ชายาคุณธรรมนั้นเป็นยาก

 

221 จอมวายร้าย

ฟ้าเริ่มสาง รถม้าหลายคันเรียงแถวยาวเหยียดออกจากเมืองทางประตูเหนือ ทหารยามเฝ้าประตูขวางรถไว้เพื่อเรียกตรวจตามหน้าที่ ขณะกำลังจะวางก้ามเบ่งใส่ก็เหลือบเห็นบุรุษผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า ทหารยามตกใจจนแข้งขาอ่อนแรง ทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นทันที

ทำหน้าที่ของพวกเจ้าต่อไป

ขาทั้งสองข้างที่หนีบอยู่ตรงท้องม้าของบุรุษผู้เอ่ยประโยคนั้นเคาะเบาๆ ก่อนจะนำขบวนเคลื่อนจากไป

กระทั่งขบวนรถจากไปไกลแล้ว ทหารอีกนายจึงวิ่งเข้ามาเตะเพื่อนทหารที่ยังคงคุกเข่าอยู่กับพื้นทีหนึ่ง “เฮอะ! คนจากไปไกลจนไม่เห็นแม้แต่เงาแล้วยังจะมัวคุกเข่าทำบ้าอะไรอยู่ เขาคือผู้ใด? เหตุใดเจ้าจึงกลัวจนลนลานเสียอาการขนาดนี้

ถุย! ไม่อยากมีชีวิตแล้วใช่ไหมเจ้าเด็กเมื่อวานซืน!” ทหารนายนั้นปาดเหงื่อเย็นๆ ที่ผุดพราย คว้ามือเพื่อนทหารเพื่อพยุงตัวลุกขึ้น “เขาผู้นั้นเป็นบุตรอานกั๋วกง เป็นเจ้านายของหัวหน้าพวกเรา ท่านแม่ทัพหูอย่างไรเล่าอีกอย่าง ผู้ที่ได้รับการคุ้มกันจากเขา ผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ในรถม้านั่น…”

ทุกคนต่างเนื้อตัวสั่นเทา บางคนไม่กล้าคิดต่อได้แต่แอบขยี้ตาเกรงว่าจะไปลบหลู่ล่วงเกินผู้สูงศักดิ์คนใดเข้า

รถม้าสองคัน คันหนึ่งนำหน้า คันหนึ่งตามหลัง ครั้งนี้หูจินเผิงเป็นฝ่ายขันอาสามารับหน้าที่เป็นองครักษ์ พาองครักษ์สามสิบนายและองครักษ์ลับอีกสิบนายร่วมเดินทางเพื่อคุ้มกัน

ในรถม้าคันหน้าถังเยว่หลับตาพักเอาแรง จางฉุนจ้องหน้าเขาอยู่นานในที่สุดก็ทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยถาม

พวกคุณทะเลาะกันเพราะเรื่องนั้นหรือ?”

เขาอาศัยอยู่จวนรัชทายาทมาหลายปีเพิ่งจะได้เห็นสามีภรรยาคู่นี้ทะเลาะกันเป็นครั้งแรก แปลกใหม่ดีจริงๆ

ถังเยว่เผยอเปลือกตาขึ้นมาเหลือบมอง

สงครามเย็น รู้จักไหมสงครามเย็นน่ะ!

เฮอะ! สงครามยงสงครามเย็นอะไรกัน” เขาต่างหากที่ทำสงครามเย็นกับหวังติ่งจวิน “ว่าแต่พวกคุณแยกกันแบบนี้ไม่เป็นไรจริงหรือ ใจผมเต้นรัวไปหมดแล้ว ทำให้สงบลงไม่ได้เลย พวกเราแยกกันเดินทางกับเขาผู้นั้นไม่ดีกว่าเหรอ?”

แค่คิดว่าต้องร่วมเดินทางไปกับรัชทายาท จางฉุนก็รู้สึกหวาดเสียวอย่างสุดแสน ไม่รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะเกิดเหตุลอบสังหารขึ้นบ้างหรือไม่ ตามบทในละครโทรทัศน์ล้วนเป็นแบบนี้ทั้งนั้นไม่ใช่หรือ ในฐานะที่เคยเป็นนักแสดงตัวประกอบเขาเคยเห็นฉากพวกนั้นจากในละครมานักต่อนัก ตอนนี้จึงทั้งตื่นเต้นและกังวลใจ

ถังเยว่ไม่อยากตอบคำถามเขา ที่หลี่เจาออกเดินทางมาในครั้งนี้ก็เพราะอยากจะร่วมเดินทางไปด้วยไม่ใช่หรือไง ไม่เช่นนั้นจะวางแผนเพื่อให้มีโอกาสได้เดินทางไปพร้อมกันเพื่ออะไร ตามหลักแล้วหากรัชทายาทไม่ได้รับอนุญาตจากจักรพรรดิจะเดินทางออกจากเย่เฉิงไม่ได้ ครั้งนี้เพื่อที่จะได้เดินทางไปด้วยกันหลี่เจาจึงต้องลงทุนลงแรงไปไม่น้อย

ฉีอ๋องยังไม่ตาย ทหารที่อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ส่งข่าวมาแจ้งว่าแผนการลอบสังหารล้มเหลว ฉีอ๋องโกรธแค้นส่งทหารออกไปสามหมื่นนาย เผ่าเยว่อี๋นำไพร่พลติดตามมาอีกสองหมื่น มีแนวโน้มพร้อมจู่โจมได้ทุกเมื่อ ข่าวนี้ยังไม่ทันจะแพร่ออกไปจักรพรรดิหนานจิ้นที่ได้รับรายงานลับก็เรียกรัชทายาทเข้าวังทันที สองพ่อลูกหารือกันอยู่ในห้องทรงพระอักษรเป็นเวลานาน เรื่องราวเป็นความลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้ วันรุ่งขึ้น จักรพรรดิหนานจิ้นก็มีราชโองการลงโทษกักบริเวณรัชทายาทสามเดือนเพื่อให้สำนึกตน ส่วนให้สำนึกตนเรื่องใดก็ไม่มีใครรู้ ได้แต่คาดเดากันเองว่ารัชทายาทเจาคงทำให้จักรพรรดิไม่พอใจ ทุกคนถึงขั้นคิดว่าหากไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้องค์รัชทายาทได้สร้างรากฐานไว้แข็งแกร่งมั่นคง ไม่แน่ว่าครั้งนี้อาจสูญเสียความโปรดปรานจากจักรพรรดิไปแล้วก็เป็นได้

แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่ารัชทายาทที่ถูกสั่งกักบริเวณนั้นเวลานี้กำลังแอบเดินทางออกนอกเมือง จุดหมายปลายทางคือเมืองฉินหยางที่กำลังตกอยู่ในภาวะคับขัน

รัชทายาทเจานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโอรส ยามอยู่ต่อหน้าเขาเสี่ยวลั่วลั่วจะเป็นเด็กดี อยู่ในระเบียบวินัย ว่านอนสอนง่าย ดังเช่นในตอนนี้ที่เด็กน้อยนั่งคุกเข่าราบ แผ่นหลังตั้งตรง สองมือวางลงบนเข่าอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม สายตาแน่วแน่ไม่หลุกหลิก ว่อกแว่ก

รัชทายาทเจาอ่านหนังสือราชการจบไปหนึ่งฉบับก็หยิบถั่วเปลือกแข็งจานหนึ่งออกมาจากตู้ลิ้นชักเล็กๆ วางลงตรงหน้าโอรสแล้วเอ่ยเสียงสั้นกระชับแต่ชัดเจน

กินซะ

พ่ะย่ะค่ะ

เสี่ยวลั่วลั่วทำตาม สั่งสิ่งไหนก็ทำสิ่งนั้น กินถั่วแต่ละชนิดไปอย่างละห้าเมล็ดแล้วหยุดมือ นี่เป็นกฎที่ถังเยว่กำหนดไว้ ทุกคนในจวนต่างก็รู้ว่าคำพูดของพระชายามีความสำคัญต่อองค์รัชทายาทยิ่งกว่าราชโองการไม่ว่าผู้ใดจึงล้วนต้องปฏิบัติตาม แม้เมื่ออยู่ต่อหน้าถังเยว่เสี่ยวลั่วลั่วจะไม่เคยทำตามกฎ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เป็นบิดาเขากลับไม่กล้าฝ่าฝืน

ก๊อกๆ เสียงเคาะหน้าต่างดังขึ้น เสี่ยวลั่วลั่วหันไปมองด้วยความอยากรู้ จากนั้นก็แอบขยับขาที่เหน็บกินจนชา

มีอะไร?”

ฝ่าบาท สำเร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงหูจินเผิงดังมาจากด้านนอกบ่งบอกถึงความตื่นเต้นยินดีอย่างเห็นได้ชัด

เสี่ยวลั่วลั่วรู้จักหูจินเผิง ถังเยว่สอนให้เขาเรียกอีกฝ่ายว่าท่านลุงหู เมื่อได้ยินเสียงตื่นเต้นยินดีของท่านลุงหูเด็กน้อยจึงพลอยตื่นเต้นตามไปด้วย ที่สำคัญในที่สุดก็ไม่ต้องอยู่กันแค่สองคนกับบิดาแล้ว

ฝ่าบาท ต้องรีบส่งข่าวกลับไปเมืองเย่เฉิงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

ไม่จำเป็น ปิดข่าวไว้ก่อน คิดว่าเหล่าขุนพลที่อยู่ใต้อาณัติฉีอ๋องคงยังไม่อยากให้ข่าวนี้แพร่งพรายไป ไม่เช่นนั้นพวกแรกที่จะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ ก็คือเผ่าเยว่อี๋

เช่นนั้นก็ตรงกับความต้องการของเราพอดีมิใช่หรือ?” หูจินเผิงแปลกใจเล็กน้อย

ตอนแรกข้าวางแผนไว้แบบนั้น แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วแค่ให้พวกเขาถอยทัพอย่างเดียวยังไม่สมใจข้า” รัชทายาทเจาหยิบป้ายคำสั่งออกมาจากในอกเสื้อ ยื่นออกไปนอกหน้าต่าง “รับไว้ ถึงเวลาที่เหล่านักรบซึ่งฝึกซ้อมไว้จะได้ลงสนามจริงเสียที

หูจินเผิงรับป้ายไม้สีดำมาถือไว้ในมือด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้งขึ้นหลายเท่า เขารู้จักป้ายคำสั่งนี้ เป็นป้ายคำสั่งบัญชาการกองทัพหน่วยรบพิเศษส่วนพระองค์ของรัชทายาท เขามีวาสนาได้ไปเปิดหูเปิดตามาครั้งหนึ่ง พูดตามตรงว่าภาพที่ได้เห็นในครั้งนั้นอยู่เหนือคำว่า ‘ตื่นตะลึง’ ไปไม่รู้กี่เท่า

ฝ่าบาทเอ่อนี่…”

เขาเคยคิดว่าหน่วยรบพิเศษนี้รัชทายาทจะเป็นผู้บัญชาการด้วยตนเอง แล้วเหตุใดถึงมอบป้ายคำสั่งนี้ให้เขา

ป้ายคำสั่งนี้เป็นแค่เครื่องหมายสัญญาณเท่านั้น ไม่มีความหมายอื่น ทหารกองทัพนี้เชื่อฟังคำสั่งจากตัวบุคคลมิใช่วัตถุ หากมีวันใดที่ข้าไม่อยู่ต้องกำหนดผู้สืบทอดมาดูแลแทน ไม่เช่นนั้นใครก็อย่าหวังว่าจะบัญชาการพวกเขาได้

หูจินเผิงพยักหน้า แต่พอนึกขึ้นได้ว่ารัชทายาทคงมองไม่เห็นจึงพูดขึ้น

ฝ่าบาททรงคิดการรอบคอบยิ่งนัก กระหม่อมจะไปจัดการตามพระบัญชา

ในที่สุดหน่วยรบพิเศษที่ไม่เป็นสองรองใครกองทัพนี้ก็จะได้ออกโรงสักที ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถทำให้ข้าศึกจดจำฝังลึกมิอาจลืมเลือนได้หรือไม่

เสด็จพ่อ ลูกขอไปนั่งรถม้าคันหน้าจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

นั่งมาครึ่งค่อนวันแล้วในที่สุดเสี่ยวลั่วลั่วก็ทนต่อไปไม่ไหว อยากเผ่นเต็มที ต้องนั่งกับบิดาผู้เย็นเยือกดุจน้ำแข็งเช่นนี้สู้ยอมไปเบียดกับท่านอาฉุนเสียยังดีกว่า อยู่กับบิดาน่าเบื่อสุดจะทน ไม่รู้จริงๆ ว่าเตียเตียถูกใจหลงรักเขาที่ตรงไหน

ทำไม นั่งกับข้าทำให้เจ้าทรมานมากนักหรือ?”

เสี่ยวลั่วลั่วรีบส่ายหน้า

หามิได้พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ลูกคิดถึงเตียเตียแล้ว

เด็กน้อยตอบพลางเหลือบมองสีหน้าอีกฝ่าย เห็นสีหน้าบิดาบึ้งตึงขึ้นไม่น้อย แต่ในดวงตายังคงความอ่อนโยนไว้อย่างเต็มเปี่ยมก็รู้ว่าคำพูดของตัวเองน่าจะตรงกับใจบิดาเช่นกัน

อย่าดูถูกว่าเขาอายุยังน้อยแล้วจะไม่รู้ความ เขาเห็นมานานแล้วว่าระยะนี้ทั้งสองไม่พูดคุยกัน เห็นได้ชัดว่าทะเลาะกัน ฮึ! ต้องเป็นบิดาที่ไปยั่วโทสะทำเตียเตียโกรธเป็นแน่

ในใจเสี่ยวลั่วลั่วลำเอียงเข้าข้างเตียเตียของตนตลอดกาล ถึงขั้นตั้งปณิธานไว้ว่าเมื่อโตขึ้นจะพาเตียเตียหนีไปให้ไกล จะได้หลุดพ้นจากห้วงทุกข์ โชคดีที่ปณิธานนี้ของเขาไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ไม่เช่นนั้นรัชทายาทคงถีบส่งเขากลับเข้าท้องมารดาให้ได้กลับชาติไปเกิดใหม่อย่างแน่นอน

ในมือรัชทายาทเจาถือกระดาษแผ่นหนึ่ง ที่ร้อยเรียงอยู่บนแผ่นกระดาษนั้นเป็นบันทึกของถังเยว่ แต่เขียนสิ่งใดไว้เขาก็มิได้อ่านให้แน่ชัด เพราะในเวลานี้พื้นที่ในสมองเต็มไปด้วยภาพของถังเยว่

เขาเองก็คิดถึงถังเยว่แล้วเช่นกัน...

ขณะทอดตามองไปยังโอรส ความคิดก็พลันเปลี่ยน เขาล้วงหยิบถุงผ้าใบเล็กออกมาจากอกเสื้อแล้วโยนให้อีกฝ่าย

หากสามารถทำให้เตียเตียมานั่งรถม้าคันนี้ได้ ของสิ่งนี้จะเป็นของเจ้า

เสี่ยวลั่วลั่วผินหน้าไปอีกทางด้วยสีหน้า ‘เสด็จพ่ออย่าคิดติดสินบนลูกซะให้ยาก!

แต่เขาก็ทนความอยากรู้ไม่ไหวจึงต้องเปิดถุงผ้าใบนั้นออกดู ข้างในเป็นก้อนหินแวววาวระยิบระยับ นี่เป็นก้อนหินที่เขาเคยชอบมาก เพียงแต่บิดาไม่เข้าใจที่จะซาบซึ้งชื่นชม ตอนนี้แค่จะให้เตียเตียยอมยกโทษให้บิดาถึงกับประจบคนเป็นแล้ว

จอมวายร้าย!’ เสี่ยวลั่วลั่วแอบตั้งฉายาให้บิดาผู้ยิ่งใหญ่ในใจเด็กน้อยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกเห็นด้วยขึ้นมา ข้อแรก เขาคิดถึงเตียเตียแล้ว ข้อสอง มีเตียเตียอยู่ด้วยเขาถึงจะมีความสุข

ไม่ทันไรหน้ารถม้าถังเยว่ก็มีคนมาดักขวางไว้ องครักษ์นายหนึ่งตรงมาเคาะหน้าต่างอย่างร้อนรน

คุณชาย! รีบไปที่รถม้าคันหลังเร็วเข้า คุณชายน้อยดูเหมือนจะไม่สบายขอรับ

ทันทีที่ได้ยินว่าลูกชายไม่สบายถังเยว่ไหนเลยจะมีใจคิดว่าตนถูกหลอก เขาหิ้วล่วมยาที่มักพกติดตัวกระโดดลงจากรถม้าแล้ววิ่งไปข้างหลังทันที

หลี่เจาพอเห็นท่าทางร้อนรนของถังเยว่ก็อดรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาไม่ได้ ที่แท้โกหกอีกฝ่ายง่ายดายเช่นนี้เอง ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจเลยจริงๆ

หากรู้อย่างนี้เมื่อครู่ควรใช้ชื่อของตนเสียตั้งแต่แรก อยากรู้นักว่าถังเยว่จะเป็นห่วงเขาจนร้อนรนเช่นนี้หรือไม่ อารมณ์ชั่ววูบทำให้หลี่เจารู้สึกหึงหวงกระทั่งลูกตัวเอง ส่งผลให้เสี่ยวลั่วลั่วที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข เด็กน้อยแอบคิดในใจ ‘เสด็จพ่อนิสัยไม่ดีขนาดนี้ เตียเตียทนไปได้ยังไง

ลั่วลั่ว ไม่สบายตรงไหนลูก?” ถังเยว่รีบกระโจนขึ้นมาบนรถม้า ไม่ทันหันไปมองหลี่เจาก็เอ่ยปากถามพร้อมกับยกมืออังหน้าผากเสี่ยวลั่วลั่วทันที

หลี่เจาแผ่รังสีเย็นเยียบตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ลอบถลึงตาใส่โอรส ฝ่ายตรงข้ามรีบร้องโอดโอย แล้วโผเข้าสู่อ้อมกอดถังเยว่

โอ๊ย เตียเตีย ข้าเวียนหัว

เวียนหัวเป็นข้ออ้างที่ได้ผลชะงัด ตรวจไปก็ไม่เจอว่าโกหกหรือเรื่องจริง ถึงอย่างนั้นถังเยว่ก็ยังตรวจดูอาการลูกชายอย่างละเอียดแต่ก็ไม่พบความผิดปกติ ต้องยกความดีความชอบให้กับการอบรมสั่งสอนที่แสนเข้มงวดของหลี่เจา เสี่ยวลั่วลั่วเพิ่งหัดเดินก็เริ่มฝึกท่านั่งม้าแล้ว เพิ่งวิ่งเป็นก็ให้เริ่มฝึกฝนร่างกาย สภาพร่างกายจึงแข็งแกร่งยอดเยี่ยมเป็นพิเศษ

นั่งรถม้านานเลยอ่อนเพลียหรือเปล่า?” ถังเยว่พึมพำกับตัวเอง

เสี่ยวลั่วลั่วกลอกตาหนึ่งตลบแล้วเอนศีรษะอิงซบถังเยว่

อืม ต้องใช่แน่ๆ เมื่อเช้ายังไม่เป็นไรเลย รถม้าโยกไปโยกมาเลยเวียนหัว

หนทางในยุคนี้ไม่มีปูนซีเมนต์ ไม่มีถนนลาดยาง มีแต่ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ รถม้าสามารถขับผ่านไปได้อย่างราบรื่นก็บุญแล้ว จะให้นั่งสบายไม่กระแทกกระทั้นโคลงเคลงย่อมเป็นไปไม่ได้

ถังเยว่ทายาแก้ปวดเมื่อยที่ผลิตเองให้บุตรชายพลางพูดปลอบ

ทนอีกสองเค่อนะ เดี๋ยวขบวนกองทัพก็จะหยุดพักแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยลงจากรถไปเดินขยับแข้งขยับขาสักหน่อยน่าจะดีขึ้น

กล่าวประโยคนี้จบก็หันไปมองหลี่เจาตาขวาง หากไม่ใช่เพราะจอมเผด็จการผู้นี้ดึงดันที่จะส่งลูกไปอยู่ที่อื่น เสี่ยวลั่วลั่วก็ไม่ต้องมาป่วย ลูกเพิ่งจะตัวแค่นี้หากทนต่อการเดินทางสมบุกสมบันบุกป่าฝ่าดงไม่ไหวขึ้นมาจะทำอย่างไร การเดินทางของพวกเขาไม่แน่ว่าอาจต้องค้างแรมกลางแจ้งผู้ใหญ่ยังเหน็ดเหนื่อยแทบทนไม่ไหว นับประสาอะไรกับเด็กตัวแค่นี้

หลี่เจาถึงจะถูกมองตาขวางแต่ก็ยังรู้สึกอารมณ์ดี เพราะอย่างน้อยก็อธิบายได้ว่าอีกฝ่ายมิได้หมางเมินเขาเสียทีเดียว


 

222 มาฉินหยางด้วยตัวเอง

เสี่ยวลั่วลั่วยิ้มอย่างบรรลุเป้าหมาย อดไม่ได้ที่จะทำหน้าโอ้อวดใส่บิดาในมุมที่ถังเยว่มองไม่เห็น ยั่วให้รัชทายาทเจาผู้เยือกเย็นแทบทนไม่ไหว

เตียเตียอย่าไปนะ ข้าอยากให้เตียเตียกอดเสี่ยวลั่วลั่วฉวยโอกาสออดอ้อน

แน่นอนว่าถังเยว่ไม่ปฏิเสธ แต่เขาไม่อยากนั่งรถร่วมกับใครบางคนในตอนนี้ ขณะกำลังขบคิดว่าจะพาลูกไปนั่งรถม้าคันหน้าดีหรือไม่ จู่ๆ รถม้าก็โคลงเคลงขึ้นมาอย่างกะทันหันเหมือนล้อเคลื่อนทับก้อนหินเขามองสภาพแวดล้อมภายในรถคันนี้แล้วตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ รถม้าคันนี้สั่งทำตามความต้องการของสมาชิกทั้งสามคนในครอบครัวจึงกว้างขวางใหญ่โตกว่าคันข้างหน้า อีกทั้งยังปูพรมผืนหนา มีเตาผิง เหมาะที่จะให้เด็กน้อยโดยสาร

เขาส่งคนไปบอกให้จางฉุนรับรู้ ฝ่ายนั้นก็มิได้แปลกใจ นอนกระดิกเท้าไขว่ห้างกินขนมอยู่ในรถคนเดียวก็มิได้รู้สึกเบื่อหน่าย ร่วมเดินทางมากับครอบครัวรัชทายาท จางฉุนเดาได้ว่าเขาคงไม่ได้รับบทตัวเอกแน่ แต่ได้บทเป็นตัวประกอบที่ไม่โดดเด่นสะดุดตาก็ถือเป็นเรื่องดี อย่างน้อยหากต้องพบเจอภยันตรายชาวบ้านก็จะมองข้ามเขาไป

การเดินทางของพวกเขาเป็นไปได้ไม่รวดเร็วนัก ดูเหมือนรัชทายาทจะมิได้เร่งรีบ เพราะทุกครั้งที่ไปถึงสถานที่ที่น่าสนใจก็จะหยุดขบวนเพื่อให้ถังเยว่และเสี่ยวลั่วลั่วลงไปเที่ยวชมโดยให้เหตุผลว่าถือเป็นการเยี่ยมเยียนราษฎร แต่จางฉุนคิดว่ารัชทายาทคงถือโอกาสนี้สานความสัมพันธ์ในครอบครัวให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นมากกว่า เห็นรัชทายาทประเดี๋ยวก็ส่งน้ำให้โอรส ประเดี๋ยวก็ซับเหงื่อให้ชายา ท่าทีเอาใจใส่ด้วยความแข็งขันเช่นนี้คนที่พบเห็นหากไม่รู้มาก่อนคงนึกไม่ถึงว่าชายคนนี้คือรัชทายาท แต่ที่แน่ๆ คือทำให้คนโสดเห็นแล้วรู้สึกอิจฉาจนตาแทบลุกเป็นไฟไปตามๆ กัน

หนึ่งเดือนให้หลัง

ในที่สุดเมืองฉินหยางก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า จางฉุนอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ทั้งยังรู้สึกกังวลใจขึ้นมา ไม่รู้ว่าอีกประเดี๋ยวเมื่อได้พบหน้าหวังติ่งจวินแล้วเขาควรทำตัวเช่นไร ควรพูดอะไรบ้าง

ตั้งแต่สองปีก่อนเขารู้สึกได้ว่าท่าทีที่หวังติ่งจวินมีต่อเขาผิดแผกไปจากเดิม ในฐานะคนที่เคยคลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิงเขาจึงเข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายได้ในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากที่ว้าวุ่นใจอยู่หลายคืนจึงตระหนักได้ว่าตนเองก็อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวใจ ทำให้เกิดความรู้สึกวูบวาบกับอีกฝ่าย ดึงดูดเข้าหากันภายในเวลาอันรวดเร็ว

แต่เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นและดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ แม้แต่กับถังเยว่เขาก็ไม่ได้บอกเล่า นั่นเพราะเขารู้สึกว่าตัวเองตอนนี้ยังเด็กอยู่ จะพูดอะไรก็เร็วเกินไป ยิ่งกว่านั้นหวังติ่งจวินแก่กว่าเขาหลายปี พวกเขาจะสามารถเดินไปด้วยกันจนสุดทางได้หรือไม่นั้นยังพูดยาก ตอนที่หวังติ่งจวินต้องกลับไปสืบทอดสมบัติของวงศ์ตระกูล ฝ่ายนั้นทั้งเชิญและชวนให้เขาร่วมเดินทางไปด้วยกัน เขาก็บอกไม่ถูกว่าเพราะกลัวหรือเพราะเหตุใดจึงได้ปฏิเสธด้วยเหตุผลเรื่องหน้าที่การงานในเมืองเย่เฉิง การปฏิเสธครั้งนั้นย่อมสร้างความไม่พอใจให้หวังติ่งจวินเป็นอย่างมาก เดิมทีฝ่ายนั้นก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนรักสนุก ไม่เหมือนคนที่จะสามารถมอบความรักที่แท้จริงให้แก่ตนได้ หลังถูกทำร้ายจิตใจอย่างหนักหน่วงด้วยคำปฏิเสธจึงท้อแท้หมดกำลังใจ และจากมาโดยไม่พูดพร่ำสิ่งใดต่อให้มากความ

หากมิใช่เพราะหลังจากนั้นหวังติ่งจวินไม่ยอมแพ้ ส่งจดหมายหาวันละฉบับทุกวัน จางฉุนคงนึกว่าเขาถอดใจไปแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนั้นทำเอาจางฉุนกินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายวัน จะเสียใจภายหลังก็ไม่ทันแล้ว

ถังเยว่นั่งอยู่นอกรถม้า เห็นประตูเมืองปิดสนิท กำแพงเมืองมีทหารยืนเฝ้าอย่างแน่นหนา เครื่องยิงหินขนาดใหญ่ตั้งเรียงรายเหนือกำแพง เห็นแล้วชวนให้รู้สึกขนลุกขนชัน

ฉีอ๋องสิ้นชีพแล้ว เมืองฉินหยางปลอดภัยแล้วใช่หรือไม่?” ถังเยว่ถามหลี่เจาที่อยู่ด้านหลัง

ข่าวการตายของฉีอ๋องเขารู้แล้วแต่ไม่รู้ว่าจักรพรรดิหนานจิ้นจะรู้หรือยัง แม้หลี่เจาจะพยายามปิดข่าวอย่างสุดกำลังแต่เมืองฉินหยางใหญ่โตถึงเพียงนี้ มีสงครามหรือไม่ย่อมปิดไม่มิด

ตอนนี้ปลอดภัย แต่ทันทีที่จวนฉีอ๋องมีคนรับช่วงต่อ ศึกครั้งนี้ก็ยังต้องดำเนินต่อไป

หมายความว่าตอนนี้คลื่นลมสงบก่อนที่พายุใหญ่จะมาเยือนอย่างนั้นหรือ?” ถังเยว่ถามขณะมองดูองครักษ์นายหนึ่งขี่ม้าออกจากขบวนไปส่งเสียงตะโกนเรียกอยู่หน้ากำแพงเมือง “พวกข้าเป็นคนจากเมืองเย่เฉิง ขอพบเจ้าเมืองหยางกับแม่ทัพหวัง!

ตามข่าวล่าสุดที่ได้รับแจ้งมา กองทัพพันธมิตรของจวนฉีอ๋องกับเผ่าเยว่อี๋ได้ทำข้อตกลงกันใหม่ และกำลังเคลื่อนพลมาทางนี้แล้ว

ทายาทฉีอ๋องเป็นใคร คนผู้นี้เมื่อเทียบกับฉีอ๋องแล้วเป็นเช่นไร?”

หลี่เจาหัวเราะแฝงแววดูแคลนอยู่ในที

บิดาพยัคฆ์มีบุตรสุนัข ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง เป็นแค่หุ่นเชิดเท่านั้น” หากไม่ใช่เพราะรู้ว่าจวนฉีอ๋องไร้ผู้สืบทอดที่มีความสามารถเขาคงไม่วางแผนเช่นนี้มาแต่แรก พอสิ้นฉีอ๋อง สถานการณ์ตำแหน่งผู้นำทัพพันธมิตรก็กลับตาลปัตร ตอนนี้เผ่าเยว่อี๋เป็นผู้นำ คิดจะฉวยโอกาสช่วงชิงดินแดนจากหนานจิ้น

หนานจิ้นเจอศึกสามด้าน ไม่ว่าฝ่ายไหนต่างดูออกว่านี่เป็นโอกาสดี ย่อมไม่ยอมล่าถอยไปง่ายๆ แน่

หลี่เจาพอเห็นว่าบนกำแพงไม่มีคนสนใจพวกเขาก็กระโดดลงจากรถม้าก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว เสียงคนบนกำแพงตะโกนบอก “ผู้มาเยือนโปรดหยุดก่อน ฉินหยางปิดเมือง ไม่อนุญาตให้เข้า ขอให้พวกท่านอ้อมไปทางอื่น

หลี่เจาปลดป้ายหยกออกจากเข็มขัดยื่นให้องครักษ์ อีกฝ่ายเข้าใจได้ในทันที จึงหยิบธนูมายิงส่งป้ายหยกขึ้นไปบนกำแพงเมือง

รบกวนช่วยนำของสิ่งนี้ไปมอบให้เจ้าเมืองของพวกเจ้าด้วย เขาจะเป็นผู้ตัดสินใจเอง

แม้แม่ทัพจะไม่รู้ว่าป้ายหยกนี้เป็นของผู้ใด แต่ก็มองออกว่าของสิ่งนี้ไม่ธรรมดาจึงไม่กล้าเพิกเฉยรีบวิ่งไปด้วยตนเอง

ในจวนเจ้าเมือง ทุกคนกำลังยุ่งมือเป็นระวิง หลังปิดเมืองพวกเขาไม่ใช่แค่ต้องเตรียมอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือสำหรับใช้ในการศึก แต่ยังต้องดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรทั้งเมือง ลำพังแค่เรื่องอาหารการกินก็ปวดหัวมากแล้ว

หยางเฟิงเจ้าเมืองฉินหยางกับหวังติ่งจวินเจ้าเมืองอวี้ซินคนใหม่กำลังประชุมอยู่ในห้องหนังสือ ด้านล่างมีแม่ทัพและขุนนางฝ่ายพลเรือนนั่งเรียงรายเป็นสองแถว หลังหารือจบก็เตรียมประกาศคำสั่งจากทางการให้ราษฎรได้รับทราบในทันที นี่เป็นรูปแบบการทำงานที่หวังติ่งจวินเรียนรู้มาจากจวนรัชทายาท พระชายาทำงานทุกอย่างละเอียดรอบคอบ มีประสิทธิภาพและมีระเบียบกฎเกณฑ์ งานอะไรควรให้ใครทำล้วนแบ่งแยกชัดเจน

เสียงเคาะประตูดังขึ้น หยางเฟิงขมวดคิ้วแล้วกล่าวอย่างขัดเคือง

ข้าสั่งไว้แล้วมิใช่หรือ ระหว่างประชุมไม่อนุญาตให้ผู้ใดมารบกวน หรือว่าข้าศึกบุก?”

ท่านเจ้าเมืองโปรดระงับโทสะ ข้าศึกมิได้บุกขอรับ แต่มีขบวนรถม้ากลุ่มหนึ่งมารออยู่ที่หน้าประตูเมือง พวกเขาบอกว่าต้องการพบท่านกับเจ้าเมืองหวัง และได้ส่งของสิ่งนี้มาขอรับ

หวังติ่งจวินหัวใจกระตุกวูบรีบโพล่งออกไป “เอามาให้ข้าดูสิ!

ป้ายหยกชิ้นนี้คนอื่นย่อมไม่รู้ว่าเป็นของผู้ใด แต่หวังติ่งจวินติดตามรัชทายาทเจามาหลายปี เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ ดังนั้นพอเห็นป้ายหยกเขาก็ถึงกับทิ้งพู่กัน วิ่งพรวดออกไปแล้วพูดทิ้งท้ายไว้ประโยคเดียว

รีบตามข้าออกไปเร็ว!

บุคคลที่สามารถทำให้เจ้าเมืองต้องรีบวิ่งออกไปต้อนรับได้คิดว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ทุกคนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจระคนใคร่รู้จึงรีบวิ่งตามออกไปดู พวกเขาอยากรู้มากว่าในเวลาวิกฤติเช่นนี้ยังมีใต้เท้าคนไหนกล้าเดินทางมาถึงเมืองฉินหยาง

หวังติ่งจวินรีบควบม้าห้อตะบึงไปยังประตูเมืองพร้อมตะโกนเสียงดังลั่น “เปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้!

พวกทหารลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามด้วยความกังวล

ใต้เท้า ไม่ทราบว่าจะให้เปิดประตูบานไหนดีขอรับ?”

หากมิใช่หน้าศึกสงครามประตูเมืองย่อมเปิดกว้างทุกบาน ทว่านับแต่ตกอยู่ในสถานการณ์เตรียมรับศึก ฉินหยางก็ไม่เคยเปิดประตูใหญ่อีกเลย จะเข้านอกออกในล้วนใช้เฉพาะประตูข้างแม้แต่เจ้าเมืองก็ไม่ยกเว้น

หวังติ่งจวินสะบัดแส้หวดออกไป เสียงแส้แหวกอากาศดังลั่นพร้อมกับตะโกนสั่ง “เปิดประตูใหญ่!

เอ่อคือ…” พวกทหารยังคงลังเลเล็กน้อย แม่ทัพใหญ่ของพวกเขาไม่อยู่ หวังติ่งจวินก็มิใช่เจ้านายโดยตรงของพวกเขา จะฟังคำสั่งดีหรือไม่ยังเป็นปัญหาที่ต้องพิจารณาใคร่ครวญให้ถ้วนถี่

หวังติ่งจวินหน้าตาถมึงทึง ยังดีที่พวกหยางเฟิงติดตามมาภายในเวลาอันรวดเร็ว เขาร้อนรนยิ่งกว่าหวังติ่งจวิน ม้ายังไม่ทันหยุดก็รีบกระโดดลงมายืนแล้วชักเท้าวิ่งออกไป

มัวชักช้าอยู่ทำไม! รีบเปิดประตูเร็ว!

พอเห็นปฏิกิริยาของเจ้าเมือง ทุกคนก็ไม่ต้องลังเลสงสัยอะไรอีกแล้ว ต่างรู้ได้ทันทีว่าคนที่อยู่นอกประตูเมืองเวลานี้ต้องเป็นใต้เท้าระดับสูงแน่เหล่าทหารจึงรีบช่วยกันยกสลักประตูเมืองที่ทั้งหนาและหนักขึ้นแล้วใช้ม้าศึกลากประตูให้เปิดออก

หวังติ่งจวินกับหยางเฟิงจัดเสื้อผ้าและหมวกขุนนางให้เข้าที่เข้าทางเรียบร้อย พอหันมองหน้ากันเห็นอีกฝ่ายมีหนวดเคราเฟิ้มเต็มหน้าก็ได้แต่หัวเราะอย่างจนใจ ก่อนจะก้าวเดินออกไปพร้อมกัน

ถังเยว่อุ้มเสี่ยวลั่วลั่วลงจากรถม้ามายืนเคียงข้างหลี่เจาแล้วโบกมือทักทายหวังติ่งจวิน

แม่ทัพหวัง ไม่พบกันตั้งนาน คิดถึงยิ่งนัก

อะแฮ่ม…” หวังติ่งจวินกำลังตั้งท่าจะทรุดตัวลงคุกเข่า พอได้ยินคำพูดประโยคนี้จึงชะงักค้างมิได้คุกเข่าลงไปเพียงประสานมือโค้งคำนับแล้วเอ่ย “ไม่ทราบว่ามีแขกผู้ทรงเกียรติมาเยือนจึงเสียมารยาทมาต้อนรับช้า โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย!

หลี่เจาก้าวมายืนเบื้องหน้าพวกเขาแล้วเตือน “ครั้งนี้ข้ามิได้ออกมาอย่างเป็นทางการ ห้ามเปิดเผยแพร่งพรายฐานะของข้าออกไปเป็นอันขาด

ขอรับ” ทั้งสองขานรับหนักแน่นจากนั้นก็หันไปสั่งผู้ที่ติดตามมาด้านหลัง “อย่ามัวมาชุมนุมกันที่นี่ กลับไปได้แล้ว ใครมีหน้าที่อะไรก็ไปทำ

หวังติ่งจวินและหยางเฟิงอารักขานำขบวนของหลี่เจาเข้าเมืองด้วยตนเองแล้วมุ่งหน้าตรงไปยังจวนเจ้าเมือง ไม่ถามอะไรสักคำก็สั่งให้คนไปจัดเตรียมที่พักก่อนเป็นอันดับแรก

การเดินทางที่แสนลำบากตรากตรำมาตลอดหนึ่งเดือนไม่ว่าเป็นใครก็ต้องเหนื่อยล้า ยิ่งกว่านั้นในขบวนยังมีเด็กน้อยร่วมเดินทางมาด้วย เห็นรัชทายาทอุ้มเขากลับห้องด้วยตัวเองหยางเฟิงย่อมเดาฐานะของเด็กน้อยได้ไม่ยาก เขาเพียงนึกบ่นในใจ ‘องค์รัชทายาทเสด็จมาเป็นการส่วนพระองค์ยังพอทำเนา แต่นี่ยังพาพระโอรสมาด้วย ที่แท้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือทรงเกิดเรื่องที่เมืองเย่เฉิง จึงพาครอบครัวลี้ภัยมาที่นี่!

ถุยๆๆ! หยางเฟิงรีบถ่มน้ำลายทิ้ง แทบอยากตบบ้องหูตัวเองสักหลายฉาด

หวังติ่งจวินมิได้ใส่ใจอาการผิดปกติของอีกฝ่าย ดวงตาคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่ใครบางคนซึ่งมากับขบวนด้วย เขาจ้องเขม็งตาไม่กะพริบจนกระทั่งฝ่ายตรงข้ามแวบหายไป หวังติ่งจวินพึมพำอย่างเข่นเขี้ยว

ดี! หลบได้หลบไป ดูสิเจ้าจะหลบหน้าข้าไปได้ถึงเมื่อไร!

น้องหวัง เจ้าบ่นพึมพำอะไร?”

หยางเฟิงขยับเข้ามาใกล้ แม้ทั้งสองจะมียศศักดิ์ทัดเทียมเพราะต่างเป็นเจ้าเมืองด้วยกันทั้งคู่ แต่อายุของหยางเฟิงมากกว่าถึงขั้นที่สามารถเป็นบิดาของหวังติ่งจวินได้ มิหนำซ้ำเขายังรู้ว่าคนสนิทข้างกายองค์รัชทายาทผู้นี้เป็นคนดัง ดังนั้นย่อมมิใช่คนระดับชั้นเดียวกับเขาเด็ดขาด

ไม่มีอะไร” หวังติ่งจวินเบือนสายตากลับมา ปรับสีหน้าให้ประดับรอยยิ้มตามความเคยชิน

เจ้าว่ารัชทายาทเสด็จมาเมืองฉินหยางเวลานี้ด้วยกิจอันใด? ทำเช่นนี้เสี่ยงอันตรายมากเกินไปแล้ว

ฝ่าบาทเคยออกรบบัญชาการไพร่พลนับหมื่น เสด็จมาที่นี่ย่อมมิใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง

หยางเฟิงฟังแล้วนึกโต้ตอบอยู่ในใจ ‘เรื่องนี้ข้ารู้ แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีแม่ทัพท่านไหนพาชายามาด้วย หรือองค์รัชทายาทคิดว่าศึกครั้งนี้จะไม่มีการปะทะกันดังนั้นจึงพาพระชายาออกมาท่องเที่ยว

ไม่ผิดหรอกหากหยางเฟิงจะคิดมากเกินเหตุ แม้แต่หวังติ่งจวินก็ยังแปลกใจในการกระทำของรัชทายาท ทว่าแปลกใจก็ส่วนแปลกใจแต่นี่มิใช่เรื่องที่เขาต้องรู้ให้ได้ เพราะเขารู้ว่าไพ่ตายของรัชทายาทในศึกครั้งนี้ร้ายกาจเพียงใด

อย่ามัวแต่คาดเดาอยู่เลย รีบจัดการเรื่องคนปรนนิบัติรับใช้ก่อน จากนั้นค่อยจัดการเรื่องอื่นให้เรียบร้อย องค์รัชทายาทจะต้องถามถึงอย่างแน่นอน

จริงด้วย ดีนะที่มีน้องหวังคอยเตือน ขอบใจเจ้ามาก ข้าจะรีบจัดการเดี๋ยวนี้หยางเฟิงกล่าวจบก็รีบสาวเท้าวิ่งไปจัดการทันที


 

223 สอนลูกแบบผิดๆ

เนื่องจากการมาของรัชทายาทเจา บรรยากาศเมืองฉินหยางจึงเปลี่ยนแปลงไป ผู้คนในเมืองต่างรู้สึกได้ว่าจำนวนทหารลาดตระเวนลดลง ทว่ารอบจวนเจ้าเมืองกลับมีทหารรักษาการณ์เพิ่มขึ้น ขุนนางที่ปกติทุกวันชอบอู้งานจนแทบไม่เคยเห็นหน้า ตอนนี้กลับอยู่ประจำการอย่างขันแข็ง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้าเมืองฉินหยางออกคำสั่งเฉียบขาด หากผู้ใดกล้าทำให้เมืองฉินหยางต้องมัวหมอง ไม่ว่าจะเป็นใครต้องถูกตัดหัวสถานเดียว!

ยามศึกสงครามหยางเฟิงซึ่งเป็นเจ้าเมืองสามารถสั่งประหารก่อนแล้วค่อยกราบทูลทีหลังได้ ดังนั้นเพื่อมิให้มีเรื่องราวที่จะส่งผลกระทบถึงองค์รัชทายาท เขาสามารถตัดสินใจได้เองอย่างเบ็ดเสร็จ

แม้จะตรากตรำกับการเดินทางมาถึงหนึ่งเดือนแต่รัชทายาทเจาก็มิได้พักผ่อนนานนัก หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วก็เรียกให้หยางเฟิงกับหวังติ่งจวินเข้าพบ ทั้งคู่เป็นคนสนิทที่เขาไว้ใจจึงสามารถหารือได้โดยไม่ต้องมีความลับปิดบัง

ฉีอ๋องสิ้นแล้ว ข่าวนี้แพร่ไปถึงในเมืองเย่เฉิงแล้วหรือยัง?”

อะไรนะ?!” หยางเฟิงตกใจสะดุ้งโหยง นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไรแต่กองทัพฉีอ๋องก็ยังไม่แตกนะพ่ะย่ะค่ะ

ตามความเข้าใจที่หยางเฟิงมีต่อจวนฉีอ๋อง หากสิ้นฉีอ๋องแล้วในบรรดาลูกหลานของเขาไม่มีใครสามารถแบกรับภาระใหญ่หลวงนี้ได้ หากกองทัพขาดผู้นำจะรบต่อได้อย่างไร?

รัชทายาทเจาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟังและบอกว่าผู้นำทัพในเวลานี้คือโอรสคนรองของฉีอ๋อง อำนาจเด็ดขาดอยู่ในกำมือผู้นำเผ่าเยว่อี๋ ศึกครั้งนี้ยังไม่แน่ว่าจะเกิดขึ้นแต่สิ่งที่ต้องตระเตรียมสักอย่างก็ขาดไม่ได้

ฝ่าบาท จักรพรรดิทรงทราบเรื่องนี้แล้วหรือยังพ่ะย่ะค่ะ?”

หยางเฟิงเป็นขุนนางในราชสำนักมาหลายปี เข้าใจเรื่องคดเคี้ยวเลี้ยวลดมากกว่าหวังติ่งจวิน หากจักรพรรดิหนานจิ้นล่วงรู้ข่าวนี้เกรงว่าองค์รัชทายาทจะถูกเรียกตัวกลับเมืองเย่เฉิงโดยด่วน

อีกไม่นานต้องทรงทราบแน่ แต่ทราบแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า?”

ในเมื่อเขาได้เดินทางออกมาจากเมืองเย่เฉิงแล้วจะกลับไปทันทีหรือไม่ย่อมมิใช่เรื่องที่จักรพรรดิจะควบคุมได้

ฝ่าบาทจะทรงใช้โอกาสนี้เคลื่อนทัพหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หวังติ่งจวินที่อยู่ข้างๆ ถาม

รัชทายาทเจาคลี่แผนที่แล้วจิ้มลงไปแรงๆ ที่สามตำแหน่ง คือทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทิศเหนือและทิศตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นสามทิศที่หนานจิ้นถูกโจมตีในครั้งนี้

ศึกครั้งนี้ไม่ควรยืดเยื้อ แคว้นเล็กแคว้นน้อยตามเขตชายแดนหนานจิ้นมิได้มีแค่พวกนี้ ผู้ที่จ้องจะโค่นล้มราชบัลลังก์ก็มีไม่น้อย ถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อยาวนานเกินไปจะสิ้นเปลืองทั้งกำลังคน เงินทองและทรัพยากรถึงเวลานั้นหากข้าศึกบุกโจมตีแม้ไม่หนักหน่วงพวกเราก็อาจต้านทานไม่ไหว

ตามความคิดแรกของฝ่าบาทคือส่งไพร่พลไปสกัดหนันซา ส่งนักฆ่าไปลอบสังหารฉีอ๋อง ทำลายความเป็นพันธมิตรระหว่างกองกำลังทางภาคตะวันตกเฉียงใต้กับเป่ยเยว่ จากนั้นค่อยนำทัพใหญ่ไปจัดการกับเป่ยเยว่ กระหม่อมคิดว่านี่เป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมมากตอนนี้หนันซาน่าจะยังไม่รู้ข่าวเรื่องฉีอ๋อง ในเมื่อฉีอ๋องตายแล้วอำนาจที่เหลือก็เป็นแค่เม็ดทรายที่สาดกระเซ็นเท่านั้น เพียงแค่นี้พวกเขาก็สิ้นฤทธิ์

หนันซาถอยทัพแล้ว แม่ทัพฟู่เหิงจะอยู่เฝ้าที่ซงซีต่อเพื่อจับตาดูลาดเลาของฝ่ายตรงข้ามอย่างใกล้ชิด คิดว่าทางด้านหนันซาเราคงไม่ต้องกังวล

รัชทายาทเจาขีดกากบาทลงบนตำแหน่งตงหนัน จากนั้นจึงลากปลายพู่กันไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้แล้วจิ้มจุดที่เมืองฉินหยาง

กองทัพข้าศึกตั้งฐานทัพในระยะห้าสิบลี้ มีจำนวนไพร่พลราวแปดหมื่น ใช้เวลาเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืนก็สามารถเคลื่อนกำลังพลมาถึงหน้าเมือง ตอนนี้ฉินหยางมีกำลังทหารอยู่เท่าไร?”

หยางเฟิงกับหวังติ่งจวินสบตากัน ต่างมีสีหน้าสลดลงเล็กน้อย

ตามกฎมณเฑียรบาลของราชสำนัก เมืองเอกของหนานจิ้นมีไพร่พลอยู่ในครอบครองจำนวนหนึ่งหมื่นกับทหารส่วนตัวของเจ้าเมืองอีกสามพัน รวมกับมือปราบของแต่ละจวนในเมืองทั้งหมดรวมแล้วประมาณสามหมื่นเห็นจะได้ โชคดีที่เมื่อสามปีก่อนฝ่าบาทรับสั่งให้กระหม่อมกักตุนเสบียงไว้ บัดนี้เมืองฉินหยางมีเสบียงเก็บไว้มากมายต่อให้ต้องถูกข้าศึกปิดล้อมปีครึ่งปีก็มิใช่ปัญหา

พูดมาถึงตรงนี้หยางเฟิงจึงพอจะได้ยืดอกขึ้นมาบ้าง รัชทายาทเจาพยักหน้าเอ่ยชม

ทำได้ดีมาก แต่กำลังทหารของเรากับข้าศึกต่างกันมากเกินไปหากอยากจะชนะศึกครั้งนี้เจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร?”

หยางเฟิงล้วงหยิบตารางแผนการอย่างละเอียดชุดหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ นี่เป็นวิธีจดบันทึกแบบตารางที่เขาเลียนแบบมาจากหวังติ่งจวิน มีประโยชน์มากจริงๆ

ฝ่าบาททอดพระเนตรสิพ่ะย่ะค่ะ ด้วยปริมาณอาวุธที่สั่งสมไว้ในเมือง หากไม่มีกำลังสนับสนุนทหารของเราจะปกป้องเมืองได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น เรื่องจะให้ทหารจำนวนเพียงเท่านี้บุกไปตีศัตรูยิ่งไม่ต่างอะไรกับความเพ้อฝัน นั่นหมายความว่าในหนึ่งเดือนหลังจากนี้หากยังไม่มีกำลังสนับสนุน ผู้คนในฉินหยางก็มีแต่จะต้องปกป้องเมืองด้วยชีวิต หากใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีคาดว่าคงปกป้องเมืองได้อีกราวห้าวันทว่าจากการคาดเดาของกระหม่อมและแม่ทัพทุกท่าน ในอีกหนึ่งเดือนเศษให้หลังนี้ แม้ฉินหยางจะถูกศัตรูตีแตก ทว่ากองทัพของศัตรูก็คงกลายสภาพเป็นแค่กองทหารบาดเจ็บ จำนวนไพร่พลน่าจะเหลือไม่เกินสามหมื่น ลำพังทหารบาดเจ็บสามหมื่นนายนี้เกรงว่าคงไม่มีทางยึดเมืองไว้ได้มั่นคงแน่

ป้องกันเมืองง่าย โจมตีเมืองยาก หากคิดจะโจมตีเมืองฉินหยางของเขากองทัพข้าศึกต้องใช้กำลังไม่น้อย ถึงเวลานั้นต่อให้มิอาจรักษาเมืองฉินหยางไว้ได้แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้ศัตรูไม่อาจครอบครองเมืองนี้ไว้ได้นานแน่

รัชทายาทเจาดูตารางที่จำแนกทรัพยากรออกมาอย่างละเอียดลออ รวมทั้งจำนวนและประโยชน์ใช้สอย เพียงมองปราดเดียวก็สามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดายแล้วพยักหน้าเงียบๆ อดนึกชื่นชมไม่ได้ว่าตารางที่ถังเยว่ออกแบบนี้ใช้สะดวกและมีประโยชน์มากจริงๆ

เมื่อดูตารางแผนการจบ มุมปากของรัชทายาทเจาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “เจ้าเมืองหยางวางแผนได้ดีมากข้าเชื่อว่าเจ้าต้องปฎิบัติหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม

หยางเฟิงยิ้มแก้มแทบปริแต่ก็รีบเอ่ยถ่อมตัว ฝ่าบาททรงชมเกินไปแล้ว นี่ล้วนเป็นความดีความชอบของเจ้าเมืองหวังและแม่ทัพทุกคนพ่ะย่ะค่ะ

รัชทายาทเจาลุกขึ้นแล้วเอ่ยเสียงเรียบ ในเมื่อเจ้าเมืองหยางจัดเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะขอรอเป็นผู้ชม

ทั้งหยางเฟิงและหวังติ่งจวินต่างนิ่งงันขณะเหลือบมองหน้ากันเหตุใดพวกเขาถึงรู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้องกันนะ?

หยางเฟิงถึงกับปาดเหงื่อเย็นๆ ที่ผุดซึมออกมาแล้วรีบถาม ฝ่าบาท ทรงคิดจะอยู่ทอดพระเนตรการรบที่เมืองฉินหยางเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

เขานึกว่าองค์รัชทายาทแค่เสด็จมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาความยุ่งยากให้พวกเขา แต่เหตุใดจึงดูเหมือนจะมิใช่เช่นนั้น แล้วแบบนี้ยังจะให้พวกเขาดำเนินการตามแผนที่วางไว้ได้อีกอย่างนั้นหรือ?

ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ข้าเพิ่งมาถึงฉินหยางก็ใกล้จะถูกทหารข้าศึกล้อมแล้ว ในเมื่อออกจากเมืองไม่ได้ ถ้าไม่ให้ข้าอยู่ที่นี่แล้วจะให้ข้าไปที่ไหนได้อีก?”

หยางเฟิงลอบใช้เท้าสะกิดหวังติ่งจวิน หวังให้อีกฝ่ายอ้าปากช่วยพูดยับยั้งการกระทำที่แสนจะบ้าบิ่นขององค์รัชทายาท หากไม่มีทัพหนุนตามมาสมทบ เมืองฉินหยางจะถูกตีแตกหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น หากองค์รัชทายาทเป็นอะไรขึ้นมา ต่อให้เขาตาย ก็ตายตาไม่หลับ!

หวังติ่งจวินนั้นพอจะเดาได้รางๆ ตั้งแต่แรก ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อว่ารัชทายาทจะพาพระชายาและคุณชายน้อยมายังที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายนี้โดยไม่เตรียมการอะไรเลยสักอย่าง หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือในเมื่อรัชทายาทกล้าพาพระชายาและคุณชายน้อยมาถึงที่นี่ นั่นย่อมหมายความว่าต้องมั่นใจว่าศึกครั้งนี้พวกเขาต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน

เพียงแต่เขาไม่เข้าใจ เหตุใดรัชทายาทถึงยังให้พวกเขาทำศึกตามแผนที่วางไว้?

หวังติ่งจวินจึงตั้งใจว่าจะหาโอกาสซักถามเป็นการส่วนตัว แม้หยางเฟิงจะเป็นคนกันเองแต่ก็ยังไม่ถึงกับได้รับความเชื่อใจเต็มร้อย

ฝ่าบาททรงรออยู่ที่นี่จะเป็นการเสี่ยงอันตรายเกินไป กระหม่อมขอทูลเสนอให้พระองค์เสด็จไปเมืองอวี้ซินจะเหมาะกว่า

ต่อให้หวังติ่งจวินมั่นใจในรัชทายาทเจามากสักเพียงใด แต่เขาก็ไม่อยากเห็นอีกฝ่ายอยู่ในความสุ่มเสี่ยงที่อาจได้รับอันตรายแม้เพียงน้อยนิด

เจ้าเมืองหวังพูดมีเหตุผล มิสู้ฝ่าบาทเสด็จไปเมืองอวี้ซินในคืนนี้แล้วคอยบัญชาการอยู่ที่นั่น กระหม่อมขอให้สัตย์สาบานว่าจะทุ่มเทสุดกำลังความสามารถเพื่อรักษาฉินหยางไว้ให้จงได้พ่ะย่ะค่ะ!

รัชทายาทเจาส่ายหน้า “ข้าตัดสินใจแล้ว พวกเจ้าทั้งสองไม่ต้องเกลี้ยกล่อมแล้ว

หากฝ่าบาทไม่ทรงคำนึงถึงพระองค์เองก็ควรคำนึงถึงคุณชายและคุณชายน้อยนะพ่ะย่ะค่ะ หากอยู่ที่นี่มีแต่จะเสี่ยงอันตราย

ไม่ต้องลำบากให้พวกเจ้าคิดแทน ข้าย่อมจัดเตรียมคนคอยอารักขาพวกเขาไว้แล้ว

หวังติ่งจวินเห็นว่าถึงขนาดอ้างพ่อลูกคู่นั้นแล้วยังไม่อาจเปลี่ยนใจรัชทายาทได้ก็รู้ว่าเกลี้ยกล่อมต่อไปย่อมไม่เป็นผล เขาจึงแอบตัดสินใจเองเงียบๆ ว่าหากมีวันที่เมืองฉินหยางแตกจริง ต่อให้ต้องจับมัดเขาก็จะพาสามชีวิตนี้หนีไปให้ได้

แน่นอน เขารู้ว่าตัวเองกังวลเกินเหตุ

วันรุ่งขึ้นถังเยว่เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าอย่างสามัญชนแล้วพาลูกชายไปเดินเที่ยว ตามถนนหนทางยังมิได้ตกอยู่ในภาวะฉุกเฉิน การดำเนินชีวิตจึงดูไม่แตกต่างจากยามปกติเลยสักนิด เพียงแต่สีหน้าของทุกคนมีความสุขน้อยลงและเจือความวิตกกังวลตื่นกลัวเข้ามาแทน

เขาถาม “ลั่วลั่ว รู้หรือไม่ว่าเวลานี้ในใจผู้คนที่นี่อยากได้สิ่งใดมากที่สุด?”

เสี่ยวลั่วลั่วโพล่งคำตอบออกมาทันที “รู้สิขอรับ ท่านอาฉุนบอกว่าพ่อค้าทุกคนล้วนหน้าเลือด ชอบเงินทองมากที่สุด พวกเขาย่อมต้องอยากได้เงินทอง ยิ่งมากยิ่งดีไม่ผิดแน่

ถังเยว่พูดไม่ออก คำพูดแบบนี้มีแต่เจ้าตัวแสบจางฉุนเท่านั้นที่กล้าพูดออกมา สอนลูกเขาผิดๆ เช่นนี้ดูเหมือนว่าที่ตอนนั้นหลี่เจาจับจางฉุนแยกกับลั่วลั่วจะเป็นความคิดที่ถูกต้องแล้ว

ถังเยว่ลอบถอนหายใจแล้วถามต่อ “ลั่วลั่วรู้สึกว่าเงินทองสำคัญหรือชีวิตสำคัญ

ชีวิตย่อมสำคัญกว่าอยู่แล้ว เตียเตียเคยบอกว่าคนตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง ต่อให้มีเงินทองมากมายเพียงใดสิ้นลมหายใจก็มิได้ใช้มัน

ถังเยว่ได้ยินคำตอบแล้วถึงกับสำลักอย่างหนัก แม้คำพูดนี้จะถูกต้องแต่ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนตนเองก็สอนลูกผิดเช่นกัน

ดังนั้นที่ลั่วลั่วบอกว่าเวลานี้พวกเขาอยากได้เงินทองมากที่สุดจึงมิใช่คำตอบที่ถูกต้อง ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานอันตรายอยู่ตรงหน้า พวกเขาย่อมหวงแหนชีวิตตัวเองเป็นที่สุด

เหตุใดถึงบอกว่าอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน หรือพวกเขาใกล้จะตายแล้ว?”

ตั้งแต่เสี่ยวลั่วลั่วเกิดมาจนถึงตอนนี้ยังไม่เข้าใจว่าสงครามคืออะไร ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าแผ่นดินที่เขายืนอยู่ในตอนนี้กำลังจะถูกไฟสงครามเผาผลาญในอีกไม่ช้า

ถังเยว่ไม่ได้อธิบายเป็นคำพูดแต่พาเด็กน้อยขึ้นไปยืนบนกำแพงเมืองให้เขาได้เห็นและคิดเอง

ตอนนี้บนกำแพงเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลงไปมาก อาวุธยุทโธปกรณ์ถูกขนออกมากองไว้พร้อมใช้งาน พวกทหารพอเห็นถังเยว่พาเด็กน้อยคนหนึ่งขึ้นมาต่างมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แม้คิดอยากไล่พวกเขาลงไปแต่พอรู้ว่าเป็นแขกคนสำคัญของเจ้าเมืองก็ไม่กล้าแตะต้อง แน่นอนว่าพวกทหารย่อมไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของถังเยว่ แต่เมื่อเห็นว่ากระทั่งท่านเจ้าเมืองยังแสดงท่าทีเคารพนบนอบ ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่าคนผู้นี้ต้องมีฐานะสูงส่งมากแน่ ดังนั้นที่พวกทหารทำได้ก็เพียงแอบบ่นในใจ ‘ตอนนี้มันเวลาอะไร ยังมีอารมณ์พาเด็กขึ้นมาเดินเล่นอีกหรือ ช่างไม่รู้เวล่ำเวลาเสียบ้างเลย

พลทหารนายหนึ่งอดปากไม่ไหวจึงกล่าวกับถังเยว่ด้วยความหวังดีว่าให้รีบลงไปจากกำแพงเมือง ทั้งยังกล่าวเตือนแบบอ้อมๆ ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะที่จะพาเด็กขึ้นมา ไหนจะดาบกระบี่กองพะเนิน ทั้งยังมีน้ำมันเชื้อเพลิงและก้อนหิน เห็นได้ชัดว่าอันตรายมากเพียงใด

ถังเยว่กล่าวขอบคุณในความหวังดีของเขา แล้วถามลั่วลั่วที่ตอนนี้หัวคิ้วขมวดแน่นเป็นปม

รู้หรือไม่ว่าพวกเขามาทำอะไรกัน?”

เสี่ยวลั่วลั่วส่ายหน้า เขาเห็นความร้อนรนกระวนกระวายใจจากสีหน้าของเหล่าทหารบนกำแพงเมือง ดูแล้วสีหน้าของทหารเหล่านี้เหมือนกับตอนที่เขาแอบหนีไปเที่ยวนอกบ้านเมื่อตอนสามขวบแล้วถูกหมาจรจัดไล่กัดไม่มีผิด ถ้าเช่นนั้น...ทหารเหล่านี้ก็คงกำลังหวาดกลัวอยู่กระมัง

เตียเตีย พวกเราสามารถช่วยอะไรพวกเขาได้บ้าง?” เสี่ยวลั่วลั่วถาม เขาจำได้ว่าตอนนั้นมีคนใจดีช่วยไล่หมาจรจัดให้ แม้เขาจะมอบป้ายหยกชิ้นที่ตัวเองโปรดปรานที่สุดเป็นของกำนัลแทนคำขอบคุณไปแล้ว แต่ความรู้สึกซาบซึ้งยังคงหลงเหลืออยู่ในใจ

ถังเยว่ยิ้มและลูบศีรษะเด็กน้อยอย่างเอ็นดู

ที่นี่ไม่มีงานที่เจ้าจะช่วยได้หรอก เตียเตียพาเจ้าไปดูที่อื่นดีกว่า

พลทหารมองดูสองพ่อลูกที่กำลังเดินลงไปจากป้อมกำแพงเมืองด้วยสีหน้าพิศวงแล้วบ่นงึมงำ

เด็กตัวแค่นี้จะสามารถทำอะไรได้?”

แค่ช่วยอยู่นิ่งๆ ไม่ให้ต้องยิ่งยุ่งยากมากไปกว่าเดิมก็ต้องเอ่ยขอบคุณสวรรค์จนร้องอมิตาภพุทธแล้ว!


 

224 เคลื่อนไหวร่วมกัน

ผ่านไปหลายวันเหตุการณ์ยังคงสงบ ถังเยว่รู้ว่านี่เป็นความสงบก่อนพายุใหญ่จะมาเยือน เขาถามหลี่เจา “ฝ่าบาท จะไม่ช่วยเป็นผู้บัญชาการเพื่อสนับสนุนพวกเขาสักหน่อยหรือ?”

ออกจากเมืองเย่เฉิงแล้วหูจินเผิงก็แยกตัวไป ถังเยว่คาดว่าเขาคงไประดมกำลังเพื่อปฏิบัติงานร่วมกับกองทัพทหารม้ากองนั้นเพียงแต่ไม่รู้ว่าหลี่เจาจะงัดอาวุธลับไม้ตายนี้มาใช้ที่เมืองฉินหยางหรือไม่

หลี่เจากำลังมองดูแผนที่ ลากเส้น ขีดทิ้งและเขียนวงกลมเป็นระยะด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างยิ่ง พอได้ยินคำถามของถังเยว่ก็มิได้ตอบแต่ย้อนถาม “เจ้าคิดว่าทหารกองทัพนั้นควรตั้งชื่อว่าอะไรดี?”

กองทัพทหารม้าหมื่นนายนั้นเป็นกองทัพที่เขากับถังเยว่ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก เขาจึงยกเกียรติในการตั้งชื่อให้กับถังเยว่

ให้กระหม่อมเป็นคนตั้งชื่องั้นหรือ?”

หลี่เจาส่งกระดาษและพู่กันให้

ชายาเป็นผู้ร่วมสร้างทหารกองทัพนี้ขึ้นมา ข้ายกสิทธิ์ในการตั้งชื่อให้เจ้า

ถังเยว่ยกยิ้ม ขบปลายพู่กันครุ่นคิดอยู่นาน “กองทัพวิญญาณ ไม่ดี ไม่ดี มืดมนเกินไปทัพฆ่ามังกร ไม่ดี ไม่ดี ความหมายสองแง่สองง่าม อืม ให้ชื่อว่าอะไรดีนะ?”

หลี่เจาเห็นถังเยว่ครุ่นคิดจริงจัง มุมปากจึงพลันยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเอ็นดูแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายได้ใช้ความคิดไปตามใจต้องการ ส่วนตนเองหันมาจ้องมองแผนที่ ทว่าจู่ๆ ดวงตาคู่งามก็พลันเบิกกว้าง เขาจิ้มแรงๆ ลงไปบนตำแหน่งหนึ่ง ตรงนี้ที่เขาตั้งใจจะเตรียมไว้เป็นหลุมฝังศพของกองทัพข้าศึก!

คิดออกแล้ว! ให้ชื่อว่า ‘ผู้พิทักษ์เกราะนิล’ เป็นอย่างไร?”

ผู้พิทักษ์เกราะนิล” เป็นชื่อที่ธรรมดามาก แต่กลับสอดคล้องเหมาะสมกับทหารกองทัพนี้อย่างที่สุด หลี่เจาพยักหน้า “ดี! ให้ชื่อว่ากองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลนี่ละ วิเศษมาก!

ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นตามด้วยเสียงหวังติ่งจวิน

ฝ่าบาท ทหารข้าศึกเริ่มเคลื่อนไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ

ถังเยว่เดินไปเปิดประตู พอเห็นบนหน้าหวังติ่งจวินมีรอยประทับห้านิ้วก็หัวเราะฮึๆ อยู่ในลำคอก่อนจะหลีกทางให้เขาเข้ามา หากไม่ใช่เพราะจังหวะและโอกาสไม่เหมาะสมเขาก็อยากจะสอดรู้สอดเห็นอยู่หรอก ไม่รู้ว่าหลายวันนี้ทั้งสองคนทะเลาะกันไปถึงไหนแล้ว

หวังติ่งจวินมีสีหน้าเก้อกระดากขัดเขินขณะก้มหน้าเดินเข้ามารายงานข่าวล่าสุดเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกองทัพข้าศึก

หลี่เจาฟังจบก็เปลี่ยนมาสวมเกราะเบาแล้วตบบ่าถังเยว่

เจ้าอยู่ที่นี่อย่าไปไหน ดูแลลั่วลั่วให้ดี รอข้ากลับมา

ถังเยว่ไม่ได้ดื้อรั้นที่จะติดตามไป เขารู้ว่าในสมรภูมิตัวเองช่วยอะไรได้ไม่มากและตัวเขาเองก็มีเรื่องที่ต้องทำเช่นกัน

ทรงระวังพระองค์ด้วย” ถังเยว่บอกแล้วหอมแก้มอีกฝ่ายหนึ่งฟอด

หลังมองส่งหลี่เจาจนลับตาแล้วเขาจึงกลับห้องมาหยิบล่วมยาที่เตรียมไว้ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่เคลื่อนไหวคล่องแคล่วแล้วเดินออกจากห้อง

เรื่องนี้เขาไม่ได้บอกหลี่เจา ในวันที่เดินทางออกจากเย่เฉิงเขาได้ส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปที่เรือนฝึกหน่วยพยาบาล ตอนที่พวกเขายังมาไม่ถึงเมืองฉินหยางหน่วยพยาบาลของเขาได้แบ่งกลุ่มกันมาถึงก่อนแล้วและกระจายตัวอยู่ในเมืองนี้ คนของเขามีรหัสลับในการติดต่อสื่อสารที่แม้แต่ระบบส่งข่าวของจวนรัชทายาทก็ยังไม่รู้จัก แต่แน่นอนว่าหากจางฉุนเห็นย่อมต้องเข้าใจ

หลังถังเยว่ออกมาก็ตรงไปยังเรือนพักของจางฉุน เสี่ยวลั่วลั่วกำลังนั่งทำงานฝีมืออยู่ หลายวันนี้เด็กน้อยค้นพบว่านี่เป็นเรื่องเดียวที่เขาสามารถทำได้โดยไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น

ราษฎรในเมืองถูกกักบริเวณมาหลายวัน พวกเขาจึงรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายถึงขีดสุด มีคนสติแตกอาละวาดอยู่เป็นระยะ ทางการก็จนปัญญาไร้หนทางที่จะช่วยลดความกดดันให้ได้ ด้วยเหตุนี้ถังเยว่จึงเกิดความคิดบางอย่าง คนเราพอว่างมากๆ มักฟุ้งซ่านได้ง่ายในยุคสมัยที่ไม่มีโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือหรือรายการบันเทิงเลยสักอย่างแบบนี้กว่าจะผ่านไปแต่ละวันรู้สึกว่าเวลาช่างเชื่องช้าและยาวนาน ถ้าไม่ช่วยหางานให้พวกเขาทำหรือสร้างความบันเทิงมักเกิดความเครียดจนล้มป่วยได้ง่าย

ดังนั้นถังเยว่จึงเสนอความคิด ให้ทางการออกประกาศระดมชายหนุ่มร่างกำยำแข็งแกร่งมาฝึกซ้อมช่วงเช้าทุกวัน วันละสองชั่วยามหากมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นคนพวกนี้จะสามารถถืออาวุธออกรบได้ ตกบ่ายก็จะส่งคนพวกนี้ไปทำงาน แม้การรักษาความปลอดภัยในเมืองจะเข้มงวดแต่ยังมีงานรอให้ทำอยู่อีกมาก ไหนจะการผลิตธนูและหอก การสร้างป้อมปราการที่ต้องการกำลังคนเพื่อขนย้ายก้อนหินและท่อนไม้ นี่เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้และต้องมีในยามต้องป้องกันเมือง

ส่วนพวกผู้หญิงก็ถูกเรียกให้มารวมตัวกันเพื่อเย็บเสื้อบุนวม ทำเสื้อเกราะ ทำอาหารสำรองเตรียมไว้ ถังเยว่ให้พวกนางใช้ข้าวสารและเส้นหมี่ทำเป็นอาหารปรุงสุกสำหรับกองทัพในส่วนของสิบวัน ยามเปิดศึกเป็นไปได้ว่าพวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะกินข้าว หากพกเสบียงติดตัวไว้ยังพอช่วยประทังหิวได้บ้าง

ส่วนเสี่ยวลั่วลั่วกำลังทำของเล่นไว้สำหรับพวกเด็กๆ โดยมีจางฉุนคอยควบคุมวิธีการทำ เวลาหนึ่งวันพวกเขาสองคนสามารถทำหุ่นเชิดหนัง[1]เสร็จหนึ่งชุด ถุงทรายใบเล็กสำหรับโยนหรือเตะเล่น ทั้งยังเตรียมเชือกไว้แล้วรอจับกลุ่มเล่นกับพวกเด็กๆ ละแวกนี้ น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีเวลาให้พวกเขาได้เที่ยวเล่นอย่างสนุกสนาน

ลั่วลั่วเป็นเด็กดีอยู่กับอาฉุนนะ เตียเตียต้องไปทำงาน ไว้กลับมาเตียเตียจะทำของอร่อยให้กิน

เสี่ยวลั่วลั่ววางกรรไกรลง มองด้วยสายตาคาดหวัง

ลั่วลั่วไปด้วยได้ไหมขอรับ ลั่วลั่วไม่เอาของอร่อยก็ได้

ถังเยว่กอดและหอมแก้มเด็กน้อย

ไม่ได้หรอก ข้างนอกอันตรายมาก เจ้าไปด้วยจะทำให้เตียเตียเสียสมาธิ

ถังเยว่พาเขาออกไปเดินเที่ยวข้างนอกมาหลายวันแล้ว เจ้าตัวเล็กย่อมรับรู้ถึงบรรยากาศภาวะสงครามบ้างไม่มากก็น้อย ย่อมรู้ดีว่าไม่ใช่เวลาที่จะมัวมาเอาแต่ใจจึงขานรับอย่างว่าง่าย

เอ่อ...คือ…” จางฉุนถูจมูกพูดอย่างเก้อกระดาก “ผมไร้ความสามารถ ทำได้แค่ช่วยดูแลลูกให้คุณอยู่ที่นี่

ถังเยว่ทุบอีกฝ่ายไปหนึ่งที

พอเลย ถ้านายไร้ความสามารถแล้วใครจะมีความสามารถ ข้างนอกไม่มีอะไรให้นายทำ ไปก็เสียเวลาเปล่า

แต่ละคนมีความสามารถเฉพาะทางแตกต่างกัน เป็นไปไม่ได้ที่ถังเยว่จะให้อัจฉริยะทางธุรกิจไปถือหอกถือทวน หากทำเช่นนั้นจะกลายเป็นใช้คนไม่ถูกกับงานเสียมากกว่า

ถ้าคุณเจอเจ้าคนสารเลวแซ่หวัง อย่าลืมลงมือกับเขาให้หนักหน่อย เขาหนังหนาไม่กลัวเจ็บหรอก

ถังเยว่เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “เมื่อกี้ฉันเห็นหน้าเขา นายก็ช่างทำได้ลงคอ

เฮอะ ใครใช้ให้เขามือไม้รุ่มร่าม สมน้ำหน้า!

ถังเยว่รู้ว่าอีกฝ่ายปากไม่ตรงกับใจแต่ก็คร้านที่จะแย้งจึงพูดเพียงว่า

วางใจเถอะ ถ้าเขาแขนขาขาด ฉันจะช่วยรักษาอย่างสุดความสามารถ แล้วจะส่งคนมาแจ้งข่าวให้รู้ เผื่อว่าถ้าได้ไปเห็นสภาพน่าเวทนาของเขาเองกับตาแล้วนายจะได้หายแค้น

จางฉุนมุมปากกระตุก แค่นึกภาพก็ทรมานใจแล้วแต่ยังทำปากแข็ง

ต้องขอบคุณคุณแล้ว

ถังเยว่หัวเราะ หันหลังก้าวยาวๆ เดินออกไปจากจวนเจ้าเมือง ทหารที่ได้รับบาดเจ็บถูกจัดให้พักอยู่ในจุดที่อยู่ไม่ไกลจากป้อมประตูเมืองโดยใช้บ้านเรือนราษฎรแถวนั้นเป็นเรือนพัก ถังเยว่สั่งให้คนจัดเตรียมสถานที่ ให้แยกห้องรักษาพยาบาลกับห้องพักออกจากกัน ขนยาและเวชภัณฑ์ที่ใช้บ่อยกับผ้าพันแผลเข้าไปเก็บไว้ เครื่องมืออุปกรณ์ล้วนเตรียมไว้อย่างพร้อมสรรพ หากมีผู้ได้รับบาดเจ็บถูกส่งตัวมาก็สามารถปฏิบัติการได้ทันที

เขาเดินอยู่บนถนนใหญ่ มีบุรุษสวมชุดขาวเดินติดตามมา ในมือพวกเขาหิ้วล่วมยา ศีรษะสวมหมวกข้าราชการสีดำ คาดผ้าปิดปาก สีหน้าท่าทางเคร่งขรึมน่าเคารพ ฝีเท้าที่ก้าวเท้าเดินตามหลังถังเยว่ก็หนักแน่นมั่นคง

ตามท้องถนนยังมีร้านค้าแผงลอยที่ยังไม่ได้เก็บร้าน พอหันมาเห็นคนแต่งตัวประหลาดกลุ่มนี้ ต่างพากันชะงักและซุบซิบคาดเดาไถ่ถามกันเอง

คนพวกนี้เป็นใครกัน เหตุใดถึงแต่งตัวแบบนี้?”

ไม่รู้สิ ไม่เคยเห็นมาก่อน เห็นพวกเขาสวมชุดขาวทั้งตัว บางที…”

ไม่ต้องอธิบายให้ชัดเจนพอเห็นพวกเขาเดินมุ่งหน้าไปทางกำแพงเมืองทั้งที่มิใช่ทหาร ทุกคนก็คาดเดาไปในแนวทางเดียวกันว่านอกจากไปช่วยเก็บศพแล้วยังจะสามารถทำอะไรได้อีก คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ตรงจุดนี้ทางการก็ยังดูแลอย่างถ้วนถี่ เห็นทีศึกครั้งนี้จะไม่ปราชัยง่ายๆ แล้วกระมัง

เฮ้อ! จะเป็นไปได้หรือทหารสามหมื่นต่อกรกับทหารแปดหมื่น จะไปชนะได้อย่างไร?”

หยางเฟิงผู้เป็นเจ้าเมืองฉินหยางมิได้ปิดบังเรื่องความแตกต่างของจำนวนไพร่พลทั้งสองฝ่าย เพราะเหตุนี้ชาวเมืองส่วนใหญ่ที่รู้ข่าวจึงต่างขวัญผวาไปตามๆ กัน

ใช่ๆ แต่ท่านเจ้าเมืองบอกว่าได้เตรียมการไว้แต่แรกแล้ว ถ้าหากรักษาเมืองฉินหยางไว้ไม่ได้จริงๆ ก็จะให้ชาวบ้านอพยพออกไปก่อน

ตระกูลข้าอาศัยอยู่ในเมืองฉินหยางมาสามชั่วอายุคน ตัดใจทิ้งที่นี่ไปไม่ลงจริงๆ หากไม่ถึงยามคับขันข้าจะไม่ไปจากที่นี่เด็ดขาด!

ใครจะยอมไปกันล่ะ! นับแต่เจ้าเมืองหยางมาอยู่ที่นี่ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราล้วนมีแต่สุขสบายขึ้น กระทั่งคนยากคนจนไร้ทุนรอนยังสามารถขึ้นเขาไปขุดสมุนไพรเพื่อหาเลี้ยงชีพได้ ที่นี่ดีจะตาย

ใครว่าไม่ใช่ล่ะ! ฮึ เจ้าพวกโจรกบฏที่แสนน่ารังเกียจ!

ขบวนของถังเยว่เดินอยู่บนถนนโดดเด่นสะดุดตา ใครต่อใครต่างมองจนเหลียวหลัง กระทั่งชาวบ้านที่ซ่อนตัวอยู่ในบ้านยังโผล่หน้าออกมาแอบมองพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ผู้คนส่วนใหญ่ต่างคิดว่าพวกเขามาเก็บศพ ญาติพี่น้องและคนในครอบครัวของทหารที่อยู่ทัพหน้าพากันสะทกสะท้อนใจจนทนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวส่งเสียงร่ำไห้ระงม

ใต้เท้า หากท่านพบหลานชายข้ารบกวนช่วยส่งเขากลับบ้านทีเถิด…” แม่เฒ่าคนหนึ่งวิ่งพรวดพราดออกมาจากในบ้านแล้วคุกเข่าลงตรงหน้า

ถังเยว่รีบประคองนางขึ้นพร้อมกับปลอบใจ วางใจเถอะ หลานท่านจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัย

ฮือๆ เขาเพิ่งอายุสิบห้า...แม่เฒ่าร่ำไห้น้ำตานองหน้า นางรู้นิสัยหลานชายตัวเองดี เขาเป็นคนเข้มแข็งห้าวหาญยอมไปเป็นทหารเพื่อแลกกับเสบียง ศึกครั้งนี้อันตรายเพียงใดทุกคนต่างรู้ดี แม่เฒ่าได้ทําใจไว้แล้วว่าหลานชายของนางต้องตายในสนามรบอย่างแน่นอน เพียงหวังอยากเห็นร่างไร้ชีวิตของเขาถูกส่งกลับบ้านอย่างครบถ้วน ไม่ต้องถูกฝังรวมเป็นศพไร้ชื่อแซ่ ไร้คนเซ่นไหว้

แม่เฒ่า พวกเราเป็นหมอ มีหน้าที่รักษาและช่วยชีวิตคน ท่านควรเชื่อพวกเรา พวกเราจะพาหลานชายของท่านกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน

หมอพวกท่านเป็นหมอหรอกหรือ?” แม่เฒ่าถามเสียงดังด้วยความฉงน “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงจะ…”

ถังเยว่พยักหน้า “ใช่ พวกเขาทุกคนล้วนเก่งกาจล้ำเลิศ ท่านวางใจได้

เซี่ยงอันโผล่หน้ามาจากด้านหลังถังเยว่ฉีกยิ้มกว้างพร้อมสาธยาย

แหะๆ ต่อให้หลานของท่านแขนขาดขาหัก ข้าก็สามารถช่วยต่อให้เขาได้ หากข้าทำไม่ได้ก็ยังมีอาจารย์ข้า เขาเป็นถึงหมอเทวดาผู้โด่งดังเชียวนะ

หมอเทวดา…” แม่เฒ่ามองแผ่นหลังคนกลุ่มนั้นที่จากไปไกลแล้วพึมพำกับตัวเอง กระทั่งคนที่บ้านพานางกลับ นางจึงพลันได้สติแล้วร้องไห้โฮออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ “หลานข้า...หลานรักของข้า เจ้ามีทางรอดแล้ว…”

 

 

เชิงอรรถ

  1. เป็นการเชิดหุ่นที่ทำจากหนังสัตว์หรือกระดาษแล้วสะท้อนเงาลงบนผืนผ้าสีขาว เริ่มมีในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก

 

225 อย่าถอดใจ ทำต่อไป

ตูม! เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ถังเยว่รู้สึกว่าพื้นใต้ฝ่าเท้าสั่นสะเทือนสามครั้ง ตามด้วยเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ

อาจารย์ ดูเหมือนข้าศึกบุกโจมตีแล้ว

สายตาเซี่ยงอันลุกวาว ไม่ปรากฏแววหวาดกลัวศึกสงครามให้เห็นเลยสักนิด กลับดูกระตือรือร้นเหมือนเห็นเป็นเรื่องสนุกเสียด้วยซ้ำ ถังเยว่ไม่อยากต่อว่า แม้เจ้าเด็กคนนี้จะโตขึ้นหลายปีแต่ยังคงมีจิตใจเหมือนเด็ก เกรงแต่ว่าเขาจะเห็นว่าใต้หล้ายังวุ่นวายไม่พอจึงคิดก่อความวุ่นวายเพิ่มนี่ละคือสาเหตุที่ตอนแรกถังเยว่ไม่ยอมรับเขาเป็นศิษย์ แต่หลังจากสังเกตดูมาหลายปีก็ค้นพบความน่ารักที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความดื้อรั้นแบบแปลกๆ ของอีกฝ่าย

ตำแหน่งที่เลือกใช้เป็นห้องรักษาพยาบาลอยู่ห่างจากกำแพงเมืองเพียงหนึ่งช่วงถนน หากประตูเมืองถูกตีแตกเกรงว่าชะตากรรมของพวกเขาทั้งกลุ่มจะร้ายมากกว่าดี ถังเยว่มองดูท้องถนนที่ว่างเปล่าแล้วโบกมือ

เตรียมเริ่มงานได้

ขอรับ!

