืองเย่เฉิง ขอพบเจ้าเมืองหยางกับแม่ทัพหวัง!”
“ตามข่าวล่าสุดที่ได้รับแจ้งมา
กองทัพพันธมิตรของจวนฉีอ๋องกับเผ่าเยว่อี๋ได้ทำข้อตกลงกันใหม่
และกำลังเคลื่อนพลมาทางนี้แล้ว”
“ทายาทฉีอ๋องเป็นใคร
คนผู้นี้เมื่อเทียบกับฉีอ๋องแล้วเป็นเช่นไร?”
หลี่เจาหัวเราะแฝงแววดูแคลนอยู่ในที
“บิดาพยัคฆ์มีบุตรสุนัข ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง
เป็นแค่หุ่นเชิดเท่านั้น” หากไม่ใช่เพราะรู้ว่าจวนฉีอ๋องไร้ผู้สืบทอดที่มีความสามารถเขาคงไม่วางแผนเช่นนี้มาแต่แรก
“พอสิ้นฉีอ๋อง
สถานการณ์ตำแหน่งผู้นำทัพพันธมิตรก็กลับตาลปัตร ตอนนี้เผ่าเยว่อี๋เป็นผู้นำ
คิดจะฉวยโอกาสช่วงชิงดินแดนจากหนานจิ้น”
หนานจิ้นเจอศึกสามด้าน
ไม่ว่าฝ่ายไหนต่างดูออกว่านี่เป็นโอกาสดี ย่อมไม่ยอมล่าถอยไปง่ายๆ แน่
หลี่เจาพอเห็นว่าบนกำแพงไม่มีคนสนใจพวกเขาก็กระโดดลงจากรถม้าก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว
เสียงคนบนกำแพงตะโกนบอก “ผู้มาเยือนโปรดหยุดก่อน
ฉินหยางปิดเมือง ไม่อนุญาตให้เข้า ขอให้พวกท่านอ้อมไปทางอื่น”
หลี่เจาปลดป้ายหยกออกจากเข็มขัดยื่นให้องครักษ์
อีกฝ่ายเข้าใจได้ในทันที จึงหยิบธนูมายิงส่งป้ายหยกขึ้นไปบนกำแพงเมือง
“รบกวนช่วยนำของสิ่งนี้ไปมอบให้เจ้าเมืองของพวกเจ้าด้วย
เขาจะเป็นผู้ตัดสินใจเอง”
แม้แม่ทัพจะไม่รู้ว่าป้ายหยกนี้เป็นของผู้ใด
แต่ก็มองออกว่าของสิ่งนี้ไม่ธรรมดาจึงไม่กล้าเพิกเฉยรีบวิ่งไปด้วยตนเอง
ในจวนเจ้าเมือง ทุกคนกำลังยุ่งมือเป็นระวิง
หลังปิดเมืองพวกเขาไม่ใช่แค่ต้องเตรียมอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือสำหรับใช้ในการศึก
แต่ยังต้องดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรทั้งเมือง ลำพังแค่เรื่องอาหารการกินก็ปวดหัวมากแล้ว
หยางเฟิงเจ้าเมืองฉินหยางกับหวังติ่งจวินเจ้าเมืองอวี้ซินคนใหม่กำลังประชุมอยู่ในห้องหนังสือ
ด้านล่างมีแม่ทัพและขุนนางฝ่ายพลเรือนนั่งเรียงรายเป็นสองแถว
หลังหารือจบก็เตรียมประกาศคำสั่งจากทางการให้ราษฎรได้รับทราบในทันที นี่เป็นรูปแบบการทำงานที่หวังติ่งจวินเรียนรู้มาจากจวนรัชทายาท
พระชายาทำงานทุกอย่างละเอียดรอบคอบ มีประสิทธิภาพและมีระเบียบกฎเกณฑ์
งานอะไรควรให้ใครทำล้วนแบ่งแยกชัดเจน
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
หยางเฟิงขมวดคิ้วแล้วกล่าวอย่างขัดเคือง
“ข้าสั่งไว้แล้วมิใช่หรือ
ระหว่างประชุมไม่อนุญาตให้ผู้ใดมารบกวน หรือว่าข้าศึกบุก?”
“ท่านเจ้าเมืองโปรดระงับโทสะ
ข้าศึกมิได้บุกขอรับ แต่มีขบวนรถม้ากลุ่มหนึ่งมารออยู่ที่หน้าประตูเมือง
พวกเขาบอกว่าต้องการพบท่านกับเจ้าเมืองหวัง และได้ส่งของสิ่งนี้มาขอรับ”
หวังติ่งจวินหัวใจกระตุกวูบรีบโพล่งออกไป “เอามาให้ข้าดูสิ!”
ป้ายหยกชิ้นนี้คนอื่นย่อมไม่รู้ว่าเป็นของผู้ใด
แต่หวังติ่งจวินติดตามรัชทายาทเจามาหลายปี เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้
ดังนั้นพอเห็นป้ายหยกเขาก็ถึงกับทิ้งพู่กัน
วิ่งพรวดออกไปแล้วพูดทิ้งท้ายไว้ประโยคเดียว
“รีบตามข้าออกไปเร็ว!”
บุคคลที่สามารถทำให้เจ้าเมืองต้องรีบวิ่งออกไปต้อนรับได้คิดว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่
ทุกคนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจระคนใคร่รู้จึงรีบวิ่งตามออกไปดู
พวกเขาอยากรู้มากว่าในเวลาวิกฤติเช่นนี้ยังมีใต้เท้าคนไหนกล้าเดินทางมาถึงเมืองฉินหยาง
หวังติ่งจวินรีบควบม้าห้อตะบึงไปยังประตูเมืองพร้อมตะโกนเสียงดังลั่น “เปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้!”
พวกทหารลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามด้วยความกังวล
“ใต้เท้า
ไม่ทราบว่าจะให้เปิดประตูบานไหนดีขอรับ?”
หากมิใช่หน้าศึกสงครามประตูเมืองย่อมเปิดกว้างทุกบาน
ทว่านับแต่ตกอยู่ในสถานการณ์เตรียมรับศึก ฉินหยางก็ไม่เคยเปิดประตูใหญ่อีกเลย
จะเข้านอกออกในล้วนใช้เฉพาะประตูข้างแม้แต่เจ้าเมืองก็ไม่ยกเว้น
หวังติ่งจวินสะบัดแส้หวดออกไป
เสียงแส้แหวกอากาศดังลั่นพร้อมกับตะโกนสั่ง “เปิดประตูใหญ่!”
“เอ่อคือ…” พวกทหารยังคงลังเลเล็กน้อย
แม่ทัพใหญ่ของพวกเขาไม่อยู่ หวังติ่งจวินก็มิใช่เจ้านายโดยตรงของพวกเขา
จะฟังคำสั่งดีหรือไม่ยังเป็นปัญหาที่ต้องพิจารณาใคร่ครวญให้ถ้วนถี่
หวังติ่งจวินหน้าตาถมึงทึง
ยังดีที่พวกหยางเฟิงติดตามมาภายในเวลาอันรวดเร็ว เขาร้อนรนยิ่งกว่าหวังติ่งจวิน
ม้ายังไม่ทันหยุดก็รีบกระโดดลงมายืนแล้วชักเท้าวิ่งออกไป
“มัวชักช้าอยู่ทำไม! รีบเปิดประตูเร็ว!”
พอเห็นปฏิกิริยาของเจ้าเมือง
ทุกคนก็ไม่ต้องลังเลสงสัยอะไรอีกแล้ว
ต่างรู้ได้ทันทีว่าคนที่อยู่นอกประตูเมืองเวลานี้ต้องเป็นใต้เท้าระดับสูงแน่เหล่าทหารจึงรีบช่วยกันยกสลักประตูเมืองที่ทั้งหนาและหนักขึ้นแล้วใช้ม้าศึกลากประตูให้เปิดออก
หวังติ่งจวินกับหยางเฟิงจัดเสื้อผ้าและหมวกขุนนางให้เข้าที่เข้าทางเรียบร้อย
พอหันมองหน้ากันเห็นอีกฝ่ายมีหนวดเคราเฟิ้มเต็มหน้าก็ได้แต่หัวเราะอย่างจนใจ
ก่อนจะก้าวเดินออกไปพร้อมกัน
ถังเยว่อุ้มเสี่ยวลั่วลั่วลงจากรถม้ามายืนเคียงข้างหลี่เจาแล้วโบกมือทักทายหวังติ่งจวิน
“แม่ทัพหวัง ไม่พบกันตั้งนาน
คิดถึงยิ่งนัก”
“อะแฮ่ม…” หวังติ่งจวินกำลังตั้งท่าจะทรุดตัวลงคุกเข่า
พอได้ยินคำพูดประโยคนี้จึงชะงักค้างมิได้คุกเข่าลงไปเพียงประสานมือโค้งคำนับแล้วเอ่ย “ไม่ทราบว่ามีแขกผู้ทรงเกียรติมาเยือนจึงเสียมารยาทมาต้อนรับช้า โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย!”
หลี่เจาก้าวมายืนเบื้องหน้าพวกเขาแล้วเตือน “ครั้งนี้ข้ามิได้ออกมาอย่างเป็นทางการ
ห้ามเปิดเผยแพร่งพรายฐานะของข้าออกไปเป็นอันขาด”
“ขอรับ” ทั้งสองขานรับหนักแน่นจากนั้นก็หันไปสั่งผู้ที่ติดตามมาด้านหลัง “อย่ามัวมาชุมนุมกันที่นี่ กลับไปได้แล้ว ใครมีหน้าที่อะไรก็ไปทำ”
หวังติ่งจวินและหยางเฟิงอารักขานำขบวนของหลี่เจาเข้าเมืองด้วยตนเองแล้วมุ่งหน้าตรงไปยังจวนเจ้าเมือง
ไม่ถามอะไรสักคำก็สั่งให้คนไปจัดเตรียมที่พักก่อนเป็นอันดับแรก
การเดินทางที่แสนลำบากตรากตรำมาตลอดหนึ่งเดือนไม่ว่าเป็นใครก็ต้องเหนื่อยล้า
ยิ่งกว่านั้นในขบวนยังมีเด็กน้อยร่วมเดินทางมาด้วย
เห็นรัชทายาทอุ้มเขากลับห้องด้วยตัวเองหยางเฟิงย่อมเดาฐานะของเด็กน้อยได้ไม่ยาก
เขาเพียงนึกบ่นในใจ ‘องค์รัชทายาทเสด็จมาเป็นการส่วนพระองค์ยังพอทำเนา
แต่นี่ยังพาพระโอรสมาด้วย ที่แท้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือทรงเกิดเรื่องที่เมืองเย่เฉิง
จึงพาครอบครัวลี้ภัยมาที่นี่!’
ถุยๆๆ! หยางเฟิงรีบถ่มน้ำลายทิ้ง
แทบอยากตบบ้องหูตัวเองสักหลายฉาด
หวังติ่งจวินมิได้ใส่ใจอาการผิดปกติของอีกฝ่าย
ดวงตาคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่ใครบางคนซึ่งมากับขบวนด้วย
เขาจ้องเขม็งตาไม่กะพริบจนกระทั่งฝ่ายตรงข้ามแวบหายไป
หวังติ่งจวินพึมพำอย่างเข่นเขี้ยว
“ดี! หลบได้หลบไป
ดูสิเจ้าจะหลบหน้าข้าไปได้ถึงเมื่อไร!”
“น้องหวัง เจ้าบ่นพึมพำอะไร?”
หยางเฟิงขยับเข้ามาใกล้
แม้ทั้งสองจะมียศศักดิ์ทัดเทียมเพราะต่างเป็นเจ้าเมืองด้วยกันทั้งคู่
แต่อายุของหยางเฟิงมากกว่าถึงขั้นที่สามารถเป็นบิดาของหวังติ่งจวินได้
มิหนำซ้ำเขายังรู้ว่าคนสนิทข้างกายองค์รัชทายาทผู้นี้เป็นคนดัง
ดังนั้นย่อมมิใช่คนระดับชั้นเดียวกับเขาเด็ดขาด
“ไม่มีอะไร” หวังติ่งจวินเบือนสายตากลับมา
ปรับสีหน้าให้ประดับรอยยิ้มตามความเคยชิน
“เจ้าว่ารัชทายาทเสด็จมาเมืองฉินหยางเวลานี้ด้วยกิจอันใด?
ทำเช่นนี้เสี่ยงอันตรายมากเกินไปแล้ว”
“ฝ่าบาทเคยออกรบบัญชาการไพร่พลนับหมื่น
เสด็จมาที่นี่ย่อมมิใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง”
หยางเฟิงฟังแล้วนึกโต้ตอบอยู่ในใจ ‘เรื่องนี้ข้ารู้ แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีแม่ทัพท่านไหนพาชายามาด้วย
หรือองค์รัชทายาทคิดว่าศึกครั้งนี้จะไม่มีการปะทะกันดังนั้นจึงพาพระชายาออกมาท่องเที่ยว’
ไม่ผิดหรอกหากหยางเฟิงจะคิดมากเกินเหตุ
แม้แต่หวังติ่งจวินก็ยังแปลกใจในการกระทำของรัชทายาท
ทว่าแปลกใจก็ส่วนแปลกใจแต่นี่มิใช่เรื่องที่เขาต้องรู้ให้ได้
เพราะเขารู้ว่าไพ่ตายของรัชทายาทในศึกครั้งนี้ร้ายกาจเพียงใด
“อย่ามัวแต่คาดเดาอยู่เลย
รีบจัดการเรื่องคนปรนนิบัติรับใช้ก่อน จากนั้นค่อยจัดการเรื่องอื่นให้เรียบร้อย
องค์รัชทายาทจะต้องถามถึงอย่างแน่นอน”
“จริงด้วย ดีนะที่มีน้องหวังคอยเตือน
ขอบใจเจ้ามาก ข้าจะรีบจัดการเดี๋ยวนี้” หยางเฟิงกล่าวจบก็รีบสาวเท้าวิ่งไปจัดการทันที
223 สอนลูกแบบผิดๆ
เนื่องจากการมาของรัชทายาทเจา
บรรยากาศเมืองฉินหยางจึงเปลี่ยนแปลงไป
ผู้คนในเมืองต่างรู้สึกได้ว่าจำนวนทหารลาดตระเวนลดลง
ทว่ารอบจวนเจ้าเมืองกลับมีทหารรักษาการณ์เพิ่มขึ้น
ขุนนางที่ปกติทุกวันชอบอู้งานจนแทบไม่เคยเห็นหน้า
ตอนนี้กลับอยู่ประจำการอย่างขันแข็ง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้าเมืองฉินหยางออกคำสั่งเฉียบขาด
หากผู้ใดกล้าทำให้เมืองฉินหยางต้องมัวหมอง ไม่ว่าจะเป็นใครต้องถูกตัดหัวสถานเดียว!
ยามศึกสงครามหยางเฟิงซึ่งเป็นเจ้าเมืองสามารถสั่งประหารก่อนแล้วค่อยกราบทูลทีหลังได้
ดังนั้นเพื่อมิให้มีเรื่องราวที่จะส่งผลกระทบถึงองค์รัชทายาท
เขาสามารถตัดสินใจได้เองอย่างเบ็ดเสร็จ
แม้จะตรากตรำกับการเดินทางมาถึงหนึ่งเดือนแต่รัชทายาทเจาก็มิได้พักผ่อนนานนัก
หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วก็เรียกให้หยางเฟิงกับหวังติ่งจวินเข้าพบ
ทั้งคู่เป็นคนสนิทที่เขาไว้ใจจึงสามารถหารือได้โดยไม่ต้องมีความลับปิดบัง
“ฉีอ๋องสิ้นแล้ว
ข่าวนี้แพร่ไปถึงในเมืองเย่เฉิงแล้วหรือยัง?”
“อะไรนะ?!” หยางเฟิงตกใจสะดุ้งโหยง
“นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไรแต่กองทัพฉีอ๋องก็ยังไม่แตกนะพ่ะย่ะค่ะ”
ตามความเข้าใจที่หยางเฟิงมีต่อจวนฉีอ๋อง
หากสิ้นฉีอ๋องแล้วในบรรดาลูกหลานของเขาไม่มีใครสามารถแบกรับภาระใหญ่หลวงนี้ได้
หากกองทัพขาดผู้นำจะรบต่อได้อย่างไร?
รัชทายาทเจาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟังและบอกว่าผู้นำทัพในเวลานี้คือโอรสคนรองของฉีอ๋อง
อำนาจเด็ดขาดอยู่ในกำมือผู้นำเผ่าเยว่อี๋
ศึกครั้งนี้ยังไม่แน่ว่าจะเกิดขึ้นแต่สิ่งที่ต้องตระเตรียมสักอย่างก็ขาดไม่ได้
“ฝ่าบาท
จักรพรรดิทรงทราบเรื่องนี้แล้วหรือยังพ่ะย่ะค่ะ?”
หยางเฟิงเป็นขุนนางในราชสำนักมาหลายปี
เข้าใจเรื่องคดเคี้ยวเลี้ยวลดมากกว่าหวังติ่งจวิน หากจักรพรรดิหนานจิ้นล่วงรู้ข่าวนี้เกรงว่าองค์รัชทายาทจะถูกเรียกตัวกลับเมืองเย่เฉิงโดยด่วน
“อีกไม่นานต้องทรงทราบแน่
แต่ทราบแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า?”
ในเมื่อเขาได้เดินทางออกมาจากเมืองเย่เฉิงแล้วจะกลับไปทันทีหรือไม่ย่อมมิใช่เรื่องที่จักรพรรดิจะควบคุมได้
“ฝ่าบาทจะทรงใช้โอกาสนี้เคลื่อนทัพหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หวังติ่งจวินที่อยู่ข้างๆ ถาม
รัชทายาทเจาคลี่แผนที่แล้วจิ้มลงไปแรงๆ
ที่สามตำแหน่ง คือทิศตะวันตกเฉียงใต้
ทิศเหนือและทิศตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นสามทิศที่หนานจิ้นถูกโจมตีในครั้งนี้
“ศึกครั้งนี้ไม่ควรยืดเยื้อ แคว้นเล็กแคว้นน้อยตามเขตชายแดนหนานจิ้นมิได้มีแค่พวกนี้
ผู้ที่จ้องจะโค่นล้มราชบัลลังก์ก็มีไม่น้อย
ถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อยาวนานเกินไปจะสิ้นเปลืองทั้งกำลังคน
เงินทองและทรัพยากรถึงเวลานั้นหากข้าศึกบุกโจมตีแม้ไม่หนักหน่วงพวกเราก็อาจต้านทานไม่ไหว”
“ตามความคิดแรกของฝ่าบาทคือส่งไพร่พลไปสกัดหนันซา
ส่งนักฆ่าไปลอบสังหารฉีอ๋อง
ทำลายความเป็นพันธมิตรระหว่างกองกำลังทางภาคตะวันตกเฉียงใต้กับเป่ยเยว่
จากนั้นค่อยนำทัพใหญ่ไปจัดการกับเป่ยเยว่
กระหม่อมคิดว่านี่เป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมมากตอนนี้หนันซาน่าจะยังไม่รู้ข่าวเรื่องฉีอ๋อง
ในเมื่อฉีอ๋องตายแล้วอำนาจที่เหลือก็เป็นแค่เม็ดทรายที่สาดกระเซ็นเท่านั้น
เพียงแค่นี้พวกเขาก็สิ้นฤทธิ์”
“หนันซาถอยทัพแล้ว
แม่ทัพฟู่เหิงจะอยู่เฝ้าที่ซงซีต่อเพื่อจับตาดูลาดเลาของฝ่ายตรงข้ามอย่างใกล้ชิด
คิดว่าทางด้านหนันซาเราคงไม่ต้องกังวล”
รัชทายาทเจาขีดกากบาทลงบนตำแหน่งตงหนัน
จากนั้นจึงลากปลายพู่กันไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้แล้วจิ้มจุดที่เมืองฉินหยาง
“กองทัพข้าศึกตั้งฐานทัพในระยะห้าสิบลี้
มีจำนวนไพร่พลราวแปดหมื่น
ใช้เวลาเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืนก็สามารถเคลื่อนกำลังพลมาถึงหน้าเมือง
ตอนนี้ฉินหยางมีกำลังทหารอยู่เท่าไร?”
หยางเฟิงกับหวังติ่งจวินสบตากัน
ต่างมีสีหน้าสลดลงเล็กน้อย
“ตามกฎมณเฑียรบาลของราชสำนัก
เมืองเอกของหนานจิ้นมีไพร่พลอยู่ในครอบครองจำนวนหนึ่งหมื่นกับทหารส่วนตัวของเจ้าเมืองอีกสามพัน
รวมกับมือปราบของแต่ละจวนในเมืองทั้งหมดรวมแล้วประมาณสามหมื่นเห็นจะได้
โชคดีที่เมื่อสามปีก่อนฝ่าบาทรับสั่งให้กระหม่อมกักตุนเสบียงไว้
บัดนี้เมืองฉินหยางมีเสบียงเก็บไว้มากมายต่อให้ต้องถูกข้าศึกปิดล้อมปีครึ่งปีก็มิใช่ปัญหา”
พูดมาถึงตรงนี้หยางเฟิงจึงพอจะได้ยืดอกขึ้นมาบ้าง
รัชทายาทเจาพยักหน้าเอ่ยชม
“ทำได้ดีมาก
แต่กำลังทหารของเรากับข้าศึกต่างกันมากเกินไปหากอยากจะชนะศึกครั้งนี้เจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร?”
หยางเฟิงล้วงหยิบตารางแผนการอย่างละเอียดชุดหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ
นี่เป็นวิธีจดบันทึกแบบตารางที่เขาเลียนแบบมาจากหวังติ่งจวิน มีประโยชน์มากจริงๆ
“ฝ่าบาททอดพระเนตรสิพ่ะย่ะค่ะ
ด้วยปริมาณอาวุธที่สั่งสมไว้ในเมือง
หากไม่มีกำลังสนับสนุนทหารของเราจะปกป้องเมืองได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น
เรื่องจะให้ทหารจำนวนเพียงเท่านี้บุกไปตีศัตรูยิ่งไม่ต่างอะไรกับความเพ้อฝัน
นั่นหมายความว่าในหนึ่งเดือนหลังจากนี้หากยังไม่มีกำลังสนับสนุน
ผู้คนในฉินหยางก็มีแต่จะต้องปกป้องเมืองด้วยชีวิต
หากใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีคาดว่าคงปกป้องเมืองได้อีกราวห้าวันทว่าจากการคาดเดาของกระหม่อมและแม่ทัพทุกท่าน
ในอีกหนึ่งเดือนเศษให้หลังนี้ แม้ฉินหยางจะถูกศัตรูตีแตก
ทว่ากองทัพของศัตรูก็คงกลายสภาพเป็นแค่กองทหารบาดเจ็บ
จำนวนไพร่พลน่าจะเหลือไม่เกินสามหมื่น
ลำพังทหารบาดเจ็บสามหมื่นนายนี้เกรงว่าคงไม่มีทางยึดเมืองไว้ได้มั่นคงแน่”
ป้องกันเมืองง่าย โจมตีเมืองยาก
หากคิดจะโจมตีเมืองฉินหยางของเขากองทัพข้าศึกต้องใช้กำลังไม่น้อย
ถึงเวลานั้นต่อให้มิอาจรักษาเมืองฉินหยางไว้ได้แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้ศัตรูไม่อาจครอบครองเมืองนี้ไว้ได้นานแน่
รัชทายาทเจาดูตารางที่จำแนกทรัพยากรออกมาอย่างละเอียดลออ
รวมทั้งจำนวนและประโยชน์ใช้สอย
เพียงมองปราดเดียวก็สามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดายแล้วพยักหน้าเงียบๆ
อดนึกชื่นชมไม่ได้ว่าตารางที่ถังเยว่ออกแบบนี้ใช้สะดวกและมีประโยชน์มากจริงๆ
เมื่อดูตารางแผนการจบ
มุมปากของรัชทายาทเจาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “เจ้าเมืองหยางวางแผนได้ดีมากข้าเชื่อว่าเจ้าต้องปฎิบัติหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม”
หยางเฟิงยิ้มแก้มแทบปริแต่ก็รีบเอ่ยถ่อมตัว “ฝ่าบาททรงชมเกินไปแล้ว
นี่ล้วนเป็นความดีความชอบของเจ้าเมืองหวังและแม่ทัพทุกคนพ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทเจาลุกขึ้นแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ในเมื่อเจ้าเมืองหยางจัดเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพแล้ว
เช่นนั้นข้าก็จะขอรอเป็นผู้ชม”
ทั้งหยางเฟิงและหวังติ่งจวินต่างนิ่งงันขณะเหลือบมองหน้ากันเหตุใดพวกเขาถึงรู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้องกันนะ?
หยางเฟิงถึงกับปาดเหงื่อเย็นๆ
ที่ผุดซึมออกมาแล้วรีบถาม “ฝ่าบาท
ทรงคิดจะอยู่ทอดพระเนตรการรบที่เมืองฉินหยางเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เขานึกว่าองค์รัชทายาทแค่เสด็จมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาความยุ่งยากให้พวกเขา แต่เหตุใดจึงดูเหมือนจะมิใช่เช่นนั้น
แล้วแบบนี้ยังจะให้พวกเขาดำเนินการตามแผนที่วางไว้ได้อีกอย่างนั้นหรือ?
“ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
ข้าเพิ่งมาถึงฉินหยางก็ใกล้จะถูกทหารข้าศึกล้อมแล้ว ในเมื่อออกจากเมืองไม่ได้
ถ้าไม่ให้ข้าอยู่ที่นี่แล้วจะให้ข้าไปที่ไหนได้อีก?”
หยางเฟิงลอบใช้เท้าสะกิดหวังติ่งจวิน
หวังให้อีกฝ่ายอ้าปากช่วยพูดยับยั้งการกระทำที่แสนจะบ้าบิ่นขององค์รัชทายาท
หากไม่มีทัพหนุนตามมาสมทบ เมืองฉินหยางจะถูกตีแตกหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
หากองค์รัชทายาทเป็นอะไรขึ้นมา ต่อให้เขาตาย ก็ตายตาไม่หลับ!
หวังติ่งจวินนั้นพอจะเดาได้รางๆ ตั้งแต่แรก
ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อว่ารัชทายาทจะพาพระชายาและคุณชายน้อยมายังที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายนี้โดยไม่เตรียมการอะไรเลยสักอย่าง
หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือในเมื่อรัชทายาทกล้าพาพระชายาและคุณชายน้อยมาถึงที่นี่
นั่นย่อมหมายความว่าต้องมั่นใจว่าศึกครั้งนี้พวกเขาต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน
เพียงแต่เขาไม่เข้าใจ เหตุใดรัชทายาทถึงยังให้พวกเขาทำศึกตามแผนที่วางไว้?
หวังติ่งจวินจึงตั้งใจว่าจะหาโอกาสซักถามเป็นการส่วนตัว
แม้หยางเฟิงจะเป็นคนกันเองแต่ก็ยังไม่ถึงกับได้รับความเชื่อใจเต็มร้อย
“ฝ่าบาททรงรออยู่ที่นี่จะเป็นการเสี่ยงอันตรายเกินไป
กระหม่อมขอทูลเสนอให้พระองค์เสด็จไปเมืองอวี้ซินจะเหมาะกว่า”
ต่อให้หวังติ่งจวินมั่นใจในรัชทายาทเจามากสักเพียงใด
แต่เขาก็ไม่อยากเห็นอีกฝ่ายอยู่ในความสุ่มเสี่ยงที่อาจได้รับอันตรายแม้เพียงน้อยนิด
“เจ้าเมืองหวังพูดมีเหตุผล
มิสู้ฝ่าบาทเสด็จไปเมืองอวี้ซินในคืนนี้แล้วคอยบัญชาการอยู่ที่นั่น
กระหม่อมขอให้สัตย์สาบานว่าจะทุ่มเทสุดกำลังความสามารถเพื่อรักษาฉินหยางไว้ให้จงได้พ่ะย่ะค่ะ!”
รัชทายาทเจาส่ายหน้า “ข้าตัดสินใจแล้ว พวกเจ้าทั้งสองไม่ต้องเกลี้ยกล่อมแล้ว”
“หากฝ่าบาทไม่ทรงคำนึงถึงพระองค์เองก็ควรคำนึงถึงคุณชายและคุณชายน้อยนะพ่ะย่ะค่ะ
หากอยู่ที่นี่มีแต่จะเสี่ยงอันตราย”
“ไม่ต้องลำบากให้พวกเจ้าคิดแทน
ข้าย่อมจัดเตรียมคนคอยอารักขาพวกเขาไว้แล้ว”
หวังติ่งจวินเห็นว่าถึงขนาดอ้างพ่อลูกคู่นั้นแล้วยังไม่อาจเปลี่ยนใจรัชทายาทได้ก็รู้ว่าเกลี้ยกล่อมต่อไปย่อมไม่เป็นผล
เขาจึงแอบตัดสินใจเองเงียบๆ ว่าหากมีวันที่เมืองฉินหยางแตกจริง
ต่อให้ต้องจับมัดเขาก็จะพาสามชีวิตนี้หนีไปให้ได้
แน่นอน เขารู้ว่าตัวเองกังวลเกินเหตุ
วันรุ่งขึ้นถังเยว่เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าอย่างสามัญชนแล้วพาลูกชายไปเดินเที่ยว
ตามถนนหนทางยังมิได้ตกอยู่ในภาวะฉุกเฉิน การดำเนินชีวิตจึงดูไม่แตกต่างจากยามปกติเลยสักนิด
เพียงแต่สีหน้าของทุกคนมีความสุขน้อยลงและเจือความวิตกกังวลตื่นกลัวเข้ามาแทน
เขาถาม “ลั่วลั่ว
รู้หรือไม่ว่าเวลานี้ในใจผู้คนที่นี่อยากได้สิ่งใดมากที่สุด?”
เสี่ยวลั่วลั่วโพล่งคำตอบออกมาทันที “รู้สิขอรับ ท่านอาฉุนบอกว่าพ่อค้าทุกคนล้วนหน้าเลือด ชอบเงินทองมากที่สุด
พวกเขาย่อมต้องอยากได้เงินทอง ยิ่งมากยิ่งดีไม่ผิดแน่”
ถังเยว่พูดไม่ออก
คำพูดแบบนี้มีแต่เจ้าตัวแสบจางฉุนเท่านั้นที่กล้าพูดออกมา สอนลูกเขาผิดๆ
เช่นนี้ดูเหมือนว่าที่ตอนนั้นหลี่เจาจับจางฉุนแยกกับลั่วลั่วจะเป็นความคิดที่ถูกต้องแล้ว
ถังเยว่ลอบถอนหายใจแล้วถามต่อ “ลั่วลั่วรู้สึกว่าเงินทองสำคัญหรือชีวิตสำคัญ”
“ชีวิตย่อมสำคัญกว่าอยู่แล้ว
เตียเตียเคยบอกว่าคนตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง
ต่อให้มีเงินทองมากมายเพียงใดสิ้นลมหายใจก็มิได้ใช้มัน”
ถังเยว่ได้ยินคำตอบแล้วถึงกับสำลักอย่างหนัก
แม้คำพูดนี้จะถูกต้องแต่ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนตนเองก็สอนลูกผิดเช่นกัน
“ดังนั้นที่ลั่วลั่วบอกว่าเวลานี้พวกเขาอยากได้เงินทองมากที่สุดจึงมิใช่คำตอบที่ถูกต้อง
ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานอันตรายอยู่ตรงหน้า พวกเขาย่อมหวงแหนชีวิตตัวเองเป็นที่สุด”
“เหตุใดถึงบอกว่าอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน
หรือพวกเขาใกล้จะตายแล้ว?”
ตั้งแต่เสี่ยวลั่วลั่วเกิดมาจนถึงตอนนี้ยังไม่เข้าใจว่าสงครามคืออะไร
ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าแผ่นดินที่เขายืนอยู่ในตอนนี้กำลังจะถูกไฟสงครามเผาผลาญในอีกไม่ช้า
ถังเยว่ไม่ได้อธิบายเป็นคำพูดแต่พาเด็กน้อยขึ้นไปยืนบนกำแพงเมืองให้เขาได้เห็นและคิดเอง
ตอนนี้บนกำแพงเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลงไปมาก
อาวุธยุทโธปกรณ์ถูกขนออกมากองไว้พร้อมใช้งาน
พวกทหารพอเห็นถังเยว่พาเด็กน้อยคนหนึ่งขึ้นมาต่างมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
แม้คิดอยากไล่พวกเขาลงไปแต่พอรู้ว่าเป็นแขกคนสำคัญของเจ้าเมืองก็ไม่กล้าแตะต้อง
แน่นอนว่าพวกทหารย่อมไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของถังเยว่
แต่เมื่อเห็นว่ากระทั่งท่านเจ้าเมืองยังแสดงท่าทีเคารพนบนอบ
ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่าคนผู้นี้ต้องมีฐานะสูงส่งมากแน่
ดังนั้นที่พวกทหารทำได้ก็เพียงแอบบ่นในใจ ‘ตอนนี้มันเวลาอะไร
ยังมีอารมณ์พาเด็กขึ้นมาเดินเล่นอีกหรือ ช่างไม่รู้เวล่ำเวลาเสียบ้างเลย’
พลทหารนายหนึ่งอดปากไม่ไหวจึงกล่าวกับถังเยว่ด้วยความหวังดีว่าให้รีบลงไปจากกำแพงเมือง
ทั้งยังกล่าวเตือนแบบอ้อมๆ ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะที่จะพาเด็กขึ้นมา
ไหนจะดาบกระบี่กองพะเนิน ทั้งยังมีน้ำมันเชื้อเพลิงและก้อนหิน
เห็นได้ชัดว่าอันตรายมากเพียงใด
ถังเยว่กล่าวขอบคุณในความหวังดีของเขา
แล้วถามลั่วลั่วที่ตอนนี้หัวคิ้วขมวดแน่นเป็นปม
“รู้หรือไม่ว่าพวกเขามาทำอะไรกัน?”
เสี่ยวลั่วลั่วส่ายหน้า
เขาเห็นความร้อนรนกระวนกระวายใจจากสีหน้าของเหล่าทหารบนกำแพงเมือง
ดูแล้วสีหน้าของทหารเหล่านี้เหมือนกับตอนที่เขาแอบหนีไปเที่ยวนอกบ้านเมื่อตอนสามขวบแล้วถูกหมาจรจัดไล่กัดไม่มีผิด
ถ้าเช่นนั้น...ทหารเหล่านี้ก็คงกำลังหวาดกลัวอยู่กระมัง
“เตียเตีย
พวกเราสามารถช่วยอะไรพวกเขาได้บ้าง?” เสี่ยวลั่วลั่วถาม
เขาจำได้ว่าตอนนั้นมีคนใจดีช่วยไล่หมาจรจัดให้
แม้เขาจะมอบป้ายหยกชิ้นที่ตัวเองโปรดปรานที่สุดเป็นของกำนัลแทนคำขอบคุณไปแล้ว
แต่ความรู้สึกซาบซึ้งยังคงหลงเหลืออยู่ในใจ
ถังเยว่ยิ้มและลูบศีรษะเด็กน้อยอย่างเอ็นดู
“ที่นี่ไม่มีงานที่เจ้าจะช่วยได้หรอก
เตียเตียพาเจ้าไปดูที่อื่นดีกว่า”
พลทหารมองดูสองพ่อลูกที่กำลังเดินลงไปจากป้อมกำแพงเมืองด้วยสีหน้าพิศวงแล้วบ่นงึมงำ
“เด็กตัวแค่นี้จะสามารถทำอะไรได้?”
แค่ช่วยอยู่นิ่งๆ
ไม่ให้ต้องยิ่งยุ่งยากมากไปกว่าเดิมก็ต้องเอ่ยขอบคุณสวรรค์จนร้องอมิตาภพุทธแล้ว!
224 เคลื่อนไหวร่วมกัน
ผ่านไปหลายวันเหตุการณ์ยังคงสงบ
ถังเยว่รู้ว่านี่เป็นความสงบก่อนพายุใหญ่จะมาเยือน เขาถามหลี่เจา “ฝ่าบาท จะไม่ช่วยเป็นผู้บัญชาการเพื่อสนับสนุนพวกเขาสักหน่อยหรือ?”
ออกจากเมืองเย่เฉิงแล้วหูจินเผิงก็แยกตัวไป
ถังเยว่คาดว่าเขาคงไประดมกำลังเพื่อปฏิบัติงานร่วมกับกองทัพทหารม้ากองนั้นเพียงแต่ไม่รู้ว่าหลี่เจาจะงัดอาวุธลับไม้ตายนี้มาใช้ที่เมืองฉินหยางหรือไม่
หลี่เจากำลังมองดูแผนที่ ลากเส้น
ขีดทิ้งและเขียนวงกลมเป็นระยะด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างยิ่ง
พอได้ยินคำถามของถังเยว่ก็มิได้ตอบแต่ย้อนถาม “เจ้าคิดว่าทหารกองทัพนั้นควรตั้งชื่อว่าอะไรดี?”
กองทัพทหารม้าหมื่นนายนั้นเป็นกองทัพที่เขากับถังเยว่ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก
เขาจึงยกเกียรติในการตั้งชื่อให้กับถังเยว่
“ให้กระหม่อมเป็นคนตั้งชื่องั้นหรือ?”
หลี่เจาส่งกระดาษและพู่กันให้
“ชายาเป็นผู้ร่วมสร้างทหารกองทัพนี้ขึ้นมา
ข้ายกสิทธิ์ในการตั้งชื่อให้เจ้า”
ถังเยว่ยกยิ้ม ขบปลายพู่กันครุ่นคิดอยู่นาน “กองทัพวิญญาณ ไม่ดี ไม่ดี มืดมนเกินไป…ทัพฆ่ามังกร
ไม่ดี ไม่ดี ความหมายสองแง่สองง่าม อืม ให้ชื่อว่าอะไรดีนะ?”
หลี่เจาเห็นถังเยว่ครุ่นคิดจริงจัง มุมปากจึงพลันยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเอ็นดูแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายได้ใช้ความคิดไปตามใจต้องการ
ส่วนตนเองหันมาจ้องมองแผนที่ ทว่าจู่ๆ ดวงตาคู่งามก็พลันเบิกกว้าง เขาจิ้มแรงๆ
ลงไปบนตำแหน่งหนึ่ง ตรงนี้ที่เขาตั้งใจจะเตรียมไว้เป็นหลุมฝังศพของกองทัพข้าศึก!
“คิดออกแล้ว! ให้ชื่อว่า ‘ผู้พิทักษ์เกราะนิล’ เป็นอย่างไร?”
“ผู้พิทักษ์เกราะนิล” เป็นชื่อที่ธรรมดามาก แต่กลับสอดคล้องเหมาะสมกับทหารกองทัพนี้อย่างที่สุด
หลี่เจาพยักหน้า “ดี! ให้ชื่อว่ากองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลนี่ละ
วิเศษมาก!”
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นตามด้วยเสียงหวังติ่งจวิน
“ฝ่าบาท
ทหารข้าศึกเริ่มเคลื่อนไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ถังเยว่เดินไปเปิดประตู
พอเห็นบนหน้าหวังติ่งจวินมีรอยประทับห้านิ้วก็หัวเราะฮึๆ
อยู่ในลำคอก่อนจะหลีกทางให้เขาเข้ามา
หากไม่ใช่เพราะจังหวะและโอกาสไม่เหมาะสมเขาก็อยากจะสอดรู้สอดเห็นอยู่หรอก
ไม่รู้ว่าหลายวันนี้ทั้งสองคนทะเลาะกันไปถึงไหนแล้ว
หวังติ่งจวินมีสีหน้าเก้อกระดากขัดเขินขณะก้มหน้าเดินเข้ามารายงานข่าวล่าสุดเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกองทัพข้าศึก
หลี่เจาฟังจบก็เปลี่ยนมาสวมเกราะเบาแล้วตบบ่าถังเยว่
“เจ้าอยู่ที่นี่อย่าไปไหน
ดูแลลั่วลั่วให้ดี รอข้ากลับมา”
ถังเยว่ไม่ได้ดื้อรั้นที่จะติดตามไป
เขารู้ว่าในสมรภูมิตัวเองช่วยอะไรได้ไม่มากและตัวเขาเองก็มีเรื่องที่ต้องทำเช่นกัน
“ทรงระวังพระองค์ด้วย” ถังเยว่บอกแล้วหอมแก้มอีกฝ่ายหนึ่งฟอด
หลังมองส่งหลี่เจาจนลับตาแล้วเขาจึงกลับห้องมาหยิบล่วมยาที่เตรียมไว้
เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่เคลื่อนไหวคล่องแคล่วแล้วเดินออกจากห้อง
เรื่องนี้เขาไม่ได้บอกหลี่เจา
ในวันที่เดินทางออกจากเย่เฉิงเขาได้ส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปที่เรือนฝึกหน่วยพยาบาล
ตอนที่พวกเขายังมาไม่ถึงเมืองฉินหยางหน่วยพยาบาลของเขาได้แบ่งกลุ่มกันมาถึงก่อนแล้วและกระจายตัวอยู่ในเมืองนี้
คนของเขามีรหัสลับในการติดต่อสื่อสารที่แม้แต่ระบบส่งข่าวของจวนรัชทายาทก็ยังไม่รู้จัก
แต่แน่นอนว่าหากจางฉุนเห็นย่อมต้องเข้าใจ
หลังถังเยว่ออกมาก็ตรงไปยังเรือนพักของจางฉุน
เสี่ยวลั่วลั่วกำลังนั่งทำงานฝีมืออยู่
หลายวันนี้เด็กน้อยค้นพบว่านี่เป็นเรื่องเดียวที่เขาสามารถทำได้โดยไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น
ราษฎรในเมืองถูกกักบริเวณมาหลายวัน
พวกเขาจึงรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายถึงขีดสุด มีคนสติแตกอาละวาดอยู่เป็นระยะ
ทางการก็จนปัญญาไร้หนทางที่จะช่วยลดความกดดันให้ได้
ด้วยเหตุนี้ถังเยว่จึงเกิดความคิดบางอย่าง คนเราพอว่างมากๆ
มักฟุ้งซ่านได้ง่ายในยุคสมัยที่ไม่มีโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์
โทรศัพท์มือถือหรือรายการบันเทิงเลยสักอย่างแบบนี้กว่าจะผ่านไปแต่ละวันรู้สึกว่าเวลาช่างเชื่องช้าและยาวนาน
ถ้าไม่ช่วยหางานให้พวกเขาทำหรือสร้างความบันเทิงมักเกิดความเครียดจนล้มป่วยได้ง่าย
ดังนั้นถังเยว่จึงเสนอความคิด
ให้ทางการออกประกาศระดมชายหนุ่มร่างกำยำแข็งแกร่งมาฝึกซ้อมช่วงเช้าทุกวัน
วันละสองชั่วยามหากมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นคนพวกนี้จะสามารถถืออาวุธออกรบได้
ตกบ่ายก็จะส่งคนพวกนี้ไปทำงาน
แม้การรักษาความปลอดภัยในเมืองจะเข้มงวดแต่ยังมีงานรอให้ทำอยู่อีกมาก ไหนจะการผลิตธนูและหอก
การสร้างป้อมปราการที่ต้องการกำลังคนเพื่อขนย้ายก้อนหินและท่อนไม้
นี่เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้และต้องมีในยามต้องป้องกันเมือง
ส่วนพวกผู้หญิงก็ถูกเรียกให้มารวมตัวกันเพื่อเย็บเสื้อบุนวม
ทำเสื้อเกราะ ทำอาหารสำรองเตรียมไว้
ถังเยว่ให้พวกนางใช้ข้าวสารและเส้นหมี่ทำเป็นอาหารปรุงสุกสำหรับกองทัพในส่วนของสิบวัน
ยามเปิดศึกเป็นไปได้ว่าพวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะกินข้าว
หากพกเสบียงติดตัวไว้ยังพอช่วยประทังหิวได้บ้าง
ส่วนเสี่ยวลั่วลั่วกำลังทำของเล่นไว้สำหรับพวกเด็กๆ
โดยมีจางฉุนคอยควบคุมวิธีการทำ เวลาหนึ่งวันพวกเขาสองคนสามารถทำหุ่นเชิดหนัง[1]เสร็จหนึ่งชุด
ถุงทรายใบเล็กสำหรับโยนหรือเตะเล่น
ทั้งยังเตรียมเชือกไว้แล้วรอจับกลุ่มเล่นกับพวกเด็กๆ ละแวกนี้
น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีเวลาให้พวกเขาได้เที่ยวเล่นอย่างสนุกสนาน
“ลั่วลั่วเป็นเด็กดีอยู่กับอาฉุนนะ
เตียเตียต้องไปทำงาน ไว้กลับมาเตียเตียจะทำของอร่อยให้กิน”
เสี่ยวลั่วลั่ววางกรรไกรลง
มองด้วยสายตาคาดหวัง
“ลั่วลั่วไปด้วยได้ไหมขอรับ
ลั่วลั่วไม่เอาของอร่อยก็ได้”
ถังเยว่กอดและหอมแก้มเด็กน้อย
“ไม่ได้หรอก ข้างนอกอันตรายมาก
เจ้าไปด้วยจะทำให้เตียเตียเสียสมาธิ”
ถังเยว่พาเขาออกไปเดินเที่ยวข้างนอกมาหลายวันแล้ว
เจ้าตัวเล็กย่อมรับรู้ถึงบรรยากาศภาวะสงครามบ้างไม่มากก็น้อย
ย่อมรู้ดีว่าไม่ใช่เวลาที่จะมัวมาเอาแต่ใจจึงขานรับอย่างว่าง่าย
“เอ่อ...คือ…” จางฉุนถูจมูกพูดอย่างเก้อกระดาก “ผมไร้ความสามารถ ทำได้แค่ช่วยดูแลลูกให้คุณอยู่ที่นี่”
ถังเยว่ทุบอีกฝ่ายไปหนึ่งที
“พอเลย
ถ้านายไร้ความสามารถแล้วใครจะมีความสามารถ ข้างนอกไม่มีอะไรให้นายทำ
ไปก็เสียเวลาเปล่า”
แต่ละคนมีความสามารถเฉพาะทางแตกต่างกัน
เป็นไปไม่ได้ที่ถังเยว่จะให้อัจฉริยะทางธุรกิจไปถือหอกถือทวน หากทำเช่นนั้นจะกลายเป็นใช้คนไม่ถูกกับงานเสียมากกว่า
“ถ้าคุณเจอเจ้าคนสารเลวแซ่หวัง
อย่าลืมลงมือกับเขาให้หนักหน่อย เขาหนังหนาไม่กลัวเจ็บหรอก”
ถังเยว่เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “เมื่อกี้ฉันเห็นหน้าเขา นายก็ช่างทำได้ลงคอ”
“เฮอะ ใครใช้ให้เขามือไม้รุ่มร่าม
สมน้ำหน้า!”
ถังเยว่รู้ว่าอีกฝ่ายปากไม่ตรงกับใจแต่ก็คร้านที่จะแย้งจึงพูดเพียงว่า
“วางใจเถอะ ถ้าเขาแขนขาขาด
ฉันจะช่วยรักษาอย่างสุดความสามารถ แล้วจะส่งคนมาแจ้งข่าวให้รู้
เผื่อว่าถ้าได้ไปเห็นสภาพน่าเวทนาของเขาเองกับตาแล้วนายจะได้หายแค้น”
จางฉุนมุมปากกระตุก แค่นึกภาพก็ทรมานใจแล้วแต่ยังทำปากแข็ง
“ต้องขอบคุณคุณแล้ว”
ถังเยว่หัวเราะ หันหลังก้าวยาวๆ
เดินออกไปจากจวนเจ้าเมือง
ทหารที่ได้รับบาดเจ็บถูกจัดให้พักอยู่ในจุดที่อยู่ไม่ไกลจากป้อมประตูเมืองโดยใช้บ้านเรือนราษฎรแถวนั้นเป็นเรือนพัก
ถังเยว่สั่งให้คนจัดเตรียมสถานที่ ให้แยกห้องรักษาพยาบาลกับห้องพักออกจากกัน
ขนยาและเวชภัณฑ์ที่ใช้บ่อยกับผ้าพันแผลเข้าไปเก็บไว้
เครื่องมืออุปกรณ์ล้วนเตรียมไว้อย่างพร้อมสรรพ
หากมีผู้ได้รับบาดเจ็บถูกส่งตัวมาก็สามารถปฏิบัติการได้ทันที
เขาเดินอยู่บนถนนใหญ่
มีบุรุษสวมชุดขาวเดินติดตามมา ในมือพวกเขาหิ้วล่วมยา ศีรษะสวมหมวกข้าราชการสีดำ
คาดผ้าปิดปาก สีหน้าท่าทางเคร่งขรึมน่าเคารพ
ฝีเท้าที่ก้าวเท้าเดินตามหลังถังเยว่ก็หนักแน่นมั่นคง
ตามท้องถนนยังมีร้านค้าแผงลอยที่ยังไม่ได้เก็บร้าน
พอหันมาเห็นคนแต่งตัวประหลาดกลุ่มนี้ ต่างพากันชะงักและซุบซิบคาดเดาไถ่ถามกันเอง
“คนพวกนี้เป็นใครกัน
เหตุใดถึงแต่งตัวแบบนี้?”
“ไม่รู้สิ ไม่เคยเห็นมาก่อน
เห็นพวกเขาสวมชุดขาวทั้งตัว บางที…”
ไม่ต้องอธิบายให้ชัดเจนพอเห็นพวกเขาเดินมุ่งหน้าไปทางกำแพงเมืองทั้งที่มิใช่ทหาร
ทุกคนก็คาดเดาไปในแนวทางเดียวกันว่านอกจากไปช่วยเก็บศพแล้วยังจะสามารถทำอะไรได้อีก
คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ตรงจุดนี้ทางการก็ยังดูแลอย่างถ้วนถี่
เห็นทีศึกครั้งนี้จะไม่ปราชัยง่ายๆ แล้วกระมัง
“เฮ้อ! จะเป็นไปได้หรือทหารสามหมื่นต่อกรกับทหารแปดหมื่น
จะไปชนะได้อย่างไร?”
หยางเฟิงผู้เป็นเจ้าเมืองฉินหยางมิได้ปิดบังเรื่องความแตกต่างของจำนวนไพร่พลทั้งสองฝ่าย
เพราะเหตุนี้ชาวเมืองส่วนใหญ่ที่รู้ข่าวจึงต่างขวัญผวาไปตามๆ กัน
“ใช่ๆ
แต่ท่านเจ้าเมืองบอกว่าได้เตรียมการไว้แต่แรกแล้ว
ถ้าหากรักษาเมืองฉินหยางไว้ไม่ได้จริงๆ ก็จะให้ชาวบ้านอพยพออกไปก่อน”
“ตระกูลข้าอาศัยอยู่ในเมืองฉินหยางมาสามชั่วอายุคน
ตัดใจทิ้งที่นี่ไปไม่ลงจริงๆ หากไม่ถึงยามคับขันข้าจะไม่ไปจากที่นี่เด็ดขาด!”
“ใครจะยอมไปกันล่ะ! นับแต่เจ้าเมืองหยางมาอยู่ที่นี่ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราล้วนมีแต่สุขสบายขึ้น
กระทั่งคนยากคนจนไร้ทุนรอนยังสามารถขึ้นเขาไปขุดสมุนไพรเพื่อหาเลี้ยงชีพได้
ที่นี่ดีจะตาย”
“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ! ฮึ เจ้าพวกโจรกบฏที่แสนน่ารังเกียจ!”
ขบวนของถังเยว่เดินอยู่บนถนนโดดเด่นสะดุดตา
ใครต่อใครต่างมองจนเหลียวหลัง
กระทั่งชาวบ้านที่ซ่อนตัวอยู่ในบ้านยังโผล่หน้าออกมาแอบมองพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ
นานา ผู้คนส่วนใหญ่ต่างคิดว่าพวกเขามาเก็บศพ
ญาติพี่น้องและคนในครอบครัวของทหารที่อยู่ทัพหน้าพากันสะทกสะท้อนใจจนทนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวส่งเสียงร่ำไห้ระงม
“ใต้เท้า
หากท่านพบหลานชายข้ารบกวนช่วยส่งเขากลับบ้านทีเถิด…” แม่เฒ่าคนหนึ่งวิ่งพรวดพราดออกมาจากในบ้านแล้วคุกเข่าลงตรงหน้า
ถังเยว่รีบประคองนางขึ้นพร้อมกับปลอบใจ “วางใจเถอะ หลานท่านจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัย”
“ฮือๆ เขาเพิ่งอายุสิบห้า...” แม่เฒ่าร่ำไห้น้ำตานองหน้า นางรู้นิสัยหลานชายตัวเองดี
เขาเป็นคนเข้มแข็งห้าวหาญยอมไปเป็นทหารเพื่อแลกกับเสบียง ศึกครั้งนี้อันตรายเพียงใดทุกคนต่างรู้ดี
แม่เฒ่าได้ทําใจไว้แล้วว่าหลานชายของนางต้องตายในสนามรบอย่างแน่นอน
เพียงหวังอยากเห็นร่างไร้ชีวิตของเขาถูกส่งกลับบ้านอย่างครบถ้วน
ไม่ต้องถูกฝังรวมเป็นศพไร้ชื่อแซ่ ไร้คนเซ่นไหว้
“แม่เฒ่า พวกเราเป็นหมอ
มีหน้าที่รักษาและช่วยชีวิตคน ท่านควรเชื่อพวกเรา
พวกเราจะพาหลานชายของท่านกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน”
“หมอ? พวกท่านเป็นหมอหรอกหรือ?” แม่เฒ่าถามเสียงดังด้วยความฉงน “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงจะ…”
ถังเยว่พยักหน้า “ใช่ พวกเขาทุกคนล้วนเก่งกาจล้ำเลิศ ท่านวางใจได้”
เซี่ยงอันโผล่หน้ามาจากด้านหลังถังเยว่ฉีกยิ้มกว้างพร้อมสาธยาย
“แหะๆ ต่อให้หลานของท่านแขนขาดขาหัก
ข้าก็สามารถช่วยต่อให้เขาได้ หากข้าทำไม่ได้ก็ยังมีอาจารย์ข้า
เขาเป็นถึงหมอเทวดาผู้โด่งดังเชียวนะ”
“หมอเทวดา…” แม่เฒ่ามองแผ่นหลังคนกลุ่มนั้นที่จากไปไกลแล้วพึมพำกับตัวเอง
กระทั่งคนที่บ้านพานางกลับ
นางจึงพลันได้สติแล้วร้องไห้โฮออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ “หลานข้า...หลานรักของข้า เจ้ามีทางรอดแล้ว…”
เชิงอรรถ
- เป็นการเชิดหุ่นที่ทำจากหนังสัตว์หรือกระดาษแล้วสะท้อนเงาลงบนผืนผ้าสีขาว
เริ่มมีในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก
225 อย่าถอดใจ
ทำต่อไป
ตูม! เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ถังเยว่รู้สึกว่าพื้นใต้ฝ่าเท้าสั่นสะเทือนสามครั้ง
ตามด้วยเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ
“อาจารย์ ดูเหมือนข้าศึกบุกโจมตีแล้ว”
สายตาเซี่ยงอันลุกวาว
ไม่ปรากฏแววหวาดกลัวศึกสงครามให้เห็นเลยสักนิด
กลับดูกระตือรือร้นเหมือนเห็นเป็นเรื่องสนุกเสียด้วยซ้ำ ถังเยว่ไม่อยากต่อว่า
แม้เจ้าเด็กคนนี้จะโตขึ้นหลายปีแต่ยังคงมีจิตใจเหมือนเด็ก
เกรงแต่ว่าเขาจะเห็นว่าใต้หล้ายังวุ่นวายไม่พอจึงคิดก่อความวุ่นวายเพิ่มนี่ละคือสาเหตุที่ตอนแรกถังเยว่ไม่ยอมรับเขาเป็นศิษย์
แต่หลังจากสังเกตดูมาหลายปีก็ค้นพบความน่ารักที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความดื้อรั้นแบบแปลกๆ
ของอีกฝ่าย
ตำแหน่งที่เลือกใช้เป็นห้องรักษาพยาบาลอยู่ห่างจากกำแพงเมืองเพียงหนึ่งช่วงถนน
หากประตูเมืองถูกตีแตกเกรงว่าชะตากรรมของพวกเขาทั้งกลุ่มจะร้ายมากกว่าดี
ถังเยว่มองดูท้องถนนที่ว่างเปล่าแล้วโบกมือ
“เตรียมเริ่มงานได้”
“ขอรับ!”
เหล่าพยาบาลและหมอในชุดขาวนับร้อยคนเดินเรียงแถวเข้าไปในห้องทำงานของพวกเขา
แต่ละห้องแบ่งออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละห้าคน
สมาชิกทั้งห้าในกลุ่มมีหน้าที่แตกต่างกันไป
ถังเยว่แบ่งกลุ่มก็เพื่อรับมือกับอาการบาดเจ็บแต่ละประเภท
ห้องทำงานของถังเยว่อยู่ด้านหน้าสุด
ภายในห้องนี้ถูกแบ่งเป็นห้องผ่าตัดสองห้อง
ทำการฆ่าเชื้อไว้ล่วงหน้าแล้วเตรียมไว้สำหรับรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยเฉพาะ
เซี่ยงอันในตอนนี้ไม่ใช่ผู้ช่วยตัวน้อยอีกต่อไป เขาสามารถรับผิดชอบงานได้โดยลำพัง
มิหนำซ้ำยังผ่านการสอบวัดผลของถังเยว่ ถือเป็นศิษย์ที่มีผลการเล่าเรียนดีที่สุดในกลุ่มหมอชุดนี้
ทั้งยังเป็นคนที่มีแววและมีความหวังว่าจะสามารถผ่านเกณฑ์เป็นศัลยแพทย์ได้มากที่สุดอีกด้วย
ผู้ช่วยของเขาในตอนนี้คือเหอและเด็กฝึกงานจากหอฮุ่ยอานที่รับสมัครเข้ามาเมื่อสองปีก่อนอีกหนึ่งคน
เด็กคนนี้เป็นหลานอาของหมอหลวงอู เดิมตั้งใจจะศึกษาวิชาแพทย์จากท่านอา
แต่สุดท้ายกลับถูกหมอหลวงอูส่งมาที่หอฮุ่ยอาน
ถังเยว่เห็นเขามุ่งมั่นตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เวลาออกตรวจจึงพาติดตามไปด้วย
สองปีผ่านไปเขาได้เรียนรู้จนเก่งกาจพอตัว
“คุณชาย ข้าน้อยตื่นเต้นเหลือเกิน…” เหอกำมือสองข้างไว้แน่น เดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้อง
ทั้งที่อากาศหนาวจัดแต่หน้าผากเขากลับมีเม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มไปหมด
แม้ในห้องจะมีกระถางไฟจุดไว้เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ผู้ป่วยแต่ก็ไม่ถึงกับจะเป็นสถานที่ที่ร้อนอบอ้าวจนเหงื่อออกได้
ถังเยว่เฝ้ายาที่วางอยู่บนสามเตา
มือก็โบกพัดไปมาเบาๆ
“ไม่ต้องตื่นเต้น
คิดเสียว่ากำลังช่วยรักษาโรคให้ชาวบ้านเหมือนวันปกติก็พอ
เจ้าไปตรวจนับผ้าพันแผลอีกรอบและแยกยาห้ามเลือดออกมาจัดเตรียมไว้ให้เป็นชุด”
งานที่เดิมควรเป็นของตนกลับถูกถังเยว่แย่งไปทำ
เหอมองแล้วหน้าแดงอย่างเก้อกระดาก หลังจากยุ่งมือเป็นระวิงสักพักก็ค่อยๆ ลืมความตื่นเต้นที่เคยมี
“หมอ! ท่านหมออยู่ไหน!” เสียงตะโกนเรียกดังลั่น ถังเยว่วางพัดแล้วเดินออกมา
เห็นเด็กหนุ่มสองคนกำลังแบกเปลหามวิ่งมาตามถนน
เขาเป็นผู้สั่งให้จัดกลุ่มเด็กหนุ่มพวกนี้ขึ้นมา
มีหน้าที่คอยส่งตัวผู้บาดเจ็บมาที่นี่โดยเฉพาะ ทุกคนได้ค่าจ้างวันละสิบเตาปี้
ถือว่าเป็นงานที่ได้ค่าตอบแทนสูงมาก
ถังเยว่ก้มหน้าตรวจดูอาการทหารที่บาดเจ็บ
เขาถูกธนูยิง หัวธนูปักอยู่บนหน้าอกระหว่างกระดูกซี่โครงซี่ที่เจ็ดกับแปด
ลึกเข้าไปประมาณหนึ่งนิ้ว เลือดเปรอะเปื้อนไปทั้งตัว
ถังเยว่หันไปบอกเด็กหนุ่มสองคนนั้น
“เอาไปส่งที่ห้องตรวจสาม”
เด็กหนุ่มทั้งสองจำถังเยว่ไม่ได้และไม่รู้ว่าห้องตรวจคืออะไร
แต่พวกเขามองแวบเดียวก็เห็นธงที่ปลิวไสวท่ามกลางสายลมเขียนเลขสามไว้
จึงรู้ได้ทันทีว่าต้องหามคนไปส่งที่นั่น
เพื่อให้สะดวกกับการทำงานถังเยว่จึงติดหมายเลขไว้หน้าบ้านทั้งแถว
อีกทั้งยังมีธงขนาดใหญ่ปักอยู่หน้าบ้านทุกหลัง บนธงเขียนตัวเลขไว้อย่างเด่นชัด
บ้านที่อยู่ด้านหน้าสุดมีไว้สำหรับรักษาผู้ป่วยที่อาการสาหัสที่สุดและจัดสรรเจ้าหน้าที่รักษาพยาบาลโดยเรียงลำดับตามความสามารถ
ทหารบาดเจ็บคนแรกส่งมาไม่ทันไร
คนที่สองที่สามก็ถูกแบกตามมาติดๆ คนเจ็บถูกส่งมามากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้คนทั้งท้องถนนต่างมีงานยุ่ง กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นยาคละคลุ้งปะปนอยู่ในอากาศ
เวลาผ่านไปไม่นาน
ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงเริ่มแตกตื่น
เมื่อได้เห็นความโกลาหลเช่นนี้มีบางคนขันอาสามาช่วยและมีบางคนตกใจจนวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง
ถังเยว่ไม่ว่างพอจะคิดตำหนิใคร คนที่อาสามาช่วยก็แบ่งงานให้พวกเขาไปต้มน้ำร้อนเคี่ยวยา
นี่เป็นงานง่ายที่สุดแล้วและต้องการกำลังคน
“ท่านหมอ…ช่วยพี่ใหญ่ข้าด้วย…ช่วยพี่ใหญ่ข้าด้วย!” เด็กหนุ่มคนหนึ่งแบกคนเจ็บวิ่งเข้ามา
เนื้อตัวของทั้งสองเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด มีสภาพน่าอเนจอนาถ
ถังเยว่เพิ่งเย็บลำไส้ให้ทหารที่บาดเจ็บคนหนึ่ง
กำลังเตรียมจะลงมือเย็บปิดปากแผล ประตูห้องผ่าตัดก็ถูกถีบเปิดออกอย่างแรง
เขายังคงทำงานต่อโดยไม่หยุดชะงักเลยสักนิดแต่ผู้ช่วยสองคนที่อยู่ข้างๆ
ตกใจสะดุ้งโหยง เหอรีบปรี่ไปไล่คนผู้นั้น
“ออกไปก่อน! คนนี้ยังรักษาไม่เสร็จ
ไปเข้าแถวรอข้างนอกก่อน”
“ไม่ได้! พี่ใหญ่ข้าจะตายแล้ว
ต้องช่วยเขาก่อน!”
เด็กหนุ่มผู้บุกรุกยืนนิ่งราวกับรากงอก
ไม่ว่าเหอจะผลักจะดันอย่างไรก็ไม่ขยับไม่ไหวติงเลยสักนิด
เหอมองทหารที่บาดเจ็บแล้วยื่นมือไปแตะชีพจรที่ลำคอ ใบหน้าขาวซีดขึ้นมาทันที
“พะ…พี่ใหญ่ของเจ้าไม่หายใจแล้ว
ช่วยไม่ได้แล้ว”
“เป็นไปไม่ได้! เมื่อครู่เขายังพูดคุยกับข้าอยู่เลย” เด็กหนุ่มถลึงตาเบิกกว้างกล่าวอย่างดุดัน “เขายังไม่ตาย…เขาจะตายได้อย่างไร! เขาบอกว่าจะมีลมหายใจกลับบ้านให้ได้…”
เด็กหนุ่มทรุดกายลงกับพื้นเอาร่างที่แบกไว้มากอดแนบอก
น้ำตาไหลโดยไร้เสียงสะอื้น สีหน้าเศร้าโศก
เพียงเสี้ยวอึดใจบรรยากาศเศร้าหมองก็ปกคลุมไปทั่วห้อง
“เจ้า…อย่าได้เสียใจไปเลย” เหอเห็นเขาร้องไห้เสียใจก็ไม่โวยวายว่ากล่าวอีกได้แต่พูดปลอบ “คนตายแล้วไม่อาจฟื้นคืน…”
ยังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงถังเยว่เรียก “เหอ…” พอเขาหันไปก็เห็นอีกฝ่ายยังคงมุ่งมั่นจดจ่ออยู่กับการเย็บแผล
ทว่าปากกลับสั่งงานเขาโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ลองทำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพให้เขาสิบรอบก่อน
ข้าใกล้เสร็จแล้ว”
เหอตะลึงงัน
จากนั้นก็รีบลุกพรวดสั่งการเด็กหนุ่มที่ทำอะไรไม่ถูก
“เร็วเข้า เจ้ารีบแบกเขาขึ้นไปวางบนเตียงคนไข้ด้านนั้น
เร็วๆ เข้าสิ!”
เด็กหนุ่มยกมือปาดน้ำตา
รีบอุ้มคนในอ้อมแขนขึ้นมาแล้วก้าวยาวๆ นำไปวางลงบนเตียง
จากนั้นก็จับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเหอ
ตอนเห็นฝ่ายนั้นใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าของผู้บาดเจ็บหัวคิ้วของเขาค่อยๆ
ขมวดมุ่นเข้าหากัน เมื่อเห็นเหอบีบจมูกคนเจ็บแล้วประกบปากลงไป
เด็กหนุ่มก็กำหมัดแน่นแทบอยากจะปรี่เข้าไปผลักให้กระเด็น
เด็กหนุ่มเหลือบมองถังเยว่ครู่หนึ่งโดยสัญชาตญาณ
สายตามองไปยังมือเขา มือคู่นั้นขาวผ่องเรียวยาว นิ้วทั้งสิบเรียวเล็กดุจลำเทียน
ทุกการเคลื่อนไหวล้วนน่ามองเป็นพิเศษ เมื่อสายตาเคลื่อนต่ำลงไป
ดวงตาของเด็กหนุ่มก็ต้องเบิกค้างอีกครั้ง
เขาเห็นรอยแผลบนท้องผู้บาดเจ็บเหมือนมีตะขาบตัวหนึ่งพาดอยู่
ดูน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
แต่ดูจากหน้าอกที่ยังคงกระเพื่อมขึ้นลงของร่างที่นอนอยู่บนเตียงบ่งบอกว่ายังมีลมหายใจอยู่
เมื่อครู่ที่เขาแบกคนวิ่งตรงเข้ามาในห้องนี้
ประการหนึ่งเป็นเพราะห้องนี้อยู่ใกล้ที่สุด
อีกประการเป็นเพราะได้ยินคนพูดว่าข้างในนี้มีหมอเทวดา
ต่อให้บาดเจ็บหนักหนาสาหัสเพียงใดก็สามารถชุบชีวิตให้ฟื้นคืนได้
ดังนั้นเขาจึงบุกเข้ามาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
ถังเยว่จัดการขั้นตอนสุดท้ายจนเสร็จเรียบร้อย
มอบหมายหน้าที่ใส่ยาให้ผู้ช่วยจัดการต่อแล้วจึงเดินไปหาผู้ป่วยเตียงต่อไป
กระทั่งเหอทำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพให้คนเจ็บครบสิบรอบแล้ว
ถังเยว่แนบหูลงบนอกคนเจ็บเพื่อฟังเสียงการเต้นของหัวใจ จับชีพจรแล้วส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ทันแล้ว”
เด็กหนุ่มสองตาแดงก่ำ กระชากถังเยว่ออกแล้วทำท่าเลียนแบบที่เหอทำเมื่อครู่
ประสานมือกดลงบนหน้าอกของร่างไร้ลมหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า
ทุกครั้งหลังกดลงไปสิบห้าทีก็เป่าลมเข้าปาก
ตอนแรกถังเยว่คิดจะห้ามแต่ถ้าไม่ปล่อยให้เขาลองดูจะรู้ได้อย่างไรว่าช่วยไม่ได้แล้วจริงๆ
“ฝ่ามือเคลื่อนต่ำลงไปอีกครึ่งนิ้ว ออกแรงให้มากกว่านี้…ถูกต้อง ก่อนจะเป่าลมต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามถ่ายลมให้เพียงพอ…”
หลังทดลองทำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพเองแล้ว
เด็กหนุ่มก็หมดความมั่นใจไปเช่นกัน สองแขนยันอยู่ที่หน้าอกร่างนั้นอย่างหมดแรง
น้ำตาหลั่งรินเป็นสายแต่ไร้เสียงสะอื้น ถังเยว่มองแขนสั่นเทาของอีกฝ่ายแล้วลอบถอนหายใจเงียบๆ
เขามองออกว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้ต้องไม่ธรรมดา
หากมีทางช่วยได้เขาก็อยากช่วยอย่างสุดความสามารถ
“อย่าเพิ่งถอดใจ ทำต่อไป!” ถังเยว่บอกเสียงทุ้มต่ำ
ตามที่เด็กหนุ่มพูดเมื่อครู่
ร่างนี้เพิ่งหยุดหายใจไปได้ไม่นานคิดว่ายังมีโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่จะช่วยยื้อชีวิตเขากลับมาได้
น่าเสียดายที่นี่ไม่มีไฟฟ้า ใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจไม่ได้
ก็ได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามลิขิตสวรรค์
เวลาล่วงเลยไป
ถึงคราวที่ถังเยว่เองก็ถอดใจแล้วเช่นกัน ทว่าจู่ๆเด็กหนุ่มก็ร้องขึ้น
“ขะ…ขยับแล้ว…เขาขยับแล้ว…”
ถังเยว่รีบบอกให้เขาหลบไป
พอได้ยินเสียงหัวใจเต้นอย่างอ่อนแรงแผ่วเบาจึงคลี่ยิ้มบาง
“เดี๋ยวข้าจัดการต่อเอง เชิญเจ้าออกไปก่อน”
เด็กหนุ่มน้ำตาคลอเบ้า
เดินไปประเดี๋ยวเดียวก็เหลียวกลับมามอง สุดท้ายก็ทรุดตัวนั่งยองๆ
เฝ้าอยู่หน้าประตูประหนึ่งรูปปั้นแกะสลัก
การผ่าตัดครั้งนี้ใช้เวลาสามชั่วยาม
เปลี่ยนตะเกียงน้ำมันดวงแล้วดวงเล่า ตามท้องถนนคึกคักขึ้นเรื่อยๆ
ถึงขั้นมีราษฎรที่ได้ยินว่าทหารซึ่งได้รับบาดเจ็บถูกส่งตัวมารักษาที่นี่จึงวิ่งตามมาดู
เมื่อหาญาติตัวเองเจอก็น้ำตาเอ่อล้นขอบตา ส่วนคนที่หาญาติไม่เจอก็ยิ่งยินดีมากกว่า
หากไม่ได้มาปรากฏตัวที่นี่
นั่นก็หมายความว่าทหารอีกกว่าครึ่งยังมีชีวิตอยู่
สำหรับคนในครอบครัวแล้วนี่ถือเป็นการปลอบขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
“สงครามยุติแล้ว…สงครามยุติแล้ว…พวกเราชนะแล้ว!”
เสียงร้องตะโกนดังมาแต่ไกลจนเข้ามาใกล้
ทุกคนที่ได้ยินต่างพูดต่อๆ กันมาเพียงชั่วอึดใจเสียงตะโกนด้วยความยินดีก็ดังก้องไปทั่วเมืองฉินหยาง
“ชนะแล้วหรือ?” ถังเยว่เดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเพราะนึกว่าตัวเองหูฝาด
ผู้ที่ส่งสารมาเป็นทหารสอดแนมคนหนึ่ง
กวัดแกว่งธง กู่ก้องร้องตะโกนกระจายข่าวด้วยความยินดี เขาวิ่งมาข้างหน้าถังเยว่ ทิ้งตัวลงคุกเข่า
“คารวะท่านหมอเทวดา
ขอบคุณที่ช่วยชีวิตพ่อข้า พวกเราชนะแล้ว ข้าศึกถอยทัพแล้วขอรับ!”
ถังเยว่ย่อมไม่รู้ว่าในบรรดาทหารที่ตนช่วยคนไหนเป็นบิดาเขา
แต่พอได้ยินว่าทหารข้าศึกถอยทัพแล้วก็รู้สึกเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง
“ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหรือไม่?”
“ท่านวางใจได้
เมื่อครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้แม่ทัพหวังยิงธนูปลิดชีพผู้บัญชาการทัพข้าศึกตายภายในดอกเดียว
กองทัพข้าศึกพ่ายแพ้ยับเยินแตกกระเจิง ในสนามรบมีคนบาดเจ็บและล้มตายน้อยมากขอรับ”
“หลีกทางเร็วเข้า! ให้ใต้เท้าทุกท่านได้ดื่มน้ำร้อนกินอะไรกันสักหน่อยก่อน” สตรีกลุ่มหนึ่งเข็นรถคันเล็กเข้ามา พวกนางมีหน้าที่ทำอาหารวันละสองมื้อ
ถังเยว่จำไม่ได้ว่าวันนี้ตัวเองกินข้าวแล้วหรือยัง พอได้กลิ่นกับข้าวหอมๆ
ท้องก็พลันร้องจ๊อกๆ ขึ้นมาทันที
ทหารสอดแนมผู้นั้นโขกศีรษะสามครั้งแล้วเลี่ยงไปยืนอยู่นอกหน้าต่าง
เขามองเข้ามาข้างในอีกครั้ง จากนั้นก็แบกธงวิ่งจากไปพร้อมกับร้องป่าวประกาศชัยชนะ
สีหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความปีติยินดี
แม้ถังเยว่จะรู้ว่าศึกครั้งนี้ไม่น่าจะสิ้นสุดง่ายดายขนาดนี้
แต่ชัยชนะในศึกแรกอย่างไรก็ถือเป็นเรื่องดี
เหอยกโจ๊กชามใหญ่เข้ามา
“คุณชาย วันนี้ท่านยังไม่ได้กินอะไรเลย รีบกินโจ๊กก่อนเถอะขอรับ
บ่าวจะไปยกกับข้าวมาให้”
ถังเยว่โบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก แค่นี้ก็พอแล้ว” พูดจบก็ยกชามโจ๊กซดรวดเดียวหมดแล้วเช็ดปาก
จากนั้นก็ถอดเสื้อตัวนอกโยนให้เหอ“พวกเจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่
คอยเปลี่ยนยาป้อนยาให้ตรงตามเวลา สองคนผลัดเปลี่ยนเวรตอนกลางคืนกัน ข้าไปแล้ว”
ถังเยว่เร่งสาวเท้าเดินตรงไปยังประตูเมือง
ตอนแรกแค่เดินสาวเท้าถี่ๆ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นวิ่งเหยาะๆ
เขาอยากพบหน้าคนผู้นั้นเร็วๆ
อยากเห็นคนผู้นั้นยืนอยู่เบื้องหน้าเขาโดยปราศจากบาดแผล อยากกอดแน่นๆ
เพื่อจะได้สัมผัสรับรู้ถึงอุณหภูมิร่างกายของคนผู้นั้น
226 ยังต้องการเลือดอีกหรือไม่?
ข้ามี!
ถังเยว่รีบร้อนวิ่งเร็วเกินไป
กระทั่งวิ่งไปถึงประตูเมืองจึงหอบหายใจแทบไม่ทัน
เขากวาดตามองครั้งเดียวก็เห็นบุรุษสวมเสื้อเกราะเงินยืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางฝูงชน
กำลังพูดคุยสนทนากับผู้คนรอบข้างโดยมิได้มีสิ่งใดผิดแผกแปลกไป ในใจจึงพลันสงบขึ้นมาก
เสมือนสามารถสื่อใจถึงกัน
หลี่เจาจึงหันหน้ามา
สายตาหยุดนิ่งอยู่ที่ใบหน้าเขาแล้วรีบแทรกกายฝ่าฝูงชนตรงเข้ามาหา
ถังเยว่ชะงักเท้าหยุดเดิน
มองผู้ที่วิ่งมายืนตรงหน้าและยื่นมือมาช่วยซับเหงื่อบนหน้าผากให้เขาพร้อมกับเอ่ยถาม “ข้าไม่อนุญาตให้เจ้ามาที่นี่มิใช่หรือ?”
เขาไม่ได้พูดสิ่งใด
แต่ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำนั่นคือการเอื้อมมือออกไปโอบกอดอีกฝ่ายไว้เต็มอ้อมแขน
ได้กลิ่นเหงื่อปนกลิ่นคาวเลือดโชยเข้าจมูก
แม้เสื้อเกราะที่ฝ่ายนั้นสวมอยู่จะเย็นเฉียบแต่เขากลับรู้สึกอบอุ่นทั้งกายและใจ
หลี่เจากอดตอบและลูบหลังเขาอย่างปลอบโยน ก่อนจะดันตัวเขาออกเล็กน้อย
กวาดตามองสำรวจตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าขึ้นลงหลายรอบ
“เหนื่อยแย่เลยสินะ
ข้าจะให้คนพาเจ้ากลับไปพักผ่อน”
ถังเยว่ส่ายหน้า “ไม่ ข้าจะรอไปพร้อมกัน”
หลี่เจาก็ไม่ดึงดัน
จับมือเขาเดินกลับไปยังตำแหน่งเมื่อครู่ ทหารที่อยู่รายรอบต่างมองพวกเขาอย่างใคร่รู้
ถึงอย่างไรชายกับชายสวมกอดกันอย่างเปิดเผยเช่นนี้ก็มีให้พบเห็นได้น้อยนัก
หลี่เจามิได้เปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตน
ทุกคนรับรู้เพียงพวกเขามาจากเมืองเย่เฉิง
เป็นคนสำคัญที่แม้แต่เจ้าเมืองหยางและเจ้าเมืองหวังยังต้องเชื่อฟังคำสั่ง บ่งบอกว่ามีฐานะสูงส่งมาก
“ท่านนั้นเป็นหมอเทวดานะ
หัวหน้าเราที่ได้รับบาดเจ็บก็ได้เขานี่ละที่เป็นผู้รักษา” พลทหารนายหนึ่งกระซิบกระซาบกับเพื่อนข้างๆ
“สามารถช่วยชีวิตหัวหน้าได้จริงหรือ?
เขาถูกลูกธนูยิงปักเข้าที่หน้าอกเชียวนะ
มิหนำซ้ำยังทะลุไปถึงด้านหลังอีกต่างหาก” สหายที่ได้ฟังซักถามด้วยอาการตกตะลึง
“ก็ใช่น่ะสิ
ตอนแรกข้าคิดว่าเขาต้องตายสถานเดียว
แต่เบื้องบนสั่งกำชับไว้ว่าขอเพียงเป็นคนที่ยังมีลมหายใจก็ให้นำตัวส่งไปที่ถนนอวี้หรง
คิดไม่ถึงว่าหมอเทวดาจะมีอยู่จริง
ตอนที่ข้ากลับออกมาจากที่นั่นหัวหน้ายังมีชีวิตอยู่ ลูกธนูก็ถูกดึงออกแล้วด้วย”
“หมอเทวดา…ดูเหมือนว่าหนานจิ้นของพวกเราจะมีหมอเพียงท่านเดียวที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นหมอเทวดามิใช่หรือ?”
“ก็นั่นน่ะสิ ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน
โดยเฉพาะเมื่อครู่ท่านหมอเทวดากอดกับท่านผู้นั้น ข้าก็ยิ่งมั่นใจว่าจะต้องใช่…ต้องใช่อย่างแน่นอน!”
พลทหารนายนั้นวาดมือทำท่าที่ดูแล้วเหมือนมิได้มีความหมายใดเป็นพิเศษ
แต่น่าแปลกที่คู่สนทนากลับพยักหน้าด้วยท่าทางเข้าอกเข้าใจได้อย่างน่าอัศจรรย์
“คาดไม่ถึงว่าจะเป็น…”
บรรดาทหารซึ่งคาดเดาฐานะที่แท้จริงของถังเยว่และหลี่เจาได้ต่างตื่นตะลึงไปตามๆ
กัน พวกเขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์จะมาปรากฏตัวที่เมืองฉินหยางในเวลาซึ่งวิกฤติที่สุดเช่นนี้ได้
ชั่วขณะนั้นในใจทุกคนแม้ยังรู้สึกสับสนแต่ความเชื่อมั่นกลับเพิ่มพูน
ทำให้รู้สึกฮึกเหิมขึ้นในทันที
หลี่เจากับถังเยว่มิได้สนใจบรรยากาศซุบซิบรอบข้าง
พวกเขาเดินเข้ามาตรงกลางเหล่าขุนพลซึ่งกำลังวิเคราะห์เรื่องศึกสงคราม
ทว่าพอเห็นถังเยว่ทุกคนกลับยุติประเด็นหัวข้อที่กำลังสนทนากันชั่วขณะ
หยางเฟิงกับหวังติ่งจวินประสานมือคารวะและโค้งคำนับพร้อมกล่าวคำพูดจากใจจริง
“ลำบากคุณชายแล้ว”
ในฐานะชายารัชยาท ถังเยว่สามารถนั่งพักผ่อนเสวยสุขอยู่ในจวน
อิ่มหนำกับอาหารเลิศรส สวมใส่อาภรณ์สวยหรู ทว่าเขากลับเลือกมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้
ยืนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังด้วยการช่วยเหลือชีวิตเหล่าทหารหาญโดยไม่คำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อยของตัวเอง
ในฐานะชายารัชทายาท
ต่อให้เขามาที่เมืองฉินหยางแห่งนี้แล้วเอาแต่เก็บตัวอยู่ในจวนเจ้าเมืองเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
เพิกเฉยต่อความเป็นความตายของเหล่าทหาร แม้จะทำเช่นนั้นก็ไม่มีใครสามารถตำหนิได้
แต่เขากลับออกมาตั้งหน่วยรักษาทหารที่บาดเจ็บด้วยตัวเอง ไม่เพียงนำกำลังคนมาเต็มอัตรายังขนสมุนไพรและเวชภัณฑ์มาอย่างเพียงพอ
การกระทำเหล่านี้จะมิให้พวกเขาซาบซึ้งใจได้อย่างไร?
จะไม่ให้ตื้นตันใจจนต้องประสานมือคารวะได้หรือ?
“พวกท่านเกรงใจเกินไปแล้ว
นี่เป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำ”
หลี่เจากระชับมือในอุ้งมือตัวเองให้แน่นขึ้น
หันไปสบตาลึกซึ้งกับคนที่อยู่ข้างกายก่อนจะหันกลับไปสั่งการ “เสริมกำแพงให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ต้องเร่งทำให้เสร็จภายในคืนนี้
เพิ่มอาวุธบนป้อมประตูเมือง
แม้ฝ่ายตรงข้ามจะพ่ายศึกแต่ยังไม่ถอยทัพกลับไปดังนั้นเราต้องเตรียมพร้อมรับการโจมตีรอบสองที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ!”
“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย
กระหม่อมได้จัดเตรียมข้าวของและกำลังไว้แล้ว
เพียงแต่วันนี้พวกทหารเหน็ดเหนื่อยกันมาก
หน่วยรักษาการณ์ในคืนนี้คงต้องสับเปลี่ยนใหม่”
“ผลัดเปลี่ยนเวรยามชุดใหม่
ให้ทหารประจำการชุดเก่าพักผ่อนให้เต็มที่”
ฝ่ายตรงข้ามบาดเจ็บล้มตายมากกว่าพวกเขาเป็นสิบเท่า
จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะบุกโจมตีซ้ำในคืนนี้
“พวกท่านคงทั้งหิวและอ่อนเพลีย
ไปกินข้าวพักผ่อนเอาแรงกันก่อนดีกว่า
เรื่องที่นี่ให้ผู้ที่มารับช่วงต่อดูแลจัดการก็แล้วกัน”
นอกจากทหารแล้ว ราษฎรในเมืองก็มีไม่น้อย
ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้จึงไม่ต้องกังวลว่าจะขาดแคลนแรงงาน
“กระหม่อมจะคุ้มกันส่งฝ่าบาทกลับจวนนะพ่ะย่ะค่ะ” หวังติ่งจวินกระซิบบอกแล้วหันไปสั่งให้คนไปจูงม้าเพื่อจะขี่คุ้มกันส่งรัชทายาทกลับจวน
ถังเยว่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังหลี่เจา
กอดเอวฝ่ายนั้นไว้แล้วแนบหน้าลงกับชุดเกราะเย็นเฉียบ
“ไปทางถนนอวี้หรงเถอะ
ข้ายังต้องไปดูอาการทหารที่บาดเจ็บอีกหลายราย”
ไม่ใช่ว่าหลังผ่าตัดแล้วทุกคนจะปลอดภัยหายห่วง
มีไม่น้อยที่เกิดอาการข้างเคียงหลังผ่าตัด
หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าคนเจ็บจะสามารถผ่านพ้นไปได้หรือไม่
ถนนอวี้หรงยังคงคึกคัก
บรรดาญาติพี่น้องของเหล่าทหารพอได้ยินว่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บถูกส่งตัวมารักษาที่นี่ก็รีบตามมาดู
ต่างหันซ้ายแลขวาสอดส่ายสายตาหาญาติพี่น้องของตนด้วยความกังวล
ถังเยว่ให้หลี่เจารออยู่ที่หน้าประตู
ก่อนจะเข้าไปข้างในเขาเปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมสีขาว
เหอเหนื่อยหมดแรงจนนอนแผ่หราส่งเสียงกรนเบาๆ ไปแล้ว
ผู้ช่วยอีกคนกำลังเฝ้าอยู่ในห้องผู้ป่วยคอยวัดอุณหภูมิร่างกายผู้ป่วยอยู่เป็นระยะ
หลังผ่าตัดคนเจ็บมักมีอาการไข้ขึ้นได้ง่าย
ดังนั้นถังเยว่จึงกำชับไว้ว่าหากคนเจ็บไข้ขึ้นสูงไม่ยอมลดต้องรีบแจ้งให้เขารู้โดยด่วน
ถังเยว่เดินเข้ามาอย่างเบามือเบาเท้า
เห็นข้างเตียงผู้ป่วยหลังหนึ่งมีคนนอนคว่ำหน้าฟุบอยู่
ทว่าเพียงเขาย่างเท้าก้าวเข้าไปคนผู้นั้นก็หันขวับมามองอย่างหวาดระแวง
พอจำได้ว่าเป็นถังเยว่นั่นละรังสีสังหารรอบตัวจึงลดลง
ถังเยว่เห็นเช่นนั้นแล้วรู้สึกตกใจไม่น้อย
สีหน้าและแววตาของเด็กหนุ่มคนนี้ตอนที่หันมาแวบแรกดูน่ากลัวมาก
แม้บนตัวเขาจะสวมชุดพลทหารธรรมดาแต่กลับให้ความรู้สึกต่างจากพลทหารทั่วไป ไม่แน่ว่าเขาอาจเป็นยอดฝีมือเร้นลับที่เพิ่งจะเข้ามาเป็นทหารก็เป็นได้
เด็กหนุ่มลุกขึ้นขยับหลบออกมาจากตรงนั้น
ผายมือเชิญให้ถังเยว่ช่วยตรวจดูอาการพี่ใหญ่ของเขา
ถังเยว่เหลือบมองถุงเลือดที่แขวนอยู่ตรงหัวเตียงผู้ป่วยเห็นว่าใกล้จะหมดแล้วจึงดึงเข็มให้เลือดออก
เด็กหนุ่มพอเห็นเช่นนั้นก็รีบถลกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นท่อนแขนสีทองแดงเข้มและกล้ามเนื้อเป็นมัด
เส้นเลือดสีเขียวปูดโปนจนเห็นชัด
มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าแขนข้างนี้จะต้องทรงพลังมากอย่างแน่นอน
“ยังต้องการเลือดอีกหรือไม่? ข้ามี!”
วันนี้เด็กหนุ่มได้เปิดประสบการณ์พบเห็นการเจาะเลือดเป็นครั้งแรก
จึงรู้แล้วว่าวิธีการเป็นเช่นไร
ถังเยว่ส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่ต้อง ตอนนี้ยังพอใช้อยู่ อีกอย่างเลือดของเจ้าไม่ตรงกับคนเจ็บ
ไม่สามารถใช้ด้วยกันได้”
ถังเยว่ก้าวเข้าไปตรวจดูอาการคนเจ็บ
อาการของเขานับว่าสาหัสมาก แขนข้างหนึ่งขาด บนตัวมีบาดแผลจากคมมีดอยู่หลายแห่ง
อวัยวะภายในได้รับความกระทบกระเทือนรุนแรง
พูดตามตรงคนผู้นี้จะฟื้นขึ้นมาได้หรือไม่ตัวเขาเองก็ไม่กล้ารับประกัน
ทว่าพอหันไปเห็นสีหน้าห่วงกังวลของเด็กหนุ่มเขาก็ไม่อาจใจแข็งพูดความจริงทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายได้
จึงปลอบใจเขาด้วยคำพูดรื่นหู
“อาการเขาหนักมาก
ตอนนี้สามารถยื้อชีวิตกลับมาได้ชั่วคราว
แต่ถ้าจะให้พ้นขีดอันตรายต้องรออย่างน้อยสามวัน”
เด็กหนุ่มเม้มปากพยักหน้า “ขอบคุณท่านมาก”
เดิมทีพี่ชายเขาไม่หายใจแล้วด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้สามารถกลับมามีลมหายใจได้ใหม่อีกครั้ง
เด็กหนุ่มย่อมซาบซึ้งบุญคุณของถังเยว่อย่างสุดแสน
“ยังมีอีกอย่าง
ในเมื่อเจ้ายืนยันว่าจะเฝ้าอยู่ข้างกายเขาต้องระมัดระวังเรื่องความสะอาดของร่างกาย
เจ้าต้องออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า รองเท้า ล้างหน้าล้างมือให้สะอาด
ทางที่ดีควรสระผมด้วย ห้ามนำของสกปรกมาใกล้เขาเป็นอันขาด”
แม้เด็กหนุ่มจะไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลที่ถังเยว่บอกอย่างชัดเจน
แต่ก็ยินยอมปฏิบัติตามอย่างระมัดระวังและตั้งใจ
“หากเขาไข้ขึ้นกลางดึกให้ไปหาพยาบาลที่อยู่เวร
พวกเขาจะป้อนยาลดไข้ให้พี่เจ้า”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
ถังเยว่เดินตรวจจนทั่ว
สั่งกำชับข้อควรระวังของแต่ละคนเสร็จแล้วจึงกลับไป
ระหว่างทางเขาเล่าเรื่องเด็กหนุ่มผู้นั้นให้หลี่เจาฟังแล้วกระซิบเบาๆ
“ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจเป็นเหมือนคู่เราก็ได้”
“หือ? เจ้ารู้สึกว่าพวกเขาไม่ธรรมดามากอย่างนั้นหรือ?”
การจับประเด็นสำคัญของหลี่เจานั้นแตกต่างจากถังเยว่โดยสิ้นเชิง
ถังเยว่พยักหน้า “ใช่แล้ว ข้อแรกรัศมีบนตัวเขาต่างจากพลทหารทั่วไป ข้อสองดวงตาของเขา
แววตาเช่นนั้นจะต้องเคยสังหารคนมาไม่น้อยแน่ เพราะทั้งอำมหิตทั้งไร้ความรู้สึก
ยกเว้นตอนที่อยู่ต่อหน้าพี่ชายที่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น”
หลี่เจาฟังแล้วพลันเกิดความสนใจ
จึงสั่งให้หวังติ่งจวินไปตรวจสอบสถานะของคนทั้งสอง
หากเป็นผู้มีความสามารถที่ใช้งานได้จริงก็จะเลื่อนขั้นให้พวกเขา
แม่ทัพหนานจิ้นส่วนใหญ่อายุมากแล้ว ขุนพลที่ยังหนุ่มแน่นก็มีน้อยเกินไป
หลายปีมานี้คนที่เขาฝึกฝนบ่มเพาะจึงล้วนเป็นคนรุ่นเยาว์ทั้งสิ้น
หวังว่าจะสามารถสร้างขุนศึกขึ้นมาได้อีกหลายคน
“จ้าวซานหลางกับผิงซุ่นเป็นอย่างไรบ้าง?
นานแล้วที่ไม่ได้พบกัน ไม่รู้ว่าพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน
คราวก่อนได้ยินอาหย่าบอกว่าลูกสาวนางแทบจำหน้าพ่อไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ”
หลายปีก่อนถังหย่าได้ให้กำเนิดบุตรสาวอีกคน
น่ารักน่าชังดุจหยกหิมะ ถังเยว่แทบอยากจะอุ้มกลับบ้านมาเลี้ยงเองใจแทบขาด
น่าเสียดายที่สองปีนี้ผิงซุ่นแทบไม่อยู่บ้าน
ทำให้ครอบครัวที่อบอุ่นขาดความสมบูรณ์ไปบ้าง แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่จนใจ
ผู้ชายต้องสร้างความสำเร็จในหน้าที่การงาน ต้องปกป้องชาติบ้านเมือง
สิ่งที่ต้องเสียสละไม่ใช่แค่เวลาและครอบครัว
ตอนนี้ถังเยว่จึงนึกดีใจมากที่เขาชอบผู้ชาย
พวกเขาสามารถออกรบด้วยกัน ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน
ไม่ต้องทิ้งให้ใครอีกคนเป็นกุลสตรีอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนได้แต่คอยสวดมนต์ภาวนานอกนั้นไม่สามารถทำอะไรได้
หลี่เจาเอ่ยตอบอย่างกำกวม “อีกไม่นานเจ้าก็จะได้เจอพวกเขาแล้ว พอได้เห็นก็จะรู้เอง”
กว่าจะกลับถึงจวนเจ้าเมืองก็ล่วงเข้ากลางดึก
ถังเยว่อาบน้ำแบบลวกๆ แล้วรีบมุดเข้านอน
หลี่เจาจึงหรี่ตะเกียงให้แสงสลัวลงเล็กน้อย
จากนั้นจึงทำบันทึกผลได้ผลเสียของสงครามที่เกิดขึ้นในวันนี้
นี่เป็นการบ้านที่เขาต้องทำทุกครั้งหลังการรบ
วันรุ่งขึ้นถังเยว่ถูกลูกชายมาก่อกวนจนตื่น
พอเผยอเปลือกตาขึ้นก็เห็นลั่วลั่วแอบเอามือไปซ่อนไว้ด้านหลัง
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าที่เมื่อครู่เขาคันจมูกไม่ได้รู้สึกไปเอง
ถังเยว่พลิกตัวคว้าลูกชายมากอดถามเสียงอู้อี้ขึ้นจมูก
“เสด็จพ่อเจ้าล่ะ?”
“ทรงตื่นบรรทมตั้งแต่เช้าแล้ว
ตอนนี้น่าจะอยู่กับพวกท่านอาหวังขอรับ”
“อ้อ นี่ยามใดแล้ว?”
“จวนจะยามอู่แล้ว เพราะเตียเตียไม่ยอมลุก
ข้าจึงต้องเปิดผ้าห่ม”
“อะไรนะ! ยามอู่!”
ถังเยว่คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะหลับไปนานขนาดนี้
ดูเหมือนว่าที่เมื่อวานโหมงานตลอดทั้งวันจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปจริงๆ
“เสด็จพ่อกำชับว่าหากยามอู่แล้วเตียเตียยังไม่ลุกจากที่นอนให้ปลุกขึ้นมาเพื่อให้กินข้าว
หลังจากนั้นจึงค่อยนอนพักต่อ”
เสี่ยวลั่วลั่วอธิบายถึงเหตุผลที่ปลุกเขาพร้อมกับโยนความผิดทั้งหมดให้บิดา
ถังเยว่บีบจมูกน้อยๆ ของเจ้าตัวเล็กทีหนึ่ง
ลุกขึ้นจากเตียงสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย อยู่กินข้าวกลางวันกับลูกชายแล้วจึงออกไปที่ถนนอวี้หรง
เสี่ยวลั่วลั่วร้องขอตามไปด้วยแต่ถังเยว่ไม่ยินยอม
ลูกชายยังเด็กเกินไป
เรือนทหารบาดเจ็บบนถนนอวี้หรงมีเชื้อโรคปะปนอยู่มากไม่ไปได้เป็นดีที่สุด
“ลั่วลั่วเล่นละครหุ่นเชิดหนังเป็นแล้วหรือยัง?”
เด็กน้อยตาเป็นประกายขึ้นทันทีแล้วรีบพยักหน้ารัว
“เล่นเป็นแล้วขอรับ
แสดงครั้งแรกข้าอยากเล่นให้เตียเตียดู”
“ได้ เช่นนั้นเจ้ารีบไปเตรียมตัวเถอะ
คืนนี้เตียเตียกลับมาแล้วจะไปชมผลงานชิ้นเอกของเจ้า” ถังเยว่บอกแล้วอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาหอมแก้มฟอดหนึ่งจากนั้นจึงส่งเขาให้บ่าวรับใช้อย่างอาลัยอาวรณ์
227 ชนะอีกครั้ง
สุดท้ายถังเยว่ก็ไม่ได้ชมละครหุ่นเชิดของลูกชาย
เพราะช่วงพลบค่ำวันนั้นทหารข้าศึกบุกตีเมืองซ้ำสอง
เขาให้หมอและพยาบาลแต่ละกลุ่มผลัดกันเข้าเวร ผลัดกันไปพัก
ไม่เช่นนั้นหากทำงานต่อเนื่องยาวนานเกินไปไม่ว่าใครก็ทนไม่ไหว
หมอในเมืองมารวมตัวกันเพราะได้ยินข่าว
วันแรกพวกเขาตั้งใจมาเพื่อสังเกตการณ์แต่กลับพบว่าท่านหมอลึกลับกลุ่มนี้ล้วนเป็นยอดฝีมือในด้านการรักษาบาดแผลภายนอก รูปแบบวิธีรักษาที่ใช้ก็ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
อีกทั้งก่อนหน้านี้มีคนนำเรื่องที่ถังเยว่สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้ป่าวประกาศไปทั่ว ตอนแรกหมอในเมืองเหล่านี้ยังมีทีท่าคลางแคลงสงสัย กระทั่งเห็นถังเยว่ช่วยชีวิตคนที่หมดลมไปแล้วให้กลับมาหายใจได้ใหม่อีกครั้งถึงได้ยอมเชื่อ
นี่เป็นยุคที่ข่าวสารถูกปิดกั้น ข่าวการรักษาคนป่วยหลายรายของถังเยว่ที่เป็นข่าวครึกโครมโด่งดังในเมืองเย่เฉิงพอมาถึงเมืองฉินหยางก็ถูกแต่งเติมจนไม่เหลือเค้าเดิม ดังนั้นคนในพื้นที่ห่างไกลพอได้ยินเรื่องเหล่านี้จึงรู้สึกเหมือนฟังนิทานที่ฟังจบแล้วก็แล้วไปมิได้เก็บมาใส่ใจอีก
ถ้าไม่ได้เห็นเองกับตาพวกเขาย่อมไม่มีทางเชื่อว่าทหารอาการหนักถึงเพียงนั้นจะยังสามารถช่วยให้มีชีวิตรอดได้อีก
ดังนั้นไม่ว่าเป็นหมอเฒ่าอายุมากหรือหมอฝึกหัดอายุน้อยจึงต่างทยอยมาเข้าร่วมช่วยรักษาพยาบาลทหารในกองทัพ
แม้มีคนคิดจะแอบขโมยวิชาด้วยวิธีครูพักลักจำอยู่บ้างแต่ถังเยว่ก็ไม่คิดหวง
เขาต้องการเผยแพร่ความรู้อยู่แล้ว ขอเพียงไม่ทำให้เสียเรื่องสามารถเรียนรู้ได้เท่าไรก็ตักตวงไปให้เต็มที่
เขาไม่คิดถือสา
“คุณชาย พักผ่อนก่อนเถอะ
ท่านยืนมาหกชั่วยามแล้วนะขอรับ” เหอขยับมือช่วยซับเหงื่อให้ถังเยว่อย่างห่วงใย
ปากก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาไปพักบ้าง
ถังเยว่ดื่มน้ำอึกหนึ่ง
หัวคิ้วขมวดมุ่นไม่คลาย ศึกครั้งนี้ล่อแหลมอันตรายกว่าเมื่อวาน มีคนบาดเจ็บมากกว่า
เขาได้แต่ดูทหารจำนวนไม่น้อยต้องตายไปเพราะได้รับการรักษาไม่ทันโดยทำอะไรไม่ได้เลย
ต้องทำอย่างไรถึงจะหยุดเหตุการณ์เช่นนี้ได้!
“เหอ เจ้าไปสั่งการแทนข้า
นำคนที่บาดเจ็บสาหัสย้ายไปให้เซี่ยงอัน ให้เขารับช่วงต่อ”
จะปล่อยให้คนเหล่านี้มารอความตายเพียงเพราะเขาไม่ว่างไม่ได้เป็นอันขาด
ถ้าเป็นเช่นนี้ให้เซี่ยงอันลองช่วยจะดีกว่า เหอพยักหน้าขานรับ
วางของในมือลงแล้วรีบวิ่งไปจัดการตามสั่ง
ถังเยว่หาเวลาว่างพักกินข้าว
พยายามดื่มน้ำให้น้อยเข้าไว้ไม่เช่นนั้นระหว่างทำการผ่าตัดเกิดปวดปัสสาวะอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมากลางคันจะลำบาก
หลังทำงานง่วนมาทั้งวันเขาก็ได้รู้จากปากเด็กหนุ่มซึ่งมีหน้าที่คุ้มกันการส่งตัวทหารบาดเจ็บมาที่นี่ว่าครั้งนี้ข้าศึกอำมหิตดุดัน ไพร่พลบางส่วนโจมตีประตูเมือง กำลังทหารอีกหนึ่งหมื่นนายกำลังเดินทางข้ามเขา วางแผนจะซุ่มจู่โจมจากด้านหลังภูเขาลูกใหญ่ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตกทะลุเข้าเมืองฉินหยาง
ดูจากเวลาแล้ว
แผนการนี้ของพวกเขาควรนำไปปฏิบัติการตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม ศึกบุกตีเมืองครั้งแรกที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นเพียงการหยั่งเชิงเท่านั้น
โชคดีที่หยางเฟิงเตรียมการไว้แต่แรกแล้ว ต้นไม้บนภูเขาด้านหลังตั้งแต่ไหล่เขาลงไปถูกฟันทิ้งจนหมดสิ้น
แม้แต่ต้นหญ้าที่เคยรกก็ถูกตัดจนโล่งเตียน หากมีคนลงเขามาก็จะมองเห็นได้ทันที
ส่วนตีนเขาก็ระดมกำลังพลมาช่วยกันขุดกับดักไว้เป็นแถว แม้จะจัดการได้ไม่หมดทั้งหมื่นนาย
แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้ข้าศึกเดินทางได้ช้าลง กว่าจะฝ่ากับดักบุกเข้าเมืองได้สำเร็จก็น่าจะหมดสิ้นเรี่ยวแรงและได้รับบาดแผลเต็มตัว เมื่อถึงเวลานั้นค่อยมาสกัดการโจมตีก็น่าจะง่ายดุจพลิกฝ่ามือ
ตอนนั้นถังเยว่ยังพูดเย้าขำๆ ว่าภูเขาด้านหลังถูกถางจนโล่งเตียนแบบนี้มีสภาพเหมือนกับถูกโกนผมจนหัวโล้น ทั้งยังพูดเตือนสติหยางเฟิงด้วยว่าหลังเสร็จศึกให้รีบปลูกต้นไม้ชดเชยทันที ไม่เช่นนั้นฤดูน้ำหลากปีต่อไปอาจเกิดโศกนาฏกรรมอย่างดินถล่มก็เป็นได้
“ฝ่าบาท ที่นี่อันตรายเกินไป
กระหม่อมจะส่งคนอารักขาพระองค์กับพระชายาและคุณชายน้อย
เสด็จออกจากที่นี่ก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ…”หวังติ่งจวินกล่าว เขาในตอนนี้สองตาแดงก่ำ ทวนยาวในมือถูกอาบย้อมด้วยเลือดสดๆ
ศึกครั้งนี้รบกันต่อเนื่องสามวันสามคืน ทุกคืนพวกเขาได้พักผ่อนแค่หนึ่งถึงสองชั่วยาม นอกนั้นก็เฝ้าอยู่ที่นี่ตลอด
เห็นข้าศึกยังบุกโจมตีอย่างต่อเนื่องหวังติ่งจวินย่อมต้องห่วงความปลอดภัยของรัชทายาทเจาก่อนเป็นอันดับแรก
รัชทายาทเจายืนอยู่หน้าค่ายทหารด้านหลังประตูเมือง มีองครักษ์อารักขาข้างกายแม้เขาจะรู้สึกว่าไม่จำเป็นก็ตาม
“ข้าหาใช่คนรักตัวกลัวตายไม่ ยิ่งไปกว่านั้นเมืองฉินหยางแห่งนี้ก็ใช่จะถูกตีแตกได้ง่าย ศึกครั้งนี้ศัตรูยังคงเป็นฝ่ายปราชัย”
กำแพงเมืองถูกทำลายจนได้รับความเสียหายหลายจุด ร่างไร้ชีวิตนอกประตูเมืองกองทับถมเป็นภูเขา
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งลอยอวลอยู่ในอากาศชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอาเจียน
เสียงร้องครางครวญโหยหวนดังให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง พวกทหารจากเดิมที่เคยหวาดกลัวเสียงนี้ในศึกครั้งแรกเวลานี้กลับคุ้นชินกับมันเสียแล้ว ต่างกวัดแกว่งอาวุธต้านข้าศึกอยู่นอกเมือง
“รายงาน! ทหารข้าศึกบาดเจ็บล้มตาย
เวลานี้น่าจะเหลืออยู่ราวหนึ่งหมื่น ขวัญทหารมิแกร่งกล้า เจ้าเมืองหยางเสนอให้เราเป็นฝ่ายบุกตีก่อน ขอองค์รัชทายาทโปรดตัดสินพระทัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ถุย!” หวังติ่งจวินถ่มน้ำลาย
“ฮึ! ไม่เสียทีที่หยางเฟิงมีฉายาว่าเจ้าบ้า อาจหาญจะเป็นฝ่ายบุกตีก่อนเสียด้วย ไม่ได้!”