เหล่าพยาบาลและหมอในชุดขาวนับร้อยคนเดินเรียงแถวเข้าไปในห้องทำงานของพวกเขา แต่ละห้องแบ่งออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละห้าคน สมาชิกทั้งห้าในกลุ่มมีหน้าที่แตกต่างกันไป ถังเยว่แบ่งกลุ่มก็เพื่อรับมือกับอาการบาดเจ็บแต่ละประเภท

ห้องทำงานของถังเยว่อยู่ด้านหน้าสุด ภายในห้องนี้ถูกแบ่งเป็นห้องผ่าตัดสองห้อง ทำการฆ่าเชื้อไว้ล่วงหน้าแล้วเตรียมไว้สำหรับรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยเฉพาะ เซี่ยงอันในตอนนี้ไม่ใช่ผู้ช่วยตัวน้อยอีกต่อไป เขาสามารถรับผิดชอบงานได้โดยลำพัง มิหนำซ้ำยังผ่านการสอบวัดผลของถังเยว่ ถือเป็นศิษย์ที่มีผลการเล่าเรียนดีที่สุดในกลุ่มหมอชุดนี้ ทั้งยังเป็นคนที่มีแววและมีความหวังว่าจะสามารถผ่านเกณฑ์เป็นศัลยแพทย์ได้มากที่สุดอีกด้วย

ผู้ช่วยของเขาในตอนนี้คือเหอและเด็กฝึกงานจากหอฮุ่ยอานที่รับสมัครเข้ามาเมื่อสองปีก่อนอีกหนึ่งคน เด็กคนนี้เป็นหลานอาของหมอหลวงอู เดิมตั้งใจจะศึกษาวิชาแพทย์จากท่านอา แต่สุดท้ายกลับถูกหมอหลวงอูส่งมาที่หอฮุ่ยอาน ถังเยว่เห็นเขามุ่งมั่นตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เวลาออกตรวจจึงพาติดตามไปด้วย สองปีผ่านไปเขาได้เรียนรู้จนเก่งกาจพอตัว

คุณชาย ข้าน้อยตื่นเต้นเหลือเกิน…” เหอกำมือสองข้างไว้แน่น เดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้อง ทั้งที่อากาศหนาวจัดแต่หน้าผากเขากลับมีเม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มไปหมด แม้ในห้องจะมีกระถางไฟจุดไว้เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ผู้ป่วยแต่ก็ไม่ถึงกับจะเป็นสถานที่ที่ร้อนอบอ้าวจนเหงื่อออกได้

ถังเยว่เฝ้ายาที่วางอยู่บนสามเตา มือก็โบกพัดไปมาเบาๆ

ไม่ต้องตื่นเต้น คิดเสียว่ากำลังช่วยรักษาโรคให้ชาวบ้านเหมือนวันปกติก็พอ เจ้าไปตรวจนับผ้าพันแผลอีกรอบและแยกยาห้ามเลือดออกมาจัดเตรียมไว้ให้เป็นชุด

งานที่เดิมควรเป็นของตนกลับถูกถังเยว่แย่งไปทำ เหอมองแล้วหน้าแดงอย่างเก้อกระดาก หลังจากยุ่งมือเป็นระวิงสักพักก็ค่อยๆ ลืมความตื่นเต้นที่เคยมี

หมอ! ท่านหมออยู่ไหน!” เสียงตะโกนเรียกดังลั่น ถังเยว่วางพัดแล้วเดินออกมา เห็นเด็กหนุ่มสองคนกำลังแบกเปลหามวิ่งมาตามถนน เขาเป็นผู้สั่งให้จัดกลุ่มเด็กหนุ่มพวกนี้ขึ้นมา มีหน้าที่คอยส่งตัวผู้บาดเจ็บมาที่นี่โดยเฉพาะ ทุกคนได้ค่าจ้างวันละสิบเตาปี้ ถือว่าเป็นงานที่ได้ค่าตอบแทนสูงมาก

ถังเยว่ก้มหน้าตรวจดูอาการทหารที่บาดเจ็บ เขาถูกธนูยิง หัวธนูปักอยู่บนหน้าอกระหว่างกระดูกซี่โครงซี่ที่เจ็ดกับแปด ลึกเข้าไปประมาณหนึ่งนิ้ว เลือดเปรอะเปื้อนไปทั้งตัว ถังเยว่หันไปบอกเด็กหนุ่มสองคนนั้น

เอาไปส่งที่ห้องตรวจสาม

เด็กหนุ่มทั้งสองจำถังเยว่ไม่ได้และไม่รู้ว่าห้องตรวจคืออะไร แต่พวกเขามองแวบเดียวก็เห็นธงที่ปลิวไสวท่ามกลางสายลมเขียนเลขสามไว้ จึงรู้ได้ทันทีว่าต้องหามคนไปส่งที่นั่น เพื่อให้สะดวกกับการทำงานถังเยว่จึงติดหมายเลขไว้หน้าบ้านทั้งแถว อีกทั้งยังมีธงขนาดใหญ่ปักอยู่หน้าบ้านทุกหลัง บนธงเขียนตัวเลขไว้อย่างเด่นชัด บ้านที่อยู่ด้านหน้าสุดมีไว้สำหรับรักษาผู้ป่วยที่อาการสาหัสที่สุดและจัดสรรเจ้าหน้าที่รักษาพยาบาลโดยเรียงลำดับตามความสามารถ

ทหารบาดเจ็บคนแรกส่งมาไม่ทันไร คนที่สองที่สามก็ถูกแบกตามมาติดๆ คนเจ็บถูกส่งมามากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนทั้งท้องถนนต่างมีงานยุ่ง กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นยาคละคลุ้งปะปนอยู่ในอากาศ

เวลาผ่านไปไม่นาน ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงเริ่มแตกตื่น เมื่อได้เห็นความโกลาหลเช่นนี้มีบางคนขันอาสามาช่วยและมีบางคนตกใจจนวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง

ถังเยว่ไม่ว่างพอจะคิดตำหนิใคร คนที่อาสามาช่วยก็แบ่งงานให้พวกเขาไปต้มน้ำร้อนเคี่ยวยา นี่เป็นงานง่ายที่สุดแล้วและต้องการกำลังคน

ท่านหมอช่วยพี่ใหญ่ข้าด้วยช่วยพี่ใหญ่ข้าด้วย!” เด็กหนุ่มคนหนึ่งแบกคนเจ็บวิ่งเข้ามา เนื้อตัวของทั้งสองเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด มีสภาพน่าอเนจอนาถ

ถังเยว่เพิ่งเย็บลำไส้ให้ทหารที่บาดเจ็บคนหนึ่ง กำลังเตรียมจะลงมือเย็บปิดปากแผล ประตูห้องผ่าตัดก็ถูกถีบเปิดออกอย่างแรง เขายังคงทำงานต่อโดยไม่หยุดชะงักเลยสักนิดแต่ผู้ช่วยสองคนที่อยู่ข้างๆ ตกใจสะดุ้งโหยง เหอรีบปรี่ไปไล่คนผู้นั้น

ออกไปก่อน! คนนี้ยังรักษาไม่เสร็จ ไปเข้าแถวรอข้างนอกก่อน

ไม่ได้! พี่ใหญ่ข้าจะตายแล้ว ต้องช่วยเขาก่อน!

เด็กหนุ่มผู้บุกรุกยืนนิ่งราวกับรากงอก ไม่ว่าเหอจะผลักจะดันอย่างไรก็ไม่ขยับไม่ไหวติงเลยสักนิด เหอมองทหารที่บาดเจ็บแล้วยื่นมือไปแตะชีพจรที่ลำคอ ใบหน้าขาวซีดขึ้นมาทันที

พะพี่ใหญ่ของเจ้าไม่หายใจแล้ว ช่วยไม่ได้แล้ว

เป็นไปไม่ได้! เมื่อครู่เขายังพูดคุยกับข้าอยู่เลยเด็กหนุ่มถลึงตาเบิกกว้างกล่าวอย่างดุดัน “เขายังไม่ตายเขาจะตายได้อย่างไร! เขาบอกว่าจะมีลมหายใจกลับบ้านให้ได้…”

เด็กหนุ่มทรุดกายลงกับพื้นเอาร่างที่แบกไว้มากอดแนบอก น้ำตาไหลโดยไร้เสียงสะอื้น สีหน้าเศร้าโศก เพียงเสี้ยวอึดใจบรรยากาศเศร้าหมองก็ปกคลุมไปทั่วห้อง

เจ้าอย่าได้เสียใจไปเลย” เหอเห็นเขาร้องไห้เสียใจก็ไม่โวยวายว่ากล่าวอีกได้แต่พูดปลอบ “คนตายแล้วไม่อาจฟื้นคืน…”

ยังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงถังเยว่เรียก “เหอ…” พอเขาหันไปก็เห็นอีกฝ่ายยังคงมุ่งมั่นจดจ่ออยู่กับการเย็บแผล ทว่าปากกลับสั่งงานเขาโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า ลองทำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพให้เขาสิบรอบก่อน ข้าใกล้เสร็จแล้ว

เหอตะลึงงัน จากนั้นก็รีบลุกพรวดสั่งการเด็กหนุ่มที่ทำอะไรไม่ถูก

เร็วเข้า เจ้ารีบแบกเขาขึ้นไปวางบนเตียงคนไข้ด้านนั้น เร็วๆ เข้าสิ!

เด็กหนุ่มยกมือปาดน้ำตา รีบอุ้มคนในอ้อมแขนขึ้นมาแล้วก้าวยาวๆ นำไปวางลงบนเตียง จากนั้นก็จับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเหอ ตอนเห็นฝ่ายนั้นใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าของผู้บาดเจ็บหัวคิ้วของเขาค่อยๆ ขมวดมุ่นเข้าหากัน เมื่อเห็นเหอบีบจมูกคนเจ็บแล้วประกบปากลงไป เด็กหนุ่มก็กำหมัดแน่นแทบอยากจะปรี่เข้าไปผลักให้กระเด็น

เด็กหนุ่มเหลือบมองถังเยว่ครู่หนึ่งโดยสัญชาตญาณ สายตามองไปยังมือเขา มือคู่นั้นขาวผ่องเรียวยาว นิ้วทั้งสิบเรียวเล็กดุจลำเทียน ทุกการเคลื่อนไหวล้วนน่ามองเป็นพิเศษ เมื่อสายตาเคลื่อนต่ำลงไป ดวงตาของเด็กหนุ่มก็ต้องเบิกค้างอีกครั้ง เขาเห็นรอยแผลบนท้องผู้บาดเจ็บเหมือนมีตะขาบตัวหนึ่งพาดอยู่ ดูน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง แต่ดูจากหน้าอกที่ยังคงกระเพื่อมขึ้นลงของร่างที่นอนอยู่บนเตียงบ่งบอกว่ายังมีลมหายใจอยู่

เมื่อครู่ที่เขาแบกคนวิ่งตรงเข้ามาในห้องนี้ ประการหนึ่งเป็นเพราะห้องนี้อยู่ใกล้ที่สุด อีกประการเป็นเพราะได้ยินคนพูดว่าข้างในนี้มีหมอเทวดา ต่อให้บาดเจ็บหนักหนาสาหัสเพียงใดก็สามารถชุบชีวิตให้ฟื้นคืนได้ ดังนั้นเขาจึงบุกเข้ามาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

ถังเยว่จัดการขั้นตอนสุดท้ายจนเสร็จเรียบร้อย มอบหมายหน้าที่ใส่ยาให้ผู้ช่วยจัดการต่อแล้วจึงเดินไปหาผู้ป่วยเตียงต่อไป

กระทั่งเหอทำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพให้คนเจ็บครบสิบรอบแล้ว ถังเยว่แนบหูลงบนอกคนเจ็บเพื่อฟังเสียงการเต้นของหัวใจ จับชีพจรแล้วส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ทันแล้ว

เด็กหนุ่มสองตาแดงก่ำ กระชากถังเยว่ออกแล้วทำท่าเลียนแบบที่เหอทำเมื่อครู่ ประสานมือกดลงบนหน้าอกของร่างไร้ลมหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งหลังกดลงไปสิบห้าทีก็เป่าลมเข้าปาก ตอนแรกถังเยว่คิดจะห้ามแต่ถ้าไม่ปล่อยให้เขาลองดูจะรู้ได้อย่างไรว่าช่วยไม่ได้แล้วจริงๆ

ฝ่ามือเคลื่อนต่ำลงไปอีกครึ่งนิ้ว ออกแรงให้มากกว่านี้ถูกต้อง ก่อนจะเป่าลมต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามถ่ายลมให้เพียงพอ…”

หลังทดลองทำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพเองแล้ว เด็กหนุ่มก็หมดความมั่นใจไปเช่นกัน สองแขนยันอยู่ที่หน้าอกร่างนั้นอย่างหมดแรง น้ำตาหลั่งรินเป็นสายแต่ไร้เสียงสะอื้น ถังเยว่มองแขนสั่นเทาของอีกฝ่ายแล้วลอบถอนหายใจเงียบๆ เขามองออกว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้ต้องไม่ธรรมดา หากมีทางช่วยได้เขาก็อยากช่วยอย่างสุดความสามารถ

อย่าเพิ่งถอดใจ ทำต่อไป!” ถังเยว่บอกเสียงทุ้มต่ำ

ตามที่เด็กหนุ่มพูดเมื่อครู่ ร่างนี้เพิ่งหยุดหายใจไปได้ไม่นานคิดว่ายังมีโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่จะช่วยยื้อชีวิตเขากลับมาได้ น่าเสียดายที่นี่ไม่มีไฟฟ้า ใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจไม่ได้ ก็ได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามลิขิตสวรรค์

เวลาล่วงเลยไป ถึงคราวที่ถังเยว่เองก็ถอดใจแล้วเช่นกัน ทว่าจู่ๆเด็กหนุ่มก็ร้องขึ้น

ขะขยับแล้วเขาขยับแล้ว…”

ถังเยว่รีบบอกให้เขาหลบไป พอได้ยินเสียงหัวใจเต้นอย่างอ่อนแรงแผ่วเบาจึงคลี่ยิ้มบาง

เดี๋ยวข้าจัดการต่อเอง เชิญเจ้าออกไปก่อน

เด็กหนุ่มน้ำตาคลอเบ้า เดินไปประเดี๋ยวเดียวก็เหลียวกลับมามอง สุดท้ายก็ทรุดตัวนั่งยองๆ เฝ้าอยู่หน้าประตูประหนึ่งรูปปั้นแกะสลัก

การผ่าตัดครั้งนี้ใช้เวลาสามชั่วยาม เปลี่ยนตะเกียงน้ำมันดวงแล้วดวงเล่า ตามท้องถนนคึกคักขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นมีราษฎรที่ได้ยินว่าทหารซึ่งได้รับบาดเจ็บถูกส่งตัวมารักษาที่นี่จึงวิ่งตามมาดู เมื่อหาญาติตัวเองเจอก็น้ำตาเอ่อล้นขอบตา ส่วนคนที่หาญาติไม่เจอก็ยิ่งยินดีมากกว่า

หากไม่ได้มาปรากฏตัวที่นี่ นั่นก็หมายความว่าทหารอีกกว่าครึ่งยังมีชีวิตอยู่ สำหรับคนในครอบครัวแล้วนี่ถือเป็นการปลอบขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

สงครามยุติแล้วสงครามยุติแล้วพวกเราชนะแล้ว!

เสียงร้องตะโกนดังมาแต่ไกลจนเข้ามาใกล้ ทุกคนที่ได้ยินต่างพูดต่อๆ กันมาเพียงชั่วอึดใจเสียงตะโกนด้วยความยินดีก็ดังก้องไปทั่วเมืองฉินหยาง

ชนะแล้วหรือ?” ถังเยว่เดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเพราะนึกว่าตัวเองหูฝาด

ผู้ที่ส่งสารมาเป็นทหารสอดแนมคนหนึ่ง กวัดแกว่งธง กู่ก้องร้องตะโกนกระจายข่าวด้วยความยินดี เขาวิ่งมาข้างหน้าถังเยว่ ทิ้งตัวลงคุกเข่า

คารวะท่านหมอเทวดา ขอบคุณที่ช่วยชีวิตพ่อข้า พวกเราชนะแล้ว ข้าศึกถอยทัพแล้วขอรับ!

ถังเยว่ย่อมไม่รู้ว่าในบรรดาทหารที่ตนช่วยคนไหนเป็นบิดาเขา แต่พอได้ยินว่าทหารข้าศึกถอยทัพแล้วก็รู้สึกเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง

ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหรือไม่?”

ท่านวางใจได้ เมื่อครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้แม่ทัพหวังยิงธนูปลิดชีพผู้บัญชาการทัพข้าศึกตายภายในดอกเดียว กองทัพข้าศึกพ่ายแพ้ยับเยินแตกกระเจิง ในสนามรบมีคนบาดเจ็บและล้มตายน้อยมากขอรับ

หลีกทางเร็วเข้า! ให้ใต้เท้าทุกท่านได้ดื่มน้ำร้อนกินอะไรกันสักหน่อยก่อน” สตรีกลุ่มหนึ่งเข็นรถคันเล็กเข้ามา พวกนางมีหน้าที่ทำอาหารวันละสองมื้อ ถังเยว่จำไม่ได้ว่าวันนี้ตัวเองกินข้าวแล้วหรือยัง พอได้กลิ่นกับข้าวหอมๆ ท้องก็พลันร้องจ๊อกๆ ขึ้นมาทันที

ทหารสอดแนมผู้นั้นโขกศีรษะสามครั้งแล้วเลี่ยงไปยืนอยู่นอกหน้าต่าง เขามองเข้ามาข้างในอีกครั้ง จากนั้นก็แบกธงวิ่งจากไปพร้อมกับร้องป่าวประกาศชัยชนะ

สีหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความปีติยินดี แม้ถังเยว่จะรู้ว่าศึกครั้งนี้ไม่น่าจะสิ้นสุดง่ายดายขนาดนี้ แต่ชัยชนะในศึกแรกอย่างไรก็ถือเป็นเรื่องดี

เหอยกโจ๊กชามใหญ่เข้ามา

คุณชาย วันนี้ท่านยังไม่ได้กินอะไรเลย รีบกินโจ๊กก่อนเถอะขอรับ บ่าวจะไปยกกับข้าวมาให้

ถังเยว่โบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก แค่นี้ก็พอแล้ว” พูดจบก็ยกชามโจ๊กซดรวดเดียวหมดแล้วเช็ดปาก จากนั้นก็ถอดเสื้อตัวนอกโยนให้เหอพวกเจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ คอยเปลี่ยนยาป้อนยาให้ตรงตามเวลา สองคนผลัดเปลี่ยนเวรตอนกลางคืนกัน ข้าไปแล้ว

ถังเยว่เร่งสาวเท้าเดินตรงไปยังประตูเมือง ตอนแรกแค่เดินสาวเท้าถี่ๆ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นวิ่งเหยาะๆ เขาอยากพบหน้าคนผู้นั้นเร็วๆ อยากเห็นคนผู้นั้นยืนอยู่เบื้องหน้าเขาโดยปราศจากบาดแผล อยากกอดแน่นๆ เพื่อจะได้สัมผัสรับรู้ถึงอุณหภูมิร่างกายของคนผู้นั้น


 

226 ยังต้องการเลือดอีกหรือไม่? ข้ามี!

ถังเยว่รีบร้อนวิ่งเร็วเกินไป กระทั่งวิ่งไปถึงประตูเมืองจึงหอบหายใจแทบไม่ทัน เขากวาดตามองครั้งเดียวก็เห็นบุรุษสวมเสื้อเกราะเงินยืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางฝูงชน กำลังพูดคุยสนทนากับผู้คนรอบข้างโดยมิได้มีสิ่งใดผิดแผกแปลกไป ในใจจึงพลันสงบขึ้นมาก

เสมือนสามารถสื่อใจถึงกัน หลี่เจาจึงหันหน้ามา สายตาหยุดนิ่งอยู่ที่ใบหน้าเขาแล้วรีบแทรกกายฝ่าฝูงชนตรงเข้ามาหา ถังเยว่ชะงักเท้าหยุดเดิน มองผู้ที่วิ่งมายืนตรงหน้าและยื่นมือมาช่วยซับเหงื่อบนหน้าผากให้เขาพร้อมกับเอ่ยถาม “ข้าไม่อนุญาตให้เจ้ามาที่นี่มิใช่หรือ?”

เขาไม่ได้พูดสิ่งใด แต่ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำนั่นคือการเอื้อมมือออกไปโอบกอดอีกฝ่ายไว้เต็มอ้อมแขน ได้กลิ่นเหงื่อปนกลิ่นคาวเลือดโชยเข้าจมูก แม้เสื้อเกราะที่ฝ่ายนั้นสวมอยู่จะเย็นเฉียบแต่เขากลับรู้สึกอบอุ่นทั้งกายและใจ หลี่เจากอดตอบและลูบหลังเขาอย่างปลอบโยน ก่อนจะดันตัวเขาออกเล็กน้อย กวาดตามองสำรวจตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าขึ้นลงหลายรอบ

เหนื่อยแย่เลยสินะ ข้าจะให้คนพาเจ้ากลับไปพักผ่อน

ถังเยว่ส่ายหน้า “ไม่ ข้าจะรอไปพร้อมกัน

หลี่เจาก็ไม่ดึงดัน จับมือเขาเดินกลับไปยังตำแหน่งเมื่อครู่ ทหารที่อยู่รายรอบต่างมองพวกเขาอย่างใคร่รู้ ถึงอย่างไรชายกับชายสวมกอดกันอย่างเปิดเผยเช่นนี้ก็มีให้พบเห็นได้น้อยนัก

หลี่เจามิได้เปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตน ทุกคนรับรู้เพียงพวกเขามาจากเมืองเย่เฉิง เป็นคนสำคัญที่แม้แต่เจ้าเมืองหยางและเจ้าเมืองหวังยังต้องเชื่อฟังคำสั่ง บ่งบอกว่ามีฐานะสูงส่งมาก

ท่านนั้นเป็นหมอเทวดานะ หัวหน้าเราที่ได้รับบาดเจ็บก็ได้เขานี่ละที่เป็นผู้รักษา” พลทหารนายหนึ่งกระซิบกระซาบกับเพื่อนข้างๆ

สามารถช่วยชีวิตหัวหน้าได้จริงหรือ? เขาถูกลูกธนูยิงปักเข้าที่หน้าอกเชียวนะ มิหนำซ้ำยังทะลุไปถึงด้านหลังอีกต่างหาก” สหายที่ได้ฟังซักถามด้วยอาการตกตะลึง

ก็ใช่น่ะสิ ตอนแรกข้าคิดว่าเขาต้องตายสถานเดียว แต่เบื้องบนสั่งกำชับไว้ว่าขอเพียงเป็นคนที่ยังมีลมหายใจก็ให้นำตัวส่งไปที่ถนนอวี้หรง คิดไม่ถึงว่าหมอเทวดาจะมีอยู่จริง ตอนที่ข้ากลับออกมาจากที่นั่นหัวหน้ายังมีชีวิตอยู่ ลูกธนูก็ถูกดึงออกแล้วด้วย

หมอเทวดาดูเหมือนว่าหนานจิ้นของพวกเราจะมีหมอเพียงท่านเดียวที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นหมอเทวดามิใช่หรือ?”

ก็นั่นน่ะสิ ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อครู่ท่านหมอเทวดากอดกับท่านผู้นั้น ข้าก็ยิ่งมั่นใจว่าจะต้องใช่ต้องใช่อย่างแน่นอน!

พลทหารนายนั้นวาดมือทำท่าที่ดูแล้วเหมือนมิได้มีความหมายใดเป็นพิเศษ แต่น่าแปลกที่คู่สนทนากลับพยักหน้าด้วยท่าทางเข้าอกเข้าใจได้อย่างน่าอัศจรรย์

คาดไม่ถึงว่าจะเป็น…”

บรรดาทหารซึ่งคาดเดาฐานะที่แท้จริงของถังเยว่และหลี่เจาได้ต่างตื่นตะลึงไปตามๆ กัน พวกเขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์จะมาปรากฏตัวที่เมืองฉินหยางในเวลาซึ่งวิกฤติที่สุดเช่นนี้ได้ ชั่วขณะนั้นในใจทุกคนแม้ยังรู้สึกสับสนแต่ความเชื่อมั่นกลับเพิ่มพูน ทำให้รู้สึกฮึกเหิมขึ้นในทันที

หลี่เจากับถังเยว่มิได้สนใจบรรยากาศซุบซิบรอบข้าง พวกเขาเดินเข้ามาตรงกลางเหล่าขุนพลซึ่งกำลังวิเคราะห์เรื่องศึกสงคราม ทว่าพอเห็นถังเยว่ทุกคนกลับยุติประเด็นหัวข้อที่กำลังสนทนากันชั่วขณะ หยางเฟิงกับหวังติ่งจวินประสานมือคารวะและโค้งคำนับพร้อมกล่าวคำพูดจากใจจริง

ลำบากคุณชายแล้ว

ในฐานะชายารัชยาท ถังเยว่สามารถนั่งพักผ่อนเสวยสุขอยู่ในจวน อิ่มหนำกับอาหารเลิศรส สวมใส่อาภรณ์สวยหรู ทว่าเขากลับเลือกมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ ยืนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังด้วยการช่วยเหลือชีวิตเหล่าทหารหาญโดยไม่คำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อยของตัวเอง

ในฐานะชายารัชทายาท ต่อให้เขามาที่เมืองฉินหยางแห่งนี้แล้วเอาแต่เก็บตัวอยู่ในจวนเจ้าเมืองเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เพิกเฉยต่อความเป็นความตายของเหล่าทหาร แม้จะทำเช่นนั้นก็ไม่มีใครสามารถตำหนิได้ แต่เขากลับออกมาตั้งหน่วยรักษาทหารที่บาดเจ็บด้วยตัวเอง ไม่เพียงนำกำลังคนมาเต็มอัตรายังขนสมุนไพรและเวชภัณฑ์มาอย่างเพียงพอ

การกระทำเหล่านี้จะมิให้พวกเขาซาบซึ้งใจได้อย่างไร? จะไม่ให้ตื้นตันใจจนต้องประสานมือคารวะได้หรือ?

พวกท่านเกรงใจเกินไปแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำ

หลี่เจากระชับมือในอุ้งมือตัวเองให้แน่นขึ้น หันไปสบตาลึกซึ้งกับคนที่อยู่ข้างกายก่อนจะหันกลับไปสั่งการ “เสริมกำแพงให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ต้องเร่งทำให้เสร็จภายในคืนนี้ เพิ่มอาวุธบนป้อมประตูเมือง แม้ฝ่ายตรงข้ามจะพ่ายศึกแต่ยังไม่ถอยทัพกลับไปดังนั้นเราต้องเตรียมพร้อมรับการโจมตีรอบสองที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ!

ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย กระหม่อมได้จัดเตรียมข้าวของและกำลังไว้แล้ว เพียงแต่วันนี้พวกทหารเหน็ดเหนื่อยกันมาก หน่วยรักษาการณ์ในคืนนี้คงต้องสับเปลี่ยนใหม่

ผลัดเปลี่ยนเวรยามชุดใหม่ ให้ทหารประจำการชุดเก่าพักผ่อนให้เต็มที่

ฝ่ายตรงข้ามบาดเจ็บล้มตายมากกว่าพวกเขาเป็นสิบเท่า จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะบุกโจมตีซ้ำในคืนนี้

พวกท่านคงทั้งหิวและอ่อนเพลีย ไปกินข้าวพักผ่อนเอาแรงกันก่อนดีกว่า เรื่องที่นี่ให้ผู้ที่มารับช่วงต่อดูแลจัดการก็แล้วกัน

นอกจากทหารแล้ว ราษฎรในเมืองก็มีไม่น้อย ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้จึงไม่ต้องกังวลว่าจะขาดแคลนแรงงาน

กระหม่อมจะคุ้มกันส่งฝ่าบาทกลับจวนนะพ่ะย่ะค่ะ” หวังติ่งจวินกระซิบบอกแล้วหันไปสั่งให้คนไปจูงม้าเพื่อจะขี่คุ้มกันส่งรัชทายาทกลับจวน

ถังเยว่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังหลี่เจา กอดเอวฝ่ายนั้นไว้แล้วแนบหน้าลงกับชุดเกราะเย็นเฉียบ

ไปทางถนนอวี้หรงเถอะ ข้ายังต้องไปดูอาการทหารที่บาดเจ็บอีกหลายราย

ไม่ใช่ว่าหลังผ่าตัดแล้วทุกคนจะปลอดภัยหายห่วง มีไม่น้อยที่เกิดอาการข้างเคียงหลังผ่าตัด หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าคนเจ็บจะสามารถผ่านพ้นไปได้หรือไม่

ถนนอวี้หรงยังคงคึกคัก บรรดาญาติพี่น้องของเหล่าทหารพอได้ยินว่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บถูกส่งตัวมารักษาที่นี่ก็รีบตามมาดู ต่างหันซ้ายแลขวาสอดส่ายสายตาหาญาติพี่น้องของตนด้วยความกังวล

ถังเยว่ให้หลี่เจารออยู่ที่หน้าประตู ก่อนจะเข้าไปข้างในเขาเปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมสีขาว เหอเหนื่อยหมดแรงจนนอนแผ่หราส่งเสียงกรนเบาๆ ไปแล้ว ผู้ช่วยอีกคนกำลังเฝ้าอยู่ในห้องผู้ป่วยคอยวัดอุณหภูมิร่างกายผู้ป่วยอยู่เป็นระยะ หลังผ่าตัดคนเจ็บมักมีอาการไข้ขึ้นได้ง่าย ดังนั้นถังเยว่จึงกำชับไว้ว่าหากคนเจ็บไข้ขึ้นสูงไม่ยอมลดต้องรีบแจ้งให้เขารู้โดยด่วน

ถังเยว่เดินเข้ามาอย่างเบามือเบาเท้า เห็นข้างเตียงผู้ป่วยหลังหนึ่งมีคนนอนคว่ำหน้าฟุบอยู่ ทว่าเพียงเขาย่างเท้าก้าวเข้าไปคนผู้นั้นก็หันขวับมามองอย่างหวาดระแวง พอจำได้ว่าเป็นถังเยว่นั่นละรังสีสังหารรอบตัวจึงลดลง

ถังเยว่เห็นเช่นนั้นแล้วรู้สึกตกใจไม่น้อย สีหน้าและแววตาของเด็กหนุ่มคนนี้ตอนที่หันมาแวบแรกดูน่ากลัวมาก แม้บนตัวเขาจะสวมชุดพลทหารธรรมดาแต่กลับให้ความรู้สึกต่างจากพลทหารทั่วไป ไม่แน่ว่าเขาอาจเป็นยอดฝีมือเร้นลับที่เพิ่งจะเข้ามาเป็นทหารก็เป็นได้

เด็กหนุ่มลุกขึ้นขยับหลบออกมาจากตรงนั้น ผายมือเชิญให้ถังเยว่ช่วยตรวจดูอาการพี่ใหญ่ของเขา ถังเยว่เหลือบมองถุงเลือดที่แขวนอยู่ตรงหัวเตียงผู้ป่วยเห็นว่าใกล้จะหมดแล้วจึงดึงเข็มให้เลือดออก เด็กหนุ่มพอเห็นเช่นนั้นก็รีบถลกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นท่อนแขนสีทองแดงเข้มและกล้ามเนื้อเป็นมัด เส้นเลือดสีเขียวปูดโปนจนเห็นชัด มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าแขนข้างนี้จะต้องทรงพลังมากอย่างแน่นอน

ยังต้องการเลือดอีกหรือไม่? ข้ามี!

วันนี้เด็กหนุ่มได้เปิดประสบการณ์พบเห็นการเจาะเลือดเป็นครั้งแรก จึงรู้แล้วว่าวิธีการเป็นเช่นไร

ถังเยว่ส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่ต้อง ตอนนี้ยังพอใช้อยู่ อีกอย่างเลือดของเจ้าไม่ตรงกับคนเจ็บ ไม่สามารถใช้ด้วยกันได้

ถังเยว่ก้าวเข้าไปตรวจดูอาการคนเจ็บ อาการของเขานับว่าสาหัสมาก แขนข้างหนึ่งขาด บนตัวมีบาดแผลจากคมมีดอยู่หลายแห่ง อวัยวะภายในได้รับความกระทบกระเทือนรุนแรง พูดตามตรงคนผู้นี้จะฟื้นขึ้นมาได้หรือไม่ตัวเขาเองก็ไม่กล้ารับประกัน ทว่าพอหันไปเห็นสีหน้าห่วงกังวลของเด็กหนุ่มเขาก็ไม่อาจใจแข็งพูดความจริงทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายได้ จึงปลอบใจเขาด้วยคำพูดรื่นหู

อาการเขาหนักมาก ตอนนี้สามารถยื้อชีวิตกลับมาได้ชั่วคราว แต่ถ้าจะให้พ้นขีดอันตรายต้องรออย่างน้อยสามวัน

เด็กหนุ่มเม้มปากพยักหน้า “ขอบคุณท่านมาก

เดิมทีพี่ชายเขาไม่หายใจแล้วด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้สามารถกลับมามีลมหายใจได้ใหม่อีกครั้ง เด็กหนุ่มย่อมซาบซึ้งบุญคุณของถังเยว่อย่างสุดแสน

ยังมีอีกอย่าง ในเมื่อเจ้ายืนยันว่าจะเฝ้าอยู่ข้างกายเขาต้องระมัดระวังเรื่องความสะอาดของร่างกาย เจ้าต้องออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า รองเท้า ล้างหน้าล้างมือให้สะอาด ทางที่ดีควรสระผมด้วย ห้ามนำของสกปรกมาใกล้เขาเป็นอันขาด

แม้เด็กหนุ่มจะไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลที่ถังเยว่บอกอย่างชัดเจน แต่ก็ยินยอมปฏิบัติตามอย่างระมัดระวังและตั้งใจ

หากเขาไข้ขึ้นกลางดึกให้ไปหาพยาบาลที่อยู่เวร พวกเขาจะป้อนยาลดไข้ให้พี่เจ้า

เข้าใจแล้วขอรับ

ถังเยว่เดินตรวจจนทั่ว สั่งกำชับข้อควรระวังของแต่ละคนเสร็จแล้วจึงกลับไป ระหว่างทางเขาเล่าเรื่องเด็กหนุ่มผู้นั้นให้หลี่เจาฟังแล้วกระซิบเบาๆ

ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจเป็นเหมือนคู่เราก็ได้

หือเจ้ารู้สึกว่าพวกเขาไม่ธรรมดามากอย่างนั้นหรือ?”

การจับประเด็นสำคัญของหลี่เจานั้นแตกต่างจากถังเยว่โดยสิ้นเชิง

ถังเยว่พยักหน้า “ใช่แล้ว ข้อแรกรัศมีบนตัวเขาต่างจากพลทหารทั่วไป ข้อสองดวงตาของเขา แววตาเช่นนั้นจะต้องเคยสังหารคนมาไม่น้อยแน่ เพราะทั้งอำมหิตทั้งไร้ความรู้สึก ยกเว้นตอนที่อยู่ต่อหน้าพี่ชายที่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น

หลี่เจาฟังแล้วพลันเกิดความสนใจ จึงสั่งให้หวังติ่งจวินไปตรวจสอบสถานะของคนทั้งสอง หากเป็นผู้มีความสามารถที่ใช้งานได้จริงก็จะเลื่อนขั้นให้พวกเขา แม่ทัพหนานจิ้นส่วนใหญ่อายุมากแล้ว ขุนพลที่ยังหนุ่มแน่นก็มีน้อยเกินไป หลายปีมานี้คนที่เขาฝึกฝนบ่มเพาะจึงล้วนเป็นคนรุ่นเยาว์ทั้งสิ้น หวังว่าจะสามารถสร้างขุนศึกขึ้นมาได้อีกหลายคน

จ้าวซานหลางกับผิงซุ่นเป็นอย่างไรบ้าง? นานแล้วที่ไม่ได้พบกัน ไม่รู้ว่าพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน คราวก่อนได้ยินอาหย่าบอกว่าลูกสาวนางแทบจำหน้าพ่อไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ

หลายปีก่อนถังหย่าได้ให้กำเนิดบุตรสาวอีกคน น่ารักน่าชังดุจหยกหิมะ ถังเยว่แทบอยากจะอุ้มกลับบ้านมาเลี้ยงเองใจแทบขาด น่าเสียดายที่สองปีนี้ผิงซุ่นแทบไม่อยู่บ้าน ทำให้ครอบครัวที่อบอุ่นขาดความสมบูรณ์ไปบ้าง แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่จนใจ ผู้ชายต้องสร้างความสำเร็จในหน้าที่การงาน ต้องปกป้องชาติบ้านเมือง สิ่งที่ต้องเสียสละไม่ใช่แค่เวลาและครอบครัว

ตอนนี้ถังเยว่จึงนึกดีใจมากที่เขาชอบผู้ชาย พวกเขาสามารถออกรบด้วยกัน ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน ไม่ต้องทิ้งให้ใครอีกคนเป็นกุลสตรีอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนได้แต่คอยสวดมนต์ภาวนานอกนั้นไม่สามารถทำอะไรได้

หลี่เจาเอ่ยตอบอย่างกำกวม “อีกไม่นานเจ้าก็จะได้เจอพวกเขาแล้ว พอได้เห็นก็จะรู้เอง

กว่าจะกลับถึงจวนเจ้าเมืองก็ล่วงเข้ากลางดึก ถังเยว่อาบน้ำแบบลวกๆ แล้วรีบมุดเข้านอน หลี่เจาจึงหรี่ตะเกียงให้แสงสลัวลงเล็กน้อย จากนั้นจึงทำบันทึกผลได้ผลเสียของสงครามที่เกิดขึ้นในวันนี้ นี่เป็นการบ้านที่เขาต้องทำทุกครั้งหลังการรบ

วันรุ่งขึ้นถังเยว่ถูกลูกชายมาก่อกวนจนตื่น พอเผยอเปลือกตาขึ้นก็เห็นลั่วลั่วแอบเอามือไปซ่อนไว้ด้านหลัง ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าที่เมื่อครู่เขาคันจมูกไม่ได้รู้สึกไปเอง ถังเยว่พลิกตัวคว้าลูกชายมากอดถามเสียงอู้อี้ขึ้นจมูก

เสด็จพ่อเจ้าล่ะ?”

ทรงตื่นบรรทมตั้งแต่เช้าแล้ว ตอนนี้น่าจะอยู่กับพวกท่านอาหวังขอรับ

อ้อ นี่ยามใดแล้ว?”

จวนจะยามอู่แล้ว เพราะเตียเตียไม่ยอมลุก ข้าจึงต้องเปิดผ้าห่ม

อะไรนะ! ยามอู่!

ถังเยว่คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะหลับไปนานขนาดนี้ ดูเหมือนว่าที่เมื่อวานโหมงานตลอดทั้งวันจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปจริงๆ

เสด็จพ่อกำชับว่าหากยามอู่แล้วเตียเตียยังไม่ลุกจากที่นอนให้ปลุกขึ้นมาเพื่อให้กินข้าว หลังจากนั้นจึงค่อยนอนพักต่อ

เสี่ยวลั่วลั่วอธิบายถึงเหตุผลที่ปลุกเขาพร้อมกับโยนความผิดทั้งหมดให้บิดา

ถังเยว่บีบจมูกน้อยๆ ของเจ้าตัวเล็กทีหนึ่ง ลุกขึ้นจากเตียงสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย อยู่กินข้าวกลางวันกับลูกชายแล้วจึงออกไปที่ถนนอวี้หรง

เสี่ยวลั่วลั่วร้องขอตามไปด้วยแต่ถังเยว่ไม่ยินยอม ลูกชายยังเด็กเกินไป เรือนทหารบาดเจ็บบนถนนอวี้หรงมีเชื้อโรคปะปนอยู่มากไม่ไปได้เป็นดีที่สุด

ลั่วลั่วเล่นละครหุ่นเชิดหนังเป็นแล้วหรือยัง?”

เด็กน้อยตาเป็นประกายขึ้นทันทีแล้วรีบพยักหน้ารัว

เล่นเป็นแล้วขอรับ แสดงครั้งแรกข้าอยากเล่นให้เตียเตียดู

ได้ เช่นนั้นเจ้ารีบไปเตรียมตัวเถอะ คืนนี้เตียเตียกลับมาแล้วจะไปชมผลงานชิ้นเอกของเจ้า” ถังเยว่บอกแล้วอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาหอมแก้มฟอดหนึ่งจากนั้นจึงส่งเขาให้บ่าวรับใช้อย่างอาลัยอาวรณ์


 

227 ชนะอีกครั้ง

สุดท้ายถังเยว่ก็ไม่ได้ชมละครหุ่นเชิดของลูกชาย เพราะช่วงพลบค่ำวันนั้นทหารข้าศึกบุกตีเมืองซ้ำสอง เขาให้หมอและพยาบาลแต่ละกลุ่มผลัดกันเข้าเวร ผลัดกันไปพัก ไม่เช่นนั้นหากทำงานต่อเนื่องยาวนานเกินไปไม่ว่าใครก็ทนไม่ไหว

หมอในเมืองมารวมตัวกันเพราะได้ยินข่าว วันแรกพวกเขาตั้งใจมาเพื่อสังเกตการณ์แต่กลับพบว่าท่านหมอลึกลับกลุ่มนี้ล้วนเป็นยอดฝีมือในด้านการรักษาบาดแผลภายนอก รูปแบบวิธีรักษาที่ใช้ก็ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน อีกทั้งก่อนหน้านี้มีคนนำเรื่องที่ถังเยว่สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้ป่าวประกาศไปทั่ว ตอนแรกหมอในเมืองเหล่านี้ยังมีทีท่าคลางแคลงสงสัย กระทั่งเห็นถังเยว่ช่วยชีวิตคนที่หมดลมไปแล้วให้กลับมาหายใจได้ใหม่อีกครั้งถึงได้ยอมเชื่อ

นี่เป็นยุคที่ข่าวสารถูกปิดกั้น ข่าวการรักษาคนป่วยหลายรายของถังเยว่ที่เป็นข่าวครึกโครมโด่งดังในเมืองเย่เฉิงพอมาถึงเมืองฉินหยางก็ถูกแต่งเติมจนไม่เหลือเค้าเดิม ดังนั้นคนในพื้นที่ห่างไกลพอได้ยินเรื่องเหล่านี้จึงรู้สึกเหมือนฟังนิทานที่ฟังจบแล้วก็แล้วไปมิได้เก็บมาใส่ใจอีก ถ้าไม่ได้เห็นเองกับตาพวกเขาย่อมไม่มีทางเชื่อว่าทหารอาการหนักถึงเพียงนั้นจะยังสามารถช่วยให้มีชีวิตรอดได้อีก ดังนั้นไม่ว่าเป็นหมอเฒ่าอายุมากหรือหมอฝึกหัดอายุน้อยจึงต่างทยอยมาเข้าร่วมช่วยรักษาพยาบาลทหารในกองทัพ

แม้มีคนคิดจะแอบขโมยวิชาด้วยวิธีครูพักลักจำอยู่บ้างแต่ถังเยว่ก็ไม่คิดหวง เขาต้องการเผยแพร่ความรู้อยู่แล้ว ขอเพียงไม่ทำให้เสียเรื่องสามารถเรียนรู้ได้เท่าไรก็ตักตวงไปให้เต็มที่ เขาไม่คิดถือสา

คุณชาย พักผ่อนก่อนเถอะ ท่านยืนมาหกชั่วยามแล้วนะขอรับ” เหอขยับมือช่วยซับเหงื่อให้ถังเยว่อย่างห่วงใย ปากก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาไปพักบ้าง

ถังเยว่ดื่มน้ำอึกหนึ่ง หัวคิ้วขมวดมุ่นไม่คลาย ศึกครั้งนี้ล่อแหลมอันตรายกว่าเมื่อวาน มีคนบาดเจ็บมากกว่า เขาได้แต่ดูทหารจำนวนไม่น้อยต้องตายไปเพราะได้รับการรักษาไม่ทันโดยทำอะไรไม่ได้เลย ต้องทำอย่างไรถึงจะหยุดเหตุการณ์เช่นนี้ได้!

เหอ เจ้าไปสั่งการแทนข้า นำคนที่บาดเจ็บสาหัสย้ายไปให้เซี่ยงอัน ให้เขารับช่วงต่อ

จะปล่อยให้คนเหล่านี้มารอความตายเพียงเพราะเขาไม่ว่างไม่ได้เป็นอันขาด ถ้าเป็นเช่นนี้ให้เซี่ยงอันลองช่วยจะดีกว่า เหอพยักหน้าขานรับ วางของในมือลงแล้วรีบวิ่งไปจัดการตามสั่ง

ถังเยว่หาเวลาว่างพักกินข้าว พยายามดื่มน้ำให้น้อยเข้าไว้ไม่เช่นนั้นระหว่างทำการผ่าตัดเกิดปวดปัสสาวะอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมากลางคันจะลำบาก

หลังทำงานง่วนมาทั้งวันเขาก็ได้รู้จากปากเด็กหนุ่มซึ่งมีหน้าที่คุ้มกันการส่งตัวทหารบาดเจ็บมาที่นี่ว่าครั้งนี้ข้าศึกอำมหิตดุดัน ไพร่พลบางส่วนโจมตีประตูเมือง กำลังทหารอีกหนึ่งหมื่นนายกำลังเดินทางข้ามเขา วางแผนจะซุ่มจู่โจมจากด้านหลังภูเขาลูกใหญ่ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตกทะลุเข้าเมืองฉินหยาง

ดูจากเวลาแล้ว แผนการนี้ของพวกเขาควรนำไปปฏิบัติการตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม ศึกบุกตีเมืองครั้งแรกที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นเพียงการหยั่งเชิงเท่านั้น โชคดีที่หยางเฟิงเตรียมการไว้แต่แรกแล้ว ต้นไม้บนภูเขาด้านหลังตั้งแต่ไหล่เขาลงไปถูกฟันทิ้งจนหมดสิ้น แม้แต่ต้นหญ้าที่เคยรกก็ถูกตัดจนโล่งเตียน หากมีคนลงเขามาก็จะมองเห็นได้ทันที ส่วนตีนเขาก็ระดมกำลังพลมาช่วยกันขุดกับดักไว้เป็นแถว แม้จะจัดการได้ไม่หมดทั้งหมื่นนาย แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้ข้าศึกเดินทางได้ช้าลง กว่าจะฝ่ากับดักบุกเข้าเมืองได้สำเร็จก็น่าจะหมดสิ้นเรี่ยวแรงและได้รับบาดแผลเต็มตัว เมื่อถึงเวลานั้นค่อยมาสกัดการโจมตีก็น่าจะง่ายดุจพลิกฝ่ามือ

ตอนนั้นถังเยว่ยังพูดเย้าขำๆ ว่าภูเขาด้านหลังถูกถางจนโล่งเตียนแบบนี้มีสภาพเหมือนกับถูกโกนผมจนหัวโล้น ทั้งยังพูดเตือนสติหยางเฟิงด้วยว่าหลังเสร็จศึกให้รีบปลูกต้นไม้ชดเชยทันที ไม่เช่นนั้นฤดูน้ำหลากปีต่อไปอาจเกิดโศกนาฏกรรมอย่างดินถล่มก็เป็นได้

ฝ่าบาท ที่นี่อันตรายเกินไป กระหม่อมจะส่งคนอารักขาพระองค์กับพระชายาและคุณชายน้อย เสด็จออกจากที่นี่ก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ…”หวังติ่งจวินกล่าว เขาในตอนนี้สองตาแดงก่ำ ทวนยาวในมือถูกอาบย้อมด้วยเลือดสดๆ

ศึกครั้งนี้รบกันต่อเนื่องสามวันสามคืน ทุกคืนพวกเขาได้พักผ่อนแค่หนึ่งถึงสองชั่วยาม นอกนั้นก็เฝ้าอยู่ที่นี่ตลอด เห็นข้าศึกยังบุกโจมตีอย่างต่อเนื่องหวังติ่งจวินย่อมต้องห่วงความปลอดภัยของรัชทายาทเจาก่อนเป็นอันดับแรก

รัชทายาทเจายืนอยู่หน้าค่ายทหารด้านหลังประตูเมือง มีองครักษ์อารักขาข้างกายแม้เขาจะรู้สึกว่าไม่จำเป็นก็ตาม

ข้าหาใช่คนรักตัวกลัวตายไม่ ยิ่งไปกว่านั้นเมืองฉินหยางแห่งนี้ก็ใช่จะถูกตีแตกได้ง่าย ศึกครั้งนี้ศัตรูยังคงเป็นฝ่ายปราชัย

กำแพงเมืองถูกทำลายจนได้รับความเสียหายหลายจุด ร่างไร้ชีวิตนอกประตูเมืองกองทับถมเป็นภูเขา กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งลอยอวลอยู่ในอากาศชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอาเจียน

เสียงร้องครางครวญโหยหวนดังให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง พวกทหารจากเดิมที่เคยหวาดกลัวเสียงนี้ในศึกครั้งแรกเวลานี้กลับคุ้นชินกับมันเสียแล้ว ต่างกวัดแกว่งอาวุธต้านข้าศึกอยู่นอกเมือง

รายงาน! ทหารข้าศึกบาดเจ็บล้มตาย เวลานี้น่าจะเหลืออยู่ราวหนึ่งหมื่น ขวัญทหารมิแกร่งกล้า เจ้าเมืองหยางเสนอให้เราเป็นฝ่ายบุกตีก่อน ขอองค์รัชทายาทโปรดตัดสินพระทัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ

ถุย!หวังติ่งจวินถ่มน้ำลาย ฮึ! ไม่เสียทีที่หยางเฟิงมีฉายาว่าเจ้าบ้า อาจหาญจะเป็นฝ่ายบุกตีก่อนเสียด้วย ไม่ได้!

เขารีบหันขวับไปมองรัชทายาท ดูเหมือนศึกครั้งนี้มีโอกาสที่จะชนะสูงมาก แต่ท้ายที่สุดแล้วกองกำลังทหารในเมืองก็มีน้อยกว่าทหารข้าศึกมาก ตอนนี้พวกเขามีชัยภูมิป้องกันเมืองที่ดีมาก อาศัยกำแพงเมืองที่แข็งแกร่งจึงสามารถรักษาเมืองไว้ได้จนถึงตอนนี้ หากเปิดประตูเมือง ใครแพ้ใครชนะยังตอบยาก อีกอย่างท่ามกลางสงครามที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เขาจะสามารถอารักขาป้องกันภัยให้องค์รัชทายาทอย่างครอบคลุมรอบด้านได้อย่างไร! ในความคิดของหวังติ่งจวินต่อให้เมืองฉินหยางต้องเปลี่ยนมือเจ้าของก็ไม่สำคัญเท่าความปลอดภัยขององค์รัชทายาท

รัชทายาทเจาส่ายหน้า เรื่องเป็นฝ่ายบุกตีระงับไว้ก่อน เพิ่มกำลังโต้กลับให้มากขึ้น เตรียมขนปืนใหญ่ขึ้นไปบนป้อมประตูเมือง

ฝ่าบาททรงคิดจะใช้ไฟในการโจมตี?”

รัชทายาทเจาเงยหน้ามองกำแพงเมืองที่ตอนนี้ถูกอาบย้อมด้วยโลหิตจนแทบจะเป็นสีแดงฉานแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าอยากทดสอบประสิทธิภาพกระสุนเพลิงของพระชายาว่ายอดเยี่ยมเพียงใด

หลายปีก่อนถังเยว่เคยคิดที่จะผลิตระเบิด แต่สุดท้ายก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ อานุภาพของระเบิดรุนแรงโหดร้ายเกินไป ในยุคสมัยที่ขาดแคลนอาวุธเช่นนี้จึงหาใช่ของดีไม่ หากเคล็ดลับการทำรั่วไหลออกไป จะก่อให้เกิดหายนะที่มิอาจประเมินได้ แม้โครงการสร้างระเบิดจะถูกพับไปแต่เขาก็ยังบอกวิธีผลิตกระสุนเพลิงและระเบิดเพลิงขนาดเล็กให้กับหลี่เจา วิธีผลิตสิ่งของเหล่านี้ง่ายกว่าระเบิดแต่อานุภาพการทำลายล้างและแรงสังหารก็ด้อยกว่า ทว่าเมื่อกระสุนเพลิงลูกแรกถูกยิงลงไปใส่กองทัพข้าศึกใต้ป้อมกำแพงเมืองและระเบิดออกกลางอากาศ แรงสั่นสะเทือนก็ยังนับว่ามหาศาลอยู่ไม่น้อย

นี่คืออะไร?” ในทัพหลังของกองทัพพันธมิตรฉีอ๋องมีคนร้องอุทานด้วยความตื่นตะลึง

สะเก็ดไฟกระเด็น เศษกระเบื้องคมกริบบาดเข้าเนื้อ เสียงร้องโอดโอยดังระงม เพียงชั่วพริบตาใต้ป้อมประตูเมืองก็มีร่างที่กลายเป็นศพมากมายก่ายกอง

พอเห็นเหล่าทหารหวาดกลัวไม่กล้าก้าวเดินต่อ ผู้บัญชาการกองทัพข้าศึกก็รู้ได้ทันทีว่าไพร่พลกำลังเสียขวัญ หากฝืนทำการรบต่อไปรังแต่จะทำให้กำลังพลของฝ่ายตนลดลงเรื่อยๆ จึงรีบออกคำสั่งให้ถอยทัพ

ถอย! ถอยทัพ!

ถอยทัพแล้ว! ทหารข้าศึกสั่งถอยทัพแล้ว! พวกเราชนะแล้ว!

เสียงโห่ร้องกึกก้องดังสนั่นป้อมประตูเมือง ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว

ถังเยว่อยู่ถนนอวี้หรงมาสามวันสามคืนแล้ว ตกกลางคืนก็นอนเบียดอยู่บนเตียงเดียวกับผู้ช่วยอีกสองคนโดยไม่ได้คิดถือสาอะไร ขอเพียงได้พักผ่อนก็พอ

สิ่งแรกที่ต้องทำหลังลืมตาตื่นคือเดินตรวจอาการผู้ป่วยว่าฟื้นตัวแค่ไหนแล้ว จากนั้นก็ลงมือผ่าตัดรายใหม่ต่อไป ศึกครั้งนี้แม้สร้างความเสียหายและทำให้ทหารของพวกเขาได้รับบาดเจ็บเกือบสองพันนาย แต่ข้าศึกถูกสังหารและถูกจับเป็นเชลยมากกว่าเป็นสิบเท่า ถือเป็นศึกป้องกันเมืองที่แสนวิเศษยิ่งนัก

หลังเกิดเรื่องมีผู้เก็บสถิติทหารบาดเจ็บที่ได้รับการรักษาในศึกครั้งนี้ ปรากฏว่ามีราวร้อยนายที่ต้องพิการตลอดชีวิต แต่รวมแล้วพวกถังเยว่สามารถรักษาทหารบาดเจ็บให้รอดชีวิตได้ถึงกว่าสามพันนาย ไม่มีศึกครั้งไหนในอดีตเคยทำได้เช่นนี้มาก่อน

ที่ผ่านมาหากในสมรภูมิมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกเขาล้วนได้แต่นอนรอความตาย ส่วนผู้ที่บาดเจ็บเล็กน้อยก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจากบาดแผลเพียงเล็กน้อยก็อาจลุกลามจนถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน แต่เวลานี้แตกต่างจากเดิมราวฟ้ากับเหว เช่นนี้แล้วจะไม่ให้ทุกคนซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อราชสำนัก พยายามปกป้องชาติบ้านเมืองอย่างสุดชีวิตได้อย่างไร

หลังผ่านศึกครั้งนี้คาดว่าทัพพันธมิตรฉีอ๋องคงได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง น่าจะกลับมาโจมตีเราอีกไม่ได้แล้ว” เจ้าเมืองหยางลูบเคราแพะพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ

เดิมทีคิดว่าเมืองฉินหยางไม่มีทัพหนุนแล้วจะต้านทานข้าศึกไว้ไม่อยู่แน่ ที่ทำได้ก็แค่ประวิงเวลาเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าหลังถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องติดๆ กันถึงสองครั้ง พวกเขากลับสามารถขับไล่ข้าศึกให้ถอยร่นไปได้สำเร็จ และครั้งนี้ยิ่งทำให้กองทัพข้าศึกสูญเสียกำลังพลบาดเจ็บล้มตายไปมากกว่าเดิม เจ้าเมืองหยางนึกถึงตอนยิงกระสุนเพลิงใส่ข้าศึกลูกแล้วลูกเล่าขึ้นมาได้ ในใจพลันฮึกเหิมตามเปลวเพลิงที่ลุกโหม

ได้ยินว่าพระชายาเป็นผู้ประดิษฐ์กระสุนเพลิง เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่?” หยางเฟิงแอบสืบข่าวจากหวังติ่งจวิน ซึ่งฝ่ายนั้นก็ไม่ถือสาที่จะช่วยถังเยว่สร้างชื่อเสียงให้เลื่องลือจึงยืดอกตอบอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง

หาใช่เพียงกระสุนเพลิงไม่ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่พวกเราใช้อยู่ในเวลานี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นของที่พระชายาปรับปรุงพัฒนาขึ้นใหม่ นอกจากนี้ยังมีพู่กัน กระดาษ หมึก แท่นฝนหมึกที่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างหลงใหลนิยมใช้ ทั้งหมดล้วนเป็นความคิดของพระชายาทั้งสิ้น

พระชายาช่างเป็นเหมือนเทพเซียนมาเกิดจริงๆ มิรู้ว่าอาจารย์ของพระองค์คือผู้ใด คิดไม่ถึงว่าจะเก่งกาจล้ำเลิศถึงเพียงนี้!

ไม่จำเป็นต้องสงสัย ผู้ที่สามารถสั่งสอนศิษย์ที่แสนประเสริฐอย่างพระชายาได้จะต้องเป็นผู้วิเศษเร้นลับอย่างแน่นอน หากไปตามสืบจะกลายเป็นลบหลู่ผู้สูงส่ง” หวังติ่งจวินพูดกลบเกลื่อนหลอกล่อหยางเฟิงอย่างเจ้าเล่ห์

ตัวเขาเองก็รู้สึกสนใจประวัติความเป็นมาของถังเยว่ แต่เห็นได้ชัดว่าองค์รัชทายาททรงทราบ จึงจงใจรับสั่งให้องครักษ์ลับทำลายร่องรอยหลักฐานในอดีตของพระชายามิให้ผู้ใดมีโอกาสสืบหาได้พบ

ที่น้องหวังพูดมาก็ถูก เสียดายที่ปริมาณกระสุนเพลิงมีน้อยเกินไป ศึกครั้งนี้ใช้ไปกว่าครึ่งโกดังของที่มีอยู่ ที่เหลือก็มีพอใช้ได้แค่อีกครั้งเดียว

รู้จักพอบ้างเถอะ น้ำมันเพลิงที่ใช้กับกระสุนปืนใหญ่พระชายาก็เป็นผู้ผสมขึ้นเอง อุตส่าห์แบ่งปันของพวกนี้ให้เมืองฉินหยางก็นับว่าทรงเห็นความสำคัญของเมืองฉินหยางมากแล้ว

หยางเฟิงคิดทบทวนแล้วก็เห็นด้วย ศึกใหญ่ของหนานจิ้นอยู่ทิศเหนือ ทหารที่แข็งแกร่งของเป่ยเยว่มิได้ขี้ขลาดอ่อนด้อยอย่างทัพพันธมิตรฉีอ๋องที่ฟันฉับดาบเดียวก็สามารถสังหารได้หนึ่งคน

ทางเป่ยเยว่เกรงว่าจวนจะบุกแล้วเช่นกันกระมัง?” หยางเฟิงถอนหายใจ เมื่อไรพวกเขาถึงจะสามารถกำราบเป่ยเยว่ให้ยอมศิโรราบได้สักที ปวงประชาจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับภัยสงครามอีก

ที่นั่นมีทหารที่มีประสิทธิภาพของหนานจิ้นหนึ่งแสนนาย ย่อมไม่ถูกโค่นล้มได้ง่ายดายแน่

หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น


 

228 เช่นนั้นจะประเสริฐและดีงามมาก

ข่าวแห่งชัยชนะฉบับหนึ่งถูกส่งด่วนแปดร้อยลี้ถึงเมืองเย่เฉิง เวลานี้จักรพรรดิหนานจิ้นจึงเพิ่งได้ทราบข่าวการตายของฉีอ๋อง ตามข่าวลับที่ได้รู้นี่เป็นผลจากแผนการของรัชทายาทเจาที่เดินทางไปเมืองฉินหยาง จักรพรรดิหนานจิ้นพอใจผลงานนี้ของรัชทายาทเจาเป็นอย่างยิ่ง

วิเศษ! วิเศษจริงๆ ฮ่าๆๆ” จักรพรรดิหนานจิ้นหัวเราะร่าด้วยความดีใจอย่างสุดแสน

กระหม่อมขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องทัพพันธมิตรของฉีอ๋องและเผ่าเยว่อี๋แล้ว ฝ่าบาททรงเปี่ยมพระบารมียิ่งนัก” เสนาบดีตุลาการเซวียรีบประจบ

มันก็ยังไม่แน่หรอก” อานกั๋วกงพูดอย่างสุขุม แม้จวนฉีอ๋องจะปราศจากผู้ที่มีคุณสมบัติเป็นผู้สืบทอด แต่ฉีอ๋องมีสมุนที่จงรักภักดีและมักใหญ่ใฝ่สูงอีกไม่น้อย ขอเพียงพวกเขายังคงขวัญกล้า ทัพพันธมิตรก็ไม่แน่ว่าจะล่มสลายเพราะการตายของฉีอ๋อง

ตรงจุดนี้ฝ่าบาทคงมีแผนการแต่แรกแล้ว ไม่ทราบว่าองค์รัชทายาททรงคิดจะรับมือเช่นไร?”

เวลานี้องค์รัชทายาทถูกกักบริเวณ จะรู้ได้อย่างไรว่าทรงมีความคิดเห็นเช่นไร!

อานกั๋วกงพึมพำก่อนจะลอบเงยหน้าชำเลืองมองจักรพรรดิหนานจิ้น เห็นฝ่ายนั้นดูนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านในใจอานกั๋วกงพลันร้อนรุ่มดั่งไฟสุม รัชทายาทถูกกักบริเวณเช่นนี้แม้จะไม่มีผลกระทบต่อตำแหน่งแต่ก็ทำให้เสื่อมเสียเกียรติ ใช่ว่าขุนนางเสนาบดีในราชสำนักจะมีใจสวามิภักดิ์ต่อองค์รัชทายาททั้งหมดเสียเมื่อไร

เสนาบดีตุลาการเซวียกับรัชทายาทเจาแม้มิได้ไปมาหาสู่กันอย่างเปิดเผย แต่เวลานี้กลับออกมาเอ่ยปากขอร้องแทนรัชทายาทเจาอย่างชัดเจน

พระอาญามิพ้นเกล้า หลายปีมานี้รัชทายาททรงเสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองมาโดยตลอด น้อยครั้งมากที่จะทรงกระทำความผิด ตอนนี้บ้านเมืองอยู่ในยามคับขัน มิสู้ให้รัชทายาทได้ทำคุณไถ่โทษด้วยการช่วยเหลือบ้านเมือง เช่นนี้จะนับว่าเป็นการยิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัวนะพ่ะย่ะค่ะ

ทำคุณไถ่โทษงั้นหรือ ฮ่าๆ” จักรพรรดิหนานจิ้นหัวเราะเสียงดังลั่น “เอาละ พวกเจ้าไม่ต้องขอร้องแทนเขาแล้ว ข้าจะบอกความจริงให้ก็ได้ ข้าหาได้กักบริเวณเขาไม่ ตอนนี้เขาอยู่เมืองฉินหยาง

เพราะวันนี้อารมณ์ดีเป็นพิเศษจักรพรรดิจึงไม่ถือสาที่จะเปิดเผยความลับนี้ให้เหล่าเสนาบดีในราชสำนักได้รับรู้ อานกั๋วกงกับเซวียถิงเว่ยต่างตกตะลึง โดยเฉพาะอานกั๋วกงซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของรัชทายาทนั้นพลันเกิดความห่วงใยขึ้นท่วมใจ

ฝ่าบาท เมืองฉินหยางอันตรายถึงเพียงนั้น รัชทายาทเสด็จไปเช่นนี้เสี่ยงอันตรายเกินไปนะพ่ะย่ะค่ะ!

จักรพรรดิหนานจิ้นจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตานิ่งสงบ

ข้าย่อมต้องใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของรัชทายาทอยู่แล้วอานกั๋วกงวางใจเถอะ

เสนาบดีตุลาการเซวียเห็นบรรยากาศเริ่มตึงเครียดจึงรีบช่วยพูดไกล่เกลี่ย

ฝ่าบาทกับองค์รัชทายาทคงมีแผนการที่แยบคายอยู่เป็นแน่ พ่อลูกร่วมใจต้านข้าศึก เห็นทีศึกครั้งนี้หนานจิ้นของพวกเราจะต้องคว้าชัยมาได้แน่!

พูดจบก็ขยิบหูขยิบตาให้อานกั๋วกง บอกใบ้ให้ฝ่ายตรงข้ามพูดให้น้อยหน่อย ต่อให้พวกเขาเป็นห่วงรัชทายาทแต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงออกชัดเจน เช่นนี้มิเท่ากับเป็นการตำหนิจักรพรรดิว่าไม่ห่วงใยพระโอรสหรอกหรือ ยิ่งไปกว่านั้นเสนาบดีตุลาการเซวียยังเชื่อมั่นในองค์รัชทายาท อย่าว่าแต่ฉินหยาง ต่อให้ไปเมืองฉู่โจวองค์รัชทายาทก็จะต้องปลอดภัยไม่มีสิ่งใดมาแผ้วพานทำร้ายได้ องค์รัชทายาทผู้เกรียงไกรแห่งหนานจิ้นของพวกเขาหาใช่นกน้อยในกรงทองไม่!

สถานการณ์ในเมืองฉินหยางเวลานี้ไม่สู้ดีนักก็จริงอยู่ แต่ทัพใหญ่เป่ยเยว่ยกมาประชิดชายแดน ไพร่พลในราชสำนักที่สามารถโยกย้ายได้มีอยู่อย่างจำกัด ข้ามีราชโองการสั่งให้ทหารรักษาการณ์ที่อยู่ใกล้ไปช่วยแล้ว แค่พวกก่อความไม่สงบกลุ่มเดียวหนานจิ้นต้องไม่แพ้เด็ดขาด!

ฝ่าบาททรงใคร่ครวญได้รอบคอบยิ่งนัก” เสนาบดีตุลาการเซวียรีบเอ่ย ทว่าในใจกลับไม่เห็นด้วย ‘จำนวนทหารรักษาการณ์แต่ละเมืองก็มิได้มีมากมาย ที่อยู่ใกล้ฉินหยางที่สุดก็มีแต่เมืองอวี้ซิน เมืองอื่นที่เหลือล้วนอยู่ไกลเกินไป จะยอมเคลื่อนทัพมาช่วยหรือไม่เป็นอีกเรื่อง หรือต่อให้ยอมเคลื่อนทัพมาช่วยแต่กำลังอาวุธของทหารรักษาการณ์เหล่านั้นก็มิได้ดีกว่าข้าศึกศัตรูสักเท่าไร ช่างน่ากลุ้มใจยิ่งนัก!

ทั้งสองออกมาจากวังหลวง อานกั๋วกงมีสีหน้าบึ้งตึงถึงขีดสุด เสนาบดีตุลาการเซวียร้องเรียกเขาก็ไม่ตอบรับ นั่นเพราะตอนนี้เขาทั้งโมโหทั้งร้อนใจ ข้อแรกเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของรัชทายาท ข้อสองเขาโกรธหูจินเผิงลูกชายตัวเอง ระยะนี้เจ้าเด็กนั่นหายเงียบไป ต้องอยู่กับรัชทายาทแน่ เรื่องใหญ่ขนาดนี้แต่กลับปิดบังไม่ให้เขารู้ เช่นนี้จะไม่ให้โมโหได้อย่างไร!

ท่านกั๋วกง อย่าโมโหไปเลย เสียสุขภาพเปล่าๆ รัชทายาทจะต้องเสด็จกลับมาอย่างปลอดภัยแน่ ท่านต้องมั่นใจในองค์รัชทายาทสิถึงจะถูก” เสนาบดีตุลาการเซวียตามมาปลอบโยน

อานกั๋วกงแค่นหัวเราะเสียงเย็น “จักรพรรดิทรงปล่อยให้รัชทายาทไปตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้ ใครจะรู้ว่าพระองค์ทรงคิดอย่างไร แต่ก็ต้องขอบคุณใต้เท้าเซวียมากที่เมื่อครู่ช่วยพูดให้

เหตุใดถึงกล่าวเช่นนี้ พวกเราเป็นขุนนางร่วมราชสำนัก ทั้งยังหวังให้องค์รัชทายาทเสด็จกลับมาอย่างปลอดภัย การช่วยเหลือซึ่งกันและกันนับเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว

อานกั๋วกงพยักหน้า กล่าวขอบคุณอีกครั้งแล้วขึ้นม้าจากไป

 เมืองฉินหยาง

คณะของรัชทายาทเจาเตรียมเดินทางออกจากเมืองนี้ ทัพหนุนเพิ่งมาถึงเมื่อหนึ่งเค่อก่อน แต่มาแค่สองพันนาย ตอนหลี่เจายืนอยู่บนป้อมประตูเมืองมองไปยังทัพหนุนที่มีอาวุธไม่พร้อมและมีจำนวนบางตาสีหน้าก็พลันเย็นเยียบดุจภูเขาน้ำแข็ง

คนพวกนี้บุกป่าฝ่าดงเดินทางไกลมาถึงนี่เกรงว่าในใจคงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง” ถังเยว่เอ่ยพลางทอดถอนใจ เขาถึงขั้นสงสัยว่าคนเหล่านี้อาจมาถึงตั้งนานแล้ว เพียงแต่รอให้สงครามยุติก่อนค่อยปรากฏตัว แม้ความคิดนี้ของเขาอาจดูต่ำทรามไปหน่อยแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

เดิมทีพวกทหารรักษาการณ์ก็ไม่เข้มแข็งอยู่แล้ว ยามปกติพวกเขาเก่งแต่ข่มเหงรังแกชาวบ้าน แม้แต่ความกล้าหาญจะไปปราบโจรก็ยังไม่มี ไหนเลยจะคู่ควรมาออกศึก

จักรพรรดิส่งคนพวกนี้มาเป็นทัพหนุน หรือทรงคิดว่าศึกครั้งนี้จะไม่มีการต่อสู้?”

หลี่เจาเลิกคิ้ว “มิใช่เช่นนั้น แต่เพราะเสด็จพ่อรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่และต้องแก้ปัญหานี้ได้อย่างแน่นอน

ถังเยว่ไม่รู้ว่าจักรพรรดิหนานจิ้นฉลาดหรือโง่เขลากันแน่ ทำเช่นนี้มิเท่ากับใช้ลูกชายตัวเองเป็นเดิมพันอย่างนั้นหรือ ถ้าหากรัชทายาทต้านทานไม่อยู่จะไม่เท่ากับเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่หรืออย่างไร!

จักรพรรดิทรงมั่นพระทัยในฝ่าบาทยิ่งนัก!” ถังเยว่พูดได้เพียงเท่านี้

หลี่เจาจูงมือถังเยว่ก้าวลงจากป้อมประตูเมือง โบกมือสั่งให้ขบวนที่เตรียมพร้อมออกเดินทางหันหัวกลับ “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว จะอยู่ฉินหยางต่อ

ทุกคนต่างงุนงงไม่เข้าใจ แม้แต่ถังเยว่ก็ยังเดาใจอีกฝ่ายไม่ถูก

เพราะเหตุใด?”

หลี่เจาประคองเขาขึ้นรถม้า พ้นสายตาทุกคนแล้วจึงค่อยอธิบาย

เตรียมการไว้ให้พร้อม มะรืนนี้พวกเราจะตรงไปเมืองฉู่โจว

ทางนั้นส่งข่าวมาหรือยัง เปิดศึกกันแล้วหรือ?”

สองทัพดูเชิงกันอยู่ ตอนนี้ยังไม่มีการเคลื่อนไหวชั่วคราว

เป่ยเยว่นี่ก็แปลก ป่านนี้แล้วยังไม่บุกไม่ถอย ไม่ทำสิ่งใดสักอย่าง เอาแต่เฝ้าดูเชิงอยู่แบบนี้ มีแผนการอะไรกันแน่” ถังเยว่มองอย่างไรก็ไม่เข้าใจ

หลี่เจาขมวดคิ้วหยิบแผนที่ออกมาจ้องมองเนิ่นนาน ถังเยว่เห็นบนแผนที่มีรายละเอียดขีดเขียนไว้มากมาย ทั้งยังวาดภาพไว้ไม่น้อย คิดว่าหลี่เจาจะต้องจำลองสถานการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว

ผู้นำทัพใหญ่เป่ยเยว่ครั้งนี้คือหลินขุย คนผู้นี้มีผลงานด้านการรบที่ยอดเยี่ยม ซื่อสัตย์จงรักภักดี เสียอย่างเดียวเป็นคนใจร้อนบุ่มบ่าม ชอบเสี่ยงทำไปก่อนโดยมิได้คิดวางแผนให้รอบคอบ

ถ้าเช่นนั้น...ศึกครั้งนี้ก็ดูเหมือนมิใช่รูปแบบการรบของเขา

นั่นสิ หรือเป่ยเยว่จะเปลี่ยนแม่ทัพคนใหม่กะทันหัน คงมิใช่ว่า…” ดวงตาวาวโรจน์ดุจคบเพลิงของหลี่เจาจับจ้องไปยังตำแหน่งทุกจุดบนแผนที่ คิ้วขมวดมุ่น “ต้องมีบางสิ่งที่พวกเราคาดไม่ถึงแน่

ถังเยว่ยื่นมือไปแตะหน้าผากอีกฝ่าย

มนุษย์มิใช่เทพคำนวณ ไหนเลยจะหยั่งรู้ทุกสิ่ง ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน[1]พระทัยร้อนไปก็ไม่เกิดประโยชน์ รอดูไปก่อน ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องรู้แน่ว่าพวกเขาคิดเล่นลูกไม้อะไร

หลี่เจาพยักหน้าแล้วเก็บแผนที่ให้เรียบร้อย

พอมาถึงจวนเจ้าเมืองเขาก็สั่งให้คนไปตามหยางเฟิงและหวังติ่งจวินมาสั่งการสองเรื่อง เรื่องแรกคือเมื่อทัพหนุนสองพันนายเดินทางมาถึงให้รับเข้าร่วมหน่วยรบชั่วคราว ฝึกซ้อมอย่างเข้มงวดทุกวัน ต้องถอดรูปแปลงร่างพวกเขาให้แข็งแกร่งขึ้นภายในสิบวันหรือครึ่งเดือนให้จงได้

ต่อให้เป็นทหารฝีมือต่ำต้อยอย่างไรก็ยังมีค่า

รัชทายาทเจาไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไปตามยถากรรม ไม่ว่าจะเต็มใจมาร่วมรบหรือไม่ ในเมื่อมาแล้วก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ขอเพียงไม่อยากตายก็ต้องดึงพลังแฝงขึ้นมาใช้อย่างไร้ขีดจำกัดให้จงได้

เรื่องที่สองคือเพิ่มกำลังคนออกไปสืบข่าว เรื่องราวทั่วทุกสารทิศในเมืองฉินหยางแม้แต่นิดเดียวก็ห้ามปล่อยให้หลุดลอดไปได้ เมื่อมีการเคลื่อนไหวให้รีบรายงานกลับมาทันที

เจ้าเมืองหยางมีสีหน้าเคร่งขรึม เรียกทัพหนุนมาด่าสั่งสอนก่อนหนึ่งยกแล้วค่อยเอ่ยถาม

ฝ่าบาททรงสงสัยว่าข้าศึกจะบุกตีต่ออย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

หวังติ่งจวินเอ่ยความเห็น “ต่อให้มาก็ไม่น่าจะเร็วนัก ครั้งก่อนข้าศึกเสียหายหนักมาก กำลังใจถดถอย หากบุกตีเมืองต่อผลลัพธ์ไม่แน่ว่าจะดี

รัชทายาทเจาเข้าใจในจุดนี้ สิ้นฉีอ๋องแล้วไพร่พลจวนฉีอ๋องกับเผ่าเยว่อี๋ไม่มีทางที่จะสมานสามัคคีกันได้อีก มีแต่จะลอบกัดกันเองเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ภายในกองทัพพันธมิตรย่อมเกิดความขัดแย้ง ตามหลักแล้วพวกเขาไม่ต้องกังวลถึงจะถูก

เมื่อคิดไม่ตกรัชทายาทเจาจึงเลิกคิด ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเดินทางช้าลงอีกสองวันจึงถือโอกาสช่วยจัดการเรื่องสำคัญในชีวิตผู้ใต้บังคับบัญชาให้เรียบร้อย เขาบอกให้หยางเฟิงออกไปก่อน เมื่ออยู่ตามลำพังกับหวังติ่งจวินจึงเอ่ยถาม “เจ้าอยากเป็นคู่ครองของจงโหย่งโหวจริงหรือ?”

หวังติ่งจวินถูกถามแบบไม่ได้ตั้งตัวจึงมีสีหน้ากระอักกระอ่วนแต่ก็ยังพยักหน้าอย่างซื่อตรง

คนที่บ้านเจ้ายอมรับเรื่องนี้ได้หรือ?”

รอยยิ้มจุดขึ้นที่มุมปากของหวังติ่งจวินขณะเอ่ยตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน

บิดากระหม่อมคงอยู่ได้อีกไม่นาน มารดากระหม่อมจากโลกนี้ไปนานแล้ว ส่วนพี่น้องล้วนไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่ายเรื่องคู่ครองของกระหม่อม

นี่ก็หมายความว่าเมื่อบิดาล่วงลับจากโลกนี้ไปก็จะไม่มีใครสามารถก้าวก่ายเรื่องของเขาได้อีก

ในเมื่อเจ้าตัดสินใจเช่นนี้ข้าก็จะเป็นเจ้าภาพจัดการเรื่องนี้ให้เอง เพียงแต่ถ้าภายภาคหน้าเจ้าข่มเหงจงโหย่งโหว เกรงว่าพระชายาจะไม่ละเว้นเจ้าแน่

หวังติ่งจวินได้ยินเช่นนั้นก็ยินดียิ่ง รีบทรุดตัวคุกเข่าลงข้างหนึ่ง

ขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมย่อมไม่ข่มเหงรังแกเขาเป็นอันขาด ขอพระชายาโปรดวางพระทัย

ถ้าจะข่มเหงก็คงเป็นการข่มเหงเรื่องอย่างว่า ในจุดนี้คิดว่าจงโหย่งโหวและพระชายาคงไม่ตำหนิเขากระมัง?

รัชทายาทเจาเห็นท่าทางอีกฝ่ายแล้วอดรู้สึกระอาใจไม่ได้จึงได้แต่สั่งกำชับ

ต่อไปเจ้าก็เฝ้าเขาไว้ดี อย่าให้เขามาวุ่นวายกับพระชายาได้อีก

น้อมรับพระบัญชา!” หวังติ่งจวินกระแอมหนึ่งที พยายามระงับความตื่นเต้นดีใจแล้วถาม “ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงวางแผนว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้กระหม่อมเช่นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

หากได้รับสมรสพระราชทานจริงคงจะประเสริฐและดีงามยิ่งนัก!

 

 

เชิงอรรถ

  1. หมายถึง แก้ปัญหาไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

 

229 อายุไม่น้อยแล้วควรแต่งงานมีครอบครัวได้แล้วกระมัง

รัชทายาทเจาเอ่ยปากว่าจะเป็นเจ้าภาพจัดการเรื่องคู่ครองให้หวังติ่งจวิน ตกบ่ายจึงเรียกจางฉุนมาพบโดยมีเสี่ยวลั่วลั่วติดตามมาด้วยเด็กน้อยถูกจางฉุนอุ้มมาไว้เป็นโล่กำบัง

รัชทายาทเจาตรวจการบ้านของเสี่ยวลั่วลั่ว เด็กน้อยอายุห้าขวบคนนี้เรียนรู้วิชาอ่านเขียนมานานแล้ว เวลานี้กำลังศึกษาเล่าเรียนกับอาจารย์เหวินในจวน นอกจากวิชาการแล้ว ด้านวิทยายุทธ์ก็ห้ามละทิ้ง แม้ถังเยว่จะรู้สึกว่าไม่จำเป็นแต่เขาก็ยกตนเองเป็นตัวอย่าง ตอนเขาอายุห้าขวบแม้แต่เวลาจะเที่ยวเล่นยังไม่มี ไหนเลยจะมีความสุขอย่างเสี่ยวลั่วลั่วที่ทั้งมีเวลาได้เล่นได้ทำงานฝีมือ ซึ่งที่จริงแล้วก็เป็นการเล่นอีกอย่างหนึ่งนั่นเอง

หลังตรวจการบ้านเสร็จ รัชทายาทเจาบอกให้เสี่ยวลั่วลั่วไปหาถังเยว่ จากนั้นจึงอยู่ในห้องกับจางฉุนตามลำพัง

จางฉุนนั่งกระสับกระส่ายอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยถามออกมาตรงๆ

ฝ่าบาท เรียกกระหม่อมมามีกิจอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้วสมควรจะมีครอบครัวได้แล้วกระมัง” รัชทายาทเจาตอบตรงประเด็นยิ่งกว่าคนถาม ใช้ประโยคเดียวบอกถึงวัตถุประสงค์ได้อย่างชัดเจน

มีครอบครัว...ก็หมายความว่าให้ย้ายออกจากจวนรัชทายาท!

หมายความว่าหลังจากนี้เขาจะพบเจอถังเยว่ตลอดเวลาไม่ได้แล้ว จะไม่ได้หัวเราะและเล่นสนุกกับเสี่ยวลั่วลั่วซึ่งเขาคลุกคลีสนิทชิดเชื้อยิ่งกว่าบิดาของเด็กน้อยเสียอีก

เหอะๆ” จางฉุนหัวเราะแห้งๆ “เรื่องนี้กระหม่อมไม่รีบ กระหม่อมยังเด็กอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ

ข้ามีรายชื่อธิดาของเหล่าขุนนางเสนาบดีทั่วเมืองหนานจิ้น มีครบยิ่งกว่ายามเสด็จพ่อคัดเลือกสาวงามเสียอีก สตรีเหล่านี้เพียบพร้อมทั้งความสามารถและความงาม ข้าให้เวลาเจ้าดูให้หมดภายในหนึ่งวัน แล้วเลือกออกมาสักสองสามคน พอกลับเย่เฉิงแล้วค่อยพิจารณาดูให้ดีอีกครั้ง

รัชทายาทเจาสั่งจบก็ยื่นสมุดรายชื่อเล่มหนึ่งให้เขา จางฉุนรับไว้ด้วยความอกสั่นขวัญแขวน

มิได้ฝ่าบาท เอ่อกระหม่อมมิได้…”

สมุดรายชื่อแบบเดียวกันนี้หวังติ่งจวินก็มีชุดหนึ่ง บิดาเขาอายุมากแล้วอีกทั้งสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง เขาเป็นลูกควรที่จะกตัญญู

ในฐานะลูกชายควรกตัญญูอย่างไรล่ะ?

ไม่ว่ายุคไหนสมัยใดคนเป็นพ่อเป็นแม่ล้วนอยากเห็นลูกเป็นฝั่งเป็นฝา จางฉุนมือสั่นระริก สมุดรายชื่อในมือพลันร่วงลงพื้น ใบหน้าซีดเผือด

เขาตอบรับแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

รัชทายาทเจาตอบกำกวม สีหน้าเรียบเฉยปราศจากคลื่นอารมณ์

เขาบอกว่าจะกลับไปคิดดู สงครามนับวันมีแต่จะหนักหน่วงขึ้นหวังติ่งจวินเป็นคนที่ข้าฝึกฝนมาเองกับมือ เมืองฉินหยางแห่งนี้ย่อมมิใช่สนามรบของเขา ต้องเป็นชายแดนเป่ยเยว่ถึงจะถูก

เหอะๆ ฝ่าบาทจะเสด็จไปเมืองฉู่โจวมิใช่หรือ กระหม่อมได้หารือกับพระชายาแล้วว่าจะติดตามไปด้วย กระหม่อมช่วยบริจาคกระโจมหนึ่งพันหลัง ชุดเสื้อบุนวมหนึ่งหมื่นชุดในนามส่วนตัว ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยที่มอบให้ทหารชายแดนจางฉุนพยายามฉีกยิ้มที่แสนน่าเกลียด จ้องรัชทายาทเจาตาไม่กะพริบ

แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยขวัญกล้าขนาดนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เขาแค่อยากให้รัชทายาทเจาเรียกสมุดรายชื่อที่มอบให้หวังติ่งจวินกลับคืนมา แม้เขาจะรู้ว่านี่มิใช่ปัญหาที่แท้จริง

เช่นนั้นข้าต้องขอบใจในน้ำใจของท่านโหวน้อยแทนพวกทหารด้วย ไว้เสร็จศึกข้าจะปูนบำเหน็จให้เจ้าก็แล้วกัน

มิได้ มิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแค่ช่วยเหลือเล็กน้อยเท่านั้น มิกล้าขอปูนบำเหน็จหรอก...” จางฉุนอึกอักอยู่ครู่หนึ่งจึงถามอย่างระมัดระวัง “แต่ถ้าจะทรงเมตตา ขอเปลี่ยนรางวัลเป็นอย่างอื่นได้หรือไม่?”

เจ้าปรารถนาสิ่งใด?” รัชทายาทเจารินชาแล้วจ้องมองอีกฝ่ายนิ่งๆ

เอ่อ...คือ…” จางฉุนหยิบสมุดรายชื่อขึ้นมาแล้วส่งกลับไปให้ฝ่าบาทคงมิทรงทราบ กระหม่อมมีข้อเสียเยอะมาก ไม่เหมาะที่จะสมรสมีครอบครัว ดังนั้นสิ่งนี้ไม่จำเป็นหรอกพ่ะย่ะค่ะ

เรื่องที่เจ้ามีข้อเสียอยู่มากมายข้าย่อมรู้ดี แต่ต่อให้ย่ำแย่ไม่ได้เรื่องได้ราวสักเพียงใดถึงอย่างไรก็ต้องสมรส เอามาเป็นข้ออ้างไม่ได้หรอก

จางฉุนอยากร้องไห้เต็มทน ‘ฝ่าบาท นี่ทรงปลอบโยนกระหม่อมอยู่จริงหรือ? ดูเหมือนเจตนาทิ่มแทงกลางใจกระหม่อมเสียมากกว่า!