เขารีบหันขวับไปมองรัชทายาท
ดูเหมือนศึกครั้งนี้มีโอกาสที่จะชนะสูงมาก แต่ท้ายที่สุดแล้วกองกำลังทหารในเมืองก็มีน้อยกว่าทหารข้าศึกมาก ตอนนี้พวกเขามีชัยภูมิป้องกันเมืองที่ดีมาก อาศัยกำแพงเมืองที่แข็งแกร่งจึงสามารถรักษาเมืองไว้ได้จนถึงตอนนี้
หากเปิดประตูเมือง ใครแพ้ใครชนะยังตอบยาก อีกอย่างท่ามกลางสงครามที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เขาจะสามารถอารักขาป้องกันภัยให้องค์รัชทายาทอย่างครอบคลุมรอบด้านได้อย่างไร! ในความคิดของหวังติ่งจวินต่อให้เมืองฉินหยางต้องเปลี่ยนมือเจ้าของก็ไม่สำคัญเท่าความปลอดภัยขององค์รัชทายาท
รัชทายาทเจาส่ายหน้า “เรื่องเป็นฝ่ายบุกตีระงับไว้ก่อน เพิ่มกำลังโต้กลับให้มากขึ้น
เตรียมขนปืนใหญ่ขึ้นไปบนป้อมประตูเมือง”
“ฝ่าบาททรงคิดจะใช้ไฟในการโจมตี?”
รัชทายาทเจาเงยหน้ามองกำแพงเมืองที่ตอนนี้ถูกอาบย้อมด้วยโลหิตจนแทบจะเป็นสีแดงฉานแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าอยากทดสอบประสิทธิภาพกระสุนเพลิงของพระชายาว่ายอดเยี่ยมเพียงใด”
หลายปีก่อนถังเยว่เคยคิดที่จะผลิตระเบิด
แต่สุดท้ายก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ อานุภาพของระเบิดรุนแรงโหดร้ายเกินไป
ในยุคสมัยที่ขาดแคลนอาวุธเช่นนี้จึงหาใช่ของดีไม่ หากเคล็ดลับการทำรั่วไหลออกไป
จะก่อให้เกิดหายนะที่มิอาจประเมินได้
แม้โครงการสร้างระเบิดจะถูกพับไปแต่เขาก็ยังบอกวิธีผลิตกระสุนเพลิงและระเบิดเพลิงขนาดเล็กให้กับหลี่เจา
วิธีผลิตสิ่งของเหล่านี้ง่ายกว่าระเบิดแต่อานุภาพการทำลายล้างและแรงสังหารก็ด้อยกว่า
ทว่าเมื่อกระสุนเพลิงลูกแรกถูกยิงลงไปใส่กองทัพข้าศึกใต้ป้อมกำแพงเมืองและระเบิดออกกลางอากาศ
แรงสั่นสะเทือนก็ยังนับว่ามหาศาลอยู่ไม่น้อย
“นี่คืออะไร?” ในทัพหลังของกองทัพพันธมิตรฉีอ๋องมีคนร้องอุทานด้วยความตื่นตะลึง
สะเก็ดไฟกระเด็น
เศษกระเบื้องคมกริบบาดเข้าเนื้อ เสียงร้องโอดโอยดังระงม
เพียงชั่วพริบตาใต้ป้อมประตูเมืองก็มีร่างที่กลายเป็นศพมากมายก่ายกอง
พอเห็นเหล่าทหารหวาดกลัวไม่กล้าก้าวเดินต่อ
ผู้บัญชาการกองทัพข้าศึกก็รู้ได้ทันทีว่าไพร่พลกำลังเสียขวัญ
หากฝืนทำการรบต่อไปรังแต่จะทำให้กำลังพลของฝ่ายตนลดลงเรื่อยๆ
จึงรีบออกคำสั่งให้ถอยทัพ
“ถอย! ถอยทัพ!”
“ถอยทัพแล้ว! ทหารข้าศึกสั่งถอยทัพแล้ว! พวกเราชนะแล้ว!”
เสียงโห่ร้องกึกก้องดังสนั่นป้อมประตูเมือง
ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว
ถังเยว่อยู่ถนนอวี้หรงมาสามวันสามคืนแล้ว
ตกกลางคืนก็นอนเบียดอยู่บนเตียงเดียวกับผู้ช่วยอีกสองคนโดยไม่ได้คิดถือสาอะไร
ขอเพียงได้พักผ่อนก็พอ
สิ่งแรกที่ต้องทำหลังลืมตาตื่นคือเดินตรวจอาการผู้ป่วยว่าฟื้นตัวแค่ไหนแล้ว
จากนั้นก็ลงมือผ่าตัดรายใหม่ต่อไป
ศึกครั้งนี้แม้สร้างความเสียหายและทำให้ทหารของพวกเขาได้รับบาดเจ็บเกือบสองพันนาย
แต่ข้าศึกถูกสังหารและถูกจับเป็นเชลยมากกว่าเป็นสิบเท่า
ถือเป็นศึกป้องกันเมืองที่แสนวิเศษยิ่งนัก
หลังเกิดเรื่องมีผู้เก็บสถิติทหารบาดเจ็บที่ได้รับการรักษาในศึกครั้งนี้
ปรากฏว่ามีราวร้อยนายที่ต้องพิการตลอดชีวิต
แต่รวมแล้วพวกถังเยว่สามารถรักษาทหารบาดเจ็บให้รอดชีวิตได้ถึงกว่าสามพันนาย
ไม่มีศึกครั้งไหนในอดีตเคยทำได้เช่นนี้มาก่อน
ที่ผ่านมาหากในสมรภูมิมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส
พวกเขาล้วนได้แต่นอนรอความตาย ส่วนผู้ที่บาดเจ็บเล็กน้อยก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจากบาดแผลเพียงเล็กน้อยก็อาจลุกลามจนถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน
แต่เวลานี้แตกต่างจากเดิมราวฟ้ากับเหว
เช่นนี้แล้วจะไม่ให้ทุกคนซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อราชสำนัก
พยายามปกป้องชาติบ้านเมืองอย่างสุดชีวิตได้อย่างไร
“หลังผ่านศึกครั้งนี้คาดว่าทัพพันธมิตรฉีอ๋องคงได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง น่าจะกลับมาโจมตีเราอีกไม่ได้แล้ว” เจ้าเมืองหยางลูบเคราแพะพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ
เดิมทีคิดว่าเมืองฉินหยางไม่มีทัพหนุนแล้วจะต้านทานข้าศึกไว้ไม่อยู่แน่
ที่ทำได้ก็แค่ประวิงเวลาเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าหลังถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องติดๆ
กันถึงสองครั้ง พวกเขากลับสามารถขับไล่ข้าศึกให้ถอยร่นไปได้สำเร็จ
และครั้งนี้ยิ่งทำให้กองทัพข้าศึกสูญเสียกำลังพลบาดเจ็บล้มตายไปมากกว่าเดิม
เจ้าเมืองหยางนึกถึงตอนยิงกระสุนเพลิงใส่ข้าศึกลูกแล้วลูกเล่าขึ้นมาได้
ในใจพลันฮึกเหิมตามเปลวเพลิงที่ลุกโหม
“ได้ยินว่าพระชายาเป็นผู้ประดิษฐ์กระสุนเพลิง
เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่?” หยางเฟิงแอบสืบข่าวจากหวังติ่งจวิน
ซึ่งฝ่ายนั้นก็ไม่ถือสาที่จะช่วยถังเยว่สร้างชื่อเสียงให้เลื่องลือจึงยืดอกตอบอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
“หาใช่เพียงกระสุนเพลิงไม่
อาวุธยุทโธปกรณ์ที่พวกเราใช้อยู่ในเวลานี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นของที่พระชายาปรับปรุงพัฒนาขึ้นใหม่
นอกจากนี้ยังมีพู่กัน กระดาษ หมึก แท่นฝนหมึกที่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างหลงใหลนิยมใช้
ทั้งหมดล้วนเป็นความคิดของพระชายาทั้งสิ้น”
“พระชายาช่างเป็นเหมือนเทพเซียนมาเกิดจริงๆ
มิรู้ว่าอาจารย์ของพระองค์คือผู้ใด คิดไม่ถึงว่าจะเก่งกาจล้ำเลิศถึงเพียงนี้!”
“ไม่จำเป็นต้องสงสัย
ผู้ที่สามารถสั่งสอนศิษย์ที่แสนประเสริฐอย่างพระชายาได้จะต้องเป็นผู้วิเศษเร้นลับอย่างแน่นอน
หากไปตามสืบจะกลายเป็นลบหลู่ผู้สูงส่ง” หวังติ่งจวินพูดกลบเกลื่อนหลอกล่อหยางเฟิงอย่างเจ้าเล่ห์
ตัวเขาเองก็รู้สึกสนใจประวัติความเป็นมาของถังเยว่
แต่เห็นได้ชัดว่าองค์รัชทายาททรงทราบ
จึงจงใจรับสั่งให้องครักษ์ลับทำลายร่องรอยหลักฐานในอดีตของพระชายามิให้ผู้ใดมีโอกาสสืบหาได้พบ
“ที่น้องหวังพูดมาก็ถูก เสียดายที่ปริมาณกระสุนเพลิงมีน้อยเกินไป
ศึกครั้งนี้ใช้ไปกว่าครึ่งโกดังของที่มีอยู่ ที่เหลือก็มีพอใช้ได้แค่อีกครั้งเดียว”
“รู้จักพอบ้างเถอะ
น้ำมันเพลิงที่ใช้กับกระสุนปืนใหญ่พระชายาก็เป็นผู้ผสมขึ้นเอง
อุตส่าห์แบ่งปันของพวกนี้ให้เมืองฉินหยางก็นับว่าทรงเห็นความสำคัญของเมืองฉินหยางมากแล้ว”
หยางเฟิงคิดทบทวนแล้วก็เห็นด้วย
ศึกใหญ่ของหนานจิ้นอยู่ทิศเหนือ
ทหารที่แข็งแกร่งของเป่ยเยว่มิได้ขี้ขลาดอ่อนด้อยอย่างทัพพันธมิตรฉีอ๋องที่ฟันฉับดาบเดียวก็สามารถสังหารได้หนึ่งคน
“ทางเป่ยเยว่เกรงว่าจวนจะบุกแล้วเช่นกันกระมัง?” หยางเฟิงถอนหายใจ
เมื่อไรพวกเขาถึงจะสามารถกำราบเป่ยเยว่ให้ยอมศิโรราบได้สักที
ปวงประชาจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับภัยสงครามอีก
“ที่นั่นมีทหารที่มีประสิทธิภาพของหนานจิ้นหนึ่งแสนนาย
ย่อมไม่ถูกโค่นล้มได้ง่ายดายแน่”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
228 เช่นนั้นจะประเสริฐและดีงามมาก
ข่าวแห่งชัยชนะฉบับหนึ่งถูกส่งด่วนแปดร้อยลี้ถึงเมืองเย่เฉิง
เวลานี้จักรพรรดิหนานจิ้นจึงเพิ่งได้ทราบข่าวการตายของฉีอ๋อง
ตามข่าวลับที่ได้รู้นี่เป็นผลจากแผนการของรัชทายาทเจาที่เดินทางไปเมืองฉินหยาง
จักรพรรดิหนานจิ้นพอใจผลงานนี้ของรัชทายาทเจาเป็นอย่างยิ่ง
“วิเศษ! วิเศษจริงๆ ฮ่าๆๆ” จักรพรรดิหนานจิ้นหัวเราะร่าด้วยความดีใจอย่างสุดแสน
“กระหม่อมขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องทัพพันธมิตรของฉีอ๋องและเผ่าเยว่อี๋แล้ว
ฝ่าบาททรงเปี่ยมพระบารมียิ่งนัก” เสนาบดีตุลาการเซวียรีบประจบ
“มันก็ยังไม่แน่หรอก” อานกั๋วกงพูดอย่างสุขุม “แม้จวนฉีอ๋องจะปราศจากผู้ที่มีคุณสมบัติเป็นผู้สืบทอด
แต่ฉีอ๋องมีสมุนที่จงรักภักดีและมักใหญ่ใฝ่สูงอีกไม่น้อย
ขอเพียงพวกเขายังคงขวัญกล้า ทัพพันธมิตรก็ไม่แน่ว่าจะล่มสลายเพราะการตายของฉีอ๋อง”
“ตรงจุดนี้ฝ่าบาทคงมีแผนการแต่แรกแล้ว ไม่ทราบว่าองค์รัชทายาททรงคิดจะรับมือเช่นไร?”
“เวลานี้องค์รัชทายาทถูกกักบริเวณ
จะรู้ได้อย่างไรว่าทรงมีความคิดเห็นเช่นไร!”
อานกั๋วกงพึมพำก่อนจะลอบเงยหน้าชำเลืองมองจักรพรรดิหนานจิ้น เห็นฝ่ายนั้นดูนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านในใจอานกั๋วกงพลันร้อนรุ่มดั่งไฟสุม
รัชทายาทถูกกักบริเวณเช่นนี้แม้จะไม่มีผลกระทบต่อตำแหน่งแต่ก็ทำให้เสื่อมเสียเกียรติ
ใช่ว่าขุนนางเสนาบดีในราชสำนักจะมีใจสวามิภักดิ์ต่อองค์รัชทายาททั้งหมดเสียเมื่อไร
เสนาบดีตุลาการเซวียกับรัชทายาทเจาแม้มิได้ไปมาหาสู่กันอย่างเปิดเผย
แต่เวลานี้กลับออกมาเอ่ยปากขอร้องแทนรัชทายาทเจาอย่างชัดเจน
“พระอาญามิพ้นเกล้า หลายปีมานี้รัชทายาททรงเสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองมาโดยตลอด น้อยครั้งมากที่จะทรงกระทำความผิด ตอนนี้บ้านเมืองอยู่ในยามคับขัน มิสู้ให้รัชทายาทได้ทำคุณไถ่โทษด้วยการช่วยเหลือบ้านเมือง
เช่นนี้จะนับว่าเป็นการยิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัวนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำคุณไถ่โทษงั้นหรือ ฮ่าๆ” จักรพรรดิหนานจิ้นหัวเราะเสียงดังลั่น “เอาละ พวกเจ้าไม่ต้องขอร้องแทนเขาแล้ว ข้าจะบอกความจริงให้ก็ได้ ข้าหาได้กักบริเวณเขาไม่ ตอนนี้เขาอยู่เมืองฉินหยาง”
เพราะวันนี้อารมณ์ดีเป็นพิเศษจักรพรรดิจึงไม่ถือสาที่จะเปิดเผยความลับนี้ให้เหล่าเสนาบดีในราชสำนักได้รับรู้
อานกั๋วกงกับเซวียถิงเว่ยต่างตกตะลึง โดยเฉพาะอานกั๋วกงซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของรัชทายาทนั้นพลันเกิดความห่วงใยขึ้นท่วมใจ
“ฝ่าบาท เมืองฉินหยางอันตรายถึงเพียงนั้น รัชทายาทเสด็จไปเช่นนี้เสี่ยงอันตรายเกินไปนะพ่ะย่ะค่ะ!”
จักรพรรดิหนานจิ้นจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตานิ่งสงบ
“ข้าย่อมต้องใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของรัชทายาทอยู่แล้วอานกั๋วกงวางใจเถอะ”
เสนาบดีตุลาการเซวียเห็นบรรยากาศเริ่มตึงเครียดจึงรีบช่วยพูดไกล่เกลี่ย
“ฝ่าบาทกับองค์รัชทายาทคงมีแผนการที่แยบคายอยู่เป็นแน่
พ่อลูกร่วมใจต้านข้าศึก เห็นทีศึกครั้งนี้หนานจิ้นของพวกเราจะต้องคว้าชัยมาได้แน่!”
พูดจบก็ขยิบหูขยิบตาให้อานกั๋วกง
บอกใบ้ให้ฝ่ายตรงข้ามพูดให้น้อยหน่อย ต่อให้พวกเขาเป็นห่วงรัชทายาทแต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงออกชัดเจน
เช่นนี้มิเท่ากับเป็นการตำหนิจักรพรรดิว่าไม่ห่วงใยพระโอรสหรอกหรือ
ยิ่งไปกว่านั้นเสนาบดีตุลาการเซวียยังเชื่อมั่นในองค์รัชทายาท อย่าว่าแต่ฉินหยาง
ต่อให้ไปเมืองฉู่โจวองค์รัชทายาทก็จะต้องปลอดภัยไม่มีสิ่งใดมาแผ้วพานทำร้ายได้
องค์รัชทายาทผู้เกรียงไกรแห่งหนานจิ้นของพวกเขาหาใช่นกน้อยในกรงทองไม่!
“สถานการณ์ในเมืองฉินหยางเวลานี้ไม่สู้ดีนักก็จริงอยู่ แต่ทัพใหญ่เป่ยเยว่ยกมาประชิดชายแดน ไพร่พลในราชสำนักที่สามารถโยกย้ายได้มีอยู่อย่างจำกัด ข้ามีราชโองการสั่งให้ทหารรักษาการณ์ที่อยู่ใกล้ไปช่วยแล้ว
แค่พวกก่อความไม่สงบกลุ่มเดียวหนานจิ้นต้องไม่แพ้เด็ดขาด!”
“ฝ่าบาททรงใคร่ครวญได้รอบคอบยิ่งนัก” เสนาบดีตุลาการเซวียรีบเอ่ย ทว่าในใจกลับไม่เห็นด้วย ‘จำนวนทหารรักษาการณ์แต่ละเมืองก็มิได้มีมากมาย ที่อยู่ใกล้ฉินหยางที่สุดก็มีแต่เมืองอวี้ซิน
เมืองอื่นที่เหลือล้วนอยู่ไกลเกินไป จะยอมเคลื่อนทัพมาช่วยหรือไม่เป็นอีกเรื่อง
หรือต่อให้ยอมเคลื่อนทัพมาช่วยแต่กำลังอาวุธของทหารรักษาการณ์เหล่านั้นก็มิได้ดีกว่าข้าศึกศัตรูสักเท่าไร
ช่างน่ากลุ้มใจยิ่งนัก!’
ทั้งสองออกมาจากวังหลวง อานกั๋วกงมีสีหน้าบึ้งตึงถึงขีดสุด เสนาบดีตุลาการเซวียร้องเรียกเขาก็ไม่ตอบรับ
นั่นเพราะตอนนี้เขาทั้งโมโหทั้งร้อนใจ ข้อแรกเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของรัชทายาท ข้อสองเขาโกรธหูจินเผิงลูกชายตัวเอง ระยะนี้เจ้าเด็กนั่นหายเงียบไป
ต้องอยู่กับรัชทายาทแน่ เรื่องใหญ่ขนาดนี้แต่กลับปิดบังไม่ให้เขารู้ เช่นนี้จะไม่ให้โมโหได้อย่างไร!
“ท่านกั๋วกง อย่าโมโหไปเลย
เสียสุขภาพเปล่าๆ รัชทายาทจะต้องเสด็จกลับมาอย่างปลอดภัยแน่
ท่านต้องมั่นใจในองค์รัชทายาทสิถึงจะถูก” เสนาบดีตุลาการเซวียตามมาปลอบโยน
อานกั๋วกงแค่นหัวเราะเสียงเย็น “จักรพรรดิทรงปล่อยให้รัชทายาทไปตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้
ใครจะรู้ว่าพระองค์ทรงคิดอย่างไร
แต่ก็ต้องขอบคุณใต้เท้าเซวียมากที่เมื่อครู่ช่วยพูดให้”
“เหตุใดถึงกล่าวเช่นนี้ พวกเราเป็นขุนนางร่วมราชสำนัก
ทั้งยังหวังให้องค์รัชทายาทเสด็จกลับมาอย่างปลอดภัย
การช่วยเหลือซึ่งกันและกันนับเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”
อานกั๋วกงพยักหน้า กล่าวขอบคุณอีกครั้งแล้วขึ้นม้าจากไป
ณ เมืองฉินหยาง
คณะของรัชทายาทเจาเตรียมเดินทางออกจากเมืองนี้ ทัพหนุนเพิ่งมาถึงเมื่อหนึ่งเค่อก่อน แต่มาแค่สองพันนาย ตอนหลี่เจายืนอยู่บนป้อมประตูเมืองมองไปยังทัพหนุนที่มีอาวุธไม่พร้อมและมีจำนวนบางตาสีหน้าก็พลันเย็นเยียบดุจภูเขาน้ำแข็ง
“คนพวกนี้บุกป่าฝ่าดงเดินทางไกลมาถึงนี่เกรงว่าในใจคงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง” ถังเยว่เอ่ยพลางทอดถอนใจ เขาถึงขั้นสงสัยว่าคนเหล่านี้อาจมาถึงตั้งนานแล้ว
เพียงแต่รอให้สงครามยุติก่อนค่อยปรากฏตัว แม้ความคิดนี้ของเขาอาจดูต่ำทรามไปหน่อยแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“เดิมทีพวกทหารรักษาการณ์ก็ไม่เข้มแข็งอยู่แล้ว ยามปกติพวกเขาเก่งแต่ข่มเหงรังแกชาวบ้าน แม้แต่ความกล้าหาญจะไปปราบโจรก็ยังไม่มี ไหนเลยจะคู่ควรมาออกศึก”
“จักรพรรดิส่งคนพวกนี้มาเป็นทัพหนุน
หรือทรงคิดว่าศึกครั้งนี้จะไม่มีการต่อสู้?”
หลี่เจาเลิกคิ้ว “มิใช่เช่นนั้น
แต่เพราะเสด็จพ่อรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่และต้องแก้ปัญหานี้ได้อย่างแน่นอน”
ถังเยว่ไม่รู้ว่าจักรพรรดิหนานจิ้นฉลาดหรือโง่เขลากันแน่
ทำเช่นนี้มิเท่ากับใช้ลูกชายตัวเองเป็นเดิมพันอย่างนั้นหรือ
ถ้าหากรัชทายาทต้านทานไม่อยู่จะไม่เท่ากับเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่หรืออย่างไร!
“จักรพรรดิทรงมั่นพระทัยในฝ่าบาทยิ่งนัก!” ถังเยว่พูดได้เพียงเท่านี้
หลี่เจาจูงมือถังเยว่ก้าวลงจากป้อมประตูเมือง โบกมือสั่งให้ขบวนที่เตรียมพร้อมออกเดินทางหันหัวกลับ “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว จะอยู่ฉินหยางต่อ”
ทุกคนต่างงุนงงไม่เข้าใจ แม้แต่ถังเยว่ก็ยังเดาใจอีกฝ่ายไม่ถูก
“เพราะเหตุใด?”
หลี่เจาประคองเขาขึ้นรถม้า พ้นสายตาทุกคนแล้วจึงค่อยอธิบาย
“เตรียมการไว้ให้พร้อม มะรืนนี้พวกเราจะตรงไปเมืองฉู่โจว”
“ทางนั้นส่งข่าวมาหรือยัง
เปิดศึกกันแล้วหรือ?”
“สองทัพดูเชิงกันอยู่
ตอนนี้ยังไม่มีการเคลื่อนไหวชั่วคราว”
“เป่ยเยว่นี่ก็แปลก
ป่านนี้แล้วยังไม่บุกไม่ถอย ไม่ทำสิ่งใดสักอย่าง เอาแต่เฝ้าดูเชิงอยู่แบบนี้ มีแผนการอะไรกันแน่” ถังเยว่มองอย่างไรก็ไม่เข้าใจ
หลี่เจาขมวดคิ้วหยิบแผนที่ออกมาจ้องมองเนิ่นนาน
ถังเยว่เห็นบนแผนที่มีรายละเอียดขีดเขียนไว้มากมาย ทั้งยังวาดภาพไว้ไม่น้อย
คิดว่าหลี่เจาจะต้องจำลองสถานการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว
“ผู้นำทัพใหญ่เป่ยเยว่ครั้งนี้คือหลินขุย คนผู้นี้มีผลงานด้านการรบที่ยอดเยี่ยม ซื่อสัตย์จงรักภักดี
เสียอย่างเดียวเป็นคนใจร้อนบุ่มบ่าม ชอบเสี่ยงทำไปก่อนโดยมิได้คิดวางแผนให้รอบคอบ”
“ถ้าเช่นนั้น...ศึกครั้งนี้ก็ดูเหมือนมิใช่รูปแบบการรบของเขา”
“นั่นสิ หรือเป่ยเยว่จะเปลี่ยนแม่ทัพคนใหม่กะทันหัน คงมิใช่ว่า…” ดวงตาวาวโรจน์ดุจคบเพลิงของหลี่เจาจับจ้องไปยังตำแหน่งทุกจุดบนแผนที่ คิ้วขมวดมุ่น “ต้องมีบางสิ่งที่พวกเราคาดไม่ถึงแน่”
ถังเยว่ยื่นมือไปแตะหน้าผากอีกฝ่าย
“มนุษย์มิใช่เทพคำนวณ
ไหนเลยจะหยั่งรู้ทุกสิ่ง ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน[1]พระทัยร้อนไปก็ไม่เกิดประโยชน์ รอดูไปก่อน ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องรู้แน่ว่าพวกเขาคิดเล่นลูกไม้อะไร”
หลี่เจาพยักหน้าแล้วเก็บแผนที่ให้เรียบร้อย
พอมาถึงจวนเจ้าเมืองเขาก็สั่งให้คนไปตามหยางเฟิงและหวังติ่งจวินมาสั่งการสองเรื่อง
เรื่องแรกคือเมื่อทัพหนุนสองพันนายเดินทางมาถึงให้รับเข้าร่วมหน่วยรบชั่วคราว
ฝึกซ้อมอย่างเข้มงวดทุกวัน ต้องถอดรูปแปลงร่างพวกเขาให้แข็งแกร่งขึ้นภายในสิบวันหรือครึ่งเดือนให้จงได้
“ต่อให้เป็นทหารฝีมือต่ำต้อยอย่างไรก็ยังมีค่า”
รัชทายาทเจาไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไปตามยถากรรม ไม่ว่าจะเต็มใจมาร่วมรบหรือไม่ ในเมื่อมาแล้วก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
ขอเพียงไม่อยากตายก็ต้องดึงพลังแฝงขึ้นมาใช้อย่างไร้ขีดจำกัดให้จงได้
เรื่องที่สองคือเพิ่มกำลังคนออกไปสืบข่าว เรื่องราวทั่วทุกสารทิศในเมืองฉินหยางแม้แต่นิดเดียวก็ห้ามปล่อยให้หลุดลอดไปได้ เมื่อมีการเคลื่อนไหวให้รีบรายงานกลับมาทันที
เจ้าเมืองหยางมีสีหน้าเคร่งขรึม
เรียกทัพหนุนมาด่าสั่งสอนก่อนหนึ่งยกแล้วค่อยเอ่ยถาม
“ฝ่าบาททรงสงสัยว่าข้าศึกจะบุกตีต่ออย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
หวังติ่งจวินเอ่ยความเห็น “ต่อให้มาก็ไม่น่าจะเร็วนัก ครั้งก่อนข้าศึกเสียหายหนักมาก
กำลังใจถดถอย หากบุกตีเมืองต่อผลลัพธ์ไม่แน่ว่าจะดี”
รัชทายาทเจาเข้าใจในจุดนี้ สิ้นฉีอ๋องแล้วไพร่พลจวนฉีอ๋องกับเผ่าเยว่อี๋ไม่มีทางที่จะสมานสามัคคีกันได้อีก
มีแต่จะลอบกัดกันเองเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ภายในกองทัพพันธมิตรย่อมเกิดความขัดแย้ง ตามหลักแล้วพวกเขาไม่ต้องกังวลถึงจะถูก
เมื่อคิดไม่ตกรัชทายาทเจาจึงเลิกคิด
ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเดินทางช้าลงอีกสองวันจึงถือโอกาสช่วยจัดการเรื่องสำคัญในชีวิตผู้ใต้บังคับบัญชาให้เรียบร้อย
เขาบอกให้หยางเฟิงออกไปก่อน เมื่ออยู่ตามลำพังกับหวังติ่งจวินจึงเอ่ยถาม “เจ้าอยากเป็นคู่ครองของจงโหย่งโหวจริงหรือ?”
หวังติ่งจวินถูกถามแบบไม่ได้ตั้งตัวจึงมีสีหน้ากระอักกระอ่วนแต่ก็ยังพยักหน้าอย่างซื่อตรง
“คนที่บ้านเจ้ายอมรับเรื่องนี้ได้หรือ?”
รอยยิ้มจุดขึ้นที่มุมปากของหวังติ่งจวินขณะเอ่ยตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“บิดากระหม่อมคงอยู่ได้อีกไม่นาน
มารดากระหม่อมจากโลกนี้ไปนานแล้ว ส่วนพี่น้องล้วนไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่ายเรื่องคู่ครองของกระหม่อม”
นี่ก็หมายความว่าเมื่อบิดาล่วงลับจากโลกนี้ไปก็จะไม่มีใครสามารถก้าวก่ายเรื่องของเขาได้อีก
“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจเช่นนี้ข้าก็จะเป็นเจ้าภาพจัดการเรื่องนี้ให้เอง เพียงแต่ถ้าภายภาคหน้าเจ้าข่มเหงจงโหย่งโหว เกรงว่าพระชายาจะไม่ละเว้นเจ้าแน่”
หวังติ่งจวินได้ยินเช่นนั้นก็ยินดียิ่ง รีบทรุดตัวคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“ขอบพระทัยฝ่าบาท
กระหม่อมย่อมไม่ข่มเหงรังแกเขาเป็นอันขาด ขอพระชายาโปรดวางพระทัย”
ถ้าจะข่มเหง…ก็คงเป็นการข่มเหงเรื่องอย่างว่า
ในจุดนี้คิดว่าจงโหย่งโหวและพระชายาคงไม่ตำหนิเขากระมัง?
รัชทายาทเจาเห็นท่าทางอีกฝ่ายแล้วอดรู้สึกระอาใจไม่ได้จึงได้แต่สั่งกำชับ
“ต่อไปเจ้าก็เฝ้าเขาไว้ดี
อย่าให้เขามาวุ่นวายกับพระชายาได้อีก”
“น้อมรับพระบัญชา!” หวังติ่งจวินกระแอมหนึ่งที พยายามระงับความตื่นเต้นดีใจแล้วถาม “ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงวางแผนว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้กระหม่อมเช่นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
หากได้รับสมรสพระราชทานจริงคงจะประเสริฐและดีงามยิ่งนัก!
เชิงอรรถ
- หมายถึง
แก้ปัญหาไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
229 อายุไม่น้อยแล้วควรแต่งงานมีครอบครัวได้แล้วกระมัง
รัชทายาทเจาเอ่ยปากว่าจะเป็นเจ้าภาพจัดการเรื่องคู่ครองให้หวังติ่งจวิน
ตกบ่ายจึงเรียกจางฉุนมาพบโดยมีเสี่ยวลั่วลั่วติดตามมาด้วยเด็กน้อยถูกจางฉุนอุ้มมาไว้เป็นโล่กำบัง
รัชทายาทเจาตรวจการบ้านของเสี่ยวลั่วลั่ว
เด็กน้อยอายุห้าขวบคนนี้เรียนรู้วิชาอ่านเขียนมานานแล้ว
เวลานี้กำลังศึกษาเล่าเรียนกับอาจารย์เหวินในจวน นอกจากวิชาการแล้ว ด้านวิทยายุทธ์ก็ห้ามละทิ้ง แม้ถังเยว่จะรู้สึกว่าไม่จำเป็นแต่เขาก็ยกตนเองเป็นตัวอย่าง
ตอนเขาอายุห้าขวบแม้แต่เวลาจะเที่ยวเล่นยังไม่มี ไหนเลยจะมีความสุขอย่างเสี่ยวลั่วลั่วที่ทั้งมีเวลาได้เล่นได้ทำงานฝีมือ
ซึ่งที่จริงแล้วก็เป็นการเล่นอีกอย่างหนึ่งนั่นเอง
หลังตรวจการบ้านเสร็จ รัชทายาทเจาบอกให้เสี่ยวลั่วลั่วไปหาถังเยว่
จากนั้นจึงอยู่ในห้องกับจางฉุนตามลำพัง
จางฉุนนั่งกระสับกระส่ายอยู่ครู่หนึ่ง
ในที่สุดก็เอ่ยถามออกมาตรงๆ
“ฝ่าบาท เรียกกระหม่อมมามีกิจอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้วสมควรจะมีครอบครัวได้แล้วกระมัง” รัชทายาทเจาตอบตรงประเด็นยิ่งกว่าคนถาม
ใช้ประโยคเดียวบอกถึงวัตถุประสงค์ได้อย่างชัดเจน
มีครอบครัว...ก็หมายความว่าให้ย้ายออกจากจวนรัชทายาท!
หมายความว่าหลังจากนี้เขาจะพบเจอถังเยว่ตลอดเวลาไม่ได้แล้ว จะไม่ได้หัวเราะและเล่นสนุกกับเสี่ยวลั่วลั่วซึ่งเขาคลุกคลีสนิทชิดเชื้อยิ่งกว่าบิดาของเด็กน้อยเสียอีก
“เหอะๆ” จางฉุนหัวเราะแห้งๆ “เรื่องนี้กระหม่อมไม่รีบ กระหม่อมยังเด็กอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ามีรายชื่อธิดาของเหล่าขุนนางเสนาบดีทั่วเมืองหนานจิ้น มีครบยิ่งกว่ายามเสด็จพ่อคัดเลือกสาวงามเสียอีก
สตรีเหล่านี้เพียบพร้อมทั้งความสามารถและความงาม ข้าให้เวลาเจ้าดูให้หมดภายในหนึ่งวัน แล้วเลือกออกมาสักสองสามคน พอกลับเย่เฉิงแล้วค่อยพิจารณาดูให้ดีอีกครั้ง”
รัชทายาทเจาสั่งจบก็ยื่นสมุดรายชื่อเล่มหนึ่งให้เขา จางฉุนรับไว้ด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
“มิได้…ฝ่าบาท เอ่อ…กระหม่อมมิได้…”
“สมุดรายชื่อแบบเดียวกันนี้หวังติ่งจวินก็มีชุดหนึ่ง บิดาเขาอายุมากแล้วอีกทั้งสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง เขาเป็นลูกควรที่จะกตัญญู”
ในฐานะลูกชายควรกตัญญูอย่างไรล่ะ?
ไม่ว่ายุคไหนสมัยใดคนเป็นพ่อเป็นแม่ล้วนอยากเห็นลูกเป็นฝั่งเป็นฝา จางฉุนมือสั่นระริก สมุดรายชื่อในมือพลันร่วงลงพื้น ใบหน้าซีดเผือด
“เขา…ตอบรับแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
รัชทายาทเจาตอบกำกวม สีหน้าเรียบเฉยปราศจากคลื่นอารมณ์
“เขาบอกว่าจะกลับไปคิดดู
สงครามนับวันมีแต่จะหนักหน่วงขึ้นหวังติ่งจวินเป็นคนที่ข้าฝึกฝนมาเองกับมือ
เมืองฉินหยางแห่งนี้ย่อมมิใช่สนามรบของเขา ต้องเป็นชายแดนเป่ยเยว่ถึงจะถูก”
“เหอะๆ ฝ่าบาทจะเสด็จไปเมืองฉู่โจวมิใช่หรือ กระหม่อมได้หารือกับพระชายาแล้วว่าจะติดตามไปด้วย
กระหม่อมช่วยบริจาคกระโจมหนึ่งพันหลัง ชุดเสื้อบุนวมหนึ่งหมื่นชุดในนามส่วนตัว ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยที่มอบให้ทหารชายแดน” จางฉุนพยายามฉีกยิ้มที่แสนน่าเกลียด จ้องรัชทายาทเจาตาไม่กะพริบ
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยขวัญกล้าขนาดนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เขาแค่อยากให้รัชทายาทเจาเรียกสมุดรายชื่อที่มอบให้หวังติ่งจวินกลับคืนมา
แม้เขาจะรู้ว่านี่มิใช่ปัญหาที่แท้จริง
“เช่นนั้นข้าต้องขอบใจในน้ำใจของท่านโหวน้อยแทนพวกทหารด้วย ไว้เสร็จศึกข้าจะปูนบำเหน็จให้เจ้าก็แล้วกัน”
“มิได้ มิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแค่ช่วยเหลือเล็กน้อยเท่านั้น มิกล้าขอปูนบำเหน็จหรอก...” จางฉุนอึกอักอยู่ครู่หนึ่งจึงถามอย่างระมัดระวัง “แต่ถ้าจะทรงเมตตา ขอเปลี่ยนรางวัลเป็นอย่างอื่นได้หรือไม่?”
“เจ้าปรารถนาสิ่งใด?” รัชทายาทเจารินชาแล้วจ้องมองอีกฝ่ายนิ่งๆ
“เอ่อ...คือ…” จางฉุนหยิบสมุดรายชื่อขึ้นมาแล้วส่งกลับไปให้“ฝ่าบาทคงมิทรงทราบ กระหม่อมมีข้อเสียเยอะมาก
ไม่เหมาะที่จะสมรสมีครอบครัว ดังนั้นสิ่งนี้ไม่จำเป็นหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องที่เจ้ามีข้อเสียอยู่มากมายข้าย่อมรู้ดี
แต่ต่อให้ย่ำแย่ไม่ได้เรื่องได้ราวสักเพียงใดถึงอย่างไรก็ต้องสมรส
เอามาเป็นข้ออ้างไม่ได้หรอก”
จางฉุนอยากร้องไห้เต็มทน ‘ฝ่าบาท นี่ทรงปลอบโยนกระหม่อมอยู่จริงหรือ?
ดูเหมือนเจตนาทิ่มแทงกลางใจกระหม่อมเสียมากกว่า!’
“เรื่องนี้ไม่ต้องรีบ ถึงอย่างไรก็ต้องรอให้กลับเย่เฉิงก่อนจึงจะสามารถเชิญแม่สื่อไปทาบทามพวกนางถึงจวนได้ ตอนข้ามอบสมุดรายชื่อให้หวังติ่งจวินบังเอิญนึกถึงเจ้าขึ้นมา
จึงถือโอกาสมอบให้เจ้าด้วยชุดหนึ่ง
บอกตามตรงข้ายังห่วงว่าพวกเจ้าจะถูกใจสตรีคนเดียวกัน
หากเป็นเช่นนั้นจริงคงปวดหัวน่าดู”
จางฉุนกัดฟันดังกรอด “ฝ่าบาททรงกังวลเกินไปแล้ว สายตากระหม่อมกับเขาจะเหมือนกันได้อย่างไร จะไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นอย่างแน่นอน”
“ก็ไม่แน่หรอก ลางเนื้อชอบลางยา สตรีจากตระกูลใหญ่ก็มีทั้งดีและไม่ดี หญิงดีใครก็อยากได้
ได้ข่าวว่าบุตรสาวคนรองซึ่งเกิดแต่ภรรยาเอกของเสนาบดีตุลาการเซวียมีรูปโฉมงดงามจนน่าตกตะลึง อีกทั้งยังมีความสามารถรอบด้าน เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดกุลสตรีอันดับหนึ่ง”
จางฉุนก้มหน้าพลิกดูสมุดรายชื่อ
เปิดมาหน้าแรกก็เจอผู้หญิงคนนั้นทันที ปีนี้เพิ่งอายุสิบสี่!
‘แม่เจ้า! แต่งงานตั้งแต่อายุแค่นี้จะไม่มีปัญหาจริงหรือ?’
จางฉุนส่ายหน้าแล้วพูดอย่างเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด “สตรีนางนี้ยังเด็กเกินไป ไม่เหมาะกับแม่ทัพหวังหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทเจาแย้ง “อายุมิใช่ปัญหา หวังติ่งจวินเพิ่งแต่งงานครั้งแรก อีกทั้งยังมีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าเมือง
เสนาบดีตุลาการเซวียย่อมไม่ถือสาเรื่องเขาอายุมาก มิหนำซ้ำมีข้าออกหน้าเป็นพ่อสื่อให้
หากเขาถูกใจสตรีนางนี้จริงย่อมมีแนวโน้มว่าจะสำเร็จสูงถึงเก้าส่วน”
“แม่ทัพหวังไม่มีทางถูกใจนางแน่!” จางฉุนยืนยันด้วยความมั่นใจ นิสัยของหวังติ่งจวินเป็นเช่นไรมีหรือเขาจะไม่รู้
“เจ้ายังเด็กเกินไปจึงไม่รู้ว่าการแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ระหว่างสองตระกูล
ไม่ใช่แค่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ เพียงอย่างเดียว ตอนข้าสู่ขอถังเยว่มาเป็นชายาต้องฟันฝ่าอุปสรรคนับไม่ถ้วนกว่าจะมีวันนี้ แต่ในแผ่นดินหนานจิ้นจะมีคนอย่างข้าสักกี่คนกัน”
ความหมายของรัชทายาทก็คือ ‘หากพวกเจ้าจะอยู่ด้วยกันไปวันๆ อย่างไร้อนาคตและไร้ซึ่งความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว มิสู้เลิกราจากกันเสียแต่เนิ่นๆ ยังจะดีเสียกว่า’
จางฉุนหน้างอทันทีแล้วพรวดพราดลุกยืนขึ้น “ขอบพระทัยในความหวังดีของฝ่าบาท กระหม่อมจะกลับไปคิดทบทวนดูให้ดี!”
“อืม เจ้าไม่รีบก็ค่อยๆ คิดไปแล้วกัน แต่หวังติ่งจวินอายุมากแล้วอีกทั้งยังต้องออกรบในไม่ช้า
ก่อนเขาจะไปรบข้าอยากให้เขาจัดการเรื่องแต่งงานให้เรียบร้อย”
จางฉุนได้ยินแล้วตาแทบถลนออกจากเบ้า
“ฝ่าบาท เขาอยู่เมืองฉินหยางแต่สตรีมีชาติตระกูลพวกนี้ส่วนใหญ่อยู่เมืองเย่เฉิง จะรีบร้อนแต่งกันก่อนไปรบได้อย่างไร?”
รัชทายาทเจาปรายตามองเขาเยี่ยงมองคนโง่เขลา
“พ่อแม่ตัดสินใจ แม่สื่อชักนำ ขอเพียงเขาต้องใจธิดาบ้านใดข้าจะออกหนังสือให้ทันที
ให้แม่สื่อไปทาบทามฝ่ายหญิงถึงบ้าน เท่านี้ก็เรียบร้อย ในยามคับขัน
รวบรัดได้ก็ต้องรวบรัด เชื่อว่าหากฝ่ายตรงข้ามมีใจอยากแต่งด้วยย่อมต้องให้อภัย
ยอมรับฟังเหตุผลอย่างแน่นอน”
จางฉุนหัวเราะเหอะๆ ด้วยน้ำเสียงแสนแห้งแล้ง
“รีบร้อนขนาดนี้ฝ่าบาทคิดจะให้เขาให้กำเนิดบุตรชายก่อนยกทัพออกรบด้วยเลยไหมพ่ะย่ะค่ะ?
ป้องกันหากเขาเกิดตายในสนามรบขึ้นมา
เดี๋ยวจะไร้ทายาทสืบสกุลให้รุ่งโรจน์สืบต่อไป”
รัชทายาทเจาพยักหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ท่านเจ้าเมืองผู้เฒ่าคิดเช่นนี้จริงๆ
แต่ข้ารู้สึกว่าเรื่องลูกขึ้นกับบุญวาสนา จะด่วนใจร้อนไม่ได้ เจ้าล่ะคิดว่าอย่างไร?”
ให้ตายสิ! จางฉุนได้ยินแล้วแทบคลั่ง
ทำไมเขาต้องมายืนถกเถียงกับรัชทายาทเรื่องหวังติ่งจวินจะแต่งงานมีลูกอยู่ตรงนี้ด้วย!
“ฝ่าบาท
เรื่องนี้ต้องถามความเห็นของหวังติ่งจวินเสียก่อน ว่าเขาจะยินยอมหรือไม่…”
จางฉุนพูดยังไม่ทันจบก็ถูกรัชทายาทเจาขัดขึ้น
“เขาจะไม่ยินยอมได้อย่างไร ตอนอยู่จวนรัชทายาทเป็นเพราะข้าเกรงว่าหลังจากแต่งงานมีครอบครัวแล้วเขาจะไม่มีสมาธิทำงานจึงมิได้ให้เขาแต่งงานสักที แต่ตอนนี้ถึงเวลาเหมาะสมแล้ว บุรุษสร้างหลักปักฐานเป็นสิ่งที่สมควรทำ”
จางฉุนพึมพำเบาๆ ประโยคหนึ่ง
“ฝ่าบาทก็มิได้เป็นไปตามครรลองที่ควรจะเป็น…”
รัชทายาทเจาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงบ่นพึมพำนั้น
เพียงเปรยขึ้นลอยๆ
“หากเขาอยากจะเลียนแบบเส้นทางแสนลำบากของข้าก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ก็ต้องเป็นอัจฉริยบุคคลอย่างถังเยว่ด้วยนะถึงจะคู่ควร ไม่เช่นนั้นข้าก็คงไม่เห็นด้วย”
จางฉุนเดินออกมาจากห้องด้วยอาการหน้ามืดวิงเวียน พุ่งตรงไปหาหวังติ่งจวินก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนพวกเขาจะคุยอะไรกัน ลงไม้ลงมือวิวาทหรือแค่ทำสงครามเย็นกันนั้น
รัชทายาทเจามิได้ใส่ใจเลยสักนิด
วันที่สาม อากาศดีเป็นพิเศษ พระอาทิตย์ดวงโตลอยเด่นอยู่บนผืนฟ้า
อากาศที่หนาวเหน็บขมุกขมัวติดต่อกันมาหลายวันค่อยๆ จางหายไปตามแสงแดดที่เจิดจ้า
“ฝ่าบาท เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้วสามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ” หวังติ่งจวินรายงานอย่างกระตือรือร้น หลี่เจาปรายตามองเขาครู่หนึ่งก่อนจะหันไปถามถังเยว่ “ที่เดิมพันกันไว้เมื่อวานยังมีผลอยู่หรือไม่?”
ถังเยว่เหลือบมองหวังติ่งจวินแวบหนึ่ง
อันที่จริงไม่ต้องถาม แค่ดูสีหน้าและแววตาก็รู้ว่าหวังติ่งจวินได้ตามที่ปรารถนาแล้ว
เขาควักถุงเงินออกมาแล้วหยิบเงินหนึ่งตำลึงทองส่งให้หลี่เจา
ทำทีเป็นมองไม่เห็นดวงตากระหยิ่มยิ้มย่องของอีกฝ่าย ขณะเดินผ่านก็พูดเพียง “กระหม่อมจะไปดูจงโหย่งโหวสักหน่อย” ทว่าเพิ่งก้าวเท้าพ้นประตูก็บังเอิญชนกับเจ้าเมืองหยางที่กำลังรีบเร่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา เจ้าเมืองหยางไม่ทันเอ่ยปากขอโทษก็วิ่งพรวดเข้าไปรายงานรัชทายาทด้วยสีหน้าร้อนรน
“ฝ่าบาท เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
“หือ?”
“ทัพใหญ่ประมาณหนึ่งแสนยกมาประชิดเมืองฉินหยาง
อีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามก็จะมาถึงแล้ว ควรทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”
“ทัพใหญ่หนึ่งแสนงั้นหรือ?” ทุกคนในที่นั้นต่างตื่นตะลึง ถังเยว่หันมาถาม “พวกเขาเอาทัพใหญ่หนึ่งแสนมาจากไหน
หรือว่าเกณฑ์ทหารแบบเฉพาะกิจ?”
หลี่เจาส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าแคว้นใดก็ไม่มีทางใช้วิธีเกณฑ์ชาวบ้านมาเป็นทหารแล้วส่งลงสนามรบทันที
ที่ดินศักดินาของฉีอ๋องอยู่ในเขตหนานจิ้น ในเมื่อฉีอ๋องยังทำไม่ได้
ทายาทของเขายิ่งไม่มีทางทำได้”
“งั้นนี่ก็คือ…”
หลี่เจาก้าวเท้ามายืนหน้าจุดแขวนแผนที่
จ้องมองเนิ่นนานก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น
“ดูเหมือนว่าที่เป่ยเยว่ยังไม่ยอมเคลื่อนไหว
คงเพราะกำลังรอข้าอยู่ที่นี่”
“ความหมายของฝ่าบาทคือ…” ถังเยว่เดินมายืนเคียงข้าง เห็นอีกฝ่ายขีดเส้นบนแผนที่ลากจากเมืองฉินหยางโยงไปยังชายแดนเป่ยเยว่ด้วยดวงตาแดงก่ำ
หยางเฟิงกับหวังติ่งจวินเห็นแล้วร้องอุทานด้วยความตกใจ
“ที่แท้เป้าหมายของเป่ยเยว่ก็คือเมืองฉินหยาง! เพราะเหตุใด?”
เมืองฉินหยางอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้
สำหรับเป่ยเยว่ถือว่าอยู่ไกลเกินไป
เหตุใดพวกเขาถึงเดินทางรอนแรมนับพันลี้มาถึงที่นี่ได้ หรือเพื่อมาสมทบกับทัพพันธมิตรฉีอ๋องร่วมแรงกันโจมตีฉินหยางให้แตกพ่าย! สองเจ้าเมืองสบตากัน ต่างเห็นแววตื่นตระหนกและทุกข์กังวลของกันและกัน
“ฝ่าบาท กระหม่อมจะไปสั่งให้คนเตรียมทำศึก! ให้เจ้าเมืองหวังพาพระองค์หลบหนีไปจากที่นี่ก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หยางเฟิงตัดสินใจเตรียมเปิดศึกชี้ชะตาไว้เรียบร้อยแล้ว
เขาต้องการถ่วงเวลาให้เพียงพอที่รัชทายาทเจาจะหนีไปได้ทัน ทว่าหลี่เจากลับส่ายหน้า
“ข้าไม่ไป อย่างน้อยก็มิใช่ตอนนี้
ให้คนไปสืบสถานการณ์กองทัพข้าศึกให้แน่ชัดก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที”
“ฝ่าบาท!” หยางเฟิงกับหวังติ่งจวินร้องออกมาพร้อมกัน
ทว่ายังไม่ทันได้ยกเหตุผลร้อยพันมาอ้างอิงถังเยว่ก็เอ่ยห้ามพวกเขาไว้เสียก่อน
“พวกท่านอย่าห้ามอีกเลย รัชทายาทเสด็จมาเมืองฉินหยางย่อมต้องเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดีแล้ว
พวกท่านแค่รอรับคำสั่งก็พอ”
หวังติ่งจวินนึกบางอย่างขึ้นได้ทันที
มีเพียงหยางเฟิงที่ยังคงงุนงงมิหนำซ้ำในใจยังอดรู้สึกไม่ได้ว่าถังเยว่พูดจาคุยโวเกินจริง
ดังนั้นขณะที่เขากำลังจะอ้าปากทักท้วงอีกครั้งก็ถูกหวังติ่งจวินดึงแขนเสื้อไว้แล้วใช้สายตาปราม
230 ผู้พิทักษ์เกราะนิลออกโรง
“ปิดประตูเมือง! เตรียมออกรบ!”
ยอดอาชาไนยฝีเท้าดีตัวหนึ่งวิ่งทะยานมาถึงหน้าประตูเมืองด้วยความรวดเร็ว
คนผู้หนึ่งตะโกนเสียงดังอยู่บนหลังม้าก่อนจะกระโดดลงมาแล้ววิ่งตรงขึ้นไปจุดไฟสัญญาณบนยอดป้อมประตูเมือง
ป้อมจุดสัญญาณไฟแห่งนี้ถูกทิ้งร้างมานานปี
ยุทธการก่อนหน้าก็ไม่เคยมีการจุดไฟมาก่อนเพราะทุกคนรู้ว่าถึงจุดไปก็คงไม่เกิดประโยชน์
กลุ่มควันดำลอยสูงขึ้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งถือคบเพลิงไว้ในมือสายตาจับจ้องไปยังกลุ่มควันที่ลอยสูงอยู่ในอากาศก่อนจะเคลื่อนสายตาย้ายไปมองยังจุดที่อยู่ไกลออกไป
ในจุดที่แผ่นฟ้าเชื่อมต่อกับผืนดินดูเหมือนจะมีควันดำอีกกลุ่มเคลื่อนตรงมาทางนี้ เขาโยนคบเพลิงทิ้งแล้วกู่ก้องร้องตะโกนเสียงดัง
“กองทัพข้าศึกประชิดเข้ามาแล้ว เร่งมือเร็วเข้า!”
กลางวันแสกๆ จู่ๆ ชาวฉินหยางก็พบว่าบรรยากาศในเมืองเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ทหารที่เดิมควรจะได้ผ่อนคลายสบายอารมณ์เพราะเป็นฝ่ายชนะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พวกเขาพุ่งตรงไปยังประตูเมืองอย่างพร้อมเพรียงภายในชั่วพริบตา ชาวบ้านเห็นแล้วต่างหวาดผวา ตามท้องถนนจึงมีผู้คนรีบวิ่งหนีเข้าบ้านเรือนกันจ้าละหวั่น
“ไหนว่ารบชนะแล้วมิใช่หรือ? เหตุใดถึงรบกันอีกแล้วล่ะ?” ผู้เฒ่าท่านหนึ่งถามขึ้นแล้วทอดถอนใจ
“ใครจะไปรู้ บางทีทัพข้าศึกอาจมีทัพหนุนมาช่วยกระมัง
แต่ไม่ต้องกลัวหรอก ได้ยินว่ามีผู้สูงศักดิ์มาบัญชาการทัพอยู่ในเมือง ผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นได้นำกระสุนเพลิงซึ่งเป็นของหายากในแผ่นดินมาด้วย ของชนิดนี้มีอานุภาพพอที่จะทำให้ข้าศึกตกใจและตื่นกลัว ครั้งก่อนได้ยินว่าพวกเราก็ใช้สิ่งนี้เอาชนะข้าศึก”
“เฮ้อ! หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น มิฉะนั้นพวกเรา…แต่อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลย พาคนไปช่วยที่ถนนอวี้หรงกันดีกว่า เผื่อจะช่วยหยิบจับอะไรได้บ้าง”
“ดี! ข้าเห็นด้วย”
เวลาหนึ่งชั่วยามผ่านไปไวเหมือนโกหก แผ่นดินกว้างใหญ่ที่เคยเงียบสงบกลับมีเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นให้ได้ยินเป็นระลอก แม้จะไม่เห็นเหตุการณ์แต่ทุกคนก็สามารถจินตนาการภาพกองทัพทหารม้านับพันนับหมื่นกำลังวิ่งทะยานด้วยความเร็วสูงได้
“รายงาน! กองทัพข้าศึกหนึ่งแสน แนวหน้าสามหมื่นมาถึงเมืองแล้ว จะแบ่งทัพออกโจมตีทันทีหรือไม่ขอรับ!”
“รายงาน! กองกำลังปีกซ้ายหนึ่งหมื่นของทัพข้าศึกกำลังขุดดินในระยะห่างจากประตูเมืองออกไปราวห้าสิบจั้ง
ดูเหมือนพวกเขาคิดจะผ่านเข้าเมืองโดยทางใต้ดิน ขอท่านเจ้าเมืองโปรดมีบัญชา!”
“รายงาน! กองกำลังปีกขวาหนึ่งหมื่นของทัพข้าศึกอ้อมไปด้านหลัง
วางแผนจะโจมตีจากด้านหลัง ขอท่านเจ้าเมืองโปรดส่งกำลังไปช่วยต้านทัพข้าศึกด้วยเถิดขอรับ!”
หยางเฟิงขมวดคิ้วแน่นเป็นปม
เขาเหลือบมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกาย
“ฝ่าบาท ศึกครั้งนี้ควรรับมืออย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”
เห็นได้ชัดว่าเจ้าเมืองหยางรู้ซึ้งว่าหมดหนทาง
ศึกครั้งนี้ในสายตาเขาไม่มีทางเอาชนะได้เลย นอกจากจะมีกระสุนเพลิงที่ใช้ในการรบครั้งก่อนมากหน่อย
แต่ถึงอย่างนั้นก็คงมิอาจต้านทานทัพใหญ่จำนวนถึงหนึ่งแสนนี้ได้อยู่ดี
“รอ!” รัชทายาทเจาเอ่ยออกมาเพียงคำเดียว
“รอ?”
คำตอบนี้ทำให้หยางเฟิงรู้สึกว่าตนใกล้จะเสียสติขึ้นมาจริงๆ ต้องรอไปถึงเมื่อไร? หรือรัชทายาทนึกว่าจะยังมีทัพหนุนมาช่วยอีกอย่างนั้นหรือ?
ฮึ! อย่าว่าแต่ทัพหนุนเลย
ต่อให้ทหารรักษาการณ์บริเวณโดยรอบในระยะพันลี้มารวมตัวกัน
ก็ยังไม่พอต้านทัพใหญ่หนึ่งแสนของศัตรูเลยด้วยซ้ำ
“ฝ่าบาท ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่ากองกำลังของศัตรูแข็งแกร่งขึ้นมาก
แสดงว่าต้องมีทหารชั้นยอดของเป่ยเยว่อย่างน้อยห้าหมื่นนายร่วมทัพ ผู้นำทัพก็คงเป็นขุนศึกยอดฝีมือ อาศัยเฉพาะคนของพวกเราที่มี…”
สายตาของรัชทายาทเจาจับจ้องไปยังบริเวณนอกกำแพงใต้ป้อมประตูเมือง ด้านหน้ากองกำลังทหารของศัตรูที่ยืนเรียงรายแผ่รัศมีทรงพลังอยู่นั้นมีบุรุษผู้หนึ่งมองขึ้นมาบนป้อมด้วยแววตามาดร้าย
“ฮ่าๆๆ เจ้าพวกหนานจิ้นเต่าหดหัว! ยังไม่รีบยอมแพ้อีกหรือ ขอเพียงพวกเจ้ายอมเปิดประตูเมือง ข้าผู้เป็นแม่ทัพรับรองว่าราษฎรในเมืองจะไม่ตาย! มิเช่นนั้นรอข้าพังประตูเมืองเข้าไปได้เมื่อไร ฉินหยางจะต้องนองไปด้วยเลือด!”
“เปิดประตูเมือง! เปิดประตูเมือง! ยอมแพ้! ยอมแพ้!”
เสียงพูดอย่างพร้อมเพรียงดังกึกก้องสะท้อนกังวานจนแทบจะไปถึงฟากฟ้าเหนือเมืองฉินหยาง ราษฎรในเมืองได้ยินเสียงโห่ร้องของทหารข้าศึกก็ต่างตกใจจนแข้งขาอ่อน
“ยอมจำนนจึงจะสามารถรักษาชีวิตไว้ได้…”
จิตใจราษฎรในเมืองเริ่มสั่นคลอน ไม่มีใครไม่กลัวตาย เมื่อรู้ว่ามีทางรอดใครบ้างจะไม่อยากรอด!
“หุบปาก! เหล่าทหารแนวหน้าซึ่งเป็นญาติมิตรลูกหลานของพวกเราต่างให้สัตย์สาบานว่าจะขอสู้ตาย
ยอมพลีชีพเพื่อรักษาเมืองรักษาแผ่นดิน พวกเจ้านอกจากมือไม่พายยังเอาเท้าราน้ำด้วยการกล่าววาจาบั่นทอนกำลังใจให้ละทิ้งความกล้าไปง่ายๆ
เช่นนี้อีกหรือ!”
ถังเยว่เห็นผู้คนเริ่มจิตใจสั่นคลอนจึงสั่งให้ทหารไปจับคนใจปลาซิวโยนใส่คุกหลวง
แล้วส่งคนไปปล่อยข่าวว่าทัพหนุนของหนานจิ้นใกล้จะมาถึงแล้ว
มีกำลังทหารมากพอที่จะจัดการกับข้าศึกได้
ทั้งเจ้าเมืองหยางและเหล่าทหารหาญยังคงป้องกันเมืองอย่างสู้ตาย
ไม่มีใครละทิ้งหน้าที่
“ผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นยังอยู่ที่นี่!”
มีคนกระจายข่าวนี้ออกไป
คำพูดแสนสั้นเพียงเท่านี้กลับสามารถปลอบขวัญทำให้จิตใจปวงประชาสงบลงได้กว่าครึ่ง
ในความคิดของพวกเขาคือกระทั่งผู้สูงศักดิ์ยังไม่หนี
นี่ย่อมหมายความว่าเมืองฉินหยางต้องไม่แพ้มิเช่นนั้นมีหรือที่ผู้สูงศักดิ์จะมายอมตายเป็นเพื่อนพวกเขา
บรรยากาศในเมืองเริ่มสงบ ขณะมีเสียงร้องโอดโอยจากหน้าประตูเมืองดังตามมา
กองทัพข้าศึกเริ่มการโจมตีแล้ว
ครั้งนี้ต่างจากสองครั้งก่อน
กองทัพข้าศึกนำอาวุธที่ยอดเยี่ยมกว่ามาตีเมือง ประตูเมืองถูกกระแทกจนใกล้จะพัง
เหล่าทหารที่กำลังปีนขึ้นกำแพงเมืองก็เก่งกาจกว่าครั้งก่อนเป็นร้อยเท่า
พวกเขามือไม้ว่องไวปราดเปรียว กำลังแขนมหาศาล
อาศัยเพียงเชือกเส้นเดียวในการปีนขึ้นป้อมประตูเมืองแต่ก็ถูกทหารหนานจิ้นต้อนรับด้วยก้อนหินขนาดมหึมา
ทั้งมีท่อนซุงราดน้ำมันเพลิงลุกท่วมกลิ้งใส่
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น หลังผ่านประสบการณ์ล้มเหลวไปครึ่งชั่วยาม
ในที่สุดทหารข้าศึกคนแรกก็ปีนขึ้นมาบนป้อมประตูเมืองได้สำเร็จ
เขาชักดาบยาวซึ่งเหน็บไว้ที่เอวออกมา ฟันฉับเดียวก็ปลิดชีพทหารหนานจิ้นไปหนึ่งราย
สองฝ่ายประจันหน้าตะลุมบอนกัน คนพวกนี้เป็นทหารชั้นยอดของเป่ยเยว่ ฝีมือล้ำเลิศเหนือชั้นอย่างเห็นได้ชัด
ทหารทั่วไปมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา
“ฝ่าบาท...” เจ้าเมืองหยางร้อนใจดังไฟสุม
“รีบเสด็จเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะถ่วงเวลาพวกมันไว้เอง...”
รัชทายาทเจาส่ายหน้า
ยื่นมือชี้ไปยังทิศทางที่อยู่ไกลออกไป
“เจ้าเมืองหยาง เจ้าเห็นหรือยัง?”
“เห็นสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เจ้าเมืองหยางอยากบอกว่าเวลานี้เขามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความปลอดภัยของรัชทายาท
เขาอยากเตือนให้รัชทายาทรีบหนีไปจากที่นี่อีกครั้ง ทว่าจู่ๆ
ก็ได้ยินเสียงรองแม่ทัพที่อยู่ข้างๆ ร้องขึ้นด้วยความตื่นตะลึง
“นั่น...นั่นคือทัพหนุนของฝ่ายใดกัน?”
เจ้าเมืองหยางเพ่งมองออกไป
เห็นเพียงฝุ่นฟุ้งตลบปรากฏขึ้นตรงจุดเชื่อมต่อของเส้นขอบฟ้า
ดุจดั่งพายุทรายลูกใหญ่กำลังพัดถล่ม
เขาอ้าปากกว้าง ตาค้าง “นี่...นี่...ต้องมีกองทัพทหารม้าจำนวนเท่าไรถึงจะสามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ได้?”
กองทัพนั้นเคลื่อนพลด้วยอัตราที่ถือว่าไม่เร็วนักจึงค่อยๆ
เผยโฉมที่แท้จริงออกมาอย่างช้าๆ
“สวรรค์! นั่น! นั่นมันอะไรกัน?”
เห็นเพียงหมอกดำทะมึนดุจเมฆลอยล่องเข้ามาใกล้
รัศมีเปี่ยมพลังยากจะต้านทาน
เกิดแรงสั่นสะเทือนที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าทัพใหญ่หนึ่งแสนที่บุกมาโจมตีก่อนหน้านี้แม้แต่น้อยตามมา
กระทั่งสิ่งนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้น
จึงมีคนตาดีมองเห็นกองกำลังทหารสวมชุดนักรบครบเครื่องตั้งแต่ศีรษะจดเท้า
แต่นี่ยิ่งตอกย้ำให้พวกเขาสิ้นหวังมากกว่าเดิม
นั่นเพราะพวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าหนานจิ้นมีกองกำลังทหารเช่นนี้อยู่ด้วย
เพราะฉะนั้นจะต้องเป็นทัพหนุนของข้าศึกเป็นแน่! ชีวิตข้าจบสิ้นแล้ว!
“ฝ่าบาท...นี่...นี่คือ...”
หยางเฟิงตะลึงงันจนพูดไม่ออก
อย่าบอกนะว่านี่คือทัพหนุนของพวกเขา
แต่หนานจิ้นมีกองทัพทหารม้าติดอาวุธลึกลับสุดยอดเยี่ยมเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน!
พวกเขาสวมหมวกเหล็กกับเสื้อเกราะสีดำสนิททำจากโลหะเป็นเงามันเลื่อมทั้งตัว
ควบยอดอาชาไนยใส่ชุดเกราะองอาจห้าวหาญ แผ่รังสีดุจเทพมรณะ
บรรยากาศดุดันนั้นราวกับจะสังหารศัตรูทุกคนที่ขวางหน้า
เพียงแค่เห็นก็ทำให้รู้สึกใจสั่นขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
“ต่อจากนี้ข้าจะรอดูว่ากองทัพทหารม้านี้มีพลังในการสู้รบมากแค่ไหน”
สายตาหยางเฟิงจับจ้องอยู่ที่หน้ากากผีแยกเขี้ยวพวกนั้นด้วยความตื่นตะลึง
นี่...นี่คือทหารนักรบที่หนานจิ้นของพวกเขาฝึกขึ้นมางั้นหรือ
ทำได้อย่างไร!?
ทหารราบเกราะเบาห้าพันนายมาถึงสนามรบก่อน
พวกเขาบุกตะลุยเข้าโรมรันกับทหารข้าศึก ตีค่ายกลของข้าศึกแตกกระเจิงรวดเร็วฉับไว
ง้าวแต่ละเล่มได้รับการสังเวยด้วยชีวิตทหารข้าศึก
หยางเฟิงพลันตกตะลึง
ดูเหมือนว่าง้าวเหล่านั้นจะแตกต่างจากที่กองทัพทั่วไปใช้กัน ทั้งยาวกว่าและคมกว่า
ยามคมง้าวปะทะ อาวุธของข้าศึกพลันหักครึ่งอย่างง่ายดาย
เหล็กกล้าถูกตัดขาดราวกับเป็นเพียงดินเหนียวอ่อนนิ่ม
“ฝ่าบาท อาวุธพวกนี้ผลิตขึ้นมาได้อย่างไร? หากเหล่าทหารหนานจิ้นของเราได้ใช้อาวุธเทพเช่นนี้
ต่อจากนี้ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ว่าจะไม่สามารถสร้างสันติสุขให้กับใต้หล้าได้อีกแล้ว”
รัชทายาทเจาส่ายหน้า “อาวุธพวกนี้มีส่วนประกอบจากเหล็กอยู่มากเกินไป มีไม่พอที่จะจัดสรรให้แก่ทหารได้ครบทั้งกองทัพ มิหนำซ้ำขั้นตอนการผลิตยังยุ่งยากซับซ้อน หากไม่ใช้เวลาถึงแปดปีสิบปีคงไม่สามารถผลิตจำนวนมากขนาดนั้นขึ้นมาได้”
“ช่างน่าเสียดายนัก แต่ว่าฝ่าบาท เหตุใดม้าของพวกเขาก็ยังสวมชุดเกราะด้วย ก่อนหน้านี้ตอนเห็นไกลๆ กระหม่อมยังนึกว่าเป็นเกราะเหล็ก แต่พอเห็นใกล้ๆ กลับดูเหมือนว่าไม่ใช่”
“นั่นคือเกราะหวาย ใช้หวายสร้างขึ้นมา มีน้ำหนักเบากว่าเกราะเหล็กมาก”
หยางเฟิงพยักหน้า
เขาคิดมาแต่แรกแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสวมเกราะเหล็กอันหนักอึ้งลงบนตัวม้า มิเช่นนั้นน้ำหนักที่แสนหนักอึ้งไม่ทับม้าตายก็นับว่าบุญแล้ว ไหนเลยพวกมันจะเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วปราดเปรียวเช่นนี้อยู่อีก
“ฝ่าบาท จักรพรรดิทรงทราบเรื่องทหารกองทัพนี้หรือไม่?” หยางเฟิงถามด้วยใจระทึก ดูเหมือนว่าเขาจะเจอความลับบางอย่างเข้าให้แล้ว
รัชทายาทเจาส่ายหน้าและมิได้อธิบายขยายความแต่อย่างใด
เขาเชื่อว่าหากข่าวนี้แพร่ไปถึงเมืองเย่เฉิงจักรพรรดิหนานจิ้นต้องโมโหมากแน่
และคงมีขุนนางไม่น้อยที่คอยจ้องเล่นงานฉวยโอกาสสาดโคลนใส่เขา
ทว่าเขาก็ไม่คิดใส่ใจเรื่องพวกนี้
เมื่อมีกองทหารม้าเกราะหนักห้าพันนายมาสมทบ สถานการณ์จึงเริ่มเปลี่ยนจากเสียเปรียบพลิกกลับมาเป็นต่อ แม้กำลังไพร่พลของทั้งสองฝ่ายจะเหลื่อมล้ำกันมากแต่ฝ่ายศัตรูก็มิอาจต้านทานพลังสังหารของผู้พิทักษ์เกราะนิลได้
ยามที่ทหารมากมายเห็นหน้ากากแสนดุร้ายน่าสะพรึง
ต่างตกใจหวาดกลัวจนแข้งขาอ่อน เรี่ยวแรงที่จะต่อต้านพลันลดฮวบ
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาพบว่าเจ้าชุดเหล็กดำพวกนี้ฟันแทงไม่เข้า
ประหนึ่งมีเทพเจ้าสถิตอยู่ในกาย
เช่นนี้ย่อมสร้างความท้อแท้สิ้นหวังในการรบครั้งนี้ให้กับพวกเขา
รู้ทั้งรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามฆ่าไม่ได้
ฟันไม่ขาด เช่นนี้แล้วพวกเขาจะเอาขวัญกำลังใจที่ไหนมาต่อสู้ได้อีก!
กำลังใจแม่ทัพข้าศึกพลันลดฮวบภายในชั่วอึดใจ
เขาฟันฉับบั่นคอทหารที่หนีทัพอย่างโหดเหี้ยม แล้วตวาดลั่น
“รักษาค่ายกลไว้อย่าให้เสียขบวน! ตีล้อมพวกมัน ข้าไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา
ก็แค่พวกคนขี้ขลาดที่ต้องการหลอกให้พวกเราตกใจเท่านั้น ฆ่าพวกมันเสียให้สิ้น!”
ดาบเล่มหนึ่งฟันลงบนร่างผู้พิทักษ์เกราะนิลที่สวมชุดนักรบเต็มยศ
เกิดเสียงเสียดสีดังบาดหูพร้อมประกายลูกไฟกระเด็นออกมา
ราวกับเย้ยหยันแม่ทัพผู้นั้นที่หลอกตัวเองและหลอกผู้อื่น
เขาคิดจะลงมือซ้ำอีกครั้งแต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ให้โอกาส
ทุกคนจึงเห็นเพียงผู้พิทักษ์เกราะนิลกระตุกเชือกบังเหียนด้วยมือเดียว อาชาพลันหมุนตัวเปลี่ยนทิศ
ร่างของผู้พิทักษ์เกราะนิลเอนไปด้านหลังพร้อมกับยื่นแขนออกไป
ง้าวในมือพุ่งตรงไปยังศีรษะของฝ่ายตรงข้าม
แต่เหมือนง้าวนั้นจะจงใจยกสูงขึ้นครึ่งนิ้ว
จึงตัดได้เพียงเส้นผมสีดำช่อหนึ่งและหมวกของศัตรูให้ขาดร่วงลงพื้น
“ฮึๆ พลาดไปหน่อย มาต่อกันเถอะ!” เสียงหัวเราะร่าเริงของบุรุษดังออกมาจากใต้หน้ากากอันน่าสะพรึงกลัว
เขาโจมตีต่อเนื่องทันทีท่ามกลางสายตาตะลึงงันของฝ่ายตรงข้าม
“สู้ให้เต็มที่! มิเช่นนั้นวันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า!”
“ฮึ! อวดดียิ่งนัก
วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตาว่าพละกำลังที่แท้จริงเป็นเช่นไร!”
ศัสตราวุธทั้งสองปะทะกัน
พวกเขาต่อสู้กันหลายสิบกระบวนท่าภายในเวลาสั้นๆ คนหนึ่งชนะด้วยความว่องไว
อีกคนชนะด้วยการตั้งรับแข็งแกร่งมั่นคง มิอาจรู้ผลแพ้ชนะภายในเวลาอันรวดเร็ว
231 นี่คือเตรียมฝังศพงั้นหรือ?
“นี่มันเสียงอะไร”
บนถนนอวี้หรงทุกคนต่างเงี่ยหูฟัง สีหน้าฉายแววตื่นตระหนกหวาดผวา
“คุณชาย หากเมืองแตก…” แม่เฒ่าที่กำลังช่วยเช็ดตัวคนเจ็บเงยหน้าถาม
ผู้อาวุโสท่านนี้เป็นคนเดียวกับที่มาขวางทางถังเยว่ไว้และขอให้เขาช่วยพาหลานชายของนางกลับมา
ถังเยว่ซึ่งกำลังเย็บแผลตอบด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “แม่เฒ่ามิต้องเป็นห่วง เมืองนี้ไม่แตกแน่นอน” เขามัดปมแผลที่เย็บแล้วบอกให้เหอขยับเข้ามาทายาให้คนเจ็บ
จากนั้นก็ไปตรวจรักษาคนเจ็บเตียงถัดไป
“นั่นสิ ขอเพียงเมืองไม่แตก หลานข้าก็จะต้องมีชีวิตรอดกลับมาแน่” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบเพราะได้ก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งความตื่นตระหนกในครั้งแรกมาแล้ว
หรือบางทีอาจเพราะอยู่ใกล้ถังเยว่นางจึงสงบขึ้นมากนางทำงานเก่งคล่องแคล่ว
จัดเก็บถนนอวี้หรงจนสะอาดเอี่ยม พอมีเวลาว่างจึงมาช่วยเช็ดตัวให้คนเจ็บ
ยามช่วยคนก็อยากมีสามเศียรหกกรเสียจริง ถังเยว่กับพวกหมอที่เขาพามางานยุ่งจนตัวเป็นเกลียวแทบไม่ได้วางมือ ได้แต่พึ่งจิตอาสาเหล่านี้มาช่วยดูแลคนเจ็บ
“แม่เฒ่า ท่านฟังนะ
เสียงนี้เป็นทัพของเรา พวกเรามีทางรอดแล้ว” ถังเยว่กระซิบบอกนางด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
“คุณชายทราบได้อย่างไร? หรือท่านสามารถแยกแยะได้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงของมิตรหรือศัตรูอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว เพราะมีแต่กองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลเท่านั้นที่สามารถสร้างเสียงฝีเท้าม้าที่แสนพร้อมเพรียงและหนักแน่นเช่นนี้ได้”
แม่เฒ่าไม่รู้ว่าผู้พิทักษ์เกราะนิลคืออะไร แต่ลำพังแค่ฟังเสียงก็รู้ได้ว่าต้องแข็งแกร่งเกรียงไกรเป็นอย่างยิ่ง
นางจึงแย้มยิ้มกล่าว “เช่นนั้นก็ดีแล้วจะได้รีบขับไล่ข้าศึกไปให้พ้นๆ พวกเราจะได้มีชีวิตสงบสุขเร็วๆ”
“แน่นอน แผ่นดินจะรวมเป็นหนึ่ง เมื่อหนานจิ้นแข็งแกร่งมากพอก็จะไม่มีใครกล้ารุกราน
ไพร่ฟ้าประชาชนก็จะได้มีชีวิตที่สงบสุข”
เป้าหมายนี้สำหรับแม่เฒ่าที่ผจญทุกข์เข็ญมาชั่วชีวิตช่างดูห่างไกลเสียเหลือเกิน นางไม่รู้ว่าหนานจิ้นแข็งแกร่งมากพอนั้นเป็นเช่นไร และแน่นอนว่านางก็มิได้ใส่ใจที่จะหาคำตอบ
ที่นางปรารถนาคือขอให้คนในครอบครัวได้อยู่อย่างปลอดภัยสงบสุขจนแก่เฒ่า
แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ถังเยว่มองสีหน้าของนางก็รู้ว่าตนได้พูดเรื่องที่ดูเลื่อนลอยไกลตัวเกินไป
ราษฎรส่วนใหญ่ไม่สนใจว่าแผ่นดินนี้จะมีชื่อเรียกว่าอะไร
ไม่สนใจว่าใครนั่งบนบัลลังก์มังกร
ขอเพียงสามารถมอบชีวิตที่มั่นคงปลอดภัยให้พวกเขาได้ ไม่ขูดรีดภาษี เกณฑ์ทหารให้น้อยหน่อย เท่านี้ก็นับว่าดีมากแล้ว
เขาจึงไม่พูดสิ่งใดอีก ผลงานคุณูปการของจักรพรรดิย่อมถูกตัดสินด้วยประวัติศาสตร์
บนป้อมประตูเมือง
มือของรัชทายาทเจากุมกระบี่หนักฟันฉับลงบนแขนข้างหนึ่งที่กำลังปีนกำแพงขึ้นมา ได้ยินเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของฝ่ายตรงข้ามก่อนร่างจะร่วงหล่นลงไปท่ามกลางสีหน้าที่ยังคงนิ่งเฉยไม่เปลี่ยนแปลงของรัชทายาท
ใต้ป้อมประตูเมือง ซากศพเกลื่อนกลาดกองพะเนินดังภูเขาลูกย่อม กลายเป็นแท่นรองฝ่าเท้าให้ผู้ที่ปีนป่ายเพื่อบุกโจมตีเมือง
“ฝ่าบาท เสด็จกลับเข้าเมืองก่อนเถิด ดูจากสถานการณ์ในเวลานี้พวกเราต้องเป็นฝ่ายชนะแน่!” หยางเฟิงลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตาเป็นประกาย
เขามั่นใจว่าฝ่ายตนจะต้องคว้าชัยมาครองได้แน่
รัชทายาทเจาถอยหลังไปหนึ่งก้าว องครักษ์ข้างกายขยับตัวตามติด
เมื่อครู่ที่มีทหารฝ่ายศัตรูปีนขึ้นมาพวกเขาดูแล้วว่าไม่มีอันตรายจึงมิได้เข้าไปชิงตัดหน้าลงมือจัดการก่อน
“ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อดูทหารของข้าคว้าชัยให้เห็นเองกับตา!”
“ใต้เท้า! ทหารข้าศึกขุดอุโมงค์มาถึงใต้ปากประตูเมืองแล้วขอรับ” พลทหารนายหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารายงาน
หยางเฟิงตาค้างก่อนจะกวาดตามองลงไปยังเบื้องล่าง ทว่ากลับไม่เห็นความผิดปกติแต่อย่างใด
ก่อนหน้านี้กองกำลังปีกซ้ายของทหารข้าศึกขุดอุโมงค์อยู่นอกเมือง
จึงเดาว่าพวกข้าศึกคิดจะเข้าเมืองโดยการลอดผ่านอุโมงค์ใต้กำแพง นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะทำได้จริง
“รู้ตำแหน่งที่แน่ชัดหรือไม่?”
พลทหารนายนั้นชี้ไปยังตำแหน่งที่ค่อนข้างลับตาแล้วพูดว่า
“ตามที่ข้าน้อยรู้มาน่าจะเป็นทางนั้นขอรับ แต่โดยรวมพวกมันขุดไปถึงไหนแล้วยังต้องรอตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน”
หยางเฟิงหน้านิ่วคิ้วขมวด
หากปล่อยให้ข้าศึกขุดอุโมงค์ได้อย่างราบรื่น
พวกมันก็จะเข้าเมืองจากทางอุโมงค์ใต้ดิน
วิธีนี้มิใช่จะมิอาจต่อกรเพียงแต่หากไร้ซึ่งกำแพงเมืองสกัดไว้พวกเขาจะได้รับความเสียหายหนักหนาแน่
ยังมีอีกวิธี คือส่งคนออกไปนอกเมืองเพื่อสกัดกั้นข้าศึกจากทางอุโมงค์ใต้ดินนั่น ขอเพียงอุโมงค์ถล่ม ข้าศึกคิดจะหนีเอาชีวิตรอดก็ทำได้ยาก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะบุกเข้าเมืองได้
รัชทายาทเจาฟังพลทหารผู้นั้นรายงานจบก็หันไปสั่งการกับองครักษ์ที่อยู่ข้างกายหลายประโยค
องครักษ์ผู้นั้นรับคำสั่งแล้วรีบหยิบธงผืนเล็กออกมาโบกสะบัดให้กองทัพด้านล่าง
ผู้พิทักษ์เกราะนิลที่กำลังโรมรันกับข้าศึกจู่ๆ ก็มีกลุ่มหนึ่งผละออกจากสนามรบแล้วมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง
หยางเฟิงเห็นเช่นนั้นก็จ้องมองธงในมือองครักษ์ด้วยความข้องใจและใคร่รู้ เขาอยากรู้ว่าองครักษ์สื่อสารกับกองทัพเบื้องล่างได้อย่างไร โดยทั่วไปแล้วธงสัญญาณมีอยู่ไม่กี่อย่าง
หลักๆ ก็แค่เดินหน้า ถอยหลัง
บุกซ้าย ป้องกันขวาจำพวกนี้
เขายังไม่เคยเห็นสัญญาณธงที่สามารถสื่อสารได้ชัดเจนเช่นนี้มาก่อน
ทหารม้าเกราะหนักหลายสิบนายมายืนประจำตำแหน่ง
ม้าศึกเดินวนที่เดิมหลายรอบ จากนั้นทหารนายหนึ่งก็กระโดดลงจากหลังม้า
แนบหูฟังเสียง ในที่สุดเขาก็เลือกตำแหน่งหนึ่งก่อนจะหันไปโบกมือให้สหายร่วมทัพ
คนกลุ่มนั้นสื่อสารกันทางสายตา แปรแถวเป็นวงกลม
หยิบระเบิดเพลิงลูกเล็กออกมาจากเข็มขัดคาดเอวแล้วขว้างลงไปในพื้นดินใต้ฝ่าเท้า
อาวุธที่ถังเยว่เตรียมไว้ให้ทหารกองทัพนี้จัดว่าเป็นสุดยอดยุทโธปกรณ์ของยุคนี้เลยทีเดียว พวกเขานอกจากมีง้าวและทวนที่ใช้เป็นประจำอยู่แล้ว
ทุกคนยังพกมีดสั้นติดตัวอีกคนละสองเล่ม เชือกผูกตะขอเหล็กหนึ่งเส้น
ระเบิดเพลิงสองลูกและอาหารแห้งอีกหนึ่งถุงเล็ก
ทหารกลุ่มนั้นเคลื่อนตัวออกห่าง
ครู่หนึ่งก็เกิดเสียงตูม! ดังขึ้น
แม้จะเป็นเสียงที่ไม่ถึงกับดังกึกก้องจนเป็นที่สะดุดตาของสมรภูมิที่กำลังมีการต่อสู้แต่ก็มีคนสังเกตเห็นอยู่หลายคน
“ขวางพวกมันไว้! ฆ่ามัน!” ขุนพลของข้าศึกตวาดด้วยเสียงเกรี้ยวกราด
ฉวยจังหวะนั้นผู้พิทักษ์เกราะนิลฟันฉับลงไปที่ศีรษะของเขา
โชคดีที่เขาเบี่ยงหลบได้อย่างว่องไวทันเวลา
คมดาบจึงพลาดไปที่บ่าตัดแขนเขาขาดไปหนึ่งข้าง
“อ๊าก! ข้าขอสู้ตาย!”
“ฮึ! ได้ตามคำขอ!”
ผู้พิทักษ์เกราะนิลทำสำเร็จแล้วดาบหนึ่งจึงรีบรุกไล่ต่อทันทีโดยไม่เกรงกลัวต่อการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งรบยิ่งฮึกเหิมหาญกล้า
ขุนพลข้าศึกแขนขาดไปหนึ่งข้าง
ความบ้าระห่ำจึงพุ่งทะยานสูงสุด
พยายามที่จะฉุดฝ่ายตรงข้ามให้บาดเจ็บล้มตายไปด้วยกัน
น่าเสียดายที่เวลาของเขาใกล้จะหมดลงแล้ว ยิ่งฟาดฟันโลหิตก็ยิ่งหลั่งไหล
เพียงพักเดียวเขาก็หน้ามืดวิงเวียนเจ็บแปลบเข้ากระดูก ยากที่จะทนต่อไปได้
“ตายซะเถอะ!” เสียงคำรามเข้มข้นดุดันของผู้พิทักษ์เกราะนิลดังขึ้นพร้อมกับที่คมง้าวฟาดลงบั่นคอขุนพลข้าศึก ศีรษะขาดกระเด็นลงกับพื้นกลิ้งหลุนๆ ไปตกอยู่ข้างฝ่าเท้าทหารเป่ยเยว่คนหนึ่ง
ตอนแรกทหารนายนั้นยังไม่ได้คิดอะไร
การเหยียบถูกร่างไร้ชีวิตในสนามรบถือเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเขาก้มหน้าลงเตรียมจะเตะศีรษะนั้นให้พ้นไปจากฝ่าเท้าก็พบว่าเป็นใบหน้าที่แสนคุ้นตาอย่างที่ไม่มีอะไรจะคุ้นไปมากกว่านี้อีกแล้ว
“ทะ...ท่าน...ท่านแม่ทัพ…!” ทหารผู้นั้นทรุดกายคุกเข่า ประคองศีรษะขึ้นมา ร้องไห้ราวกับจะขาดใจ “เป็นไปไม่ได้! ท่านแม่ทัพ! ท่านแม่ทัพถูกสังหารแล้ว...!”
ในจังหวะที่เขาคิดจะช่วยปิดเปลือกตาของศีรษะที่ตายตาไม่หลับนั้น ง้าวเล่มหนึ่งก็แทงทะลุหน้าอกเขาแล้วชักออก
เขาได้แต่จ้องมองปลายง้าวที่ตอนนี้ย้ายไปปักอยู่ในศีรษะแม่ทัพแล้วยกชูขึ้น
หลังจากนั้นเขาก็ไม่รับรู้สิ่งใดต่อไปอีก
“ขุนพลเป่ยเยว่ตายแล้ว พวกเจ้าจงยอมแพ้ซะ! ขุนพลเป่ยเยว่ถูกสังหารแล้ว
จงยอมจำนนเดี๋ยวนี้!”
เสียงนั้นดังกึกก้องไปทั่วทั้งสมรภูมิ
คำพูดประโยคนี้ราวกับเป็นการเปิดประตูเขื่อน กองทัพข้าศึกพอได้ยินเข้าก็แตกกระเจิง
ต่างโยนอาวุธทิ้งแล้วเผ่นหนีออกไปจากสนามรบ
“วิเศษ!” หยางเฟิงหัวเราะลั่นด้วยความยินดี
ชูอาวุธคู่กายพลางตะโกนก้อง “เหล่าวีรบุรุษทั้งหลาย
ตามข้าออกไปถล่มพวกทหารแตกทัพให้สาแก่ใจกันเถิด!”
“เฮ!” ทหารทั้งหมดโห่ร้องรับกันอย่างฮึกเหิม ประตูเมืองที่ทั้งหนาและหนักถูกเปิดออก เหล่าทหารด้านในกรูกันออกมา
วิ่งไล่ฟาดฟันข้าศึกที่ยังล่าถอยไม่ทัน
อัดอั้นมากว่าครึ่งเดือน
ในที่สุดพวกเขาก็มีที่ระบายจึงย่อมไม่มีใครออมมือ
หากพวกเขาไม่มีทัพหนุนที่แข็งแกร่งทรงพลังเช่นนี้
วันนี้คนที่ถูกบั่นคอย่อมเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพวกเขาเอง
กระทั่งฟ้ามืดสนิท
หยางเฟิงถึงบัญชาทัพกลับเมือง กองทัพข้าศึกหนีตายกระเจิดกระเจิง แต่นั่นไม่สำคัญ
ที่สำคัญคือกองทัพที่สูญสิ้นแม่ทัพใหญ่ต่อให้ห้าวหาญเพียงใดก็เป็นได้แค่เม็ดทรายที่กระจัดกระจายอย่างไร้ทิศทาง
ขณะยกทัพกลับเมือง
หยางเฟิงเกือบตกลงไปในหลุมทั้งคนทั้งม้า ยังดีที่กระตุกเชือกบังเหียนได้ทันท่วงที
เขาอ้าปากค้าง มองหลุมหน้าปากประตูเมืองอย่างตะลึงพรึงเพริด
ข้างในมีศพอยู่เต็มไปหมด ยังมีคนที่พยายามตะเกียกตะกายปีนขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ถูกผู้พิทักษ์เกราะนิลที่เฝ้าอยู่ปากหลุมใช้ทวนยาวแทงแล้วเหวี่ยงกลับลงไปในหลุม
“นี่คือ...เตรียมจะฝังศพแล้วอย่างนั้นหรือ?” หยางเฟิงรำพึงแล้วคิดในใจ ‘ทหารขององค์รัชทายาทเฉียบคมยิ่งนัก เคลื่อนไหวรวดเร็วฉับไว ใช้เวลาไม่นานก็สามารถขุดหลุมเตรียมฝังศพศัตรูได้เรียบร้อยแล้ว’
“ใต้เท้า
ดูเหมือนนี่จะเป็นตำแหน่งอุโมงค์ที่ข้าศึกขุดไว้ก่อนหน้าทว่าพอถูกระเบิดเพลิงของผู้พิทักษ์เกราะนิลก็กลับกลายมีสภาพเป็นเช่นนี้” ทหารนายหนึ่งอธิบายพลางเกาศีรษะแกรกๆ
อันที่จริงเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลุมนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ได้ยินเสียงกึกก้องกัมปนาท
หลังจากทุกคนได้สติก็มีหลุมนี้ปรากฏขึ้น
ใต้ดินยังฝังศพไว้เป็นจำนวนมากและเวลานั้นก็มีเหล่านักรบผู้กล้าภายใต้หน้ากากยืนอยู่ตรงปากหลุมราวสิบกว่าคน
ทำให้แม้อยู่ในสมรภูมิก็ยังดูโดดเด่นสะดุดตา
ตอนที่พวกเขาเห็นหน้ากากที่แสนดุร้ายนั่นทุกคนพลันเกิดความพรั่นพรึงขึ้นในใจจนเนื้อตัวสั่นเทา
ควบคุมอารมณ์ตัวเองแทบไม่อยู่
คาดว่านับแต่วันนี้ไปชื่อเสียงของผู้พิทักษ์เกราะนิลจะต้องโด่งดังกึกก้องทั่วผืนแผ่นดิน
อยากรู้เหลือเกินว่ากองทัพที่ทรงอานุภาพและแข็งแกร่งเช่นนี้จะมีผู้ใดสามารถต่อกรได้!
ทันทีที่ได้ยินคำว่าระเบิดเพลิง
หยางเฟิงก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
ต้องเป็นฝีมือของเหล่าผู้พิทักษ์เกราะนิลเมื่อครู่แน่ที่ทลายจุดซึ่งเหล่าทหารข้าศึกขุดอุโมงค์ไว้ เมื่อพื้นดินชั้นบนถูกระเบิด อุโมงค์ใต้ดินจึงปรากฏออกมาให้เห็น
ส่วนเหตุใดจึงเป็นหลุมใหญ่ขนาดนี้คิดว่าคงเป็นเพราะตอนข้าศึกขุดอุโมงค์คิดการรอบคอบเกินไป
ขบวนกองทัพแรงงานถึงหนึ่งหมื่นนาย อุโมงค์ที่ขุดขึ้นมาได้ย่อมมิใช่เป็นเพียงทางเล็กๆ แคบๆ อย่างแน่นอน
“ฮ่าๆๆ เวรกรรมตามสนอง สมน้ำหน้า!” หยางเฟิงหัวเราะร่าแล้วเหลือบมองดูเหล่ากองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลครู่หนึ่ง
ความริษยาพลันผุดขึ้นในใจ
หากกองทัพในสังกัดของเขาสามารถมีทหารที่แข็งแกร่งเช่นนี้เขาคงไม่เป็นแค่เจ้าเมืองไม่เอาอ่าว แต่จะรีบนำทัพปราบข้าศึกรวมแผ่นดินในใต้หล้าให้เป็นหนึ่งเสียเลย
พูดได้ว่าเจ้าเมืองหยางมีหัวใจฮึกเหิมที่ไม่ยอมพ่ายให้กับอายุ
การประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานล้วนเป็นความใฝ่ฝันในใจของบุรุษทุกคน
232 ที่แท้เป็นเพราะข้าหน้าตาไม่โดดเด่นสะดุดตานี่เอง
“ระเบิดเพลิงมีอานุภาพถึงเพียงนี้เชียว
เช่นนั้นต้องสามารถเปิดภูเขาถมทะเลได้ใช่หรือไม่?”
แววตาเจ้าเมืองหยางวาววับ
ตอนนี้เขารู้สึกอยากเชิญพระชายามาถามเป็นอย่างยิ่งว่าสามารถสร้างของสิ่งนี้ขึ้นมาได้อย่างไร?
หนึ่งคนหนึ่งม้าเดินมาข้างกายเขา
เกราะเหล็กเย็นเยียบแผ่ไอเย็นอันเหน็บหนาวทำเอาเจ้าเมืองหยางต้องหันหน้ากลับมา พบว่าที่แท้คือผู้กล้าซึ่งสามารถเด็ดศีรษะแม่ทัพฝ่ายศัตรูคนนั้นนั่นเอง
ดูแล้วน่าจะเป็นผู้มีฐานะไม่ธรรมดาในกองทัพลึกลับนี้
หูเขาได้ยินผู้กล้าท่านนั้นเอ่ยกระเซ้า “ท่านเจ้าเมืองช่างคิดฝันไปไกลยิ่งนัก
ระเบิดเพลิงพวกนี้มีอานุภาพการทำลายเพียงน้อยนิดเท่านั้น หากจะเปิดภูเขาถมทะเลจริงๆ
เกรงว่าคงต้องขนระเบิดเพลิงขนาดเท่าภูเขาลูกยักษ์มาเสียกระมัง”
หยางเฟิงรู้สึกว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นหูแต่นึกไม่ออกว่าเป็นใครจึงถาม
“หากมีอานุภาพน้อยนิดเหตุใดจึงเกิดหลุมใหญ่ถึงเพียงนี้?”
“อ๋อ หลุมนี่น่ะหรือ
เป็นหลุมที่พวกข้าศึกคิดจะขุดอุโมงค์ใต้ดินอย่างไรเล่า
พอถูกพวกข้าทำลายพื้นผิวชั้นบนด้วยระเบิดเพลิงจึงเห็นเป็นหลุมกว้างลึกลงไปเช่นนี้”
หยางเฟิงเกาศีรษะตัวเองอย่างเก้อเขิน
ก่อนจะถามด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจ “เอ่อ
ขอบังอาจถามท่านผู้กล้า ท่านคือ...”
ผู้พิทักษ์เกราะนิลผู้นั้นถอดหมวกเกราะออก
เผยให้เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ดวงหนึ่ง หยางเฟิงชี้เขาพลางร้องอุทานด้วยความตกใจ
“ทะ...ท่านคือ...จ้าวซานหลาง!”
มีหรือที่เจ้าเมืองหยางจะไม่รู้จักบุตรชายซึ่งเกิดจากชายาเอกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงผู้นี้
แม้นั่นจะเป็นเพียงอดีตก็ตาม
“ข้าน้อยจ้าวเสี่ยนเป็นหัวหน้ากองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลหน่วยที่สอง
คารวะเจ้าเมืองหยาง” จ้าวซานหลางยิ้มพลางประสานมือคำนับ
“ฮ่าๆๆ คิดไม่ถึงเลย คิดไม่ถึงจริงๆ
เมื่อก่อนเจ้ายังใช้ชีวิตเยี่ยงคุณชายเสเพลที่ดีแต่เที่ยวเล่นแท้ๆนึกไม่ถึงว่าจะประสบความสำเร็จเช่นนี้”
เจ้าเมืองหยางเห็นผิวสีทองแดงของฝ่ายตรงข้ามดูต่างจากคุณชายผิวขาวราวหยวกกล้วยเช่นในอดีตอย่างสิ้นเชิง
ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้เขาต้องผ่านความลำบากอะไรมาบ้าง
มีชาติกำเนิดเป็นทายาทตระกูลผู้สูงศักดิ์ย่อมมีอำนาจเหนือกว่าคนทั่วไป
มีลูกหลานจากตระกูลใหญ่ตั้งเท่าไรที่ชั่วชีวิตมิเคยสร้างผลงาน
เพียงมีตำแหน่งขุนนางราชสำนักก็หลงระเริงอยู่ในห้วงแห่งความรักหนุ่มสาว
น้อยคนนักที่จะประสบความสำเร็จมีอนาคตรุ่งโรจน์ ภายภาคหน้าได้เป็นถึงซานกงจิ่วชิง[1]จ้าวซานหลางผู้นี้เดิมทีหยางเฟิงคิดว่าจะเหลวไหลเช่นนั้นไม่คิดเลยว่าจะมีวันได้เห็นเขาเปลี่ยนแปลงปรับปรุงตัวใหม่
ไม่รู้ว่าหากเจิ้นกั๋วกงล่วงรู้จะเสียใจภายหลังที่ทอดทิ้งพวกเขาสองแม่ลูกไปหรือไม่บุตรชายดีเลิศประเสริฐถึงเพียงนี้
ใครจะเดียดฉันท์ได้ลง
เสียงกลองดังมาจากบนป้อมประตูเมือง
หยางเฟิงกับจ้าวซานหลางหันไปมองทางต้นเสียงพร้อมกัน เห็นเพียงธงพิเศษที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นโบกสะบัดกลางอากาศอยู่เหนือป้อมประตูเมือง
จ้าวซานหลางสวมหมวกเกราะเรียบร้อยแล้วจึงหันไปประสานมือคำนับกล่าวลาหยางเฟิง
“ข้าน้อยต้องไปแล้ว
ไว้โอกาสหน้าค่อยพบกันใหม่”
“เอ่อ...” หยางเฟิงยังไม่ทันได้แสดงไมตรีอีกฝ่ายก็ขับควบอาชาห้อตะบึงฝ่าความมืดออกไปไกลมากแล้ว
เพียงชั่วพริบตากองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลก็รวมตัวกันเคลื่อนพลไปจากเมือง
มาอย่างรีบร้อนจากไปอย่างเร่งรีบโดยแท้
หากไม่ใช่เพราะศึกครั้งนี้ชนะได้อย่างสมจริงยิ่งนัก
หยางเฟิงคงคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหันกลับไปมองป้อมประตูเมืองสูงตระหง่าน ความเลื่อมใสที่มีต่อองค์รัชทายาทจากใจจริงยิ่งเพิ่มพูนมากล้น
รัชทายาทเจาก้าวเดินลงจากป้อมประตูเมืองอย่างสง่างาม
มีหูจินเผิงกับหวังติ่งจวินอารักขาอยู่ข้างกาย องครักษ์คนอื่นๆ
ติดตามอยู่ด้านหลังหลังจากหูจินเผิงนำป้ายคำสั่งไปถึงที่หมายก็ร่วมเดินทางมากับกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิล
เมื่อครู่ฉวยจังหวะตอนประตูเมืองเปิดควบม้าวิ่งเข้ามา
ถือว่าได้ทำตามคำสั่งโดยสมบูรณ์
รัชทายาทเจาเอ่ยขึ้น
“ให้พวกเขาไปหาที่ซ่อนแถวนี้เพื่อพักผ่อนสักสองสามวัน
คนที่บาดเจ็บก็รีบรักษาแผลให้หาย เป้าหมายต่อไปคือเมืองฉู่โจว!”
หวังติ่งจวินอยากไปด้วยแต่ถูกหูจินเผิงชิงตัดหน้าเสียก่อน
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
เขาพยายามขยิบหูขยิบตาให้หูจินเผิงสุดชีวิต
ทว่าอีกฝ่ายไม่ตอบรับ เดินตามหลังรัชทายาทเจาลงจากป้อมประตูเมืองด้วยสายตาแน่วแน่
พอเห็นรัชทายาทเสด็จไปทางถนนอวี้หรง หวังติ่งจวินก็มือไวคว้าตัวหูจินเผิงไว้แล้วพูดกลั้วหัวเราะ “ฝ่าบาทจะเสด็จไปหาพระชายา พวกเราคงไม่ต้องตามไปหรอกกระมัง”
ทันทีที่หูจินเผิงได้ยินเช่นนั้นก็ไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอของคนรักที่กำลังจะไปพบหน้ากัน เขาไหวไหล่ชะงักเท้าหยุดเดินโดยมีองครักษ์คนอื่นยังคงติดตามอยู่ห่างๆ
“พี่หู ท่านนี่ช่างไม่มีใจอารีเอาเสียเลย แม้แต่งานที่ทำดีแต่ไม่ได้ผลงานเช่นนี้ท่านก็ยังแย่งพี่น้องเสียได้” หวังติ่งจวินเหยียดมุมปาก เขาเองก็อยากไปพบปะกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลเหมือนกัน
เมื่อครู่เห็นแต่ตอนอยู่ไกลลิบๆ ยังไม่เคยได้สัมผัสหรือมองดูใกล้ๆ ให้ชัดเจนเต็มตาสักที
รัชทายาทเจาใช้เวลาห้าปีในการฝึกฝนกองทัพลับนี้ขึ้นมา ในระหว่างห้าปีนี้มีคนถูกคัดออกไปกว่าครึ่ง มีบางคนทนไม่ไหว มีบางคนล้มตายขณะฝึก สุดท้ายถึงมีผู้พิทักษ์เกราะนิลชุดนี้ขึ้นมาได้
จัดว่าเป็นสุดยอดเพชรน้ำหนึ่งเลยก็ว่าได้
หูจินเผิงแสยะยิ้ม “น้องชายชอบพูดเล่นอยู่เรื่อย งานจิปาถะประเภทนี้ไหนเลยจะให้เจ้าไปทำได้
เจ้าเป็นถึงผู้ครองเมืองเชียวนะ ภารกิจออกจะล้นมือ”
นับแต่หวังติ่งจวินขึ้นครองตำแหน่งเจ้าเมืองก็ไม่เคยได้ว่างเกินสองวัน
โชคดีที่คนเก่าคนแก่ยังอยู่ ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่ของตัวเองไปตามนั้น
ส่วนอำนาจคุกคามที่ซ่อนเร้นหลังจากเขาขึ้นสืบทอดตำแหน่งก็ไม่เคยเห็นคนพวกนั้นอยู่ในสายตา
ต้องเข้าใจว่าต่อให้หวังติ่งจวินสูญเสียตำแหน่งเจ้าเมืองก็เป็นไปไม่ได้ที่ตำแหน่งนี้จะตกไปอยู่ในกำมือญาติพี่น้อง
คิดว่าองค์รัชทายาทจะยอมนิ่งดูดายงั้นหรือ
ทั้งสองฟาดฟันกันทางสายตาครู่หนึ่ง หวังติ่งจวินจึงยอมจากไปอย่างไม่เต็มใจนักแต่ก็ยังถือโอกาสฝากหูจินเผิงทักทายสหายเก่าแทนเขา
สงครามด้านหน้ายุติลงแล้ว
แต่ถนนอวี้หรงยังคงวุ่นวาย
ตอนที่รัชทายาทเจาไปถึงถนนสายนี้ไม่มีแม้แต่ที่ว่างจะให้ได้ยืนพัก
ในบ้านมีพื้นที่ไม่พอ ทหารบาดเจ็บบางนายจึงต้องนั่งอยู่บนเสื่อกลางถนน แต่พวกเขาอาการไม่สาหัส เซี่ยงอันพาจิตอาสามาทำแผลและแจกจ่ายยาซึ่งมีประสิทธิภาพสูงมาก
พอเห็นรัชทายาทเจา
เซี่ยงอันก็ลังเลว่าต้องคุกเข่าถวายบังคมหรือไม่แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับเดินผ่านเขาไปหน้าตาเฉย ไม่แม้แต่จะชายตาแล
“ท่านป้า ข้าหน้าตาหล่อเหลาหรือไม่?” เซี่ยงอันชี้หน้าตัวเองขณะหันไปถามหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง
เซี่ยงอันเองก็ถือว่าเป็นลูกขุนนาง
แม้บิดาของเขาจะเป็นหมอชันสูตรศพแต่ก็เป็นหมอชันสูตรศพที่มีชื่อเสียงที่สุดในหนานจิ้น
เขาจึงถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี มีอาหารเลิศรสกิน มีอาภรณ์สวยหรูสวมใส่
ผิวพรรณขาวสะอาด องคาพยพโดดเด่น
ในสายตาสามัญชนคนทั่วไปลักษณะอย่างเขาจึงถือเป็นผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง
“คุณชายช่างมีอารมณ์ขันยิ่งนัก
หากเป็นยามบ้านเมืองสงบบุรุษหน้าตาอย่างท่านไปเดินตามท้องถนนคงมีหญิงสาวไม่น้อยมอบผ้าเช็ดหน้าและถุงใส่เงินให้”
เซี่ยงอันคิดทบทวน ดูเหมือนจะไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นมาก่อน
ในเมืองเย่เฉิงมีคุณชายรูปงามอยู่ดาษดื่น ตัวเขาจึงมิได้โดดเด่นสะดุดตาเลยสักนิด
จู่ๆ เขาก็พลันรู้สึกสูญเสียความมั่นใจในรูปโฉมตัวเองขึ้นมาจึงบ่นพึมพำ “มิน่าล่ะ ฝ่าบาทถึงมองไม่เห็นข้า
ที่แท้เป็นเพราะข้าหน้าตาไม่โดดเด่นสะดุดตานี่เอง เฮ้อ!”