เรื่องนี้ไม่ต้องรีบ ถึงอย่างไรก็ต้องรอให้กลับเย่เฉิงก่อนจึงจะสามารถเชิญแม่สื่อไปทาบทามพวกนางถึงจวนได้ ตอนข้ามอบสมุดรายชื่อให้หวังติ่งจวินบังเอิญนึกถึงเจ้าขึ้นมา จึงถือโอกาสมอบให้เจ้าด้วยชุดหนึ่ง บอกตามตรงข้ายังห่วงว่าพวกเจ้าจะถูกใจสตรีคนเดียวกัน หากเป็นเช่นนั้นจริงคงปวดหัวน่าดู

จางฉุนกัดฟันดังกรอด “ฝ่าบาททรงกังวลเกินไปแล้ว สายตากระหม่อมกับเขาจะเหมือนกันได้อย่างไร จะไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นอย่างแน่นอน

ก็ไม่แน่หรอก ลางเนื้อชอบลางยา สตรีจากตระกูลใหญ่ก็มีทั้งดีและไม่ดี หญิงดีใครก็อยากได้ ได้ข่าวว่าบุตรสาวคนรองซึ่งเกิดแต่ภรรยาเอกของเสนาบดีตุลาการเซวียมีรูปโฉมงดงามจนน่าตกตะลึง อีกทั้งยังมีความสามารถรอบด้าน เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดกุลสตรีอันดับหนึ่ง

จางฉุนก้มหน้าพลิกดูสมุดรายชื่อ เปิดมาหน้าแรกก็เจอผู้หญิงคนนั้นทันที ปีนี้เพิ่งอายุสิบสี่!

แม่เจ้า! แต่งงานตั้งแต่อายุแค่นี้จะไม่มีปัญหาจริงหรือ?’

จางฉุนส่ายหน้าแล้วพูดอย่างเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด “สตรีนางนี้ยังเด็กเกินไป ไม่เหมาะกับแม่ทัพหวังหรอกพ่ะย่ะค่ะ

รัชทายาทเจาแย้ง “อายุมิใช่ปัญหา หวังติ่งจวินเพิ่งแต่งงานครั้งแรก อีกทั้งยังมีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าเมือง เสนาบดีตุลาการเซวียย่อมไม่ถือสาเรื่องเขาอายุมาก มิหนำซ้ำมีข้าออกหน้าเป็นพ่อสื่อให้ หากเขาถูกใจสตรีนางนี้จริงย่อมมีแนวโน้มว่าจะสำเร็จสูงถึงเก้าส่วน

แม่ทัพหวังไม่มีทางถูกใจนางแน่!” จางฉุนยืนยันด้วยความมั่นใจ นิสัยของหวังติ่งจวินเป็นเช่นไรมีหรือเขาจะไม่รู้

เจ้ายังเด็กเกินไปจึงไม่รู้ว่าการแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ระหว่างสองตระกูล ไม่ใช่แค่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ เพียงอย่างเดียว ตอนข้าสู่ขอถังเยว่มาเป็นชายาต้องฟันฝ่าอุปสรรคนับไม่ถ้วนกว่าจะมีวันนี้ แต่ในแผ่นดินหนานจิ้นจะมีคนอย่างข้าสักกี่คนกัน

ความหมายของรัชทายาทก็คือ ‘หากพวกเจ้าจะอยู่ด้วยกันไปวันๆ อย่างไร้อนาคตและไร้ซึ่งความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว มิสู้เลิกราจากกันเสียแต่เนิ่นๆ ยังจะดีเสียกว่า

จางฉุนหน้างอทันทีแล้วพรวดพราดลุกยืนขึ้น “ขอบพระทัยในความหวังดีของฝ่าบาท กระหม่อมจะกลับไปคิดทบทวนดูให้ดี!

อืม เจ้าไม่รีบก็ค่อยๆ คิดไปแล้วกัน แต่หวังติ่งจวินอายุมากแล้วอีกทั้งยังต้องออกรบในไม่ช้า ก่อนเขาจะไปรบข้าอยากให้เขาจัดการเรื่องแต่งงานให้เรียบร้อย

จางฉุนได้ยินแล้วตาแทบถลนออกจากเบ้า

ฝ่าบาท เขาอยู่เมืองฉินหยางแต่สตรีมีชาติตระกูลพวกนี้ส่วนใหญ่อยู่เมืองเย่เฉิง จะรีบร้อนแต่งกันก่อนไปรบได้อย่างไร?”

รัชทายาทเจาปรายตามองเขาเยี่ยงมองคนโง่เขลา

พ่อแม่ตัดสินใจ แม่สื่อชักนำ ขอเพียงเขาต้องใจธิดาบ้านใดข้าจะออกหนังสือให้ทันที ให้แม่สื่อไปทาบทามฝ่ายหญิงถึงบ้าน เท่านี้ก็เรียบร้อย ในยามคับขัน รวบรัดได้ก็ต้องรวบรัด เชื่อว่าหากฝ่ายตรงข้ามมีใจอยากแต่งด้วยย่อมต้องให้อภัย ยอมรับฟังเหตุผลอย่างแน่นอน

จางฉุนหัวเราะเหอะๆ ด้วยน้ำเสียงแสนแห้งแล้ง

รีบร้อนขนาดนี้ฝ่าบาทคิดจะให้เขาให้กำเนิดบุตรชายก่อนยกทัพออกรบด้วยเลยไหมพ่ะย่ะค่ะ? ป้องกันหากเขาเกิดตายในสนามรบขึ้นมา เดี๋ยวจะไร้ทายาทสืบสกุลให้รุ่งโรจน์สืบต่อไป

รัชทายาทเจาพยักหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน

ท่านเจ้าเมืองผู้เฒ่าคิดเช่นนี้จริงๆ แต่ข้ารู้สึกว่าเรื่องลูกขึ้นกับบุญวาสนา จะด่วนใจร้อนไม่ได้ เจ้าล่ะคิดว่าอย่างไร?”

ให้ตายสิ! จางฉุนได้ยินแล้วแทบคลั่ง ทำไมเขาต้องมายืนถกเถียงกับรัชทายาทเรื่องหวังติ่งจวินจะแต่งงานมีลูกอยู่ตรงนี้ด้วย!

ฝ่าบาท เรื่องนี้ต้องถามความเห็นของหวังติ่งจวินเสียก่อน ว่าเขาจะยินยอมหรือไม่…”

จางฉุนพูดยังไม่ทันจบก็ถูกรัชทายาทเจาขัดขึ้น

เขาจะไม่ยินยอมได้อย่างไร ตอนอยู่จวนรัชทายาทเป็นเพราะข้าเกรงว่าหลังจากแต่งงานมีครอบครัวแล้วเขาจะไม่มีสมาธิทำงานจึงมิได้ให้เขาแต่งงานสักที แต่ตอนนี้ถึงเวลาเหมาะสมแล้ว บุรุษสร้างหลักปักฐานเป็นสิ่งที่สมควรทำ

จางฉุนพึมพำเบาๆ ประโยคหนึ่ง

ฝ่าบาทก็มิได้เป็นไปตามครรลองที่ควรจะเป็น…”

รัชทายาทเจาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงบ่นพึมพำนั้น เพียงเปรยขึ้นลอยๆ

หากเขาอยากจะเลียนแบบเส้นทางแสนลำบากของข้าก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ก็ต้องเป็นอัจฉริยบุคคลอย่างถังเยว่ด้วยนะถึงจะคู่ควร ไม่เช่นนั้นข้าก็คงไม่เห็นด้วย

จางฉุนเดินออกมาจากห้องด้วยอาการหน้ามืดวิงเวียน พุ่งตรงไปหาหวังติ่งจวินก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนพวกเขาจะคุยอะไรกัน ลงไม้ลงมือวิวาทหรือแค่ทำสงครามเย็นกันนั้น รัชทายาทเจามิได้ใส่ใจเลยสักนิด

วันที่สาม อากาศดีเป็นพิเศษ พระอาทิตย์ดวงโตลอยเด่นอยู่บนผืนฟ้า อากาศที่หนาวเหน็บขมุกขมัวติดต่อกันมาหลายวันค่อยๆ จางหายไปตามแสงแดดที่เจิดจ้า

ฝ่าบาท เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้วสามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ” หวังติ่งจวินรายงานอย่างกระตือรือร้น หลี่เจาปรายตามองเขาครู่หนึ่งก่อนจะหันไปถามถังเยว่ “ที่เดิมพันกันไว้เมื่อวานยังมีผลอยู่หรือไม่?”

ถังเยว่เหลือบมองหวังติ่งจวินแวบหนึ่ง อันที่จริงไม่ต้องถาม แค่ดูสีหน้าและแววตาก็รู้ว่าหวังติ่งจวินได้ตามที่ปรารถนาแล้ว เขาควักถุงเงินออกมาแล้วหยิบเงินหนึ่งตำลึงทองส่งให้หลี่เจา ทำทีเป็นมองไม่เห็นดวงตากระหยิ่มยิ้มย่องของอีกฝ่าย ขณะเดินผ่านก็พูดเพียง “กระหม่อมจะไปดูจงโหย่งโหวสักหน่อย” ทว่าเพิ่งก้าวเท้าพ้นประตูก็บังเอิญชนกับเจ้าเมืองหยางที่กำลังรีบเร่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา เจ้าเมืองหยางไม่ทันเอ่ยปากขอโทษก็วิ่งพรวดเข้าไปรายงานรัชทายาทด้วยสีหน้าร้อนรน

ฝ่าบาท เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ…”

หือ?”

ทัพใหญ่ประมาณหนึ่งแสนยกมาประชิดเมืองฉินหยาง อีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามก็จะมาถึงแล้ว ควรทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”

ทัพใหญ่หนึ่งแสนงั้นหรือ?” ทุกคนในที่นั้นต่างตื่นตะลึง ถังเยว่หันมาถาม “พวกเขาเอาทัพใหญ่หนึ่งแสนมาจากไหน หรือว่าเกณฑ์ทหารแบบเฉพาะกิจ?”

หลี่เจาส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าแคว้นใดก็ไม่มีทางใช้วิธีเกณฑ์ชาวบ้านมาเป็นทหารแล้วส่งลงสนามรบทันที ที่ดินศักดินาของฉีอ๋องอยู่ในเขตหนานจิ้น ในเมื่อฉีอ๋องยังทำไม่ได้ ทายาทของเขายิ่งไม่มีทางทำได้

งั้นนี่ก็คือ…”

หลี่เจาก้าวเท้ามายืนหน้าจุดแขวนแผนที่ จ้องมองเนิ่นนานก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น

ดูเหมือนว่าที่เป่ยเยว่ยังไม่ยอมเคลื่อนไหว คงเพราะกำลังรอข้าอยู่ที่นี่

ความหมายของฝ่าบาทคือ…” ถังเยว่เดินมายืนเคียงข้าง เห็นอีกฝ่ายขีดเส้นบนแผนที่ลากจากเมืองฉินหยางโยงไปยังชายแดนเป่ยเยว่ด้วยดวงตาแดงก่ำ หยางเฟิงกับหวังติ่งจวินเห็นแล้วร้องอุทานด้วยความตกใจ

ที่แท้เป้าหมายของเป่ยเยว่ก็คือเมืองฉินหยาง! เพราะเหตุใด?”

เมืองฉินหยางอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ สำหรับเป่ยเยว่ถือว่าอยู่ไกลเกินไป เหตุใดพวกเขาถึงเดินทางรอนแรมนับพันลี้มาถึงที่นี่ได้ หรือเพื่อมาสมทบกับทัพพันธมิตรฉีอ๋องร่วมแรงกันโจมตีฉินหยางให้แตกพ่าย! สองเจ้าเมืองสบตากัน ต่างเห็นแววตื่นตระหนกและทุกข์กังวลของกันและกัน

ฝ่าบาท กระหม่อมจะไปสั่งให้คนเตรียมทำศึก! ให้เจ้าเมืองหวังพาพระองค์หลบหนีไปจากที่นี่ก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ

หยางเฟิงตัดสินใจเตรียมเปิดศึกชี้ชะตาไว้เรียบร้อยแล้ว เขาต้องการถ่วงเวลาให้เพียงพอที่รัชทายาทเจาจะหนีไปได้ทัน ทว่าหลี่เจากลับส่ายหน้า

ข้าไม่ไป อย่างน้อยก็มิใช่ตอนนี้ ให้คนไปสืบสถานการณ์กองทัพข้าศึกให้แน่ชัดก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที

ฝ่าบาท!หยางเฟิงกับหวังติ่งจวินร้องออกมาพร้อมกัน ทว่ายังไม่ทันได้ยกเหตุผลร้อยพันมาอ้างอิงถังเยว่ก็เอ่ยห้ามพวกเขาไว้เสียก่อน

พวกท่านอย่าห้ามอีกเลย รัชทายาทเสด็จมาเมืองฉินหยางย่อมต้องเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดีแล้ว พวกท่านแค่รอรับคำสั่งก็พอ

หวังติ่งจวินนึกบางอย่างขึ้นได้ทันที มีเพียงหยางเฟิงที่ยังคงงุนงงมิหนำซ้ำในใจยังอดรู้สึกไม่ได้ว่าถังเยว่พูดจาคุยโวเกินจริง ดังนั้นขณะที่เขากำลังจะอ้าปากทักท้วงอีกครั้งก็ถูกหวังติ่งจวินดึงแขนเสื้อไว้แล้วใช้สายตาปราม


 

230 ผู้พิทักษ์เกราะนิลออกโรง

ปิดประตูเมือง! เตรียมออกรบ!

ยอดอาชาไนยฝีเท้าดีตัวหนึ่งวิ่งทะยานมาถึงหน้าประตูเมืองด้วยความรวดเร็ว คนผู้หนึ่งตะโกนเสียงดังอยู่บนหลังม้าก่อนจะกระโดดลงมาแล้ววิ่งตรงขึ้นไปจุดไฟสัญญาณบนยอดป้อมประตูเมือง

ป้อมจุดสัญญาณไฟแห่งนี้ถูกทิ้งร้างมานานปี ยุทธการก่อนหน้าก็ไม่เคยมีการจุดไฟมาก่อนเพราะทุกคนรู้ว่าถึงจุดไปก็คงไม่เกิดประโยชน์

กลุ่มควันดำลอยสูงขึ้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งถือคบเพลิงไว้ในมือสายตาจับจ้องไปยังกลุ่มควันที่ลอยสูงอยู่ในอากาศก่อนจะเคลื่อนสายตาย้ายไปมองยังจุดที่อยู่ไกลออกไป ในจุดที่แผ่นฟ้าเชื่อมต่อกับผืนดินดูเหมือนจะมีควันดำอีกกลุ่มเคลื่อนตรงมาทางนี้ เขาโยนคบเพลิงทิ้งแล้วกู่ก้องร้องตะโกนเสียงดัง

กองทัพข้าศึกประชิดเข้ามาแล้ว เร่งมือเร็วเข้า!

กลางวันแสกๆ จู่ๆ ชาวฉินหยางก็พบว่าบรรยากาศในเมืองเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ทหารที่เดิมควรจะได้ผ่อนคลายสบายอารมณ์เพราะเป็นฝ่ายชนะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พวกเขาพุ่งตรงไปยังประตูเมืองอย่างพร้อมเพรียงภายในชั่วพริบตา ชาวบ้านเห็นแล้วต่างหวาดผวา ตามท้องถนนจึงมีผู้คนรีบวิ่งหนีเข้าบ้านเรือนกันจ้าละหวั่น

ไหนว่ารบชนะแล้วมิใช่หรือเหตุใดถึงรบกันอีกแล้วล่ะ?” ผู้เฒ่าท่านหนึ่งถามขึ้นแล้วทอดถอนใจ

ใครจะไปรู้ บางทีทัพข้าศึกอาจมีทัพหนุนมาช่วยกระมัง แต่ไม่ต้องกลัวหรอก ได้ยินว่ามีผู้สูงศักดิ์มาบัญชาการทัพอยู่ในเมือง ผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นได้นำกระสุนเพลิงซึ่งเป็นของหายากในแผ่นดินมาด้วย ของชนิดนี้มีอานุภาพพอที่จะทำให้ข้าศึกตกใจและตื่นกลัว ครั้งก่อนได้ยินว่าพวกเราก็ใช้สิ่งนี้เอาชนะข้าศึก

เฮ้อ! หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น มิฉะนั้นพวกเราแต่อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลย พาคนไปช่วยที่ถนนอวี้หรงกันดีกว่า เผื่อจะช่วยหยิบจับอะไรได้บ้าง

ดี! ข้าเห็นด้วย

เวลาหนึ่งชั่วยามผ่านไปไวเหมือนโกหก แผ่นดินกว้างใหญ่ที่เคยเงียบสงบกลับมีเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นให้ได้ยินเป็นระลอก แม้จะไม่เห็นเหตุการณ์แต่ทุกคนก็สามารถจินตนาการภาพกองทัพทหารม้านับพันนับหมื่นกำลังวิ่งทะยานด้วยความเร็วสูงได้

รายงาน! กองทัพข้าศึกหนึ่งแสน แนวหน้าสามหมื่นมาถึงเมืองแล้ว จะแบ่งทัพออกโจมตีทันทีหรือไม่ขอรับ!

รายงาน! กองกำลังปีกซ้ายหนึ่งหมื่นของทัพข้าศึกกำลังขุดดินในระยะห่างจากประตูเมืองออกไปราวห้าสิบจั้ง ดูเหมือนพวกเขาคิดจะผ่านเข้าเมืองโดยทางใต้ดิน ขอท่านเจ้าเมืองโปรดมีบัญชา!

รายงาน! กองกำลังปีกขวาหนึ่งหมื่นของทัพข้าศึกอ้อมไปด้านหลัง วางแผนจะโจมตีจากด้านหลัง ขอท่านเจ้าเมืองโปรดส่งกำลังไปช่วยต้านทัพข้าศึกด้วยเถิดขอรับ!

หยางเฟิงขมวดคิ้วแน่นเป็นปม เขาเหลือบมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกาย

ฝ่าบาท ศึกครั้งนี้ควรรับมืออย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”

เห็นได้ชัดว่าเจ้าเมืองหยางรู้ซึ้งว่าหมดหนทาง ศึกครั้งนี้ในสายตาเขาไม่มีทางเอาชนะได้เลย นอกจากจะมีกระสุนเพลิงที่ใช้ในการรบครั้งก่อนมากหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็คงมิอาจต้านทานทัพใหญ่จำนวนถึงหนึ่งแสนนี้ได้อยู่ดี

รอ!รัชทายาทเจาเอ่ยออกมาเพียงคำเดียว

รอ?”

คำตอบนี้ทำให้หยางเฟิงรู้สึกว่าตนใกล้จะเสียสติขึ้นมาจริงๆ ต้องรอไปถึงเมื่อไร? หรือรัชทายาทนึกว่าจะยังมีทัพหนุนมาช่วยอีกอย่างนั้นหรือ?

ฮึ! อย่าว่าแต่ทัพหนุนเลย ต่อให้ทหารรักษาการณ์บริเวณโดยรอบในระยะพันลี้มารวมตัวกัน ก็ยังไม่พอต้านทัพใหญ่หนึ่งแสนของศัตรูเลยด้วยซ้ำ

ฝ่าบาท ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่ากองกำลังของศัตรูแข็งแกร่งขึ้นมาก แสดงว่าต้องมีทหารชั้นยอดของเป่ยเยว่อย่างน้อยห้าหมื่นนายร่วมทัพ ผู้นำทัพก็คงเป็นขุนศึกยอดฝีมือ อาศัยเฉพาะคนของพวกเราที่มี…”

สายตาของรัชทายาทเจาจับจ้องไปยังบริเวณนอกกำแพงใต้ป้อมประตูเมือง ด้านหน้ากองกำลังทหารของศัตรูที่ยืนเรียงรายแผ่รัศมีทรงพลังอยู่นั้นมีบุรุษผู้หนึ่งมองขึ้นมาบนป้อมด้วยแววตามาดร้าย

ฮ่าๆๆ เจ้าพวกหนานจิ้นเต่าหดหัว! ยังไม่รีบยอมแพ้อีกหรือ ขอเพียงพวกเจ้ายอมเปิดประตูเมือง ข้าผู้เป็นแม่ทัพรับรองว่าราษฎรในเมืองจะไม่ตาย! มิเช่นนั้นรอข้าพังประตูเมืองเข้าไปได้เมื่อไร ฉินหยางจะต้องนองไปด้วยเลือด!

เปิดประตูเมือง! เปิดประตูเมือง! ยอมแพ้! ยอมแพ้!

เสียงพูดอย่างพร้อมเพรียงดังกึกก้องสะท้อนกังวานจนแทบจะไปถึงฟากฟ้าเหนือเมืองฉินหยาง ราษฎรในเมืองได้ยินเสียงโห่ร้องของทหารข้าศึกก็ต่างตกใจจนแข้งขาอ่อน

ยอมจำนนจึงจะสามารถรักษาชีวิตไว้ได้…”

จิตใจราษฎรในเมืองเริ่มสั่นคลอน ไม่มีใครไม่กลัวตาย เมื่อรู้ว่ามีทางรอดใครบ้างจะไม่อยากรอด!

หุบปาก! เหล่าทหารแนวหน้าซึ่งเป็นญาติมิตรลูกหลานของพวกเราต่างให้สัตย์สาบานว่าจะขอสู้ตาย ยอมพลีชีพเพื่อรักษาเมืองรักษาแผ่นดิน พวกเจ้านอกจากมือไม่พายยังเอาเท้าราน้ำด้วยการกล่าววาจาบั่นทอนกำลังใจให้ละทิ้งความกล้าไปง่ายๆ เช่นนี้อีกหรือ!

ถังเยว่เห็นผู้คนเริ่มจิตใจสั่นคลอนจึงสั่งให้ทหารไปจับคนใจปลาซิวโยนใส่คุกหลวง แล้วส่งคนไปปล่อยข่าวว่าทัพหนุนของหนานจิ้นใกล้จะมาถึงแล้ว มีกำลังทหารมากพอที่จะจัดการกับข้าศึกได้ ทั้งเจ้าเมืองหยางและเหล่าทหารหาญยังคงป้องกันเมืองอย่างสู้ตาย ไม่มีใครละทิ้งหน้าที่

ผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นยังอยู่ที่นี่!

มีคนกระจายข่าวนี้ออกไป คำพูดแสนสั้นเพียงเท่านี้กลับสามารถปลอบขวัญทำให้จิตใจปวงประชาสงบลงได้กว่าครึ่ง ในความคิดของพวกเขาคือกระทั่งผู้สูงศักดิ์ยังไม่หนี นี่ย่อมหมายความว่าเมืองฉินหยางต้องไม่แพ้มิเช่นนั้นมีหรือที่ผู้สูงศักดิ์จะมายอมตายเป็นเพื่อนพวกเขา บรรยากาศในเมืองเริ่มสงบ ขณะมีเสียงร้องโอดโอยจากหน้าประตูเมืองดังตามมา กองทัพข้าศึกเริ่มการโจมตีแล้ว

ครั้งนี้ต่างจากสองครั้งก่อน กองทัพข้าศึกนำอาวุธที่ยอดเยี่ยมกว่ามาตีเมือง ประตูเมืองถูกกระแทกจนใกล้จะพัง เหล่าทหารที่กำลังปีนขึ้นกำแพงเมืองก็เก่งกาจกว่าครั้งก่อนเป็นร้อยเท่า พวกเขามือไม้ว่องไวปราดเปรียว กำลังแขนมหาศาล อาศัยเพียงเชือกเส้นเดียวในการปีนขึ้นป้อมประตูเมืองแต่ก็ถูกทหารหนานจิ้นต้อนรับด้วยก้อนหินขนาดมหึมา ทั้งมีท่อนซุงราดน้ำมันเพลิงลุกท่วมกลิ้งใส่

เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น หลังผ่านประสบการณ์ล้มเหลวไปครึ่งชั่วยาม ในที่สุดทหารข้าศึกคนแรกก็ปีนขึ้นมาบนป้อมประตูเมืองได้สำเร็จ เขาชักดาบยาวซึ่งเหน็บไว้ที่เอวออกมา ฟันฉับเดียวก็ปลิดชีพทหารหนานจิ้นไปหนึ่งราย สองฝ่ายประจันหน้าตะลุมบอนกัน คนพวกนี้เป็นทหารชั้นยอดของเป่ยเยว่ ฝีมือล้ำเลิศเหนือชั้นอย่างเห็นได้ชัด ทหารทั่วไปมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา

ฝ่าบาท...เจ้าเมืองหยางร้อนใจดังไฟสุม รีบเสด็จเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะถ่วงเวลาพวกมันไว้เอง...

รัชทายาทเจาส่ายหน้า ยื่นมือชี้ไปยังทิศทางที่อยู่ไกลออกไป

เจ้าเมืองหยาง เจ้าเห็นหรือยัง?”

เห็นสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เจ้าเมืองหยางอยากบอกว่าเวลานี้เขามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความปลอดภัยของรัชทายาท เขาอยากเตือนให้รัชทายาทรีบหนีไปจากที่นี่อีกครั้ง ทว่าจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงรองแม่ทัพที่อยู่ข้างๆ ร้องขึ้นด้วยความตื่นตะลึง

นั่น...นั่นคือทัพหนุนของฝ่ายใดกัน?”

เจ้าเมืองหยางเพ่งมองออกไป เห็นเพียงฝุ่นฟุ้งตลบปรากฏขึ้นตรงจุดเชื่อมต่อของเส้นขอบฟ้า ดุจดั่งพายุทรายลูกใหญ่กำลังพัดถล่ม

เขาอ้าปากกว้าง ตาค้าง นี่...นี่...ต้องมีกองทัพทหารม้าจำนวนเท่าไรถึงจะสามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ได้?”

กองทัพนั้นเคลื่อนพลด้วยอัตราที่ถือว่าไม่เร็วนักจึงค่อยๆ เผยโฉมที่แท้จริงออกมาอย่างช้าๆ

สวรรค์! นั่น! นั่นมันอะไรกัน?”

เห็นเพียงหมอกดำทะมึนดุจเมฆลอยล่องเข้ามาใกล้ รัศมีเปี่ยมพลังยากจะต้านทาน เกิดแรงสั่นสะเทือนที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าทัพใหญ่หนึ่งแสนที่บุกมาโจมตีก่อนหน้านี้แม้แต่น้อยตามมา

กระทั่งสิ่งนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้น จึงมีคนตาดีมองเห็นกองกำลังทหารสวมชุดนักรบครบเครื่องตั้งแต่ศีรษะจดเท้า แต่นี่ยิ่งตอกย้ำให้พวกเขาสิ้นหวังมากกว่าเดิม นั่นเพราะพวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าหนานจิ้นมีกองกำลังทหารเช่นนี้อยู่ด้วย เพราะฉะนั้นจะต้องเป็นทัพหนุนของข้าศึกเป็นแน่! ชีวิตข้าจบสิ้นแล้ว!

ฝ่าบาท...นี่...นี่คือ...

หยางเฟิงตะลึงงันจนพูดไม่ออก อย่าบอกนะว่านี่คือทัพหนุนของพวกเขา แต่หนานจิ้นมีกองทัพทหารม้าติดอาวุธลึกลับสุดยอดเยี่ยมเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน!

พวกเขาสวมหมวกเหล็กกับเสื้อเกราะสีดำสนิททำจากโลหะเป็นเงามันเลื่อมทั้งตัว ควบยอดอาชาไนยใส่ชุดเกราะองอาจห้าวหาญ แผ่รังสีดุจเทพมรณะ บรรยากาศดุดันนั้นราวกับจะสังหารศัตรูทุกคนที่ขวางหน้า เพียงแค่เห็นก็ทำให้รู้สึกใจสั่นขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ

ต่อจากนี้ข้าจะรอดูว่ากองทัพทหารม้านี้มีพลังในการสู้รบมากแค่ไหน

สายตาหยางเฟิงจับจ้องอยู่ที่หน้ากากผีแยกเขี้ยวพวกนั้นด้วยความตื่นตะลึง

นี่...นี่คือทหารนักรบที่หนานจิ้นของพวกเขาฝึกขึ้นมางั้นหรือ ทำได้อย่างไร!?

ทหารราบเกราะเบาห้าพันนายมาถึงสนามรบก่อน พวกเขาบุกตะลุยเข้าโรมรันกับทหารข้าศึก ตีค่ายกลของข้าศึกแตกกระเจิงรวดเร็วฉับไว ง้าวแต่ละเล่มได้รับการสังเวยด้วยชีวิตทหารข้าศึก

หยางเฟิงพลันตกตะลึง ดูเหมือนว่าง้าวเหล่านั้นจะแตกต่างจากที่กองทัพทั่วไปใช้กัน ทั้งยาวกว่าและคมกว่า ยามคมง้าวปะทะ อาวุธของข้าศึกพลันหักครึ่งอย่างง่ายดาย เหล็กกล้าถูกตัดขาดราวกับเป็นเพียงดินเหนียวอ่อนนิ่ม

ฝ่าบาท อาวุธพวกนี้ผลิตขึ้นมาได้อย่างไรหากเหล่าทหารหนานจิ้นของเราได้ใช้อาวุธเทพเช่นนี้ ต่อจากนี้ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ว่าจะไม่สามารถสร้างสันติสุขให้กับใต้หล้าได้อีกแล้ว

รัชทายาทเจาส่ายหน้า “อาวุธพวกนี้มีส่วนประกอบจากเหล็กอยู่มากเกินไป มีไม่พอที่จะจัดสรรให้แก่ทหารได้ครบทั้งกองทัพ มิหนำซ้ำขั้นตอนการผลิตยังยุ่งยากซับซ้อน หากไม่ใช้เวลาถึงแปดปีสิบปีคงไม่สามารถผลิตจำนวนมากขนาดนั้นขึ้นมาได้

ช่างน่าเสียดายนัก แต่ว่าฝ่าบาท เหตุใดม้าของพวกเขาก็ยังสวมชุดเกราะด้วย ก่อนหน้านี้ตอนเห็นไกลๆ กระหม่อมยังนึกว่าเป็นเกราะเหล็ก แต่พอเห็นใกล้ๆ กลับดูเหมือนว่าไม่ใช่

นั่นคือเกราะหวาย ใช้หวายสร้างขึ้นมา มีน้ำหนักเบากว่าเกราะเหล็กมาก

หยางเฟิงพยักหน้า เขาคิดมาแต่แรกแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสวมเกราะเหล็กอันหนักอึ้งลงบนตัวม้า มิเช่นนั้นน้ำหนักที่แสนหนักอึ้งไม่ทับม้าตายก็นับว่าบุญแล้ว ไหนเลยพวกมันจะเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วปราดเปรียวเช่นนี้อยู่อีก

ฝ่าบาท จักรพรรดิทรงทราบเรื่องทหารกองทัพนี้หรือไม่?” หยางเฟิงถามด้วยใจระทึก ดูเหมือนว่าเขาจะเจอความลับบางอย่างเข้าให้แล้ว

รัชทายาทเจาส่ายหน้าและมิได้อธิบายขยายความแต่อย่างใด เขาเชื่อว่าหากข่าวนี้แพร่ไปถึงเมืองเย่เฉิงจักรพรรดิหนานจิ้นต้องโมโหมากแน่ และคงมีขุนนางไม่น้อยที่คอยจ้องเล่นงานฉวยโอกาสสาดโคลนใส่เขา ทว่าเขาก็ไม่คิดใส่ใจเรื่องพวกนี้

เมื่อมีกองทหารม้าเกราะหนักห้าพันนายมาสมทบ สถานการณ์จึงเริ่มเปลี่ยนจากเสียเปรียบพลิกกลับมาเป็นต่อ แม้กำลังไพร่พลของทั้งสองฝ่ายจะเหลื่อมล้ำกันมากแต่ฝ่ายศัตรูก็มิอาจต้านทานพลังสังหารของผู้พิทักษ์เกราะนิลได้

ยามที่ทหารมากมายเห็นหน้ากากแสนดุร้ายน่าสะพรึง ต่างตกใจหวาดกลัวจนแข้งขาอ่อน เรี่ยวแรงที่จะต่อต้านพลันลดฮวบ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาพบว่าเจ้าชุดเหล็กดำพวกนี้ฟันแทงไม่เข้า ประหนึ่งมีเทพเจ้าสถิตอยู่ในกาย เช่นนี้ย่อมสร้างความท้อแท้สิ้นหวังในการรบครั้งนี้ให้กับพวกเขา

รู้ทั้งรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามฆ่าไม่ได้ ฟันไม่ขาด เช่นนี้แล้วพวกเขาจะเอาขวัญกำลังใจที่ไหนมาต่อสู้ได้อีก!

กำลังใจแม่ทัพข้าศึกพลันลดฮวบภายในชั่วอึดใจ เขาฟันฉับบั่นคอทหารที่หนีทัพอย่างโหดเหี้ยม แล้วตวาดลั่น

รักษาค่ายกลไว้อย่าให้เสียขบวน! ตีล้อมพวกมัน ข้าไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา ก็แค่พวกคนขี้ขลาดที่ต้องการหลอกให้พวกเราตกใจเท่านั้น ฆ่าพวกมันเสียให้สิ้น!

ดาบเล่มหนึ่งฟันลงบนร่างผู้พิทักษ์เกราะนิลที่สวมชุดนักรบเต็มยศ เกิดเสียงเสียดสีดังบาดหูพร้อมประกายลูกไฟกระเด็นออกมา ราวกับเย้ยหยันแม่ทัพผู้นั้นที่หลอกตัวเองและหลอกผู้อื่น เขาคิดจะลงมือซ้ำอีกครั้งแต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ให้โอกาส ทุกคนจึงเห็นเพียงผู้พิทักษ์เกราะนิลกระตุกเชือกบังเหียนด้วยมือเดียว อาชาพลันหมุนตัวเปลี่ยนทิศ ร่างของผู้พิทักษ์เกราะนิลเอนไปด้านหลังพร้อมกับยื่นแขนออกไป ง้าวในมือพุ่งตรงไปยังศีรษะของฝ่ายตรงข้าม แต่เหมือนง้าวนั้นจะจงใจยกสูงขึ้นครึ่งนิ้ว จึงตัดได้เพียงเส้นผมสีดำช่อหนึ่งและหมวกของศัตรูให้ขาดร่วงลงพื้น

ฮึๆ พลาดไปหน่อย มาต่อกันเถอะ!เสียงหัวเราะร่าเริงของบุรุษดังออกมาจากใต้หน้ากากอันน่าสะพรึงกลัว เขาโจมตีต่อเนื่องทันทีท่ามกลางสายตาตะลึงงันของฝ่ายตรงข้าม

สู้ให้เต็มที่! มิเช่นนั้นวันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า!

ฮึ! อวดดียิ่งนัก วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตาว่าพละกำลังที่แท้จริงเป็นเช่นไร!

ศัสตราวุธทั้งสองปะทะกัน พวกเขาต่อสู้กันหลายสิบกระบวนท่าภายในเวลาสั้นๆ คนหนึ่งชนะด้วยความว่องไว อีกคนชนะด้วยการตั้งรับแข็งแกร่งมั่นคง มิอาจรู้ผลแพ้ชนะภายในเวลาอันรวดเร็ว


 

231 นี่คือเตรียมฝังศพงั้นหรือ?

นี่มันเสียงอะไร

บนถนนอวี้หรงทุกคนต่างเงี่ยหูฟัง สีหน้าฉายแววตื่นตระหนกหวาดผวา

คุณชาย หากเมืองแตก…” แม่เฒ่าที่กำลังช่วยเช็ดตัวคนเจ็บเงยหน้าถาม ผู้อาวุโสท่านนี้เป็นคนเดียวกับที่มาขวางทางถังเยว่ไว้และขอให้เขาช่วยพาหลานชายของนางกลับมา

ถังเยว่ซึ่งกำลังเย็บแผลตอบด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “แม่เฒ่ามิต้องเป็นห่วง เมืองนี้ไม่แตกแน่นอน” เขามัดปมแผลที่เย็บแล้วบอกให้เหอขยับเข้ามาทายาให้คนเจ็บ จากนั้นก็ไปตรวจรักษาคนเจ็บเตียงถัดไป

นั่นสิ ขอเพียงเมืองไม่แตก หลานข้าก็จะต้องมีชีวิตรอดกลับมาแน่” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบเพราะได้ก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งความตื่นตระหนกในครั้งแรกมาแล้ว หรือบางทีอาจเพราะอยู่ใกล้ถังเยว่นางจึงสงบขึ้นมากนางทำงานเก่งคล่องแคล่ว จัดเก็บถนนอวี้หรงจนสะอาดเอี่ยม พอมีเวลาว่างจึงมาช่วยเช็ดตัวให้คนเจ็บ

ยามช่วยคนก็อยากมีสามเศียรหกกรเสียจริง ถังเยว่กับพวกหมอที่เขาพามางานยุ่งจนตัวเป็นเกลียวแทบไม่ได้วางมือ ได้แต่พึ่งจิตอาสาเหล่านี้มาช่วยดูแลคนเจ็บ

แม่เฒ่า ท่านฟังนะ เสียงนี้เป็นทัพของเรา พวกเรามีทางรอดแล้ว” ถังเยว่กระซิบบอกนางด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

คุณชายทราบได้อย่างไร? หรือท่านสามารถแยกแยะได้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงของมิตรหรือศัตรูอย่างนั้นหรือ?”

ใช่แล้ว เพราะมีแต่กองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลเท่านั้นที่สามารถสร้างเสียงฝีเท้าม้าที่แสนพร้อมเพรียงและหนักแน่นเช่นนี้ได้

แม่เฒ่าไม่รู้ว่าผู้พิทักษ์เกราะนิลคืออะไร แต่ลำพังแค่ฟังเสียงก็รู้ได้ว่าต้องแข็งแกร่งเกรียงไกรเป็นอย่างยิ่ง นางจึงแย้มยิ้มกล่าว “เช่นนั้นก็ดีแล้วจะได้รีบขับไล่ข้าศึกไปให้พ้นๆ พวกเราจะได้มีชีวิตสงบสุขเร็วๆ

แน่นอน แผ่นดินจะรวมเป็นหนึ่ง เมื่อหนานจิ้นแข็งแกร่งมากพอก็จะไม่มีใครกล้ารุกราน ไพร่ฟ้าประชาชนก็จะได้มีชีวิตที่สงบสุข

เป้าหมายนี้สำหรับแม่เฒ่าที่ผจญทุกข์เข็ญมาชั่วชีวิตช่างดูห่างไกลเสียเหลือเกิน นางไม่รู้ว่าหนานจิ้นแข็งแกร่งมากพอนั้นเป็นเช่นไร และแน่นอนว่านางก็มิได้ใส่ใจที่จะหาคำตอบ ที่นางปรารถนาคือขอให้คนในครอบครัวได้อยู่อย่างปลอดภัยสงบสุขจนแก่เฒ่า แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

ถังเยว่มองสีหน้าของนางก็รู้ว่าตนได้พูดเรื่องที่ดูเลื่อนลอยไกลตัวเกินไป ราษฎรส่วนใหญ่ไม่สนใจว่าแผ่นดินนี้จะมีชื่อเรียกว่าอะไร ไม่สนใจว่าใครนั่งบนบัลลังก์มังกร ขอเพียงสามารถมอบชีวิตที่มั่นคงปลอดภัยให้พวกเขาได้ ไม่ขูดรีดภาษี เกณฑ์ทหารให้น้อยหน่อย เท่านี้ก็นับว่าดีมากแล้ว เขาจึงไม่พูดสิ่งใดอีก ผลงานคุณูปการของจักรพรรดิย่อมถูกตัดสินด้วยประวัติศาสตร์

บนป้อมประตูเมือง มือของรัชทายาทเจากุมกระบี่หนักฟันฉับลงบนแขนข้างหนึ่งที่กำลังปีนกำแพงขึ้นมา ได้ยินเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของฝ่ายตรงข้ามก่อนร่างจะร่วงหล่นลงไปท่ามกลางสีหน้าที่ยังคงนิ่งเฉยไม่เปลี่ยนแปลงของรัชทายาท

ใต้ป้อมประตูเมือง ซากศพเกลื่อนกลาดกองพะเนินดังภูเขาลูกย่อม กลายเป็นแท่นรองฝ่าเท้าให้ผู้ที่ปีนป่ายเพื่อบุกโจมตีเมือง

ฝ่าบาท เสด็จกลับเข้าเมืองก่อนเถิด ดูจากสถานการณ์ในเวลานี้พวกเราต้องเป็นฝ่ายชนะแน่!” หยางเฟิงลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตาเป็นประกาย เขามั่นใจว่าฝ่ายตนจะต้องคว้าชัยมาครองได้แน่

รัชทายาทเจาถอยหลังไปหนึ่งก้าว องครักษ์ข้างกายขยับตัวตามติด เมื่อครู่ที่มีทหารฝ่ายศัตรูปีนขึ้นมาพวกเขาดูแล้วว่าไม่มีอันตรายจึงมิได้เข้าไปชิงตัดหน้าลงมือจัดการก่อน

ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อดูทหารของข้าคว้าชัยให้เห็นเองกับตา!

ใต้เท้า! ทหารข้าศึกขุดอุโมงค์มาถึงใต้ปากประตูเมืองแล้วขอรับ” พลทหารนายหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารายงาน

หยางเฟิงตาค้างก่อนจะกวาดตามองลงไปยังเบื้องล่าง ทว่ากลับไม่เห็นความผิดปกติแต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้กองกำลังปีกซ้ายของทหารข้าศึกขุดอุโมงค์อยู่นอกเมือง จึงเดาว่าพวกข้าศึกคิดจะเข้าเมืองโดยการลอดผ่านอุโมงค์ใต้กำแพง นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะทำได้จริง

รู้ตำแหน่งที่แน่ชัดหรือไม่?”

พลทหารนายนั้นชี้ไปยังตำแหน่งที่ค่อนข้างลับตาแล้วพูดว่า

ตามที่ข้าน้อยรู้มาน่าจะเป็นทางนั้นขอรับ แต่โดยรวมพวกมันขุดไปถึงไหนแล้วยังต้องรอตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน

หยางเฟิงหน้านิ่วคิ้วขมวด หากปล่อยให้ข้าศึกขุดอุโมงค์ได้อย่างราบรื่น พวกมันก็จะเข้าเมืองจากทางอุโมงค์ใต้ดิน วิธีนี้มิใช่จะมิอาจต่อกรเพียงแต่หากไร้ซึ่งกำแพงเมืองสกัดไว้พวกเขาจะได้รับความเสียหายหนักหนาแน่ ยังมีอีกวิธี คือส่งคนออกไปนอกเมืองเพื่อสกัดกั้นข้าศึกจากทางอุโมงค์ใต้ดินนั่น ขอเพียงอุโมงค์ถล่ม ข้าศึกคิดจะหนีเอาชีวิตรอดก็ทำได้ยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะบุกเข้าเมืองได้

รัชทายาทเจาฟังพลทหารผู้นั้นรายงานจบก็หันไปสั่งการกับองครักษ์ที่อยู่ข้างกายหลายประโยค องครักษ์ผู้นั้นรับคำสั่งแล้วรีบหยิบธงผืนเล็กออกมาโบกสะบัดให้กองทัพด้านล่าง ผู้พิทักษ์เกราะนิลที่กำลังโรมรันกับข้าศึกจู่ๆ ก็มีกลุ่มหนึ่งผละออกจากสนามรบแล้วมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง

หยางเฟิงเห็นเช่นนั้นก็จ้องมองธงในมือองครักษ์ด้วยความข้องใจและใคร่รู้ เขาอยากรู้ว่าองครักษ์สื่อสารกับกองทัพเบื้องล่างได้อย่างไร โดยทั่วไปแล้วธงสัญญาณมีอยู่ไม่กี่อย่าง หลักๆ ก็แค่เดินหน้า ถอยหลัง บุกซ้าย ป้องกันขวาจำพวกนี้ เขายังไม่เคยเห็นสัญญาณธงที่สามารถสื่อสารได้ชัดเจนเช่นนี้มาก่อน

ทหารม้าเกราะหนักหลายสิบนายมายืนประจำตำแหน่ง ม้าศึกเดินวนที่เดิมหลายรอบ จากนั้นทหารนายหนึ่งก็กระโดดลงจากหลังม้า แนบหูฟังเสียง ในที่สุดเขาก็เลือกตำแหน่งหนึ่งก่อนจะหันไปโบกมือให้สหายร่วมทัพ คนกลุ่มนั้นสื่อสารกันทางสายตา แปรแถวเป็นวงกลม หยิบระเบิดเพลิงลูกเล็กออกมาจากเข็มขัดคาดเอวแล้วขว้างลงไปในพื้นดินใต้ฝ่าเท้า

อาวุธที่ถังเยว่เตรียมไว้ให้ทหารกองทัพนี้จัดว่าเป็นสุดยอดยุทโธปกรณ์ของยุคนี้เลยทีเดียว พวกเขานอกจากมีง้าวและทวนที่ใช้เป็นประจำอยู่แล้ว ทุกคนยังพกมีดสั้นติดตัวอีกคนละสองเล่ม เชือกผูกตะขอเหล็กหนึ่งเส้น ระเบิดเพลิงสองลูกและอาหารแห้งอีกหนึ่งถุงเล็ก

ทหารกลุ่มนั้นเคลื่อนตัวออกห่าง ครู่หนึ่งก็เกิดเสียงตูม! ดังขึ้น แม้จะเป็นเสียงที่ไม่ถึงกับดังกึกก้องจนเป็นที่สะดุดตาของสมรภูมิที่กำลังมีการต่อสู้แต่ก็มีคนสังเกตเห็นอยู่หลายคน

ขวางพวกมันไว้! ฆ่ามัน!ขุนพลของข้าศึกตวาดด้วยเสียงเกรี้ยวกราด

ฉวยจังหวะนั้นผู้พิทักษ์เกราะนิลฟันฉับลงไปที่ศีรษะของเขา โชคดีที่เขาเบี่ยงหลบได้อย่างว่องไวทันเวลา คมดาบจึงพลาดไปที่บ่าตัดแขนเขาขาดไปหนึ่งข้าง

อ๊าก! ข้าขอสู้ตาย!

ฮึ! ได้ตามคำขอ!

ผู้พิทักษ์เกราะนิลทำสำเร็จแล้วดาบหนึ่งจึงรีบรุกไล่ต่อทันทีโดยไม่เกรงกลัวต่อการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย ยิ่งรบยิ่งฮึกเหิมหาญกล้า

ขุนพลข้าศึกแขนขาดไปหนึ่งข้าง ความบ้าระห่ำจึงพุ่งทะยานสูงสุด พยายามที่จะฉุดฝ่ายตรงข้ามให้บาดเจ็บล้มตายไปด้วยกัน น่าเสียดายที่เวลาของเขาใกล้จะหมดลงแล้ว ยิ่งฟาดฟันโลหิตก็ยิ่งหลั่งไหล เพียงพักเดียวเขาก็หน้ามืดวิงเวียนเจ็บแปลบเข้ากระดูก ยากที่จะทนต่อไปได้

ตายซะเถอะ!” เสียงคำรามเข้มข้นดุดันของผู้พิทักษ์เกราะนิลดังขึ้นพร้อมกับที่คมง้าวฟาดลงบั่นคอขุนพลข้าศึก ศีรษะขาดกระเด็นลงกับพื้นกลิ้งหลุนๆ ไปตกอยู่ข้างฝ่าเท้าทหารเป่ยเยว่คนหนึ่ง

ตอนแรกทหารนายนั้นยังไม่ได้คิดอะไร การเหยียบถูกร่างไร้ชีวิตในสนามรบถือเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเขาก้มหน้าลงเตรียมจะเตะศีรษะนั้นให้พ้นไปจากฝ่าเท้าก็พบว่าเป็นใบหน้าที่แสนคุ้นตาอย่างที่ไม่มีอะไรจะคุ้นไปมากกว่านี้อีกแล้ว

ทะ...ท่าน...ท่านแม่ทัพ…!” ทหารผู้นั้นทรุดกายคุกเข่า ประคองศีรษะขึ้นมา ร้องไห้ราวกับจะขาดใจ เป็นไปไม่ได้! ท่านแม่ทัพ! ท่านแม่ทัพถูกสังหารแล้ว...!

ในจังหวะที่เขาคิดจะช่วยปิดเปลือกตาของศีรษะที่ตายตาไม่หลับนั้น ง้าวเล่มหนึ่งก็แทงทะลุหน้าอกเขาแล้วชักออก เขาได้แต่จ้องมองปลายง้าวที่ตอนนี้ย้ายไปปักอยู่ในศีรษะแม่ทัพแล้วยกชูขึ้น หลังจากนั้นเขาก็ไม่รับรู้สิ่งใดต่อไปอีก

ขุนพลเป่ยเยว่ตายแล้ว พวกเจ้าจงยอมแพ้ซะ! ขุนพลเป่ยเยว่ถูกสังหารแล้ว จงยอมจำนนเดี๋ยวนี้!

เสียงนั้นดังกึกก้องไปทั่วทั้งสมรภูมิ คำพูดประโยคนี้ราวกับเป็นการเปิดประตูเขื่อน กองทัพข้าศึกพอได้ยินเข้าก็แตกกระเจิง ต่างโยนอาวุธทิ้งแล้วเผ่นหนีออกไปจากสนามรบ

วิเศษ!” หยางเฟิงหัวเราะลั่นด้วยความยินดี ชูอาวุธคู่กายพลางตะโกนก้อง เหล่าวีรบุรุษทั้งหลาย ตามข้าออกไปถล่มพวกทหารแตกทัพให้สาแก่ใจกันเถิด!

เฮ!ทหารทั้งหมดโห่ร้องรับกันอย่างฮึกเหิม ประตูเมืองที่ทั้งหนาและหนักถูกเปิดออก เหล่าทหารด้านในกรูกันออกมา วิ่งไล่ฟาดฟันข้าศึกที่ยังล่าถอยไม่ทัน

อัดอั้นมากว่าครึ่งเดือน ในที่สุดพวกเขาก็มีที่ระบายจึงย่อมไม่มีใครออมมือ หากพวกเขาไม่มีทัพหนุนที่แข็งแกร่งทรงพลังเช่นนี้ วันนี้คนที่ถูกบั่นคอย่อมเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพวกเขาเอง

กระทั่งฟ้ามืดสนิท หยางเฟิงถึงบัญชาทัพกลับเมือง กองทัพข้าศึกหนีตายกระเจิดกระเจิง แต่นั่นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือกองทัพที่สูญสิ้นแม่ทัพใหญ่ต่อให้ห้าวหาญเพียงใดก็เป็นได้แค่เม็ดทรายที่กระจัดกระจายอย่างไร้ทิศทาง

ขณะยกทัพกลับเมือง หยางเฟิงเกือบตกลงไปในหลุมทั้งคนทั้งม้า ยังดีที่กระตุกเชือกบังเหียนได้ทันท่วงที เขาอ้าปากค้าง มองหลุมหน้าปากประตูเมืองอย่างตะลึงพรึงเพริด ข้างในมีศพอยู่เต็มไปหมด ยังมีคนที่พยายามตะเกียกตะกายปีนขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ถูกผู้พิทักษ์เกราะนิลที่เฝ้าอยู่ปากหลุมใช้ทวนยาวแทงแล้วเหวี่ยงกลับลงไปในหลุม

นี่คือ...เตรียมจะฝังศพแล้วอย่างนั้นหรือ?” หยางเฟิงรำพึงแล้วคิดในใจ ‘ทหารขององค์รัชทายาทเฉียบคมยิ่งนัก เคลื่อนไหวรวดเร็วฉับไว ใช้เวลาไม่นานก็สามารถขุดหลุมเตรียมฝังศพศัตรูได้เรียบร้อยแล้ว

ใต้เท้า ดูเหมือนนี่จะเป็นตำแหน่งอุโมงค์ที่ข้าศึกขุดไว้ก่อนหน้าทว่าพอถูกระเบิดเพลิงของผู้พิทักษ์เกราะนิลก็กลับกลายมีสภาพเป็นเช่นนี้” ทหารนายหนึ่งอธิบายพลางเกาศีรษะแกรกๆ

อันที่จริงเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลุมนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ได้ยินเสียงกึกก้องกัมปนาท หลังจากทุกคนได้สติก็มีหลุมนี้ปรากฏขึ้น ใต้ดินยังฝังศพไว้เป็นจำนวนมากและเวลานั้นก็มีเหล่านักรบผู้กล้าภายใต้หน้ากากยืนอยู่ตรงปากหลุมราวสิบกว่าคน ทำให้แม้อยู่ในสมรภูมิก็ยังดูโดดเด่นสะดุดตา ตอนที่พวกเขาเห็นหน้ากากที่แสนดุร้ายนั่นทุกคนพลันเกิดความพรั่นพรึงขึ้นในใจจนเนื้อตัวสั่นเทา ควบคุมอารมณ์ตัวเองแทบไม่อยู่ คาดว่านับแต่วันนี้ไปชื่อเสียงของผู้พิทักษ์เกราะนิลจะต้องโด่งดังกึกก้องทั่วผืนแผ่นดิน อยากรู้เหลือเกินว่ากองทัพที่ทรงอานุภาพและแข็งแกร่งเช่นนี้จะมีผู้ใดสามารถต่อกรได้!

ทันทีที่ได้ยินคำว่าระเบิดเพลิง หยางเฟิงก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ต้องเป็นฝีมือของเหล่าผู้พิทักษ์เกราะนิลเมื่อครู่แน่ที่ทลายจุดซึ่งเหล่าทหารข้าศึกขุดอุโมงค์ไว้ เมื่อพื้นดินชั้นบนถูกระเบิด อุโมงค์ใต้ดินจึงปรากฏออกมาให้เห็น ส่วนเหตุใดจึงเป็นหลุมใหญ่ขนาดนี้คิดว่าคงเป็นเพราะตอนข้าศึกขุดอุโมงค์คิดการรอบคอบเกินไป ขบวนกองทัพแรงงานถึงหนึ่งหมื่นนาย อุโมงค์ที่ขุดขึ้นมาได้ย่อมมิใช่เป็นเพียงทางเล็กๆ แคบๆ อย่างแน่นอน

ฮ่าๆๆ เวรกรรมตามสนอง สมน้ำหน้า!” หยางเฟิงหัวเราะร่าแล้วเหลือบมองดูเหล่ากองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลครู่หนึ่ง ความริษยาพลันผุดขึ้นในใจ หากกองทัพในสังกัดของเขาสามารถมีทหารที่แข็งแกร่งเช่นนี้เขาคงไม่เป็นแค่เจ้าเมืองไม่เอาอ่าว แต่จะรีบนำทัพปราบข้าศึกรวมแผ่นดินในใต้หล้าให้เป็นหนึ่งเสียเลย พูดได้ว่าเจ้าเมืองหยางมีหัวใจฮึกเหิมที่ไม่ยอมพ่ายให้กับอายุ การประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานล้วนเป็นความใฝ่ฝันในใจของบุรุษทุกคน


 

232 ที่แท้เป็นเพราะข้าหน้าตาไม่โดดเด่นสะดุดตานี่เอง

ระเบิดเพลิงมีอานุภาพถึงเพียงนี้เชียว เช่นนั้นต้องสามารถเปิดภูเขาถมทะเลได้ใช่หรือไม่?”

แววตาเจ้าเมืองหยางวาววับ ตอนนี้เขารู้สึกอยากเชิญพระชายามาถามเป็นอย่างยิ่งว่าสามารถสร้างของสิ่งนี้ขึ้นมาได้อย่างไร?

หนึ่งคนหนึ่งม้าเดินมาข้างกายเขา เกราะเหล็กเย็นเยียบแผ่ไอเย็นอันเหน็บหนาวทำเอาเจ้าเมืองหยางต้องหันหน้ากลับมา พบว่าที่แท้คือผู้กล้าซึ่งสามารถเด็ดศีรษะแม่ทัพฝ่ายศัตรูคนนั้นนั่นเอง ดูแล้วน่าจะเป็นผู้มีฐานะไม่ธรรมดาในกองทัพลึกลับนี้

หูเขาได้ยินผู้กล้าท่านนั้นเอ่ยกระเซ้า ท่านเจ้าเมืองช่างคิดฝันไปไกลยิ่งนัก ระเบิดเพลิงพวกนี้มีอานุภาพการทำลายเพียงน้อยนิดเท่านั้น หากจะเปิดภูเขาถมทะเลจริงๆ เกรงว่าคงต้องขนระเบิดเพลิงขนาดเท่าภูเขาลูกยักษ์มาเสียกระมัง

หยางเฟิงรู้สึกว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นหูแต่นึกไม่ออกว่าเป็นใครจึงถาม

หากมีอานุภาพน้อยนิดเหตุใดจึงเกิดหลุมใหญ่ถึงเพียงนี้?”

อ๋อ หลุมนี่น่ะหรือ เป็นหลุมที่พวกข้าศึกคิดจะขุดอุโมงค์ใต้ดินอย่างไรเล่า พอถูกพวกข้าทำลายพื้นผิวชั้นบนด้วยระเบิดเพลิงจึงเห็นเป็นหลุมกว้างลึกลงไปเช่นนี้

หยางเฟิงเกาศีรษะตัวเองอย่างเก้อเขิน ก่อนจะถามด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจ เอ่อ ขอบังอาจถามท่านผู้กล้า ท่านคือ...

ผู้พิทักษ์เกราะนิลผู้นั้นถอดหมวกเกราะออก เผยให้เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ดวงหนึ่ง หยางเฟิงชี้เขาพลางร้องอุทานด้วยความตกใจ

ทะ...ท่านคือ...จ้าวซานหลาง!

มีหรือที่เจ้าเมืองหยางจะไม่รู้จักบุตรชายซึ่งเกิดจากชายาเอกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงผู้นี้ แม้นั่นจะเป็นเพียงอดีตก็ตาม

ข้าน้อยจ้าวเสี่ยนเป็นหัวหน้ากองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลหน่วยที่สอง คารวะเจ้าเมืองหยางจ้าวซานหลางยิ้มพลางประสานมือคำนับ

ฮ่าๆๆ คิดไม่ถึงเลย คิดไม่ถึงจริงๆ เมื่อก่อนเจ้ายังใช้ชีวิตเยี่ยงคุณชายเสเพลที่ดีแต่เที่ยวเล่นแท้ๆนึกไม่ถึงว่าจะประสบความสำเร็จเช่นนี้

เจ้าเมืองหยางเห็นผิวสีทองแดงของฝ่ายตรงข้ามดูต่างจากคุณชายผิวขาวราวหยวกกล้วยเช่นในอดีตอย่างสิ้นเชิง ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้เขาต้องผ่านความลำบากอะไรมาบ้าง

มีชาติกำเนิดเป็นทายาทตระกูลผู้สูงศักดิ์ย่อมมีอำนาจเหนือกว่าคนทั่วไป มีลูกหลานจากตระกูลใหญ่ตั้งเท่าไรที่ชั่วชีวิตมิเคยสร้างผลงาน เพียงมีตำแหน่งขุนนางราชสำนักก็หลงระเริงอยู่ในห้วงแห่งความรักหนุ่มสาว น้อยคนนักที่จะประสบความสำเร็จมีอนาคตรุ่งโรจน์ ภายภาคหน้าได้เป็นถึงซานกงจิ่วชิง[1]จ้าวซานหลางผู้นี้เดิมทีหยางเฟิงคิดว่าจะเหลวไหลเช่นนั้นไม่คิดเลยว่าจะมีวันได้เห็นเขาเปลี่ยนแปลงปรับปรุงตัวใหม่ ไม่รู้ว่าหากเจิ้นกั๋วกงล่วงรู้จะเสียใจภายหลังที่ทอดทิ้งพวกเขาสองแม่ลูกไปหรือไม่บุตรชายดีเลิศประเสริฐถึงเพียงนี้ ใครจะเดียดฉันท์ได้ลง

เสียงกลองดังมาจากบนป้อมประตูเมือง หยางเฟิงกับจ้าวซานหลางหันไปมองทางต้นเสียงพร้อมกัน เห็นเพียงธงพิเศษที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นโบกสะบัดกลางอากาศอยู่เหนือป้อมประตูเมือง จ้าวซานหลางสวมหมวกเกราะเรียบร้อยแล้วจึงหันไปประสานมือคำนับกล่าวลาหยางเฟิง

ข้าน้อยต้องไปแล้ว ไว้โอกาสหน้าค่อยพบกันใหม่

เอ่อ...หยางเฟิงยังไม่ทันได้แสดงไมตรีอีกฝ่ายก็ขับควบอาชาห้อตะบึงฝ่าความมืดออกไปไกลมากแล้ว เพียงชั่วพริบตากองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลก็รวมตัวกันเคลื่อนพลไปจากเมือง

มาอย่างรีบร้อนจากไปอย่างเร่งรีบโดยแท้

หากไม่ใช่เพราะศึกครั้งนี้ชนะได้อย่างสมจริงยิ่งนัก หยางเฟิงคงคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหันกลับไปมองป้อมประตูเมืองสูงตระหง่าน ความเลื่อมใสที่มีต่อองค์รัชทายาทจากใจจริงยิ่งเพิ่มพูนมากล้น

รัชทายาทเจาก้าวเดินลงจากป้อมประตูเมืองอย่างสง่างาม มีหูจินเผิงกับหวังติ่งจวินอารักขาอยู่ข้างกาย องครักษ์คนอื่นๆ ติดตามอยู่ด้านหลังหลังจากหูจินเผิงนำป้ายคำสั่งไปถึงที่หมายก็ร่วมเดินทางมากับกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิล เมื่อครู่ฉวยจังหวะตอนประตูเมืองเปิดควบม้าวิ่งเข้ามา ถือว่าได้ทำตามคำสั่งโดยสมบูรณ์

รัชทายาทเจาเอ่ยขึ้น

ให้พวกเขาไปหาที่ซ่อนแถวนี้เพื่อพักผ่อนสักสองสามวัน คนที่บาดเจ็บก็รีบรักษาแผลให้หาย เป้าหมายต่อไปคือเมืองฉู่โจว!

หวังติ่งจวินอยากไปด้วยแต่ถูกหูจินเผิงชิงตัดหน้าเสียก่อน

กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา

เขาพยายามขยิบหูขยิบตาให้หูจินเผิงสุดชีวิต ทว่าอีกฝ่ายไม่ตอบรับ เดินตามหลังรัชทายาทเจาลงจากป้อมประตูเมืองด้วยสายตาแน่วแน่

พอเห็นรัชทายาทเสด็จไปทางถนนอวี้หรง หวังติ่งจวินก็มือไวคว้าตัวหูจินเผิงไว้แล้วพูดกลั้วหัวเราะ “ฝ่าบาทจะเสด็จไปหาพระชายา พวกเราคงไม่ต้องตามไปหรอกกระมัง

ทันทีที่หูจินเผิงได้ยินเช่นนั้นก็ไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอของคนรักที่กำลังจะไปพบหน้ากัน เขาไหวไหล่ชะงักเท้าหยุดเดินโดยมีองครักษ์คนอื่นยังคงติดตามอยู่ห่างๆ

พี่หู ท่านนี่ช่างไม่มีใจอารีเอาเสียเลย แม้แต่งานที่ทำดีแต่ไม่ได้ผลงานเช่นนี้ท่านก็ยังแย่งพี่น้องเสียได้” หวังติ่งจวินเหยียดมุมปาก เขาเองก็อยากไปพบปะกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลเหมือนกัน เมื่อครู่เห็นแต่ตอนอยู่ไกลลิบๆ ยังไม่เคยได้สัมผัสหรือมองดูใกล้ๆ ให้ชัดเจนเต็มตาสักที

รัชทายาทเจาใช้เวลาห้าปีในการฝึกฝนกองทัพลับนี้ขึ้นมา ในระหว่างห้าปีนี้มีคนถูกคัดออกไปกว่าครึ่ง มีบางคนทนไม่ไหว มีบางคนล้มตายขณะฝึก สุดท้ายถึงมีผู้พิทักษ์เกราะนิลชุดนี้ขึ้นมาได้ จัดว่าเป็นสุดยอดเพชรน้ำหนึ่งเลยก็ว่าได้

หูจินเผิงแสยะยิ้ม น้องชายชอบพูดเล่นอยู่เรื่อย งานจิปาถะประเภทนี้ไหนเลยจะให้เจ้าไปทำได้ เจ้าเป็นถึงผู้ครองเมืองเชียวนะ ภารกิจออกจะล้นมือ

นับแต่หวังติ่งจวินขึ้นครองตำแหน่งเจ้าเมืองก็ไม่เคยได้ว่างเกินสองวัน โชคดีที่คนเก่าคนแก่ยังอยู่ ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่ของตัวเองไปตามนั้น ส่วนอำนาจคุกคามที่ซ่อนเร้นหลังจากเขาขึ้นสืบทอดตำแหน่งก็ไม่เคยเห็นคนพวกนั้นอยู่ในสายตา ต้องเข้าใจว่าต่อให้หวังติ่งจวินสูญเสียตำแหน่งเจ้าเมืองก็เป็นไปไม่ได้ที่ตำแหน่งนี้จะตกไปอยู่ในกำมือญาติพี่น้อง คิดว่าองค์รัชทายาทจะยอมนิ่งดูดายงั้นหรือ

ทั้งสองฟาดฟันกันทางสายตาครู่หนึ่ง หวังติ่งจวินจึงยอมจากไปอย่างไม่เต็มใจนักแต่ก็ยังถือโอกาสฝากหูจินเผิงทักทายสหายเก่าแทนเขา

สงครามด้านหน้ายุติลงแล้ว แต่ถนนอวี้หรงยังคงวุ่นวาย ตอนที่รัชทายาทเจาไปถึงถนนสายนี้ไม่มีแม้แต่ที่ว่างจะให้ได้ยืนพัก

ในบ้านมีพื้นที่ไม่พอ ทหารบาดเจ็บบางนายจึงต้องนั่งอยู่บนเสื่อกลางถนน แต่พวกเขาอาการไม่สาหัส เซี่ยงอันพาจิตอาสามาทำแผลและแจกจ่ายยาซึ่งมีประสิทธิภาพสูงมาก พอเห็นรัชทายาทเจา เซี่ยงอันก็ลังเลว่าต้องคุกเข่าถวายบังคมหรือไม่แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับเดินผ่านเขาไปหน้าตาเฉย ไม่แม้แต่จะชายตาแล

ท่านป้า ข้าหน้าตาหล่อเหลาหรือไม่?” เซี่ยงอันชี้หน้าตัวเองขณะหันไปถามหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง

เซี่ยงอันเองก็ถือว่าเป็นลูกขุนนาง แม้บิดาของเขาจะเป็นหมอชันสูตรศพแต่ก็เป็นหมอชันสูตรศพที่มีชื่อเสียงที่สุดในหนานจิ้น เขาจึงถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี มีอาหารเลิศรสกิน มีอาภรณ์สวยหรูสวมใส่ ผิวพรรณขาวสะอาด องคาพยพโดดเด่น ในสายตาสามัญชนคนทั่วไปลักษณะอย่างเขาจึงถือเป็นผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง

คุณชายช่างมีอารมณ์ขันยิ่งนัก หากเป็นยามบ้านเมืองสงบบุรุษหน้าตาอย่างท่านไปเดินตามท้องถนนคงมีหญิงสาวไม่น้อยมอบผ้าเช็ดหน้าและถุงใส่เงินให้

เซี่ยงอันคิดทบทวน ดูเหมือนจะไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นมาก่อน ในเมืองเย่เฉิงมีคุณชายรูปงามอยู่ดาษดื่น ตัวเขาจึงมิได้โดดเด่นสะดุดตาเลยสักนิด จู่ๆ เขาก็พลันรู้สึกสูญเสียความมั่นใจในรูปโฉมตัวเองขึ้นมาจึงบ่นพึมพำ “มิน่าล่ะ ฝ่าบาทถึงมองไม่เห็นข้า ที่แท้เป็นเพราะข้าหน้าตาไม่โดดเด่นสะดุดตานี่เอง เฮ้อ!

เซี่ยงอันโทษตัวเองเช่นนั้นโดยลืมคิดไปว่าหน้าตาของเขาหากเทียบกับถังเยว่แล้วถือว่าโดดเด่นกว่ามาก แต่หากถังเยว่ปรากฏตัวอยู่ที่ใด ผู้ที่รัชทายาทเจาจะมองเห็นเป็นคนแรกก็ย่อมเป็นถังเยว่อย่างแน่นอน เรื่องนี้จึงมิได้เกี่ยวข้องกับรูปโฉมแต่อย่างใด

ขณะกำลังจะสลัดความคิดฟุ้งซ่านพวกนี้ออกจากหัว ก็เห็นรัชทายาทเจาเดินตรงมาทางเขาและเอ่ยถาม “อาจารย์เจ้าอยู่ที่ใด?”

ความจริงรัชทายาทเจาเพิ่งก้าวเข้าไปในห้องแต่หาถังเยว่ไม่เจอจึงเดินออกมาตามหา เซี่ยงอันชี้ไปยังห้องตรวจหมายเลขสามด้วยสีหน้าราบเรียบ

อาจารย์อยู่ที่นั่น ทหารบาดเจ็บรายหนึ่งเพิ่งถูกส่งตัวเข้าไป เห็นว่าอาการสาหัสมาก อาจารย์เป็นห่วงจึงให้ย้ายไปรักษาที่ห้องตรวจสามขอรับ

รัชทายาทเจาพยักหน้าแล้วทำท่าจะเดินตรงไปยังบ้านหลังที่สาม

เซี่ยงอันรีบตะโกนขึ้น “เอ่ออาอาจารย์สะใภ้ อาจารย์กำลังยุ่งอยู่ขอรับ

เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?” รัชทายาทเจาหันกลับมาจ้องมองเขา

อะอาจารย์สะใภ้ขอรับ…”

มีสิ่งใดผิดปกติงั้นหรือ? เซี่ยงอันมองรัชทายาทเจาอย่างงุนงง แม้บุคคลตรงหน้าจะเป็นบุรุษ แต่อาจารย์ของเขาก็เป็นบุรุษเช่นกัน ถ้าไม่เรียกคู่สมรสของอาจารย์ว่าอาจารย์สะใภ้แล้วจะให้เรียกว่าอะไร?

รัชทายาทเจาฟังแล้วจึงให้คำตอบที่ถูกต้องแก่เขา

จำไว้ให้แม่น คราวหน้าคราวหลังให้เรียกข้าว่าอาจารย์เขย!

อ้อ! ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เซี่ยงอันเข้าใจได้ในทันที จวบจนรัชทายาทเจาจากไป พวกสตรีแม่บ้านที่อยู่ข้างหลังเขาจึงเริ่มซักไซ้เพื่อหาข่าวซุบซิบ

ท่านนั้นคือผู้ใดหรือ?”

อาจารย์ท่านเป็นหมอเทวดามิใช่หรือ แล้วเขาผู้นั้นจะเป็นอาจารย์เขยได้อย่างไร?”

ตกลงคำว่า ‘อาจารย์เขย’ หมายถึงอะไรกันแน่? คนกลุ่มนี้ต่างจินตนาการคาดเดากันไปเรื่อยเปื่อย

เซี่ยงอันยักไหล่ เขาตระหนักได้ว่าไม่ควรแพร่งพรายฐานะของรัชทายาทเจาออกไป

เรื่องนี้บอกพวกท่านไม่ได้หรอก

หลี่เจายืนรออยู่หน้าประตูครู่หนึ่งจึงเห็นถังเยว่เดินออกมาด้วยท่าทางอ่อนเพลีย พอหันมาเห็นเขาดวงตาคู่นั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นประกายเจิดจ้า

สงครามจบแล้วใช่หรือไม่?”

หลี่เจาขมวดคิ้ว รินน้ำร้อนที่อยู่ข้างๆ ให้อีกฝ่ายถ้วยหนึ่ง

เจ้ารักษาคนโดยไม่หยุดพักมานานแค่ไหนแล้ว?”

ถังเยว่ยิ้มเศร้า “จำไม่ได้ น่าเสียดายที่ไม่อาจยื้อชีวิตเขาไว้ได้

ทหารที่บาดเจ็บเมื่อครู่ทั้งตัวมีบาดแผลฉกรรจ์สิบสามแห่ง สาหัสที่สุดคือตำแหน่งที่ถูกแทงอยู่ใกล้หัวใจ คนเจ็บหยุดหายใจระหว่างการรักษา

เหอที่กำลังช่วยสวมเสื้อคลุมให้ถังเยว่ทนไม่ไหวจึงต้องเอ่ยขึ้น

คุณชายงานยุ่งมาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ แม้จะดื่มน้ำสักอึกก็ยังไม่กล้า ฝ่า…”

เหอยังพูดไม่ทันจบหลี่เจาก็คว้าตัวถังเยว่แบกขึ้นบ่า สั่งเสียงเข้ม

กลับไปพักได้แล้ว!

นี่ วางข้าลงนะ! หลี่เจา! รีบปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้!ถังเยว่พยายามดิ้น ยิ่งเห็นตลอดทางมีคนมองเต็มไปหมดเขาก็นึกอยากแกล้งตายให้รู้แล้วรู้รอด!

อยู่นิ่งๆ มิฉะนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า!

ถังเยว่อยากตอกกลับไปใจจะขาด แต่เห็นว่าสถานที่ไม่เหมาะสมเกรงว่าจะเผลอทำเรื่องไม่ดีไม่งามต่อหน้าธารกำนัล จึงได้แต่หลับตาหุบปากทำเสมือนว่าผู้คนรอบข้างกลายเป็นอากาศธาตุ

 

 

เชิงอรรถ

  1. ซานกง คือสามตำแหน่งใหญ่ ได้แก่ อุปราช สมุหกลาโหมและสมุหนายก ส่วนจิ่วชิง คือเก้าตำแหน่งขุนนางที่มีฐานะรองลงจากซานกง

 

233 เป็นที่โปรดปรานของคุณชายน้อย

ความเร่าร้อนแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เสียงเตียงป๋าปู้[1]ไม้จื่อถานโยกดังเอี๊ยดอ๊าดเนิ่นนานกว่าจะสงบลงได้

พวกเราชนะแล้วหรือ?” ถังเยว่เอ่ยถามด้วยเสียงปนหอบ ใบหน้าแดงก่ำ

หลี่เจาลูบไล้แผ่นหลังของเขาอย่างอ่อนโยน ประทับจุมพิตลงบนมุมปากคนตั้งคำถาม

หากเราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เจ้าคิดว่าพระสวามียังจะผ่อนคลายสบายอุราเช่นนี้ได้อีกหรือ?”

ทั้งสองต่างอัดอั้นมาหลายวัน นับแต่มาถึงเมืองฉินหยางก็ยุ่งกับการเตรียมการรบ แม้คราวก่อนจะได้รับชัยชนะแต่พวกเขารู้สึกคล้ายมีลางสังหรณ์มิสู้ดีผุดขึ้นในใจ จนครั้งนี้เป่ยเยว่นำกองทัพพันธมิตรของข้าศึกจากภาคตะวันตกเฉียงใต้มาบุกตีเมือง ทำให้พวกเขาเข้าใจเสียทีว่าสิ่งที่กังวลมาตลอดคือเรื่องอะไรกันแน่ โชคดีที่ครั้งนี้แม้น่ากลัวแต่ไม่อันตราย สามารถผ่านด่านยากไปได้อย่างราบรื่น

แต่พวกเขาก็รู้ว่าสองครั้งที่ผ่านมาสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้เป็นเพราะใช้แผนการที่ศัตรูคาดไม่ถึง คราวก่อนพวกเขาใช้กระสุนและระเบิดเพลิงสร้างความตกใจและตื่นกลัวให้แก่ข้าศึก ทำให้ศัตรูไม่กล้าโจมตีต่อและครั้งนี้การปรากฏตัวของผู้พิทักษ์เกราะนิลยิ่งข่มขวัญคู่ต่อสู้ได้เป็นอย่างดี รัศมีดุจกระบี่คมที่พร้อมจะฟาดฟันทุกคนที่ขวางหน้า ทำลายขวัญกำลังใจของศัตรูจนหมดสิ้น หลังจากนั้นจึงคว้าชัยได้อย่างราบรื่น

ถังเยว่คิดไปคิดมาก็จมดิ่งสู่ห้วงนิทรา ทำงานแบบสุดกำลังความสามารถติดต่อกันมาสิบสองชั่วยาม หากไม่ใช่เพราะหลี่เจาดึงดันที่จะบรรเลงเพลงรักกับเขาละก็ ป่านนี้เขาคงหลับปุ๋ยไปนานแล้ว

หลี่เจาประทับริมฝีปากลงบนหัวตาหมองคล้ำของคนในอ้อมแขนแล้วช่วยห่มผ้าให้ กระชับอ้อมกอดแล้วหลับใหลไปด้วยกัน

ทั้งสองนอนหลับยาวจนถึงช่วงพลบค่ำของวันต่อมา เสี่ยวลั่วลั่วที่อยู่นอกห้องเดินป้วนเปี้ยนเวียนมาหาหลายรอบ ทุกครั้งจะแอบสอดส่องสายตาผ่านรูเล็กๆ ตรงช่องหน้าต่าง เมื่อแน่ใจว่าบนเตียงยังมีคนนอนหลับอยู่จึงค่อยเบาใจ

เขาไม่ได้ร่าเริงเหมือนแต่ก่อนแล้ว เด็กที่เพิ่งอายุห้าขวบคนนี้สามารถนั่งคัดอักษรอยู่ในห้องได้ครึ่งค่อนวัน บางครั้งก็จ้องมองต้นไม้ต้นหนึ่งหรือก้อนหินก้อนหนึ่งอย่างเหม่อลอย ทว่าตอนนี้ทุกคนต่างมีงานรัดตัวจึงไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา บ่าวไพร่ที่คอยปรนนิบัติได้แต่รับผิดชอบดูแลเพียงร่างกายแต่มิอาจดูแลไปถึงความคิดจิตใจของเขาได้ ดังนั้นจึงต้องปล่อยให้เด็กน้อยตรึกตรองหนทางชีวิตของเขาด้วยตัวเอง

ยามที่ด้านนอกกำลังทำศึก จางฉุนจะพาเขาไปอยู่ข้างกายด้วยเสมอ พวกเขามิได้ออกไปเพิ่มปัญหาสร้างความวุ่นวาย แม้แต่ถนนอวี้หรงจางฉุนก็ไม่ให้เขาไป ถนนสายนั้นเต็มไปด้วยทหารบาดเจ็บ กลิ่นคาวเลือดอบอวล หากได้สัมผัสย่อมเป็นการทำร้ายจิตใจเด็กน้อย แต่ความจริงในช่วงที่จางฉุนมิได้อยู่ข้างกายเสี่ยวลั่วลั่วก็เคยแอบออกไปดู ที่นั่นต่างจากเย่เฉิงที่แสนเจริญรุ่งเรืองอย่างสิ้นเชิง ช่วงที่ฉินหยางตกอยู่ในภาวะสงครามนี้ เมืองทั้งสกปรกและโกลาหลวุ่นวาย มีรอยคราบเลือดปรากฏอยู่ทั่วทุกหนแห่ง มีซากศพปรากฏให้เห็นไปทั่วท้องถนน

เสี่ยวลั่วลั่วมีความกล้าขึ้นมาบ้างแล้ว หลังจากไปแอบดูถนนอวี้หรงกลับมาก็แค่เหม่อลอยอยู่ครึ่งวันแต่ตกกลางคืนก็มิได้นอนฝันร้าย

ส่วนทัพหน้าสุดนั้น อย่าว่าแต่เสี่ยวลั่วลั่วเลย แม้แต่ถังเยว่กับจางฉุนก็ยังไม่กล้าไปดู ภาพคมดาบชุ่มโชกด้วยเลือดแดงฉานพวกเขาขอเห็นเพียงในโทรทัศน์ ถ้าเป็นภาพจากสถานการณ์จริงดูน่าสยดสยองเกินไป ไม่เหมาะกับคนที่มาจากโลกศิวิไลซ์อย่างพวกเขา

พอแล้ว เลิกดูได้แล้ว บิดาทั้งสองของเจ้าต่างเหน็ดเหนื่อยมาก ปล่อยให้พวกเขาได้พักผ่อนเต็มที่เถอะ” จางฉุนอุ้มเสี่ยวลั่วลั่วขึ้น ชำเลืองมองประตูห้องแวบหนึ่ง ก่อนจะพาเด็กน้อยเดินจากมา

ท่านอาฉุน ท่านพ่อทั้งสองของข้าต่างยุ่งมากแต่เหตุใดท่านถึงว่างงานเช่นนี้เล่า?”

จางฉุนได้แต่อ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบอย่างไร พลางนึกในใจว่าเจ้าเด็กนี่กำลังตำหนิว่าเขาไร้ประโยชน์งั้นหรือ?

เขาหยิกก้นเสี่ยวลั่วลั่วแล้วพูดกลั้วหัวเราะ “ใครบอกว่าข้าว่างงาน ข้ากำลังดูแลเจ้าอยู่มิใช่หรือ หากแม้แต่อาฉุนก็ไม่อยู่ถ้าเกิดเจ้าร้องไห้ขวัญกระเจิงขึ้นมาจะทำอย่างไร?”

เสี่ยวลั่วลั่วคิดแล้วก็เห็นด้วย มีจางฉุนอยู่ข้างกายเขาก็มิได้หวาดกลัวขนาดนั้นแล้วจริงๆ มิหนำซ้ำท่านอาผู้นี้ยังสรรหาข้าวของมาเล่นกับเขา ทำเอาเด็กแถวนี้ติดจางฉุนแจจนตอนนี้เขาตั้งให้ตัวเองเป็นหัวหน้าในหมู่เด็กน้อยไปแล้ว ก่อนหน้านี้เตียเตียได้มอบหมายภารกิจให้เขา นั่นคือคอยดูแลเด็กในละแวกนี้ เล่นกับเด็กพวกนั้นมาหลายวัน ได้รับแววตาเลื่อมใสมาอย่างล้นหลาม ช่วยเพิ่มพูนความมั่นใจและความภาคภูมิใจในตัวเองให้เพิ่มมากขึ้น

งั้นตอนนี้พวกเราจะไปไหน?”

จางฉุนอยากไปหาหวังติ่งจวิน สงครามยังไม่สิ้นสุด หวังติ่งจวินต้องติดตามรัชทายาทไปเมืองฉู่โจว ส่วนตัวเขาจะทิ้งเมืองเย่เฉิงไปนานก็ไม่ได้ การค้าสำคัญหลายอย่างของเขายังอยู่ที่เมืองเย่เฉิง ยิ่งไปกว่านั้นถึงเขาจะตามไปด้วยก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี มิสู้คอยเป็นกำลังอยู่เบื้องหลังดีกว่า หาเงินให้ได้มากๆ ถ้าพวกทหารเกิดขาดแคลนเสบียงอาหารหรือชุดเกราะเขาก็ยังสามารถช่วยสนับสนุนได้

ยังมีเด็กคนนี้อีก รัชทายาทเจาพาโอรสมาฉินหยางได้ก็จริงแต่จะพาไปฉู่โจวด้วยไม่ได้ ประการแรกจะทำให้ลั่วลั่วเสียการเรียน ประการที่สองจะเป็นการเผยจุดอ่อนของตัวเองให้ข้าศึกใช้เป็นช่องทางเล่นงานเอาได้ นั่นเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย

ดังนั้นจางฉุนคิดว่าเขากับหวังติ่งจวินคงไม่อาจเป็นคู่ทุกข์คู่ยากไม่แน่หากเคราะห์ร้ายขึ้นมาพวกเขาอาจต้องตายจาก ไม่ได้พบพานกันอีกชั่วชีวิต

ถุยๆ คิดเพ้อเจ้ออะไรเนี่ย!” จางฉุนตาโตค้าง ตบหน้าตัวเองไปหลายฉาด ทำเอาเสี่ยวลั่วลั่วมองอย่างตกใจ

เตียเตียบอกว่าอาการแบบนี้ของท่านเรียกว่าโฮล์มส์-เอดิอี ซินโดรม![2]

จางฉุนกระตุกยิ้มมุมปาก “เจ้าตัวเล็ก รู้หรือไม่ว่าโฮล์มส์เป็นใคร?”

โฮล์มส์เป็นคนหรือ? เป็นไปไม่ได้!” เสี่ยวลั่วลั่วส่ายหน้ารัว เขาไม่เคยได้ยินว่าจะมีใครชื่อแปลกประหลาดขนาดนี้มาก่อน

แน่นอนอยู่แล้วและยังเป็นสุดยอดนักสืบที่เก่งกาจมาก กล่าวกันว่า…”

จางฉุนเริ่มเปิดฉากเล่าเรื่องราวของเชอร์ล็อก โฮล์มส์ให้เด็กน้อยฟังอย่างออกรสออกชาติ สมจริงเป็นที่สุด แม้แต่พวกบ่าวไพร่ที่ติดตามอยู่ด้านหลังยังฟังจนเคลิ้มไปด้วย พากันร้องอุทานด้วยความตกใจอยู่เป็นระยะ

หวังติ่งจวินกับหยางเฟิงกลับมาจากข้างนอก พอเห็นกลุ่มคนยืนออกันแน่นก็เกิดความงุนงง พวกเขากำลังจะเอ่ยทักก็เห็นบ่าวสองคนกอดกันกลม หวีดร้องเอ็ดตะโร ใครไม่รู้คงนึกว่าเจ้านายพวกเขาเกิดบันดาลโทสะจะฆ่าคน

คุยอะไรกัน ทำไมถึงอกสั่นขวัญผวาขนาดนี้?” หวังติ่งจวินมองปราดเดียวก็เห็นตัวการสำคัญ

จางฉุนหัวเราะฮิๆ แล้วยักคิ้วยียวน “ก็คุยเรื่องสนุกกันอยู่น่ะสิ แต่เรื่องที่เราคุยกันมิได้เกี่ยวข้องกับเจ้าแม้แต่น้อย

ความหมายของประโยคนี้ก็คือเขาจะไม่เล่าเรื่องนี้ต่อหน้าหวังติ่งจวิน ทว่าทุกคนกำลังฟังถึงช่วงสำคัญ จึงต่างคันคะเยออยากฟังต่อแต่ไม่มีใครกล้าปริปากพูด ได้แต่ก้มหน้าแสดงอาการประท้วงเงียบๆ

เป็นเสี่ยวลั่วลั่วที่พูดตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม เด็กน้อยกอดแขนจางฉุนแล้วถาม “แล้วหลังจากนั้นเล่า? ฆาตกรเป็นใคร จับตัวได้หรือไม่?”