เซี่ยงอันโทษตัวเองเช่นนั้นโดยลืมคิดไปว่าหน้าตาของเขาหากเทียบกับถังเยว่แล้วถือว่าโดดเด่นกว่ามาก
แต่หากถังเยว่ปรากฏตัวอยู่ที่ใด ผู้ที่รัชทายาทเจาจะมองเห็นเป็นคนแรกก็ย่อมเป็นถังเยว่อย่างแน่นอน
เรื่องนี้จึงมิได้เกี่ยวข้องกับรูปโฉมแต่อย่างใด
ขณะกำลังจะสลัดความคิดฟุ้งซ่านพวกนี้ออกจากหัว
ก็เห็นรัชทายาทเจาเดินตรงมาทางเขาและเอ่ยถาม “อาจารย์เจ้าอยู่ที่ใด?”
ความจริงรัชทายาทเจาเพิ่งก้าวเข้าไปในห้องแต่หาถังเยว่ไม่เจอจึงเดินออกมาตามหา
เซี่ยงอันชี้ไปยังห้องตรวจหมายเลขสามด้วยสีหน้าราบเรียบ
“อาจารย์อยู่ที่นั่น
ทหารบาดเจ็บรายหนึ่งเพิ่งถูกส่งตัวเข้าไป เห็นว่าอาการสาหัสมาก อาจารย์เป็นห่วงจึงให้ย้ายไปรักษาที่ห้องตรวจสามขอรับ”
รัชทายาทเจาพยักหน้าแล้วทำท่าจะเดินตรงไปยังบ้านหลังที่สาม
เซี่ยงอันรีบตะโกนขึ้น “เอ่อ…อา…อาจารย์สะใภ้ อาจารย์กำลังยุ่งอยู่ขอรับ”
“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?” รัชทายาทเจาหันกลับมาจ้องมองเขา
“อะ…อาจารย์สะใภ้ขอรับ…”
มีสิ่งใดผิดปกติงั้นหรือ?
เซี่ยงอันมองรัชทายาทเจาอย่างงุนงง แม้บุคคลตรงหน้าจะเป็นบุรุษ แต่อาจารย์ของเขาก็เป็นบุรุษเช่นกัน ถ้าไม่เรียกคู่สมรสของอาจารย์ว่าอาจารย์สะใภ้แล้วจะให้เรียกว่าอะไร?
รัชทายาทเจาฟังแล้วจึงให้คำตอบที่ถูกต้องแก่เขา
“จำไว้ให้แม่น คราวหน้าคราวหลังให้เรียกข้าว่าอาจารย์เขย!”
อ้อ! ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เซี่ยงอันเข้าใจได้ในทันที จวบจนรัชทายาทเจาจากไป พวกสตรีแม่บ้านที่อยู่ข้างหลังเขาจึงเริ่มซักไซ้เพื่อหาข่าวซุบซิบ
“ท่านนั้นคือผู้ใดหรือ?”
“อาจารย์ท่านเป็นหมอเทวดามิใช่หรือ แล้วเขาผู้นั้นจะเป็นอาจารย์เขยได้อย่างไร?”
ตกลงคำว่า ‘อาจารย์เขย’ หมายถึงอะไรกันแน่? คนกลุ่มนี้ต่างจินตนาการคาดเดากันไปเรื่อยเปื่อย
เซี่ยงอันยักไหล่
เขาตระหนักได้ว่าไม่ควรแพร่งพรายฐานะของรัชทายาทเจาออกไป
“เรื่องนี้บอกพวกท่านไม่ได้หรอก”
หลี่เจายืนรออยู่หน้าประตูครู่หนึ่งจึงเห็นถังเยว่เดินออกมาด้วยท่าทางอ่อนเพลีย
พอหันมาเห็นเขาดวงตาคู่นั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นประกายเจิดจ้า
“สงครามจบแล้วใช่หรือไม่?”
หลี่เจาขมวดคิ้ว รินน้ำร้อนที่อยู่ข้างๆ ให้อีกฝ่ายถ้วยหนึ่ง
“เจ้ารักษาคนโดยไม่หยุดพักมานานแค่ไหนแล้ว?”
ถังเยว่ยิ้มเศร้า “จำไม่ได้ น่าเสียดายที่ไม่อาจยื้อชีวิตเขาไว้ได้”
ทหารที่บาดเจ็บเมื่อครู่ทั้งตัวมีบาดแผลฉกรรจ์สิบสามแห่ง สาหัสที่สุดคือตำแหน่งที่ถูกแทงอยู่ใกล้หัวใจ คนเจ็บหยุดหายใจระหว่างการรักษา
เหอที่กำลังช่วยสวมเสื้อคลุมให้ถังเยว่ทนไม่ไหวจึงต้องเอ่ยขึ้น
“คุณชายงานยุ่งมาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ
แม้จะดื่มน้ำสักอึกก็ยังไม่กล้า ฝ่า…”
เหอยังพูดไม่ทันจบหลี่เจาก็คว้าตัวถังเยว่แบกขึ้นบ่า สั่งเสียงเข้ม
“กลับไปพักได้แล้ว!”
“นี่ วางข้าลงนะ! หลี่เจา! รีบปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้!” ถังเยว่พยายามดิ้น
ยิ่งเห็นตลอดทางมีคนมองเต็มไปหมดเขาก็นึกอยากแกล้งตายให้รู้แล้วรู้รอด!
“อยู่นิ่งๆ
มิฉะนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า!”
ถังเยว่อยากตอกกลับไปใจจะขาด แต่เห็นว่าสถานที่ไม่เหมาะสมเกรงว่าจะเผลอทำเรื่องไม่ดีไม่งามต่อหน้าธารกำนัล จึงได้แต่หลับตาหุบปากทำเสมือนว่าผู้คนรอบข้างกลายเป็นอากาศธาตุ
เชิงอรรถ
- ซานกง
คือสามตำแหน่งใหญ่ ได้แก่ อุปราช สมุหกลาโหมและสมุหนายก ส่วนจิ่วชิง
คือเก้าตำแหน่งขุนนางที่มีฐานะรองลงจากซานกง
233 เป็นที่โปรดปรานของคุณชายน้อย
ความเร่าร้อนแผ่ซ่านไปทั่วห้อง
เสียงเตียงป๋าปู้[1]ไม้จื่อถานโยกดังเอี๊ยดอ๊าดเนิ่นนานกว่าจะสงบลงได้
“พวกเราชนะแล้วหรือ?” ถังเยว่เอ่ยถามด้วยเสียงปนหอบ ใบหน้าแดงก่ำ
หลี่เจาลูบไล้แผ่นหลังของเขาอย่างอ่อนโยน ประทับจุมพิตลงบนมุมปากคนตั้งคำถาม
“หากเราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
เจ้าคิดว่าพระสวามียังจะผ่อนคลายสบายอุราเช่นนี้ได้อีกหรือ?”
ทั้งสองต่างอัดอั้นมาหลายวัน
นับแต่มาถึงเมืองฉินหยางก็ยุ่งกับการเตรียมการรบ
แม้คราวก่อนจะได้รับชัยชนะแต่พวกเขารู้สึกคล้ายมีลางสังหรณ์มิสู้ดีผุดขึ้นในใจ
จนครั้งนี้เป่ยเยว่นำกองทัพพันธมิตรของข้าศึกจากภาคตะวันตกเฉียงใต้มาบุกตีเมือง
ทำให้พวกเขาเข้าใจเสียทีว่าสิ่งที่กังวลมาตลอดคือเรื่องอะไรกันแน่
โชคดีที่ครั้งนี้แม้น่ากลัวแต่ไม่อันตราย สามารถผ่านด่านยากไปได้อย่างราบรื่น
แต่พวกเขาก็รู้ว่าสองครั้งที่ผ่านมาสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้เป็นเพราะใช้แผนการที่ศัตรูคาดไม่ถึง
คราวก่อนพวกเขาใช้กระสุนและระเบิดเพลิงสร้างความตกใจและตื่นกลัวให้แก่ข้าศึก
ทำให้ศัตรูไม่กล้าโจมตีต่อและครั้งนี้การปรากฏตัวของผู้พิทักษ์เกราะนิลยิ่งข่มขวัญคู่ต่อสู้ได้เป็นอย่างดี
รัศมีดุจกระบี่คมที่พร้อมจะฟาดฟันทุกคนที่ขวางหน้า
ทำลายขวัญกำลังใจของศัตรูจนหมดสิ้น หลังจากนั้นจึงคว้าชัยได้อย่างราบรื่น
ถังเยว่คิดไปคิดมาก็จมดิ่งสู่ห้วงนิทรา
ทำงานแบบสุดกำลังความสามารถติดต่อกันมาสิบสองชั่วยาม
หากไม่ใช่เพราะหลี่เจาดึงดันที่จะบรรเลงเพลงรักกับเขาละก็ ป่านนี้เขาคงหลับปุ๋ยไปนานแล้ว
หลี่เจาประทับริมฝีปากลงบนหัวตาหมองคล้ำของคนในอ้อมแขนแล้วช่วยห่มผ้าให้
กระชับอ้อมกอดแล้วหลับใหลไปด้วยกัน
ทั้งสองนอนหลับยาวจนถึงช่วงพลบค่ำของวันต่อมา
เสี่ยวลั่วลั่วที่อยู่นอกห้องเดินป้วนเปี้ยนเวียนมาหาหลายรอบ
ทุกครั้งจะแอบสอดส่องสายตาผ่านรูเล็กๆ ตรงช่องหน้าต่าง
เมื่อแน่ใจว่าบนเตียงยังมีคนนอนหลับอยู่จึงค่อยเบาใจ
เขาไม่ได้ร่าเริงเหมือนแต่ก่อนแล้ว
เด็กที่เพิ่งอายุห้าขวบคนนี้สามารถนั่งคัดอักษรอยู่ในห้องได้ครึ่งค่อนวัน
บางครั้งก็จ้องมองต้นไม้ต้นหนึ่งหรือก้อนหินก้อนหนึ่งอย่างเหม่อลอย ทว่าตอนนี้ทุกคนต่างมีงานรัดตัวจึงไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา
บ่าวไพร่ที่คอยปรนนิบัติได้แต่รับผิดชอบดูแลเพียงร่างกายแต่มิอาจดูแลไปถึงความคิดจิตใจของเขาได้
ดังนั้นจึงต้องปล่อยให้เด็กน้อยตรึกตรองหนทางชีวิตของเขาด้วยตัวเอง
ยามที่ด้านนอกกำลังทำศึก จางฉุนจะพาเขาไปอยู่ข้างกายด้วยเสมอ
พวกเขามิได้ออกไปเพิ่มปัญหาสร้างความวุ่นวาย แม้แต่ถนนอวี้หรงจางฉุนก็ไม่ให้เขาไป
ถนนสายนั้นเต็มไปด้วยทหารบาดเจ็บ กลิ่นคาวเลือดอบอวล
หากได้สัมผัสย่อมเป็นการทำร้ายจิตใจเด็กน้อย
แต่ความจริงในช่วงที่จางฉุนมิได้อยู่ข้างกายเสี่ยวลั่วลั่วก็เคยแอบออกไปดู
ที่นั่นต่างจากเย่เฉิงที่แสนเจริญรุ่งเรืองอย่างสิ้นเชิง
ช่วงที่ฉินหยางตกอยู่ในภาวะสงครามนี้ เมืองทั้งสกปรกและโกลาหลวุ่นวาย
มีรอยคราบเลือดปรากฏอยู่ทั่วทุกหนแห่ง มีซากศพปรากฏให้เห็นไปทั่วท้องถนน
เสี่ยวลั่วลั่วมีความกล้าขึ้นมาบ้างแล้ว
หลังจากไปแอบดูถนนอวี้หรงกลับมาก็แค่เหม่อลอยอยู่ครึ่งวันแต่ตกกลางคืนก็มิได้นอนฝันร้าย
ส่วนทัพหน้าสุดนั้น
อย่าว่าแต่เสี่ยวลั่วลั่วเลย แม้แต่ถังเยว่กับจางฉุนก็ยังไม่กล้าไปดู
ภาพคมดาบชุ่มโชกด้วยเลือดแดงฉานพวกเขาขอเห็นเพียงในโทรทัศน์
ถ้าเป็นภาพจากสถานการณ์จริงดูน่าสยดสยองเกินไป
ไม่เหมาะกับคนที่มาจากโลกศิวิไลซ์อย่างพวกเขา
“พอแล้ว เลิกดูได้แล้ว
บิดาทั้งสองของเจ้าต่างเหน็ดเหนื่อยมาก ปล่อยให้พวกเขาได้พักผ่อนเต็มที่เถอะ” จางฉุนอุ้มเสี่ยวลั่วลั่วขึ้น ชำเลืองมองประตูห้องแวบหนึ่ง
ก่อนจะพาเด็กน้อยเดินจากมา
“ท่านอาฉุน ท่านพ่อทั้งสองของข้าต่างยุ่งมากแต่เหตุใดท่านถึงว่างงานเช่นนี้เล่า?”
จางฉุนได้แต่อ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบอย่างไร
พลางนึกในใจว่าเจ้าเด็กนี่กำลังตำหนิว่าเขาไร้ประโยชน์งั้นหรือ?
เขาหยิกก้นเสี่ยวลั่วลั่วแล้วพูดกลั้วหัวเราะ “ใครบอกว่าข้าว่างงาน ข้ากำลังดูแลเจ้าอยู่มิใช่หรือ
หากแม้แต่อาฉุนก็ไม่อยู่ถ้าเกิดเจ้าร้องไห้ขวัญกระเจิงขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
เสี่ยวลั่วลั่วคิดแล้วก็เห็นด้วย
มีจางฉุนอยู่ข้างกายเขาก็มิได้หวาดกลัวขนาดนั้นแล้วจริงๆ
มิหนำซ้ำท่านอาผู้นี้ยังสรรหาข้าวของมาเล่นกับเขา
ทำเอาเด็กแถวนี้ติดจางฉุนแจจนตอนนี้เขาตั้งให้ตัวเองเป็นหัวหน้าในหมู่เด็กน้อยไปแล้ว
ก่อนหน้านี้เตียเตียได้มอบหมายภารกิจให้เขา นั่นคือคอยดูแลเด็กในละแวกนี้
เล่นกับเด็กพวกนั้นมาหลายวัน ได้รับแววตาเลื่อมใสมาอย่างล้นหลาม
ช่วยเพิ่มพูนความมั่นใจและความภาคภูมิใจในตัวเองให้เพิ่มมากขึ้น
“งั้นตอนนี้พวกเราจะไปไหน?”
จางฉุนอยากไปหาหวังติ่งจวิน
สงครามยังไม่สิ้นสุด หวังติ่งจวินต้องติดตามรัชทายาทไปเมืองฉู่โจว
ส่วนตัวเขาจะทิ้งเมืองเย่เฉิงไปนานก็ไม่ได้
การค้าสำคัญหลายอย่างของเขายังอยู่ที่เมืองเย่เฉิง
ยิ่งไปกว่านั้นถึงเขาจะตามไปด้วยก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี มิสู้คอยเป็นกำลังอยู่เบื้องหลังดีกว่า หาเงินให้ได้มากๆ
ถ้าพวกทหารเกิดขาดแคลนเสบียงอาหารหรือชุดเกราะเขาก็ยังสามารถช่วยสนับสนุนได้
ยังมีเด็กคนนี้อีก
รัชทายาทเจาพาโอรสมาฉินหยางได้ก็จริงแต่จะพาไปฉู่โจวด้วยไม่ได้
ประการแรกจะทำให้ลั่วลั่วเสียการเรียน ประการที่สองจะเป็นการเผยจุดอ่อนของตัวเองให้ข้าศึกใช้เป็นช่องทางเล่นงานเอาได้
นั่นเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย
ดังนั้นจางฉุนคิดว่าเขากับหวังติ่งจวินคงไม่อาจเป็นคู่ทุกข์คู่ยากไม่แน่หากเคราะห์ร้ายขึ้นมาพวกเขาอาจต้องตายจาก
ไม่ได้พบพานกันอีกชั่วชีวิต
“ถุยๆ คิดเพ้อเจ้ออะไรเนี่ย!” จางฉุนตาโตค้าง ตบหน้าตัวเองไปหลายฉาด ทำเอาเสี่ยวลั่วลั่วมองอย่างตกใจ
“เตียเตียบอกว่าอาการแบบนี้ของท่านเรียกว่าโฮล์มส์-เอดิอี
ซินโดรม![2]”
จางฉุนกระตุกยิ้มมุมปาก “เจ้าตัวเล็ก รู้หรือไม่ว่าโฮล์มส์เป็นใคร?”
“โฮล์มส์เป็นคนหรือ? เป็นไปไม่ได้!” เสี่ยวลั่วลั่วส่ายหน้ารัว
เขาไม่เคยได้ยินว่าจะมีใครชื่อแปลกประหลาดขนาดนี้มาก่อน
“แน่นอนอยู่แล้วและยังเป็นสุดยอดนักสืบที่เก่งกาจมาก
กล่าวกันว่า…”
จางฉุนเริ่มเปิดฉากเล่าเรื่องราวของเชอร์ล็อก
โฮล์มส์ให้เด็กน้อยฟังอย่างออกรสออกชาติ สมจริงเป็นที่สุด แม้แต่พวกบ่าวไพร่ที่ติดตามอยู่ด้านหลังยังฟังจนเคลิ้มไปด้วย
พากันร้องอุทานด้วยความตกใจอยู่เป็นระยะ
หวังติ่งจวินกับหยางเฟิงกลับมาจากข้างนอก
พอเห็นกลุ่มคนยืนออกันแน่นก็เกิดความงุนงง
พวกเขากำลังจะเอ่ยทักก็เห็นบ่าวสองคนกอดกันกลม หวีดร้องเอ็ดตะโร
ใครไม่รู้คงนึกว่าเจ้านายพวกเขาเกิดบันดาลโทสะจะฆ่าคน
“คุยอะไรกัน ทำไมถึงอกสั่นขวัญผวาขนาดนี้?”
หวังติ่งจวินมองปราดเดียวก็เห็นตัวการสำคัญ
จางฉุนหัวเราะฮิๆ แล้วยักคิ้วยียวน “ก็คุยเรื่องสนุกกันอยู่น่ะสิ
แต่เรื่องที่เราคุยกันมิได้เกี่ยวข้องกับเจ้าแม้แต่น้อย”
ความหมายของประโยคนี้ก็คือเขาจะไม่เล่าเรื่องนี้ต่อหน้าหวังติ่งจวิน ทว่าทุกคนกำลังฟังถึงช่วงสำคัญ
จึงต่างคันคะเยออยากฟังต่อแต่ไม่มีใครกล้าปริปากพูด
ได้แต่ก้มหน้าแสดงอาการประท้วงเงียบๆ
เป็นเสี่ยวลั่วลั่วที่พูดตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม
เด็กน้อยกอดแขนจางฉุนแล้วถาม “แล้วหลังจากนั้นเล่า?
ฆาตกรเป็นใคร จับตัวได้หรือไม่?”
จางฉุนกระซิบข้างหู “ไว้คราวหน้าค่อยบอก”
แต่เสี่ยวลั่วลั่วไม่ยอม
เขายืมคำพูดเตียเตียมาใช้ “นี่เป็นการจงใจยั่วให้อยากรู้มิใช่หรือ?”
เขาหันไปทางหวังติ่งจวินแล้วยื่นมือสองข้างออกไปเตรียมโผไปหา
ท่าทางเช่นนี้ใครเห็นก็ต้องเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการให้อุ้ม
แต่คนอื่นที่อยู่ในที่นั้นนอกจากเจ้าเมืองหยางแล้วต่างคุ้นเคยกับพระราชนัดดาน้อยเป็นอย่างดี
คุณชายน้อยผู้นี้ตั้งแต่อ้อนแต่ออกยอมให้เข้าใกล้อยู่แค่สองคน
คนหนึ่งคือพระชายาถังเยว่ อีกคนคือเยี่ยนกูแม่นมของเขา
แม้แต่องค์รัชทายาทก็ไม่ได้รับความโปรดปรานจากเจ้าตัวเล็ก
ท่านโหวน้อยต้องใช้ความพยายามหลายปี ใช้ขนม
ใช้ของเล่นจำนวนนับไม่ถ้วนกว่าจะได้รับการยอมรับจากคุณชายน้อย
ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยได้ยินว่าแม่ทัพหวังก็ได้รับเกียรตินี้ด้วย
หวังติ่งจวินเองก็นิ่งอึ้งไป
เขารับเด็กน้อยมาอุ้มไว้อย่างระมัดระวังรู้เพียงมีกลิ่นนมหอมกรุ่นโชยมาปะทะหน้า
เด็กน้อยในอ้อมแขนตัวนุ่มนิ่ม บอบบางจนน่ากลัว
เขาทำอะไรไม่ถูก
จึงหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากจางฉุน ฝ่ายตรงข้ามกลับหัวเราะเหอะๆ
เสมือนเป็นเรื่องน่าขันนักหนา ในใจจางฉุนตอนนี้กำลังรู้สึกสะใจ
นานทีปีหนจะได้เห็นท่าทางวิตกกังวลของหวังติ่งจวินอย่างหาได้ยากยิ่งเช่นนี้
“ท่านอาฉุน พวกเราหาที่นั่งคุยกันดีไหม
ท่านก็คอแห้งแล้วนี่”เสี่ยวลั่วลั่วคลี่ยิ้ม
เผยให้เห็นฟันเขี้ยว น่ารักน่าเอ็นดู
มีหรือที่จางฉุนจะไม่เห็นด้วย
เขารีบกวักมือพาคนทั้งกลุ่มเดินไปในศาลาของเรือนหลัง สั่งให้คนยกขนมและชาร้อนมาให้
มองหวังติ่งจวินหน้านิ่งแล้วเริ่มเล่านิทานต่อ
จวบจนถังเยว่ตื่นแล้วค่อยคลำทางตามมาที่นี่
ภาพที่เห็นในตอนนี้จึงดูครึกครื้นสนุกสนานมาก
ในศาลาพักร้อนลมโชยพัดเย็นสบายหลังหนึ่ง
มีคนมุงล้อมเป็นกลุ่ม แม้แต่ทางเดินก็ยังยืนออกันเต็มไปหมด
เสียงคุ้นหูดังลอดมาจากฝูงชน ถังเยว่ยืนอยู่ไกลเกินไปได้ยินไม่ชัดว่าเขาพูดอะไร
กระทั่งเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิดถึงรู้ว่าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการไขคดี
ฟังแล้วดูเหมือนจะเป็นเรื่องราวในคดีของเปาบุ้นจิ้น อย่าถามว่าเขารู้ได้อย่างไร
ตอนนั้นเขาดูซ้ำหลายรอบ ทั้งศพแห้งเอย หมู่บ้านผีเอย แต่ฟังจางฉุนเล่าแล้วสนุกมีรสชาติยิ่งกว่าดูเองเสียอีก
“อะแฮ่ม
พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่าตอนนี้มืดแล้ว ควรกินข้าวได้แล้ว”
นี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว
ไม่กินข้าวเย็นกันหรือไง!
บ่าวไพร่รอบๆ
พอหันมาเห็นถังเยว่ต่างพากันทำความเคารพแล้วก้มหน้าแยกย้ายจากไป
กระทั่งผู้คนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ถังเยว่จึงเดินเข้าไปในศาลาด้วยท่าทีผ่อนคลาย
เห็นเสี่ยวลั่วลั่วนั่งอยู่บนตักหวังติ่งจวิน เท้าคางตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ
เมื่อก่อนตอนที่ถังเยว่เล่านิทานก่อนนอนให้ฟังไม่เคยเห็นเด็กน้อยจะให้ความสนใจขนาดนี้มาก่อน
ถังเยว่งงงัน เดินเข้าไปหยิกแก้มใสของลูกน้อย “นี่ ฟังจนเหม่อแล้ว”
เสี่ยวลั่วลั่วหันมา
พอเห็นว่าเป็นถังเยว่ก็รีบโผเข้าหา
สองแขนโอบรัดรอบคอเขาแน่นพลางใช้แก้มถูไถออดอ้อนแล้วเปล่งเสียงร้องฮือๆ
จนทุกคนในที่นั้นต่างใจอ่อนยวบแทบละลาย
หยางเฟิงมีบุตรธิดาหลายคนแต่ไม่มีลูกคนไหนที่จะสนิทสนมกับเขาอย่างนี้เลยสักคน
ชั่วขณะนั้นจึงอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ ส่วนจางฉุนคุ้นชินกับภาพแบบนี้แล้ว เขาเบ้ปาก
รู้สึกขัดเคืองกับการมาถึงของถังเยว่ที่ดึงความสนใจของทุกคนไปจนหมด
ด้านหวังติ่งจวินก็ถึงวัยที่ควรแต่งงานมีครอบครัวได้แล้ว
แม้รสนิยมทางเพศจะไม่อาจให้กำเนิดบุตรแต่กลับมีความคิดปรารถนาอยากมีลูกอยู่ไม่น้อย
ถึงจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่รับเลี้ยงเด็กสักคนก็ไม่เลว คิดแล้วก็แอบเหลือบมองจางฉุน
เมื่อคิดว่าฝ่ายนั้นเข้ากับคุณชายน้อยได้เป็นอย่างดี
จึงคิดเองเออเองว่าจางฉุนก็คงชอบเด็กเช่นกัน
ด้วยความคิดนี้ ภายหลังหวังติ่งจวินจึงไปเก็บเด็กทารกจากชายแดนกลับมาหนึ่งคน
เลี้ยงดูดุจดั่งลูกในไส้ของตน
เมื่อเรื่องนี้แพร่ไปถึงเมืองเย่เฉิงย่อมกลายเป็นว่าอนุภรรยาที่อยู่ชายแดนของเขาให้กำเนิดบุตร
ทำเอาจางฉุนโมโหจนลมสว้านแทบจุกอกตาย
แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ในวันหน้า
เชิงอรรถ
- เป็นเตียงไม้โบราณ
ลักษณะคล้ายกล่องสี่เหลี่ยมมีหลังคา
- โฮล์มส์-เอดิอี
ซินโดรม หรือกลุ่มอาการเอดิอี คืออาการที่รูม่านตาโตค้าง
อาจเป็นข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง
234 แยกจากกัน
สิบวันให้หลัง
ข่าวชัยชนะจากเมืองฉินหยางส่งมาถึงเมืองเย่เฉิงทั้งราชสำนักต่างตื่นตะลึง ทุกคนร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นและเหลือเชื่อ
ทัพใหญ่หนึ่งแสน
ครึ่งหนึ่งเป็นไพร่พลของเป่ยเยว่
คิดไม่ถึงว่ากองทัพที่รวมพันธมิตรหลายฝ่ายนี้แม้แต่เมืองฉินหยางก็ยังตีไม่แตกอีกทั้งยังได้รับความเสียหายใหญ่หลวงจนต้องล่าถอยไป
นี่ช่างเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
หากไม่เพราะข่าวดีนี้มีตราประทับขององค์รัชทายาท
พวกเขาคงคิดว่าหยางเฟิงสร้างผลงานเท็จ ปิดบังความจริงเป็นแน่
“ฝ่าบาท
ในรายงานได้ระบุไว้หรือไม่ว่าพวกเขาสามารถเอาชนะข้าศึกด้วยวิธีใด” ขุนศึกเฒ่าผู้หนึ่งเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นยินดี
ขอเพียงมีกลยุทธ์ที่ล้ำลึกย่อมไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นไปไม่ได้
แต่การได้มาซึ่งชัยชนะในครั้งนี้หากจะกล่าวว่าเป็นผลงานของกองทัพทหารรักษาการณ์เพียงสามหมื่นนายที่เมืองฉินหยางมีอยู่ก็ฟังดูเหลือเชื่อมากจนเกินไป
ต่อให้องค์รัชทายาทเป็นผู้บัญชาการชั้นเทพเซียนแต่การนำทัพทหารรักษาการณ์สามหมื่นนายเข้าปะทะกับทหารประจำการหนึ่งแสนนายของข้าศึก
เมื่อเทียบอัตราส่วนแล้วดูอย่างไรก็ไร้วี่แววที่จะชนะ
จักรพรรดิหนานจิ้นส่ายหน้า “รายงานที่ส่งมามีแค่ร้อยกว่าตัวอักษร มิได้ชี้แจงรายละเอียดไว้
สถานการณ์ศึกที่แท้จริงคาดว่าต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะรายงานขึ้นมา”
นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาเนิ่นนาน
ผลการรบแพ้ชนะต้องรายงานด่วนเข้าวังทันที
ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยอีกหลายวันหรือหลายเดือนค่อยส่งตามมาภายหลัง
เพราะการร้อยเรียงเนื้อหาประเภทนี้จำเป็นต้องใช้เวลา
ยามศึกคับขันผู้บัญชาการแม่ทัพย่อมไม่มีเวลาพิรี้พิไรกระทั่งเขียนสารด้วยซ้ำ
จักรพรรดิหนานจิ้นก็มิได้เป็นกังวลในเรื่องนี้
เป็นถึงจักรพรรดิย่อมมีหน่วยสอดแนมที่จะส่งข่าวรายงานอยู่แล้ว
เขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่าแท้จริงแล้วศึกครั้งนี้สามารถคว้าชัยมาได้อย่างไร
“ฝ่าบาท
เป่ยเยว่เคลื่อนกำลังพลทหารม้าห้าหมื่นนายโจมตีมาจากทางตะวันตกเฉียงใต้
เป็นช่วงที่ทางเหนือมีการป้องกันหละหลวม เช่นนี้มิสู้ประกาศราชโองการให้หลู่กั๋วกงเป็นฝ่ายบุกก่อนจะดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เหิงกั๋วกงเสนอความคิดเห็น
ทุกคนได้ฟังแล้วต่างคล้อยตาม
เดิมทีทัพใหญ่เป่ยเยว่มีกำลังพลหนึ่งแสน ตอนนี้ยกไปสู้ศึกที่ฉินหยางเสียครึ่งหนึ่ง
นับเป็นโอกาสดีดุจฟ้าประทาน
เป็นช่วงเวลาเหมาะที่จะบุกโจมตีทัพหลักที่เหลือเป็นที่สุด
“คำพูดนี้ของเหิงกั๋วกงมีเหตุผล
รีบส่งคนไปแจ้งเรื่องนี้ให้หลู่กั๋วกงทราบโดยด่วน!”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา!”
“ฝ่าบาท บัดนี้ศึกฉินหยางได้ยุติลงแล้ว
กระหม่อมเชื่อว่าฉีอ๋องกับเผ่าเยว่อี๋ต้องไม่กล้ามารุกรานหนานจิ้นอีกเป็นแน่
เช่นนั้นเพื่อความปลอดภัยควรเรียกให้องค์รัชทายาทรีบเสด็จกลับโดยเร็วจะดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
อานกั๋วกงลุกขึ้นถาม
วาจาเช่นนี้เขาพูดมาแล้วไม่ต่ำกว่าสามครั้ง
ตอนแรกจักรพรรดิหนานจิ้นมีสีหน้าบึ้งตึงใส่ หาว่าเขากังวลเกินเหตุ ตอนนี้คงรู้สึกเบื่อหน่ายที่ถูกถามเซ้าซี้จึงบอกด้วยเสียงราบเรียบ
“รัชทายาทจะเดินทางไปฉู่โจว
ข้าได้ส่งกำลังไปสบทบให้เขาใช้สอยบัญชาทัพตามต้องการ อานกั๋วกงมิต้องกังวลใจไป”
“อะไรนะ!” ครั้งนี้มิใช่แค่อานกั๋วกงที่ประหลาดใจ
เสนาบดีคนอื่นต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน และรีบเอ่ยทักท้วง “ฝ่าบาท
ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
นั่นคือรัชทายาทเจา
ว่าที่จักรพรรดิซึ่งจะขึ้นปกครองแว่นแคว้นในวันหน้า
ควรแล้วหรือที่จะปล่อยให้ไปอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยภยันตรายเช่นในสมรภูมิหรือพื้นที่ที่มีศึกสงคราม
หากเกิดอะไรขึ้นหนานจิ้นของพวกเขาจะทำเช่นไร!
“ฝ่าบาท รัชทายาททรงพระเกียรติสูงส่ง
ต้องทรงแบกรับภาระใหญ่หลวงในภายภาคหน้า
จะให้เสด็จไปในที่อันตรายเช่นนั้นมิได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ
องค์รัชทายาทมิได้นำทัพออกรบมาหลายปี
เสด็จไปฉู่โจวครั้งนี้ไม่แน่ว่าจะควบคุมอำนาจทางการทหารได้
ทั้งยังอาจสร้างความกดดันให้หลู่กั๋วกงด้วย
กระหม่อมคิดว่าควรให้รัชทายาทเสด็จกลับเย่เฉิง
มาบัญชาการรบอยู่เบื้องหลังดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องน้อยใหญ่ในราชสำนักองค์รัชทายาทล้วนเป็นผู้ดูแลจัดการทั้งสิ้น
บัดนี้ฎีกาถูกสะสมมาเป็นเวลาสองเดือนแล้ว เกรงว่าอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้”
จักรพรรดิหนานจิ้นนิ่งฟังคำของเหล่าขุนนางเสนาบดีที่แสดงความห่วงใยต่อรัชทายาทประโยคแล้วประโยคเหล่า
คนนั้นกล่าวทีคนนี้กล่าวที
แต่ความห่วงกังวลของทุกคนโดยสรุปแล้วมีเพียงประการเดียวคือ
หากรัชทายาทเกิดพลาดพลั้งเป็นอะไรไป แผ่นดินหนานจิ้นจะต้องตกอยู่ในสภาพไร้ผู้ดูแล!
ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าในใจคนเหล่านี้คงอยากให้ตัวเขาจากไปในเร็ววัน
เพื่อจะได้สถาปนาองค์รัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์มังกรเสียในวันนี้พรุ่งนี้ได้ยิ่งดี
หลายปีมานี้จักรพรรดิหนานจิ้นเองก็ยอมรับว่ารัชทายาทเจาจัดการบริหารราชกิจได้อย่างรอบคอบถี่ถ้วนมากขึ้นเรื่อยๆ
เดิมทีเขามอบหมายเพียงงานจิปาถะเล็กน้อยให้อีกฝ่ายรับผิดชอบ
ภายหลังจึงเริ่มมอบหมายงานใหญ่ให้มากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งตัวเขาเองแทบจะเรียกได้ว่าเป็นจักรพรรดิว่างงานแสนสุขสำราญ
เขานั่งบนบัลลังก์มังกรในฐานะจักรพรรดิผู้ปกครองแคว้นหนานจิ้นมาเกือบสามสิบปี
อันที่จริงก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับงานราชกิจไม่น้อย
ทุกวันต้องตรวจฎีกาที่ซ้ำซากจำเจไม่จบไม่สิ้น
หลังจากได้ยกหน้าที่นี้ให้รัชทายาทแล้ว ตัวเขาเองก็รู้สึกปลอดโปร่ง
มีเวลาว่างให้เสพสุขหาความสำราญกับคนงามได้ทุกวัน
มีชีวิตที่อิสรเสรียิ่งกว่าที่เคยเป็นมา วังหลังจึงมีสาวงามถูกส่งตัวเข้ามาไม่ขาดสาย
เหล่าชายาที่เคยได้รับความโปรดปรานในวันวานต่างก็ร่วงโรยร้างราไป
สาวงามอ่อนวัยสดใหม่หวานฉ่ำดั่งบุปผาแรกแย้มจำนวนนับร้อยต่างแย่งกันเข้ามาผลิบานกลางวังหลวงเพื่อรอรับความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิ
เช่นนี้แล้วจะมิให้ตัวเขาลุ่มหลงมัวเมาได้อย่างไรกันเล่า
คนเราเมื่อลุ่มหลงอยู่กับการเสวยสุขเสียแล้วจะให้ถอนตัวก็คงยาก
บวกกับวัยที่เพิ่มพูนเวลานี้แม้จักรพรรดิหนานจิ้นจะยังคงเป็นกษัตริย์ผู้มีปณิธานอันแรงกล้า
แต่ก็มิได้มีพลังกายพลังใจที่จะทุ่มเทดังเช่นในกาลก่อนอีกแล้ว
“นำฎีกาทั้งหมดส่งไปที่ห้องทรงพระอักษร
ข้าจะตรวจเอง!”
จักรพรรดิหนานจิ้นเอ่ยด้วยสีหน้าถมึงทึงแล้วเอ่ยต่อกลั้วเสียงหัวเราะเย็นเยียบ “หูข้ายังไม่ถึงกับฟังไม่ได้ยิน มือข้ายังไม่ถึงกับจะยกฎีกาอ่านไม่ไหว
พวกเจ้าเลิกกังวลเรื่องราชสำนักไร้ผู้ดูแลได้แล้ว”
หรือหากขาดรัชทายาทไปสักคน
หนานจิ้นจะมิอาจขับเคลื่อนได้ดั่งปกติอีกแล้วงั้นหรือ!
เหล่าเสนาบดีต่างรีบก้มศีรษะขานรับ
“ฝ่าบาทมีโชควาสนาดั่งทะเลบูรพา
พระชนมายุยิ่งยืนนานดุจขุนเขาประจิม”
เมืองฉินหยาง
รถม้าค่อยๆ
เคลื่อนออกจากประตูเมืองเป็นขบวนยาวเหยียด ถังเยว่นั่งอยู่ในรถม้าคันหน้าสุด
สายตาจับจ้องมองรอยด่างดวงบนกำแพงเมือง คราบเลือดที่ประดับอยู่ด้านบนกำแพงสูงตระหง่านยังไม่ได้ล้างทำความสะอาดทำให้ยิ่งดูน่าเศร้าสลดอย่างหนักหน่วง
ซากศพกองพะเนินดังภูเขาขนาดย่อมหน้าประตูเมืองถูกขนไปเผาหมดแล้ว
ทว่ากลิ่นคาวเลือดยังคละคลุ้งชวนให้รู้สึกสะอิดสะเอียน
หลี่เจานั่งอยู่บนหลังม้า สายตาจับจ้องอยู่ที่ถังเยว่ดุจมีคำพูดนับพันหมื่นที่มิอาจเอ่ยออกมาได้หมด
“ระหว่างทางต้องระวังเรื่องความปลอดภัยให้ดี
หากมีอันตรายให้รีบส่งสัญญาณแจ้งมาทันที” หลี่เจากำชับย้ำแล้วย้ำอีก
“กระหม่อมจะมีอันตรายอะไรได้
ตลอดทางกลับเมืองเย่เฉิงเป็นถิ่นฐานของพวกเราเอง ตรงกันข้ามกับฝ่าบาท
จากฉินหยางสู่ฉู่โจวตลอดทางล้วนเต็มไปด้วยความยากลำบากและภยันตราย
ไม่แน่พวกทหารข้าศึกอาจดักซุ่มโจมตีกลางทาง จะต้องระวังพระองค์ให้มาก”
มุมปากรัชทายาทเจาปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยน
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดีเลย
หากทหารพ่ายศึกกลุ่มนั้นยังมีแรงเหลือจะได้ใช้โอกาสนี้จัดการให้สิ้นซากเสียเลยทีเดียว!”
“อย่าประมาท ระวังไว้เป็นดีที่สุด”
“วางใจเถอะ ผู้พิทักษ์เกราะนิลอยู่ใกล้ๆ
พวกเขาจะเดินทางขึ้นเหนือไปด้วย”
ถึงอย่างนั้นถังเยว่ก็ยังเป็นห่วงว่าข้าศึกจะใช้เล่ห์เพทุบาย
อาศัยผลประโยชน์ด้านชัยภูมิดักซุ่มโจมตี ถึงตอนนั้นไม่แน่ว่าผู้พิทักษ์เกราะนิลก็อาจมาช่วยไม่ทัน
“ฝ่าบาทเสด็จไปพร้อมกับผู้พิทักษ์เกราะนิลเลยมิดีกว่าหรือ
ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เปิดเผยออกมาแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอำพรางอีกต่อไป”
“ไม่จำเป็น พวกเขายังมีภารกิจอื่นอีก
ข้ามิได้เปิดเผยฐานะของตัวเอง ประเดี๋ยวปลอมตัวแล้วจะใช้เส้นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ไม่น่าจะบังเอิญเจอพวกนั้นได้”
ทั้งสองสบตากันเนิ่นนาน
ความอาลัยอาวรณ์ไม่อยากแยกจากพรั่งพรูขึ้นในหัวใจ
จากกันครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะได้พบหน้ากันอีกเมื่อไร
ในใจถังเยว่เต็มไปด้วยความร้อนรุ่มไม่สบายใจ เขารู้ว่าการทำศึกสงครามในสมัยโบราณมักเกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนาน
บางครั้งเนิ่นนานถึงสิบหรือยี่สิบปี การคมนาคมก็แสนจะไม่สะดวก
อย่าว่าแต่เนิ่นนานเพียงนั้นเลย
แค่ต้องแยกจากกันสามปีห้าปีเขาก็นึกไม่ออกแล้วว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นไร
เขาถอนหายใจยาวเหยียด
“มิสู้ให้กระหม่อมติดตามไปด้วย
ถึงอย่างไรก็ยังสามารถช่วยรักษาคนได้”
หลี่เจาส่ายหน้า “จวนรัชทายาทยังต้องมีคนคอยดูแลจัดการ
ความสัมพันธ์ในราชสำนักต้องมีคนคอยสืบสานต่อเนื่อง เสด็จพ่อเสด็จแม่ต้องการให้เจ้าแสดงความกตัญญู
สำคัญที่สุดคือเจ้าต้องใส่ใจอบรมเลี้ยงดูพระราชนัดดาองค์โตของจักรพรรดิ
ภารกิจของเจ้าหนักหนามิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าข้าเลยสักนิด”
หลี่เจาย่อมไม่พาถังเยว่ไปชายแดนที่เต็มไปด้วยภยันตรายรอบด้านอย่างแน่นอน
ประการแรกเขาเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของอีกฝ่าย
ประการที่สองหากไม่มีพระชายาอยู่ในเมืองเย่เฉิงไม่แน่ว่าเหล่าเสนาบดีในราชสำนักอาจรู้สึกไม่สบายใจก็เป็นได้
ถังเยว่เองก็ตระหนักและเข้าใจในเหตุผล
แต่หลายปีมานี้พวกเขาแทบไม่เคยแยกจากกัน คิดแล้วก็อดเป็นทุกข์ไม่ได้
“มีหน่วยพยาบาลที่เจ้าเคี่ยวกรำสั่งสอนมาก็เพียงพอแล้ว”
หลี่เจาอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อเทียบกับสถานการณ์ในอดีต
ที่เป็นอยู่ในตอนนี้นับว่าดีกว่าหลายเท่านัก พวกเขามีเสบียงอาหารเพียงพอ
มีหมอและพยาบาลทหารเกินร้อยคน มีอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ๆ ที่ทรงประสิทธิภาพ
ทั้งยังมีไพร่พลที่ได้รับการอบรมปลูกฝังมาอย่างตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษ
ช่วงที่เป่ยเยว่ฟื้นฟูบ้านเมืองพวกเขาก็เร่งพัฒนาอย่างสุดกำลัง ตอนที่เป่ยเยว่ก้าวมาถึงจุดสูงสุดในอดีต
หนานจิ้นของพวกเขากลับก้าวล้ำหน้าไปอีกหลายเท่า
ศึกครั้งนี้เขามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
“ฝ่าบาท สายมากแล้ว
ควรออกเดินทางได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงใครบางคนกล่าวเตือน
หลี่เจากระโดดลงจากหลังม้าพร้อมกับที่ถังเยว่ก้าวลงจากรถม้าวิ่งเข้าสู่อ้อมแขนที่รับตัวเขาเข้าไปสวมกอดไว้อย่างแนบแน่น
ทั้งสองจุมพิตกันอย่างดูดดื่มร้อนแรงราวกับไม่อาจตัดใจถอนริมฝีปากออกจากกันได้
เสี่ยวลั่วลั่วโผล่หน้าออกมาจากในรถม้า
พอเห็นฉากนี้เข้าก็รีบเอามือปิดตาแต่แอบแง้มดูผ่านทางร่องนิ้ว
“ลั่วลั่ว มาลาเสด็จพ่อสิ” ถังเยว่หันมากวักมือเรียกเด็กน้อยด้วยใบหน้าแดงซ่าน
หลี่เจากอดเสี่ยวลั่วลั่วไว้แนบแน่นไม่แพ้กัน
พร้อมกับเอ่ยกำชับอย่างเข้มงวด
“บิดามิได้อยู่พร่ำสอนข้างกาย
ห้ามเจ้าหลงระเริงเอาแต่เล่นสนุก ต้องดูแลเตียเตียของเจ้าให้ดี
ต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ขาดไปแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้
บิดากลับมาเมื่อใดจะเรียกตรวจผลการเรียนของเจ้า”
เสี่ยวลั่วลั่วพยักหน้าอย่างจริงจัง “ลูกทราบแล้ว”
การมาฉินหยางครั้งนี้
ผู้ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เกรงว่าน่าจะเป็นเสี่ยวลั่วลั่ว
เด็กน้อยในตอนนี้ไม่เหมือนเด็กห้าขวบทั่วไปที่อยากหัวเราะก็หัวเราะ
อยากร้องไห้ก็ร้องไห้ เขารู้จักเก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึกตัวเอง
รู้จักประเมินสถานการณ์และรู้ว่าความลำบากของราษฎรทั่วหล้าเป็นเช่นไร
ถังเยว่ลูบศีรษะเขา “การพาลูกมาที่นี่ ไม่รู้ว่าตัดสินใจถูกหรือผิดกันแน่”
เขามักรู้สึกเสมอว่าไม่ควรรีบร้อนยัดเยียดความรู้ต่างๆ
ให้ลูกมากเกินไป ช่วงวัยไหนควรทำอะไรก็ควรเป็นไปตามนั้น
ไม่ว่าความรู้ใดก็ควรเรียนรู้ทีละขั้นตอน เร่งร้อนมากไปไม่ใช่เรื่องดี
แต่เขาก็รู้อีกเช่นกันว่าหากปลูกฝังสั่งสอนตามแบบการดูแลเด็กในยุคปัจจุบัน
กว่าเสี่ยวลั่วลั่วจะกลายเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จได้ต้องใช้เวลาบ่มเพาะอย่างน้อยยี่สิบปี
แต่โอรสของว่าที่จักรพรรดินั้นต่างกัน
เขาไม่ต้องการความใสซื่อบริสุทธิ์หรือดีงามจนเกินไป
วิธีสั่งสอนของหลี่เจาจึงนับว่ามีประสิทธิภาพ เหมาะสมและให้ผลสัมฤทธิ์มากกว่า
หลี่เจาพอได้ยินถังเยว่พึมพำเช่นนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เพราะเจ้าให้ท้ายเขามากเกินไป”
ถังเยว่ทำตาคว่ำ “ลูกกระหม่อม หากกระหม่อมไม่ให้ท้ายแล้วจะรอให้ใครมาให้ท้ายเขากันล่ะ”
หลี่เจาทอดถอนใจอย่างเอือมระอา
ได้แต่หวังว่าเมื่อเขากลับบ้านหลังศึกสงครามเสร็จสิ้น
โอรสของตนจะไม่กลายเป็นพวกลูกผู้ดีเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อก็พอแล้ว แม่ที่รักและให้ท้ายลูกมากเกินไปจะทำให้ลูกเสียคน
ประโยคนี้มิได้กล่าวกันเล่นๆ
ขบวนรถม้าเคลื่อนตัวออกเดินทาง
ถังเยว่นั่งอยู่คันหน้าจึงค่อยๆ จากไปไกลจนกลายเป็นจุดเล็กๆ
แม้ในใจของทั้งคู่เต็มไปด้วยความอาวรณ์แต่ในที่สุดภาพที่ปรากฏก็เลือนหายไปจากสายตา
จางฉุนย้ายจากรถม้าคันหลังมานั่งรถม้าคันหน้า
ทั้งเขาและถังเยว่ต่างนั่งนิ่งอยู่ในความสงบ สภาพอารมณ์ปราศจากความคึกคัก
เวลาผ่านไปพักใหญ่ จางฉุนจึงถามขึ้น “คุณคิดว่าหากศึกครั้งนี้ต้องรบกันนานยี่สิบปี
คุณจะทนเฝ้ารออยู่กับบ้านได้ตลอดรอดฝั่งไหม?”
ถังเยว่ส่ายหน้า “สามปีก็เต็มกลืนแล้ว หากผ่านไปสามปีเขายังไม่กลับมา ฉันจะออกมาหาเขาเอง”
เขาไม่อาจเป็นเช่นเดียวกับผู้หญิงในยุคนี้
จะให้อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนนั่งรอสามีกลับจากศึกสงครามไปตลอดชีวิตจนแก่เฒ่าแห้งเหี่ยวโรยราไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก
เช่นนั้นชีวิตยังจะมีความหมายอยู่อีกหรือ
หากไม่ใช่เพราะมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเขาก็ไม่เต็มใจที่จะแยกจากหลี่เจาแม้เพียงครู่เดียว
จางฉุนหัวเราะร่า “ถูกต้อง ถึงตอนนั้นพวกเราจะไปด้วยกัน!”
ถังเยว่ตบศีรษะเขาหนึ่งที “ถ้างั้นนับจากนี้ นายก็ต้องหมั่นขยันฝึกวิทยายุทธ์
จะมาทำใจเสาะปอดแหกไม่ได้เป็นอันขาด อย่างน้อยก็ต้องสามารถปกป้องตัวเองได้”
“แหม ว่าแต่ผม
ช่างไม่ดูแขนขาเล็กลีบของตัวเองมั่งล่ะ คุณยังสู้ผมไม่ได้เลยด้วยซ้ำ… อ๊ะ…”
มีดเล็กคมกริบเล่มหนึ่งจ่ออยู่ที่คอเขาพร้อมกับเสียงหัวเราะเย้ยหยันของถังเยว่
“ตกลงใครสู้ใครไม่ได้กันแน่?”
จางฉุนยิ้มแหย ค่อยๆ
ยกมือผลักคมมีดออกห่างจากคอ
“พี่ถังย่อมเจ๋งที่สุดอยู่แล้ว!”
235 ความเปลี่ยนแปลงของเสี่ยวลั่วลั่ว
กว่าขบวนของถังเยว่จะกลับถึงเมืองเย่เฉิงก็มีสภาพอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปตามๆ
กัน ขึ้นเตียงปุ๊บต่างก็หลับเป็นตายไปสองวันกว่าจะเรียกพละกำลังกลับคืนมาได้
พ่อบ้านหอบสมุดบัญชีมาตั้งใหญ่แล้วรายงานต่อถังเยว่
“คุณชายจากไปหลายเดือน
แม้แต่จะฉลองปีใหม่อย่างเป็นกิจจะลักษณะก็ยังทำไม่ได้
ไว้รอให้ท่านหายเหนื่อยแล้วพวกเราค่อยเชิญแขกมาร่วมฉลองสังสรรค์ดีไหมขอรับ?”
ถังเยว่นั่งพิงหัวเตียง
เขาบอกให้พ่อบ้านวางสมุดบัญชีไว้บนเก้าอี้ข้างเตียงพลางโบกมือกล่าว “ไม่ต้องยุ่งยากหรอก เวลานี้อยู่ในช่วงภาวะศึกสงคราม
ทุกอย่างให้เน้นเรียบง่ายเข้าไว้”
“จริงด้วยขอรับ
ปีนี้ทุกบ้านทุกครัวเรือนต่างมัธยัสถ์ ไม่ค่อยจัดงานใหญ่โตกันสักเท่าไร
แม้แต่งานแต่งหรือฉลองวันเกิดก็จัดกันแค่พอเป็นพิธี นอกประตูเมืองมีคนมาบริจาคโจ๊กทุกวัน
จักรพรรดิทราบเรื่องก็ทรงปลาบปลื้ม คุณชาย
จวนรัชทายาทของเราควรร่วมบริจาคอาหารสักสองสามวันดีหรือไม่ขอรับ?”
ถังเยว่หยิบสมุดบัญชีเล่มหนึ่งขึ้นมาพลิกดู
ล้วนเป็นบัญชีรายวันซึ่งไม่มีอะไรให้ตรวจสอบมากนัก เขาเงยหน้าขึ้นถาม
“มีคนเร่ร่อนมาเมืองเย่เฉิงมากน้อยเพียงไร?”
“ไม่มีเลยขอรับ
เมืองเย่เฉิงอยู่ไกลจากเขตสงครามมากเกินไป คนเร่ร่อนเดินทางมาไม่ถึงที่นี่
เพียงแต่ช่วงก่อนปีใหม่มีหิมะตกอยู่หลายครั้ง
มีผู้ประสบภัยจากเมืองใกล้เคียงส่วนหนึ่งที่ต้องกลายป็นคนเร่ร่อนขอรับ”
“รุนแรงมากหรือไม่?”
“ไม่มากขอรับ เทียบกับพายุหิมะเมื่อห้าปีก่อนนับว่าเบามาก
ทุกปีพอถึงช่วงหิมะตกย่อมมีคนประสบภัยพิบัติอย่างมิอาจเลี่ยงได้”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องบริจาค
เสบียงของเราต้องเก็บไว้ให้พวกทหารใช้ยามจำเป็น
ท่านให้ร้านเรานำเสื้อบุนวมกับผ้าห่มออกไปแจกจ่ายให้ผู้ประสบภัยแทน”
“ขอรับ”
พ่อบ้านเพ่งพิจารณาสีหน้าถังเยว่อย่างละเอียดแล้วแอบตัดสินใจเองเงียบๆ
ว่าต้องไปสั่งให้ห้องครัวตุ๋นน้ำแกงมาบำรุงคุณชายสักหน่อย
เหน็ดเหนื่อยตรากตรำมานานหลายเดือนดูเหมือนจะซูบผอมไปไม่น้อย คุณชายน้อยก็ด้วยดูเหมือนจะสูงขึ้นมากแต่ก็ผอมลง ผิวคล้ำขึ้น
องค์รัชทายาทใจเด็ดยิ่งนัก โอรสยังเยาว์ขนาดนี้แต่กลับพาไปสนามรบด้วย
“จริงสิ
เจิ้นกั๋วกงล่วงลับไปเมื่อตอนก่อนปีใหม่ จักรพรรดิทรงริบจวนคืนแล้วปิดจวนไว้
เห็นบอกว่าจะยกให้ผู้มีความสามารถสร้างผลงานครั้งใหญ่ที่ทำให้ชนะศึกครั้งนี้ขอรับ”
ถังเยว่ตะลึงงันก่อนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“ตายได้อย่างไร?”
เขาเคยตรวจรักษาอาการของเจิ้นกั๋วกงมาก่อน
แม้จะรู้ว่าคนผู้นั้นสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงนัก
แต่ขอเพียงดูแลตัวเองให้ดีก็สามารถมีชีวิตได้อีกหลายสิบปีอย่างไม่มีปัญหา
“เรื่องนี้พูดไปจะระคายหูคุณชายเปล่าๆ”
พ่อบ้านกล่าวแล้วทอดถอนใจก่อนตัดสินใจเล่าเรื่องราวโดยย่อ “หลังหย่ากับชายาเอก อีกทั้งอนุภรรยาคนโปรดล่วงลับ
ในจวนเจิ้นกั๋วกงขาดนายหญิงคอยดูแลจัดการดังนั้นท่านกั๋วกงจึงไปสู่ขอธิดาซึ่งเกิดแต่อนุภรรยานางหนึ่งของตระกูลท่านโป๋มาเป็นนายหญิงคนใหม่ โดยหารู้ไม่ว่าคุณหนูผู้นั้นมีชายในดวงใจอยู่แล้ว
หลังแต่งเข้าจวนกั๋วกงนึกไม่ถึงว่าตกกลางคืนนางจะแอบลักลอบนัดพบกับชายคนรัก
สุดท้ายก็ถูกท่านกั๋วกงจับชู้ได้คาเตียง
เล่ากันว่าท่ามกลางความโกลาหลฮูหยินท่านนั้นพลั้งมือผลักท่านกั๋วกงเข้าทีหนึ่ง
ท่านกั๋วกงเสียหลัก ศีรษะไปกระแทกถูกมุมโต๊ะก็เลย…”
ถังเยว่ฟังจบก็ได้แต่ถอนใจแล้วกล่าวอย่างสะทกสะท้อน
“ตอนนั้นมารดาของซานหลางก็ถูกผลักล้ม
ตอนนี้จึงไม่อาจเดินเหินได้อย่างปกติ นี่ถือว่ากรรมได้ตามสนองเขาแล้ว”
“นั่นน่ะสิขอรับ
ตอนนี้บุตรชายคนโตซึ่งเกิดแต่อนุภรรยาเป็นผู้รับช่วงต่อสกุลจ้าว ได้ยินว่าพอเจิ้นกั๋วกงล่วงลับ
เขาก็แยกบ้าน ขับไล่พี่น้องคนอื่นออกไปจนหมด ช่างกระทำเกินกว่าเหตุจริงๆ”
ถังเยว่กล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบปราศจากคลื่นอารมณ์
“เรื่องของสกุลจ้าวพวกเราไม่ต้องไปยุ่ง
ไม่ว่าจะรุ่งโรจน์ก็ดี จะตกอับก็ช่าง หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเราไม่”
พ่อบ้านพยักหน้ารับรู้
หากสกุลจ้าวไม่ประสบเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
หากคุณชายเสี่ยนยังอยู่ในสกุลจ้าว
คุณชายของพวกเขาจะต้องช่วยให้คุณชายเสี่ยนได้สืบทอดตำแหน่ง
และสกุลจ้าวก็คงไม่มีจุดจบถึงขั้นต้องถูกถอดยศถาบรรดาศักดิ์
บ้านแตกสาแหรกขาดเช่นนี้แน่ กรรมตามสนองแท้ๆ!
“ซานหลางคงยังไม่รู้เรื่องนี้สินะ?”
พ่อบ้านครุ่นคิด “น่าจะยังไม่รู้นะขอรับ แต่มารดาคุณชายเสี่ยนน่าจะทราบข่าวแล้ว จริงสิ
บ่าวได้ตัดสินใจเองโดยพลการด้วยการส่งเยี่ยนกูไปดูแลนางช่วงระยะหนึ่ง
เพราะบ่าวเกรงว่านางจะคิดสั้นขอรับ”
ถังเยว่พูดชม “ท่านทำได้ดีมาก ฝากบอกเยี่ยนกูด้วยว่าหากมีเวลาว่างให้หมั่นไปดูแลนางให้มากหน่อย
ขาดเหลือสิ่งใดให้รีบบอก ซานหลางไม่อยู่ พวกเราต้องช่วยดูแลท่านแม่ของเขาให้ดี”
“บ่าวเข้าใจแล้วขอรับ”
พ่อบ้านเรียกคนเข้ามาปรนนิบัติช่วยอาบน้ำแต่งตัวให้ถังเยว่
จากนั้นก็ออกไปทำงานของตัวเองต่อ
ถังเยว่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ได้ยินเสียงเยี่ยนกูดังมาจากด้านนอก
นางไม่ได้เข้ามาในเรือน เพียงแค่ยืนอยู่ในสวนด้านนอก
ทั้งยังพาบ่าวไพร่ติดตามมาด้วยสองคน บ่งบอกว่านางคำนึงถึงเพศที่แท้จริงของถังเยว่
ไม่อยากเปิดช่องโหว่ให้ใครโจมตีได้
“มีธุระอันใดหรือ?”
ถังเยว่ก็ไม่ได้เชิญนางเข้ามาในเรือนเช่นกัน
หลี่เจาไม่อยู่ในจวน
แม้เขาจะวางตัวซื่อตรงไม่มีอะไรต้องหวาดหวั่นแต่อย่าประมาทไว้จะเป็นการดีที่สุด
“บ่าวมีเรื่องอยากหารือกับคุณชาย
เกี่ยวกับคุณชายน้อยเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงเยี่ยนกูบ่งบอกถึงความกังวล
เสมือนกำลังเจอปัญหาใหญ่ที่แก้ยาก ทันทีที่ถังเยว่ได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับเสี่ยวลั่วลั่วก็รีบซักถาม
“เจ้าว่ามาได้เลย”
“คืออย่างนี้เจ้าค่ะ
บ่าวพบว่าสองวันมานี้อารมณ์คุณชายน้อยผิดปกติ กินไม่ได้นอนไม่หลับเจ้าค่ะ”
“เดินทางบุกป่าฝ่าดงมาไกล
เขาอายุยังน้อยคงจะอ่อนเพลียมาก ประเดี๋ยวจะให้พ่อบ้านไปเชิญท่านหมอหลวงอูมาดูอาการ
ระยะนี้ให้เขาพักผ่อนมากๆ การฝึกยุทธ์ในแต่ละวันให้ลดลงกึ่งหนึ่ง
ฝากเจ้าช่วยดูแลเขาให้มากหน่อย”
เยี่ยนกูลังเลครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าแล้วกล่าว “ตอนแรกบ่าวก็คิดว่าคงเป็นเพราะคุณชายน้อยอ่อนเพลียเกินไป
แต่เอาเข้าจริงเหนื่อยก็ส่วนเหนื่อย ทว่าดูเหมือนอาการที่แปลกไปของคุณชายน้อยจะมิได้มีสาเหตุมาจากเรื่องสภาพร่างกาย
แต่กลับเป็นเรื่องจิตใจเสียมากกว่าเจ้าค่ะ”
ถังเยว่ถอนหายใจ ตัวเขาเองก็พอรู้
ตลอดทางที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ใส่ใจความผิดปกติของเสี่ยวลั่วลั่ว
เพียงแต่เรื่องบางอย่างเมื่อประสบแล้วก็ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับให้เป็น
อย่างมากถังเยว่ก็ได้แต่ชักชวนเบี่ยงเบนความสนใจของเด็กน้อยไปทางอื่น
แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็ต้องอาศัยตัวลั่วลั่วเองในการเรียนรู้ที่จะก้าวข้ามผ่านไปให้ได้
“ไปกันเถอะ ข้าจะไปดูเขาพร้อมกับเจ้า”
ระหว่างทางถังเยว่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาให้เยี่ยนกูฟังคร่าวๆ
เยี่ยนกูเป็นอนุภรรยาของแม่ทัพลั่วจึงเข้าใจเรื่องศึกสงครามเป็นอย่างดี
และรู้ว่านี่เป็นเรื่องที่โหดร้ายทารุณสำหรับเด็กคนหนึ่งมากเพียงใด ตอนแรกนางเองก็ไม่เห็นด้วยที่องค์รัชทายาทจะพาคุณชายน้อยไปเมืองฉินหยาง
แต่นางก็เป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งจะพูดอะไรมากก็ไม่ได้
ตอนนี้พอเห็นคุณชายน้อยมีสภาพเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกไม่เห็นด้วยกับการกระทำครั้งนี้ของรัชทายาท
“คุณชายน้อยยังเด็กมาก…” เยี่ยนกูถอนหายใจอย่างจนปัญญา รัชทายาทมอบฐานะที่สูงส่งมีเกียรติเช่นนี้ให้กับเขาหากยังหวังให้คุณชายน้อยของนางมีชีวิตที่สุขสบายราบรื่นก็ดูจะเป็นการโลภมากจนเกินไป
“ข้าเข้าใจความกังวลของเจ้า
แต่เขาก็มีภารกิจที่ต้องทำ ปกป้องเขามากเกินไปหาใช่เรื่องดีไม่” เหตุผลนี้ไม่ว่าใครต่างก็เข้าใจ แต่เมื่อเกิดขึ้นจริงกับลูกตัวเองก็มิใช่เรื่องที่จะยอมรับกันได้ง่ายๆ
เสี่ยวลั่วลั่วพักอยู่ในเรือนติดกับถังเยว่มาตลอด
แต่เรือนทุกเรือนในจวนรัชทายาทล้วนมีขนาดใหญ่ ต้องใช้เวลาเดินนานพอสมควร
โครงสร้างเรือนของเขาค่อนข้างเรียบง่าย
หน้าเรือนเป็นสนามหญ้าผืนใหญ่ ถังเยว่ได้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและของเล่นตามแบบสวนสนุกในโลกยุคปัจจุบันไว้ให้
ทั้งยังมีสวนผักแปลงเล็กๆ ที่เขาเป็นคนสอนให้เสี่ยวลั่วลั่วปลูกเองกับมือ
ถือว่าเป็นวิชางานบ้านนอกเวลาเรียน
“เขายังหลับอยู่หรือ?”
“ตื่นแล้วเจ้าค่ะ
กำลังฝึกคัดตัวอักษรอยู่ในห้องทรงพระอักษร มีแค่วันที่คุณชายน้อยเพิ่งกลับมาเท่านั้นที่นอนหลับยาว
ช่วงสองวันมานี้ยังไม่ทันถึงยามเฉินก็ตื่นแล้ว ฝึกท่านั่งม้าหนึ่งชั่วยาม
ต่อด้วยฝึกเพลงมวย จากนั้นก็กินข้าวเช้า อิ่มแล้วก็เริ่มลงมือคัดตัวอักษรต่อ
ตกบ่ายก็ไปเรียนที่เรือนอาจารย์เหวิน ฟังท่านผู้เฒ่าบรรยายความรู้
กลางคืนหลังมื้อค่ำก็ทำของเล่นเล็กๆ น้อยๆ
จากนั้นก็อ่านบทความจบหนึ่งบทแล้วเข้านอนเจ้าค่ะ”
สองวันนี้ถังเยว่เอาแต่พักผ่อนจึงนึกว่าเสี่ยวลั่วลั่วก็คงกำลังพักผ่อนเช่นกัน
คิดไม่ถึงว่าจะเริ่มศึกษาเล่าเรียนแล้ว ขยันจริงจังเกินไปแล้วกระมัง
เขาเปิดประตูห้องเข้าไป
เห็นเด็กน้อยหน้าตาคมสันนั่งสันหลังตั้งตรงอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ
กำลังสะบัดพู่กันเขียนอักษรทีละขีด ทีละเส้น ลายมือพู่กันเพิ่งเริ่มเป็นที่นิยม
การฝึกคัดตัวอักษรถือเป็นกระแสนิยมแบบใหม่ ทุกปีเมืองเย่เฉิงจะมีการจัดประกวดคัดพู่กันจีนเพื่อคัดเลือกแบบอักษรที่สวยและเป็นที่นิยมมากที่สุดสิบแบบ
วันข้างหน้าจะได้ใช้เป็นต้นแบบสำหรับผู้เริ่มเรียน
เสี่ยวลั่วลั่วหัดเขียนตามแบบลายมือของหลี่เจา
ในการประกวดคัดพู่กันครั้งแรก
ตัวอักษรของหลี่เจาได้รับการตัดสินว่างดงามเป็นที่หนึ่ง
สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้คนไม่น้อย
แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมาจากการชี้แนะของถังเยว่
ลายมือพู่กันของถังเยว่ไม่ถึงกับดีเลิศ
แต่เขารู้ว่าจะเขียนลายมือพู่กันให้งดงามนั้นต้องมีเหลี่ยมมีมุม
การลากเส้นต้องหนักแน่นทรงพลัง ไม่จำเป็นต้องพลิ้วไหวอ่อนช้อยมากเกินไป
เสี่ยวลั่วลั่วเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็เงยหน้าขึ้น
พอเห็นถังเยว่ก็รีบคลี่ยิ้มอย่างเบิกบานใจ
หลังเขียนเสร็จหนึ่งตัวอักษรจึงวางพู่กันลงแล้วลุกขึ้นเดินมาหา
“กลับมาสองวันแล้ว
พวกเราควรเข้าวังไปเยี่ยมเสด็จปู่เสด็จย่าของเจ้ากันได้แล้ว”
ถังเยว่ไม่ได้เอ่ยปากถามและไม่ได้ติว่าการที่อีกฝ่ายตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเกินไปนั้นเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเป็นกระบวนการอย่างหนึ่ง จะรีบร้อนไม่ได้
“จริงหรือ?” เสี่ยวลั่วลั่วปรบมือด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“ของขวัญที่ข้าซื้อมาระหว่างทางนำเข้าวังไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ?”
“ย่อมได้อยู่แล้ว เสด็จย่าของเจ้าจะต้องชอบมากแน่”
“แล้วเสด็จปู่ล่ะขอรับ?”
“เอ่อ ก็คงชอบกระมัง
ถึงอย่างไรก็เป็นของขวัญจากลั่วลั่วเชียวนะ”
“เสด็จปู่เคยทอดพระเนตรของดีมานับไม่ถ้วน
ต่อให้ไม่ทรงโปรดลั่วลั่วก็ไม่ตำหนิหรอก”
ถังเยว่ขยี้ศีรษะกลมเล็กด้วยความเอ็นดู
ก่อนจะอุ้มเขาขึ้นมาแล้วบอกให้เยี่ยนกูไปหยิบของขวัญของเขาเพื่อเตรียมเข้าวังไปด้วยกัน
“เตียเตีย ข้าโตแล้ว เดินเองได้แล้ว” เสี่ยวลั่วลั่วดิ้นรนที่จะลงไปเดินด้วยตัวเอง
ช่วงที่อยู่เมืองฉินหยางเขาได้คบหาสหายตัวน้อยหลายคน
ไม่เคยเห็นเพื่อนคนไหนที่โตจนป่านนี้แล้วยังให้พ่อแม่อุ้ม พวกเขาเหล่านั้นแทบไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากพ่อแม่ด้วยซ้ำ
บางคนห้าขวบก็ต้องเริ่มช่วยงานในบ้านแล้ว
ถังเยว่ไม่ได้ดึงดัน
ยอมปล่อยให้เด็กน้อยลงเดินเอง
เขาเพียงแค่เคยชินกับการปฏิบัติต่อลูกดังเด็กเล็กแต่ในความเป็นจริงดูเหมือนลั่วลั่วจะโตขึ้นมากแล้วจริงๆ
แม้ร่างกายจะยังเป็นเพียงเด็กวัยห้าขวบ แต่ความคิดความอ่านกลับเติบโตเป็นผู้ใหญ่
อยู่ในโอวาท รู้กาลเทศะ รู้จักแยกแยะถูกผิด สิ่งใดควรไม่ควร
นี่อาจเป็นผลลัพธ์ที่หลี่เจาต้องการก็เป็นไปได้
236 เหตุผลเหลวไหล
“ทูลฝ่าบาท พระชายาและพระราชนัดดาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ถังเยว่จูงมือเสี่ยวลั่วลั่วเดินเข้ามาในท้องพระโรงแล้วถวายบังคมครู่หนึ่งถึงได้ยินเสียงหนักแน่นของจักรพรรดิหนานจิ้นเอ่ยขึ้น
“ลุกขึ้นเถอะ มาใกล้ๆ ข้านี่”
เสี่ยวลั่วลั่วหันมองถังเยว่
เมื่อได้รับการพยักหน้าอนุญาตจึงลุกขึ้นเดินเข้าไป เด็กน้อยเกาะแขนอยู่ข้างกายจักรพรรดิหนานจิ้นเงยหน้ามองแล้วพูดว่า “เสด็จปู่ ลั่วลั่วคิดถึงเสด็จปู่”
เพียงประโยคเดียวก็สามารถทำให้จักรพรรดิหนานจิ้นหัวเราะและอุ้มเด็กน้อยขึ้นมานั่งตัก
“ปู่ก็คิดถึงเจ้า หายไปนานขนาดนี้ ไหน
ให้ปู่ดูสิว่าผ่ายผอมลงหรือไม่”
เสี่ยวลั่วลั่วยื่นแขนออกไปแล้วถลกแขนเสื้อขึ้น
“เสด็จปู่ทอดพระเนตรสิพ่ะย่ะค่ะ
หลานทั้งผอมทั้งดำ แต่ตอนนี้หลานสามารถหิ้วน้ำหนึ่งถังไหวแล้ว
เสด็จพ่อตรัสว่าหลานมีพละกำลังมากขึ้น”
“หือ อย่างนั้นหรือ
เช่นนี้ตลอดทางก็ลำบากแย่เลยสิ แล้วไปเที่ยวไหนมาบ้าง?”
ถังเยว่ขมวดคิ้ว
วาจานี้ของจักรพรรดิแม้จะเหมือนคนในครอบครัวพูดคุยกัน
แต่เหตุใดเขาฟังแล้วเหมือนเป็นคำถามเพื่อหยั่งเชิงกันนะ
หรือว่าอีกฝ่ายคิดจะสืบเรื่องราวของพวกเขาจากปากเสี่ยวลั่วลั่ว
แต่นี่ก็นับเป็นวิธีที่ดีจริงๆ นั่นละ
เด็กน้อยบริสุทธิ์ใสซื่อย่อมไร้เล่ห์กลและซื่อสัตย์ที่สุด แม้เสี่ยวลั่วลั่วจะไม่ได้รู้ไปหมดทุกเรื่องแต่ก็สามารถบอกเบาะแสได้
ในฐานะที่เป็นองค์เหนือหัวแห่งแผ่นดินเบาะแสเล็กน้อยก็เพียงพอสำหรับสืบค้นแล้ว
“ลำบากมาก นั่งรถม้าเหนื่อยมาก
เสด็จพ่อตรัสว่ามีราชกิจเร่งด่วน ระหว่างทางมิค่อยให้หลานลงไปเที่ยวเล่น” เสี่ยวลั่วลั่วฟ้อง โชคดีที่หลี่เจาไม่อยู่
ไม่เช่นนั้นเมื่อกลับไปจวนคงได้ถูกเล่นงานแน่!
“ฮ่าๆ บิดาเจ้าทำถูกแล้ว
แต่ก็ไม่ควรทำให้เจ้าต้องเหนื่อย อันที่จริงเขาไม่ควรพาเจ้าไปด้วยซ้ำ
ที่นั่นอันตรายมาก”
ตอนที่จักรพรรดิหนานจิ้นรู้ว่าทั้งครอบครัวสามชีวิตเดินทางออกจากเมืองเย่เฉิงก็บังเกิดความร้อนรนจนมิอาจนิ่งเฉยได้
ไม่ว่าจะเป็นองค์ชายหรือรัชทายาทหากไม่ได้รับอนุญาตจะไปจากเย่เฉิงโดยพลการไม่ได้
หรือต่อให้ออกไปก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องพาไปหมดยกครัวทั้งลูกและภรรยา ก็เหมือนแม่ทัพที่ออกรบย่อมต้องทิ้งครอบครัวไว้ในเมืองเย่เฉิง
ครอบครัวก็เสมือนหนึ่งเป็นตัวประกัน หากพวกเขากล้ารวบรวมไพร่พลก่อกบฏอยู่ข้างนอก
ครอบครัวของพวกเขาก็จะต้องรับเคราะห์ก่อนเป็นกลุ่มแรก
นี่เป็นธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมาเนิ่นนาน
แน่นอนว่าจักรพรรดิย่อมไม่ระแวงสงสัยว่ารัชทายาทเจาจะก่อกบฏ
เพียงแต่มีความเคยชินที่จะกุมจุดอ่อนของรัชทายาทเจาไว้ในกำมือ
ควบคุมทุกอย่างไว้ในกำมือนี้
เชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจทุกคนชอบทำ
เสี่ยวลั่วลั่วหันมามองหน้าถังเยว่แล้วรีบวิ่งลงมารับถุงของฝากไปมอบให้จักรพรรดิหนานจิ้นอย่างกระตือรือร้น
“เสด็จปู่
นี่เป็นของที่หลานได้มาระหว่างเดินทาง ทอดพระเนตรสิพ่ะย่ะค่ะว่าทรงชอบหรือไม่”
“หือ มีของฝากมาให้ปู่ด้วยหรือ?” จักรพรรดิหนานจิ้นแย้มยิ้มอย่างยินดี แน่นอนว่ามิใช่เพราะอยากได้ข้าวของ
เพียงแต่การที่หลานออกไปเที่ยวข้างนอกแล้วยังนึกถึง สิ่งนี้สำหรับญาติผู้ใหญ่แล้วช่างเป็นเรื่องน่าปลาบปลื้มใจยิ่งนัก
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ
หลานเป็นคนเลือกเองกับมือเลยด้วย”
เสี่ยวลั่วลั่วรีบเปิดถุง
หยิบของที่อยู่ในนั้นทั้งหมดออกมาทีละชิ้น มีก้อนหินสวยๆ ที่ได้มาจากอำเภอเล็กๆ
แห่งหนึ่ง มีของเล่นน่ารักที่ซื้อในระหว่างเดินทางผ่านเมืองใหญ่
แล้วยังมีหุ่นเชิดหนังที่เขาทำเองตอนอยู่เมืองฉินหยาง
เด็กน้อยหยิบของออกมาทีละชิ้นพร้อมกับเล่าเรื่องราวให้จักรพรรดิหนานจิ้นฟัง
ทุกสิ่งล้วนแสดงถึงความตั้งใจและจริงใจ แม้จะมิใช่ของล้ำค่าหายากหรือมีราคาแพง
แต่ก็สามารถสร้างรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นเต็มใบหน้าของจักรพรรดิหนานจิ้นได้
“หลานข้าช่างมีน้ำใจนัก นำไข่มุกมาปูนบำเหน็จให้พระราชนัดดาหนึ่งหู[1]ผ้าไหมปักลายสิบพับ ลูกม้าสีแดงพุทราในโรงม้าของข้าตัวนั้นมอบให้เขา!”
ถังเยว่เลิกคิ้วข้างหนึ่ง
ทั้งไข่มุกและผ้าไหมมิใช่สิ่งน่าตื่นตาแต่ลูกม้าตัวนั้นกล่าวกันว่าเป็นลูกของสุดยอดอาชาไนยที่จักรพรรดิหนานจิ้นโปรดปรานทะนุถนอมที่สุด
ปกติแล้วไม่น่าจะพระราชทานให้ใครได้
เห็นทีการกระทำของเสี่ยวลั่วลั่วในครั้งนี้จะได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิอย่างแท้จริง
ลั่วลั่วกล่าวขอบพระทัยอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม
เพียงครู่เดียวปู่หลานก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องลูกม้าตัวนั้น
จักรพรรดิหนานจิ้นอารมณ์ดีจึงอุ้มเด็กน้อยออกไปขี่ม้าด้วยกัน
แล้วบอกให้ถังเยว่ไปสนทนาพูดคุยกับพระอัครมเหสีก่อน
ถังเยว่ไม่รู้ว่าจักรพรรดิหาโอกาสจะอยู่ตามลำพังเพื่อหลอกถามล้วงความลับจากเสี่ยวลั่วลั่วหรือไม่
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
เขาจึงถวายบังคมลาแล้วไปหาพระอัครมเหสีที่ตำหนัก
จะว่าไปความสัมพันธ์ฉันแม่สามีและลูกสะใภ้ระหว่างเขากับพระอัครมเหสีนั้นหลายปีมานี้ก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมาก
เป็นผลมาจากการที่เขามักส่งของอร่อยเลิศรสเข้าวังอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังทำอาภรณ์รวมทั้งเครื่องประดับแปลกใหม่มามอบให้อีกหลายชุด
ท้ายที่สุดจึงทำให้พระอัครมเหสีเลิกตะขิดตะขวงใจเรื่องที่เขาเป็นบุรุษได้
เมื่อเขาไปถึงพระอัครมเหสีก็เรียกให้เข้าไปใกล้ๆ
แล้วกระซิบถามเกี่ยวกับสิ่งที่เขาประสบพบเจอตลอดทาง
พอได้ยินว่าข้างกายหลี่เจามีทหารคุ้มกันถึงหนึ่งหมื่นนายก็มีท่าทางโล่งใจ
“ไม่รู้ว่าข่าวลือนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อใด
แต่ในวังเล่าลือกันว่ารัชทายาทดุจเทพสงครามบนสรวงสวรรค์มาจุติบนพื้นพิภพ
ไม่ว่าสมรภูมิใดขอเพียงมีรัชทายาทประทับอยู่
ต่อให้กองทัพนับหมื่นนับแสนก็มิอาจโจมตีให้แตกพ่ายได้ เวลานี้มีราษฎรจำนวนไม่น้อยต่างร่วมลงชื่อเรียกร้องให้รัชทายาทกรีธาทัพออกรบ
ทว่าองค์จักรพรรดิกลับคัดค้านเรื่องนี้อย่างสุดกำลัง”
“อันที่จริงการกระทำของรัชทายาทอาจเรียกได้ว่าเป็นการประหารก่อนแล้วค่อยกราบทูลทีหลัง
ย่อมทำให้องค์จักรพรรดิทรงเกิดความระแวงแคลงใจ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองฉินหยางก็ไม่มีทางปิดบังได้สักวันจักรพรรดิต้องทรงทราบแน่
เมื่อทรงรู้ถึงการมีอยู่ของกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิล
องค์รัชทายาทย่อมหนีไม่พ้นข้อกล่าวหาซ่องสุมกำลังพล”
“ก็นั่นน่ะสิ” พระอัครมเหสีพยักหน้าเห็นพ้อง
“หากมีแค่ข้อกล่าวหานี้ยังพอทำเนา
กลัวก็แต่องค์จักรพรรดิจะทรงเข้าพระทัยผิด
คิดว่าเจาเอ๋อร์มีใจคิดซ่องสุมกำลังเพื่อโค่นล้มราชบัลลังก์
ยิ่งหากมีคนถ่อยคอยยุแยงด้วยแล้วละก็ จะทรงเกิดความคลางแคลงใจในตัวเจาเอ๋อร์ได้”
นี่นับเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่และเป็นสาเหตุที่หลี่เจาไม่ยอมใช้กองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลตั้งแต่แรก
แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีแต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาพ่อลูกในฐานะรัชทายาทและจักรพรรดิผู้ครองบัลลังก์ก็มิได้แน่นแฟ้นถึงขั้นที่จะหมดสิ้นความหวาดระแวง
“เจาเอ๋อร์คิดเช่นไรกับเรื่องนี้
มีแผนรับมือหรือไม่?” พระอัครมเหสีเอ่ยถาม
ถังเยว่พยักหน้า “มีวิธีที่คิดไว้บ้างพ่ะย่ะค่ะแต่ไม่ถึงกับจะเรียกได้ว่าเป็นแผนการ
เสด็จแม่ทรงจำได้หรือไม่เมื่อครั้งที่รัชทายาทได้รับบาดเจ็บ
เคยมีราชโองการอนุญาตให้รัชทายาทเลี้ยงทหารส่วนตัวไว้ในจวนได้ห้าพันนาย
เมื่อรวมกับทหารส่วนตัวของจวนอานกั๋วกง จวนเหิงกั๋วกงและจวนลี่หยางโหวแล้ว
ก็นับได้เกือบจะหนึ่งหมื่นนายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พระอัครมเหสีได้ฟังแล้วถึงกับตบอกด้วยความตกใจ “ความหมายของเจ้าคือจะทำให้องค์จักรพรรดิทรงคิดว่าทหารส่วนตัวหนึ่งหมื่นนายของเจาเอ๋อร์มาจากการรวบรวมทหารส่วนตัวของหลายตระกูลอย่างนั้นหรือ
นี่…นี่มันเหลวไหลสิ้นดี! จักรพรรดิจะทรงเชื่อได้อย่างไร?”
กระทั่งตัวนางเองยังไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงจักรพรรดิหนานจิ้นผู้ปราดเปรื่อง
“คิดว่าคงไม่เชื่อแน่
แต่ขอเพียงตระกูลเหล่านี้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน
พยักหน้าให้เป็นเอกฉันท์เท่านี้ก็ใช้ได้แล้ว อย่างน้อยก็ทำให้คนจับจุดอ่อนนำมาเล่นงานไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่…พวกเขาจะเห็นด้วยหรือ อานกั๋วกงไม่ต้องพูดถึง
ไม่ว่ารัชทายาทพูดสิ่งใดเขาย่อมเห็นดีเห็นงามด้วยทั้งสิ้น แล้วจวนอื่นที่เหลือล่ะ”
ทว่าเมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ของรัชทายาทกับจวนลี่หยางโหวและจวนเหิงกั๋วกงแล้วก็คิดได้ว่าทั้งสองตระกูลนี้ย่อมไม่มีปัญหาแน่
แต่เพื่อความปลอดภัยควรหาตระกูลอื่นมาร่วมมือให้มากกว่านี้
ทหารจวนกั๋วกงมีหนึ่งพันนาย จวนโหวมีเพียงห้าร้อยนาย
กว่าจะรวบรวมได้ครบหนึ่งหมื่นย่อมมิใช่เรื่องง่าย
“นี่ก็คือสิ่งที่กระหม่อมต้องทำต่อจากนี้ คิดว่าบรรดาจวนโหวที่สนิทสนมกับองค์รัชทายาทคงเกลี้ยกล่อมเพื่อขอความช่วยเหลือได้ไม่ยาก”
พระอัครมเหสีพยักหน้า “พยายามให้เต็มที่ เร่งมือให้เร็วที่สุด
เรื่องนี้คงปิดบังไว้ได้อีกไม่นานแล้ว”
ถังเยว่เข้าใจและไม่คิดว่าเรื่องนี้จะยังปิดบังอำพรางได้
คาดว่าป่านนี้จักรพรรดิหนานจิ้นคงได้รับทราบข่าวนี้แล้วด้วยซ้ำ
เพียงแต่อยู่ในช่วงของการส่งคนไปค้นหาหลักฐานซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลา
ดังนั้นเขาจึงต้องใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี้ให้คุ้มค่าที่สุด
ทั้งสองสนทนาหารือกันอยู่นานกว่าครึ่งค่อนวัน
กระทั่งนางกำนัลมาเคาะประตูถังเยว่จึงลากลับ
ก่อนจากพระอัครมเหสีสั่งให้คนพาเสี่ยวลั่วลั่วมาพบ
สะใภ้เป็นบุรุษไม่อาจมีบุตรได้เรื่องนี้นางทำใจยอมรับได้แล้ว
ดังนั้นหลานชายเพียงหนึ่งเดียวคนนี้จึงเป็นที่รักของนางดุจแก้วตาดวงใจ
ถังเยว่ไม่กล้าจินตนาการเลยจริงๆ ว่าหากพระอัครมเหสีล่วงรู้ว่าลั่วลั่วไม่ใช่ลูกในไส้ของรัชทายาทจะผิดหวังมากเพียงใด
“เสด็จย่า!”
เสี่ยวลั่วลั่วโผเข้าสู่อ้อมกอดของพระอัครมเหสี
กอดคอนางพลางออดอ้อน
ท่าทางเหล่านี้บ่งบอกถึงความใกล้ชิดสนิทสนมยิ่งกว่าตอนอยู่กับจักรพรรดิหนานจิ้นหลายเท่า
อาการตื่นเกร็งก็ลดลงไปหลายส่วนจิตใจของเด็กน้อยสัมผัสได้ไวมาก
ใครดีกับพวกเขาอย่างจริงใจพวกเขาสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน
พระอัครมเหสีอุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขนแล้วถามไถ่อย่างอ่อนโยน
พอเห็นเด็กน้อยผอมและคล้ำขึ้นก็ตำหนิรัชทายาทไปอีกชุดใหญ่
เรียกได้ว่าหลงหลานจนลืมลูกอย่างเห็นได้ชัด
ในตอนที่พวกเขาออกมาจากวัง
สามารถกล่าวได้ว่าเสี่ยวลั่วลั่วกอบโกยผลประโยชน์ได้เป็นกอบเป็นกำ
นอกจากได้รับของพระราชทานจากองค์จักรพรรดิแล้ว
ยังมีของพระราชทานจากพระอัครมเหสีอีกทั้งหมดบรรจุอัดแน่นเกินกว่าครึ่งคันรถ
“ของพวกนี้เตียเตียจะเก็บรักษาไว้ให้
เมื่อเจ้าอายุครบสิบปีจึงจะมอบให้ไปดูแลจัดการเอง
ได้ยินว่าตอนที่เสด็จพ่อของเจ้าพระชนมายุเท่านี้ก็มีทรัพย์สินส่วนพระองค์มากมายแล้ว
ไม่รู้ว่าทรงเข้าพระทัยเรื่องพวกนี้ตั้งแต่พระชนมายุเท่าใด”
เสี่ยวลั่วลั่วคว้าสายรัดเอวประดับหยกเส้นหนึ่งขึ้นมาดูแล้วพูดอย่างมีแผนการในใจ
“เรื่องพวกนี้ข้าล้วนเข้าใจเช่นกัน
ท่านอาฉุนถ่ายทอดวิชาความรู้ด้านการค้าให้ข้ามากมาย
เขาบอกว่าต่อไปภายหน้าข้าต้องเป็นพ่อค้าผู้โดดเด่นล้ำเลิศเหนือกว่าเขาได้อย่างแน่นอน”
“ฮ่าๆ เขาพูดเช่นนี้จริงหรือ
มิใช่ว่าแค่เจตนาประจบเอาใจเจ้าหรอกนะ!”
ถังเยว่ฟังแล้วยังรู้สึกข้องใจในเจตนาของจางฉุน
ปกติแล้วเจ้าเด็กนั่นไม่มีทางพูดชมใครจากใจจริง
น่าจะพูดเล่นหรือเพื่อประจบสอพลอเสียมากกว่า
เขาเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“จะเป็นไปได้อย่างไร
ตอนท่านอาฉุนพูดประโยคนี้สีหน้าเขาจริงจังมาก”
ถังเยว่ไม่อยากทำลายความมั่นใจของลั่วลั่ว
แต่จางฉุนเป็นนักแสดงถ้าเขาคิดอยากจะทำท่าจริงจัง
ต่อให้พูดโกหกก็ยังสามารถแสดงความซื่อสัตย์จริงใจออกมาได้
กลับถึงจวน
ถังเยว่ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ลั่วลั่วแล้วพาไปเยี่ยมอานกั๋วกงต่อทันที
หลังแจ้งจุดประสงค์การมาเยือนแม้อีกฝ่ายจะมีท่าทางฉุนเฉียวอยู่บ้างแต่ก็ตอบตกลงอย่างไม่อิดออด
สำหรับอานกั๋วกงซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของหลี่เจาผู้นี้ถังเยว่นับถือเขาจากใจจริง
ผู้คนมักพูดกันว่าญาติทางฝ่ายพระอัครมเหสีขององค์จักรพรรดิหวังกุมอำนาจ
แต่อานกั๋วกงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
เขารู้ดีว่าตนเป็นแม่ทัพจึงไม่เคยสอดปากแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายบริหารบ้านเมือง
ที่สำคัญเขาเป็นคนไม่ถ่อมตัวเกินควร ไม่เย่อหยิ่งเกินงาม
กิริยาท่าทีที่แสดงต่อองค์จักรพรรดิก็มิได้ประจบประแจงเอนเอียงเกินเหตุ
นอกจากหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลี่เจาก็อาจทำให้เขาเผลอขาดสติยั้งคิดไปบ้าง
แต่โดยทั่วไปแล้วเขาประพฤติตัวเรียบร้อย ไม่ออกนอกลู่นอกทางมาโดยตลอด
และสิ่งที่ทำให้ถังเยว่เลื่อมใสเขามากขึ้นก็คือท่าทีที่อานกั๋วกงปฏิบัติต่อบุตรชายนั้นชัดเจนมาก
เขามีหูจินเผิงเป็นบุตรชายที่เกิดแต่ชายาเอกเพียงคนเดียว
ที่เหลือเป็นบุตรธิดาซึ่งเกิดแต่อนุภรรยา
นอกจากหูจินเผิงแล้วเขาก็ไม่เคยตั้งใจปลูกฝังผลักดันบุตรชายอนุภรรยาคนไหนอีก
นี่สามารถอธิบายได้ว่าต่อไปภายหน้าหูจินเผิงจะต้องเป็นผู้สืบทอดตระกูลต่อ
บรรดาบุตรชายของอนุภรรยานอกจากจะได้รับส่วนแบ่งมรดกตามความเหมาะสมแล้ว
หลังสิ้นอานกั๋วกงพวกเขาก็ต้องย้ายออกจากจวน
ส่วนบุตรสาวของอนุภรรยานอกจากได้รับสินเดิมไว้ออกเรือนก้อนหนึ่งแล้ว
กิจอันใดในบ้านสามีของพวกนางจวนอานกั๋วกงล้วนไม่ยุ่งเกี่ยว
ห้ามคิดที่จะใช้บารมีของจวนหาผลประโยชน์ใดๆ ให้บ้านสามีโดยเด็ดขาด
นี่จึงทำให้ตลอดหลายปีมานี้จักรพรรดิหนานจิ้นไม่ลงมือกับสกุลหู
เพราะรู้นิสัยอานกั๋วกงดีว่าเป็นคนซื่อตรง แม้จะมีความฉลาดแกมโกงอยู่บ้างแต่ก็ไม่เคยทำเรื่องโง่เขลาแม้แต่ครั้งเดียว
อานกั๋วกงมีสีหน้าเคร่งขรึมไม่ยิ้มแย้มขณะนั่งเผชิญหน้าอยู่ตรงข้ามกับถังเยว่
เขาหยิบป้ายคำสั่งออกมาจากในแขนเสื้อแล้วโยนให้
“นี่เป็นป้ายคำสั่งของจวนอานกั๋วกง
ป้ายนี้สามารถออกคำสั่งเคลื่อนไพร่พลในจวนข้าได้ทั้งหมด ข้ายกคนเหล่านี้ให้เจ้า”
ถังเยว่รู้สึกว่าป้ายคำสั่งเล็กๆ
ชิ้นนี้ร้อนลวกมืออย่างไรชอบกล
“ท่านลุง นี่…”
ดูเหมือนจะไม่เหมาะกระมัง
เหตุใดฟังคำพูดนี้ของอานกั๋วกงแล้วรู้สึกเหมือนจะให้เขาเอาคนพวกนี้ไปเชือดทิ้งอย่างไรไม่รู้
คงเป็นเขาที่คิดมากไปเองแน่
อานกั๋วกงถลึงตาจ้องหน้าถังเยว่อย่างไม่สบอารมณ์ในความไม่เอาถ่าน
“ในเมื่อตัดสินใจว่าจะทำแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด
จะให้จักรพรรดิเชื่อว่าทหารชั้นยอดในมือรัชทายาทได้มาจากการระดมกำลังทหารส่วนตัวตามจวนต่างๆ
เช่นนั้นไพร่พลในจวนก็ไม่อาจคงอยู่อีกต่อไป มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าจักรพรรดิทรงพระเนตรบอดหรืออย่างไร?”
ถังเยว่ยิ้มขื่น “ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ
แต่คนพวกนี้ท่านลุงฝึกปรือพวกเขาขึ้นมาด้วยความอุตสาหะ
พวกเขาต่างซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อจวนอานกั๋วกงเพียงหนึ่งเดียว
หากต้องลงมือกับพวกเขา ขออภัยที่ข้าน้อยทำไม่ได้”
อยู่ดีๆ จะให้เขาเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้อย่างไร?
ต่อให้เพื่อความปลอดภัยของหลี่เจา เขาก็ทําไม่ได้
“ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ท่านเห็นชอบที่จะให้สังหารคนเหล่านี้
แต่อีกหลายตระกูลที่เหลือใช่ว่าจะเห็นด้วย ขอเพียงมีใครสักตระกูลคัดค้านขึ้นมา
การเสียสละของคนพวกนี้ก็จะสูญเปล่า”
“ฮึ! ไม่เห็นต้องรอให้พวกเขาเห็นด้วย!” อานกั๋วกงพูดอย่างเผด็จการ “องค์รัชทายาทคือบุคคลสำคัญของหนานจิ้น
พระชนม์ชีพของพระองค์คือชะตากรรมของหนานจิ้น ใครจะกล้าไม่เห็นด้วย?”
“ข้าไม่เห็นด้วย
ท่านลุงแค่สลายไพร่พลในจวนหรือส่งพวกเขาไปอยู่ต่างถิ่นชั่วคราวก่อน
ขอแค่คนอื่นหาพวกเขาไม่เจอก็พอ ไม่มีใครเชื่อหรอกว่านี่เป็นเรื่องจริง
พวกเราแค่เล่นละครตบตาไปอย่างนั้น”
พวกเขาแค่ต้องการฉากบังหน้า
หากจะตรวจสอบขึ้นมาจริงๆเรื่องนี้ย่อมถูกเปิดโปงโดยง่าย
“เจ้าคิดว่าจักรพรรดิทรงเบาปัญญางั้นหรือ
จะทรงเชื่อได้อย่างไร?”
“พระองค์ย่อมไม่เชื่อแน่
แต่จะทำอย่างไรได้ จะทรงเรียกรัชทายาทให้กลับจากชายแดนเพื่อมารับโทษ
หรือจะยึดทรัพย์ฆ่าล้างตระกูลคนในจวนรัชทายาท? สงครามแนวหน้ากำลังอยู่ในสถานการณ์คับขัน
ต่อให้จักรพรรดิทรงอยากชำระความเพียงใดก็ต้องรอให้ทุกอย่างจบสิ้นลงก่อนจึงจะคิดบัญชีได้
ไม่มีทางลงมือทันทีทันใดแน่”
ทันทีที่จักรพรรดิหนานจิ้นรู้ว่าหลี่เจามีกองทหารม้าหนึ่งหมื่นนายอยู่ในครอบครอง
มิหนำซ้ำยังเป็นหน่วยรบพิเศษที่แข็งแกร่งทรงพลังไม่มีวันพ่าย
บุกตีที่ใดมีแต่คว้าชัยกลับมา จักรพรรดิจะตัดใจสละกองทัพนี้ทิ้งไปได้อย่างไร
ทว่าถึงแม้คิดอยากจะครอบครองกองทัพนี้ไว้เป็นของตนก็ต้องรอให้สงครามสิ้นสุดเสียก่อนเพราะจักรพรรดิไม่มีทางสั่งการเคลื่อนกองทัพนี้ได้
หากหลี่เจาถูกปลด กองทัพนี้จะต้องล่มสลายแน่
ศึกทางเหนือจะเกิดการพลิกผันอย่างฉับพลัน
ความเสียหายจะไม่ใช่แค่สูญเสียทหารหลายหมื่นชีวิต
ความทะเยอทะยานของจักรพรรดิหนานจิ้นก็ไม่ใช่เล็กๆ
ดูได้จากการที่ยอมเปิดศึกกับเป่ยเยว่โดยไม่ยอมจำนน
บ่งบอกว่ามีใจหวังรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเช่นกัน จักรพรรดิเองก็อายุมากแล้ว
ด้วยกำลังทหารที่หนานจิ้นมีอยู่ในเวลานี้คงทำได้เพียงรบเสมอกับเป่ยเยว่
หากอยากจะเคี้ยวกินชิ้นเนื้อก้อนโตขนาดนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำสำเร็จได้ภายในเวลาอันสั้น
แต่หากในมือหลี่เจามีกองทัพทหารหนึ่งหมื่นนายที่ศัตรูเพียงได้ยินชื่อก็ครั่นคร้ามจนขวัญผวาแล้วละก็
ไม่แน่ว่าอาจมีโอกาสพลิกสถานการณ์ สร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นก็เป็นได้
ด้วยการคาดการณ์นี้ ถังเยว่ชื่อว่าจักรพรรดิหนานจิ้นต้องยอมให้โอกาสหลี่เจาสักครั้ง
หากเขาทำสำเร็จแล้วค่อยย้อนกลับมาคิดบัญชีก็ไม่สาย
แต่หากไม่สำเร็จก็เป็นโอกาสที่จะลงอาญาได้อย่างมีเหตุผล
นี่เป็นสาเหตุว่าเหตุใดหลี่เจาจึงกล้าคิดใช้เหตุผลเหลวไหลเช่นนี้ปิดปากทุกคน
“ถ้าเจ้าคาดเดาผิดล่ะ?” อานกั๋วกงถามด้วยน้ำเสียงเจือความขุ่นข้อง
ถังเยว่ตอบยิ้มๆ “ถ้าข้าเดาผิด
ถึงตอนนั้นต้องรบกวนท่านลุงช่วยส่งข้ากับลั่วลั่วออกนอกเมืองเพื่อหนีเอาชีวิตรอดให้จงได้
ข้าได้เตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้เรียบร้อยแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นข้าจะพาลูกชายของข้าและหลานชายของท่านหนีออกไปโพ้นทะเล
ถึงเวลานั้นพวกเราก็ไปเป็นราชาอยู่บนเกาะกลางทะเล
เช่นนี้แล้วจะไม่มีความสุขได้อย่างไร”
“เหลวไหล!” อานกั๋วกงเอ็ดแต่ยังอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
ในที่สุดจึงถอนหายใจส่ายหน้าแล้วโบกมือไล่ถังเยว่ให้กลับไปได้
ตัวเขาเองก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้วเช่นกัน
มาถึงขั้นนี้คงได้แต่แก้กันไปทีละก้าว
เชิงอรรถ
- หู
เป็นชื่อมาตราการชั่งตวงในสมัยโบราณ โดย 1 หู
มีน้ำหนักประมาณ 30 กิโลกรัม
237 เมื่อเรื่องมันแดง
“เจ้าลูกชั่ว! ลูกทรพี!”
จักรพรรดิหนานจิ้นทำลายข้าวของในห้องทรงพระอักษรด้วยความกริ้วโกรธ
ขันทีคุกเข่าหมอบกรานอยู่กับพื้นด้วยอาการตัวสั่นงันงก
รอรับเพลิงอารมณ์ของเจ้านายเหนือหัว
“ทหาร!” จักรพรรดิหนานจิ้นตะโกนลั่น
ทหารยามรีบผลักประตูเข้ามา
ทำทีเหมือนมองไม่เห็นสภาพระเนระนาดบนพื้น คุกเข่าข้างหนึ่งขณะถาม
“ฝ่าบาทมีพระประสงค์สิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ?”
“ไปถ่ายทอดราชโองการข้า เรียกชายารัชทายาท
อานกั๋วกงและลี่หยางโหวเข้าวัง
ข้าจะไต่สวนพวกเขาว่าใครเป็นผู้มอบความอาจหาญในวันนี้ให้รัชทายาท
ถึงได้กล้าซ่องสุมกำลังส่วนตัวไว้ถึงหมื่นนาย เขาไปเอาความขวัญกล้านี้มาจากที่ใด!”
ทหารยามผู้นั้นไม่กล้าซักถามอะไรอีก
รับคำสั่งแล้วรีบถอยหลังออกไปทันที
เหลือไว้เพียงเหล่าขันทีเรียงรายเป็นแถวที่ในตอนนี้ล้วนอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
ตั้งแต่เช้าตรู่จักรพรรดิก็เก็บตัวอยู่แต่ในห้องทรงพระอักษร
จวบจนผ่านไปครึ่งชั่วยามจึงได้เปล่งเสียงแสดงอาการโกรธเกรี้ยวอย่างเช่นที่เป็นอยู่ในตอนนี้
นอกจากพังทำลายข้าวของในห้องแล้วยังสั่งประหารขันทีที่รกหูรกตาไปสองคน
แต่ไม่รู้ว่าที่จักรพรรดิฉุนเฉียวและด่าทอว่าลูกทรพีนั้น
แท้จริงแล้วหมายถึงโอรสธิดาคนใดกันแน่!
องค์ชายใหญ่ข่าวคราวเงียบหายไปหลายปี
ตามที่ทุกคนรู้คือเขาเก็บตัวสวดมนต์ขอพรเพื่อแผ่นดินหนานจิ้น
องค์จักรพรรดิและราษฎรอยู่ในศาลบรรพชน
จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีคำสั่งอนุญาตให้เขากลับมา
องค์ชายสามยังคงไร้ข่าวคราวราวกับหายสาบสูญไปอย่างไร้วี่แวว
องค์ชายอื่นที่เหลือนอกจากองค์รัชทายาทแล้วก็เสมือนไร้ตัวตน
ภายใต้รัศมีอันเปล่งประกายขององค์รัชทายาท องค์ชายอื่นๆ
ก็ดูเหมือนจะเป็นได้แค่คนขี้ขลาดที่ไร้ความสามารถเท่านั้น เมื่อพิเคราะห์ดูแล้ว
ผู้ที่จะสามารถทำให้จักรพรรดิกริ้วโกรธได้ถึงเพียงนี้ก็เห็นจะมีแต่องค์รัชทายาทเสียละกระมัง
แต่ได้ข่าวว่าองค์รัชทายาทไปออกรบ
เช่นนี้แล้วยังจะสามารถก่อเรื่องยั่วโทสะให้จักรพรรดิโมโหถึงเพียงนี้ได้อีกหรือ
ขันทีที่ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายมาหลายสิบปีก็เพิ่งเคยเห็นอาการฉุนเฉียวเช่นนี้ขององค์จักรพรรดิเป็นครั้งที่สอง
ครั้งแรกคือตอนที่ได้ทราบความจริงว่าพระชายาอิงมีชู้
ตอนถังเยว่รับราชโองการเขากำลังกำหนดชนิดและปริมาณสมุนไพรที่ต้องสั่งซื้ออยู่ที่จวน
ตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนเขาก็เริ่มกักตุนสมุนไพรที่ต้องใช้ทำยาเวชภัณฑ์ทุกปี
บางอย่างที่เก็บรักษาได้ในระยะเวลาสั้นก็ต้องหมุนเวียนนำออกมาใช้หรือนำไปผลิตเป็นยานวด
น้ำมันสมุนไพร จนวันนี้ในโกดังมียาสำเร็จรูปพร้อมใช้งานเก็บไว้กว่าครึ่งโกดัง
แต่ยาประเภทนี้ถูกใช้หมดอย่างรวดเร็ว หากคำนวณตามอัตราส่วนหนึ่งขวดต่อทหารหนึ่งคน
ยาในโกดังของเขาก็ยังถือว่ามีไม่เพียงพอ
“คุณชาย
จักรพรรดิทรงมีรับสั่งเรียกท่านเข้าวังขอรับ” พ่อบ้านเข้ามารายงาน
“อืม ข้ารู้แล้ว ใครเป็นผู้นำราชโองการมา?”
“เป็นองครักษ์เมี่ยวที่เฝ้าอยู่หน้าห้องทรงพระอักษรขอรับ
บ่าวได้ลองสอบถามดูแล้วได้ยินว่าตอนเฝ้าอยู่หน้าห้องทรงพระอักษรจักรพรรดิทรงพิโรธหนัก
ดูเหมือนจะกริ้วเรื่ององค์รัชทายาท”
“อ้อ เป็นอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด
ในที่สุดก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้”
แม้จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วแต่ก็ยังไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับเพลิงโทสะขององค์จักรพรรดิอย่างไรดี
ถังเยว่ถึงขั้นสงสัยว่าตนเข้าวังวันนี้แล้วจะยังได้กลับออกมาแบบมีลมหายใจหรือไม่
เขาเขียนตารางสั่งซื้อของมอบให้พ่อบ้านไว้เรียบร้อยแล้ว
สั่งให้อีกฝ่ายนำไปส่งให้ผู้ดูแลหอฮุ่ยอาน จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเข้าวัง
พอมาถึงหน้าประตูวังก็บังเอิญพบอานกั๋วกงและลี่หยางโหวผู้เป็นบิดา
พวกเขามาพบกันโดยมิได้นัดหมาย
ทว่าเพียงสบตากันครู่เดียวต่างฝ่ายต่างเข้าใจได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“อีกประเดี๋ยวพวกท่านไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น
ทั้งหมดยกให้ผู้น้อยจัดการเองก็พอ” ถังเยว่กล่าว
อานกั๋วกงแค่นหัวเราะเสียงเย็น
แต่ถังเยว่รู้ว่าเขาไม่นิ่งดูดายแน่ ส่วนลี่หยางโหวยิ่งไม่มีทางทนอยู่เฉยได้
นับแต่สองตระกูลเกี่ยวดองเป็นญาติ เขากับรัชทายาทเจาก็นับว่าลงเรือลำเดียวกันแล้ว
จะปฏิเสธว่าไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันย่อมเป็นไปไม่ได้
ทั้งสามก้าวเข้าห้องทรงพระอักษร
ด้านในถูกจัดการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว
เศษกระเบื้องที่เมื่อครู่แตกกระจัดกระจายอยู่บนพื้นก็ถูกเก็บกวาดไปหมด
เพียงแต่เมื่อกวาดตามองไปทั่วทั้งห้องจะรู้สึกได้ว่าห้องนี้ดูโล่งขึ้นมาก
บ่งบอกว่าข้าวของที่แตกหักเสียหายยังจัดหาของใหม่มาเปลี่ยนแทนไม่ทัน
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
มีพระชนมายุยิ่งยืนนานหมื่นปี หมื่นๆ ปี...”
จักรพรรดิหนานจิ้นถลึงตาจ้องบุคคลทั้งสามที่ยืนอยู่กลางห้องทรงพระอักษร
สีหน้าดำทะมึนจนน่ากลัว เวลาผ่านไปนานก็ยังไม่เอ่ยคำอนุญาตให้พวกเขาลุกขึ้น
ถังเยว่ก้มหน้าไม่ส่งเสียงใด
เขารู้ว่าหากไม่เปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามได้ระบายอารมณ์
วันนี้ก็คงผ่านด่านนี้ไปไม่ได้แน่
ทั้งสามคุกเข่าอยู่ในห้องทรงพระอักษรเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามเต็ม
ถังเยว่ยังหนุ่มอยู่จึงไม่เดือดร้อนนัก
แต่อานกั๋วกงและลี่หยางโหวอายุปูนนี้แล้วคุกเข่าอยู่หนึ่งชั่วยามย่อมมีอาการโงนเงนจะล้มพับเสียให้ได้
ยามอู่
นางกำนัลเข้ามาถามว่าจะให้จัดมื้อกลางวันที่ไหน
จักรพรรดิหนานจิ้นก็สั่งให้นำอาหารส่งเข้ามาในห้องทรงพระอักษร
ทำเสมือนพวกเขาทั้งสามชีวิตไร้ตัวตน
ถังเยว่กินอาหารเช้าไปนิดเดียว
คุกเข่านานขนาดนี้จึงหิวจนไส้กิ่ว พอได้กลิ่นกับข้าวหอมๆ
ท้องไส้ก็เริ่มประท้วงร้องโครกคราก ทว่าจักรพรรดิตั้งใจจะทรมานพวกเขา
จึงแน่นอนว่าย่อมไม่ให้พวกเขาได้กินข้าว
เมื่อจักรพรรดิกินข้าวอย่างอ้อยอิ่งจนอิ่มหนำ
อาหารจึงค่อยถูกยกออกไปทีละจาน
ในห้องทรงพระอักษรนอกจากกลิ่นเนื้อหอมฉุยที่ยังคงอบอวลอยู่แล้วก็ไม่เหลือของกินใดให้ได้เห็นอีก
คุกเข่าไปหนึ่งชั่วยาม
ถังเยว่รู้สึกเพียงเจ็บเข่าราวถูกเข็มตำ เขาลอบชำเลืองมองผู้อาวุโสอีกสองคน
เห็นหน้าผากของพวกเขามีเหงื่อเย็นผุดซึมออกมา สีหน้าซีดเผือดจนน่ากลัว
ถังเยว่เงยหน้ามองสบตาจักรพรรดิหนานจิ้นแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงซื่อสัตย์จริงใจ
“ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อเรียกลูกเข้าพบมีเหตุอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ปัง! จักรพรรดิหนานจิ้นตบโต๊ะจนแท่นฝนหมึกข้างมือสะเทือนแล้วตะคอกถามอย่างเดือดดาล
“มีหรือที่เจ้าจะไม่รู้ว่าข้าต้องการพบด้วยเรื่องใด
เจ้ากับรัชทายาทตัวติดกันจนแทบเป็นเงา เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่รู้เรื่องของเขา?”
ถังเยว่ไม่ตื่นตระหนกและไม่โต้แย้ง
เพียงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อทรงรับสั่งถึงเรื่องใด
เป็นความจริงที่ลูกรู้เรื่องของรัชทายาทหลายเรื่องแต่ก็ไม่ถึงกับว่าจะรู้ทุกเรื่องอย่างกระจ่างแจ้ง”
“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่ารัชทายาทก่อตั้งกองกำลังทหารส่วนตัวหมื่นนาย?”
“เรื่องนี้...ลูกทราบพ่ะย่ะค่ะ” ถังเยว่ตอบอย่างซื่อตรง
“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าโทษนี้หนักหนาพอที่จะถูกยึดทรัพย์
ริบตำแหน่ง และประหารล้างตระกูล?”
ถังเยว่ยังคงตอบอย่างบริสุทธิ์ใจ
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ รัชทายาทเจาทรงเป็นรัชทายาทแห่งเว่นแคว้น หากยึดทรัพย์
ริบตำแหน่งและประหารล้างตระกูล
เช่นนี้จะมิเป็นการทำให้เชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ต้องพลอยถูกฝังไปด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ฝีปากกล้านักนะ!” จักรพรรดิหนานจิ้นแค่นเสียงหัวเราะเยียบเย็น “เจ้าไม่รู้หรือว่าเวลานี้ข้าสามารถสั่งตัดหัวเจ้าแล้วค่อยส่งคนไปตามรัชทายาทกลับวัง
จากนั้นก็จัดการส่งเขาให้ไปอยู่กับเจ้า
ต่อให้ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักจะยอมรับว่าเขาเป็นรัชทายาทที่มากความสามารถ
แต่ก็ไม่มีทางยอมให้เขากระทำความผิดใหญ่หลวงเช่นนี้!”
“เสด็จพ่อทรงรับสั่งหนักไปแล้ว
รัชทายาทก่อตั้งกองทัพทหารม้าหมื่นนายขึ้นมาจริง
ทว่าทหารเหล่านี้มิใช่ทหารส่วนตัวแต่เป็นทหารที่รวบรวมมาจากไพร่พลของแต่ละจวน
จวนเหล่านี้มอบทหารของพวกเขาให้รัชทายาทเป็นผู้ฝึกฝน เรื่องนี้ล้วนผ่านการเห็นชอบจากกั๋วกงและโหวหลายท่านนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ไพร่พลของแต่ละจวน? เจ้านึกว่าข้าโง่ถึงขนาดจะให้เจ้ามาหลอกลวงตบตาได้ง่ายๆ งั้นหรือ!” จักรพรรดิหนานจิ้นรู้สึกว่าคำพูดนี้ช่างน่าขันสิ้นดีคนสูงศักดิ์ในหนานจิ้นใจกว้างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
แม้แต่ไพร่พลส่วนตัวในจวนก็ยังบริจาคให้รัชทายาทนำไปฝึกเป็นทหารออกรบได้เชียวหรือ
“เสด็จพ่อโปรดฟังลูกก่อน
ตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนที่หนานจิ้นร่วมลงนามในสัญญาสงบศึกกับเป่ยเยว่
รัชทายาทก็ทรงทราบแล้วว่าภายภาคหน้าสัญญาฉบับนี้ต้องถูกฉีกแน่
ดังนั้นจึงทรงเตรียมการวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าจะชนะศึกครั้งนี้ได้อย่างไร แต่ทำสงครามอย่างไรก็ต้องมีอาวุธ
ในเวลานั้นองค์รัชทายาททั้งไร้กำลังคนและปราศจากอาวุธ
แล้วจะสามารถรบชนะศึกใหญ่ได้อย่างไร
พระองค์ทรงตรึกตรองใคร่ครวญอยู่นานจึงมีดำริที่จะใช้วิธีใหม่ในการฝึกอบรมทหารให้กลายเป็นกองทัพที่แสนวิเศษยอดเยี่ยม
“ทว่าหากเสนอความคิดนี้ในท้องพระโรงตอนนั้น
คิดว่าเสด็จพ่อคงเป็นคนแรกที่จะคัดค้านไม่เห็นด้วย
อีกอย่างในตอนนั้นรัชทายาทก็ยังไม่มั่นพระทัยว่าจะสามารถชนะศึกได้
คิดเพียงว่าต้องลองดูสักตั้งด้วยเหตุนี้จึงทรงออกตระเวนเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวทั้งจวนกั๋วกงและจวนโหวหลายตระกูลเพื่อขอยืมทหารในจวนของพวกเขามาทำการฝึกฝน
ทรงอยากพิสูจน์ว่าความคิดของพระองค์จะถูกต้องหรือไม่
รัชทายาทนำไพร่พลเหล่านี้มารวมตัวกัน
ฝึกฝนเคี่ยวกรำอย่างหนักจนแทบไม่รู้เดือนรู้วัน
ทรงสอนวิธีตั้งค่ายออกรบและการใช้อาวุธให้กับพวกเขา เฝ้าดูพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น
แกล้วกล้าขึ้น จนกระทั่งทรงมั่นพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
“หุบปาก! วาจาที่เจ้าพูดมาทั้งหมดข้าไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว
ทหารตามจวนทั่วไปมีสภาพเยี่ยงไรมีหรือข้าจะไม่รู้
หากรัชทายาทสามารถนำพวกเขามาฝึกฝนจนกลายเป็นทหารชั้นยอดได้ละก็เช่นนั้นเหตุใดถึงไม่นำเรื่องนี้มาบอกกับข้า
แต่กลับลักลอบพาไปฉินหยางอย่างลับๆ”
ถังเยว่ระบายลมหายใจ
แล้วเริ่มกลยุทธ์โน้มน้าวจูงใจอีกฝ่ายต่อ
“เสด็จพ่อน่าจะทราบว่ารัชทายาทมีนิสัยทะนงในศักดิ์ศรีมาก
เรื่องนี้ถ้าทำสำเร็จก็ดีไป แต่หากนำเรื่องขึ้นกราบทูลทว่าสุดท้ายแล้วกลับพ่ายแพ้
นี่มิเท่ากับเป็นการตบหน้าตัวเองหรอกหรือ
ดังนั้นรัชทายาทจึงเจตนาเก็บงำเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ไม่บอกให้ผู้ใดล่วงรู้
รอหลังศึกครั้งนี้หากสามารถคว้าชัยมาได้สำเร็จค่อยแสดงแสนยานุภาพให้ผู้คนในใต้หล้าได้ประจักษ์ข้อแรกเพื่อชื่อเสียงของราชบัลลังก์
ข้อสองเพื่อโจมตีเป่ยเยว่ให้ย่อยยับ แต่หากเปิดเผยการมีอยู่ของกองทัพนี้เร็วเกินไป
เป่ยเยว่ย่อมรู้ข่าว เป็นไปไม่ได้ที่ข้าศึกจะไม่เตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้า
เมื่อเป็นเช่นนี้การก่อตั้งกองทหารทัพนี้จะมีประโยชน์อันใดล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
“เจ้าช่างพูดจาเล่นลิ้นเก่งนักนะ
ตามที่เจ้าพูดมาการกระทำนี้ของรัชทายาทนอกจากไม่มีความผิดแล้วยังควรได้รับการปูนบำเหน็จด้วยอย่างนั้นสิ!”
“เรื่องปูนบำเหน็จลูกมิกล้ากล่าวถึง
รัชทายาทเป็นชาวหนานจิ้นอีกทั้งยังเป็นถึงรัชทายาทแห่งแว่นแคว้น
การขับไล่ศัตรูผู้รุกรานย่อมเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบทั้งในฐานะชาวหนานจิ้นและในฐานะรัชทายาท
ซึ่งเวลานี้พระองค์ก็กำลังพยายามปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จอย่างเต็มกำลัง
จึงมิจำเป็นต้องปูนบำเหน็จพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮึ! ภารกิจของเขาคือรวบรวมกำลังทหารส่วนตัวออกไปต่อสู้กับข้าศึกงั้นหรือ
ใครให้อำนาจนั้นแก่เขา! ใครให้ความอาจหาญนั้นแก่เขา!” จักรพรรดิหนานจิ้นตวาดลั่นอย่างเดือดดาล
ถังเยว่ทำใจให้สงบลงเป็นปกติแล้วพูดต่อ
“เสด็จพ่อ
ลูกขอกล่าวคำพูดที่ไม่น่าฟังสักประโยคเถิด
หากองค์รัชทายาทกราบทูลเรื่องนี้ให้ทรงทราบแต่แรก
เสด็จพ่อจะทรงเห็นชอบให้รัชทายาทรับสมัครทหารหนึ่งหมื่นนายมาฝึกซ้อมเป็นทหารราบเกราะหนักหนึ่งกองทัพอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหนานจิ้นลอบส่ายหน้า
เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมรับข้อเสนอผิดธรรมเนียมเช่นนี้ ทหารหนึ่งหมื่นนาย
มิหนำซ้ำยังเป็นทหารชั้นยอดที่แข็งแกร่งสามารถเอาชนะศัตรูได้ชนิดหนึ่งต่อสาม
เขาจะยอมให้คนกลุ่มนี้ตกไปอยู่ในกำมือรัชทายาทได้อย่างไร!
“ทหารราบเกราะหนักก็เป็นความคิดของรัชทายาทด้วยหรือ
เขาเอาความคิดเรื่องม้าศึกและชุดเกราะนักรบมาจากที่ใด
เอาเสื้อเกราะและอาวุธจำนวนมากมายขนาดนี้มาจากไหน อย่าบอกนะว่า รัชทายาทนอกจากแอบสั่งสมกำลังทหารชั้นยอดเป็นการส่วนตัวแล้ว
ยังแอบผลิตเสื้อเกราะและอาวุธขึ้นเองด้วย!”
เพลิงโทสะของจักรพรรดิหนานจิ้นค่อยๆ ลุกโชน
ถังเยว่กะพริบตาถี่
“เสด็จพ่อทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว
ต่อให้รัชทายาททรงอยากสร้างก็มีทุนทรัพย์ไม่พอ
เสื้อเกราะและอาวุธเหล่านั้นกระหม่อมเป็นผู้ถวายให้รัชทายาททั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า?”
จักรพรรดิหนานจิ้นตะลึงงัน เสื้อเกราะและอาวุธของทหารจำนวนมากถึงหนึ่งหมื่นนาย ตามรายงานที่เขาได้รับยังบอกว่าเป็นเครื่องมืออุปกรณ์ที่วิเศษยอดเยี่ยมมาก
ต้องใช้เงินทองในการสร้างไม่น้อย ถังเยว่กลับยกให้เปล่าๆ ไม่คิดเงินเลยงั้นหรือ!
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ
เสด็จพ่อก็ทรงทราบว่าสินเดิมของกระหม่อมมีมากมาย เก็บไว้เฉยๆ ก็เปล่าประโยชน์
ดังนั้นจึงนำไปทำเสื้อเกราะและอาวุธให้ทหารของแต่ละจวน
นี่ถือเป็นการลงทุนลงแรงเพื่อบ้านเมือง” คำพูดของถังเยว่บ่งบอกว่าคำนึงถึงส่วนรวมเป็นหลัก
แต่จักรพรรดิหนานจิ้นกลับไม่รู้สึกว่าเป็นวาจาที่น่าเชื่อถือ
ถ้าพูดกันตามจริงแล้วเขารู้สึกว่าคำพูดทุกประโยคของถังเยว่ล้วนเป็นไปเพื่อปกป้องรัชทายาทเท่านั้น!
เพลิงโทสะสุมแน่นเต็มอกจักรพรรดิหนานจิ้น
ในใจรู้สึกเหมือนถูกคนอื่นรวมหัวกันหลอกลวงตบตา
เรื่องใหญ่ขนาดนี้พวกเขายังกล้าปิดบังเช่นนี้แล้วจะให้เชื่อได้อย่างไรว่าวันหน้าพวกเขาจะไม่กล้าทำเรื่องกระด้างกระเดื่องเนรคุณไร้คุณธรรมยิ่งกว่านี้!
“ทหาร! นำพระชายาไปกักตัวไว้ในตำหนักอวี้เสียง
หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้าห้ามออกจากวังแม้แต่ก้าวเดียว!”
ทันทีที่จักรพรรดิสั่งเช่นนั้น
อานกั๋วกงและลี่หยางโหวก็มิอาจทนนิ่งเฉยได้อีก
238 เสียเมืองฉู่โจว
“ฝ่าบาททรงกระทำเช่นนี้หรือทรงคิดว่ารัชทายาทมีความผิด?”อานกั๋วกงเงยหน้ากล่าว “ต่อให้รัชทายาทมีความผิดก็ไม่ควรโยนความผิดนี้ให้พระชายาเป็นผู้รับโทษทัณฑ์นะพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหนานจิ้นเหลือบตามองขันทีคนสนิท
ขันทีผู้นั้นรีบก้มศีรษะรับทราบแล้วหันไปโบกมือไล่ทหารที่กำลังเดินเข้ามา
“คิดว่าเหตุผลเหลวไหลของพวกเจ้าจะสามารถหลอกลวงข้าได้งั้นหรือ!”
จักรพรรดิแค่นเสียงหัวเราะเย็นเยียบ “คิดว่าข้าตาบอดหรืออย่างไร! ตามกฎมณเฑียรบาลซ่องสุมกำลังส่วนตัวมีโทษต้องถูกประหาร
นี่เพราะข้าเห็นแก่ความสัมพันธ์พ่อลูกจึงไม่ถือสาเอาโทษรัชทายาท แต่พวกเจ้า!”มุมปากจักรพรรดิหนานจิ้นกระตุกเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันเย็นชา “พวกเจ้าคงนึกว่าเอาเรื่องศึกสงคราม
ความอยู่รอดของแผ่นดินมาข่มขู่แล้วข้าจะไม่กล้าทำอะไรรัชทายาทละสิ
ถึงได้กล้ารวมหัวกันหลอกลวงข้าอย่างเปิดเผยเช่นนี้ บังอาจยิ่งนัก!”
“พระอาญามิพ้นเกล้า
ถึงแม้รัชทายาทจะทรงมีความผิดที่กระทำเรื่องนี้ไปโดยพลการ แต่ก็มิได้ทำผิดกฎหมาย
ฝ่าบาทลองตรองดูเถิด
รัชทายาททรงทำเพื่อแผ่นดินหนานจิ้นอย่างเต็มกำลังสุดความสามารถตลอดมาพระชนมายุเพียงสิบพรรษาก็ทรงร่วมกรีธาทัพออกรบ
นับแต่นั้นก็ทรงสละทรัพย์สินส่วนพระองค์ช่วยเหลือราษฎร ทุกสิ่งที่รัชทายาททรงกระทำก็เพื่อหนานจิ้นมิใช่หรือ
เหตุใดฝ่าบาทยังทรงแคลงใจว่ารัชทายาทจะมีเจตนาอื่นแอบแฝงอีกล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
“ฮึ! ทำเพื่อหนานจิ้นหรือทำเพื่อตัวเขาเองกันแน่! เขามีฐานะเป็นถึงรัชทายาทสมควรที่จะต้องอุทิศตนเองเพื่อส่วนรวมอยู่แล้ว
แค่สร้างผลงานนิดหน่อยก็ถึงกับนำมาเป็นข้ออ้างที่จะทำอะไรต่อมิอะไรตามใจชอบได้อย่างนั้นหรือ!”
“พระอาญามิพ้นเกล้า
กระหม่อมขอบังอาจทูลถาม
การที่หนานจิ้นมีทหารที่แข็งแกร่งยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งกองทัพนับเป็นบารมีหรือเป็นหายนะ
นอกจากองค์รัชทายาทแล้วมองหาทั่วทั้งหนานจิ้นยังมีใครที่จะสามารถฝึกอบรมทหารชั้นยอดเช่นนี้ได้อีก
หากเพราะเหตุนี้ทำให้องค์รัชทายาทต้องมีความผิด
เช่นนั้นกระหม่อมขอบังอาจทูลถามว่าต่อแต่นี้ในใต้หล้าจะยังมีใครสมัครใจรับใช้บ้านเมืองทำเพื่อแผ่นดินด้วยความเต็มใจอีกพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮึ! ที่เจ้าบอกว่าทหารชั้นยอดนั้นที่แท้เป็นเช่นไรข้าเองก็ยังมิเคยได้เห็นกับตา
เอาละ ก็ได้ เห็นแก่ที่เขาทำเพื่อแผ่นดิน รอให้เขารบชนะทัพใหญ่เป่ยเยว่ให้ได้ก่อน
เรื่องนี้ค่อยว่ากัน!” จักรพรรดิหนานจิ้นกล่าวจบก็โบกมือสั่งให้พวกเขาออกไป
ถังเยว่ลอบเหลือบมองจักรพรรดิหนานจิ้นแวบหนึ่งเพราะไม่แน่ใจว่าตนจะได้ออกไปด้วยหรือไม่
ไม่รอให้เขาต้องเอ่ยถาม
มือข้างหนึ่งก็เข้ามาจับแขนลากตัวเขาออกไปจากห้องทรงพระอักษร
ที่แท้ก็เป็นอานกั๋วกงที่ตอนนี้หน้าตาบึ้งตึง
“เห็นทีความคิดของรัชทายาทกับพระชายาจะมิใช่ความคิดที่ดีเสียแล้ว” ฝ่ายนั้นเอ่ยกระซิบข้างหู
ถังเยว่หัวเราะเก้อๆ “ก็แค่แผนรับมือชั่วคราวเท่านั้น เดิมทีก็มิใช่กลยุทธ์ที่ดีนัก”
สิ่งที่พวกเขาเดิมพันคือจักรพรรดิหนานจิ้นจะให้ความสำคัญกับสงครามครั้งนี้มากแค่ไหน
ขอเพียงมีใจอยากชนะย่อมไม่ปล่อยกองทัพที่ทรงอานุภาพนี้ให้ต้องสูญเปล่า
ลี่หยางโหวตบบ่าบุตรชายพลางทอดถอนใจขณะกล่าว
“ตอนนี้ก็ทำได้แค่ค่อยๆ แก้ไปทีละก้าว
หวังว่าองค์รัชทายาทจะได้รับชัยชนะกลับมา
ถึงตอนนั้นจะมีทั้งผลงานและความผิดจนกลายเป็นเสมอตัว
จักรพรรดิก็จะทรงทำอะไรรัชทายาทไม่ได้”
ถังเยว่เองก็คิดเช่นนั้น
เพียงแต่การชนะศึกมิใช่แค่พูดว่าอยากชนะก็จะสามารถชนะได้เลยเสียเมื่อไร ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่รู้ว่าสงครามจะสิ้นสุดเมื่อใด
เขาเพิ่งกลับมาถึงจวน
ในวังก็ส่งขันทีมาประกาศราชโองการฉบับใหม่ของจักรพรรดิหนานจิ้น
อนุญาตให้เขาทำสิ่งต่างๆ ในเมืองเย่เฉิงได้อย่างเสรี
แต่ห้ามก้าวขาออกนอกประตูเมืองแม้แต่ก้าวเดียว ไม่ใช่แค่เขา แม้แต่เสี่ยวลั่วลั่วก็ถูกจำกัดอิสรภาพ
ทุกวันที่หนึ่งถึงสิบของทุกเดือนเด็กน้อยต้องไปอยู่ในวัง
โดยให้เหตุผลสวยหรูว่ารัชทายาทออกศึกสงครามเพื่อบ้านเมือง ไม่มีเวลาอยู่ดูแลโอรส
เกรงว่าพระราชนัดดาน้อยจะขาดผู้ดูแลจนละเลยการเล่าเรียน
ดังนั้นจักรพรรดิจึงให้พระราชนัดดาน้อยเข้าวังเพื่ออบรมสั่งสอนด้วยตนเอง
แต่ถังเยว่รู้ว่าจักรพรรดิเพียงต้องการจับตาดูและจับพวกเขาไว้เป็นตัวประกันเท่านั้น
เดิมทีเขาก็ไม่ได้คิดหนีและยิ่งไม่มีแผนการที่จะทำร้ายจักรพรรดิและบ้านเมืองนี้
ดังนั้นปกติเขาใช้ชีวิตเช่นไรก็ทำไปเช่นนั้น
ครึ่งเดือนต่อมา ถังเยว่ได้รับจดหมายฉบับแรกจากหลี่เจา
ในจดหมายเขียนว่าตอนนี้พวกเขาถึงเมืองฉู่โจวแล้ว
เดิมคิดว่าจะสามารถแฝงตัวอยู่ในฉู่โจวอย่างเงียบๆ ไปสักระยะ
คิดไม่ถึงว่าหนึ่งวันก่อนที่พวกเขาจะเดินทางถึง
เป่ยเยว่ก็ได้เคลื่อนกำลังพลหนึ่งแสนสองหมื่นนายโจมตีเพียงคืนเดียวก็เสียเมืองฉู่โจวไปแล้ว
ข่าวนี้แพร่มาถึงเมืองเย่เฉิง
ตั้งแต่ขุนนางเสนาบดีจนถึงราษฎรต่างตกตะลึงไปตามๆ กัน
ฉู่โจวถือเป็นเมืองชายแดนสำคัญ กำแพงเมืองแข็งแรงกว่าฉินหยางตั้งไม่รู้กี่เท่า
ที่สำคัญยังมีทัพใหญ่ไพร่พลหนึ่งแสนของหลู่กั๋วกงตั้งมั่นรักษาการณ์อยู่
ภายใต้สถานการณ์สูสีไม่มีใครเสียเปรียบได้เปรียบเช่นนี้คิดไม่ถึงว่าจะถูกข้าศึกตีแตกและยึดเมืองได้ในคืนเดียว
เรื่องนี้ใครได้ฟังก็ล้วนขวัญผวากันทั้งสิ้น
จดหมายที่หลี่เจาเขียนมานั้นมิได้แจกแจงรายละเอียดมากนักจนสามวันให้หลังถังเยว่ถึงได้รู้รายละเอียดของเรื่องราวทั้งหมดจากปากเหิงกั๋วกง
ที่แท้รองเจ้าเมืองฉู่โจวเป็นไส้ศึกของเป่ยเยว่ที่แฝงตัวมา
รองเจ้าเมืองผู้นี้นับเป็นคนเก่าคนแก่ในฉู่โจว
อุปนิสัยสุขุมรอบคอบและขยันขันแข็งมาตลอด
ถึงขนาดเคยผ่านประสบการณ์ศึกใหญ่ระหว่างเป่ยเยว่กับหนานจิ้นมาสามครั้งจนได้รับการขนานนามว่าเป็นวีรบุรุษที่ปกป้องเมืองด้วยชีวิต
ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึงว่าขุนนางเก่าแก่ผู้สร้างผลงานคุณูปการไว้มากมายท่านนี้จะเป็นผู้เปิดประตูเมืองให้ข้าศึกเข้าโจมตีกลางดึก
ทำให้ข้าศึกสามารถเข้ายึดเมืองได้อย่างราบรื่น
จนเป็นเหตุแห่งการพ่ายแพ้ยับเยินครั้งใหญ่ของหนานจิ้น
หลังเกิดเรื่อง หลู่กั๋วกงพาไพร่พลที่เหลือแปดหมื่นนายถอยร่นออกไปหลบอยู่ในเขตหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่นอกเมืองฉู่โจวห้าสิบลี้ สภาพภูมิประเทศบริเวณนั้นยากต่อการบุกโจมตีจึงนับเป็นชัยภูมิที่เหมาะแก่การตั้งฐานทัพที่สุด
รัชทายาทเจาเคลื่อนพลไปสมทบกับทัพใหญ่ที่หุบเขาแห่งนั้น
ทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลยังไม่ปรากฏตัว
สิ่งแรกที่รัชทายาททำหลังจากไปถึงที่ตั้งคือจัดรูปแบบทัพทหารและม้าที่เหลืออยู่แปดหมื่นนายเสียใหม่
กองทัพจะมีคุณภาพหรือไม่ขั้นแรกต้องพิจารณาที่ความมั่นคง
หากกองทัพไร้ศูนย์กลางเหล่าขุนพลไม่สามัคคีย่อมไม่ต่างจากเม็ดทรายที่กระจัดกระจายอยู่ในถาด
ต่อให้มีคนมากกว่าก็ใช่ว่าจะสามารถชนะได้
รองลงมาคือขวัญทหาร
หากขวัญกำลังใจของกองทัพอ่อนแอ ในใจคิดแต่ว่ารบไปก็มีแต่แพ้
แม้ข้าศึกออกแรงเพียงสามส่วนก็ใช่ว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะได้
กองทัพหนานจิ้นที่เพิ่งพ่ายศึกมากำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติสองข้อนี้
ที่เมืองฉู่โจวพวกเขาพ่ายแพ้เร็วเกินไป
กะทันหันเกินไปจนหมดความเชื่อใจในตัวแม่ทัพของตน
ต่อให้ตอนนี้มีฐานที่มั่นซึ่งได้เปรียบในด้านสภาพภูมิประเทศก็มิอาจปลุกขวัญกำลังใจของพวกเขาได้
ครั้งนี้รัชทายาทเจาจึงมิได้ปิดบังฐานะแต่กลับประกาศตัวอย่างโจ่งแจ้ง
ก้าวเข้าสู่ค่ายทหารอย่างสมเกียรติครึกโครมด้วยการขี่ม้าเข้าไปยังฐานที่มั่นซึ่งอยู่ห่างไกลนั้นด้วยความองอาจ
เพียงพริบตาข่าวการเสด็จมาของรัชทายาทก็แพร่กระจายไปทั่วค่ายทหาร
แน่นอนว่าความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีต่อรัชทายาทย่อมเหนือกว่าหลู่กั๋วกงซึ่งเป็นแม่ทัพสูงวัยอย่างเห็นได้ชัด
ยิ่งไปกว่านั้นการที่ผู้มีเกียรติยศสูงส่งเช่นรัชทายาทถึงกับลงมานำทัพออกรบด้วยตัวเองย่อมสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ทหารได้มาก
“ฝ่าบาท
กระหม่อมขอเสนอให้เรียกตัวหลู่กั๋วกงกลับมา
และให้รัชทายาทเป็นผู้นำทัพใหญ่ทวงแผ่นดินที่ถูกยึดไปคืนกลับมาพ่ะย่ะค่ะ!” เสนาบดีคนหนึ่งเสนอ
“ฝ่าบาท ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ! แม้รัชทายาทจะทรงมีประสบการณ์ในสนามรบมาไม่น้อย แต่ทรงมีฐานะสูงส่ง
อีกทั้งยังทรงพระเยาว์
ศึกสำคัญเช่นนี้ควรให้แม่ทัพผู้มากประสบการณ์และมีความรอบคอบควบคุมดูแลอีกอย่างตามความเห็นกระหม่อม
ควรเรียกองค์รัชทายาทให้เสด็จกลับมาเย่เฉิงโดยด่วน สถานการณ์ชายแดนอันตรายถึงเพียงนั้น
ความปลอดภัยขององค์รัชทายาทคือสิ่งสำคัญที่สุด!”
ตลอดการประชุม
เนื้อหาล้วนวนเวียนอยู่กับการโต้เถียงในหัวข้อนี้อย่างดุเดือด
มีทั้งผู้ที่สนับสนุนให้รัชทายาทเป็นผู้นำ ควบคุมดูแลบัญชาการกองทัพ
มีทั้งผู้ที่คัดค้านหัวชนฝาเรียกร้องไห้รัชทายาทกลับวัง
โดยลืมไปเสียสนิทว่าพวกเขาเสียเมืองฉู่โจวไปแล้วและหนานจิ้นกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติครั้งใหญ่!
“พอ!” จักรพรรดิหนานจิ้นตวาดลั่นพลางกุมขมับ “รัชทายาทจะอยู่ต่อหรือไม่ให้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของเขา
ข้าไม่สนใจเรื่องนี้! พวกเจ้าคิดกันบ้างหรือไม่ ตอนนี้เราเสียฉู่โจวแล้ว
ต่อไปเป่ยเยว่จะตีเมืองใด! ทัพใหญ่ของเป่ยเยว่มีไพร่พลถึงหนึ่งแสนสองหมื่น
พวกเขาระดมไพร่พลได้มากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร? ยกทัพมาถึงชายแดนตั้งแต่เมื่อใด?
พวกเจ้าได้ส่งคนไปตรวจสอบดูแล้วหรือยัง!”
เหล่าเสนาบดีต่างหุบปากทันที
พวกเขาไม่มีคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในที่นี้ส่วนมากล้วนเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการยกทัพจับศึกเลยสักนิด
แล้วจะมีความคิดดีๆ มาให้คำตอบได้อย่างไร กระทั่งเหิงกั๋วกง
อานกั๋วกงและแม่ทัพเฒ่าอีกหลายท่านก็ยังไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
เมื่อลองคิดในมุมกลับ หากให้พวกเขาเป็นฝ่ายนำทัพไปปกป้องเมืองฉู่โจว
คิดหรือว่าจะสามารถทำสำเร็จได้โดยปราศจากข้อผิดพลาด
การเสียฐานทัพเมืองฉู่โจวเป็นการสั่นกระดิ่งปลุกสติบอกว่าพวกเขาต่างชราแล้ว
ความคิดความอ่านไล่ตามคนหนุ่มแทบไม่ทัน ด้านพละกำลังยิ่งไม่ต้องพูดถึง
แม้จะบอกว่าเปี่ยมประสบการณ์และมีความเจนจัด
แต่การให้แม่ทัพอาวุโสยกทัพออกรบก็ใช่ว่าจะเป็นผลดีเสมอไป
“ฝ่าบาท ชายแดนหนทางไกลโพ้น
กว่าจะส่งข่าวไปส่งข่าวมาต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือน
ข่าวที่พวกเราได้รับในตอนนี้อาจไม่มีประโยชน์แล้วก็เป็นได้ ในเมื่อหลู่กั๋วกงมิได้ร้องขอกองหนุน
คิดว่าต้องสามารถรับมือกับข้าศึกได้แน่” ขุนนางเพียงไม่กี่คนที่ยังสามารถประคองสติสัมปชัญญะไว้ได้ในเวลานี้เอ่ยความเห็น
จักรพรรดิหนานจิ้นนำข่าวที่แนวหน้าส่งมามอบให้อัครเสนาบดี
“ท่านอัครเสนาบดีเตรียมการเรื่องนี้ให้พร้อมโดยเร็วที่สุด
ตราบที่ศึกสงครามยังไม่สิ้นสุด ไม่ว่าใครก็ห้ามพูดคำว่าพ่ายศึก! ประกาศราชโองการให้เกณฑ์ทหารในอาณาเขตทั่วแคว้น
ชายหนุ่มอายุสิบห้าถึงสามสิบปีถ้าไม่ใช่ลูกชายคนเดียวของตระกูลต้องเข้าเป็นทหาร” จักรพรรดิหนานจิ้นสรุปตัดบท
ในที่สุดการโต้แย้งในท้องพระโรงจึงจบสิ้นลง
แต่ละคนเริ่มใคร่ครวญเรื่องการเกณฑ์ทหารว่าจะขัดผลประโยชน์ของตนหรือไม่อย่างไร
สงครามก็ไม่ต่างอะไรกับอุปกรณ์เชื่อมต่อที่เชื่อมทุกกรมทุกหน่วยให้ต่อโยงถึงกัน
น้อยคนที่จะไม่ถูกดึงเข้ามาพัวพัน ด้วยเหตุนี้เมื่อรบแพ้
เหล่าเสนาบดีแต่ละคนจึงมิอาจทำใจให้สงบได้ ต่างตื่นเต้นร้อนรนไปตามๆ กัน
เมืองฉู่โจวถูกตีแตก
เรื่องนี้สร้างความสะเทือนขวัญให้แก่ราชสำนักมากกว่าชาวบ้านหลายเท่า
เพราะสำหรับราษฎรเย่เฉิงบางส่วน
เรื่องนี้ก็เป็นแค่หัวข้อสนทนาหลังมื้ออาหารหรือช่วงจิบชายามว่างเท่านั้น
พวกเขาเพียงแค่เล่าสู่กันฟังและคาดเดาเป้าหมายที่ข้าศึกจะบุกโจมตีเป็นเมืองต่อไป
หรือไม่ก็คาดเดากันว่าศึกครั้งหน้าใครจะแพ้ ใครจะชนะ
ถึงขนาดมีคนแอบเปิดโต๊ะเดิมพันผลแพ้ชนะของสงครามครั้งนี้
นี่มิใช่ว่าพวกเขาแล้งน้ำใจหรือไม่รักแผ่นดิน
แต่ในยามที่สงครามมิได้สู้รบกันอยู่ตรงหน้า
ย่อมไม่ส่งผลกระทบมาถึงพวกเขาอย่างชัดเจน ต่อให้เมืองเย่เฉิงถูกยึดครอง
ขอเพียงเป่ยเยว่ไม่สังหารหมู่ ฉุดคร่าสตรีหรือกดขี่ข่มเหงจนเกินไป
ก็ยังไม่แน่ว่าพวกเขาจะต้องมีชีวิตที่ย่ำแย่ไปกว่าเดิม ถ้าพูดกันตามตรงแล้ว
สำหรับพวกเขาใครเป็นจักรพรรดิผู้ครองแคว้นก็หาใช่เรื่องสำคัญไม่
ทว่าท่ามกลางความสงบสุขเพียงฉากหน้า
ก็ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ลงแรงช่วยการศึก
พวกเขามีทั้งบริจาคเงินและข้าวของเครื่องใช้ มีบางคนกระตือรือร้นที่จะเข้าเป็นทหาร
พยายามทำทุกวิถีทางเท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้
ตั้งแต่จวนรัชทายาทมีความคิดให้มีการระดมทุนและเรี่ยไรเสบียงอาหารมาครั้งหนึ่ง
ทางราชสำนักก็ได้ก่อตั้งศาลาว่าการเพื่อการนี้โดยเฉพาะขึ้นมาหนึ่งแห่ง
สำหรับรวบรวมข้าวของเงินทองที่ทุกคนช่วยกันบริจาค เก็บสถิติและคัดกรอง
แบ่งสัดส่วนส่งไปยังชายแดนเป็นชุดๆ
ถังเยว่มีเหตุผลที่จะทำให้เชื่อได้ว่าเรื่องอย่างนี้ตอนแรกเริ่มมักจะราบรื่น
ขุนนางที่รับผิดชอบงานนี้ระยะแรกมักยังไม่มีจิตคดโกง
แต่เมื่อนานไปความคิดจิตใจจะเปลี่ยนหรือไม่ก็ยากจะคาดเดา
ดังนั้นตอนแรกเขาจึงไม่สนับสนุนให้ก่อตั้งหน่วยงานนี้
เพียงแต่จักรพรรดิหนานจิ้นเห็นพลังแฝงและข้อดีของการเรี่ยไรแล้ว
อีกทั้งรู้สึกว่าก่อตั้งศาลาว่าการเช่นนี้มิได้ส่งผลกระทบใหญ่โต
เมื่อศึกสงครามสงบลงค่อยยุบเสียก็ได้
รัชทายาทเจาฟังความเห็นของถังเยว่จึงส่งขุนนางที่เป็นคนของตนไปรับผิดชอบดูแล
หวังเพียงจะไม่เกิดเรื่องที่ถังเยว่หวั่นใจก็พอ
239 เห็นของคะนึงหาคน
“ดูนี่เร็วเข้า มีควันโขมงกับเปลวเพลิง!”
ในหุบเขานอกเมืองฉู่โจว
เสียงทหารยามที่เข้าเวรกลางคืนร้องอุทานด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
เพียงชั่วอึดใจทหารทั้งค่ายต่างต้องตกตะลึงไปตามๆ กัน
รัชทายาทเจาสวมเสื้อคลุมเดินออกมานอกกระโจม
ขณะกำลังจะเรียกคนมาถามไถ่หวังติ่งจวินก็วิ่งมาถึงเบื้องหน้า บนหมวกเกราะเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะเกาะขาวโพลน
“ฝ่าบาท สำเร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ท่ามกลางแสงสลัวยามดึกสงัด
ดวงตาของหวังติ่งจวินทอประกายวาววับแฝงรอยยิ้ม
รัชทายาทเจาจ้องมองไปยังกลุ่มควันหนาทึบและเปลวเพลิงที่อยู่ไกลออกไปพร้อมกับเลิกคิ้ว
“ถูกฝ่ายตรงข้ามพบเข้าหรือไม่?”
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ทำเช่นนี้จะสามารถล่อข้าศึกในเมืองออกมาได้จริงหรือ?”
“ขึ้นอยู่กับระดับความอดทนและความอยากรู้ของพวกเขาแล้ว” รัชทายาทเจาหมุนแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายตามความเคยชินและเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ
“ฉู่โจวตั้งรับง่าย ยากโจมตี
กองทัพข้าศึกหนึ่งแสนสองหมื่นนายแทบไม่ได้รับความเสียหายก็สามารถยึดเมืองได้แล้ว
พวกเราคิดชิงเมืองคืนมาจึงเป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่ายาก”
หวังติ่งจวินถ่มน้ำลายทีหนึ่ง “เจ้าเว่ยฉือสมควรตายยิ่งนัก!”
เว่ยฉือเป็นไส้ศึกเป่ยเยว่ที่แฝงตัวเข้ามา
คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถอดทนข่มใจได้นานถึงกว่าสามสิบปีเพื่อรอวันที่จะเปิดประตูเมืองฉู่โจวให้ทัพเป่ยเยว่เพียงวันเดียว
“คนผู้นี้สมควรตายจริงๆ” ดวงตารัชทายาทเจาฉายแววเย็นเยียบแฝงรังสีสังหารอยู่ในที
มุมปากหวังติ่งจวินกระตุกเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน
“แต่ก็ต้องโทษหลู่กั๋วกงด้วยที่ไร้ความสามารถ
สถานการณ์เช่นนี้กลับปล่อยให้ตาแก่คนหนึ่งสามารถเปิดประตูเมืองได้
พอประตูเมืองถูกเปิดก็ไม่มีปัญญาต่อต้านขัดขืนเลยแม้แต่น้อย
งุ่มง่ามถึงขั้นที่แม้แต่จะจับตัวเว่ยฉือก็ยังจับไม่ได้ ไม่รู้จริงๆ
ว่าทหารทัพใหญ่หนึ่งแสนนายในกำมือเขามีไว้ทำไม”
รัชทายาทเจาหันหน้าเหลือบมองกระโจมที่อยู่ติดกัน
นับแต่เขามาถึงค่ายทหารแห่งนี้ หลู่กั๋วกงก็ล้มป่วย
อำนาจทางการทหารทั้งหมดย่อมตกอยู่ในมือเขา
เรื่องนี้จะมีลับลมคมในหรือไม่ก็ไม่มีใครกล้าปากมาก
“หุบเขาแห่งนี้ไม่เลวเลย
ตั้งรับได้ง่ายแต่ถูกโจมตียาก เพียงแต่เส้นทางลงใต้มิได้มีทางนี้ทางเดียว
หากกองทัพข้าศึกไม่ผ่านทางนี้พวกเราก็คงอับจนหนทาง”
“วางพระทัยได้เลย
กระหม่อมส่งคนไปคอยเฝ้าจับตาดูสถานการณ์ที่เมืองฉู่โจว ถ้าพวกเขามีการเคลื่อนไหว
พวกกระหม่อมจะรีบตามไปทันที
แต่ทางลงใต้เส้นทางอื่นมิได้เดินทางสะดวกเหมือนเส้นทางนี้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ขอให้เป็นเช่นนั้น
นับแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปต้องฝึกซ้อมทหารทั้งกองทัพใหม่
หากปล่อยให้ไปรบในสภาพแบบนี้มีแต่ตายกับตาย”
“รับพระบัญชา
เอ่อ...แล้วทัพผู้พิทักษ์เกราะนิล…” หวังติ่งจวินเลียริมฝีปาก
เขาหวังอยากได้ชมความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลอย่างใกล้ชิดสักครั้ง
“เมื่อถึงเวลาที่สมควรพวกเขาก็จะปรากฏตัวเอง”
ในเมื่อเป็นไพ่ตาย
รัชทายาทเจาจึงไม่คิดจะเรียกกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลออกมาใช้พร่ำเพรื่อ
ทหารหนึ่งหมื่นนายนี้ถ้าสูญเสียไปสักคนก็เท่ากับขาดกำลังสำคัญไปหนึ่งส่วน
และส่วนที่ขาดหายไปก็ใช่ว่าจะสามารถเอาใครก็ได้มาเสริมทดแทนได้ทันที
ขณะที่ทั้งสองกำลังปรึกษาหารือกัน จู่ๆ
ก็มีม้าเร็วตัวหนึ่งบุกเข้ามาในบริเวณค่ายทหารอย่างกะทันหัน
ผู้ที่สามารถควบม้ามาปรากฏตัวตรงนี้ได้จะต้องเป็นหน่วยสอดแนมแนวหน้าอย่างแน่นอน
และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ทหารนายนั้นกระโดดลงจากหลังม้าซึ่งอยู่ห่างจากพวกเขาไปประมาณสิบก้าวแล้วรีบวิ่งเข้ามารายงาน
“ทูลฝ่าบาท
มีกองกำลังทหารประมาณหนึ่งหมื่นเคลื่อนออกจากเมืองฉู่โจว
ดูเหมือนเป้าหมายจะเป็นสถานที่ที่เกิดเพลิงไหม้พ่ะย่ะค่ะ”
“วิเศษ! ให้แม่ทัพหูเตรียมจับตะพาบในไห[1]ได้!”
ในค่ำคืนอันแสนเหน็บหนาวนี้ราวกับได้ถูกลิขิตแล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่สงบ
สถานที่ที่รัชทายาทเจาสั่งให้วางเพลิงเป็นพื้นที่ที่กองทัพเป่ยเยว่เคยตั้งฐานทัพก่อนหน้านี้
ที่นั่นอยู่ในเขตชายแดนเป่ยเยว่
แม้ทัพใหญ่เป่ยเยว่จะเคลื่อนมาตั้งอยู่ในเมืองฉู่โจวแล้ว
แต่เสบียงอาหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่ของพวกเขายังคงเก็บไว้ที่นั่นมิทันได้ขนย้ายเข้ามาไว้ในเมือง
บางทีพวกเขาคงไม่คิดที่จะใช้เมืองฉู่โจวเป็นฐานทัพตลอดไป
เพียงใช้ที่นี่เป็นสะพานเพื่อบุกโจมตีเป้าหมายถัดไป
ในเมื่อรัชทายาทเจาอุตส่าห์มาถึงที่นี่ด้วยตนเองย่อมไม่คิดจะปล่อยโอกาสให้ศัตรูได้ก้าวล้ำนำไปแม้แต่ก้าวเดียว
ไม่เพียงเท่านั้นเขายังมุ่งมั่นที่จะทำให้กองทัพข้าศึกหนึ่งแสนสองหมื่นนายนี้กลายเป็นโครงกระดูกถูกฝังอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล!
จวนรัชทายาทในเมืองเย่เฉิง
ถังเยว่สะดุ้งตื่นจากฝันร้ายในตอนเช้าตรู่
เหงื่อเย็นๆ ไหลซึมไปทั่วร่าง สองตาจับจ้องมองเพดานเตียง
เหอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงผลักประตูเข้ามา
เลิกม่านขึ้นแล้วเรียก
“คุณชาย ท่านจะลุกขึ้นเลยไหมขอรับ?”
ถังเยว่ยกมือขึ้นลูบหน้าแล้วถาม
“นี่ยามใดแล้ว
รัชทายาทได้ส่งจดหมายมาหรือไม่?”
นี่เป็นคำถามที่ระยะนี้เขาถามทุกวันจนเหอเองก็ชินแล้ว
“ไม่มีขอรับ
บ่าวเพิ่งจะไปถามมาก่อนที่จะมาหาคุณชายนี่เอง” เมื่อก้มหน้าลงจึงเห็นเหงื่อที่ผุดพรายเต็มหน้าผากถังเยว่
เหอรีบวางงานในมือแล้วหยิบผ้ามาผืนหนึ่ง “คุณชายฝันร้ายหรือขอรับ?”
“ใช่ ข้าฝันว่ารัชทายาทถูกข้าศึกจับไป
ถูกลงโทษสถานหนัก เฆี่ยนตีทรมาน แขวนประจานให้คนมาดูอยู่บนกำแพงเมือง
ดูน่าสงสารเวทนายิ่งนัก เฮ้อ…”
ถังเยว่รู้ว่าการที่ตนเป็นเช่นนี้ไม่ถูกต้อง
แต่ถึงอย่างไรส่วนลึกในใจก็อดที่จะกังวลไม่ได้ กลางวันคิดมากตกกลางคืนก็เลยฝันร้าย
ควบคุมความคิดตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ ทว่าตอนนี้เขาก็เริ่มชินแล้ว
รู้ว่าเรื่องพวกนี้เป็นแค่ความฝัน ตื่นขึ้นมาก็หายไป บางทีตื่นขึ้นมาจำเนื้อหาไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองฝันว่าอะไรบ้าง
“ตอนนี้ยังเช้าอยู่
คุณชายนอนต่ออีกสักหน่อยดีไหมขอรับ? เมื่อคืนก็นอนเสียดึกเชียว” เหอมองใบหน้าที่ซูบผอมลงของถังเยว่ด้วยความห่วงใย
เห็นแล้วปวดใจนึกสงสารเจ้านายตัวเอง
“ไม่ละ ยังมีเรื่องรอให้ไปสะสางอีกกองพะเนินไม่รู้กี่รถบรรทุก
ไหนเลยจะมีเวลานอนเล่นอยู่ได้อีก”
“อะไรคือรถบรรทุกหรือขอรับ?” เหอกะพริบตาปริบๆ ขณะถาม
ถังเยว่สำลักเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้า “เอ่อ อะแฮ่ม ไม่มีอะไรหรอก นั่นก็คือยานพาหนะที่ใช้สำหรับบรรทุกสิ่งของน่ะ”
แม้เหอจะไม่เข้าใจ แต่ก็รู้ว่าไม่จำเป็นต้องถามต่อ
ความลับของคุณชายผู้เป็นนายของเขานั้นดูเหมือนจะมีอยู่ไม่น้อย
และเรื่องที่อีกฝ่ายมักชอบพูดคำศัพท์พิลึกพิลั่นชอบกลออกมาก็ดูจะกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว
ถังเยว่ลุกขึ้นมากินอาหารเช้า
จากนั้นก็ตรงไปยังห้องทรงพระอักษร ตรวจบัญชีของเมื่อวานหนึ่งรอบ การศึกสงครามช่างเป็นเรื่องที่ผลาญเงินทองมากที่สุดประหนึ่งเอาเงินไปเผาทิ้ง
หากอาศัยเพียงเงินในท้องพระคลังคงค้ำจุนได้ไม่นาน
ฉะนั้นถังเยว่จึงเริ่มใส่ใจเงินในคลังส่วนตัวของพวกเขามากขึ้น
หนทางใดสามารถเก็บเงินได้มากขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็จะลงมือทำ วิธีใดสามารถลดค่าใช้จ่ายลงอีกนิดได้ก็ยิ่งดี
ตามแผนการของหลี่เจา
ครั้งนี้พวกเขาต้องบุกเข้ารังศัตรู
หากมีทุนทรัพย์ไม่พอสนับสนุนเกรงว่าอาจยืนหยัดต่อไปได้ยาก
ดังนั้นในระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาพวกเขาไม่เพียงทำให้เงินในท้องพระคลังเฟื่องฟู
ยังทำให้เงินในคลังส่วนตัวเพิ่มพูนขึ้นทีละเล็กละน้อยด้วย
สำหรับหลี่เจา
ระหว่างเรื่องชาติบ้านเมืองกับบ้านตนเองนั้นเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่แยกกันไม่ออก
แต่สำหรับถังเยว่ทรัพย์สินเงินทองขอแค่มีเพียงพอสำหรับปัจจัยสี่
นอกนั้นที่เหลือมีมากน้อยเท่าไรเขาหาได้ใส่ใจไม่
ต่อให้ไม่มีเหลือเลยสักแดงเขาก็ยังมีวิชาติดตัว สามารถทำงานหาเงินได้ไม่ใช่หรือ
ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าจะอดตาย
ถังเยว่วางสมุดบัญชีลง
นั่งเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ในโลกที่จากมาฐานะของเขาอยู่ในระดับชนชั้นกลาง
หลังทำงานเก็บเงินซื้อบ้านซื้อรถแล้วก็มีเหลืออยู่ไม่กี่มากน้อย
แต่พอมาชาตินี้กลับเปลี่ยนไป เขากลายเป็นทายาทขุนนางรุ่นที่สอง
ซ้ำยังแต่งกับมหาเศรษฐีผู้แสนมั่งคั่ง มีทรัพย์สมบัติมากมายจนสุดที่จะนับได้
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้
เขาก็ไม่ได้มีความเคยชินที่จะใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่าย บางทีอาจเพราะอยู่ที่นี่เขาต้องการสิ่งใดล้วนมีคนหามาประเคนให้
อีกทั้งยังมีบ่าวไพร่คอยปรนนิบัติรับใช้มากมาย
ข้าวของที่สามารถใช้เงินซื้อหามาได้โดยพื้นฐานเขาก็มีหมดแล้ว
ส่วนสิ่งของที่เงินซื้อไม่ได้เขาก็ไม่ต้องการที่จะไขว่คว้า
“คุณชาย มีจดหมายจากกองทัพมาส่งขอรับ”
พ่อบ้านส่งจดหมายที่มีตราประทับของหอฮุ่ยอานให้
ถังเยว่ได้รับจดหมายประเภทนี้มาไม่น้อย
บางทีพวกเขาก็ส่งจดหมายมาสอบถามวิธีรับมือกับโรคประหลาดที่รักษาได้ยาก
บางทีก็เป็นจดหมายจากเซี่ยงอันที่เขียนมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ
แต่ครั้งนี้เซี่ยงอันกลับเขียนจดหมายมาเพื่อขอความช่วยเหลือ
ที่ขอเพิ่มมิใช่กำลังพลแต่เป็นสมุนไพรและเวชภัณฑ์บางส่วน ถังเยว่ใช้วิธีคำนวณปริมาณจากสมุนไพรตอนที่ติดตามทัพใหญ่ออกรบและปริมาณที่ใช้กับทหารบาดเจ็บต่อคนโดยเฉลี่ยก็จะสามารถคาดเดาจำนวนคนที่บาดเจ็บได้คร่าวๆ
“ดูเหมือนศึกครั้งนี้จำนวนครั้งที่สองทัพปะทะกันมีไม่มาก
ทัพใหญ่ของหลู่กั๋วกงออกเดินทางครึ่งปีกว่าแล้วนอกจากไม่ได้เปรียบยังถูกชิงเมืองฉู่โจวไป
สถานการณ์เช่นนี้หวังว่าคงไม่ได้จะรบกันนานถึงสิบปีจริงๆ หรอกนะ”
พอคิดว่าหลี่เจาอาจต้องทำศึกสงครามยาวนานเช่นนั้น
ในใจก็พลันรู้สึกวูบโหวงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
แม้จะพูดว่าบุรุษต้องสร้างความสำเร็จในหน้าที่การงานเป็นเรื่องสำคัญ แต่เมื่อห่างไกลกันนานเกินไปความรู้สึกย่อมจืดจางลง
แม้จะเป็นสามีภรรยาที่มีความรักลึกซึ้งต่อกันเพียงใดก็มิอาจทนต่อคืนวันอันโหดร้ายได้
เขาไม่อยากให้ตอนที่ได้พบกันอีกครั้งหลี่เจามีสภาพผมหงอกขาวโพลน
ริ้วรอยเหี่ยวย่นเต็มหน้า
พอคิดได้แบบนั้นถังเยว่จึงสั่งให้พ่อบ้านไปหาจิตรกรมาเพื่อเตรียมวาดภาพเหมือนของเขาส่งไปให้หลี่เจา
ให้อีกฝ่ายเห็นของแล้วคะนึงหาคน เพื่อเตือนให้ระลึกถึงการมีอยู่ของตนตลอดเวลา
นี่อาจเป็นวิธีเรียกร้องความสนใจแบบหนึ่งกระมัง
“ไปตามผู้ดูแลหอฮุ่ยอานมาด้วย
ข้ามีธุระจะสั่งงานเขา”
พ่อบ้านอมยิ้ม “ตอนนี้ผู้ดูแลหลิวกำลังรออยู่ด้านนอกแล้วขอรับ”
“หืม เขารู้ได้อย่างไรว่าข้าต้องการพบ?”
ถังเยว่คิดในใจ
เหตุใดคนที่สามารถสื่อจิตกับเขาได้ถึงกลายเป็นตาแก่ผู้นั้นไปเสียล่ะ!
ผู้ดูแลหลิวท่านนี้เป็นคนที่ถังเยว่จ้างมาภายหลัง
เมื่อก่อนเขาทำงานขนถ่ายสินค้า ตอนที่ถังเยว่บังอิญพบเป็นช่วงที่เขากำลังตกอับถึงขนาดไม่มีข้าวจะกิน
ถังเยว่ก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นตัวเองนึกใจบุญอะไรขึ้นมาถึงได้พาเขากลับมาด้วย
ภายหลังถึงเพิ่งรู้ว่าเขาก็เคยมุมานะต่อสู้เพื่อชิงชัยและเคยมีความมุ่งมาดปรารถนาอันแรงกล้า
แต่น่าเสียดายที่แม้มีความสามารถก็ไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือ
ทั้งขาดแคลนทุนทรัพย์ที่จะให้โอกาสเขาได้ตามล่าหาความฝันจึงได้แต่ทำงานต่ำต้อยที่สุด
ในยุคสมัยนี้มีคนประเภทให้โดยไม่ได้ผลตอบแทนอยู่มากมาย
ตอนนั้นถังเยว่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขาน่าสงสารที่ต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนี้
แต่เป็นเพราะรู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่เลวเลย เจอเรื่องยากแล้วรู้จักถอย ขยันทำงานมาก
บวกกับหลังจากได้ลองทดสอบแล้วเขาเป็นผู้มีความสามารถและสติปัญญาอย่างแท้จริง
จึงให้ไปอยู่ที่หอฮุ่ยอาน หนึ่งปีให้หลังจึงเลื่อนขั้นให้เป็นผู้ดูแลร้าน
“คุณชายลืมไปแล้วหรือว่าวันนี้ของทุกเดือนจะต้องส่งบัญชี
ผู้ดูแลหลิวนำสมุดบัญชีมาให้ขอรับ”
“อ้อ จริงด้วยสิ ช่างมาได้จังหวะพอดี
รีบไปเชิญเขาเข้ามาเร็ว!”
“แล้วจิตรกร…?”
พ่อบ้านไม่ค่อยเข้าใจเจตนาของถังเยว่ที่ให้หาจิตรกรนัก
โดยทั่วไปแล้วผู้ที่มีทักษะประเภทนี้มิได้มีฐานะสูงส่ง
ไม่เหมือนในวันหน้าที่จิตรกรได้รับการสรรเสริญยกย่อง
“หลังเที่ยงค่อยไปเชิญมา”
พ่อบ้านพยักหน้ารับทราบก่อนเดินจากไปพร้อมความสงสัย
เชิงอรรถ
- หมายถึงสิ่งที่อยู่ในกํามือหรือมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
240 จิตรกร
“นี่เป็นใบรายการที่ต้องจัดเตรียมในครั้งนี้
ท่านลองดูสิว่าสินค้าในคลังมีพอหรือไม่?” ถังเยว่ส่งใบรายการให้
ผู้ดูแลหลิวกวาดตาอ่านจบภายในเวลารวดเร็ว
เขาเป็นผู้มีความจำดีเลิศจนถังเยว่ยังต้องนับถือ
ส่วนความคุ้นเคยที่เขามีต่อสมุนไพรนั้นเป็นผลที่ได้มาจากการอบรมปลูกฝังตลอดหลายปีมานี้
ทว่ารู้จักเพียงแค่ชื่อแต่ไม่รู้ว่านำไปใช้รักษาโรคอะไรได้บ้าง
เพียงครุ่นคิดครู่หนึ่ง
ผู้ดูแลหลิวก็เงยหน้าขึ้นกล่าว “คุณชาย
กว่าครึ่งของรายชื่อสมุนไพรเหล่านี้ในคลังยังมีอีกมาก
แต่ซันชีกับขิงแก่หากครั้งนี้ใช้หมดในคลังก็จะไม่มีเหลือแล้ว
ควรเพิ่มปริมาณจัดซื้อหรือไม่ขอรับ?”
“เหตุใดถึงมีไม่พอเสียแล้วล่ะ
ข้าจำได้ว่าตรวจบัญชีคราวก่อนยังมีซันชีสำรองไว้มาก เหตุใดถึงเหลือแค่นี้”
“คุณชายคงลืมไปแล้ว
ก่อนที่ทัพใหญ่จะเคลื่อนพล
ทางราชสำนักได้มีการรวบรวมสมุนไพรอย่างพวกซันชีจากชาวบ้าน
ไม่ว่าร้านขายยาร้านไหนล้วนไม่ได้รับอนุญาตให้มีสินค้าอยู่ในคลัง
แม้หอฮุ่ยอานของเราจะมีจวนรัชทายาทสนับสนุนแต่ก็ไม่เคยขัดคำสั่งราชสำนักอย่างโจ่งแจ้งมาโดยตลอด
ด้วยเหตุนี้ข้าน้อยจึงต้องนำสมุนไพรเหล่านั้นออกมาบริจาคบ้างเป็นบางส่วน สินค้าในคลังของพวกเรามีปริมาณมาก ให้ไปเพียงบางส่วนเท่านั้น
แต่ซันซีนั้นปกติใช้ในปริมาณมาก ส่วนขิงแก่
ของสิ่งนี้พอถึงฤดูหนาวก็จะเป็นสินค้าขายดี นอกจากนี้ร้านขายยาของเราต้มน้ำขิงหม้อใหญ่แจกจ่ายให้ชาวบ้านดื่มแก้หนาวเป็นประจำทุกวัน
ด้วยเหตุนี้จึงใช้หมดอย่างรวดเร็วขอรับ”
หัวคิ้วถังเยว่ขมวดแน่น
เขาหยิบจดหมายเซี่ยงอันมาเปิดอ่านจบไปหนึ่งรอบ มั่นใจว่ามีซันชีระบุมาในจดหมาย
เมื่อเทียบกับปริมาณซึ่งเหลืออยู่ในคลังตามที่ผู้ดูแลหลิวแจ้ง
ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกว่าผิดปกติ
ซันชีเป็นยาทาแผลภายนอกที่ใช้บ่อยจึงต้องใช้ในปริมาณมากก็จริง แต่จากจำนวนทหารในกองทัพเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้หมดเร็วขนาดนี้ จากจำนวนคนบาดเจ็บที่เขาคาดเดาเอาไว้ลำพังแค่ปริมาณซันชีที่หอฮุ่ยอานส่งไปให้ก็ควรจะพอใช้แล้ว
“คุณชาย มีจุดไหนไม่ถูกต้องหรือขอรับ?” ผู้ดูแลหลิวเห็นสีหน้าถังเยว่ไม่ปกติจึงเกิดความร้อนใจ
เกรงว่าตนจะทำสิ่งใดผิดพลาด
เขาลำบากตรากตรำมาหลายปี
โชคดีได้เจอเถ้าแก่ที่ให้โอกาสอันหาได้ยากยิ่ง
แม้งานที่ทำจะห่างจากงานที่ตนใฝ่ฝันไปไกล
แต่เขาก็ใช้ความตั้งใจเกินร้อยในการบริหารจัดการร้านขายยาที่แสนมหัศจรรย์แห่งนี้
ถังเยว่ไตร่ตรองครู่หนึ่งก็เอ่ยสิ่งที่ตนสงสัยออกมา
แม้ผู้ดูแลหลิวไม่ได้เป็นหมอแต่เขามีความรู้ด้านสมุนไพรมากพอควร
ผู้ดูแลหลิวคํานวณดูแล้วก็ส่ายหน้า
“ไม่ถูกสิ
แม้ทัพใหญ่ออกรบจะครึ่งปีแล้วแต่ปะทะศึกจริงแค่ครั้งเดียว มิหนำซ้ำกล่าวกันว่าคนตายมากกว่าคนเจ็บ
จำนวนผู้บาดเจ็บดูแล้วยังเทียบศึกฉินหยางไม่ได้เลยด้วยซ้ำ อย่างที่ท่านทราบ
หลังเมืองฉินหยางผ่านศึกสามครั้งปริมาณการใช้ผงซันชียังไม่ถึงครึ่งที่ให้ทัพใหญ่ไปในครั้งนี้”
ทั้งสองสบตากัน
ในใจต่างรู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง
“คุณชาย
เขียนจดหมายกลับไปสอบถามดีหรือไม่ขอรับ บางทีคุณชายอันอาจเขียนผิด
หรือว่าเขาเพียงต้องการสำรองของไว้ให้มากหน่อยกันแน่”
ถังเยว่พยักหน้า
หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมายตอบกลับฉบับหนึ่ง
เขาจะส่งสมุนไพรไปให้ตามคำขอในใบรายการ
เพียงแต่ต้องการสอบถามถึงปัญหาให้กระจ่างชัด
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือโกหกอย่างไรก็ต้องมั่นใจว่าพวกทหารมียาพอใช้เสียก่อน
“นอกจากนี้ให้คนออกเดินทางไปให้ทั่วแคว้น
รับซื้อสมุนไพรโดยให้ราคาสูง นอกจากซันชีแล้ว
สมุนไพรอย่างอื่นก็ให้ซื้อหากลับมาพร้อมกันด้วยเลยทีเดียว
ข้าจำได้ว่าปริมาณของหวงเหลียนกับไป๋ฝูหลิงก็มิได้มีเยอะนัก”
“ขอรับ
เพียงแต่หากเป็นเช่นนี้ทุนเราจะตึงมือนะขอรับ”
ความจริงหอฮุ่ยอานไม่ได้มีรายได้สูง แม้จะมีชื่อเสียงโด่งดังทว่าชาวบ้านทั่วไปที่มีเงินพอจะหาหมอได้มีไม่มากนัก
แต่น้ำแกงที่แจกจ่ายแบบให้เปล่ากลับมีมากกว่าหลายเท่า
ผลกำไรที่ควรได้จึงไม่ค่อยมีเหลือ
แต่จุดประสงค์แรกที่ถังเยว่เปิดร้านขายยาแห่งนี้ขึ้นมาก็มิใช่เพื่อหวังค้ากำไร
หากจะพูดเรื่องรายได้จริงๆ
ลำพังรายได้ของเขาคนเดียวก็สูงกว่ารายรับจากหอฮุ่ยอานตั้งไม่รู้กี่เท่า
หากผู้มารับการรักษาเป็นชนชั้นสูง เขาสามารถเรียกเก็บค่ายาค่ารักษาได้ตามใจชอบ
ถังเยว่จึงมักจะคิดราคาตามสภาวะอารมณ์ในเวลานั้น
แน่นอนว่าตอนที่เขาไม่เก็บค่ารักษาพยาบาลก็มีบ่อยเช่นกัน
ถังเยว่เรียกพ่อบ้านมา
สั่งให้เขาเบิกเงินจากในคลังออกมาห้าร้อยตำลึงทอง มอบให้ผู้ดูแลหลิว “เงินมิใช่ปัญหา แต่คุณภาพสมุนไพรต้องผ่านเกณฑ์
เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิให้แหล่งเพาะปลูกสมุนไพรทุกที่ปลูกสมุนไพรที่ใช้กับบาดแผลภายนอกขึ้นมาก่อน”
“เข้าใจแล้วขอรับ คุณชายโปรดวางใจ ปีก่อนร้านค้าตัวแทนที่พวกเราได้ติดต่อไว้จะต้องเกรงใจเราแน่
ของซื้อของขาย เราให้ราคาสูง พวกเขาย่อมขายให้พวกเราก่อนอยู่แล้วขอรับ”
ถังเยว่พยักหน้า “หากจำเป็นต้องใช้เส้นสายหรือใช้อำนาจบังคับขู่เข็ญก็ใช้ ไม่ต้องกลัว
และอย่าปล่อยให้พวกเขาโก่งราคาเกินไปนัก”
มีคำพูดประโยคนี้ของถังเยว่ผู้ดูแลหลิวก็ยิ่งเบาใจ
มีจวนรัชทายาทหนุนหลังก็ไม่ต้องกลัวใครแล้ว
“เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวไปจัดการก่อน
คุณชายไม่ต้องห่วงสมุนไพรต้องถูกเตรียมพร้อมก่อนตะวันตกดินวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอนขอรับ”
“อืม ถึงตอนนั้นข้าจะจัดหาคนไปขนส่งเอง”
ก่อนไปผู้ดูแลหลิวได้เอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง “คุณชาย ในร้านขายยาของเรามีหมอฝึกหัดสองสามคนอยากไปฝึกประสบการณ์ที่ชายแดน
พวกเขายังรักษาโรคไม่ได้แต่น่าจะพอช่วยหยิบจับอะไรได้บ้าง
ท่านเห็นว่าควรส่งพวกเขาไปพร้อมกันในครั้งนี้เลยดีหรือไม่ขอรับ?”
“อายุเท่าไร ในบ้านยังมีพี่น้องอยู่หรือไม่?”
“ทุกคนเป็นผู้ที่เพิ่งสมัครเข้ามาใหม่ในช่วงสองปีนี้
ความตั้งใจถือว่าใช้ได้ เรื่องในครอบครัวก็ไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วงขอรับ”
“หากพวกเขาสมัครใจก็ให้ไป
บอกพวกเขาให้ระวังเรื่องความปลอดภัยด้วย”
ผู้ดูแลหลิวยิ้มรับ “ขอรับ ข้าน้อยจะกำชับพวกเขาแน่นอนขอรับ”
ถังเยว่อยู่ในห้องทรงพระอักษรอีกพักใหญ่
จดรายการข้าวของที่ต้องตระเตรียม ทั้งกำลังคน
วัตถุสิ่งของและทุนทรัพย์ที่ต้องใช้ในการรบ จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้เด็ดขาด
เขายังเขียนจดหมายถึงหลี่เจาฉบับหนึ่งเตรียมจะส่งไปพร้อมยาเวชภัณฑ์
แน่นอนว่าย่อมขาดภาพเหมือนของตัวเองไปไม่ได้
“จิตรกรมาหรือยัง?” ถังเยว่ถามพ่อบ้าน
“คุณชายจะให้เชิญจิตรกรมาจริงหรือขอรับ?”
“เหลวไหล! ข้าจะพูดล้อเล่นไปเพื่ออะไร?”
“ท่านต้องการให้วาดสิ่งใด
ต้องการคนที่เชี่ยวชาญวาดภาพธรรมชาติภูเขาลำธารหรือวาดรูปคนขอรับ?”
ถังเยว่ชี้หน้าตัวเอง “ข้าต้องการหาคนมาวาดรูปเหมือนของตัวเอง ท่านว่าควรตามใครมาดีล่ะ?”
พ่อบ้านรีบวิ่งไปหาจิตรกร
ไม่นานก็จูงผู้เฒ่าคนหนึ่งมา ตาเฒ่าผู้นี้สวมเสื้อผ้ามอมแมม
ใบหน้าเหลืองเหมือนเทียนไขเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น ฟันเหลืองอ๋อยทั้งปาก
เห็นสภาพแล้วเหมือนขอทานข้างถนนไม่มีผิด
“เป็นเขาหรือ?”
ถังเยว่รู้ว่าพวกศิลปินค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
แต่บุคคลตรงหน้าเขาผู้นี้ดูจะมีลักษณะเด่นล้ำเกินคำว่าเอกลักษณ์เฉพาะตัวไกลไปหน่อย
พ่อบ้านพยักหน้ายืนยัน
แม้ตัวเขาเองจะรู้สึกว่าชายชราผู้นี้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือนักก็ตาม
ถังเยว่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้มีสีสันฉูดฉาดขึ้นเล็กน้อยแล้วสั่งให้คนไปตามเสี่ยวลั่วลั่วมา
ตั้งใจว่าจะให้จิตรกรวาดรูปคู่ของเขากับเสี่ยวลั่วลั่ว
เขานั่งนิ่งอย่างมีความสุขไม่ขยับเขยื้อนหนึ่งชั่วยาม
ยิ้มจนเมื่อยไปหมด จิตรกรมองหน้าเขาพร้อมกับขยับมือเป็นระยะ
จิตรกรผู้นี้มิได้ใช้พู่กันในการวาด
สิ่งที่อยู่ในมือเขาคือมีดแกะสลักเล่มหนึ่ง ถังเยว่นึกบ่นในใจ ‘นี่มันยุคไหนแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะยังมีคนใช้มีดแกะสลักอยู่อีก’
หนึ่งชั่วยามต่อมาในที่สุดถังเยว่ก็ทนไม่ไหวต้องถามขึ้น
“เสร็จหรือยัง?”
“เสร็จแล้ว เสร็จแล้ว” จิตรกรลูบหนวด หัวเราะกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างภาคภูมิใจ
ถังเยว่นึกว่าเขาพึงพอใจในผลงานตัวเองจึงเดินไปดูรูปด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
ผลปรากฏว่าพอเห็นภาพเลือดก็แทบพุ่งออกมาจากปาก
นี่หรือรูปคน? เขามีสารรูปเป็นเช่นนี้อย่างนั้นหรือ! ตาไม่ใช่ตา
ปากไม่ใช่ปาก นี่คือสารรูปของเขาจริงหรือนี่?
เสี่ยวลั่วลั่วที่วิ่งตามเข้ามาดู ร้อง “อ๋า” ขึ้นคำหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม “เตียเตีย สัตว์ประหลาดนี่คือตัวอะไรหรือขอรับ?”
ถังเยว่หน้ากระตุก หัวเราะเหอะๆ “เตียเตียให้คนวาดยันต์ไล่ปีศาจในจวนน่ะ เป็นอย่างไร สวยหรือไม่?”
เสี่ยวลั่วลั่วพยักหน้า “ขอรับ มีของสิ่งนี้ติดไว้หน้าประตู ตอนกลางคืนจะได้ไม่นอนฝันร้าย!”
ถังเยว่พูดไม่ออก
ถลึงตาจ้องมองจิตรกรผู้นั้น ฝ่ายตรงข้ามลูบหนวดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ช่างไม่มีจิตใจชื่นชมงานศิลปะเอาเสียเลย
ท่านดูฝีมือลงมีดบนภาพสิ เวลานี้จะมีช่างฝีมือคนใดทำได้อย่างข้าบ้าง”
ถังเยว่สั่งให้คนไปเอาดินสอถ่านของเขาในห้องหนังสือมา
แล้วดันจิตรกรออกไป หยิบกระดาษขาวขึ้นมาหนึ่งแผ่น ลงมือลากเส้นวาดลงบนกระดาษ
“ลั่วลั่ว นั่งนิ่งๆ อย่าขยับ
เตียเตียจะวาดรูปสวยๆ ให้เจ้า”
ฝีมือวาดรูปของถังเยว่ไม่จัดว่าดีนักแต่ในฐานะที่มีงานอดิเรกคืองานแกะสลักความสามารถในการลอกเลียนของเขาจึงไม่เลว
แม้ไม่กล้าพูดว่าวาดได้ล้ำเลิศแต่อย่างน้อยก็ดูคล้ายคนอยู่หลายส่วน
เขาใช้ลายเส้นง่ายๆ
ร่างเค้าโครงใบหน้าลั่วลั่วขึ้นมา จากนั้นก็เติมตาหูจมูกปากและเส้นผม
แล้วค่อยลงรายละเอียดเพิ่มเติม วาดอยู่ครึ่งชั่วยามก็วางดินสอลง ยังไม่ทันได้ชื่นชมภาพวาดบนกระดาษอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็ถูกมือดำปี๋ข้างหนึ่งดึงแย่งไป
พอเขาหันกลับไปก็เห็นใบหน้าเหลืองอ๋อยดั่งดอกเบญจมาศจ้องผลงานภาพวาดของเขาตาเขม็งอย่างตั้งอกตั้งใจ
“นี่...นี่มันเป็นไปไม่ได้! ไยจึงวาดได้เหมือนมากถึงเพียงนี้ แค่ขีดเส้นลงไปไม่กี่ขีดเท่านั้น
เหตุใดถึงสามารถวาดคนออกมาได้เหมือนราวกับถอดวิญญาณออกมาเช่นนี้!”
“นี่เรียกว่าการร่างภาพ” ถังเยว่ยืดเส้นบิดขี้เกียจ ใช้นิ้วเขี่ยมืออีกฝ่ายออกแล้วแย่งภาพนั้นคืนมา
เสี่ยวลั่วลั่ววิ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้น
เขย่งเท้าชะเง้อดูรูปในมือถังเยว่แล้วร้องอุทานด้วยความตื่นตะลึง
“อ๋า...เหมือนมากขอรับ เตียเตียเก่งที่สุด
ทำได้อย่างไรขอรับ?”
ถังเยว่บิดจมูกเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูพลางหัวเราะร่า
“นี่เป็นผลงานศิลปะอันยอดเยี่ยมของสำนักเตียเตีย
ไม่ถ่ายทอดให้ผู้อื่น”
“แต่ข้าเป็นลูกชายท่านนะ
ต้องถ่ายทอดให้ข้าสิ ถ่ายทอดให้คนในมิใช่คนนอกไม่เป็นไร”
“เจ้าอยากเรียนหรือ?”
“ขอรับ” เสี่ยวลั่วลั่วพยักหน้าอย่างมั่นใจ
ไม่รอให้ถังเยว่อนุญาต จู่ๆ ก็มีเสียงเรียก “อาจารย์” ดังขึ้น เสียงนั้นแหบพร่าอย่างคนแก่
ไม่น่าใช่เสียงเด็กเลยสักนิด
พอหันไปก็เห็นจิตรกรเฒ่าผู้นั้นคุกเข่าอยู่ข้างหลัง
จ้องเขาโดยมีน้ำตานองหน้า
“ผู้อาวุโส ท่านทำอะไร?”
“คิดไม่ถึงว่าฝีมือการวาดภาพของพระชายาจะเก่งกาจถึงเพียงนี้รับข้าไว้เป็นศิษย์ได้หรือไม่ขอรับ?”
ถังเยว่ขยิบตาให้พ่อบ้านเป็นสัญญาณบอกให้เขาพาตาเฒ่าผู้นี้ออกไป
“ข้าไม่มีธุระอะไรกับเขาแล้ว ส่งแขก!”
241 พระชายาผิดแผกไม่ปกติ
ข่าวพระชายาวาดภาพเป็น
มิหนำซ้ำยังเป็นยอดฝีมือเชี่ยวชาญงานศิลปะแพร่ไปทั่วเมืองเย่เฉิงอย่างรวดเร็วราวกับสายลมพัด
กลายเป็นเรื่องพูดคุยแก้เครียดช่วงสงครามได้บ้าง
“เรื่องพระชายาวาดภาพเป็นข้าไม่แปลกใจเลยสักนิด
ทรงเป็นดาวเหวินฉวี่[1]กลับชาติมาเกิด
จะมีสิ่งใดที่ทำไม่เป็นบ้าง”
ในร้านอาหารมีคนกินดื่มพลางพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างสนุกสนาน
“พวกเจ้าไม่เคยเห็นผลงานแกะสลักของพระชายา
ดูสมจริงราวกับมีชีวิต ขนบนปีกนกอ่อนช้อยพลิ้วไหวดุจจะเหาะเหิน
นี่สิถึงเรียกว่าศิลปะขั้นสูง ทั้งมากความสามารถและเชี่ยวชาญศิลปะล้ำเลิศ
ในหนานจิ้นจะมีผู้ใดเสมอเหมือนพระชายาได้อีก”
“ข้าเคยมีบุญตาได้เห็นพระชายาใช้มีดแกะสลักท่อนไม้
ฝีมือคล่องแคล่วล้ำเลิศยิ่งกว่าช่างปักผ้าเสียอีก”
“ช่างปักผ้าจะเทียบได้อย่างไร
ไม่แน่ว่าฝีมือการเย็บปักของพระชายาอาจเหนือชั้นกว่าช่างปักผ้าตั้งไม่รู้กี่เท่าด้วยซ้ำ”
“เป็นไปไม่ได้! ต่อให้พระชายาเพียบพร้อมไปด้วยความสามารถและคุณธรรมเพียงใดก็เป็นบุรุษ
จะทำงานของสตรีเป็นได้อย่างไร?”
“เจ้าไม่เคยเห็นพระชายารักษาคน
ข้าเคยเห็นเองกับตามาครั้งหนึ่ง นายพรานผู้นั้นถูกหมีตะปบจนหน้าอกเหวอะหวะ
แผลลึกมากเป็นทางยาว พระชายาใช้เข็มกับด้ายเย็บบาดแผลให้อย่างคล่องแคล่วชำนิชำนาญ
ต้องร่ำเรียนมานานหลายปีแล้วเป็นแน่”
“อืม
ดูเหมือนจะมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นจริงๆ
เจ้าว่ายังมีสิ่งใดที่พระชายาทำไม่ได้บ้าง?”
“มีแน่นอน!”
“อะไรหรือ?”
“ออกลูกอย่างไรเล่า! ฮ่าๆ ต่อให้พระชายาเก่งกาจเพียบพร้อมไปด้วยความสามารถและคุณธรรมเพียงใดก็เป็นบุรุษ
จะออกลูกได้อย่างไร?”
ทุกคนได้แต่นิ่งอึ้ง
“ปฏิกิริยาเช่นนี้ของพวกเจ้าหมายความเยี่ยงไร
หรือพวกเจ้าไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ข้าพูดนั้นถูกต้อง”
คนพูดมองสหายร่วมวงสนทนาอย่างงุนงง
เหตุใดทุกคนมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด?
ทันใดนั้นก็มีคนกล่าวขึ้นประโยคหนึ่ง “พวกเจ้าเคยรู้สึกหรือไม่ว่าพระชายาดีกับพระราชนัดดาน้อยมากเป็นพิเศษจนผิดปกติ
ดูไม่เหมือนปฏิบัติต่อลูกเลี้ยงเลยสักนิด”
“นั่นน่ะสิ
ข้าเคยเห็นพระชายาทั้งกอดทั้งหอมแก้มพระราชนัดดาน้อย แถมยังเรียกลูกรัก ลูกรัก
ไม่ขาดปาก…”
“เหอะๆ นั่นยังไม่เท่าไร
ข้าเคยเห็นพระราชนัดดาน้อยขี่คอพระชายามาแล้ว”
“พวกเจ้าคิดว่า…จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า...เอ่อ…บางที...พระราชนัดดาน้อยอาจเป็นลูกแท้ๆ ของพระชายา!”
“พูดเหลวไหล พระชายาเป็นบุรุษนะ!” คนหนึ่งแย้งขึ้นทันทีตามสัญชาตญาณ
แต่คนจำนวนไม่น้อยต่างมีสีหน้าครุ่นคิดเสมือนหลักฐานทุกอย่างที่เห็นได้ด้วยตาล้วนยืนยันไปในทางที่ว่าการคาดคะเนนั้นถูกต้อง
“ก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เมื่อวานข้าอ่านเจอในตำราเล่มหนึ่งกล่าวว่าบุรุษสามารถออกลูกได้
พวกเจ้าไม่รู้สึกว่าการมาของพระราชนัดดาน้อยปุบปับกะทันหันเกินไปหรือ? ความรักความโปรดปรานที่องค์รัชทายาทมีต่อพระชายาลึกล้ำเหลือคณา
อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้ยินว่ารัชทายาทเป็นคนเจ้าชู้มากรัก เหตุใดจู่ๆ
ถึงมีโอรสโผล่ขึ้นมาได้เล่า?”
“อย่าพูดเหลวไหล! รัชทายาทมีพระราชนัดดาน้อยตั้งแต่ก่อนกลับเย่เฉิงแล้ว
สมัยนั้นยังไม่ทรงรู้จักกับพระชายาเลยนะ”
“เฮ้อ! ไม่ว่าอย่างไรข้าก็รู้สึกว่าพระชายาปฏิบัติต่อพระราชนัดดาน้อยดุจลูกในไส้
หากเป็นลูกของศัตรูหัวใจจริงไหนเลยจะทำดีด้วยถึงเพียงนี้พวกเจ้าลองคิดดูสิ
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับพวกเจ้าจะทำอย่างพระชายาได้หรือ?”
ทุกคนส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง
หากเป็นภรรยาพวกเขาให้กำเนิดลูกกับชายอื่น อย่าว่าแต่ปฏิบัติด้วยเสมือนลูกในไส้เลย
แค่จะมองหน้ายังทำใจลำบากด้วยซ้ำ
ชั่วขณะนั้นบรรยากาศในร้านอาหารพลันเปลี่ยนเป็นอึดอัดอย่างน่าประหลาด
ทุกคนต่างเงียบงันกันไปพักใหญ่จนมีคนทำลายความเงียบด้วยการหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วเปลี่ยนเรื่อง
“ฮ่าๆ อาหารวันนี้รสชาติไม่เลวเลย
เปลี่ยนพ่อครัวใหม่หรือ?”
เจ้าของร้านรีบตอบเสียงดังฟังชัด “หามิได้ เพียงแต่เมื่อไม่นานนี้พ่อครัวร้านข้าได้รับโอกาสที่ดีมาก
ได้เข้าไปรับคำชี้แนะจากพ่อครัวใหญ่ของจวนรัชทายาท
ฝีมือปรุงอาหารจึงพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว”
ทันทีที่เอ่ยถึงจวนรัชทายาท
ทุกคนต่างนึกถึงทักษะฝีมือปรุงอาหารของพระชายาซึ่งเป็นที่เลื่องลือ
ช่างเป็นตัวอย่างของศรีภรรยาโดยแท้ ยามอยู่ในเรือนดูแลหลังบ้านได้เป็นอย่างดี
ในยามจำเป็นยังสามารถช่วยเหลือกิจการงานของสามีได้อีก
“เฮ้อ สุรานี่ช่างไร้รสชาติเสียจริง
ข้าน้อยเคยมีวาสนาได้ดื่มเหล้าจากจวนรัชทายาทครั้งหนึ่ง
เป็นสุราเลิศรสที่สุดในใต้หล้า น่าเสียดายที่ตอนหลังไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสอีกเลย”
“เจ้าก็ควรรู้จักพอเสียบ้าง
ประเดี๋ยวราชสำนักก็จะมีคำสั่งห้ามดื่มสุราแล้ว
ถึงตอนนั้นแม้อยากดื่มเจ้าก็ดื่มไม่ได้”
เมื่อมีสงครามเกิดขึ้น เพื่อเป็นการประหยัดเสบียง
ราชสำนักจะมีคำสั่งห้ามดื่มสุราเพราะการกลั่นเหล้าสิ้นเปลืองธัญพืชมาก
ถังเยว่อยู่ในจวนตั้งหน้าตั้งตาทำงานงกๆ
จึงไม่รู้ว่านอกบ้านข่าวคราวเล่าลือกันไปต่างๆ นานามากขึ้นเรื่อยๆ และไม่รู้ว่าใครที่นำแนวคิดผู้ชายคลอดลูกได้เผยแพร่ไปทั่วบ้านทั่วเมือง
แม้ตามหลักเหตุและผลแล้วสติปัญญาของทุกคนจะค้านว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้
แต่พอคิดว่าเรื่องนี้เกิดกับพระชายา ความคิดก็พลันกลับตาลปัตร
รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องชอบธรรมฟังดูสมเหตุสมผลไปเสียได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ครอบครัวสามคนพ่อลูกขององค์รัชทายาทจึงยิ่งเป็นสิ่งที่ถูกหลักทำนองคลองธรรมและเป็นสิ่งที่ราษฎรจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจริง
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถยอมรับเรื่องนี้ได้
สองสามวันต่อมาบนโต๊ะทำงานของจักรพรรดิหนานจิ้นจึงมีฎีกากองเพิ่มขึ้น
ล้วนเป็นฎีการ้องเรียนว่าถังเยว่ผิดแผกไม่ปกติ วันหน้าอาจนำพาหายนะมาสู่หนานจิ้น
เรียกร้องให้จักรพรรดิลงโทษขั้นสูงสุดด้วยการประหารพระชายาเสีย!
ช่วงแรกที่จักรพรรดิหนานจิ้นอ่านเนื้อหาฎีกาเหล่านี้ก็ตกใจไม่น้อย
แต่หลังตรึกตรองดูอย่างถ้วนถี่ก็เกิดความรู้สึกคล้อยตามว่าในตัวถังเยว่ล้วนเต็มไปด้วยปริศนาที่ไขไม่ออก
ทั้งชาติกำเนิดและประวัติความเป็นมาช่างไม่สอดคล้องกับความสามารถของเขาเอาเสียเลย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้หากจะบอกว่าเขาผิดแผกจากคนทั่วไปก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป
แต่จักรพรรดิหนานจิ้นย่อมไม่อาจลงโทษประหารถังเยว่เพียงเพราะเรื่องนี้
ถึงอย่างไรฝ่ายนั้นก็เป็นชายารัชทายาท เป็นบุตรชายของลี่หยางโหว
และเป็นคนที่รัชทายาทเชื่อถือไว้วางใจมากที่สุด
จักรพรรดิหนานจิ้นกล้าพูดได้เลยว่าหากจู่ๆ มีราชโองการสั่งประหารถังเยว่
รัชทายาทต้องนำทัพใหญ่บุกเข้าเมืองแน่ ความสัมพันธ์พ่อลูกระหว่างพวกเขาก็มิได้กลมเกลียวเหนียวแน่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย
“ทหาร! ส่งคนไปตรวจสอบชาติกำเนิดของพระชายารัชทายาท
ข้าต้องการรู้ความเป็นไปทุกอย่างตั้งแต่แรกเกิดจนเติบใหญ่ของเขาอย่างละเอียด!”
หากข้อสรุปครั้งนี้ยังคงเหมือนคราวก่อน
เขาก็จะเชื่อว่าถังเยว่เป็นคนประหลาด ถึงอย่างไรนับตั้งแต่ได้รู้จักถังเยว่ ไม่สิ! ตอนนั้นเขาก็มิได้ชื่อนี้ คนผู้นั้นแตกต่างจากพระชายาในเวลานี้อย่างสิ้นเชิง
จักรพรรดิหนานจิ้นยังเคยได้ฟังเรื่องราวมาว่าแท้จริงแล้วพระชายาหาใช่คนธรรมดาไม่
แต่เป็นเทพเซียนลงมาจุติยังพื้นพิภพเพื่อช่วยหนานจิ้นรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง
ความจริงพอคิดดูแล้วก็เหมือนว่ารัชทายาทเองจะเคยพูดเรื่องทำนองนี้เช่นกัน
โอรสของเขาเคยบอกว่าพระชายาเป็นบุคคลที่ดีเลิศประเสริฐที่สุดในใต้หล้า
สามารถประดิษฐ์สิ่งต่างๆ อันเป็นคุณูปการให้กับหนานจิ้น
ทั้งยังมีส่วนสำคัญในการเริ่มต้นคิดค้นสามสิบสองกลยุทธ์บริหารบ้านเมือง
ทั้งข่าวในทางลับที่จักรพรรดิรับรู้มา
พระชายารัชทายาทผู้นี้ยังสามารถผลิตสุดยอดศัสตราวุธให้หนานจิ้นได้
หากพูดกันตามตรงแล้วเขานับเป็นฟันเฟืองสำคัญในการทำให้หนานจิ้นพัฒนาล้ำหน้าอย่างก้าวกระโดด
และไม่แน่ว่าเขาอาจทำให้หนานจิ้นสามารถรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวได้ในเวลาอันรวดเร็ว
รวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียว! คำพูดนี้ช่างมีพลังดึงดูดเย้ายวนใจมากมายเหลือเกิน
จักรพรรดิหนานจิ้นแค่นึกถึงคำพูดนี้โลหิตในกายก็คึกคักพลุ่งพล่านแล้ว
หลายปีมานี้ที่เขายอมให้รัชทายาทปฏิรูประบบใหม่และประกาศใช้คำสั่งต่างๆ
ทั้งหมดก็เพื่อเป้าหมายนี้มิใช่หรือ?
จักรพรรดิหนานจิ้นใคร่ครวญอยู่นานมาก
ในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะหยุดความสนใจกับกองฎีกาเหล่านั้น
ถังเยว่จะเป็นเทพหรือเป็นภูตผีปีศาจก็ช่าง! ขอเพียงสามารถนำผลประโยชน์มาสู่หนานจิ้นได้
จะเก็บชีวิตเขาไว้ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร
“พี่ถัง…พี่ถัง…มีข่าวล่ามาใหม่!”
จางฉุนวิ่งกระหืดกระหอบหน้าตาตื่นเข้ามาหาถังเยว่ในห้องทรงพระอักษร
ก่อนจะหยุดหอบแฮ่กเพราะหายใจแทบไม่ทัน
“ทำไม? หนานจิ้นชนะศึกแล้วหรือ?” ถังเยว่เงยหน้าถาม
“หนานจิ้นชนะศึกจะถือว่าเป็นข่าวใหม่ได้ยังไงกันล่ะ
แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญของพวกทหาร
คุณลองเดาดูสิว่าเมื่อกี้ผมไปตลาดแล้วได้ยินอะไรมา?” จางฉุนถามเสียงสูง
“ตำนานเรื่องเล่าอะไรอีกละสิ
บอกตั้งหลายหนแล้วว่าเรื่องพวกนี้ฟังแล้วก็ลืมๆ ไปซะ ไม่ต้องถือเป็นจริงเป็นจัง”
ถังเยว่ยังจำเหตุการณ์เมื่อปีก่อนได้
ไม่รู้ว่าจางฉุนไปฟังข่าวลือของอดีตจักรพรรดิมาจากไหน
บอกว่าคนรักที่แท้จริงของพระองค์คือสนมชายคนหนึ่ง
ก่อนอดีตจักรพรรดิล่วงลับได้ทิ้งข้อความไว้ว่าอนุญาตให้ฝังสนมชายผู้นั้นร่วมสุสานเดียวกับพระองค์
พอจางฉุนกลับมาก็นำเรื่องราวความรักสุดแสนโรแมนติกปนเศร้ารันทดนี้มาเล่าให้เขาฟังเป็นคุ้งเป็นแคว
ภายหลังได้รับการยืนยันจากหลี่เจาว่าอดีตจักรพรรดิโปรดปรานบุรุษจริง
มีสนมชายคนโปรดอยู่จริง
แต่เรื่องฝังร่วมสุสานเดียวกันนั้นเป็นคำพูดที่น่าขบขันและไม่มีแหล่งที่มา
แค่สนมชายคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้อดีตจักรพรรดิทรงเห็นชอบ เหล่าเสนาบดีก็ไม่มีทางเห็นด้วย
“ไม่ใช่
ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับคุณและมันเหลือเชื่อมากๆ!”
ถังเยว่เย้ายิ้มๆ “หรือข้างนอกมีคนเดากันว่าฉันทนความเหงาไม่ไหว เลยแอบเลี้ยงผู้ชายไว้หรือไง”
จางฉุนกวาดตาจ้องมองถังเยว่ก่อนจะส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ ไม่มีผู้ชายหน้าไหนกล้าแย่งชิงคนของรัชทายาทหรอก
จะว่าไปแล้วสารรูปของคุณก็ไม่คู่ควรให้ทำเช่นนั้น”
ถังเยว่เงยหน้าจ้องมองอีกฝ่าย
หน้าตาเขาอัปลักษณ์ขนาดนั้นเชียว?
ถ้ารู้แต่แรกเขาคงไม่ส่งภาพเหมือนของตนไปให้หลี่เจา
หากอีกฝ่ายเห็นใบหน้าที่แสนธรรมดาของเขามากเกินไป จู่ๆ
เกิดไปเจอหนุ่มรูปงามเข้าล่ะจะทำยังไง?
ถังเยว่กำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง
ไม่ทันได้ฟังจางฉุนเล่าเกี่ยวกับเรื่องใหญ่ข่าวใหม่อะไรนั่น
กว่าเขาจะรู้สึกตัวก็ได้ยินจางฉุนพูดว่า “หากนี่เป็นเรื่องจริงผมจะต้องตั้งใจศึกษาจากคุณอย่างจริงจังแล้ว
อยากรู้นักว่าผู้ชายจะคลอดได้ยังไง!”
“ผู้ชายจะคลอดได้ยังไง? คลอดอะไร? หรือนายคิดจะให้ผู้ชายออกไข่?” ถังเยว่ถามด้วยสีหน้างุนงงจริงจัง
“ฮ่าๆๆ ชายอื่นผมไม่รู้ แต่คุณ…” จางฉุนปิดปากหัวเราะจนตัวงอ “พวกเขา...พวกเขาต่างพูดว่า…พูดว่าเสี่ยวลั่วลั่วเป็นลูกแท้ๆ ของคุณ”
“เขาย่อมเป็นลูกของฉันแน่นอนอยู่แล้ว!”
แต่ไหนแต่ไรถังเยว่ไม่เคยถือว่าเสี่ยวลั่วลั่วเป็นคนนอก
ทว่าจางฉุนกลับชี้นิ้วตรงมาที่ท้องเขาแล้วพูดอย่างมีเลศนัย
“ไม่ใช่แบบนั้น
ความหมายของพวกเขาคือเสี่ยวลั่วลั่วคลานออกมาจากท้องของคุณจริงๆ ต่างหาก”
ถังเยว่ได้ยินแล้วถึงกับพูดไม่ออก
ความรู้สึกในตอนนี้ราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางศีรษะ ข่าวลือมาจากแหล่งใด
มันจะเกินจริงไปหน่อยแล้ว!
“เรื่องแบบนี้นายก็เชื่อด้วยเหรอ?”
“ผมน่ะไม่เชื่อหรอก ฮ่าๆๆๆ” จางฉุนยิ่งพูดก็ยิ่งเอามือกุมท้องหัวเราะลั่น “ผมก็แค่…แค่รู้สึกว่าคนยุคนี้จินตนาการเก่งจริงๆ
มิหนำซ้ำนึกไม่ถึงว่ามีผู้คนมากมายเชื่อเรื่องนี้ ช่าง…ช่าง…”
เขาไม่รู้ว่าจะสรรหาคำใดมานิยามความคิดความเชื่อของคนในยุคนี้เลยจริงๆ
เชิงอรรถ
- ดาวเหวินฉวี่
เป็นดาวที่คุ้มครองเรื่องการสอบและวิชาการ
ขุนนางฝ่ายบุ๋นที่มีความสามารถมักถูกชมว่าเป็นดาวเหวินฉวี่กลับชาติมาเกิด
242 เด็กที่ขาดแคลนความรักย่อมส่งผลกระทบไปถึงนิสัย
สมุนไพรถูกส่งมาถึงชายแดนตามกำหนด
เซี่ยงอันหยิบจดหมายที่ถังเยว่เขียนถึงเขาขึ้นมาชื่นชมด้วยความยินดี
ทว่าขณะกำลังจะเปิดจดหมายออกอ่านก็มีมือข้างหนึ่งมาดึงแย่งไปต่อหน้าต่อตา
“เอ๋...ฝ่าบาท...” เซี่ยงอันมองด้วยสายตาขุ่นเคือง
รัชทายาทเจาเปิดซองจดหมายโดยไม่ขออนุญาต
ขอเพียงเป็นจดหมายจากถังเยว่เขาไม่สนใจว่าจะเขียนถึงใคร จะมีความลับส่วนตัวอันใด
แต่ทั้งหมดล้วนต้องผ่านการตรวจคัดกรองจากเขาก่อนทั้งสิ้น
เซี่ยงอันยืนตาปริบๆ
ชะเง้อคอแอบอ่านอยู่ข้างๆ แต่ยังอ่านไม่ทันจบก็เห็นรัชทายาทหน้าเปลี่ยนสี
เขาแอบคาดเดาในใจ คงมิใช่ว่าอาจารย์เขียนจดหมายรักให้เขาหรอกนะ!
เซี่ยงอันเลื่อมใสศรัทธาอาจารย์ของตัวเองมาหลายปี
จิตใจเคารพเปี่ยมล้นลึกล้ำยิ่งกว่าความรักใคร่ชื่นชม
สามารถพูดได้ว่าขอเพียงเป็นคำบัญชาจากถังเยว่ ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟเขาก็ยินดีไปทำทันทีไม่มีบ่ายเบี่ยง
เซี่ยงอันคิดในใจ หากอาจารย์กล่าววาจากำกวมกับเขาจริงจะทำเช่นไร
เขาควรตอบรับหรือปฏิเสธ? ดูเหมือนว่าเขามิได้มีความรู้สึกเช่นนั้นกับเพศเดียวกันนี่นา
แต่นั่น...นั่นเป็นอาจารย์ของเขาเชียวนะ! มิใช่ชายอื่น บางทีตัวเขาอาจสามารถรับได้กระมัง...
ขณะที่เซี่ยงอันกำลังคิดสับสนวุ่นวายใจว่าจะรับความรักของอาจารย์ดีหรือไม่
กระดาษแผ่นหนึ่งก็ตบลงมาที่หน้าอกขัดจังหวะความคิดฟุ้งซ่านของเขา
“ดูซะ แล้วตอบจดหมายอาจารย์เจ้าด้วย
บอกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง”
เซี่ยงอันหลุดจากภวังค์
คลี่จดหมายออกแล้วกวาดตาอ่านอย่างรวดเร็ว
ตอนแรกในสมองเขายังเต็มไปด้วยความคิดอกุศลจึงมิได้เข้าใจเนื้อความในจดหมายเลยสักนิด
กระทั่งอ่านซ้ำรอบสองตั้งแต่ต้นจนจบใหม่อีกครั้งหัวคิ้วก็ขมวดมุ่นเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
“ที่แท้ตอนนั้นทัพใหญ่ขนสมุนไพรมาด้วยเป็นจำนวนมาก
แต่ครั้งก่อนตอนที่พวกข้าไปตรวจนับเห็นว่าในคลังมีสมุนไพรอยู่ไม่เท่าไรเองนี่นา”
เซี่ยงอันพูดพึมพำกับตัวเองด้วยความงุนงง เขาไม่สนใจรัชทายาทเจาแล้ว
รีบวิ่งไปหาหมอทหารในกองทัพจับตัวมาซักถามหาความกระจ่างทันที “กองทัพได้นำสมุนไพรไปเก็บไว้ที่อื่นอีกหรือไม่?”
หมอทหารผู้นั้นเคยอยู่สำนักหมอหลวงมาก่อน
อายุค่อนข้างมากเข้าสู่วัยหูตาฝ้าฟางแล้ว
ถูกเขย่าตัวไม่กี่ทีชิ้นส่วนในร่างกายก็แทบหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ
“เจ้าเด็กบ้า
กล้าบังอาจเหิมเกริมถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”
“อย่ามัวแต่พูดจาไร้สาระ
ข้ามีเรื่องด่วนต้องสอบถามให้รู้เรื่อง!”
เซี่ยงอันถามซ้ำสองสามรอบ หมอทหารเฒ่าท่านนั้นมิใช่ได้ยินไม่ชัดแต่เรียบเรียงความคิดตอบกลับไม่ทัน
มิหนำซ้ำท่าทางยังเหมือนกับเป็นโรคคนแก่ความจำเสื่อม
เซี่ยงอันเห็นท่าทางเขามิได้เสแสร้งก็รู้ว่าหมอทหารเฒ่าผู้นี้คงเป็นแค่ผู้ดูแลในนามเท่านั้น
เช่นนั้นใครกันล่ะที่มีสิทธิ์หยิบใช้สมุนไพรในกองทัพ?
เขาวิ่งไปปรึกษาคนกันเองที่พอจะเชื่อถือได้
ทันทีที่ทุกคนได้ฟังสถานการณ์ สีหน้าก็เปลี่ยนไป
“จะเป็นไปได้หรือไม่ที่สมุนไพรบางส่วนอยู่ระหว่างทางยังส่งมาไม่ถึง?”
“บางทีตอนนั้นรีบจากมา
จึงไม่ทันได้ขนออกจากฉู่โจว?”
เซี่ยงอันรู้สึกว่าข้อสันนิษฐานนี้มีความเป็นไปได้สูงจึงรายงานรัชทายาทเจาไปตามความจริง
“ฝ่าบาท
จดหมายตอบกลับฉบับนี้ควรเขียนเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”
รัชทายาทเจาจ้องมองเขาด้วยสีหน้าเฉยเมยขณะเอ่ยถาม
“เจ้าคิดจะใช้คำตอบกำกวมนี้หลอกลวงอาจารย์อย่างนั้นหรือ?”
“หามิได้ จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยงอันยิ้มเจื่อน “เพียงแต่เวลานี้ฉู่โจวตกอยู่ในกำมือเป่ยเยว่พวกเราจึงไม่มีหลักฐานยืนยัน
แต่ตอนนั้นพวกเขาหนีออกมาอย่างรีบร้อนจึงอาจเป็นไปได้สูงมากว่าไม่ทันได้ขนสมุนไพรออกมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ในกองทัพไม่มีคำว่า ‘อาจเป็นไปได้’ ในเมื่อไม่มั่นใจก็ต้องไปตรวจสอบ หมอทหารคนนั้นหูตาฝ้าฟาง หมอทหารคนอื่นก็เลอะเลือนด้วยงั้นหรือ?”
“หากทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพวกเขาไม่รู้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
“เช่นนั้นก็ต้องหาคนที่รู้เรื่องให้เจอ”
“ผู้ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ชั้นผู้ใหญ่ก็หลู่กั๋วกง ชั้นผู้น้อยก็รองขุนพลของเขา
อย่างไรเสียก็ต้องมีคนรู้เรื่องบ้าง”
เซี่ยงอันชี้จมูกตัวเองแล้วถาม “ให้กระหม่อมไปถามหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
รัชทายาทเจาจ้องตาเขา “หรือจะให้ข้าเป็นคนไปถาม?”
“เหอะๆ หามิได้ กระหม่อมไปขอให้พวกแม่ทัพหวังช่วยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ก็แล้วแต่เจ้า แต่ข้าให้เวลาเจ้าแค่สามวัน
จะต้องหาคำตอบที่ชัดเจนมาให้อาจารย์เจ้าให้ได้”
เซี่ยงอันพยักหน้า “หากฝ่าบาทไม่มีสิ่งใดจะรับสั่งแล้วกระหม่อมขอตัวไปจัดการก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเขาออกไปแล้ว
รัชทายาทเจาจึงหยิบจดหมายที่ถังเยว่เขียนถึงตนขึ้นมาเปิดด้วยท่าทางที่แทบจะทนรอไม่ไหว
เพิ่งเปิดอ่านสีหน้าก็เปลี่ยนจากดำทะมึนเป็นสดใสขึ้นมาทันที
เทียบกับจดหมายที่เขียนถึงเซี่ยงอัน
ภาษาที่เขียนถึงเขามีความเป็นกันเองมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
อีกทั้งยังนุ่มนวลอ่อนโยน คุยเรื่องงานน้อย พูดเรื่องส่วนตัวมาก
ในจดหมายถังเยว่บอกว่าจักรพรรดิไม่พอพระทัยหากเขาพ่ายศึกกลับไปต้องถูกคิดบัญชีแน่
แต่ถ้ารบชนะกลับมาจักรพรรดิก็จะกริ่งเกรงต่อชื่อเสียงของเขาจนไม่กล้าเอาโทษ
จากนั้นก็บอกให้เขาตั้งใจรบให้ดีจะต้องขับไล่ข้าศึกออกไปให้พ้นจากเขตชายแดนให้จงได้
ไล่กลับบ้านเก่าไปเลยยิ่งดี!