จางฉุนกระซิบข้างหู “ไว้คราวหน้าค่อยบอก

แต่เสี่ยวลั่วลั่วไม่ยอม เขายืมคำพูดเตียเตียมาใช้ นี่เป็นการจงใจยั่วให้อยากรู้มิใช่หรือ?”

เขาหันไปทางหวังติ่งจวินแล้วยื่นมือสองข้างออกไปเตรียมโผไปหา ท่าทางเช่นนี้ใครเห็นก็ต้องเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการให้อุ้ม แต่คนอื่นที่อยู่ในที่นั้นนอกจากเจ้าเมืองหยางแล้วต่างคุ้นเคยกับพระราชนัดดาน้อยเป็นอย่างดี คุณชายน้อยผู้นี้ตั้งแต่อ้อนแต่ออกยอมให้เข้าใกล้อยู่แค่สองคน คนหนึ่งคือพระชายาถังเยว่ อีกคนคือเยี่ยนกูแม่นมของเขา แม้แต่องค์รัชทายาทก็ไม่ได้รับความโปรดปรานจากเจ้าตัวเล็ก

ท่านโหวน้อยต้องใช้ความพยายามหลายปี ใช้ขนม ใช้ของเล่นจำนวนนับไม่ถ้วนกว่าจะได้รับการยอมรับจากคุณชายน้อย ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยได้ยินว่าแม่ทัพหวังก็ได้รับเกียรตินี้ด้วย

หวังติ่งจวินเองก็นิ่งอึ้งไป เขารับเด็กน้อยมาอุ้มไว้อย่างระมัดระวังรู้เพียงมีกลิ่นนมหอมกรุ่นโชยมาปะทะหน้า เด็กน้อยในอ้อมแขนตัวนุ่มนิ่ม บอบบางจนน่ากลัว

เขาทำอะไรไม่ถูก จึงหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากจางฉุน ฝ่ายตรงข้ามกลับหัวเราะเหอะๆ เสมือนเป็นเรื่องน่าขันนักหนา ในใจจางฉุนตอนนี้กำลังรู้สึกสะใจ นานทีปีหนจะได้เห็นท่าทางวิตกกังวลของหวังติ่งจวินอย่างหาได้ยากยิ่งเช่นนี้

ท่านอาฉุน พวกเราหาที่นั่งคุยกันดีไหม ท่านก็คอแห้งแล้วนี่เสี่ยวลั่วลั่วคลี่ยิ้ม เผยให้เห็นฟันเขี้ยว น่ารักน่าเอ็นดู

มีหรือที่จางฉุนจะไม่เห็นด้วย เขารีบกวักมือพาคนทั้งกลุ่มเดินไปในศาลาของเรือนหลัง สั่งให้คนยกขนมและชาร้อนมาให้ มองหวังติ่งจวินหน้านิ่งแล้วเริ่มเล่านิทานต่อ

จวบจนถังเยว่ตื่นแล้วค่อยคลำทางตามมาที่นี่ ภาพที่เห็นในตอนนี้จึงดูครึกครื้นสนุกสนานมาก

ในศาลาพักร้อนลมโชยพัดเย็นสบายหลังหนึ่ง มีคนมุงล้อมเป็นกลุ่ม แม้แต่ทางเดินก็ยังยืนออกันเต็มไปหมด เสียงคุ้นหูดังลอดมาจากฝูงชน ถังเยว่ยืนอยู่ไกลเกินไปได้ยินไม่ชัดว่าเขาพูดอะไร กระทั่งเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิดถึงรู้ว่าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการไขคดี ฟังแล้วดูเหมือนจะเป็นเรื่องราวในคดีของเปาบุ้นจิ้น อย่าถามว่าเขารู้ได้อย่างไร ตอนนั้นเขาดูซ้ำหลายรอบ ทั้งศพแห้งเอย หมู่บ้านผีเอย แต่ฟังจางฉุนเล่าแล้วสนุกมีรสชาติยิ่งกว่าดูเองเสียอีก

อะแฮ่ม พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่าตอนนี้มืดแล้ว ควรกินข้าวได้แล้ว

นี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว ไม่กินข้าวเย็นกันหรือไง!

บ่าวไพร่รอบๆ พอหันมาเห็นถังเยว่ต่างพากันทำความเคารพแล้วก้มหน้าแยกย้ายจากไป กระทั่งผู้คนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ถังเยว่จึงเดินเข้าไปในศาลาด้วยท่าทีผ่อนคลาย เห็นเสี่ยวลั่วลั่วนั่งอยู่บนตักหวังติ่งจวิน เท้าคางตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ เมื่อก่อนตอนที่ถังเยว่เล่านิทานก่อนนอนให้ฟังไม่เคยเห็นเด็กน้อยจะให้ความสนใจขนาดนี้มาก่อน

ถังเยว่งงงัน เดินเข้าไปหยิกแก้มใสของลูกน้อย “นี่ ฟังจนเหม่อแล้ว

เสี่ยวลั่วลั่วหันมา พอเห็นว่าเป็นถังเยว่ก็รีบโผเข้าหา สองแขนโอบรัดรอบคอเขาแน่นพลางใช้แก้มถูไถออดอ้อนแล้วเปล่งเสียงร้องฮือๆ จนทุกคนในที่นั้นต่างใจอ่อนยวบแทบละลาย

หยางเฟิงมีบุตรธิดาหลายคนแต่ไม่มีลูกคนไหนที่จะสนิทสนมกับเขาอย่างนี้เลยสักคน ชั่วขณะนั้นจึงอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ ส่วนจางฉุนคุ้นชินกับภาพแบบนี้แล้ว เขาเบ้ปาก รู้สึกขัดเคืองกับการมาถึงของถังเยว่ที่ดึงความสนใจของทุกคนไปจนหมด ด้านหวังติ่งจวินก็ถึงวัยที่ควรแต่งงานมีครอบครัวได้แล้ว แม้รสนิยมทางเพศจะไม่อาจให้กำเนิดบุตรแต่กลับมีความคิดปรารถนาอยากมีลูกอยู่ไม่น้อย ถึงจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่รับเลี้ยงเด็กสักคนก็ไม่เลว คิดแล้วก็แอบเหลือบมองจางฉุน เมื่อคิดว่าฝ่ายนั้นเข้ากับคุณชายน้อยได้เป็นอย่างดี จึงคิดเองเออเองว่าจางฉุนก็คงชอบเด็กเช่นกัน

ด้วยความคิดนี้ ภายหลังหวังติ่งจวินจึงไปเก็บเด็กทารกจากชายแดนกลับมาหนึ่งคน เลี้ยงดูดุจดั่งลูกในไส้ของตน เมื่อเรื่องนี้แพร่ไปถึงเมืองเย่เฉิงย่อมกลายเป็นว่าอนุภรรยาที่อยู่ชายแดนของเขาให้กำเนิดบุตร ทำเอาจางฉุนโมโหจนลมสว้านแทบจุกอกตาย

แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ในวันหน้า

 

 

เชิงอรรถ

  1. เป็นเตียงไม้โบราณ ลักษณะคล้ายกล่องสี่เหลี่ยมมีหลังคา
  2. โฮล์มส์-เอดิอี ซินโดรม หรือกลุ่มอาการเอดิอี คืออาการที่รูม่านตาโตค้าง อาจเป็นข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง

 

234 แยกจากกัน

สิบวันให้หลัง ข่าวชัยชนะจากเมืองฉินหยางส่งมาถึงเมืองเย่เฉิงทั้งราชสำนักต่างตื่นตะลึง ทุกคนร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นและเหลือเชื่อ

ทัพใหญ่หนึ่งแสน ครึ่งหนึ่งเป็นไพร่พลของเป่ยเยว่ คิดไม่ถึงว่ากองทัพที่รวมพันธมิตรหลายฝ่ายนี้แม้แต่เมืองฉินหยางก็ยังตีไม่แตกอีกทั้งยังได้รับความเสียหายใหญ่หลวงจนต้องล่าถอยไป นี่ช่างเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก หากไม่เพราะข่าวดีนี้มีตราประทับขององค์รัชทายาท พวกเขาคงคิดว่าหยางเฟิงสร้างผลงานเท็จ ปิดบังความจริงเป็นแน่

ฝ่าบาท ในรายงานได้ระบุไว้หรือไม่ว่าพวกเขาสามารถเอาชนะข้าศึกด้วยวิธีใด” ขุนศึกเฒ่าผู้หนึ่งเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นยินดี

ขอเพียงมีกลยุทธ์ที่ล้ำลึกย่อมไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นไปไม่ได้ แต่การได้มาซึ่งชัยชนะในครั้งนี้หากจะกล่าวว่าเป็นผลงานของกองทัพทหารรักษาการณ์เพียงสามหมื่นนายที่เมืองฉินหยางมีอยู่ก็ฟังดูเหลือเชื่อมากจนเกินไป ต่อให้องค์รัชทายาทเป็นผู้บัญชาการชั้นเทพเซียนแต่การนำทัพทหารรักษาการณ์สามหมื่นนายเข้าปะทะกับทหารประจำการหนึ่งแสนนายของข้าศึก เมื่อเทียบอัตราส่วนแล้วดูอย่างไรก็ไร้วี่แววที่จะชนะ

จักรพรรดิหนานจิ้นส่ายหน้า “รายงานที่ส่งมามีแค่ร้อยกว่าตัวอักษร มิได้ชี้แจงรายละเอียดไว้ สถานการณ์ศึกที่แท้จริงคาดว่าต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะรายงานขึ้นมา

นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาเนิ่นนาน ผลการรบแพ้ชนะต้องรายงานด่วนเข้าวังทันที ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยอีกหลายวันหรือหลายเดือนค่อยส่งตามมาภายหลัง เพราะการร้อยเรียงเนื้อหาประเภทนี้จำเป็นต้องใช้เวลา ยามศึกคับขันผู้บัญชาการแม่ทัพย่อมไม่มีเวลาพิรี้พิไรกระทั่งเขียนสารด้วยซ้ำ

จักรพรรดิหนานจิ้นก็มิได้เป็นกังวลในเรื่องนี้ เป็นถึงจักรพรรดิย่อมมีหน่วยสอดแนมที่จะส่งข่าวรายงานอยู่แล้ว เขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่าแท้จริงแล้วศึกครั้งนี้สามารถคว้าชัยมาได้อย่างไร

ฝ่าบาท เป่ยเยว่เคลื่อนกำลังพลทหารม้าห้าหมื่นนายโจมตีมาจากทางตะวันตกเฉียงใต้ เป็นช่วงที่ทางเหนือมีการป้องกันหละหลวม เช่นนี้มิสู้ประกาศราชโองการให้หลู่กั๋วกงเป็นฝ่ายบุกก่อนจะดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เหิงกั๋วกงเสนอความคิดเห็น

ทุกคนได้ฟังแล้วต่างคล้อยตาม เดิมทีทัพใหญ่เป่ยเยว่มีกำลังพลหนึ่งแสน ตอนนี้ยกไปสู้ศึกที่ฉินหยางเสียครึ่งหนึ่ง นับเป็นโอกาสดีดุจฟ้าประทาน เป็นช่วงเวลาเหมาะที่จะบุกโจมตีทัพหลักที่เหลือเป็นที่สุด

คำพูดนี้ของเหิงกั๋วกงมีเหตุผล รีบส่งคนไปแจ้งเรื่องนี้ให้หลู่กั๋วกงทราบโดยด่วน!

ฝ่าบาททรงพระปรีชา!

ฝ่าบาท บัดนี้ศึกฉินหยางได้ยุติลงแล้ว กระหม่อมเชื่อว่าฉีอ๋องกับเผ่าเยว่อี๋ต้องไม่กล้ามารุกรานหนานจิ้นอีกเป็นแน่ เช่นนั้นเพื่อความปลอดภัยควรเรียกให้องค์รัชทายาทรีบเสด็จกลับโดยเร็วจะดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?” อานกั๋วกงลุกขึ้นถาม

วาจาเช่นนี้เขาพูดมาแล้วไม่ต่ำกว่าสามครั้ง ตอนแรกจักรพรรดิหนานจิ้นมีสีหน้าบึ้งตึงใส่ หาว่าเขากังวลเกินเหตุ ตอนนี้คงรู้สึกเบื่อหน่ายที่ถูกถามเซ้าซี้จึงบอกด้วยเสียงราบเรียบ

รัชทายาทจะเดินทางไปฉู่โจว ข้าได้ส่งกำลังไปสบทบให้เขาใช้สอยบัญชาทัพตามต้องการ อานกั๋วกงมิต้องกังวลใจไป

อะไรนะ!” ครั้งนี้มิใช่แค่อานกั๋วกงที่ประหลาดใจ เสนาบดีคนอื่นต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน และรีบเอ่ยทักท้วง ฝ่าบาท ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!

นั่นคือรัชทายาทเจา ว่าที่จักรพรรดิซึ่งจะขึ้นปกครองแว่นแคว้นในวันหน้า ควรแล้วหรือที่จะปล่อยให้ไปอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยภยันตรายเช่นในสมรภูมิหรือพื้นที่ที่มีศึกสงคราม หากเกิดอะไรขึ้นหนานจิ้นของพวกเขาจะทำเช่นไร!

ฝ่าบาท รัชทายาททรงพระเกียรติสูงส่ง ต้องทรงแบกรับภาระใหญ่หลวงในภายภาคหน้า จะให้เสด็จไปในที่อันตรายเช่นนั้นมิได้นะพ่ะย่ะค่ะ!

ใช่พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทมิได้นำทัพออกรบมาหลายปี เสด็จไปฉู่โจวครั้งนี้ไม่แน่ว่าจะควบคุมอำนาจทางการทหารได้ ทั้งยังอาจสร้างความกดดันให้หลู่กั๋วกงด้วย กระหม่อมคิดว่าควรให้รัชทายาทเสด็จกลับเย่เฉิง มาบัญชาการรบอยู่เบื้องหลังดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ

เรื่องน้อยใหญ่ในราชสำนักองค์รัชทายาทล้วนเป็นผู้ดูแลจัดการทั้งสิ้น บัดนี้ฎีกาถูกสะสมมาเป็นเวลาสองเดือนแล้ว เกรงว่าอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้

จักรพรรดิหนานจิ้นนิ่งฟังคำของเหล่าขุนนางเสนาบดีที่แสดงความห่วงใยต่อรัชทายาทประโยคแล้วประโยคเหล่า คนนั้นกล่าวทีคนนี้กล่าวที แต่ความห่วงกังวลของทุกคนโดยสรุปแล้วมีเพียงประการเดียวคือ หากรัชทายาทเกิดพลาดพลั้งเป็นอะไรไป แผ่นดินหนานจิ้นจะต้องตกอยู่ในสภาพไร้ผู้ดูแล!

ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าในใจคนเหล่านี้คงอยากให้ตัวเขาจากไปในเร็ววัน เพื่อจะได้สถาปนาองค์รัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์มังกรเสียในวันนี้พรุ่งนี้ได้ยิ่งดี หลายปีมานี้จักรพรรดิหนานจิ้นเองก็ยอมรับว่ารัชทายาทเจาจัดการบริหารราชกิจได้อย่างรอบคอบถี่ถ้วนมากขึ้นเรื่อยๆ เดิมทีเขามอบหมายเพียงงานจิปาถะเล็กน้อยให้อีกฝ่ายรับผิดชอบ ภายหลังจึงเริ่มมอบหมายงานใหญ่ให้มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งตัวเขาเองแทบจะเรียกได้ว่าเป็นจักรพรรดิว่างงานแสนสุขสำราญ เขานั่งบนบัลลังก์มังกรในฐานะจักรพรรดิผู้ปกครองแคว้นหนานจิ้นมาเกือบสามสิบปี อันที่จริงก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับงานราชกิจไม่น้อย ทุกวันต้องตรวจฎีกาที่ซ้ำซากจำเจไม่จบไม่สิ้น หลังจากได้ยกหน้าที่นี้ให้รัชทายาทแล้ว ตัวเขาเองก็รู้สึกปลอดโปร่ง มีเวลาว่างให้เสพสุขหาความสำราญกับคนงามได้ทุกวัน มีชีวิตที่อิสรเสรียิ่งกว่าที่เคยเป็นมา วังหลังจึงมีสาวงามถูกส่งตัวเข้ามาไม่ขาดสาย เหล่าชายาที่เคยได้รับความโปรดปรานในวันวานต่างก็ร่วงโรยร้างราไป สาวงามอ่อนวัยสดใหม่หวานฉ่ำดั่งบุปผาแรกแย้มจำนวนนับร้อยต่างแย่งกันเข้ามาผลิบานกลางวังหลวงเพื่อรอรับความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิ เช่นนี้แล้วจะมิให้ตัวเขาลุ่มหลงมัวเมาได้อย่างไรกันเล่า

คนเราเมื่อลุ่มหลงอยู่กับการเสวยสุขเสียแล้วจะให้ถอนตัวก็คงยาก บวกกับวัยที่เพิ่มพูนเวลานี้แม้จักรพรรดิหนานจิ้นจะยังคงเป็นกษัตริย์ผู้มีปณิธานอันแรงกล้า แต่ก็มิได้มีพลังกายพลังใจที่จะทุ่มเทดังเช่นในกาลก่อนอีกแล้ว

นำฎีกาทั้งหมดส่งไปที่ห้องทรงพระอักษร ข้าจะตรวจเอง!

จักรพรรดิหนานจิ้นเอ่ยด้วยสีหน้าถมึงทึงแล้วเอ่ยต่อกลั้วเสียงหัวเราะเย็นเยียบ “หูข้ายังไม่ถึงกับฟังไม่ได้ยิน มือข้ายังไม่ถึงกับจะยกฎีกาอ่านไม่ไหว พวกเจ้าเลิกกังวลเรื่องราชสำนักไร้ผู้ดูแลได้แล้ว

หรือหากขาดรัชทายาทไปสักคน หนานจิ้นจะมิอาจขับเคลื่อนได้ดั่งปกติอีกแล้วงั้นหรือ!

เหล่าเสนาบดีต่างรีบก้มศีรษะขานรับ

ฝ่าบาทมีโชควาสนาดั่งทะเลบูรพา พระชนมายุยิ่งยืนนานดุจขุนเขาประจิม

เมืองฉินหยาง

รถม้าค่อยๆ เคลื่อนออกจากประตูเมืองเป็นขบวนยาวเหยียด ถังเยว่นั่งอยู่ในรถม้าคันหน้าสุด สายตาจับจ้องมองรอยด่างดวงบนกำแพงเมือง คราบเลือดที่ประดับอยู่ด้านบนกำแพงสูงตระหง่านยังไม่ได้ล้างทำความสะอาดทำให้ยิ่งดูน่าเศร้าสลดอย่างหนักหน่วง ซากศพกองพะเนินดังภูเขาขนาดย่อมหน้าประตูเมืองถูกขนไปเผาหมดแล้ว ทว่ากลิ่นคาวเลือดยังคละคลุ้งชวนให้รู้สึกสะอิดสะเอียน

หลี่เจานั่งอยู่บนหลังม้า สายตาจับจ้องอยู่ที่ถังเยว่ดุจมีคำพูดนับพันหมื่นที่มิอาจเอ่ยออกมาได้หมด

ระหว่างทางต้องระวังเรื่องความปลอดภัยให้ดี หากมีอันตรายให้รีบส่งสัญญาณแจ้งมาทันที” หลี่เจากำชับย้ำแล้วย้ำอีก

กระหม่อมจะมีอันตรายอะไรได้ ตลอดทางกลับเมืองเย่เฉิงเป็นถิ่นฐานของพวกเราเอง ตรงกันข้ามกับฝ่าบาท จากฉินหยางสู่ฉู่โจวตลอดทางล้วนเต็มไปด้วยความยากลำบากและภยันตราย ไม่แน่พวกทหารข้าศึกอาจดักซุ่มโจมตีกลางทาง จะต้องระวังพระองค์ให้มาก

มุมปากรัชทายาทเจาปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยน

ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดีเลย หากทหารพ่ายศึกกลุ่มนั้นยังมีแรงเหลือจะได้ใช้โอกาสนี้จัดการให้สิ้นซากเสียเลยทีเดียว!

อย่าประมาท ระวังไว้เป็นดีที่สุด

วางใจเถอะ ผู้พิทักษ์เกราะนิลอยู่ใกล้ๆ พวกเขาจะเดินทางขึ้นเหนือไปด้วย

ถึงอย่างนั้นถังเยว่ก็ยังเป็นห่วงว่าข้าศึกจะใช้เล่ห์เพทุบาย อาศัยผลประโยชน์ด้านชัยภูมิดักซุ่มโจมตี ถึงตอนนั้นไม่แน่ว่าผู้พิทักษ์เกราะนิลก็อาจมาช่วยไม่ทัน

ฝ่าบาทเสด็จไปพร้อมกับผู้พิทักษ์เกราะนิลเลยมิดีกว่าหรือ ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เปิดเผยออกมาแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอำพรางอีกต่อไป

ไม่จำเป็น พวกเขายังมีภารกิจอื่นอีก ข้ามิได้เปิดเผยฐานะของตัวเอง ประเดี๋ยวปลอมตัวแล้วจะใช้เส้นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่น่าจะบังเอิญเจอพวกนั้นได้

ทั้งสองสบตากันเนิ่นนาน ความอาลัยอาวรณ์ไม่อยากแยกจากพรั่งพรูขึ้นในหัวใจ จากกันครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะได้พบหน้ากันอีกเมื่อไร ในใจถังเยว่เต็มไปด้วยความร้อนรุ่มไม่สบายใจ เขารู้ว่าการทำศึกสงครามในสมัยโบราณมักเกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนาน บางครั้งเนิ่นนานถึงสิบหรือยี่สิบปี การคมนาคมก็แสนจะไม่สะดวก อย่าว่าแต่เนิ่นนานเพียงนั้นเลย แค่ต้องแยกจากกันสามปีห้าปีเขาก็นึกไม่ออกแล้วว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นไร เขาถอนหายใจยาวเหยียด

มิสู้ให้กระหม่อมติดตามไปด้วย ถึงอย่างไรก็ยังสามารถช่วยรักษาคนได้

หลี่เจาส่ายหน้า “จวนรัชทายาทยังต้องมีคนคอยดูแลจัดการ ความสัมพันธ์ในราชสำนักต้องมีคนคอยสืบสานต่อเนื่อง เสด็จพ่อเสด็จแม่ต้องการให้เจ้าแสดงความกตัญญู สำคัญที่สุดคือเจ้าต้องใส่ใจอบรมเลี้ยงดูพระราชนัดดาองค์โตของจักรพรรดิ ภารกิจของเจ้าหนักหนามิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าข้าเลยสักนิด

หลี่เจาย่อมไม่พาถังเยว่ไปชายแดนที่เต็มไปด้วยภยันตรายรอบด้านอย่างแน่นอน

ประการแรกเขาเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของอีกฝ่าย ประการที่สองหากไม่มีพระชายาอยู่ในเมืองเย่เฉิงไม่แน่ว่าเหล่าเสนาบดีในราชสำนักอาจรู้สึกไม่สบายใจก็เป็นได้

ถังเยว่เองก็ตระหนักและเข้าใจในเหตุผล แต่หลายปีมานี้พวกเขาแทบไม่เคยแยกจากกัน คิดแล้วก็อดเป็นทุกข์ไม่ได้

มีหน่วยพยาบาลที่เจ้าเคี่ยวกรำสั่งสอนมาก็เพียงพอแล้ว

หลี่เจาอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อเทียบกับสถานการณ์ในอดีต ที่เป็นอยู่ในตอนนี้นับว่าดีกว่าหลายเท่านัก พวกเขามีเสบียงอาหารเพียงพอ มีหมอและพยาบาลทหารเกินร้อยคน มีอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ๆ ที่ทรงประสิทธิภาพ ทั้งยังมีไพร่พลที่ได้รับการอบรมปลูกฝังมาอย่างตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษ ช่วงที่เป่ยเยว่ฟื้นฟูบ้านเมืองพวกเขาก็เร่งพัฒนาอย่างสุดกำลัง ตอนที่เป่ยเยว่ก้าวมาถึงจุดสูงสุดในอดีต หนานจิ้นของพวกเขากลับก้าวล้ำหน้าไปอีกหลายเท่า ศึกครั้งนี้เขามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม

ฝ่าบาท สายมากแล้ว ควรออกเดินทางได้แล้วพ่ะย่ะค่ะเสียงใครบางคนกล่าวเตือน

หลี่เจากระโดดลงจากหลังม้าพร้อมกับที่ถังเยว่ก้าวลงจากรถม้าวิ่งเข้าสู่อ้อมแขนที่รับตัวเขาเข้าไปสวมกอดไว้อย่างแนบแน่น ทั้งสองจุมพิตกันอย่างดูดดื่มร้อนแรงราวกับไม่อาจตัดใจถอนริมฝีปากออกจากกันได้

เสี่ยวลั่วลั่วโผล่หน้าออกมาจากในรถม้า พอเห็นฉากนี้เข้าก็รีบเอามือปิดตาแต่แอบแง้มดูผ่านทางร่องนิ้ว

ลั่วลั่ว มาลาเสด็จพ่อสิถังเยว่หันมากวักมือเรียกเด็กน้อยด้วยใบหน้าแดงซ่าน

หลี่เจากอดเสี่ยวลั่วลั่วไว้แนบแน่นไม่แพ้กัน พร้อมกับเอ่ยกำชับอย่างเข้มงวด

บิดามิได้อยู่พร่ำสอนข้างกาย ห้ามเจ้าหลงระเริงเอาแต่เล่นสนุก ต้องดูแลเตียเตียของเจ้าให้ดี ต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ขาดไปแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้ บิดากลับมาเมื่อใดจะเรียกตรวจผลการเรียนของเจ้า

เสี่ยวลั่วลั่วพยักหน้าอย่างจริงจัง ลูกทราบแล้ว

การมาฉินหยางครั้งนี้ ผู้ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เกรงว่าน่าจะเป็นเสี่ยวลั่วลั่ว เด็กน้อยในตอนนี้ไม่เหมือนเด็กห้าขวบทั่วไปที่อยากหัวเราะก็หัวเราะ อยากร้องไห้ก็ร้องไห้ เขารู้จักเก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึกตัวเอง รู้จักประเมินสถานการณ์และรู้ว่าความลำบากของราษฎรทั่วหล้าเป็นเช่นไร

ถังเยว่ลูบศีรษะเขา “การพาลูกมาที่นี่ ไม่รู้ว่าตัดสินใจถูกหรือผิดกันแน่

เขามักรู้สึกเสมอว่าไม่ควรรีบร้อนยัดเยียดความรู้ต่างๆ ให้ลูกมากเกินไป ช่วงวัยไหนควรทำอะไรก็ควรเป็นไปตามนั้น ไม่ว่าความรู้ใดก็ควรเรียนรู้ทีละขั้นตอน เร่งร้อนมากไปไม่ใช่เรื่องดี

แต่เขาก็รู้อีกเช่นกันว่าหากปลูกฝังสั่งสอนตามแบบการดูแลเด็กในยุคปัจจุบัน กว่าเสี่ยวลั่วลั่วจะกลายเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จได้ต้องใช้เวลาบ่มเพาะอย่างน้อยยี่สิบปี แต่โอรสของว่าที่จักรพรรดินั้นต่างกัน เขาไม่ต้องการความใสซื่อบริสุทธิ์หรือดีงามจนเกินไป วิธีสั่งสอนของหลี่เจาจึงนับว่ามีประสิทธิภาพ เหมาะสมและให้ผลสัมฤทธิ์มากกว่า

หลี่เจาพอได้ยินถังเยว่พึมพำเช่นนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

เพราะเจ้าให้ท้ายเขามากเกินไป

ถังเยว่ทำตาคว่ำ ลูกกระหม่อม หากกระหม่อมไม่ให้ท้ายแล้วจะรอให้ใครมาให้ท้ายเขากันล่ะ

หลี่เจาทอดถอนใจอย่างเอือมระอา ได้แต่หวังว่าเมื่อเขากลับบ้านหลังศึกสงครามเสร็จสิ้น โอรสของตนจะไม่กลายเป็นพวกลูกผู้ดีเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อก็พอแล้ว แม่ที่รักและให้ท้ายลูกมากเกินไปจะทำให้ลูกเสียคน ประโยคนี้มิได้กล่าวกันเล่นๆ

ขบวนรถม้าเคลื่อนตัวออกเดินทาง ถังเยว่นั่งอยู่คันหน้าจึงค่อยๆ จากไปไกลจนกลายเป็นจุดเล็กๆ แม้ในใจของทั้งคู่เต็มไปด้วยความอาวรณ์แต่ในที่สุดภาพที่ปรากฏก็เลือนหายไปจากสายตา

จางฉุนย้ายจากรถม้าคันหลังมานั่งรถม้าคันหน้า ทั้งเขาและถังเยว่ต่างนั่งนิ่งอยู่ในความสงบ สภาพอารมณ์ปราศจากความคึกคัก

เวลาผ่านไปพักใหญ่ จางฉุนจึงถามขึ้น “คุณคิดว่าหากศึกครั้งนี้ต้องรบกันนานยี่สิบปี คุณจะทนเฝ้ารออยู่กับบ้านได้ตลอดรอดฝั่งไหม?”

ถังเยว่ส่ายหน้า “สามปีก็เต็มกลืนแล้ว หากผ่านไปสามปีเขายังไม่กลับมา ฉันจะออกมาหาเขาเอง

เขาไม่อาจเป็นเช่นเดียวกับผู้หญิงในยุคนี้ จะให้อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนนั่งรอสามีกลับจากศึกสงครามไปตลอดชีวิตจนแก่เฒ่าแห้งเหี่ยวโรยราไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก เช่นนั้นชีวิตยังจะมีความหมายอยู่อีกหรือ หากไม่ใช่เพราะมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเขาก็ไม่เต็มใจที่จะแยกจากหลี่เจาแม้เพียงครู่เดียว

จางฉุนหัวเราะร่า “ถูกต้อง ถึงตอนนั้นพวกเราจะไปด้วยกัน!

ถังเยว่ตบศีรษะเขาหนึ่งที ถ้างั้นนับจากนี้ นายก็ต้องหมั่นขยันฝึกวิทยายุทธ์ จะมาทำใจเสาะปอดแหกไม่ได้เป็นอันขาด อย่างน้อยก็ต้องสามารถปกป้องตัวเองได้

แหม ว่าแต่ผม ช่างไม่ดูแขนขาเล็กลีบของตัวเองมั่งล่ะ คุณยังสู้ผมไม่ได้เลยด้วยซ้ำ… อ๊ะ…”

มีดเล็กคมกริบเล่มหนึ่งจ่ออยู่ที่คอเขาพร้อมกับเสียงหัวเราะเย้ยหยันของถังเยว่

ตกลงใครสู้ใครไม่ได้กันแน่?”

จางฉุนยิ้มแหย ค่อยๆ ยกมือผลักคมมีดออกห่างจากคอ

พี่ถังย่อมเจ๋งที่สุดอยู่แล้ว!


 

235 ความเปลี่ยนแปลงของเสี่ยวลั่วลั่ว

กว่าขบวนของถังเยว่จะกลับถึงเมืองเย่เฉิงก็มีสภาพอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปตามๆ กัน ขึ้นเตียงปุ๊บต่างก็หลับเป็นตายไปสองวันกว่าจะเรียกพละกำลังกลับคืนมาได้

พ่อบ้านหอบสมุดบัญชีมาตั้งใหญ่แล้วรายงานต่อถังเยว่

คุณชายจากไปหลายเดือน แม้แต่จะฉลองปีใหม่อย่างเป็นกิจจะลักษณะก็ยังทำไม่ได้ ไว้รอให้ท่านหายเหนื่อยแล้วพวกเราค่อยเชิญแขกมาร่วมฉลองสังสรรค์ดีไหมขอรับ?”

ถังเยว่นั่งพิงหัวเตียง เขาบอกให้พ่อบ้านวางสมุดบัญชีไว้บนเก้าอี้ข้างเตียงพลางโบกมือกล่าว ไม่ต้องยุ่งยากหรอก เวลานี้อยู่ในช่วงภาวะศึกสงคราม ทุกอย่างให้เน้นเรียบง่ายเข้าไว้

จริงด้วยขอรับ ปีนี้ทุกบ้านทุกครัวเรือนต่างมัธยัสถ์ ไม่ค่อยจัดงานใหญ่โตกันสักเท่าไร แม้แต่งานแต่งหรือฉลองวันเกิดก็จัดกันแค่พอเป็นพิธี นอกประตูเมืองมีคนมาบริจาคโจ๊กทุกวัน จักรพรรดิทราบเรื่องก็ทรงปลาบปลื้ม คุณชาย จวนรัชทายาทของเราควรร่วมบริจาคอาหารสักสองสามวันดีหรือไม่ขอรับ?”

ถังเยว่หยิบสมุดบัญชีเล่มหนึ่งขึ้นมาพลิกดู ล้วนเป็นบัญชีรายวันซึ่งไม่มีอะไรให้ตรวจสอบมากนัก เขาเงยหน้าขึ้นถาม

มีคนเร่ร่อนมาเมืองเย่เฉิงมากน้อยเพียงไร?”

ไม่มีเลยขอรับ เมืองเย่เฉิงอยู่ไกลจากเขตสงครามมากเกินไป คนเร่ร่อนเดินทางมาไม่ถึงที่นี่ เพียงแต่ช่วงก่อนปีใหม่มีหิมะตกอยู่หลายครั้ง มีผู้ประสบภัยจากเมืองใกล้เคียงส่วนหนึ่งที่ต้องกลายป็นคนเร่ร่อนขอรับ

รุนแรงมากหรือไม่?”

ไม่มากขอรับ เทียบกับพายุหิมะเมื่อห้าปีก่อนนับว่าเบามาก ทุกปีพอถึงช่วงหิมะตกย่อมมีคนประสบภัยพิบัติอย่างมิอาจเลี่ยงได้

เช่นนั้นก็ไม่ต้องบริจาค เสบียงของเราต้องเก็บไว้ให้พวกทหารใช้ยามจำเป็น ท่านให้ร้านเรานำเสื้อบุนวมกับผ้าห่มออกไปแจกจ่ายให้ผู้ประสบภัยแทน

ขอรับ

พ่อบ้านเพ่งพิจารณาสีหน้าถังเยว่อย่างละเอียดแล้วแอบตัดสินใจเองเงียบๆ ว่าต้องไปสั่งให้ห้องครัวตุ๋นน้ำแกงมาบำรุงคุณชายสักหน่อย เหน็ดเหนื่อยตรากตรำมานานหลายเดือนดูเหมือนจะซูบผอมไปไม่น้อย คุณชายน้อยก็ด้วยดูเหมือนจะสูงขึ้นมากแต่ก็ผอมลง ผิวคล้ำขึ้น องค์รัชทายาทใจเด็ดยิ่งนัก โอรสยังเยาว์ขนาดนี้แต่กลับพาไปสนามรบด้วย

จริงสิ เจิ้นกั๋วกงล่วงลับไปเมื่อตอนก่อนปีใหม่ จักรพรรดิทรงริบจวนคืนแล้วปิดจวนไว้ เห็นบอกว่าจะยกให้ผู้มีความสามารถสร้างผลงานครั้งใหญ่ที่ทำให้ชนะศึกครั้งนี้ขอรับ

ถังเยว่ตะลึงงันก่อนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ ตายได้อย่างไร?”

เขาเคยตรวจรักษาอาการของเจิ้นกั๋วกงมาก่อน แม้จะรู้ว่าคนผู้นั้นสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงนัก แต่ขอเพียงดูแลตัวเองให้ดีก็สามารถมีชีวิตได้อีกหลายสิบปีอย่างไม่มีปัญหา

เรื่องนี้พูดไปจะระคายหูคุณชายเปล่าๆพ่อบ้านกล่าวแล้วทอดถอนใจก่อนตัดสินใจเล่าเรื่องราวโดยย่อ หลังหย่ากับชายาเอก อีกทั้งอนุภรรยาคนโปรดล่วงลับ ในจวนเจิ้นกั๋วกงขาดนายหญิงคอยดูแลจัดการดังนั้นท่านกั๋วกงจึงไปสู่ขอธิดาซึ่งเกิดแต่อนุภรรยานางหนึ่งของตระกูลท่านโป๋มาเป็นนายหญิงคนใหม่ โดยหารู้ไม่ว่าคุณหนูผู้นั้นมีชายในดวงใจอยู่แล้ว หลังแต่งเข้าจวนกั๋วกงนึกไม่ถึงว่าตกกลางคืนนางจะแอบลักลอบนัดพบกับชายคนรัก สุดท้ายก็ถูกท่านกั๋วกงจับชู้ได้คาเตียง เล่ากันว่าท่ามกลางความโกลาหลฮูหยินท่านนั้นพลั้งมือผลักท่านกั๋วกงเข้าทีหนึ่ง ท่านกั๋วกงเสียหลัก ศีรษะไปกระแทกถูกมุมโต๊ะก็เลย…”

ถังเยว่ฟังจบก็ได้แต่ถอนใจแล้วกล่าวอย่างสะทกสะท้อน

ตอนนั้นมารดาของซานหลางก็ถูกผลักล้ม ตอนนี้จึงไม่อาจเดินเหินได้อย่างปกติ นี่ถือว่ากรรมได้ตามสนองเขาแล้ว

นั่นน่ะสิขอรับ ตอนนี้บุตรชายคนโตซึ่งเกิดแต่อนุภรรยาเป็นผู้รับช่วงต่อสกุลจ้าว ได้ยินว่าพอเจิ้นกั๋วกงล่วงลับ เขาก็แยกบ้าน ขับไล่พี่น้องคนอื่นออกไปจนหมด ช่างกระทำเกินกว่าเหตุจริงๆ

ถังเยว่กล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบปราศจากคลื่นอารมณ์

เรื่องของสกุลจ้าวพวกเราไม่ต้องไปยุ่ง ไม่ว่าจะรุ่งโรจน์ก็ดี จะตกอับก็ช่าง หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเราไม่

พ่อบ้านพยักหน้ารับรู้ หากสกุลจ้าวไม่ประสบเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ หากคุณชายเสี่ยนยังอยู่ในสกุลจ้าว คุณชายของพวกเขาจะต้องช่วยให้คุณชายเสี่ยนได้สืบทอดตำแหน่ง และสกุลจ้าวก็คงไม่มีจุดจบถึงขั้นต้องถูกถอดยศถาบรรดาศักดิ์ บ้านแตกสาแหรกขาดเช่นนี้แน่ กรรมตามสนองแท้ๆ!

ซานหลางคงยังไม่รู้เรื่องนี้สินะ?”

พ่อบ้านครุ่นคิด น่าจะยังไม่รู้นะขอรับ แต่มารดาคุณชายเสี่ยนน่าจะทราบข่าวแล้ว จริงสิ บ่าวได้ตัดสินใจเองโดยพลการด้วยการส่งเยี่ยนกูไปดูแลนางช่วงระยะหนึ่ง เพราะบ่าวเกรงว่านางจะคิดสั้นขอรับ

ถังเยว่พูดชม ท่านทำได้ดีมาก ฝากบอกเยี่ยนกูด้วยว่าหากมีเวลาว่างให้หมั่นไปดูแลนางให้มากหน่อย ขาดเหลือสิ่งใดให้รีบบอก ซานหลางไม่อยู่ พวกเราต้องช่วยดูแลท่านแม่ของเขาให้ดี

บ่าวเข้าใจแล้วขอรับ

พ่อบ้านเรียกคนเข้ามาปรนนิบัติช่วยอาบน้ำแต่งตัวให้ถังเยว่ จากนั้นก็ออกไปทำงานของตัวเองต่อ

ถังเยว่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ได้ยินเสียงเยี่ยนกูดังมาจากด้านนอก นางไม่ได้เข้ามาในเรือน เพียงแค่ยืนอยู่ในสวนด้านนอก ทั้งยังพาบ่าวไพร่ติดตามมาด้วยสองคน บ่งบอกว่านางคำนึงถึงเพศที่แท้จริงของถังเยว่ ไม่อยากเปิดช่องโหว่ให้ใครโจมตีได้

มีธุระอันใดหรือ?”

ถังเยว่ก็ไม่ได้เชิญนางเข้ามาในเรือนเช่นกัน หลี่เจาไม่อยู่ในจวน แม้เขาจะวางตัวซื่อตรงไม่มีอะไรต้องหวาดหวั่นแต่อย่าประมาทไว้จะเป็นการดีที่สุด

บ่าวมีเรื่องอยากหารือกับคุณชาย เกี่ยวกับคุณชายน้อยเจ้าค่ะ

น้ำเสียงเยี่ยนกูบ่งบอกถึงความกังวล เสมือนกำลังเจอปัญหาใหญ่ที่แก้ยาก ทันทีที่ถังเยว่ได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับเสี่ยวลั่วลั่วก็รีบซักถาม

เจ้าว่ามาได้เลย

คืออย่างนี้เจ้าค่ะ บ่าวพบว่าสองวันมานี้อารมณ์คุณชายน้อยผิดปกติ กินไม่ได้นอนไม่หลับเจ้าค่ะ

เดินทางบุกป่าฝ่าดงมาไกล เขาอายุยังน้อยคงจะอ่อนเพลียมาก ประเดี๋ยวจะให้พ่อบ้านไปเชิญท่านหมอหลวงอูมาดูอาการ ระยะนี้ให้เขาพักผ่อนมากๆ การฝึกยุทธ์ในแต่ละวันให้ลดลงกึ่งหนึ่ง ฝากเจ้าช่วยดูแลเขาให้มากหน่อย

เยี่ยนกูลังเลครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าแล้วกล่าว “ตอนแรกบ่าวก็คิดว่าคงเป็นเพราะคุณชายน้อยอ่อนเพลียเกินไป แต่เอาเข้าจริงเหนื่อยก็ส่วนเหนื่อย ทว่าดูเหมือนอาการที่แปลกไปของคุณชายน้อยจะมิได้มีสาเหตุมาจากเรื่องสภาพร่างกาย แต่กลับเป็นเรื่องจิตใจเสียมากกว่าเจ้าค่ะ

ถังเยว่ถอนหายใจ ตัวเขาเองก็พอรู้ ตลอดทางที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ใส่ใจความผิดปกติของเสี่ยวลั่วลั่ว เพียงแต่เรื่องบางอย่างเมื่อประสบแล้วก็ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับให้เป็น อย่างมากถังเยว่ก็ได้แต่ชักชวนเบี่ยงเบนความสนใจของเด็กน้อยไปทางอื่น แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็ต้องอาศัยตัวลั่วลั่วเองในการเรียนรู้ที่จะก้าวข้ามผ่านไปให้ได้

ไปกันเถอะ ข้าจะไปดูเขาพร้อมกับเจ้า

ระหว่างทางถังเยว่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาให้เยี่ยนกูฟังคร่าวๆ เยี่ยนกูเป็นอนุภรรยาของแม่ทัพลั่วจึงเข้าใจเรื่องศึกสงครามเป็นอย่างดี และรู้ว่านี่เป็นเรื่องที่โหดร้ายทารุณสำหรับเด็กคนหนึ่งมากเพียงใด ตอนแรกนางเองก็ไม่เห็นด้วยที่องค์รัชทายาทจะพาคุณชายน้อยไปเมืองฉินหยาง แต่นางก็เป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งจะพูดอะไรมากก็ไม่ได้ ตอนนี้พอเห็นคุณชายน้อยมีสภาพเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกไม่เห็นด้วยกับการกระทำครั้งนี้ของรัชทายาท

คุณชายน้อยยังเด็กมาก…” เยี่ยนกูถอนหายใจอย่างจนปัญญา รัชทายาทมอบฐานะที่สูงส่งมีเกียรติเช่นนี้ให้กับเขาหากยังหวังให้คุณชายน้อยของนางมีชีวิตที่สุขสบายราบรื่นก็ดูจะเป็นการโลภมากจนเกินไป

ข้าเข้าใจความกังวลของเจ้า แต่เขาก็มีภารกิจที่ต้องทำ ปกป้องเขามากเกินไปหาใช่เรื่องดีไม่” เหตุผลนี้ไม่ว่าใครต่างก็เข้าใจ แต่เมื่อเกิดขึ้นจริงกับลูกตัวเองก็มิใช่เรื่องที่จะยอมรับกันได้ง่ายๆ

เสี่ยวลั่วลั่วพักอยู่ในเรือนติดกับถังเยว่มาตลอด แต่เรือนทุกเรือนในจวนรัชทายาทล้วนมีขนาดใหญ่ ต้องใช้เวลาเดินนานพอสมควร

โครงสร้างเรือนของเขาค่อนข้างเรียบง่าย หน้าเรือนเป็นสนามหญ้าผืนใหญ่ ถังเยว่ได้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและของเล่นตามแบบสวนสนุกในโลกยุคปัจจุบันไว้ให้ ทั้งยังมีสวนผักแปลงเล็กๆ ที่เขาเป็นคนสอนให้เสี่ยวลั่วลั่วปลูกเองกับมือ ถือว่าเป็นวิชางานบ้านนอกเวลาเรียน

เขายังหลับอยู่หรือ?”

ตื่นแล้วเจ้าค่ะ กำลังฝึกคัดตัวอักษรอยู่ในห้องทรงพระอักษร มีแค่วันที่คุณชายน้อยเพิ่งกลับมาเท่านั้นที่นอนหลับยาว ช่วงสองวันมานี้ยังไม่ทันถึงยามเฉินก็ตื่นแล้ว ฝึกท่านั่งม้าหนึ่งชั่วยาม ต่อด้วยฝึกเพลงมวย จากนั้นก็กินข้าวเช้า อิ่มแล้วก็เริ่มลงมือคัดตัวอักษรต่อ ตกบ่ายก็ไปเรียนที่เรือนอาจารย์เหวิน ฟังท่านผู้เฒ่าบรรยายความรู้ กลางคืนหลังมื้อค่ำก็ทำของเล่นเล็กๆ น้อยๆ จากนั้นก็อ่านบทความจบหนึ่งบทแล้วเข้านอนเจ้าค่ะ

สองวันนี้ถังเยว่เอาแต่พักผ่อนจึงนึกว่าเสี่ยวลั่วลั่วก็คงกำลังพักผ่อนเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าจะเริ่มศึกษาเล่าเรียนแล้ว ขยันจริงจังเกินไปแล้วกระมัง

เขาเปิดประตูห้องเข้าไป เห็นเด็กน้อยหน้าตาคมสันนั่งสันหลังตั้งตรงอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ กำลังสะบัดพู่กันเขียนอักษรทีละขีด ทีละเส้น ลายมือพู่กันเพิ่งเริ่มเป็นที่นิยม การฝึกคัดตัวอักษรถือเป็นกระแสนิยมแบบใหม่ ทุกปีเมืองเย่เฉิงจะมีการจัดประกวดคัดพู่กันจีนเพื่อคัดเลือกแบบอักษรที่สวยและเป็นที่นิยมมากที่สุดสิบแบบ วันข้างหน้าจะได้ใช้เป็นต้นแบบสำหรับผู้เริ่มเรียน

เสี่ยวลั่วลั่วหัดเขียนตามแบบลายมือของหลี่เจา ในการประกวดคัดพู่กันครั้งแรก ตัวอักษรของหลี่เจาได้รับการตัดสินว่างดงามเป็นที่หนึ่ง สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้คนไม่น้อย

แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมาจากการชี้แนะของถังเยว่ ลายมือพู่กันของถังเยว่ไม่ถึงกับดีเลิศ แต่เขารู้ว่าจะเขียนลายมือพู่กันให้งดงามนั้นต้องมีเหลี่ยมมีมุม การลากเส้นต้องหนักแน่นทรงพลัง ไม่จำเป็นต้องพลิ้วไหวอ่อนช้อยมากเกินไป

เสี่ยวลั่วลั่วเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็เงยหน้าขึ้น พอเห็นถังเยว่ก็รีบคลี่ยิ้มอย่างเบิกบานใจ หลังเขียนเสร็จหนึ่งตัวอักษรจึงวางพู่กันลงแล้วลุกขึ้นเดินมาหา

กลับมาสองวันแล้ว พวกเราควรเข้าวังไปเยี่ยมเสด็จปู่เสด็จย่าของเจ้ากันได้แล้ว

ถังเยว่ไม่ได้เอ่ยปากถามและไม่ได้ติว่าการที่อีกฝ่ายตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเกินไปนั้นเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเป็นกระบวนการอย่างหนึ่ง จะรีบร้อนไม่ได้

จริงหรือ?” เสี่ยวลั่วลั่วปรบมือด้วยความตื่นเต้นดีใจ ของขวัญที่ข้าซื้อมาระหว่างทางนำเข้าวังไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ?”

ย่อมได้อยู่แล้ว เสด็จย่าของเจ้าจะต้องชอบมากแน่

แล้วเสด็จปู่ล่ะขอรับ?”

เอ่อ ก็คงชอบกระมัง ถึงอย่างไรก็เป็นของขวัญจากลั่วลั่วเชียวนะ

เสด็จปู่เคยทอดพระเนตรของดีมานับไม่ถ้วน ต่อให้ไม่ทรงโปรดลั่วลั่วก็ไม่ตำหนิหรอก

ถังเยว่ขยี้ศีรษะกลมเล็กด้วยความเอ็นดู ก่อนจะอุ้มเขาขึ้นมาแล้วบอกให้เยี่ยนกูไปหยิบของขวัญของเขาเพื่อเตรียมเข้าวังไปด้วยกัน

เตียเตีย ข้าโตแล้ว เดินเองได้แล้ว” เสี่ยวลั่วลั่วดิ้นรนที่จะลงไปเดินด้วยตัวเอง

ช่วงที่อยู่เมืองฉินหยางเขาได้คบหาสหายตัวน้อยหลายคน ไม่เคยเห็นเพื่อนคนไหนที่โตจนป่านนี้แล้วยังให้พ่อแม่อุ้ม พวกเขาเหล่านั้นแทบไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากพ่อแม่ด้วยซ้ำ บางคนห้าขวบก็ต้องเริ่มช่วยงานในบ้านแล้ว

ถังเยว่ไม่ได้ดึงดัน ยอมปล่อยให้เด็กน้อยลงเดินเอง เขาเพียงแค่เคยชินกับการปฏิบัติต่อลูกดังเด็กเล็กแต่ในความเป็นจริงดูเหมือนลั่วลั่วจะโตขึ้นมากแล้วจริงๆ แม้ร่างกายจะยังเป็นเพียงเด็กวัยห้าขวบ แต่ความคิดความอ่านกลับเติบโตเป็นผู้ใหญ่ อยู่ในโอวาท รู้กาลเทศะ รู้จักแยกแยะถูกผิด สิ่งใดควรไม่ควร นี่อาจเป็นผลลัพธ์ที่หลี่เจาต้องการก็เป็นไปได้


 

236 เหตุผลเหลวไหล

ทูลฝ่าบาท พระชายาและพระราชนัดดาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ

ถังเยว่จูงมือเสี่ยวลั่วลั่วเดินเข้ามาในท้องพระโรงแล้วถวายบังคมครู่หนึ่งถึงได้ยินเสียงหนักแน่นของจักรพรรดิหนานจิ้นเอ่ยขึ้น

ลุกขึ้นเถอะ มาใกล้ๆ ข้านี่

เสี่ยวลั่วลั่วหันมองถังเยว่ เมื่อได้รับการพยักหน้าอนุญาตจึงลุกขึ้นเดินเข้าไป เด็กน้อยเกาะแขนอยู่ข้างกายจักรพรรดิหนานจิ้นเงยหน้ามองแล้วพูดว่า “เสด็จปู่ ลั่วลั่วคิดถึงเสด็จปู่

เพียงประโยคเดียวก็สามารถทำให้จักรพรรดิหนานจิ้นหัวเราะและอุ้มเด็กน้อยขึ้นมานั่งตัก

ปู่ก็คิดถึงเจ้า หายไปนานขนาดนี้ ไหน ให้ปู่ดูสิว่าผ่ายผอมลงหรือไม่

เสี่ยวลั่วลั่วยื่นแขนออกไปแล้วถลกแขนเสื้อขึ้น

เสด็จปู่ทอดพระเนตรสิพ่ะย่ะค่ะ หลานทั้งผอมทั้งดำ แต่ตอนนี้หลานสามารถหิ้วน้ำหนึ่งถังไหวแล้ว เสด็จพ่อตรัสว่าหลานมีพละกำลังมากขึ้น

หือ อย่างนั้นหรือ เช่นนี้ตลอดทางก็ลำบากแย่เลยสิ แล้วไปเที่ยวไหนมาบ้าง?”

ถังเยว่ขมวดคิ้ว วาจานี้ของจักรพรรดิแม้จะเหมือนคนในครอบครัวพูดคุยกัน แต่เหตุใดเขาฟังแล้วเหมือนเป็นคำถามเพื่อหยั่งเชิงกันนะ หรือว่าอีกฝ่ายคิดจะสืบเรื่องราวของพวกเขาจากปากเสี่ยวลั่วลั่ว แต่นี่ก็นับเป็นวิธีที่ดีจริงๆ นั่นละ เด็กน้อยบริสุทธิ์ใสซื่อย่อมไร้เล่ห์กลและซื่อสัตย์ที่สุด แม้เสี่ยวลั่วลั่วจะไม่ได้รู้ไปหมดทุกเรื่องแต่ก็สามารถบอกเบาะแสได้ ในฐานะที่เป็นองค์เหนือหัวแห่งแผ่นดินเบาะแสเล็กน้อยก็เพียงพอสำหรับสืบค้นแล้ว

ลำบากมาก นั่งรถม้าเหนื่อยมาก เสด็จพ่อตรัสว่ามีราชกิจเร่งด่วน ระหว่างทางมิค่อยให้หลานลงไปเที่ยวเล่น” เสี่ยวลั่วลั่วฟ้อง โชคดีที่หลี่เจาไม่อยู่ ไม่เช่นนั้นเมื่อกลับไปจวนคงได้ถูกเล่นงานแน่!

ฮ่าๆ บิดาเจ้าทำถูกแล้ว แต่ก็ไม่ควรทำให้เจ้าต้องเหนื่อย อันที่จริงเขาไม่ควรพาเจ้าไปด้วยซ้ำ ที่นั่นอันตรายมาก

ตอนที่จักรพรรดิหนานจิ้นรู้ว่าทั้งครอบครัวสามชีวิตเดินทางออกจากเมืองเย่เฉิงก็บังเกิดความร้อนรนจนมิอาจนิ่งเฉยได้ ไม่ว่าจะเป็นองค์ชายหรือรัชทายาทหากไม่ได้รับอนุญาตจะไปจากเย่เฉิงโดยพลการไม่ได้ หรือต่อให้ออกไปก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องพาไปหมดยกครัวทั้งลูกและภรรยา ก็เหมือนแม่ทัพที่ออกรบย่อมต้องทิ้งครอบครัวไว้ในเมืองเย่เฉิง ครอบครัวก็เสมือนหนึ่งเป็นตัวประกัน หากพวกเขากล้ารวบรวมไพร่พลก่อกบฏอยู่ข้างนอก ครอบครัวของพวกเขาก็จะต้องรับเคราะห์ก่อนเป็นกลุ่มแรก นี่เป็นธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมาเนิ่นนาน

แน่นอนว่าจักรพรรดิย่อมไม่ระแวงสงสัยว่ารัชทายาทเจาจะก่อกบฏ เพียงแต่มีความเคยชินที่จะกุมจุดอ่อนของรัชทายาทเจาไว้ในกำมือ

ควบคุมทุกอย่างไว้ในกำมือนี้ เชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจทุกคนชอบทำ

เสี่ยวลั่วลั่วหันมามองหน้าถังเยว่แล้วรีบวิ่งลงมารับถุงของฝากไปมอบให้จักรพรรดิหนานจิ้นอย่างกระตือรือร้น

เสด็จปู่ นี่เป็นของที่หลานได้มาระหว่างเดินทาง ทอดพระเนตรสิพ่ะย่ะค่ะว่าทรงชอบหรือไม่

หือ มีของฝากมาให้ปู่ด้วยหรือ?” จักรพรรดิหนานจิ้นแย้มยิ้มอย่างยินดี แน่นอนว่ามิใช่เพราะอยากได้ข้าวของ เพียงแต่การที่หลานออกไปเที่ยวข้างนอกแล้วยังนึกถึง สิ่งนี้สำหรับญาติผู้ใหญ่แล้วช่างเป็นเรื่องน่าปลาบปลื้มใจยิ่งนัก

ใช่พ่ะย่ะค่ะ หลานเป็นคนเลือกเองกับมือเลยด้วย

เสี่ยวลั่วลั่วรีบเปิดถุง หยิบของที่อยู่ในนั้นทั้งหมดออกมาทีละชิ้น มีก้อนหินสวยๆ ที่ได้มาจากอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีของเล่นน่ารักที่ซื้อในระหว่างเดินทางผ่านเมืองใหญ่ แล้วยังมีหุ่นเชิดหนังที่เขาทำเองตอนอยู่เมืองฉินหยาง เด็กน้อยหยิบของออกมาทีละชิ้นพร้อมกับเล่าเรื่องราวให้จักรพรรดิหนานจิ้นฟัง ทุกสิ่งล้วนแสดงถึงความตั้งใจและจริงใจ แม้จะมิใช่ของล้ำค่าหายากหรือมีราคาแพง แต่ก็สามารถสร้างรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นเต็มใบหน้าของจักรพรรดิหนานจิ้นได้

หลานข้าช่างมีน้ำใจนัก นำไข่มุกมาปูนบำเหน็จให้พระราชนัดดาหนึ่งหู[1]ผ้าไหมปักลายสิบพับ ลูกม้าสีแดงพุทราในโรงม้าของข้าตัวนั้นมอบให้เขา!

ถังเยว่เลิกคิ้วข้างหนึ่ง ทั้งไข่มุกและผ้าไหมมิใช่สิ่งน่าตื่นตาแต่ลูกม้าตัวนั้นกล่าวกันว่าเป็นลูกของสุดยอดอาชาไนยที่จักรพรรดิหนานจิ้นโปรดปรานทะนุถนอมที่สุด ปกติแล้วไม่น่าจะพระราชทานให้ใครได้ เห็นทีการกระทำของเสี่ยวลั่วลั่วในครั้งนี้จะได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิอย่างแท้จริง

ลั่วลั่วกล่าวขอบพระทัยอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม เพียงครู่เดียวปู่หลานก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องลูกม้าตัวนั้น จักรพรรดิหนานจิ้นอารมณ์ดีจึงอุ้มเด็กน้อยออกไปขี่ม้าด้วยกัน แล้วบอกให้ถังเยว่ไปสนทนาพูดคุยกับพระอัครมเหสีก่อน ถังเยว่ไม่รู้ว่าจักรพรรดิหาโอกาสจะอยู่ตามลำพังเพื่อหลอกถามล้วงความลับจากเสี่ยวลั่วลั่วหรือไม่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล เขาจึงถวายบังคมลาแล้วไปหาพระอัครมเหสีที่ตำหนัก

จะว่าไปความสัมพันธ์ฉันแม่สามีและลูกสะใภ้ระหว่างเขากับพระอัครมเหสีนั้นหลายปีมานี้ก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมาก เป็นผลมาจากการที่เขามักส่งของอร่อยเลิศรสเข้าวังอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังทำอาภรณ์รวมทั้งเครื่องประดับแปลกใหม่มามอบให้อีกหลายชุด ท้ายที่สุดจึงทำให้พระอัครมเหสีเลิกตะขิดตะขวงใจเรื่องที่เขาเป็นบุรุษได้

เมื่อเขาไปถึงพระอัครมเหสีก็เรียกให้เข้าไปใกล้ๆ แล้วกระซิบถามเกี่ยวกับสิ่งที่เขาประสบพบเจอตลอดทาง พอได้ยินว่าข้างกายหลี่เจามีทหารคุ้มกันถึงหนึ่งหมื่นนายก็มีท่าทางโล่งใจ

ไม่รู้ว่าข่าวลือนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อใด แต่ในวังเล่าลือกันว่ารัชทายาทดุจเทพสงครามบนสรวงสวรรค์มาจุติบนพื้นพิภพ ไม่ว่าสมรภูมิใดขอเพียงมีรัชทายาทประทับอยู่ ต่อให้กองทัพนับหมื่นนับแสนก็มิอาจโจมตีให้แตกพ่ายได้ เวลานี้มีราษฎรจำนวนไม่น้อยต่างร่วมลงชื่อเรียกร้องให้รัชทายาทกรีธาทัพออกรบ ทว่าองค์จักรพรรดิกลับคัดค้านเรื่องนี้อย่างสุดกำลัง

อันที่จริงการกระทำของรัชทายาทอาจเรียกได้ว่าเป็นการประหารก่อนแล้วค่อยกราบทูลทีหลัง ย่อมทำให้องค์จักรพรรดิทรงเกิดความระแวงแคลงใจ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองฉินหยางก็ไม่มีทางปิดบังได้สักวันจักรพรรดิต้องทรงทราบแน่ เมื่อทรงรู้ถึงการมีอยู่ของกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิล องค์รัชทายาทย่อมหนีไม่พ้นข้อกล่าวหาซ่องสุมกำลังพล

ก็นั่นน่ะสิพระอัครมเหสีพยักหน้าเห็นพ้อง หากมีแค่ข้อกล่าวหานี้ยังพอทำเนา กลัวก็แต่องค์จักรพรรดิจะทรงเข้าพระทัยผิด คิดว่าเจาเอ๋อร์มีใจคิดซ่องสุมกำลังเพื่อโค่นล้มราชบัลลังก์ ยิ่งหากมีคนถ่อยคอยยุแยงด้วยแล้วละก็ จะทรงเกิดความคลางแคลงใจในตัวเจาเอ๋อร์ได้

นี่นับเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่และเป็นสาเหตุที่หลี่เจาไม่ยอมใช้กองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลตั้งแต่แรก แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีแต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาพ่อลูกในฐานะรัชทายาทและจักรพรรดิผู้ครองบัลลังก์ก็มิได้แน่นแฟ้นถึงขั้นที่จะหมดสิ้นความหวาดระแวง

เจาเอ๋อร์คิดเช่นไรกับเรื่องนี้ มีแผนรับมือหรือไม่?” พระอัครมเหสีเอ่ยถาม

ถังเยว่พยักหน้า “มีวิธีที่คิดไว้บ้างพ่ะย่ะค่ะแต่ไม่ถึงกับจะเรียกได้ว่าเป็นแผนการ เสด็จแม่ทรงจำได้หรือไม่เมื่อครั้งที่รัชทายาทได้รับบาดเจ็บ เคยมีราชโองการอนุญาตให้รัชทายาทเลี้ยงทหารส่วนตัวไว้ในจวนได้ห้าพันนาย เมื่อรวมกับทหารส่วนตัวของจวนอานกั๋วกง จวนเหิงกั๋วกงและจวนลี่หยางโหวแล้ว ก็นับได้เกือบจะหนึ่งหมื่นนายแล้วพ่ะย่ะค่ะ

พระอัครมเหสีได้ฟังแล้วถึงกับตบอกด้วยความตกใจ “ความหมายของเจ้าคือจะทำให้องค์จักรพรรดิทรงคิดว่าทหารส่วนตัวหนึ่งหมื่นนายของเจาเอ๋อร์มาจากการรวบรวมทหารส่วนตัวของหลายตระกูลอย่างนั้นหรือ นี่นี่มันเหลวไหลสิ้นดี! จักรพรรดิจะทรงเชื่อได้อย่างไร?”

กระทั่งตัวนางเองยังไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงจักรพรรดิหนานจิ้นผู้ปราดเปรื่อง

คิดว่าคงไม่เชื่อแน่ แต่ขอเพียงตระกูลเหล่านี้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน พยักหน้าให้เป็นเอกฉันท์เท่านี้ก็ใช้ได้แล้ว อย่างน้อยก็ทำให้คนจับจุดอ่อนนำมาเล่นงานไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่พวกเขาจะเห็นด้วยหรือ อานกั๋วกงไม่ต้องพูดถึง ไม่ว่ารัชทายาทพูดสิ่งใดเขาย่อมเห็นดีเห็นงามด้วยทั้งสิ้น แล้วจวนอื่นที่เหลือล่ะ

ทว่าเมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ของรัชทายาทกับจวนลี่หยางโหวและจวนเหิงกั๋วกงแล้วก็คิดได้ว่าทั้งสองตระกูลนี้ย่อมไม่มีปัญหาแน่ แต่เพื่อความปลอดภัยควรหาตระกูลอื่นมาร่วมมือให้มากกว่านี้ ทหารจวนกั๋วกงมีหนึ่งพันนาย จวนโหวมีเพียงห้าร้อยนาย กว่าจะรวบรวมได้ครบหนึ่งหมื่นย่อมมิใช่เรื่องง่าย

นี่ก็คือสิ่งที่กระหม่อมต้องทำต่อจากนี้ คิดว่าบรรดาจวนโหวที่สนิทสนมกับองค์รัชทายาทคงเกลี้ยกล่อมเพื่อขอความช่วยเหลือได้ไม่ยาก

พระอัครมเหสีพยักหน้า พยายามให้เต็มที่ เร่งมือให้เร็วที่สุด เรื่องนี้คงปิดบังไว้ได้อีกไม่นานแล้ว

ถังเยว่เข้าใจและไม่คิดว่าเรื่องนี้จะยังปิดบังอำพรางได้ คาดว่าป่านนี้จักรพรรดิหนานจิ้นคงได้รับทราบข่าวนี้แล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่อยู่ในช่วงของการส่งคนไปค้นหาหลักฐานซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลา ดังนั้นเขาจึงต้องใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี้ให้คุ้มค่าที่สุด

ทั้งสองสนทนาหารือกันอยู่นานกว่าครึ่งค่อนวัน กระทั่งนางกำนัลมาเคาะประตูถังเยว่จึงลากลับ ก่อนจากพระอัครมเหสีสั่งให้คนพาเสี่ยวลั่วลั่วมาพบ สะใภ้เป็นบุรุษไม่อาจมีบุตรได้เรื่องนี้นางทำใจยอมรับได้แล้ว ดังนั้นหลานชายเพียงหนึ่งเดียวคนนี้จึงเป็นที่รักของนางดุจแก้วตาดวงใจ ถังเยว่ไม่กล้าจินตนาการเลยจริงๆ ว่าหากพระอัครมเหสีล่วงรู้ว่าลั่วลั่วไม่ใช่ลูกในไส้ของรัชทายาทจะผิดหวังมากเพียงใด

เสด็จย่า!

เสี่ยวลั่วลั่วโผเข้าสู่อ้อมกอดของพระอัครมเหสี กอดคอนางพลางออดอ้อน ท่าทางเหล่านี้บ่งบอกถึงความใกล้ชิดสนิทสนมยิ่งกว่าตอนอยู่กับจักรพรรดิหนานจิ้นหลายเท่า อาการตื่นเกร็งก็ลดลงไปหลายส่วนจิตใจของเด็กน้อยสัมผัสได้ไวมาก ใครดีกับพวกเขาอย่างจริงใจพวกเขาสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน

พระอัครมเหสีอุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขนแล้วถามไถ่อย่างอ่อนโยน พอเห็นเด็กน้อยผอมและคล้ำขึ้นก็ตำหนิรัชทายาทไปอีกชุดใหญ่ เรียกได้ว่าหลงหลานจนลืมลูกอย่างเห็นได้ชัด

ในตอนที่พวกเขาออกมาจากวัง สามารถกล่าวได้ว่าเสี่ยวลั่วลั่วกอบโกยผลประโยชน์ได้เป็นกอบเป็นกำ นอกจากได้รับของพระราชทานจากองค์จักรพรรดิแล้ว ยังมีของพระราชทานจากพระอัครมเหสีอีกทั้งหมดบรรจุอัดแน่นเกินกว่าครึ่งคันรถ

ของพวกนี้เตียเตียจะเก็บรักษาไว้ให้ เมื่อเจ้าอายุครบสิบปีจึงจะมอบให้ไปดูแลจัดการเอง ได้ยินว่าตอนที่เสด็จพ่อของเจ้าพระชนมายุเท่านี้ก็มีทรัพย์สินส่วนพระองค์มากมายแล้ว ไม่รู้ว่าทรงเข้าพระทัยเรื่องพวกนี้ตั้งแต่พระชนมายุเท่าใด

เสี่ยวลั่วลั่วคว้าสายรัดเอวประดับหยกเส้นหนึ่งขึ้นมาดูแล้วพูดอย่างมีแผนการในใจ

เรื่องพวกนี้ข้าล้วนเข้าใจเช่นกัน ท่านอาฉุนถ่ายทอดวิชาความรู้ด้านการค้าให้ข้ามากมาย เขาบอกว่าต่อไปภายหน้าข้าต้องเป็นพ่อค้าผู้โดดเด่นล้ำเลิศเหนือกว่าเขาได้อย่างแน่นอน

ฮ่าๆ เขาพูดเช่นนี้จริงหรือ มิใช่ว่าแค่เจตนาประจบเอาใจเจ้าหรอกนะ!

ถังเยว่ฟังแล้วยังรู้สึกข้องใจในเจตนาของจางฉุน ปกติแล้วเจ้าเด็กนั่นไม่มีทางพูดชมใครจากใจจริง น่าจะพูดเล่นหรือเพื่อประจบสอพลอเสียมากกว่า เขาเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

จะเป็นไปได้อย่างไร ตอนท่านอาฉุนพูดประโยคนี้สีหน้าเขาจริงจังมาก

ถังเยว่ไม่อยากทำลายความมั่นใจของลั่วลั่ว แต่จางฉุนเป็นนักแสดงถ้าเขาคิดอยากจะทำท่าจริงจัง ต่อให้พูดโกหกก็ยังสามารถแสดงความซื่อสัตย์จริงใจออกมาได้

กลับถึงจวน ถังเยว่ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ลั่วลั่วแล้วพาไปเยี่ยมอานกั๋วกงต่อทันที หลังแจ้งจุดประสงค์การมาเยือนแม้อีกฝ่ายจะมีท่าทางฉุนเฉียวอยู่บ้างแต่ก็ตอบตกลงอย่างไม่อิดออด

สำหรับอานกั๋วกงซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของหลี่เจาผู้นี้ถังเยว่นับถือเขาจากใจจริง ผู้คนมักพูดกันว่าญาติทางฝ่ายพระอัครมเหสีขององค์จักรพรรดิหวังกุมอำนาจ แต่อานกั๋วกงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เขารู้ดีว่าตนเป็นแม่ทัพจึงไม่เคยสอดปากแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายบริหารบ้านเมือง ที่สำคัญเขาเป็นคนไม่ถ่อมตัวเกินควร ไม่เย่อหยิ่งเกินงาม กิริยาท่าทีที่แสดงต่อองค์จักรพรรดิก็มิได้ประจบประแจงเอนเอียงเกินเหตุ นอกจากหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลี่เจาก็อาจทำให้เขาเผลอขาดสติยั้งคิดไปบ้าง แต่โดยทั่วไปแล้วเขาประพฤติตัวเรียบร้อย ไม่ออกนอกลู่นอกทางมาโดยตลอด และสิ่งที่ทำให้ถังเยว่เลื่อมใสเขามากขึ้นก็คือท่าทีที่อานกั๋วกงปฏิบัติต่อบุตรชายนั้นชัดเจนมาก

เขามีหูจินเผิงเป็นบุตรชายที่เกิดแต่ชายาเอกเพียงคนเดียว ที่เหลือเป็นบุตรธิดาซึ่งเกิดแต่อนุภรรยา นอกจากหูจินเผิงแล้วเขาก็ไม่เคยตั้งใจปลูกฝังผลักดันบุตรชายอนุภรรยาคนไหนอีก นี่สามารถอธิบายได้ว่าต่อไปภายหน้าหูจินเผิงจะต้องเป็นผู้สืบทอดตระกูลต่อ บรรดาบุตรชายของอนุภรรยานอกจากจะได้รับส่วนแบ่งมรดกตามความเหมาะสมแล้ว หลังสิ้นอานกั๋วกงพวกเขาก็ต้องย้ายออกจากจวน ส่วนบุตรสาวของอนุภรรยานอกจากได้รับสินเดิมไว้ออกเรือนก้อนหนึ่งแล้ว กิจอันใดในบ้านสามีของพวกนางจวนอานกั๋วกงล้วนไม่ยุ่งเกี่ยว ห้ามคิดที่จะใช้บารมีของจวนหาผลประโยชน์ใดๆ ให้บ้านสามีโดยเด็ดขาด

นี่จึงทำให้ตลอดหลายปีมานี้จักรพรรดิหนานจิ้นไม่ลงมือกับสกุลหู เพราะรู้นิสัยอานกั๋วกงดีว่าเป็นคนซื่อตรง แม้จะมีความฉลาดแกมโกงอยู่บ้างแต่ก็ไม่เคยทำเรื่องโง่เขลาแม้แต่ครั้งเดียว

อานกั๋วกงมีสีหน้าเคร่งขรึมไม่ยิ้มแย้มขณะนั่งเผชิญหน้าอยู่ตรงข้ามกับถังเยว่ เขาหยิบป้ายคำสั่งออกมาจากในแขนเสื้อแล้วโยนให้

นี่เป็นป้ายคำสั่งของจวนอานกั๋วกง ป้ายนี้สามารถออกคำสั่งเคลื่อนไพร่พลในจวนข้าได้ทั้งหมด ข้ายกคนเหล่านี้ให้เจ้า

ถังเยว่รู้สึกว่าป้ายคำสั่งเล็กๆ ชิ้นนี้ร้อนลวกมืออย่างไรชอบกล

ท่านลุง นี่…”

ดูเหมือนจะไม่เหมาะกระมัง เหตุใดฟังคำพูดนี้ของอานกั๋วกงแล้วรู้สึกเหมือนจะให้เขาเอาคนพวกนี้ไปเชือดทิ้งอย่างไรไม่รู้ คงเป็นเขาที่คิดมากไปเองแน่

อานกั๋วกงถลึงตาจ้องหน้าถังเยว่อย่างไม่สบอารมณ์ในความไม่เอาถ่าน

ในเมื่อตัดสินใจว่าจะทำแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด จะให้จักรพรรดิเชื่อว่าทหารชั้นยอดในมือรัชทายาทได้มาจากการระดมกำลังทหารส่วนตัวตามจวนต่างๆ เช่นนั้นไพร่พลในจวนก็ไม่อาจคงอยู่อีกต่อไป มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าจักรพรรดิทรงพระเนตรบอดหรืออย่างไร?”

ถังเยว่ยิ้มขื่น “ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่คนพวกนี้ท่านลุงฝึกปรือพวกเขาขึ้นมาด้วยความอุตสาหะ พวกเขาต่างซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อจวนอานกั๋วกงเพียงหนึ่งเดียว หากต้องลงมือกับพวกเขา ขออภัยที่ข้าน้อยทำไม่ได้

อยู่ดีๆ จะให้เขาเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้อย่างไร? ต่อให้เพื่อความปลอดภัยของหลี่เจา เขาก็ทําไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ท่านเห็นชอบที่จะให้สังหารคนเหล่านี้ แต่อีกหลายตระกูลที่เหลือใช่ว่าจะเห็นด้วย ขอเพียงมีใครสักตระกูลคัดค้านขึ้นมา การเสียสละของคนพวกนี้ก็จะสูญเปล่า

ฮึ! ไม่เห็นต้องรอให้พวกเขาเห็นด้วย!” อานกั๋วกงพูดอย่างเผด็จการ “องค์รัชทายาทคือบุคคลสำคัญของหนานจิ้น พระชนม์ชีพของพระองค์คือชะตากรรมของหนานจิ้น ใครจะกล้าไม่เห็นด้วย?”

ข้าไม่เห็นด้วย ท่านลุงแค่สลายไพร่พลในจวนหรือส่งพวกเขาไปอยู่ต่างถิ่นชั่วคราวก่อน ขอแค่คนอื่นหาพวกเขาไม่เจอก็พอ ไม่มีใครเชื่อหรอกว่านี่เป็นเรื่องจริง พวกเราแค่เล่นละครตบตาไปอย่างนั้น

พวกเขาแค่ต้องการฉากบังหน้า หากจะตรวจสอบขึ้นมาจริงๆเรื่องนี้ย่อมถูกเปิดโปงโดยง่าย

เจ้าคิดว่าจักรพรรดิทรงเบาปัญญางั้นหรือ จะทรงเชื่อได้อย่างไร?”

พระองค์ย่อมไม่เชื่อแน่ แต่จะทำอย่างไรได้ จะทรงเรียกรัชทายาทให้กลับจากชายแดนเพื่อมารับโทษ หรือจะยึดทรัพย์ฆ่าล้างตระกูลคนในจวนรัชทายาท? สงครามแนวหน้ากำลังอยู่ในสถานการณ์คับขัน ต่อให้จักรพรรดิทรงอยากชำระความเพียงใดก็ต้องรอให้ทุกอย่างจบสิ้นลงก่อนจึงจะคิดบัญชีได้ ไม่มีทางลงมือทันทีทันใดแน่

ทันทีที่จักรพรรดิหนานจิ้นรู้ว่าหลี่เจามีกองทหารม้าหนึ่งหมื่นนายอยู่ในครอบครอง มิหนำซ้ำยังเป็นหน่วยรบพิเศษที่แข็งแกร่งทรงพลังไม่มีวันพ่าย บุกตีที่ใดมีแต่คว้าชัยกลับมา จักรพรรดิจะตัดใจสละกองทัพนี้ทิ้งไปได้อย่างไร ทว่าถึงแม้คิดอยากจะครอบครองกองทัพนี้ไว้เป็นของตนก็ต้องรอให้สงครามสิ้นสุดเสียก่อนเพราะจักรพรรดิไม่มีทางสั่งการเคลื่อนกองทัพนี้ได้ หากหลี่เจาถูกปลด กองทัพนี้จะต้องล่มสลายแน่ ศึกทางเหนือจะเกิดการพลิกผันอย่างฉับพลัน ความเสียหายจะไม่ใช่แค่สูญเสียทหารหลายหมื่นชีวิต

ความทะเยอทะยานของจักรพรรดิหนานจิ้นก็ไม่ใช่เล็กๆ ดูได้จากการที่ยอมเปิดศึกกับเป่ยเยว่โดยไม่ยอมจำนน บ่งบอกว่ามีใจหวังรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเช่นกัน จักรพรรดิเองก็อายุมากแล้ว ด้วยกำลังทหารที่หนานจิ้นมีอยู่ในเวลานี้คงทำได้เพียงรบเสมอกับเป่ยเยว่ หากอยากจะเคี้ยวกินชิ้นเนื้อก้อนโตขนาดนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำสำเร็จได้ภายในเวลาอันสั้น แต่หากในมือหลี่เจามีกองทัพทหารหนึ่งหมื่นนายที่ศัตรูเพียงได้ยินชื่อก็ครั่นคร้ามจนขวัญผวาแล้วละก็ ไม่แน่ว่าอาจมีโอกาสพลิกสถานการณ์ สร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นก็เป็นได้

ด้วยการคาดการณ์นี้ ถังเยว่ชื่อว่าจักรพรรดิหนานจิ้นต้องยอมให้โอกาสหลี่เจาสักครั้ง หากเขาทำสำเร็จแล้วค่อยย้อนกลับมาคิดบัญชีก็ไม่สาย แต่หากไม่สำเร็จก็เป็นโอกาสที่จะลงอาญาได้อย่างมีเหตุผล นี่เป็นสาเหตุว่าเหตุใดหลี่เจาจึงกล้าคิดใช้เหตุผลเหลวไหลเช่นนี้ปิดปากทุกคน

ถ้าเจ้าคาดเดาผิดล่ะ?” อานกั๋วกงถามด้วยน้ำเสียงเจือความขุ่นข้อง

ถังเยว่ตอบยิ้มๆ “ถ้าข้าเดาผิด ถึงตอนนั้นต้องรบกวนท่านลุงช่วยส่งข้ากับลั่วลั่วออกนอกเมืองเพื่อหนีเอาชีวิตรอดให้จงได้ ข้าได้เตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้เรียบร้อยแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นข้าจะพาลูกชายของข้าและหลานชายของท่านหนีออกไปโพ้นทะเล ถึงเวลานั้นพวกเราก็ไปเป็นราชาอยู่บนเกาะกลางทะเล เช่นนี้แล้วจะไม่มีความสุขได้อย่างไร

เหลวไหล!” อานกั๋วกงเอ็ดแต่ยังอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ ในที่สุดจึงถอนหายใจส่ายหน้าแล้วโบกมือไล่ถังเยว่ให้กลับไปได้ ตัวเขาเองก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้วเช่นกัน มาถึงขั้นนี้คงได้แต่แก้กันไปทีละก้าว

 

 

เชิงอรรถ

  1. หู เป็นชื่อมาตราการชั่งตวงในสมัยโบราณ โดย 1 หู มีน้ำหนักประมาณ 30 กิโลกรัม

 

237 เมื่อเรื่องมันแดง

เจ้าลูกชั่ว! ลูกทรพี!

จักรพรรดิหนานจิ้นทำลายข้าวของในห้องทรงพระอักษรด้วยความกริ้วโกรธ ขันทีคุกเข่าหมอบกรานอยู่กับพื้นด้วยอาการตัวสั่นงันงก รอรับเพลิงอารมณ์ของเจ้านายเหนือหัว

ทหาร!จักรพรรดิหนานจิ้นตะโกนลั่น

ทหารยามรีบผลักประตูเข้ามา ทำทีเหมือนมองไม่เห็นสภาพระเนระนาดบนพื้น คุกเข่าข้างหนึ่งขณะถาม

ฝ่าบาทมีพระประสงค์สิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ?”

ไปถ่ายทอดราชโองการข้า เรียกชายารัชทายาท อานกั๋วกงและลี่หยางโหวเข้าวัง ข้าจะไต่สวนพวกเขาว่าใครเป็นผู้มอบความอาจหาญในวันนี้ให้รัชทายาท ถึงได้กล้าซ่องสุมกำลังส่วนตัวไว้ถึงหมื่นนาย เขาไปเอาความขวัญกล้านี้มาจากที่ใด!

ทหารยามผู้นั้นไม่กล้าซักถามอะไรอีก รับคำสั่งแล้วรีบถอยหลังออกไปทันที เหลือไว้เพียงเหล่าขันทีเรียงรายเป็นแถวที่ในตอนนี้ล้วนอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา

ตั้งแต่เช้าตรู่จักรพรรดิก็เก็บตัวอยู่แต่ในห้องทรงพระอักษร จวบจนผ่านไปครึ่งชั่วยามจึงได้เปล่งเสียงแสดงอาการโกรธเกรี้ยวอย่างเช่นที่เป็นอยู่ในตอนนี้ นอกจากพังทำลายข้าวของในห้องแล้วยังสั่งประหารขันทีที่รกหูรกตาไปสองคน แต่ไม่รู้ว่าที่จักรพรรดิฉุนเฉียวและด่าทอว่าลูกทรพีนั้น แท้จริงแล้วหมายถึงโอรสธิดาคนใดกันแน่!

องค์ชายใหญ่ข่าวคราวเงียบหายไปหลายปี ตามที่ทุกคนรู้คือเขาเก็บตัวสวดมนต์ขอพรเพื่อแผ่นดินหนานจิ้น องค์จักรพรรดิและราษฎรอยู่ในศาลบรรพชน จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีคำสั่งอนุญาตให้เขากลับมา องค์ชายสามยังคงไร้ข่าวคราวราวกับหายสาบสูญไปอย่างไร้วี่แวว

องค์ชายอื่นที่เหลือนอกจากองค์รัชทายาทแล้วก็เสมือนไร้ตัวตน ภายใต้รัศมีอันเปล่งประกายขององค์รัชทายาท องค์ชายอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะเป็นได้แค่คนขี้ขลาดที่ไร้ความสามารถเท่านั้น เมื่อพิเคราะห์ดูแล้ว ผู้ที่จะสามารถทำให้จักรพรรดิกริ้วโกรธได้ถึงเพียงนี้ก็เห็นจะมีแต่องค์รัชทายาทเสียละกระมัง

แต่ได้ข่าวว่าองค์รัชทายาทไปออกรบ เช่นนี้แล้วยังจะสามารถก่อเรื่องยั่วโทสะให้จักรพรรดิโมโหถึงเพียงนี้ได้อีกหรือ ขันทีที่ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายมาหลายสิบปีก็เพิ่งเคยเห็นอาการฉุนเฉียวเช่นนี้ขององค์จักรพรรดิเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกคือตอนที่ได้ทราบความจริงว่าพระชายาอิงมีชู้

ตอนถังเยว่รับราชโองการเขากำลังกำหนดชนิดและปริมาณสมุนไพรที่ต้องสั่งซื้ออยู่ที่จวน

ตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนเขาก็เริ่มกักตุนสมุนไพรที่ต้องใช้ทำยาเวชภัณฑ์ทุกปี บางอย่างที่เก็บรักษาได้ในระยะเวลาสั้นก็ต้องหมุนเวียนนำออกมาใช้หรือนำไปผลิตเป็นยานวด น้ำมันสมุนไพร จนวันนี้ในโกดังมียาสำเร็จรูปพร้อมใช้งานเก็บไว้กว่าครึ่งโกดัง แต่ยาประเภทนี้ถูกใช้หมดอย่างรวดเร็ว หากคำนวณตามอัตราส่วนหนึ่งขวดต่อทหารหนึ่งคน ยาในโกดังของเขาก็ยังถือว่ามีไม่เพียงพอ

คุณชาย จักรพรรดิทรงมีรับสั่งเรียกท่านเข้าวังขอรับ” พ่อบ้านเข้ามารายงาน

อืม ข้ารู้แล้ว ใครเป็นผู้นำราชโองการมา?”

เป็นองครักษ์เมี่ยวที่เฝ้าอยู่หน้าห้องทรงพระอักษรขอรับ บ่าวได้ลองสอบถามดูแล้วได้ยินว่าตอนเฝ้าอยู่หน้าห้องทรงพระอักษรจักรพรรดิทรงพิโรธหนัก ดูเหมือนจะกริ้วเรื่ององค์รัชทายาท

อ้อ เป็นอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด ในที่สุดก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้

แม้จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วแต่ก็ยังไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับเพลิงโทสะขององค์จักรพรรดิอย่างไรดี ถังเยว่ถึงขั้นสงสัยว่าตนเข้าวังวันนี้แล้วจะยังได้กลับออกมาแบบมีลมหายใจหรือไม่

เขาเขียนตารางสั่งซื้อของมอบให้พ่อบ้านไว้เรียบร้อยแล้ว สั่งให้อีกฝ่ายนำไปส่งให้ผู้ดูแลหอฮุ่ยอาน จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเข้าวัง

พอมาถึงหน้าประตูวังก็บังเอิญพบอานกั๋วกงและลี่หยางโหวผู้เป็นบิดา พวกเขามาพบกันโดยมิได้นัดหมาย ทว่าเพียงสบตากันครู่เดียวต่างฝ่ายต่างเข้าใจได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

อีกประเดี๋ยวพวกท่านไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดยกให้ผู้น้อยจัดการเองก็พอ” ถังเยว่กล่าว

อานกั๋วกงแค่นหัวเราะเสียงเย็น แต่ถังเยว่รู้ว่าเขาไม่นิ่งดูดายแน่ ส่วนลี่หยางโหวยิ่งไม่มีทางทนอยู่เฉยได้ นับแต่สองตระกูลเกี่ยวดองเป็นญาติ เขากับรัชทายาทเจาก็นับว่าลงเรือลำเดียวกันแล้ว จะปฏิเสธว่าไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันย่อมเป็นไปไม่ได้

ทั้งสามก้าวเข้าห้องทรงพระอักษร ด้านในถูกจัดการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เศษกระเบื้องที่เมื่อครู่แตกกระจัดกระจายอยู่บนพื้นก็ถูกเก็บกวาดไปหมด เพียงแต่เมื่อกวาดตามองไปทั่วทั้งห้องจะรู้สึกได้ว่าห้องนี้ดูโล่งขึ้นมาก บ่งบอกว่าข้าวของที่แตกหักเสียหายยังจัดหาของใหม่มาเปลี่ยนแทนไม่ทัน

ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญ มีพระชนมายุยิ่งยืนนานหมื่นปี หมื่นๆ ปี...

จักรพรรดิหนานจิ้นถลึงตาจ้องบุคคลทั้งสามที่ยืนอยู่กลางห้องทรงพระอักษร สีหน้าดำทะมึนจนน่ากลัว เวลาผ่านไปนานก็ยังไม่เอ่ยคำอนุญาตให้พวกเขาลุกขึ้น

ถังเยว่ก้มหน้าไม่ส่งเสียงใด เขารู้ว่าหากไม่เปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามได้ระบายอารมณ์ วันนี้ก็คงผ่านด่านนี้ไปไม่ได้แน่ ทั้งสามคุกเข่าอยู่ในห้องทรงพระอักษรเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามเต็ม ถังเยว่ยังหนุ่มอยู่จึงไม่เดือดร้อนนัก แต่อานกั๋วกงและลี่หยางโหวอายุปูนนี้แล้วคุกเข่าอยู่หนึ่งชั่วยามย่อมมีอาการโงนเงนจะล้มพับเสียให้ได้

ยามอู่ นางกำนัลเข้ามาถามว่าจะให้จัดมื้อกลางวันที่ไหน จักรพรรดิหนานจิ้นก็สั่งให้นำอาหารส่งเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ทำเสมือนพวกเขาทั้งสามชีวิตไร้ตัวตน

ถังเยว่กินอาหารเช้าไปนิดเดียว คุกเข่านานขนาดนี้จึงหิวจนไส้กิ่ว พอได้กลิ่นกับข้าวหอมๆ ท้องไส้ก็เริ่มประท้วงร้องโครกคราก ทว่าจักรพรรดิตั้งใจจะทรมานพวกเขา จึงแน่นอนว่าย่อมไม่ให้พวกเขาได้กินข้าว

เมื่อจักรพรรดิกินข้าวอย่างอ้อยอิ่งจนอิ่มหนำ อาหารจึงค่อยถูกยกออกไปทีละจาน ในห้องทรงพระอักษรนอกจากกลิ่นเนื้อหอมฉุยที่ยังคงอบอวลอยู่แล้วก็ไม่เหลือของกินใดให้ได้เห็นอีก

คุกเข่าไปหนึ่งชั่วยาม ถังเยว่รู้สึกเพียงเจ็บเข่าราวถูกเข็มตำ เขาลอบชำเลืองมองผู้อาวุโสอีกสองคน เห็นหน้าผากของพวกเขามีเหงื่อเย็นผุดซึมออกมา สีหน้าซีดเผือดจนน่ากลัว ถังเยว่เงยหน้ามองสบตาจักรพรรดิหนานจิ้นแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงซื่อสัตย์จริงใจ

ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อเรียกลูกเข้าพบมีเหตุอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ปัง! จักรพรรดิหนานจิ้นตบโต๊ะจนแท่นฝนหมึกข้างมือสะเทือนแล้วตะคอกถามอย่างเดือดดาล

มีหรือที่เจ้าจะไม่รู้ว่าข้าต้องการพบด้วยเรื่องใด เจ้ากับรัชทายาทตัวติดกันจนแทบเป็นเงา เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่รู้เรื่องของเขา?”

ถังเยว่ไม่ตื่นตระหนกและไม่โต้แย้ง เพียงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อทรงรับสั่งถึงเรื่องใด เป็นความจริงที่ลูกรู้เรื่องของรัชทายาทหลายเรื่องแต่ก็ไม่ถึงกับว่าจะรู้ทุกเรื่องอย่างกระจ่างแจ้ง

เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่ารัชทายาทก่อตั้งกองกำลังทหารส่วนตัวหมื่นนาย?”

เรื่องนี้...ลูกทราบพ่ะย่ะค่ะถังเยว่ตอบอย่างซื่อตรง

เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าโทษนี้หนักหนาพอที่จะถูกยึดทรัพย์ ริบตำแหน่ง และประหารล้างตระกูล?”

ถังเยว่ยังคงตอบอย่างบริสุทธิ์ใจ

จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ รัชทายาทเจาทรงเป็นรัชทายาทแห่งเว่นแคว้น หากยึดทรัพย์ ริบตำแหน่งและประหารล้างตระกูล เช่นนี้จะมิเป็นการทำให้เชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ต้องพลอยถูกฝังไปด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ฝีปากกล้านักนะ!จักรพรรดิหนานจิ้นแค่นเสียงหัวเราะเยียบเย็น “เจ้าไม่รู้หรือว่าเวลานี้ข้าสามารถสั่งตัดหัวเจ้าแล้วค่อยส่งคนไปตามรัชทายาทกลับวัง จากนั้นก็จัดการส่งเขาให้ไปอยู่กับเจ้า ต่อให้ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักจะยอมรับว่าเขาเป็นรัชทายาทที่มากความสามารถ แต่ก็ไม่มีทางยอมให้เขากระทำความผิดใหญ่หลวงเช่นนี้!

เสด็จพ่อทรงรับสั่งหนักไปแล้ว รัชทายาทก่อตั้งกองทัพทหารม้าหมื่นนายขึ้นมาจริง ทว่าทหารเหล่านี้มิใช่ทหารส่วนตัวแต่เป็นทหารที่รวบรวมมาจากไพร่พลของแต่ละจวน จวนเหล่านี้มอบทหารของพวกเขาให้รัชทายาทเป็นผู้ฝึกฝน เรื่องนี้ล้วนผ่านการเห็นชอบจากกั๋วกงและโหวหลายท่านนะพ่ะย่ะค่ะ

ไพร่พลของแต่ละจวนเจ้านึกว่าข้าโง่ถึงขนาดจะให้เจ้ามาหลอกลวงตบตาได้ง่ายๆ งั้นหรือ!” จักรพรรดิหนานจิ้นรู้สึกว่าคำพูดนี้ช่างน่าขันสิ้นดีคนสูงศักดิ์ในหนานจิ้นใจกว้างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน แม้แต่ไพร่พลส่วนตัวในจวนก็ยังบริจาคให้รัชทายาทนำไปฝึกเป็นทหารออกรบได้เชียวหรือ

เสด็จพ่อโปรดฟังลูกก่อน ตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนที่หนานจิ้นร่วมลงนามในสัญญาสงบศึกกับเป่ยเยว่ รัชทายาทก็ทรงทราบแล้วว่าภายภาคหน้าสัญญาฉบับนี้ต้องถูกฉีกแน่ ดังนั้นจึงทรงเตรียมการวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าจะชนะศึกครั้งนี้ได้อย่างไร แต่ทำสงครามอย่างไรก็ต้องมีอาวุธ ในเวลานั้นองค์รัชทายาททั้งไร้กำลังคนและปราศจากอาวุธ แล้วจะสามารถรบชนะศึกใหญ่ได้อย่างไร พระองค์ทรงตรึกตรองใคร่ครวญอยู่นานจึงมีดำริที่จะใช้วิธีใหม่ในการฝึกอบรมทหารให้กลายเป็นกองทัพที่แสนวิเศษยอดเยี่ยม

ทว่าหากเสนอความคิดนี้ในท้องพระโรงตอนนั้น คิดว่าเสด็จพ่อคงเป็นคนแรกที่จะคัดค้านไม่เห็นด้วย อีกอย่างในตอนนั้นรัชทายาทก็ยังไม่มั่นพระทัยว่าจะสามารถชนะศึกได้ คิดเพียงว่าต้องลองดูสักตั้งด้วยเหตุนี้จึงทรงออกตระเวนเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวทั้งจวนกั๋วกงและจวนโหวหลายตระกูลเพื่อขอยืมทหารในจวนของพวกเขามาทำการฝึกฝน ทรงอยากพิสูจน์ว่าความคิดของพระองค์จะถูกต้องหรือไม่ รัชทายาทนำไพร่พลเหล่านี้มารวมตัวกัน ฝึกฝนเคี่ยวกรำอย่างหนักจนแทบไม่รู้เดือนรู้วัน ทรงสอนวิธีตั้งค่ายออกรบและการใช้อาวุธให้กับพวกเขา เฝ้าดูพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น แกล้วกล้าขึ้น จนกระทั่งทรงมั่นพระทัยพ่ะย่ะค่ะ

หุบปาก! วาจาที่เจ้าพูดมาทั้งหมดข้าไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว ทหารตามจวนทั่วไปมีสภาพเยี่ยงไรมีหรือข้าจะไม่รู้ หากรัชทายาทสามารถนำพวกเขามาฝึกฝนจนกลายเป็นทหารชั้นยอดได้ละก็เช่นนั้นเหตุใดถึงไม่นำเรื่องนี้มาบอกกับข้า แต่กลับลักลอบพาไปฉินหยางอย่างลับๆ

ถังเยว่ระบายลมหายใจ แล้วเริ่มกลยุทธ์โน้มน้าวจูงใจอีกฝ่ายต่อ

เสด็จพ่อน่าจะทราบว่ารัชทายาทมีนิสัยทะนงในศักดิ์ศรีมาก เรื่องนี้ถ้าทำสำเร็จก็ดีไป แต่หากนำเรื่องขึ้นกราบทูลทว่าสุดท้ายแล้วกลับพ่ายแพ้ นี่มิเท่ากับเป็นการตบหน้าตัวเองหรอกหรือ ดังนั้นรัชทายาทจึงเจตนาเก็บงำเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ไม่บอกให้ผู้ใดล่วงรู้ รอหลังศึกครั้งนี้หากสามารถคว้าชัยมาได้สำเร็จค่อยแสดงแสนยานุภาพให้ผู้คนในใต้หล้าได้ประจักษ์ข้อแรกเพื่อชื่อเสียงของราชบัลลังก์ ข้อสองเพื่อโจมตีเป่ยเยว่ให้ย่อยยับ แต่หากเปิดเผยการมีอยู่ของกองทัพนี้เร็วเกินไป เป่ยเยว่ย่อมรู้ข่าว เป็นไปไม่ได้ที่ข้าศึกจะไม่เตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้า เมื่อเป็นเช่นนี้การก่อตั้งกองทหารทัพนี้จะมีประโยชน์อันใดล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”

เจ้าช่างพูดจาเล่นลิ้นเก่งนักนะ ตามที่เจ้าพูดมาการกระทำนี้ของรัชทายาทนอกจากไม่มีความผิดแล้วยังควรได้รับการปูนบำเหน็จด้วยอย่างนั้นสิ!

เรื่องปูนบำเหน็จลูกมิกล้ากล่าวถึง รัชทายาทเป็นชาวหนานจิ้นอีกทั้งยังเป็นถึงรัชทายาทแห่งแว่นแคว้น การขับไล่ศัตรูผู้รุกรานย่อมเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบทั้งในฐานะชาวหนานจิ้นและในฐานะรัชทายาท ซึ่งเวลานี้พระองค์ก็กำลังพยายามปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จอย่างเต็มกำลัง จึงมิจำเป็นต้องปูนบำเหน็จพ่ะย่ะค่ะ

ฮึ! ภารกิจของเขาคือรวบรวมกำลังทหารส่วนตัวออกไปต่อสู้กับข้าศึกงั้นหรือ ใครให้อำนาจนั้นแก่เขา! ใครให้ความอาจหาญนั้นแก่เขา!” จักรพรรดิหนานจิ้นตวาดลั่นอย่างเดือดดาล

ถังเยว่ทำใจให้สงบลงเป็นปกติแล้วพูดต่อ

เสด็จพ่อ ลูกขอกล่าวคำพูดที่ไม่น่าฟังสักประโยคเถิด หากองค์รัชทายาทกราบทูลเรื่องนี้ให้ทรงทราบแต่แรก เสด็จพ่อจะทรงเห็นชอบให้รัชทายาทรับสมัครทหารหนึ่งหมื่นนายมาฝึกซ้อมเป็นทหารราบเกราะหนักหนึ่งกองทัพอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ

จักรพรรดิหนานจิ้นลอบส่ายหน้า เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมรับข้อเสนอผิดธรรมเนียมเช่นนี้ ทหารหนึ่งหมื่นนาย มิหนำซ้ำยังเป็นทหารชั้นยอดที่แข็งแกร่งสามารถเอาชนะศัตรูได้ชนิดหนึ่งต่อสาม เขาจะยอมให้คนกลุ่มนี้ตกไปอยู่ในกำมือรัชทายาทได้อย่างไร!

ทหารราบเกราะหนักก็เป็นความคิดของรัชทายาทด้วยหรือ เขาเอาความคิดเรื่องม้าศึกและชุดเกราะนักรบมาจากที่ใด เอาเสื้อเกราะและอาวุธจำนวนมากมายขนาดนี้มาจากไหน อย่าบอกนะว่า รัชทายาทนอกจากแอบสั่งสมกำลังทหารชั้นยอดเป็นการส่วนตัวแล้ว ยังแอบผลิตเสื้อเกราะและอาวุธขึ้นเองด้วย!

เพลิงโทสะของจักรพรรดิหนานจิ้นค่อยๆ ลุกโชน ถังเยว่กะพริบตาถี่

เสด็จพ่อทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว ต่อให้รัชทายาททรงอยากสร้างก็มีทุนทรัพย์ไม่พอ เสื้อเกราะและอาวุธเหล่านั้นกระหม่อมเป็นผู้ถวายให้รัชทายาททั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ

เจ้า?”

จักรพรรดิหนานจิ้นตะลึงงัน เสื้อเกราะและอาวุธของทหารจำนวนมากถึงหนึ่งหมื่นนาย ตามรายงานที่เขาได้รับยังบอกว่าเป็นเครื่องมืออุปกรณ์ที่วิเศษยอดเยี่ยมมาก ต้องใช้เงินทองในการสร้างไม่น้อย ถังเยว่กลับยกให้เปล่าๆ ไม่คิดเงินเลยงั้นหรือ!

ใช่พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อก็ทรงทราบว่าสินเดิมของกระหม่อมมีมากมาย เก็บไว้เฉยๆ ก็เปล่าประโยชน์ ดังนั้นจึงนำไปทำเสื้อเกราะและอาวุธให้ทหารของแต่ละจวน นี่ถือเป็นการลงทุนลงแรงเพื่อบ้านเมือง” คำพูดของถังเยว่บ่งบอกว่าคำนึงถึงส่วนรวมเป็นหลัก แต่จักรพรรดิหนานจิ้นกลับไม่รู้สึกว่าเป็นวาจาที่น่าเชื่อถือ ถ้าพูดกันตามจริงแล้วเขารู้สึกว่าคำพูดทุกประโยคของถังเยว่ล้วนเป็นไปเพื่อปกป้องรัชทายาทเท่านั้น!

เพลิงโทสะสุมแน่นเต็มอกจักรพรรดิหนานจิ้น ในใจรู้สึกเหมือนถูกคนอื่นรวมหัวกันหลอกลวงตบตา เรื่องใหญ่ขนาดนี้พวกเขายังกล้าปิดบังเช่นนี้แล้วจะให้เชื่อได้อย่างไรว่าวันหน้าพวกเขาจะไม่กล้าทำเรื่องกระด้างกระเดื่องเนรคุณไร้คุณธรรมยิ่งกว่านี้!

ทหาร! นำพระชายาไปกักตัวไว้ในตำหนักอวี้เสียง หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้าห้ามออกจากวังแม้แต่ก้าวเดียว!

ทันทีที่จักรพรรดิสั่งเช่นนั้น อานกั๋วกงและลี่หยางโหวก็มิอาจทนนิ่งเฉยได้อีก


 

238 เสียเมืองฉู่โจว

ฝ่าบาททรงกระทำเช่นนี้หรือทรงคิดว่ารัชทายาทมีความผิด?”อานกั๋วกงเงยหน้ากล่าว “ต่อให้รัชทายาทมีความผิดก็ไม่ควรโยนความผิดนี้ให้พระชายาเป็นผู้รับโทษทัณฑ์นะพ่ะย่ะค่ะ

จักรพรรดิหนานจิ้นเหลือบตามองขันทีคนสนิท ขันทีผู้นั้นรีบก้มศีรษะรับทราบแล้วหันไปโบกมือไล่ทหารที่กำลังเดินเข้ามา

คิดว่าเหตุผลเหลวไหลของพวกเจ้าจะสามารถหลอกลวงข้าได้งั้นหรือ!จักรพรรดิแค่นเสียงหัวเราะเย็นเยียบ คิดว่าข้าตาบอดหรืออย่างไร! ตามกฎมณเฑียรบาลซ่องสุมกำลังส่วนตัวมีโทษต้องถูกประหาร นี่เพราะข้าเห็นแก่ความสัมพันธ์พ่อลูกจึงไม่ถือสาเอาโทษรัชทายาท แต่พวกเจ้า!มุมปากจักรพรรดิหนานจิ้นกระตุกเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันเย็นชา “พวกเจ้าคงนึกว่าเอาเรื่องศึกสงคราม ความอยู่รอดของแผ่นดินมาข่มขู่แล้วข้าจะไม่กล้าทำอะไรรัชทายาทละสิ ถึงได้กล้ารวมหัวกันหลอกลวงข้าอย่างเปิดเผยเช่นนี้ บังอาจยิ่งนัก!

พระอาญามิพ้นเกล้า ถึงแม้รัชทายาทจะทรงมีความผิดที่กระทำเรื่องนี้ไปโดยพลการ แต่ก็มิได้ทำผิดกฎหมาย ฝ่าบาทลองตรองดูเถิด รัชทายาททรงทำเพื่อแผ่นดินหนานจิ้นอย่างเต็มกำลังสุดความสามารถตลอดมาพระชนมายุเพียงสิบพรรษาก็ทรงร่วมกรีธาทัพออกรบ นับแต่นั้นก็ทรงสละทรัพย์สินส่วนพระองค์ช่วยเหลือราษฎร ทุกสิ่งที่รัชทายาททรงกระทำก็เพื่อหนานจิ้นมิใช่หรือ เหตุใดฝ่าบาทยังทรงแคลงใจว่ารัชทายาทจะมีเจตนาอื่นแอบแฝงอีกล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”

ฮึ! ทำเพื่อหนานจิ้นหรือทำเพื่อตัวเขาเองกันแน่! เขามีฐานะเป็นถึงรัชทายาทสมควรที่จะต้องอุทิศตนเองเพื่อส่วนรวมอยู่แล้ว แค่สร้างผลงานนิดหน่อยก็ถึงกับนำมาเป็นข้ออ้างที่จะทำอะไรต่อมิอะไรตามใจชอบได้อย่างนั้นหรือ!

พระอาญามิพ้นเกล้า กระหม่อมขอบังอาจทูลถาม การที่หนานจิ้นมีทหารที่แข็งแกร่งยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งกองทัพนับเป็นบารมีหรือเป็นหายนะ นอกจากองค์รัชทายาทแล้วมองหาทั่วทั้งหนานจิ้นยังมีใครที่จะสามารถฝึกอบรมทหารชั้นยอดเช่นนี้ได้อีก หากเพราะเหตุนี้ทำให้องค์รัชทายาทต้องมีความผิด เช่นนั้นกระหม่อมขอบังอาจทูลถามว่าต่อแต่นี้ในใต้หล้าจะยังมีใครสมัครใจรับใช้บ้านเมืองทำเพื่อแผ่นดินด้วยความเต็มใจอีกพ่ะย่ะค่ะ

ฮึ! ที่เจ้าบอกว่าทหารชั้นยอดนั้นที่แท้เป็นเช่นไรข้าเองก็ยังมิเคยได้เห็นกับตา เอาละ ก็ได้ เห็นแก่ที่เขาทำเพื่อแผ่นดิน รอให้เขารบชนะทัพใหญ่เป่ยเยว่ให้ได้ก่อน เรื่องนี้ค่อยว่ากัน!” จักรพรรดิหนานจิ้นกล่าวจบก็โบกมือสั่งให้พวกเขาออกไป

ถังเยว่ลอบเหลือบมองจักรพรรดิหนานจิ้นแวบหนึ่งเพราะไม่แน่ใจว่าตนจะได้ออกไปด้วยหรือไม่

ไม่รอให้เขาต้องเอ่ยถาม มือข้างหนึ่งก็เข้ามาจับแขนลากตัวเขาออกไปจากห้องทรงพระอักษร ที่แท้ก็เป็นอานกั๋วกงที่ตอนนี้หน้าตาบึ้งตึง

เห็นทีความคิดของรัชทายาทกับพระชายาจะมิใช่ความคิดที่ดีเสียแล้ว” ฝ่ายนั้นเอ่ยกระซิบข้างหู

ถังเยว่หัวเราะเก้อๆ ก็แค่แผนรับมือชั่วคราวเท่านั้น เดิมทีก็มิใช่กลยุทธ์ที่ดีนัก

สิ่งที่พวกเขาเดิมพันคือจักรพรรดิหนานจิ้นจะให้ความสำคัญกับสงครามครั้งนี้มากแค่ไหน ขอเพียงมีใจอยากชนะย่อมไม่ปล่อยกองทัพที่ทรงอานุภาพนี้ให้ต้องสูญเปล่า

ลี่หยางโหวตบบ่าบุตรชายพลางทอดถอนใจขณะกล่าว

ตอนนี้ก็ทำได้แค่ค่อยๆ แก้ไปทีละก้าว หวังว่าองค์รัชทายาทจะได้รับชัยชนะกลับมา ถึงตอนนั้นจะมีทั้งผลงานและความผิดจนกลายเป็นเสมอตัว จักรพรรดิก็จะทรงทำอะไรรัชทายาทไม่ได้

ถังเยว่เองก็คิดเช่นนั้น เพียงแต่การชนะศึกมิใช่แค่พูดว่าอยากชนะก็จะสามารถชนะได้เลยเสียเมื่อไร ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่รู้ว่าสงครามจะสิ้นสุดเมื่อใด

เขาเพิ่งกลับมาถึงจวน ในวังก็ส่งขันทีมาประกาศราชโองการฉบับใหม่ของจักรพรรดิหนานจิ้น อนุญาตให้เขาทำสิ่งต่างๆ ในเมืองเย่เฉิงได้อย่างเสรี แต่ห้ามก้าวขาออกนอกประตูเมืองแม้แต่ก้าวเดียว ไม่ใช่แค่เขา แม้แต่เสี่ยวลั่วลั่วก็ถูกจำกัดอิสรภาพ ทุกวันที่หนึ่งถึงสิบของทุกเดือนเด็กน้อยต้องไปอยู่ในวัง โดยให้เหตุผลสวยหรูว่ารัชทายาทออกศึกสงครามเพื่อบ้านเมือง ไม่มีเวลาอยู่ดูแลโอรส เกรงว่าพระราชนัดดาน้อยจะขาดผู้ดูแลจนละเลยการเล่าเรียน ดังนั้นจักรพรรดิจึงให้พระราชนัดดาน้อยเข้าวังเพื่ออบรมสั่งสอนด้วยตนเอง

แต่ถังเยว่รู้ว่าจักรพรรดิเพียงต้องการจับตาดูและจับพวกเขาไว้เป็นตัวประกันเท่านั้น เดิมทีเขาก็ไม่ได้คิดหนีและยิ่งไม่มีแผนการที่จะทำร้ายจักรพรรดิและบ้านเมืองนี้ ดังนั้นปกติเขาใช้ชีวิตเช่นไรก็ทำไปเช่นนั้น

ครึ่งเดือนต่อมา ถังเยว่ได้รับจดหมายฉบับแรกจากหลี่เจา ในจดหมายเขียนว่าตอนนี้พวกเขาถึงเมืองฉู่โจวแล้ว เดิมคิดว่าจะสามารถแฝงตัวอยู่ในฉู่โจวอย่างเงียบๆ ไปสักระยะ คิดไม่ถึงว่าหนึ่งวันก่อนที่พวกเขาจะเดินทางถึง เป่ยเยว่ก็ได้เคลื่อนกำลังพลหนึ่งแสนสองหมื่นนายโจมตีเพียงคืนเดียวก็เสียเมืองฉู่โจวไปแล้ว

ข่าวนี้แพร่มาถึงเมืองเย่เฉิง ตั้งแต่ขุนนางเสนาบดีจนถึงราษฎรต่างตกตะลึงไปตามๆ กัน ฉู่โจวถือเป็นเมืองชายแดนสำคัญ กำแพงเมืองแข็งแรงกว่าฉินหยางตั้งไม่รู้กี่เท่า ที่สำคัญยังมีทัพใหญ่ไพร่พลหนึ่งแสนของหลู่กั๋วกงตั้งมั่นรักษาการณ์อยู่ ภายใต้สถานการณ์สูสีไม่มีใครเสียเปรียบได้เปรียบเช่นนี้คิดไม่ถึงว่าจะถูกข้าศึกตีแตกและยึดเมืองได้ในคืนเดียว เรื่องนี้ใครได้ฟังก็ล้วนขวัญผวากันทั้งสิ้น

จดหมายที่หลี่เจาเขียนมานั้นมิได้แจกแจงรายละเอียดมากนักจนสามวันให้หลังถังเยว่ถึงได้รู้รายละเอียดของเรื่องราวทั้งหมดจากปากเหิงกั๋วกง

ที่แท้รองเจ้าเมืองฉู่โจวเป็นไส้ศึกของเป่ยเยว่ที่แฝงตัวมา รองเจ้าเมืองผู้นี้นับเป็นคนเก่าคนแก่ในฉู่โจว อุปนิสัยสุขุมรอบคอบและขยันขันแข็งมาตลอด ถึงขนาดเคยผ่านประสบการณ์ศึกใหญ่ระหว่างเป่ยเยว่กับหนานจิ้นมาสามครั้งจนได้รับการขนานนามว่าเป็นวีรบุรุษที่ปกป้องเมืองด้วยชีวิต ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึงว่าขุนนางเก่าแก่ผู้สร้างผลงานคุณูปการไว้มากมายท่านนี้จะเป็นผู้เปิดประตูเมืองให้ข้าศึกเข้าโจมตีกลางดึก ทำให้ข้าศึกสามารถเข้ายึดเมืองได้อย่างราบรื่น จนเป็นเหตุแห่งการพ่ายแพ้ยับเยินครั้งใหญ่ของหนานจิ้น

หลังเกิดเรื่อง หลู่กั๋วกงพาไพร่พลที่เหลือแปดหมื่นนายถอยร่นออกไปหลบอยู่ในเขตหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่นอกเมืองฉู่โจวห้าสิบลี้ สภาพภูมิประเทศบริเวณนั้นยากต่อการบุกโจมตีจึงนับเป็นชัยภูมิที่เหมาะแก่การตั้งฐานทัพที่สุด

รัชทายาทเจาเคลื่อนพลไปสมทบกับทัพใหญ่ที่หุบเขาแห่งนั้น ทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลยังไม่ปรากฏตัว สิ่งแรกที่รัชทายาททำหลังจากไปถึงที่ตั้งคือจัดรูปแบบทัพทหารและม้าที่เหลืออยู่แปดหมื่นนายเสียใหม่ กองทัพจะมีคุณภาพหรือไม่ขั้นแรกต้องพิจารณาที่ความมั่นคง หากกองทัพไร้ศูนย์กลางเหล่าขุนพลไม่สามัคคีย่อมไม่ต่างจากเม็ดทรายที่กระจัดกระจายอยู่ในถาด ต่อให้มีคนมากกว่าก็ใช่ว่าจะสามารถชนะได้

รองลงมาคือขวัญทหาร หากขวัญกำลังใจของกองทัพอ่อนแอ ในใจคิดแต่ว่ารบไปก็มีแต่แพ้ แม้ข้าศึกออกแรงเพียงสามส่วนก็ใช่ว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะได้

กองทัพหนานจิ้นที่เพิ่งพ่ายศึกมากำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติสองข้อนี้ ที่เมืองฉู่โจวพวกเขาพ่ายแพ้เร็วเกินไป กะทันหันเกินไปจนหมดความเชื่อใจในตัวแม่ทัพของตน ต่อให้ตอนนี้มีฐานที่มั่นซึ่งได้เปรียบในด้านสภาพภูมิประเทศก็มิอาจปลุกขวัญกำลังใจของพวกเขาได้

ครั้งนี้รัชทายาทเจาจึงมิได้ปิดบังฐานะแต่กลับประกาศตัวอย่างโจ่งแจ้ง ก้าวเข้าสู่ค่ายทหารอย่างสมเกียรติครึกโครมด้วยการขี่ม้าเข้าไปยังฐานที่มั่นซึ่งอยู่ห่างไกลนั้นด้วยความองอาจ

เพียงพริบตาข่าวการเสด็จมาของรัชทายาทก็แพร่กระจายไปทั่วค่ายทหาร แน่นอนว่าความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีต่อรัชทายาทย่อมเหนือกว่าหลู่กั๋วกงซึ่งเป็นแม่ทัพสูงวัยอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้นการที่ผู้มีเกียรติยศสูงส่งเช่นรัชทายาทถึงกับลงมานำทัพออกรบด้วยตัวเองย่อมสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ทหารได้มาก

ฝ่าบาท กระหม่อมขอเสนอให้เรียกตัวหลู่กั๋วกงกลับมา และให้รัชทายาทเป็นผู้นำทัพใหญ่ทวงแผ่นดินที่ถูกยึดไปคืนกลับมาพ่ะย่ะค่ะ!” เสนาบดีคนหนึ่งเสนอ

ฝ่าบาท ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ! แม้รัชทายาทจะทรงมีประสบการณ์ในสนามรบมาไม่น้อย แต่ทรงมีฐานะสูงส่ง อีกทั้งยังทรงพระเยาว์ ศึกสำคัญเช่นนี้ควรให้แม่ทัพผู้มากประสบการณ์และมีความรอบคอบควบคุมดูแลอีกอย่างตามความเห็นกระหม่อม ควรเรียกองค์รัชทายาทให้เสด็จกลับมาเย่เฉิงโดยด่วน สถานการณ์ชายแดนอันตรายถึงเพียงนั้น ความปลอดภัยขององค์รัชทายาทคือสิ่งสำคัญที่สุด!

ตลอดการประชุม เนื้อหาล้วนวนเวียนอยู่กับการโต้เถียงในหัวข้อนี้อย่างดุเดือด มีทั้งผู้ที่สนับสนุนให้รัชทายาทเป็นผู้นำ ควบคุมดูแลบัญชาการกองทัพ มีทั้งผู้ที่คัดค้านหัวชนฝาเรียกร้องไห้รัชทายาทกลับวัง โดยลืมไปเสียสนิทว่าพวกเขาเสียเมืองฉู่โจวไปแล้วและหนานจิ้นกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติครั้งใหญ่!

พอ!” จักรพรรดิหนานจิ้นตวาดลั่นพลางกุมขมับ “รัชทายาทจะอยู่ต่อหรือไม่ให้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของเขา ข้าไม่สนใจเรื่องนี้! พวกเจ้าคิดกันบ้างหรือไม่ ตอนนี้เราเสียฉู่โจวแล้ว ต่อไปเป่ยเยว่จะตีเมืองใด! ทัพใหญ่ของเป่ยเยว่มีไพร่พลถึงหนึ่งแสนสองหมื่น พวกเขาระดมไพร่พลได้มากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร? ยกทัพมาถึงชายแดนตั้งแต่เมื่อใด? พวกเจ้าได้ส่งคนไปตรวจสอบดูแล้วหรือยัง!

เหล่าเสนาบดีต่างหุบปากทันที พวกเขาไม่มีคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในที่นี้ส่วนมากล้วนเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการยกทัพจับศึกเลยสักนิด แล้วจะมีความคิดดีๆ มาให้คำตอบได้อย่างไร กระทั่งเหิงกั๋วกง อานกั๋วกงและแม่ทัพเฒ่าอีกหลายท่านก็ยังไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี เมื่อลองคิดในมุมกลับ หากให้พวกเขาเป็นฝ่ายนำทัพไปปกป้องเมืองฉู่โจว คิดหรือว่าจะสามารถทำสำเร็จได้โดยปราศจากข้อผิดพลาด การเสียฐานทัพเมืองฉู่โจวเป็นการสั่นกระดิ่งปลุกสติบอกว่าพวกเขาต่างชราแล้ว ความคิดความอ่านไล่ตามคนหนุ่มแทบไม่ทัน ด้านพละกำลังยิ่งไม่ต้องพูดถึง แม้จะบอกว่าเปี่ยมประสบการณ์และมีความเจนจัด แต่การให้แม่ทัพอาวุโสยกทัพออกรบก็ใช่ว่าจะเป็นผลดีเสมอไป

ฝ่าบาท ชายแดนหนทางไกลโพ้น กว่าจะส่งข่าวไปส่งข่าวมาต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือน ข่าวที่พวกเราได้รับในตอนนี้อาจไม่มีประโยชน์แล้วก็เป็นได้ ในเมื่อหลู่กั๋วกงมิได้ร้องขอกองหนุน คิดว่าต้องสามารถรับมือกับข้าศึกได้แน่” ขุนนางเพียงไม่กี่คนที่ยังสามารถประคองสติสัมปชัญญะไว้ได้ในเวลานี้เอ่ยความเห็น

จักรพรรดิหนานจิ้นนำข่าวที่แนวหน้าส่งมามอบให้อัครเสนาบดี

ท่านอัครเสนาบดีเตรียมการเรื่องนี้ให้พร้อมโดยเร็วที่สุด ตราบที่ศึกสงครามยังไม่สิ้นสุด ไม่ว่าใครก็ห้ามพูดคำว่าพ่ายศึก! ประกาศราชโองการให้เกณฑ์ทหารในอาณาเขตทั่วแคว้น ชายหนุ่มอายุสิบห้าถึงสามสิบปีถ้าไม่ใช่ลูกชายคนเดียวของตระกูลต้องเข้าเป็นทหาร” จักรพรรดิหนานจิ้นสรุปตัดบท

ในที่สุดการโต้แย้งในท้องพระโรงจึงจบสิ้นลง แต่ละคนเริ่มใคร่ครวญเรื่องการเกณฑ์ทหารว่าจะขัดผลประโยชน์ของตนหรือไม่อย่างไร

สงครามก็ไม่ต่างอะไรกับอุปกรณ์เชื่อมต่อที่เชื่อมทุกกรมทุกหน่วยให้ต่อโยงถึงกัน น้อยคนที่จะไม่ถูกดึงเข้ามาพัวพัน ด้วยเหตุนี้เมื่อรบแพ้ เหล่าเสนาบดีแต่ละคนจึงมิอาจทำใจให้สงบได้ ต่างตื่นเต้นร้อนรนไปตามๆ กัน

เมืองฉู่โจวถูกตีแตก เรื่องนี้สร้างความสะเทือนขวัญให้แก่ราชสำนักมากกว่าชาวบ้านหลายเท่า เพราะสำหรับราษฎรเย่เฉิงบางส่วน เรื่องนี้ก็เป็นแค่หัวข้อสนทนาหลังมื้ออาหารหรือช่วงจิบชายามว่างเท่านั้น พวกเขาเพียงแค่เล่าสู่กันฟังและคาดเดาเป้าหมายที่ข้าศึกจะบุกโจมตีเป็นเมืองต่อไป หรือไม่ก็คาดเดากันว่าศึกครั้งหน้าใครจะแพ้ ใครจะชนะ ถึงขนาดมีคนแอบเปิดโต๊ะเดิมพันผลแพ้ชนะของสงครามครั้งนี้

นี่มิใช่ว่าพวกเขาแล้งน้ำใจหรือไม่รักแผ่นดิน แต่ในยามที่สงครามมิได้สู้รบกันอยู่ตรงหน้า ย่อมไม่ส่งผลกระทบมาถึงพวกเขาอย่างชัดเจน ต่อให้เมืองเย่เฉิงถูกยึดครอง ขอเพียงเป่ยเยว่ไม่สังหารหมู่ ฉุดคร่าสตรีหรือกดขี่ข่มเหงจนเกินไป ก็ยังไม่แน่ว่าพวกเขาจะต้องมีชีวิตที่ย่ำแย่ไปกว่าเดิม ถ้าพูดกันตามตรงแล้ว สำหรับพวกเขาใครเป็นจักรพรรดิผู้ครองแคว้นก็หาใช่เรื่องสำคัญไม่

ทว่าท่ามกลางความสงบสุขเพียงฉากหน้า ก็ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ลงแรงช่วยการศึก พวกเขามีทั้งบริจาคเงินและข้าวของเครื่องใช้ มีบางคนกระตือรือร้นที่จะเข้าเป็นทหาร พยายามทำทุกวิถีทางเท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้

ตั้งแต่จวนรัชทายาทมีความคิดให้มีการระดมทุนและเรี่ยไรเสบียงอาหารมาครั้งหนึ่ง ทางราชสำนักก็ได้ก่อตั้งศาลาว่าการเพื่อการนี้โดยเฉพาะขึ้นมาหนึ่งแห่ง สำหรับรวบรวมข้าวของเงินทองที่ทุกคนช่วยกันบริจาค เก็บสถิติและคัดกรอง แบ่งสัดส่วนส่งไปยังชายแดนเป็นชุดๆ

ถังเยว่มีเหตุผลที่จะทำให้เชื่อได้ว่าเรื่องอย่างนี้ตอนแรกเริ่มมักจะราบรื่น ขุนนางที่รับผิดชอบงานนี้ระยะแรกมักยังไม่มีจิตคดโกง แต่เมื่อนานไปความคิดจิตใจจะเปลี่ยนหรือไม่ก็ยากจะคาดเดา ดังนั้นตอนแรกเขาจึงไม่สนับสนุนให้ก่อตั้งหน่วยงานนี้ เพียงแต่จักรพรรดิหนานจิ้นเห็นพลังแฝงและข้อดีของการเรี่ยไรแล้ว อีกทั้งรู้สึกว่าก่อตั้งศาลาว่าการเช่นนี้มิได้ส่งผลกระทบใหญ่โต เมื่อศึกสงครามสงบลงค่อยยุบเสียก็ได้ รัชทายาทเจาฟังความเห็นของถังเยว่จึงส่งขุนนางที่เป็นคนของตนไปรับผิดชอบดูแล หวังเพียงจะไม่เกิดเรื่องที่ถังเยว่หวั่นใจก็พอ


 

239 เห็นของคะนึงหาคน

ดูนี่เร็วเข้า มีควันโขมงกับเปลวเพลิง!

ในหุบเขานอกเมืองฉู่โจว เสียงทหารยามที่เข้าเวรกลางคืนร้องอุทานด้วยความตื่นตระหนกตกใจ เพียงชั่วอึดใจทหารทั้งค่ายต่างต้องตกตะลึงไปตามๆ กัน รัชทายาทเจาสวมเสื้อคลุมเดินออกมานอกกระโจม ขณะกำลังจะเรียกคนมาถามไถ่หวังติ่งจวินก็วิ่งมาถึงเบื้องหน้า บนหมวกเกราะเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะเกาะขาวโพลน

ฝ่าบาท สำเร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ!

ท่ามกลางแสงสลัวยามดึกสงัด ดวงตาของหวังติ่งจวินทอประกายวาววับแฝงรอยยิ้ม รัชทายาทเจาจ้องมองไปยังกลุ่มควันหนาทึบและเปลวเพลิงที่อยู่ไกลออกไปพร้อมกับเลิกคิ้ว

ถูกฝ่ายตรงข้ามพบเข้าหรือไม่?”

ไม่พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ทำเช่นนี้จะสามารถล่อข้าศึกในเมืองออกมาได้จริงหรือ?”

ขึ้นอยู่กับระดับความอดทนและความอยากรู้ของพวกเขาแล้ว” รัชทายาทเจาหมุนแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายตามความเคยชินและเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ ฉู่โจวตั้งรับง่าย ยากโจมตี กองทัพข้าศึกหนึ่งแสนสองหมื่นนายแทบไม่ได้รับความเสียหายก็สามารถยึดเมืองได้แล้ว พวกเราคิดชิงเมืองคืนมาจึงเป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่ายาก

หวังติ่งจวินถ่มน้ำลายทีหนึ่ง เจ้าเว่ยฉือสมควรตายยิ่งนัก!

เว่ยฉือเป็นไส้ศึกเป่ยเยว่ที่แฝงตัวเข้ามา คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถอดทนข่มใจได้นานถึงกว่าสามสิบปีเพื่อรอวันที่จะเปิดประตูเมืองฉู่โจวให้ทัพเป่ยเยว่เพียงวันเดียว

คนผู้นี้สมควรตายจริงๆ” ดวงตารัชทายาทเจาฉายแววเย็นเยียบแฝงรังสีสังหารอยู่ในที

มุมปากหวังติ่งจวินกระตุกเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน

แต่ก็ต้องโทษหลู่กั๋วกงด้วยที่ไร้ความสามารถ สถานการณ์เช่นนี้กลับปล่อยให้ตาแก่คนหนึ่งสามารถเปิดประตูเมืองได้ พอประตูเมืองถูกเปิดก็ไม่มีปัญญาต่อต้านขัดขืนเลยแม้แต่น้อย งุ่มง่ามถึงขั้นที่แม้แต่จะจับตัวเว่ยฉือก็ยังจับไม่ได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าทหารทัพใหญ่หนึ่งแสนนายในกำมือเขามีไว้ทำไม

รัชทายาทเจาหันหน้าเหลือบมองกระโจมที่อยู่ติดกัน นับแต่เขามาถึงค่ายทหารแห่งนี้ หลู่กั๋วกงก็ล้มป่วย อำนาจทางการทหารทั้งหมดย่อมตกอยู่ในมือเขา เรื่องนี้จะมีลับลมคมในหรือไม่ก็ไม่มีใครกล้าปากมาก

หุบเขาแห่งนี้ไม่เลวเลย ตั้งรับได้ง่ายแต่ถูกโจมตียาก เพียงแต่เส้นทางลงใต้มิได้มีทางนี้ทางเดียว หากกองทัพข้าศึกไม่ผ่านทางนี้พวกเราก็คงอับจนหนทาง

วางพระทัยได้เลย กระหม่อมส่งคนไปคอยเฝ้าจับตาดูสถานการณ์ที่เมืองฉู่โจว ถ้าพวกเขามีการเคลื่อนไหว พวกกระหม่อมจะรีบตามไปทันที แต่ทางลงใต้เส้นทางอื่นมิได้เดินทางสะดวกเหมือนเส้นทางนี้นะพ่ะย่ะค่ะ

ก็ขอให้เป็นเช่นนั้น นับแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปต้องฝึกซ้อมทหารทั้งกองทัพใหม่ หากปล่อยให้ไปรบในสภาพแบบนี้มีแต่ตายกับตาย

รับพระบัญชา เอ่อ...แล้วทัพผู้พิทักษ์เกราะนิล…” หวังติ่งจวินเลียริมฝีปาก เขาหวังอยากได้ชมความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลอย่างใกล้ชิดสักครั้ง

เมื่อถึงเวลาที่สมควรพวกเขาก็จะปรากฏตัวเอง

ในเมื่อเป็นไพ่ตาย รัชทายาทเจาจึงไม่คิดจะเรียกกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลออกมาใช้พร่ำเพรื่อ ทหารหนึ่งหมื่นนายนี้ถ้าสูญเสียไปสักคนก็เท่ากับขาดกำลังสำคัญไปหนึ่งส่วน และส่วนที่ขาดหายไปก็ใช่ว่าจะสามารถเอาใครก็ได้มาเสริมทดแทนได้ทันที

ขณะที่ทั้งสองกำลังปรึกษาหารือกัน จู่ๆ ก็มีม้าเร็วตัวหนึ่งบุกเข้ามาในบริเวณค่ายทหารอย่างกะทันหัน ผู้ที่สามารถควบม้ามาปรากฏตัวตรงนี้ได้จะต้องเป็นหน่วยสอดแนมแนวหน้าอย่างแน่นอน และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทหารนายนั้นกระโดดลงจากหลังม้าซึ่งอยู่ห่างจากพวกเขาไปประมาณสิบก้าวแล้วรีบวิ่งเข้ามารายงาน

ทูลฝ่าบาท มีกองกำลังทหารประมาณหนึ่งหมื่นเคลื่อนออกจากเมืองฉู่โจว ดูเหมือนเป้าหมายจะเป็นสถานที่ที่เกิดเพลิงไหม้พ่ะย่ะค่ะ

วิเศษ! ให้แม่ทัพหูเตรียมจับตะพาบในไห[1]ได้!

ในค่ำคืนอันแสนเหน็บหนาวนี้ราวกับได้ถูกลิขิตแล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่สงบ สถานที่ที่รัชทายาทเจาสั่งให้วางเพลิงเป็นพื้นที่ที่กองทัพเป่ยเยว่เคยตั้งฐานทัพก่อนหน้านี้ ที่นั่นอยู่ในเขตชายแดนเป่ยเยว่ แม้ทัพใหญ่เป่ยเยว่จะเคลื่อนมาตั้งอยู่ในเมืองฉู่โจวแล้ว แต่เสบียงอาหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่ของพวกเขายังคงเก็บไว้ที่นั่นมิทันได้ขนย้ายเข้ามาไว้ในเมือง บางทีพวกเขาคงไม่คิดที่จะใช้เมืองฉู่โจวเป็นฐานทัพตลอดไป เพียงใช้ที่นี่เป็นสะพานเพื่อบุกโจมตีเป้าหมายถัดไป

ในเมื่อรัชทายาทเจาอุตส่าห์มาถึงที่นี่ด้วยตนเองย่อมไม่คิดจะปล่อยโอกาสให้ศัตรูได้ก้าวล้ำนำไปแม้แต่ก้าวเดียว ไม่เพียงเท่านั้นเขายังมุ่งมั่นที่จะทำให้กองทัพข้าศึกหนึ่งแสนสองหมื่นนายนี้กลายเป็นโครงกระดูกถูกฝังอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล!

จวนรัชทายาทในเมืองเย่เฉิง

ถังเยว่สะดุ้งตื่นจากฝันร้ายในตอนเช้าตรู่ เหงื่อเย็นๆ ไหลซึมไปทั่วร่าง สองตาจับจ้องมองเพดานเตียง

เหอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงผลักประตูเข้ามา เลิกม่านขึ้นแล้วเรียก

คุณชาย ท่านจะลุกขึ้นเลยไหมขอรับ?”

ถังเยว่ยกมือขึ้นลูบหน้าแล้วถาม

นี่ยามใดแล้ว รัชทายาทได้ส่งจดหมายมาหรือไม่?”

นี่เป็นคำถามที่ระยะนี้เขาถามทุกวันจนเหอเองก็ชินแล้ว

ไม่มีขอรับ บ่าวเพิ่งจะไปถามมาก่อนที่จะมาหาคุณชายนี่เอง” เมื่อก้มหน้าลงจึงเห็นเหงื่อที่ผุดพรายเต็มหน้าผากถังเยว่ เหอรีบวางงานในมือแล้วหยิบผ้ามาผืนหนึ่ง “คุณชายฝันร้ายหรือขอรับ?”

ใช่ ข้าฝันว่ารัชทายาทถูกข้าศึกจับไป ถูกลงโทษสถานหนัก เฆี่ยนตีทรมาน แขวนประจานให้คนมาดูอยู่บนกำแพงเมือง ดูน่าสงสารเวทนายิ่งนัก เฮ้อ…”

ถังเยว่รู้ว่าการที่ตนเป็นเช่นนี้ไม่ถูกต้อง แต่ถึงอย่างไรส่วนลึกในใจก็อดที่จะกังวลไม่ได้ กลางวันคิดมากตกกลางคืนก็เลยฝันร้าย ควบคุมความคิดตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ ทว่าตอนนี้เขาก็เริ่มชินแล้ว รู้ว่าเรื่องพวกนี้เป็นแค่ความฝัน ตื่นขึ้นมาก็หายไป บางทีตื่นขึ้นมาจำเนื้อหาไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองฝันว่าอะไรบ้าง

ตอนนี้ยังเช้าอยู่ คุณชายนอนต่ออีกสักหน่อยดีไหมขอรับ? เมื่อคืนก็นอนเสียดึกเชียว” เหอมองใบหน้าที่ซูบผอมลงของถังเยว่ด้วยความห่วงใย เห็นแล้วปวดใจนึกสงสารเจ้านายตัวเอง

ไม่ละ ยังมีเรื่องรอให้ไปสะสางอีกกองพะเนินไม่รู้กี่รถบรรทุก ไหนเลยจะมีเวลานอนเล่นอยู่ได้อีก

อะไรคือรถบรรทุกหรือขอรับ?” เหอกะพริบตาปริบๆ ขณะถาม

ถังเยว่สำลักเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้า “เอ่อ อะแฮ่ม ไม่มีอะไรหรอก นั่นก็คือยานพาหนะที่ใช้สำหรับบรรทุกสิ่งของน่ะ

แม้เหอจะไม่เข้าใจ แต่ก็รู้ว่าไม่จำเป็นต้องถามต่อ ความลับของคุณชายผู้เป็นนายของเขานั้นดูเหมือนจะมีอยู่ไม่น้อย และเรื่องที่อีกฝ่ายมักชอบพูดคำศัพท์พิลึกพิลั่นชอบกลออกมาก็ดูจะกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว

ถังเยว่ลุกขึ้นมากินอาหารเช้า จากนั้นก็ตรงไปยังห้องทรงพระอักษร ตรวจบัญชีของเมื่อวานหนึ่งรอบ การศึกสงครามช่างเป็นเรื่องที่ผลาญเงินทองมากที่สุดประหนึ่งเอาเงินไปเผาทิ้ง หากอาศัยเพียงเงินในท้องพระคลังคงค้ำจุนได้ไม่นาน ฉะนั้นถังเยว่จึงเริ่มใส่ใจเงินในคลังส่วนตัวของพวกเขามากขึ้น หนทางใดสามารถเก็บเงินได้มากขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็จะลงมือทำ วิธีใดสามารถลดค่าใช้จ่ายลงอีกนิดได้ก็ยิ่งดี

ตามแผนการของหลี่เจา ครั้งนี้พวกเขาต้องบุกเข้ารังศัตรู หากมีทุนทรัพย์ไม่พอสนับสนุนเกรงว่าอาจยืนหยัดต่อไปได้ยาก ดังนั้นในระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาพวกเขาไม่เพียงทำให้เงินในท้องพระคลังเฟื่องฟู ยังทำให้เงินในคลังส่วนตัวเพิ่มพูนขึ้นทีละเล็กละน้อยด้วย

สำหรับหลี่เจา ระหว่างเรื่องชาติบ้านเมืองกับบ้านตนเองนั้นเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่แยกกันไม่ออก แต่สำหรับถังเยว่ทรัพย์สินเงินทองขอแค่มีเพียงพอสำหรับปัจจัยสี่ นอกนั้นที่เหลือมีมากน้อยเท่าไรเขาหาได้ใส่ใจไม่ ต่อให้ไม่มีเหลือเลยสักแดงเขาก็ยังมีวิชาติดตัว สามารถทำงานหาเงินได้ไม่ใช่หรือ ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าจะอดตาย

ถังเยว่วางสมุดบัญชีลง นั่งเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ในโลกที่จากมาฐานะของเขาอยู่ในระดับชนชั้นกลาง หลังทำงานเก็บเงินซื้อบ้านซื้อรถแล้วก็มีเหลืออยู่ไม่กี่มากน้อย แต่พอมาชาตินี้กลับเปลี่ยนไป เขากลายเป็นทายาทขุนนางรุ่นที่สอง ซ้ำยังแต่งกับมหาเศรษฐีผู้แสนมั่งคั่ง มีทรัพย์สมบัติมากมายจนสุดที่จะนับได้

ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้มีความเคยชินที่จะใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่าย บางทีอาจเพราะอยู่ที่นี่เขาต้องการสิ่งใดล้วนมีคนหามาประเคนให้ อีกทั้งยังมีบ่าวไพร่คอยปรนนิบัติรับใช้มากมาย ข้าวของที่สามารถใช้เงินซื้อหามาได้โดยพื้นฐานเขาก็มีหมดแล้ว ส่วนสิ่งของที่เงินซื้อไม่ได้เขาก็ไม่ต้องการที่จะไขว่คว้า

คุณชาย มีจดหมายจากกองทัพมาส่งขอรับ

พ่อบ้านส่งจดหมายที่มีตราประทับของหอฮุ่ยอานให้

ถังเยว่ได้รับจดหมายประเภทนี้มาไม่น้อย บางทีพวกเขาก็ส่งจดหมายมาสอบถามวิธีรับมือกับโรคประหลาดที่รักษาได้ยาก บางทีก็เป็นจดหมายจากเซี่ยงอันที่เขียนมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ แต่ครั้งนี้เซี่ยงอันกลับเขียนจดหมายมาเพื่อขอความช่วยเหลือ ที่ขอเพิ่มมิใช่กำลังพลแต่เป็นสมุนไพรและเวชภัณฑ์บางส่วน ถังเยว่ใช้วิธีคำนวณปริมาณจากสมุนไพรตอนที่ติดตามทัพใหญ่ออกรบและปริมาณที่ใช้กับทหารบาดเจ็บต่อคนโดยเฉลี่ยก็จะสามารถคาดเดาจำนวนคนที่บาดเจ็บได้คร่าวๆ

ดูเหมือนศึกครั้งนี้จำนวนครั้งที่สองทัพปะทะกันมีไม่มาก ทัพใหญ่ของหลู่กั๋วกงออกเดินทางครึ่งปีกว่าแล้วนอกจากไม่ได้เปรียบยังถูกชิงเมืองฉู่โจวไป สถานการณ์เช่นนี้หวังว่าคงไม่ได้จะรบกันนานถึงสิบปีจริงๆ หรอกนะ

พอคิดว่าหลี่เจาอาจต้องทำศึกสงครามยาวนานเช่นนั้น ในใจก็พลันรู้สึกวูบโหวงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แม้จะพูดว่าบุรุษต้องสร้างความสำเร็จในหน้าที่การงานเป็นเรื่องสำคัญ แต่เมื่อห่างไกลกันนานเกินไปความรู้สึกย่อมจืดจางลง แม้จะเป็นสามีภรรยาที่มีความรักลึกซึ้งต่อกันเพียงใดก็มิอาจทนต่อคืนวันอันโหดร้ายได้ เขาไม่อยากให้ตอนที่ได้พบกันอีกครั้งหลี่เจามีสภาพผมหงอกขาวโพลน ริ้วรอยเหี่ยวย่นเต็มหน้า

พอคิดได้แบบนั้นถังเยว่จึงสั่งให้พ่อบ้านไปหาจิตรกรมาเพื่อเตรียมวาดภาพเหมือนของเขาส่งไปให้หลี่เจา ให้อีกฝ่ายเห็นของแล้วคะนึงหาคน เพื่อเตือนให้ระลึกถึงการมีอยู่ของตนตลอดเวลา นี่อาจเป็นวิธีเรียกร้องความสนใจแบบหนึ่งกระมัง

ไปตามผู้ดูแลหอฮุ่ยอานมาด้วย ข้ามีธุระจะสั่งงานเขา

พ่อบ้านอมยิ้ม “ตอนนี้ผู้ดูแลหลิวกำลังรออยู่ด้านนอกแล้วขอรับ

หืม เขารู้ได้อย่างไรว่าข้าต้องการพบ?”

ถังเยว่คิดในใจ เหตุใดคนที่สามารถสื่อจิตกับเขาได้ถึงกลายเป็นตาแก่ผู้นั้นไปเสียล่ะ!

ผู้ดูแลหลิวท่านนี้เป็นคนที่ถังเยว่จ้างมาภายหลัง เมื่อก่อนเขาทำงานขนถ่ายสินค้า ตอนที่ถังเยว่บังอิญพบเป็นช่วงที่เขากำลังตกอับถึงขนาดไม่มีข้าวจะกิน ถังเยว่ก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นตัวเองนึกใจบุญอะไรขึ้นมาถึงได้พาเขากลับมาด้วย

ภายหลังถึงเพิ่งรู้ว่าเขาก็เคยมุมานะต่อสู้เพื่อชิงชัยและเคยมีความมุ่งมาดปรารถนาอันแรงกล้า แต่น่าเสียดายที่แม้มีความสามารถก็ไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือ ทั้งขาดแคลนทุนทรัพย์ที่จะให้โอกาสเขาได้ตามล่าหาความฝันจึงได้แต่ทำงานต่ำต้อยที่สุด ในยุคสมัยนี้มีคนประเภทให้โดยไม่ได้ผลตอบแทนอยู่มากมาย ตอนนั้นถังเยว่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขาน่าสงสารที่ต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนี้ แต่เป็นเพราะรู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่เลวเลย เจอเรื่องยากแล้วรู้จักถอย ขยันทำงานมาก บวกกับหลังจากได้ลองทดสอบแล้วเขาเป็นผู้มีความสามารถและสติปัญญาอย่างแท้จริง จึงให้ไปอยู่ที่หอฮุ่ยอาน หนึ่งปีให้หลังจึงเลื่อนขั้นให้เป็นผู้ดูแลร้าน

คุณชายลืมไปแล้วหรือว่าวันนี้ของทุกเดือนจะต้องส่งบัญชี ผู้ดูแลหลิวนำสมุดบัญชีมาให้ขอรับ

อ้อ จริงด้วยสิ ช่างมาได้จังหวะพอดี รีบไปเชิญเขาเข้ามาเร็ว!

แล้วจิตรกร…?”

พ่อบ้านไม่ค่อยเข้าใจเจตนาของถังเยว่ที่ให้หาจิตรกรนัก โดยทั่วไปแล้วผู้ที่มีทักษะประเภทนี้มิได้มีฐานะสูงส่ง ไม่เหมือนในวันหน้าที่จิตรกรได้รับการสรรเสริญยกย่อง

หลังเที่ยงค่อยไปเชิญมา

พ่อบ้านพยักหน้ารับทราบก่อนเดินจากไปพร้อมความสงสัย

 

 

เชิงอรรถ

  1. หมายถึงสิ่งที่อยู่ในกํามือหรือมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม

 

240 จิตรกร

นี่เป็นใบรายการที่ต้องจัดเตรียมในครั้งนี้ ท่านลองดูสิว่าสินค้าในคลังมีพอหรือไม่?” ถังเยว่ส่งใบรายการให้

ผู้ดูแลหลิวกวาดตาอ่านจบภายในเวลารวดเร็ว เขาเป็นผู้มีความจำดีเลิศจนถังเยว่ยังต้องนับถือ ส่วนความคุ้นเคยที่เขามีต่อสมุนไพรนั้นเป็นผลที่ได้มาจากการอบรมปลูกฝังตลอดหลายปีมานี้ ทว่ารู้จักเพียงแค่ชื่อแต่ไม่รู้ว่านำไปใช้รักษาโรคอะไรได้บ้าง

เพียงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ผู้ดูแลหลิวก็เงยหน้าขึ้นกล่าว คุณชาย กว่าครึ่งของรายชื่อสมุนไพรเหล่านี้ในคลังยังมีอีกมาก แต่ซันชีกับขิงแก่หากครั้งนี้ใช้หมดในคลังก็จะไม่มีเหลือแล้ว ควรเพิ่มปริมาณจัดซื้อหรือไม่ขอรับ?”

เหตุใดถึงมีไม่พอเสียแล้วล่ะ ข้าจำได้ว่าตรวจบัญชีคราวก่อนยังมีซันชีสำรองไว้มาก เหตุใดถึงเหลือแค่นี้

คุณชายคงลืมไปแล้ว ก่อนที่ทัพใหญ่จะเคลื่อนพล ทางราชสำนักได้มีการรวบรวมสมุนไพรอย่างพวกซันชีจากชาวบ้าน ไม่ว่าร้านขายยาร้านไหนล้วนไม่ได้รับอนุญาตให้มีสินค้าอยู่ในคลัง แม้หอฮุ่ยอานของเราจะมีจวนรัชทายาทสนับสนุนแต่ก็ไม่เคยขัดคำสั่งราชสำนักอย่างโจ่งแจ้งมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้ข้าน้อยจึงต้องนำสมุนไพรเหล่านั้นออกมาบริจาคบ้างเป็นบางส่วน สินค้าในคลังของพวกเรามีปริมาณมาก ให้ไปเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่ซันซีนั้นปกติใช้ในปริมาณมาก ส่วนขิงแก่ ของสิ่งนี้พอถึงฤดูหนาวก็จะเป็นสินค้าขายดี นอกจากนี้ร้านขายยาของเราต้มน้ำขิงหม้อใหญ่แจกจ่ายให้ชาวบ้านดื่มแก้หนาวเป็นประจำทุกวัน ด้วยเหตุนี้จึงใช้หมดอย่างรวดเร็วขอรับ

หัวคิ้วถังเยว่ขมวดแน่น เขาหยิบจดหมายเซี่ยงอันมาเปิดอ่านจบไปหนึ่งรอบ มั่นใจว่ามีซันชีระบุมาในจดหมาย เมื่อเทียบกับปริมาณซึ่งเหลืออยู่ในคลังตามที่ผู้ดูแลหลิวแจ้ง ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกว่าผิดปกติ

ซันชีเป็นยาทาแผลภายนอกที่ใช้บ่อยจึงต้องใช้ในปริมาณมากก็จริง แต่จากจำนวนทหารในกองทัพเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้หมดเร็วขนาดนี้ จากจำนวนคนบาดเจ็บที่เขาคาดเดาเอาไว้ลำพังแค่ปริมาณซันชีที่หอฮุ่ยอานส่งไปให้ก็ควรจะพอใช้แล้ว

คุณชาย มีจุดไหนไม่ถูกต้องหรือขอรับ?” ผู้ดูแลหลิวเห็นสีหน้าถังเยว่ไม่ปกติจึงเกิดความร้อนใจ เกรงว่าตนจะทำสิ่งใดผิดพลาด

เขาลำบากตรากตรำมาหลายปี โชคดีได้เจอเถ้าแก่ที่ให้โอกาสอันหาได้ยากยิ่ง แม้งานที่ทำจะห่างจากงานที่ตนใฝ่ฝันไปไกล แต่เขาก็ใช้ความตั้งใจเกินร้อยในการบริหารจัดการร้านขายยาที่แสนมหัศจรรย์แห่งนี้

ถังเยว่ไตร่ตรองครู่หนึ่งก็เอ่ยสิ่งที่ตนสงสัยออกมา แม้ผู้ดูแลหลิวไม่ได้เป็นหมอแต่เขามีความรู้ด้านสมุนไพรมากพอควร

ผู้ดูแลหลิวคํานวณดูแล้วก็ส่ายหน้า

ไม่ถูกสิ แม้ทัพใหญ่ออกรบจะครึ่งปีแล้วแต่ปะทะศึกจริงแค่ครั้งเดียว มิหนำซ้ำกล่าวกันว่าคนตายมากกว่าคนเจ็บ จำนวนผู้บาดเจ็บดูแล้วยังเทียบศึกฉินหยางไม่ได้เลยด้วยซ้ำ อย่างที่ท่านทราบ หลังเมืองฉินหยางผ่านศึกสามครั้งปริมาณการใช้ผงซันชียังไม่ถึงครึ่งที่ให้ทัพใหญ่ไปในครั้งนี้

ทั้งสองสบตากัน ในใจต่างรู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง

คุณชาย เขียนจดหมายกลับไปสอบถามดีหรือไม่ขอรับ บางทีคุณชายอันอาจเขียนผิด หรือว่าเขาเพียงต้องการสำรองของไว้ให้มากหน่อยกันแน่

ถังเยว่พยักหน้า หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมายตอบกลับฉบับหนึ่ง เขาจะส่งสมุนไพรไปให้ตามคำขอในใบรายการ เพียงแต่ต้องการสอบถามถึงปัญหาให้กระจ่างชัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือโกหกอย่างไรก็ต้องมั่นใจว่าพวกทหารมียาพอใช้เสียก่อน

นอกจากนี้ให้คนออกเดินทางไปให้ทั่วแคว้น รับซื้อสมุนไพรโดยให้ราคาสูง นอกจากซันชีแล้ว สมุนไพรอย่างอื่นก็ให้ซื้อหากลับมาพร้อมกันด้วยเลยทีเดียว ข้าจำได้ว่าปริมาณของหวงเหลียนกับไป๋ฝูหลิงก็มิได้มีเยอะนัก

ขอรับ เพียงแต่หากเป็นเช่นนี้ทุนเราจะตึงมือนะขอรับ

ความจริงหอฮุ่ยอานไม่ได้มีรายได้สูง แม้จะมีชื่อเสียงโด่งดังทว่าชาวบ้านทั่วไปที่มีเงินพอจะหาหมอได้มีไม่มากนัก แต่น้ำแกงที่แจกจ่ายแบบให้เปล่ากลับมีมากกว่าหลายเท่า ผลกำไรที่ควรได้จึงไม่ค่อยมีเหลือ แต่จุดประสงค์แรกที่ถังเยว่เปิดร้านขายยาแห่งนี้ขึ้นมาก็มิใช่เพื่อหวังค้ากำไร หากจะพูดเรื่องรายได้จริงๆ ลำพังรายได้ของเขาคนเดียวก็สูงกว่ารายรับจากหอฮุ่ยอานตั้งไม่รู้กี่เท่า หากผู้มารับการรักษาเป็นชนชั้นสูง เขาสามารถเรียกเก็บค่ายาค่ารักษาได้ตามใจชอบ ถังเยว่จึงมักจะคิดราคาตามสภาวะอารมณ์ในเวลานั้น แน่นอนว่าตอนที่เขาไม่เก็บค่ารักษาพยาบาลก็มีบ่อยเช่นกัน

ถังเยว่เรียกพ่อบ้านมา สั่งให้เขาเบิกเงินจากในคลังออกมาห้าร้อยตำลึงทอง มอบให้ผู้ดูแลหลิว เงินมิใช่ปัญหา แต่คุณภาพสมุนไพรต้องผ่านเกณฑ์ เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิให้แหล่งเพาะปลูกสมุนไพรทุกที่ปลูกสมุนไพรที่ใช้กับบาดแผลภายนอกขึ้นมาก่อน

เข้าใจแล้วขอรับ คุณชายโปรดวางใจ ปีก่อนร้านค้าตัวแทนที่พวกเราได้ติดต่อไว้จะต้องเกรงใจเราแน่ ของซื้อของขาย เราให้ราคาสูง พวกเขาย่อมขายให้พวกเราก่อนอยู่แล้วขอรับ

ถังเยว่พยักหน้า หากจำเป็นต้องใช้เส้นสายหรือใช้อำนาจบังคับขู่เข็ญก็ใช้ ไม่ต้องกลัว และอย่าปล่อยให้พวกเขาโก่งราคาเกินไปนัก

มีคำพูดประโยคนี้ของถังเยว่ผู้ดูแลหลิวก็ยิ่งเบาใจ มีจวนรัชทายาทหนุนหลังก็ไม่ต้องกลัวใครแล้ว

เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวไปจัดการก่อน คุณชายไม่ต้องห่วงสมุนไพรต้องถูกเตรียมพร้อมก่อนตะวันตกดินวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอนขอรับ

อืม ถึงตอนนั้นข้าจะจัดหาคนไปขนส่งเอง

ก่อนไปผู้ดูแลหลิวได้เอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง คุณชาย ในร้านขายยาของเรามีหมอฝึกหัดสองสามคนอยากไปฝึกประสบการณ์ที่ชายแดน พวกเขายังรักษาโรคไม่ได้แต่น่าจะพอช่วยหยิบจับอะไรได้บ้าง ท่านเห็นว่าควรส่งพวกเขาไปพร้อมกันในครั้งนี้เลยดีหรือไม่ขอรับ?”

อายุเท่าไร ในบ้านยังมีพี่น้องอยู่หรือไม่?”

ทุกคนเป็นผู้ที่เพิ่งสมัครเข้ามาใหม่ในช่วงสองปีนี้ ความตั้งใจถือว่าใช้ได้ เรื่องในครอบครัวก็ไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วงขอรับ

หากพวกเขาสมัครใจก็ให้ไป บอกพวกเขาให้ระวังเรื่องความปลอดภัยด้วย

ผู้ดูแลหลิวยิ้มรับ ขอรับ ข้าน้อยจะกำชับพวกเขาแน่นอนขอรับ

ถังเยว่อยู่ในห้องทรงพระอักษรอีกพักใหญ่ จดรายการข้าวของที่ต้องตระเตรียม ทั้งกำลังคน วัตถุสิ่งของและทุนทรัพย์ที่ต้องใช้ในการรบ จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้เด็ดขาด เขายังเขียนจดหมายถึงหลี่เจาฉบับหนึ่งเตรียมจะส่งไปพร้อมยาเวชภัณฑ์ แน่นอนว่าย่อมขาดภาพเหมือนของตัวเองไปไม่ได้

จิตรกรมาหรือยัง?” ถังเยว่ถามพ่อบ้าน

คุณชายจะให้เชิญจิตรกรมาจริงหรือขอรับ?”

เหลวไหล! ข้าจะพูดล้อเล่นไปเพื่ออะไร?”

ท่านต้องการให้วาดสิ่งใด ต้องการคนที่เชี่ยวชาญวาดภาพธรรมชาติภูเขาลำธารหรือวาดรูปคนขอรับ?”

ถังเยว่ชี้หน้าตัวเอง ข้าต้องการหาคนมาวาดรูปเหมือนของตัวเอง ท่านว่าควรตามใครมาดีล่ะ?”

พ่อบ้านรีบวิ่งไปหาจิตรกร ไม่นานก็จูงผู้เฒ่าคนหนึ่งมา ตาเฒ่าผู้นี้สวมเสื้อผ้ามอมแมม ใบหน้าเหลืองเหมือนเทียนไขเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น ฟันเหลืองอ๋อยทั้งปาก เห็นสภาพแล้วเหมือนขอทานข้างถนนไม่มีผิด

เป็นเขาหรือ?”

ถังเยว่รู้ว่าพวกศิลปินค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่บุคคลตรงหน้าเขาผู้นี้ดูจะมีลักษณะเด่นล้ำเกินคำว่าเอกลักษณ์เฉพาะตัวไกลไปหน่อย

พ่อบ้านพยักหน้ายืนยัน แม้ตัวเขาเองจะรู้สึกว่าชายชราผู้นี้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือนักก็ตาม

ถังเยว่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้มีสีสันฉูดฉาดขึ้นเล็กน้อยแล้วสั่งให้คนไปตามเสี่ยวลั่วลั่วมา ตั้งใจว่าจะให้จิตรกรวาดรูปคู่ของเขากับเสี่ยวลั่วลั่ว

เขานั่งนิ่งอย่างมีความสุขไม่ขยับเขยื้อนหนึ่งชั่วยาม ยิ้มจนเมื่อยไปหมด จิตรกรมองหน้าเขาพร้อมกับขยับมือเป็นระยะ

จิตรกรผู้นี้มิได้ใช้พู่กันในการวาด สิ่งที่อยู่ในมือเขาคือมีดแกะสลักเล่มหนึ่ง ถังเยว่นึกบ่นในใจ ‘นี่มันยุคไหนแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะยังมีคนใช้มีดแกะสลักอยู่อีก

หนึ่งชั่วยามต่อมาในที่สุดถังเยว่ก็ทนไม่ไหวต้องถามขึ้น

เสร็จหรือยัง?”

เสร็จแล้ว เสร็จแล้วจิตรกรลูบหนวด หัวเราะกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างภาคภูมิใจ

ถังเยว่นึกว่าเขาพึงพอใจในผลงานตัวเองจึงเดินไปดูรูปด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง ผลปรากฏว่าพอเห็นภาพเลือดก็แทบพุ่งออกมาจากปาก

นี่หรือรูปคนเขามีสารรูปเป็นเช่นนี้อย่างนั้นหรือ! ตาไม่ใช่ตา ปากไม่ใช่ปาก นี่คือสารรูปของเขาจริงหรือนี่?

เสี่ยวลั่วลั่วที่วิ่งตามเข้ามาดู ร้อง อ๋าขึ้นคำหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม เตียเตีย สัตว์ประหลาดนี่คือตัวอะไรหรือขอรับ?”

ถังเยว่หน้ากระตุก หัวเราะเหอะๆ เตียเตียให้คนวาดยันต์ไล่ปีศาจในจวนน่ะ เป็นอย่างไร สวยหรือไม่?”

เสี่ยวลั่วลั่วพยักหน้า ขอรับ มีของสิ่งนี้ติดไว้หน้าประตู ตอนกลางคืนจะได้ไม่นอนฝันร้าย!

ถังเยว่พูดไม่ออก ถลึงตาจ้องมองจิตรกรผู้นั้น ฝ่ายตรงข้ามลูบหนวดด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ช่างไม่มีจิตใจชื่นชมงานศิลปะเอาเสียเลย ท่านดูฝีมือลงมีดบนภาพสิ เวลานี้จะมีช่างฝีมือคนใดทำได้อย่างข้าบ้าง

ถังเยว่สั่งให้คนไปเอาดินสอถ่านของเขาในห้องหนังสือมา แล้วดันจิตรกรออกไป หยิบกระดาษขาวขึ้นมาหนึ่งแผ่น ลงมือลากเส้นวาดลงบนกระดาษ

ลั่วลั่ว นั่งนิ่งๆ อย่าขยับ เตียเตียจะวาดรูปสวยๆ ให้เจ้า

ฝีมือวาดรูปของถังเยว่ไม่จัดว่าดีนักแต่ในฐานะที่มีงานอดิเรกคืองานแกะสลักความสามารถในการลอกเลียนของเขาจึงไม่เลว แม้ไม่กล้าพูดว่าวาดได้ล้ำเลิศแต่อย่างน้อยก็ดูคล้ายคนอยู่หลายส่วน

เขาใช้ลายเส้นง่ายๆ ร่างเค้าโครงใบหน้าลั่วลั่วขึ้นมา จากนั้นก็เติมตาหูจมูกปากและเส้นผม แล้วค่อยลงรายละเอียดเพิ่มเติม วาดอยู่ครึ่งชั่วยามก็วางดินสอลง ยังไม่ทันได้ชื่นชมภาพวาดบนกระดาษอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็ถูกมือดำปี๋ข้างหนึ่งดึงแย่งไป พอเขาหันกลับไปก็เห็นใบหน้าเหลืองอ๋อยดั่งดอกเบญจมาศจ้องผลงานภาพวาดของเขาตาเขม็งอย่างตั้งอกตั้งใจ

นี่...นี่มันเป็นไปไม่ได้! ไยจึงวาดได้เหมือนมากถึงเพียงนี้ แค่ขีดเส้นลงไปไม่กี่ขีดเท่านั้น เหตุใดถึงสามารถวาดคนออกมาได้เหมือนราวกับถอดวิญญาณออกมาเช่นนี้!

นี่เรียกว่าการร่างภาพถังเยว่ยืดเส้นบิดขี้เกียจ ใช้นิ้วเขี่ยมืออีกฝ่ายออกแล้วแย่งภาพนั้นคืนมา

เสี่ยวลั่วลั่ววิ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้น เขย่งเท้าชะเง้อดูรูปในมือถังเยว่แล้วร้องอุทานด้วยความตื่นตะลึง

อ๋า...เหมือนมากขอรับ เตียเตียเก่งที่สุด ทำได้อย่างไรขอรับ?”

ถังเยว่บิดจมูกเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูพลางหัวเราะร่า

นี่เป็นผลงานศิลปะอันยอดเยี่ยมของสำนักเตียเตีย ไม่ถ่ายทอดให้ผู้อื่น

แต่ข้าเป็นลูกชายท่านนะ ต้องถ่ายทอดให้ข้าสิ ถ่ายทอดให้คนในมิใช่คนนอกไม่เป็นไร

เจ้าอยากเรียนหรือ?”

ขอรับเสี่ยวลั่วลั่วพยักหน้าอย่างมั่นใจ

ไม่รอให้ถังเยว่อนุญาต จู่ๆ ก็มีเสียงเรียก อาจารย์ดังขึ้น เสียงนั้นแหบพร่าอย่างคนแก่ ไม่น่าใช่เสียงเด็กเลยสักนิด

พอหันไปก็เห็นจิตรกรเฒ่าผู้นั้นคุกเข่าอยู่ข้างหลัง จ้องเขาโดยมีน้ำตานองหน้า

ผู้อาวุโส ท่านทำอะไร?”

คิดไม่ถึงว่าฝีมือการวาดภาพของพระชายาจะเก่งกาจถึงเพียงนี้รับข้าไว้เป็นศิษย์ได้หรือไม่ขอรับ?”

ถังเยว่ขยิบตาให้พ่อบ้านเป็นสัญญาณบอกให้เขาพาตาเฒ่าผู้นี้ออกไป

ข้าไม่มีธุระอะไรกับเขาแล้ว ส่งแขก!


 

241 พระชายาผิดแผกไม่ปกติ

ข่าวพระชายาวาดภาพเป็น มิหนำซ้ำยังเป็นยอดฝีมือเชี่ยวชาญงานศิลปะแพร่ไปทั่วเมืองเย่เฉิงอย่างรวดเร็วราวกับสายลมพัด กลายเป็นเรื่องพูดคุยแก้เครียดช่วงสงครามได้บ้าง

เรื่องพระชายาวาดภาพเป็นข้าไม่แปลกใจเลยสักนิด ทรงเป็นดาวเหวินฉวี่[1]กลับชาติมาเกิด จะมีสิ่งใดที่ทำไม่เป็นบ้าง

ในร้านอาหารมีคนกินดื่มพลางพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างสนุกสนาน

พวกเจ้าไม่เคยเห็นผลงานแกะสลักของพระชายา ดูสมจริงราวกับมีชีวิต ขนบนปีกนกอ่อนช้อยพลิ้วไหวดุจจะเหาะเหิน นี่สิถึงเรียกว่าศิลปะขั้นสูง ทั้งมากความสามารถและเชี่ยวชาญศิลปะล้ำเลิศ ในหนานจิ้นจะมีผู้ใดเสมอเหมือนพระชายาได้อีก

ข้าเคยมีบุญตาได้เห็นพระชายาใช้มีดแกะสลักท่อนไม้ ฝีมือคล่องแคล่วล้ำเลิศยิ่งกว่าช่างปักผ้าเสียอีก

ช่างปักผ้าจะเทียบได้อย่างไร ไม่แน่ว่าฝีมือการเย็บปักของพระชายาอาจเหนือชั้นกว่าช่างปักผ้าตั้งไม่รู้กี่เท่าด้วยซ้ำ

เป็นไปไม่ได้! ต่อให้พระชายาเพียบพร้อมไปด้วยความสามารถและคุณธรรมเพียงใดก็เป็นบุรุษ จะทำงานของสตรีเป็นได้อย่างไร?”

เจ้าไม่เคยเห็นพระชายารักษาคน ข้าเคยเห็นเองกับตามาครั้งหนึ่ง นายพรานผู้นั้นถูกหมีตะปบจนหน้าอกเหวอะหวะ แผลลึกมากเป็นทางยาว พระชายาใช้เข็มกับด้ายเย็บบาดแผลให้อย่างคล่องแคล่วชำนิชำนาญ ต้องร่ำเรียนมานานหลายปีแล้วเป็นแน่

อืม ดูเหมือนจะมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นจริงๆ เจ้าว่ายังมีสิ่งใดที่พระชายาทำไม่ได้บ้าง?”

มีแน่นอน!

อะไรหรือ?”

ออกลูกอย่างไรเล่า! ฮ่าๆ ต่อให้พระชายาเก่งกาจเพียบพร้อมไปด้วยความสามารถและคุณธรรมเพียงใดก็เป็นบุรุษ จะออกลูกได้อย่างไร?”

ทุกคนได้แต่นิ่งอึ้ง

ปฏิกิริยาเช่นนี้ของพวกเจ้าหมายความเยี่ยงไร หรือพวกเจ้าไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ข้าพูดนั้นถูกต้อง

คนพูดมองสหายร่วมวงสนทนาอย่างงุนงง เหตุใดทุกคนมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด?

ทันใดนั้นก็มีคนกล่าวขึ้นประโยคหนึ่ง “พวกเจ้าเคยรู้สึกหรือไม่ว่าพระชายาดีกับพระราชนัดดาน้อยมากเป็นพิเศษจนผิดปกติ ดูไม่เหมือนปฏิบัติต่อลูกเลี้ยงเลยสักนิด

นั่นน่ะสิ ข้าเคยเห็นพระชายาทั้งกอดทั้งหอมแก้มพระราชนัดดาน้อย แถมยังเรียกลูกรัก ลูกรัก ไม่ขาดปาก…”

เหอะๆ นั่นยังไม่เท่าไร ข้าเคยเห็นพระราชนัดดาน้อยขี่คอพระชายามาแล้ว

พวกเจ้าคิดว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ว่า...เอ่อบางที...พระราชนัดดาน้อยอาจเป็นลูกแท้ๆ ของพระชายา!

พูดเหลวไหล พระชายาเป็นบุรุษนะ!” คนหนึ่งแย้งขึ้นทันทีตามสัญชาตญาณ

แต่คนจำนวนไม่น้อยต่างมีสีหน้าครุ่นคิดเสมือนหลักฐานทุกอย่างที่เห็นได้ด้วยตาล้วนยืนยันไปในทางที่ว่าการคาดคะเนนั้นถูกต้อง

ก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เมื่อวานข้าอ่านเจอในตำราเล่มหนึ่งกล่าวว่าบุรุษสามารถออกลูกได้ พวกเจ้าไม่รู้สึกว่าการมาของพระราชนัดดาน้อยปุบปับกะทันหันเกินไปหรือ? ความรักความโปรดปรานที่องค์รัชทายาทมีต่อพระชายาลึกล้ำเหลือคณา อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้ยินว่ารัชทายาทเป็นคนเจ้าชู้มากรัก เหตุใดจู่ๆ ถึงมีโอรสโผล่ขึ้นมาได้เล่า?”

อย่าพูดเหลวไหล! รัชทายาทมีพระราชนัดดาน้อยตั้งแต่ก่อนกลับเย่เฉิงแล้ว สมัยนั้นยังไม่ทรงรู้จักกับพระชายาเลยนะ

เฮ้อ! ไม่ว่าอย่างไรข้าก็รู้สึกว่าพระชายาปฏิบัติต่อพระราชนัดดาน้อยดุจลูกในไส้ หากเป็นลูกของศัตรูหัวใจจริงไหนเลยจะทำดีด้วยถึงเพียงนี้พวกเจ้าลองคิดดูสิ หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับพวกเจ้าจะทำอย่างพระชายาได้หรือ?”