ในจดหมายถังเยว่ยังกล่าวอีกว่าระยะนี้เสี่ยวลั่วลั่วสุขุมขึ้นมาก
ใฝ่ใจศึกษาเล่าเรียนและฝึกยุทธ์ด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้ใครคอยติดตาม
อีกทั้งยังรู้จักเข้าสังคมเสมือนเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อย
มิหนำซ้ำยังรู้ว่าจักรพรรดิไม่ค่อยพอใจบิดาทั้งสองของตน ระยะนี้จึงหมั่นเข้าวัง
ใช้ความน่ารักสดใสเข้าหา ทำให้จักรพรรดิอารมณ์ดีขึ้นมาก
แม้ไม่ถึงกับได้ผลตามที่คาดหวังแต่ก็มีข่าวแพร่ออกมาว่าจักรพรรดิมีความคิดที่จะอบรมฝึกฝนเสี่ยวลั่วลั่วด้วยตนเอง
วันข้างหน้าตำแหน่งจักรพรรดิก็จะยกให้เสี่ยวลั่วลั่วโดยข้ามตัวเขาไป
ถังเยว่ยังได้เสริมความรู้สึกนึกคิดของตัวเองมาด้วยว่าพวกเขามานะบากบั่นที่จะอบรมปลูกฝังลูกชายให้กลายเป็นผู้สืบทอดที่มีคุณภาพ
คิดไม่ถึงว่าไม่รอให้พวกเขาอบรมปลูกฝังให้เป็นยอดอัจฉริยะ
ก็มีคนหวังเก็บเกี่ยวผลสัมฤทธิ์ตัดหน้าแล้ว
มุมปากของหลี่เจาเหยียดออกเป็นรอยยิ้มจนกระทั่งเปล่งเสียงหัวเราะในที่สุด
เขานึกภาพเสี่ยวลั่วลั่วขายความน่ารักสดใสแต่ดูเหมือนว่าโอรสในความทรงจำของเขาจะไม่ถนัดทำอะไรพวกนี้เอาเสียเลย
อย่างน้อยเวลาอยู่ต่อหน้าเขา เจ้าตัวเล็กก็มักมีท่าทีเคร่งขรึมจริงจังเสมอ
คิดแล้วหลี่เจาก็ต้องทอดถอนใจ
ดูเหมือนเขาจะเข้มงวดเกินไปจริงๆ ถังเยว่เคยพร่ำบ่นหลายครั้งว่าไม่ควรใช้ท่าทีที่ปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชามาใช้กับลูก
แต่ควรมีน้ำใจกว้างขวางเปี่ยมด้วยความเมตตาและรักใคร่
เด็กที่ได้รับการปลูกฝังเช่นนี้จะไม่ถึงกับเป็นคนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวมเสียทีเดียว
หากใช้คำพูดของถังเยว่ก็ต้องกล่าวว่าเด็กที่ขาดแคลนความรักย่อมส่งผลกระทบถึงนิสัยใจคอ
หลังอ่านจดหมายจบ
หลี่เจาจึงเห็นว่าในซองจดหมายมีกระดาษอีกแผ่นหนึ่งซ่อนอยู่
สีกระดาษแตกต่างจากกระดาษเขียนจดหมายเล็กน้อยเหมือนกระดาษที่ปกติถังเยว่ใช้วาดภาพ
ในตอนแรกเขาเข้าใจว่าเป็นภาพสำคัญล้ำค่า
แต่พอคลี่ออกดูก็พบว่าเป็นภาพเหมือนของคนสองคน ในภาพเหมือนแผ่นนั้นเป็นภาพบุรุษวัยฉกรรจ์ผู้หนึ่งกำลังอุ้มเด็กชายคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขน
ทั้งสองฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว แววตาอ่อนโยน หน้าตามีส่วนคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง
หลี่เจามองปราดเดียวก็รู้ว่าสองคนนี้คือถังเยว่กับเสี่ยวลั่วลั่ว
เพียงแต่เหตุใดเมื่อก่อนเขาไม่เคยรู้สึกว่าสองคนนี้หน้าตาคล้ายกัน
แต่พอดูภาพนี้กลับรู้สึกว่าราวกับเป็นพ่อลูกกันแท้ๆ ทว่าพอมองดีๆ
ถึงพบว่าอวัยวะต่างๆ บนใบหน้าของพวกเขาสองคนมีส่วนที่ไม่เหมือนตัวจริงอยู่บ้าง
เช่นดวงตาเสี่ยวลั่วลั่วถูกวาดให้เล็กกว่าตัวจริงเล็กน้อย
ดังนั้นพอดูแล้วจะรู้สึกว่าคล้ายกับตาถังเยว่
ปากถังเยว่ถูกวาดให้เล็กกว่าตัวจริงเล็กน้อย รูปปากจึงดูละม้ายคล้ายเสี่ยวลั่วลั่ว
ตามการคาดคะเนของเขา
รูปร่างหน้าตาของเสี่ยวลั่วลั่วเมื่อเติบใหญ่จะต้องงดงามกว่าถังเยว่แน่
แม่ทัพลั่วเป็นบุรุษรูปงามองอาจ ฉะนั้นรูปโฉมบุตรชายของเขาจะต้องดูดีไม่แพ้กัน
หลี่เจายังไม่รู้ว่าวิธีวาดภาพประเภทนี้ของถังเยว่หลังจากเผยแพร่ออกไปก็กลายเป็นกระแสครึกโครมอยู่ระยะหนึ่ง
และกลายเป็นข้อสรุปที่คาดไม่ถึงว่า ‘พระชายารัชทายาทแม้อยู่ในร่างบุรุษก็สามารถคลอดบุตรได้’
ตัวเขาเคยเห็นถังเยว่วาดภาพมาแล้วในหลากหลายรูปแบบ
ดังนั้นจึงไม่รู้สึกแปลกใหม่ต่อภาพร่างชนิดนี้
แม้แต่เขาเองก็ยังเรียนรู้วิธีวาดภาพด้วยลายเส้นง่ายๆ แบบนี้มาจากถังเยว่เช่นกัน
หูจินเผิงเดินเข้ามาจากด้านนอกเพื่อมารายงานเรื่องสำคัญ
พอเห็นภาพในมือรัชทายาทเจาก็ร้องทักด้วยความแปลกใจ
“วิธีวาดภาพแบบนี้แปลกใหม่พิสดาร
เป็นฝีมือจิตรกรเอกท่านใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
รัชทายาทเจาใช้นิ้วจิ้มหน้าผากถังเยว่ในภาพ
แล้วตอบกลั้วหัวเราะ
“นอกจากเขาแล้ว
ใต้หล้านี้ยังมีผู้ใดสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่เช่นนี้ได้อีกหรือ”
หูจินเผิงจึงพลอยหัวเราะไปด้วย “นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ พระชายาช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาทำได้พวกเราล้วนทำไม่ได้ทั้งสิ้น
บางทีคำเล่าลือในหมู่ชาวบ้านคงเป็นความจริง
พระชายาเป็นเทพเซียนมาจุติยังพื้นพิภพเพื่อเปลี่ยนแปลงดินแดนมนุษย์โดยเฉพาะ”
รัชทายาทเจารู้ประวัติความเป็นมาของถังเยว่จึงเพียงหัวเราะแต่ไม่เอ่ยสิ่งใด
เขาเก็บภาพวาดนั้นอย่างระมัดระวังแล้ววางไว้ใต้หมอน จากนั้นจึงเอ่ยถามหูจินเผิง “มีกิจอันใดหรือ?”
หูจินเผิงพยักหน้าด้วยท่าทางจริงจัง
“ในเมืองฉู่โจวมีการเคลื่อนไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“หือ?”
“หลังจากกองทัพย่อยของพวกเขาถูกพวกเราเผาทิ้ง
เมืองฉู่โจวก็ปิดเงียบไร้การเคลื่อนไหวมานาน คิดว่าจะต้องซุ่มวางแผนเพื่อโต้กลับแน่”
“ถ้าไม่ตอบโต้สิผิดปกติ
พวกเขาวางแผนว่าจะเคลื่อนพลออกจากเมืองมาล้อมปราบพวกเรา
หรือเตรียมล่อให้พวกเราเป็นฝ่ายบุกล่ะ?”
“ดูจากการเตรียมการของฝ่ายนั้นน่าจะเป็นอย่างหลัง
เพียงแต่คนของเรายังมิอาจสืบได้ความที่แน่ชัดว่าพวกเขาคิดจะใช้วิธีใดหลอกล่อให้พวกเราเป็นฝ่ายบุก”
“มีความเป็นไปได้เพียงสองอย่าง
หนึ่งบีบบังคับ สองล่อให้ไปติดกับ
หากถูกบีบบังคับในมือพวกเขาก็ต้องมีหมากที่มีความสำคัญมากพอ
แต่หากล่อให้ไปติดกับก็ง่ายหน่อย แค่พวกเขาแสร้งทำเป็นถอนทัพออกไป
ให้พวกเรานึกว่าการรักษาเมืองหย่อนยาน พวกเราก็จะหลงกลติดกับโดยง่าย”
หูจินเผิงพยักหน้า “เช่นนั้นพวกเราจะตามน้ำไปกับแผนการนี้ดีหรือไม่ สู้ตายกับพวกเขาสักตั้ง”
“ย่อมต้องสู้แน่
แต่จะสู้อย่างไรจึงจะสามารถทำให้จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายน้อยที่สุด
นั่นเป็นเรื่องที่เราต้องใคร่ครวญ หากทำร้ายศัตรูหนึ่งพันเราสูญเสียแปดร้อย
ศึกครั้งนี้สู้ไม่รบเสียยังดีกว่า
ยิ่งไปกว่านั้นทำศึกบุกเมืองเดิมทีก็รบยากอยู่แล้ว
หากมีทหารต้องบาดเจ็บล้มตายมากเกินไปสำหรับพวกเราแล้วเป็นการบุกที่ไม่คุ้มค่าให้ไปเสี่ยง”
“เช่นนั้นกระหม่อมจะไปสั่งให้คนจับตาดูเมืองฉู่โจวต่อ
จะต้องล่วงรู้แผนการของพวกเขาให้แน่ชัดก่อน”
รัชทายาทเจาเอ่ยเสริมขึ้นประโยคหนึ่ง “ได้เวลาที่ตัวหมากลับซึ่งแฝงตัวอยู่ในเป่ยเยว่จะเคลื่อนไหวแล้ว”
243 พวกเจ้าเลิกฝันกลางวันกันได้แล้ว
รอมาหนึ่งวันหนึ่งคืน
ในที่สุดหน่วยสอดแนมก็ได้ข่าวใหม่ล่าสุดหูจินเผิงยินดียิ่งรีบรายงานให้รัชทายาทเจาทราบทันที
“เจ้าบอกว่าทัพเป่ยเยว่ในเมืองฉู่โจวตระเตรียมพร้อมสรรพ
จะจากไปแล้วงั้นหรือ?”
หูจินเผิงพยักหน้า “ดูเหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามจะมิได้จงใจปิดเป็นความลับ
ตั้งแต่จัดทัพจนถึงปลุกขวัญกำลังใจทหารใช้เวลาหนึ่งวัน
แม้ไม่ถึงกับกระทำการอย่างเอิกเกริกแต่ก็ไม่ได้ทำลับๆ ล่อๆ
ดูเหมือนไม่กลัวว่าพวกเราจะล่วงรู้”
“บางทีพวกเขาอาจต้องการให้พวกเรารู้ก็เป็นได้”
“ทรงคิดว่า...พวกเขาแค่เล่นละครตบตางั้นหรือ?”
“หากเป็นคนทั่วไป
เมื่อเห็นทัพเป่ยเยว่กำลังจะจากไป สิ่งแรกที่พวกเขาจะทำคืออะไร?”
“ชิงเมืองฉู่โจวกลับมา!” หูจินเผิงตอบทันทีโดยแทบไม่ต้องคิด
“ถูกต้อง ในเมื่อเป่ยเยว่ชิงฉู่โจวได้แล้ว
แม้จะเดินทางลงใต้เพื่อไปตีเมืองอื่นต่อก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทิ้งฉู่โจวไป
ย่อมต้องเหลือทหารส่วนหนึ่งไว้รักษาเมือง
เวลานี้จึงเป็นจังหวะและโอกาสดีที่สุดที่พวกเราจะบุกฉู่โจว”
หูจินเผิงพูดต่อ “รอให้พวกเรายกทัพถึงฉู่โจว เป่ยเยว่ก็จะวกกลับมาตีล้อมตลบหลัง
ขนาบทั้งจากด้านนอกและด้านใน พวกเราจะไปข้างหน้าก็ไม่ได้ จะถอยหลังก็ไม่ได้
หากเราตกหลุมพรางก็จะมิอาจฟื้นคืนได้อีกเลย”
รัชทายาทเจาเดินตรงไปยังแผนที่
จ้องมองลักษณะทางภูมิศาสตร์ละแวกเมืองฉู่โจวอย่างละเอียด
จากนั้นจึงชี้ไปยังจุดแดงตำแหน่งหนึ่งแล้วเอ่ย “นี่เป็นตำแหน่งที่พวกเราอยู่ในเวลานี้
สองฟากเป็นเทือกเขาสูงเชื่อมต่อกัน สภาพอากาศหนาวเย็น ยอดเขามีหิมะปกคลุมขาวโพลน
คิดจะข้ามไปเป็นเรื่องยาก ดังนั้นหุบเขาลูกนี้จึงมีความปลอดภัยสูง
ตั้งรับง่ายแต่ถูกโจมตียาก”
“แต่เมื่อถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ
หิมะบนยอดเขาละลาย แม่น้ำในหุบเขาน้ำขึ้นสูง
พื้นที่ค่ายทหารกว่าครึ่งของพวกเราจะจมน้ำ ไม่เหมาะที่จะตั้งค่ายอีกต่อไป” หูจินเผิงเอ่ยขณะจ้องมองแผนที่
“ถูกต้อง
หากถึงเวลานั้นพวกเรายังซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา ศัตรูย่อมสามารถบุกตีได้จากทั้งสี่ด้าน
พวกเราก็จะกลายเป็นตะพาบในไห”
หูจินเผิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อีกเพียงหนึ่งเดือนฤดูใบไม้ผลิก็จะมาเยือนแล้ว
นั่นหมายความว่าพวกเราต้องชิงเมืองฉู่โจวกลับคืนมาให้ได้ภายในหนึ่งเดือน
มิเช่นนั้นก็ต้องหาที่ปลอดภัยแห่งใหม่เพื่อตั้งค่าย”
“จะต้องชิงเมืองฉู่โจวกลับมาให้ได้เท่านั้น! จากที่ข้าคาดการณ์ทัพเป่ยเยว่เพียงแค่แสร้งทำทีลงใต้
แท้จริงแล้วพวกเขาจะต้องเลือกซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลจากฉู่โจวแน่
จากนั้นก็ฉวยโอกาสตอนพวกเราบุกเข้าชิงเมืองย้อนกลับมาทางเดิม
เจ้าคิดว่าพวกเขาจะเลือกใช้เส้นทางใด?”
หูจินเผิงมองแผนที่เพื่อสำรวจลักษณะทางภูมิศาสตร์ละแวกนั้นครู่หนึ่งจึงชี้ไปยังตำแหน่งที่แสดงเครื่องหมายว่าเป็นบ้านเรือนแล้วพูดขึ้น
“ตรงนี้มีหมู่บ้านขนาดไม่เล็ก
เดินหน้าไปอีกหน่อยเป็นป้อมปราการอีกแห่ง
คาดว่าพวกเขาจะเลือกหมู่บ้านนี้เป็นที่หยุดพัก”
รัชทายาทเจาจ้องมองแผนที่ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่จึงค่อยหยิบกระดาษกับพู่กันขึ้นมาวาดแผนที่คร่าวๆ
“ไปเรียกทุกคนมาหารือร่วมกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หูจินเผิงรีบเดินออกไป
เพียงไม่นานก็มีคนทยอยกันเข้ามา
ผู้ที่สามารถเข้าร่วมการหารือย่อมต้องเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่
ในบรรดาพวกเขามีกว่าครึ่งเป็นคนที่หลู่กั๋วกงเลื่อนตำแหน่งให้
หลังจากรัชทายาทเจามาถึงค่ายทหาร หลู่กั๋วกงก็ล้มป่วยอย่างเป็นปริศนา
กล่าวกันว่าเป็นเพราะอากาศหนาวเกินไป
เขาอายุมากแล้วยังต้องมาตรากตรำกรำแดดกรำลมเป็นเหตุให้ตอนนี้ปากพูดไม่ได้
หูไม่ได้ยิน ได้แต่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
แม่ทัพใหญ่ล้มป่วย
เดิมทีพวกเขาควรร่วมลงชื่อแจ้งราชสำนักให้ส่งแม่ทัพคนใหม่มาหรือเลื่อนตำแหน่งทหารในค่ายขึ้นมารับหน้าที่ผู้บัญชาการกองทัพ
แต่เมื่อรัชทายาทเจามาด้วยตนเองเช่นนี้ก็สะสางปัญหายุ่งยากให้พวกเขาได้แล้ว
ทุกคนต่างเชื่อฟังคำบัญชาขององค์รัชทายาทเป็นอย่างดี ไม่มีผู้ใดคัดค้านแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าสารรายงานยังคงต้องเขียนอยู่
ส่วนท้ายที่สุดควรให้ใครเป็นผู้ควบคุมดูแลกองทัพ จักรพรรดิจะเป็นผู้กำหนดเอง
“นั่งสิ” รัชทายาทเจาหันกลับมาแล้วกวาดตามองทุกคนในที่นั้น
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ทุกคนแยกย้ายกันไปนั่งลงตามระดับชั้น
เห็นตำแหน่งซ้ายขวาของประธานยังว่างอยู่ ไม่รู้ว่ายังต้องรอผู้ใดอีก
แต่เพียงครู่เดียวพวกเขาก็รู้คำตอบ ม่านประตูกระโจมเปิดออก
ทหารสี่คนหามแคร่เข้ามาโดยมีหูจินเผิงเดินตามหลัง
ผู้ที่อยู่บนแคร่นั้นหากไม่ใช่หลู่กั๋วกงแล้วจะเป็นใครได้อีก
องค์รัชทายาทจะให้หลู่กั๋วกงร่วมประชุมราชกิจด้วยงั้นหรือ?
ทุกคนต่างรู้สึกประทับใจ
การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการให้เกียรติหลู่กั๋วกงอย่างที่สุดแล้ว
รัชทายาทเจาถามหมอทหารประจำตัวหลู่กั๋วกง
พอทราบว่าอาการของเขายังคงไม่ดีขึ้นจึงเอ่ยอย่างตัดสินใจเด็ดขาด
“ข้าคิดว่าควรส่งหลู่กั๋วกงกลับไปรักษาตัวที่เมืองเย่เฉิงดีกว่า
ที่นี่ไม่มีหมอเก่งและยาดี แม้แต่อาหารการกินก็ไม่สะดวก
ไม่เป็นผลดีต่ออาการป่วยของเขา”
“ฝ่าบาทรับสั่งได้ถูกต้องแล้ว
หากปล่อยท่านกั๋วกงไว้แบบนี้นอกจากอาการป่วยจะไม่ดีขึ้นแล้ว
ดีไม่ดีอาจยิ่งทรุดหนัก ควรรีบส่งกลับเย่เฉิง ไม่แน่คุณชายอาจมีวิธีรักษาเขาให้หายเป็นปกติได้”
หวังติ่งจวินพูดคล้อยตามด้วยท่าทางจริงจัง
ทุกคนในที่ประชุมต่างเห็นด้วย
ประการแรกสภาพเช่นนี้ของหลู่กั๋วกงนอกจากจะไม่สามารถนำทัพออกรบได้แล้ว
ยังจะกลายเป็นภาระของกองทัพอีกต่างหาก ประการที่สองมีรัชทายาทเจาอยู่ที่นี่แล้ว
หากวันใดหลู่กั๋วกงเกิดหายเป็นปกติขึ้นมา
เช่นนั้นพวกเขาควรฟังคำสั่งของหลู่กั๋วกงหรือองค์รัชทายาทกันล่ะ?
แน่นอนว่าคนสนิทของหลู่กั๋วกงย่อมไม่เห็นด้วย
ความรุ่งเรืองของพวกเขาล้วนฝากไว้กับแม่ทัพผู้นี้ หากขาดหลู่กั๋วกงไป
ความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของพวกเขาก็จะเปลี่ยนเป็นดับมืด แม้ในใจพวกเขาจะให้ความเคารพนับถือในความสามารถและยินดีฟังคำสั่งรัชทายาทเจา
แต่ไม่ว่าอย่างไรย่อมไม่ปรารถนาให้หลู่กั๋วกงไปจากสมรภูมินี้
“ฝ่าบาท
อาการป่วยของท่านหลู่กั๋วกงยังไม่แน่ชัด
หากต้องบุกป่าฝ่าดงเดินทางไกลเกรงว่าร่างกายจะทนไม่ไหว
มิสู้ส่งหมอหลวงฝีมือดีจากในวังมารักษาที่นี่ไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ?” นายทัพหนุ่มผู้หนึ่งเสนอ
รัชทายาทเจาตวัดตามองหมอทหาร
ฝ่ายตรงข้ามลูบหนวดตอบอย่างเยือกเย็น
“มิใช่ว่ากระหม่อมจะยกยอตัวเอง
แต่อาการจ้งเฟิง[1]นี้ต่อให้ส่งท่านหมอหลวงอูมารักษาก็ไม่หาย
นอกจากพระชายาแล้วเกรงว่าใต้หล้านี้คงไม่มีหมอคนใดที่จะรักษาโรคนี้ได้”
รัชทายาทเจาย่อมรู้จักฝีมือการรักษาโรคของถังเยว่ดีจึงส่ายหน้าแล้วเอ่ย
“ต่อให้เป็นพระชายาก็ไม่แน่ว่าจะสามารถรักษาได้
เขาเชี่ยวชาญเรื่องการรักษาบาดแผลภายนอก”
แต่ต้องยอมรับว่าทั่วทั้งหนานจิ้นมีเพียงถังเยว่เท่านั้นที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหมอเทวดา
หากแม้แต่เขายังรักษาไม่ได้ หมออื่นๆ ที่เหลือยิ่งไม่มีทางที่จะรักษาหาย
“เช่นนั้น...จะเชิญพระชายามาช่วยรักษาได้หรือ...”
นายทัพหนุ่มผู้นั้นยังพูดไม่ทันจบก็ถูกทุกคนหันขวับมาถลึงตาจ้องมองเขาอย่างดุดัน
ในแววตาเหล่านั้นสื่อถึงความโกรธเกรี้ยวแกมประณามออกมาได้อย่างชัดเจนโดยมิต้องปริปากเอื้อนเอ่ย
นายทัพผู้นั้นรีบหุบปาก
ไม่กล้าแม้แต่จะมองสีหน้ารัชทายาท
เขารู้ว่าข้อเรียกร้องของตนไม่ต่างจากความเพ้อฝันของคนไร้สติ
พระชายามีฐานะอะไร
จะให้ดั้นด้นเดินทางไกลนับพันลี้เพื่อมารักษาคนที่ชายแดนโดยไม่สนใจอันตรายใดๆ
ได้งั้นหรือ?
“เหอะๆ พระอาญามิพ้นเกล้า
กระหม่อม...เอ่อ...พลั้งปากไปพ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทเจาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พระชายามีจิตใจดีงาม หากมีผู้เอ่ยปากร้องขอเขาย่อมไม่ปฏิเสธ
ทว่าศึกครั้งนี้อันตรายนัก ข้าไม่ยอมให้เขามาแน่!”
ความหมายขององค์รัชทายาทคือพวกเจ้าอย่าได้ฝันเฟื่องไปหน่อยเลย!
กล่าวจบรัชทายาทก็กางแผนที่ลงบนโต๊ะ
ชี้ไปยังภูมิศาสตร์รอบๆ เมืองฉู่โจว
“ทัพเป่ยเยว่จะมีการเคลื่อนไหวในอีกไม่ช้า
เวลานี้สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกเราต้องพยายามคิดหาทางรับมือ
ทุกคนสามารถช่วยกันเสนอความคิดเห็นได้”
ทุกคนรีบขบคิด
เหล่าคนสนิทของหลู่กั๋วกงยิ่งครุ่นคิดจนหัวแทบแตก
หวังอยากสร้างสรรค์กลยุทธ์ยอดเยี่ยมออกมาได้บ้าง
หากสามารถแสดงผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาองค์รัชทายาท
อาจมีสิทธิ์ได้เข้าไปอยู่ใต้ธงของพระองค์
หากเป็นเช่นนั้นแม้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลู่กั๋วกงก็ไม่เป็นไร
“ฝ่าบาท
พวกเราดักซุ่มโจมตีอยู่นอกเมืองฉู่โจวก็ได้ รอให้ทัพเป่ยเยว่เคลื่อนพลออกนอกเมือง
จู่โจมแบบฉับพลัน พวกมันไม่ทันได้ระวังตัวจะตั้งรับก็ทำไม่ทันแล้ว”
มีคนพยักหน้าคล้อยตาม
การดักซุ่มโจมตีถือเป็นแผนการรับมือข้าศึกที่ค่อนข้างดี สามารถลดอัตราการบาดเจ็บล้มตายได้มากที่สุด
“ความคิดนี้ไม่เลว
แต่เจ้ารู้หรือว่าพวกเขาจะใช้เส้นทางไหน? จะไปดักซุ่มโจมตีที่ใด?
พวกเรามิใช่แค่ต้องชนะ แต่ยังต้องชนะอย่างเด็ดขาดด้วย!”
นายทัพผู้นั้นก้มหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ไม่สามารถคิดหาคำตอบได้
“กองทัพข้าศึกออกจากเมืองย่อมต้องเหลือไพร่พลบางส่วนไว้เพื่อรักษาเมืองฉู่โจวแน่
เช่นนั้นพวกเราก็ควรฉวยโอกาสนี้ชิงเมืองฉู่โจว ยึดดินแดนที่สูญเสียไปคืนกลับมา
จากนั้นก็ใช้เมืองฉู่โจวเป็นฐานทัพ เปิดศึกโจมตีขับไล่ศัตรู”
มีคนไม่น้อยรู้สึกว่าวิธีนี้ใช้ได้
ถึงอย่างไรการชิงเมืองฉู่โจวกลับคืนมาก็เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่สุดของพวกเขาในเวลานี้
หากขาดฐานทัพสำคัญนี้ไปก็เท่ากับพวกเขาไม่มีสถานที่ที่จะใช้พักผ่อนได้อย่างมั่นคง
“เป็นความคิดที่ดี
แต่ถ้ากองทัพข้าศึกเพียงต้องการล่อให้พวกเราไปตีเมือง แล้วฉวยโอกาสตีขนาบหน้าหลัง
ทำให้พวกเราถูกล้อมทุกด้าน เช่นนั้นควรทำอย่างไร?”
นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ดี
ทุกคนต่างขมวดคิ้วไปตามๆ กัน ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี
“ไม่ทราบว่าฝ่าบาทมีแผนรับมือเช่นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
นายทัพนิสัยใจร้อนคนหนึ่งเอ่ยขอคำชี้แนะ
รัชทายาทเจาคลายคิ้วที่ขมวดมุ่นแล้วเอ่ย “หากคิดจะหาแผนรับมือ
อันดับแรกต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าเป้าหมายของข้าศึกอยู่ที่ใด
หากพวกเขาจะบุกตีเป้าหมายถัดไปจริง พวกเราก็จะใช้กำลังทั้งหมดที่มีไปตีเมือง
ชิงเมืองฉู่โจวกลับมาให้ได้ก่อน แต่หากพวกเขาเพียงแค่เสแสร้งเล่นละคร
ล่อให้พวกเราไปติดกับ เช่นนั้นก็มีทางเลือกสองทาง
หนึ่งซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาเป็นเต่าหัวหดต่อไป สองแบ่งทหารเป็นสองทัพ
ทัพหนึ่งบุกตีเมือง อีกทัพหนึ่งดักขวางหน้าข้าศึกที่ออกไปแล้วไม่ให้วกกลับมา
ทัพตีเมืองต้องลงมือฉับไวชิงเมืองให้ได้ภายในเวลาสั้นที่สุด
ทัพที่ไปขวางศัตรูต้องดุดัน ถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุด ทันทีที่ชิงเมืองฉู่โจวคืนมาได้
ทัพหลังก็สามารถถอนทัพได้ทันที
แต่จะยากลำบากและอันตรายเพียงใดไม่ต้องบอกก็น่าจะเดาได้”
ทุกคนเงียบกริบ
บ่งบอกว่าวิธีแรกย่อมมิใช่ทางเลือกของพวกเขา
ทัพใหญ่หนึ่งแสนถูกข้าศึกยึดเมืองไปได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเปลืองแรง
ความแค้นในใจพวกเขาสั่งสมจนอัดแน่น เหล่าทหารอยากระบายความแค้นเต็มทนแล้ว
หากหลบอยู่ในหุบเขาต่อไปนอกจากไม่สร้างขวัญกำลังใจให้เหล่าทหารแล้ว
ยังเป็นการเปิดโอกาสให้กองทัพข้าศึกเคลื่อนพลลงใต้ได้อย่างสบาย
แต่หากจะแบ่งทหารออกเป็นสองทัพ
ไม่ว่าทัพหนึ่งหรือทัพสองล้วนต้องแบกรับภารกิจสุดหินแสนโหดไม่ต่างกัน
หากพลาดพลั้งไปจะทำให้ทั้งกองทัพมีจุดจบย่อยยับอับปางโดยไม่มีโอกาสพลิกฟื้นได้อีก
สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะทำศึกครั้งนี้เช่นไรล้วนเห็นถึงความยากลำบากที่รออยู่เบื้องหน้าได้อย่างชัดเจน
เชิงอรรถ
- จ้งเฟิง
ในทางแพทย์แผนจีนหมายถึงโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ป่วยจะมีอาการพูดติดขัด หน้ามืด ล้มลงหมดสติฉับพลัน ฯลฯ
244 โจมตีเมือง
“ฝ่าบาท ตีเมืองเถอะพ่ะย่ะค่ะ!” นายทัพผู้หนึ่งยืนขึ้นพูดด้วยความแค้นเคือง
มีคนเอ่ยคล้อยตามทันที “ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฉู่โจวถูกยึด ศึกครั้งนี้พวกเรานับว่าแพ้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง หากไม่ชิงเมืองกลับมาขวัญทหารก็มิอาจกลับมาฮึกเหิมได้
หากไร้ซึ่งที่มั่นอันแข็งแกร่ง ศึกครั้งต่อไปจะยิ่งเอาชนะศัตรูได้ยาก!”
“ที่สำคัญกว่าคือตอนนี้มิรู้ว่าราษฎรเมืองฉู่โจวเป็นตายร้ายดีอย่างไร
หากข้าศึกทำการสังหารหมู่ ผลร้ายที่จะตามมานั้นย่อมสุดจะคาดเดานะพ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทเจาตบโต๊ะดังปัง! ทุกคนรีบหุบปากฉับรอฟังคำบัญชา
“เมืองฉู่โจวนั้นข้าต้องชิงกลับมาแน่! แต่การชิงเมืองมิใช่เรื่องที่แค่ใช้ปากพูดแล้วจะทำสำเร็จได้
ต้องใช้กำลังความสามารถต่างหาก พวกเจ้าลองพูดอะไรที่เกิดประโยชน์มากกว่านี้สิ!”
ทุกคนนิ่งงัน หันมองหน้ากันไปมา
แต่กลับไม่มีความคิดหรือข้อเสนอดีๆ อะไรสักอย่าง
กำลังทหารของฝ่ายศัตรูกับของพวกเขาแตกต่างกันมาก
มิหนำซ้ำการชิงเมืองพวกเขายังต้องเป็นฝ่ายบุกเข้าตี
ความเสียเปรียบปรากฏให้เห็นอยู่ชัดเจน
รัชทายาทเจาชี้ไปยังจุดหนึ่งในแผนที่แล้วสั่ง
“พรุ่งนี้ยามอิ๋น แม่ทัพหวังนำกำลังพลสามหมื่นนายไปที่จุดนี้
คิดแผนดักซุ่มโจมตีให้เรียบร้อย ทำได้หรือไม่?”
หวังติ่งจวินแม้ถูกเรียกชื่ออย่างกะทันหันแต่ก็กระเด้งตัวลุกขึ้นขานรับทันที
“กระหม่อมขอสาบานว่าแม้ต้องสละชีพก็จะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ!”
สายตาทุกคนจับจ้องไปยังตำแหน่งในแผนที่
มีบางคนงุนงงไม่เข้าใจแต่ก็มิกล้าถาม
ได้แต่คิดว่าเดี๋ยวออกไปแล้วค่อยสอบถามหาคำตอบกันเองทว่ารัชทายาทเจาเพียงแค่กวาดตามองไปก็เข้าใจจึงเอ่ยว่า
“ช่วงกลางดึกคืนนี้ ไพร่พลที่เหลือบุกจู่โจมฉู่โจว
ที่นี่เป็นเมืองชายแดนสำคัญของหนานจิ้นต้องชิงกลับคืนมาให้ได้โดยเร็วที่สุด
ให้แม่ทัพหูคัดเลือกกำลังพลหนึ่งหมื่นนายไปเป็นทัพหน้า
ถ่วงเวลาข้าศึกที่จะยกทัพกลับมา”
“น้อมรับพระบัญชา” หูจินเผิงระบายลมหายใจเบาๆ
ในที่นี้มีเพียงเขากับหวังติ่งจวินเท่านั้นที่ถือว่าเป็นคนที่องค์รัชทายาทพอจะไว้เนื้อเชื่อใจได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้งานที่ยากลำบากที่สุดจึงต้องมอบหมายให้พวกเขาสองคนไปจัดการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ท่ามกลางสายตาริษยาของทุกคน
หูจินเผิงเดินมาข้างกายรัชทายาทแล้วพูดอธิบายแทน
“แม่ทัพหวังไปดักซุ่มโจมตีตรงเส้นทางที่กองทัพข้าศึกจะใช้เดินทางกลับ
บริเวณนี้มีหน้าผาสูงชัน หากจะเดินทางผ่านต้องค่อยๆ เลาะไปตามหน้าผาสูงชันทีละคน
ตรงนี้เป็นช่วงที่เดินทางลำบากที่สุด”
“ขอบังอาจถามแม่ทัพหู
ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าศึกจะต้องผ่านเส้นทางนี้แน่?” มีคนทนไม่ไหวต้องเอ่ยถามสิ่งที่ตนข้องใจ
“แน่นอนอยู่แล้วว่าคำตอบคือ...เดา”
“ไม่ได้นะไม่ได้! หากเดาพลาดขึ้นมา มิเท่ากับเป็นการเดิมพันด้วยชีวิตของเหล่าทหารหรอกหรือ?”
หูจินเผิงเพิกเฉยต่อเสียงค้านของทุกคนแล้วประกาศกร้าวเสียงก้องกังวาน
“เดิมทีใช้ทหารก็ขึ้นอยู่กับความกล้าและมีใจรอบคอบ
แม้จะเป็นการคาดเดาก็ใช่ว่าจะไม่มีที่มาที่ไป เพียงแต่ต้องรอผลการรายงานอีกสักหน่อย
ประเดี๋ยวก็รู้ว่าถูกหรือผิด”
“ข้าน้อยยังมีจุดไม่เข้าใจอีกประการหนึ่ง
ในเมื่อตรงนี้เป็นหน้าผาสูงชัน สามารถผ่านไปได้ทีละคน
เช่นนั้นทหารของเราจะไปดักซุ่มโจมตีตรงไหนหรือ?”
ใครๆ ต่างก็รู้จักเส้นทางสายนั้น
แต่มีน้อยคนนักที่คิดจะใช้ เพราะที่นั่นถูกขนานนามว่าหน้าผาภัยสวรรค์
เป็นสถานที่ซึ่งเทียบกับหุบเขาไม่ได้
เพราะมิใช่ว่ายึดครองที่นั่นแล้วจะตั้งรับง่ายโจมตียาก
ดังนั้นจะว่าไปแล้วที่แห่งนั้นจึงมิใช่ชัยภูมิที่เหมาะแก่การใช้ประโยชน์
“อันนี้ก็ต้องดูฝีมือแม่ทัพหวังแล้วละ”
หูจินเผิงกล่าวแล้วหันไปสบตากับหวังติ่งจวินและมิได้พูดถึงประเด็นปัญหานี้อีก
แม้คนอื่นๆ อยากถามใจจะขาด
แต่พอเห็นหวังติ่งจวินมีท่าทางไม่ใส่ใจเสมือนนี่มิใช่ปัญหาสำหรับเขาแล้วก็ไม่รู้จะเริ่มถามจากจุดไหนได้อีก
ด้วยเหตุนี้สำหรับศึกตีเมืองในคืนนี้
นอกจากหวังติ่งจวินและหูจินเผิงแล้วทุกคนต่างวูบโหวง ไม่มั่นใจเอาเสียเลย
“ฝ่าบาท
ทำเช่นนี้จะเสี่ยงเกินไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ทำศึก ไม่เสี่ยงได้ด้วยหรือ?” รัชทายาทเจาโบกมือเป็นสัญลักษณ์บอกให้ทุกคนแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนยกเว้นกองเสบียง
“สั่งให้โรงครัวทำเสบียงที่พกพาสะดวกแจกจ่ายให้กับไพร่พลคนละหนึ่งชุด
เครื่องครัวทั้งหมดพวกเราจะไม่เอาไปด้วย”
“แล้ว...หมอทหารล่ะ?” มีคนกระซิบถามเบาๆ
เรื่องกินยังพอทำเนา
พกอาหารแห้งไปด้วยยังพอประทังหิวได้สองวัน แต่ถ้าบาดเจ็บแล้วไม่ได้รับการรักษา
แบบนั้นมีแต่ต้องตายสถานเดียว โดยเฉพาะหมอทหารที่ติดตามมากับองค์รัชทายาทนอกจากมีจำนวนที่มากกว่าในอดีตหลายเท่า
ยังได้ยินว่าพวกเขาเป็นลูกศิษย์ของพระชายาอีกด้วย
ฝีมือการรักษาจะต้องเก่งกาจมากเป็นแน่
“ข้าจะให้หมอทหารจัดยาที่ต้องใช้ประจำแจกจ่ายให้ทุกคน
พวกเจ้าล้วนเป็นทหารเก่าด้วยกันทั้งนั้น
อย่าบอกนะว่าแม้แต่ทำแผลห้ามเลือดก็ยังทำไม่เป็น”
ทุกคนหน้าแดงวาบ ต่างรีบพยักหน้ารับ
ความจริงการรักษาในอดีตที่ย่ำแย่กว่านี้มากนั้นพวกเขาต่างก็เคยผ่านประสบการณ์กันมาแล้ว
ในตอนนั้นแม้ถูกฟันเหวอะหวะก็ยังต้องเอาผ้ามาพันๆ ห่อๆ กันเอง
ถูกแทงบาดเจ็บก็ได้แต่เทยาราดกันไปตามมีตามเกิด
มิได้รักษาเป็นเรื่องเป็นราวแบบในตอนนี้ ด้วยการรักษาแบบลวกๆ
โดยปราศจากความรู้นี้เองทำให้ที่ผ่านมามียอดผู้เสียชีวิตสูงมาก
ทหารจำนวนไม่น้อยต้องจบชีวิตลงเพราะได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม
รัชทายาทเจาไม่ต้องการเพิ่มจำนวนการพลีชีพลักษณะนี้
แต่ครั้งนี้เขาจะลังเลไม่ได้ สถานการณ์การรบมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
การโจมตีของพวกเขาครั้งนี้จำเป็นต้องโหดเหี้ยมและรวดเร็ว
หากนำผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบติดตามไปด้วยมากจนเกินไปจะกลายเป็นตัวถ่วงซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
หลังจากทุกคนออกไปแล้วต่างก็แยกย้ายไปเตรียมการตามหน้าที่ความรับผิดชอบของตน
ได้แต่เก็บซ่อนความกังวลไว้ในใจลึกๆ
ขนาดองค์รัชทายาทยังร่วมเสี่ยงอันตรายไปกับพวกเขา
เช่นนี้แล้วยังจะพร่ำบ่นหรือเกี่ยงงอนได้อีกหรือ
ช่วงก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน
ประตูเมืองฉู่โจวถูกเปิดอย่างฉับพลัน ทหารชั้นยอดเดินเรียงแถวออกไปจากเมือง
ราษฎรในเมืองต่างหลบซ่อนอยู่ในบ้านตัวเอง
พอได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมจากไปไกลก็ไม่รู้ว่าควรโล่งใจหรืออกสั่นขวัญผวากันแน่
เรื่องที่โชคดีสำหรับพวกเขาก็คือหลังข้าศึกบุกยึดเมืองนอกจากปล้นเสบียงอาหารในยุ้งฉาง
ขนอาวุธในคลังแสงไปจนหมดและเข่นฆ่าขุนนางของทางการอย่างโหดเหี้ยมแล้วก็มิได้แตะต้องกระทำการชั่วร้ายใดๆ
กับราษฎร บางทีในสายตาชาวเป่ยเยว่รอให้พวกเขายึดครองหนานจิ้นได้แล้ว
ราษฎรเหล่านี้ก็ต้องกลายเป็นคนของพวกเขา
จึงไม่มีความจำเป็นต้องเข่นฆ่าว่าที่ราษฎรในอนาคตของตนเอง
ภายในเมืองมีทหารเป่ยเยว่เหลืออยู่ห้าหมื่นนาย
พวกเขากำลังดื่มกินกันอย่างสำเริงสำราญราวกับมิได้สนใจแม้แต่น้อยว่ากองกำลังทหารหนานจิ้นจะยกทัพเข้ามาโจมตีเมืองหรือไม่
“ฮ่าๆๆ
ศึกครั้งนี้พวกเราต้องเป็นฝ่ายได้รับชัยอีกแน่
ทัพเป่ยเยว่จะปราบหนานจิ้นให้ราบเป็นหน้ากลอง
ให้ชื่อเสียงเลื่องลือไปนับพันปีเลยคอยดูสิ!”
“ฮ่าๆๆ ทัพเป่ยเยว่ของพวกเราแข็งแกร่งเกรียงไกรทั้งคนทั้งม้า
ฝ่ายเราคนเดียวเอาชนะพวกมันได้สามคน ม้าของเราเอาชนะหนึ่งต่อสิบก็ไม่มีปัญหา
อยากรู้นัก พวกมันจะเอาอะไรมาสู้พวกเราได้!”
“อาจไม่ถึงขนาดนั้นหรอก
พวกเจ้าไม่ได้ข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นทางภาคตะวันตกเฉียงใต้บ้างหรือ?”
“เจ้าหมายถึงแม่ทัพจอมห่วยที่นำไพร่พลห้าหมื่นนายไปช่วยการศึกทางภาคตะวันตกเฉียงใต้แล้วผลสุดท้ายถูกสังหารเรียบไม่เหลือแม้แต่คนเดียวนั่นน่ะหรือ?”
ทุกคนหันมาสบตากัน แฝงแววตกตะลึงอยู่ในที
“ฮึ! ข้าว่าแม่ทัพจอมห่วยนั่นไร้ฝีมือเองมากกว่า
ไม่นึกเลยว่าจะถูกทัพหนานจิ้นซึ่งมีไพร่พลแค่หยิบมือตีแตกพ่ายยับเยิน
ช่างทำขายหน้าพวกเราชาวเป่ยเยว่ยิ่งนัก!”
“ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ
ก็มีกองทัพทหารม้าหมื่นนายโผล่มาทำลายขวัญทหารหรอกหรือ
ลือกันว่ากองทัพทหารม้าหมื่นนายนั่นไม่ธรรมดาด้วยนี่นา”
“ไม่ธรรมดาอย่างไร?”
“ได้ยินว่าพวกมันไปมาไร้ร่องรอยไม่ต่างอะไรกับภูตผีที่อยู่ดีๆ
ก็โผล่พรวดออกมา ซ้ำยังสวมชุดเกราะสีดำทะมึนห่อหุ้มตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า
ใบหน้ายังสวมหน้ากากดุร้ายน่าพรั่นพรึง
แม้แต่ม้าก็ยังสวมเกราะดำวาวราวกับห่อหุ้มด้วยเหล็กไปทั้งตัว
ไม่ว่าทวนหรือง้าวก็ฟันแทงไม่เข้า!”
“อัศจรรย์ขนาดนั้นเชียว?”
“ข้ามิได้เห็นเองกับตา
แค่ได้ยินคำเล่าลือที่เขาพูดต่อๆ กันมาเท่านั้น”
“ตามความเห็นข้า
นั่นน่าจะเป็นพวกขี้แพ้กุเรื่องสร้างข่าวปลอมขึ้นมาเอง
บางทีกองทัพทหารม้าอาจเป็นเรื่องจริงแต่ก็มิได้น่ากลัวอย่างที่พวกเขากล่าวก็เป็นได้
พวกเจ้าไม่ลองคิดดูล่ะ ชาวหนานจิ้นตัวกระจ้อยร่อย เรี่ยวแรงก็แสนน้อยนิด
กระทั่งม้ายังเป็นแค่ม้าอ่อนแอ จะมีแรงแบกรับเกราะหนักได้อย่างไร
ต่อให้พวกมันสวมเกราะหนักจริง พวกมันจะเดินกันไหวหรือ ฮ่าๆๆ”
“ฮ่าๆๆ นั่นสินะ หากพวกมันยังกล้ามาก็ดีสิ
ข้าอยากเห็นนักว่าพวกมันจะไม่ธรรมดาสักแค่ไหนกันเชียว
หรือว่าเป็นแค่เสือกระดาษกันแน่!”
“เอาละ
กินดื่มกันจนอิ่มหนำสำราญแล้วก็ตั้งสติเตรียมตัวได้แล้ว
พวกหนานจิ้นขี้แพ้ไม่มีทางปล่อยโอกาสงามอย่างนี้ไปหรอก พวกมันต้องบุกมาตีเมืองแน่
พวกเราห้ามแพ้จนต้องเสียเมืองฉู่โจวคืนให้พวกมันเป็นอันขาด! ไม่เช่นนั้นจะมีหน้ากลับไปพบพ่อแม่พี่น้องที่เป่ยเยว่ได้อย่างไร!”
“มารดามันเถอะ! หากเช่นนี้แล้วยังจะแพ้อีกละก็ ข้าจะยอมถอดกางเกงกระโดดแม่น้ำให้ดูเลย!”
เพล้ง! ใครคนหนึ่งทุบไหสุราแตก
เช็ดปากแล้วตวาดลั่น
“ขอให้พวกมันมาจริงเถอะ! อาวุธข้าจะได้ลิ้มรสโลหิตสักที! ฮ่าๆๆ”
“ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะอวดดีดังก้องเมืองฉู่โจว
พวกราษฎรต่างส่ายหน้า ดูจากสถานการณ์แล้ว
ทัพใหญ่หนานจิ้นคิดชิงเมืองคืนคงเป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่ายาก
จริงอยู่ที่แม้จะไม่มีอันตรายถึงชีวิต
เมืองนี้จะตกเป็นของหนานจิ้นหรือเป่ยเยว่พวกเขาล้วนยังมีชีวิตอยู่ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงชื่นชอบในความมีเมตตาและคุณธรรมขององค์รัชทายาท
ช่วงเวลาหลายปีมานี้บ้านเมืองเพิ่งจะเริ่มดีขึ้น หลายคนได้ลืมตาอ้าปาก
ทำให้รู้สึกไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตอย่างในอดีตอีกแล้ว
ในกลางดึกที่แสนอึกทึก
เงาดำรูปคนโฉบผ่านว่องไวไปตามท้องถนนที่ลับตาคนครั้งแล้วครั้งเล่า
พวกเขาลอบเข้าไปในบ้านผู้คนก่อนจะปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับบอกฐานะและจุดประสงค์การมา
จากนั้นก็แอบปีนข้ามกำแพงเพื่อไปบ้านอื่นต่อ
ส่วนหุบเขาที่อยู่ห่างจากกำแพงเมืองไม่ไกลกลับเงียบสงบเป็นพิเศษ
พวกทหารต้องใช้เวลานี้ฉวยโอกาสพักผ่อนเอาแรง จึงมีเพียงเสียงเผาไหม้ในกองไฟดังเปรี๊ยะๆ
ให้ได้ยินท่ามกลางค่ำคืนอันเหน็บหนาว
ทันทีที่ถึงยามจื่อ
เหล่าทหารต่างเตรียมตัวกันพร้อมแล้ว
จิตใจฮึกเหิมภายใต้ความมืดมิดเย็นเยือกของยามดึก
“ออกศึกคืนนี้
มิใช่เพียงชิงเมืองฉู่โจวกลับมา ยังต้องทวงศักดิ์ศรีของพวกเราชาวหนานจิ้นกลับคืนมาด้วย
ดังนั้นเราต้องชนะ!”
“เราต้องชนะ! เราต้องชนะ!”
“เยี่ยมมาก! ออกเดินทางได้
เป้าหมายคือเมืองฉู่โจว!”
ทัพใหญ่เคลื่อนพล
เหลือเพียงเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลาธิการที่ไม่มีกำลังอาวุธอยู่เฝ้าหุบเขา
พวกเขายืนอยู่ปากทางหน้าค่ายทหาร ทอดตามองขบวนกองทัพที่เคลื่อนไปไกลขณะส่งกำลังใจให้เหล่าทหารอย่างเงียบๆ
“คุณชาย ท่านว่าพวกเขาจะชนะหรือไม่?” หมอฝึกหัดคนหนึ่งเอ่ยถาม
เซี่ยงอันเบ้ปาก “นี่เป็นวาจาไร้สาระมิใช่หรือ! เจ้าตาบอดหรืออย่างไรจึงไม่เห็นว่าศึกครั้งนี้มีใครเป็นผู้บัญชาการ
มีองค์รัชทายาทอยู่ทั้งคนไยต้องเป็นทุกข์ว่าจะไม่ชนะอีกเล่า!”
เซี่ยงอันเชื่อถือในความสามารถของอาจารย์เขยอย่างหมดใจครั้งนี้ละเขาจะได้เปิดหูเปิดตาเห็นความร้ายกาจของกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิล
ฮึ! เจ้าสารเลวเป่ยเยว่กลุ่มนั้น
ปล่อยให้พวกมันได้ใจไปก่อนเถอะ!
245 ปรากฏการณ์ความโกลาหล
ตกกลางคืน แสงเพลิงส่องสว่าง
เมืองฉู่โจวถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างจากเปลวไฟไปกว่าครึ่ง
ราษฎรในเมืองต่างยืนแอบดูเหตุการณ์ตามช่องประตูหน้าต่าง
ได้ยินเสียงผู้คนต่อสู้รบพุ่งกันดังระงมจนมิอาจข่มตาให้หลับลงได้
บนป้อมประตูเมืองสูงตระหง่านโดดเด่นซึ่งเดิมทีควรเป็นที่ตั้งของกองทัพหนานจิ้นทว่าเวลานี้กลับเต็มไปด้วยทหารเป่ยเยว่
รองแม่ทัพนายหนึ่งไปยืนยังจุดที่อยู่ห่างไกลพร้อมตะโกนก้อง
“ท่านแม่ทัพ! ดูนั่นเร็ว
นั่นอะไร?”
แม่ทัพซึ่งยืนข้างเขาละสายตาจากกำแพงเมืองจ้องมองไปยังจุดที่อยู่ไกลออกไป
แววตาพลันนิ่งค้าง
“ดูเหมือนว่าจะเป็น...รถกระแทก!”
“แต่...ไม่เคยเห็นรถกระแทกที่ไหนใหญ่โตเช่นนี้มาก่อน
ท่านดูระดับความสูงของมันสิ ดูเหมือนว่าสูงกว่าของพวกเราสักหนึ่งเท่าตัว
มิหนำซ้ำดูเหมือนว่าบนรถนั่นยังมีสิ่งของบางอย่าง!”
แม้จะมีแสงไฟทว่าความสว่างก็เทียบไม่ได้กับดวงอาทิตย์ในตอนกลางวัน
จึงไม่อาจมองเห็นโดยรอบได้อย่างชัดเจน
คนบนกำแพงได้ยินแค่เสียงดังกุกกักเข้ามาใกล้มากขึ้น...ทีละนิด...ทีละนิด
ครู่ต่อมาถึงเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของรถกระแทกได้อย่างแจ่มชัดถนัดตา
จริงด้วย! รถกระแทกนี้แตกต่างจากที่พวกเขาเคยพบเห็นมาอย่างสิ้นเชิง มันสูงราวสิบจั้ง
มองแล้วเหมือนเจดีย์ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนวงล้อทั้งแปด
ด้านข้างของแต่ละล้อมีทหารรายล้อม
พวกเขากำลังใช้เชือกลากรถกระแทกให้เคลื่อนไปข้างหน้า
“นี่หมายความว่าอย่างไร! เหตุใดพวกมันถึงลากรถกระแทกมาในเวลานี้?”
ปกติแล้วจะใช้เครื่องมือตีเมืองประเภทนี้ก็ต่อเมื่อสงครามใกล้สิ้นสุด
จึงใช้รถนี้เพื่อกระแทกเปิดประตูเมือง แต่ตอนนี้สงครามเพิ่งจะเริ่มมิใช่หรือ!
“พวกมันดูถูกไม่เห็นหัวพวกเราหรืออย่างไร!” แม่ทัพเป่ยเยว่กล่าวด้วยอาการเข่นเขี้ยว
เพิ่งจะสิ้นเสียงของเขา
ธนูเหล็กก็บินถลาออกมาจากรถกระแทกพุ่งมาปักลงตรงตำแหน่งกลางป้อมประตูเมืองด้วยความเร็วสูง
“แย่แล้ว! มีศัตรูดักซุ่ม!” รองแม่ทัพผู้หนึ่งกระโจนใส่แม่ทัพใหญ่จนล้มลงกับพื้น ได้ยินเพียงเสียงสวบๆ ดังเฉียดหูเขาสองครั้ง
บางสิ่งแหวกผ่านเส้นผมของเขาไปคล้ายกับสายลมพัดผ่านวูบหนึ่ง
“อ๊าก!” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นหลายครั้ง
กว่าที่คนอื่นจะเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน
ลูกธนูโลหะแปดดอกก็พุ่งทะลุร่างทหารไปหลายนาย ร่างพวกเขาปักติดอยู่กับกำแพงเมือง
เพียงชั่วพริบตาก็ไร้ซึ่งลมหายใจ
“นั่นคือลูกธนูงั้นหรือ! เหตุใดถึงมีลูกธนูใหญ่โตขนาดนี้?” มีคนกล่าวขึ้นด้วยความตกใจ
“เป็นลูกธนูหนัก
แต่ยังไม่เคยเห็นอาวุธที่สามารถยิงลูกธนูหนักได้แปดดอกพร้อมกันในคราวเดียวเช่นนี้มาก่อน
หนานจิ้นมีอาวุธร้ายกาจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร!”
“พลธนู! เล็งเป้าไปที่รถกระแทก
ยิงพลทหารรอบรถ อย่าให้รถกระแทกเข้ามาได้เป็นอันขาด!”
สิ้นเสียงคำสั่ง ลูกธนูก็บินออกจากกำแพงเมืองดอกแล้วดอกเล่าราวกับห่าฝน
วาดโค้งกลางอากาศอย่างงดงามก่อนจะปักลงกลางค่ายกลของกองทัพหนานจิ้น
แม้ด้านหน้าจะมีโล่คอยกำบังแต่ลูกธนูคมกริบก็ยังเล็ดลอดเข้ามาแทงทะลุร่างคน
กลายเป็นเหตุการณ์นองเลือดสาดกระจายทั่วทั้งผืนดิน
รัชทายาทเจาซึ่งยืนบัญชาการอยู่บนรถกระแทกตะโกนสั่งเสียงดัง
“ถอยหลังสิบก้าว!”
กระทั่งถอยพ้นรัศมีธนูของศัตรูแล้วเขาจึงสั่งให้รถโยนหินทั้งสองข้างเดินหน้าเข้าไปก่อนโดยมีหน้าไม้หนักคอยคุ้มกัน
แม้อานุภาพของหน้าไม้หนักจะร้ายกาจแต่ก็มีขีดจำกัดในเรื่องจำนวน
ดังนั้นรัชทายาทเจาจึงคิดใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด
สิ่งที่รถโยนหินปล่อยออกไปมิใช่ก้อนหินแต่เป็นระเบิดเพลิง
ระเบิดเหล่านั้นล่องลอยไปบนกำแพงเมืองครู่เดียวควันสีขาวก็พวยพุ่งลอยขึ้นสูง
ได้ยินเสียงระเบิดที่แม้ไม่ดังนักแต่สิ่งที่กระเด็นออกมาคือเศษโลหะเป็นแผ่นๆ
ที่พุ่งเข้าแทงเนื้อคน แม้ไม่ถึงกับคร่าชีวิตแต่ก็ทำให้ร้องระงมด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
“ยิงโดนหรือไม่?” แม่ทัพเป่ยเยว่บนป้อมประตูเมืองถาม
“ไม่โดนขอรับ ท่านแม่ทัพ
พวกเขาแขวนหนังไว้ด้านนอกรถกระแทก ธนูจึงยิงไม่โดน!”
ที่แท้ด้านนอกรถกระแทกของหนานจิ้นมีหนังหุ้มไว้เป็นโล่กำบัง
สามารถป้องกันภัยจากธนูได้เป็นอย่างดี
“ยิงต่อไป! อย่าปล่อยให้พวกมันเข้าใกล้ประตูเมืองได้เป็นอันขาด!”
“รถโยนหิน!”
“รถโยนหิน ใช่! รถโยนหิน ต้องทำลายรถโยนหินทิ้งด้วย!” แม่ทัพนายนั้นคำรามลั่น
รถโยนหินยังคงเคลื่อนมาข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
ในที่สุดก็อยู่ห่างจากกำแพงเมืองในระยะราวสองจั้ง
จุดนี้เป็นวิถีที่เหมาะเจาะสำหรับรถโยนหิน ทว่ากลับเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะพกก้อนหินซึ่งเป็นของหนักติดตัว
ดังนั้นเหล่าไพร่พลของหนานจิ้นจึงใช้ประโยชน์จากข้าวของที่ทหารเป่ยเยว่ทิ้งลงมาจากกำแพงเมือง
แม้แต่ลูกธนูก็ยังมีคนหยิบขึ้นมาใช้ใหม่
ระเบิดเพลิงใช้หมดในเวลาอันรวดเร็ว
ของชนิดนี้ถังเยว่เตรียมไว้ให้ในปริมาณไม่มากนัก
แต่รัชทายาทเจาก็รู้สึกว่านี่นับว่าเพียงพอต่อความต้องการแล้ว
“รถบันไดสองข้างบุกได้!” รัชทายาทเจาออกคำสั่ง
ทัพเป่ยเยว่บนป้อมประตูเมืองมองรถขนาดใหญ่ของข้าศึกที่เคลื่อนเข้ามาใกล้คันแล้วคันเล่า
เห็นแล้วให้รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก
“มารดามันเถอะ! ยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในการบุกตีเมืองของหนานจิ้นเปลี่ยนเป็นร้ายกาจถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”
“ท่านแม่ทัพ ฝ่ายเราเสียหายหนักมาก
จะทำเช่นไรดี?”
“จะทำเช่นไรดีงั้นหรือ! ควรทำอะไรก็ทำไปสิ! หรือจะให้ข้าผู้เป็นแม่ทัพต้องสอนเจ้าว่าจะต้องหลบลูกธนูกับก้อนหินท่าไหน
อย่างไร!”
รถบันไดเข้ามาใกล้กำแพงเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ
จวบจนตอนที่ชนถูกกำแพงเมือง เหล่าทหารที่ซ่อนตัวอยู่ด้านในจึงค่อยๆ
ทยอยปีนออกมาแล้วไต่บันไดขึ้นไปบนกำแพงเมือง
กำแพงเมืองแห่งนี้ทั้งหนาและสูง
หากเป็นในช่วงปกติพวกเขาคิดจะปีนขึ้นย่อมเป็นเรื่องที่ยากมากทว่าในตอนนี้ลูกธนูหนักดอกแล้วดอกเล่าถูกยิงมาที่กำแพงเมือง
ปักเข้ากำแพงถึงสามส่วน ใช้เป็นขั้นบันไดให้ทหารหนานจิ้นปีนขึ้นไปได้พอดี
บนป้อมประตูเมืองจึงเกิดเสียงต่อสู้กันดังขึ้น
รัชทายาทเจายืนอยู่กลางวงล้อมทหารหาญด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น
ได้ยินเสียงตะโกนสั่งบัญชาการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
กองทัพหนานจิ้นเคลื่อนเข้าประชิดทีละน้อย พร้อมกับปลิดชีพข้าศึกไปในคราวเดียว
พอเห็นทหารฝ่ายตนปีนขึ้นไปบนป้อมประตูเมืองได้อย่างราบรื่น
สีหน้าแม่ทัพหนานจิ้นหลายคนต่างฉายแววยินดี อดไม่ได้ที่จะกล่าวสรรเสริญยกย่อง
“องค์รัชทายาททรงปรีชายิ่ง
คิดไม่ถึงว่าจะสามารถออกแบบอาวุธยุทโธปกรณ์ที่แสนเฉียบคมเช่นนี้ขึ้นมาได้
มีรถศึกหลากหลายประเภทอย่างนี้แล้ว จะตีเมืองไม่แตกก็ให้มันรู้ไปสิ!”
รัชทายาทเจาปรายตามองผู้พูดแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ
“อย่าเพิ่งดีใจเร็วไป นี่แค่เริ่มต้น
กองทัพข้าศึกถูกอาวุธของพวกเราจู่โจมจนเสียขวัญจึงยังตั้งตัวไม่ทัน
ไว้ให้พวกเขาตั้งสติได้เมื่อไรผลลัพธ์อาจไม่ดีถึงเพียงนี้ก็เป็นได้”
อาวุธทั้งหมดส่วนใหญ่ที่หนานจิ้นใช้ล้วนผ่านการชี้แนะปรับปรุงแก้ไขจากถังเยว่และจางฉุน
แม้พวกเขาจะไม่ได้ลงมือทำเองแต่ก็นำความคิดไปบอกเล่าให้นายช่างฟัง
โดยพื้นฐานแล้วนายช่างสามารถทำออกมาได้ตามความต้องการของพวกเขาทั้งสิ้น
“รถกระแทกบุก! ชนเปิดประตูเมือง!” รัชทายาทเจาโบกมือบัญชา
รถกระแทกที่อยู่ใต้เท้าเคลื่อนตัวเร่งความเร็วพุ่งไปข้างหน้า
พอทหารนายหนึ่งล้มลงก็มีทหารอีกนายเข้ามาเสริมแทนที่
เร่งมือเข็นรถกระแทกชนใส่ประตูเมือง
ประตูเมืองฉู่โจวสร้างจากเหล็กกล้า
ทั่วทั้งหนานจิ้นมีเพียงเมืองฉู่โจวกับเมืองเย่เฉิงเท่านั้นที่สามารถฟุ่มเฟือยไปกับการสร้างประตูเมืองที่ทำจากเหล็กกล้าในปริมาณมากเช่นนี้ได้
ทว่าข้อดีของประตูเหล็กได้ปรากฏขึ้นในตอนนี้
รถกระแทกชนใส่อย่างต่อเนื่องถึงสิบกว่าครั้ง ประตูบานนั้นก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อน
มีเพียงทหารบนกำแพงเมืองที่ขวัญสะเทือนจนหวาดผวาไปตามๆ กัน
“ท่านแม่ทัพ
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ ต่อให้ประตูเมืองแข็งแกร่งสักเพียงใดก็ทนต่อแรงกระแทกขนาดนี้ไม่ไหวหรอกขอรับ”
แม่ทัพผู้นั้นขบกรามแน่นแล้วออกคำสั่ง “ไปเอาน้ำมันเพลิงมา เผารถพวกมันให้หมดอย่าให้เหลือ!”
น้ำมันเพลิงถังแล้วถังเล่าถูกลำเลียงส่งขึ้นมาบนป้อมประตูเมือง
รัชทายาทเจาพอได้กลิ่นนั้นก็รีบสั่งให้ถอยหลังกลับทันที เขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปบนป้อมประตูเมือง
ธนูเพลิงในมือพลธนูด้านบนกำแพงอยู่ในท่าเตรียมพร้อมเรียงรายเป็นทิวแถว
สายคันธนูถูกรั้งจนตึง ทันใดนั้นลูกธนูเพลิงก็พุ่งทะยานมาปักลงบนรถกระแทก
ไม่ว่ารถกระแทกหรือรถบันไดล้วนทำจากไม้
หากถูกไฟเผาคงมอดไหม้ไม่มีเหลือ เปลวเพลิงโหมกระหน่ำลุกลามไปทั่วบริเวณ
ทหารที่ได้รับบาดเจ็บหนีไม่ทันถูกไฟคลอกตายไม่น้อย
เสียงร้องโหยหวนระงมดังแหวกอากาศก้องสะท้อนไปทั่วเมืองฉู่โจว
รัชทายาทเจาไม่มีเวลาที่จะแสดงความสงสารเห็นใจ
กระทั่งเปลวเพลิงเบาลงจึงสั่งการเสียงดุดัน “บุก! เดินหน้าเต็มกำลัง!”
บนป้อมประตูเมือง
คำบัญชาการเสียงหนึ่งดังขึ้นในเวลาเดียวกัน
“ป้องกันทุกทางเข้า! อย่าปล่อยให้พวกมันเข้ามาได้เป็นอันขาด!”
ขณะที่ศึกหน้าประตูเมืองกำลังปะทะกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
ตามท้องถนนในเมืองก็มีบุคคลที่สวมเสื้อผ้าเรียบง่ายดั่งชาวบ้านสามัญชนปรากฏตัวขึ้น
พวกเขามารวมตัวกัน สื่อสารกันผ่านทางสายตา จากนั้นก็หายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
“เปิดคูเมือง! ใช้ไฟเผา!”
คำสั่งแฝงความร้อนรนเสียงหนึ่งดังขึ้นเหล่าทหารเป่ยเยว่เร่งดำเนินการตามคำสั่งนั้นอย่างรวดเร็ว
รัชทายาทเจาเคยผ่านการรบกับเป่ยเยว่มาแล้วหลายครั้งจึงเข้าใจวินัยทหารของเป่ยเยว่พอควร
ไม่ว่าจะเป็นสมรรถภาพด้านร่างกายหรือคุณภาพของอาวุธยุทโธปกรณ์
ในอดีตหนานจิ้นล้วนเทียบเป่ยเยว่ไม่ติดสักนิด แต่หลังผ่านการปรับปรุงพัฒนามาหลายปี
อาวุธหนานจิ้นก็ดีวันดีคืน
อย่างเช่นอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้บุกตีเมืองในวันนี้ก็มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะทำให้ข้าศึกตกตะลึงจนคางแทบร่วงได้
“เกิดอะไรขึ้น? น้ำมันเพลิงล่ะ? เหตุใดถึงกลายเป็นน้ำไปหมดแล้ว!”
“อ๊ะ! แย่แล้ว
จู่ๆ ก็มีสุนัขดุร้ายนับร้อยตัวปรากฏในบริเวณที่ตั้งของทัพหลัง
เวลานี้กำลังไล่กัดผู้คน”
“รายงาน! ท่านแม่ทัพ
ยุ้งฉางและคลังแสงของทัพหลังถูกไฟไหม้ ตอนนี้เหลือธนูแค่หนึ่งพันดอกขอรับ”
มีข่าวร้ายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แม่ทัพเป่ยเยว่โกรธเกรี้ยวจนตวาดลั่น
“เกิดอะไรขึ้น! ในเมืองนี้ยังมีไส้ศึกของหนานจิ้นอยู่อีกงั้นหรือ!?”
“เป็นราษฎรพวกนั้น แย่แล้วท่านแม่ทัพ! ปศุสัตว์ทั้งหมดในเมืองต่างถูกต้อนมารวมกันที่นี่ ทัพหลังโกลาหลไปหมดแล้วขอรับ!”
“ฆ่ามัน! ฆ่าพวกมันทิ้งให้หมด! ต้องคุ้มกันที่นี่ไว้ให้ได้ ทัพหนุนใกล้จะมาถึงแล้ว!”
นอกกำแพง
รัชทายาทเจาสั่งให้ทุกด้านกระหน่ำบุกโจมตีหนักขึ้น
ในกำแพงเมือง เหตุการณ์โกลาหลสับสนวุ่นวาย
ทั้งไก่บิน สุนัขกระโดด แม้แต่สุกรก็ยังมาร่วมวง ราวกับมีงานสังสรรค์ของสรรพสัตว์
แม้สัตว์เลี้ยงพวกนี้จะมิได้มีอันตรายแต่ก็สร้างความชุลมุนให้แก่เหล่าทหารเป่ยเยว่จนกองทัพเสียรูปขบวน
ยิ่งไปกว่านั้นสุนัขดุร้ายกับไก่ทั้งฝูงที่วิ่งพล่านใช่ว่านึกจะฆ่าก็ทำได้ง่ายดายเสียเมื่อไร
ท่ามกลางสถานการณ์สับสนอลหม่านเช่นนี้ จู่ๆ
ก็มีกองกำลังทหารพร้อมอาวุธปรากฏขึ้นในเมืองอย่างกะทันหัน
ง้าวและทวนอันคมกริบปลิดชีพศัตรูได้อย่างง่ายดาย
246 ซื่อจื่อ
เจ้านี่ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก
“นั่นใคร?” ทหารนายหนึ่งเอ่ยถาม
ทว่ายังไม่ทันได้เห็นโฉมหน้าของศัตรูชัดก็ถูกฟันคอขาดกระเด็นไปเสียแล้ว
จ้าวซานหลางซึ่งสวมชุดเกราะสีนิลทั้งตัวเหยียบร่างไร้ศีรษะเพื่อมุ่งไปยังเป้าหมายรายต่อไป
“อ๊าก!”
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น
ทหารเป่ยเยว่กลุ่มย่อยปล่อยสัญญาณต่อสู้พร้อมกับถอยร่นไปยังตำแหน่งป้อมประตูเมือง
“ศัตรูบุก!”
“เหตุใดในเมืองถึงมีข้าศึกได้! พวกมันเข้ามาได้อย่างไร!” แม่ทัพเป่ยเยว่เงื้อดาบฟาดฟันปัดป้องลูกธนูที่พุ่งตรงมาทางเขาพร้อมกับรีบวิ่งลงจากป้อมประตูเมือง “ป้องกันประตูเมืองไว้ให้ดี! อย่าให้พวกมันล่วงล้ำเข้ามาได้แม้แต่ก้าวเดียว!”
จ้าวซานหลางเหยียดมุมปากเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน
หยิบคันธนูออกมาจากช่วงเอว บรรจุลูกธนูเตรียมเล็งใส่แม่ทัพนายนั้น
ฟุ่บ! เสียงลูกธนูดังแหวกอากาศพุ่งทะยานเข้าไปตรงกลางใบหน้าอีกฝ่าย
แม่ทัพเป่ยเยว่นัยน์ตาเบิกโพลง ร่างกายพลันเสียสมดุล
ล้มเอียงกลิ้งตกจากบันไดทำให้หลบลูกธนูดอกนั้นไปได้อย่างเฉียดฉิว
“ว้า! ดันพลาดเสียได้” จ้าวซานหลางทำหน้าทะเล้นอยู่ภายใต้หน้ากาก
ได้ยินเสียงลมพัดวูบมาจากด้านหลัง
เขารีบเบี่ยงตัวหลบพร้อมกับยกคันธนูในมือขึ้นจึงสามารถรับคมง้าวของศัตรูได้ทันท่วงที
“ตายซะเถอะ!” นายทัพระดับล่างรูปร่างสูงใหญ่
เจ้าเนื้อ ในมือถือง้าวอันใหญ่ดั่งกวนอู พละกำลังมหาศาลเค้นเสียงลอดไรฟัน “ข้าจะสับเจ้าให้เละเลยคอยดูสิ!” ฝ่ายตรงข้ามออกแรงกดน้ำหนักลงมา
หวังจะฟันคันธนูในมือจ้าวซานหลาง
เขาอยากเห็นนักว่าอาวุธชิ้นเล็กเพียงเท่านี้จะสามารถต้านทานง้าวใหญ่ของเขาได้อย่างไร
จ้าวซานหลางเลิกคิ้ว
เหลือบมองอีกฝ่ายด้วยแววตาคมกริบ พลิกข้อมืออีกข้าง มีดสั้นเล่มเล็กปรากฏอยู่กลางฝ่ามือ
เขาใช้สองนิ้วเกี่ยวมีดสั้นไว้แล้วสะบัดแขน
มีดสั้นที่แหลมคมกรีดทะลุเสื้อเกราะคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย
บนหน้าอกศัตรูปรากฏรอยโลหิตเป็นแนวยาว
ฝ่ายตรงข้ามถูกความเจ็บปวดจู่โจมจนต้องผ่อนแรงลงแล้วผงะถอยหลังไปสามก้าว
ถลึงตาจ้องหน้าเขาอย่างแค้นเคือง จ้าวซานหลางเหน็บคันธนูไว้ที่เอวแล้วกลับมากุมดาบอีกครั้ง
พลางกระดิกนิ้วเรียก
“เข้ามาสิ ข้าขอดูความอดทนของเจ้าหน่อย”
“ว้าก! อยากตายนักใช่ไหม!” ฝ่ายตรงข้ามแลบลิ้นเลียริมฝีปาก สองมือกุมง้าวไว้แน่นแล้วกระโจนจู่โจมใส่
สองฝ่ายปะทะกันดุเดือด จ้าวซานหลางมิได้ใช้พละกำลังทั้งหมดที่มี
แต่ใช้วิธีฟาดฟันให้ร่างกายของศัตรูเกิดรอยบาดแผลเต็มตัวราวกับหยอกเล่นเสียมากกว่า
“เลิกเล่นได้แล้ว
นี่เป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนะ!” ผู้พิทักษ์เกราะนิลอีกคนเดินมาปลิดชีพนายทัพหนุ่มผู้นั้นจากด้านหลัง
แล้วผลักจ้าวซานหลางหนึ่งที
“ซื่อจื่อ เจ้านี่ช่างน่าเบื่อชะมัด!”
แม้ปากจะพูดเช่นนั้น
แต่จ้าวซานหลางก็ล้มเลิกความคิดที่จะแกล้งเย้าอีกฝ่ายทิ้งไปแล้วเอ่ยถามผิงซุ่น “เป็นอย่างไร รับมือไหวหรือไม่?”
“แน่นอน
วิธีซุ่มโจมตีเป็นจุดแข็งของพวกเราอยู่แล้ว”
แม้จะบอกว่าถูกฝึกมาในฐานะทหารราบเกราะหนัก
แต่การฝึกฝนที่พวกเขาผ่านมานั้นโหดร้ายทารุณถึงขั้นสูงสุด
สามารถกล่าวได้ว่าทุกคนล้วนเป็นทหารมือดีแม้ต้องต่อสู้เพียงลำพังแบบตัวต่อตัวก็ไม่มีทางพ่ายให้กับข้าศึก
“ควรส่งสัญญาณให้รัชทายาทได้แล้วกระมัง?”
พลุไฟถูกจุดให้พุ่งทะยานขึ้นกลางฟ้า
ก่อนจะระเบิดเป็นแสงระยิบระยับตระการตา
ผู้ที่กำลังต่อสู้กันทั้งในและนอกเมืองต่างเห็นแสงของพลุไฟได้อย่างชัดเจนทั้งสองฝ่าย
“ไม่ได้การแล้ว!” แม่ทัพเป่ยเยว่พยุงร่างตัวเองที่แขนหักลุกขึ้นมาคำรามสั่ง “ต้านไว้เร็วเข้า! แบ่งกำลังพลหนึ่งหมื่นนายไปต้านข้าศึกด้านหลัง
อย่าปล่อยให้พวกมันเปิดประตูเมืองได้เด็ดขาด!”
รัชทายาทเจาชูมือขวาขึ้น “ทัพหนุนของพวกเรามาถึงแล้ว! โจมตีให้หนักขึ้นไปอีก
ต้องพังประตูเมืองให้ได้ก่อนฟ้าสาง!”
“ทัพหนุนงั้นหรือ?”
หลายคนไม่เข้าใจ
ไพร่พลทั้งหมดของพวกเขาที่มี
นอกจากคนที่ไปกับแม่ทัพหวังและแม่ทัพหูล้วนอยู่ที่นี่หมดแล้ว
จะมีทัพหนุนมาจากที่ใดได้อีก?
ไม่เห็นเคยได้ยินว่าราชสำนักส่งทัพหนุนมาช่วย
แต่ไม่ว่าอย่างไรคำว่าทัพหนุนก็นำความยินดีมาให้ทุกคน
“ฮ่าๆๆ เจ้าพวกสารเลวเป่ยเยว่
รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”
“หนานจิ้นต้องชนะ!”
“พวกเราบุก!”
เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวขวัญทหารหนานจิ้นก็พลันฮึกเหิมขึ้น
ทหารไต่ขึ้นรถบันไดอย่างต่อเนื่องเพื่อปีนขึ้นไปบนป้อมประตูเมืองและสังหารข้าศึกให้สิ้นซาก
“ท่านแม่ทัพ! ต้านไว้ไม่ไหวแล้ว
ควรทำเช่นไรดี!”
“บัดซบ! อะไรคือต้านไม่ไหวแล้ว
ทหารชั้นยอดห้าหมื่นนายอยู่ที่นี่ อีกทั้งยังมีกำแพงเมืองสูงใหญ่มั่นคงเช่นนี้ ข้าศึกมีแค่ไม่เท่าไร
จะเอาอะไรมาทำลายกำแพงเมืองให้แตกได้!”
“ท่านดูสิ! ทหารข้าศึกที่แฝงตัวเข้ามาในเมืองดูเหมือนจะมีเกินหมื่น
แต่ละคนล้วนพกอาวุธที่ยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบ วิทยายุทธ์ก็ล้ำเลิศ
พวกเรา...พวกเรามิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาหรอกขอรับ!”
“เป็นพวกมัน…!”
แม่ทัพเป่ยเยว่เพิ่งนึกขึ้นได้
เสื้อเกราะสีดำสนิททั้งตัวและหน้ากากน่าสะพรึงกลัวนั่น
ที่แท้พวกมันก็คือหน่วยรบพิเศษที่สามารถจัดการกับทหารเป่ยเยว่ของพวกเขาที่ศึกเมืองฉินหยางจนแตกพ่ายย่อยยับอย่างนั้นหรือ!
ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างคิดว่าข่าวลือนี้เป็นเพียงคำคุยโวโอ้อวด
นึกว่าแม่ทัพขี้แพ้ผู้นั้นแต่งเรื่องเสมือนจริงขึ้นมาเป็นข้ออ้างกลบเกลื่อนความพ่ายแพ้ของตน
แต่เวลานี้เขาเห็นแล้วว่าหนานจิ้นมีกองทัพขวัญกล้าน่าตื่นตะลึงถึงเพียงนี้อยู่จริง
ทหารกลุ่มนี้สวมชุดเกราะหนักทั้งตัว
อาวุธธรรมดามิอาจทําอันตรายได้ ทว่าอาวุธในมือพวกเขากลับแหลมคมอย่างไร้ที่เปรียบ
ตัดเหล็กได้ง่ายดายราวกับเป็นดินเหนียว
ทั้งที่ต้องแบกชุดเกราะหนักอึ้งแต่ยังสามารถเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วตามใจนึก
มิหนำซ้ำยังลงมือได้อย่างแม่นยำปราดเปรียว ไม่รู้จริงๆ
ว่าพวกเขาสามารถทำได้อย่างไร เช่นนี้แล้วพวกเขาย่อมมีหนทางคว้าชัยชนะมาได้แน่!
“ไม่ต้องคิดมากแล้ว
หากประตูเมืองถูกตีแตกพวกเราจะตกอยู่ในสถานการณ์ถูกตีขนาบทั้งหน้าและหลัง
ตอนนี้มีแต่ต้องปกป้องประตูเมืองไว้ให้ได้ รอจนกว่าทัพหนุนจะมาถึง!”
ทันทีที่คิดได้เช่นนี้
ในใจทุกคนก็พลันสงบขึ้นมาก พวกเขายังมีทหารทัพหนุนอีกหลายหมื่นนาย ขอเพียงทัพหนุนสามารถมาสมทบได้ทัน
ลำพังจำนวนคนพวกเขาก็เป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่แล้ว
ไม่ว่าฝ่ายหนานจิ้นจะมีทหารพิเศษหรือกองทัพเกราะหนักอะไร
ล้วนต้องปราชัยกลับไปทั้งสิ้น
“ตั้งสติเข้าไว้ ใจเย็นๆ
อย่าสร้างความแตกตื่นให้พวกเรากันเอง หากถอยแม้เพียงก้าวเดียวก็ต้องตาย หรือว่าพวกเจ้าอยากตายอยู่ที่เมืองฉู่โจวแห่งนี้
ถูกข้าศึกบดขยี้เป็นผุยผงไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูกอย่างนั้นหรือ!”
ขวัญทหารเป่ยเยว่พลันถูกปลุกให้ฮึกเหิม
ไม่มีใครไม่กลัวตาย เมื่อพวกเขาเกิดความขลาดกลัวก็จะถอยร่น
ทว่าสิ่งที่รอคอยอยู่ด้านหลังก็มีเพียงความตาย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขอสู้ตายสักตั้งจนกว่าทัพหนุนจะมาถึง
จ้าวซานหลางแอบด่าในใจ ‘มารดามันเถอะ เหตุใดจู่ๆ จึงเข้มแข็งฮึกเหิมเยี่ยงนี้’
สามารถต่อกรกับหนานจิ้นมานานหลายปี
ทหารเป่ยเยว่ย่อมมิใช่พวกใจเสาะขี้ขลาดตาขาวอยู่แล้ว ตรงกันข้าม
พละกำลังในการสู้ศึกของฝ่ายนั้นที่ผ่านมาเหนือชั้นกว่าหนานจิ้นหลายเท่า
จำนวนคนสองฝ่ายสูสีกัน
ถ้าจะว่ากันตามจริงแล้วหากสู้ตายแบบทุ่มเทสุดกำลังความสามารถ
ก็ยังพูดยากว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ ตามการคาดคะเนของรัชทายาทเจา
ฝ่ายตนมีแนวโน้มว่าจะได้รับชัยชนะสูงมาก
ถึงกระนั้นก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงจนน่ากลัวไม่แพ้กัน
แม้สถานการณ์เช่นนี้จะห่างไกลจากความตั้งใจเดิมของเขา
แต่เมื่อเดินมาถึงจุดนี้พวกเขาก็ไม่มีทางถอยแล้ว หากถอย จุดจบก็ต้องพลีชีพเช่นกัน
เวลานี้หวังเพียงหวังติ่งจวินกับหูจินเผิงจะสามารถยืนหยัดต้านทัพหนุนของอีกฝ่ายไว้ได้สักระยะ
ในระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน
มีไพร่พลบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก จู่ๆ ในเมืองก็เกิดจลาจล
ราษฎรทั้งเมืองต่างกรูกันออกมาเต็มถนน มีทั้งแก่หนุ่มบุรุษสตรี
ในมือพวกเขาไร้ซึ่งมีดดาบคมกริบ มีเพียงจอบขวาน
ของมีคมและอุปกรณ์ที่ใช้ในการดำรงชีพเท่านั้น
“ขับไล่พวกสุนัขเป่ยเยว่ฝูงนี้ออกไปให้หมด!”
ผู้เฒ่าสูงวัยท่านหนึ่งเป็นผู้นำ
มือข้างหนึ่งของเขาค้ำไม้เท้า
มืออีกข้างแบกพลั่วเหล็กเดินนำหน้าพาคนเข้าใกล้ประตูเมืองโดยไม่สะทกสะท้านต่ออันตรายใดๆ
ทั้งสิ้นและไม่คิดจะหันหลังกลับ
“ขับไล่พวกสุนัขเป่ยเยว่ฝูงนี้ออกไปให้หมด!”
เหล่ามวลชนต่างโห่ร้องรับด้วยความแค้นเคือง
พวกเขามารวมตัวกันเป็นกลุ่มเข้าล้อมโจมตีข้าศึก
แน่นอนว่ากำลังสู้รบของพวกเขาย่อมมิอาจเทียบกับทหารประจำการ
แต่เพราะมีจำนวนคนมากกว่าจึงสามารถช่วยแบ่งเบาภาระการโจมตีของกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลได้ไม่น้อย
จ้าวซานหลางใช้ศอกถองผิงซุ่นทีหนึ่งแล้วถาม “เฮ้ย! ชาวบ้านพวกนี้มาได้อย่างไร?”
“ข้าก็ไม่รู้” ผิงซุ่นใช้ปลายเท้าเกี่ยวทวนยาวเล่มหนึ่งขึ้นมา
เตะใส่ข้าศึกที่อยู่ห่างไปไม่ไกล สามารถช่วยชีวิตราษฎรคนหนึ่งไว้ได้
“ตอบสนองไวชะมัด!” จ้าวซานหลางพึมพำประโยคหนึ่งและเข้าสู่การต่อสู้อีกครั้ง
แม้แต่ชาวบ้านสามัญชนยังสู้สุดใจถึงเพียงนี้
แล้วพวกเขาจะมีเหตุผลอะไรให้ยอมแพ้กันเล่า?
“ไป! ข้าจะคุ้มกันให้เจ้าเอง
เจ้าพาคนส่วนหนึ่งไปเปิดประตูเมือง”
จ้าวซานหลางบอกแล้วตามประกบด้านหลัง
ผิงซุ่นวิ่งนำหน้าพาไพร่พลมุ่งสู่ประตูเมือง แต่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็พบว่าเสื้อเกราะบนตัวทำให้เคลื่อนไหวได้ช้ากว่าที่ควร
เขาจึงถอดเสื้อเกราะทิ้งไว้ข้างทาง
มือหนึ่งกุมมีดสั้นแล้ววิ่งพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
คนในกลุ่มย่อยที่ตามหลังเขามาต่างเลียนแบบทำตาม
ปลดเสื้อเกราะออกและพุ่งทะยานไปที่ประตูเมืองด้วยความเร็วสูงสุด
เพราะเป็นเมืองชายแดนสำคัญ
กำแพงเมืองฉู่โจวจึงทั้งสูงใหญ่และแข็งแกร่งมาก ประตูเมืองย่อมไม่ถูกตีแตกได้ง่ายๆ
อย่างแน่นอน
เสียงโห่ร้องสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจากด้านนอกดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเนิ่นนาน
กระนั้นก็ทิ้งไว้เพียงร่องรอยเป็นหลุมเป็นบ่อขรุขระบนประตูเมืองเท่านั้น
ผิงซุ่นล้วงตะขอเหล็กออกมาจากย่ามข้างเอว
ออกแรงขว้างขึ้นไปบนป้อมประตูเมือง
หลังจากพันเกี่ยวเข้ากับกำแพงเมืองดีแล้วก็ยันปลายเท้าเป็นแรงส่ง
เขาลอยตัวขึ้นกลางอากาศ กระโดดเพียงไม่กี่ครั้งก็ขึ้นมาอยู่ด้านหลังประตูเมืองแล้ว
ทหารยามตรงจุดนี้แน่นหนาที่สุด ผิงซุ่นต้องต่อสู้มาตลอดทาง
เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล
ทว่าในที่สุดก็สามารถแตะถูกประตูเมืองเย็นเฉียบดุจน้ำแข็งได้เสียที
เขากวาดตามองไปยังกำแพงด้านหลัง
นับจากบนลงล่างยี่สิบช่อง จากซ้ายจดขวาสี่สิบช่อง
มือขวากำมีดสั้นไว้แน่นก่อนจะแทงไปที่อิฐก้อนนั้น พลันเกิดเสียงดังแกร๊ก
โซ่ตรวนบนประตูเมืองเริ่มตึงขึ้น สลักโลหะด้านในประตูเมืองค่อยๆ
ยกสูงขึ้นทีละนิด...ทีละนิด
‘เร็วเข้า...เร็วๆ เข้าสิ...’ ผิงซุ่นภาวนาในใจ จ้องมองสลักโลหะที่หลุดจากบานประตูเมืองได้ในที่สุด
และในเวลาเดียวกันนั้นเองรถกระแทกนอกเมืองก็โจมตีอย่างหนัก ประตูเมืองถูกกระแทกจนเกิดรอยแยก
มีเสียงโห่ร้องดังมาจากด้านนอก
“ประตูเปิดแล้ว! ฆ่ามัน!”
ทันทีที่ประตูเมืองเปิดออก
สองฝ่ายเปิดฉากปะทะกันอีกครั้ง ทหารทัพใหญ่เป่ยเยว่บ้างก็ยอมจำนน
บ้างก็วิ่งหนีตายกันอุตลุด จวบจนกระทั่งรัชทายาทเจาเข้าเมืองฉู่โจวได้
ตอนที่รู้ว่าไร้ข้าศึกที่จะต่อสู้ขัดขืนแล้วก็สั่งให้ปิดประตูเมืองอีกครั้ง
เตรียมต้อนรับข้าศึกที่จะมาบุกตีเมืองชุดต่อไป เพียงแต่ครั้งนี้
ใครจะเป็นกระต่ายใครจะเป็นนายพรานก็ต้องมาตัดสินกันอีกที!
247 อิจฉาริษยาตื่นตะลึง
ยามอรุณรุ่ง พระอาทิตย์ลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า
แสงตะวันช่วยขับไล่ความหนาวเย็นของยามค่ำคืนในเหมันตฤดูให้จางหายไปทีละน้อย
ไม่ว่าจะเป็นราษฎรในเมืองหรือทหารในกองทัพ เวลานี้พวกเขาต่างอุ่นใจเป็นที่สุด
ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันเก็บกวาดพื้นที่ซึ่งเมื่อคืนเป็นสนามรบ
บูรณะซ่อมแซมกำแพงและประตูเมือง แม้แต่เวลาจะพักกินข้าวดื่มน้ำแกงก็ยังไม่มี
รัชทายาทเจายืนอยู่ตรงทางเข้าประตูเมือง
มองกลไกเปิดปิดประตูที่ถูกทำพังเสียหาย
กลไกนี้ตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อกำแพงเมืองแห่งนี้โดยเฉพาะไว้รับมือกับสถานการณ์พิเศษ
เพียงแต่สามารถใช้ได้ครั้งเดียว
ครั้งต่อไปถ้าคิดอยากเปิดประตูเมืองฉู่โจวแห่งนี้ก็มีแต่ต้องใช้แรงคนเปิดเท่านั้น
“โชคดีที่องค์รัชทายาททรงแจ้งเรื่องกลไกนี้กับผู้ใต้บังคับบัญชามิเช่นนั้นการเปิดประตูเมืองคงไม่ง่ายดายขนาดนี้”
“ในยามคับขันจะมัวมาเคร่งครัดกฎเกณฑ์ไม่ได้
เดิมทีความลับนี้มีคนรู้ไม่มาก
ข้าเองก็บังเอิญรู้เรื่องนี้มาจากปากนายช่างตอนอยู่ชายแดนเช่นกัน”
รัชทายาทเจาหันมองผิงซุ่นซึ่งกำลังคุกเข่าถวายคำนับ
ตอนนี้เขาถอดหมวกเกราะออกแล้วเผยให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว
ใครจะคาดคิดว่าคนผู้นี้เมื่อหกปีก่อนจะเคยเป็นเจ้าอ้วนหมูตอนที่ใครเห็นต่างก็เมินหน้าหนีหน่ายแหนงเพราะทำอะไรไม่ได้ความสักอย่างหากไม่บังเอิญได้พบกับถังเยว่
บางทีตอนนี้ชีวิตของเขาอาจยังคงลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับอิสตรี
ไม่มีอนาคตและตำแหน่งฐานะอย่างทุกวันนี้ก็เป็นได้
แม้มิอาจบอกได้ว่าชะตากรรมอย่างไหนดีกว่ากัน
ทว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้เขาย่อมได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนอย่างแน่นอน
“ไม่ต้องมากพิธี
จะว่าไปพวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน”
ผิงซุ่นหัวเราะแหะๆ พยักหน้า
ในใจแอบคิดหนักถึงปัญหาคำเรียกขาน เขาเป็นน้องเขยพระชายา
ตามหลักแล้วควรเรียกรัชทายาทว่าพี่สะใภ้ แต่รัชทายาทจะยอมรับคำเรียกนี้ได้หรือ?
หากจะเรียกว่าพี่เขยก็คงไม่เหมาะเช่นกันกระมัง
ไม่รู้ว่าจ้าวซานหลางโผล่มาจากซอกหลืบใด
ในมือจับบางสิ่งที่มีลักษณะคล้ายร่างคนพลางตะโกนเสียงดังมาแต่ไกล
“ฮ่าๆ
รีบมาดูนี่เร็วเข้าว่าข้าจับตัวใครได้!”
รัชทายาทกับผิงซุ่นได้ยินเสียงก็หันไป
รอให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ผู้ที่อยู่แถวนั้นต่างหันมอง มีคนที่จำได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใครตะโกนขึ้น
“อ๊ะ นั่นมันเจ้าไส้ศึกสมควรตายนี่!”
“ท่านรองเจ้าเมืองงั้นหรือ?”
“รองเจ้าเมืองอะไรกัน! นั่นมันไส้ศึกที่พวกเป่ยเยว่ส่งมาสอดแนมในฉู่โจวของพวกเราต่างหาก
ครั้งก่อนหากไม่เป็นเพราะมันใช้แผนชั่วปิดข่าวและยังเปิดประตูเมืองให้พวกเป่ยเยว่
เมืองฉู่โจวก็คงไม่ต้องตกเป็นของข้าศึกหรอก”
“แต่ใต้เท้าท่านนี้เมื่อสิบปีก่อนได้ช่วยชีวิตคนในครอบครัวข้าไว้ทั้งเด็กและคนแก่…”
“สะพานนอกเมืองเขาก็เป็นผู้ออกเงินสร้าง
คนในหมู่บ้านเราจึงสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวกขึ้น”
“ศาลเทพเจ้าเยว่เหล่า[1]ในเมืองเขาก็เป็นคนสร้าง ได้ยินว่าศักดิ์สิทธิ์มาก
ยายขี้เหร่ตัวดำปี๋ในหมู่บ้านข้าก็ไปขอคู่ครองได้จากที่นั่น”
คุณงามความดีเรื่องแล้วเรื่องเล่าที่ผ่านมาทุกคนล้วนจดจำได้อย่างชัดเจน
พอพูดมาถึงตอนท้ายทุกคนต่างเงียบเสียงลง
อันที่จริงจะโทษพวกเขาที่มองคนผิดไปเสียทีเดียวก็ไม่ได้
เพราะใต้เท้าท่านนี้ก็ทำดีมาตลอดจริงๆ
หากไม่ใช่เป็นเพราะมีคนจำนวนมากเห็นเองกับตาว่าเขาอยู่กับคนของกองทัพเป่ยเยว่
ตีให้ตายพวกเขาก็ไม่เชื่อว่าใต้เท้าท่านนี้จะเป็นไส้ศึก!
จ้าวซานหลางโยนอีกฝ่ายลงกับพื้นแล้วเช็ดมือ
เมื่อครู่เขาทนไม่ไหวจนลงมือซ้อมคนผู้นี้ไปหนึ่งยก ถ้าไม่ใช่เพราะคนผู้นี้
ไพร่พลสามหมื่นนายทั้งคนและม้าก็ไม่ต้องเสียสละพลีชีพถูกฝังอยู่ที่นี่
เฉพาะเมื่อคืนนี้เพียงคืนเดียวกองทัพของพวกเขาต้องกลายเป็นศพถูกฝังอยู่ใต้กำแพงเมืองถึงหนึ่งหมื่นนาย แม้แต่กองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลก็บาดเจ็บล้มตายไปร่วมร้อย
จะไม่ให้เขาแค้นใจได้อย่างไร
รัชทายาทเจาเดินเข้ามาใกล้
หลุบตามองร่างบุรุษที่นอนขดตัวงออยู่บนพื้น เขาไม่หนุ่มแล้ว หนวดเคราขาวโพลน
หน้าเหลืองเหมือนเทียนไขหลังผ่านมรสุม ดูลักษณะเหมือนคนแก่ใจดี
“เห็นแก่ที่หลายปีมานี้เจ้าพยายามทำเพื่อราษฎรฉู่โจวอย่างเต็มกำลังความสามารถ
วิญญาณผู้กล้าสามหมื่นนายนั้นถือว่าฝังเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน”
รัชทายาทเจาไม่มีสิ่งใดจะกล่าวต่อ
เขาไม่อยากรับรู้ว่ามีเงื่อนงำใดซ่อนอยู่หรือคนผู้นี้ทำไปเพราะมีความจำเป็นใดหรือไม่
กบฏก็คือกบฏ โทษตายถือว่าเมตตาเขาอย่างที่สุดแล้ว
“ฝ่าบาท…” คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมาเพียงนิด
แววตาหมองเศร้า ริมฝีปากแห้งผาก เขาคลี่ยิ้มอย่างขื่นขม หางตามีหยาดน้ำใสระเรื่อ “หลายปีมานี้กระหม่อมเกือบลืมเป้าหมายการมาเมืองฉู่โจวไปแล้ว
น่าเสียดายยิ่งนัก…” พูดจบเขาก็คลานลุกขึ้น
เอาศีรษะกระแทกกำแพงเมืองจนเลือดสาดกระจาย ชั่วขณะก่อนลมหายใจสุดท้ายสูญสิ้นเขาตะโกนสุดเสียง “ข้ามันคนบาป!”
จ้าวซานหลางเดินเข้าไปตรวจว่าเขายังมีลมหายใจอยู่หรือไม่
สุดท้ายก็ส่ายหน้า
“ไม่หายใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาไปฝังเถอะ” รัชทายาทเจาหันกลับไปอีกด้าน
กวาดตามองราษฎรบางคนที่แอบหลั่งน้ำตาแล้วเอ่ยสำทับอีกประโยค “เอาเขาไปฝังรวมกับศพของพวกทหาร”
มีบางคนไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ของรัชทายาท
ในสายตาพวกเขา
คนผู้นี้เป็นตัวการทำให้พี่น้องพวกเขาต้องตายแล้วจะฝังคนผู้นี้ร่วมสุสานเดียวกับพี่น้องพวกเขาได้อย่างไร
พวกเขาไม่สนใจว่าคนผู้นี้จะเคยทำความดีอะไรมา มีความคิดจิตใจเช่นไรหรือมีเงื่อนไขความจำเป็นใดในชีวิต
“ฝ่าบาท มิบังควรนะพ่ะย่ะค่ะ
จะฝังเหล่าพี่น้องของพวกเราร่วมกับศัตรูได้อย่างไร?”
รัชทายาทเจาจ้องมองคนพูดอย่างเยือกเย็น
“นี่ถือเป็นโอกาสดีที่จะให้ทุกคนได้ล้างแค้น
เช่นนี้ไม่ดีหรือ?”
คำตอบนั้นทำให้ทุกคนหมดสิ้นถ้อยคำจะกล่าวต่อ
จึงสามารถอธิบายได้ว่านี่เป็นคำสั่งที่มีเหตุผลมาก
จ้าวซานหลางให้คนหามร่างไร้ชีวิตนั้นออกไปแล้วหันมาถาม
“ฝ่าบาท
ต้องส่งกำลังทหารไปเสริมให้หวังติ่งจวินหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ทันทีที่เขาเอ่ยประโยคนี้ทุกคนต่างเบนสายตาหันมาที่รัชทายาทเจาทันที
คำถามนี้พวกเขานึกอยากถามตั้งแต่แรกแล้วแต่เกรงจะถูกมองว่าเป็นการหยั่งเชิงความคิดผู้เป็นนายจึงมิกล้าเอ่ยปาก
นอกจากแม่ทัพหวังยังมีแม่ทัพหู ไม่รู้ว่าป่านนี้พวกเขาจะปลอดภัยดีหรือไม่
ตามที่พวกเขาคาดการณ์
ภารกิจสุดโหดเช่นนี้ความเป็นไปได้ที่จะล้มเหลวมีถึงเก้าส่วน
โอกาสรอดมีเพียงหนึ่งส่วน แต่เหตุใดดูท่าทางขององค์รัชทายาทแล้วเหมือนไม่ร้อนพระทัยเลยสักนิด
“ไม่จำเป็น ก่อนหน้านี้ข้าได้รับข่าวแล้ว
พวกเขาปลอดภัยดี กำลังเดินทางกลับมา”
“พวกเขาไม่ถูกโจมตีหรือพ่ะย่ะค่ะ?” จ้าวซานหลางนึกสงสัยว่าตัวเองคาดเดาผิด
บางทีหวังติ่งจวินอาจมิได้พาไพร่พลไปสกัดทัพเป่ยเยว่ด้วยซ้ำ
“พวกเขาย่อมไม่ปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามได้มีโอกาสโจมตี
นี่เป็นแค่แผนถ่วงเวลาเท่านั้น อีกไม่นานข้าศึกก็คงจะมาถึง”
จ้าวซานหลางฟังแล้วยิ่งข้องใจ
ตกลงหวังติ่งจวินใช้กลยุทธ์ใดในการถ่วงเวลา
ไม่ต้องเปลืองทหารเลยสักคนก็สามารถรั้งข้าศึกไว้ได้งั้นหรือ?
ที่กลับมาถึงก่อนกลับมิใช่ทัพของหวังติ่งจวินแต่เป็นหูจินเผิงที่พาไพร่พลหนึ่งหมื่นนายกลับมา
บุกเข้าเมืองฉู่โจวว่องไวปานพายุ
โบกธงโห่ร้องมาตลอดทางบ่งบอกถึงความเบิกบานสำราญใจเป็นที่สุด
“ฮ่าๆๆ ข้ารู้อยู่แล้ว ฉู่โจวเมืองเล็กแค่นี้มีหรือจะสามารถสกัดทัพใหญ่หนานจิ้นของเราได้!” หูจินเผิงกล่าวเสียงดังกึกก้องขณะกระโดดลงจากหลังม้า
วิ่งมาคุกเข่าข้างเดียวเบื้องหน้ารัชทายาทเจา “ฝ่าบาท
กระหม่อมทำตามพระบัญชาได้สำเร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
รัชทายาทเจาโน้มตัวช่วยประคองเขาลุกขึ้น พยักหน้าแล้วหัวเราะเบิกบาน
“วิเศษมาก! พาคนไปพักผ่อนก่อนเถอะ
ตกรางวัลเนื้อก้อนโตให้ทุกคนด้วย!”
หูจินเผิงหัวเราะเริงร่ากว่าเดิม
หันตะโกนบอกพวกพ้องที่อยู่ด้านหลัง
“พี่น้อง ไปกันเร็ว
ตามข้าไปกินเนื้อแสนโอชะกันเถอะ!”
เหล่าทหารโห่ร้องด้วยความยินดีดังกึกก้อง
เมื่อพวกเขาจากไปจ้าวซานหลางก็จูงผิงซุ่นมากระซิบถามเบื้องหน้ารัชทายาท
“ฝ่าบาท พวกเราก็จะได้กินเนื้อด้วยหรือไม่
ทุกคนต่างปฏิบัติภารกิจกันมาทั้งคืนแล้ว” พูดจบก็ลูบหน้าท้องแบนราบของตัวเอง
รัชทายาทเจาเลิกคิ้ว “ของพวกเจ้าข้าติดไว้ก่อน ไว้ให้เสร็จศึกครั้งนี้ ทั้งเนื้อและสุราจะมีให้พวกเจ้าดื่มกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญจนกว่าจะพอ!”
จ้าวซานหลางรีบนำข่าวนี้ไปถ่ายทอดต่อ
ทุกคนต่างมีสีหน้าเบิกบาน โห่ร้องด้วยความยินดี
“เพื่อให้ได้กินเนื้อและดื่มสุรา
พวกเราขอสู้ตาย!”
รัชทายาทเจายุติความดีใจของพวกเขาด้วยการออกคำสั่ง
“ไปเตรียมตัวได้แล้ว
ประเดี๋ยวพวกเจ้าอีกครึ่งหนึ่งจะกลับมา
ให้ข้าศึกได้เปิดหูเปิดตาเห็นศักยภาพที่แท้จริงของกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลสักครั้ง!”