ทุกคนส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง หากเป็นภรรยาพวกเขาให้กำเนิดลูกกับชายอื่น อย่าว่าแต่ปฏิบัติด้วยเสมือนลูกในไส้เลย แค่จะมองหน้ายังทำใจลำบากด้วยซ้ำ ชั่วขณะนั้นบรรยากาศในร้านอาหารพลันเปลี่ยนเป็นอึดอัดอย่างน่าประหลาด ทุกคนต่างเงียบงันกันไปพักใหญ่จนมีคนทำลายความเงียบด้วยการหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วเปลี่ยนเรื่อง

ฮ่าๆ อาหารวันนี้รสชาติไม่เลวเลย เปลี่ยนพ่อครัวใหม่หรือ?”

เจ้าของร้านรีบตอบเสียงดังฟังชัด หามิได้ เพียงแต่เมื่อไม่นานนี้พ่อครัวร้านข้าได้รับโอกาสที่ดีมาก ได้เข้าไปรับคำชี้แนะจากพ่อครัวใหญ่ของจวนรัชทายาท ฝีมือปรุงอาหารจึงพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่เอ่ยถึงจวนรัชทายาท ทุกคนต่างนึกถึงทักษะฝีมือปรุงอาหารของพระชายาซึ่งเป็นที่เลื่องลือ ช่างเป็นตัวอย่างของศรีภรรยาโดยแท้ ยามอยู่ในเรือนดูแลหลังบ้านได้เป็นอย่างดี ในยามจำเป็นยังสามารถช่วยเหลือกิจการงานของสามีได้อีก

เฮ้อ สุรานี่ช่างไร้รสชาติเสียจริง ข้าน้อยเคยมีวาสนาได้ดื่มเหล้าจากจวนรัชทายาทครั้งหนึ่ง เป็นสุราเลิศรสที่สุดในใต้หล้า น่าเสียดายที่ตอนหลังไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสอีกเลย

เจ้าก็ควรรู้จักพอเสียบ้าง ประเดี๋ยวราชสำนักก็จะมีคำสั่งห้ามดื่มสุราแล้ว ถึงตอนนั้นแม้อยากดื่มเจ้าก็ดื่มไม่ได้

เมื่อมีสงครามเกิดขึ้น เพื่อเป็นการประหยัดเสบียง ราชสำนักจะมีคำสั่งห้ามดื่มสุราเพราะการกลั่นเหล้าสิ้นเปลืองธัญพืชมาก

ถังเยว่อยู่ในจวนตั้งหน้าตั้งตาทำงานงกๆ จึงไม่รู้ว่านอกบ้านข่าวคราวเล่าลือกันไปต่างๆ นานามากขึ้นเรื่อยๆ และไม่รู้ว่าใครที่นำแนวคิดผู้ชายคลอดลูกได้เผยแพร่ไปทั่วบ้านทั่วเมือง แม้ตามหลักเหตุและผลแล้วสติปัญญาของทุกคนจะค้านว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ แต่พอคิดว่าเรื่องนี้เกิดกับพระชายา ความคิดก็พลันกลับตาลปัตร รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องชอบธรรมฟังดูสมเหตุสมผลไปเสียได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ครอบครัวสามคนพ่อลูกขององค์รัชทายาทจึงยิ่งเป็นสิ่งที่ถูกหลักทำนองคลองธรรมและเป็นสิ่งที่ราษฎรจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจริง

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ สองสามวันต่อมาบนโต๊ะทำงานของจักรพรรดิหนานจิ้นจึงมีฎีกากองเพิ่มขึ้น ล้วนเป็นฎีการ้องเรียนว่าถังเยว่ผิดแผกไม่ปกติ วันหน้าอาจนำพาหายนะมาสู่หนานจิ้น เรียกร้องให้จักรพรรดิลงโทษขั้นสูงสุดด้วยการประหารพระชายาเสีย!

ช่วงแรกที่จักรพรรดิหนานจิ้นอ่านเนื้อหาฎีกาเหล่านี้ก็ตกใจไม่น้อย แต่หลังตรึกตรองดูอย่างถ้วนถี่ก็เกิดความรู้สึกคล้อยตามว่าในตัวถังเยว่ล้วนเต็มไปด้วยปริศนาที่ไขไม่ออก ทั้งชาติกำเนิดและประวัติความเป็นมาช่างไม่สอดคล้องกับความสามารถของเขาเอาเสียเลย ในเมื่อเป็นเช่นนี้หากจะบอกว่าเขาผิดแผกจากคนทั่วไปก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป

แต่จักรพรรดิหนานจิ้นย่อมไม่อาจลงโทษประหารถังเยว่เพียงเพราะเรื่องนี้ ถึงอย่างไรฝ่ายนั้นก็เป็นชายารัชทายาท เป็นบุตรชายของลี่หยางโหว และเป็นคนที่รัชทายาทเชื่อถือไว้วางใจมากที่สุด จักรพรรดิหนานจิ้นกล้าพูดได้เลยว่าหากจู่ๆ มีราชโองการสั่งประหารถังเยว่ รัชทายาทต้องนำทัพใหญ่บุกเข้าเมืองแน่ ความสัมพันธ์พ่อลูกระหว่างพวกเขาก็มิได้กลมเกลียวเหนียวแน่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย

ทหาร! ส่งคนไปตรวจสอบชาติกำเนิดของพระชายารัชทายาท ข้าต้องการรู้ความเป็นไปทุกอย่างตั้งแต่แรกเกิดจนเติบใหญ่ของเขาอย่างละเอียด!

หากข้อสรุปครั้งนี้ยังคงเหมือนคราวก่อน เขาก็จะเชื่อว่าถังเยว่เป็นคนประหลาด ถึงอย่างไรนับตั้งแต่ได้รู้จักถังเยว่ ไม่สิ! ตอนนั้นเขาก็มิได้ชื่อนี้ คนผู้นั้นแตกต่างจากพระชายาในเวลานี้อย่างสิ้นเชิง จักรพรรดิหนานจิ้นยังเคยได้ฟังเรื่องราวมาว่าแท้จริงแล้วพระชายาหาใช่คนธรรมดาไม่ แต่เป็นเทพเซียนลงมาจุติยังพื้นพิภพเพื่อช่วยหนานจิ้นรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง

ความจริงพอคิดดูแล้วก็เหมือนว่ารัชทายาทเองจะเคยพูดเรื่องทำนองนี้เช่นกัน โอรสของเขาเคยบอกว่าพระชายาเป็นบุคคลที่ดีเลิศประเสริฐที่สุดในใต้หล้า สามารถประดิษฐ์สิ่งต่างๆ อันเป็นคุณูปการให้กับหนานจิ้น ทั้งยังมีส่วนสำคัญในการเริ่มต้นคิดค้นสามสิบสองกลยุทธ์บริหารบ้านเมือง ทั้งข่าวในทางลับที่จักรพรรดิรับรู้มา พระชายารัชทายาทผู้นี้ยังสามารถผลิตสุดยอดศัสตราวุธให้หนานจิ้นได้ หากพูดกันตามตรงแล้วเขานับเป็นฟันเฟืองสำคัญในการทำให้หนานจิ้นพัฒนาล้ำหน้าอย่างก้าวกระโดด และไม่แน่ว่าเขาอาจทำให้หนานจิ้นสามารถรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวได้ในเวลาอันรวดเร็ว

รวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียว! คำพูดนี้ช่างมีพลังดึงดูดเย้ายวนใจมากมายเหลือเกิน จักรพรรดิหนานจิ้นแค่นึกถึงคำพูดนี้โลหิตในกายก็คึกคักพลุ่งพล่านแล้ว

หลายปีมานี้ที่เขายอมให้รัชทายาทปฏิรูประบบใหม่และประกาศใช้คำสั่งต่างๆ ทั้งหมดก็เพื่อเป้าหมายนี้มิใช่หรือ?

จักรพรรดิหนานจิ้นใคร่ครวญอยู่นานมาก ในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะหยุดความสนใจกับกองฎีกาเหล่านั้น ถังเยว่จะเป็นเทพหรือเป็นภูตผีปีศาจก็ช่าง! ขอเพียงสามารถนำผลประโยชน์มาสู่หนานจิ้นได้ จะเก็บชีวิตเขาไว้ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร

พี่ถังพี่ถังมีข่าวล่ามาใหม่!

จางฉุนวิ่งกระหืดกระหอบหน้าตาตื่นเข้ามาหาถังเยว่ในห้องทรงพระอักษร ก่อนจะหยุดหอบแฮ่กเพราะหายใจแทบไม่ทัน

ทำไม? หนานจิ้นชนะศึกแล้วหรือ?” ถังเยว่เงยหน้าถาม

หนานจิ้นชนะศึกจะถือว่าเป็นข่าวใหม่ได้ยังไงกันล่ะ แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญของพวกทหาร คุณลองเดาดูสิว่าเมื่อกี้ผมไปตลาดแล้วได้ยินอะไรมา?” จางฉุนถามเสียงสูง

ตำนานเรื่องเล่าอะไรอีกละสิ บอกตั้งหลายหนแล้วว่าเรื่องพวกนี้ฟังแล้วก็ลืมๆ ไปซะ ไม่ต้องถือเป็นจริงเป็นจัง

ถังเยว่ยังจำเหตุการณ์เมื่อปีก่อนได้ ไม่รู้ว่าจางฉุนไปฟังข่าวลือของอดีตจักรพรรดิมาจากไหน บอกว่าคนรักที่แท้จริงของพระองค์คือสนมชายคนหนึ่ง ก่อนอดีตจักรพรรดิล่วงลับได้ทิ้งข้อความไว้ว่าอนุญาตให้ฝังสนมชายผู้นั้นร่วมสุสานเดียวกับพระองค์ พอจางฉุนกลับมาก็นำเรื่องราวความรักสุดแสนโรแมนติกปนเศร้ารันทดนี้มาเล่าให้เขาฟังเป็นคุ้งเป็นแคว

ภายหลังได้รับการยืนยันจากหลี่เจาว่าอดีตจักรพรรดิโปรดปรานบุรุษจริง มีสนมชายคนโปรดอยู่จริง แต่เรื่องฝังร่วมสุสานเดียวกันนั้นเป็นคำพูดที่น่าขบขันและไม่มีแหล่งที่มา แค่สนมชายคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้อดีตจักรพรรดิทรงเห็นชอบ เหล่าเสนาบดีก็ไม่มีทางเห็นด้วย

ไม่ใช่ ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับคุณและมันเหลือเชื่อมากๆ!

ถังเยว่เย้ายิ้มๆ “หรือข้างนอกมีคนเดากันว่าฉันทนความเหงาไม่ไหว เลยแอบเลี้ยงผู้ชายไว้หรือไง

จางฉุนกวาดตาจ้องมองถังเยว่ก่อนจะส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ ไม่มีผู้ชายหน้าไหนกล้าแย่งชิงคนของรัชทายาทหรอก จะว่าไปแล้วสารรูปของคุณก็ไม่คู่ควรให้ทำเช่นนั้น

ถังเยว่เงยหน้าจ้องมองอีกฝ่าย หน้าตาเขาอัปลักษณ์ขนาดนั้นเชียว?

ถ้ารู้แต่แรกเขาคงไม่ส่งภาพเหมือนของตนไปให้หลี่เจา หากอีกฝ่ายเห็นใบหน้าที่แสนธรรมดาของเขามากเกินไป จู่ๆ เกิดไปเจอหนุ่มรูปงามเข้าล่ะจะทำยังไง?

ถังเยว่กำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ไม่ทันได้ฟังจางฉุนเล่าเกี่ยวกับเรื่องใหญ่ข่าวใหม่อะไรนั่น กว่าเขาจะรู้สึกตัวก็ได้ยินจางฉุนพูดว่า “หากนี่เป็นเรื่องจริงผมจะต้องตั้งใจศึกษาจากคุณอย่างจริงจังแล้ว อยากรู้นักว่าผู้ชายจะคลอดได้ยังไง!

ผู้ชายจะคลอดได้ยังไง? คลอดอะไร? หรือนายคิดจะให้ผู้ชายออกไข่?” ถังเยว่ถามด้วยสีหน้างุนงงจริงจัง

ฮ่าๆๆ ชายอื่นผมไม่รู้ แต่คุณ…” จางฉุนปิดปากหัวเราะจนตัวงอ “พวกเขา...พวกเขาต่างพูดว่าพูดว่าเสี่ยวลั่วลั่วเป็นลูกแท้ๆ ของคุณ

เขาย่อมเป็นลูกของฉันแน่นอนอยู่แล้ว!

แต่ไหนแต่ไรถังเยว่ไม่เคยถือว่าเสี่ยวลั่วลั่วเป็นคนนอก ทว่าจางฉุนกลับชี้นิ้วตรงมาที่ท้องเขาแล้วพูดอย่างมีเลศนัย

ไม่ใช่แบบนั้น ความหมายของพวกเขาคือเสี่ยวลั่วลั่วคลานออกมาจากท้องของคุณจริงๆ ต่างหาก

ถังเยว่ได้ยินแล้วถึงกับพูดไม่ออก ความรู้สึกในตอนนี้ราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางศีรษะ ข่าวลือมาจากแหล่งใด มันจะเกินจริงไปหน่อยแล้ว!

เรื่องแบบนี้นายก็เชื่อด้วยเหรอ?”

ผมน่ะไม่เชื่อหรอก ฮ่าๆๆๆจางฉุนยิ่งพูดก็ยิ่งเอามือกุมท้องหัวเราะลั่น ผมก็แค่แค่รู้สึกว่าคนยุคนี้จินตนาการเก่งจริงๆ มิหนำซ้ำนึกไม่ถึงว่ามีผู้คนมากมายเชื่อเรื่องนี้ ช่างช่าง…” เขาไม่รู้ว่าจะสรรหาคำใดมานิยามความคิดความเชื่อของคนในยุคนี้เลยจริงๆ

 

 

เชิงอรรถ

  1. ดาวเหวินฉวี่ เป็นดาวที่คุ้มครองเรื่องการสอบและวิชาการ ขุนนางฝ่ายบุ๋นที่มีความสามารถมักถูกชมว่าเป็นดาวเหวินฉวี่กลับชาติมาเกิด

 

242 เด็กที่ขาดแคลนความรักย่อมส่งผลกระทบไปถึงนิสัย

สมุนไพรถูกส่งมาถึงชายแดนตามกำหนด เซี่ยงอันหยิบจดหมายที่ถังเยว่เขียนถึงเขาขึ้นมาชื่นชมด้วยความยินดี ทว่าขณะกำลังจะเปิดจดหมายออกอ่านก็มีมือข้างหนึ่งมาดึงแย่งไปต่อหน้าต่อตา

เอ๋...ฝ่าบาท...เซี่ยงอันมองด้วยสายตาขุ่นเคือง

รัชทายาทเจาเปิดซองจดหมายโดยไม่ขออนุญาต ขอเพียงเป็นจดหมายจากถังเยว่เขาไม่สนใจว่าจะเขียนถึงใคร จะมีความลับส่วนตัวอันใด แต่ทั้งหมดล้วนต้องผ่านการตรวจคัดกรองจากเขาก่อนทั้งสิ้น

เซี่ยงอันยืนตาปริบๆ ชะเง้อคอแอบอ่านอยู่ข้างๆ แต่ยังอ่านไม่ทันจบก็เห็นรัชทายาทหน้าเปลี่ยนสี เขาแอบคาดเดาในใจ คงมิใช่ว่าอาจารย์เขียนจดหมายรักให้เขาหรอกนะ!

เซี่ยงอันเลื่อมใสศรัทธาอาจารย์ของตัวเองมาหลายปี จิตใจเคารพเปี่ยมล้นลึกล้ำยิ่งกว่าความรักใคร่ชื่นชม สามารถพูดได้ว่าขอเพียงเป็นคำบัญชาจากถังเยว่ ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟเขาก็ยินดีไปทำทันทีไม่มีบ่ายเบี่ยง เซี่ยงอันคิดในใจ หากอาจารย์กล่าววาจากำกวมกับเขาจริงจะทำเช่นไร เขาควรตอบรับหรือปฏิเสธ? ดูเหมือนว่าเขามิได้มีความรู้สึกเช่นนั้นกับเพศเดียวกันนี่นา

แต่นั่น...นั่นเป็นอาจารย์ของเขาเชียวนะ! มิใช่ชายอื่น บางทีตัวเขาอาจสามารถรับได้กระมัง...

ขณะที่เซี่ยงอันกำลังคิดสับสนวุ่นวายใจว่าจะรับความรักของอาจารย์ดีหรือไม่ กระดาษแผ่นหนึ่งก็ตบลงมาที่หน้าอกขัดจังหวะความคิดฟุ้งซ่านของเขา

ดูซะ แล้วตอบจดหมายอาจารย์เจ้าด้วย บอกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง

เซี่ยงอันหลุดจากภวังค์ คลี่จดหมายออกแล้วกวาดตาอ่านอย่างรวดเร็ว ตอนแรกในสมองเขายังเต็มไปด้วยความคิดอกุศลจึงมิได้เข้าใจเนื้อความในจดหมายเลยสักนิด กระทั่งอ่านซ้ำรอบสองตั้งแต่ต้นจนจบใหม่อีกครั้งหัวคิ้วก็ขมวดมุ่นเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว

ที่แท้ตอนนั้นทัพใหญ่ขนสมุนไพรมาด้วยเป็นจำนวนมาก แต่ครั้งก่อนตอนที่พวกข้าไปตรวจนับเห็นว่าในคลังมีสมุนไพรอยู่ไม่เท่าไรเองนี่นาเซี่ยงอันพูดพึมพำกับตัวเองด้วยความงุนงง เขาไม่สนใจรัชทายาทเจาแล้ว รีบวิ่งไปหาหมอทหารในกองทัพจับตัวมาซักถามหาความกระจ่างทันที กองทัพได้นำสมุนไพรไปเก็บไว้ที่อื่นอีกหรือไม่?”

หมอทหารผู้นั้นเคยอยู่สำนักหมอหลวงมาก่อน อายุค่อนข้างมากเข้าสู่วัยหูตาฝ้าฟางแล้ว ถูกเขย่าตัวไม่กี่ทีชิ้นส่วนในร่างกายก็แทบหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ

เจ้าเด็กบ้า กล้าบังอาจเหิมเกริมถึงเพียงนี้เชียวหรือ!

อย่ามัวแต่พูดจาไร้สาระ ข้ามีเรื่องด่วนต้องสอบถามให้รู้เรื่อง!

เซี่ยงอันถามซ้ำสองสามรอบ หมอทหารเฒ่าท่านนั้นมิใช่ได้ยินไม่ชัดแต่เรียบเรียงความคิดตอบกลับไม่ทัน มิหนำซ้ำท่าทางยังเหมือนกับเป็นโรคคนแก่ความจำเสื่อม เซี่ยงอันเห็นท่าทางเขามิได้เสแสร้งก็รู้ว่าหมอทหารเฒ่าผู้นี้คงเป็นแค่ผู้ดูแลในนามเท่านั้น

เช่นนั้นใครกันล่ะที่มีสิทธิ์หยิบใช้สมุนไพรในกองทัพ?

เขาวิ่งไปปรึกษาคนกันเองที่พอจะเชื่อถือได้ ทันทีที่ทุกคนได้ฟังสถานการณ์ สีหน้าก็เปลี่ยนไป

จะเป็นไปได้หรือไม่ที่สมุนไพรบางส่วนอยู่ระหว่างทางยังส่งมาไม่ถึง?”

บางทีตอนนั้นรีบจากมา จึงไม่ทันได้ขนออกจากฉู่โจว?”

เซี่ยงอันรู้สึกว่าข้อสันนิษฐานนี้มีความเป็นไปได้สูงจึงรายงานรัชทายาทเจาไปตามความจริง

ฝ่าบาท จดหมายตอบกลับฉบับนี้ควรเขียนเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”

รัชทายาทเจาจ้องมองเขาด้วยสีหน้าเฉยเมยขณะเอ่ยถาม

เจ้าคิดจะใช้คำตอบกำกวมนี้หลอกลวงอาจารย์อย่างนั้นหรือ?”

หามิได้ จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรล่ะพ่ะย่ะค่ะเซี่ยงอันยิ้มเจื่อน เพียงแต่เวลานี้ฉู่โจวตกอยู่ในกำมือเป่ยเยว่พวกเราจึงไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่ตอนนั้นพวกเขาหนีออกมาอย่างรีบร้อนจึงอาจเป็นไปได้สูงมากว่าไม่ทันได้ขนสมุนไพรออกมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ

ในกองทัพไม่มีคำว่า ‘อาจเป็นไปได้’ ในเมื่อไม่มั่นใจก็ต้องไปตรวจสอบ หมอทหารคนนั้นหูตาฝ้าฟาง หมอทหารคนอื่นก็เลอะเลือนด้วยงั้นหรือ?”

หากทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพวกเขาไม่รู้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”

เช่นนั้นก็ต้องหาคนที่รู้เรื่องให้เจอ

ผู้ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ชั้นผู้ใหญ่ก็หลู่กั๋วกง ชั้นผู้น้อยก็รองขุนพลของเขา อย่างไรเสียก็ต้องมีคนรู้เรื่องบ้าง

เซี่ยงอันชี้จมูกตัวเองแล้วถาม “ให้กระหม่อมไปถามหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

รัชทายาทเจาจ้องตาเขา “หรือจะให้ข้าเป็นคนไปถาม?”

เหอะๆ หามิได้ กระหม่อมไปขอให้พวกแม่ทัพหวังช่วยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

ก็แล้วแต่เจ้า แต่ข้าให้เวลาเจ้าแค่สามวัน จะต้องหาคำตอบที่ชัดเจนมาให้อาจารย์เจ้าให้ได้

เซี่ยงอันพยักหน้า “หากฝ่าบาทไม่มีสิ่งใดจะรับสั่งแล้วกระหม่อมขอตัวไปจัดการก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ

เมื่อเขาออกไปแล้ว รัชทายาทเจาจึงหยิบจดหมายที่ถังเยว่เขียนถึงตนขึ้นมาเปิดด้วยท่าทางที่แทบจะทนรอไม่ไหว เพิ่งเปิดอ่านสีหน้าก็เปลี่ยนจากดำทะมึนเป็นสดใสขึ้นมาทันที

เทียบกับจดหมายที่เขียนถึงเซี่ยงอัน ภาษาที่เขียนถึงเขามีความเป็นกันเองมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังนุ่มนวลอ่อนโยน คุยเรื่องงานน้อย พูดเรื่องส่วนตัวมาก ในจดหมายถังเยว่บอกว่าจักรพรรดิไม่พอพระทัยหากเขาพ่ายศึกกลับไปต้องถูกคิดบัญชีแน่ แต่ถ้ารบชนะกลับมาจักรพรรดิก็จะกริ่งเกรงต่อชื่อเสียงของเขาจนไม่กล้าเอาโทษ จากนั้นก็บอกให้เขาตั้งใจรบให้ดีจะต้องขับไล่ข้าศึกออกไปให้พ้นจากเขตชายแดนให้จงได้ ไล่กลับบ้านเก่าไปเลยยิ่งดี!

ในจดหมายถังเยว่ยังกล่าวอีกว่าระยะนี้เสี่ยวลั่วลั่วสุขุมขึ้นมาก ใฝ่ใจศึกษาเล่าเรียนและฝึกยุทธ์ด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้ใครคอยติดตาม อีกทั้งยังรู้จักเข้าสังคมเสมือนเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อย มิหนำซ้ำยังรู้ว่าจักรพรรดิไม่ค่อยพอใจบิดาทั้งสองของตน ระยะนี้จึงหมั่นเข้าวัง ใช้ความน่ารักสดใสเข้าหา ทำให้จักรพรรดิอารมณ์ดีขึ้นมาก แม้ไม่ถึงกับได้ผลตามที่คาดหวังแต่ก็มีข่าวแพร่ออกมาว่าจักรพรรดิมีความคิดที่จะอบรมฝึกฝนเสี่ยวลั่วลั่วด้วยตนเอง วันข้างหน้าตำแหน่งจักรพรรดิก็จะยกให้เสี่ยวลั่วลั่วโดยข้ามตัวเขาไป ถังเยว่ยังได้เสริมความรู้สึกนึกคิดของตัวเองมาด้วยว่าพวกเขามานะบากบั่นที่จะอบรมปลูกฝังลูกชายให้กลายเป็นผู้สืบทอดที่มีคุณภาพ คิดไม่ถึงว่าไม่รอให้พวกเขาอบรมปลูกฝังให้เป็นยอดอัจฉริยะ ก็มีคนหวังเก็บเกี่ยวผลสัมฤทธิ์ตัดหน้าแล้ว

มุมปากของหลี่เจาเหยียดออกเป็นรอยยิ้มจนกระทั่งเปล่งเสียงหัวเราะในที่สุด เขานึกภาพเสี่ยวลั่วลั่วขายความน่ารักสดใสแต่ดูเหมือนว่าโอรสในความทรงจำของเขาจะไม่ถนัดทำอะไรพวกนี้เอาเสียเลย อย่างน้อยเวลาอยู่ต่อหน้าเขา เจ้าตัวเล็กก็มักมีท่าทีเคร่งขรึมจริงจังเสมอ

คิดแล้วหลี่เจาก็ต้องทอดถอนใจ ดูเหมือนเขาจะเข้มงวดเกินไปจริงๆ ถังเยว่เคยพร่ำบ่นหลายครั้งว่าไม่ควรใช้ท่าทีที่ปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชามาใช้กับลูก แต่ควรมีน้ำใจกว้างขวางเปี่ยมด้วยความเมตตาและรักใคร่ เด็กที่ได้รับการปลูกฝังเช่นนี้จะไม่ถึงกับเป็นคนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวมเสียทีเดียว หากใช้คำพูดของถังเยว่ก็ต้องกล่าวว่าเด็กที่ขาดแคลนความรักย่อมส่งผลกระทบถึงนิสัยใจคอ

หลังอ่านจดหมายจบ หลี่เจาจึงเห็นว่าในซองจดหมายมีกระดาษอีกแผ่นหนึ่งซ่อนอยู่ สีกระดาษแตกต่างจากกระดาษเขียนจดหมายเล็กน้อยเหมือนกระดาษที่ปกติถังเยว่ใช้วาดภาพ

ในตอนแรกเขาเข้าใจว่าเป็นภาพสำคัญล้ำค่า แต่พอคลี่ออกดูก็พบว่าเป็นภาพเหมือนของคนสองคน ในภาพเหมือนแผ่นนั้นเป็นภาพบุรุษวัยฉกรรจ์ผู้หนึ่งกำลังอุ้มเด็กชายคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขน ทั้งสองฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว แววตาอ่อนโยน หน้าตามีส่วนคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง

หลี่เจามองปราดเดียวก็รู้ว่าสองคนนี้คือถังเยว่กับเสี่ยวลั่วลั่ว เพียงแต่เหตุใดเมื่อก่อนเขาไม่เคยรู้สึกว่าสองคนนี้หน้าตาคล้ายกัน แต่พอดูภาพนี้กลับรู้สึกว่าราวกับเป็นพ่อลูกกันแท้ๆ ทว่าพอมองดีๆ ถึงพบว่าอวัยวะต่างๆ บนใบหน้าของพวกเขาสองคนมีส่วนที่ไม่เหมือนตัวจริงอยู่บ้าง เช่นดวงตาเสี่ยวลั่วลั่วถูกวาดให้เล็กกว่าตัวจริงเล็กน้อย ดังนั้นพอดูแล้วจะรู้สึกว่าคล้ายกับตาถังเยว่ ปากถังเยว่ถูกวาดให้เล็กกว่าตัวจริงเล็กน้อย รูปปากจึงดูละม้ายคล้ายเสี่ยวลั่วลั่ว

ตามการคาดคะเนของเขา รูปร่างหน้าตาของเสี่ยวลั่วลั่วเมื่อเติบใหญ่จะต้องงดงามกว่าถังเยว่แน่ แม่ทัพลั่วเป็นบุรุษรูปงามองอาจ ฉะนั้นรูปโฉมบุตรชายของเขาจะต้องดูดีไม่แพ้กัน

หลี่เจายังไม่รู้ว่าวิธีวาดภาพประเภทนี้ของถังเยว่หลังจากเผยแพร่ออกไปก็กลายเป็นกระแสครึกโครมอยู่ระยะหนึ่ง และกลายเป็นข้อสรุปที่คาดไม่ถึงว่า ‘พระชายารัชทายาทแม้อยู่ในร่างบุรุษก็สามารถคลอดบุตรได้

ตัวเขาเคยเห็นถังเยว่วาดภาพมาแล้วในหลากหลายรูปแบบ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกแปลกใหม่ต่อภาพร่างชนิดนี้ แม้แต่เขาเองก็ยังเรียนรู้วิธีวาดภาพด้วยลายเส้นง่ายๆ แบบนี้มาจากถังเยว่เช่นกัน

หูจินเผิงเดินเข้ามาจากด้านนอกเพื่อมารายงานเรื่องสำคัญ พอเห็นภาพในมือรัชทายาทเจาก็ร้องทักด้วยความแปลกใจ

วิธีวาดภาพแบบนี้แปลกใหม่พิสดาร เป็นฝีมือจิตรกรเอกท่านใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

รัชทายาทเจาใช้นิ้วจิ้มหน้าผากถังเยว่ในภาพ แล้วตอบกลั้วหัวเราะ

นอกจากเขาแล้ว ใต้หล้านี้ยังมีผู้ใดสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่เช่นนี้ได้อีกหรือ

หูจินเผิงจึงพลอยหัวเราะไปด้วย นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ พระชายาช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาทำได้พวกเราล้วนทำไม่ได้ทั้งสิ้น บางทีคำเล่าลือในหมู่ชาวบ้านคงเป็นความจริง พระชายาเป็นเทพเซียนมาจุติยังพื้นพิภพเพื่อเปลี่ยนแปลงดินแดนมนุษย์โดยเฉพาะ

รัชทายาทเจารู้ประวัติความเป็นมาของถังเยว่จึงเพียงหัวเราะแต่ไม่เอ่ยสิ่งใด เขาเก็บภาพวาดนั้นอย่างระมัดระวังแล้ววางไว้ใต้หมอน จากนั้นจึงเอ่ยถามหูจินเผิง “มีกิจอันใดหรือ?”

หูจินเผิงพยักหน้าด้วยท่าทางจริงจัง

ในเมืองฉู่โจวมีการเคลื่อนไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ

หือ?”

หลังจากกองทัพย่อยของพวกเขาถูกพวกเราเผาทิ้ง เมืองฉู่โจวก็ปิดเงียบไร้การเคลื่อนไหวมานาน คิดว่าจะต้องซุ่มวางแผนเพื่อโต้กลับแน่

ถ้าไม่ตอบโต้สิผิดปกติ พวกเขาวางแผนว่าจะเคลื่อนพลออกจากเมืองมาล้อมปราบพวกเรา หรือเตรียมล่อให้พวกเราเป็นฝ่ายบุกล่ะ?”

ดูจากการเตรียมการของฝ่ายนั้นน่าจะเป็นอย่างหลัง เพียงแต่คนของเรายังมิอาจสืบได้ความที่แน่ชัดว่าพวกเขาคิดจะใช้วิธีใดหลอกล่อให้พวกเราเป็นฝ่ายบุก

มีความเป็นไปได้เพียงสองอย่าง หนึ่งบีบบังคับ สองล่อให้ไปติดกับ หากถูกบีบบังคับในมือพวกเขาก็ต้องมีหมากที่มีความสำคัญมากพอ แต่หากล่อให้ไปติดกับก็ง่ายหน่อย แค่พวกเขาแสร้งทำเป็นถอนทัพออกไป ให้พวกเรานึกว่าการรักษาเมืองหย่อนยาน พวกเราก็จะหลงกลติดกับโดยง่าย

หูจินเผิงพยักหน้า “เช่นนั้นพวกเราจะตามน้ำไปกับแผนการนี้ดีหรือไม่ สู้ตายกับพวกเขาสักตั้ง

ย่อมต้องสู้แน่ แต่จะสู้อย่างไรจึงจะสามารถทำให้จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายน้อยที่สุด นั่นเป็นเรื่องที่เราต้องใคร่ครวญ หากทำร้ายศัตรูหนึ่งพันเราสูญเสียแปดร้อย ศึกครั้งนี้สู้ไม่รบเสียยังดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้นทำศึกบุกเมืองเดิมทีก็รบยากอยู่แล้ว หากมีทหารต้องบาดเจ็บล้มตายมากเกินไปสำหรับพวกเราแล้วเป็นการบุกที่ไม่คุ้มค่าให้ไปเสี่ยง

เช่นนั้นกระหม่อมจะไปสั่งให้คนจับตาดูเมืองฉู่โจวต่อ จะต้องล่วงรู้แผนการของพวกเขาให้แน่ชัดก่อน

รัชทายาทเจาเอ่ยเสริมขึ้นประโยคหนึ่ง ได้เวลาที่ตัวหมากลับซึ่งแฝงตัวอยู่ในเป่ยเยว่จะเคลื่อนไหวแล้ว


 

243 พวกเจ้าเลิกฝันกลางวันกันได้แล้ว

รอมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ในที่สุดหน่วยสอดแนมก็ได้ข่าวใหม่ล่าสุดหูจินเผิงยินดียิ่งรีบรายงานให้รัชทายาทเจาทราบทันที

เจ้าบอกว่าทัพเป่ยเยว่ในเมืองฉู่โจวตระเตรียมพร้อมสรรพ จะจากไปแล้วงั้นหรือ?”

หูจินเผิงพยักหน้า ดูเหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามจะมิได้จงใจปิดเป็นความลับ ตั้งแต่จัดทัพจนถึงปลุกขวัญกำลังใจทหารใช้เวลาหนึ่งวัน แม้ไม่ถึงกับกระทำการอย่างเอิกเกริกแต่ก็ไม่ได้ทำลับๆ ล่อๆ ดูเหมือนไม่กลัวว่าพวกเราจะล่วงรู้

บางทีพวกเขาอาจต้องการให้พวกเรารู้ก็เป็นได้

ทรงคิดว่า...พวกเขาแค่เล่นละครตบตางั้นหรือ?”

หากเป็นคนทั่วไป เมื่อเห็นทัพเป่ยเยว่กำลังจะจากไป สิ่งแรกที่พวกเขาจะทำคืออะไร?”

ชิงเมืองฉู่โจวกลับมา!หูจินเผิงตอบทันทีโดยแทบไม่ต้องคิด

ถูกต้อง ในเมื่อเป่ยเยว่ชิงฉู่โจวได้แล้ว แม้จะเดินทางลงใต้เพื่อไปตีเมืองอื่นต่อก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทิ้งฉู่โจวไป ย่อมต้องเหลือทหารส่วนหนึ่งไว้รักษาเมือง เวลานี้จึงเป็นจังหวะและโอกาสดีที่สุดที่พวกเราจะบุกฉู่โจว

หูจินเผิงพูดต่อ รอให้พวกเรายกทัพถึงฉู่โจว เป่ยเยว่ก็จะวกกลับมาตีล้อมตลบหลัง ขนาบทั้งจากด้านนอกและด้านใน พวกเราจะไปข้างหน้าก็ไม่ได้ จะถอยหลังก็ไม่ได้ หากเราตกหลุมพรางก็จะมิอาจฟื้นคืนได้อีกเลย

รัชทายาทเจาเดินตรงไปยังแผนที่ จ้องมองลักษณะทางภูมิศาสตร์ละแวกเมืองฉู่โจวอย่างละเอียด จากนั้นจึงชี้ไปยังจุดแดงตำแหน่งหนึ่งแล้วเอ่ย “นี่เป็นตำแหน่งที่พวกเราอยู่ในเวลานี้ สองฟากเป็นเทือกเขาสูงเชื่อมต่อกัน สภาพอากาศหนาวเย็น ยอดเขามีหิมะปกคลุมขาวโพลน คิดจะข้ามไปเป็นเรื่องยาก ดังนั้นหุบเขาลูกนี้จึงมีความปลอดภัยสูง ตั้งรับง่ายแต่ถูกโจมตียาก

แต่เมื่อถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ หิมะบนยอดเขาละลาย แม่น้ำในหุบเขาน้ำขึ้นสูง พื้นที่ค่ายทหารกว่าครึ่งของพวกเราจะจมน้ำ ไม่เหมาะที่จะตั้งค่ายอีกต่อไป” หูจินเผิงเอ่ยขณะจ้องมองแผนที่

ถูกต้อง หากถึงเวลานั้นพวกเรายังซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา ศัตรูย่อมสามารถบุกตีได้จากทั้งสี่ด้าน พวกเราก็จะกลายเป็นตะพาบในไห

หูจินเผิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อีกเพียงหนึ่งเดือนฤดูใบไม้ผลิก็จะมาเยือนแล้ว นั่นหมายความว่าพวกเราต้องชิงเมืองฉู่โจวกลับคืนมาให้ได้ภายในหนึ่งเดือน มิเช่นนั้นก็ต้องหาที่ปลอดภัยแห่งใหม่เพื่อตั้งค่าย

จะต้องชิงเมืองฉู่โจวกลับมาให้ได้เท่านั้น! จากที่ข้าคาดการณ์ทัพเป่ยเยว่เพียงแค่แสร้งทำทีลงใต้ แท้จริงแล้วพวกเขาจะต้องเลือกซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลจากฉู่โจวแน่ จากนั้นก็ฉวยโอกาสตอนพวกเราบุกเข้าชิงเมืองย้อนกลับมาทางเดิม เจ้าคิดว่าพวกเขาจะเลือกใช้เส้นทางใด?”

หูจินเผิงมองแผนที่เพื่อสำรวจลักษณะทางภูมิศาสตร์ละแวกนั้นครู่หนึ่งจึงชี้ไปยังตำแหน่งที่แสดงเครื่องหมายว่าเป็นบ้านเรือนแล้วพูดขึ้น

ตรงนี้มีหมู่บ้านขนาดไม่เล็ก เดินหน้าไปอีกหน่อยเป็นป้อมปราการอีกแห่ง คาดว่าพวกเขาจะเลือกหมู่บ้านนี้เป็นที่หยุดพัก

รัชทายาทเจาจ้องมองแผนที่ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่จึงค่อยหยิบกระดาษกับพู่กันขึ้นมาวาดแผนที่คร่าวๆ

ไปเรียกทุกคนมาหารือร่วมกัน

พ่ะย่ะค่ะ

หูจินเผิงรีบเดินออกไป เพียงไม่นานก็มีคนทยอยกันเข้ามา ผู้ที่สามารถเข้าร่วมการหารือย่อมต้องเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ในบรรดาพวกเขามีกว่าครึ่งเป็นคนที่หลู่กั๋วกงเลื่อนตำแหน่งให้ หลังจากรัชทายาทเจามาถึงค่ายทหาร หลู่กั๋วกงก็ล้มป่วยอย่างเป็นปริศนา กล่าวกันว่าเป็นเพราะอากาศหนาวเกินไป เขาอายุมากแล้วยังต้องมาตรากตรำกรำแดดกรำลมเป็นเหตุให้ตอนนี้ปากพูดไม่ได้ หูไม่ได้ยิน ได้แต่นอนนิ่งอยู่บนเตียง

แม่ทัพใหญ่ล้มป่วย เดิมทีพวกเขาควรร่วมลงชื่อแจ้งราชสำนักให้ส่งแม่ทัพคนใหม่มาหรือเลื่อนตำแหน่งทหารในค่ายขึ้นมารับหน้าที่ผู้บัญชาการกองทัพ แต่เมื่อรัชทายาทเจามาด้วยตนเองเช่นนี้ก็สะสางปัญหายุ่งยากให้พวกเขาได้แล้ว ทุกคนต่างเชื่อฟังคำบัญชาขององค์รัชทายาทเป็นอย่างดี ไม่มีผู้ใดคัดค้านแม้แต่น้อย แน่นอนว่าสารรายงานยังคงต้องเขียนอยู่ ส่วนท้ายที่สุดควรให้ใครเป็นผู้ควบคุมดูแลกองทัพ จักรพรรดิจะเป็นผู้กำหนดเอง

นั่งสิรัชทายาทเจาหันกลับมาแล้วกวาดตามองทุกคนในที่นั้น

ขอบพระทัยฝ่าบาท

ทุกคนแยกย้ายกันไปนั่งลงตามระดับชั้น เห็นตำแหน่งซ้ายขวาของประธานยังว่างอยู่ ไม่รู้ว่ายังต้องรอผู้ใดอีก แต่เพียงครู่เดียวพวกเขาก็รู้คำตอบ ม่านประตูกระโจมเปิดออก ทหารสี่คนหามแคร่เข้ามาโดยมีหูจินเผิงเดินตามหลัง ผู้ที่อยู่บนแคร่นั้นหากไม่ใช่หลู่กั๋วกงแล้วจะเป็นใครได้อีก

องค์รัชทายาทจะให้หลู่กั๋วกงร่วมประชุมราชกิจด้วยงั้นหรือ?

ทุกคนต่างรู้สึกประทับใจ การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการให้เกียรติหลู่กั๋วกงอย่างที่สุดแล้ว

รัชทายาทเจาถามหมอทหารประจำตัวหลู่กั๋วกง พอทราบว่าอาการของเขายังคงไม่ดีขึ้นจึงเอ่ยอย่างตัดสินใจเด็ดขาด

ข้าคิดว่าควรส่งหลู่กั๋วกงกลับไปรักษาตัวที่เมืองเย่เฉิงดีกว่า ที่นี่ไม่มีหมอเก่งและยาดี แม้แต่อาหารการกินก็ไม่สะดวก ไม่เป็นผลดีต่ออาการป่วยของเขา

ฝ่าบาทรับสั่งได้ถูกต้องแล้ว หากปล่อยท่านกั๋วกงไว้แบบนี้นอกจากอาการป่วยจะไม่ดีขึ้นแล้ว ดีไม่ดีอาจยิ่งทรุดหนัก ควรรีบส่งกลับเย่เฉิง ไม่แน่คุณชายอาจมีวิธีรักษาเขาให้หายเป็นปกติได้หวังติ่งจวินพูดคล้อยตามด้วยท่าทางจริงจัง

ทุกคนในที่ประชุมต่างเห็นด้วย ประการแรกสภาพเช่นนี้ของหลู่กั๋วกงนอกจากจะไม่สามารถนำทัพออกรบได้แล้ว ยังจะกลายเป็นภาระของกองทัพอีกต่างหาก ประการที่สองมีรัชทายาทเจาอยู่ที่นี่แล้ว หากวันใดหลู่กั๋วกงเกิดหายเป็นปกติขึ้นมา เช่นนั้นพวกเขาควรฟังคำสั่งของหลู่กั๋วกงหรือองค์รัชทายาทกันล่ะ?

แน่นอนว่าคนสนิทของหลู่กั๋วกงย่อมไม่เห็นด้วย ความรุ่งเรืองของพวกเขาล้วนฝากไว้กับแม่ทัพผู้นี้ หากขาดหลู่กั๋วกงไป ความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของพวกเขาก็จะเปลี่ยนเป็นดับมืด แม้ในใจพวกเขาจะให้ความเคารพนับถือในความสามารถและยินดีฟังคำสั่งรัชทายาทเจา แต่ไม่ว่าอย่างไรย่อมไม่ปรารถนาให้หลู่กั๋วกงไปจากสมรภูมินี้

ฝ่าบาท อาการป่วยของท่านหลู่กั๋วกงยังไม่แน่ชัด หากต้องบุกป่าฝ่าดงเดินทางไกลเกรงว่าร่างกายจะทนไม่ไหว มิสู้ส่งหมอหลวงฝีมือดีจากในวังมารักษาที่นี่ไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ?” นายทัพหนุ่มผู้หนึ่งเสนอ

รัชทายาทเจาตวัดตามองหมอทหาร ฝ่ายตรงข้ามลูบหนวดตอบอย่างเยือกเย็น

มิใช่ว่ากระหม่อมจะยกยอตัวเอง แต่อาการจ้งเฟิง[1]นี้ต่อให้ส่งท่านหมอหลวงอูมารักษาก็ไม่หาย นอกจากพระชายาแล้วเกรงว่าใต้หล้านี้คงไม่มีหมอคนใดที่จะรักษาโรคนี้ได้

รัชทายาทเจาย่อมรู้จักฝีมือการรักษาโรคของถังเยว่ดีจึงส่ายหน้าแล้วเอ่ย ต่อให้เป็นพระชายาก็ไม่แน่ว่าจะสามารถรักษาได้ เขาเชี่ยวชาญเรื่องการรักษาบาดแผลภายนอก

แต่ต้องยอมรับว่าทั่วทั้งหนานจิ้นมีเพียงถังเยว่เท่านั้นที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหมอเทวดา หากแม้แต่เขายังรักษาไม่ได้ หมออื่นๆ ที่เหลือยิ่งไม่มีทางที่จะรักษาหาย

เช่นนั้น...จะเชิญพระชายามาช่วยรักษาได้หรือ...นายทัพหนุ่มผู้นั้นยังพูดไม่ทันจบก็ถูกทุกคนหันขวับมาถลึงตาจ้องมองเขาอย่างดุดัน ในแววตาเหล่านั้นสื่อถึงความโกรธเกรี้ยวแกมประณามออกมาได้อย่างชัดเจนโดยมิต้องปริปากเอื้อนเอ่ย

นายทัพผู้นั้นรีบหุบปาก ไม่กล้าแม้แต่จะมองสีหน้ารัชทายาท เขารู้ว่าข้อเรียกร้องของตนไม่ต่างจากความเพ้อฝันของคนไร้สติ

พระชายามีฐานะอะไร จะให้ดั้นด้นเดินทางไกลนับพันลี้เพื่อมารักษาคนที่ชายแดนโดยไม่สนใจอันตรายใดๆ ได้งั้นหรือ?

เหอะๆ พระอาญามิพ้นเกล้า กระหม่อม...เอ่อ...พลั้งปากไปพ่ะย่ะค่ะ

รัชทายาทเจาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พระชายามีจิตใจดีงาม หากมีผู้เอ่ยปากร้องขอเขาย่อมไม่ปฏิเสธ ทว่าศึกครั้งนี้อันตรายนัก ข้าไม่ยอมให้เขามาแน่!

ความหมายขององค์รัชทายาทคือพวกเจ้าอย่าได้ฝันเฟื่องไปหน่อยเลย!

กล่าวจบรัชทายาทก็กางแผนที่ลงบนโต๊ะ ชี้ไปยังภูมิศาสตร์รอบๆ เมืองฉู่โจว

ทัพเป่ยเยว่จะมีการเคลื่อนไหวในอีกไม่ช้า เวลานี้สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกเราต้องพยายามคิดหาทางรับมือ ทุกคนสามารถช่วยกันเสนอความคิดเห็นได้

ทุกคนรีบขบคิด เหล่าคนสนิทของหลู่กั๋วกงยิ่งครุ่นคิดจนหัวแทบแตก หวังอยากสร้างสรรค์กลยุทธ์ยอดเยี่ยมออกมาได้บ้าง หากสามารถแสดงผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาองค์รัชทายาท อาจมีสิทธิ์ได้เข้าไปอยู่ใต้ธงของพระองค์ หากเป็นเช่นนั้นแม้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลู่กั๋วกงก็ไม่เป็นไร

ฝ่าบาท พวกเราดักซุ่มโจมตีอยู่นอกเมืองฉู่โจวก็ได้ รอให้ทัพเป่ยเยว่เคลื่อนพลออกนอกเมือง จู่โจมแบบฉับพลัน พวกมันไม่ทันได้ระวังตัวจะตั้งรับก็ทำไม่ทันแล้ว

มีคนพยักหน้าคล้อยตาม การดักซุ่มโจมตีถือเป็นแผนการรับมือข้าศึกที่ค่อนข้างดี สามารถลดอัตราการบาดเจ็บล้มตายได้มากที่สุด

ความคิดนี้ไม่เลว แต่เจ้ารู้หรือว่าพวกเขาจะใช้เส้นทางไหน? จะไปดักซุ่มโจมตีที่ใด? พวกเรามิใช่แค่ต้องชนะ แต่ยังต้องชนะอย่างเด็ดขาดด้วย!

นายทัพผู้นั้นก้มหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ไม่สามารถคิดหาคำตอบได้

กองทัพข้าศึกออกจากเมืองย่อมต้องเหลือไพร่พลบางส่วนไว้เพื่อรักษาเมืองฉู่โจวแน่ เช่นนั้นพวกเราก็ควรฉวยโอกาสนี้ชิงเมืองฉู่โจว ยึดดินแดนที่สูญเสียไปคืนกลับมา จากนั้นก็ใช้เมืองฉู่โจวเป็นฐานทัพ เปิดศึกโจมตีขับไล่ศัตรู

มีคนไม่น้อยรู้สึกว่าวิธีนี้ใช้ได้ ถึงอย่างไรการชิงเมืองฉู่โจวกลับคืนมาก็เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่สุดของพวกเขาในเวลานี้ หากขาดฐานทัพสำคัญนี้ไปก็เท่ากับพวกเขาไม่มีสถานที่ที่จะใช้พักผ่อนได้อย่างมั่นคง

เป็นความคิดที่ดี แต่ถ้ากองทัพข้าศึกเพียงต้องการล่อให้พวกเราไปตีเมือง แล้วฉวยโอกาสตีขนาบหน้าหลัง ทำให้พวกเราถูกล้อมทุกด้าน เช่นนั้นควรทำอย่างไร?”

นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ดี ทุกคนต่างขมวดคิ้วไปตามๆ กัน ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี

ไม่ทราบว่าฝ่าบาทมีแผนรับมือเช่นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?” นายทัพนิสัยใจร้อนคนหนึ่งเอ่ยขอคำชี้แนะ

รัชทายาทเจาคลายคิ้วที่ขมวดมุ่นแล้วเอ่ย “หากคิดจะหาแผนรับมือ อันดับแรกต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าเป้าหมายของข้าศึกอยู่ที่ใด หากพวกเขาจะบุกตีเป้าหมายถัดไปจริง พวกเราก็จะใช้กำลังทั้งหมดที่มีไปตีเมือง ชิงเมืองฉู่โจวกลับมาให้ได้ก่อน แต่หากพวกเขาเพียงแค่เสแสร้งเล่นละคร ล่อให้พวกเราไปติดกับ เช่นนั้นก็มีทางเลือกสองทาง หนึ่งซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาเป็นเต่าหัวหดต่อไป สองแบ่งทหารเป็นสองทัพ ทัพหนึ่งบุกตีเมือง อีกทัพหนึ่งดักขวางหน้าข้าศึกที่ออกไปแล้วไม่ให้วกกลับมา ทัพตีเมืองต้องลงมือฉับไวชิงเมืองให้ได้ภายในเวลาสั้นที่สุด ทัพที่ไปขวางศัตรูต้องดุดัน ถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุด ทันทีที่ชิงเมืองฉู่โจวคืนมาได้ ทัพหลังก็สามารถถอนทัพได้ทันที แต่จะยากลำบากและอันตรายเพียงใดไม่ต้องบอกก็น่าจะเดาได้

ทุกคนเงียบกริบ บ่งบอกว่าวิธีแรกย่อมมิใช่ทางเลือกของพวกเขา ทัพใหญ่หนึ่งแสนถูกข้าศึกยึดเมืองไปได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเปลืองแรง ความแค้นในใจพวกเขาสั่งสมจนอัดแน่น เหล่าทหารอยากระบายความแค้นเต็มทนแล้ว หากหลบอยู่ในหุบเขาต่อไปนอกจากไม่สร้างขวัญกำลังใจให้เหล่าทหารแล้ว ยังเป็นการเปิดโอกาสให้กองทัพข้าศึกเคลื่อนพลลงใต้ได้อย่างสบาย

แต่หากจะแบ่งทหารออกเป็นสองทัพ ไม่ว่าทัพหนึ่งหรือทัพสองล้วนต้องแบกรับภารกิจสุดหินแสนโหดไม่ต่างกัน หากพลาดพลั้งไปจะทำให้ทั้งกองทัพมีจุดจบย่อยยับอับปางโดยไม่มีโอกาสพลิกฟื้นได้อีก สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะทำศึกครั้งนี้เช่นไรล้วนเห็นถึงความยากลำบากที่รออยู่เบื้องหน้าได้อย่างชัดเจน

 

 

เชิงอรรถ

  1. จ้งเฟิง ในทางแพทย์แผนจีนหมายถึงโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ป่วยจะมีอาการพูดติดขัด หน้ามืด ล้มลงหมดสติฉับพลัน ฯลฯ

 

244 โจมตีเมือง

ฝ่าบาท ตีเมืองเถอะพ่ะย่ะค่ะ!นายทัพผู้หนึ่งยืนขึ้นพูดด้วยความแค้นเคือง

มีคนเอ่ยคล้อยตามทันที ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฉู่โจวถูกยึด ศึกครั้งนี้พวกเรานับว่าแพ้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง หากไม่ชิงเมืองกลับมาขวัญทหารก็มิอาจกลับมาฮึกเหิมได้ หากไร้ซึ่งที่มั่นอันแข็งแกร่ง ศึกครั้งต่อไปจะยิ่งเอาชนะศัตรูได้ยาก!

ที่สำคัญกว่าคือตอนนี้มิรู้ว่าราษฎรเมืองฉู่โจวเป็นตายร้ายดีอย่างไร หากข้าศึกทำการสังหารหมู่ ผลร้ายที่จะตามมานั้นย่อมสุดจะคาดเดานะพ่ะย่ะค่ะ

รัชทายาทเจาตบโต๊ะดังปัง! ทุกคนรีบหุบปากฉับรอฟังคำบัญชา

เมืองฉู่โจวนั้นข้าต้องชิงกลับมาแน่! แต่การชิงเมืองมิใช่เรื่องที่แค่ใช้ปากพูดแล้วจะทำสำเร็จได้ ต้องใช้กำลังความสามารถต่างหาก พวกเจ้าลองพูดอะไรที่เกิดประโยชน์มากกว่านี้สิ!

ทุกคนนิ่งงัน หันมองหน้ากันไปมา แต่กลับไม่มีความคิดหรือข้อเสนอดีๆ อะไรสักอย่าง

กำลังทหารของฝ่ายศัตรูกับของพวกเขาแตกต่างกันมาก มิหนำซ้ำการชิงเมืองพวกเขายังต้องเป็นฝ่ายบุกเข้าตี ความเสียเปรียบปรากฏให้เห็นอยู่ชัดเจน

รัชทายาทเจาชี้ไปยังจุดหนึ่งในแผนที่แล้วสั่ง พรุ่งนี้ยามอิ๋น แม่ทัพหวังนำกำลังพลสามหมื่นนายไปที่จุดนี้ คิดแผนดักซุ่มโจมตีให้เรียบร้อย ทำได้หรือไม่?”

หวังติ่งจวินแม้ถูกเรียกชื่ออย่างกะทันหันแต่ก็กระเด้งตัวลุกขึ้นขานรับทันที กระหม่อมขอสาบานว่าแม้ต้องสละชีพก็จะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ!

สายตาทุกคนจับจ้องไปยังตำแหน่งในแผนที่ มีบางคนงุนงงไม่เข้าใจแต่ก็มิกล้าถาม ได้แต่คิดว่าเดี๋ยวออกไปแล้วค่อยสอบถามหาคำตอบกันเองทว่ารัชทายาทเจาเพียงแค่กวาดตามองไปก็เข้าใจจึงเอ่ยว่า ช่วงกลางดึกคืนนี้ ไพร่พลที่เหลือบุกจู่โจมฉู่โจว ที่นี่เป็นเมืองชายแดนสำคัญของหนานจิ้นต้องชิงกลับคืนมาให้ได้โดยเร็วที่สุด ให้แม่ทัพหูคัดเลือกกำลังพลหนึ่งหมื่นนายไปเป็นทัพหน้า ถ่วงเวลาข้าศึกที่จะยกทัพกลับมา

น้อมรับพระบัญชาหูจินเผิงระบายลมหายใจเบาๆ ในที่นี้มีเพียงเขากับหวังติ่งจวินเท่านั้นที่ถือว่าเป็นคนที่องค์รัชทายาทพอจะไว้เนื้อเชื่อใจได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้งานที่ยากลำบากที่สุดจึงต้องมอบหมายให้พวกเขาสองคนไปจัดการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ท่ามกลางสายตาริษยาของทุกคน หูจินเผิงเดินมาข้างกายรัชทายาทแล้วพูดอธิบายแทน

แม่ทัพหวังไปดักซุ่มโจมตีตรงเส้นทางที่กองทัพข้าศึกจะใช้เดินทางกลับ บริเวณนี้มีหน้าผาสูงชัน หากจะเดินทางผ่านต้องค่อยๆ เลาะไปตามหน้าผาสูงชันทีละคน ตรงนี้เป็นช่วงที่เดินทางลำบากที่สุด

ขอบังอาจถามแม่ทัพหู ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าศึกจะต้องผ่านเส้นทางนี้แน่?” มีคนทนไม่ไหวต้องเอ่ยถามสิ่งที่ตนข้องใจ

แน่นอนอยู่แล้วว่าคำตอบคือ...เดา

ไม่ได้นะไม่ได้! หากเดาพลาดขึ้นมา มิเท่ากับเป็นการเดิมพันด้วยชีวิตของเหล่าทหารหรอกหรือ?”

หูจินเผิงเพิกเฉยต่อเสียงค้านของทุกคนแล้วประกาศกร้าวเสียงก้องกังวาน

เดิมทีใช้ทหารก็ขึ้นอยู่กับความกล้าและมีใจรอบคอบ แม้จะเป็นการคาดเดาก็ใช่ว่าจะไม่มีที่มาที่ไป เพียงแต่ต้องรอผลการรายงานอีกสักหน่อย ประเดี๋ยวก็รู้ว่าถูกหรือผิด

ข้าน้อยยังมีจุดไม่เข้าใจอีกประการหนึ่ง ในเมื่อตรงนี้เป็นหน้าผาสูงชัน สามารถผ่านไปได้ทีละคน เช่นนั้นทหารของเราจะไปดักซุ่มโจมตีตรงไหนหรือ?”

ใครๆ ต่างก็รู้จักเส้นทางสายนั้น แต่มีน้อยคนนักที่คิดจะใช้ เพราะที่นั่นถูกขนานนามว่าหน้าผาภัยสวรรค์ เป็นสถานที่ซึ่งเทียบกับหุบเขาไม่ได้ เพราะมิใช่ว่ายึดครองที่นั่นแล้วจะตั้งรับง่ายโจมตียาก ดังนั้นจะว่าไปแล้วที่แห่งนั้นจึงมิใช่ชัยภูมิที่เหมาะแก่การใช้ประโยชน์

อันนี้ก็ต้องดูฝีมือแม่ทัพหวังแล้วละหูจินเผิงกล่าวแล้วหันไปสบตากับหวังติ่งจวินและมิได้พูดถึงประเด็นปัญหานี้อีก

แม้คนอื่นๆ อยากถามใจจะขาด แต่พอเห็นหวังติ่งจวินมีท่าทางไม่ใส่ใจเสมือนนี่มิใช่ปัญหาสำหรับเขาแล้วก็ไม่รู้จะเริ่มถามจากจุดไหนได้อีก ด้วยเหตุนี้สำหรับศึกตีเมืองในคืนนี้ นอกจากหวังติ่งจวินและหูจินเผิงแล้วทุกคนต่างวูบโหวง ไม่มั่นใจเอาเสียเลย

ฝ่าบาท ทำเช่นนี้จะเสี่ยงเกินไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

ทำศึก ไม่เสี่ยงได้ด้วยหรือ?” รัชทายาทเจาโบกมือเป็นสัญลักษณ์บอกให้ทุกคนแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนยกเว้นกองเสบียง สั่งให้โรงครัวทำเสบียงที่พกพาสะดวกแจกจ่ายให้กับไพร่พลคนละหนึ่งชุด เครื่องครัวทั้งหมดพวกเราจะไม่เอาไปด้วย

แล้ว...หมอทหารล่ะ?” มีคนกระซิบถามเบาๆ

เรื่องกินยังพอทำเนา พกอาหารแห้งไปด้วยยังพอประทังหิวได้สองวัน แต่ถ้าบาดเจ็บแล้วไม่ได้รับการรักษา แบบนั้นมีแต่ต้องตายสถานเดียว โดยเฉพาะหมอทหารที่ติดตามมากับองค์รัชทายาทนอกจากมีจำนวนที่มากกว่าในอดีตหลายเท่า ยังได้ยินว่าพวกเขาเป็นลูกศิษย์ของพระชายาอีกด้วย ฝีมือการรักษาจะต้องเก่งกาจมากเป็นแน่

ข้าจะให้หมอทหารจัดยาที่ต้องใช้ประจำแจกจ่ายให้ทุกคน พวกเจ้าล้วนเป็นทหารเก่าด้วยกันทั้งนั้น อย่าบอกนะว่าแม้แต่ทำแผลห้ามเลือดก็ยังทำไม่เป็น

ทุกคนหน้าแดงวาบ ต่างรีบพยักหน้ารับ ความจริงการรักษาในอดีตที่ย่ำแย่กว่านี้มากนั้นพวกเขาต่างก็เคยผ่านประสบการณ์กันมาแล้ว ในตอนนั้นแม้ถูกฟันเหวอะหวะก็ยังต้องเอาผ้ามาพันๆ ห่อๆ กันเอง ถูกแทงบาดเจ็บก็ได้แต่เทยาราดกันไปตามมีตามเกิด มิได้รักษาเป็นเรื่องเป็นราวแบบในตอนนี้ ด้วยการรักษาแบบลวกๆ โดยปราศจากความรู้นี้เองทำให้ที่ผ่านมามียอดผู้เสียชีวิตสูงมาก ทหารจำนวนไม่น้อยต้องจบชีวิตลงเพราะได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม

รัชทายาทเจาไม่ต้องการเพิ่มจำนวนการพลีชีพลักษณะนี้ แต่ครั้งนี้เขาจะลังเลไม่ได้ สถานการณ์การรบมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การโจมตีของพวกเขาครั้งนี้จำเป็นต้องโหดเหี้ยมและรวดเร็ว หากนำผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบติดตามไปด้วยมากจนเกินไปจะกลายเป็นตัวถ่วงซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ

หลังจากทุกคนออกไปแล้วต่างก็แยกย้ายไปเตรียมการตามหน้าที่ความรับผิดชอบของตน ได้แต่เก็บซ่อนความกังวลไว้ในใจลึกๆ ขนาดองค์รัชทายาทยังร่วมเสี่ยงอันตรายไปกับพวกเขา เช่นนี้แล้วยังจะพร่ำบ่นหรือเกี่ยงงอนได้อีกหรือ

ช่วงก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน ประตูเมืองฉู่โจวถูกเปิดอย่างฉับพลัน ทหารชั้นยอดเดินเรียงแถวออกไปจากเมือง ราษฎรในเมืองต่างหลบซ่อนอยู่ในบ้านตัวเอง พอได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมจากไปไกลก็ไม่รู้ว่าควรโล่งใจหรืออกสั่นขวัญผวากันแน่

เรื่องที่โชคดีสำหรับพวกเขาก็คือหลังข้าศึกบุกยึดเมืองนอกจากปล้นเสบียงอาหารในยุ้งฉาง ขนอาวุธในคลังแสงไปจนหมดและเข่นฆ่าขุนนางของทางการอย่างโหดเหี้ยมแล้วก็มิได้แตะต้องกระทำการชั่วร้ายใดๆ กับราษฎร บางทีในสายตาชาวเป่ยเยว่รอให้พวกเขายึดครองหนานจิ้นได้แล้ว ราษฎรเหล่านี้ก็ต้องกลายเป็นคนของพวกเขา จึงไม่มีความจำเป็นต้องเข่นฆ่าว่าที่ราษฎรในอนาคตของตนเอง

ภายในเมืองมีทหารเป่ยเยว่เหลืออยู่ห้าหมื่นนาย พวกเขากำลังดื่มกินกันอย่างสำเริงสำราญราวกับมิได้สนใจแม้แต่น้อยว่ากองกำลังทหารหนานจิ้นจะยกทัพเข้ามาโจมตีเมืองหรือไม่

ฮ่าๆๆ ศึกครั้งนี้พวกเราต้องเป็นฝ่ายได้รับชัยอีกแน่ ทัพเป่ยเยว่จะปราบหนานจิ้นให้ราบเป็นหน้ากลอง ให้ชื่อเสียงเลื่องลือไปนับพันปีเลยคอยดูสิ!

ฮ่าๆๆ ทัพเป่ยเยว่ของพวกเราแข็งแกร่งเกรียงไกรทั้งคนทั้งม้า ฝ่ายเราคนเดียวเอาชนะพวกมันได้สามคน ม้าของเราเอาชนะหนึ่งต่อสิบก็ไม่มีปัญหา อยากรู้นัก พวกมันจะเอาอะไรมาสู้พวกเราได้!

อาจไม่ถึงขนาดนั้นหรอก พวกเจ้าไม่ได้ข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นทางภาคตะวันตกเฉียงใต้บ้างหรือ?”

เจ้าหมายถึงแม่ทัพจอมห่วยที่นำไพร่พลห้าหมื่นนายไปช่วยการศึกทางภาคตะวันตกเฉียงใต้แล้วผลสุดท้ายถูกสังหารเรียบไม่เหลือแม้แต่คนเดียวนั่นน่ะหรือ?”

ทุกคนหันมาสบตากัน แฝงแววตกตะลึงอยู่ในที

ฮึ! ข้าว่าแม่ทัพจอมห่วยนั่นไร้ฝีมือเองมากกว่า ไม่นึกเลยว่าจะถูกทัพหนานจิ้นซึ่งมีไพร่พลแค่หยิบมือตีแตกพ่ายยับเยิน ช่างทำขายหน้าพวกเราชาวเป่ยเยว่ยิ่งนัก!

ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็มีกองทัพทหารม้าหมื่นนายโผล่มาทำลายขวัญทหารหรอกหรือ ลือกันว่ากองทัพทหารม้าหมื่นนายนั่นไม่ธรรมดาด้วยนี่นา

ไม่ธรรมดาอย่างไร?”

ได้ยินว่าพวกมันไปมาไร้ร่องรอยไม่ต่างอะไรกับภูตผีที่อยู่ดีๆ ก็โผล่พรวดออกมา ซ้ำยังสวมชุดเกราะสีดำทะมึนห่อหุ้มตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ใบหน้ายังสวมหน้ากากดุร้ายน่าพรั่นพรึง แม้แต่ม้าก็ยังสวมเกราะดำวาวราวกับห่อหุ้มด้วยเหล็กไปทั้งตัว ไม่ว่าทวนหรือง้าวก็ฟันแทงไม่เข้า!

อัศจรรย์ขนาดนั้นเชียว?”

ข้ามิได้เห็นเองกับตา แค่ได้ยินคำเล่าลือที่เขาพูดต่อๆ กันมาเท่านั้น

ตามความเห็นข้า นั่นน่าจะเป็นพวกขี้แพ้กุเรื่องสร้างข่าวปลอมขึ้นมาเอง บางทีกองทัพทหารม้าอาจเป็นเรื่องจริงแต่ก็มิได้น่ากลัวอย่างที่พวกเขากล่าวก็เป็นได้ พวกเจ้าไม่ลองคิดดูล่ะ ชาวหนานจิ้นตัวกระจ้อยร่อย เรี่ยวแรงก็แสนน้อยนิด กระทั่งม้ายังเป็นแค่ม้าอ่อนแอ จะมีแรงแบกรับเกราะหนักได้อย่างไร ต่อให้พวกมันสวมเกราะหนักจริง พวกมันจะเดินกันไหวหรือ ฮ่าๆๆ

ฮ่าๆๆ นั่นสินะ หากพวกมันยังกล้ามาก็ดีสิ ข้าอยากเห็นนักว่าพวกมันจะไม่ธรรมดาสักแค่ไหนกันเชียว หรือว่าเป็นแค่เสือกระดาษกันแน่!

เอาละ กินดื่มกันจนอิ่มหนำสำราญแล้วก็ตั้งสติเตรียมตัวได้แล้ว พวกหนานจิ้นขี้แพ้ไม่มีทางปล่อยโอกาสงามอย่างนี้ไปหรอก พวกมันต้องบุกมาตีเมืองแน่ พวกเราห้ามแพ้จนต้องเสียเมืองฉู่โจวคืนให้พวกมันเป็นอันขาด! ไม่เช่นนั้นจะมีหน้ากลับไปพบพ่อแม่พี่น้องที่เป่ยเยว่ได้อย่างไร!

มารดามันเถอะ! หากเช่นนี้แล้วยังจะแพ้อีกละก็ ข้าจะยอมถอดกางเกงกระโดดแม่น้ำให้ดูเลย!

เพล้ง! ใครคนหนึ่งทุบไหสุราแตก เช็ดปากแล้วตวาดลั่น

ขอให้พวกมันมาจริงเถอะ! อาวุธข้าจะได้ลิ้มรสโลหิตสักที! ฮ่าๆๆ

ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะอวดดีดังก้องเมืองฉู่โจว พวกราษฎรต่างส่ายหน้า ดูจากสถานการณ์แล้ว ทัพใหญ่หนานจิ้นคิดชิงเมืองคืนคงเป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่ายาก

จริงอยู่ที่แม้จะไม่มีอันตรายถึงชีวิต เมืองนี้จะตกเป็นของหนานจิ้นหรือเป่ยเยว่พวกเขาล้วนยังมีชีวิตอยู่ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงชื่นชอบในความมีเมตตาและคุณธรรมขององค์รัชทายาท ช่วงเวลาหลายปีมานี้บ้านเมืองเพิ่งจะเริ่มดีขึ้น หลายคนได้ลืมตาอ้าปาก ทำให้รู้สึกไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตอย่างในอดีตอีกแล้ว

ในกลางดึกที่แสนอึกทึก เงาดำรูปคนโฉบผ่านว่องไวไปตามท้องถนนที่ลับตาคนครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาลอบเข้าไปในบ้านผู้คนก่อนจะปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับบอกฐานะและจุดประสงค์การมา จากนั้นก็แอบปีนข้ามกำแพงเพื่อไปบ้านอื่นต่อ

ส่วนหุบเขาที่อยู่ห่างจากกำแพงเมืองไม่ไกลกลับเงียบสงบเป็นพิเศษ พวกทหารต้องใช้เวลานี้ฉวยโอกาสพักผ่อนเอาแรง จึงมีเพียงเสียงเผาไหม้ในกองไฟดังเปรี๊ยะๆ ให้ได้ยินท่ามกลางค่ำคืนอันเหน็บหนาว

ทันทีที่ถึงยามจื่อ เหล่าทหารต่างเตรียมตัวกันพร้อมแล้ว จิตใจฮึกเหิมภายใต้ความมืดมิดเย็นเยือกของยามดึก

ออกศึกคืนนี้ มิใช่เพียงชิงเมืองฉู่โจวกลับมา ยังต้องทวงศักดิ์ศรีของพวกเราชาวหนานจิ้นกลับคืนมาด้วย ดังนั้นเราต้องชนะ!

เราต้องชนะ! เราต้องชนะ!

เยี่ยมมาก! ออกเดินทางได้ เป้าหมายคือเมืองฉู่โจว!

ทัพใหญ่เคลื่อนพล เหลือเพียงเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลาธิการที่ไม่มีกำลังอาวุธอยู่เฝ้าหุบเขา พวกเขายืนอยู่ปากทางหน้าค่ายทหาร ทอดตามองขบวนกองทัพที่เคลื่อนไปไกลขณะส่งกำลังใจให้เหล่าทหารอย่างเงียบๆ

คุณชาย ท่านว่าพวกเขาจะชนะหรือไม่?” หมอฝึกหัดคนหนึ่งเอ่ยถาม

เซี่ยงอันเบ้ปาก นี่เป็นวาจาไร้สาระมิใช่หรือ! เจ้าตาบอดหรืออย่างไรจึงไม่เห็นว่าศึกครั้งนี้มีใครเป็นผู้บัญชาการ มีองค์รัชทายาทอยู่ทั้งคนไยต้องเป็นทุกข์ว่าจะไม่ชนะอีกเล่า!

เซี่ยงอันเชื่อถือในความสามารถของอาจารย์เขยอย่างหมดใจครั้งนี้ละเขาจะได้เปิดหูเปิดตาเห็นความร้ายกาจของกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิล

ฮึ! เจ้าสารเลวเป่ยเยว่กลุ่มนั้น ปล่อยให้พวกมันได้ใจไปก่อนเถอะ!


 

245 ปรากฏการณ์ความโกลาหล

ตกกลางคืน แสงเพลิงส่องสว่าง เมืองฉู่โจวถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างจากเปลวไฟไปกว่าครึ่ง

ราษฎรในเมืองต่างยืนแอบดูเหตุการณ์ตามช่องประตูหน้าต่าง ได้ยินเสียงผู้คนต่อสู้รบพุ่งกันดังระงมจนมิอาจข่มตาให้หลับลงได้

บนป้อมประตูเมืองสูงตระหง่านโดดเด่นซึ่งเดิมทีควรเป็นที่ตั้งของกองทัพหนานจิ้นทว่าเวลานี้กลับเต็มไปด้วยทหารเป่ยเยว่ รองแม่ทัพนายหนึ่งไปยืนยังจุดที่อยู่ห่างไกลพร้อมตะโกนก้อง

ท่านแม่ทัพ! ดูนั่นเร็ว นั่นอะไร?”

แม่ทัพซึ่งยืนข้างเขาละสายตาจากกำแพงเมืองจ้องมองไปยังจุดที่อยู่ไกลออกไป แววตาพลันนิ่งค้าง

ดูเหมือนว่าจะเป็น...รถกระแทก!

แต่...ไม่เคยเห็นรถกระแทกที่ไหนใหญ่โตเช่นนี้มาก่อน ท่านดูระดับความสูงของมันสิ ดูเหมือนว่าสูงกว่าของพวกเราสักหนึ่งเท่าตัว มิหนำซ้ำดูเหมือนว่าบนรถนั่นยังมีสิ่งของบางอย่าง!

แม้จะมีแสงไฟทว่าความสว่างก็เทียบไม่ได้กับดวงอาทิตย์ในตอนกลางวัน จึงไม่อาจมองเห็นโดยรอบได้อย่างชัดเจน คนบนกำแพงได้ยินแค่เสียงดังกุกกักเข้ามาใกล้มากขึ้น...ทีละนิด...ทีละนิด

ครู่ต่อมาถึงเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของรถกระแทกได้อย่างแจ่มชัดถนัดตา

จริงด้วย! รถกระแทกนี้แตกต่างจากที่พวกเขาเคยพบเห็นมาอย่างสิ้นเชิง มันสูงราวสิบจั้ง มองแล้วเหมือนเจดีย์ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนวงล้อทั้งแปด ด้านข้างของแต่ละล้อมีทหารรายล้อม พวกเขากำลังใช้เชือกลากรถกระแทกให้เคลื่อนไปข้างหน้า

นี่หมายความว่าอย่างไร! เหตุใดพวกมันถึงลากรถกระแทกมาในเวลานี้?”

ปกติแล้วจะใช้เครื่องมือตีเมืองประเภทนี้ก็ต่อเมื่อสงครามใกล้สิ้นสุด จึงใช้รถนี้เพื่อกระแทกเปิดประตูเมือง แต่ตอนนี้สงครามเพิ่งจะเริ่มมิใช่หรือ!

พวกมันดูถูกไม่เห็นหัวพวกเราหรืออย่างไร!” แม่ทัพเป่ยเยว่กล่าวด้วยอาการเข่นเขี้ยว

เพิ่งจะสิ้นเสียงของเขา ธนูเหล็กก็บินถลาออกมาจากรถกระแทกพุ่งมาปักลงตรงตำแหน่งกลางป้อมประตูเมืองด้วยความเร็วสูง

แย่แล้ว! มีศัตรูดักซุ่ม!” รองแม่ทัพผู้หนึ่งกระโจนใส่แม่ทัพใหญ่จนล้มลงกับพื้น ได้ยินเพียงเสียงสวบๆ ดังเฉียดหูเขาสองครั้ง บางสิ่งแหวกผ่านเส้นผมของเขาไปคล้ายกับสายลมพัดผ่านวูบหนึ่ง

อ๊าก!” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นหลายครั้ง กว่าที่คนอื่นจะเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ลูกธนูโลหะแปดดอกก็พุ่งทะลุร่างทหารไปหลายนาย ร่างพวกเขาปักติดอยู่กับกำแพงเมือง เพียงชั่วพริบตาก็ไร้ซึ่งลมหายใจ

นั่นคือลูกธนูงั้นหรือ! เหตุใดถึงมีลูกธนูใหญ่โตขนาดนี้?” มีคนกล่าวขึ้นด้วยความตกใจ

เป็นลูกธนูหนัก แต่ยังไม่เคยเห็นอาวุธที่สามารถยิงลูกธนูหนักได้แปดดอกพร้อมกันในคราวเดียวเช่นนี้มาก่อน หนานจิ้นมีอาวุธร้ายกาจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร!

พลธนู! เล็งเป้าไปที่รถกระแทก ยิงพลทหารรอบรถ อย่าให้รถกระแทกเข้ามาได้เป็นอันขาด!

สิ้นเสียงคำสั่ง ลูกธนูก็บินออกจากกำแพงเมืองดอกแล้วดอกเล่าราวกับห่าฝน วาดโค้งกลางอากาศอย่างงดงามก่อนจะปักลงกลางค่ายกลของกองทัพหนานจิ้น แม้ด้านหน้าจะมีโล่คอยกำบังแต่ลูกธนูคมกริบก็ยังเล็ดลอดเข้ามาแทงทะลุร่างคน กลายเป็นเหตุการณ์นองเลือดสาดกระจายทั่วทั้งผืนดิน

รัชทายาทเจาซึ่งยืนบัญชาการอยู่บนรถกระแทกตะโกนสั่งเสียงดัง

ถอยหลังสิบก้าว!

กระทั่งถอยพ้นรัศมีธนูของศัตรูแล้วเขาจึงสั่งให้รถโยนหินทั้งสองข้างเดินหน้าเข้าไปก่อนโดยมีหน้าไม้หนักคอยคุ้มกัน แม้อานุภาพของหน้าไม้หนักจะร้ายกาจแต่ก็มีขีดจำกัดในเรื่องจำนวน ดังนั้นรัชทายาทเจาจึงคิดใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด

สิ่งที่รถโยนหินปล่อยออกไปมิใช่ก้อนหินแต่เป็นระเบิดเพลิง ระเบิดเหล่านั้นล่องลอยไปบนกำแพงเมืองครู่เดียวควันสีขาวก็พวยพุ่งลอยขึ้นสูง ได้ยินเสียงระเบิดที่แม้ไม่ดังนักแต่สิ่งที่กระเด็นออกมาคือเศษโลหะเป็นแผ่นๆ ที่พุ่งเข้าแทงเนื้อคน แม้ไม่ถึงกับคร่าชีวิตแต่ก็ทำให้ร้องระงมด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส

ยิงโดนหรือไม่?” แม่ทัพเป่ยเยว่บนป้อมประตูเมืองถาม

ไม่โดนขอรับ ท่านแม่ทัพ พวกเขาแขวนหนังไว้ด้านนอกรถกระแทก ธนูจึงยิงไม่โดน!

ที่แท้ด้านนอกรถกระแทกของหนานจิ้นมีหนังหุ้มไว้เป็นโล่กำบัง สามารถป้องกันภัยจากธนูได้เป็นอย่างดี

ยิงต่อไป! อย่าปล่อยให้พวกมันเข้าใกล้ประตูเมืองได้เป็นอันขาด!

รถโยนหิน!

รถโยนหิน ใช่! รถโยนหิน ต้องทำลายรถโยนหินทิ้งด้วย!” แม่ทัพนายนั้นคำรามลั่น

รถโยนหินยังคงเคลื่อนมาข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็อยู่ห่างจากกำแพงเมืองในระยะราวสองจั้ง จุดนี้เป็นวิถีที่เหมาะเจาะสำหรับรถโยนหิน ทว่ากลับเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะพกก้อนหินซึ่งเป็นของหนักติดตัว ดังนั้นเหล่าไพร่พลของหนานจิ้นจึงใช้ประโยชน์จากข้าวของที่ทหารเป่ยเยว่ทิ้งลงมาจากกำแพงเมือง แม้แต่ลูกธนูก็ยังมีคนหยิบขึ้นมาใช้ใหม่

ระเบิดเพลิงใช้หมดในเวลาอันรวดเร็ว ของชนิดนี้ถังเยว่เตรียมไว้ให้ในปริมาณไม่มากนัก แต่รัชทายาทเจาก็รู้สึกว่านี่นับว่าเพียงพอต่อความต้องการแล้ว

รถบันไดสองข้างบุกได้!รัชทายาทเจาออกคำสั่ง

ทัพเป่ยเยว่บนป้อมประตูเมืองมองรถขนาดใหญ่ของข้าศึกที่เคลื่อนเข้ามาใกล้คันแล้วคันเล่า เห็นแล้วให้รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก

มารดามันเถอะ! ยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในการบุกตีเมืองของหนานจิ้นเปลี่ยนเป็นร้ายกาจถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”

ท่านแม่ทัพ ฝ่ายเราเสียหายหนักมาก จะทำเช่นไรดี?”

จะทำเช่นไรดีงั้นหรือ! ควรทำอะไรก็ทำไปสิ! หรือจะให้ข้าผู้เป็นแม่ทัพต้องสอนเจ้าว่าจะต้องหลบลูกธนูกับก้อนหินท่าไหน อย่างไร!

รถบันไดเข้ามาใกล้กำแพงเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ จวบจนตอนที่ชนถูกกำแพงเมือง เหล่าทหารที่ซ่อนตัวอยู่ด้านในจึงค่อยๆ ทยอยปีนออกมาแล้วไต่บันไดขึ้นไปบนกำแพงเมือง

กำแพงเมืองแห่งนี้ทั้งหนาและสูง หากเป็นในช่วงปกติพวกเขาคิดจะปีนขึ้นย่อมเป็นเรื่องที่ยากมากทว่าในตอนนี้ลูกธนูหนักดอกแล้วดอกเล่าถูกยิงมาที่กำแพงเมือง ปักเข้ากำแพงถึงสามส่วน ใช้เป็นขั้นบันไดให้ทหารหนานจิ้นปีนขึ้นไปได้พอดี บนป้อมประตูเมืองจึงเกิดเสียงต่อสู้กันดังขึ้น

รัชทายาทเจายืนอยู่กลางวงล้อมทหารหาญด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น ได้ยินเสียงตะโกนสั่งบัญชาการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน กองทัพหนานจิ้นเคลื่อนเข้าประชิดทีละน้อย พร้อมกับปลิดชีพข้าศึกไปในคราวเดียว พอเห็นทหารฝ่ายตนปีนขึ้นไปบนป้อมประตูเมืองได้อย่างราบรื่น สีหน้าแม่ทัพหนานจิ้นหลายคนต่างฉายแววยินดี อดไม่ได้ที่จะกล่าวสรรเสริญยกย่อง

องค์รัชทายาททรงปรีชายิ่ง คิดไม่ถึงว่าจะสามารถออกแบบอาวุธยุทโธปกรณ์ที่แสนเฉียบคมเช่นนี้ขึ้นมาได้ มีรถศึกหลากหลายประเภทอย่างนี้แล้ว จะตีเมืองไม่แตกก็ให้มันรู้ไปสิ!

รัชทายาทเจาปรายตามองผู้พูดแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ

อย่าเพิ่งดีใจเร็วไป นี่แค่เริ่มต้น กองทัพข้าศึกถูกอาวุธของพวกเราจู่โจมจนเสียขวัญจึงยังตั้งตัวไม่ทัน ไว้ให้พวกเขาตั้งสติได้เมื่อไรผลลัพธ์อาจไม่ดีถึงเพียงนี้ก็เป็นได้

อาวุธทั้งหมดส่วนใหญ่ที่หนานจิ้นใช้ล้วนผ่านการชี้แนะปรับปรุงแก้ไขจากถังเยว่และจางฉุน แม้พวกเขาจะไม่ได้ลงมือทำเองแต่ก็นำความคิดไปบอกเล่าให้นายช่างฟัง โดยพื้นฐานแล้วนายช่างสามารถทำออกมาได้ตามความต้องการของพวกเขาทั้งสิ้น

รถกระแทกบุก! ชนเปิดประตูเมือง!” รัชทายาทเจาโบกมือบัญชา

รถกระแทกที่อยู่ใต้เท้าเคลื่อนตัวเร่งความเร็วพุ่งไปข้างหน้า พอทหารนายหนึ่งล้มลงก็มีทหารอีกนายเข้ามาเสริมแทนที่ เร่งมือเข็นรถกระแทกชนใส่ประตูเมือง

ประตูเมืองฉู่โจวสร้างจากเหล็กกล้า ทั่วทั้งหนานจิ้นมีเพียงเมืองฉู่โจวกับเมืองเย่เฉิงเท่านั้นที่สามารถฟุ่มเฟือยไปกับการสร้างประตูเมืองที่ทำจากเหล็กกล้าในปริมาณมากเช่นนี้ได้ ทว่าข้อดีของประตูเหล็กได้ปรากฏขึ้นในตอนนี้ รถกระแทกชนใส่อย่างต่อเนื่องถึงสิบกว่าครั้ง ประตูบานนั้นก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อน มีเพียงทหารบนกำแพงเมืองที่ขวัญสะเทือนจนหวาดผวาไปตามๆ กัน

ท่านแม่ทัพ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ ต่อให้ประตูเมืองแข็งแกร่งสักเพียงใดก็ทนต่อแรงกระแทกขนาดนี้ไม่ไหวหรอกขอรับ

แม่ทัพผู้นั้นขบกรามแน่นแล้วออกคำสั่ง “ไปเอาน้ำมันเพลิงมา เผารถพวกมันให้หมดอย่าให้เหลือ!