“เฮ!” กองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลโห่ร้องพร้อมกัน
ดังกึกก้องสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปแทบจะถึงฟากฟ้าเบื้องบน ทำให้รอบด้านเต็มไปด้วยสายตาแห่งความตื่นตะลึง
“นี่น่ะหรือกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิล
ดูไม่ธรรมดาอย่างที่คาดไว้จริงๆ”
ในทัพใหญ่
มีนายทัพท่านหนึ่งจับจ้องเกราะหนักบนตัวจ้าวซานหลางตาไม่กะพริบ
เสื้อเกราะของผู้พิทักษ์เกราะนิลต่างจากปกติมิใช่แค่หนักแต่คุณภาพโดยรวมยอดเยี่ยมวิเศษสุด
เกราะสีดำเมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ส่องประกายระยิบระยับ
โลหะแต่ละแผ่นถูกขัดให้มีระดับความหนาบางเหมาะสม ตรงตำแหน่งที่ร้อยเข้าด้วยกันก็ไม่รู้ว่าใช้วัสดุใดถึงได้มองไม่เห็นกระทั่งรอยต่อเชื่อม
“เมื่อคืนเห็นท่าทางพวกเขาตอนสังหารศัตรู
ยกดาบลงดาบล้วนปลิดชีพได้หนึ่งชีวิต อาวุธที่พวกเขาใช้ก็ต่างจากปกติ
ข้าเห็นพวกเขาใช้ดาบฟันทวนยาวของศัตรูขาดครึ่งท่อนกับตามาแล้ว”
“ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาทคงต้องใช้เงินทองไปกับพวกเขาไม่น้อย
หากทัพใหญ่ของพวกเรามีอาวุธยุทโธปกรณ์เช่นนี้
อย่าว่าแต่ทัพเป่ยเยว่หนึ่งแสนสองหมื่นเลย ต่อให้มาอีกหนึ่งแสนก็สู้ได้สบายมาก!” บุรุษผู้หนึ่งรำพึงรำพันด้วยความน้อยใจ
ขุนพลที่อยู่ข้างเขาใจเย็นมีสติกว่าจึงส่ายหน้าแล้วเอ่ยปราม
“พอได้แล้ว หากเป็นเจ้า
ต้องสวมชุดเกราะที่ทั้งหนาและหนักขนาดนี้
หากอยากกวัดแกว่งง้าวเล่มใหญ่ก็คงได้แต่คิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะไปสังหารศัตรูเลยด้วยซ้ำ”
“พูดเกินจริงไปแล้ว
หากยากลำบากเช่นนั้นจริงพวกเขาจะทำได้อย่างไร?” อีกฝ่ายแสดงอาการว่าไม่เชื่อคำพูดโต้แย้งนี้อย่างเห็นได้ชัด
ฝ่ายตรงข้ามหมดคำพูดที่จะกล่าวต่อจึงยักไหล่แล้วเดินจากไปเมื่อครู่เขาช่วยขนย้ายซากศพเห็นมีศพทหารผู้พิทักษ์เกราะนิลจึงคิดที่จะเข้าไปอุ้มขึ้นมา
แต่คาดไม่ถึงว่าต้องใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีถึงจะฝืนลากศพนั่นขึ้นไปบนรถเข็นได้อย่างทุลักทุเล
ในสนามรบ
เพื่อถนอมและรักษาทรัพยากรทุกคนต่างปลดเสื้อเกราะและอาวุธจากศพผู้ตายเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่
ผู้พิทักษ์เกราะนิลก็ถูกทำเช่นนั้นเหมือนกัน ด้วยความสนใจใคร่รู้ในเสื้อเกราะชุดนี้
เขาจึงลงมือปลดเสื้อเกราะบนร่างไร้ชีวิตนั้นออกมา
เมื่ออยู่ในมือถึงรู้ว่าน้ำหนักไม่เบาเลยจริงๆ ลองคิดดูเล่นๆ
ว่าหากน้ำหนักนี้อยู่บนตัวเขา
บวกกับต้องถืออาวุธที่มีน้ำหนักมากกว่าปกติถึงสองเท่า
เขาคงไม่มีปัญญาที่จะเคลื่อนไหวมือและเท้าได้แน่
แต่เขาก็คิดไม่ออกว่ากองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลสามารถทำได้อย่างไร
ได้ยินว่าพวกเขายังขี่ม้าด้วยและสุดยอดอาชาไนยของพวกเขาก็หุ้มเกราะหมดทั้งตัว
ลำพังน้ำหนักบนตัวก็สามารถทับข้าศึกตายได้แล้ว
ไม่ว่าทุกคนจะมีความคิดเห็นต่อผู้พิทักษ์เกราะนิลเช่นไร
จะเป็นความอิจฉา ริษยาหรือตื่นตะลึง
ล้วนไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเมื่อเทียบกับกองทัพชั้นยอดเช่นนี้
กำลังสู้รบของพวกเขาด้อยกว่ามากจริงๆ
ทันทีที่เกิดความคิดเช่นนี้ทุกคนในกองทัพตั้งแต่ทหารตำแหน่งเล็กๆ
ไปจนถึงตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพ ไฟในตัวพลันลุกโชน เกิดความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้
หากพวกเขาสามารถทำได้ดีกว่ากองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลก็จะพิสูจน์ได้ว่าตนเป็นทหารที่มีความสามารถอย่างแท้จริงมิใช่หรือ
“ได้ยินมาว่าองค์รัชทายาททรงมีพระประสงค์จะคัดเลือกบุคคลที่มีความสามารถยอดเยี่ยมโดดเด่นมาแทนตำแหน่งผู้พิทักษ์เกราะนิลที่ว่างอยู่”
ทันทีที่มีข่าวนี้แพร่กระจายออกไป
เหล่าทหารพลันมีใจฮึกเหิม
แต่ละคนล้วนคันไม้คันมืออยากสร้างผลงานความดีความชอบในสนามรบเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง
เชิงอรรถ
- เยว่เหล่าหรือผู้เฒ่าจันทรา
เป็นเทพเจ้าผู้บันดาลรักตามความเชื่อของชาวจีน
248 จิตใจทะเยอทะยาน
กระทั่งยามอู่
หวังติ่งจวินถึงเร่งรุดพากองทัพกลับมา เหน็ดเหนื่อยเพียงใดไม่ต้องพูดถึง
แต่ทหารทุกนายกลับยังคงมีท่าทีกระปรี้กระเปร่า
หลังเข้ามาในเมืองฉู่โจวแล้วสิ่งแรกที่ทำคือแจ้งให้คนในเมืองเตรียมรับมือกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น
รัชทายาทเจาสั่งให้พวกเขาไปพักผ่อนแล้วค่อยเตรียมการป้องกันต่อไป
จ้าวซานหลางแอบดึงหวังติ่งจวินไว้แล้วสอบถาม
“พวกเจ้าไปทำอะไรมากันแน่ ไปถ่วงเวลาทัพใหญ่เป่ยเยว่เอาไว้มิใช่หรือ?”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“นั่น...” เขาชี้ไปทางกองทัพที่ทหารไม่ขาดหายไปเลยแม้แต่คนเดียว
“เหตุใดพวกเจ้าไม่เป็นอะไรเลย
ตกลงพวกเจ้าถ่วงเวลาข้าศึกด้วยวิธีใด?”
“เจ้าอยากรู้หรือ?” หวังติ่งจวินขยิบตาทีหนึ่ง
จ้าวซานหลางจึงต่อยเขาไปหนึ่งที “จะบอกก็บอก ไม่บอกก็ตามใจ
ถึงอย่างไรเดี๋ยวข้าก็รู้อยู่ดี”
“งั้นรอให้เจ้ารู้เองก็แล้วกัน” หวังติ่งจวินอ้าปากหาวพลางตบบ่าฝ่ายตรงข้าม “ข้าง่วง
ไม่ว่างคุยกับเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน”
จ้าวซานหลางถลึงตาใส่แผ่นหลังที่เดินจากไปไกลของอีกฝ่ายพลางบ่นพึมพำ
“เหอะ ทำเป็นวางมาด
ไม่รู้ว่าจะมีใครตาบอดหลงรักเจ้านี่บ้าง!”
“จ้าวซานหลาง!” เสียงเรียกชื่อเขาดังมาจากด้านหลัง
รู้สึกเป็นเสียงคุ้นเคยแต่ก็รู้สึกไม่ชินเล็กน้อย
พอหันขวับกลับไปก็เห็นใบหน้าที่ทั้งคุ้นตาและแปลกหน้าอยู่ในที
จ้าวซานหลางนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
ฝ่ายนั้นเดินอาดๆ เข้ามา
บนตัวสวมชุดเกราะของขุนพลชั้นกลาง ร่างกายกำยำล่ำสัน
“ท่าน...มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” เขาปฏิบัติภารกิจยุ่งมาทั้งคืน คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะมาเจอคนผู้นี้ได้
เพียงแต่ด้วยฐานะของอีกฝ่ายเหตุใดถึงมาปรากฏตัวอยู่ในสถานที่อันตรายเช่นสนามรบได้เล่า!
“ข้ามาเป็นทหารแล้ว”
ใบหน้าที่เคยอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาบัดนี้เติบโตเป็นชายหนุ่มหล่อเหลา
เพียงแต่สีหน้ายังคงเย็นชาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน มีแต่เมื่อได้เห็นหน้าจ้าวซานหลางเท่านั้นถึงได้ดูอ่อนโยนขึ้นมาบ้าง
จ้าวซานหลางไม่ได้พบจวิ้นอ๋องน้อยมาหลายปีแล้ว
ความทรงจำในวันวานพลันย้อนคืนกลับมา เพียงแต่มิใช่ความทรงจำที่ดีนัก
ทั้งสองแม้ไม่ถือว่าสนิทกันแต่ย่อมมิใช่คนแปลกหน้า
จ้าวซานหลางลืมความรู้สึกที่เคยแอบรักท่านหญิงฮุ่ยจูเมื่อสมัยอดีตไปหมดสิ้นแล้วแต่ยังจำความรู้สึกตอนถูกเจ้าเด็กนี่กลั่นแกล้งได้อย่างชัดเจน
“เหอะๆ
จวิ้นอ๋องช่างเหมาะกับสนามรบอย่างแท้จริง
แต่เหตุใดท่านหญิงถึงยอมให้ท่านมาที่นี่ได้เล่า?”
สีหน้าจวิ้นอ๋องน้อยเย็นชาแข็งกระด้างขึ้นทันตาก่อนจะพูดด้วยเสียงเย็นเยียบ
“ตอนนี้ท่านแม่งานยุ่งมาก
ไหนเลยจะยังจำได้ว่ามีข้าคนนี้เป็นลูก”
จ้าวซานหลางมีสีหน้างงงันแต่มิได้เอ่ยถามสิ่งใดต่อ
แค่เห็นสีหน้าฝ่ายตรงข้ามก็รู้แล้วว่าความสัมพันธ์แม่ลูกคู่นี้ยังคงไม่ลงรอยกันเหมือนเดิม
“จวิ้นอ๋องมาออกศึกเช่นนี้
รัชทายาททรงทราบหรือไม่?”
จวิ้นอ๋องน้อยส่ายหน้า “ในกองทัพมีทหารตั้งหลายหมื่นนาย
รัชทายาทจะทรงทราบว่าข้ามาออกศึกร่วมรบด้วยได้อย่างไร
ตอนนี้ข้าเป็นแค่ขุนพลชั้นปลายแถวเท่านั้น”
จ้าวซานหลางเลื่อมใสในความมุ่งมั่นตั้งใจของอีกฝ่าย
อันที่จริงด้วยฐานะของเขาสามารถขอตำแหน่งระดับสูงในกองทัพได้ทันที
ทั้งปลอดภัยไม่เหนื่อย อีกทั้งยังสามารถสร้างผลงานก้าวหน้าได้รวดเร็ว
เมื่อมีฐานะสูงขึ้นหลังกลับไปก็สามารถมีจวนเป็นของตัวเองได้แล้ว
จะได้หลุดพ้นจากการควบคุมของจวนท่านหญิงเสียที
จ้าวซานหลางเกาศีรษะ
เกิดความรู้สึกว่าไม่รู้จะสื่อสารกับอีกฝ่ายเช่นไร ตลอดเวลาที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของพวกเขามิได้ใช้ปากเจรจาทุกครั้งถ้าจ้าวซานหลางไม่ถูกฝ่ายตรงข้ามซ้อม
ก็ต้องถูกพูดจาถากถางเย้ยหยัน จู่ๆ
ระหว่างพวกเขาสามารถพูดคุยกันได้อย่างสันติจึงรู้สึกไม่ชินเอาเสียเลย
“ข้ายังมีงานต้องไปทำ
ไว้หลังจากสงครามยุติแล้วค่อยคุยกัน”จวิ้นอ๋องน้อยเป็นฝ่ายกล่าวขอตัวก่อน
จ้าวซานหลางพยักหน้า ศึกใหญ่กำลังจะมาเยือนในไม่ช้า
ไม่ใช่เวลาที่จะมาคุยรำลึกความหลังกันจริงๆ นั่นละ
“ช้าก่อน...” จ้าวซานหลางตะโกนเรียกรั้งไว้
พอเห็นอีกฝ่ายหันกลับมาก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
ดังนั้นจึงล้วงหยิบมีดสั้นที่ซ่อนไว้ในรองเท้าหุ้มข้อสูงส่งให้ “ข้าให้ ระวังตัวด้วย”
แววตาจวิ้นอ๋องน้อยอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย
เขายื่นมือมารับมีดสั้นไว้พลางกล่าวขอบคุณแล้วหันหลังเดินจากไป
จ้าวซานหลางยืนอยู่กับที่ขบคิดภาพเหตุการณ์เมื่อครู่
เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง รู้สึกแปลกๆ อย่างไรชอบกล เขาเดินไปหารัชทายาทเพื่อแจ้งเรื่องจวิ้นอ๋องน้อยให้ทราบ
ใครจะรู้ว่ารัชทายาทเพียงพยักหน้า
“ข้ารู้แล้ว
แต่ในเมื่อเขาอยากใช้กำลังความสามารถของตัวเองไต่เต้าขึ้นมา
ข้าก็ไม่ควรเข้าไปก้าวก่าย”
ที่แท้รัชทายาทก็รู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก เพียงแค่ไม่คิดที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวเท่านั้น
“จริงสิ
ได้ยินถังเยว่บอกว่าเจ้าชื่นชมท่านหญิงฮุ่ยจูงั้นหรือ?”
จู่ๆ
รัชทายาทเจาก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
จ้าวซานหลางถึงกับแอบด่าถังเยว่ในใจก่อนจะยิ้มเอียงอาย “เป็นเรื่องตั้งแต่เก่าก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ สมัยนั้นกระหม่อมยังมิรู้ความ
เหอะๆ...”
“อ้อ งั้นก็ดีแล้ว” รัชทายาทเจากล่าวอย่างมีเลศนัย
จ้าวซานหลางอยากถามว่าดีที่ตรงไหน
แต่ก็ไม่กล้าถามออกไปตรงๆ ได้แต่แอบคาดเดาเอาเอง
หรือว่าบางทีองค์รัชทายาทจะแนะนำคู่ครองให้เขา
จะว่าไปอายุเขาก็ไม่น้อยแล้ว
ซื่อจื่อแห่งเหิงกั๋วกงอายุน้อยกว่าเขายังกลายเป็นพ่อลูกสองไปแล้ว
ดังนั้นก็น่าจะถึงเวลาที่เขาควรหาลูกสะใภ้ให้มารดาเสียทีจะได้มีหลานไว้ให้ท่านคลายเหงา
พอคิดถึงมารดาที่อยู่ไกลในเมืองเย่เฉิงจ้าวซานหลางก็พลันเกิดพลังฮึกเหิมไปทั้งตัว
ที่เขาสู้สุดใจขาดดิ้นเช่นนี้ก็เพื่อปรับปรุงแก้ไขความเกียจคร้านในอดีต
มิใช่แค่ทำเพื่อตัวเองแต่ยังเพื่อมารดาของเขาด้วย
แม้บิดาจะจากโลกนี้ไปแล้วแต่เขาก็ยังต้องการจะสร้างผลงานให้วิญญาณบิดาในปรภพได้เห็น
เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่าแท้จริงแล้วตัวเขาก็มิได้ด้อยไปกว่าพี่ชายร่วมบิดาเลยสักนิด
ตึง! ตึง! จู่ๆ เสียงกลองศึกบนป้อมประตูเมืองก็ดังขึ้นอย่างฉับพลัน
รัชทายาทเจาหันมาสบตากับจ้าวซานหลาง สีหน้าเคร่งขรึมหนักแน่นขึ้นในทันที
“มาเร็วว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก
เตรียมออกศึกได้!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
จ้าวซานหลางสวมหมวกเกราะ
หยิบนกหวีดขึ้นมาเป่าสัญญาณยาวสามครั้ง สั้นสองครั้ง นำทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลมุ่งไปยังสถานที่ซ่อนเร้นแห่งหนึ่ง
หวังติ่งจวินเพิ่งกินบะหมี่ร้อนๆ
หมดไปหนึ่งชาม เตรียมจะเอนหลังสักงีบ
ทว่าพอได้ยินเสียงกลองดังขึ้นก็รีบสวมชุดเกราะกลับไปใหม่ให้เรียบร้อย
คว้าอาวุธประจำกายแล้วพุ่งออกไปทันที ไม่ต้องรอให้ใครเรียกรวมตัว ทหารสามหมื่นนายวิ่งออกจากค่ายมายืนประจำที่รวมตัวพร้อมกันที่หัวถนน
“ข้ารู้ว่าทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อยกันมาก
ล้วนอยากพักผ่อนกันทั้งนั้น แต่ข้าศึกบุก พวกเรานอนก็หลับไม่เป็นสุข
ไม่แน่ตื่นขึ้นมาผู้ครองใต้หล้าอาจเปลี่ยนไปแล้ว
หากเป็นเช่นนั้นคงได้หลับยาวไปตลอดกาล ดังนั้นมิสู้ให้ข้าผู้เป็นแม่ทัพนำทุกคนออกไปทำประโยชน์แก่แผ่นดินยังจะดีเสียกว่า
ทุกคนจงฟังคำสั่งข้า!”
หวังติ่งจวินใช้เวลาเพียงคืนเดียวก็สามารถทำให้ทหารสามหมื่นนายอยู่ในโอวาทของเขาได้
เรื่องนี้แม้แต่รัชทายาทเจายังแสดงความชื่นชมในตัวเขา
อันที่จริงเรื่องไปถ่วงเวลาข้าศึกในวันนี้เขาก็มิได้ทำอะไร
แค่สั่งให้คนทำลายเส้นทางที่ข้าศึกต้องเดินทางผ่าน ทำลายเส้นทางเล็กๆ
บนหน้าผาเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมาก แค่ตัดทางให้ขาดไปช่วงหนึ่งก็พอ
แน่นอนว่าเขามิได้แค่ให้คนตัดทางให้ขาดไปช่วงหนึ่งเพียงอย่างเดียวแต่ยังย้ายก้อนหินมาปิดทางอีกช่วงหนึ่งด้วย
ล้วนเป็นงานที่ต้องใช้แรงทั้งสิ้น ดังนั้นทุกคนจึงเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียกันมาก
แต่งานนี้เมื่อเทียบกับต้องออกรบแล้วสบายกว่าหลายเท่า
อย่างน้อยพวกเขาก็แค่เสียเหงื่อไม่ต้องเสี่ยงชีวิต หลั่งเลือด หรือเสียน้ำตา
ศึกครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องสามวันสามคืนเต็มๆ
สามวันต่อมา
หลังจากทหารข้าศึกเหลือรอดเพียงไม่กี่หมื่นชีวิตก็นำไพร่พลที่เหลือหนีทัพเอาชีวิตรอดกันไปหมด
รัชทายาทเจาบัญชาให้ทหารม้าเกราะเบาที่มีความรวดเร็วคล่องตัวรีบตามไปสกัดไว้
ขณะจ้องมองกำแพงเมืองที่พังพินาศแล้วตัดสินใจครั้งสำคัญ!
ตอนที่ถังเยว่ได้รับจดหมายจากหลี่เจาอีกครั้ง
การรบครั้งนี้ก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว เขาต้องอกสั่นขวัญแขวนอยู่ทุกวี่ทุกวัน
กลัวว่าวันใดจะต้องเห็นหลี่เจาถูกหามกลับมา
ในจดหมายหลี่เจาเล่าถึงกระบวนการขั้นตอนและผลลัพธ์ของการรบอย่างย่นย่อ
ถังเยว่อ่านเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง รู้แต่ว่าหนานจิ้นชนะแล้ว
หลังจากนั้นหลี่เจาให้เวลาทหารที่บาดเจ็บรักษาแผลให้หายภายในห้าวันให้ทหารที่เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าพักผ่อนให้เต็มที่และใช้ช่วงเวลาพักฟื้นนั้นหารือกับแม่ทัพทั้งหลายเพื่อวางแผนกลยุทธ์บุกตีข้าศึกที่ปลอดภัยและได้ผลจริง
ในจดหมายถังเยว่สัมผัสถึงความฮึกเหิมทะเยอทะยานของหลี่เจาได้อย่างชัดเจน
เห็นทีครั้งนี้ฝ่ายนั้นจะตัดสินใจมุ่งมั่นที่จะบุกตีให้ถึงศูนย์กลางของเป่ยเยว่แน่
“คุณชาย
รัชทายาททรงรบชนะแล้วมิใช่หรือขอรับ ในราชสำนักต่างโห่ร้องด้วยความยินดี
เหล่าขุนนางเสนาบดีต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่ารัชทายาททรงเป็นเทพสงครามลงมาจุติบนพื้นพิภพ” เหอพูดด้วยสีหน้าดีอกดีใจ
ถังเยว่ฟังแล้วถึงกับต้องเปล่งเสียงหัวเราะอย่างจนใจ
“เทพสงครามลงมาจุติอะไรกัน
พวกเขาพูดเรื่อยเปื่อยกันไปเองหากเทพสงครามมีจริงเช่นนั้นยังจำเป็นต้องออกรบอีกหรือ?
ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็โยงไปถึงเรื่องเทพเซียน หากเทพเซียนมีจริงถ้าเช่นนั้นพวกเขาก็ไปกราบไหว้ขอให้เทพเซียนช่วยเสียตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง”
ขุนนางในราชสำนักพวกนี้จะมีสักกี่คนที่ใส่ใจห่วงใยในความปลอดภัยของหลี่เจาจากใจจริง
ดีแต่ประจบสอพลอหลังจบเรื่องกันทั้งนั้น
ถังเยว่อ่านจดหมายจนจบ
เนื้อหาในจดหมายที่หลี่เจาเขียนมานั้นเรียบง่ายเป็นที่สุด
นอกจากบรรยายเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามอย่างย่นย่อแล้วก็ไต่ถามถึงสุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่ของเขาอย่างใส่ใจ
เขาพอจะมองออก ระยะหลังหลี่เจาเขียนจดหมายมาน้อยลงเรื่อยๆ
เนื้อหาก็สั้นกระชับลงทุกที ลายมือหวัดมากขึ้น กระดาษขาวอักษรดำ เขาไม่อาจจินตนาการถึงความโหดร้ายและความยากลำบากของสงครามได้แต่หลี่เจายังอุตสาหะอดทนผ่านมันมาได้และยังมีจิตใจแกล้วกล้าห้าวหาญที่จะรบต่อ
จะไม่ให้เขารู้สึกเลื่อมใสได้อย่างไร
“ฤดูหนาวผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิกำลังมาเยือน
อากาศกลับมาอบอุ่นอีกครั้ง เสื้อคลุมและถุงเท้าผ้าฝ้ายที่คุณชายเตรียมไว้ให้องค์รัชทายาทเห็นทีคงจะไม่ต้องใช้แล้วละขอรับ”
“เอาไว้ครึ่งปีหลังค่อยส่งไป
คงมีโอกาสได้ใช้บ้างละน่า”
“หา? องค์รัชทายาททรงชนะศึกใหญ่แล้วมิใช่หรือขอรับ
ได้ยินมาว่าตีทัพเป่ยเยว่แตกกระเจิงดุจบุปผาร่วงน้ำหลาก
บาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก คิดว่าพวกข้าศึกคงไร้พละกำลังต่อสู้ขัดขืนแล้ว
ทุกคนต่างบอกว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จกลับมาในเร็ววันนี้แล้วมิใช่หรือขอรับ”
“ไปฟังข่าวมาจากที่ใด
ช่างรู้ละเอียดเสียจริง”
“แน่นอนว่าบ่าวย่อมมีหนทางของบ่าว
คุณชายอย่าดูถูกว่าพวกเขาเป็นคนชั้นต่ำ บางทีพวกเขารู้ข่าวฉับไวที่สุดนะขอรับ”
ถังเยว่ส่ายหน้ายิ้มๆ “แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยดูถูกใคร เอาเถอะ
อย่ามัวพูดเรื่องพวกนี้อยู่เลย ครั้งนี้มีข้าวของที่ต้องตระเตรียมมากมาย
ข้าจะมอบภารกิจสำคัญให้เจ้า”
“เชิญคุณชายสั่งมาได้เลยขอรับ” เหอยืดอกตัวตรง มองถังเยว่ด้วยดวงตาเป็นประกายแวววาว
“พวกเราต้องเตรียมเสบียงและอาวุธให้องค์รัชทายาทจำนวนมาก
หนึ่งรายการสำคัญที่ต้องเตรียมคือกระเป๋าสะพายหลัง
สิ่งนี้ต้องสั่งทำต่างหากและต้องทำให้เสร็จเกินหมื่นชิ้นภายในสิบวัน
เรื่องนี้ข้ามอบให้เจ้าจัดการ”
เหอได้ยินแล้วเกิดความขลาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
ถ้าหากทำงานไม่สำเร็จจะส่งผลเสียหายต่อผู้คนจำนวนมาก
“วางใจเถอะ
เจ้าแค่ใช้ปากสั่งเท่านั้นและคอยควบคุมให้พวกเขาเร่งมือทำงานให้ว่องไวหน่อย
อย่าให้แอบหลบเลี่ยงลดวัสดุหรือไม่ละเอียดลออกับขั้นตอนการทำก็พอ”
เหอพยักหน้า “ขอรับ บ่าวจะจับตาดูให้ดี
จะไม่ปล่อยให้พวกเขามีโอกาสทำเช่นนั้นเป็นอันขาดขอรับ!”
ที่จริงแล้วการดูแลเรื่องแอบหลบเลี่ยงงานเป็นเพียงแค่เรื่องรองจุดประสงค์หลักของถังเยว่ก็แค่อยากให้เหอมีหน้าที่ความรับผิดชอบบ้างจะได้ไม่ต้องมาคอยป้วนเปี้ยนวนเวียนอยู่ใกล้เขาทั้งวัน
249 หายตัวไป
ความอดทนของถังเยว่ใกล้จะสิ้นสุดลงเต็มที
ต้องคอยเป็นห่วงระคนหวาดกลัวทุกวี่ทุกวัน ต้องนอนฝันร้ายอยู่เป็นประจำ
ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปบางทีเขาอาจจะแก่ก่อนวัยก็ได้
ทุกเช้าตื่นมาเพียงเห็นเส้นผมตนอยู่บนหมอนก็โศกเศร้าได้โดยไม่มีเหตุผล
ต้องนอนใจลอยอยู่บนเตียงคนเดียวสักพักถึงจะได้สติ
“คุณชาย...เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” พ่อบ้านผลักประตูเข้ามา ใบหน้าขาวซีด พูดปากคอสั่นจนฟันกระทบกันดังกึกๆ
ถังเยว่ใจกระตุก
รีบกระโดดลงจากเตียงทั้งที่สวมกางเกงเพียงตัวเดียว “เกิดอะไรขึ้น?”
“เมื่อครู่ในวังส่งคนมาแจ้งว่าเมื่อตอนย่ำรุ่งได้รับข่าวด่วน
หลังจากองค์รัชทายาทพาไพร่พลเข้าสู่เขตชายแดนเป่ยเยว่แล้ว จู่ๆ ก็หายตัวไปขอรับ”
“อะไรคือจู่ๆ ก็หายตัวไป
ทหารทั้งกองทัพตั้งไม่รู้กี่หมื่นนาย ยกทัพไปไหนทีแผ่นดินสะท้านแผ่นฟ้าสะเทือน
จู่ๆ จะหายตัวไปได้อย่างไร?” ถังเยว่ตะคอกถามเสียงดัง
เขาหวนนึกถึงความฝันเมื่อคืนที่ผ่านมาอย่างละเอียดว่าแท้จริงแล้วมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นหรือไม่
โดยพื้นฐานแล้วหลังตื่นขึ้นมาเขามักจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในความฝันและก็ฝันไม่แม่นด้วย
“บ่าวก็ถามเช่นนั้น
แต่คนที่มาแจ้งข่าวก็ไม่รู้แน่ชัดเช่นกัน บอกเพียงแค่ในวังส่งเขามาแจ้งข่าว
พูดจบก็รีบร้อนกลับไปขอรับ”
“ฮึ! ต้องเป็นข่าวปลอมแน่!”
ถังเยว่รีบสวมเสื้อผ้า
ใช้น้ำเย็นล้างหน้าแล้วเดินทางเข้าวังด้วยความร้อนใจ
ตอนนี้การประชุมเช้ายังไม่เลิก ถังเยว่มุ่งตรงเข้าท้องพระโรง
ทุกสายตามองมาทางเขาด้วยความฉงน แม้เขาจะเป็นบุรุษแต่ถึงอย่างไรก็ได้ชื่อว่าเป็นชายารัชทายาท
ย่อมไม่เคยมาปรากฏตัวในสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
ขุนนางหนานจิ้นสามารถยอมรับพระชายาที่เป็นบุรุษได้ก็นับว่าละเมิดกฎเกณฑ์มากพอแล้ว
จะให้พวกเขายอมให้พระชายามาร่วมประชุมราชกิจด้วยอีกหรือเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด! แม้พระชายาผู้นี้จะมีความสามารถยอดเยี่ยมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
แต่ก็ไม่อาจล้มล้างความคิดยึดติดแน่นหนาของพวกเขาได้
ถังเยว่วิ่งเต็มฝีเท้ามาตลอดทาง
ตอนนี้จึงเหงื่อไหลเต็มหน้า เหนื่อยจนหอบหายใจแทบไม่ทัน
ตอนวิ่งไปถึงท้องพระโรงสองขาอ่อนแรงจึงคุกเข่าลงไปทั้งอย่างนั้นขณะเอ่ยถาม “เสด็จพ่อ เรื่ององค์รัชทายาทหายตัวไปเป็นความจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
จักรพรรดิหนานจิ้นมิได้คิดเอาความ
เพียงตอบด้วยสีหน้าโศกเศร้าอาดูร
“เวลานี้ข่าวที่ได้รับมาเป็นเช่นนั้น”
“มิทราบว่าใครเป็นผู้ส่งข่าวมา? เรื่องเกิดขึ้นเมื่อใด? เมื่อไม่กี่วันก่อนลูกยังได้รับจดหมายจากรัชทายาทบอกว่าทรงปลอดภัยดีอยู่เลย”
จักรพรรดิหนานจิ้นพยักหน้าให้พลทหารสวมเสื้อเกราะนายหนึ่งในท้องพระโรง
“เจ้าเล่าสิ”
ถังเยว่หันไปมอง
อีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา
แน่นอนว่าทัพใหญ่มีทหารหลายหมื่นนายเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้จักได้หมด เขาจึงถาม
“เจ้ามีตำแหน่งใดในกองทัพ?”
พลทหารนายนั้นดูเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลีย
มองออกว่าเร่งเดินทางหามรุ่งหามค่ำเพื่อกลับมาเย่เฉิง เขากำลังนั่งพักอยู่บนพื้น
ด้านหน้ามีน้ำถ้วยหนึ่งตั้งไว้ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งได้พักเอาแรง
“ทูลพระชายา
ข้าพระองค์เป็นเพียงหัวหน้าหน่วยเล็กๆ ในกองทัพ อยู่รักษาการณ์เมืองฉู่โจว
ครั้งนี้ถูกส่งมาเพื่อแจ้งข่าวพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นพวกเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าองค์รัชทายาททรงหายตัวไป”ถังเยว่พูดเสียงดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“ก่อนที่ข้าพระองค์จะออกจากฉู่โจวก็มิได้รับข่าวคราวจากองค์รัชทายาทมาเป็นเวลาสิบวันแล้ว
เดิมทีจะมีทหารสอดแนมส่งจดหมายไปมาหาสู่กันทุกวัน…”
ถังเยว่พูดขัดขึ้น “บางทีอาจจะแค่เกิดเหตุร้ายขึ้นกับทหารสอดแนมก็เป็นได้”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ
ทุกคนก็เคยคิดเช่นเดียวกันกับที่พระองค์ทรงคาดเดา
ดังนั้นจึงได้ส่งกำลังคนและม้าจำนวนมากออกไปตามหาทุกวัน แต่น่าเสียดายที่ตามหาอย่างต่อเนื่องมาหลายวันแล้วกลับไม่พบร่องรอยใดๆ
ขององค์รัชทายาทเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“นายทัพท่านไหนอยู่รักษาการณ์ในเมืองฉู่โจว?”
“แม่ทัพหูพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าถังเยว่เผือดสีลงทันที
หูจินเผิงมิใช่คนบุ่มบ่าม ในเมื่อเขาส่งคนกลับมาแจ้งข่าวนั่นย่อมแสดงว่าพยายามใช้ทุกวิธีแล้วแต่ยังไม่สามารถติดต่อหลี่เจาได้
“ครั้งล่าสุดที่ได้รับข่าวจากองค์รัชทายาทพระองค์อยู่ที่ใด?”
“อยู่ที่อำเภอซุ่นเต๋อ
เมืองลี่เฉิงในเป่ยเยว่พ่ะย่ะค่ะ ลี่เฉิงมีทหารรักษาการณ์สามหมื่นนาย
องค์รัชทายาททรงยึดลี่เฉิงได้ภายในคืนเดียวจากนั้นทรงพักเพียงไม่นานก็เคลื่อนทัพขึ้นเหนือเพื่อบุกตีต่อ
แม่ทัพหูคาดการณ์ว่าองค์รัชทายาทน่าจะหายไปในหุบเขาจินซีที่อยู่เหนืออำเภอซุ่นเต๋อขึ้นไปสามสิบลี้พ่ะย่ะค่ะ”
“หุบเขาอีกแล้ว!” หัวคิ้วถังเยว่ขมวดเป็นปมแน่น
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของหุบเขาอันตรายและน่ากลัวเกินไป
ปกติแล้วเป็นสถานที่ที่กองกำลังทหารซึ่งดักซุ่มโจมตีชื่นชอบมากที่สุด
เป็นไปได้ว่ากองทัพของหลี่เจาอาจถูกกองกำลังทหารข้าศึกดักซุ่มโจมตีจนพ่ายแพ้ยับเยินไปแล้วก็เป็นได้
เชื่อว่าขุนนางจำนวนไม่น้อยซึ่งอยู่ในที่นี้ต่างก็มีความคิดเช่นนี้ด้วยกันทั้งสิ้น
แต่ถังเยว่ไม่เชื่อ! หลี่เจานำทัพขึ้นเหนือ มีไพร่พลหกหมื่นโดยประมาณ
ภายในนั้นยังมีกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลอีกเกือบหนึ่งหมื่นนาย
ต่อให้ไร้ความสามารถสักเพียงใดก็ไม่น่าจะถึงกับหนีเอาชีวิตรอดออกมาไม่ได้แม้แต่คนเดียว
เขามั่นใจในกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลอย่างเต็มร้อย
ถังเยว่ตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งจึงทูลถามจักรพรรดิ “เสด็จพ่อ ทรงวางแผนว่าจะทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?”
“หาต่อไป คนเป็นต้องเห็นตัว
คนตายต้องเห็นศพ ยิ่งไปกว่านั้นรัชทายาทเพิ่งหายตัวไปแค่ไม่กี่วันเท่านั้น
อย่าเพิ่งสร้างความแตกตื่นให้พวกเรากันเอง”
เหิงกั๋วกงพยักหน้า ในใจเขาเองก็นึกเป็นห่วงไม่แพ้กัน
ลูกชายคนเดียวของเขาอยู่ตำแหน่งทัพหน้า
แต่ยังดีที่เขามีสติจึงเอ่ยความเห็นอย่างรอบคอบ
“ตามการคาดเดาของกระหม่อม
ในสถานการณ์เช่นนี้บางทีรัชทายาทอาจเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน
หน่วยสอดแนมที่ส่งออกไปจึงติดต่อไม่ได้ หรือมีความเป็นไปได้อีกอย่างคือองค์รัชทายาทอาจติดอยู่ในที่ใดที่หนึ่งทำให้ขาดการติดต่อ
ส่งข่าวออกมาไม่ได้ชั่วคราว ครั้งก่อนศัตรูมีทหารมากถึงหนึ่งแสนสองหมื่น
รัชทายาทยังทรงฝ่ามาได้ทั้งยังสามารถชิงเมืองฉู่โจวกลับคืนมา
ต่อให้เป่ยเยว่เก่งกาจสักเพียงใดก็ไม่น่าจะทำอะไรพระองค์ได้”
หนานจิ้นกับเป่ยเยว่สู้รบกันมานานปี
สองฝ่ายถือว่าต่างรู้ตื้นลึกหนาบางของกันและกัน มีแต่ครั้งนี้เท่านั้นที่จู่ๆ
ก็มีกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลซึ่งรัชทายาทเก็บเป็นความลับสุดชีวิตโผล่ขึ้นมา
นี่มิใช่เพียงผลลัพธ์อันเกิดจากกำลังคนและทุนทรัพย์เท่านั้น
ยังมีคำชี้แนะจากถังเยว่ที่ข้ามมิติกาลเวลามานับพันปีอีกด้วย
แน่นอนว่าเป่ยเยว่เองก็ย่อมต้องมีไพ่ตายของตนเช่นกัน
แต่ไพ่ตายนั้นจะทำอะไรทัพใหญ่ของรัชทายาทได้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็รับมือไม่ไหวแน่
ที่พวกเขากังวลคืออันตรายที่ไม่คาดคิดอย่างครั้งนี้ต่างหาก
เพราะพวกเขาไม่ได้รับข่าวสารใดๆ และไม่อาจส่งกองหนุนไปช่วยได้
ยิ่งไปกว่านั้นที่นั่นอยู่ในเขตแดนเป่ยเยว่
อยู่ห่างจากเมืองเย่เฉิงหนึ่งแสนแปดพันลี้
แค่เวลาที่ต้องใช้ในการเดินทางก็เพียงพอที่จะทำให้สงครามในสนามรบเกิดการเปลี่ยนแปลงนับพันนับหมื่นครั้ง
เหล่าขุนนางเสนาบดีโต้เถียงกันไปมา
จากเรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก
มีบางคนคิดเพ้อฝันว่าไม่แน่รัชทายาทเจาอาจตีถึงเมืองจิงตูอันเป็นเมืองหลวงของเป่ยเยว่ได้แล้ว
เพราะรวดเร็วเกินไปดังนั้นทุกคนจึงหาไม่เจอ ถังเยว่ฟังแล้วได้แต่หัวเราะเหอะๆ
หากเป่ยเยว่ถูกตีแตกได้ง่ายดายขนาดนั้นคงไม่สู้รบยืดเยื้อกับหนานจิ้นมาหลายสิบปีหรอกกระมัง
พวกเขามีกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลก็จริง
แต่ผู้พิทักษ์เกราะนิลมีเพียงหนึ่งหมื่นนาย
อีกอย่างก็ไม่ถึงกับว่าจะไร้ผู้ต่อกรเสียทีเดียว
หากอยากตีเป่ยเยว่ให้แตกพ่ายได้จริงจะอาศัยไพร่พลเพียงหกหมื่นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้แน่
ในจดหมายหลี่เจาเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับกลยุทธ์ศึกสงครามน้อยมาก
เพราะเกรงว่าจะถูกคนแพร่งพรายกลยุทธ์ทางการทหาร
แต่ถังเยว่ก็พอจะคาดเดาความคิดของเขาได้อยู่บ้าง
หลี่เจาบุกตีขึ้นเหนือในคราวเดียว
ข้อแรกเป็นเพราะคิดฉวยโอกาสช่วงที่เป่ยเยว่ยังจัดทัพตั้งรับไม่ทันชิงเป็นฝ่ายโจมตีและยึดครองดินแดนส่วนหนึ่งมาให้ได้ก่อน
ข้อสองคงหวังให้เหล่าทหารได้กู้หน้าล้างอายในศึกครั้งก่อนหน้านี้
และถือโอกาสสร้างผลงานความดีความชอบไปด้วยเลยทีเดียว
หากบอกว่าเป้าหมายของหลี่เจาคือเมืองหลวงเป่ยเยว่ ถังเยว่ไม่เชื่อแม้แต่น้อย
“เสด็จพ่อ
ข่าวด่วนจากฉู่โจวถึงเย่เฉิงเร็วที่สุดต้องใช้เวลาสิบถึงสิบห้าวัน
ระหว่างนั้นอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้มากมาย ไม่แน่ว่าองค์รัชทายาทอาจกลับเมืองแล้ว
แต่พวกเรากลับคาดเดากันไปต่างๆ นานาอยู่ที่นี่
มิสู้ส่งคนไปดูไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ถังเยว่คิดไตร่ตรองอยู่ในใจ
“มีเหตุผล” จักรพรรดิหนานจิ้นตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง
กวาดตาไปรอบๆ ก่อนมีบัญชา “เหิงกั๋วกง
เจ้าไปดูสักครั้งเถอะ เหล่าคนหนุ่มในราชสำนักแห่งนี้มีประสบการณ์น้อยเกินไป
ยามเกิดเหตุคับขันยังต้องให้ขุนนางเฒ่าอย่างพวกเจ้าช่วยออกหน้าต้านภัย”
เหิงกั๋วกงขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณนับพันนับหมื่นครั้งต่อให้จักรพรรดิหนานจิ้นไม่เอ่ยชื่อ
เขาก็ตั้งใจจะขันอาสาไปดูสถานการณ์ด้วยตนเองอยู่แล้ว
ไม่ว่าลูกชายหรือรัชทายาทล้วนเป็นคนที่เขาห่วงใย
หลังเลิกประชุม
ถังเยว่เดินออกมาพร้อมเหิงกั๋วกงแล้วจ้องมองเขาราวกับสุนัขที่ขอเนื้อไม่ได้
ส่งสายตาละห้อยจนเหิงกั๋วกงทนไม่ไหว
“พระชายาอย่าร้อนใจไปเลย
ข้าไปด้วยตนเองเช่นนี้ท่านยังมีเรื่องใดไม่วางใจอีกหรือ?”
ถังเยว่อยากบอกเหลือเกินว่าถ้าไม่ได้ไปเห็นกับตาตนเองเขาย่อมไม่มีทางวางใจได้แน่
แต่ก็พูดได้เพียง “เช่นนั้นท่านก็ต้องระวังตัวด้วย
ท่านก็อายุมากแล้ว ต้องเร่งบุกป่าฝ่าดงเดินทางไกล ร่างกายอาจทนรับไม่ไหว”พูดจบก็ถอนหายใจหลายเฮือกก่อนจะทำท่าเสนอความคิด “เอาอย่างนี้ดีไหม
ข้าอาสาขอร่วมเดินทางไปด้วยจะได้คอยดูแลสุขภาพท่านระหว่างเดินทาง”
เหิงกั๋วกงฟังแล้วถึงกับหนวดกระดิก
“พระชายา
ท่านมีแผนใดในใจมีหรือองค์จักรพรรดิจะมิทรงทราบ ในเมื่อไม่ทรงเอ่ยชื่อ
นั่นก็หมายความว่าท่านต้องอยู่เฝ้าเมืองเย่เฉิงต่อไปฝ่าบาทไม่ทรงปล่อยให้ท่านมีโอกาสเดินทางไปต่างถิ่นอย่างแน่นอน”
“จะให้ข้าอยู่เย่เฉิงแล้วได้แต่ร้อนใจก็หามีประโยชน์อันใดไม่”
“จะไม่มีประโยชน์ได้อย่างไร
ขอเพียงมีท่านอยู่เย่เฉิงจวนรัชทายาทก็จะยังคงเป็นจวนรัชทายาท ใครก็ไม่กล้าติฉินนินทากล่าวคำครหา
ท่านต้องจำไว้ให้ดีเมืองเย่เฉิงแห่งนี้คือรากฐานที่แท้จริงขององค์รัชทายาท
หากท่านสามารถรักษาที่นี่ไว้ได้ก็เท่ากับสามารถรักษาแผ่นดินครึ่งหนึ่งไว้ให้องค์รัชทายาทได้
ภารกิจของพระชายาหนักหนาเอาการเลยทีเดียว”
ถังเยว่เข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี ตอนนั้นที่เขากลับมาก็เพราะเหตุผลนี้มิใช่หรือ...
ข่าวจากชายแดนถูกปิดกั้น
หากมีข่าวโคมลอยแพร่มายังเมืองเย่เฉิง
ทุกคนต่างคิดว่ารัชทายาทมีอันเป็นไปขึ้นมาก็จะเหมือนกับครั้งนี้
ไม่แน่อาจมีคนทูลเสนอให้แต่งตั้งรัชทายาทองค์ใหม่ก็เป็นได้
หลายปีมานี้เหล่าองค์ชายเติบใหญ่ขึ้นหลายคนและใช่ว่าจะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยทั้งหมดเสียที่ไหน
บวกกับแรงยุแยงไม่แน่จู่ๆ อาจมีคู่แข่งโผล่ขึ้นมาก็เป็นได้
เหตุผลนี้ถังเยว่ย่อมเข้าใจดี
แต่สำหรับเขาแล้วชีวิตคนทั้งแผ่นดินหนานจิ้นรวมกันยังสำคัญไม่เท่าหลี่เจาเพียงคนเดียว
อำนาจทางการทหารของหนานจิ้นก็มีเพียงส่วนน้อยที่คนนอกสามารถสั่งการได้
หากมีคนฉวยโอกาสก่อกบฏขึ้นจริงอย่างมากเมื่อหลี่เจากลับมาค่อยแย่งคืนมาก็ได้
“ที่องค์จักรพรรดิเลือกใช้ข้าไปครั้งนี้บางทีอาจต้องการให้ข้าอยู่ข้างกายองค์รัชทายาทต่อ
นอกจากพาไพร่พลไปด้วยสองหมื่นนาย กำลังพลที่เหลือสามหมื่นข้าขอมอบให้พระชายา”
เหิงกั๋วกงหันมาขยิบตาส่งสัญญาณให้เขา
เพียงพริบตาถังเยว่ก็กลายเป็นมหาเศรษฐีที่มีอำนาจทางการทหารอยู่ในมือไปแล้ว
ยังไม่ทันจะปลุกใจให้ฮึกเหิมก็กดดันเพราะภาระหนักอึ้งที่ต้องแบกรับอยู่บนบ่า
ไพร่พลเหล่านี้มิใช่ผู้ที่จะควบคุมกันได้ง่ายๆ หากเป็นไปได้เขาก็หวังว่าจะไม่ต้องใช้ตลอดไปเลยจะดีกว่า
เพราะทันทีที่ต้องใช้ย่อมหมายความว่าเกิดวิกฤติในเมืองเย่เฉิงแล้ว
เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ
แล้วตอบอย่างหนักแน่น
“ข้าเข้าใจแล้ว”
250 ข้าก็มิได้เป็นอาจารย์
คืนวันแห่งการรอคอยช่างยาวนานเหลือเกิน
ทุกวันตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก จากพระอาทิตย์ตกรอคอยให้ขึ้นใหม่
ถังเยว่ได้แต่เฝ้ารอว่าจะมีข่าวใหม่ส่งมาด้วยความเป็นทุกข์และกังวลใจ
“คุณชาย
มีเทียบเชิญใหม่ส่งมาจากจวนมู่เอินโหว
อยากเชิญให้ท่านไปช่วยตรวจดูอาการที่จวนขอรับ” พ่อบ้านนำเทียบเชิญฉบับหนึ่งมาวางไว้ข้างหน้า
ถังเยว่เงยหน้าขึ้น ขอบตาดำคล้ำ
หน้าเหลืองเหมือนเทียนไข ดูอ่อนเพลียทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด
ไม่เหมือนคนหนุ่มซึ่งอยู่ในวัยกำลังรุ่งโรจน์เลยสักนิด
พ่อบ้านมองด้วยความปวดใจแล้วพูดปลอบหวังให้เขาสบายใจขึ้น
“คุณชาย ไม่มีข่าวส่งมาย่อมหมายถึงข่าวดี
ในครอบครัวคนทั่วไปหากลูกหลานไปเกณฑ์ทหารล้วนหวังให้ไม่มีข่าวใดๆ
ส่งกลับมาจะเป็นการดีที่สุด ท่านควรผ่อนคลายทำใจให้สบายนะขอรับ”
ถังเยว่พยักหน้าไม่กล่าวคำใด
ลงมือเขียนบทความที่ยังเขียนไม่เสร็จต่อ
“เดี๋ยวข้าน้อยจะเป็นผู้ตอบเทียบเชิญฉบับนี้เอง
เวลานี้ท่านควรพักผ่อนให้มากจะดีที่สุด”
“ไม่ต้อง
แค่ขอเปลี่ยนให้เขามาที่จวนเราในช่วงบ่าย มู่เอินโหวก็มิใช่คนเลวร้าย
แม้ลูกชายจะไม่ค่อยได้ความแต่ก่อนหน้านี้ข้าติดค้างหนี้บุญคุณเขาหนึ่งครั้ง
จะได้ถือโอกาสใช้หนี้ที่ติดค้างกันไว้สักที”
“เช่นนั้นคุณชายไปพักก่อนเถอะ
บ่าวจะให้ห้องครัวส่งน้ำแกงร้อนๆ มาให้”
ถังเยว่ไม่ได้ปฏิเสธ
เขารู้ว่าเวลานี้ตนฝืนร่างกายเกินไป
ช่วงกลางวันของทุกวันต้องตรากตรำทำงานหกชั่วยามขึ้นไป
ยังต้องใช้เวลาสองชั่วยามอยู่กับเสี่ยวลั่วลั่ว
เวลาที่จะได้นอนพักน้อยนิดนั้นไม่เพียงพอมิหนำซ้ำยังหลับไม่สนิท
“อย่าลืมส่งคนไปเฝ้าที่นอกเมืองด้วย
หากมีข่าวคราวความคืบหน้าให้รีบแจ้งมาทันที เหิงกั๋วกงไปจากเย่เฉิงสองเดือนแล้ว
คำนวณเวลาดูน่าจะมีข่าวส่งมาในเร็ววันนี้”
ลมหนาวจากไป ใบไม้ผลิมาเยือน ดอกไม้ร่วงโรย
ลมร้อนเลือนหาย ตอนนี้ล่วงเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงอีกครั้ง ลมหนาวกำลังจะกลับมาเยือนในอีกไม่ช้า
เมื่อนับดูเขากับหลี่เจาพลัดพรากจากกันจวนครบหนึ่งปีแล้ว
“คุณชายวางใจเถอะ
มีคนเฝ้าอยู่ที่นั่นตลอดทั้งปี ท่านลืมไปแล้วหรือ ซานอายุมากแล้ว
ท่านจึงให้เขาเกษียณไม่ต้องทำงาน เขาอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงอาสารับหน้าที่นี้
ไปนั่งอาบแดดอยู่หน้าประตูเมืองเป็นประจำทุกวันมีทหารยามเป็นเพื่อนคุย
วันคืนผ่านไปอย่างมีความสุขสบายใจ”
“ซานน่ะหรือ…จริงสิ
ไม่เจอเขานานแล้ว สุขภาพเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
ถังเยว่จำได้ว่าฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว
ซานเป็นลมไปครั้งหนึ่ง ตรวจดูถึงได้รู้ว่าหัวใจมีปัญหา นับแต่นั้นมาจึงไม่ให้เขาคอยรับใช้ข้างกายอีกแต่ให้เขาได้พักผ่อนใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข
แม้ตอนนี้ยังไม่มีระบบเกษียณอายุ
คนแก่ล้วนแต่ต้องพึ่งพาลูกหลาน
ดังนั้นจึงมีความคิดเลี้ยงลูกเอาไว้ดูแลตนเองยามแก่เฒ่า
แต่ถังเยว่ปฏิบัติกับคนในจวนอย่างใจกว้างเสมือนเป็นคนในครอบครัว เมื่อแก่เฒ่าถึงวัยที่สมควรเกษียณอายุก็จะส่งไปอยู่รวมกันในเรือนที่ชานเมือง
มีคนหนุ่มสาวคอยรับใช้อยู่ใกล้ชิด ให้พวกเขาได้ใช้ช่วงสุดท้ายของชีวิตอย่างเป็นสุข
“สบายดีขอรับ เขาเป็นคนฝึกยุทธ์
ร่างกายจึงแข็งแรงกว่าคนทั่วไปหลายเท่านัก”
พ่อบ้านพูดด้วยใบหน้าเกลื่อนรอยยิ้ม จุดเด่นของพระชายาคือให้ความเคารพผู้อาวุโส
รักเด็ก จึงได้ใจคนแก่ไปเต็มๆ
ทันทีที่คิดว่าเมื่อตนแก่เฒ่าก็จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยมั่นคงสงบสุข
เขาก็ไม่ต้องห่วงกังวลใดๆ อีก
หลังจากบ่าวไพร่ในจวนรู้กฎข้อนี้แต่ละคนยิ่งเร่งไขว่คว้าหาความก้าวหน้า
เรื่องที่คนเป็นบ่าวไพร่หวาดกลัวที่สุดคือสิ่งใดน่ะหรือ
ก็คือในยามหน้าสิ่วหน้าขวานจะถูกเจ้านายทอดทิ้งน่ะสิ แต่พระชายาเปี่ยมด้วยเมตตา
ปฏิบัติกับบ่าวเฒ่าที่แม้ไร้ความสามารถจะทำงานได้แล้วก็ยังให้ความเสมอภาค
ไม่เพียงให้เขาได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข ยังเลี้ยงดูอย่างดี ช่างเป็นบุญวาสนาของพวกเขายิ่งนัก
เวลานี้มีบ่าวไพร่ในจวนตั้งไม่รู้เท่าไรเฝ้ารอคอยวันที่พวกเขาจะแก่ชรา
จะได้เสพสุขวาสนานั้น ไม่ต้องทำงานและได้ใช้ชีวิตเสมือนดั่งเป็นเจ้านายคนหนึ่ง
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่พระชายามอบให้
เช่นนี้แล้วจะมีใครไม่ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระชายาอีกหรือ
ตอนบ่ายมู่เอินโหวมาเยี่ยมเยือนถึงจวนโดยถูกคนหามเข้ามา
ใบหน้าของเขาขาวซีด พอเห็นถังเยว่ก็ตื่นเต้นจนพูดจาฟังไม่ได้ศัพท์
“เกิดอะไรขึ้น? จำได้ว่าตอนต้นปีข้าได้พบท่านโหวก็ยังสุขภาพแข็งแรงดีอยู่
ยังวิ่งได้กระโดดได้อยู่เลยนี่นา” ถังเยว่แสดงความเป็นห่วงเป็นใย
ล้างมือจนสะอาดแล้วสวมถุงมือเตรียมตรวจดูอาการให้ผู้มาเยือน
“เฮ้อ! เรื่องมันยาว” มู่เอินโหวสั่งให้คนประคองเขาลุกแล้วเลิกชายเสื้อขึ้น
เผยให้เห็นขาข้างหนึ่งที่ยืนตรงไม่ได้ “หลายวันก่อนข้าไปขี่ม้าที่นอกเมือง
ไม่ดูสังขารตัวเองนึกว่ายังหนุ่มแน่นแข็งแรงอยู่
ผลปรากฏว่าตกจากหลังม้าจนมีสภาพอย่างที่เห็น”
“แค่ขาหักอย่างเดียวหรือ?” ถังเยว่คลำกระดูกขาเบาๆ
พบรอยกระดูกหักแต่ได้รับการรักษาเยียวยาแล้วเขาจึงขมวดคิ้วถาม “กระดูกที่หักก็ได้รับการรักษาแล้วนี่ ผลการเชื่อมต่อก็ค่อนข้างดีด้วย
ท่านไม่สบายตรงไหนอีกหรือ?”
มู่เอินโหวส่ายหน้า “ความจริงแล้ววันนี้ที่ข้ามาหาท่านถึงนี่มิใช่เพื่อตรวจดูอาการบาดเจ็บ
แต่เพราะข้ามีเรื่องมาขอร้อง”
ถังเยว่ปล่อยชายเสื้อเขาลง “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เชิญท่านพูดมาได้เลย”
มู่เอินโหวทอดถอนใจกล่าว “ต้องโทษที่ลูกข้ามันไม่เอาถ่าน เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้เขาไปมีเรื่องกับชาวบ้านจึงถูกคนลอบกัดเข้าให้
หมู่นี้มักอารมณ์แปรปรวน ข้าเกรงว่าเขาจะเกิดเรื่อง
ได้แต่อกสั่นขวัญแขวนอยู่ทุกวันข้าได้ข่าวว่าเมื่อก่อนคุณชายเคยดัดนิสัยซื่อจื่อแห่งเหิงกั๋วกงจนเขากลายเป็นคนดีได้
ไม่ทราบว่าคุณชายช่วยรักษาลูกข้าอีกสักคนจะได้หรือไม่?”
“ท่านจะให้ข้าช่วยดัดนิสัยเขางั้นหรือ?”
“ถูกต้องที่สุด
ข้ารู้ว่าคุณชายมีงานรัดตัว ตามหลักแล้วไม่ควรมารบกวน
แต่ครั้งนี้หลังจากข้าได้รับบาดเจ็บเห็นเขาเหมือนสำนึกผิดจึงอยากจะช่วยเขา
หวังว่าคุณชายจะให้อภัย เห็นแก่จิตใจของคนเป็นพ่อที่รักลูก”
“แน่นอน” ถังเยว่พูดยิ้มๆ “คำขอร้องของท่านเป็นเรื่องปกติมาก เพียงแต่ข้างานยุ่งมากจริงๆ
เกรงว่าคงไม่ว่างที่จะแนะนำสั่งสอนบุตรชายท่าน แต่ข้าคิดว่ามีที่หนึ่งเหมาะกับเขา”
“หือ ที่ใดหรือ?”
“สนามรบ” ถังเยว่เพิ่งพูดได้แค่นั้นก็เห็นสีหน้าฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนไปทันตา
เขาจึงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “บัดนี้แผ่นดินมีภัย
มีลูกผู้ชายมากมายที่ไปแสดงความจงรักภักดีตอบแทนแผ่นดินอยู่ในสนามรบ
ยอมพลีชีพไม่เกรงกลัวต่อความตาย
เมื่ออยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนั้นย่อมไม่มีทางทำเรื่องชั่วช้าได้แน่”
“เอ่อ…เกรงว่าจะไม่เหมาะ
ลูกข้าถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย
แบกรับภารกิจใหญ่หลวงเช่นนั้นไม่ไหวหรอก...”
ถังเยว่ถามแทรกขึ้น “ท่านโหวรู้สึกว่าจ้าวซานหลางเป็นคนอย่างไร?”
มู่เอินโหวครุ่นคิดสักพัก “นิสัยดีกว่าลูกชั่วของข้ามาก เพียงแต่…”
“เพียงแต่เป็นทายาทลูกผู้ดีมีเงินที่ไม่เอาการเอางานถูกต้องหรือไม่?”
“เหอะๆ หากลูกชายข้าเป็นได้อย่างเขา
ข้าก็พอใจแล้ว”
นี่คือความคิดในแบบที่เทียบคนเก่งไม่ได้
แต่หากเทียบกับคนธรรมดายังพอไหว ผู้เป็นบิดามักจะคิดกันเช่นนี้
ทันทีที่บุตรชายของเขาเทียบกับจ้าวซานหลางได้ก็จะเรียกร้องอยากให้ลูกเก่งกว่านี้
ดีกว่านี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ท่านรู้หรือไม่ว่าเวลานี้จ้าวซานหลางทำอะไร
อยู่ที่ไหน?”
“ได้ยินว่าเขาไปติดตามองค์รัชทายาท
นอกจากนั้นข้าก็ไม่รู้”
“ท่านเคยได้ยินหรือไม่ว่าใต้สังกัดองค์รัชทายาทมีทหารส่วนพระองค์กองทัพหนึ่ง?”
มู่เอินโหวหัวเราะเหอะๆ
สีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย ขุนนางทั่วทั้งราชสำนักต่างรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี
ทุกคนต่างมีทัศนะความคิดเห็นแตกต่างกัน
หากจะพูดกันตามตรงสุดท้ายก็คือเรื่องใหญ่ที่ละเมิดกฎเกณฑ์
ไม่รู้ว่าพระชายากำลังคิดสิ่งใดอยู่ถึงหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูด
มู่เอินโหวจึงได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อน
“ทหารกองทัพนั้นก็คือทหารราบเกราะหนักทัพหนึ่ง
จ้าวซานหลางก็เป็นหนึ่งในจอมทัพชั้นสูงของกองทัพนั้น
เขาใช้ความสามารถของตัวเองสร้างผลงานไต่เต้าขึ้นมา
ท่านรู้หรือไม่ว่าหลายปีมานี้เขามีชีวิตความเป็นอยู่เช่นไร?”
มู่เอินโหวประหลาดใจเล็กน้อย ข้อแรก
แปลกใจที่พระชายาเป็นฝ่ายเอ่ยเรื่องนี้กับเขาก่อน ข้อสอง
เขาอยากรู้ว่าจ้าวซานหลางผ่านประสบการณ์ชีวิตอย่างไรกันแน่
ได้ยินว่าซื่อจื่อแห่งเหิงกั๋วกงก็ติดตามองค์รัชทายาทเช่นกัน
หากวิเคราะห์จากอารมณ์ในตอนนี้ของเหิงกั๋วกง
ลูกชายเขาจะต้องมีพัฒนาการไปในทิศทางที่ดีขึ้นแน่ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ยิ้มกริ่มทั้งวัน
“หนึ่งปีมีสามร้อยหกสิบห้าวัน
หนึ่งวันมีสิบสองชั่วยาม ในระยะเวลาห้าปีมานี้จ้าวซานหลางแทบไม่ได้หยุดพักเลย
เขาฝึกแล้วฝึกอีก ฝึกซ้อมฝึกฝนอยู่อย่างนั้น
เสียเหงื่อไปมากมายไม่รู้เท่าไรกว่าจะได้รับการยอมรับจากทุกคนในที่สุด
ความจริงเขาไม่ต้องดิ้นรนถึงขนาดนี้ก็ได้
ด้วยความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อนทุกคนย่อมต้องยื่นมือช่วยเหลือเขาแน่
แต่เขาไม่อยากเป็นหุ่นเชิดของใคร
ไม่อยากถูกคนอื่นคิดว่าหลังออกมาจากจวนเจิ้นกั๋วกงแล้วเอาตัวไม่รอด
ท่านคิดว่าความขยันหมั่นเพียรหลายปีมานี้ของเขาอาศัยสิ่งใดประคับประคองงั้นหรือ?”
นานแล้วที่มู่เอินโหวไม่ได้ยินคนเอ่ยถึงเจิ้นกั๋วกง
หลังจากเขาล่วงลับตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงก็ถูกราชสำนักริบคืน
บุตรชายคนโตซึ่งเกิดแต่อนุภรรยาของเขาจนบัดนี้ก็เป็นได้แค่ขุนนางเล็กๆ ในกองทัพ
เกรงว่าชาตินี้ทั้งชาติคงไม่ต้องหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งกับใครเขา มู่เอินโหวไม่รู้ว่าสิ่งต่างๆ
ที่เกิดขึ้นพระชายามีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่
แต่ก็สามารถสรุปได้ว่าในตอนนี้เขากลายเป็นคนไร้อนาคตไปแล้ว
ตรงกันข้ามกับจ้าวซานหลางที่เคยถูกมองข้าม
สุดท้ายกลับกลายเป็นเพชรที่ยังไม่ถูกเจียระไน
รอให้เขาชนะศึกกลับมาคาดว่าตำแหน่งขุนนางน่าจะสูงกว่าตนด้วยซ้ำ
“ปณิธานอย่างไรเล่า
เขาอาศัยความมุ่งมั่นตั้งใจ ไม่ย่อท้อต่อปัญหาอุปสรรค
ไม่หวาดกลัวว่าจะได้รับบาดเจ็บหรือป่วยไข้ ยืนหยัดมุ่งมั่นมาตลอดห้าปีเต็ม
เอาไว้ท่านโหวได้เจอเขาคราวหน้า
ค่อยดูว่าเขาเหมือนหรือต่างจากที่ท่านจินตนาการไว้ก็แล้วกัน”
“เหอะๆ” มู่เอินโหวหัวเราะแห้งๆ
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีความคิดที่จะส่งลูกไปออกรบ
สถานการณ์ของทัพใหญ่ตอนนี้เป็นเช่นไรก็ยังไม่รู้
กระทั่งรัชทายาทก็ยังไม่แน่ว่าจะได้กลับมาหรือไม่ ถ้าเขาส่งลูกไปสนามรบ
มิเท่ากับเป็นการส่งลูกไปตายหรอกหรือ?
“รบกวนคุณชายแล้ว ข้าขอตัวกลับไปสั่งสอนเขาก่อน
ให้เขาได้เข้าใจว่าตัวเองคนละชั้นกับชาวบ้าน จะเฆี่ยนตีจนกว่าเขาจะได้ดี”
ถังเยว่ไม่ฝืนใจอีกฝ่าย
นี่เป็นสามัญสำนึกของคนทั่วไป
เพียงแต่เขาไม่ชอบวิธีสั่งสอนแบบตามใจให้ท้ายลูกของมู่เอินโหว
การสอนลูกไม่ใช่ว่ายิ่งให้ท้ายจะยิ่งเป็นผลดี ให้ท้ายตอนนี้จะก่อให้เกิดหายนะในวันหน้า
ไว้ถึงเวลานั้นจะใช้สิ่งใดมาลบล้างความผิดของเขาได้
หลังจากพ่อบ้านออกไปส่งมู่เอินโหว
ถังเยว่ก็นั่งเหม่อใจลอยสักพัก
กระทั่งพ่อบ้านเดินกลับมาพบว่าถังเยว่ยังนั่งอยู่ในท่าเดิมตั้งแต่ก่อนที่เขาจะออกไปจึงพูดเตือน
“คุณชาย ท่านปฏิเสธมู่เอินโหวเช่นนี้
เขาจะไม่จดบัญชีแค้นไว้ในใจหรือขอรับ?”
“ถ้าเขาจิตใจคับแคบเช่นนั้น
ก็ปล่อยให้เขาคิดแค้นไปเถอะ”
ถังเยว่ไม่คิดจะเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
เขาไม่ได้เป็นครูที่จะต้องมาคอยรับผิดชอบอบรมสั่งสอนลูกชาวบ้าน
ขณะที่ถังเยว่กำลังจะกลับไปห้องทรงพระอักษร
บ่าวคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจากด้านนอกพูดละล่ำละลักว่า “คุณชาย...นอกประตูเมืองมีข่าวส่งมาบอกว่า…เห็นม้าเร็วตัวหนึ่งวิ่งเข้าเมืองมา
ถือป้ายผ่านด่านจากชายแดนมาด้วย ตอนนี้เข้าวังไปแล้วขอรับ!”
ถังเยว่ผุดลุกขึ้นโพล่งถามทันควัน “ได้ข่าวใดบ้างหรือไม่?”
“ไม่เลยขอรับ คนผู้นั้นรีบร้อนมาก
ซานตามไปได้ระยะหนึ่งก็ตามต่อไม่ทันแล้ว ตอนนี้ซานเฝ้าอยู่นอกพระราชวัง
หากมีความคืบหน้าจะรีบส่งคนกลับมาแจ้งข่าวให้ทราบทันทีขอรับ”
ถังเยว่วิงวอนต่อสวรรค์ขอให้หลี่เจารอดพ้นด่านนี้ได้อย่างราบรื่นไม่เช่นนั้นชีวิตที่เหลือจากนี้ของเขาจะมีความหมายใดอีก!
251 พวกเจ้ามาจับชู้สินะ?
ถังเยว่ยิ่งรอยิ่งร้อนใจ จึงสั่งให้พ่อบ้านเตรียมรถม้าส่วนตัวเองกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ แล้วรีบขึ้นรถม้าเข้าวังทันที
“พระชายา ขอโปรดพระราชทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ
จักรพรรดิทรงมีรับสั่งไว้ ไม่ว่าใครก็ไม่อนุญาตให้รบกวน ข้าบาทเคยทูลแจ้งให้ทรงทราบแล้วมิใช่หรือ?”
หน้าห้องทรงพระอักษร ขันทีใหญ่เอ่ยกับถังเยว่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
ถังเยว่รู้ว่าเขาตัดสินใจเองโดยพลการไม่ได้ต้องมีบัญชาจากจักรพรรดิจึงถามกลับไป
“ทหารที่มาแจ้งข่าวจากฉู่โจวกำลังกราบทูลจักรพรรดิอยู่ด้านในหรือ?”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
“เข้าไปนานแค่ไหนแล้ว?”
“ประมาณครึ่งชั่วยามแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขามาส่งข่าวเรื่องใด?”
ขันทียิ้มแล้วยิ้มอีก “ทรงเย้าข้าบาทแล้ว ข่าวประเภทนี้ข้าบาทจะรู้ได้อย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
ถังเยว่ไม่อยากสร้างความลำบากใจให้เขาจึงยืนรออยู่หน้าประตูถึงขั้นเอาหูแนบประตูเงี่ยฟังแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงพูดคุยอะไรจากด้านในเลยแม้แต่น้อย
“พระชายา ทรงทำเช่นนี้ไม่ดีนะพ่ะย่ะค่ะ
หากใครมาเห็นเข้าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้
มิสู้พระองค์ไปรอที่ตำหนักปีกก่อนไม่ดีกว่าหรือ”
ถังเยว่ส่ายหน้า “ไม่ ข้าจะรออยู่ที่นี่”
“โปรดวางพระทัย หากด้านในมีการเคลื่อนไหวข้าบาทจะรีบทูลแจ้งให้ทรงทราบทันที”
ท้ายที่สุดถังเยว่ก็ต้องไปรอที่ตำหนักปีก มีขุนนางจำนวนไม่น้อยมารอเข้าเฝ้าอยู่หน้าห้องทรงพระอักษร
ทุกคนพอเห็นเขาต่างก็ตรงเข้ามาทักทายหลายประโยค
แต่เวลานี้เขาไม่มีอารมณ์จะโอภาปราศรัยกับใครทั้งสิ้นจึงเดินปลีกตัวไปยังตำหนักปีกเพียงลำพัง
นางกำนัลยกน้ำชาหนึ่งกากับขนมอีกสองสามจานมาให้
วันนี้ถังเยว่กินข้าวไปไม่ถึงสองคำ พอเห็นขนมจึงหยิบขึ้นมากินแล้วรินชายกขึ้นดื่มดับกระหาย
แต่ไม่รู้ว่าเพราะวันนี้เขาดื่มน้ำน้อยไปหรืออย่างไร
เพียงไม่นานก็รู้สึกปากแห้งขึ้นทุกทีแม้แต่ลำคอก็แห้งผากจึงตะโกนออกไปด้านนอก
“นางกำนัล!”
นางกำนัลคนหนึ่งเดินก้มหน้าเข้ามา
ถังเยว่ไม่ได้มองให้ชัดจึงไม่รู้ว่าใช่คนเดียวกับนางกำนัลคนก่อนหน้านี้หรือไม่ แต่เขาก็มิได้ใส่ใจเพียงสั่งนางว่า “รินน้ำมาให้ข้าถ้วยหนึ่ง”
“เพคะ”
นางกำนัลค้อมกายรับคำสั่ง
ออกไปไม่นานก็กลับมาใหม่ ในมือยกชาร้อนมาหนึ่งถ้วย ค่อยๆ ก้าวเข้ามาตรงหน้า
ถังเยว่ยื่นมือออกไปเตรียมรับถ้วยชาแต่อีกฝ่ายกลับปล่อยมือเร็วเกินกว่าที่คาด
เขารีบยื่นมือไปคว้าถ้วยทำให้ชาร้อนหกราดรดบนต้นขาทั้งถ้วย
“โอ๊ย…!” ถังเยว่ถูกน้ำร้อนลวกจนสะดุ้งลุกพรวดขึ้น
พลางสะบัดปัดน้ำบนเสื้อคลุม
“พระชายา! โปรดพระราชทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ
หม่อมฉันเลินเล่อ โปรดพระราชทานอภัยด้วย!” นางกำนัลรีบทรุดกายคุกเข่าลงตรงหน้า โขกศีรษะละล่ำละลักพูดรับผิด
หากเป็นยามปกติถังเยว่อาจพูดปลอบนางสักสองสามประโยค
แต่วันนี้จิตใจเขากำลังจดจ่อกับข่าวจากสมรภูมิไหนเลยจะมีอารมณ์ทำเยี่ยงนั้น
เขาโบกมือให้อีกฝ่ายออกไปแต่มิได้กล่าวโทษนาง
ไม่รู้ว่านางกำนัลน้อยตกใจจนเสียสติหรืออย่างไรจึงไม่ยอมออกไปแต่กลับคลานมาข้างเท้าถังเยว่
แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าช่วยเช็ดคราบน้ำที่เปื้อนเสื้อผ้าให้เขา
“อีกประเดี๋ยวพระองค์ต้องเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ
จะปล่อยให้เสื้อผ้าเปื้อนเปรอะเช่นนี้ไม่ได้ มิสู้ทรงถอดฉลองพระองค์ออกมา
หม่อมฉันจะนำไปทำความสะอาดแล้วรีบนำกลับมาให้ ดีหรือไม่เพคะ?”
ถังเยว่ย่อมรู้ดีว่าหากไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิหนานจิ้นในสภาพนี้จะผิดธรรมเนียม
แต่เขาก็ไม่อยากทำตัววุ่นวายในวังหลวงจึงสั่งนางว่า “เจ้าไปตำหนักพระอัครมเหสี
กราบทูลพระนางว่าขอให้ส่งเสื้อผ้าของรัชทายาทมาให้ข้าผลัดเปลี่ยนหนึ่งชุดก็พอ”
นางกำนัลปาดน้ำตาร้องไห้คร่ำครวญ
“โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ! หากให้พระอัครมเหสีทรงทราบเรื่องนี้หม่อมฉันต้องถูกลงโทษแน่เพคะ”
ถังเยว่พูดแทรกขึ้นด้วยความรำคาญ
“ถ้าทรงถามเจ้าก็บอกว่าข้าไม่ทันระวังทำเสื้อผ้าเปื้อนเองก็แล้วกัน”
ถังเยว่นึกอยากบอกนางเหลือเกินว่าเวลานี้เขากำลังร้อนใจ
เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้คนเราควรมีสามัญสำนึกพื้นฐานกันบ้าง อย่างน้อยต้องรู้ว่าเวลาไหนควรบุก ควรถอย ควรประเมินสถานการณ์ให้เป็น
นางกำนัลเงยหน้าขึ้น
นัยน์ตาสุกใสดั่งมีน้ำหมึกแต่งแต้มจ้องมองเขาขณะพูดด้วยน้ำเสียงไพเราะอ่อนหวาน
“หม่อมฉัน…หม่อมฉันเคยปรนนิบัติองค์รัชทายาทมาก่อน… พวกเขาคงไม่เชื่อหรอกเพคะ”
“ว่าอย่างไรนะ?”
ถังเยว่พอได้ยินประโยคนี้ก็ถึงกับตกตะลึงเพราะคิดไปว่าสตรีนางนี้เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหลี่เจา
แต่พอตรองดูแล้วก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้
หากหลี่เจามีความสัมพันธ์กับนางจริงย่อมไม่ปล่อยให้นางยังเป็นนางกำนัลอยู่ในวังหลวงต่อไปแน่
ต่อให้เขายอม พระอัครมเหสีก็ต้องไม่มีทางยอมเด็ดขาด
เห็นได้ชัดว่าถ้อยคำของนางเป็นเท็จและมีเจตนาทำให้เขาเข้าใจผิด
แต่ในเวลานี้ถังเยว่ไม่มีกะจิตกะใจจะคิดสืบหาความจริงว่าที่นางทำเช่นนี้มีเงื่อนงำใดซ่อนอยู่กันแน่ ได้แต่โบกมือตัดรำคาญ
“เอาละ เจ้าออกไปได้แล้ว”
“เอ่อ...คือ…”
ความอดทนของถังเยว่ใกล้ถึงขีดสุด
ขณะที่เขากำลังจะอาละวาดก็ได้ยินว่าด้านนอกมีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้
ไม่แน่ว่าอาจมีคนมาตามให้ไปเข้าเฝ้า
เขาจึงรีบยืนขึ้นแล้วสาวเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า
แต่ใครจะรู้ว่าเพียงแค่ก้าวเท้าก็ถูกขัดขาให้ล้มคะมำ
ถังเยว่ไม่ทันระวังจึงเซถลาล้มลง โดยมีร่างนุ่มนิ่มเนื้ออุ่นของนางกำนัลสาวน้อยถูกเขาทาบทับอยู่ข้างใต้
และก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรือเป็นเพราะแผนการของใคร
มือคู่นั้นของเขาถึงได้วางแปะอยู่บนก้อนเนื้ออวบหยุ่นของนางได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก
ยังไม่ทันที่ถังเยว่จะคิดอ่านประการใดประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงกรีดร้องแสบแก้วหู
ถังเยว่หรี่ตามองเสื้อผ้าหลุดลุ่ยของสตรีที่อยู่ใต้ร่างแล้วมีหรือจะไม่รู้ว่านี่เป็นกลลวงที่มีคนวางแผนไว้
ไม่เช่นนั้นในเวลาชั่วพริบตาเหตุใดหญิงสาวจึงปลดเปลื้องอาภรณ์ภายนอกที่ห่อหุ้มกายนางออกจนแทบหมดสิ้น
เผยให้เห็นผ้าเอี๊ยมสีชมพูด้านใน เนินอกอวบหยุ่นวับแวมสู่สายตา
หากเป็นผู้ชายปกติทั่วไปคาดว่าต้องต้านทานต่อความเย้ายวนนี้ไม่ไหวแน่
มิน่าล่ะนางกำนัลผู้นี้ถึงได้ลีลาลวดลายไม่ยอมออกไปสักที
ที่แท้ก็รอให้เขาติดกับนี่เอง!
“พระ...พระชายา!”
ผู้ชมหน้าประตูถึงกับปากอ้าตาค้างไปตามๆ กัน
ถังเยว่ที่ตอนนี้มีสีหน้าบึ้งตึงดึงมือออก แล้วขยับลุกขึ้นปัดฝุ่นตามเนื้อตัว
จากนั้นจึงเดินกลับไปนั่งด้านหลังโต๊ะด้วยท่วงท่าสง่างามดังเดิม
เขาหัวเราะขึ้นมาเสียงหนึ่ง
“ฮึ! มาได้เวลาพอดีเชียวนะ
ว่าแต่พวกเจ้าจะเอาอย่างไร คิดฉวยโอกาสตอนรัชทายาทไม่อยู่แล้วปลดข้าออกจากตำแหน่งงั้นสิ?”
นางกำนัลคุกเข่าร้องห่มร้องไห้
สองมือกอบกุมหน้าอกไว้แน่น นางไม่พูดอะไรสักคำเอาแต่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น
คงต้องการให้คนที่พบเห็นรู้สึกว่านางมีสภาพเหมือนเพิ่งถูกข่มเหง
ที่หน้าประตูมิได้มีผู้ชมแค่คนเดียว นอกจากขันทีน้อยที่จะมาตามเขาไปเข้าเฝ้าแล้วยังมีขุนนางอีกสองคนยืนอยู่ด้วย
ถังเยว่เขม้นมองจ้องให้ชัดเจน
ตอนนี้ถึงจำได้ว่าขุนนางสองท่านนั้นเป็นผู้ตรวจราชการ
แบบนี้มิเท่ากับว่าเขาเป็นหมูที่วิ่งมาชนปังตอหรอกหรือ
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นนอกวังทุกคนยังพอจะลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งปล่อยให้ผ่านไปได้
แต่เรื่องนี้ดันมาเกิดในวัง
มิหนำซ้ำยังถูกพวกเขาเห็นคาตาหากไม่ถวายฎีกากราบทูลก็จะถือเป็นการละเลยหน้าที่
ทำให้ชื่อเสียงของตัวเองต้องมัวหมอง
ผู้ตรวจราชการทั้งสองหันมองสบตาและยิ้มเจื่อนขึ้นพร้อมกัน
เหตุใดคนที่มาเจอเรื่องแบบนี้ต้องเป็นพวกเขาด้วยนะ! ทว่าในใจพวกเขากลับไม่นึกสงสัยสักนิดว่าสิ่งที่เห็นนี้เป็นเรื่องจริงหรือถูกใส่ความ
เหตุเพราะรัชทายาทเจาจากไปเกือบปี พระชายาเป็นบุรุษ
หากจะมีความต้องการทางกายบ้างก็ถือเป็นเรื่องปกติ
ดังนั้นเมื่อพบเจอนางกำนัลหน้าตาสะสวยอีกทั้งอยู่ในสถานที่รโหฐานด้วยกันตามลำพัง
หากเกิดอารมณ์อยากร่วมสัมพันธ์ด้วยก็หาใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใดไม่
เพียงแต่ว่า...เหตุใดพระชายาต้องมาตบะแตกในวังหลวงด้วยเล่า
แบบนี้จะพลอยให้ทุกคนติดร่างแหกันไปด้วยน่ะสิ!
ดูจากสถานการณ์แล้วถังเยว่รู้ว่าอธิบายไปก็ไม่เกิดประโยชน์และเขาก็คร้านที่จะพูดจึงเอ่ยถามขันทีน้อย
“จักรพรรดิทรงอนุญาตให้ข้าเข้าเฝ้าแล้วหรือ?”
ขันทีน้อยมีหน้าที่มาแจ้งข่าวแต่เพราะตกใจกับภาพเหตุการณ์เมื่อครู่จึงตอบอย่างลนลาน
“มะ...มิได้พ่ะย่ะค่ะ
เอ่อ...เป็นจางกงกง...จางกงกงให้ข้าบาทมาแจ้งให้พระชายาทรงทราบว่าวันนี้องค์เหนือหัวไม่สะดวกให้พระองค์เข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เพราะเหตุใด?”
“ข้าบาทไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นทหารที่อยู่ในห้องทรงพระอักษรเมื่อครู่ออกมาแล้วหรือยัง?”
“ข้าบาทไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
ถังเยว่มุมปากกระตุกขึ้นมาทันที อารมณ์ฉุนเฉียวเริ่มปะทุเดือดพล่าน
“เช่นนั้นข้าก็จะรออยู่ที่นี่ จักรพรรดิทรงสะดวกเมื่อไรมาตามข้าก็แล้วกัน!”
หนึ่งในสองผู้ตรวจราชการเอ่ยเตือนเขาด้วยความหวังดี
“พระชายา
เสด็จกลับจวนก่อนไม่ดีหรือพ่ะย่ะค่ะ
เหนือหัวเพิ่งมีรับสั่งเรียกท่านกั๋วกงและท่านอัครเสนาบดีมาประชุมราชกิจ
คงไม่ประชุมเสร็จในชั่วเวลาสั้นๆ หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
ถังเยว่เหยียดยิ้มเย็นชา “เช่นนั้นพวกท่านมาทำอะไรที่นี่?”
จะบอกว่ามาจับชู้โดยเฉพาะอย่างนั้นหรือ?
“เอ่อ…”
ผู้ตรวจราชการทั้งสองก็เพิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล
พวกเขาเข้าวังขอเข้าเฝ้าจักรพรรดิเพื่อยื่นมติกล่าวโทษโหวท่านหนึ่งที่รังแกบุรุษข่มเหงสตรี
แต่หลังจากทราบว่าจักรพรรดิทรงกำลังประชุมหารือราชกิจกับขุนนางใหญ่หลายท่านก็เตรียมจะถอดใจกลับไป
แต่ตอนนั้นมีขันทีใหญ่ท่านหนึ่งพูดขึ้นว่าอีกประเดี๋ยวจักรพรรดิจะเรียกพวกเขาเข้าเฝ้า
เดินทางไปๆ กลับๆ จะยุ่งยาก ดังนั้นจึงจัดให้พวกเขามาพักในตำหนักปีก หลังจากนั้นก็มาเห็นฉากเมื่อครู่นี้เข้า
ตอนนี้พอคิดดูแล้วจักรพรรดิจะต้องกำลังร้อนใจเรื่องศึกสงครามแน่
ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะเรียกพวกเขาเข้าพบ เห็นทีพวกเขาคงตกหลุมพราง
เป็นเครื่องมือของคนชั่วที่มีจิตคิดร้ายเข้าให้แล้ว
“ไม่ว่าพระชายาจะทรงเชื่อหรือไม่แต่พวกกระหม่อมไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ด้วยเลยสักนิด”
“มีหรือไม่เราคุยกันได้
ที่นี่มีแค่พวกเราสี่คน หนึ่งในนั้นตัดทิ้งไปไม่ต้องใส่ใจ
พวกเจ้าทั้งสองคิดจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?”
ผู้ตรวจราชการทั้งสองพลันรู้สึกเนื้อตัวสั่นตะครั่นตะครอขึ้นมาทันที
“พระชายาโปรดพระราชทานอภัยให้กระหม่อมด้วย
พวกกระหม่อมต้องทำตามหน้าที่ ในเมื่อถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว
คนหลังม่านผู้นี้ย่อมรู้ว่ากระหม่อมทั้งสองไม่มีทางปิดบังเรื่องนี้แน่”
“ในเมื่อรู้แล้วว่าเป็นกลลวงก็ยังจะทูล
เช่นนี้มิเท่ากับพวกท่านคิดหลอกลวงเบื้องสูงอย่างนั้นหรือ?” ถังเยว่รู้คุณลักษณะพิเศษของผู้ตรวจราชการพอสมควร
รู้ว่าคนพวกนี้เพื่อชื่อเสียงเกียรติยศแล้วแม้ต้องตายก็ไม่เสียดายชีวิต
เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่โต
ทุกคนสามารถทำเป็นลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งแล้วปล่อยผ่านไปได้
แต่ก็เห็นได้ชัดว่าคนที่วางแผนใส่ร้ายเขาย่อมไม่มีทางยอมจบเรื่องแค่นี้แน่
ไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะมาไม้ไหนอีก
ขณะคิดมาถึงตรงนี้ร่างหนึ่งก็วิ่งผ่านตาไปตามด้วยเสียงดังโครม
เมื่อเขาหันไปมองก็พบว่านางกำนัลน้อยที่นั่งร้องห่มร้องไห้อยู่เมื่อครู่จู่ๆ
ก็ลุกขึ้นวิ่งเอาศีรษะชนเสา เลือดสดๆ ไหลทะลัก ร่างอ่อนยวบทรุดกองลงกับพื้น
เยี่ยม! ไม่ต้องให้เขาลงมือจัดการปิดปาก นางก็จัดการปิดปากตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถังเยว่ยกมือกุมขมับ
สามารถคาดเดาแผนต่อจากนี้ได้ทันที ครั้งนี้เขาประมาทเกินไปจริงๆ
นี่คงเป็นเพราะในอดีตเขาไม่ค่อยได้ดูละครศึกแย่งชิงในวังหลัง
เขาก้าวเท้าเดินไปข้างตัวนางกำนัล
ก้มลงไปตรวจสอบดูก็พบว่านางยังมีลมหายใจอยู่ เขาหัวเราะเย็นชา “ข้ารู้ว่าเจ้ารนหาที่ตาย
ตามหลักแล้วขอเพียงเจ้ายังมีลมหายใจข้าก็สามารถช่วยชีวิตเจ้าได้
แต่ไยข้าต้องทำเช่นนั้นด้วยเล่า ในเมื่อเจ้าอยากตายข้าก็จะช่วยสงเคราะห์ให้เจ้าได้สมหวัง”
สายลมเย็นเยือกพัดวูบเข้ามาในห้อง ผู้ตรวจราชการทั้งสองก้มหน้าลงไม่กล้ามอง จะไปก็ไม่ดี
จะอยู่ต่อก็แสนกระอักกระอ่วน
พวกเขาคิดวนเวียนเป็นพันเป็นหมื่นรอบว่าจะรับมือกับสถานการณ์ต่อจากนี้อย่างไรดี
ในระหว่างที่พวกเขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ถังเยว่ก็มองลมหายใจของนางกำนัลผู้นั้นแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดนิ่งลง เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งด้วยความรู้สึกหดหู่เศร้าหมอง
ในโลกปัจจุบันเขาเป็นหมอ ข้ามมิติย้อนกาลเวลากลับมาเขาก็ยังคงเป็นหมอ
เรื่องที่เห็นคนใกล้ตายแต่กลับไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยนี้จึงไม่ต่างจากการเอามีดมาปักลงกลางใจ
สิ่งนี้โหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งกว่ากลอุบายใดๆ
252 ลูกมิได้อดอยากปากแห้ง
จนถึงขั้นแยกแยะชายหญิงไม่ออก!
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ย่อมปิดไม่มิดแน่
เพียงไม่นานก็มีทหารยามกับนางกำนัลขันทีในวังเข้ามา
พอเห็นสภาพภายในห้องก็กรีดร้องเสียงแหลม อาจหาญทึกทักคาดเดาไปเอง
สภาพการตายของนางกำนัลผู้นั้นไม่น่ามองนัก
เสื้อแสงหลุดลุ่ยไม่เรียบร้อยลักษณะเหมือนถูกข่มเหงรังแกจนสุดจะทนรับได้จึงต้องฆ่าตัวตาย
ไม่ว่าใครมาเห็นย่อมต้องคิดไปในทางอกุศลด้วยกันทั้งนั้น
และภายในห้องนี้ก็มีแต่พระชายาที่น่าสงสัย เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะว่าบนเสื้อผ้าเขามีคราบน้ำน่าสงสัยน่ะสิ
ทั้งยังมีผ้าเช็ดหน้าสีฉูดฉาดติดอยู่ที่ชายเสื้อ
มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของใช้สตรี
ถังเยว่รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาทันที ผู้ที่คิดอุบายชั่วช้าเช่นนี้ขึ้นมาแม้จะไม่ถึงกับชาญฉลาด
แต่ก็ได้ผลไม่น้อย แผนการตื้นเขินเช่นนี้สามารถทำให้เขาถึงกับน้ำท่วมปากไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรเลยจริงๆ
ขณะที่ถังเยว่กำลังใคร่ครวญว่าจะจากไปทั้งอย่างนี้เลยดีหรือไม่นั้น
ก็มีเสียงเกรี้ยวกราดดังมาจากด้านนอก
“เกิดอะไรขึ้น?”
เยี่ยม! เรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ
ซะแล้วสิ
ถังเยว่เตรียมตัวเตรียมใจไว้อย่างเต็มที่
จึงลุกขึ้นทำความเคารพแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ติดอยู่บนตัวโยนทิ้งไป
ขันทีน้อยคุกเข่าคลานไปเบื้องหน้าจักรพรรดิหนานจิ้น
เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดลออ
แน่นอนว่าเขาเล่าเฉพาะเรื่องที่ตนเข้ามาเห็นโดยมิได้แต่งเติม เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
จะจริงหรือเท็จหากยิ่งฟังยิ่งชวนให้รู้สึกสงสัย พูดครึ่งๆ กลางๆ
เช่นนี้ยิ่งชวนให้คนฟังนำไปคิดต่อเองดีนักแล
ลองคิดดูสิ
ชายหญิงอยู่กันตามลำพังในห้องสองต่อสอง
ต่อมาฝ่ายหญิงถึงกับปลิดชีพตนในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย เรื่องราวเป็นมาอย่างไร
เกิดอะไรขึ้นนั้นคงเดาได้ไม่ยาก มิหนำซ้ำแม้บุรุษผู้นี้อยู่ในฐานะพระชายารัชทายาทแต่ก็เปล่าเปลี่ยวอ้างว้างร้างราจากพระสวามี
คาดว่าคงไม่ได้ปลดปล่อยมานาน
อาจเพราะอัดอั้นมานานเกินไปจนทนไม่ไหวจึงเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้น
เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลและสามารถเข้าใจได้มิใช่หรือนางกำนัลสาวน้อยที่สวยสดงดงามต่อให้ทำอะไรนางก็คงไม่ได้รับโทษหนักมิใช่หรือ
ทว่าบุรุษผู้นี้คงไม่คิดว่าตนจะมาเจอหญิงใจเด็ด
ยอมตายแต่ไม่ยอมถูกข่มเหง ดังนั้นเนื้อเรื่องจึงเปลี่ยนมามีสภาพอย่างที่เห็น
พูดอีกอย่างก็คือนอกจากขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังต้องเสียข้าวสารอีกกำมือ
เสื่อมเสียชื่อเสียงแล้วยังทำให้มีคนตาย หากคิดว่าจะลอยนวลไปได้ง่ายๆ
คงเป็นเรื่องยาก
จักรพรรดิหนานจิ้นหลังฟังขันทีน้อยบอกเล่าจบก็ตวัดดวงตาคมกริบจ้องมองถังเยว่จนแทบทะลุ
ถังเยว่สบตากับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าปราศจากคลื่นอารมณ์
เขาแค่นหัวเราะหนึ่งทีแล้วพูดออกมาหนึ่งประโยค
“ลูกมิได้อดอยากปากแห้งจนถึงขั้นแยกแยะบุรุษสตรีไม่ออกนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ทุกคนฟังคำพูดนี้ในครั้งแรกยังไม่เอะใจ
กระทั่งเรียบเรียงความเข้าใจได้แล้วจึงนึกขึ้นได้อย่างฉับพลัน ‘จริงด้วย พระชายาโปรดปรานบุรุษนี่นา ไม่เช่นนั้นคงไม่อภิเษกกับรัชทายาท’ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะข่มเหงนางกำนัลให้ต้องแปดเปื้อนมีมลทิน
แน่นอนย่อมมีบางคนคิดว่าโปรดปรานบุรุษแล้วอย่างไรเล่า
ในราชสำนักมีขุนนางโปรดปรานบุรุษตั้งมากมายที่ในบ้านมีภรรยาสามอนุสี่ก็ยังไม่มีข้อพิพาท
“เอาละ แยกย้ายกันไปได้แล้ว
สถานการณ์ศึกทัพหน้ากำลังคับขันพวกเจ้าอย่าหาเรื่องมาให้ข้าต้องปวดหัวเพิ่มอีกเลย”
จักรพรรดิหนานจิ้นไม่มีคำสั่งว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
แต่ดูจากปฏิกิริยาแล้วก็พอจะเดาได้ว่าคงไม่คิดจะสืบสาวราวเรื่องต่อ
ต่างนึกไม่ถึงว่าจักรพรรดิจะเชื่อมั่นในพระชายาถึงเพียงนี้
ถังเยว่เองก็ไม่คิดว่าจักรพรรดิจะเชื่อว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์
แต่การที่ไม่ถือสาหาความก็นับเป็นเรื่องดี
ไม่มีเหตุผลอะไรให้เขาต้องหาทุกข์ใส่ตัวหลังทำความเคารพเสร็จเขาจึงถามออกไปตรงๆ
“เสด็จพ่อ
รัชทายาทส่งข่าวมาบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“เจ้าเข้าวังเพื่อมาถามข่าวของเขาหรือ?”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ!” ถังเยว่โพล่งออกไป
หากไม่ใช่เพราะร้อนใจอยากรู้เรื่องนี้เขาย่อมไม่มีทางยอมเหยียบเข้าวังแม้แต่ก้าวเดียว
ไม่มีหลี่เจามาเป็นเพื่อน
กรงทองแห่งนี้ยิ่งดูมืดมนน่าสะพรึงกลัวมากกว่าเดิมหลายเท่า
หากเผลอไผลไม่ระวังแม้เพียงนิดก็จะมีจุดจบของชีวิตที่มิอาจฟื้นคืนได้อีกเลย
จักรพรรดิหนานจิ้นมีสีหน้าดุดันราวกับพยัคฆ์ ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งก็หัวเราะเสียงดังลั่น
“ฮ่าๆ เจ้านี่ช่างเถรตรงยิ่งนัก! วางใจเถอะเจาเอ๋อร์ปลอดภัยดี ทัพใหญ่ยึดเมืองทั้งหกของเป่ยเยว่ได้แล้ว
ตอนนี้ไปสมทบกับเหิงกั๋วกงเตรียมบุกตีเป้าหมายต่อไป!”
“แล้วเหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่มีข่าวส่งกลับมา
ทหารสอดแนมก็สืบหาข่าวไม่พบล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
“ก่อนหน้านี้เพื่อบุกตีเมืองเยี่ยนโจว
เจาเอ๋อร์เลือกเดินทางอันตราย เส้นทางนั้นเต็มไปด้วยขวากหนาม
หากเพลี่ยงพล้ำอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิต ไม่มีผู้คนใช้เส้นทางนั้น
เหตุนี้ทหารสอดแนมจึงหาไม่เจอ เรื่องที่พวกเขาบุกตีเยี่ยนโจวเป็นความลับจึงมิได้ส่งข่าวแจ้งให้ทัพที่อยู่เมืองฉู่โจวรู้ก่อนกระทั่งยึดเยี่ยนโจวได้แล้วจึงค่อยส่งข่าวกลับมา”
ประสาทที่ตึงเครียดของถังเยว่ในที่สุดก็ผ่อนคลายลงเสียที
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ได้ข่าวก็ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหนานจิ้นปรายตามองร่างไร้ชีวิตบนพื้นแวบหนึ่ง
ดวงตาวาววับขณะเอ่ย
“จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย
ไม่ว่าใครก็ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเป็นอันขาด!”
ถังเยว่ขอตัวลากลับจวน แม้จะถูกคนวางแผนใส่ร้ายแต่เขากลับอารมณ์ดี หลังความตื่นเต้นดีใจผ่านพ้นเขาถึงค่อยมีเวลาใคร่ครวญเรื่องที่เกิดขึ้นในวัง
อันดับแรก
มีคนพุ่งเป้ามาที่เขาแน่นอนแต่ใครที่มีจุดประสงค์นี้กันล่ะ?
วิธีนี้เหมือนที่พวกผู้หญิงนิยมใช้ แต่สตรีในวังหลังเวลานี้ก็ไม่มีใครได้รับการโปรดปรานเป็นพิเศษ คนที่เคยมีเรื่องบาดหมางกับเขาก็มีแค่องค์หญิงเป่ยเยว่ แต่หากนางสังหารเขาจะได้ประโยชน์ใด?
หรือนางคิดว่าหากเขามีอันเป็นไปหลี่เจาจะเลิกล้มที่จะโจมตีเป่ยเยว่?
ทว่าพูดตามหลักแล้วสองแคว้นกำลังรบกัน จักรพรรดิหนานจิ้นย่อมต้องกักตัวองค์หญิงเป่ยเยว่เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน เพราะหากนางเกิดทนแรงยั่วยุไม่ไหวอาจทำเรื่องเป็นภัยต่อหนานจิ้นได้
ถังเยว่ลองคิดคาดเดาเหตุจากผล
สมมุติว่าวันนี้เกิดเรื่องลุกลามใหญ่โต เช่นนั้นผู้ได้รับผลประโยชน์จะเป็นใครกัน?
หากไม่ได้ผลประโยชน์แม้แต่น้อยนิดย่อมไม่มีใครคิดทำเรื่องเช่นนี้ ขุนนางที่จะถูกคุกคามจากการมีอยู่ของเขามีไม่มากนัก ตำแหน่งรัชทายาทของหลี่เจามั่นคงมาก พวกเสนาบดีที่กระด้างกระเดื่องก็มีไม่กี่คน คนสำคัญที่เหลือก็มีแค่พวกองค์ชาย
องค์ชายแต่ละคนตอนนี้เติบใหญ่แล้วย่อมมีจิตคิดทะเยอทะยาน ต่างเห็นเขาเป็นดั่งเสี้ยนหนาม
จางฉุนฟังเขาเล่าจนจบก็ถอนหายใจด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ
“คุณประมาทเกินไป ในที่แบบนั้นคุณเลี่ยงผู้หญิงได้ก็ควรเลี่ยง
ปล่อยให้พวกเธอมีโอกาสสร้างปัญหาได้ยังไง?”
แน่นอนว่าถังเยว่ไม่บอกอีกฝ่ายว่าตนเองไม่ได้เตรียมใจรับมือเพราะมัวแต่พะวงเรื่องรัชทายาทดังนั้นจึงไม่ทันได้ฉุกคิดเรื่องอื่น
“อันที่จริงนางกำนัลเข้ามารินชาให้ก็เป็นเรื่องปกตินี่นา”
จางฉุนส่ายหน้า “คุณดูละครศึกแย่งชิงในวังหลังน้อยเกินไป
ตอนที่ในห้องนั้นมีเพียงคุณกับผู้หญิงอยู่กันตามลำพัง จากปกติก็กลายเป็นไม่ปกติได้
เวลาแบบนี้คุณควรตะโกนเรียกคนอื่นให้เข้ามา
ต่อให้แค่มาพูดคุยเป็นเพื่อนก็ยังดีกว่าอยู่กันสองต่อสอง”
ในตอนนั้นถังเยว่ไหนเลยจะมีอารมณ์พูดจากับใคร
แต่ที่จางฉุนพูดมาก็ถูก มีประสบการณ์แล้วครั้งหนึ่งวันหน้าอย่างน้อยจะได้สามารถหาวิธีหลีกเลี่ยงได้ถ้าต้องเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้อีก
“แต่พูดกันจริงๆ
น่ะนะจักรพรรดิหนานจิ้นใจกว้างเกินไปหน่อยหรือเปล่า เรื่องแบบนี้แม้แต่ถามก็ไม่ถามกลับตัดสินชี้ขาดไปแล้ว ทรงมั่นใจได้ยังไงว่าผู้หญิงคนนั้นพูดจาโป้ปด?”
“พระองค์ไม่ได้มั่นใจเพียงแต่ไม่กล้าทำอะไรฉันชั่วคราว
ดูเหมือนรัชทายาทจะสร้างผลงานชิ้นใหญ่ไว้ที่ชายแดนจักรพรรดิจึงเกรงใจรัชทายาทน่ะสิ”
“อย่างนี้ก็แสดงว่าคุณสามารถเดินกร่างไปทั่วเมืองเย่เฉิงได้ตามใจชอบน่ะสิ!”
“เดิมทีฉันก็ไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบอยู่แล้ว
ใครกล้าขวางฉันกันล่ะ?”
“ครับๆ เมื่อก่อนแค่คุณติดตามรัชทายาทออกไปก็สามารถเดินกร่างได้ตามใจชอบแล้ว ตอนนี้กระทั่งจักรพรรดิก็ยังต้องไว้หน้าคุณเลย”
ถังเยว่คร้านจะสนใจอีกฝ่ายจึงเดินเลี่ยงเข้าห้องทรงพระอักษร หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมายถึงหลี่เจาฉบับหนึ่ง
ในจดหมายพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน เรื่องแบบนี้เขาเป็นคนเล่าเองดีกว่าให้คนอื่นนำไปเล่าให้อีกฝ่ายฟัง
เขียนจดหมายเสร็จ เขาก็นั่งใจลอยอยู่ครู่หนึ่ง
ในมือลูบไล้มีดแกะสลักที่หลี่เจาเป็นผู้มอบให้ไปมา
ผ่านไปพักใหญ่จึงตะโกนเรียกองครักษ์ลับ
“วันนี้ในวังเกิดอะไรขึ้นพวกเจ้ารู้หรือไม่?”
“เรียนคุณชาย ทหารยามในวังเข้มงวดกวดขัน องครักษ์ลับก็เต็มไปหมด พวกข้าน้อยไม่กล้าตามท่านเข้าไปในวังหรอกขอรับ”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง เช่นนั้นหากข้าต้องการสืบหาว่าใครเป็นผู้วางแผนใส่ร้ายข้า จะสามารถสืบได้หรือไม่?”
“เรื่องนี้ท่านก็น่าจะพอเดาออก
ผู้ที่จะเป็นปรปักษ์กับท่านในเวลานี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นองค์ชายที่มีความทะเยอทะยาน ข้าน้อยจะลองคัดออกทีละคน เชื่อว่าจะต้องสืบหาผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงได้แน่ขอรับ”
“อืม ทำให้เต็มที่ก็แล้วกัน ในเมื่อจักรพรรดิไม่ถือสาข้าย่อมมิต้องกังวล เพียงเกรงว่าพรุ่งนี้ข่าวลือจะเต็มไปหมดน่ะสิ”
“วางใจเถอะขอรับ
ท้ายที่สุดแล้วข่าวลือก็คือข่าวลือ พวกเราจะส่งคนไปแก้ไขเนื้อความเสียใหม่
แล้วพยายามประโคมข่าวออกไป เพียงเท่านี้ก็ไม่มีใครรู้แล้วว่าเรื่องไหนจริง
พูดกันไปลือกันมาก็ไม่เป็นไรแล้วขอรับ”
“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นไปก่อน” ถังเยว่พยักหน้าแล้วผายมือให้อีกฝ่ายออกไป จากนั้นจึงหยิบรูปเหมือนของหลี่เจาที่เขาเป็นคนวาดขึ้นมานั่งดูพลางรำพึงรำพันกับตัวเอง “ฝ่าบาททอดพระเนตรสิ วังหลังอันตรายถึงเพียงนี้หากไม่ได้กระหม่อมช่วยไว้ไม่ให้ฝ่าบาทมีสามภรรยาสี่อนุ ตอนนี้ฝ่าบาทจะมีชายาและอนุภรรยาจำนวนนับไม่ถ้วนหรือไม่ เมื่อมีผู้หญิงมาก ลูกก็ต้องมากตามไปด้วย พอลูกมาก เรื่องแย่งสมบัติก็จะตามมา ที่สำคัญสมบัติของตระกูลฝ่าบาทคือชาติบ้านเมืองเชียวนะ หากเป็นกระหม่อมก็ตัดใจไม่ลงเช่นกัน”
ในห้องทรงพระอักษร จักรพรรดิหนานจิ้นตั้งใจอ่านรายงานจากชายแดนทุกประโยคทุกตัวอักษร
ขันทีใหญ่ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายชำเลืองมองสีหน้าองค์จักรพรรดิอย่างระมัดระวัง
“ฝ่าบาท
เหตุใดวันนี้มิทรงลงอาญาพระชายาล่ะพ่ะย่ะค่ะ หรือทรงเชื่อว่าพระชายามิได้ออกนอกลู่นอกทาง?”
จักรพรรดิหนานจิ้นตอบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า
“ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือเท็จแล้วสำคัญอันใด
ในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมแตะต้องชายารัชทายาทมิได้
ไม่เช่นนั้นคิดว่ารัชทายาทจะยอมอยู่เฉยหรือ? อีกอย่าง
เรื่องแบบนี้ต่อให้ข้าผู้เป็นบิดาก็ยากจะจัดการ
มิสู้รอรัชทายาทกลับมาแล้วให้เขาตัดสินเองดีกว่า”
“ทรงพระปรีชา!” ขันทีพูดประจบประโยคหนึ่งแล้วหัวเราะจอมปลอมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
จักรพรรดิหนานจิ้นเงยหน้าแล้วเลิกคิ้ว
“อันที่จริงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้มีจุดน่าสงสัยหลายจุด ถังเยว่เร่งเข้าวังเพื่อมาถามข่าวรัชทายาท ถึงกับยอมที่จะรออยู่ในตำหนักปีกโดยไม่ยอมกลับไปก่อนก็เพื่อรอฟังข่าว เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของรัชทายาทด้วยใจจริง ในเวลาเช่นนี้เขาจะมีใจไปหาความสำราญกับนางกำนัลอีกงั้นหรือ?”
“อันนี้ก็จริง ความหมายของฝ่าบาทคือ…?”