น้ำมันเพลิงถังแล้วถังเล่าถูกลำเลียงส่งขึ้นมาบนป้อมประตูเมือง รัชทายาทเจาพอได้กลิ่นนั้นก็รีบสั่งให้ถอยหลังกลับทันที เขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปบนป้อมประตูเมือง ธนูเพลิงในมือพลธนูด้านบนกำแพงอยู่ในท่าเตรียมพร้อมเรียงรายเป็นทิวแถว สายคันธนูถูกรั้งจนตึง ทันใดนั้นลูกธนูเพลิงก็พุ่งทะยานมาปักลงบนรถกระแทก

ไม่ว่ารถกระแทกหรือรถบันไดล้วนทำจากไม้ หากถูกไฟเผาคงมอดไหม้ไม่มีเหลือ เปลวเพลิงโหมกระหน่ำลุกลามไปทั่วบริเวณ ทหารที่ได้รับบาดเจ็บหนีไม่ทันถูกไฟคลอกตายไม่น้อย เสียงร้องโหยหวนระงมดังแหวกอากาศก้องสะท้อนไปทั่วเมืองฉู่โจว

รัชทายาทเจาไม่มีเวลาที่จะแสดงความสงสารเห็นใจ กระทั่งเปลวเพลิงเบาลงจึงสั่งการเสียงดุดัน “บุก! เดินหน้าเต็มกำลัง!

บนป้อมประตูเมือง คำบัญชาการเสียงหนึ่งดังขึ้นในเวลาเดียวกัน

ป้องกันทุกทางเข้า! อย่าปล่อยให้พวกมันเข้ามาได้เป็นอันขาด!

ขณะที่ศึกหน้าประตูเมืองกำลังปะทะกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ตามท้องถนนในเมืองก็มีบุคคลที่สวมเสื้อผ้าเรียบง่ายดั่งชาวบ้านสามัญชนปรากฏตัวขึ้น พวกเขามารวมตัวกัน สื่อสารกันผ่านทางสายตา จากนั้นก็หายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว

เปิดคูเมือง! ใช้ไฟเผา!คำสั่งแฝงความร้อนรนเสียงหนึ่งดังขึ้นเหล่าทหารเป่ยเยว่เร่งดำเนินการตามคำสั่งนั้นอย่างรวดเร็ว

รัชทายาทเจาเคยผ่านการรบกับเป่ยเยว่มาแล้วหลายครั้งจึงเข้าใจวินัยทหารของเป่ยเยว่พอควร ไม่ว่าจะเป็นสมรรถภาพด้านร่างกายหรือคุณภาพของอาวุธยุทโธปกรณ์ ในอดีตหนานจิ้นล้วนเทียบเป่ยเยว่ไม่ติดสักนิด แต่หลังผ่านการปรับปรุงพัฒนามาหลายปี อาวุธหนานจิ้นก็ดีวันดีคืน อย่างเช่นอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้บุกตีเมืองในวันนี้ก็มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะทำให้ข้าศึกตกตะลึงจนคางแทบร่วงได้

เกิดอะไรขึ้นน้ำมันเพลิงล่ะ? เหตุใดถึงกลายเป็นน้ำไปหมดแล้ว!

อ๊ะ! แย่แล้ว จู่ๆ ก็มีสุนัขดุร้ายนับร้อยตัวปรากฏในบริเวณที่ตั้งของทัพหลัง เวลานี้กำลังไล่กัดผู้คน

รายงาน! ท่านแม่ทัพ ยุ้งฉางและคลังแสงของทัพหลังถูกไฟไหม้ ตอนนี้เหลือธนูแค่หนึ่งพันดอกขอรับ

มีข่าวร้ายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม่ทัพเป่ยเยว่โกรธเกรี้ยวจนตวาดลั่น

เกิดอะไรขึ้น! ในเมืองนี้ยังมีไส้ศึกของหนานจิ้นอยู่อีกงั้นหรือ!?”

เป็นราษฎรพวกนั้น แย่แล้วท่านแม่ทัพ! ปศุสัตว์ทั้งหมดในเมืองต่างถูกต้อนมารวมกันที่นี่ ทัพหลังโกลาหลไปหมดแล้วขอรับ!

ฆ่ามัน! ฆ่าพวกมันทิ้งให้หมด! ต้องคุ้มกันที่นี่ไว้ให้ได้ ทัพหนุนใกล้จะมาถึงแล้ว!

นอกกำแพง รัชทายาทเจาสั่งให้ทุกด้านกระหน่ำบุกโจมตีหนักขึ้น

ในกำแพงเมือง เหตุการณ์โกลาหลสับสนวุ่นวาย ทั้งไก่บิน สุนัขกระโดด แม้แต่สุกรก็ยังมาร่วมวง ราวกับมีงานสังสรรค์ของสรรพสัตว์ แม้สัตว์เลี้ยงพวกนี้จะมิได้มีอันตรายแต่ก็สร้างความชุลมุนให้แก่เหล่าทหารเป่ยเยว่จนกองทัพเสียรูปขบวน ยิ่งไปกว่านั้นสุนัขดุร้ายกับไก่ทั้งฝูงที่วิ่งพล่านใช่ว่านึกจะฆ่าก็ทำได้ง่ายดายเสียเมื่อไร

ท่ามกลางสถานการณ์สับสนอลหม่านเช่นนี้ จู่ๆ ก็มีกองกำลังทหารพร้อมอาวุธปรากฏขึ้นในเมืองอย่างกะทันหัน ง้าวและทวนอันคมกริบปลิดชีพศัตรูได้อย่างง่ายดาย


 

246 ซื่อจื่อ เจ้านี่ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก

นั่นใคร?” ทหารนายหนึ่งเอ่ยถาม ทว่ายังไม่ทันได้เห็นโฉมหน้าของศัตรูชัดก็ถูกฟันคอขาดกระเด็นไปเสียแล้ว

จ้าวซานหลางซึ่งสวมชุดเกราะสีนิลทั้งตัวเหยียบร่างไร้ศีรษะเพื่อมุ่งไปยังเป้าหมายรายต่อไป

อ๊าก!

เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ทหารเป่ยเยว่กลุ่มย่อยปล่อยสัญญาณต่อสู้พร้อมกับถอยร่นไปยังตำแหน่งป้อมประตูเมือง

ศัตรูบุก!

เหตุใดในเมืองถึงมีข้าศึกได้! พวกมันเข้ามาได้อย่างไร!” แม่ทัพเป่ยเยว่เงื้อดาบฟาดฟันปัดป้องลูกธนูที่พุ่งตรงมาทางเขาพร้อมกับรีบวิ่งลงจากป้อมประตูเมือง “ป้องกันประตูเมืองไว้ให้ดี! อย่าให้พวกมันล่วงล้ำเข้ามาได้แม้แต่ก้าวเดียว!

จ้าวซานหลางเหยียดมุมปากเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน หยิบคันธนูออกมาจากช่วงเอว บรรจุลูกธนูเตรียมเล็งใส่แม่ทัพนายนั้น

ฟุ่บ! เสียงลูกธนูดังแหวกอากาศพุ่งทะยานเข้าไปตรงกลางใบหน้าอีกฝ่าย แม่ทัพเป่ยเยว่นัยน์ตาเบิกโพลง ร่างกายพลันเสียสมดุล ล้มเอียงกลิ้งตกจากบันไดทำให้หลบลูกธนูดอกนั้นไปได้อย่างเฉียดฉิว

ว้า! ดันพลาดเสียได้” จ้าวซานหลางทำหน้าทะเล้นอยู่ภายใต้หน้ากาก ได้ยินเสียงลมพัดวูบมาจากด้านหลัง เขารีบเบี่ยงตัวหลบพร้อมกับยกคันธนูในมือขึ้นจึงสามารถรับคมง้าวของศัตรูได้ทันท่วงที

ตายซะเถอะ!” นายทัพระดับล่างรูปร่างสูงใหญ่ เจ้าเนื้อ ในมือถือง้าวอันใหญ่ดั่งกวนอู พละกำลังมหาศาลเค้นเสียงลอดไรฟัน “ข้าจะสับเจ้าให้เละเลยคอยดูสิ!” ฝ่ายตรงข้ามออกแรงกดน้ำหนักลงมา หวังจะฟันคันธนูในมือจ้าวซานหลาง เขาอยากเห็นนักว่าอาวุธชิ้นเล็กเพียงเท่านี้จะสามารถต้านทานง้าวใหญ่ของเขาได้อย่างไร

จ้าวซานหลางเลิกคิ้ว เหลือบมองอีกฝ่ายด้วยแววตาคมกริบ พลิกข้อมืออีกข้าง มีดสั้นเล่มเล็กปรากฏอยู่กลางฝ่ามือ เขาใช้สองนิ้วเกี่ยวมีดสั้นไว้แล้วสะบัดแขน มีดสั้นที่แหลมคมกรีดทะลุเสื้อเกราะคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย บนหน้าอกศัตรูปรากฏรอยโลหิตเป็นแนวยาว ฝ่ายตรงข้ามถูกความเจ็บปวดจู่โจมจนต้องผ่อนแรงลงแล้วผงะถอยหลังไปสามก้าว ถลึงตาจ้องหน้าเขาอย่างแค้นเคือง จ้าวซานหลางเหน็บคันธนูไว้ที่เอวแล้วกลับมากุมดาบอีกครั้ง พลางกระดิกนิ้วเรียก

เข้ามาสิ ข้าขอดูความอดทนของเจ้าหน่อย

ว้าก! อยากตายนักใช่ไหม!” ฝ่ายตรงข้ามแลบลิ้นเลียริมฝีปาก สองมือกุมง้าวไว้แน่นแล้วกระโจนจู่โจมใส่ สองฝ่ายปะทะกันดุเดือด จ้าวซานหลางมิได้ใช้พละกำลังทั้งหมดที่มี แต่ใช้วิธีฟาดฟันให้ร่างกายของศัตรูเกิดรอยบาดแผลเต็มตัวราวกับหยอกเล่นเสียมากกว่า

เลิกเล่นได้แล้ว นี่เป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนะ!” ผู้พิทักษ์เกราะนิลอีกคนเดินมาปลิดชีพนายทัพหนุ่มผู้นั้นจากด้านหลัง แล้วผลักจ้าวซานหลางหนึ่งที

ซื่อจื่อ เจ้านี่ช่างน่าเบื่อชะมัด!แม้ปากจะพูดเช่นนั้น แต่จ้าวซานหลางก็ล้มเลิกความคิดที่จะแกล้งเย้าอีกฝ่ายทิ้งไปแล้วเอ่ยถามผิงซุ่น เป็นอย่างไร รับมือไหวหรือไม่?”

แน่นอน วิธีซุ่มโจมตีเป็นจุดแข็งของพวกเราอยู่แล้ว

แม้จะบอกว่าถูกฝึกมาในฐานะทหารราบเกราะหนัก แต่การฝึกฝนที่พวกเขาผ่านมานั้นโหดร้ายทารุณถึงขั้นสูงสุด สามารถกล่าวได้ว่าทุกคนล้วนเป็นทหารมือดีแม้ต้องต่อสู้เพียงลำพังแบบตัวต่อตัวก็ไม่มีทางพ่ายให้กับข้าศึก

ควรส่งสัญญาณให้รัชทายาทได้แล้วกระมัง?”

พลุไฟถูกจุดให้พุ่งทะยานขึ้นกลางฟ้า ก่อนจะระเบิดเป็นแสงระยิบระยับตระการตา ผู้ที่กำลังต่อสู้กันทั้งในและนอกเมืองต่างเห็นแสงของพลุไฟได้อย่างชัดเจนทั้งสองฝ่าย

ไม่ได้การแล้ว!” แม่ทัพเป่ยเยว่พยุงร่างตัวเองที่แขนหักลุกขึ้นมาคำรามสั่ง “ต้านไว้เร็วเข้า! แบ่งกำลังพลหนึ่งหมื่นนายไปต้านข้าศึกด้านหลัง อย่าปล่อยให้พวกมันเปิดประตูเมืองได้เด็ดขาด!

รัชทายาทเจาชูมือขวาขึ้น “ทัพหนุนของพวกเรามาถึงแล้ว! โจมตีให้หนักขึ้นไปอีก ต้องพังประตูเมืองให้ได้ก่อนฟ้าสาง!

ทัพหนุนงั้นหรือ?”

หลายคนไม่เข้าใจ ไพร่พลทั้งหมดของพวกเขาที่มี นอกจากคนที่ไปกับแม่ทัพหวังและแม่ทัพหูล้วนอยู่ที่นี่หมดแล้ว จะมีทัพหนุนมาจากที่ใดได้อีก?

ไม่เห็นเคยได้ยินว่าราชสำนักส่งทัพหนุนมาช่วย แต่ไม่ว่าอย่างไรคำว่าทัพหนุนก็นำความยินดีมาให้ทุกคน

ฮ่าๆๆ เจ้าพวกสารเลวเป่ยเยว่ รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้!

หนานจิ้นต้องชนะ!

พวกเราบุก!

เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวขวัญทหารหนานจิ้นก็พลันฮึกเหิมขึ้น ทหารไต่ขึ้นรถบันไดอย่างต่อเนื่องเพื่อปีนขึ้นไปบนป้อมประตูเมืองและสังหารข้าศึกให้สิ้นซาก

ท่านแม่ทัพ! ต้านไว้ไม่ไหวแล้ว ควรทำเช่นไรดี!

บัดซบ! อะไรคือต้านไม่ไหวแล้ว ทหารชั้นยอดห้าหมื่นนายอยู่ที่นี่ อีกทั้งยังมีกำแพงเมืองสูงใหญ่มั่นคงเช่นนี้ ข้าศึกมีแค่ไม่เท่าไร จะเอาอะไรมาทำลายกำแพงเมืองให้แตกได้!

ท่านดูสิ! ทหารข้าศึกที่แฝงตัวเข้ามาในเมืองดูเหมือนจะมีเกินหมื่น แต่ละคนล้วนพกอาวุธที่ยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบ วิทยายุทธ์ก็ล้ำเลิศ พวกเรา...พวกเรามิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาหรอกขอรับ!

เป็นพวกมัน…!”

แม่ทัพเป่ยเยว่เพิ่งนึกขึ้นได้ เสื้อเกราะสีดำสนิททั้งตัวและหน้ากากน่าสะพรึงกลัวนั่น ที่แท้พวกมันก็คือหน่วยรบพิเศษที่สามารถจัดการกับทหารเป่ยเยว่ของพวกเขาที่ศึกเมืองฉินหยางจนแตกพ่ายย่อยยับอย่างนั้นหรือ!

ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างคิดว่าข่าวลือนี้เป็นเพียงคำคุยโวโอ้อวด นึกว่าแม่ทัพขี้แพ้ผู้นั้นแต่งเรื่องเสมือนจริงขึ้นมาเป็นข้ออ้างกลบเกลื่อนความพ่ายแพ้ของตน แต่เวลานี้เขาเห็นแล้วว่าหนานจิ้นมีกองทัพขวัญกล้าน่าตื่นตะลึงถึงเพียงนี้อยู่จริง

ทหารกลุ่มนี้สวมชุดเกราะหนักทั้งตัว อาวุธธรรมดามิอาจทําอันตรายได้ ทว่าอาวุธในมือพวกเขากลับแหลมคมอย่างไร้ที่เปรียบ ตัดเหล็กได้ง่ายดายราวกับเป็นดินเหนียว ทั้งที่ต้องแบกชุดเกราะหนักอึ้งแต่ยังสามารถเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วตามใจนึก มิหนำซ้ำยังลงมือได้อย่างแม่นยำปราดเปรียว ไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขาสามารถทำได้อย่างไร เช่นนี้แล้วพวกเขาย่อมมีหนทางคว้าชัยชนะมาได้แน่!

ไม่ต้องคิดมากแล้ว หากประตูเมืองถูกตีแตกพวกเราจะตกอยู่ในสถานการณ์ถูกตีขนาบทั้งหน้าและหลัง ตอนนี้มีแต่ต้องปกป้องประตูเมืองไว้ให้ได้ รอจนกว่าทัพหนุนจะมาถึง!

ทันทีที่คิดได้เช่นนี้ ในใจทุกคนก็พลันสงบขึ้นมาก พวกเขายังมีทหารทัพหนุนอีกหลายหมื่นนาย ขอเพียงทัพหนุนสามารถมาสมทบได้ทัน ลำพังจำนวนคนพวกเขาก็เป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่แล้ว ไม่ว่าฝ่ายหนานจิ้นจะมีทหารพิเศษหรือกองทัพเกราะหนักอะไร ล้วนต้องปราชัยกลับไปทั้งสิ้น

ตั้งสติเข้าไว้ ใจเย็นๆ อย่าสร้างความแตกตื่นให้พวกเรากันเอง หากถอยแม้เพียงก้าวเดียวก็ต้องตาย หรือว่าพวกเจ้าอยากตายอยู่ที่เมืองฉู่โจวแห่งนี้ ถูกข้าศึกบดขยี้เป็นผุยผงไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูกอย่างนั้นหรือ!

ขวัญทหารเป่ยเยว่พลันถูกปลุกให้ฮึกเหิม ไม่มีใครไม่กลัวตาย เมื่อพวกเขาเกิดความขลาดกลัวก็จะถอยร่น ทว่าสิ่งที่รอคอยอยู่ด้านหลังก็มีเพียงความตาย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขอสู้ตายสักตั้งจนกว่าทัพหนุนจะมาถึง

จ้าวซานหลางแอบด่าในใจ ‘มารดามันเถอะ เหตุใดจู่ๆ จึงเข้มแข็งฮึกเหิมเยี่ยงนี้

สามารถต่อกรกับหนานจิ้นมานานหลายปี ทหารเป่ยเยว่ย่อมมิใช่พวกใจเสาะขี้ขลาดตาขาวอยู่แล้ว ตรงกันข้าม พละกำลังในการสู้ศึกของฝ่ายนั้นที่ผ่านมาเหนือชั้นกว่าหนานจิ้นหลายเท่า

จำนวนคนสองฝ่ายสูสีกัน ถ้าจะว่ากันตามจริงแล้วหากสู้ตายแบบทุ่มเทสุดกำลังความสามารถ ก็ยังพูดยากว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ ตามการคาดคะเนของรัชทายาทเจา ฝ่ายตนมีแนวโน้มว่าจะได้รับชัยชนะสูงมาก ถึงกระนั้นก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงจนน่ากลัวไม่แพ้กัน แม้สถานการณ์เช่นนี้จะห่างไกลจากความตั้งใจเดิมของเขา แต่เมื่อเดินมาถึงจุดนี้พวกเขาก็ไม่มีทางถอยแล้ว หากถอย จุดจบก็ต้องพลีชีพเช่นกัน เวลานี้หวังเพียงหวังติ่งจวินกับหูจินเผิงจะสามารถยืนหยัดต้านทัพหนุนของอีกฝ่ายไว้ได้สักระยะ

ในระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน มีไพร่พลบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก จู่ๆ ในเมืองก็เกิดจลาจล ราษฎรทั้งเมืองต่างกรูกันออกมาเต็มถนน มีทั้งแก่หนุ่มบุรุษสตรี ในมือพวกเขาไร้ซึ่งมีดดาบคมกริบ มีเพียงจอบขวาน ของมีคมและอุปกรณ์ที่ใช้ในการดำรงชีพเท่านั้น

ขับไล่พวกสุนัขเป่ยเยว่ฝูงนี้ออกไปให้หมด!

ผู้เฒ่าสูงวัยท่านหนึ่งเป็นผู้นำ มือข้างหนึ่งของเขาค้ำไม้เท้า มืออีกข้างแบกพลั่วเหล็กเดินนำหน้าพาคนเข้าใกล้ประตูเมืองโดยไม่สะทกสะท้านต่ออันตรายใดๆ ทั้งสิ้นและไม่คิดจะหันหลังกลับ

ขับไล่พวกสุนัขเป่ยเยว่ฝูงนี้ออกไปให้หมด!

เหล่ามวลชนต่างโห่ร้องรับด้วยความแค้นเคือง พวกเขามารวมตัวกันเป็นกลุ่มเข้าล้อมโจมตีข้าศึก แน่นอนว่ากำลังสู้รบของพวกเขาย่อมมิอาจเทียบกับทหารประจำการ แต่เพราะมีจำนวนคนมากกว่าจึงสามารถช่วยแบ่งเบาภาระการโจมตีของกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลได้ไม่น้อย

จ้าวซานหลางใช้ศอกถองผิงซุ่นทีหนึ่งแล้วถาม “เฮ้ย! ชาวบ้านพวกนี้มาได้อย่างไร?”

ข้าก็ไม่รู้” ผิงซุ่นใช้ปลายเท้าเกี่ยวทวนยาวเล่มหนึ่งขึ้นมา เตะใส่ข้าศึกที่อยู่ห่างไปไม่ไกล สามารถช่วยชีวิตราษฎรคนหนึ่งไว้ได้

ตอบสนองไวชะมัด!” จ้าวซานหลางพึมพำประโยคหนึ่งและเข้าสู่การต่อสู้อีกครั้ง

แม้แต่ชาวบ้านสามัญชนยังสู้สุดใจถึงเพียงนี้ แล้วพวกเขาจะมีเหตุผลอะไรให้ยอมแพ้กันเล่า?

ไป! ข้าจะคุ้มกันให้เจ้าเอง เจ้าพาคนส่วนหนึ่งไปเปิดประตูเมือง

จ้าวซานหลางบอกแล้วตามประกบด้านหลัง ผิงซุ่นวิ่งนำหน้าพาไพร่พลมุ่งสู่ประตูเมือง แต่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็พบว่าเสื้อเกราะบนตัวทำให้เคลื่อนไหวได้ช้ากว่าที่ควร เขาจึงถอดเสื้อเกราะทิ้งไว้ข้างทาง มือหนึ่งกุมมีดสั้นแล้ววิ่งพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

คนในกลุ่มย่อยที่ตามหลังเขามาต่างเลียนแบบทำตาม ปลดเสื้อเกราะออกและพุ่งทะยานไปที่ประตูเมืองด้วยความเร็วสูงสุด

เพราะเป็นเมืองชายแดนสำคัญ กำแพงเมืองฉู่โจวจึงทั้งสูงใหญ่และแข็งแกร่งมาก ประตูเมืองย่อมไม่ถูกตีแตกได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน เสียงโห่ร้องสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจากด้านนอกดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเนิ่นนาน กระนั้นก็ทิ้งไว้เพียงร่องรอยเป็นหลุมเป็นบ่อขรุขระบนประตูเมืองเท่านั้น

ผิงซุ่นล้วงตะขอเหล็กออกมาจากย่ามข้างเอว ออกแรงขว้างขึ้นไปบนป้อมประตูเมือง หลังจากพันเกี่ยวเข้ากับกำแพงเมืองดีแล้วก็ยันปลายเท้าเป็นแรงส่ง เขาลอยตัวขึ้นกลางอากาศ กระโดดเพียงไม่กี่ครั้งก็ขึ้นมาอยู่ด้านหลังประตูเมืองแล้ว ทหารยามตรงจุดนี้แน่นหนาที่สุด ผิงซุ่นต้องต่อสู้มาตลอดทาง เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล ทว่าในที่สุดก็สามารถแตะถูกประตูเมืองเย็นเฉียบดุจน้ำแข็งได้เสียที

เขากวาดตามองไปยังกำแพงด้านหลัง นับจากบนลงล่างยี่สิบช่อง จากซ้ายจดขวาสี่สิบช่อง มือขวากำมีดสั้นไว้แน่นก่อนจะแทงไปที่อิฐก้อนนั้น พลันเกิดเสียงดังแกร๊ก โซ่ตรวนบนประตูเมืองเริ่มตึงขึ้น สลักโลหะด้านในประตูเมืองค่อยๆ ยกสูงขึ้นทีละนิด...ทีละนิด

เร็วเข้า...เร็วๆ เข้าสิ...’ ผิงซุ่นภาวนาในใจ จ้องมองสลักโลหะที่หลุดจากบานประตูเมืองได้ในที่สุด และในเวลาเดียวกันนั้นเองรถกระแทกนอกเมืองก็โจมตีอย่างหนัก ประตูเมืองถูกกระแทกจนเกิดรอยแยก มีเสียงโห่ร้องดังมาจากด้านนอก

ประตูเปิดแล้ว! ฆ่ามัน!

ทันทีที่ประตูเมืองเปิดออก สองฝ่ายเปิดฉากปะทะกันอีกครั้ง ทหารทัพใหญ่เป่ยเยว่บ้างก็ยอมจำนน บ้างก็วิ่งหนีตายกันอุตลุด จวบจนกระทั่งรัชทายาทเจาเข้าเมืองฉู่โจวได้ ตอนที่รู้ว่าไร้ข้าศึกที่จะต่อสู้ขัดขืนแล้วก็สั่งให้ปิดประตูเมืองอีกครั้ง เตรียมต้อนรับข้าศึกที่จะมาบุกตีเมืองชุดต่อไป เพียงแต่ครั้งนี้ ใครจะเป็นกระต่ายใครจะเป็นนายพรานก็ต้องมาตัดสินกันอีกที!


 

247 อิจฉาริษยาตื่นตะลึง

ยามอรุณรุ่ง พระอาทิตย์ลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า แสงตะวันช่วยขับไล่ความหนาวเย็นของยามค่ำคืนในเหมันตฤดูให้จางหายไปทีละน้อย ไม่ว่าจะเป็นราษฎรในเมืองหรือทหารในกองทัพ เวลานี้พวกเขาต่างอุ่นใจเป็นที่สุด ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันเก็บกวาดพื้นที่ซึ่งเมื่อคืนเป็นสนามรบ บูรณะซ่อมแซมกำแพงและประตูเมือง แม้แต่เวลาจะพักกินข้าวดื่มน้ำแกงก็ยังไม่มี

รัชทายาทเจายืนอยู่ตรงทางเข้าประตูเมือง มองกลไกเปิดปิดประตูที่ถูกทำพังเสียหาย กลไกนี้ตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อกำแพงเมืองแห่งนี้โดยเฉพาะไว้รับมือกับสถานการณ์พิเศษ เพียงแต่สามารถใช้ได้ครั้งเดียว ครั้งต่อไปถ้าคิดอยากเปิดประตูเมืองฉู่โจวแห่งนี้ก็มีแต่ต้องใช้แรงคนเปิดเท่านั้น

โชคดีที่องค์รัชทายาททรงแจ้งเรื่องกลไกนี้กับผู้ใต้บังคับบัญชามิเช่นนั้นการเปิดประตูเมืองคงไม่ง่ายดายขนาดนี้

ในยามคับขันจะมัวมาเคร่งครัดกฎเกณฑ์ไม่ได้ เดิมทีความลับนี้มีคนรู้ไม่มาก ข้าเองก็บังเอิญรู้เรื่องนี้มาจากปากนายช่างตอนอยู่ชายแดนเช่นกัน

รัชทายาทเจาหันมองผิงซุ่นซึ่งกำลังคุกเข่าถวายคำนับ ตอนนี้เขาถอดหมวกเกราะออกแล้วเผยให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว ใครจะคาดคิดว่าคนผู้นี้เมื่อหกปีก่อนจะเคยเป็นเจ้าอ้วนหมูตอนที่ใครเห็นต่างก็เมินหน้าหนีหน่ายแหนงเพราะทำอะไรไม่ได้ความสักอย่างหากไม่บังเอิญได้พบกับถังเยว่ บางทีตอนนี้ชีวิตของเขาอาจยังคงลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับอิสตรี ไม่มีอนาคตและตำแหน่งฐานะอย่างทุกวันนี้ก็เป็นได้ แม้มิอาจบอกได้ว่าชะตากรรมอย่างไหนดีกว่ากัน ทว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้เขาย่อมได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนอย่างแน่นอน

ไม่ต้องมากพิธี จะว่าไปพวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน

ผิงซุ่นหัวเราะแหะๆ พยักหน้า ในใจแอบคิดหนักถึงปัญหาคำเรียกขาน เขาเป็นน้องเขยพระชายา ตามหลักแล้วควรเรียกรัชทายาทว่าพี่สะใภ้ แต่รัชทายาทจะยอมรับคำเรียกนี้ได้หรือ? หากจะเรียกว่าพี่เขยก็คงไม่เหมาะเช่นกันกระมัง

ไม่รู้ว่าจ้าวซานหลางโผล่มาจากซอกหลืบใด ในมือจับบางสิ่งที่มีลักษณะคล้ายร่างคนพลางตะโกนเสียงดังมาแต่ไกล

ฮ่าๆ รีบมาดูนี่เร็วเข้าว่าข้าจับตัวใครได้!

รัชทายาทกับผิงซุ่นได้ยินเสียงก็หันไป รอให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ผู้ที่อยู่แถวนั้นต่างหันมอง มีคนที่จำได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใครตะโกนขึ้น

อ๊ะ นั่นมันเจ้าไส้ศึกสมควรตายนี่!

ท่านรองเจ้าเมืองงั้นหรือ?”

รองเจ้าเมืองอะไรกัน! นั่นมันไส้ศึกที่พวกเป่ยเยว่ส่งมาสอดแนมในฉู่โจวของพวกเราต่างหาก ครั้งก่อนหากไม่เป็นเพราะมันใช้แผนชั่วปิดข่าวและยังเปิดประตูเมืองให้พวกเป่ยเยว่ เมืองฉู่โจวก็คงไม่ต้องตกเป็นของข้าศึกหรอก

แต่ใต้เท้าท่านนี้เมื่อสิบปีก่อนได้ช่วยชีวิตคนในครอบครัวข้าไว้ทั้งเด็กและคนแก่…”

สะพานนอกเมืองเขาก็เป็นผู้ออกเงินสร้าง คนในหมู่บ้านเราจึงสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวกขึ้น

ศาลเทพเจ้าเยว่เหล่า[1]ในเมืองเขาก็เป็นคนสร้าง ได้ยินว่าศักดิ์สิทธิ์มาก ยายขี้เหร่ตัวดำปี๋ในหมู่บ้านข้าก็ไปขอคู่ครองได้จากที่นั่น

คุณงามความดีเรื่องแล้วเรื่องเล่าที่ผ่านมาทุกคนล้วนจดจำได้อย่างชัดเจน พอพูดมาถึงตอนท้ายทุกคนต่างเงียบเสียงลง อันที่จริงจะโทษพวกเขาที่มองคนผิดไปเสียทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะใต้เท้าท่านนี้ก็ทำดีมาตลอดจริงๆ หากไม่ใช่เป็นเพราะมีคนจำนวนมากเห็นเองกับตาว่าเขาอยู่กับคนของกองทัพเป่ยเยว่ ตีให้ตายพวกเขาก็ไม่เชื่อว่าใต้เท้าท่านนี้จะเป็นไส้ศึก!

จ้าวซานหลางโยนอีกฝ่ายลงกับพื้นแล้วเช็ดมือ เมื่อครู่เขาทนไม่ไหวจนลงมือซ้อมคนผู้นี้ไปหนึ่งยก ถ้าไม่ใช่เพราะคนผู้นี้ ไพร่พลสามหมื่นนายทั้งคนและม้าก็ไม่ต้องเสียสละพลีชีพถูกฝังอยู่ที่นี่ เฉพาะเมื่อคืนนี้เพียงคืนเดียวกองทัพของพวกเขาต้องกลายเป็นศพถูกฝังอยู่ใต้กำแพงเมืองถึงหนึ่งหมื่นนาย แม้แต่กองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลก็บาดเจ็บล้มตายไปร่วมร้อย จะไม่ให้เขาแค้นใจได้อย่างไร

รัชทายาทเจาเดินเข้ามาใกล้ หลุบตามองร่างบุรุษที่นอนขดตัวงออยู่บนพื้น เขาไม่หนุ่มแล้ว หนวดเคราขาวโพลน หน้าเหลืองเหมือนเทียนไขหลังผ่านมรสุม ดูลักษณะเหมือนคนแก่ใจดี

เห็นแก่ที่หลายปีมานี้เจ้าพยายามทำเพื่อราษฎรฉู่โจวอย่างเต็มกำลังความสามารถ วิญญาณผู้กล้าสามหมื่นนายนั้นถือว่าฝังเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน

รัชทายาทเจาไม่มีสิ่งใดจะกล่าวต่อ เขาไม่อยากรับรู้ว่ามีเงื่อนงำใดซ่อนอยู่หรือคนผู้นี้ทำไปเพราะมีความจำเป็นใดหรือไม่ กบฏก็คือกบฏ โทษตายถือว่าเมตตาเขาอย่างที่สุดแล้ว

ฝ่าบาท…” คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมาเพียงนิด แววตาหมองเศร้า ริมฝีปากแห้งผาก เขาคลี่ยิ้มอย่างขื่นขม หางตามีหยาดน้ำใสระเรื่อ “หลายปีมานี้กระหม่อมเกือบลืมเป้าหมายการมาเมืองฉู่โจวไปแล้ว น่าเสียดายยิ่งนัก…” พูดจบเขาก็คลานลุกขึ้น เอาศีรษะกระแทกกำแพงเมืองจนเลือดสาดกระจาย ชั่วขณะก่อนลมหายใจสุดท้ายสูญสิ้นเขาตะโกนสุดเสียง “ข้ามันคนบาป!

จ้าวซานหลางเดินเข้าไปตรวจว่าเขายังมีลมหายใจอยู่หรือไม่ สุดท้ายก็ส่ายหน้า

ไม่หายใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ

เอาไปฝังเถอะ” รัชทายาทเจาหันกลับไปอีกด้าน กวาดตามองราษฎรบางคนที่แอบหลั่งน้ำตาแล้วเอ่ยสำทับอีกประโยค “เอาเขาไปฝังรวมกับศพของพวกทหาร

มีบางคนไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ของรัชทายาท ในสายตาพวกเขา คนผู้นี้เป็นตัวการทำให้พี่น้องพวกเขาต้องตายแล้วจะฝังคนผู้นี้ร่วมสุสานเดียวกับพี่น้องพวกเขาได้อย่างไร พวกเขาไม่สนใจว่าคนผู้นี้จะเคยทำความดีอะไรมา มีความคิดจิตใจเช่นไรหรือมีเงื่อนไขความจำเป็นใดในชีวิต

ฝ่าบาท มิบังควรนะพ่ะย่ะค่ะ จะฝังเหล่าพี่น้องของพวกเราร่วมกับศัตรูได้อย่างไร?”

รัชทายาทเจาจ้องมองคนพูดอย่างเยือกเย็น

นี่ถือเป็นโอกาสดีที่จะให้ทุกคนได้ล้างแค้น เช่นนี้ไม่ดีหรือ?”

คำตอบนั้นทำให้ทุกคนหมดสิ้นถ้อยคำจะกล่าวต่อ จึงสามารถอธิบายได้ว่านี่เป็นคำสั่งที่มีเหตุผลมาก

จ้าวซานหลางให้คนหามร่างไร้ชีวิตนั้นออกไปแล้วหันมาถาม

ฝ่าบาท ต้องส่งกำลังทหารไปเสริมให้หวังติ่งจวินหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

ทันทีที่เขาเอ่ยประโยคนี้ทุกคนต่างเบนสายตาหันมาที่รัชทายาทเจาทันที คำถามนี้พวกเขานึกอยากถามตั้งแต่แรกแล้วแต่เกรงจะถูกมองว่าเป็นการหยั่งเชิงความคิดผู้เป็นนายจึงมิกล้าเอ่ยปาก นอกจากแม่ทัพหวังยังมีแม่ทัพหู ไม่รู้ว่าป่านนี้พวกเขาจะปลอดภัยดีหรือไม่

ตามที่พวกเขาคาดการณ์ ภารกิจสุดโหดเช่นนี้ความเป็นไปได้ที่จะล้มเหลวมีถึงเก้าส่วน โอกาสรอดมีเพียงหนึ่งส่วน แต่เหตุใดดูท่าทางขององค์รัชทายาทแล้วเหมือนไม่ร้อนพระทัยเลยสักนิด

ไม่จำเป็น ก่อนหน้านี้ข้าได้รับข่าวแล้ว พวกเขาปลอดภัยดี กำลังเดินทางกลับมา

พวกเขาไม่ถูกโจมตีหรือพ่ะย่ะค่ะ?” จ้าวซานหลางนึกสงสัยว่าตัวเองคาดเดาผิด บางทีหวังติ่งจวินอาจมิได้พาไพร่พลไปสกัดทัพเป่ยเยว่ด้วยซ้ำ

พวกเขาย่อมไม่ปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามได้มีโอกาสโจมตี นี่เป็นแค่แผนถ่วงเวลาเท่านั้น อีกไม่นานข้าศึกก็คงจะมาถึง

จ้าวซานหลางฟังแล้วยิ่งข้องใจ ตกลงหวังติ่งจวินใช้กลยุทธ์ใดในการถ่วงเวลา ไม่ต้องเปลืองทหารเลยสักคนก็สามารถรั้งข้าศึกไว้ได้งั้นหรือ?

ที่กลับมาถึงก่อนกลับมิใช่ทัพของหวังติ่งจวินแต่เป็นหูจินเผิงที่พาไพร่พลหนึ่งหมื่นนายกลับมา บุกเข้าเมืองฉู่โจวว่องไวปานพายุ โบกธงโห่ร้องมาตลอดทางบ่งบอกถึงความเบิกบานสำราญใจเป็นที่สุด

ฮ่าๆๆ ข้ารู้อยู่แล้ว ฉู่โจวเมืองเล็กแค่นี้มีหรือจะสามารถสกัดทัพใหญ่หนานจิ้นของเราได้!” หูจินเผิงกล่าวเสียงดังกึกก้องขณะกระโดดลงจากหลังม้า วิ่งมาคุกเข่าข้างเดียวเบื้องหน้ารัชทายาทเจา “ฝ่าบาท กระหม่อมทำตามพระบัญชาได้สำเร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ!

รัชทายาทเจาโน้มตัวช่วยประคองเขาลุกขึ้น พยักหน้าแล้วหัวเราะเบิกบาน

วิเศษมาก! พาคนไปพักผ่อนก่อนเถอะ ตกรางวัลเนื้อก้อนโตให้ทุกคนด้วย!

หูจินเผิงหัวเราะเริงร่ากว่าเดิม หันตะโกนบอกพวกพ้องที่อยู่ด้านหลัง

พี่น้อง ไปกันเร็ว ตามข้าไปกินเนื้อแสนโอชะกันเถอะ!

เหล่าทหารโห่ร้องด้วยความยินดีดังกึกก้อง เมื่อพวกเขาจากไปจ้าวซานหลางก็จูงผิงซุ่นมากระซิบถามเบื้องหน้ารัชทายาท

ฝ่าบาท พวกเราก็จะได้กินเนื้อด้วยหรือไม่ ทุกคนต่างปฏิบัติภารกิจกันมาทั้งคืนแล้ว” พูดจบก็ลูบหน้าท้องแบนราบของตัวเอง

รัชทายาทเจาเลิกคิ้ว “ของพวกเจ้าข้าติดไว้ก่อน ไว้ให้เสร็จศึกครั้งนี้ ทั้งเนื้อและสุราจะมีให้พวกเจ้าดื่มกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญจนกว่าจะพอ!

จ้าวซานหลางรีบนำข่าวนี้ไปถ่ายทอดต่อ ทุกคนต่างมีสีหน้าเบิกบาน โห่ร้องด้วยความยินดี

เพื่อให้ได้กินเนื้อและดื่มสุรา พวกเราขอสู้ตาย!

รัชทายาทเจายุติความดีใจของพวกเขาด้วยการออกคำสั่ง

ไปเตรียมตัวได้แล้ว ประเดี๋ยวพวกเจ้าอีกครึ่งหนึ่งจะกลับมา ให้ข้าศึกได้เปิดหูเปิดตาเห็นศักยภาพที่แท้จริงของกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลสักครั้ง!

เฮ!กองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลโห่ร้องพร้อมกัน ดังกึกก้องสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปแทบจะถึงฟากฟ้าเบื้องบน ทำให้รอบด้านเต็มไปด้วยสายตาแห่งความตื่นตะลึง

นี่น่ะหรือกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิล ดูไม่ธรรมดาอย่างที่คาดไว้จริงๆ

ในทัพใหญ่ มีนายทัพท่านหนึ่งจับจ้องเกราะหนักบนตัวจ้าวซานหลางตาไม่กะพริบ เสื้อเกราะของผู้พิทักษ์เกราะนิลต่างจากปกติมิใช่แค่หนักแต่คุณภาพโดยรวมยอดเยี่ยมวิเศษสุด เกราะสีดำเมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ส่องประกายระยิบระยับ โลหะแต่ละแผ่นถูกขัดให้มีระดับความหนาบางเหมาะสม ตรงตำแหน่งที่ร้อยเข้าด้วยกันก็ไม่รู้ว่าใช้วัสดุใดถึงได้มองไม่เห็นกระทั่งรอยต่อเชื่อม

เมื่อคืนเห็นท่าทางพวกเขาตอนสังหารศัตรู ยกดาบลงดาบล้วนปลิดชีพได้หนึ่งชีวิต อาวุธที่พวกเขาใช้ก็ต่างจากปกติ ข้าเห็นพวกเขาใช้ดาบฟันทวนยาวของศัตรูขาดครึ่งท่อนกับตามาแล้ว

ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาทคงต้องใช้เงินทองไปกับพวกเขาไม่น้อย หากทัพใหญ่ของพวกเรามีอาวุธยุทโธปกรณ์เช่นนี้ อย่าว่าแต่ทัพเป่ยเยว่หนึ่งแสนสองหมื่นเลย ต่อให้มาอีกหนึ่งแสนก็สู้ได้สบายมาก!” บุรุษผู้หนึ่งรำพึงรำพันด้วยความน้อยใจ

ขุนพลที่อยู่ข้างเขาใจเย็นมีสติกว่าจึงส่ายหน้าแล้วเอ่ยปราม

พอได้แล้ว หากเป็นเจ้า ต้องสวมชุดเกราะที่ทั้งหนาและหนักขนาดนี้ หากอยากกวัดแกว่งง้าวเล่มใหญ่ก็คงได้แต่คิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะไปสังหารศัตรูเลยด้วยซ้ำ

พูดเกินจริงไปแล้ว หากยากลำบากเช่นนั้นจริงพวกเขาจะทำได้อย่างไร?” อีกฝ่ายแสดงอาการว่าไม่เชื่อคำพูดโต้แย้งนี้อย่างเห็นได้ชัด

ฝ่ายตรงข้ามหมดคำพูดที่จะกล่าวต่อจึงยักไหล่แล้วเดินจากไปเมื่อครู่เขาช่วยขนย้ายซากศพเห็นมีศพทหารผู้พิทักษ์เกราะนิลจึงคิดที่จะเข้าไปอุ้มขึ้นมา แต่คาดไม่ถึงว่าต้องใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีถึงจะฝืนลากศพนั่นขึ้นไปบนรถเข็นได้อย่างทุลักทุเล

ในสนามรบ เพื่อถนอมและรักษาทรัพยากรทุกคนต่างปลดเสื้อเกราะและอาวุธจากศพผู้ตายเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ ผู้พิทักษ์เกราะนิลก็ถูกทำเช่นนั้นเหมือนกัน ด้วยความสนใจใคร่รู้ในเสื้อเกราะชุดนี้ เขาจึงลงมือปลดเสื้อเกราะบนร่างไร้ชีวิตนั้นออกมา เมื่ออยู่ในมือถึงรู้ว่าน้ำหนักไม่เบาเลยจริงๆ ลองคิดดูเล่นๆ ว่าหากน้ำหนักนี้อยู่บนตัวเขา บวกกับต้องถืออาวุธที่มีน้ำหนักมากกว่าปกติถึงสองเท่า เขาคงไม่มีปัญญาที่จะเคลื่อนไหวมือและเท้าได้แน่ แต่เขาก็คิดไม่ออกว่ากองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลสามารถทำได้อย่างไร ได้ยินว่าพวกเขายังขี่ม้าด้วยและสุดยอดอาชาไนยของพวกเขาก็หุ้มเกราะหมดทั้งตัว ลำพังน้ำหนักบนตัวก็สามารถทับข้าศึกตายได้แล้ว

ไม่ว่าทุกคนจะมีความคิดเห็นต่อผู้พิทักษ์เกราะนิลเช่นไร จะเป็นความอิจฉา ริษยาหรือตื่นตะลึง ล้วนไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเมื่อเทียบกับกองทัพชั้นยอดเช่นนี้ กำลังสู้รบของพวกเขาด้อยกว่ามากจริงๆ ทันทีที่เกิดความคิดเช่นนี้ทุกคนในกองทัพตั้งแต่ทหารตำแหน่งเล็กๆ ไปจนถึงตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพ ไฟในตัวพลันลุกโชน เกิดความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ หากพวกเขาสามารถทำได้ดีกว่ากองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลก็จะพิสูจน์ได้ว่าตนเป็นทหารที่มีความสามารถอย่างแท้จริงมิใช่หรือ

ได้ยินมาว่าองค์รัชทายาททรงมีพระประสงค์จะคัดเลือกบุคคลที่มีความสามารถยอดเยี่ยมโดดเด่นมาแทนตำแหน่งผู้พิทักษ์เกราะนิลที่ว่างอยู่

ทันทีที่มีข่าวนี้แพร่กระจายออกไป เหล่าทหารพลันมีใจฮึกเหิม แต่ละคนล้วนคันไม้คันมืออยากสร้างผลงานความดีความชอบในสนามรบเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง

 

 

เชิงอรรถ

  1. เยว่เหล่าหรือผู้เฒ่าจันทรา เป็นเทพเจ้าผู้บันดาลรักตามความเชื่อของชาวจีน

 

248 จิตใจทะเยอทะยาน

กระทั่งยามอู่ หวังติ่งจวินถึงเร่งรุดพากองทัพกลับมา เหน็ดเหนื่อยเพียงใดไม่ต้องพูดถึง แต่ทหารทุกนายกลับยังคงมีท่าทีกระปรี้กระเปร่า หลังเข้ามาในเมืองฉู่โจวแล้วสิ่งแรกที่ทำคือแจ้งให้คนในเมืองเตรียมรับมือกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น

รัชทายาทเจาสั่งให้พวกเขาไปพักผ่อนแล้วค่อยเตรียมการป้องกันต่อไป

จ้าวซานหลางแอบดึงหวังติ่งจวินไว้แล้วสอบถาม พวกเจ้าไปทำอะไรมากันแน่ ไปถ่วงเวลาทัพใหญ่เป่ยเยว่เอาไว้มิใช่หรือ?”

ก็ใช่น่ะสิ

นั่น...เขาชี้ไปทางกองทัพที่ทหารไม่ขาดหายไปเลยแม้แต่คนเดียว เหตุใดพวกเจ้าไม่เป็นอะไรเลย ตกลงพวกเจ้าถ่วงเวลาข้าศึกด้วยวิธีใด?”

เจ้าอยากรู้หรือ?” หวังติ่งจวินขยิบตาทีหนึ่ง จ้าวซานหลางจึงต่อยเขาไปหนึ่งที จะบอกก็บอก ไม่บอกก็ตามใจ ถึงอย่างไรเดี๋ยวข้าก็รู้อยู่ดี

งั้นรอให้เจ้ารู้เองก็แล้วกันหวังติ่งจวินอ้าปากหาวพลางตบบ่าฝ่ายตรงข้าม ข้าง่วง ไม่ว่างคุยกับเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน

จ้าวซานหลางถลึงตาใส่แผ่นหลังที่เดินจากไปไกลของอีกฝ่ายพลางบ่นพึมพำ

เหอะ ทำเป็นวางมาด ไม่รู้ว่าจะมีใครตาบอดหลงรักเจ้านี่บ้าง!

จ้าวซานหลาง!เสียงเรียกชื่อเขาดังมาจากด้านหลัง รู้สึกเป็นเสียงคุ้นเคยแต่ก็รู้สึกไม่ชินเล็กน้อย พอหันขวับกลับไปก็เห็นใบหน้าที่ทั้งคุ้นตาและแปลกหน้าอยู่ในที จ้าวซานหลางนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ

ฝ่ายนั้นเดินอาดๆ เข้ามา บนตัวสวมชุดเกราะของขุนพลชั้นกลาง ร่างกายกำยำล่ำสัน

ท่าน...มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” เขาปฏิบัติภารกิจยุ่งมาทั้งคืน คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะมาเจอคนผู้นี้ได้ เพียงแต่ด้วยฐานะของอีกฝ่ายเหตุใดถึงมาปรากฏตัวอยู่ในสถานที่อันตรายเช่นสนามรบได้เล่า!

ข้ามาเป็นทหารแล้ว

ใบหน้าที่เคยอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาบัดนี้เติบโตเป็นชายหนุ่มหล่อเหลา เพียงแต่สีหน้ายังคงเย็นชาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน มีแต่เมื่อได้เห็นหน้าจ้าวซานหลางเท่านั้นถึงได้ดูอ่อนโยนขึ้นมาบ้าง

จ้าวซานหลางไม่ได้พบจวิ้นอ๋องน้อยมาหลายปีแล้ว ความทรงจำในวันวานพลันย้อนคืนกลับมา เพียงแต่มิใช่ความทรงจำที่ดีนัก

ทั้งสองแม้ไม่ถือว่าสนิทกันแต่ย่อมมิใช่คนแปลกหน้า จ้าวซานหลางลืมความรู้สึกที่เคยแอบรักท่านหญิงฮุ่ยจูเมื่อสมัยอดีตไปหมดสิ้นแล้วแต่ยังจำความรู้สึกตอนถูกเจ้าเด็กนี่กลั่นแกล้งได้อย่างชัดเจน

เหอะๆ จวิ้นอ๋องช่างเหมาะกับสนามรบอย่างแท้จริง แต่เหตุใดท่านหญิงถึงยอมให้ท่านมาที่นี่ได้เล่า?”

สีหน้าจวิ้นอ๋องน้อยเย็นชาแข็งกระด้างขึ้นทันตาก่อนจะพูดด้วยเสียงเย็นเยียบ

ตอนนี้ท่านแม่งานยุ่งมาก ไหนเลยจะยังจำได้ว่ามีข้าคนนี้เป็นลูก

จ้าวซานหลางมีสีหน้างงงันแต่มิได้เอ่ยถามสิ่งใดต่อ แค่เห็นสีหน้าฝ่ายตรงข้ามก็รู้แล้วว่าความสัมพันธ์แม่ลูกคู่นี้ยังคงไม่ลงรอยกันเหมือนเดิม

จวิ้นอ๋องมาออกศึกเช่นนี้ รัชทายาททรงทราบหรือไม่?”

จวิ้นอ๋องน้อยส่ายหน้า ในกองทัพมีทหารตั้งหลายหมื่นนาย รัชทายาทจะทรงทราบว่าข้ามาออกศึกร่วมรบด้วยได้อย่างไร ตอนนี้ข้าเป็นแค่ขุนพลชั้นปลายแถวเท่านั้น

จ้าวซานหลางเลื่อมใสในความมุ่งมั่นตั้งใจของอีกฝ่าย อันที่จริงด้วยฐานะของเขาสามารถขอตำแหน่งระดับสูงในกองทัพได้ทันที ทั้งปลอดภัยไม่เหนื่อย อีกทั้งยังสามารถสร้างผลงานก้าวหน้าได้รวดเร็ว เมื่อมีฐานะสูงขึ้นหลังกลับไปก็สามารถมีจวนเป็นของตัวเองได้แล้ว จะได้หลุดพ้นจากการควบคุมของจวนท่านหญิงเสียที

จ้าวซานหลางเกาศีรษะ เกิดความรู้สึกว่าไม่รู้จะสื่อสารกับอีกฝ่ายเช่นไร ตลอดเวลาที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของพวกเขามิได้ใช้ปากเจรจาทุกครั้งถ้าจ้าวซานหลางไม่ถูกฝ่ายตรงข้ามซ้อม ก็ต้องถูกพูดจาถากถางเย้ยหยัน จู่ๆ ระหว่างพวกเขาสามารถพูดคุยกันได้อย่างสันติจึงรู้สึกไม่ชินเอาเสียเลย

ข้ายังมีงานต้องไปทำ ไว้หลังจากสงครามยุติแล้วค่อยคุยกันจวิ้นอ๋องน้อยเป็นฝ่ายกล่าวขอตัวก่อน จ้าวซานหลางพยักหน้า ศึกใหญ่กำลังจะมาเยือนในไม่ช้า ไม่ใช่เวลาที่จะมาคุยรำลึกความหลังกันจริงๆ นั่นละ

ช้าก่อน...จ้าวซานหลางตะโกนเรียกรั้งไว้ พอเห็นอีกฝ่ายหันกลับมาก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ดังนั้นจึงล้วงหยิบมีดสั้นที่ซ่อนไว้ในรองเท้าหุ้มข้อสูงส่งให้ ข้าให้ ระวังตัวด้วย

แววตาจวิ้นอ๋องน้อยอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย เขายื่นมือมารับมีดสั้นไว้พลางกล่าวขอบคุณแล้วหันหลังเดินจากไป

จ้าวซานหลางยืนอยู่กับที่ขบคิดภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง รู้สึกแปลกๆ อย่างไรชอบกล เขาเดินไปหารัชทายาทเพื่อแจ้งเรื่องจวิ้นอ๋องน้อยให้ทราบ ใครจะรู้ว่ารัชทายาทเพียงพยักหน้า

ข้ารู้แล้ว แต่ในเมื่อเขาอยากใช้กำลังความสามารถของตัวเองไต่เต้าขึ้นมา ข้าก็ไม่ควรเข้าไปก้าวก่าย

ที่แท้รัชทายาทก็รู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก เพียงแค่ไม่คิดที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวเท่านั้น

จริงสิ ได้ยินถังเยว่บอกว่าเจ้าชื่นชมท่านหญิงฮุ่ยจูงั้นหรือ?”

จู่ๆ รัชทายาทเจาก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จ้าวซานหลางถึงกับแอบด่าถังเยว่ในใจก่อนจะยิ้มเอียงอาย เป็นเรื่องตั้งแต่เก่าก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ สมัยนั้นกระหม่อมยังมิรู้ความ เหอะๆ...

อ้อ งั้นก็ดีแล้วรัชทายาทเจากล่าวอย่างมีเลศนัย

จ้าวซานหลางอยากถามว่าดีที่ตรงไหน แต่ก็ไม่กล้าถามออกไปตรงๆ ได้แต่แอบคาดเดาเอาเอง หรือว่าบางทีองค์รัชทายาทจะแนะนำคู่ครองให้เขา

จะว่าไปอายุเขาก็ไม่น้อยแล้ว ซื่อจื่อแห่งเหิงกั๋วกงอายุน้อยกว่าเขายังกลายเป็นพ่อลูกสองไปแล้ว ดังนั้นก็น่าจะถึงเวลาที่เขาควรหาลูกสะใภ้ให้มารดาเสียทีจะได้มีหลานไว้ให้ท่านคลายเหงา พอคิดถึงมารดาที่อยู่ไกลในเมืองเย่เฉิงจ้าวซานหลางก็พลันเกิดพลังฮึกเหิมไปทั้งตัว ที่เขาสู้สุดใจขาดดิ้นเช่นนี้ก็เพื่อปรับปรุงแก้ไขความเกียจคร้านในอดีต มิใช่แค่ทำเพื่อตัวเองแต่ยังเพื่อมารดาของเขาด้วย แม้บิดาจะจากโลกนี้ไปแล้วแต่เขาก็ยังต้องการจะสร้างผลงานให้วิญญาณบิดาในปรภพได้เห็น เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่าแท้จริงแล้วตัวเขาก็มิได้ด้อยไปกว่าพี่ชายร่วมบิดาเลยสักนิด

ตึง! ตึง! จู่ๆ เสียงกลองศึกบนป้อมประตูเมืองก็ดังขึ้นอย่างฉับพลัน รัชทายาทเจาหันมาสบตากับจ้าวซานหลาง สีหน้าเคร่งขรึมหนักแน่นขึ้นในทันที

มาเร็วว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก เตรียมออกศึกได้!

พ่ะย่ะค่ะ!

จ้าวซานหลางสวมหมวกเกราะ หยิบนกหวีดขึ้นมาเป่าสัญญาณยาวสามครั้ง สั้นสองครั้ง นำทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลมุ่งไปยังสถานที่ซ่อนเร้นแห่งหนึ่ง

หวังติ่งจวินเพิ่งกินบะหมี่ร้อนๆ หมดไปหนึ่งชาม เตรียมจะเอนหลังสักงีบ ทว่าพอได้ยินเสียงกลองดังขึ้นก็รีบสวมชุดเกราะกลับไปใหม่ให้เรียบร้อย คว้าอาวุธประจำกายแล้วพุ่งออกไปทันที ไม่ต้องรอให้ใครเรียกรวมตัว ทหารสามหมื่นนายวิ่งออกจากค่ายมายืนประจำที่รวมตัวพร้อมกันที่หัวถนน

ข้ารู้ว่าทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อยกันมาก ล้วนอยากพักผ่อนกันทั้งนั้น แต่ข้าศึกบุก พวกเรานอนก็หลับไม่เป็นสุข ไม่แน่ตื่นขึ้นมาผู้ครองใต้หล้าอาจเปลี่ยนไปแล้ว หากเป็นเช่นนั้นคงได้หลับยาวไปตลอดกาล ดังนั้นมิสู้ให้ข้าผู้เป็นแม่ทัพนำทุกคนออกไปทำประโยชน์แก่แผ่นดินยังจะดีเสียกว่า ทุกคนจงฟังคำสั่งข้า!

หวังติ่งจวินใช้เวลาเพียงคืนเดียวก็สามารถทำให้ทหารสามหมื่นนายอยู่ในโอวาทของเขาได้ เรื่องนี้แม้แต่รัชทายาทเจายังแสดงความชื่นชมในตัวเขา

อันที่จริงเรื่องไปถ่วงเวลาข้าศึกในวันนี้เขาก็มิได้ทำอะไร แค่สั่งให้คนทำลายเส้นทางที่ข้าศึกต้องเดินทางผ่าน ทำลายเส้นทางเล็กๆ บนหน้าผาเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมาก แค่ตัดทางให้ขาดไปช่วงหนึ่งก็พอ แน่นอนว่าเขามิได้แค่ให้คนตัดทางให้ขาดไปช่วงหนึ่งเพียงอย่างเดียวแต่ยังย้ายก้อนหินมาปิดทางอีกช่วงหนึ่งด้วย ล้วนเป็นงานที่ต้องใช้แรงทั้งสิ้น ดังนั้นทุกคนจึงเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียกันมาก

แต่งานนี้เมื่อเทียบกับต้องออกรบแล้วสบายกว่าหลายเท่า อย่างน้อยพวกเขาก็แค่เสียเหงื่อไม่ต้องเสี่ยงชีวิต หลั่งเลือด หรือเสียน้ำตา

ศึกครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องสามวันสามคืนเต็มๆ สามวันต่อมา หลังจากทหารข้าศึกเหลือรอดเพียงไม่กี่หมื่นชีวิตก็นำไพร่พลที่เหลือหนีทัพเอาชีวิตรอดกันไปหมด

รัชทายาทเจาบัญชาให้ทหารม้าเกราะเบาที่มีความรวดเร็วคล่องตัวรีบตามไปสกัดไว้ ขณะจ้องมองกำแพงเมืองที่พังพินาศแล้วตัดสินใจครั้งสำคัญ!

ตอนที่ถังเยว่ได้รับจดหมายจากหลี่เจาอีกครั้ง การรบครั้งนี้ก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว เขาต้องอกสั่นขวัญแขวนอยู่ทุกวี่ทุกวัน กลัวว่าวันใดจะต้องเห็นหลี่เจาถูกหามกลับมา

ในจดหมายหลี่เจาเล่าถึงกระบวนการขั้นตอนและผลลัพธ์ของการรบอย่างย่นย่อ ถังเยว่อ่านเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง รู้แต่ว่าหนานจิ้นชนะแล้ว หลังจากนั้นหลี่เจาให้เวลาทหารที่บาดเจ็บรักษาแผลให้หายภายในห้าวันให้ทหารที่เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าพักผ่อนให้เต็มที่และใช้ช่วงเวลาพักฟื้นนั้นหารือกับแม่ทัพทั้งหลายเพื่อวางแผนกลยุทธ์บุกตีข้าศึกที่ปลอดภัยและได้ผลจริง

ในจดหมายถังเยว่สัมผัสถึงความฮึกเหิมทะเยอทะยานของหลี่เจาได้อย่างชัดเจน เห็นทีครั้งนี้ฝ่ายนั้นจะตัดสินใจมุ่งมั่นที่จะบุกตีให้ถึงศูนย์กลางของเป่ยเยว่แน่

คุณชาย รัชทายาททรงรบชนะแล้วมิใช่หรือขอรับ ในราชสำนักต่างโห่ร้องด้วยความยินดี เหล่าขุนนางเสนาบดีต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่ารัชทายาททรงเป็นเทพสงครามลงมาจุติบนพื้นพิภพ” เหอพูดด้วยสีหน้าดีอกดีใจ

ถังเยว่ฟังแล้วถึงกับต้องเปล่งเสียงหัวเราะอย่างจนใจ

เทพสงครามลงมาจุติอะไรกัน พวกเขาพูดเรื่อยเปื่อยกันไปเองหากเทพสงครามมีจริงเช่นนั้นยังจำเป็นต้องออกรบอีกหรือ? ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็โยงไปถึงเรื่องเทพเซียน หากเทพเซียนมีจริงถ้าเช่นนั้นพวกเขาก็ไปกราบไหว้ขอให้เทพเซียนช่วยเสียตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง

ขุนนางในราชสำนักพวกนี้จะมีสักกี่คนที่ใส่ใจห่วงใยในความปลอดภัยของหลี่เจาจากใจจริง ดีแต่ประจบสอพลอหลังจบเรื่องกันทั้งนั้น

ถังเยว่อ่านจดหมายจนจบ เนื้อหาในจดหมายที่หลี่เจาเขียนมานั้นเรียบง่ายเป็นที่สุด นอกจากบรรยายเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามอย่างย่นย่อแล้วก็ไต่ถามถึงสุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่ของเขาอย่างใส่ใจ เขาพอจะมองออก ระยะหลังหลี่เจาเขียนจดหมายมาน้อยลงเรื่อยๆ เนื้อหาก็สั้นกระชับลงทุกที ลายมือหวัดมากขึ้น กระดาษขาวอักษรดำ เขาไม่อาจจินตนาการถึงความโหดร้ายและความยากลำบากของสงครามได้แต่หลี่เจายังอุตสาหะอดทนผ่านมันมาได้และยังมีจิตใจแกล้วกล้าห้าวหาญที่จะรบต่อ จะไม่ให้เขารู้สึกเลื่อมใสได้อย่างไร

ฤดูหนาวผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิกำลังมาเยือน อากาศกลับมาอบอุ่นอีกครั้ง เสื้อคลุมและถุงเท้าผ้าฝ้ายที่คุณชายเตรียมไว้ให้องค์รัชทายาทเห็นทีคงจะไม่ต้องใช้แล้วละขอรับ

เอาไว้ครึ่งปีหลังค่อยส่งไป คงมีโอกาสได้ใช้บ้างละน่า

หาองค์รัชทายาททรงชนะศึกใหญ่แล้วมิใช่หรือขอรับ ได้ยินมาว่าตีทัพเป่ยเยว่แตกกระเจิงดุจบุปผาร่วงน้ำหลาก บาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก คิดว่าพวกข้าศึกคงไร้พละกำลังต่อสู้ขัดขืนแล้ว ทุกคนต่างบอกว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จกลับมาในเร็ววันนี้แล้วมิใช่หรือขอรับ

ไปฟังข่าวมาจากที่ใด ช่างรู้ละเอียดเสียจริง

แน่นอนว่าบ่าวย่อมมีหนทางของบ่าว คุณชายอย่าดูถูกว่าพวกเขาเป็นคนชั้นต่ำ บางทีพวกเขารู้ข่าวฉับไวที่สุดนะขอรับ

ถังเยว่ส่ายหน้ายิ้มๆ “แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยดูถูกใคร เอาเถอะ อย่ามัวพูดเรื่องพวกนี้อยู่เลย ครั้งนี้มีข้าวของที่ต้องตระเตรียมมากมาย ข้าจะมอบภารกิจสำคัญให้เจ้า

เชิญคุณชายสั่งมาได้เลยขอรับ” เหอยืดอกตัวตรง มองถังเยว่ด้วยดวงตาเป็นประกายแวววาว

พวกเราต้องเตรียมเสบียงและอาวุธให้องค์รัชทายาทจำนวนมาก หนึ่งรายการสำคัญที่ต้องเตรียมคือกระเป๋าสะพายหลัง สิ่งนี้ต้องสั่งทำต่างหากและต้องทำให้เสร็จเกินหมื่นชิ้นภายในสิบวัน เรื่องนี้ข้ามอบให้เจ้าจัดการ

เหอได้ยินแล้วเกิดความขลาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย ถ้าหากทำงานไม่สำเร็จจะส่งผลเสียหายต่อผู้คนจำนวนมาก

วางใจเถอะ เจ้าแค่ใช้ปากสั่งเท่านั้นและคอยควบคุมให้พวกเขาเร่งมือทำงานให้ว่องไวหน่อย อย่าให้แอบหลบเลี่ยงลดวัสดุหรือไม่ละเอียดลออกับขั้นตอนการทำก็พอ

เหอพยักหน้า “ขอรับ บ่าวจะจับตาดูให้ดี จะไม่ปล่อยให้พวกเขามีโอกาสทำเช่นนั้นเป็นอันขาดขอรับ!

ที่จริงแล้วการดูแลเรื่องแอบหลบเลี่ยงงานเป็นเพียงแค่เรื่องรองจุดประสงค์หลักของถังเยว่ก็แค่อยากให้เหอมีหน้าที่ความรับผิดชอบบ้างจะได้ไม่ต้องมาคอยป้วนเปี้ยนวนเวียนอยู่ใกล้เขาทั้งวัน


 

249 หายตัวไป

ความอดทนของถังเยว่ใกล้จะสิ้นสุดลงเต็มที ต้องคอยเป็นห่วงระคนหวาดกลัวทุกวี่ทุกวัน ต้องนอนฝันร้ายอยู่เป็นประจำ ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปบางทีเขาอาจจะแก่ก่อนวัยก็ได้

ทุกเช้าตื่นมาเพียงเห็นเส้นผมตนอยู่บนหมอนก็โศกเศร้าได้โดยไม่มีเหตุผล ต้องนอนใจลอยอยู่บนเตียงคนเดียวสักพักถึงจะได้สติ

คุณชาย...เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!พ่อบ้านผลักประตูเข้ามา ใบหน้าขาวซีด พูดปากคอสั่นจนฟันกระทบกันดังกึกๆ

ถังเยว่ใจกระตุก รีบกระโดดลงจากเตียงทั้งที่สวมกางเกงเพียงตัวเดียว เกิดอะไรขึ้น?”

เมื่อครู่ในวังส่งคนมาแจ้งว่าเมื่อตอนย่ำรุ่งได้รับข่าวด่วน หลังจากองค์รัชทายาทพาไพร่พลเข้าสู่เขตชายแดนเป่ยเยว่แล้ว จู่ๆ ก็หายตัวไปขอรับ

อะไรคือจู่ๆ ก็หายตัวไป ทหารทั้งกองทัพตั้งไม่รู้กี่หมื่นนาย ยกทัพไปไหนทีแผ่นดินสะท้านแผ่นฟ้าสะเทือน จู่ๆ จะหายตัวไปได้อย่างไร?” ถังเยว่ตะคอกถามเสียงดัง

เขาหวนนึกถึงความฝันเมื่อคืนที่ผ่านมาอย่างละเอียดว่าแท้จริงแล้วมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นหรือไม่ โดยพื้นฐานแล้วหลังตื่นขึ้นมาเขามักจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในความฝันและก็ฝันไม่แม่นด้วย

บ่าวก็ถามเช่นนั้น แต่คนที่มาแจ้งข่าวก็ไม่รู้แน่ชัดเช่นกัน บอกเพียงแค่ในวังส่งเขามาแจ้งข่าว พูดจบก็รีบร้อนกลับไปขอรับ

ฮึ! ต้องเป็นข่าวปลอมแน่!

ถังเยว่รีบสวมเสื้อผ้า ใช้น้ำเย็นล้างหน้าแล้วเดินทางเข้าวังด้วยความร้อนใจ ตอนนี้การประชุมเช้ายังไม่เลิก ถังเยว่มุ่งตรงเข้าท้องพระโรง ทุกสายตามองมาทางเขาด้วยความฉงน แม้เขาจะเป็นบุรุษแต่ถึงอย่างไรก็ได้ชื่อว่าเป็นชายารัชทายาท ย่อมไม่เคยมาปรากฏตัวในสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ขุนนางหนานจิ้นสามารถยอมรับพระชายาที่เป็นบุรุษได้ก็นับว่าละเมิดกฎเกณฑ์มากพอแล้ว จะให้พวกเขายอมให้พระชายามาร่วมประชุมราชกิจด้วยอีกหรือเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด! แม้พระชายาผู้นี้จะมีความสามารถยอดเยี่ยมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจล้มล้างความคิดยึดติดแน่นหนาของพวกเขาได้

ถังเยว่วิ่งเต็มฝีเท้ามาตลอดทาง ตอนนี้จึงเหงื่อไหลเต็มหน้า เหนื่อยจนหอบหายใจแทบไม่ทัน ตอนวิ่งไปถึงท้องพระโรงสองขาอ่อนแรงจึงคุกเข่าลงไปทั้งอย่างนั้นขณะเอ่ยถาม เสด็จพ่อ เรื่ององค์รัชทายาทหายตัวไปเป็นความจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

จักรพรรดิหนานจิ้นมิได้คิดเอาความ เพียงตอบด้วยสีหน้าโศกเศร้าอาดูร

เวลานี้ข่าวที่ได้รับมาเป็นเช่นนั้น

มิทราบว่าใครเป็นผู้ส่งข่าวมา? เรื่องเกิดขึ้นเมื่อใด? เมื่อไม่กี่วันก่อนลูกยังได้รับจดหมายจากรัชทายาทบอกว่าทรงปลอดภัยดีอยู่เลย

จักรพรรดิหนานจิ้นพยักหน้าให้พลทหารสวมเสื้อเกราะนายหนึ่งในท้องพระโรง เจ้าเล่าสิ

ถังเยว่หันไปมอง อีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา แน่นอนว่าทัพใหญ่มีทหารหลายหมื่นนายเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้จักได้หมด เขาจึงถาม

เจ้ามีตำแหน่งใดในกองทัพ?”

พลทหารนายนั้นดูเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลีย มองออกว่าเร่งเดินทางหามรุ่งหามค่ำเพื่อกลับมาเย่เฉิง เขากำลังนั่งพักอยู่บนพื้น ด้านหน้ามีน้ำถ้วยหนึ่งตั้งไว้ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งได้พักเอาแรง

ทูลพระชายา ข้าพระองค์เป็นเพียงหัวหน้าหน่วยเล็กๆ ในกองทัพ อยู่รักษาการณ์เมืองฉู่โจว ครั้งนี้ถูกส่งมาเพื่อแจ้งข่าวพ่ะย่ะค่ะ

เช่นนั้นพวกเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าองค์รัชทายาททรงหายตัวไปถังเยว่พูดเสียงดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ก่อนที่ข้าพระองค์จะออกจากฉู่โจวก็มิได้รับข่าวคราวจากองค์รัชทายาทมาเป็นเวลาสิบวันแล้ว เดิมทีจะมีทหารสอดแนมส่งจดหมายไปมาหาสู่กันทุกวัน…”

ถังเยว่พูดขัดขึ้น “บางทีอาจจะแค่เกิดเหตุร้ายขึ้นกับทหารสอดแนมก็เป็นได้

ใช่พ่ะย่ะค่ะ ทุกคนก็เคยคิดเช่นเดียวกันกับที่พระองค์ทรงคาดเดา ดังนั้นจึงได้ส่งกำลังคนและม้าจำนวนมากออกไปตามหาทุกวัน แต่น่าเสียดายที่ตามหาอย่างต่อเนื่องมาหลายวันแล้วกลับไม่พบร่องรอยใดๆ ขององค์รัชทายาทเลยพ่ะย่ะค่ะ

นายทัพท่านไหนอยู่รักษาการณ์ในเมืองฉู่โจว?”

แม่ทัพหูพ่ะย่ะค่ะ

สีหน้าถังเยว่เผือดสีลงทันที หูจินเผิงมิใช่คนบุ่มบ่าม ในเมื่อเขาส่งคนกลับมาแจ้งข่าวนั่นย่อมแสดงว่าพยายามใช้ทุกวิธีแล้วแต่ยังไม่สามารถติดต่อหลี่เจาได้

ครั้งล่าสุดที่ได้รับข่าวจากองค์รัชทายาทพระองค์อยู่ที่ใด?”

อยู่ที่อำเภอซุ่นเต๋อ เมืองลี่เฉิงในเป่ยเยว่พ่ะย่ะค่ะ ลี่เฉิงมีทหารรักษาการณ์สามหมื่นนาย องค์รัชทายาททรงยึดลี่เฉิงได้ภายในคืนเดียวจากนั้นทรงพักเพียงไม่นานก็เคลื่อนทัพขึ้นเหนือเพื่อบุกตีต่อ แม่ทัพหูคาดการณ์ว่าองค์รัชทายาทน่าจะหายไปในหุบเขาจินซีที่อยู่เหนืออำเภอซุ่นเต๋อขึ้นไปสามสิบลี้พ่ะย่ะค่ะ

หุบเขาอีกแล้ว!หัวคิ้วถังเยว่ขมวดเป็นปมแน่น

ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของหุบเขาอันตรายและน่ากลัวเกินไป ปกติแล้วเป็นสถานที่ที่กองกำลังทหารซึ่งดักซุ่มโจมตีชื่นชอบมากที่สุด เป็นไปได้ว่ากองทัพของหลี่เจาอาจถูกกองกำลังทหารข้าศึกดักซุ่มโจมตีจนพ่ายแพ้ยับเยินไปแล้วก็เป็นได้ เชื่อว่าขุนนางจำนวนไม่น้อยซึ่งอยู่ในที่นี้ต่างก็มีความคิดเช่นนี้ด้วยกันทั้งสิ้น

แต่ถังเยว่ไม่เชื่อ! หลี่เจานำทัพขึ้นเหนือ มีไพร่พลหกหมื่นโดยประมาณ ภายในนั้นยังมีกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลอีกเกือบหนึ่งหมื่นนาย ต่อให้ไร้ความสามารถสักเพียงใดก็ไม่น่าจะถึงกับหนีเอาชีวิตรอดออกมาไม่ได้แม้แต่คนเดียว เขามั่นใจในกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลอย่างเต็มร้อย

ถังเยว่ตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งจึงทูลถามจักรพรรดิ “เสด็จพ่อ ทรงวางแผนว่าจะทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?”

หาต่อไป คนเป็นต้องเห็นตัว คนตายต้องเห็นศพ ยิ่งไปกว่านั้นรัชทายาทเพิ่งหายตัวไปแค่ไม่กี่วันเท่านั้น อย่าเพิ่งสร้างความแตกตื่นให้พวกเรากันเอง

เหิงกั๋วกงพยักหน้า ในใจเขาเองก็นึกเป็นห่วงไม่แพ้กัน ลูกชายคนเดียวของเขาอยู่ตำแหน่งทัพหน้า แต่ยังดีที่เขามีสติจึงเอ่ยความเห็นอย่างรอบคอบ

ตามการคาดเดาของกระหม่อม ในสถานการณ์เช่นนี้บางทีรัชทายาทอาจเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน หน่วยสอดแนมที่ส่งออกไปจึงติดต่อไม่ได้ หรือมีความเป็นไปได้อีกอย่างคือองค์รัชทายาทอาจติดอยู่ในที่ใดที่หนึ่งทำให้ขาดการติดต่อ ส่งข่าวออกมาไม่ได้ชั่วคราว ครั้งก่อนศัตรูมีทหารมากถึงหนึ่งแสนสองหมื่น รัชทายาทยังทรงฝ่ามาได้ทั้งยังสามารถชิงเมืองฉู่โจวกลับคืนมา ต่อให้เป่ยเยว่เก่งกาจสักเพียงใดก็ไม่น่าจะทำอะไรพระองค์ได้

หนานจิ้นกับเป่ยเยว่สู้รบกันมานานปี สองฝ่ายถือว่าต่างรู้ตื้นลึกหนาบางของกันและกัน มีแต่ครั้งนี้เท่านั้นที่จู่ๆ ก็มีกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลซึ่งรัชทายาทเก็บเป็นความลับสุดชีวิตโผล่ขึ้นมา นี่มิใช่เพียงผลลัพธ์อันเกิดจากกำลังคนและทุนทรัพย์เท่านั้น ยังมีคำชี้แนะจากถังเยว่ที่ข้ามมิติกาลเวลามานับพันปีอีกด้วย แน่นอนว่าเป่ยเยว่เองก็ย่อมต้องมีไพ่ตายของตนเช่นกัน แต่ไพ่ตายนั้นจะทำอะไรทัพใหญ่ของรัชทายาทได้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็รับมือไม่ไหวแน่ ที่พวกเขากังวลคืออันตรายที่ไม่คาดคิดอย่างครั้งนี้ต่างหาก เพราะพวกเขาไม่ได้รับข่าวสารใดๆ และไม่อาจส่งกองหนุนไปช่วยได้ ยิ่งไปกว่านั้นที่นั่นอยู่ในเขตแดนเป่ยเยว่ อยู่ห่างจากเมืองเย่เฉิงหนึ่งแสนแปดพันลี้ แค่เวลาที่ต้องใช้ในการเดินทางก็เพียงพอที่จะทำให้สงครามในสนามรบเกิดการเปลี่ยนแปลงนับพันนับหมื่นครั้ง

เหล่าขุนนางเสนาบดีโต้เถียงกันไปมา จากเรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก มีบางคนคิดเพ้อฝันว่าไม่แน่รัชทายาทเจาอาจตีถึงเมืองจิงตูอันเป็นเมืองหลวงของเป่ยเยว่ได้แล้ว เพราะรวดเร็วเกินไปดังนั้นทุกคนจึงหาไม่เจอ ถังเยว่ฟังแล้วได้แต่หัวเราะเหอะๆ หากเป่ยเยว่ถูกตีแตกได้ง่ายดายขนาดนั้นคงไม่สู้รบยืดเยื้อกับหนานจิ้นมาหลายสิบปีหรอกกระมัง พวกเขามีกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลก็จริง แต่ผู้พิทักษ์เกราะนิลมีเพียงหนึ่งหมื่นนาย อีกอย่างก็ไม่ถึงกับว่าจะไร้ผู้ต่อกรเสียทีเดียว หากอยากตีเป่ยเยว่ให้แตกพ่ายได้จริงจะอาศัยไพร่พลเพียงหกหมื่นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้แน่

ในจดหมายหลี่เจาเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับกลยุทธ์ศึกสงครามน้อยมาก เพราะเกรงว่าจะถูกคนแพร่งพรายกลยุทธ์ทางการทหาร แต่ถังเยว่ก็พอจะคาดเดาความคิดของเขาได้อยู่บ้าง

หลี่เจาบุกตีขึ้นเหนือในคราวเดียว ข้อแรกเป็นเพราะคิดฉวยโอกาสช่วงที่เป่ยเยว่ยังจัดทัพตั้งรับไม่ทันชิงเป็นฝ่ายโจมตีและยึดครองดินแดนส่วนหนึ่งมาให้ได้ก่อน ข้อสองคงหวังให้เหล่าทหารได้กู้หน้าล้างอายในศึกครั้งก่อนหน้านี้ และถือโอกาสสร้างผลงานความดีความชอบไปด้วยเลยทีเดียว หากบอกว่าเป้าหมายของหลี่เจาคือเมืองหลวงเป่ยเยว่ ถังเยว่ไม่เชื่อแม้แต่น้อย

เสด็จพ่อ ข่าวด่วนจากฉู่โจวถึงเย่เฉิงเร็วที่สุดต้องใช้เวลาสิบถึงสิบห้าวัน ระหว่างนั้นอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้มากมาย ไม่แน่ว่าองค์รัชทายาทอาจกลับเมืองแล้ว แต่พวกเรากลับคาดเดากันไปต่างๆ นานาอยู่ที่นี่ มิสู้ส่งคนไปดูไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ถังเยว่คิดไตร่ตรองอยู่ในใจ

มีเหตุผล” จักรพรรดิหนานจิ้นตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง กวาดตาไปรอบๆ ก่อนมีบัญชา “เหิงกั๋วกง เจ้าไปดูสักครั้งเถอะ เหล่าคนหนุ่มในราชสำนักแห่งนี้มีประสบการณ์น้อยเกินไป ยามเกิดเหตุคับขันยังต้องให้ขุนนางเฒ่าอย่างพวกเจ้าช่วยออกหน้าต้านภัย

เหิงกั๋วกงขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณนับพันนับหมื่นครั้งต่อให้จักรพรรดิหนานจิ้นไม่เอ่ยชื่อ เขาก็ตั้งใจจะขันอาสาไปดูสถานการณ์ด้วยตนเองอยู่แล้ว ไม่ว่าลูกชายหรือรัชทายาทล้วนเป็นคนที่เขาห่วงใย

หลังเลิกประชุม ถังเยว่เดินออกมาพร้อมเหิงกั๋วกงแล้วจ้องมองเขาราวกับสุนัขที่ขอเนื้อไม่ได้ ส่งสายตาละห้อยจนเหิงกั๋วกงทนไม่ไหว

พระชายาอย่าร้อนใจไปเลย ข้าไปด้วยตนเองเช่นนี้ท่านยังมีเรื่องใดไม่วางใจอีกหรือ?”

ถังเยว่อยากบอกเหลือเกินว่าถ้าไม่ได้ไปเห็นกับตาตนเองเขาย่อมไม่มีทางวางใจได้แน่ แต่ก็พูดได้เพียง “เช่นนั้นท่านก็ต้องระวังตัวด้วย ท่านก็อายุมากแล้ว ต้องเร่งบุกป่าฝ่าดงเดินทางไกล ร่างกายอาจทนรับไม่ไหวพูดจบก็ถอนหายใจหลายเฮือกก่อนจะทำท่าเสนอความคิด “เอาอย่างนี้ดีไหม ข้าอาสาขอร่วมเดินทางไปด้วยจะได้คอยดูแลสุขภาพท่านระหว่างเดินทาง

เหิงกั๋วกงฟังแล้วถึงกับหนวดกระดิก

พระชายา ท่านมีแผนใดในใจมีหรือองค์จักรพรรดิจะมิทรงทราบ ในเมื่อไม่ทรงเอ่ยชื่อ นั่นก็หมายความว่าท่านต้องอยู่เฝ้าเมืองเย่เฉิงต่อไปฝ่าบาทไม่ทรงปล่อยให้ท่านมีโอกาสเดินทางไปต่างถิ่นอย่างแน่นอน

จะให้ข้าอยู่เย่เฉิงแล้วได้แต่ร้อนใจก็หามีประโยชน์อันใดไม่

จะไม่มีประโยชน์ได้อย่างไร ขอเพียงมีท่านอยู่เย่เฉิงจวนรัชทายาทก็จะยังคงเป็นจวนรัชทายาท ใครก็ไม่กล้าติฉินนินทากล่าวคำครหา ท่านต้องจำไว้ให้ดีเมืองเย่เฉิงแห่งนี้คือรากฐานที่แท้จริงขององค์รัชทายาท หากท่านสามารถรักษาที่นี่ไว้ได้ก็เท่ากับสามารถรักษาแผ่นดินครึ่งหนึ่งไว้ให้องค์รัชทายาทได้ ภารกิจของพระชายาหนักหนาเอาการเลยทีเดียว

ถังเยว่เข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี ตอนนั้นที่เขากลับมาก็เพราะเหตุผลนี้มิใช่หรือ...