“ข้ามิได้หมายความว่าอะไรทั้งนั้น นี่เป็นแค่กลอุบายเล็กน้อย
คนที่ใช้แผนชั้นต่ำเช่นนี้ย่อมมิใช่คนที่จะทำการใหญ่ได้สำเร็จแน่”
ต้องบอกว่าครั้งนี้จักรพรรดิหนานจิ้นมองเงื่อนปมของเหตุการณ์นี้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
253 ความสำคัญของราษฎร
ถังเยว่ไม่ออกจากบ้านติดต่อกันหลายวัน
ถึงอย่างนั้นก็พอรู้ว่าข้างนอกมีข่าวซุบซิบนินทาอะไรบ้าง
เขานั่งอยู่ในสวนมองดูเสี่ยวลั่วลั่วกับบ่าวสองสามคนเล่นเตะลูกหนัง
จางฉุนรับหน้าที่เป็นผู้รักษาประตูโดยอ่อนข้อให้เต็มที่
หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่เล่นกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน
“เตียเตีย
ช่วยส่งลูกหนังให้ข้าหน่อยสิขอรับ” ลั่วลั่วพูดด้วยเสียงกังวานใส
ถังเยว่พลันหลุดจากภวังค์ มองที่ข้างเท้าตัวเองก็เห็นว่ามีลูกหนังอยู่จริง
เขาก้มลงเก็บมันขึ้นมาแล้วขว้างออกไปด้วยมือข้างเดียว
กระแทกถูกศีรษะจางฉุนพอดี ฝ่ายนั้นยกมือกุมหน้าผากล้มคว่ำลงด้วยท่าทางเจ็บเกินจริง
ทำเอาเสี่ยวลั่วลั่วตกใจจนหน้าซีด รีบวิ่งเข้าไปนั่งยองๆ ข้างจางฉุน เขย่าแขนเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“ท่านอาฉุนรีบลุกขึ้นเถอะ
เตียเตียไม่ได้ตั้งใจ เขาแค่อารมณ์ไม่ดี”
จางฉุนขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
พลางจ้องหน้าเด็กน้อย
“เขาอารมณ์ไม่ดีแล้วจะปาลูกหนังใส่ใครก็ได้งั้นหรือ?”
“ถ้าไม่เช่นนั้น...ท่านจะปาใส่ข้าบ้างก็ได้”
จางฉุนถึงกับอึ้ง
จากนั้นก็บิดแก้มใสแล้วดึงยืดออกทางด้านข้าง
“เจ้าเด็กบ้า
เจ้านี่มันสุดยอดลูกกตัญญูแท้ๆ ทำไมไม่มาเป็นลูกข้านะ”
ถังเยว่เองก็รู้สึกว่าลั่วลั่วเป็นเด็กกตัญญูเช่นกัน
จึงเดินเข้ามากอดเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขน
สูดดมกลิ่นหอมสดชื่นจากตัวแล้วพูดกลั้วหัวเราะ
“ข้ามีลูกแค่คนเดียว
เห็นใจข้าเถอะอย่าคิดแย่งเลย”
“เฮอะ! ข้าไม่มีเลยสักคน
ไม่น่าสงสารกว่าหรือ”
“ไว้รอให้หวังติ่งจวินกลับมา
เจ้าค่อยทำลูกกับเขาสักคนก็แล้วกัน”
“จะให้เอาอะไรมาคลอดลูก
ให้เด็กมุดออกทางก้นหรือไง?”
ถังเยว่มองจางฉุนตาขวาง “อยู่ต่อหน้าเด็กพูดจาระวังปากด้วย”
“เขาไม่รู้เรื่องหรอกน่า”
เสี่ยวลั่วลั่วพูดแทรกขึ้นทันที “ใครบอกว่าข้าไม่รู้เรื่อง พวกท่านพูดถึงก้นมิใช่หรือ ข้าก็มีนะ
แต่ว่า...ทารกคลอดออกมาทางนั้นงั้นหรือ? มิน่าล่ะ
เยี่ยนกูบอกว่าตอนคลอดลูกเจ็บมาก”
ถังเยว่กับจางฉุนกระอักกระอ่วนจนไม่รู้จะทำเช่นไร
จึงเฉไฉเปลี่ยนเรื่องแล้วรีบส่งลั่วลั่วให้บ่าวรับใช้ ถังเยว่กลับไปนั่งที่เดิม
จางฉุนที่เล่นจนเหนื่อยแล้วเดินไปนั่งพักอยู่บนเก้าอี้อีกตัว พลางพูดจากใจ
“เป็นเด็กนี่พลังงานเหลือเฟือดีจริงๆ”
“นายก็เคยมีช่วงเวลาที่เป็นเด็กแบบนี้มาก่อน”
“ตอนนั้นน่ะเหรอ
แม่ผมเอาแต่ออกไปตะลอนอยู่ข้างนอกทั้งวัน ส่วนผมก็เล่นดินเล่นโคลน
ต่อยตีอยู่กับพวกเด็กในซอย เนื้อตัวมอมแมม
กลับบ้านก็ไม่มีใครช่วยซักเสื้อผ้าให้ต้องเอาไปแช่ในกะละมัง เทผงซักฟอกใส่ไปครึ่งถุงจากนั้นก็ใช้เท้าเหยียบๆ
แค่นี้เป็นอันเสร็จ ทุกครั้งจะถูกแม่ทุบตีก็เพราะเรื่องนี้ละ”
ถังเยว่คิดในใจ ‘ถ้าฉันเป็นแม่นายก็จะซ้อมนายเหมือนกัน
ซักผ้าครั้งเดียวใช้ผงซักฟอกครึ่งถุง ลูกล้างลูกผลาญขนานแท้!’
“แล้วกินข้าวล่ะ?”
“อดมื้อกินมื้อ บางทีแม่ก็จะทำข้าวไว้เยอะหน่อยแล้ววางไว้บนโต๊ะ
ผมหิวก็กินมันทั้งที่เย็นชืดแบบนั้น
พอโตมากระเพาะจึงไม่ค่อยดีคงเพราะตอนเด็กกินข้าวเย็นมากไป”
“เทียบกับนายตอนเด็กฉันมีความสุขกว่าเยอะเลย
พ่อแม่ฉันเป็นปัญญาชน ถึงที่บ้านจะไม่ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีแต่ก็ไม่ต้องทุกข์ร้อนเรื่องปากท้อง
ฉันมีเพื่อนเล่นน้อย มักถูกขังให้ทำการบ้านอยู่คนเดียวเป็นประจำ”
“แบบนั้นน่าเบื่อตายชัก” จางฉุนย่นจมูกรู้สึกว่าชีวิตในวัยเด็กของถังเยว่ก็ไม่ได้น่าโหยหาเลยสักนิด
“ก็ใช่น่ะสิ ดังนั้นตอนที่ฉันพบว่ารสนิยมทางเพศของตัวเองไม่ปกติก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไรนัก
แค่รู้สึกผิดต่อพ่อแม่”
“ถึงยังไงผมมันก็ตัวคนเดียว
ตอนที่รู้ว่าตัวเองสนใจผู้ชายมากกว่าผู้หญิงคืนนั้นผมเลยไปหาผู้หญิงมานอนด้วย
ปรากฏว่าปลุกยังไงก็ไม่ตั้งก็เลยต้องยอมรับชะตากรรมถึงยังไงก็ไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว
ผมชอบผู้ชายก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนจึงไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิด”
“ส่วนฉันไม่รู้ว่าป่านนี้พ่อแม่จะให้อภัยแล้วหรือยัง
ตอนหลังมาลองคิดดู ถ้ารู้แต่แรกว่าสุดท้ายจะได้มาอยู่ที่นี่
ตอนอยู่โลกก่อนฉันคงไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แต่จะมุ่งมั่นแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ให้ดีกว่านี้”
“คุณนี่โลกสวยชะมัด! ถ้ารู้แต่แรกว่าจะได้มาอยู่ที่นี่น่ะเหรอ
ผมจะฆ่าคนที่ขวางหูขวางตาทิ้งให้เกลี้ยงเลย ถึงยังไงก็ต้องตาย
ก่อนตายจะไม่ล้างแค้นได้ยังไง!”
“ฆ่าคนงั้นเหรอ...” ถังเยว่นึกถึงนางกำนัลที่วิ่งเอาศีรษะชนเสาคนนั้นขึ้นมาจึงยิ้มเศร้าแล้วพูดว่า
“ฉันนึกว่าตัวเองจะชินกับเรื่องเกิดเรื่องตายแล้วเสียอีก
คิดไม่ถึงว่าจะมีช่วงที่ปลงไม่ตกด้วย”
จางฉุนพูดปลอบใจ “ไม่เป็นไรหรอก คนเราเมื่อเกิดมาแล้วย่อมต้องมีเรื่องปลงไม่ตกเยอะแยะ
แต่ก็ไม่ต้องกลุ้มใจไป มีเรื่องราวมากมายที่ชะตาได้ลิขิตไว้แล้ว
บางทีคนที่ตายวันนี้พรุ่งนี้อาจได้ไปเกิดใหม่ในโลกใบอื่นและมีชีวิตที่ดีกว่าก็ได้”
เมื่อคิดเช่นนี้ถังเยว่ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากจริงๆ
สำหรับผู้บงการเบื้องหลังนั้นอันที่จริงถังเยว่ไม่ได้ถึงกับอยากรู้ว่าใครคิดร้ายต่อตนเอง
แต่หากองครักษ์ลับสืบทราบมาพวกเขาก็จำต้องจัดการด้วยวิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน ส่วนท้ายที่สุดแล้วองครักษ์ลับจะจัดการเช่นไรถังเยว่ไม่อยากรับรู้
“เวลาผ่านไปเร็วชะมัด” จางฉุนยืดเส้นยืดสายบิดขี้เกียจ “ไม่รู้ว่าสงครามจะสิ้นสุดลงเมื่อไร”
“ได้ยินว่าทัพใหญ่ชนะขาดลอย
โจมตีเป่ยเยว่ได้กว่าครึ่งดินแดนแล้ว แนวโน้มแบบนี้คิดว่าไม่แพ้แน่”
“ไหนบอกว่ามีกำลังทหารไม่พอไม่ใช่หรือ?”
จางฉุนได้ยินแล้วยิ่งรู้สึกเลื่อมใสรัชทายาทเจาจากใจจริง
คิดไม่ถึงว่าจะสามารถใช้กำลังทหารเพียงไม่กี่หมื่นโจมตีเป่ยเยว่จนย่อยยับได้
“เมืองชายแดนรอบฉู่โจวล้วนมีการเกณฑ์ทหาร
ราษฎรในพื้นที่เหล่านี้ต่างต้องใช้ชีวิตท่ามกลางไฟสงครามมาตลอดทั้งปีทั้งชาติ ไม่ว่าสภาพร่างกายหรือปณิธานความมุ่งมั่นล้วนแข็งแกร่งแรงกล้าที่สุด กำลังทหารในปัจจุบันจึงมีจำนวนเกือบแสนนาย”
“การจะบุกเข้าไปยังพื้นที่ส่วนลึกของแคว้นศัตรู
ระดับความยากย่อมต้องเพิ่มขึ้น ต่อให้ใช้เวลาอีกหนึ่งปีก็ไม่รู้ว่าจะสามารถเอาชนะได้หรือไม่”
“ตอนที่รัชทายาทเขียนจดหมายมาเคยคาดการณ์ไว้ว่าหากจะโจมตีเมืองหลวงเป่ยเยว่ให้แตกพ่ายต้องใช้เวลาประมาณครึ่งปี
นี่ยังไม่นับรวมกับที่ฝ่ายตรงข้ามอาจมีการเคลื่อนย้ายฐานที่มั่น
ย้ายเมืองหลวงขึ้นไปทางเหนือ”
“แต่เงินในท้องพระคลังเริ่มขาดแคลนคิดว่าน่าจะมีพอให้กองทัพใช้ได้แค่อีกครึ่งปีเท่านั้น”
เวลานี้จางฉุนเป็นสมุห์บัญชีที่มีชื่อเสียงของเมืองเย่เฉิง กระทั่งบัญชีท้องพระคลังยังเคยจัดการมาแล้ว
แต่จักรพรรดิหนานจิ้นยังไม่ต้องการให้เขาเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยมากนักจึงยังไม่ได้มีคำสั่งให้เขาเข้าไปเป็นขุนนางในราชสำนัก
โชคดีที่จางฉุนเองก็ไม่ได้พิศวาสอยากมีชีวิตเป็นขุนนางที่ต้องปฏิบัติตนตามระเบียบแบบแผนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
เขาจึงไม่ติดใจคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้
ถังเยว่ลูบแหวนบนนิ้ว
หากเงินในท้องพระคลังถูกใช้จนหมดทรัพย์สินในมือเขาก็น่าจะพอประทังให้อยู่รอดต่อไปได้อีกสักครึ่งปี
หากถึงเวลาที่ไม่สามารถส่งเสบียงให้ได้แล้วจริงๆ ก็ได้แต่ให้พวกเขาหาทางรอดเอาเอง เป่ยเยว่เป็นดินแดนที่ฝนตกต้องตามฤดูกาล
การเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ เสบียงอาหารพรั่งพร้อมกว่าหนานจิ้นมาก
เมืองเยี่ยนโจว
รัชทายาทเจานำกำลังไพร่พลเข้ายึดครองจวนว่าราชการของที่นี่ สังหารขุนนางตำแหน่งสูงสุดของทางการ เวลานี้ควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ทั้งหมดแล้ว
“ฝ่าบาท
ควรให้จักรพรรดิรีบส่งคนมารับช่วงบริหารจัดการอำเภอและหมู่บ้านตามเมืองที่ถูกเราบุกตีและยึดครองได้นะพ่ะย่ะค่ะ ไม่เช่นนั้นกำลังทหารของพวกเราจะกระจัดกระจายมากเกินไป
ทำให้มีกำลังไพร่พลไม่พอที่จะเปิดศึกตัดสินกับเป่ยเยว่”
“ท่านกั๋วกงพูดมีเหตุผล
ดังนั้นสารกราบทูลฉบับนี้ข้ามอบให้ท่านเป็นผู้เขียน
เสด็จพ่อทอดพระเนตรแล้วจะต้องทรงดีพระทัยมากแน่”
เหิงกั๋วกงย่อมเข้าใจเหตุผลนี้เป็นอย่างดี
“หากสามารถยึดครองเป่ยเยว่อีกครึ่งที่เหลือได้ จักรพรรดิจะต้องพระราชทานรางวัลให้พระองค์อย่างแน่นอน”
ทุกคนต่างรู้ว่าการที่สามารถบุกตีเป่ยเยว่ได้ราบรื่นขนาดนี้เป็นความดีความชอบใหญ่หลวงของรัชทายาทเจา
หากไม่มีเขาเป็นผู้นำทัพเกรงว่าแม้แต่เมืองฉู่โจวก็คงยังไม่สามารถเอากลับคืนมาได้
“ข้าเป็นรัชทายาท จะได้รับพระราชทานรางวัลหรือไม่ก็ไม่แตกต่าง”
ที่เขาทำมาทั้งหมดก็เพราะมีปณิธานที่จะรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งยุติสงครามเหนือใต้ให้เร็วที่สุดเท่านั้น
เหิงกั๋วกงเห็นว่ารอบๆ
ไม่มีใครอยู่จึงกระซิบ
“เวลานี้พวกองค์ชายต่างเจริญวัยกันแล้ว เสด็จพี่ของฝ่าบาทถ้าไม่สิ้นพระชนม์ก็หายสาบสูญหรือไม่ก็ถูกจองจำ ฉะนั้นผู้ที่จ้องจะชิงตำแหน่งรัชทายาทจึงมีแต่พวกน้องๆ ของฝ่าบาท”
ทั้งองค์ชายและพระราชนัดดามีเพียงไม่กี่คนที่จะไม่ใฝ่ฝันมุ่งหวังตำแหน่งนี้
รัชทายาทเจาอยู่เป่ยเยว่เป็นการเปิดโอกาสให้พวกที่จ้องตะครุบหวังชิงตำแหน่งได้เริ่มคิดวางแผนและลงมือ
“ปกติพระชายาแจ้งแต่ข่าวดีไม่แจ้งข่าวที่ทำให้ฝ่าบาทต้องทุกข์กังวล แต่พระองค์ทรงประทับอยู่เป่ยเยว่จึงมีหลายเรื่องที่มิอาจควบคุม”
รัชทายาทเจาสองมือไพล่หลัง
ดวงตาจ้องมองแผนที่ซึ่งแขวนอยู่ไกลออกไป
“ขอเพียงไม่ทำร้ายถังเยว่
ให้พวกเขาได้กระหยิ่มใจบ้างจะเป็นไรไป”
เขาไม่กังวลว่าจะมีใครมาชิงตำแหน่งไปแม้แต่น้อย
ต่อให้ถูกคนพวกนั้นแย่งไป ทัพใหญ่หนึ่งแสนอยู่ในกำมือเขาเช่นนี้ก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะทวงคืนไม่ได้
“ทูลฝ่าบาท…” ทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาคุกเข่าเบื้องหน้า
รัชทายาทเจายื่นมือออกไปรับจดหมายและกวาดตาอ่านจบในเวลาอันรวดเร็ว
หลังจากนั้นริมฝีปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นเยียบ
“มาได้จังหวะพอดี!”
“ในที่สุดเป่ยเยว่ก็ตอบโต้แล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เหิงกั๋วกงคาดเดา
“ใคร่ครวญมานานจนป่านนี้หากยังไม่เคลื่อนไหวจะให้ขุนนางและราษฎรในใต้หล้ามองพวกเขาเยี่ยงไร?”
ตั้งแต่เหิงกั๋วกงมาสมทบกับรัชทายาทเจาที่นี่
ยังไม่มีโอกาสได้ออกศึกเลยสักครั้ง เพราะหลังจากรัชทายาทเจาสามารถยึดได้หลายเมืองภายในเวลาอันรวดเร็วก็หยุดพักกองทัพเป็นการชั่วคราว
“ฝ่ายนั้นเล็งเยี่ยนโจวเป็นเป้าหมายหรือมีเมืองถัดไปเป็นเป้าหมายกันแน่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ชัยภูมิเยี่ยนโจวอยู่บริเวณใจกลาง เป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์ที่สุดในเป่ยเยว่และเป็นยุ้งฉางของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่มีทางปล่อยให้พวกเราชิงมาโดยง่ายแน่”
“ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทสามารถตีเยี่ยนโจวแตกได้อย่างง่ายดาย
ทำได้อย่างไรกันแน่?” เหิงกั๋วกงสงสัยและอยากรู้มากว่ารัชทายาทเจาสามารถโจมตีและยึดครองเมืองต่างๆ ภายในเวลาอันสั้นด้วยวิธีใด สิ่งนี้น่าเหลือเชื่อเป็นอย่างยิ่งหรือว่าทุกครั้งกองทัพข้าศึกมิได้สู้รบ
แต่แค่โผล่ออกมาแล้วยอมจำนนเลยงั้นหรือ?
“ยามที่ข้าศึกมีกำลังมากกว่า
ตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ พวกเขารู้ดีว่าไม่มีทัพหนุน นอกจากยอมจำนน พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”
“การปลอบขวัญราษฎรเป็นเรื่องที่ต้องเร่งกระทำ ก่อนหน้านี้พระชายาเคยหารือกับกระหม่อม การตีเมืองเป็นเรื่องง่ายแต่การป้องกันรักษาเมืองเป็นเรื่องยาก
หากอยากให้เป่ยเยว่ยอมสวามิภักดิ์ด้วยใจจริง จะอาศัยแค่กำลังทหารยึดครองเมืองอย่างเดียวไม่พอ
ต้องฟื้นฟูสภาพจิตใจของราษฎรชาวเป่ยเยว่ด้วย”
คำพูดนี้ของถังเยว่กล่าวได้ถูกต้องอย่างแท้จริง แม้รัชทายาทเจาจะรู้เรื่องนี้มานานแล้วแต่กลับมิได้มองออกอย่างทะลุปรุโปร่งถึงแก่น นั่นเพราะในใจถังเยว่วางราษฎรไว้ในตำแหน่งสำคัญที่สุด ส่วนเขาเป็นบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งเหนือคนทั่วไปมาตั้งแต่เกิด
ย่อมมิอาจเข้าใจถ่องแท้ในความคิดเหล่านี้
แต่เพราะยอมรับฟังความคิดเห็นผู้อื่นเขาจึงเข้าใจในเหตุผลของถังเยว่ได้ในที่สุด
“ฉะนั้นในที่ที่กองทัพผ่านไป ข้าจึงไม่เคยให้ทหารใช้อำนาจบาตรใหญ่ และห้ามมิให้พวกเขาข่มขืน
ฆ่าชิงทรัพย์ ปล้นสะดม ผลที่ได้กระจ่างชัดเจนนักโดยเฉพาะในเมืองที่มีการคบค้ากับหนานจิ้นยิ่งเห็นผลเด่นชัดเป็นพิเศษ”
“เพียงแต่หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าเสบียงอาหารของพวกเราจะมีไม่เพียงพอ”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบร้อน
เป้าหมายต่อไปของข้าอยู่ที่นี่...”
รัชทายาทเจาชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่งที่แสนจะโดดเด่นสะดุดตาเหิงกั๋วกงมองจนปากอ้าตาค้างด้วยความตะลึงพรึงเพริด
254 เสด็จสวรรคต
“ฝ่าบาท
จะไม่ทรงรีบเร่งและเสี่ยงอันตรายเกินไปหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เหิงกั๋วกงมองจุดที่ถูกวงสีแดงไว้ รู้สึกว่าถ้าองค์รัชทายาทไม่ฟั่นเฟือนก็คงเป็นเขาเองที่สติวิปลาส
“ท่านคิดว่าพวกเราจะมีโอกาสเช่นนี้อีกสักกี่ครั้ง” รัชทายาทเจาถาม
“ฝ่าบาทจะบอกว่าเป่ยเยว่เตรียมจะโต้กลับแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่เป็นการคาดการณ์ของข้า
ยังไม่แน่ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ หากดูจากที่พวกเราสามารถผ่านด่านได้อย่างราบรื่นก็เป็นไปได้ว่าเป่ยเยว่อาจยังตั้งตัวที่จะรุกกลับไม่ทัน”
“เช่นนั้นเหตุใดเวลานี้ถึงเป็นจังหวะและโอกาสที่ดีในการบุกตีเมืองจิงตู
เป่ยเยว่ถูกชิงดินแดนไปครึ่งแผ่นดินแล้ว
เวลานี้คงกำลังสั่งสมไพร่พลเพื่อมาเปิดศึกชี้ชะตากับพวกเรา ตีเมืองเวลานี้เกรงว่าอาจจัดการพวกเขาไม่ได้ง่ายๆ
นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ดังนั้นข้าถึงเลือกลงมือเวลานี้อย่างไรเล่า
เพื่อให้ภายในสามเดือนต่อจากนี้เป่ยเยว่ไม่มีเวลาว่างมาสนใจพวกเราอีก
ฉะนั้นพวกเราแสร้งทำเป็นว่าใช้เวลานานแล้วแต่ยังยึดเมืองสวีโจวไม่ได้เสียที
ให้พวกเขาตายใจคลายความระแวง” รัชทายาทเจาทำเครื่องหมายบนเมืองสวีโจวซึ่งอยู่ใกล้เมืองเยี่ยนโจวมากที่สุด
เหิงกั๋วกงตกตะลึง หลังจากใคร่ครวญอย่างถ้วนถี่แล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหตุใดเป่ยเยว่จึงจะไม่มีเวลามาสนใจพวกเขา
“หรือฝ่าบาทยังมีกลอุบายที่ยอดเยี่ยมอย่างอื่นอีก?”
รัชทายาทเจามิได้อธิบายให้ชัดเจน
แต่ดูจากปฏิกิริยาแล้วเหิงกั๋วกงก็พอจะเดาได้รางๆ
ก็เหมือนอย่างเป่ยเยว่ที่ซ่อนหมากไว้ในฉู่โจวมาหลายสิบปี
แล้วไยหนานจิ้นจะไม่ทำอย่างพวกเขาบ้างเล่า
หมากลับประเภทนี้ชั่วชีวิตใช้ได้เพียงหนเดียวและพวกเขาก็มีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
บางคนถึงขนาดต้องใช้เวลาตลอดชีวิตเพื่อทำการนี้โดยไม่มีโอกาสได้รับใช้บ้านเมืองด้านอื่นอีกเลย
เหิงกั๋วกงไม่ซักต่อ
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นความลับ การวางหมากของรัชทายาทคิดว่าแม้แต่องค์จักรพรรดิเองก็ยังไม่ล่วงรู้
เขาจึงยกมือขึ้นลูบหนวดหัวเราะจนตาหยีพลางกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็จวนจะได้รับชัยชนะในไม่ช้านี้แล้วสินะ ข้ารู้สึกคาดหวังยิ่งนัก!”
ในช่วงที่ยังมีลมหายใจอยู่ หากได้เห็นหนานจิ้นสามารถรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวได้อีกทั้งตนยังได้มีส่วนร่วมด้วยช่างเป็นเกียรติที่ได้สร้างชื่อเสียงอันดีงามให้เลื่องลือระบือไกล
เวลานี้เหิงกั๋วกงพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งที่จักรพรรดิส่งเขามา
ในบรรดากั๋วกงทั้งเจ็ดมีเพียงเขาที่ได้อยู่ที่นี่
กลับไปเมื่อไรพวกนั้นคงอิจฉาเขาจนแทบแดดิ้นแน่!
“จริงสิ อาการป่วยของหลู่กั๋วกง...”
รัชทายาทเจาเลิกคิ้วเล็กน้อย “หมอทหารบอกว่าเป็นโรคจ้งเฟิง ข้าจึงส่งเขากลับเมืองเย่เฉิงไปแล้ว
ท่านเคยไปเยี่ยมหรือไม่?”
“ไม่เคยเลยพ่ะย่ะค่ะ
อาการป่วยของเขาดูท่าว่าน่าจะหนักหนาทำให้การเดินทางล่าช้าต้องพักแรมกันเป็นระยะ ตอนที่กระหม่อมออกเดินทางมาที่นี่เขายังกลับไปไม่ถึงเมืองเย่เฉิงเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ” รัชทายาทเจามิได้ใส่ใจสุขภาพของหลู่กั๋วกงนัก
แต่จะปล่อยให้เขามาตายอยู่ข้างนอกแบบนี้คงมิใช่เรื่องดี
ดังนั้นเขาจึงได้ส่งทหารฝีมือดีจำนวนไม่น้อยตามไปคุ้มกันด้วย
หวังเพียงว่าจะเดินทางได้อย่างราบรื่นโดยไม่คาดหวังเรื่องความเร็ว
หากจะยังกลับไม่ถึงเย่เฉิงก็มิใช่เรื่องแปลก
“แต่ต่อให้เขาสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีก็เกรงว่าคงไม่รอดเช่นกัน
จักรพรรดิกริ้วถึงเพียงนั้น”
“โทษตายยังสบายไปสำหรับเขา
ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาทำเรื่องงามหน้าอะไรไว้อีก?”
สีหน้ารัชทายาทแสดงถึงความกริ้วโกรธ
เหิงกั๋วกงตกตะลึงรีบเอ่ยถาม “เรื่องอะไรงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เขาคิดว่าอย่างมากหลู่กั๋วกงก็คงบัญชาการได้ไม่ดี
หรือไม่ก็แย่งอำนาจทางการทหารจากองค์รัชทายาทจึงมีจุดจบเช่นนี้
ทว่าเหตุใดถึงดูเหมือนมิใช่เพียงเท่านี้
“ตอนทัพใหญ่ออกเดินทางได้มีการรวบรวมสมุนไพรมากมายจากทั่วทั้งเมือง
เฉพาะรถที่ใช้บรรทุกสมุนไพรก็มีสิบกว่าคันแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าทัพใหญ่อยู่ฉู่โจวไม่ถึงครึ่งปี
หลังออกรบเพียงครั้งเดียวสมุนไพรบางส่วนกลับติดปีกบินหายไปอย่างไร้ร่องรอย”
“ว่าอย่างไรนะ นั่น…!”
“เขาปิดบังไว้มิดชิดมาก ติดสินบนหมอทหารคนหนึ่ง ตาแก่นั่นก็เลอะเลือน
ไม่สนใจดูแลจัดการงานใดๆ ทั้งสองคนสมคบคิดรวมหัวกัน นำสมุนไพรล้ำค่าไปขายต่อเก็งกำไร
ได้เงินก้อนโตเข้ากระเป๋าตัวเองทั้งที่บ้านเมืองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน”
“ต่ำช้ายิ่งนัก!” เหิงกั๋วกงคิดไม่ถึงว่าผู้ที่เคยเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมสร้างผลงานในสนามรบมาด้วยกันในวันวานจะตกต่ำถึงเพียงนี้ หรือว่าหลู่กั๋วกงจะขัดสนเงินทองอย่างนั้นหรือ? ทว่าต่อให้ขัดสนเงินทองก็ไม่ควรนำชีวิตของเหล่าพี่น้องทหารหาญมาแลก!
“ฝ่าบาทได้กราบทูลเรื่องนี้ให้จักรพรรดิทรงทราบหรือไม่?”
รัชทายาทเจาส่ายหน้า “ข้ายังไม่ต้องการให้พระชายารู้เรื่องนี้จึงเก็บเป็นความลับไว้ก่อน เอาไว้มีโอกาสค่อยคิดบัญชีสะสางกันภายหลัง”
“ฮึ! กลัวก็แต่คนผิดจะอายุไม่ยืนน่ะสิพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นก็ต้องถือว่าเขาดวงดีแต่อนาคตอันสดใสของสกุลเซี่ยย่อมถึงทางตันแล้ว”
เหิงกั๋วกงนิ่งงัน ยามนี้กั๋วกงทั้งเจ็ด
เจิ้นกั๋วกงบ้านแตกสาแหรกขาด ยศถาบรรดาศักดิ์ถูกริบคืน หลู่กั๋วกงก็คงอยู่ได้อีกไม่นาน
ส่วนพวกเขาที่เหลือก็ไม่รู้ว่าจะสามารถสืบทอดกันต่อไปได้อีกสักกี่รุ่น
ทว่าสำหรับเรื่องพวกนี้เหิงกั๋วกงปลงตกปล่อยวางได้แล้ว
ในอดีตตอนลูกชายเขาไม่เอาถ่านก็ไม่เคยหวังจะให้ลูกชายส่งเสริมพัฒนาวงศ์ตระกูล
ตอนนี้ลูกชายสามารถประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
เขายังมีสิ่งใดให้ต้องเรียกร้องคาดหวังอีกหรือ
ขอเพียงก่อนเขาตายตระกูลไม่พังทลายไปเสียก่อน เท่านี้เขาก็นอนตายตาหลับแล้ว
“ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาช่วยดูแลลูกชายกระหม่อมมาหลายปีนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม!”
เหิงกั๋วกงทรุดตัวลงคุกเข่าคารวะด้วยความจริงใจ
“ซื่อจื่อมีวันนี้ได้ต้องขอบใจพระชายา
แต่ตัวเขาเองก็มีใจฮึดสู้
มิฉะนั้นท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นโคลนตมไม่เอาอ่าวเหมือนเดิม”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ
กระหม่อมรู้สึกซาบซึ้งใจในพระเมตตาของพระชายายิ่งนัก”
“ถังเยว่มิได้ต้องการอะไรมาก
ขอแค่น้องสาวเขาอยู่ดีมีสุขก็พอเท่านี้ก็ถือเป็นการแทนคุณเขาแล้ว”
เหิงกั๋วกงหัวเราะเสียงดัง “ตรงจุดนี้ขอฝ่าบาทและพระชายาโปรดวางพระทัย อาหย่างดงามสง่าผ่าเผย
ทั้งยังเพียบพร้อมด้วยศีลธรรมอันดีงาม นิสัยตรงไปตรงมา
ไม่มีสะใภ้บ้านใดดีงามไปกว่านี้แล้ว หากวันใดซุ่นเอ๋อร์กล้าข่มเหงนาง กระหม่อมนี่ละจะเป็นคนเล่นงานเขาเอง!”
รัชทายาทเจาพยักหน้าโดยไม่เอ่ยอะไรอีกเพราะไม่ต้องการก้าวก่ายเรื่องในครอบครัวขุนนางมากเกินไป
“ไปเชิญพวกรองแม่ทัพหลูมาร่วมหารือวางแผนตีเมืองเถอะ”
เหิงกั๋วกงใคร่ครวญแล้วเอ่ยทัดทาน “ฝ่าบาท ในเมื่อทรงมีพระประสงค์ให้เป็นความลับ มิสู้ให้รู้กันแค่จำเป็นไม่ดีกว่าหรือ?”
ไม่มีใครกล้ารับประกันว่าในกองทัพพวกเขาจะปราศจากไส้ศึกเป่ยเยว่ ศึกครั้งนี้จะเกิดข้อผิดพลาดแม้เพียงน้อยนิดก็ไม่ได้เป็นอันขาด
“ท่านกั๋วกงกังวลได้ถูกต้องแล้ว”
เพียงข้ามคืน
ทหารทั้งกองทัพก็ได้รับทราบว่ารัชทายาทเจามีบัญชาให้ทัพใหญ่เคลื่อนทัพเดินหน้าต่อ
บุกตีเมืองสวีโจวที่อยู่ห่างออกไปสองร้อยลี้
คำสั่งนี้มิได้อยู่เหนือความคาดหมาย
ทุกคนมิได้รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดปกติ แต่หลังผ่านช่วงบ่ายไปแล้ว
ก็มีอีกหนึ่งคำสั่งถูกส่งมา ตามการคาดการณ์ของรัชทายาท
ทหารรักษาการณ์เมืองสวีโจวมีอยู่อย่างจำกัด
จึงไม่จำเป็นต้องเคลื่อนทัพเอิกเกริกใหญ่โต
ด้วยเหตุนี้จึงมีบัญชาให้รองแม่ทัพหลูนำกำลังทหารสามหมื่นนายไปตีสวีโจว
ส่วนองค์รัชทายาทพาไพร่พลอ้อมไปตีอีกเมืองที่อยู่ไกลกว่า
นอกจากนี้ยังมีจดหมายลับฉบับหนึ่งถูกส่งไปฉู่โจว
องค์รัชทายาทมีคำสั่งให้แม่ทัพหูนำทัพขึ้นเหนือโดยเร็วที่สุด
ใช้เมืองเยี่ยนโจวเป็นฐานบัญชาการ จะต้องเฝ้าประตูเมืองเยี่ยนโจวไว้ให้ดี
หากทัพใหญ่ปราชัยเมืองเยี่ยนโจวจะเป็นฐานทัพให้พวกเขาพักหายใจ
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้
เมืองฉู่โจวก็จะกลายเป็นดั่งเมืองกระดาษ
หากข้าศึกบุกตีก็จะถูกตีแตกได้โดยง่ายรัชทายาทเจาจึงให้ทหารราบเกราะหนักห้าพันนายไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่นเพื่อปกป้องฉู่โจว ส่วนตนเองพาผู้พิทักษ์เกราะนิลห้าพันนายและไพร่พลอีกเกือบห้าหมื่นแต่งกายเรียบง่ายมุ่งหน้าสู่เมืองจิงตู
พวกเขามิได้ใช้ทางหลวงแต่เลี่ยงเมืองและหมู่บ้านทั้งหมด เลือกถนนเส้นเล็ก
เดินทางลำบาก ทว่าแม้จะเดินทางลำบากแต่เพราะเป็นถนนเส้นตรง
ขึ้นเขาลงห้วยจึงย่นเวลาในการเดินทางได้มากกว่าที่วางแผนไว้
เมื่อใกล้ถึงเมืองจิงตู
รัชทายาทเจาสั่งว่าไม่ต้องเดินทางต่อ แต่ให้กองทัพพักอยู่ในป่าลึกชั่วคราว
พร้อมกับส่งคนไปสืบข่าว ตอนนี้เป่ยเยว่อยู่ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ
จะเจอหิมะตกในช่วงฤดูใบไม้ผลิบ้างเป็นครั้งคราว มีคนหนาวจนเป็นแผลไม่น้อย
โชคดีที่ยาทาแก้ผิวหนังอักเสบเพราะความหนาวที่ถังเยว่เตรียมไว้ให้มีประสิทธิภาพดีมาก
ใช้แล้วได้ผลชะงัด ไพร่พลมีกันคนละขวดเล็กๆ
ผิวหนังตรงไหนอักเสบเพราะความหนาวก็ทาตรงนั้น โดยพื้นฐานแล้วหากอากาศมิได้หนาวเหน็บต่อเนื่องหลายวันย่อมมิใช่ปัญหาใหญ่
หลังจากได้พักหนึ่งวันหนึ่งคืน
คนที่ถูกส่งออกไปสืบข่าวก็กลับมา
แต่ละคนล้วนมีสีหน้าแช่มชื่นเบิกบานด้วยกันทั้งนั้น
“ฝ่าบาท ข่าวดีพ่ะย่ะค่ะ!”
“ว่ามา!”
“กษัตริย์เป่ยเยว่สวรรคตแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
สิ้นประโยคนั้นรองแม่ทัพโดยรอบต่างกรูกันเข้ามาห้อมล้อมผู้ส่งข่าว
ซักถามว่าตกลงสถานการณ์เป็นเช่นไรกันแน่
“เรื่องนี้กระจายไปทุกตรอกซอกซอย
ปีนี้กษัตริย์เป่ยเยว่ทรงชราภาพมากแล้ว
ได้ยินว่าเป็นเพราะพ่ายศึกติดต่อกันหลายครั้งอีกทั้งยังถูกยึดดินแดนจึงกริ้วจนลมสว้านจุกอก”
“เช่นนั้นองค์ชายพระองค์ใดสืบราชบัลลังก์ต่อ?”
“แต่ไหนแต่ไรมากษัตริย์เป่ยเยว่ทรงกุมอำนาจไว้เพียงผู้เดียว
ก่อนเกิดเรื่องจึงมิได้ทรงแต่งตั้งรัชทายาทเตรียมไว้
เคยมีพระประสงค์จะแต่งตั้งองค์ชายสี่แห่งเป่ยเยว่ ทว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนจู่ๆ
องค์ชายสี่ก็สิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันในตำหนักของพระองค์เอง
กษัตริย์เป่ยเยว่ทั้งกริ้วทั้งเสียพระทัยจนในคืนเดียวกันนั้นถึงกับกระอักเลือดและเสด็จสวรรคตในช่วงย่ำรุ่ง ตอนนี้ในราชสำนักเป่ยเยว่กำลังเกิดความวุ่นวายโกลาหล
ทุกคนล้วนมีผู้สืบทอดที่ตนพอใจจึงเกิดการขัดแย้งกันอย่างหนัก แต่ได้ข่าวว่าในเมืองจิงตูประกาศใช้กฎอัยการศึกแล้ว
ประตูเมืองปิดสนิท ห้ามมีการเข้าออกเด็ดขาด!”
“นี่นับเป็นจังหวะและโอกาสดี
ฝูงมังกรไร้ผู้นำ
บัดนี้ทัพเป่ยเยว่ก็กลายเป็นเพียงเม็ดทรายที่กระจัดกระจายเท่านั้น” หวังติ่งจวินกล่าวแล้วรีบเสนอความคิด “ฝ่าบาท เช่นนี้มิสู้พวกเรารออีกสักสองสามวันให้องค์ชายพวกนั้นรบราแย่งชิงกันเองก่อน
จากนั้นพวกเราค่อยลงมือกวาดล้างขุดรากถอนโคนให้สิ้นซากทีเดียวเลย
ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
รัชทายาทเจานิ่งเงียบมิเอ่ยวาจาใดอยู่นาน
ขณะที่ทุกคนกำลังนึกว่าข้อเสนอนี้จะต้องได้รับความเห็นชอบแน่ จู่ๆ
รัชทายาทก็เอ่ยถามทหารนายนั้นขึ้นประโยคหนึ่ง “เจ้ามั่นใจหรือว่าผู้ที่สิ้นพระชนม์กะทันหันในตำหนักเป็นองค์ชายสี่จริง?”
นายทหารผู้นั้นนิ่งอึ้งไป ก่อนจะพยักหน้า
“ข้าพระองค์ได้ยินมาว่าเป็นองค์ชายสี่
แต่ข่าวผิดพลาดหรือไม่ยังมิได้ตรวจสอบให้แน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท มีสิ่งใดผิดปกติหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ทุกคนเอ่ยถามด้วยสีหน้างงงัน
รัชทายาทเจาก็มิได้ปิดบัง “พวกท่านรู้หรือไม่ว่าในบรรดาองค์ชายเป่ยเยว่ผู้ใดมีความสามารถล้ำเลิศที่สุด
ผู้ใดมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเรามากที่สุด”
“ได้ข่าวว่าองค์ชายสี่ปราดเปรื่องตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
เป็นผู้มีความรู้และคุณธรรมเหนือกว่าใคร
เป็นองค์ชายที่ปวงประชารักใคร่เทิดทูนที่สุด
นอกจากนี้ยังมีองค์ชายเจ็ดที่ดูเหมือนว่ามีอำนาจไม่น้อย
แต่เพราะพระมารดามีฐานะต่ำต้อย
อาศัยความสามารถของพระองค์เองแสดงความสามารถออกมาโดดเด่นกว่าใครในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย
ความสามารถเชิงบุ๋นเชิงบู๊ล้วนยอดเยี่ยม
กล่าวกันว่าทรงได้รับความชมชอบจากกษัตริย์เป่ยเยว่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“สองคนนี้
องค์ชายสี่โลเลเกินไปไม่กล้าตัดสินใจ ทำงานใหญ่ให้สำเร็จได้ยาก
องค์ชายเจ็ดใจคอคับแคบจุกจิกหยุมหยิม ไม่ใช่ตัวเลือกกษัตริย์ที่ดี”
“หรือยังมีองค์ชายพระองค์ใดอดทนข่มใจไม่แสดงตัวอีกหรือ?”
รัชทายาทเจาพยักหน้าแล้วเขียนอักษรคำว่า ‘สอง’ ลงบนพื้น
“นี่...เป็นองค์ชายรองที่ถูกปลดจากตำแหน่งเมื่อสิบกว่าปีก่อนมิใช่หรือ
กล่าวกันว่าตอนนั้นมีคำเล่าลือว่าจะแต่งตั้งเขาเป็นรัชทายาท
แต่เขากลับสมคบคิดแม่ทัพใหญ่ในราชสำนักร่วมกันก่อกบฏ
ทว่ายังไม่ทันได้ลงมือก็มีคนพบเบาะแสเข้าจึงถูกกษัตริย์เป่ยเยว่จองจำ”
เรื่องใหญ่ขนาดนี้หนานจิ้นย่อมต้องรู้ข่าวอยู่แล้ว
เพียงแต่ทุกคนคิดไม่ถึงว่าบุคคลที่เดิมควรอยู่นอกวงจะกลายเป็นผู้มีความเป็นไปได้ที่จะขึ้นครองตำแหน่งจักรพรรดิองค์ต่อไปในความคิดของรัชทายาทเจาเสียได้
“จากหลักฐานในช่วงหลายปีที่ค้นหามาได้
ยืนยันแล้วว่าองค์ชายรองเป็นผู้บริสุทธิ์แต่ถูกคนวางแผนใส่ร้าย
เขาอดทนข่มใจอยู่สิบกว่าปี
แอบสั่งสมกำลังอำนาจไว้กระทั่งกษัตริย์เป่ยเยว่เสด็จสวรรคต
เดิมทีข้าต้องการเอาชีวิตเขาแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดผู้ที่ตายถึงกลายเป็นองค์ชายสี่ไปได้”
“ไม่รู้ว่าข้างนอกมีข่าวองค์ชายรองบ้างหรือไม่?”
สายตาหวังติ่งจวินมองไปยังพลทหารที่ไปสืบข่าว
พวกเขาสบตากันแล้วส่ายหน้า “ยังไม่ได้ข่าวเลยพ่ะย่ะค่ะ ถ้าอย่างไรเดี๋ยวข้าพระองค์จะไปสืบดูอีกครั้ง”
รัชทายาทเจาโบกมือ “ไม่เป็นไร เหน็ดเหนื่อยกันมาหลายวันแล้ว พวกเจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ
เปลี่ยนให้คนอีกชุดไปแทน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสืบข่าวองค์ชายรองมาให้แน่ชัดให้จงได้”
“น้อมรับพระบัญชา!”
255 จักรพรรดิสวรรคต
“คุณชาย แย่แล้ว! ในวังส่งคนมาตามท่านเข้าวังด่วนขอรับ”
เหอกระโจนเข้ามาในห้องทรงพระอักษร รีบร้อนเสียจนลืมแม้กระทั่งมารยาทพื้นฐาน
“บอกหรือไม่ว่ามีธุระอันใด?”
“บอกขอรับ
ข่าวเพิ่งแพร่ออกมาว่าตอนที่จักรพรรดิไปล่าสัตว์ทรงตกจากหลังม้าได้รับบาดเจ็บที่พระเศียรขอรับ”
ถังเยว่รีบผุดลุกขึ้น “เกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร เป็นอุบัติเหตุงั้นหรือ?”
“บ่าวไม่แน่ใจ
แต่เห็นคนที่มาจากในวังรีบร้อนมาก เกรงว่าสถานการณ์คงมิสู้ดีนัก คุณชาย...”
“ไปหยิบล่วมยามาให้ข้า! ข้าจะรีบไป” ถังเยว่เร่งรีบเสียจนไม่ได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า
พอพุ่งตัวออกจากห้องก็เห็นขันทีใหญ่กำลังวิ่งกระหืดกระหอบมา
พอเห็นเขา ขันทีเฒ่าก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น
คุกเข่าลงบนพื้นกอดขาถังเยว่
“พระชายา ต้องช่วยองค์เหนือหัวนะพ่ะย่ะค่ะ
ตอนนี้...ฮือๆๆๆตอนนี้...มีแต่พระองค์เท่านั้น...”
ถังเยว่ถีบเรียกสติฝ่ายนั้นไปหนึ่งทีแล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“รีบลุกขึ้น
เดี๋ยวเจ้าเล่าเหตุการณ์มาให้ละเอียดแต่ตอนนี้รีบเข้าวังกันก่อน!”
ถังเยว่หอบล่วมยาเร่งสาวเท้าวิ่งไปยังประตูใหญ่
พ่อบ้านเตรียมม้าไว้ให้เขาที่หน้าประตูเรียบร้อยแล้วเพราะรู้ว่าสถานการณ์คับขัน
แม้แต่รถม้ายังต้องงดใช้ชั่วคราว
ถังเยว่พลิกตัวกระโดดขึ้นหลังม้า
กำลังจะหวดแส้ พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงกวักมือเรียกเหอให้เข้ามาใกล้ๆ
ค้อมกายกระซิบข้างหูเขากำชับสองสามประโยค จากนั้นก็รีบควบม้าพุ่งตรงไปยังพระราชวัง
นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ขี่ม้าแต่เพราะร้อนใจจึงลืมกลัว
จนเข้าไปถึงในวังแล้วจึงเพิ่งรู้ตัวว่าหยุดม้าไม่ได้!
“ทหาร! รีบมาช่วยข้าเร็วเข้า
ข้าหยุดม้าไม่ได้!” ถังเยว่ตะโกนเสียงดังลั่น
ดึงเชือกบังเหียนพยายามบังคับม้า
องครักษ์นายหนึ่งกระโจนมาดักหน้า
ถังเยว่ตะโกนไล่ “รีบหลบไป!”
เขาคิดว่าแรงปะทะเพียงแค่นี้ไม่น่าจะทำให้ม้าหยุดลงได้
ทว่าฝ่ายนั้นเพียงแตะปลายเท้าก็ทะยานตัวลอยขึ้นกลางอากาศแล้วโผเข้าหาเขา ถังเยว่หลับตาปี๋
องครักษ์ผู้นั้นพลิกกายนั่งคร่อมซ้อนหลังเขา กระตุกบังเหียน
ม้ายกขาหน้าตะกุยอากาศพร้อมกับร้องคำรามก่อนจะเอียงตัวล้มลงกับพื้นทว่าก่อนหน้านี้องครักษ์ผู้นั้นคว้าแขนถังเยว่พาเขากระโดดลงจากหลังม้าก่อนแล้ว
ถังเยว่รู้สึกเจ็บที่ข้อเท้าเล็กน้อย
แต่ท้ายที่สุดก็เหยียบลงบนพื้นได้เสียที
“ขอพระราชทานอภัยที่ล่วงเกินพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์ผู้นั้นปล่อยแขนเขาแล้วคุกเข่าข้างเดียวทำความเคารพ
ถังเยว่ตบอกตนเองให้คลายตกใจ
“รีบลุกขึ้นเถอะ
ต้องขอบคุณพี่ชายที่ช่วยชีวิต”
“นี่เป็นหน้าที่ของข้าพระองค์พ่ะย่ะค่ะ!”
ถังเยว่ไม่มีเวลาจะพูดคุยกับเขา หลังกล่าวขอบคุณเสร็จก็รีบพุ่งตรงไปยังตำหนักบรรทมขององค์จักรพรรดิหนานจิ้น
ในวังเกิดความชุลมุนวุ่นวายไปหมด
เขาเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังร่ำไห้อยู่หน้าตำหนักบรรทมขององค์จักรพรรดิ พลันเกิดลางสังหรณ์มิสู้ดีบางอย่างผุดขึ้นในใจ
“รีบถอยไปให้หมด! พระชายาเสด็จแล้ว!”
ฝูงชนแหวกออกเป็นทาง
ถังเยว่เดินเข้าไปด้วยท่าทางเคร่งขรึมและน่าเกรงขาม
มีองค์ชายและพระชายากลุ่มหนึ่งคุกเข่าอยู่ที่ห้องชั้นนอก
พอเห็นถังเยว่ก็มีสีหน้าหลากอารมณ์ เมื่อเทียบกับเสียงร่ำไห้ระงมหน้าตำหนัก
หญิงชายในห้องนี้มีเพียงเสียงร้องไห้แต่ไร้น้ำตา เห็นแล้วชวนน่าเวทนายิ่งนัก
คนพวกนี้ต่างหากที่เป็นญาติสนิทที่สุดของบุรุษซึ่งนอนเจ็บอยู่ภายในห้อง
แต่กลับมีกิริยาอาการเช่นนี้ดูคล้ายประชดกันชอบกล
ถังเยว่ก้าวเท้ายาวๆ
ผ่านคนเหล่านั้นเข้าไปในห้องชั้นใน
เห็นพระอัครมเหสีหูซื่อนั่งคุกเข่าอยู่ข้างแท่นบรรทม นางคุกเข่าอย่างสง่างาม
สีหน้าสงบนิ่ง ดวงตาฉายแววอาดูรแต่ที่สัมผัสได้มากกว่าคือความอดกลั้น
“พระอัครมเหสี
พระชายาเสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พระอัครมเหสีผินหน้ามา
มุมปากขยับเล็กน้อยขณะทอดถอนใจ
“เจ้ามาช้าไป”
ถังเยว่ก้าวยาวๆ
เข้าไปเพ่งพิจารณาสีหน้าจักรพรรดิหนานจิ้นซึ่งตอนนี้เป็นสีเขียวอมแดง ขอบตาเว้าลึก
มีผ้าพันแผลหนาเตอะพันรอบหน้าผาก ทั้งยังมีรอยโลหิตไหลซึมออกมา
เขาจับชีพจรและตรวจการเต้นของหัวใจ จักรพรรดิหนานจิ้นไร้ซึ่งลมหายใจแล้วจริงๆ
เสื้อคลุมมังกรบนร่างก็เปลี่ยนเป็นชุดใหม่แล้ว
“เสด็จพ่อทรงไม่หายใจนานแค่ไหนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ประมาณหนึ่งเค่อ หมอหลวงอูเพิ่งจะออกไป
เขาบอกว่าไม่สามารถช่วยได้แล้ว”
น้ำเสียงของพระอัครมเหสีแม้ฟังเผินๆ
ยังคงราบเรียบนุ่มนวล แต่ถังเยว่จับกระแสเสียงที่สั่นเครือน้อยๆ
ด้วยความหวาดกลัวได้
ถังเยว่แกะผ้าพันแผลของจักรพรรดิหนานจิ้นออก
ตรวจดูบริเวณศีรษะพบว่าตรงท้ายทอยมีรูคงกระแทกถูกวัตถุแหลมคมบางอย่าง
เขาไม่รู้ว่ามีเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายใดซ่อนอยู่ในเรื่องนี้หรือไม่
หลังตรวจดูบาดแผลแล้วจึงลอบมองพระอัครมเหสี ส่งคำถามด้วยสายตา
นางส่ายหน้าให้เขาเพียงเล็กน้อยจนแทบไม่รู้สึก
จากนั้นจึงยกผ้าขึ้นเช็ดซับหัวตาแล้วลุกขึ้นยืน
“ประกาศออกไป จักรพรรดิเสด็จสวรรคตแล้ว
ให้ไว้ทุกข์ทั่วทั้งแผ่นดินนานสามเดือน รัชทายาทยังไม่เสด็จกลับจากการศึกสงคราม
งานพระราชพิธีพระบรมศพให้พระชายาเป็นผู้ดูแลจัดการ งานราชกิจให้จิ่วชิงและกั๋วกงทั้งหลายช่วยจัดการแทนไปก่อน
รอให้รัชทายาทเสด็จกลับแล้วค่อยจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษก”
เสียงถ่ายทอดคำสั่งดังต่อกันออกไป
ทั่วพระราชวังเต็มไปด้วยบรรยากาศเศร้าสร้อยหดหู่
เสียงร้องไห้ดังระงมชวนให้รู้สึกกดดัน
ถังเยว่คิดไม่ถึงว่าพระอัครมเหสีจะยกหน้าที่ดูแลงานพระราชพิธีพระบรมศพให้ตนเป็นคนจัดการ งานใหญ่ขนาดนี้เขาทำไม่ไหวและไม่อยากทำด้วย
หากเกิดข้อผิดพลาดแม้เพียงนิดก็จะถูกคนขุดออกมาโจมตี
มิหนำซ้ำทั้งองค์ชายและพระชายาดุจฝูงหมาป่าพญาเสือที่อยู่ข้างนอกพวกนั้นต่างคอยจ้องจับผิดหาจุดอ่อนมาเล่นงานเขาตาแทบไม่กะพริบ
“เสด็จแม่จะทรงส่งจดหมายให้รัชทายาทเสด็จกลับมาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ถังเยว่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจักรพรรดิหนานจิ้นจะเสด็จสวรรคตกะทันหัน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ความมั่นคงของราชสำนักก็มิอาจรับประกันได้แล้ว
ทัพหลังไม่มั่นคง
หลี่เจาอยู่ทัพหน้าย่อมได้รับผลกระทบแน่
ถังเยว่ยอมให้เขากลับมาดีกว่าที่จะให้อีกฝ่ายต้องอยู่ในวังวนแห่งความยุ่งยากเพราะเหตุนี้
“ไม่!” พระอัครมเหสีส่ายหน้าอย่างแน่วแน่และหนักแน่น
“ราชสำนักแห่งนี้มีขุนนางมีนักวางแผนที่สามารถบริหาราชกิจได้ในช่วงสั้นๆ
ไม่มีทางเกิดความโกลาหลขึ้นแน่ ส่วนวังหลังมีข้าซึ่งเป็นพระอัครมเหสีอยู่ทั้งคนอยากดูนักว่าพวกมันใครจะบังอาจกล้าก่อกบฏ!”
ถังเยว่เลื่อมใสในความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของนางยิ่งนัก
แต่ถึงกระนั้นก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ สถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดี รัชทายาทไม่อยู่
พวกองค์ชายมีความคิดแตกต่างกัน ต้องมีพละกำลังมหาศาลเพียงใดจึงจะสามารถสกัดกั้นองค์ชายพวกนั้นได้
“พระชายาหม่า...พระชายาหม่า...เข้าไปไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ...พระชายา!”
“ไสหัวออกไป! ข้าจะขอเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิเป็นครั้งสุดท้าย...”
“ใช่! พวกเราจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท
ฝ่าบาทจะเสด็จสวรรคตได้อย่างไร เมื่อครู่ตอนส่งพระองค์เข้าไปยังมีพระชนม์ชีพอยู่ชัดๆ
เหตุใดพอพระชายาเข้าไปก็ทรงเสด็จสวรรคตแล้วเล่า?”
“เขาเป็นหมอเทวดามิใช่หรือ! ไหนว่าสามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้อย่างไรล่ะ
เหตุใดนอกจากรักษาไม่หายแล้วยังทำให้ตายเสีย! หรือว่าเขาสมคบคิดกับพระอัครมเหสีปลงพระชนม์ฝ่าบาท!”
“บังอาจ!” พระอัครมเหสีพอได้ยินประโยคนี้ก็ตวาดลั่นด้วยความกริ้วโกรธ
“ทหาร! มาจับพวกคนพูดจาเหลวไหลเลอะเลือนออกไปให้หมดทั้งฝูงเดี๋ยวนี้!”
“พระอัครมเหสี ท่านกล้าหรือ!”
“พระอัครมเหสี ท่านร้อนตัวละสิ! ทำให้ฝ่าบาทต้องสวรรคต นึกว่ารัชทายาทจะขึ้นครองราชย์ได้งั้นหรือ
เจ้ามันหญิงอำมหิต เอาชีวิตฝ่าบาทคืนมานะ ฮือๆ ฝ่าบาทของข้า!”
“พอแล้ว!” ถังเยว่ตวาด
“รัชทายาทไม่อยู่เย่เฉิง
จักรพรรดิสวรรคตตอนนี้จะเกิดประโยชน์อะไรกับพระองค์
พวกเจ้านึกว่าสติปัญญาของผู้อื่นจะอยู่ระดับเดียวกับพวกเจ้าหรืออย่างไร!”
“เจ้า...เจ้ามันก็แค่พระชายาบุรุษ ที่นี่เจ้าก็มีสิทธิ์พูดด้วยงั้นหรือ!”
“เฮอะ! ข้าเป็นถึงพระชายาที่องค์จักรพรรดิทรงออกราชโองการพระราชทานงานอภิเษกสมรสให้
พระชายาคลางแคลงในการตัดสินพระทัยขององค์จักรพรรดิอย่างนั้นหรือ? หรือจะไปถามองค์จักรพรรดิด้วยตัวเองว่าทรงยอมรับข้าผู้เป็นพระชายาบุรุษคนนี้หรือไม่ดีล่ะ!” ถังเยว่แสยะยิ้ม สำหรับสตรีในวังหลังแห่งนี้ ไม่น่าทะนุถนอมอ่อนโยนด้วยเลยจริงๆ
พิษร้ายที่สุดคือใจนาง
ประโยคนี้ไม่ได้เขียนขึ้นมาเล่นๆ
บทผู้หญิงจะร้ายขึ้นมาถึงกับชวนขนพองสยองเกล้าจนขนหัวลุกกันเลยทีเดียว
แม้จะไม่ถึงกับเชี่ยวชาญแต่เขาก็เคยฟังเรื่องราวการใช้กลอุบายชิงดีชิงเด่นในวังหลังมาบ้าง
แต่ละเรื่องโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งกว่าละครโทรทัศน์เสียอีก
“ยังไม่เอาตัวพวกเขาออกไปอีก
จักรพรรดิเพิ่งสวรรคตได้ไม่นานพวกเจ้าก็คิดจะก่อเรื่องวุ่นวายแล้วงั้นหรือ?”
องครักษ์กลุ่มใหญ่ถืออาวุธบุกเข้ามา
ผลักนางกำนัลขันทีที่ห้อมล้อมปกป้องเหล่าองค์ชายและพระชายาแล้วนำตัวออกไปทีละคน
“พวกเจ้าจะทำอะไร เพิ่งพูดอยู่หยกๆ ว่าจักรพรรดิเพิ่งสวรรคตได้ไม่นานก็คิดจะฆ่าล้างบางพวกเราแล้วหรือ!”
“บัดนี้ราชสำนักไร้ผู้นำ
รัชทายาทยังไม่เสด็จกลับ ข้ารู้สึกว่าเรื่องเร่งด่วนที่สุดควรเป็นการให้เสนาบดีเลือกองค์ชายขึ้นมาบริหารบ้านเมืองเป็นการชั่วคราว รอให้รัชทายาทเสร็จศึกกลับมาค่อยเลือกวันเสด็จขึ้นครองราชย์
พระอัครมเหสีทรงคิดเห็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ถังเยว่หันไปดูเห็นองค์ชายอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งใส่ชุดสีขาวสวมหมวกทองใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดฝาด
ดูไร้ซึ่งความหยิ่งทะนงถือดีออกจะมีแนวโน้มว่าง่ายอยู่ในโอวาทเสียด้วยซ้ำ
ที่แท้ก็เป็นองค์ชายสิบห้านั่นเอง ถังเยว่ย่อมรู้จักเขา
องค์ชายคนนี้เป็นผู้ที่ไม่ค่อยโดดเด่นเท่าใดนัก
น่าจะเพิ่งอายุครบสิบห้าปีเต็มจำได้ว่าเป็นเด็กที่อยู่ในโอวาทว่านอนสอนง่าย แต่ไหนแต่ไรแทบไม่เคยออกมาปรากฏตัวในที่สาธารณะแต่ครั้งนี้กลับประหลาดอย่างยิ่ง
เขาโผล่มาในเวลานี้มีจุดประสงค์ใด?
“อีกอย่าง
ข้ารู้สึกว่าให้พระชายาเป็นผู้ดูแลจัดการงานพระราชพิธีพระบรมศพของเสด็จพ่อไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
ตั้งแต่โบราณกาลหนานจิ้นไม่เคยมีเหตุการณ์ที่จะให้พระชายามาจัดงานสำคัญเช่นนี้
พระอัครมเหสีไม่ทรงถามความคิดเห็นของเหล่าเสนาบดีดูหน่อยหรือ
แม้เสด็จพ่อจะไม่อยู่แล้ว แต่ราชสำนักก็มีกฎมณเฑียรบาลอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสิบห้าพูดจามีเหตุมีผล
วาจาฉะฉานสงบนิ่งไม่ใช้อารมณ์มาเจือปนยิ่งดูสมเหตุสมผลอย่างมาก
แต่ต่อให้สมเหตุสมผลเพียงใดสามารถออกมายืนพูดในเวลานี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีแผนการแอบแฝงในใจ
ถังเยว่เดินมาตรงหน้าเขา แล้วยิ้ม
“น้องสิบห้า ไม่เจอกันนานมาก
ดูสิเจ้าโตขนาดนี้แล้ว สามารถแบ่งเบาภาระของเสด็จพี่เจ้าได้แล้วช่างน่าปลื้มใจยิ่งนัก”
ถังเยว่หันไปทางพระอัครมเหสี พูดด้วยน้ำเสียงขอคำปรึกษา
“เสด็จแม่
ลูกเองก็รู้สึกว่างานพระราชพิธีพระบรมศพให้ลูกดูแลจัดการน่าจะไม่เหมาะสมนัก
อีกอย่างช่วงนี้ลูกต้องจัดเตรียมเสื้อผ้าหน้าร้อนให้พวกทหารทัพหน้า แต่ว่าเมื่อครู่ที่เสด็จแม่กล่าวว่าให้จิ่วชิงกับเหล่ากั๋วกงร่วมกันบริหารบ้านเมืองไปก่อนเป็นการชั่วคราวนั้นลูกสนับสนุนและเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง งานราชกิจเร่งด่วนแม้เหล่าองค์ชายจะปรีชาสามารถแต่ยังขาดประสบการณ์ มิสู้ให้เหล่าองค์ชายได้ศึกษาการบริหารงานราชสำนักจากเหล่าเสนาบดีก่อน
เช่นนี้ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
พระอัครมเหสีหันมองเขาด้วยความแปลกใจ
คำพูดนี้ของถังเยว่ฟังดูเหมือนคิดมาเพื่อองค์ชายทั้งหลายไม่เหมือนวาจาที่พระชายารัชทายาทควรพูดออกมาเลยสักนิด
แต่เมื่อลองตรองให้ดีแล้วดูเหมือนว่าความใจกว้างของเขาจะมิได้เสียผลประโยชน์อะไรนัก งานพระราชพิธีพระบรมศพของจักรพรรดิมีระเบียบวิธีของบรรพบุรุษอยู่แล้ว
ชั่วยามใดต้องทำสิ่งใดล้วนกำหนดไว้ตายตัว ผู้ดูแลจัดการงานพระราชพิธีพระบรมศพเป็นเพียงฐานะในนามที่ฟังดูดีเท่านั้น
สำหรับเรื่องที่ให้เหล่าองค์ชายศึกษาการบริหารราชกิจ
ขอเพียงในราชสำนักยังมีอัครเสนาบดีและกั๋วกงทั้งหลายยังอยู่ องค์ชายพวกนั้นจะสามารถทำอะไรได้
“ข้าอนุญาต” พระอัครมเหสีกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
256 เมืองแตก
ถังเยว่กลับถึงจวนในช่วงโพล้เพล้
เหนื่อยล้าไปทั้งตัว สีหน้าบ่งบอกถึงความอ่อนเพลีย
คนในจวนรัชทายาทต่างรู้ข่าวแล้วบริเวณรอบจวนจึงประดับด้วยแพรขาว บ่าวไพร่ต่างเปลี่ยนมาสวมชุดไว้ทุกข์มัดแถบผ้าขาว
“พี่ถัง…” จางฉุนที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกรีบตรงเข้ามาจูงแขนเขาไปถาม “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆ จักรพรรดิถึงเสด็จสวรรคตกะทันหันได้ล่ะ ทรงสุขภาพแข็งแรงมาตลอดไม่ใช่เหรอ?”
ถังเยว่จูงเขาเข้าประตู
กระทั่งเข้ามาในห้องทรงพระอักษรแล้วจึงพูดขึ้น “ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องราวทั้งหมดนักหรอก
ได้ยินว่าทรงตกจากหลังม้าตอนไปล่าสัตว์ ตอนนั้นมีเสนาบดีอยู่กันหลายคน
หลังเกิดเรื่องได้ตรวจสอบดูแล้วว่าม้าไม่มีปัญหาเพียงแต่วิ่งเร็วเกินไปสะดุดถูกเถาวัลย์เข้าจึงล้ม”
“แบบนี้มันมีลับลมคมในชัดๆ” จางฉุนฟังแล้วอ้าปากตะลึงค้าง ที่จริงถังเยว่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสงสัยไม่น้อย
ม้าอยู่ดีๆ จะสะดุดเถาวัลย์ล้มได้อย่างไร ประจวบเหมาะกับศีรษะขององค์จักรพรรดิไปกระแทกถูกหินแหลมเข้าพอดี เรื่องนี้ไม่บังเอิญไปหน่อยหรือ?
“จะมีลับลมคมในหรือเปล่าก็ไม่รู้
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะพูดอะไรได้ ต่อให้มีใครวางกลอุบายไว้
พวกเราก็ไปยุ่งเกี่ยวด้วยไม่ได้”
“แล้วคุณไม่กลัวว่าจะมีคนคิดชิงบัลลังก์หรือ?
จักรพรรดิหนานจิ้นสิ้นพระชนม์ รัชทายาทก็อยู่ในที่ห่างไกลขนาดนั้น หากมีคนคิดปองร้ายหวังฮุบอำนาจในราชสำนักก็สามารถฉวยโอกาสนี้ชิงตำแหน่งรัชทายาทไปได้อย่างสบายเลยนะ
แล้วตำแหน่งพระชายาของคุณก็จะเป็นอันสิ้นสุดไม่ใช่เหรอ”
ถังเยว่มองอีกฝ่ายอย่างจนใจ “ฉันรู้ว่านายเป็นห่วงเรื่องอะไร ผลเลวร้ายที่สุดของเรื่องนี้ก็คือถ้ามีคนคิดปองร้ายอย่างที่นายว่าจริง เขาจงใจวางแผนกำจัดจักรพรรดิหนานจิ้นแล้วยึดอำนาจราชสำนัก จัดการสังหารคนสนิทของรัชทายาทให้สิ้นซาก จากนั้นก็ตัดขาดข่าวสารกับทัพใหญ่ที่อยู่ชายแดนแล้วขึ้นเป็นจักรพรรดิเสียเอง…”
“แค่นี้ก็แย่พอแล้ว
ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงคนแรกที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการฆ่าก็คือคุณ! คุณเหมือนมีป้ายยี่ห้อรัชทายาทแปะอยู่กลางหน้าผาก
หรือถ้าหากเขาหาเรื่องใส่ความว่าทั้งที่คุณเป็นหมอเทวดาแต่กลับรักษาจักรพรรดิไม่ได้ขึ้นมาล่ะ!”
จางฉุนยิ่งคิดยิ่งตื่นตระหนก รีบเขย่าแขนถังเยว่อย่างร้อนใจ “พี่ถัง! พวกเรารีบเก็บของลี้ภัยไปอยู่ที่อื่นก่อนดีกว่าไหม?”
ถังเยว่ยิ้มอย่างอ่อนใจ “ความจริงก็คือความจริง พวกเราไม่ได้ทำเช่นนั้นจะมายัดเยียดข้อหาฆ่าคนตายให้พวกเราได้ยังไง?”
ถึงขั้นต้องลี้ภัยเชียวหรือ เจ้าเด็กนี่จินตนาการออกมาได้อย่างไร!
“เรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุปฉะนั้นพูดอะไรไปล้วนเป็นการคาดเดาไปเองทั้งนั้น นายวางใจเถอะ เมื่อกี้ฉันได้ปรึกษากับเสนาบดีหลายคน
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำได้อย่างข้อสันนิษฐานของฉัน”
ในวังมีพระอัครมเหสีกับคนที่อยู่ฝ่ายสกุลหูรักษาการณ์อยู่ ในราชสำนักก็มีอัครเสนาบดีกับกั๋วกงหลายท่านร่วมแรงแข็งขันรับมือคนข้างนอก
ยังมีไพร่พลที่เฝ้าอยู่เมืองเย่เฉิงซึ่งล้วนเป็นคนสนิทของรัชทายาท
นอกเสียจากว่าจู่ๆ คนเหล่านี้พร้อมใจกันแปรพักตร์หักหลังรัชทายาท
ไม่เช่นนั้นถังเยว่ก็ยังคิดไม่ออกว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีโอกาสลงมือได้อย่างไร
แผ่นดินนี้ขาดก็แต่การทำพิธียกให้หลี่เจาสืบทอดต่ออย่างเป็นทางการเท่านั้นและตามความเป็นจริงหลี่เจาในฐานะรัชทายาทก็ถือว่าเป็นเจ้าแห่งแผ่นดินนี้กึ่งหนึ่งมานานแล้ว
แทนที่จะคาดเดาเอาเองว่าใครเป็นผู้ฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย สู้เอาเวลาไปคิดว่าตอนนี้รัชทายาทต้องเผชิญกับอันตรายอะไรบ้าง ขาดแคลนเสื้อผ้า อาหาร ยาเวชภัณฑ์และหมอหรือไม่ยังจะดีเสียกว่า
สิ่งเหล่านี้ต่างหากเป็นเรื่องที่เขาควรใส่ใจมากที่สุด
จางฉุนฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างระอาใจ
“ทำไมคุณใจเย็นขนาดนี้! นี่เป็นศึกแย่งชิงในวังหลวงเชียวนะ ศึกชิงบัลลังก์แต่ละยุคสมัยล้วนเป็นเหตุการณ์นองเลือดทั้งสิ้น ดีไม่ดีพวกเราอาจกลายเป็นก้อนหินให้คนอื่นเหยียบข้าม”
“เมื่อก่อนนายชอบพูดอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่หรือว่าพวกเราเป็นคนที่ข้ามภพมา เป็นตัวเอกของเรื่องที่มีรัศมีโดดเด่น
เป็นแมลงสาบที่ตีไม่ตาย”
“เอ่อ…ก็จริง
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้พวกเราคงกลับมาเกิดใหม่ในโลกยุคนี้พร้อมภารกิจสำคัญจริงๆ
นั่นละ ดังนั้นหากยังปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จก็จะไม่ถูกตัดบททิ้งง่ายๆ แน่”
ถังเยว่กลั้นหัวเราะขณะถาม “ภารกิจอะไร?”
“ก็ภารกิจช่วยรัชทายาทเจารวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวยังไงล่ะ ก็เหมือนอย่างพระเอกคนนั้นที่ย้อนยุคกลับไปในราชวงศ์ฉินช่วยอิ๋งเจิง[1]แล้วใช้ความรู้สมัยใหม่ของเขาช่วยพัฒนาให้แผ่นดินรุ่งเรืองประชาชนเข้มแข็ง ช่วยเหลือราษฎรที่ยากจนอดอยากจนกลายเป็นบุคคลสำคัญที่ต้องถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อย่างไรล่ะ”
“เหอะๆ…” ถังเยว่หัวเราะเสียงเย็นพลางตบศีรษะอีกฝ่ายไปหนึ่งที “พอได้แล้ว อย่ามัวมานั่งเพ้อเจ้ออยู่เลย จักรพรรดิเสด็จสวรรคต การค้าของนายต้องได้รับผลกระทบแน่
ช่วงนี้ก็อย่าซ่าให้มากนัก ออกไปข้างนอกก็พาคนติดตามไปด้วยให้มากหน่อย
ไม่อย่างนั้นบุคคลสำคัญอย่างนายเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะแย่เอาได้”
“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่ผมตัดสินใจขอลี้ภัยไปก่อนนะ…คุณมีข้าวของอะไรจะส่งไปชายแดนหรือเปล่า ฝากผมไปก็ได้”
“นายแน่ใจนะว่าที่จะไปไม่ใช่เพราะคิดถึงใครบางคนจนทนไม่ไหว ทำเป็นหาข้ออ้างเอาเรื่องนี้มาบังหน้าเผ่นไปชายแดน”
“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง ผมกลัวตายจะแย่ อีกอย่างผมอยู่ที่นี่ก็รังแต่จะเป็นตัวถ่วงคุณ
ไม่แน่อาจกลายเป็นจุดอ่อนของคุณก็ได้ สู้เดินทางไปให้ไกลๆ ซะเลยดีกว่า หรือคุณคิดว่าไง?”
ถังเยว่ขี้เกียจจะเปิดโปงคำโป้ปดของอีกฝ่ายและเขาเองก็อยากฝากจางฉุนไปแจ้งข่าวให้หลี่เจาทราบพอดีจึงพยักหน้าตอบรับ
เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วเดินทางเข้าวัง
แม้จะไม่ต้องเป็นผู้ดูแลจัดการงานพระราชพิธีแล้วแต่ก็ยังต้องไปเฝ้าพระศพจักรพรรดิหนานจิ้นอยู่ดี
หลี่เจาไม่อยู่เขาก็ควรทำหน้าที่ลูกกตัญญูแทน
ในช่วงที่หนานจิ้นและเป่ยเยว่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าทั้งแผ่นดิน ในที่สุดศึกครั้งสุดท้ายก็เริ่มขึ้น
ข่าวจักรพรรดิหนานจิ้นสวรรคตยังแพร่ไปไม่ถึงชายแดน กระทั่งรัชทายาทเจายังไม่รู้
เป่ยเยว่เองก็ย่อมไม่รู้เช่นกัน
รัชทายาทเจาส่งคนไปตีเมืองสวีโจว
คิดไม่ถึงว่าจะถูกศัตรูโต้กลับ
องค์ชายรองแห่งเป่ยเยว่นำกำลังทหารรักษาการณ์สามหมื่นและทหารรักษาพระองค์อีกหนึ่งหมื่นนายจากเมืองจิงตูไปเสริมทัพที่เมืองสวีโจว จึงต้านทานกองทัพหนานจิ้นที่นำโดยแม่ทัพหลูและทหารสามหมื่นนายที่ยังอยู่นอกเมืองไว้ได้
โชคดีที่แม่ทัพหลูมิได้มุทะลุยอมสู้ตาย
ตอนที่เขาตระหนักว่าไม่สามารถคว้าชัยมาได้ก็รีบถอนกำลังทันที ในที่สุดก็สามารถฝ่าวงล้อมข้าศึกออกมาได้โดยมีไพร่พลเหลืออยู่หมื่นกว่าชีวิต พวกเขาซ่อนตัวอยู่กลางหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง
ขณะเดียวกันรัชทายาทเจาก็นำทัพใหญ่หลายหมื่นเร่งรุดมาถึงนอกเมืองจิงตู
เดิมตั้งใจว่าจะรบอย่างอำมหิตสักครั้ง
คิดไม่ถึงว่าทหารที่รักษาการณ์เมืองจิงตูจะมีจำนวนเพียงน้อยนิด
จึงสามารถเปิดประตูเมืองได้อย่างสบายโดยไม่ต้องเปลืองแรงมากนัก
ทหารหนานจิ้นบุกเข้าพระราชวังกษัตริย์เป่ยเยว่ บรรดาเสนาบดีและราชนิกุลต่างหนีกันกระเจิดกระเจิง
ปราศจากการขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น
“ช่างน่าประหลาดยิ่งนัก ต่อให้เมืองจิงตูแห่งนี้จะว่างเปล่าเพียงใดก็ไม่น่าจะถึงกับไม่มีทหารยามเฝ้าคุ้มกันสักคนหรอกกระมัง
ได้ยินว่าทหารรักษาพระองค์ของเป่ยเยว่หนึ่งหมื่นนายก็เป็นกองกำลังทหารใจเพชรทัพหนึ่ง เฝ้าอารักขาความปลอดภัยพระราชวังตลอดทั้งปี
เหตุใดถึงไม่เห็นใครสักคนเลยล่ะ?” หวังติ่งจวินเดินสำรวจจนทั่ววังแล้วฉวยจับตัวขันทีคนหนึ่งมาซักถาม
“ตอนนี้ในวังใครเป็นเจ้านายพวกเจ้า?”
“ข้า...ข้าไม่ทราบ…”
“ไม่ทราบงั้นหรือ?” หวังติ่งจวินตวัดมีดจ่อไปที่คอเขา ถลึงตาจ้องหน้าอย่างดุดัน
ฝ่ายตรงข้ามตกใจจนขาสั่น กลั้นปัสสาวะไว้ไม่อยู่ต้องยอมปล่อยออกมาให้ราดรดกางเกง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังคงส่ายหน้ารัว
“ข้าไม่ทราบจริงๆ ก่อนหน้านี้เป็นองค์ชายสี่คอยกำกับดูแลทั้งหมด แต่เวลานี้องค์ชายสี่ทรงสิ้นพระชนม์แล้วก็มิเคยได้ยินว่ามีเจ้านายพระองค์ไหนขึ้นมาแทนที่ ข้าเพียงฟังคำสั่งจากขันทีใหญ่”
รัชทายาทเจาเดินมาจากด้านหลังแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นเยียบ
“องค์ชายรองยังอยู่ในเมืองจิงตูหรือไม่?”
“องค์ชายรอง ข้า...ข้าไม่เห็นพระองค์มานานหลายปีแล้ว
คิดว่าคงยังอยู่กระมัง”
รัชทายาทเจาเห็นว่าอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องอย่างที่คาดจึงขมวดคิ้วมุ่นเข้าหากัน
ทว่าก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ทหารรักษาการณ์ในเมืองจิงตูแห่งนี้หายไปไหนกันหมด?
“ไม่ได้การแล้ว!” รัชทายาทเจากับหวังติ่งจวินกล่าวขึ้นแล้วหันมาสบตากัน
ต่างก็มองออกถึงความกังวลใจของอีกฝ่าย
“ดูเหมือนว่าพวกเขาคงได้ข่าวแล้ว
จึงเพิ่มกำลังพลเพื่อหวังโค่นพวกเราแต่คงคาดไม่ถึงว่าพวกเราจะแบ่งทหารออกเป็นสองทาง
ทัพหนึ่งตีเมืองสวีโจวอีกทัพบุกตรงมายังจิงตูแห่งนี้”
“ยังไม่ต้องรีบร้อน
หลูติ้งเจียงผู้นี้ต่อให้ไม่มีความสามารถอื่นแต่อย่างน้อยก็ยังรู้จักประเมินสถานการณ์
อีกทั้งข้าเคยเตือนเขาไว้ล่วงหน้าแล้วขอเพียงพวกเขาถอยทัพไปยังจุดที่เราหารือกันไว้ก่อนหน้า
ก็จะไม่มีอันตรายถึงชีวิตเป็นการชั่วคราว”
“เช่นนั้นพวกเราควรรีบตามไปสมทบหรือตั้งมั่นอยู่ที่นี่
รอให้ฝ่ายตรงข้ามเดินมาติดกับเองดีพ่ะย่ะค่ะ?”
“องค์ชายรองเห็นสถานการณ์ไม่ปกติย่อมต้องสืบหาร่องรอยของทัพใหญ่มาตามทาง ที่สุดย่อมสามารถเดาเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเราได้ไม่ยาก
บางทีเวลานี้เขาอาจอยู่ระหว่างทางกลับเมืองก็เป็นได้”
“เช่นนั้นกระหม่อมจะรีบสั่งการลงไป ให้คนปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้เพื่อเตรียมรับมือข้าศึกกลับเมืองนะพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” รัชทายาทเจาพยักหน้า
สายตาจับจ้องมองแผ่นหลังของหวังติ่งจวินที่เร่งรีบวิ่งจากไปก่อนจะหันกลับมาถามขันทีน้อยผู้นั้น “ได้ข่าวว่าในวังเป่ยเยว่มีผู้ทรงความรู้ทรงคุณธรรมท่านหนึ่ง นามว่าจิ้งเซิง เขาอยู่ที่ใด?”
“อาจารย์จิ้งเซิง...ปกติอาจารย์อยู่ในตำหนักอวี้หลิน
แต่ว่า...”
“แต่ว่าอะไร?”
“แต่ว่าก่อนหน้านี้อาจารย์ล่วงเกินองค์ชายสี่
ได้ยินว่าถูกขับไล่ออกจากวังไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จขอรับ”
รัชทายาทเจาเรียกองครักษ์นายหนึ่งเข้ามา ให้เขาตามขันทีน้อยไปหาคน
“หากเจอเขาแล้วให้พามาพบข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
รัชทายาทเจายืนอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของพระราชวัง สายตากวาดมองไปทั่วทั้งเมืองจิงตูของเป่ยเยว่ ที่นี่เป็นดินแดนรุ่งเรืองที่สุดในใต้หล้ากระทั่งเมืองเย่เฉิงยังมิอาจทัดเทียม
ก็ไม่แปลกหรอกที่ในสายตาชาวเป่ยเยว่จะดูแคลนพวกเขา
แต่ไหนแต่ไรมาหนานจิ้นไม่เคยเทียบเทียมเป่ยเยว่ได้ หากจะวัดกันที่ความทรงพลัง
หนานจิ้นก็ด้อยกว่าจนน่าละอาย เมืองจิงตูแห่งนี้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรและกว้างใหญ่ไพศาลจนน่าตื่นตะลึงอย่างแท้จริง
ทว่านับจากนี้ ดินแดนแห่งนี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของหนานจิ้นต่อจากนี้ที่นี่จะเปลี่ยนชื่อใหม่ เปลี่ยนเจ้านายใหม่และเปลี่ยนประวัติศาสตร์หน้าใหม่!
น่าเสียดายที่ผู้คนในเมืองเวลานี้ยังจิตใจระส่ำระสาย ราษฎรปิดประตูเงียบไม่ยอมออกมา ตามท้องถนนเงียบเหงาวังเวง บรรยากาศมิได้รุ่งเรืองเฟื่องฟูอย่างที่เคยบันทึกไว้
“ทหาร! ถ่ายทอดคำสั่งข้า ไม่อนุญาตให้ทหารคนใดก่อความวุ่นวายแก่ราษฎร ห้ามปล้นสะดมชิงทรัพย์ ที่สำคัญห้ามทำร้ายชาวบ้านสามัญชน”
“ขุนนางและผู้สูงศักดิ์ของเป่ยเยว่เล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้นำตัวไปคุมขังไว้ในวัง รอให้หลังสะสางปัญหาที่ค้างคาได้ก่อนค่อยลงโทษพร้อมกันทีเดียว”
“น้อมรับพระบัญชา!”
รัชทายาทเจายืนอยู่บนหอคอยนานมาก กระทั่งสังเกตเห็นสีท้องฟ้ามืดลงแล้วจึงค่อยๆ เดินลงมาทีละก้าว
“ฝ่าบาท พาตัวมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์พาชายชุดขาวคนหนึ่งเดินเข้ามา
รัชทายาทเจาแย้มยิ้ม
“อาจารย์เสวียนจิ้ง
หลายปีมานี้ลำบากท่านแล้ว”
เชิงอรรถ
- อิ๋งเจิ้งคือพระนามของจิ๋นซีฮ่องเต้
ผู้รวมหกแคว้นให้เป็นหนึ่ง
257 ตระเวนเกลี้ยกล่อม
หลายปีก่อนถังเยว่เคยแนะนำอาจารย์เสวียนจิ้งให้กับเขา นับจากนั้นอาจารย์เสวียนจิ้งก็เดินทางมาเป่ยเยว่อย่างลับๆ พักอาศัยกลางเขาก่อนระยะหนึ่งแล้วค่อยเรียกมหาบัณฑิตทั่วทุกสารทิศมาชุมนุมจิบชาสนทนาหลักธรรม
ชื่อเสียงความเป็นผู้ทรงภูมิและมีคุณธรรมของเขาค่อยๆ เลื่องลือไป
เพราะเขาอายุยังน้อยจึงป่าวประกาศกับโลกภายนอกว่าอาจารย์ของตนเป็นจอมปราชญ์ที่ใช้ชีวิตซ่อนเร้นอาศัยอยู่กลางป่าเขาลำเนาไพรมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากอาจารย์ล่วงลับไปแล้วจึงมีความคิดอยากออกมาเปิดหูเปิดตาดูโลกภายนอก
ศิลปะการเดินหมากของเขาสูงส่ง เชี่ยวชาญเรื่องชา ชำนาญเพลงพิณ ทั้งยังเก่งกาจด้านการบริหารราชสำนักและดูแลราษฎร
มหาบัณฑิตส่วนใหญ่ต่างยอมรับให้ความนับถือ
พอองค์ชายสี่ทราบเรื่องนี้เข้าจึงติดตามมาหวังจะคารวะเขาเป็นอาจารย์ ตอนแรกอาจารย์เสวียนจิ้งยังไม่รับปาก กระทั่งหลังจากองค์ชายสี่มาสามครั้งแล้วยังไม่ได้พบจึงโกรธกริ้วจนใช้กำลังอาวุธพาตัวเขากลับเมืองจิงตู
อาจารย์เสวียนจิ้งจึงพักอยู่ที่จวนองค์ชายสี่ในฐานะกึ่งเชลยกึ่งอาคันตุกะมานับแต่นั้น
องค์ชายสี่ต้องทุ่มเทเวลาและแรงกายแรงใจในการเอาอกเอาใจอาจารย์เสวียนจิ้งมากมาย เพราะองค์ชายอื่นรวมทั้งกษัตริย์เป่ยเยว่ต่างคิดจะดึงตัวเขาไปไว้ใช้งาน
แต่องค์ชายสี่มิได้โง่เขลา บุคคลที่เป็นยอดอัจฉริยะเช่นนี้จะยอมปล่อยให้หลุดมือตกเป็นของคนอื่นได้อย่างไร
ดังนั้นจึงทุ่มเทใช้กลอุบายและสารพัดวิธีเพื่อซื้อใจ
อาจารย์เสวียนจิ้งช่วยองค์ชายสี่วางแผนกลยุทธ์ต่างๆ ตามที่อีกฝ่ายต้องการ ภายในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปีก็สามารถทำให้องค์ชายสี่มีอนาคตรุ่งโรจน์ กษัตริย์เป่ยเยว่เล็งเห็นความสำคัญจนเกือบจะก้าวถึงตำแหน่งรัชทายาทได้สำเร็จ
ด้วยเหตุนี้ชื่อเสียงอาจารย์เสวียนจิ้งจึงยิ่งเลื่องลือ หลังจากหนานจิ้นยกทัพมาตีเมือง
กษัตริย์เป่ยเยว่ให้เหตุผลว่าราชสำนักจำเป็นต้องใช้บุคคลที่มีความสามารถอย่างเร่งด่วน
จากนั้นก็บังคับชิงตัวอาจารย์เสวียนจิ้งให้เข้าวังมารับใช้ตนเอง
“ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ในที่สุดก็สำเร็จสมดังพระประสงค์แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” อาจารย์เสวียนจิ้งยกมือขึ้นคารวะ เขาในตอนนี้บุคลิกคล้ายเทพเซียนตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า สุภาพงามสง่า แม้แต่รัชทายาทเจายังต้องยอมรับว่าคนผู้นี้มีความเพียบพร้อมไปทุกด้าน
“นี่เป็นเพราะแผนกลยุทธ์ตลอดหลายปีมานี้ของอาจารย์ ลำบากท่านแล้ว”
“กระหม่อมเป็นที่ปรึกษาของพระชายา ขอเพียงเป็นคำสั่งจากพระชายา กระหม่อมย่อมต้องพยายามทำให้สำเร็จอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”
อาจารย์เสวียนจิ้งมิใช่คนที่มีนิสัยเป็นบ่าวลืมนาย ที่สำคัญเขามองออกว่าถังเยว่ไม่ธรรมดามาตั้งแต่แรกจึงไม่คิดเปลี่ยนนาย
แม้รัชทายาทเจาจะเป็นกษัตริย์ที่หาได้ยากยิ่งถึงขนาดกล่าวได้ว่าพันปีจะมีสักคนก็ตาม แต่ถังเยว่สร้างความประทับใจให้เขาได้ลึกซึ้งกว่า
คนผู้นั้นเสมือนเป็นผู้กอบกู้พลิกฟื้นแผ่นดินนี้
รัชทายาทเจาไม่ถือสากับวาจาของอีกฝ่าย ตัวเขากับถังเยว่ย่อมถือเป็นคนคนเดียวกัน
ดังนั้นคนที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อถังเยว่ก็คือซื่อสัตย์ภักดีต่อเขา การกล่าววาจาเช่นนี้ของอีกฝ่ายจึงถือเป็นการแสดงความภักดีต่อเขา
มิได้มีสิ่งใดแตกต่าง
“กษัตริย์เป่ยเยว่สวรรคต
องค์ชายสี่สิ้นพระชนม์ ไม่ทราบว่าอาจารย์รู้เบาะแสขององค์ชายรองบ้างหรือไม่?”
“ฝ่าบาทก็คงเดาได้แล้วมิใช่หรือ?” อาจารย์เสวียนจิ้งชี้ไปยังนอกประตูเมือง “อำนาจทางการทหารในเมืองจิงตูตอนนี้ล้วนอยู่ในมือองค์ชายรอง บัดนี้ในเมืองไม่มีทหารเลยสักคนเพราะถูกองค์ชายรองพาออกไปจนหมดเป้าหมายขององค์ชายรองคือใครฝ่าบาทย่อมทรงรู้ดีใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทเจาพยักหน้า “ข้าแบ่งทหารออกเป็นสองทาง เดิมคิดจะสู้รบให้รู้แพ้รู้ชนะกับเขาที่นอกเมืองจิงตู คิดไม่ถึงว่าเขาจะสร้างความประหลาดใจให้ข้าได้มากมายถึงเพียงนี้”
“ฉะนั้นจึงต้องขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ด้วยการป้องกันอันแน่นหนาของเมืองจิงตู ต่อให้องค์ชายรองติดปีกก็ไม่อาจบุกเข้าเมืองมาได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทเจาเปล่งเสียงหัวเราะแห่งความยินดีออกมา
“ก็มิใช่ว่าจะไม่มีโอกาสชนะเสียทีเดียว
ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นเมืองหลวงเป่ยเยว่
ราษฎรกับขุนนางในเมืองล้วนอยู่ฝ่ายเป่ยเยว่
หากพวกเขารวมพลังกันต่อต้านพวกเราก็ไม่อาจเข่นฆ่าได้หมดทุกชีวิตหรอก”
“ตรงจุดนี้ฝ่าบาททรงวางพระทัยได้ หลายปีมานี้มิใช่ว่ากระหม่อมอยู่ในเป่ยเยว่โดยไม่สร้างรากฐานอันใดไว้ ใช้ชื่อเสียงของกระหม่อมปลอบขวัญราษฎรย่อมมิใช่เรื่องยาก”
“หือ?” รัชทายาทเจาเลิกคิ้วแล้วประสานมือคารวะ “เช่นนั้นก็ต้องรบกวนอาจารย์แล้ว”
“มิกล้า” อาจารย์เสวียนจิ้งยกมือขึ้นคารวะกลับแล้วเบี่ยงตัวเงยหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้า
“สมัยเด็กกระหม่อมเคยเรียนศาสตร์ดูดาวจากบนเขา
เห็นดาวหลักของหนานจิ้นกับเป่ยเยว่ทั้งสองดวงอับแสง
ตอนแรกคิดว่าสองแคว้นสู้รบกันมานานปี ราษฎรตกทุกข์ได้ยาก สองฝ่ายต่างมอดม้วย
คิดไม่ถึงว่าหนึ่งปีต่อมากระหม่อมจะเห็นดาวจักรพรรดิดวงใหม่ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้าหนานจิ้น
ดาวดวงนั้นเปล่งแสงสว่างขึ้นทุกวัน
กระหม่อมจึงทำนายได้ว่าเจ้าแห่งแคว้นมหาอำนาจยุคใหม่ได้อุบัติขึ้นแล้ว พออายุได้ยี่สิบกระหม่อมจึงเดินทางลงจากเขา มุ่งหน้าไปเมืองเย่เฉิง
มิได้รีบร้อนตามหาเจ้าแห่งแคว้นมหาอำนาจเพื่อพึ่งพิง แต่เลือกที่จะไปอยู่กับลี่หยางโหวผู้มีชื่อเสียงด้านความจงรักภักดี
ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?”
“เพราะท่านคำนวณได้ว่าจะมีบุคคลที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าปรากฏขึ้นในจวนลี่หยางโหว”
“ฮ่าๆ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ
กระหม่อมหาใช่เทพคำนวณไม่ จึงไม่สามารถทำนายสิ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนได้มากมายนัก
เพียงแต่ตอนที่บังเอิญพบลี่หยางโหวนั้นเห็นเขาหน้าผากเอิบอิ่ม โชคชะตาร่ำรวยมั่งมี
ไม่เพียงเป็นคนซื่อตรงรักความถูกต้อง มิหนำซ้ำยังมีโหงวเฮ้งของมหาเศรษฐี
ความร่ำรวยมั่งมีที่มิใช่ได้มาด้วยการแย่งชิงแต่เพราะได้พบกับผู้มีวาสนาบารมีสูงส่ง
ฉะนั้นกระหม่อมจึงมาพักอยู่ในจวนของเขาคิดว่าจะอยู่ในฐานะผู้สังเกตการณ์เพื่อเป็นสักขีพยานว่าเจ้าแห่งแคว้นมหาอำนาจได้อุบัติขึ้นบนพื้นพิภพแล้ว คนผู้นี้จะสามารถรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ
“ตอนที่คุณชายเพิ่งถูกรับตัวกลับมากระหม่อมยังมิได้สนใจเขา เพราะเข้าใจมาโดยตลอดว่าผู้เปี่ยมวาสนาบารมีที่จะนำพาความรุ่งเรืองมาสู่ลี่หยางโหวนั้นต้องเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ในวันหน้าแน่
ตอนนั้นเขายังมิได้สวามิภักดิ์ต่อฝ่าบาทแต่ดวงชะตาของเขากลับดีวันดีคืน
กระทั่งได้พบคุณชาย กระหม่อมจึงรู้ว่าผู้เปี่ยมวาสนาบารมีที่แท้จริงอยู่ตรงหน้านี่เอง หากมิใช่เพราะคุณชายมีจิตใจดีงามเปี่ยมเมตตา เชี่ยวชาญวิชาการแพทย์ กระหม่อมคิดว่าคุณชายจะต้องเป็นเจ้าแห่งแคว้นมหาอำนาจไม่ผิดแน่”
รัชทายาทเจาหวนคิดถึงเสียงของถังเยว่
รอยแย้มยิ้มเบิกบานพลันกระจ่างเต็มวงหน้า ดวงตาคู่งามอ่อนแสงลง ครู่หนึ่งจึงส่ายหน้าแล้วเอ่ย
“เขาใจอ่อนเกินไป
ทนเห็นเหตุการณ์ผู้คนถูกเข่นฆ่ามากมายไม่ได้แน่ อีกอย่างเขาเกิดมามีหน้าที่ช่วยชีวิตคนจะสามารถทำเรื่องรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งได้อย่างไร”
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ คุณชายเป็นผู้มีความสามารถเปี่ยมล้น ทว่าเขาเหมาะที่จะเป็นผู้พิทักษ์แผ่นดินแต่ไม่เหมาะที่จะเป็นเจ้าแห่งแคว้นมหาอำนาจ
ถึงกระนั้นก็ยังมีฝ่าบาทอยู่
พระองค์ต่างหากที่เหมาะจะเป็นเจ้าแห่งแคว้นมหาอำนาจอย่างแท้จริง”
รัชทายาทเจาหันไปมองจ้องอีกฝ่ายอย่างเต็มตา
“ที่จริงแล้วความคิดข้าเรียบง่ายมาก
ข้าเพียงต้องการเห็นราษฎรในใต้หล้าไม่ต้องทุกข์ยากเพราะภัยสงคราม ไม่ต้องต้องพลัดที่นาคาที่อยู่เพราะการสู้รบ การรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นครั้งนี้
ในใจข้าล้วนเป็นไปเพื่อประชาราษฎร์ทั้งสิ้น”
“ฝ่าบาทรับสั่งได้ถูกต้อง ตอนนี้ภารกิจของกระหม่อมเสร็จสิ้นแล้วไม่ทราบว่ากระหม่อมขอกลับเย่เฉิงก่อนจะได้หรือไม่?” อาจารย์เสวียนจิ้งถาม
“อาจารย์ไม่มีญาติพี่น้องอยู่เย่เฉิง ไยจึงใจร้อนดุจลูกธนูอยากรีบกลับไปถึงเพียงนี้”
“แม้ไร้ญาติแต่ยังมีนายเก่า กระหม่อมคิดถึงเจ้านายเก่าของกระหม่อมน่ะสิพ่ะย่ะค่ะ” อาจารย์เสวียนจิ้งกล่าวแล้วทอดถอนใจยาวเหยียด ในช่วงที่สายตารัชทายาทซึ่งจับจ้องเขาอยู่นั้นเริ่มคมกล้าขึ้น
อาจารย์เสวียนจิ้งก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ฝ่าบาทไม่ทรงรู้สึกหรือพ่ะย่ะค่ะว่าอยู่ห่างจากคุณชาย
อาหารทุกวันสามมื้อรสชาติดั่งเคี้ยวเทียนไข[1]แทบกลืนไม่ลง”
รัชทายาทเจามุมปากกระตุก นึกอยากจะเย็บปากคู่สนทนายิ่งนัก สิ่งใดที่ไม่อยากได้ยินก็ยังมาพูดย้ำเตือนสิ่งนั้นอยู่ได้!
“กระหม่อมต้องขอพระราชทานอภัยที่มีนิสัยตะกละตะกลาม ในใจจึงคิดเพียงอยากกลับไปลิ้มรสอาหารฝีมือคุณชายให้เร็วขึ้นอีกสักวันก็ยังดีนี่เป็นความคาดหวังเพียงหนึ่งเดียวของกระหม่อมในช่วงหลายปีมานี้”
“ไว้ให้สงครามยุติแล้วข้าจะส่งอาจารย์กลับด้วยตัวเอง!” รัชทายาทเจาเอ่ยกลั้วหัวเราะดวงตายิบหยีทว่าในใจนึกเย้ยหยัน ‘คิดจะกลับไปกินกับข้าวฝีมือถังเยว่ก่อนข้าผู้เป็นพระสวามีอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ!’
เสียงแตรดังมาจากหน้าประตูเมืองตามด้วยเสียงประโคมกลองศึกดังสนั่น ดวงตารัชทายาทเจาเปลี่ยนไปในทันทีแล้วเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม
“พวกเขามาแล้ว!”
“จากที่คำนวณเวลา
พวกที่มาน่าจะเป็นเพียงทหารม้าเกราะเบา
เป็นไปไม่ได้ที่ทหารราบจะเดินทางจากสวีโจวถึงจิงตูได้ภายในเวลาแค่วันเดียว”
“วิเศษมาก!” รัชทายาทเจากระโดดขึ้นหลังม้า พาคนมุ่งหน้าไปยังประตูเมือง
อาจารย์เสวียนจิ้งยืนอยู่ที่เดิม
ทอดตามองพระราชวังสูงตระหง่านโดดเด่นตรงหน้าแล้วหันไปส่งยิ้มให้องครักษ์ที่รัชทายาทเจาทิ้งไว้ให้เขาพลางเปรยขึ้น
“เช่นนั้นต้องรบกวนท่านขุนศึกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าน้อยหน่อยแล้ว”
คนในเมืองต่างหวาดผวา อาจารย์เสวียนจิ้งจึงมิได้ออกไปเตร็ดเตร่เอ้อระเหยตามท้องถนน
แต่กลับมีจุดหมายปลายทางเพื่อไปพบปะคนของสำนักการศึกษาหลายแห่ง
ในเมือง ราษฎรไม่มีทางเอาชีวิตตัวเองมาขวางทหารหนานจิ้นพวกเขาหวังเพียงจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป
หาได้สนใจว่าใครจะเป็นกษัตริย์ของพวกเขาไม่
ส่วนขุนนางในราชสำนักนั้นหากจัดการยุ่งยากก็สังหารทิ้งได้ เปลี่ยนรัชศกใหม่ก็ต้องเปลี่ยนขุนนางใหม่อยู่แล้ว หากมีขุนนางคนใดคิดต่อต้านเชือดไก่ให้ลิงดูเสียก็สิ้นเรื่อง
ส่วนพวกชนชั้นสูงล้วนเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวละโมบโลภมากรักตัวกลัวตาย ชอบติดสินบน ชอบวางอำนาจบีบบังคับ แต่ก็มิใช่อุปสรรค ความยุ่งยากเพียงหนึ่งเดียวคือเหล่าบัณฑิตทั้งหลาย พวกเขารักแผ่นดิน ยึดมั่นหลักธรรม ซื่อสัตย์จงรักภักดี
แม้สองมือไร้เรี่ยวแรงแต่ปากกลับมีวาทศิลป์ล้ำเลิศ มือก็ชอบเขียนบรรยายเป็นที่สุด
จิตใจก็มั่นคงแน่วแน่ ไม่อ่อนไหวเอนเอียงง่ายๆ ฉะนั้นคนพวกนี้จึงเป็นแกนนำต่อต้านในเมือง
คนเหล่านี้ต่างจากขุนนาง
จะสังหารทิ้งทั้งหมดไม่ได้ มิฉะนั้นอยากนั่งอย่างมั่นคงในแผ่นดินเป่ยเยว่ก็จะไม่ง่าย
บัณฑิตเป็นเสาหลักค้ำจุนจิตใจราษฎร
แม้ในกำมือของคนส่วนนี้จะไม่มีอำนาจแต่กลับสร้างผลกระทบได้ใหญ่หลวง หากพวกเขารวมตัวกันต่อต้านการรุกรานของหนานจิ้น ต่อให้หนานจิ้นรบชนะ ก็ยากที่จะยืนหยัดอยู่ในเมืองนี้ได้
“สถานการณ์บ้านเมืองรวมกันนานเข้าก็ต้องแยก
แยกกันนานแล้วก็ต้องรวมกัน พวกท่านดูสิ ดาวกษัตริย์ทางใต้ตกแล้ว ดาวดวงใหม่ขึ้นมาแทนที่ สว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าเก่า เป่ยเยว่ตกต่ำกำลังจะอับแสง
ใต้หล้านี้กำลังเข้าสู่การผลัดเปลี่ยนแผ่นดินสู่รัชศกใหม่” อาจารย์เสวียนจิ้งพูดโน้มน้าวเหล่าบัณฑิตด้วยท่าทางนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน
แน่นอนว่าต้องมีบัณฑิตที่จงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง ยอมพลีชีพไม่เกรงกลัวต่อความตาย พวกเขาเกลียดชังการที่หนานจิ้นรุกรานเป่ยเยว่จนเข้ากระดูกดำ ต่อให้ต้องตายก็ไม่อาจยอมรับการปกครองภายใต้ระบอบของหนานจิ้น
“อาจารย์ปกป้องหนานจิ้นถึงเพียงนี้ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด?ตอนนั้นองค์ชายสี่มองท่านผิดไปจริงๆ ฮึ!” มีคนลุกขึ้นกล่าวอย่างเดือดดาล
อาจารย์เสวียนจิ้งชงชาอย่างไม่รีบร้อน
“องค์ชายสี่ใช้กำลังบังคับจับตัวข้าน้อยมาจิงตู ที่ข้าน้อยช่วยองค์ชายสี่คิดวางแผนกลอุบายต่างๆ ก็เพราะหวังว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเป่ยเยว่ แต่สุดท้ายแล้วคนคํานวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต
สถานการณ์ในใต้หล้าหาใช่แค่พละกำลังของข้าน้อยเพียงผู้เดียวจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสียเมื่อไร รัชทายาทหนานจิ้นเป็นเจ้าแห่งแคว้นมหาอำนาจ สุดท้ายแล้วใต้หล้านี้จะต้องตกไปอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และมีรัชทายาทเจาเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่จะสามารถรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียว
ราษฎรในใต้หล้าจึงจะสามารถอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขได้”
ดาราศาสตร์เป็นวิชาอันลึกลับแต่บัณฑิตจำนวนมากต่างเชื่อถือสิ่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นในหมู่พวกเขาบางคนก็เคยศึกษาศาสตร์แขนงนี้จึงย่อมสามารถมองออกว่าคำพูดของอาจารย์เสวียนจิ้งมิใช่ของปลอม
“อาจารย์กล่าวได้ถูกต้องแล้ว แต่จะให้พวกเราทอดทิ้งเป่ยเยว่แล้วโผไปซบหนานจิ้น เช่นนี้จะมิเท่ากับเป็นการให้พวกเราเป็นคนตระบัดสัตย์ไร้ความมั่นคงดุจต้นหญ้าที่ลู่เอนไปตามสายลมหรอกหรือ?”
อาจารย์เสวียนจิ้งส่ายหน้าแล้วกล่าวอย่างใจเย็น
“คนเราเกิดมาไม่ควรแบ่งแยกดินแดน ที่ทุกคนขยันศึกษาหาความรู้เพื่อสิ่งใด เพื่อกษัตริย์เป่ยเยว่หรือเพื่อจักรพรรดิหนานจิ้นอย่างนั้นหรือ? มิใช่เลย ทุกคนทำไปเพื่อให้ราษฎรในใต้หล้าได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพื่อให้ราชสำนักโปร่งใสยิ่งขึ้น
เพื่อให้จักรพรรดิทรงมีเมตตาและธรรมาภิบาลสูงขึ้น เป่ยเยว่อาจเปลี่ยนมือเจ้าของ
แต่เป้าหมายของทุกคนจะเปลี่ยนตามไปด้วยเช่นนั้นหรือ?”
“แต่หลังจากหนานจิ้นยึดครองเป่ยเยว่ได้สำเร็จ
มีหรือจะปล่อยพวกเราไป?”
อาจารย์เสวียนจิ้งส่ายหน้า
ยกริมฝีปากเป็นรอยยิ้มขัน
“ท่านคิดผิดแล้ว ราชสำนักกำลังขาดแคลนคนทำงานจึงเป็นโอกาสดีที่ทุกคนจะได้แสดงปณิธานอันยิ่งใหญ่ให้เป็นที่ประจักษ์
ในเมื่อพวกท่านมีความสามารถหนานจิ้นจะเบาปัญญาพอที่จะฆ่าล้างบางทุกคนได้อย่างไร”
“จริงด้วย จริงด้วย…”
เชิงอรรถ
- จืดชืดไร้รสชาติ
258 ถูกกลืนหายไปในสายธารที่เชี่ยวกราก
“ฆ่ามัน!”
เสียงตะโกนสั่งฆ่าดังสนั่นมาจากนอกประตูเมืองหลวงเป่ยเยว่เหล่าราษฎรต่างปิดประตูหน้าต่างมิดชิด
พร่ำสวดมนต์ภาวนาอยู่ตลอดเวลาหวังว่าสงครามจะสิ้นสุดในเร็ววัน
“ได้ยินว่าหนานจิ้นล้วนเป็นอนารยชน
ฆ่าคนไม่กะพริบตา
รีบช่วยกันวิงวอนให้พระโพธิสัตว์ช่วยคุ้มครองให้สามารถขับไล่พวกมันออกไปโดยเร็วที่สุดด้วยเถิด!”
ในครอบครัวตระกูลหนึ่ง นายหญิงสองมือประกบ
สิบนิ้วพนม พร่ำสวดอมิตาภพุทธในใจซ้ำๆ ทว่าบุตรชายในบ้านนางกลับแย้งขึ้น
“ท่านแม่อย่าเชื่อคำพูดโคมลอย
ข้าได้ยินมาว่าหนานจิ้นซื่อสัตย์ต่อประชาชน ขุนนางมือสะอาดไม่ทุจริต
ทั้งยังมีรัชทายาทผู้ทรงพระปรีชา มีความสามารถห้าวหาญเก่งกาจรอบด้าน
อีกทั้งยังมีพระชายาเปี่ยมอัจฉริยภาพและคุณธรรมดุจเทพเซียน
จะเป็นอนารยชนไปได้อย่างไร ที่สำคัญหลายปีมานี้หนานจิ้นพัฒนาระบบการศึกษา
ให้ความสำคัญกับการเกษตร ยกระดับฐานะพ่อค้าวาณิชให้สูงขึ้น
ขอเพียงมีผลงานสร้างประโยชน์ ราชสำนักจะให้ความสำคัญจนถึงขั้นได้เป็นขุนนาง
หลายปีมานี้ระบบการบริหารบ้านเมืองของหนานจิ้นเข้มแข็งกว่าเป่ยเยว่ตั้งไม่รู้กี่เท่า”
“เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?”
“จะเป็นจริงหรือไม่
ใช่แค่ฟังจากลมปากลูกแล้วจะเชื่อได้
มิสู้ท่านแม่รอหลังสงครามยุติแล้วดูให้ประจักษ์แก่ตาตนเอง
หากเป่ยเยว่เป็นฝ่ายชนะสิ่งที่ลูกพูดไม่ว่าจริงหรือเท็จย่อมไม่เกิดประโยชน์อันใด”
บนป้อมประตูเมือง
หวังติ่งจวินทอดตามองบรรยากาศภายในเมืองอันแสนสงบแล้วหันไปปรารภ
“ฝ่าบาท
ดูเหมือนอาจารย์ท่านนั้นจะทำนายถูก
ราษฎรในเมืองมิได้ร่วมมือกับทหารเป่ยเยว่ตอบโต้พวกเราเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น
ราษฎรที่นี่ล้วนคุ้นชินกับชีวิตที่สุขสบาย
แม้พวกทหารมาถึงเมืองก็ไม่แน่ว่าพวกเขาจะมีความกล้าพอที่จะลุกขึ้นมาต่อต้าน”
หรือต่อให้ไม่เป็นเช่นนั้น
หากราษฎรจะลุกขึ้นสู้กับกองกำลังทหารก็ใช่ว่าอาศัยแค่มีใจกล้าหาญแล้วจะสำเร็จเสียเมื่อไร
“พวกบัณฑิตที่อาจารย์ท่านนั้นกล่าวถึงมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเช่นนั้นจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
มิใช่ว่าหวังติ่งจวินจะดูถูกนักการศึกษา
เขาเพียงรู้สึกว่านักการศึกษาเป็นพวกดีแต่พูด พอให้มาจับมีดจับทวนเข้าจริงๆ
ยังสู้พวกชาวบ้านไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของพวกบัณฑิตขึ้นอยู่กับจิตวิญญาณของพวกเขา
เจ้าลองเปรียบเทียบนิสัยอัครเสนาบดีกับเสนาบดีตุลาการเซวียแล้วลองคิดดูก็น่าจะรู้”
“เอ่อ…” หวังติ่งจวินหมดสิ้นถ้อยคำที่จะพูดต่อ
หากในเมืองเป่ยเยว่มีบัณฑิตที่มีนิสัยเหมือนอัครเสนาบดีกับใต้เท้าถิงเว่ยนับพันนับหมื่นคนเช่นนั้นพวกเขาจะทำศึกต่อไปได้อย่างไร?
ทว่าจะสังหารคนพวกนี้เสียให้สิ้นย่อมเป็นไปไม่ได้
หากทำเช่นนั้นหนานจิ้นมิต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงกลายเป็นทรราชสังหารราษฎรผู้บริสุทธิ์อย่างโหดเหี้ยมอำมหิตหรอกหรือ
“ทูลฝ่าบาท
กำลังทหารและม้าของกองทัพข้าศึกจากสามหมื่นเวลานี้เหลือเพียงสองหมื่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ
แม่ทัพหลี่เสนอว่าให้เปิดประตูเมืองเพื่อออกไปล้อมปราบข้าศึกนอกเมือง! รัชทายาทโปรดทรงบัญชา!”
รัชทายาทเจายืนอยู่บนป้อมประตูเมือง
จ้องมองลงไปยังทัพเป่ยเยว่ที่อยู่เบื้องล่าง
ดวงตามองตรงไปยังผู้บัญชาการศูนย์กลางกองทัพข้าศึก
เขาพอจะเดาออกว่าคนผู้นั้นก็คือองค์ชายรองแห่งเป่ยเยว่นั่นเอง
ความจริงองค์ชายรองผู้นี้อายุไม่น้อยแล้ว เรียกได้ว่าเฉียดวัยกลางคน
ใบหน้าโดดเด่นคมเข้ม ดวงตาเปล่งประกาย หากไม่เป็นเพราะมีจุดยืนที่ต่างกัน
รัชทายาทเจาย่อมรู้สึกชื่นชมคนผู้นี้แน่
ทว่าเวลานี้พวกเขากลับต้องเป็นศัตรูคู่แค้นที่ไม่ใครก็ใครต้องตายกันไปข้างหนึ่ง!
“องค์ชายเถิง
เจ้ารู้สึกว่าศึกครั้งนี้ยังจำเป็นต้องรบรากันต่อไปหรือไม่?” รัชทายาทเจาจ้องมองลงไปแล้วเอ่ยถาม
“ต่อให้ต้องสู้กันจนเหลือชีวิตสุดท้ายเพียงชีวิตเดียว
ข้าผู้เป็นองค์ชายก็จะสู้ให้ถึงที่สุด!” องค์ชายเถิงตวาดอย่างเดือดดาลพลางชูอาวุธขึ้นชี้มายังรัชทายาทเจา “หนานจิ้นของพวกเจ้ายึดครองแผ่นดินของข้า ใช้กำลังบุกรุกยึดครองราษฎรของข้า
ตอนนี้ยังหวังบีบให้องค์ชายอย่างข้ายอมก้มหัวสวามิภักดิ์เป็นข้ารับใช้อีกงั้นหรือ
ฝันไปเถอะ!”
“เจ้าอย่าลืมสิว่าศึกครั้งนี้ใครเป็นผู้เริ่มก่อน
หนานจิ้นของข้าไม่เคยรุกล้ำพรมแดน
ทั้งหมดล้วนเป็นพวกเจ้าบีบบังคับพวกข้าเองมิใช่หรือ?”
“เฮอะ! ใครบ้างไม่มีใจทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูง
ใครไม่อยากรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งบ้าง หากหนานจิ้นของพวกเจ้าไม่มีใจมักใหญ่ใฝ่สูง
มีหรือจะแอบฝึกฝนกองทัพทหารแปลกประหลาดกองนั้น?”
ตอนที่องค์ชายเถิงได้เห็นอานุภาพของกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลก็ถึงกับรู้สึกหนาวสะท้าน
หากมิได้ปะทะซึ่งหน้าเขาย่อมไม่มีทางจินตนาการถึงความร้ายกาจของกองทัพนี้ได้ตลอดกาล
รัชทายาทเจายกมือไพล่หลัง
มุมปากปรากฏเป็นรอยยิ้มเย็นชา
“หากไม่มีกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิล
มีหรือที่กองทัพหนานจิ้นของข้าจะสามารถบุกตีมาถึงเมืองหลวงของเจ้าได้”
ขณะที่กล่าวประโยคนี้ภายในใจรัชทายาทเจาก็รู้สึกปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่งที่มีถังเยว่เป็นพระชายา
คนผู้นั้นเพียบพร้อมไปด้วยความสามารถและคุณธรรม เป็นดวงดาวนำโชคของเขาอย่างแท้จริง
มิฉะนั้นลำพังตัวเขาเองกว่าจะฝึกฝนกองกำลังทหารที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเช่นนี้ขึ้นมาได้ย่อมต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสิบปีขึ้นไป
สามารถพูดได้ว่าการมีอยู่ของถังเยว่ช่วยย่นระยะเวลาในการรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวให้สำเร็จเร็วขึ้นได้เป็นสิบปี
เป็นความจริงที่ว่าตัวเขาเองย่อมมีความทะเยอทะยานเป็นธรรมดา
แต่เขามิได้กระหายสงคราม
หากสามารถอยู่ร่วมกับเป่ยเยว่อย่างสันติและปลอดภัยก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำสงครามเพื่อรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเสมอไป
“พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์
มาสู้กันให้รู้ดำรู้แดงไปเลยดีกว่า!”องค์ชายเถิงคำรามก้อง “ทหารเป่ยเยว่ของข้า ไปฆ่าพวกมันเดี๋ยวนี้! พวกเจ้าจงคิดถึงญาติพี่น้องที่อยู่ข้างหลัง
คิดถึงครอบครัวของพวกเจ้าที่ถูกสังหารเห็นลูกเมียพี่น้องของตัวเองที่ถูกย่ำยีหรือไม่
บุกไป! ฆ่ามัน!”
“เฮ!” ขวัญทหารทัพเป่ยเยว่ฮึกเหิมขึ้นในทันที
รัชทายาทเจาคร้านที่จะโต้แย้งโน้มน้าวจึงโบกมือหนึ่งครั้ง
ทันใดนั้นบนป้อมประตูเมืองก็มีกลไกหน้าไม้เรียงรายเป็นแถวยาวเหยียด
แม้จะดูไม่สะดุดตาแต่กลับทำให้ทุกคนที่ได้เห็นสั่นสะท้านไปตามๆ กัน
เหล่าทหารหนานจิ้นต่างได้ยินว่าพระชายาส่งเสบียงและอุปกรณ์ชุดใหม่มาให้
อาหารการกินในช่วงสองสามวันมานี้ของพวกเขาจึงดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด
แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีหน้าไม้เพิ่มขึ้นมากขนาดนี้
หน้าไม้เหล่านี้ดูภายนอกไม่ต่างจากหน้าไม้ทั่วไป
แต่เหล่าทหารที่เคยเห็นอานุภาพของมันต่างรู้ว่าอาวุธนี้เป็นของล้ำค่าที่ใช้ปกป้องบ้านเมืองได้
หากเมืองฉู่โจวติดตั้งอาวุธพวกนี้ไว้ละก็ ต่อให้ทัพเป่ยเยว่คิดจะบุกตีเมืองอีกก็เป็นเรื่องยากแล้ว
“ยิง!”
ผู้ให้สัญญาณธงตะโกนสั่งเสียงดัง
โบกสะบัดธงในมือโดยแรง กลไกหน้าไม้นับร้อยเคลื่อนตัวปล่อยลูกดอกโลหะออกไปพร้อมกัน
สังหารทหารข้าศึกที่อยู่ด้านหน้าสุดตายเกลื่อน ทหารเป่ยเยว่ก็ไม่อยู่เฉย
พอเห็นลูกดอกพุ่งตรงมาราวกับห่าฝนก็รีบยกโล่ขึ้นบังหน้าอกตัวเอง
แต่การเคลื่อนไหวของพวกเขายังช้าไป ลูกดอกชุดสองบินถลามาถึงตัวแล้ว
เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดจึงดังระงม
หากเป็นพลธนูทั่วไปต่อให้สลับผลัดกันยิงสองแถวก็ยังมีช่วงเว้นระยะเวลา
แต่หน้าไม้บนป้อมประตูเมืองกลับปล่อยลูกดอกได้อย่างต่อเนื่อง
ไม่มีเวลาให้พวกเขาได้ทันตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย
หลังปล่อยลูกดอกออกไปสิบชุดอย่างต่อเนื่องร่างไร้ชีวิตของทหารข้าศึกก็กองเกลื่อนอยู่ใต้ป้อมประตูเมือง
เหล่าทหารที่เหลือรีบคุ้มกันองค์ชายรองไว้ตรงกลางและก้าวถอยหลังห่างไปห้าสิบก้าวถึงหยุดลง
“ฝ่าบาท! หน้าไม้ของหนานจิ้นร้ายกาจเกินไป
ควรทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”
องค์ชายเถิงถ่มน้ำลาย
ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวอย่างเคียดแค้น
“ให้ทุกคนร่วมกันตะโกนป่าวร้อง
ราษฎรในเมืองมีอยู่มิใช่น้อยหากสามารถออกมาเป็นกำลังร่วมกันตีขนาบทั้งในทั้งนอกยังต้องกลุ้มใจว่าจะไม่ชนะอีกหรือ!”
เมืองจิงตูแห่งนี้เป็นเมืองหลวงของเป่ยเยว่
ทว่าเวลานี้ทัพใหญ่แห่งหนานจิ้นกลับเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่ในเมือง ฝ่ายทหารเป่ยเยว่มีบ้านแต่กลับไม่ได้ มีประตูแต่เข้าไม่ได้ ช่างน่าหัวร่อทั้งน้ำตายิ่งนัก
“พวกพ่อแก่แม่เฒ่าชาวบ้านในเมืองทั้งหลายเอ๋ย! พวกท่านจะนิ่งดูดายทนเห็นลูกหลานพวกท่านตายอยู่หน้าประตูบ้านก็ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอย่างนั้นหรือ หัวหงอกส่งหัวดำยอมรับโจรเป็นเจ้าก็ได้หรือ ออกมาดูญาติพี่น้องของพวกท่านสิ พวกเขากำลังถูกเข่นฆ่าตามอำเภอใจ
วิญญาณวีรบุรุษจะถูกฝังไว้ใต้พสุธาตลอดกาล พวกท่านยังสามารถหลบอยู่ในบ้านโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรได้อีกหรือ! ความอ่อนแอขี้ขลาดของพวกท่านมีแต่จะทำให้ญาติสนิทมิตรสหายของพวกท่านต้องเจ็บปวดทรมาน
กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดทำลายแผ่นดิน พวกท่านหวังอยากให้ลูกหลานตายตาไม่หลับ
ปล่อยให้ครึ่งชีวิตที่เหลือของพวกเขามีชีวิตอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวด เสียใจและรู้สึกผิดอย่างนั้นหรือ! ออกมาเถิด ออกมาดูว่าญาติพี่น้องของพวกท่านถูกมีดแทงตายถูกธนูยิงตายอย่างไร เลือดของพวกเขายังอุ่นๆ
พวกเขาหวังเพียงก่อนตายจะได้เห็นหน้าพวกท่านเป็นครั้งสุดท้าย เมืองจิงตูแห่งนี้กลายเป็นเมืองหลวงที่ถูกล้างด้วยเลือด พวกท่านมิได้กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่วทั้งเมืองบ้างเลยหรือไร…”
หวังติ่งจวินคว้าหน้าไม้ขนาดใหญ่คันหนึ่งขึ้นมา
บรรจุลูกดอกโลหะขนาดเท่าท่อนแขนดอกหนึ่ง
เล็งไปยังนายทัพที่กำลังกู่ก้องร้องตะโกนไม่หยุด ลูกดอกถูกปล่อยออกไปในทันที!
ทว่ากลับไม่เกิดประโยชน์ คนหนึ่งตายก็มีคนใหม่ลุกขึ้นมาตะโกนพูดแทน
เสียงของพวกเขาดังสะท้อนกึกก้องราวกับจะให้ราษฎรทั้งเมืองได้ยิน
เสมือนต้องการปลุกจิตวิญญาณราษฎรในเมืองจิงตูให้ตื่นขึ้น
“ฝ่าบาท…” หวังติ่งจวินจ้องไปยังเบื้องหลังไม่คลาดสายตา
เกรงว่าราษฎรทั้งเมืองจะมุดออกมาด้านนอก หากถึงเวลานั้นขึ้นมาพวกเขาควรฆ่าหรือไม่ฆ่าดี?
หากจะฆ่าก็ต้องฆ่าให้หมดทุกคนอย่าให้มีเหลือแม้แต่ชีวิตเดียวเช่นนั้นหรือ?
แต่จะฆ่าอย่างไรไหว?
หากเกิดการสังหารหมู่เช่นนั้นจริง
เกรงว่าชื่อเสียงอันดีงามขององค์รัชทายาทที่สั่งสมมาตลอดจะต้องมัวหมองย่อยยับในคราวนี้
สีหน้ารัชทายาทเจานิ่งสงบปราศจากคลื่นอารมณ์ขณะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ
“เปิดประตูเมือง ออกไปบุกตีทั้งกองทัพ
รีบรบ รีบจบศึกโดยเร็วที่สุด”
ประตูเมืองที่ทั้งหนาและหนักค่อยๆ
เคลื่อนเปิดออก เหล่าทหารวิ่งเรียงแถวออกมาอย่างพร้อมเพรียงปากก็ร้องตะโกน “ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!”ดังกึกก้องจนทำให้ทหารเป่ยเยว่ถอยร่นไปหลายสิบก้าว
“ห้ามถอย! ฆ่ามัน!” องค์ชายเถิงถืออาวุธควบม้าบุกเข้าไปเป็นคนแรกเพื่อเป็นตัวอย่าง
เหล่าทหารที่เหลือจึงไม่ถอยอีก ต่างเดินหน้าอย่างห้าวหาญ ปฏิญาณว่าจะสู้ตายกับทหารหนานจิ้น
ในเมืองจิงตู
มีเพียงราษฎรซึ่งอยู่ใกล้ประตูเมืองที่สามารถได้ยินเสียงตะโกนปลุกใจอย่างฮึกเหิมของทัพเป่ยเยว่เมื่อครู่
ทว่าน่าเสียดายที่ราษฎรละแวกนี้ล้วนเป็นชาวบ้านยากจน
มีจำนวนมากที่เป็นคนเร่ร่อนอพยพมาจากต่างถิ่น พวกเขาเป็นคนไร้บ้านให้กลับ
ไร้ถิ่นฐานให้จงรักภักดี บางคนถึงขั้นบ้านแตกสาแหรกขาด พลัดพรากจากลูกเมีย
ตลอดทางต้องหลบหนีด้วยความลำบากยากเข็ญ
ความรู้สึกของพวกเขาจึงย่อมเย็นชาหมางเมินยิ่งกว่าสามัญชนทั่วไป
พวกเขาเห็นความเป็นความตายมาจนชินชาแล้วจะยอมพลีชีพเพื่อราชสำนักเลือดเย็นเช่นนี้ได้อย่างไร
ชาวบ้านที่ยังซาบซึ้งในบุญคุณราชสำนักเป่ยเยว่ซึ่งมีอยู่ไม่กี่คนกระโจนออกมา
ในมือถือท่อนไม้ แต่พอเห็นทหารหนานจิ้นในชุดนักรบมีอาวุธครบมือ
แต่ละคนล้วนตกใจจนขวัญบิน
ไหนเลยจะยังกล้าถือท่อนไม้พุ่งเข้าไปสู้รบกับทหารข้าศึกได้อีก
เรื่องของความกล้า ถ้าคนมากก็ย่อมฮึกเหิม แต่ถ้าคนน้อยต่อให้กล้าสักแค่ไหนก็ย่อมถูกกลืนหายไปในสายธารที่เชี่ยวกราก
ดังนั้นชาวบ้านเหล่านั้นจึงได้แต่หันมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี
ท้ายที่สุดเมื่อไม่เห็นใครเปิดฉากบุกตะลุยก่อน
จึงต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้านปิดประตู
และทันทีที่ประตูบานนั้นปิดลง คิดจะเคาะให้เปิดอีกก็ยากแล้ว!
259 จอมโกหกมาจากหนใด
องครักษ์วังหลวงของเป่ยเยว่สู้ศึกอย่างองอาจห้าวหาญ
รัชทายาทเจาสู้รบกับเป่ยเยว่มาหลายปียังเพิ่งเคยเห็นกองกำลังทหารทัพนี้แสดงแสนยานุภาพเต็มที่เป็นครั้งแรก
หากไม่เป็นเพราะมีกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลแล้วละก็ ทหารรักษาพระองค์ของเป่ยเยว่หนึ่งหมื่นนายทัพนี้ต้องสามารถต้านไพร่พลสามหมื่นของพวกเขาได้อย่างสบาย
กำลังการสู้รบไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
รัชทายาทเจาสวมเสื้อเกราะเงินทั้งชุด
ในมือถือกระบี่หนักโรมรันกับองค์ชายเถิง
ทั้งสองรุกรับกันกว่าครึ่งชั่วยามก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ
องค์ชายเถิงถ่มโลหิตในปากทิ้งแสยะยิ้มแล้วเอ่ย “ได้ยินมานานแล้วว่าวิทยายุทธ์รัชทายาทหนานจิ้นยากจะหาผู้ใดเทียบเทียม
วันนี้ข้าได้ประจักษ์แล้วว่าสมดังคำเล่าลืออย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด
อายุเพียงเท่านี้กลับมีความสามารถถึงเพียงนี้ ช่างหาตัวจับยากนัก!”
“ข้าก็ได้ยินมานานแล้วว่าองค์ชายรองเปี่ยมความสามารถและทรงคุณธรรมที่สุดในบรรดาองค์ชายของเป่ยเยว่
เป็นผู้สืบทอดที่มีความหวังมากที่สุดว่าจะนำพาเป่ยเยว่ไปสู่จุดสูงสุด
แต่น่าเสียดาย...”
“ฮ่าๆ
ครั้งนั้นข้าถูกคนชั่ววางแผนใส่ร้ายทำให้เสด็จพ่อระแวงสงสัยจนต้องถูกจองจำอยู่หลายปี
ความแค้นนี้ถึงตายข้าก็ไม่ลืม!”
“ฉะนั้นท่านจึงฉวยจังหวะที่กษัตริย์เป่ยเยว่สวรรคตรับช่วงอำนาจทางการทหารในเมืองหลวงต่อ
คิดจะบุกตีข้าให้ตั้งตัวไม่ติด แต่ใครจะรู้ที่คิดว่าใกล้สำเร็จกลับพังไม่เป็นท่า!”
รัชทายาทเจาเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบแต่เปี่ยมพลังโจมตีกระแทกใจองค์ชายเถิงอย่างหนักหน่วง
ส่งผลให้คนฟังถึงกับกระอักเลือด
“ฮึ! หากไม่เป็นเพราะเจ้าตัดใจสละกำลังไพร่พลทัพหนึ่งทิ้ง
มีหรือที่ข้าจะหลงกล
ไม่รู้ว่าหากพวกทหารที่ถูกส่งไปตีเมืองสวีโจวรู้ว่าตัวเองเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งแล้วจะรู้สึกเช่นไร”
รัชทายาทเจามิได้กริ้วกลับเอ่ยตอบอย่างจริงจัง
“หมากตัวหนึ่งอะไรกัน
คำพูดนี้เหลวไหลสิ้นดี นี่เพราะข้าคาดไม่ถึงว่าองค์ชายรองยังมีไพ่ตายซ่อนอยู่
ดังนั้นหากได้ชีวิตองค์ชายรองมาเซ่นสังเวยวิญญาณเหล่าทหารหาญคิดว่าพวกเขาต้องนอนตายตาหลับแน่”
“ต้องมาดูกันว่าเจ้ามีความสามารถนั้นหรือไม่!”
องค์ชายเถิงเงื้อง้าวขึ้นสูง
เปล่งเสียงคำรามดังลั่น ขับควบอาชาพุ่งใส่รัชทายาทเจา
ง้าวปะทะกระบี่หนักเกิดเป็นประกายไฟ ง่ามมือของทั้งสองสั่นสะท้านจนชาหนึบ
บาดแผลก่อนหน้านี้ปริแยก เลือดสดๆ ไหลทะลักออกจากปากแผล
“ข้ายังมีเรื่องไม่เข้าใจ
หวังว่ารัชทายาทจะให้ความกระจ่าง”
“เชิญกล่าว”
จวนเจียนจะลาลับอยู่รอมร่อ
รัชทายาทเจาจึงไม่ถือสาที่จะทำให้อีกฝ่ายได้ตายตาหลับ
“ศึกเหนือใต้ครั้งนี้เป่ยเยว่พ่ายแพ้เร็วเกินไปจนสิ้นท่าอย่างน่าอนาถ
สาเหตุสำคัญมาจากหนานจิ้นมีหน่วยรบพิเศษเพิ่มมาทัพหนึ่ง
สาเหตุรองลงมาคือหนานจิ้นมีอาวุธใหม่มากมาย
อาวุธยุทโธปกรณ์รูปแบบใหม่นี้มาจากความคิดของอาจารย์ท่านใดกันแน่”
เมื่อมีสงคราม
การปรับปรุงและประดิษฐ์สร้างอาวุธย่อมไม่เคยหยุดนิ่ง
เรื่องสองแคว้นแย่งชิงดึงคนที่มีความสามารถมาเป็นพวกล้วนมิใช่ความลับ
แต่มีนายช่างใหญ่ฝีมือเฉียบขาดเช่นนี้เกิดขึ้นในแผ่นดินตั้งแต่เมื่อใด เหตุไฉนเขาถึงมิเคยล่วงรู้!
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหนานจิ้นซ่อนตัวไว้ลึกลับเกินไป
หรือข่าวของพวกเขาล้าหลังเกินไปกันแน่
มุมปากรัชทายาทเจายกขึ้นเป็นรอยยิ้มแสนอ่อนโยน
เป็นภาพที่คนจำนวนนับไม่ถ้วนเพิ่งเคยได้เห็นเป็นครั้งแรก
“เรื่องนี้...ข้าบอกเจ้าแบบไม่ปิดบังก็ได้
ทั้งหมดล้วนเป็นคำแนะนำจากพระชายาของข้าเอง
กว่าจะสำเร็จกลายเป็นอาวุธอย่างที่เห็นช่างฝีมือหลายร้อยคนต้องเร่งมือทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ
คำตอบนี้เป็นที่พอใจหรือไม่?”
องค์ชายเถิงสองตาเบิกค้าง ทำใจให้เชื่อไม่ลง
“พระชายา...ชายาบุรุษผู้นั้นน่ะหรือ?”
นี่มัน...เหลวไหลเกินไปแล้ว! บุรุษที่เปี่ยมสามารถมากมายถึงเพียงนี้จะยอมลดตัวไปอยู่ใต้ร่างบุรุษอีกคนได้อย่างไร!
“เจ้าหลอกข้า! พระชายาของเจ้าเป็นหมอเทวดาที่คนนับหมื่นต่างให้ความเคารพเลื่อมใสมิใช่หรือ
เหตุใดจึงกลายเป็นนายช่างสร้างอาวุธไปเสียได้!”
“อัจฉริยภาพของชายาข้าเกริกเกียรติล้นฟ้า
เขาหาได้มีแค่ฝีมือการรักษาโรคเพียงอย่างเดียวไม่”
“ฮ่าๆ
ได้ข่าวว่ากองทัพหมอทหารหนานจิ้นครั้งนี้ยิ่งใหญ่เหลือคณา
ทั้งหมอและยาล้วนมีมาอย่างครบครัน ช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บมานับไม่ถ้วน
คิดว่าต้องเป็นฝีมือพระชายารัชทายาทอย่างแน่นอน”
“ถูกต้อง!”
“ฮึ! สวรรค์ทอดทิ้งข้าสินะ
เหตุใดคนที่เก่งกาจมากความสามารถเช่นนี้ถึงไปตกอยู่ในกำมือหนานจิ้น
หากข้ารู้เร็วกว่านี้ ต่อให้ต้องแลกด้วยอะไรก็จะต้องปลิดชีพเขาให้จงได้!”
“เจ้ากล้าหรือ!” รัชทายาทเจาตวัดกระบี่แล้วฉวยจังหวะที่อีกฝ่ายเงื้อง้าวหยิบกระบอกไม้ไผ่ออกมาจากบั้นเอว
นิ้วเรียวยาวเพียงกดเบาๆเข็มเงินเล่มเล็กดุจขนวัวหลายเล่มก็ยิงออกมาจากกระบอกไม้ไผ่นั้น
พุ่งไปปักลงบนหน้าอกอีกฝ่าย
เข็มเงินเหล่านี้เคลือบด้วยยางของพืชมีพิษ
ถังเยว่ตั้งใจทำเตรียมไว้ให้ใช้ในยามคับขัน
ในสายตาเขาสนามรบคือสถานที่ซึ่งมีอันตรายรอบด้าน มีอาวุธลับไว้ป้องกันตัวก็รับประกันความปลอดภัยเพิ่มขึ้นได้อีกขั้น
น่าเสียดายที่เขาประดิษฐ์ปืนไม่เป็น
มิฉะนั้นคงแอบทำไว้ให้หลี่เจาใช้ป้องกันตัวหนึ่งกระบอกแน่
แต่เพราะได้แรงบันดาลใจจากตะปูฝนพรำดอกสาลี่[1] เขาจึงสร้างอาวุธลับจิ๋วชิ้นนี้ขึ้นมา ประสิทธิภาพยอดเยี่ยมตามคาด
ใช้ยิงใส่ขณะที่คู่ต่อสู้ยังไม่ทันตั้งตัว
กอปรกับมีพิษเคลือบไว้ต่อให้ศัตรูไม่อยากตายก็คงยาก
“เจ้า…ต่ำช้า!” องค์ชายเถิงกระอักโลหิตสีดำออกมา เพียงพริบตาก็ชักกระตุกแล้วล้มลง
“ในสนามรบไม่มีคำว่าต่ำช้า!”
รัชทายาทเจามิได้เพิ่งเคยเห็นฤทธิ์ของพิษชนิดนี้เป็นครั้งแรก
แต่เพิ่งเคยเห็นมันถูกใช้กับคนเป็นครั้งแรก พลันรู้สึกนึกชื่นชมอยู่ในใจ ‘ทั้งพิษพีซวง พิษเจ้อตู๋ล้วนเทียบไม่ติดเลยสักนิด’
ดูเหมือนคำพูดขององค์ชายเถิงจะกระตุ้นความคิดบางอย่าง
เวลานี้รัชทายาทเจาปรารถนาอยากยุติสงครามให้จบลงโดยเร็วที่สุด เขาจะได้รีบกลับไปอยู่ข้างกายถังเยว่โดยเร็ว
จากกันเกือบสองปีแล้ว ความคิดถึงของเขาสั่งสมอัดแน่นจนล้นอก
หากมากกว่านี้อีกเพียงนิดคงได้ระเบิดออกมาแน่!
“ผู้บัญชาการทัพเป่ยเยว่ตายแล้ว
ผู้ยอมจำนนจะไม่ถูกสังหาร!”
รัชทายาทเจาประกาศข่าวการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายเถิงให้ทหารกองทัพเป่ยเยว่รับรู้ด้วยเสียงดังกึกก้อง
บรรยากาศในสนามรบพลันเปลี่ยนแปลงไปในทันที
เมื่อครู่ขวัญทหารทัพเป่ยเยว่เพิ่งฮึกเหิมแต่เพราะการดับสูญของผู้บัญชาการทำให้พวกเขาเสียขวัญจนไม่รู้จะทำเช่นไร
การทำศึกตั้งแต่อดีตกาลจับโจรให้จับหัวหน้าโจรก่อน ไร้ผู้นำคนสำคัญแล้วพวกทหารยังจะมีใจสู้ต่อได้อย่างไร
ยิ่งกว่านั้นองค์ชายเป่ยเยว่ต่างสิ้นพระชนม์กันหมดแล้ว
ต่อให้พวกเขาทวงแผ่นดินคืนมาได้ก็หาผู้สืบทอดที่เหมาะสมมารับช่วงต่อไม่ได้
องค์ชายเถิงสิ้นพระชนม์
มิใช่แค่พวกเขาสูญเสียผู้บัญชาการทัพแต่หมายถึงความหวังในการกอบกู้แผ่นดินของเป่ยเยว่ได้สูญสิ้นลงแล้ว
ขุนนางที่ถูกจองจำเมื่อได้ฟังข่าวร้ายต่างเศร้าโศกไปตามๆ กัน
ไม่มีองค์ชายรองแล้วพวกเขายืนหยัดต่อสู้ไปจะมีความหมายอะไร
ขุนนางผู้ซื่อตรงบางคนถึงขนาดใช้ศีรษะโขกเสาฆ่าตัวตายตรงนั้นทันที
“สวรรค์ทอดทิ้งเป่ยเยว่ของข้า!”
“องค์จักรพรรดิ! กระหม่อมผิดต่อฝ่าบาทยิ่งนัก..”
“ในที่สุดแผ่นดินเป่ยเยว่ก็ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือศัตรู
ฝ่าบาท...กระหม่อมไม่มีหน้าไปพบพระองค์...”
เสียงคร่ำครวญอย่างโศกเศร้าอาดูรดังมาจากคุกใต้ดิน
เหล่าบัณฑิตที่ถูกอาจารย์เสวียนจิ้งเรียกมาชุมนุมพอได้ยินข่าวร้ายต่างเงียบงันไปตามๆ
กัน
ยามราตรี ดวงดาวบนฟากฟ้าส่องแสงสว่างไสว
อาจารย์เสวียนจิ้งชี้ไปยังดวงดาวทางทิศทักษิณที่ส่องสว่างเจิดจรัสดวงหนึ่งพลางกล่าว
“ดูสิ ดาวจื่อเวยสว่างขึ้นทุกที
ส่วนดาวจักรพรรดิเป่ยเยว่เลือนหายไร้ร่องรอย รัชศกใหม่มาถึงแล้ว”
“หวังก็แต่จักรพรรดิหนานจิ้นจะเป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรม
เปี่ยมเมตตา ขยันปฏิบัติราชกิจ รักใคร่ชาวประชา
มิเช่นนั้นต่อให้ต้องตายข้าก็จะขอต่อต้านการปกครองระบอบหนานจิ้นให้ถึงที่สุด!”
อาจารย์เสวียนจิ้งมองจุดที่อยู่เหนือดาวจื่อเวยซึ่งเปล่งแสงสว่างไสวอยู่เหนือขึ้นไป
ดาวจักรพรรดิที่อ่อนแสงก่อนหน้าบัดนี้หายไปแล้ว มุมปากพลันปรากฏรอยยิ้มบาง
“วางใจเถอะ
หากรัชทายาทเจาทรงทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้าน้อยจะชดใช้ให้ทุกท่านเอง”
บัดนี้เป่ยเยว่ไม่มีกำลังจะต่อต้านใดๆ อีก
บรรดาขุนนางเชื้อพระวงศ์ต่างพาทหารส่วนตัวและคนในครอบครัวอพยพหลบหนีกระเจิดกระเจิงไปหมดแล้ว
พวกเขาตั้งใจว่าก่อนที่ผู้ปกครองคนใหม่จะขึ้นครองราชย์
จะต้องหาดินแดนแห่งความสุขของตัวเองให้เจอ ยึดครองที่นั่นแล้วตั้งตัวเป็นใหญ่
จะได้เติบโตผงาดขึ้นเป็นมังกรผู้แข็งแกร่งต่อไป
รัชทายาทเจามิได้แบ่งกำลังทหารออกไปตามล่าสังหารบรรดาขุนนางและเชื้อพระวงศ์ที่หลบหนี
แต่วันรุ่งขึ้นมีคำสั่งว่า “หากป็นชนชั้นสูงที่หลบหนีต้องถูกยึดทรัพย์
ถูกถอดยศศักดิ์ที่เคยมี ไม่ว่าใครก็สังหารพวกเขาได้
พวกเขาจะมิได้รับการปกป้องคุ้มครองจากราชสำนักอีก
ส่วนชนชั้นสูงที่ยังอยู่ในเมืองจิงตูจะถูกตัดสินตามคุณงามความดี
“หากตลอดชีวิตไม่เคยทำเรื่องชั่วช้า
ผิดกฎหมาย ไม่เพียงไม่ถูกลงอาญามิหนำซ้ำยังมีรางวัลให้อีก
ส่วนชนชั้นสูงที่ทำเรื่องชั่วช้าสามานย์จะต้องถูกลงทัณฑ์ขั้นเด็ดขาด
โทษสถานเบาคือลดตำแหน่ง โทษหนักต้องกลายเป็นไพร่ ถูกยึดทรัพย์
แต่รับประกันได้ว่าชีวิตจะปลอดภัยไร้กังวล จะมีการตั้งกล่องนิรนามไว้ในเมือง
ชาวบ้านสามารถแจ้งชื่อผู้กระทำผิดกฎหมาย ประพฤติชั่วช้าพร้อมหลักฐานยืนยัน
หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นความจริงจะรีบดำเนินการทันที”
ทันทีที่มีคำสั่งนี้ออกไปก็ได้รับการยอมรับจากราษฎรทั่วทั้งเมือง
สำหรับชนชั้นที่ถูกกดขี่พวกเขาย่อมยินดีที่จะได้เห็นคนที่กดขี่พวกเขาได้รับกรรมเสียบ้าง
ปกติคนสูงศักดิ์มักก่อกรรมทำเข็ญไว้มาก ฉุดคร่าหญิงสาวชาวบ้านยังถือเป็นเรื่องเบา
เห็นชีวิตคนเสมือนต้นหญ้าฆ่าล้างตระกูลเป็นเรื่องที่มีให้เห็นอยู่ดาษดื่น
เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ชาวบ้านจึงแห่มาแจ้งเต็มไปหมด กล่องนิรนามจึงเต็มไปด้วยแถบผ้า แผ่นกระดาษ ม้วนไม้ไผ่ยัดแน่นเต็มกล่อง
ราษฎรจำนวนมากแม้ไม่รู้หนังสือ เขียนหนังสือไม่เป็น
แต่ก็ยอมบากหน้าไปขอให้คนอื่นช่วยเขียนแทนบ้าง ใช้วิธีวาดรูปแบบตรงๆ
ธรรมดาสามัญเข้าใจง่าย และไม่รบกวนใครให้ยุ่งยากบ้าง
ตอนที่จางฉุนเดินทางรอนแรมนับพันลี้ถึงเมืองหลวงเป่ยเยว่ก็เป็นเวลาหลังปีใหม่
สรรพสิ่งกลับสู่สภาพปกติแล้ว เขานอนแผ่หราอยู่ในรถม้าอันกว้างขวาง
เพลียเสียจนยืดตัวตรงแทบไม่ไหว กระดูกแทบจะแยกส่วนออกมาเป็นชิ้นๆ
ตอนที่ถูกประคองลงมาจากรถม้าเขาก็ก่นด่าอย่างแค้นเคือง
“การคมนาคมที่แสนบ้าบอ
ชาตินี้ข้าจะหาเงินมาซ่อมแซมถนนให้จงได้!”
เขาจับทหารยามเฝ้าเมืองมาซักถาม “รัชทายาทหนานจิ้นอยู่ในเมืองใช่หรือไม่ ทรงพำนักอยู่ที่ใด?”
ได้ยินมาว่าเมืองหลวงเป่ยเยว่กว้างใหญ่นัก
ในยุคนี้แม้แต่แผนที่ยังเป็นขนาดย่อ เชื่อถือไม่ได้
ตลอดทางจางฉุนหลงทางมานับครั้งไม่ถ้วน
ทหารนายนั้นเห็นจางฉุนหน้าขาวซีด
เนื้อตัวมีแต่กลิ่นเหม็นโชยออกมา ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงทั้งยังมีฟางปักอยู่สองกิ่ง
วิเคราะห์ว่าต้องมิใช่ผู้มีอำนาจบารมีเป็นแน่จึงรีบไล่เขา
“ไปๆ
องค์รัชทายาทใช่คนที่เจ้าจะมาถามหาได้งั้นหรือ?”
“บังอาจ! ดูท่าทีของเจ้าแล้วคงมิใช่ชาวหนานจิ้นกระมัง
รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร! ข้ามาจากจวนรัชทายาทหนานจิ้น
ยังไม่รีบไปทูลรายงานอีกหรือ!”
ทหารผู้นั้นตกใจสะดุ้งโหยง
แม้จะรู้สึกคลางแคลงอยู่บ้างแต่คิดว่าเรื่องนี้มิใช่หน้าที่ตนจึงส่ายหน้าแล้วกล่าว “หลังจากเข้าเมืองแล้วเดินตรงไป จากนั้นก็ถามหาที่ตั้งของพระราชวัง
ย่อมมีคนชี้ทางให้เจ้าได้”
เจ้าโง่นี่มาจากที่ใดกัน! รัชทายาทหนานจิ้นพระองค์นั้นได้กลายเป็นกษัตริย์ไร้มงกุฎของเมืองนี้ไปตั้งนานแล้ว
ถ้าไม่พำนักอยู่ในพระราชวังแล้วจะไปอยู่ที่ใดได้อีกเล่า!
จวนรัชทายาทหนานจิ้นมีคนประเภทนี้จริงหรือ
โกหกกระมัง?
เชิงอรรถ
- ตะปูฝนพรำดอกสาลี่
เป็นอาวุธลับจากวรรณกรรมเรื่องชอลิ้วเฮียง
260 เมืองเย่เฉิงส่งคนมา
(1)
“ฝ่าบาท เมืองเย่เฉิงส่งคนมาพ่ะย่ะค่ะ”
ทหารยามนายหนึ่งรีบวิ่งเข้ามารายงานรัชทายาทเจาที่อยู่ในห้องทรงพระอักษร
ข่าวจักรพรรดิหนานจิ้นสวรรคตแพร่สะพัดมาถึงเป่ยเยว่แล้ว
แต่เรื่องที่ต้องจัดการหลังเสร็จศึกมีมากมาย
รัชทายาทเจาจึงมิอาจปลีกตัวกลับไปได้ทันที
ต้องรอแต่งตั้งคนมารับหน้าที่ดูแลเป่ยเยว่แต่ละตำแหน่งให้เรียบร้อยก่อนจึงจะสามารถนำทัพกลับหนานจิ้นได้
เขารู้ว่านอกจากประกอบพิธีบวงสรวงดวงวิญญาณอดีตจักรพรรดิแล้วยังมีความยุ่งยากสารพัดที่ต้องแบกรับ
ไม่รู้ว่าป่านนี้ถังเยว่เป็นอย่างไรบ้าง อยู่ห่างกันหนึ่งแสนแปดพันลี้
กว่าจะส่งข่าวถึงกันล่าช้าเกินไป
เหมือนอย่างข่าวจักรพรรดิสวรรคตยังล่าช้าถึงสองเดือนกว่าจะล่วงรู้ กว่าที่เขาจะกลับไปไม่รู้ว่าตำแหน่งจักรพรรดิจะถูกคนอื่นแย่งไปครองแล้วหรือยัง
ดังนั้นทันทีที่ได้ยินว่าเมืองเย่เฉิงส่งคนมา
รัชทายาทเจาจึงรีบวางงานในมือลงแล้วเอ่ยถาม “เป็นผู้ใด?”
ไม่รอให้คนอื่นตอบ
ก็ได้ยินเสียงจางฉุนตะโกนดังมาจากด้านนอก
“กระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ...”
เหล่าขุนนางและแม่ทัพในห้องทรงพระอักษรต่างพร้อมใจกันหันไปมองทางประตูใหญ่เป็นตาเดียว
ไม่รู้ว่าคนผู้นี้คือใครถึงได้บังอาจทำท่ากำแหงต่อหน้ารัชทายาทเช่นนี้
จางฉุนที่กำลังก้าวยาวๆ
เดินเข้ามาประดุจคนสำคัญพลันต้องชะงักขาค้างอยู่กลางอากาศทั้งที่ยังไม่ได้เหยียบลงพื้น
เขารีบหดขาถอยกลับในทันทีพร้อมกับยืนเกาศีรษะหัวเราะแห้งๆ อยู่หน้าประตู
“ที่แท้ฝ่าบาทกำลังยุ่งอยู่หรอกหรือ ถ้างั้นทรงงานต่อไปเถอะ กระหม่อมจะรออยู่ด้านนอก…”
ในหมู่แม่ทัพมีคนคนหนึ่งกำลังสั่นสะท้านไปทั้งตัว
ไม่ทันจะกล่าวคำทักทายก็กระโจนพรวดพราดออกมาแล้วคว้าตัวจางฉุนแบกขึ้นบ่าวิ่งออกไปทันที
“เฮ้ย! เจ้าจะทำอะไร! ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้นะ ข้ายังมีธุระสำคัญ…”
เหล่าขุนนางและแม่ทัพในห้องทรงพระอักษรต่างงุนงงเป็นไก่ตาแตก มีเพียงรัชทายาทเจาที่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุมเยือกเย็น
“เชิญทุกท่านสนทนากันเรื่องปัญหาเมื่อครู่ต่อเถอะ ตกลงเป็นอันว่าเรื่องน้อยใหญ่ในเมืองหลวงแห่งนี้มอบให้อาจารย์เสวียนจิ้งเป็นผู้ดูแลไปก่อน คุมตัวอัครเสนาบดี สมุหกลาโหมและผู้ตรวจราชการคนเก่าไปขังไว้ในคุกใหญ่ ขุนนางที่เหลือคงเดิมไว้ชั่วคราวแล้วค่อยพิจารณาผลงานในวันหน้า”
ทุกคนจึงได้สติคืนกลับมาจากอาการตื่นตะลึงเมื่อครู่ ครั้งนี้ต่างพร้อมใจกันหันไปมองอาจารย์เสวียนจิ้งด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาชิงชัง
สามารถพูดได้ว่าหลังหนานจิ้นมีชัยเหนือเป่ยเยว่ อาจารย์ท่านนี้ก็แทบจะลอยขึ้นฟ้า จากที่ปรึกษาไร้อำนาจบารมี จู่ๆ ก็กลายเป็นผู้แทนพระองค์
เป็นบุคคลสำคัญของเมืองนี้ไปแล้ว แม้จะบอกว่าเดิมทีเขาก็เป็นผู้มีความรู้และคุณธรรมได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากผู้คน แต่การมีอำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือนั้นให้ความรู้สึกที่ต่างกันอย่างลิบลับ
“ขอฝ่าบาทเสด็จกลับอย่างวางพระทัย เมื่อทรงขึ้นครองราชย์แล้วค่อยส่งขุนนางมารับช่วงจัดการงานที่นี่ต่อ ระหว่างนี้กระหม่อมจะดูแลเมืองหลวงแห่งนี้ให้อยู่ในความสงบเรียบร้อยแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
อันที่จริงรัชทายาทเจาก็มีความกังวลอยู่บ้าง จริงอยู่ที่อาจารย์เสวียนจิ้งฉลาดหลักแหลม มีความสามารถโดดเด่น
มีกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมแยบยล แต่เขาไม่เคยเป็นขุนนาง ไม่เคยบริหารงานดูแลราษฎร จะสามารถรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้ดีหรือไม่ก็ยังพูดยาก
แต่การเดินทางมาครั้งนี้รัชทายาทพาขุนนางฝ่ายพลเรือนมาด้วยน้อยมาก
ที่มีอยู่ก็ไม่อาจแบกรับภาระสำคัญนี้ได้จึงจำต้องมอบหน้าที่นี้ให้อาจารย์เสวียนจิ้ง
“หลังจากข้าไปแล้ว
ให้แม่ทัพหูนำไพร่พลสามหมื่นนายตั้งมั่นรักษาการณ์เมืองหลวง
แม่ทัพหวังพาไพร่พลสามหมื่นนายตั้งมั่นรักษาการณ์เมืองเยี่ยนโจว
ทั้งสองคอยช่วยเหลือกันและกัน หากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ให้แม่ทัพทั้งสองหารือตัดสินใจร่วมกัน ไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งจากข้า”
หลังสะสางงานเรียบร้อย รัชทายาทเจาก็ให้คนไปตามตัวจางฉุนมา มิได้เหนือความคาดหมายแม้แต่น้อย เขาต้องรออยู่ครึ่งชั่วยามคนที่เรียกให้มาพบจึงเพิ่งจะมาถึง
ทหารยามที่ไปตามเอาแต่ก้มหน้างุดไม่กล้าพูดสิ่งใด ใบหูทั้งสองข้างแดงก่ำไม่รู้ว่าไปแอบฟังพวกเขามานานแค่ไหน
รัชทายาทเจาจ้องมองจางฉุนที่หน้าแดงซ่าน ไม่มีอาการขาวซีดเฉกเช่นเมื่อครู่เลยสักนิด
เช่นนี้แล้วมีหรือจะไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นไปทำอะไรกับหวังติ่งจวินมาบ้าง
แต่เขาก็มิใช่คนไร้เหตุผล พลัดพรากจากกันไปนาน
ได้กลับมาเจอหน้าอีกครั้งย่อมโหยหากันและกัน มิหนำซ้ำพวกเขาแยกจากกันมาสองปีกว่า ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ
รัชทายาทเอ่ยถามอย่างตรงประเด็น
“พระชายาส่งเจ้ามาหรือเจ้ามาเอง?”
แน่นอนจางฉุนย่อมต้องบอกว่าถังเยว่เป็นคนส่งมา
เขาลูบคลำตามเนื้อตัวอยู่นานก่อนจะพึมพำขึ้น
“กระหม่อมยังได้นำจดหมายที่พี่ถังเขียนถึงฝ่าบาทมาด้วย...อยู่ที่ไหนนะ...”
ทันทีที่รัชทายาทเจาได้ยินว่ามีจดหมายของถังเยว่ไหนเลยจะยอมให้เขาค่อยๆ
หา รีบสั่งให้คนไปค้นหายังจุดที่จางฉุนอยู่เมื่อครู่
ผลปรากฏว่าไปหาเจอที่ใต้เตียงในตำหนักปีก
ไม่รู้ควรตำหนิว่าแม่ทัพหวังใจร้อนเกินไปหรือความรักของพวกเขาลึกล้ำเกินไปเลยจริงๆ แค่จะเดินต่ออีกไม่กี่ก้าวยังทนไม่ไหว
ใบหน้าจางฉุนขึ้นสีแดงจัด หัวเราะแหะๆ แล้วพูดต่ออย่างไม่เป็นธรรมชาติ
“ต้องเป็นเพราะตอนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อครู่ไม่ทันระวังจึงทำหล่นแน่ๆ ฝ่าบาทมิทรงทราบ ตลอดการเดินทางมาที่นี่กระหม่อมได้อาบน้ำเพียงสามครั้ง รู้สึกเหม็นไปหมดทั้งตัว”
“ไม่ใช่แค่รู้สึก แต่เหม็นของจริงต่างหาก!” หวังติ่งจวินที่อยู่ข้างๆ ยืนยัน
เมื่อครู่เขารีบร้อนแบกอีกฝ่ายออกไป หวังจะกอดให้หายคิดถึงแล้วจับขย้ำกินให้เต็มรัก แต่ที่ไหนได้กลิ่นไม่พึงประสงค์จากเนื้อตัวอีกฝ่ายทำเอาเขาเขมือบไม่ลงเลยจริงๆ จึงต้องจับแก้ผ้าแล้วโยนลงน้ำชำระล้างร่างกายให้เกลี้ยงเกลาเสียก่อนถึงค่อยเริ่ม…
จางฉุนถลึงตาใส่
“ตลอดการเดินทางแสนลำบากลำบน
ระยะทางไกลโพ้นต้องดั้นด้นบุกป่าฝ่าดง ฝ่ามรสุมลมพายุ ต้องนอนค้างอ้างแรมกลางแจ้ง แม้แต่น้ำร้อนก็ยังไม่มีให้ดื่มไม่ได้อาบน้ำก็ต้องเหม็นหึ่งเป็นธรรมดา”
แต่ในความเป็นจริงเป็นเพราะหลังเข้าสู่เขตแดนเป่ยเยว่ยิ่งเดินทางขึ้นเหนืออากาศก็ยิ่งหนาว
จางฉุนนั่งเอาผ้าห่มห่อตัวไม่กล้าลงจากรถม้าตลอดทั้งวันไหนเลยจะกล้าอาบน้ำ
นานครั้งจะได้พักโรงเตี๊ยมสักที
คิดจะนอนแช่น้ำร้อนให้สบายตัวสักหน่อยแต่พอไปดูถังอาบน้ำก็สกปรกโสโครกเกินจะทนรับได้
รัชทายาทเจาไม่มีอารมณ์มานั่งฟังคู่รักถกเถียงกัน เขารีบฉีกจดหมายออกอ่านซึ่งก็เหมือนกับทุกครั้ง ในจดหมายถังเยว่มักแจ้งแต่ข่าวดีไม่รายงานข่าวร้าย เนื้อหาส่วนใหญ่เขียนเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของตัวเองและลูกคุยเรื่องดินฟ้าอากาศในเมืองเย่เฉิง พูดถึงชาวบ้านราษฎรและข่าวลือทั่วไป จากนั้นค่อยเข้าเรื่องธุระสำคัญ
“เสด็จพ่อเสด็จสวรรคตอย่างกะทันหัน มีเรื่องราวมากมายที่ยังมิได้สะสาง หลู่กั๋วกงถูกส่งกลับมาถึงจวนแล้ว
หลังส่งหมอหลวงหลายท่านไปร่วมกันรักษาอาการป่วยก็ดีขึ้น แต่ยังคงขยับตัวเคลื่อนไหวไม่ได้ ท่านอัครเสนาบดีรับข้อเสนอของกระหม่อมแล้วว่าจะยังไม่ประกาศโทษของเขาเป็นการชั่วคราว รอให้รัชทายาทเสด็จกลับมาก่อนค่อยสอบสวนพิจารณาคดี
“ในราชสำนักไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
เรื่องที่เสด็จพ่อทรงตกจากหลังม้าได้ตรวจสอบดูแล้วมิได้มีกลอุบายใด
แต่พวกองค์ชายไม่เชื่อ คิดเพ้อเจ้อหวังจะใส่ร้ายป้ายสีกระหม่อม น่าหัวร่อเป็นที่สุด ดังนั้นกระหม่อมจึงรับบทพี่สะใภ้อบรมสั่งสอนพวกเขาแทนฝ่าบาท หวังว่าพวกเขาจะสามารถปรับปรุงตัวเอง กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่
“ระยะนี้น้องสิบห้ามีพฤติกรรมแปลกๆ
เหมือนจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นคนละคน ชอบเอาหน้าไปเสียทุกเรื่อง
แต่ทำงานมีกฎเกณฑ์ การพูดการจาก็ดูดีมีหลักการจนได้รับคำสรรเสริญจากขุนนางหลายท่าน ท่าทางดูต่างจากเมื่อก่อนที่เคยเป็นเด็กเรียบร้อยไม่ค่อยพูดราวกับเป็นคนละคน
กระหม่อมเคยคิดสงสัยว่าเขาก็ถูกสับเปลี่ยนวิญญาณเช่นกันหรือไม่ แต่หลังจากหาหลักฐานพิสูจน์ยืนยันหลายครั้งก็พบว่ากระหม่อมคิดมากไปเอง เพียงแค่ในอดีตเขาเก็บงำตัวตนที่แท้จริงไว้มิดชิดเกินไปเท่านั้น
“เวลานี้ราชสำนักไร้ผู้นำ รัชทายาทก็อยู่ไกล ยังเสด็จกลับมาไม่ได้ ใจคนไม่มั่นคง
มีบางคนเกิดความคิดเอนเอียงก็มิใช่เรื่องผิดแปลก โชคดีที่วังหลังยังมีเสด็จแม่คอยค้ำจุน ในราชสำนักยังมีเหล่าขุนนางเสนาบดีที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อฝ่าบาทรักษาการณ์
ไม่เปิดช่องโหว่ให้พวกเขา ทำให้แผนการของพวกเขาต้องสูญเปล่า
“ทุกอย่างในเมืองเย่เฉิงเรียบร้อยดี
ฝ่าบาทมิต้องทรงเป็นห่วง การรายงานเกี่ยวกับศึกสงครามในระยะนี้ค่อนข้างล่าช้า เนื้อหาไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่ารบกันไปถึงไหนแล้ว ขอให้ทุกอย่างราบรื่น กระหม่อมรอการกลับมาของฝ่าบาทอยู่นะ!”
ตอนที่รัชทายาทเจาเห็นวันที่ลงท้าย
คิ้วก็ขมวดมุ่นเป็นปม
“เจ้าเดินทางจากเย่เฉิงมาถึงที่นี่ใช้เวลาเกือบครึ่งปีเชียวหรือ?”
จางฉุนกะพริบตาถี่ก่อนพยักหน้า “ใช่พ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นอัตราความเร็วเท่าที่รถม้าจะวิ่งได้เร็วที่สุดแล้ว
ระหว่างทางม้าตายไปสามตัว รถเสียไปสองคัน ลำบากยากเข็ญเหลือเกิน”
หวังติ่งจวินที่อยู่ข้างๆ หน้าตาบูดบึ้ง ‘เจ้าเด็กบ้า! นึกว่ามานี่เพราะคิดถึงข้าซะอีก นึกไม่ถึงว่าจะเถลไถลเที่ยวชมภูผาลำธารมาตลอดทางมาเยี่ยมข้าเป็นเพียงของแถมงั้นสิ เที่ยวเล่นซะจนลำบากแย่เลยสินะ!’
จางฉุนยกมือลูบศีรษะตัวเองแล้วเงยหน้ามองเพดาน พบว่าพระราชวังเป่ยเยว่งดงามวิจิตรตระการตายิ่งนัก แม้แต่เพดานก็ยังวาดภาพจิตรกรรม หรูหราอลังการเป็นอย่างยิ่ง
“ในเมื่อจงโหย่งโหวลำบากถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็พักอยู่ในวังต่อเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางกลับหนานจิ้น
แม่ทัพหวังต้องไปเฝ้ารักษาการณ์ที่เมืองเยี่ยนโจวดังนั้นจะต้องเดินทางลงใต้ไปพร้อมกันกับข้า”
ครั้งนี้มิใช่แค่หวังติ่งจวินงุนงง
แม้แต่จางฉุนก็ยังอึ้งไปด้วย คิดไม่ถึงว่าไม่เจอกันตั้งหลายปีรัชทายาทเจายังคงเป็นบุรุษผู้เจ้าคิดเจ้าแค้นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เขาก็แค่มาส่งจดหมายให้ช้าไปไม่กี่วันเท่านั้นเองมิใช่หรือ
อุตส่าห์เป็นกังวลว่าจะทำให้ทัพหน้าต้องเสียเวลารอ จึงให้คนส่งเสบียงข้าวของมาก่อน
แล้ว ตัวเขาอาจจะแวะเที่ยวเล่นรายทางไปบ้างแต่ก็มิได้สร้างความเสียหายทำให้ใครเดือดร้อนไม่ใช่หรือ?
ฮึ! พักก็พักสิ! ดีเลย จะได้ตระเวนเที่ยวเมืองจิงตูอันเลื่องชื่อให้ชุ่มปอด ส่วนสายตาคับแค้นใจของหวังติ่งจวินนั้นจางฉุนเลือกทำเป็นมองไม่เห็น
ฤดูร้อนปีแรกแห่งรัชศกต้าถัง
รัชทายาทเจานำทัพใหญ่ห้าหมื่นกลับเย่เฉิงพร้อมชัยชนะ เหล่าราษฎรต่างแซ่ซ้องออกมารับเสด็จตลอดทาง ถวายชาถวายน้ำ
ทุกครัวเรือนที่เคลื่อนผ่านต่างตกแต่งบ้านเรือนให้มีบรรยากาศครื้นเครง จุดประทัด
เชือดไก่ล้มแพะประหนึ่งเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่
วันนี้นอกกำแพงเมืองเย่เฉิงตั้งแต่ช่วงต้นยามเหม่า
เหล่าขุนนางต่างมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง ชะเง้อคอรอคอย ราษฎรทั้งในและนอกเมืองต่างมาจับจองพื้นที่จนเต็มไปหมด
กล่าวกันว่าร้านขายของริมถนนตลอดสองข้างทางจากประตูเมืองไปจนถึงกำแพงวังล้วนเนืองแน่นไปด้วยผู้คน
เพียงเพื่อมารอรับเสด็จจักรพรรดิองค์ใหม่ของพวกเขา
ที่ด้านหน้าสุดของฝูงชน หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่สวมชุดสีฟ้าครามดุจน้ำในทะเลสาบยืนตัวตรง มีเพียงคนที่ยืนติดกับพวกเขาเท่านั้นถึงจะได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของสองพ่อลูก
“เตียเตีย
เสด็จพ่อจะเสด็จกลับมาแล้วจริงหรือ?”
มีเฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าคนใกล้ชิดเท่านั้นที่เสี่ยวลั่วลั่วจะเผยนิสัยความเป็นเด็กออกมาบ้าง
ช่วงที่หลี่เจาไม่อยู่เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะหลังจากจักรพรรดิหนานจิ้นล่วงลับ สถานการณ์ในราชสำนักมิได้ราบรื่นอย่างที่ถังเยว่เขียนไว้ในจดหมาย ลำพังพวกเขาสองพ่อลูกถูกลอบสังหารไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการใช้กลอุบายทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น
มีคนมากมายที่มุ่งหวังจะเอาชีวิตของพวกเขาให้จงได้
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เสี่ยวลั่วลั่วได้แต่บังคับให้ตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่โดยเร็วที่สุด ต้องทำสิ่งต่างๆ โดยที่ถังเยว่ไม่รู้ไว้มากมายหลายเรื่อง
เขาจำได้ว่าบิดาเคยสั่งไว้ว่าให้ดูแลปกป้องเตียเตียให้ดี นี่คือความรับผิดชอบของเขา
ถังเยว่ทอดตาเหม่อมองไปไกล
ใบหน้าเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม
“ก็จริงน่ะสิ เสด็จพ่อของเจ้าจะกลับมาแล้ว ลั่วลั่วดีใจไหม?”
เสี่ยวลั่วลั่วครุ่นคิดจริงจังสักพัก จริงอยู่ที่เขาดีใจแต่กลับมีความทุกข์ใจมากกว่า
“หลังจากเสด็จพ่อกลับมา
ข้าก็นอนกับเตียเตียไม่ได้แล้วใช่หรือไม่?”
ถังเยว่ยิ้มค้างก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างกระอักกระอ่วน
“เอ่อ…ก็...มานอนได้เป็นบางครั้ง”
260 เมืองเย่เฉิงส่งคนมา
(2)
ขนาดลาลากเครื่องโม่แป้งยังต้องมีเวลาหยุดพักผ่อนกันบ้าง ตัวเขาเองก็เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกขย้ำทุกวี่ทุกวันหรอกกระมัง
แต่พวกเขาพลัดพรากจากกันมานาน คาดว่าในช่วงแรกคงตัวติดกันตลอดเวลาสักระยะ
จวบจนตะวันตรงหัว ใบหน้าทุกคนเป็นสีแดงจัด ชุดขุนนางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อจนแนบเนื้อไปทั้งตัว
คนที่อายุมากแข้งขาเริ่มสั่นเทา
ถังเยว่ยังหนุ่มอยู่จึงไม่เป็นไร
สงสารก็แต่ลูกน้อยที่ตากแดดจนแก้มแดงก่ำจึงสั่งให้คนเอาร่มมากางและช่วยพัดให้เขา พร้อมกับแจ้งให้ผู้คนด้านหลังดื่มน้ำและพักผ่อนบ้าง เขาไม่อยากให้หลี่เจาที่เพิ่งกลับมาถึงต้องพบเจอผู้คนล้มป่วยกันทั้งโขยง
ทหารถ่ายทอดคำสั่งส่งสัญญาณต่อกันเป็นทอดๆ
ถังเยว่บ่นพึมพำในใจ ‘เวรกรรมจริงๆ
รู้อย่างนี้กินข้าวกลางวันก่อนแล้วค่อยมาก็ดี ไม่เห็นต้องมายืนเสียเวลาเปล่าๆ
ไปทั้งช่วงเช้าอย่างนี้เลย’
แต่คำพูดประโยคนี้เขาก็เพียงบ่นในใจ ขืนพูดให้ตาแก่หัวดื้อโบราณคร่ำครึในราชสำนักได้ยินมีหวังได้ถูกเทศนาจนหูชาแน่
“มาแล้ว!”
ในที่สุดก็มากันสักที มีคนถอนหายใจดังเฮือก ทันใดนั้นทุกคนต่างรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนบนพื้น
เสียงการเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบระเบียบดังก้อง จะต้องเป็นสัญญาณของทัพใหญ่เคลื่อนพลกลับมาแน่
จริงดังคาด
เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงเกือกม้า ชั่วขณะนั้นทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่เข้าทางเป็นระเบียบเรียบร้อย
แต่ละคนล้วนมีสีหน้าตื่นเต้น
ความอ่อนเพลียจากการถูกแดดเผามาครึ่งวันเลือนหายไปเป็นปลิดทิ้ง
เสียงดังกระชั้นเข้ามาใกล้มากขึ้น ทว่าหลังผ่านไปหนึ่งชั่วยามจึงเห็นการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย มีฝุ่นตลบอบอวลนำหน้ามาก่อนราวกับเกิดพายุหมุน
นำพาบรรยากาศดุดันมาปะทะหน้า
กระทั่งขบวนกองทัพหลายหมื่นเคลื่อนเข้ามาใกล้ ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง คุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียง กู่ร้องสรรเสริญ
“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”
ถ้อยคำอวยพร ‘ขอให้อายุยืนหมื่นปี’ มิได้กล่าวสรรเสริญให้เฉพาะว่าที่กษัตริย์ของพวกเขาเท่านั้น
แต่ยังอวยพรให้กับกองทัพไร้พ่ายด้วย
เวลานี้ในใจพวกเขาพลันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกในยามที่บ้านเมืองมั่งคั่งประชาราษฎร์เข้มแข็งอย่างแท้จริง
พวกเขาคือวีรบุรุษที่องอาจห้าวหาญแห่งหนานจิ้น
พวกเขาคือเหล่านักรบที่ยอมสละแม้กระทั่งชีวิตเพื่อหลอมรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง
ยังมีมหาจักรพรรดิผู้นำพาหนานจิ้นไปสู่จุดสูงสุด
ทำให้ทุกคนยินดีก้มศีรษะโค้งคำนับให้อย่างพร้อมเพรียง น้อมถวายความเคารพบูชาและความจงรักภักดีจากใจของพวกเขา
ท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้ายอดอาชาไนยตัวหนึ่งแทรกออกมาจากขบวน
ยอดวีรบุรุษผู้งามสง่านั่งอยู่บนหลังของมัน
สวมเกราะเบาครบชุดเปล่งรัศมีดุจเทพสงคราม ระยิบระยับสะดุดตาพาใจสั่นสะท้าน
เขาผู้นั้นควบม้าเข้ามา กระทั่งอยู่ห่างจากถังเยว่เพียงไม่กี่ก้าวจึงกระตุกบังเหียน ยอดอาชาไนยผงาดยกเท้าหน้าตะกายฟ้า เงยหน้าส่งเสียงคำรามลั่น
บุรุษผู้อยู่บนหลังม้าก้มหน้ามองลงมายังบุรุษเบื้องล่าง
แววตาอ่อนโยนขึ้นทุกขณะ ใบหน้าที่เคยเยือกเย็นแข็งกระด้างดุจภูเขาน้ำแข็งเริ่มหลอมละลาย ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้างขวางงดงามจับตา เขาขยับเข้ามาอีกสองก้าว
โน้มตัวก้มลงรวบร่างบุรุษที่คิดถึงคะนึงหาทุกเช้าค่ำขึ้นมากอดไว้แนบอก
จากนั้นก็สะบัดแส้เฆี่ยนม้าฝ่าฝูงชนมุ่งหน้าเข้าเมืองไปโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น
ผู้คนต่างแหวกทางให้โดยปริยาย สองฟากถนนสายหลักมีคนคุกเข่าอยู่แน่นขนัด ตอนแรกเหล่าราษฎรต่างคิดว่าจะได้ยลโฉมองค์จักรพรรดิผู้งามสง่าให้เป็นบุญตา ที่ไหนได้กลับเห็นแค่เงาผ่านไปเพียงวูบเดียว
ได้แต่กินฝุ่นไปจนเต็มท้องทว่าแม้แต่นิ้วเท้าก็มิได้เห็น
“เฮ้! ลั่วลั่วยังอยู่ข้างนอก...”
ถังเยว่ถูกการกระทำของหลี่เจาทำให้ตระหนกตกใจจนเหงื่อแตกเต็มตัว เขาสามารถจินตนาการได้เลยว่าลูกชายที่ถูกพวกเขาทอดทิ้งไม่แน่เวลานี้อาจกำลังร้องไห้ด้วยความเสียใจ
“เจ้าไม่คิดถึงพระสวามีหรือ?”
“คิดถึงสิ…แต่…อื้อ…”
ท้ายทอยถังเยว่ถูกคนซ้อนกายด้านหลังรั้งให้หันกลับไปหาแล้วประกบจูบปิดปากทันที สัมผัสจากริมฝีปากอันคุ้นเคยทำให้ถังเยว่ลืมสิ้นทุกสิ่ง
ไหนเลยจะยังมีอารมณ์สนใจว่าลูกจะร้องไห้น้อยใจหรือไม่
กระทั่งมาถึงหน้าประตูจวน หลี่เจาถึงยอมถอนริมฝีปากออก จ้องมองนัยน์ตาไหวระริกเจือหยาดน้ำของคนในอ้อมแขน
เขาอุ้มอีกฝ่ายกระโดดลงจากหลังม้าแล้วมุ่งหน้าตรงเข้าห้องบรรทมทันที
ระหว่างทางบ่าวไพร่ข้าราชบริพารยังไม่ทันได้ถวายบังคม เงาร่างเจ้าของจวนก็เคลื่อนผ่านวูบไปดุจสายลมพัดโบก
พวกบ่าวไพร่ได้แต่หันมองหน้ากัน แล้วยิ้มหน้าบานก่อนจะรีบวิ่งแยกย้ายไปทำงานตามหน้าที่ตน
โอ้! เจ้านายกลับมาแล้ว เดี๋ยวต้องใช้น้ำร้อนแน่ๆ รีบไปต้มน้ำไว้เร็วเข้า!
โอ้! เจ้านายกลับมาแล้ว จะต้องหิวแน่ ต้องรีบไปหุงข้าวแล้วสิ!
โอ้! เจ้านายกลับมาแล้ว
ต้องรีบตัดแต่งเล็มหญ้าในจวนให้เรียบร้อย
กระถางโบตั๋นที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวานเอาไปตั้งไว้ที่ไหนนะ?
ถังเยว่เพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นต่อจากนี้
จึงพยายามดิ้นพราดๆ จะลงจากอ้อมแขน ปากก็ร้องตะโกนเอ็ดตะโร
“หลี่เจา! เสียสติไปแล้วหรือ
พระอัครมเหสียังรออยู่ในวัง พวกขุนนางก็กำลังรีบรุดเข้าวังเฉลิมฉลองแสดงความยินดี มีเรื่องมากมายรอให้ไปจัดการ...นี่...”
“หุบปาก!” หลี่เจาตะคอกใส่เขาคำหนึ่งพลางยกเท้าถีบประตูให้เปิดออก วางร่างเขาลงบนเตียงแล้วโถมร่างตามเข้ามาทาบทับทันที
“ช้าก่อน…ข้างนอก…”
“ให้พวกเขารอไปก่อน!”
เสื้อผ้าค่อยๆ ถูกโยนออกมานอกเตียงทีละชิ้น
ผ้าม่านโรยตัวลงมา เพียงไม่นานก็เกิดเสียงครางเครือหยาบโลนดังสะท้อนไปทั่วห้อง
ถังเยว่ซึมซับความสุขที่เริดร้างห่างหายไปนานพลางคิดปลอบใจตัวเอง ‘ช่างเถอะ ต่อให้คนทั้งแผ่นดินรู้ว่าเวลานี้พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่อย่างมากก็แค่ขายหน้าเท่านั้น ใครจะห้ามไม่ให้สามีภรรยาจู๋จี๋กันได้เล่า’
เมื่อสลัดภาระอันหนักอึ้งในใจพวกนี้ทิ้งไป
ถังเยว่ก็หันมาจดจ่ออยู่กับการเสพสุขให้เต็มที่ พายุรักโหมกระหน่ำถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ระลอกแล้วระลอกเล่า
กระทั่งความมืดโรยตัวปกคลุมทั่วผืนฟ้า ในที่สุดพายุรักบนเตียงจึงสงบลง ทั้งสองกอดก่ายซ้อนกายเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ เหงื่อเกาะพราวระยิบระยับงดงามไปทั้วตัว
ถังเยว่รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงถูกสูบไปจนหมดสิ้น เมื่อเช้าตื่นแต่หัววัน กินข้าวเช้าไปแค่นิดเดียว ยืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์ร้อนแรงมาครึ่งวันก็เหนื่อยพอแล้ว ยังต้องถูกคนพาควบม้าเร็วรี่มาตลอดทางและยังถูกทรมานสารพัดท่า ท้องก็ร้องจ๊อกๆ ตอนนี้แม้แต่นิ้วยังขยับไม่ไหวเลยด้วยซ้ำ
“ลุกออกไป หนัก!” เขาร้องบ่นด้วยเสียงแหบพร่า
“ไม่เอา นอนบนตัวเจ้าสบายดี”
“แต่กระหม่อมไม่สบาย!”
“พระสวามียกทัพจับศึกมาหลายปี
ได้รับความลำบากอย่างเหลือแสน ชายาไม่เข้าใจความรู้สึกข้าบ้างเลยหรือ?” หลี่เจาตัดพ้อด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ
ถังเยว่กระหวัดแขบโอบรอบคออีกฝ่ายแล้วขยับร่างดิ้นหลุดออกจากขาข้างหนึ่งอย่างยากเย็น
“กระหม่อมรู้สึกว่าเวลานี้ฝ่าบาทควรไปสรงน้ำ
เปลี่ยนฉลองพระองค์ชุดใหม่ จากนั้นเสวยอาหารเลิศรสให้อิ่มหนำ บรรทมให้สบาย นี่ต่างหากล่ะคือเรื่องสำคัญที่ควรทำ”
เป็นคนเดินทางบุกป่าฝ่าดงมาไกลแท้ๆ
เหตุใดถึงมีพละกำลังเหลือเฟือถึงเพียงนี้
อย่าบอกนะว่าร่างกายและพลังล้นเหลือเหล่านี้ฝึกปรือมาจากในสนามรบ
ดูเหมือนว่าอนาคตหลายสิบปีต่อจากนี้คงไม่ต้องกังวลเรื่องเพศรสแล้วสินะ
“ไม่เอา ข้าหิว...อยากกินเจ้าแล้ว!”
ถังเยว่รู้สึกถึงความร้อนรุ่มที่สุมรวมแถวท้องน้อย ส่วนนั้นผงาดง้ำขึ้นมาอีกครั้ง ในใจพลันสั่นไหว ถึงกับต้องเอ่ยปากร้องขอชีวิต
“กระหม่อมไม่ไหวแล้วจริงๆ นี่ก็มืดแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมารบกันใหม่เถอะนะ”
หลี่เจาหอมแก้มเขาหนึ่งทีแล้วเลิกม่านขึ้น
จ้องมองสีท้องฟ้านอกหน้าต่างพลางทอดถอนใจอย่างแสนเสียดาย
“ก็ได้ วันนี้จะปล่อยเจ้าไปก่อน!” ถึงอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกมาก
ถังเยว่จุดยิ้มมุมปาก “ฝ่าบาททรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางยิ่งนัก”
เมื่อทั้งสองอาบน้ำกินข้าวเสร็จ
จึงนั่งรถม้าเข้าวังด้วยกัน
ใบหน้าถังเยว่ยังคงแดงเรื่อ ริมฝีปากบวมเจ่อ
ตัวเขาแทบอยากจะขอลาหยุดไม่ออกจากบ้าน แต่เมื่อคิดดูแล้วยิ่งไม่ออกจากบ้านยิ่งไม่ดีเช่นนั้นจะเป็นการยืนยันว่าเขาถูกใครบางคนทำให้ลงจากเตียงไม่ได้
ใช้นิ้วเท้าคิดยังรู้เลยว่าคนข้างนอกพวกนั้นจะเอาไปเล่าลือกันเช่นไร
หลังเข้าวัง ถังเยว่ก้มหน้าตลอดทางปล่อยให้อีกฝ่ายเดินจูงเขาไปข้างหน้า
พยายามไม่มองหน้าใครทั้งสิ้น รู้สึกว่าตลอดทางได้ยินเสียงซุบซิบอื้ออึงจะต้องกำลังหัวเราะเยาะเขาเป็นแน่!
เขาหยิกกลางฝ่ามือหลี่เจาแรงๆ หนึ่งที พลางบ่นพึมพำอย่างขัดเคือง
“ต้องโทษฝ่าบาทนั่นละ
กระหม่อมต้องถูกคนทั่วทั้งเมืองเย่เฉิงหัวเราะเยาะแน่”
“ผู้ใดกล้า?” หลี่เจาเอ่ยปลอบ
“วางใจเถอะ ใครกล้าเอาไปลือ ข้าไม่ละเว้นมันแน่”
“อย่านะ!” ถังเยว่รีบห้าม จากตอนแรกเป็นแค่ข่าวซุบซิบเล็กน้อย หากถูกหลี่เจาทำให้ใหญ่โตเอิกเกริกจะมิกลายเป็นเรื่องใหญ่ระดับบ้านเมืองไปหรอกหรือ
แบบนี้เรียกว่าช่วยตรงไหนกัน!
แน่นอนว่าหลี่เจาแค่พูดไปอย่างนั้น เขาย่อมต้องการให้ข้างนอกเอาไปเล่าลือกันอยู่แล้วว่าความรักของพวกเขาหวานชื่นเพียงใด
ถังเยว่ได้พบลูกชายในตำหนักพระอัครมเหสีจึงหันไปส่งยิ้มเก้อกระดากให้เด็กน้อย ฝ่ายนั้นแค่นเสียงขึ้นจมูกแล้วเบือนหน้าโผเข้าสู่อ้อมกอดพระอัครมเหสี ไม่สนใจบิดาทั้งสองคนเลยแม้แต่น้อย
พระอัครมเหสีกลับเบิกบานใจ
ไม่กริ้วโกรธหรือถือสาที่โอรสมาหาช้าเลยสักนิด
เพียงไต่ถามสารทุกข์สุกดิบตอนที่อยู่ในสนามรบ
มิได้รั้งตัวไว้นานก็ปล่อยให้กลับไปพักผ่อน
ตำแหน่งจักรพรรดิหนานจิ้นว่างลง
แม้จะบอกว่ามีเหล่าขุนนางเสนาบดีคอยดูแลมิให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายแต่ก็มีเรื่องราวมากมายที่รอให้รัชทายาทเจาเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด
ทัพใหญ่เคลื่อนทัพกลับมาพร้อมชัยชนะรัชทายาทเจาก็เสด็จกลับมาอย่างปลอดภัย
ในวังได้เตรียมจัดงานเฉลิมฉลองไว้แต่แรกแล้ว ตอนนี้กำลังดื่มกินกันอย่างครื้นเครง
ทันทีที่รัชทายาทเจาปรากฏตัวก็ได้รับการต้อนรับอย่างชื่นชม
ไม่ว่าใครก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ทันทีที่มาถึงเย่เฉิงก็ทิ้งเหล่าขุนนางและราษฎรทั้งเมืองไว้แล้วไปเสวยสุขส่วนตัวให้เสียบรรยากาศ
เพียงแต่มีผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างมองถังเยว่ด้วยสายตาแปลกประหลาด
ถังเยว่แอบคิดในใจ ‘นี่คงไม่ได้เห็นฉันเป็นผู้นำพาเภทภัยที่จะทำให้บ้านเมืองได้รับความเสียหาย
ประชาชนได้รับความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสหรอกนะ’
เดิมทีรัชทายาทมีพระชายาบุรุษก็เป็นที่โต้แย้งมากพอแล้ว ไว้รัชทายาทเจาขึ้นครองราชย์เมื่อไร
ประเด็นนี้จะต้องถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงอีกอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้เขาจะไม่กลัวถูกคนอื่นนินทาว่าร้าย และเชื่อมั่นในปณิธานความมุ่งมั่นของหลี่เจา
แต่ได้ยินเรื่องพวกนี้ทุกเมื่อเชื่อวันก็น่ารำคาญไม่น้อย
ถังเยว่กินข้าวมาจากที่จวนแล้วจึงไม่หิว
เขานั่งใจลอยอยู่ตรงที่ของตัวเองอย่างนั้นสักพัก กินขนมไปสองคำ
ดื่มเหล้าไปสองจอกก็ง่วงงุนจึงฟุบหลับอยู่ตรงนั้น
เสี่ยวลั่วลั่วนั่งอยู่ข้างกายเขาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
คอยเฝ้าปกป้องเตียเตียราวกับผู้ใหญ่
เขาจดชื่อเอาไว้หมดแล้วว่าขุนนางคนไหนพูดถึงเตียเตียในทางเสียหายบ้าง
รอกลับจวนแล้วค่อยฟ้องบิดา
ตอนถังเยว่ตื่นขึ้นมาก็ล่วงเข้าสู่ยามอู่ของวันใหม่ ข้างกายว่างเปล่าเย็นเยียบ
เรื่องที่เขาคิดว่าจะลงจากเตียงไม่ได้สามวันนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง
คิดแล้วก็ควรเป็นเช่นนั้น เมื่อวานแค่วู่วามไปชั่วขณะเท่านั้น หลี่เจาจะเอาแต่เสวยสุขต่อเนื่องกันหลายวันจนละเลยราชกิจสำคัญย่อมเป็นไปไม่ได้ และนั่นก็ไม่ใช่วิสัยของฝ่ายนั้น
วิกฤตการณ์ได้รับการแก้ไข ถังเยว่ก็โล่งใจ เบาสบายไปทั้งตัว ลุกจากเตียงอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ตรงดิ่งเข้าครัว เตรียมลงมือทำอาหารชุดใหญ่เพื่อผู้ชายของเขา
หลายปีมานี้ความเลื่องชื่อในแผ่นดินของถังเยว่มิได้มีแต่วิชาการแพทย์ แต่ยังมีฝีมือการทำอาหารของเขาด้วย สำหรับความสามารถพิเศษในการประดิษฐ์ประยุกต์อาวุธยุทโธปกรณ์ของเขานั้นถูกเก็บเป็นความลับภายในกองทัพ
ส่วนพรสวรรค์ด้านอื่นๆ ก็มิได้ประกาศให้ปวงประชารับรู้
ตอนที่ขันทียกอาหารเดินตามหลังเขาเข้ามาในตำหนักประชุมราชกิจเป็นขบวน
กลิ่นหอมฉุยลอยอบอวลยั่วยวนกระตุ้นต่อมหิวของทุกคนในที่นั้น ต่างกลืนน้ำลายดังเอื๊อกกันเป็นแถว
“เอาละ ขุนนางทุกท่านพักก่อนเถอะ
เอาไว้ค่อยหารือกันใหม่”
หลี่เจาโบกมือไล่ให้พวกตัวเกะกะแก่ชราคร่ำครึพวกนี้ออกไปก่อน
ส่วนตัวเขากินอาหารมื้อใหญ่
ต่อด้วยเสวยสุขกับชายาผู้เพียบพร้อมของตนไปในคราวเดียวกัน
ได้รับความพึงพอใจทั้งกายและใจอย่างเปี่ยมล้น
ถังเยว่เดินค้ำสะโพกยักแย่ยักยันออกมาจากตำหนักประชุมราชกิจ กัดฟันพึมพำอย่างเข่นเขี้ยว
“ฮึ! คราวหน้าจะไม่ทำเรื่องเสียเปรียบสองอย่างในคราวเดียวแบบนี้อีกแล้ว”
260 เมืองเย่เฉิงส่งคนมา
(3)
รัชทายาทเจาสะสางราชกิจอย่างกระปรี้กระเปร่ามีพลัง ไม่ต้องผ่านประสบการณ์นองเลือด ไม่ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอะไรอีกต่อไป ซ้ำยังมีพระชายาผู้เพียบพร้อมคอยอยู่เคียงข้าง
เป็นช่วงเวลาวันชื่นคืนสุขและอิสรเสรีเป็นที่สุด
เขาเพิ่งกลับมาจึงมิได้รีบร้อนลงมือกับคนที่มีจิตคิดร้ายต่อตนเอง เพียงส่งคนไปคอยควบคุมจับตาเก็บไว้คิดบัญชีภายหลัง
เขาเรียกน้องสิบห้าที่กล่าวกันว่านิสัยเปลี่ยนไปผู้นั้นมาพบ พอเห็นใบหน้าอีกฝ่ายที่กลับมาทำตัวขลาดเขลาดังเก่าก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเย้ยหยันและไม่เก็บมาใส่ใจอีก
หากน้องชายคนนี้คิดจะสู้กับเขาขึ้นมาจริงๆ หลี่เจาคงถึงขั้นเลื่อมใสในตัวอีกฝ่าย
แต่เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้เป็นเพียงต้นหญ้าอ่อนแอที่เอนลู่ไปตามลมเท่านั้น
ความกล้าหาญของเขามีเพียงน้อยนิดจึงมิใช่เรื่องที่จะต้องกังวล
ต้นฤดูใบไม้ร่วง
รัชทายาทเจาขึ้นครองราชย์ตามคำขอร้องของเหล่าขุนนางและราษฎร ชื่ออาณาจักรถูกเปลี่ยนเป็นต้าถัง มีตัวเขาเป็นปฐมจักรพรรดิ สถาปนาเย่เฉิงเป็นเมืองหลวง ขณะเดียวกันก็แต่งตั้งถังเยว่เป็นพระอัครมเหสี ให้ดูแลและมีอำนาจสูงสุดในกรมวัง
ส่วนพระอัครมเหสีหูซื่อเป็นพระพันปีหลวงถือตราประทับหงส์ควบคุมดูแลงานใหญ่น้อยในวังหลังสืบต่อไป
พระชายาพร้อมทั้งโอรสธิดาของอดีตองค์จักรพรรดิถูกเชิญไปปลูกจวนพำนักอยู่นอกวัง ก่อร่างสร้างสกุลเป็นของตัวเอง ผู้ที่ไร้ทายาทให้อพยพไปอยู่ชานเมือง
ปฎิบัติธรรมบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ซีหยวนอัน สวดมนต์ขอพรเพื่อปวงประชา
ช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์
ปฐมจักรพรรดิมอบรางวัลให้แก่ทุกคนที่มีผลงานความดีความชอบ
แต่งตั้งหวังติ่งจวินเป็นเจิ้นกั๋วกง ลี่หยางโหวเป็นฮู่กั๋วกง
ยังมีเหล่าทหารหาญทั้งหลาย
รองแม่ทัพหลูซิ่งเจียงมีทั้งผลงานและความผิดถือว่าเสมอตัว
ไม่ถูกถอดยศแต่ก็ไม่ได้เลื่อนขั้น
หลู่กั๋วกงเซี่ยขุยลักลอบขโมยยาสมุนไพรในกองทัพเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ใส่ตัว
จึงถอดยศศักดินาหลู่กั๋วกง ลงโทษประหารชีวิต แต่ความวิบัตินี้ไม่ตกทอดถึงลูกหลาน
นอกจากเหล่าขุนนางบู๊แล้ว
ปฐมจักรพรรดิได้ออกคำสั่งว่าหลังปีใหม่จะมีการเปิดสอบคัดเลือกขุนนาง
ขอเพียงมีความรู้ความสามารถไม่ว่าจะยากดีมีจนเป็นชนชั้นใดล้วนเข้าร่วมทดสอบได้ทั้งสิ้น
หลังผ่านการคัดเลือกจะได้รับการพิจารณาให้เป็นขุนนางตามแต่ละท้องถิ่น
ทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขเพื่อบ้านเมืองและราษฎร
ปลายปีเดียวกัน
ปฐมจักรพรรดิรับฟังความคิดเห็นของพระอัครมเหสีให้มีการพระราชทานอภัยโทษในโอกาสต่างๆ พร้อมกับแก้ไขกฎหมาย ยกเลิกการลงโทษที่โหดร้ายทารุณอย่างการใช้รถม้าแยกร่าง
ยกเลิกกฎหมายการซื้อขายคน เทียบเท่ากับการเลิกทาส
แต่ในจวนผู้สูงศักดิ์มีทาสเป็นจำนวนมากถ้าคิดจะยกเลิกการซื้อขายทาสให้หมดสิ้นหาใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ภายในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน
แม้สามารถรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวแต่ก็มีความเสียหายทรุดโทรมอย่างหนัก
การบูรณะต้องใช้เวลาสามปีเต็มกว่าต้าถังจะสงบมั่นคงได้
นโยบายแต่ละข้อที่เป็นประโยชน์ต่อราษฎรล้วนบรรลุผล
เหล่าประชาราษฎร์ได้เห็นถึงพระเมตตาและน้ำพระทัยอันกว้างขวางแผ่ไพศาลของจักรพรรดิองค์ใหม่ ได้เห็นความอุดมสมบูรณ์และยิ่งใหญ่ของชาติบ้านเมือง นานวันไปชาวเป่ยเยว่ที่เคยมีความคิดจะกอบกู้เอกราชก็อยู่เป็นราษฎรต้าถังอย่างสงบเรียบร้อย
ในหมู่ชาวบ้านไม่รู้ว่ามีเพลงกลอนชาวบ้านและนิทานเกี่ยวกับพระอัครมเหสีเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด
ทุกตรอกซอกซอยทั้งในเมืองและชนบททั่วทุกหัวระแหงต่างนำเรื่องราวของปฐมจักรพรรดิแห่งแว่นแคว้นและพระอัครมเหสีบุรุษไปเผยแพร่
และในบรรดาเรื่องเล่าเหล่านี้ล้วนมีพระอัครมเหสีเป็นตัวเอก
พวกเขาเล่าว่าพระอัครมเหสีเป็นเซียนที่สวรรค์ส่งมาเพื่อช่วยเหลือปวงประชาในใต้หล้า
เดิมทีหลังปฏิบัติภารกิจสำคัญสำเร็จแล้วต้องกลับสู่สรวงสวรรค์ แต่เพราะตกหลุมรักปฐมจักรพรรดิจึงตัดใจจากไปไม่ลง
แรกเริ่มเดิมทีทุกคนทำเหมือนแค่ฟังนิทานเรื่องเล่า ไม่เก็บมาคิดจริงจัง
ชาวบ้านบางคนทนฟังไม่ได้ยังพูดโต้แย้งหักล้าง
“เทพเซียนอะไรกัน! ข้าว่าเป็นเซียนจิ้งจอกกลับชาติมาเกิดน่ะไม่ว่า!”
ยั่วยวนจนจักรพรรดิผู้ปรีชาของพวกเขาหลงใหลหัวปักหัวปำ
หากไม่ใช่เซียนจิ้งจอกแล้วจะเป็นอะไรไปได้!
มุมมองความคิดประเภทนี้ยังมีอีกมาก
แต่ภายในเวลาอันรวดเร็วก็ถูกความจริงแต่ละอย่างตบหน้าฉาดใหญ่
พระอัครมเหสีของพวกเขาเป็นหมอเทวดาแห่งยุคสมัย มีฝีมือการรักษาโรคแสนวิเศษดุจเทพเซียนสามารถรักษาคนตายให้ฟื้น แม้แต่อาการบาดเจ็บที่ขาของปฐมจักรพรรดิก็เป็นเขานี่ละที่สามารถรักษาหาย
คุณูปการล้นเหลือจะหาผู้ใดเสมอเหมือน
พระอัครมเหสีของพวกเขารักราษฎรดั่งลูก
นโยบายต่างๆ มากมายที่เป็นประโยชน์แก่ราษฎรล้วนมาจากเขาเป็นผู้เสนอ ยกเลิกการซื้อขายมนุษย์ หักลดหย่อนภาษี
สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล
ล้วนเป็นเรื่องดีงามอันใหญ่หลวงที่สร้างคุณประโยชน์แก่อาณาประชาราษฎร์
อะไรนะ! พวกเจ้าไม่เชื่องั้นหรือ?
อะไรนะ! วังหลังเข้ามาแทรกแซงการเมืองในราชสํานักไม่ได้?
อะไรนะ! นี่ล้วนเป็นข่าวลือหลอกลวงงั้นหรือ?
หากไม่เชื่อจะไปถามผู้คนทั่วเมืองเย่เฉิงดูก็ได้
ชาวเย่เฉิงต่างรู้กันทั่วทั้งเมืองว่าพระอัครมเหสีของพวกเขามีจิตใจกว้างขวางเป็นที่สุด
มีเมตตา จิตใจอ่อนโยนเป็นที่สุด ทนนิ่งดูดายเห็นราษฎรตกทุกข์ได้ยากไม่ได้
ตอนแรกนโยบายพวกนี้ถูกพวกขุนนางใหญ่ต่อต้านว่าหามีประโยชน์อันใดไม่
ก็มีองค์จักรพรรดินี่ละที่ยืนกรานสนับสนุนโดยไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น
และสิ่งที่ตามมาหลังสิ้นสุดสงครามทหารจำนวนมากต่างปลดชุดเกราะกลับบ้านเกิด
กองกำลังทหารที่ได้รับความเมตตารักษาอาการบาดเจ็บจากหน่วยพยาบาลของพระอัครมเหสีก็ถวายตัวเป็นองครักษ์ผู้พิทักษ์พระอัครมเหสี
หากมีผู้ใดกล้าพูดจาจาบจ้วงพระองค์ละก็ “ตีมัน!”
หากมีผู้ใดกล้าทูลเสนอให้องค์จักรพรรดิรับพระสนม “ตีมัน!”
ตีจนกว่ามันผู้นั้นจะยอมถอดใจ!
ชื่อเสียงของถังเยว่ถูกนำไปเล่าขานกลายเป็นเทพเซียนมหัศจรรย์พันลึกมากขึ้นทุกวัน
แม้เนื้อหาเรื่องราวส่วนใหญ่จะเป็นความจริง
แต่ที่เล่าลือกันไปทั่วขนาดนี้ก็เพราะมีคนคอยขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง
และคนผู้นั้นก็มิใช่ใคร...เป็นองค์จักรพรรดิซึ่งประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรนั่นเอง!
“คราวนี้จะรอดูสิว่าตาเฒ่าพวกนั้นจะยังกล้าเสนอให้ข้ารับสนมอยู่อีกหรือไม่” องค์จักรพรรดิกล่าวกับพระชายาที่รัก
ถังเยว่แม้ไม่ใส่ใจในเรื่องชื่อเสียงของตัวเองแค่สามารถลดความยุ่งยากได้ก็ดีแล้วแต่พอได้ฟังเรื่องราวมหัศจรรย์เกินจริงไปหลายเท่าเขาเองก็ยังรู้สึกตกตะลึง
“พวกเซียนต่างมีอายุวัฒนะนับร้อยปีมิใช่หรือ
หลังกระหม่อมตายไปแล้วเรื่องพวกนี้ก็เชื่อไม่ได้แล้ว”
“เจ้ายังสามารถควบคุมเรื่องหลังความตายได้ด้วยหรือ
อีกอย่างผู้เป็นเซียนก็ต้องกลับไปยังที่ที่ควรอยู่
ให้ข้าผู้เป็นปุถุชนยืมตัวมาตั้งหลายสิบปีก็นับว่าดีมากแล้ว”
ถังเยว่ยิ้มพลางบีบแก้มอีกฝ่าย “ฝ่าบาททรงเป็นโอรสสวรรค์
พระองค์ต่างหากที่ควรเป็นเทพเซียนลงมาจุติมากที่สุด”
“ถูกต้อง
ดังนั้นพวกเราถูกลิขิตให้เกิดมาเป็นคู่กัน” หลี่เจาแนบหน้าผากกับถังเยว่ แล้วกระซิบ “หลังจากนี้อีกร้อยปีพวกเราจะจูงมือกันกลับไปยังที่ที่เราจากมา
อยู่ครองคู่เป็นสามีภรรยากันทุกชาติภพ!”
“ฝ่าบาทถือเป็นจริงเป็นจังขนาดนั้นเชียว”
ถังเยว่ฟังคำพูดหวานเลี่ยนชวนจั๊กจี้จนขนลุกแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าได้ฟังคำพูดแบบนี้ต่อให้รู้ว่าเป็นคำโกหกก็ยังทำให้รู้สึกดีและเป็นสุขใจ
ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนอีกครา
รถม้าคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูเมืองเย่เฉิง
บุรุษชุดขาวผู้หนึ่งรับการช่วยประคองจากบ่าวก้าวลงจากรถม้า ทอดตามองไปยังกำแพงเมืองสูงตระหง่านโดดเด่นที่เพิ่งได้รับการบูรณะซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อย
ก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ในที่สุดก็ได้กลับมาเสียที
เมืองเย่เฉิงแห่งนี้ดีที่สุดแล้ว”
ด้านหลังของเขามีชายหนุ่มสวมหมวกผ้าสักหลาดที่กำลังกัดพุทราเชื่อมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“ข้าว่าเมืองจิงตูดีกว่า
สาวงามอกใหญ่ก้นงอน ชายหนุ่มรูปงามแข็งแรงบึกบึน
อาจารย์เสวียนจิ้งท่านคิดว่าอย่างไร?”
อาจารย์เสวียนจิ้งยังไม่ทันได้อ้าปากตอบก็ได้ยินเสียงคนพูดกลั้วหัวเราะดังมาแต่ไกล
“โอ้โห! จงโหย่งโหวของเราเที่ยวสนุกจนลืมกลับบ้านกลับช่องเลยนะ
ข้ายังนึกว่าเจ้าพบเจออันตรายระหว่างทาง
กำลังคิดจะส่งทหารไปตามหาและช่วยเจ้าอยู่พอดี”
“พี่ถัง สบายดีไหม?”
“ข้าสบายดีมาก แต่ใครบางคนนี่สิสบายดีหรือไม่
ยังบอกยาก ฮ่าๆ”
ถังเยว่พักเรื่องของพวกเขาไว้ก่อนแล้วหันไปประสานมือคารวะอาจารย์เสวียนจิ้ง
“ลำบากท่านอาจารย์แล้ว ต่อไปภายหน้าต้องรบกวนท่านช่วยชี้แนะสั่งสอนรัชทายาทให้มาก”
ข้างกายถังเยว่มีเด็กหนุ่มวัยสิบกว่าขวบที่กำลังรวบชายเสื้อขึ้นแล้วคุกเข่าลงอย่างสงบนิ่ง โขกศีรษะสามครั้งด้วยท่าทางขึงขังจริงจัง
“ศิษย์หลี่ลั่วยวน กราบคารวะอาจารย์!”
อาจารย์เสวียนจิ้งรับไหว้ตามธรรมเนียม
ประคองว่าที่ลูกศิษย์ให้ลุกขึ้น เพ่งพิศขึ้นลงอยู่หลายครา ก่อนจะหัวเราะร่าแล้วกล่าว “วิเศษ! ต้าถังของเราจะรุ่งโรจน์ต่อไปอีกหลายสิบปี!”
จางฉุนทนดูท่าทางมีลับลมคมในของอีกฝ่ายไม่ไหวจึงเบ้ปากพูดอย่างหมั่นไส้
“วาจานี้ต้องรอให้ท่านบอกอีกหรือ เสี่ยวลั่วลั่วเป็นเด็กที่ยอดอัจฉริยะอย่างพวกข้าช่วยกันเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ย่อมต้องเป็นคลื่นลูกใหม่มาแรงกว่าคลื่นลูกเก่าอย่างแน่นอน!”
“ยอดอัจฉริยะ? เจ้าน่ะหรือ เฮอะ…”
เสียงหัวเราะอย่างเยาะหยันดังขึ้นด้านหลังจางฉุนเสียงหนึ่ง สีหน้าเขาพลันกระด้างขึ้น แล้วโดยที่ไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไปมองก็รีบพูดทิ้งท้ายไว้เพียงประโยคเดียว
“ข้ายังมีธุระ ต้องขอตัวก่อน…”
แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกไป
ก็มีคนมาคว้าคอเสื้อเขาไว้บังคับให้หันกลับไปเผชิญกับใบหน้าหล่อเหลาแต่บึ้งตึงขุ่นเคือง
“ได้ข่าวว่าจงโหย่งโหวใช้ชีวิตในเมืองจิงตูเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีบุรุษสตรีมากมายมาเสนอตัว
มิหนำซ้ำยังบอกอีกว่าเป็นบุรุษผู้น่าหลงใหลที่สุดในใต้หล้า
ใจป้ำที่สุดไม่มีใครเกินหน้า จริงหรือไม่?”
“แหะๆ ชมเกินไปแล้ว
คนอื่นแค่ให้เกียรติพูดกันไปอย่างนั้นเอง”จางฉุนตอบหน้าทะเล้นยิ้มแป้น
“เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นคำเล่าลือที่กล่าวกันว่าความสามารถด้านกามกิจของจงโหย่งโหวเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าล่ะ
จริงหรือไม่?”
“เอ่อ…”
หวังติ่งจวินไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ บีบคางเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข่นเขี้ยวดุดัน
“ในเมื่อกลับมาแล้วก็อย่าคิดว่าจะไปไหนได้อีก
ข้าต้องขอคำชี้แนะเรื่องกามกิจจากท่านโหวให้มากหน่อยแล้ว” พูดจบก็แบกคนพาดบ่า สาวเท้ายาวๆ มุ่งหน้าเข้าเมือง
ถังเยว่เลิกคิ้ว
รู้สึกเป็นห่วงสุขภาพจางฉุนเล็กน้อย
ตัดสินใจว่าหลังจากเข้าวังแล้วจะต้องคัดเลือกสมุนไพรบำรุงร่างกายส่งไปให้เขาเสียหน่อย
ป้องกันไม่ให้เขาหมกมุ่นในกามตัณหา น้ำเชื้อหมดจนแห้งตายตั้งแต่อายุยังน้อย
เขาพาอาจารย์เสวียนจิ้งกับลูกชายเข้าวัง บังเอิญพบองค์จักรพรรดิที่มารออยู่หน้าประตูวังอยู่ก่อนแล้ว
อาจารย์เสวียนจิ้งนึกว่าตนมีบารมีจนองค์จักรพรรดิต้องมาต้อนรับจึงดีใจปลื้มปริ่มจนน้ำตาคลอ
“สามารถได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากฝ่าบาทถึงกับเสด็จมาต้อนรับด้วยพระองค์เอง ถึงตายกระหม่อมก็ไม่เสียดายชีวิต”
จักรพรรดิปรายตามองอาการน้ำตารื้นของอีกฝ่ายด้วยความพิศวง แล้วเอ่ยถามถังเยว่
“พระชายาที่รัก ข้าคิดว่าควรเปลี่ยนอาจารย์คนใหม่ให้ลูกเรา เจ้าล่ะคิดว่าอย่างไร?”
ถังเยว่แอบยิ้ม “อาจารย์เป็นยอดฝีมือ ฝ่าบาทเสด็จมาต้อนรับก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว”
จะให้เขาบอกกับยอดฝีมือที่น้ำตาลคลอเบ้าได้อย่างไรว่าองค์จักรพรรดิไม่ได้มาต้อนรับเจ้า
ทว่าอาจารย์เสวียนจิ้งมีสติปัญญาสูงส่ง ความฉลาดทางอารมณ์ก็ล้นเหลือดังนั้นจึงย่อมตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าเมื่อครู่ตนสำคัญตัวผิดไป ใบหน้าที่มักประดับด้วยรอยยิ้มลึกล้ำสุดจะคาดเดาพยายามกลั้นขำจนใบหน้าเนียนขาวเจือสีแดงเรื่อดูน่ามอง
แต่เขาก็ไม่ทึ่มทื่อถึงกับจะประกาศบอกออกมาให้ขายหน้าตัวเองหรอก
“อะแฮ่ม การเดินทางครั้งนี้แสนลำบาก
กระหม่อมเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ขออนุญาตยังไม่เข้าวังและบทเรียนของรัชทายาทขอเริ่มพรุ่งนี้ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
กระทั่งจักรพรรดิพยักหน้าเขาจึงรีบขอตัวออกไปทันที
ระดับความเร็วครั้งนี้น่าจะเร็วที่สุดตั้งแต่เกิดมา
จักรพรรดิยกมือข้างหนึ่งโอบบ่าพระอัครมเหสีอันเป็นที่รักไว้ พลางปรายตามองโอรสอย่างผู้ชนะขณะเอ่ย
“ในเมื่อไหว้ครูฝากตัวเป็นศิษย์เรียบร้อยแล้ว
เช่นนั้นนับแต่พรุ่งนี้ไปเจ้าก็ย้ายออกไปอยู่นอกวังได้แล้ว!”
สั่งเสร็จก็ประคองพระอัครมเหสีก้าวเดินไปอย่างลำพอง ทิ้งให้องค์รัชทายาทที่ใบหน้าถมึงทึงด้วยความเคืองแค้นตีอกชกลมอยู่ด้านหลัง
“คิดจะขับไล่ไสส่งข้าอีกแล้ว ฝันไปเถอะ!” เขาพึมพำแล้วจงใจตะโกนเสียงดังลั่น
“เตียเตีย คืนนี้ลูกขอนอนกับท่านนะ!”
ถังเยว่รู้สึกว่ามือที่วางบนบ่าบีบแน่นขึ้นอีกหลายส่วน
เขาหันกลับไปพูดกลั้วหัวเราะกับลูกชาย
“ได้สิ
อย่าลืมอาบน้ำให้สะอาดเกลี้ยงเกลาด้วยล่ะ!”
สองพ่อลูกส่งสัญญาณลับเป็นที่รู้กันแวบหนึ่ง
ต่างทำเมินเหมือนมองไม่เห็นใบหน้าเขียวคล้ำด้วยอารมณ์ขุ่นมัวขององค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่
องครักษ์ทั้งด้านในและนอกกำแพงวังต่างก้มหน้าลง ตัดสินใจว่าเดี๋ยวกลับไปจะต้องหาคนมาเข้าเวรแทน ทันทีที่จักรพรรดิกริ้ว คนรับกรรมล้วนเป็นผู้อยู่เบื้องล่างอย่างพวกเขานี่แหละ!
จบบริบูรณ์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น