ข่าวจากชายแดนถูกปิดกั้น หากมีข่าวโคมลอยแพร่มายังเมืองเย่เฉิง ทุกคนต่างคิดว่ารัชทายาทมีอันเป็นไปขึ้นมาก็จะเหมือนกับครั้งนี้ ไม่แน่อาจมีคนทูลเสนอให้แต่งตั้งรัชทายาทองค์ใหม่ก็เป็นได้ หลายปีมานี้เหล่าองค์ชายเติบใหญ่ขึ้นหลายคนและใช่ว่าจะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยทั้งหมดเสียที่ไหน บวกกับแรงยุแยงไม่แน่จู่ๆ อาจมีคู่แข่งโผล่ขึ้นมาก็เป็นได้

เหตุผลนี้ถังเยว่ย่อมเข้าใจดี แต่สำหรับเขาแล้วชีวิตคนทั้งแผ่นดินหนานจิ้นรวมกันยังสำคัญไม่เท่าหลี่เจาเพียงคนเดียว อำนาจทางการทหารของหนานจิ้นก็มีเพียงส่วนน้อยที่คนนอกสามารถสั่งการได้ หากมีคนฉวยโอกาสก่อกบฏขึ้นจริงอย่างมากเมื่อหลี่เจากลับมาค่อยแย่งคืนมาก็ได้

ที่องค์จักรพรรดิเลือกใช้ข้าไปครั้งนี้บางทีอาจต้องการให้ข้าอยู่ข้างกายองค์รัชทายาทต่อ นอกจากพาไพร่พลไปด้วยสองหมื่นนาย กำลังพลที่เหลือสามหมื่นข้าขอมอบให้พระชายาเหิงกั๋วกงหันมาขยิบตาส่งสัญญาณให้เขา

เพียงพริบตาถังเยว่ก็กลายเป็นมหาเศรษฐีที่มีอำนาจทางการทหารอยู่ในมือไปแล้ว ยังไม่ทันจะปลุกใจให้ฮึกเหิมก็กดดันเพราะภาระหนักอึ้งที่ต้องแบกรับอยู่บนบ่า ไพร่พลเหล่านี้มิใช่ผู้ที่จะควบคุมกันได้ง่ายๆ หากเป็นไปได้เขาก็หวังว่าจะไม่ต้องใช้ตลอดไปเลยจะดีกว่า เพราะทันทีที่ต้องใช้ย่อมหมายความว่าเกิดวิกฤติในเมืองเย่เฉิงแล้ว

เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วตอบอย่างหนักแน่น

ข้าเข้าใจแล้ว


 

250 ข้าก็มิได้เป็นอาจารย์

คืนวันแห่งการรอคอยช่างยาวนานเหลือเกิน ทุกวันตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก จากพระอาทิตย์ตกรอคอยให้ขึ้นใหม่ ถังเยว่ได้แต่เฝ้ารอว่าจะมีข่าวใหม่ส่งมาด้วยความเป็นทุกข์และกังวลใจ

คุณชาย มีเทียบเชิญใหม่ส่งมาจากจวนมู่เอินโหว อยากเชิญให้ท่านไปช่วยตรวจดูอาการที่จวนขอรับ” พ่อบ้านนำเทียบเชิญฉบับหนึ่งมาวางไว้ข้างหน้า

ถังเยว่เงยหน้าขึ้น ขอบตาดำคล้ำ หน้าเหลืองเหมือนเทียนไข ดูอ่อนเพลียทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่เหมือนคนหนุ่มซึ่งอยู่ในวัยกำลังรุ่งโรจน์เลยสักนิด พ่อบ้านมองด้วยความปวดใจแล้วพูดปลอบหวังให้เขาสบายใจขึ้น

คุณชาย ไม่มีข่าวส่งมาย่อมหมายถึงข่าวดี ในครอบครัวคนทั่วไปหากลูกหลานไปเกณฑ์ทหารล้วนหวังให้ไม่มีข่าวใดๆ ส่งกลับมาจะเป็นการดีที่สุด ท่านควรผ่อนคลายทำใจให้สบายนะขอรับ

ถังเยว่พยักหน้าไม่กล่าวคำใด ลงมือเขียนบทความที่ยังเขียนไม่เสร็จต่อ

เดี๋ยวข้าน้อยจะเป็นผู้ตอบเทียบเชิญฉบับนี้เอง เวลานี้ท่านควรพักผ่อนให้มากจะดีที่สุด

ไม่ต้อง แค่ขอเปลี่ยนให้เขามาที่จวนเราในช่วงบ่าย มู่เอินโหวก็มิใช่คนเลวร้าย แม้ลูกชายจะไม่ค่อยได้ความแต่ก่อนหน้านี้ข้าติดค้างหนี้บุญคุณเขาหนึ่งครั้ง จะได้ถือโอกาสใช้หนี้ที่ติดค้างกันไว้สักที

เช่นนั้นคุณชายไปพักก่อนเถอะ บ่าวจะให้ห้องครัวส่งน้ำแกงร้อนๆ มาให้

ถังเยว่ไม่ได้ปฏิเสธ เขารู้ว่าเวลานี้ตนฝืนร่างกายเกินไป ช่วงกลางวันของทุกวันต้องตรากตรำทำงานหกชั่วยามขึ้นไป ยังต้องใช้เวลาสองชั่วยามอยู่กับเสี่ยวลั่วลั่ว เวลาที่จะได้นอนพักน้อยนิดนั้นไม่เพียงพอมิหนำซ้ำยังหลับไม่สนิท

อย่าลืมส่งคนไปเฝ้าที่นอกเมืองด้วย หากมีข่าวคราวความคืบหน้าให้รีบแจ้งมาทันที เหิงกั๋วกงไปจากเย่เฉิงสองเดือนแล้ว คำนวณเวลาดูน่าจะมีข่าวส่งมาในเร็ววันนี้

ลมหนาวจากไป ใบไม้ผลิมาเยือน ดอกไม้ร่วงโรย ลมร้อนเลือนหาย ตอนนี้ล่วงเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงอีกครั้ง ลมหนาวกำลังจะกลับมาเยือนในอีกไม่ช้า เมื่อนับดูเขากับหลี่เจาพลัดพรากจากกันจวนครบหนึ่งปีแล้ว

คุณชายวางใจเถอะ มีคนเฝ้าอยู่ที่นั่นตลอดทั้งปี ท่านลืมไปแล้วหรือ ซานอายุมากแล้ว ท่านจึงให้เขาเกษียณไม่ต้องทำงาน เขาอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงอาสารับหน้าที่นี้ ไปนั่งอาบแดดอยู่หน้าประตูเมืองเป็นประจำทุกวันมีทหารยามเป็นเพื่อนคุย วันคืนผ่านไปอย่างมีความสุขสบายใจ

ซานน่ะหรือจริงสิ ไม่เจอเขานานแล้ว สุขภาพเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”

ถังเยว่จำได้ว่าฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว ซานเป็นลมไปครั้งหนึ่ง ตรวจดูถึงได้รู้ว่าหัวใจมีปัญหา นับแต่นั้นมาจึงไม่ให้เขาคอยรับใช้ข้างกายอีกแต่ให้เขาได้พักผ่อนใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข

แม้ตอนนี้ยังไม่มีระบบเกษียณอายุ คนแก่ล้วนแต่ต้องพึ่งพาลูกหลาน ดังนั้นจึงมีความคิดเลี้ยงลูกเอาไว้ดูแลตนเองยามแก่เฒ่า แต่ถังเยว่ปฏิบัติกับคนในจวนอย่างใจกว้างเสมือนเป็นคนในครอบครัว เมื่อแก่เฒ่าถึงวัยที่สมควรเกษียณอายุก็จะส่งไปอยู่รวมกันในเรือนที่ชานเมือง มีคนหนุ่มสาวคอยรับใช้อยู่ใกล้ชิด ให้พวกเขาได้ใช้ช่วงสุดท้ายของชีวิตอย่างเป็นสุข

สบายดีขอรับ เขาเป็นคนฝึกยุทธ์ ร่างกายจึงแข็งแรงกว่าคนทั่วไปหลายเท่านัก

พ่อบ้านพูดด้วยใบหน้าเกลื่อนรอยยิ้ม จุดเด่นของพระชายาคือให้ความเคารพผู้อาวุโส รักเด็ก จึงได้ใจคนแก่ไปเต็มๆ ทันทีที่คิดว่าเมื่อตนแก่เฒ่าก็จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยมั่นคงสงบสุข เขาก็ไม่ต้องห่วงกังวลใดๆ อีก

หลังจากบ่าวไพร่ในจวนรู้กฎข้อนี้แต่ละคนยิ่งเร่งไขว่คว้าหาความก้าวหน้า เรื่องที่คนเป็นบ่าวไพร่หวาดกลัวที่สุดคือสิ่งใดน่ะหรือ ก็คือในยามหน้าสิ่วหน้าขวานจะถูกเจ้านายทอดทิ้งน่ะสิ แต่พระชายาเปี่ยมด้วยเมตตา ปฏิบัติกับบ่าวเฒ่าที่แม้ไร้ความสามารถจะทำงานได้แล้วก็ยังให้ความเสมอภาค ไม่เพียงให้เขาได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข ยังเลี้ยงดูอย่างดี ช่างเป็นบุญวาสนาของพวกเขายิ่งนัก

เวลานี้มีบ่าวไพร่ในจวนตั้งไม่รู้เท่าไรเฝ้ารอคอยวันที่พวกเขาจะแก่ชรา จะได้เสพสุขวาสนานั้น ไม่ต้องทำงานและได้ใช้ชีวิตเสมือนดั่งเป็นเจ้านายคนหนึ่ง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่พระชายามอบให้ เช่นนี้แล้วจะมีใครไม่ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระชายาอีกหรือ

ตอนบ่ายมู่เอินโหวมาเยี่ยมเยือนถึงจวนโดยถูกคนหามเข้ามา ใบหน้าของเขาขาวซีด พอเห็นถังเยว่ก็ตื่นเต้นจนพูดจาฟังไม่ได้ศัพท์

เกิดอะไรขึ้น? จำได้ว่าตอนต้นปีข้าได้พบท่านโหวก็ยังสุขภาพแข็งแรงดีอยู่ ยังวิ่งได้กระโดดได้อยู่เลยนี่นา” ถังเยว่แสดงความเป็นห่วงเป็นใย ล้างมือจนสะอาดแล้วสวมถุงมือเตรียมตรวจดูอาการให้ผู้มาเยือน

เฮ้อ! เรื่องมันยาว” มู่เอินโหวสั่งให้คนประคองเขาลุกแล้วเลิกชายเสื้อขึ้น เผยให้เห็นขาข้างหนึ่งที่ยืนตรงไม่ได้ “หลายวันก่อนข้าไปขี่ม้าที่นอกเมือง ไม่ดูสังขารตัวเองนึกว่ายังหนุ่มแน่นแข็งแรงอยู่ ผลปรากฏว่าตกจากหลังม้าจนมีสภาพอย่างที่เห็น

แค่ขาหักอย่างเดียวหรือ?” ถังเยว่คลำกระดูกขาเบาๆ พบรอยกระดูกหักแต่ได้รับการรักษาเยียวยาแล้วเขาจึงขมวดคิ้วถาม “กระดูกที่หักก็ได้รับการรักษาแล้วนี่ ผลการเชื่อมต่อก็ค่อนข้างดีด้วย ท่านไม่สบายตรงไหนอีกหรือ?”

มู่เอินโหวส่ายหน้า “ความจริงแล้ววันนี้ที่ข้ามาหาท่านถึงนี่มิใช่เพื่อตรวจดูอาการบาดเจ็บ แต่เพราะข้ามีเรื่องมาขอร้อง

ถังเยว่ปล่อยชายเสื้อเขาลง “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เชิญท่านพูดมาได้เลย

มู่เอินโหวทอดถอนใจกล่าว “ต้องโทษที่ลูกข้ามันไม่เอาถ่าน เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้เขาไปมีเรื่องกับชาวบ้านจึงถูกคนลอบกัดเข้าให้ หมู่นี้มักอารมณ์แปรปรวน ข้าเกรงว่าเขาจะเกิดเรื่อง ได้แต่อกสั่นขวัญแขวนอยู่ทุกวันข้าได้ข่าวว่าเมื่อก่อนคุณชายเคยดัดนิสัยซื่อจื่อแห่งเหิงกั๋วกงจนเขากลายเป็นคนดีได้ ไม่ทราบว่าคุณชายช่วยรักษาลูกข้าอีกสักคนจะได้หรือไม่?”

ท่านจะให้ข้าช่วยดัดนิสัยเขางั้นหรือ?”

ถูกต้องที่สุด ข้ารู้ว่าคุณชายมีงานรัดตัว ตามหลักแล้วไม่ควรมารบกวน แต่ครั้งนี้หลังจากข้าได้รับบาดเจ็บเห็นเขาเหมือนสำนึกผิดจึงอยากจะช่วยเขา หวังว่าคุณชายจะให้อภัย เห็นแก่จิตใจของคนเป็นพ่อที่รักลูก

แน่นอน” ถังเยว่พูดยิ้มๆ “คำขอร้องของท่านเป็นเรื่องปกติมาก เพียงแต่ข้างานยุ่งมากจริงๆ เกรงว่าคงไม่ว่างที่จะแนะนำสั่งสอนบุตรชายท่าน แต่ข้าคิดว่ามีที่หนึ่งเหมาะกับเขา

หือ ที่ใดหรือ?”

สนามรบ” ถังเยว่เพิ่งพูดได้แค่นั้นก็เห็นสีหน้าฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนไปทันตา เขาจึงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “บัดนี้แผ่นดินมีภัย มีลูกผู้ชายมากมายที่ไปแสดงความจงรักภักดีตอบแทนแผ่นดินอยู่ในสนามรบ ยอมพลีชีพไม่เกรงกลัวต่อความตาย เมื่ออยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนั้นย่อมไม่มีทางทำเรื่องชั่วช้าได้แน่

เอ่อเกรงว่าจะไม่เหมาะ ลูกข้าถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย แบกรับภารกิจใหญ่หลวงเช่นนั้นไม่ไหวหรอก...

ถังเยว่ถามแทรกขึ้น “ท่านโหวรู้สึกว่าจ้าวซานหลางเป็นคนอย่างไร?”

มู่เอินโหวครุ่นคิดสักพัก “นิสัยดีกว่าลูกชั่วของข้ามาก เพียงแต่…”

เพียงแต่เป็นทายาทลูกผู้ดีมีเงินที่ไม่เอาการเอางานถูกต้องหรือไม่?”

เหอะๆ หากลูกชายข้าเป็นได้อย่างเขา ข้าก็พอใจแล้ว

นี่คือความคิดในแบบที่เทียบคนเก่งไม่ได้ แต่หากเทียบกับคนธรรมดายังพอไหว ผู้เป็นบิดามักจะคิดกันเช่นนี้ ทันทีที่บุตรชายของเขาเทียบกับจ้าวซานหลางได้ก็จะเรียกร้องอยากให้ลูกเก่งกว่านี้ ดีกว่านี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ท่านรู้หรือไม่ว่าเวลานี้จ้าวซานหลางทำอะไร อยู่ที่ไหน?”

ได้ยินว่าเขาไปติดตามองค์รัชทายาท นอกจากนั้นข้าก็ไม่รู้

ท่านเคยได้ยินหรือไม่ว่าใต้สังกัดองค์รัชทายาทมีทหารส่วนพระองค์กองทัพหนึ่ง?”

มู่เอินโหวหัวเราะเหอะๆ สีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย ขุนนางทั่วทั้งราชสำนักต่างรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ทุกคนต่างมีทัศนะความคิดเห็นแตกต่างกัน หากจะพูดกันตามตรงสุดท้ายก็คือเรื่องใหญ่ที่ละเมิดกฎเกณฑ์ ไม่รู้ว่าพระชายากำลังคิดสิ่งใดอยู่ถึงหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูด มู่เอินโหวจึงได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อน

ทหารกองทัพนั้นก็คือทหารราบเกราะหนักทัพหนึ่ง จ้าวซานหลางก็เป็นหนึ่งในจอมทัพชั้นสูงของกองทัพนั้น เขาใช้ความสามารถของตัวเองสร้างผลงานไต่เต้าขึ้นมา ท่านรู้หรือไม่ว่าหลายปีมานี้เขามีชีวิตความเป็นอยู่เช่นไร?”

มู่เอินโหวประหลาดใจเล็กน้อย ข้อแรก แปลกใจที่พระชายาเป็นฝ่ายเอ่ยเรื่องนี้กับเขาก่อน ข้อสอง เขาอยากรู้ว่าจ้าวซานหลางผ่านประสบการณ์ชีวิตอย่างไรกันแน่ ได้ยินว่าซื่อจื่อแห่งเหิงกั๋วกงก็ติดตามองค์รัชทายาทเช่นกัน หากวิเคราะห์จากอารมณ์ในตอนนี้ของเหิงกั๋วกง ลูกชายเขาจะต้องมีพัฒนาการไปในทิศทางที่ดีขึ้นแน่ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ยิ้มกริ่มทั้งวัน

หนึ่งปีมีสามร้อยหกสิบห้าวัน หนึ่งวันมีสิบสองชั่วยาม ในระยะเวลาห้าปีมานี้จ้าวซานหลางแทบไม่ได้หยุดพักเลย เขาฝึกแล้วฝึกอีก ฝึกซ้อมฝึกฝนอยู่อย่างนั้น เสียเหงื่อไปมากมายไม่รู้เท่าไรกว่าจะได้รับการยอมรับจากทุกคนในที่สุด ความจริงเขาไม่ต้องดิ้นรนถึงขนาดนี้ก็ได้ ด้วยความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อนทุกคนย่อมต้องยื่นมือช่วยเหลือเขาแน่ แต่เขาไม่อยากเป็นหุ่นเชิดของใคร ไม่อยากถูกคนอื่นคิดว่าหลังออกมาจากจวนเจิ้นกั๋วกงแล้วเอาตัวไม่รอด ท่านคิดว่าความขยันหมั่นเพียรหลายปีมานี้ของเขาอาศัยสิ่งใดประคับประคองงั้นหรือ?”

นานแล้วที่มู่เอินโหวไม่ได้ยินคนเอ่ยถึงเจิ้นกั๋วกง หลังจากเขาล่วงลับตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงก็ถูกราชสำนักริบคืน บุตรชายคนโตซึ่งเกิดแต่อนุภรรยาของเขาจนบัดนี้ก็เป็นได้แค่ขุนนางเล็กๆ ในกองทัพ เกรงว่าชาตินี้ทั้งชาติคงไม่ต้องหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งกับใครเขา มู่เอินโหวไม่รู้ว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นพระชายามีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่ แต่ก็สามารถสรุปได้ว่าในตอนนี้เขากลายเป็นคนไร้อนาคตไปแล้ว

ตรงกันข้ามกับจ้าวซานหลางที่เคยถูกมองข้าม สุดท้ายกลับกลายเป็นเพชรที่ยังไม่ถูกเจียระไน รอให้เขาชนะศึกกลับมาคาดว่าตำแหน่งขุนนางน่าจะสูงกว่าตนด้วยซ้ำ

ปณิธานอย่างไรเล่า เขาอาศัยความมุ่งมั่นตั้งใจ ไม่ย่อท้อต่อปัญหาอุปสรรค ไม่หวาดกลัวว่าจะได้รับบาดเจ็บหรือป่วยไข้ ยืนหยัดมุ่งมั่นมาตลอดห้าปีเต็ม เอาไว้ท่านโหวได้เจอเขาคราวหน้า ค่อยดูว่าเขาเหมือนหรือต่างจากที่ท่านจินตนาการไว้ก็แล้วกัน

เหอะๆมู่เอินโหวหัวเราะแห้งๆ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีความคิดที่จะส่งลูกไปออกรบ สถานการณ์ของทัพใหญ่ตอนนี้เป็นเช่นไรก็ยังไม่รู้ กระทั่งรัชทายาทก็ยังไม่แน่ว่าจะได้กลับมาหรือไม่ ถ้าเขาส่งลูกไปสนามรบ มิเท่ากับเป็นการส่งลูกไปตายหรอกหรือ?

รบกวนคุณชายแล้ว ข้าขอตัวกลับไปสั่งสอนเขาก่อน ให้เขาได้เข้าใจว่าตัวเองคนละชั้นกับชาวบ้าน จะเฆี่ยนตีจนกว่าเขาจะได้ดี

ถังเยว่ไม่ฝืนใจอีกฝ่าย นี่เป็นสามัญสำนึกของคนทั่วไป เพียงแต่เขาไม่ชอบวิธีสั่งสอนแบบตามใจให้ท้ายลูกของมู่เอินโหว การสอนลูกไม่ใช่ว่ายิ่งให้ท้ายจะยิ่งเป็นผลดี ให้ท้ายตอนนี้จะก่อให้เกิดหายนะในวันหน้า ไว้ถึงเวลานั้นจะใช้สิ่งใดมาลบล้างความผิดของเขาได้

หลังจากพ่อบ้านออกไปส่งมู่เอินโหว ถังเยว่ก็นั่งเหม่อใจลอยสักพัก กระทั่งพ่อบ้านเดินกลับมาพบว่าถังเยว่ยังนั่งอยู่ในท่าเดิมตั้งแต่ก่อนที่เขาจะออกไปจึงพูดเตือน

คุณชาย ท่านปฏิเสธมู่เอินโหวเช่นนี้ เขาจะไม่จดบัญชีแค้นไว้ในใจหรือขอรับ?”

ถ้าเขาจิตใจคับแคบเช่นนั้น ก็ปล่อยให้เขาคิดแค้นไปเถอะ

ถังเยว่ไม่คิดจะเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ เขาไม่ได้เป็นครูที่จะต้องมาคอยรับผิดชอบอบรมสั่งสอนลูกชาวบ้าน

ขณะที่ถังเยว่กำลังจะกลับไปห้องทรงพระอักษร บ่าวคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจากด้านนอกพูดละล่ำละลักว่า “คุณชาย...นอกประตูเมืองมีข่าวส่งมาบอกว่าเห็นม้าเร็วตัวหนึ่งวิ่งเข้าเมืองมา ถือป้ายผ่านด่านจากชายแดนมาด้วย ตอนนี้เข้าวังไปแล้วขอรับ!

ถังเยว่ผุดลุกขึ้นโพล่งถามทันควัน “ได้ข่าวใดบ้างหรือไม่?”

ไม่เลยขอรับ คนผู้นั้นรีบร้อนมาก ซานตามไปได้ระยะหนึ่งก็ตามต่อไม่ทันแล้ว ตอนนี้ซานเฝ้าอยู่นอกพระราชวัง หากมีความคืบหน้าจะรีบส่งคนกลับมาแจ้งข่าวให้ทราบทันทีขอรับ

ถังเยว่วิงวอนต่อสวรรค์ขอให้หลี่เจารอดพ้นด่านนี้ได้อย่างราบรื่นไม่เช่นนั้นชีวิตที่เหลือจากนี้ของเขาจะมีความหมายใดอีก!


 

251 พวกเจ้ามาจับชู้สินะ?

ถังเยว่ยิ่งรอยิ่งร้อนใจ จึงสั่งให้พ่อบ้านเตรียมรถม้าส่วนตัวเองกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ แล้วรีบขึ้นรถม้าเข้าวังทันที

พระชายา ขอโปรดพระราชทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ จักรพรรดิทรงมีรับสั่งไว้ ไม่ว่าใครก็ไม่อนุญาตให้รบกวน ข้าบาทเคยทูลแจ้งให้ทรงทราบแล้วมิใช่หรือ?”

หน้าห้องทรงพระอักษร ขันทีใหญ่เอ่ยกับถังเยว่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ถังเยว่รู้ว่าเขาตัดสินใจเองโดยพลการไม่ได้ต้องมีบัญชาจากจักรพรรดิจึงถามกลับไป

ทหารที่มาแจ้งข่าวจากฉู่โจวกำลังกราบทูลจักรพรรดิอยู่ด้านในหรือ?”

ใช่พ่ะย่ะค่ะ

เข้าไปนานแค่ไหนแล้ว?”

ประมาณครึ่งชั่วยามแล้วพ่ะย่ะค่ะ

เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขามาส่งข่าวเรื่องใด?”

ขันทียิ้มแล้วยิ้มอีก “ทรงเย้าข้าบาทแล้ว ข่าวประเภทนี้ข้าบาทจะรู้ได้อย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ

ถังเยว่ไม่อยากสร้างความลำบากใจให้เขาจึงยืนรออยู่หน้าประตูถึงขั้นเอาหูแนบประตูเงี่ยฟังแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงพูดคุยอะไรจากด้านในเลยแม้แต่น้อย

พระชายา ทรงทำเช่นนี้ไม่ดีนะพ่ะย่ะค่ะ หากใครมาเห็นเข้าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ มิสู้พระองค์ไปรอที่ตำหนักปีกก่อนไม่ดีกว่าหรือ

ถังเยว่ส่ายหน้า “ไม่ ข้าจะรออยู่ที่นี่

โปรดวางพระทัย หากด้านในมีการเคลื่อนไหวข้าบาทจะรีบทูลแจ้งให้ทรงทราบทันที

ท้ายที่สุดถังเยว่ก็ต้องไปรอที่ตำหนักปีก มีขุนนางจำนวนไม่น้อยมารอเข้าเฝ้าอยู่หน้าห้องทรงพระอักษร ทุกคนพอเห็นเขาต่างก็ตรงเข้ามาทักทายหลายประโยค แต่เวลานี้เขาไม่มีอารมณ์จะโอภาปราศรัยกับใครทั้งสิ้นจึงเดินปลีกตัวไปยังตำหนักปีกเพียงลำพัง

นางกำนัลยกน้ำชาหนึ่งกากับขนมอีกสองสามจานมาให้ วันนี้ถังเยว่กินข้าวไปไม่ถึงสองคำ พอเห็นขนมจึงหยิบขึ้นมากินแล้วรินชายกขึ้นดื่มดับกระหาย แต่ไม่รู้ว่าเพราะวันนี้เขาดื่มน้ำน้อยไปหรืออย่างไร เพียงไม่นานก็รู้สึกปากแห้งขึ้นทุกทีแม้แต่ลำคอก็แห้งผากจึงตะโกนออกไปด้านนอก

นางกำนัล!

นางกำนัลคนหนึ่งเดินก้มหน้าเข้ามา ถังเยว่ไม่ได้มองให้ชัดจึงไม่รู้ว่าใช่คนเดียวกับนางกำนัลคนก่อนหน้านี้หรือไม่ แต่เขาก็มิได้ใส่ใจเพียงสั่งนางว่า “รินน้ำมาให้ข้าถ้วยหนึ่ง

เพคะ

นางกำนัลค้อมกายรับคำสั่ง ออกไปไม่นานก็กลับมาใหม่ ในมือยกชาร้อนมาหนึ่งถ้วย ค่อยๆ ก้าวเข้ามาตรงหน้า ถังเยว่ยื่นมือออกไปเตรียมรับถ้วยชาแต่อีกฝ่ายกลับปล่อยมือเร็วเกินกว่าที่คาด เขารีบยื่นมือไปคว้าถ้วยทำให้ชาร้อนหกราดรดบนต้นขาทั้งถ้วย

โอ๊ย…!” ถังเยว่ถูกน้ำร้อนลวกจนสะดุ้งลุกพรวดขึ้น พลางสะบัดปัดน้ำบนเสื้อคลุม

พระชายา! โปรดพระราชทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันเลินเล่อ โปรดพระราชทานอภัยด้วย!นางกำนัลรีบทรุดกายคุกเข่าลงตรงหน้า โขกศีรษะละล่ำละลักพูดรับผิด

หากเป็นยามปกติถังเยว่อาจพูดปลอบนางสักสองสามประโยค แต่วันนี้จิตใจเขากำลังจดจ่อกับข่าวจากสมรภูมิไหนเลยจะมีอารมณ์ทำเยี่ยงนั้น เขาโบกมือให้อีกฝ่ายออกไปแต่มิได้กล่าวโทษนาง

ไม่รู้ว่านางกำนัลน้อยตกใจจนเสียสติหรืออย่างไรจึงไม่ยอมออกไปแต่กลับคลานมาข้างเท้าถังเยว่ แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าช่วยเช็ดคราบน้ำที่เปื้อนเสื้อผ้าให้เขา

อีกประเดี๋ยวพระองค์ต้องเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ จะปล่อยให้เสื้อผ้าเปื้อนเปรอะเช่นนี้ไม่ได้ มิสู้ทรงถอดฉลองพระองค์ออกมา หม่อมฉันจะนำไปทำความสะอาดแล้วรีบนำกลับมาให้ ดีหรือไม่เพคะ?”

ถังเยว่ย่อมรู้ดีว่าหากไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิหนานจิ้นในสภาพนี้จะผิดธรรมเนียม แต่เขาก็ไม่อยากทำตัววุ่นวายในวังหลวงจึงสั่งนางว่า เจ้าไปตำหนักพระอัครมเหสี กราบทูลพระนางว่าขอให้ส่งเสื้อผ้าของรัชทายาทมาให้ข้าผลัดเปลี่ยนหนึ่งชุดก็พอ

นางกำนัลปาดน้ำตาร้องไห้คร่ำครวญ

โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ! หากให้พระอัครมเหสีทรงทราบเรื่องนี้หม่อมฉันต้องถูกลงโทษแน่เพคะ

ถังเยว่พูดแทรกขึ้นด้วยความรำคาญ

ถ้าทรงถามเจ้าก็บอกว่าข้าไม่ทันระวังทำเสื้อผ้าเปื้อนเองก็แล้วกัน

ถังเยว่นึกอยากบอกนางเหลือเกินว่าเวลานี้เขากำลังร้อนใจ เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้คนเราควรมีสามัญสำนึกพื้นฐานกันบ้าง อย่างน้อยต้องรู้ว่าเวลาไหนควรบุก ควรถอย ควรประเมินสถานการณ์ให้เป็น

นางกำนัลเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาสุกใสดั่งมีน้ำหมึกแต่งแต้มจ้องมองเขาขณะพูดด้วยน้ำเสียงไพเราะอ่อนหวาน

หม่อมฉันหม่อมฉันเคยปรนนิบัติองค์รัชทายาทมาก่อน… พวกเขาคงไม่เชื่อหรอกเพคะ

ว่าอย่างไรนะ?”

ถังเยว่พอได้ยินประโยคนี้ก็ถึงกับตกตะลึงเพราะคิดไปว่าสตรีนางนี้เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหลี่เจา แต่พอตรองดูแล้วก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ หากหลี่เจามีความสัมพันธ์กับนางจริงย่อมไม่ปล่อยให้นางยังเป็นนางกำนัลอยู่ในวังหลวงต่อไปแน่ ต่อให้เขายอม พระอัครมเหสีก็ต้องไม่มีทางยอมเด็ดขาด เห็นได้ชัดว่าถ้อยคำของนางเป็นเท็จและมีเจตนาทำให้เขาเข้าใจผิด แต่ในเวลานี้ถังเยว่ไม่มีกะจิตกะใจจะคิดสืบหาความจริงว่าที่นางทำเช่นนี้มีเงื่อนงำใดซ่อนอยู่กันแน่ ได้แต่โบกมือตัดรำคาญ

เอาละ เจ้าออกไปได้แล้ว

เอ่อ...คือ…”

ความอดทนของถังเยว่ใกล้ถึงขีดสุด ขณะที่เขากำลังจะอาละวาดก็ได้ยินว่าด้านนอกมีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ ไม่แน่ว่าอาจมีคนมาตามให้ไปเข้าเฝ้า เขาจึงรีบยืนขึ้นแล้วสาวเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า แต่ใครจะรู้ว่าเพียงแค่ก้าวเท้าก็ถูกขัดขาให้ล้มคะมำ ถังเยว่ไม่ทันระวังจึงเซถลาล้มลง โดยมีร่างนุ่มนิ่มเนื้ออุ่นของนางกำนัลสาวน้อยถูกเขาทาบทับอยู่ข้างใต้ และก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรือเป็นเพราะแผนการของใคร มือคู่นั้นของเขาถึงได้วางแปะอยู่บนก้อนเนื้ออวบหยุ่นของนางได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ยังไม่ทันที่ถังเยว่จะคิดอ่านประการใดประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงกรีดร้องแสบแก้วหู ถังเยว่หรี่ตามองเสื้อผ้าหลุดลุ่ยของสตรีที่อยู่ใต้ร่างแล้วมีหรือจะไม่รู้ว่านี่เป็นกลลวงที่มีคนวางแผนไว้ ไม่เช่นนั้นในเวลาชั่วพริบตาเหตุใดหญิงสาวจึงปลดเปลื้องอาภรณ์ภายนอกที่ห่อหุ้มกายนางออกจนแทบหมดสิ้น เผยให้เห็นผ้าเอี๊ยมสีชมพูด้านใน เนินอกอวบหยุ่นวับแวมสู่สายตา หากเป็นผู้ชายปกติทั่วไปคาดว่าต้องต้านทานต่อความเย้ายวนนี้ไม่ไหวแน่

มิน่าล่ะนางกำนัลผู้นี้ถึงได้ลีลาลวดลายไม่ยอมออกไปสักที ที่แท้ก็รอให้เขาติดกับนี่เอง!

พระ...พระชายา!

ผู้ชมหน้าประตูถึงกับปากอ้าตาค้างไปตามๆ กัน ถังเยว่ที่ตอนนี้มีสีหน้าบึ้งตึงดึงมือออก แล้วขยับลุกขึ้นปัดฝุ่นตามเนื้อตัว จากนั้นจึงเดินกลับไปนั่งด้านหลังโต๊ะด้วยท่วงท่าสง่างามดังเดิม เขาหัวเราะขึ้นมาเสียงหนึ่ง

ฮึ! มาได้เวลาพอดีเชียวนะ ว่าแต่พวกเจ้าจะเอาอย่างไร คิดฉวยโอกาสตอนรัชทายาทไม่อยู่แล้วปลดข้าออกจากตำแหน่งงั้นสิ?”

นางกำนัลคุกเข่าร้องห่มร้องไห้ สองมือกอบกุมหน้าอกไว้แน่น นางไม่พูดอะไรสักคำเอาแต่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น คงต้องการให้คนที่พบเห็นรู้สึกว่านางมีสภาพเหมือนเพิ่งถูกข่มเหง ที่หน้าประตูมิได้มีผู้ชมแค่คนเดียว นอกจากขันทีน้อยที่จะมาตามเขาไปเข้าเฝ้าแล้วยังมีขุนนางอีกสองคนยืนอยู่ด้วย

ถังเยว่เขม้นมองจ้องให้ชัดเจน ตอนนี้ถึงจำได้ว่าขุนนางสองท่านนั้นเป็นผู้ตรวจราชการ แบบนี้มิเท่ากับว่าเขาเป็นหมูที่วิ่งมาชนปังตอหรอกหรือ หากเรื่องนี้เกิดขึ้นนอกวังทุกคนยังพอจะลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งปล่อยให้ผ่านไปได้ แต่เรื่องนี้ดันมาเกิดในวัง มิหนำซ้ำยังถูกพวกเขาเห็นคาตาหากไม่ถวายฎีกากราบทูลก็จะถือเป็นการละเลยหน้าที่ ทำให้ชื่อเสียงของตัวเองต้องมัวหมอง

ผู้ตรวจราชการทั้งสองหันมองสบตาและยิ้มเจื่อนขึ้นพร้อมกัน เหตุใดคนที่มาเจอเรื่องแบบนี้ต้องเป็นพวกเขาด้วยนะ! ทว่าในใจพวกเขากลับไม่นึกสงสัยสักนิดว่าสิ่งที่เห็นนี้เป็นเรื่องจริงหรือถูกใส่ความ เหตุเพราะรัชทายาทเจาจากไปเกือบปี พระชายาเป็นบุรุษ หากจะมีความต้องการทางกายบ้างก็ถือเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นเมื่อพบเจอนางกำนัลหน้าตาสะสวยอีกทั้งอยู่ในสถานที่รโหฐานด้วยกันตามลำพัง หากเกิดอารมณ์อยากร่วมสัมพันธ์ด้วยก็หาใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใดไม่ เพียงแต่ว่า...เหตุใดพระชายาต้องมาตบะแตกในวังหลวงด้วยเล่า แบบนี้จะพลอยให้ทุกคนติดร่างแหกันไปด้วยน่ะสิ!

ดูจากสถานการณ์แล้วถังเยว่รู้ว่าอธิบายไปก็ไม่เกิดประโยชน์และเขาก็คร้านที่จะพูดจึงเอ่ยถามขันทีน้อย

จักรพรรดิทรงอนุญาตให้ข้าเข้าเฝ้าแล้วหรือ?”

ขันทีน้อยมีหน้าที่มาแจ้งข่าวแต่เพราะตกใจกับภาพเหตุการณ์เมื่อครู่จึงตอบอย่างลนลาน

มะ...มิได้พ่ะย่ะค่ะ เอ่อ...เป็นจางกงกง...จางกงกงให้ข้าบาทมาแจ้งให้พระชายาทรงทราบว่าวันนี้องค์เหนือหัวไม่สะดวกให้พระองค์เข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ

เพราะเหตุใด?”

ข้าบาทไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ

ถ้าเช่นนั้นทหารที่อยู่ในห้องทรงพระอักษรเมื่อครู่ออกมาแล้วหรือยัง?”

ข้าบาทไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ

ถังเยว่มุมปากกระตุกขึ้นมาทันที อารมณ์ฉุนเฉียวเริ่มปะทุเดือดพล่าน

เช่นนั้นข้าก็จะรออยู่ที่นี่ จักรพรรดิทรงสะดวกเมื่อไรมาตามข้าก็แล้วกัน!

หนึ่งในสองผู้ตรวจราชการเอ่ยเตือนเขาด้วยความหวังดี

พระชายา เสด็จกลับจวนก่อนไม่ดีหรือพ่ะย่ะค่ะ เหนือหัวเพิ่งมีรับสั่งเรียกท่านกั๋วกงและท่านอัครเสนาบดีมาประชุมราชกิจ คงไม่ประชุมเสร็จในชั่วเวลาสั้นๆ หรอกพ่ะย่ะค่ะ

ถังเยว่เหยียดยิ้มเย็นชา “เช่นนั้นพวกท่านมาทำอะไรที่นี่?”

จะบอกว่ามาจับชู้โดยเฉพาะอย่างนั้นหรือ?

เอ่อ…”

ผู้ตรวจราชการทั้งสองก็เพิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล พวกเขาเข้าวังขอเข้าเฝ้าจักรพรรดิเพื่อยื่นมติกล่าวโทษโหวท่านหนึ่งที่รังแกบุรุษข่มเหงสตรี แต่หลังจากทราบว่าจักรพรรดิทรงกำลังประชุมหารือราชกิจกับขุนนางใหญ่หลายท่านก็เตรียมจะถอดใจกลับไป แต่ตอนนั้นมีขันทีใหญ่ท่านหนึ่งพูดขึ้นว่าอีกประเดี๋ยวจักรพรรดิจะเรียกพวกเขาเข้าเฝ้า เดินทางไปๆ กลับๆ จะยุ่งยาก ดังนั้นจึงจัดให้พวกเขามาพักในตำหนักปีก หลังจากนั้นก็มาเห็นฉากเมื่อครู่นี้เข้า ตอนนี้พอคิดดูแล้วจักรพรรดิจะต้องกำลังร้อนใจเรื่องศึกสงครามแน่ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะเรียกพวกเขาเข้าพบ เห็นทีพวกเขาคงตกหลุมพราง เป็นเครื่องมือของคนชั่วที่มีจิตคิดร้ายเข้าให้แล้ว

ไม่ว่าพระชายาจะทรงเชื่อหรือไม่แต่พวกกระหม่อมไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ด้วยเลยสักนิด

มีหรือไม่เราคุยกันได้ ที่นี่มีแค่พวกเราสี่คน หนึ่งในนั้นตัดทิ้งไปไม่ต้องใส่ใจ พวกเจ้าทั้งสองคิดจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?”

ผู้ตรวจราชการทั้งสองพลันรู้สึกเนื้อตัวสั่นตะครั่นตะครอขึ้นมาทันที

พระชายาโปรดพระราชทานอภัยให้กระหม่อมด้วย พวกกระหม่อมต้องทำตามหน้าที่ ในเมื่อถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว คนหลังม่านผู้นี้ย่อมรู้ว่ากระหม่อมทั้งสองไม่มีทางปิดบังเรื่องนี้แน่

ในเมื่อรู้แล้วว่าเป็นกลลวงก็ยังจะทูล เช่นนี้มิเท่ากับพวกท่านคิดหลอกลวงเบื้องสูงอย่างนั้นหรือ?” ถังเยว่รู้คุณลักษณะพิเศษของผู้ตรวจราชการพอสมควร รู้ว่าคนพวกนี้เพื่อชื่อเสียงเกียรติยศแล้วแม้ต้องตายก็ไม่เสียดายชีวิต เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่โต ทุกคนสามารถทำเป็นลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งแล้วปล่อยผ่านไปได้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าคนที่วางแผนใส่ร้ายเขาย่อมไม่มีทางยอมจบเรื่องแค่นี้แน่ ไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะมาไม้ไหนอีก ขณะคิดมาถึงตรงนี้ร่างหนึ่งก็วิ่งผ่านตาไปตามด้วยเสียงดังโครม เมื่อเขาหันไปมองก็พบว่านางกำนัลน้อยที่นั่งร้องห่มร้องไห้อยู่เมื่อครู่จู่ๆ ก็ลุกขึ้นวิ่งเอาศีรษะชนเสา เลือดสดๆ ไหลทะลัก ร่างอ่อนยวบทรุดกองลงกับพื้น

เยี่ยม! ไม่ต้องให้เขาลงมือจัดการปิดปาก นางก็จัดการปิดปากตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ถังเยว่ยกมือกุมขมับ สามารถคาดเดาแผนต่อจากนี้ได้ทันที ครั้งนี้เขาประมาทเกินไปจริงๆ นี่คงเป็นเพราะในอดีตเขาไม่ค่อยได้ดูละครศึกแย่งชิงในวังหลัง

เขาก้าวเท้าเดินไปข้างตัวนางกำนัล ก้มลงไปตรวจสอบดูก็พบว่านางยังมีลมหายใจอยู่ เขาหัวเราะเย็นชา “ข้ารู้ว่าเจ้ารนหาที่ตาย ตามหลักแล้วขอเพียงเจ้ายังมีลมหายใจข้าก็สามารถช่วยชีวิตเจ้าได้ แต่ไยข้าต้องทำเช่นนั้นด้วยเล่า ในเมื่อเจ้าอยากตายข้าก็จะช่วยสงเคราะห์ให้เจ้าได้สมหวัง

สายลมเย็นเยือกพัดวูบเข้ามาในห้อง ผู้ตรวจราชการทั้งสองก้มหน้าลงไม่กล้ามอง จะไปก็ไม่ดี จะอยู่ต่อก็แสนกระอักกระอ่วน พวกเขาคิดวนเวียนเป็นพันเป็นหมื่นรอบว่าจะรับมือกับสถานการณ์ต่อจากนี้อย่างไรดี ในระหว่างที่พวกเขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ถังเยว่ก็มองลมหายใจของนางกำนัลผู้นั้นแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดนิ่งลง เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งด้วยความรู้สึกหดหู่เศร้าหมอง ในโลกปัจจุบันเขาเป็นหมอ ข้ามมิติย้อนกาลเวลากลับมาเขาก็ยังคงเป็นหมอ เรื่องที่เห็นคนใกล้ตายแต่กลับไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยนี้จึงไม่ต่างจากการเอามีดมาปักลงกลางใจ สิ่งนี้โหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งกว่ากลอุบายใดๆ


 

252 ลูกมิได้อดอยากปากแห้ง

จนถึงขั้นแยกแยะชายหญิงไม่ออก!

เรื่องใหญ่ขนาดนี้ย่อมปิดไม่มิดแน่ เพียงไม่นานก็มีทหารยามกับนางกำนัลขันทีในวังเข้ามา พอเห็นสภาพภายในห้องก็กรีดร้องเสียงแหลม อาจหาญทึกทักคาดเดาไปเอง

สภาพการตายของนางกำนัลผู้นั้นไม่น่ามองนัก เสื้อแสงหลุดลุ่ยไม่เรียบร้อยลักษณะเหมือนถูกข่มเหงรังแกจนสุดจะทนรับได้จึงต้องฆ่าตัวตาย ไม่ว่าใครมาเห็นย่อมต้องคิดไปในทางอกุศลด้วยกันทั้งนั้น และภายในห้องนี้ก็มีแต่พระชายาที่น่าสงสัย เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะว่าบนเสื้อผ้าเขามีคราบน้ำน่าสงสัยน่ะสิ ทั้งยังมีผ้าเช็ดหน้าสีฉูดฉาดติดอยู่ที่ชายเสื้อ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของใช้สตรี

ถังเยว่รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาทันที ผู้ที่คิดอุบายชั่วช้าเช่นนี้ขึ้นมาแม้จะไม่ถึงกับชาญฉลาด แต่ก็ได้ผลไม่น้อย แผนการตื้นเขินเช่นนี้สามารถทำให้เขาถึงกับน้ำท่วมปากไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรเลยจริงๆ

ขณะที่ถังเยว่กำลังใคร่ครวญว่าจะจากไปทั้งอย่างนี้เลยดีหรือไม่นั้น ก็มีเสียงเกรี้ยวกราดดังมาจากด้านนอก

เกิดอะไรขึ้น?”

เยี่ยม! เรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ ซะแล้วสิ

ถังเยว่เตรียมตัวเตรียมใจไว้อย่างเต็มที่ จึงลุกขึ้นทำความเคารพแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ติดอยู่บนตัวโยนทิ้งไป

ขันทีน้อยคุกเข่าคลานไปเบื้องหน้าจักรพรรดิหนานจิ้น เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดลออ แน่นอนว่าเขาเล่าเฉพาะเรื่องที่ตนเข้ามาเห็นโดยมิได้แต่งเติม เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว จะจริงหรือเท็จหากยิ่งฟังยิ่งชวนให้รู้สึกสงสัย พูดครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้ยิ่งชวนให้คนฟังนำไปคิดต่อเองดีนักแล

ลองคิดดูสิ ชายหญิงอยู่กันตามลำพังในห้องสองต่อสอง ต่อมาฝ่ายหญิงถึงกับปลิดชีพตนในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย เรื่องราวเป็นมาอย่างไร เกิดอะไรขึ้นนั้นคงเดาได้ไม่ยาก มิหนำซ้ำแม้บุรุษผู้นี้อยู่ในฐานะพระชายารัชทายาทแต่ก็เปล่าเปลี่ยวอ้างว้างร้างราจากพระสวามี คาดว่าคงไม่ได้ปลดปล่อยมานาน อาจเพราะอัดอั้นมานานเกินไปจนทนไม่ไหวจึงเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้น เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลและสามารถเข้าใจได้มิใช่หรือนางกำนัลสาวน้อยที่สวยสดงดงามต่อให้ทำอะไรนางก็คงไม่ได้รับโทษหนักมิใช่หรือ

ทว่าบุรุษผู้นี้คงไม่คิดว่าตนจะมาเจอหญิงใจเด็ด ยอมตายแต่ไม่ยอมถูกข่มเหง ดังนั้นเนื้อเรื่องจึงเปลี่ยนมามีสภาพอย่างที่เห็น พูดอีกอย่างก็คือนอกจากขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังต้องเสียข้าวสารอีกกำมือ เสื่อมเสียชื่อเสียงแล้วยังทำให้มีคนตาย หากคิดว่าจะลอยนวลไปได้ง่ายๆ คงเป็นเรื่องยาก

จักรพรรดิหนานจิ้นหลังฟังขันทีน้อยบอกเล่าจบก็ตวัดดวงตาคมกริบจ้องมองถังเยว่จนแทบทะลุ ถังเยว่สบตากับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าปราศจากคลื่นอารมณ์ เขาแค่นหัวเราะหนึ่งทีแล้วพูดออกมาหนึ่งประโยค

ลูกมิได้อดอยากปากแห้งจนถึงขั้นแยกแยะบุรุษสตรีไม่ออกนะพ่ะย่ะค่ะ!

ทุกคนฟังคำพูดนี้ในครั้งแรกยังไม่เอะใจ กระทั่งเรียบเรียงความเข้าใจได้แล้วจึงนึกขึ้นได้อย่างฉับพลัน ‘จริงด้วย พระชายาโปรดปรานบุรุษนี่นา ไม่เช่นนั้นคงไม่อภิเษกกับรัชทายาท’ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะข่มเหงนางกำนัลให้ต้องแปดเปื้อนมีมลทิน

แน่นอนย่อมมีบางคนคิดว่าโปรดปรานบุรุษแล้วอย่างไรเล่า ในราชสำนักมีขุนนางโปรดปรานบุรุษตั้งมากมายที่ในบ้านมีภรรยาสามอนุสี่ก็ยังไม่มีข้อพิพาท

เอาละ แยกย้ายกันไปได้แล้ว สถานการณ์ศึกทัพหน้ากำลังคับขันพวกเจ้าอย่าหาเรื่องมาให้ข้าต้องปวดหัวเพิ่มอีกเลยจักรพรรดิหนานจิ้นไม่มีคำสั่งว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร แต่ดูจากปฏิกิริยาแล้วก็พอจะเดาได้ว่าคงไม่คิดจะสืบสาวราวเรื่องต่อ ต่างนึกไม่ถึงว่าจักรพรรดิจะเชื่อมั่นในพระชายาถึงเพียงนี้

ถังเยว่เองก็ไม่คิดว่าจักรพรรดิจะเชื่อว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่การที่ไม่ถือสาหาความก็นับเป็นเรื่องดี ไม่มีเหตุผลอะไรให้เขาต้องหาทุกข์ใส่ตัวหลังทำความเคารพเสร็จเขาจึงถามออกไปตรงๆ

เสด็จพ่อ รัชทายาทส่งข่าวมาบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

เจ้าเข้าวังเพื่อมาถามข่าวของเขาหรือ?”

ใช่พ่ะย่ะค่ะ!ถังเยว่โพล่งออกไป หากไม่ใช่เพราะร้อนใจอยากรู้เรื่องนี้เขาย่อมไม่มีทางยอมเหยียบเข้าวังแม้แต่ก้าวเดียว

ไม่มีหลี่เจามาเป็นเพื่อน กรงทองแห่งนี้ยิ่งดูมืดมนน่าสะพรึงกลัวมากกว่าเดิมหลายเท่า หากเผลอไผลไม่ระวังแม้เพียงนิดก็จะมีจุดจบของชีวิตที่มิอาจฟื้นคืนได้อีกเลย

จักรพรรดิหนานจิ้นมีสีหน้าดุดันราวกับพยัคฆ์ ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งก็หัวเราะเสียงดังลั่น

ฮ่าๆ เจ้านี่ช่างเถรตรงยิ่งนัก! วางใจเถอะเจาเอ๋อร์ปลอดภัยดี ทัพใหญ่ยึดเมืองทั้งหกของเป่ยเยว่ได้แล้ว ตอนนี้ไปสมทบกับเหิงกั๋วกงเตรียมบุกตีเป้าหมายต่อไป!

แล้วเหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่มีข่าวส่งกลับมา ทหารสอดแนมก็สืบหาข่าวไม่พบล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”

ก่อนหน้านี้เพื่อบุกตีเมืองเยี่ยนโจว เจาเอ๋อร์เลือกเดินทางอันตราย เส้นทางนั้นเต็มไปด้วยขวากหนาม หากเพลี่ยงพล้ำอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิต ไม่มีผู้คนใช้เส้นทางนั้น เหตุนี้ทหารสอดแนมจึงหาไม่เจอ เรื่องที่พวกเขาบุกตีเยี่ยนโจวเป็นความลับจึงมิได้ส่งข่าวแจ้งให้ทัพที่อยู่เมืองฉู่โจวรู้ก่อนกระทั่งยึดเยี่ยนโจวได้แล้วจึงค่อยส่งข่าวกลับมา

ประสาทที่ตึงเครียดของถังเยว่ในที่สุดก็ผ่อนคลายลงเสียที

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ได้ข่าวก็ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ

จักรพรรดิหนานจิ้นปรายตามองร่างไร้ชีวิตบนพื้นแวบหนึ่ง ดวงตาวาววับขณะเอ่ย

จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ไม่ว่าใครก็ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเป็นอันขาด!

ถังเยว่ขอตัวลากลับจวน แม้จะถูกคนวางแผนใส่ร้ายแต่เขากลับอารมณ์ดี หลังความตื่นเต้นดีใจผ่านพ้นเขาถึงค่อยมีเวลาใคร่ครวญเรื่องที่เกิดขึ้นในวัง

อันดับแรก มีคนพุ่งเป้ามาที่เขาแน่นอนแต่ใครที่มีจุดประสงค์นี้กันล่ะ?

วิธีนี้เหมือนที่พวกผู้หญิงนิยมใช้ แต่สตรีในวังหลังเวลานี้ก็ไม่มีใครได้รับการโปรดปรานเป็นพิเศษ คนที่เคยมีเรื่องบาดหมางกับเขาก็มีแค่องค์หญิงเป่ยเยว่ แต่หากนางสังหารเขาจะได้ประโยชน์ใด? หรือนางคิดว่าหากเขามีอันเป็นไปหลี่เจาจะเลิกล้มที่จะโจมตีเป่ยเยว่?

ทว่าพูดตามหลักแล้วสองแคว้นกำลังรบกัน จักรพรรดิหนานจิ้นย่อมต้องกักตัวองค์หญิงเป่ยเยว่เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน เพราะหากนางเกิดทนแรงยั่วยุไม่ไหวอาจทำเรื่องเป็นภัยต่อหนานจิ้นได้

ถังเยว่ลองคิดคาดเดาเหตุจากผล สมมุติว่าวันนี้เกิดเรื่องลุกลามใหญ่โต เช่นนั้นผู้ได้รับผลประโยชน์จะเป็นใครกัน?

หากไม่ได้ผลประโยชน์แม้แต่น้อยนิดย่อมไม่มีใครคิดทำเรื่องเช่นนี้ ขุนนางที่จะถูกคุกคามจากการมีอยู่ของเขามีไม่มากนัก ตำแหน่งรัชทายาทของหลี่เจามั่นคงมาก พวกเสนาบดีที่กระด้างกระเดื่องก็มีไม่กี่คน คนสำคัญที่เหลือก็มีแค่พวกองค์ชาย

องค์ชายแต่ละคนตอนนี้เติบใหญ่แล้วย่อมมีจิตคิดทะเยอทะยาน ต่างเห็นเขาเป็นดั่งเสี้ยนหนาม

จางฉุนฟังเขาเล่าจนจบก็ถอนหายใจด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ

คุณประมาทเกินไป ในที่แบบนั้นคุณเลี่ยงผู้หญิงได้ก็ควรเลี่ยง ปล่อยให้พวกเธอมีโอกาสสร้างปัญหาได้ยังไง?”

แน่นอนว่าถังเยว่ไม่บอกอีกฝ่ายว่าตนเองไม่ได้เตรียมใจรับมือเพราะมัวแต่พะวงเรื่องรัชทายาทดังนั้นจึงไม่ทันได้ฉุกคิดเรื่องอื่น

อันที่จริงนางกำนัลเข้ามารินชาให้ก็เป็นเรื่องปกตินี่นา

จางฉุนส่ายหน้า คุณดูละครศึกแย่งชิงในวังหลังน้อยเกินไป ตอนที่ในห้องนั้นมีเพียงคุณกับผู้หญิงอยู่กันตามลำพัง จากปกติก็กลายเป็นไม่ปกติได้ เวลาแบบนี้คุณควรตะโกนเรียกคนอื่นให้เข้ามา ต่อให้แค่มาพูดคุยเป็นเพื่อนก็ยังดีกว่าอยู่กันสองต่อสอง

ในตอนนั้นถังเยว่ไหนเลยจะมีอารมณ์พูดจากับใคร แต่ที่จางฉุนพูดมาก็ถูก มีประสบการณ์แล้วครั้งหนึ่งวันหน้าอย่างน้อยจะได้สามารถหาวิธีหลีกเลี่ยงได้ถ้าต้องเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้อีก

แต่พูดกันจริงๆ น่ะนะจักรพรรดิหนานจิ้นใจกว้างเกินไปหน่อยหรือเปล่า เรื่องแบบนี้แม้แต่ถามก็ไม่ถามกลับตัดสินชี้ขาดไปแล้ว ทรงมั่นใจได้ยังไงว่าผู้หญิงคนนั้นพูดจาโป้ปด?”

พระองค์ไม่ได้มั่นใจเพียงแต่ไม่กล้าทำอะไรฉันชั่วคราว ดูเหมือนรัชทายาทจะสร้างผลงานชิ้นใหญ่ไว้ที่ชายแดนจักรพรรดิจึงเกรงใจรัชทายาทน่ะสิ

อย่างนี้ก็แสดงว่าคุณสามารถเดินกร่างไปทั่วเมืองเย่เฉิงได้ตามใจชอบน่ะสิ!

เดิมทีฉันก็ไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบอยู่แล้ว ใครกล้าขวางฉันกันล่ะ?”

ครับๆ เมื่อก่อนแค่คุณติดตามรัชทายาทออกไปก็สามารถเดินกร่างได้ตามใจชอบแล้ว ตอนนี้กระทั่งจักรพรรดิก็ยังต้องไว้หน้าคุณเลย

ถังเยว่คร้านจะสนใจอีกฝ่ายจึงเดินเลี่ยงเข้าห้องทรงพระอักษร หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมายถึงหลี่เจาฉบับหนึ่ง ในจดหมายพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน เรื่องแบบนี้เขาเป็นคนเล่าเองดีกว่าให้คนอื่นนำไปเล่าให้อีกฝ่ายฟัง

เขียนจดหมายเสร็จ เขาก็นั่งใจลอยอยู่ครู่หนึ่ง ในมือลูบไล้มีดแกะสลักที่หลี่เจาเป็นผู้มอบให้ไปมา ผ่านไปพักใหญ่จึงตะโกนเรียกองครักษ์ลับ

วันนี้ในวังเกิดอะไรขึ้นพวกเจ้ารู้หรือไม่?”

เรียนคุณชาย ทหารยามในวังเข้มงวดกวดขัน องครักษ์ลับก็เต็มไปหมด พวกข้าน้อยไม่กล้าตามท่านเข้าไปในวังหรอกขอรับ

เป็นอย่างนี้นี่เอง เช่นนั้นหากข้าต้องการสืบหาว่าใครเป็นผู้วางแผนใส่ร้ายข้า จะสามารถสืบได้หรือไม่?”

เรื่องนี้ท่านก็น่าจะพอเดาออก ผู้ที่จะเป็นปรปักษ์กับท่านในเวลานี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นองค์ชายที่มีความทะเยอทะยาน ข้าน้อยจะลองคัดออกทีละคน เชื่อว่าจะต้องสืบหาผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงได้แน่ขอรับ

อืม ทำให้เต็มที่ก็แล้วกัน ในเมื่อจักรพรรดิไม่ถือสาข้าย่อมมิต้องกังวล เพียงเกรงว่าพรุ่งนี้ข่าวลือจะเต็มไปหมดน่ะสิ

วางใจเถอะขอรับ ท้ายที่สุดแล้วข่าวลือก็คือข่าวลือ พวกเราจะส่งคนไปแก้ไขเนื้อความเสียใหม่ แล้วพยายามประโคมข่าวออกไป เพียงเท่านี้ก็ไม่มีใครรู้แล้วว่าเรื่องไหนจริง พูดกันไปลือกันมาก็ไม่เป็นไรแล้วขอรับ

ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นไปก่อน” ถังเยว่พยักหน้าแล้วผายมือให้อีกฝ่ายออกไป จากนั้นจึงหยิบรูปเหมือนของหลี่เจาที่เขาเป็นคนวาดขึ้นมานั่งดูพลางรำพึงรำพันกับตัวเอง “ฝ่าบาททอดพระเนตรสิ วังหลังอันตรายถึงเพียงนี้หากไม่ได้กระหม่อมช่วยไว้ไม่ให้ฝ่าบาทมีสามภรรยาสี่อนุ ตอนนี้ฝ่าบาทจะมีชายาและอนุภรรยาจำนวนนับไม่ถ้วนหรือไม่ เมื่อมีผู้หญิงมาก ลูกก็ต้องมากตามไปด้วย พอลูกมาก เรื่องแย่งสมบัติก็จะตามมา ที่สำคัญสมบัติของตระกูลฝ่าบาทคือชาติบ้านเมืองเชียวนะ หากเป็นกระหม่อมก็ตัดใจไม่ลงเช่นกัน

ในห้องทรงพระอักษร จักรพรรดิหนานจิ้นตั้งใจอ่านรายงานจากชายแดนทุกประโยคทุกตัวอักษร

ขันทีใหญ่ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายชำเลืองมองสีหน้าองค์จักรพรรดิอย่างระมัดระวัง

ฝ่าบาท เหตุใดวันนี้มิทรงลงอาญาพระชายาล่ะพ่ะย่ะค่ะ หรือทรงเชื่อว่าพระชายามิได้ออกนอกลู่นอกทาง?”

จักรพรรดิหนานจิ้นตอบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า

ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือเท็จแล้วสำคัญอันใด ในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมแตะต้องชายารัชทายาทมิได้ ไม่เช่นนั้นคิดว่ารัชทายาทจะยอมอยู่เฉยหรือ? อีกอย่าง เรื่องแบบนี้ต่อให้ข้าผู้เป็นบิดาก็ยากจะจัดการ มิสู้รอรัชทายาทกลับมาแล้วให้เขาตัดสินเองดีกว่า

ทรงพระปรีชา!ขันทีพูดประจบประโยคหนึ่งแล้วหัวเราะจอมปลอมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

จักรพรรดิหนานจิ้นเงยหน้าแล้วเลิกคิ้ว

อันที่จริงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้มีจุดน่าสงสัยหลายจุด ถังเยว่เร่งเข้าวังเพื่อมาถามข่าวรัชทายาท ถึงกับยอมที่จะรออยู่ในตำหนักปีกโดยไม่ยอมกลับไปก่อนก็เพื่อรอฟังข่าว เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของรัชทายาทด้วยใจจริง ในเวลาเช่นนี้เขาจะมีใจไปหาความสำราญกับนางกำนัลอีกงั้นหรือ?”

อันนี้ก็จริง ความหมายของฝ่าบาทคือ…?”

ข้ามิได้หมายความว่าอะไรทั้งนั้น นี่เป็นแค่กลอุบายเล็กน้อย คนที่ใช้แผนชั้นต่ำเช่นนี้ย่อมมิใช่คนที่จะทำการใหญ่ได้สำเร็จแน่

ต้องบอกว่าครั้งนี้จักรพรรดิหนานจิ้นมองเงื่อนปมของเหตุการณ์นี้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง


 

253 ความสำคัญของราษฎร

ถังเยว่ไม่ออกจากบ้านติดต่อกันหลายวัน ถึงอย่างนั้นก็พอรู้ว่าข้างนอกมีข่าวซุบซิบนินทาอะไรบ้าง เขานั่งอยู่ในสวนมองดูเสี่ยวลั่วลั่วกับบ่าวสองสามคนเล่นเตะลูกหนัง จางฉุนรับหน้าที่เป็นผู้รักษาประตูโดยอ่อนข้อให้เต็มที่ หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่เล่นกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน

เตียเตีย ช่วยส่งลูกหนังให้ข้าหน่อยสิขอรับลั่วลั่วพูดด้วยเสียงกังวานใส ถังเยว่พลันหลุดจากภวังค์ มองที่ข้างเท้าตัวเองก็เห็นว่ามีลูกหนังอยู่จริง

เขาก้มลงเก็บมันขึ้นมาแล้วขว้างออกไปด้วยมือข้างเดียว กระแทกถูกศีรษะจางฉุนพอดี ฝ่ายนั้นยกมือกุมหน้าผากล้มคว่ำลงด้วยท่าทางเจ็บเกินจริง ทำเอาเสี่ยวลั่วลั่วตกใจจนหน้าซีด รีบวิ่งเข้าไปนั่งยองๆ ข้างจางฉุน เขย่าแขนเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใย

ท่านอาฉุนรีบลุกขึ้นเถอะ เตียเตียไม่ได้ตั้งใจ เขาแค่อารมณ์ไม่ดี

จางฉุนขยับตัวลุกขึ้นนั่ง พลางจ้องหน้าเด็กน้อย

เขาอารมณ์ไม่ดีแล้วจะปาลูกหนังใส่ใครก็ได้งั้นหรือ?”

ถ้าไม่เช่นนั้น...ท่านจะปาใส่ข้าบ้างก็ได้

จางฉุนถึงกับอึ้ง จากนั้นก็บิดแก้มใสแล้วดึงยืดออกทางด้านข้าง

เจ้าเด็กบ้า เจ้านี่มันสุดยอดลูกกตัญญูแท้ๆ ทำไมไม่มาเป็นลูกข้านะ

ถังเยว่เองก็รู้สึกว่าลั่วลั่วเป็นเด็กกตัญญูเช่นกัน จึงเดินเข้ามากอดเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขน สูดดมกลิ่นหอมสดชื่นจากตัวแล้วพูดกลั้วหัวเราะ

ข้ามีลูกแค่คนเดียว เห็นใจข้าเถอะอย่าคิดแย่งเลย

เฮอะ! ข้าไม่มีเลยสักคน ไม่น่าสงสารกว่าหรือ

ไว้รอให้หวังติ่งจวินกลับมา เจ้าค่อยทำลูกกับเขาสักคนก็แล้วกัน

จะให้เอาอะไรมาคลอดลูก ให้เด็กมุดออกทางก้นหรือไง?”

ถังเยว่มองจางฉุนตาขวาง อยู่ต่อหน้าเด็กพูดจาระวังปากด้วย

เขาไม่รู้เรื่องหรอกน่า

เสี่ยวลั่วลั่วพูดแทรกขึ้นทันที “ใครบอกว่าข้าไม่รู้เรื่อง พวกท่านพูดถึงก้นมิใช่หรือ ข้าก็มีนะ แต่ว่า...ทารกคลอดออกมาทางนั้นงั้นหรือ? มิน่าล่ะ เยี่ยนกูบอกว่าตอนคลอดลูกเจ็บมาก

ถังเยว่กับจางฉุนกระอักกระอ่วนจนไม่รู้จะทำเช่นไร จึงเฉไฉเปลี่ยนเรื่องแล้วรีบส่งลั่วลั่วให้บ่าวรับใช้ ถังเยว่กลับไปนั่งที่เดิม จางฉุนที่เล่นจนเหนื่อยแล้วเดินไปนั่งพักอยู่บนเก้าอี้อีกตัว พลางพูดจากใจ

เป็นเด็กนี่พลังงานเหลือเฟือดีจริงๆ

นายก็เคยมีช่วงเวลาที่เป็นเด็กแบบนี้มาก่อน

ตอนนั้นน่ะเหรอ แม่ผมเอาแต่ออกไปตะลอนอยู่ข้างนอกทั้งวัน ส่วนผมก็เล่นดินเล่นโคลน ต่อยตีอยู่กับพวกเด็กในซอย เนื้อตัวมอมแมม กลับบ้านก็ไม่มีใครช่วยซักเสื้อผ้าให้ต้องเอาไปแช่ในกะละมัง เทผงซักฟอกใส่ไปครึ่งถุงจากนั้นก็ใช้เท้าเหยียบๆ แค่นี้เป็นอันเสร็จ ทุกครั้งจะถูกแม่ทุบตีก็เพราะเรื่องนี้ละ

ถังเยว่คิดในใจ ‘ถ้าฉันเป็นแม่นายก็จะซ้อมนายเหมือนกัน ซักผ้าครั้งเดียวใช้ผงซักฟอกครึ่งถุง ลูกล้างลูกผลาญขนานแท้!

แล้วกินข้าวล่ะ?”

อดมื้อกินมื้อ บางทีแม่ก็จะทำข้าวไว้เยอะหน่อยแล้ววางไว้บนโต๊ะ ผมหิวก็กินมันทั้งที่เย็นชืดแบบนั้น พอโตมากระเพาะจึงไม่ค่อยดีคงเพราะตอนเด็กกินข้าวเย็นมากไป

เทียบกับนายตอนเด็กฉันมีความสุขกว่าเยอะเลย พ่อแม่ฉันเป็นปัญญาชน ถึงที่บ้านจะไม่ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีแต่ก็ไม่ต้องทุกข์ร้อนเรื่องปากท้อง ฉันมีเพื่อนเล่นน้อย มักถูกขังให้ทำการบ้านอยู่คนเดียวเป็นประจำ

แบบนั้นน่าเบื่อตายชักจางฉุนย่นจมูกรู้สึกว่าชีวิตในวัยเด็กของถังเยว่ก็ไม่ได้น่าโหยหาเลยสักนิด

ก็ใช่น่ะสิ ดังนั้นตอนที่ฉันพบว่ารสนิยมทางเพศของตัวเองไม่ปกติก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไรนัก แค่รู้สึกผิดต่อพ่อแม่

ถึงยังไงผมมันก็ตัวคนเดียว ตอนที่รู้ว่าตัวเองสนใจผู้ชายมากกว่าผู้หญิงคืนนั้นผมเลยไปหาผู้หญิงมานอนด้วย ปรากฏว่าปลุกยังไงก็ไม่ตั้งก็เลยต้องยอมรับชะตากรรมถึงยังไงก็ไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว ผมชอบผู้ชายก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนจึงไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิด

ส่วนฉันไม่รู้ว่าป่านนี้พ่อแม่จะให้อภัยแล้วหรือยัง ตอนหลังมาลองคิดดู ถ้ารู้แต่แรกว่าสุดท้ายจะได้มาอยู่ที่นี่ ตอนอยู่โลกก่อนฉันคงไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แต่จะมุ่งมั่นแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ให้ดีกว่านี้

คุณนี่โลกสวยชะมัด! ถ้ารู้แต่แรกว่าจะได้มาอยู่ที่นี่น่ะเหรอ ผมจะฆ่าคนที่ขวางหูขวางตาทิ้งให้เกลี้ยงเลย ถึงยังไงก็ต้องตาย ก่อนตายจะไม่ล้างแค้นได้ยังไง!

ฆ่าคนงั้นเหรอ...ถังเยว่นึกถึงนางกำนัลที่วิ่งเอาศีรษะชนเสาคนนั้นขึ้นมาจึงยิ้มเศร้าแล้วพูดว่า ฉันนึกว่าตัวเองจะชินกับเรื่องเกิดเรื่องตายแล้วเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะมีช่วงที่ปลงไม่ตกด้วย

จางฉุนพูดปลอบใจ ไม่เป็นไรหรอก คนเราเมื่อเกิดมาแล้วย่อมต้องมีเรื่องปลงไม่ตกเยอะแยะ แต่ก็ไม่ต้องกลุ้มใจไป มีเรื่องราวมากมายที่ชะตาได้ลิขิตไว้แล้ว บางทีคนที่ตายวันนี้พรุ่งนี้อาจได้ไปเกิดใหม่ในโลกใบอื่นและมีชีวิตที่ดีกว่าก็ได้

เมื่อคิดเช่นนี้ถังเยว่ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากจริงๆ สำหรับผู้บงการเบื้องหลังนั้นอันที่จริงถังเยว่ไม่ได้ถึงกับอยากรู้ว่าใครคิดร้ายต่อตนเอง แต่หากองครักษ์ลับสืบทราบมาพวกเขาก็จำต้องจัดการด้วยวิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน ส่วนท้ายที่สุดแล้วองครักษ์ลับจะจัดการเช่นไรถังเยว่ไม่อยากรับรู้

เวลาผ่านไปเร็วชะมัดจางฉุนยืดเส้นยืดสายบิดขี้เกียจ ไม่รู้ว่าสงครามจะสิ้นสุดลงเมื่อไร

ได้ยินว่าทัพใหญ่ชนะขาดลอย โจมตีเป่ยเยว่ได้กว่าครึ่งดินแดนแล้ว แนวโน้มแบบนี้คิดว่าไม่แพ้แน่

ไหนบอกว่ามีกำลังทหารไม่พอไม่ใช่หรือ?”

จางฉุนได้ยินแล้วยิ่งรู้สึกเลื่อมใสรัชทายาทเจาจากใจจริง คิดไม่ถึงว่าจะสามารถใช้กำลังทหารเพียงไม่กี่หมื่นโจมตีเป่ยเยว่จนย่อยยับได้

เมืองชายแดนรอบฉู่โจวล้วนมีการเกณฑ์ทหาร ราษฎรในพื้นที่เหล่านี้ต่างต้องใช้ชีวิตท่ามกลางไฟสงครามมาตลอดทั้งปีทั้งชาติ ไม่ว่าสภาพร่างกายหรือปณิธานความมุ่งมั่นล้วนแข็งแกร่งแรงกล้าที่สุด กำลังทหารในปัจจุบันจึงมีจำนวนเกือบแสนนาย

การจะบุกเข้าไปยังพื้นที่ส่วนลึกของแคว้นศัตรู ระดับความยากย่อมต้องเพิ่มขึ้น ต่อให้ใช้เวลาอีกหนึ่งปีก็ไม่รู้ว่าจะสามารถเอาชนะได้หรือไม่

ตอนที่รัชทายาทเขียนจดหมายมาเคยคาดการณ์ไว้ว่าหากจะโจมตีเมืองหลวงเป่ยเยว่ให้แตกพ่ายต้องใช้เวลาประมาณครึ่งปี นี่ยังไม่นับรวมกับที่ฝ่ายตรงข้ามอาจมีการเคลื่อนย้ายฐานที่มั่น ย้ายเมืองหลวงขึ้นไปทางเหนือ

แต่เงินในท้องพระคลังเริ่มขาดแคลนคิดว่าน่าจะมีพอให้กองทัพใช้ได้แค่อีกครึ่งปีเท่านั้น

เวลานี้จางฉุนเป็นสมุห์บัญชีที่มีชื่อเสียงของเมืองเย่เฉิง กระทั่งบัญชีท้องพระคลังยังเคยจัดการมาแล้ว แต่จักรพรรดิหนานจิ้นยังไม่ต้องการให้เขาเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยมากนักจึงยังไม่ได้มีคำสั่งให้เขาเข้าไปเป็นขุนนางในราชสำนัก โชคดีที่จางฉุนเองก็ไม่ได้พิศวาสอยากมีชีวิตเป็นขุนนางที่ต้องปฏิบัติตนตามระเบียบแบบแผนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาจึงไม่ติดใจคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้

ถังเยว่ลูบแหวนบนนิ้ว หากเงินในท้องพระคลังถูกใช้จนหมดทรัพย์สินในมือเขาก็น่าจะพอประทังให้อยู่รอดต่อไปได้อีกสักครึ่งปี หากถึงเวลาที่ไม่สามารถส่งเสบียงให้ได้แล้วจริงๆ ก็ได้แต่ให้พวกเขาหาทางรอดเอาเอง เป่ยเยว่เป็นดินแดนที่ฝนตกต้องตามฤดูกาล การเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ เสบียงอาหารพรั่งพร้อมกว่าหนานจิ้นมาก

เมืองเยี่ยนโจว

รัชทายาทเจานำกำลังไพร่พลเข้ายึดครองจวนว่าราชการของที่นี่ สังหารขุนนางตำแหน่งสูงสุดของทางการ เวลานี้ควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ทั้งหมดแล้ว

ฝ่าบาท ควรให้จักรพรรดิรีบส่งคนมารับช่วงบริหารจัดการอำเภอและหมู่บ้านตามเมืองที่ถูกเราบุกตีและยึดครองได้นะพ่ะย่ะค่ะ ไม่เช่นนั้นกำลังทหารของพวกเราจะกระจัดกระจายมากเกินไป ทำให้มีกำลังไพร่พลไม่พอที่จะเปิดศึกตัดสินกับเป่ยเยว่

ท่านกั๋วกงพูดมีเหตุผล ดังนั้นสารกราบทูลฉบับนี้ข้ามอบให้ท่านเป็นผู้เขียน เสด็จพ่อทอดพระเนตรแล้วจะต้องทรงดีพระทัยมากแน่

เหิงกั๋วกงย่อมเข้าใจเหตุผลนี้เป็นอย่างดี

หากสามารถยึดครองเป่ยเยว่อีกครึ่งที่เหลือได้ จักรพรรดิจะต้องพระราชทานรางวัลให้พระองค์อย่างแน่นอน

ทุกคนต่างรู้ว่าการที่สามารถบุกตีเป่ยเยว่ได้ราบรื่นขนาดนี้เป็นความดีความชอบใหญ่หลวงของรัชทายาทเจา หากไม่มีเขาเป็นผู้นำทัพเกรงว่าแม้แต่เมืองฉู่โจวก็คงยังไม่สามารถเอากลับคืนมาได้

ข้าเป็นรัชทายาท จะได้รับพระราชทานรางวัลหรือไม่ก็ไม่แตกต่าง

ที่เขาทำมาทั้งหมดก็เพราะมีปณิธานที่จะรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งยุติสงครามเหนือใต้ให้เร็วที่สุดเท่านั้น

เหิงกั๋วกงเห็นว่ารอบๆ ไม่มีใครอยู่จึงกระซิบ

เวลานี้พวกองค์ชายต่างเจริญวัยกันแล้ว เสด็จพี่ของฝ่าบาทถ้าไม่สิ้นพระชนม์ก็หายสาบสูญหรือไม่ก็ถูกจองจำ ฉะนั้นผู้ที่จ้องจะชิงตำแหน่งรัชทายาทจึงมีแต่พวกน้องๆ ของฝ่าบาท

ทั้งองค์ชายและพระราชนัดดามีเพียงไม่กี่คนที่จะไม่ใฝ่ฝันมุ่งหวังตำแหน่งนี้ รัชทายาทเจาอยู่เป่ยเยว่เป็นการเปิดโอกาสให้พวกที่จ้องตะครุบหวังชิงตำแหน่งได้เริ่มคิดวางแผนและลงมือ

ปกติพระชายาแจ้งแต่ข่าวดีไม่แจ้งข่าวที่ทำให้ฝ่าบาทต้องทุกข์กังวล แต่พระองค์ทรงประทับอยู่เป่ยเยว่จึงมีหลายเรื่องที่มิอาจควบคุม

รัชทายาทเจาสองมือไพล่หลัง ดวงตาจ้องมองแผนที่ซึ่งแขวนอยู่ไกลออกไป

ขอเพียงไม่ทำร้ายถังเยว่ ให้พวกเขาได้กระหยิ่มใจบ้างจะเป็นไรไป

เขาไม่กังวลว่าจะมีใครมาชิงตำแหน่งไปแม้แต่น้อย ต่อให้ถูกคนพวกนั้นแย่งไป ทัพใหญ่หนึ่งแสนอยู่ในกำมือเขาเช่นนี้ก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะทวงคืนไม่ได้

ทูลฝ่าบาท…” ทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาคุกเข่าเบื้องหน้า

รัชทายาทเจายื่นมือออกไปรับจดหมายและกวาดตาอ่านจบในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากนั้นริมฝีปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นเยียบ

มาได้จังหวะพอดี!

ในที่สุดเป่ยเยว่ก็ตอบโต้แล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เหิงกั๋วกงคาดเดา

ใคร่ครวญมานานจนป่านนี้หากยังไม่เคลื่อนไหวจะให้ขุนนางและราษฎรในใต้หล้ามองพวกเขาเยี่ยงไร?”

ตั้งแต่เหิงกั๋วกงมาสมทบกับรัชทายาทเจาที่นี่ ยังไม่มีโอกาสได้ออกศึกเลยสักครั้ง เพราะหลังจากรัชทายาทเจาสามารถยึดได้หลายเมืองภายในเวลาอันรวดเร็วก็หยุดพักกองทัพเป็นการชั่วคราว

ฝ่ายนั้นเล็งเยี่ยนโจวเป็นเป้าหมายหรือมีเมืองถัดไปเป็นเป้าหมายกันแน่พ่ะย่ะค่ะ?”

ชัยภูมิเยี่ยนโจวอยู่บริเวณใจกลาง เป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์ที่สุดในเป่ยเยว่และเป็นยุ้งฉางของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่มีทางปล่อยให้พวกเราชิงมาโดยง่ายแน่

ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทสามารถตีเยี่ยนโจวแตกได้อย่างง่ายดาย ทำได้อย่างไรกันแน่?” เหิงกั๋วกงสงสัยและอยากรู้มากว่ารัชทายาทเจาสามารถโจมตีและยึดครองเมืองต่างๆ ภายในเวลาอันสั้นด้วยวิธีใด สิ่งนี้น่าเหลือเชื่อเป็นอย่างยิ่งหรือว่าทุกครั้งกองทัพข้าศึกมิได้สู้รบ แต่แค่โผล่ออกมาแล้วยอมจำนนเลยงั้นหรือ?

ยามที่ข้าศึกมีกำลังมากกว่า ตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ พวกเขารู้ดีว่าไม่มีทัพหนุน นอกจากยอมจำนน พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

การปลอบขวัญราษฎรเป็นเรื่องที่ต้องเร่งกระทำ ก่อนหน้านี้พระชายาเคยหารือกับกระหม่อม การตีเมืองเป็นเรื่องง่ายแต่การป้องกันรักษาเมืองเป็นเรื่องยาก หากอยากให้เป่ยเยว่ยอมสวามิภักดิ์ด้วยใจจริง จะอาศัยแค่กำลังทหารยึดครองเมืองอย่างเดียวไม่พอ ต้องฟื้นฟูสภาพจิตใจของราษฎรชาวเป่ยเยว่ด้วย

คำพูดนี้ของถังเยว่กล่าวได้ถูกต้องอย่างแท้จริง แม้รัชทายาทเจาจะรู้เรื่องนี้มานานแล้วแต่กลับมิได้มองออกอย่างทะลุปรุโปร่งถึงแก่น นั่นเพราะในใจถังเยว่วางราษฎรไว้ในตำแหน่งสำคัญที่สุด ส่วนเขาเป็นบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งเหนือคนทั่วไปมาตั้งแต่เกิด ย่อมมิอาจเข้าใจถ่องแท้ในความคิดเหล่านี้ แต่เพราะยอมรับฟังความคิดเห็นผู้อื่นเขาจึงเข้าใจในเหตุผลของถังเยว่ได้ในที่สุด

ฉะนั้นในที่ที่กองทัพผ่านไป ข้าจึงไม่เคยให้ทหารใช้อำนาจบาตรใหญ่ และห้ามมิให้พวกเขาข่มขืน ฆ่าชิงทรัพย์ ปล้นสะดม ผลที่ได้กระจ่างชัดเจนนักโดยเฉพาะในเมืองที่มีการคบค้ากับหนานจิ้นยิ่งเห็นผลเด่นชัดเป็นพิเศษ

เพียงแต่หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าเสบียงอาหารของพวกเราจะมีไม่เพียงพอ

ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบร้อน เป้าหมายต่อไปของข้าอยู่ที่นี่...

รัชทายาทเจาชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่งที่แสนจะโดดเด่นสะดุดตาเหิงกั๋วกงมองจนปากอ้าตาค้างด้วยความตะลึงพรึงเพริด


 

254 เสด็จสวรรคต

ฝ่าบาท จะไม่ทรงรีบเร่งและเสี่ยงอันตรายเกินไปหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ

เหิงกั๋วกงมองจุดที่ถูกวงสีแดงไว้ รู้สึกว่าถ้าองค์รัชทายาทไม่ฟั่นเฟือนก็คงเป็นเขาเองที่สติวิปลาส

ท่านคิดว่าพวกเราจะมีโอกาสเช่นนี้อีกสักกี่ครั้ง” รัชทายาทเจาถาม

ฝ่าบาทจะบอกว่าเป่ยเยว่เตรียมจะโต้กลับแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ

นี่เป็นการคาดการณ์ของข้า ยังไม่แน่ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ หากดูจากที่พวกเราสามารถผ่านด่านได้อย่างราบรื่นก็เป็นไปได้ว่าเป่ยเยว่อาจยังตั้งตัวที่จะรุกกลับไม่ทัน

เช่นนั้นเหตุใดเวลานี้ถึงเป็นจังหวะและโอกาสที่ดีในการบุกตีเมืองจิงตู เป่ยเยว่ถูกชิงดินแดนไปครึ่งแผ่นดินแล้ว เวลานี้คงกำลังสั่งสมไพร่พลเพื่อมาเปิดศึกชี้ชะตากับพวกเรา ตีเมืองเวลานี้เกรงว่าอาจจัดการพวกเขาไม่ได้ง่ายๆ นะพ่ะย่ะค่ะ

ดังนั้นข้าถึงเลือกลงมือเวลานี้อย่างไรเล่า เพื่อให้ภายในสามเดือนต่อจากนี้เป่ยเยว่ไม่มีเวลาว่างมาสนใจพวกเราอีก ฉะนั้นพวกเราแสร้งทำเป็นว่าใช้เวลานานแล้วแต่ยังยึดเมืองสวีโจวไม่ได้เสียที ให้พวกเขาตายใจคลายความระแวงรัชทายาทเจาทำเครื่องหมายบนเมืองสวีโจวซึ่งอยู่ใกล้เมืองเยี่ยนโจวมากที่สุด

เหิงกั๋วกงตกตะลึง หลังจากใคร่ครวญอย่างถ้วนถี่แล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหตุใดเป่ยเยว่จึงจะไม่มีเวลามาสนใจพวกเขา

หรือฝ่าบาทยังมีกลอุบายที่ยอดเยี่ยมอย่างอื่นอีก?”

รัชทายาทเจามิได้อธิบายให้ชัดเจน แต่ดูจากปฏิกิริยาแล้วเหิงกั๋วกงก็พอจะเดาได้รางๆ

ก็เหมือนอย่างเป่ยเยว่ที่ซ่อนหมากไว้ในฉู่โจวมาหลายสิบปี แล้วไยหนานจิ้นจะไม่ทำอย่างพวกเขาบ้างเล่า หมากลับประเภทนี้ชั่วชีวิตใช้ได้เพียงหนเดียวและพวกเขาก็มีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น บางคนถึงขนาดต้องใช้เวลาตลอดชีวิตเพื่อทำการนี้โดยไม่มีโอกาสได้รับใช้บ้านเมืองด้านอื่นอีกเลย

เหิงกั๋วกงไม่ซักต่อ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นความลับ การวางหมากของรัชทายาทคิดว่าแม้แต่องค์จักรพรรดิเองก็ยังไม่ล่วงรู้ เขาจึงยกมือขึ้นลูบหนวดหัวเราะจนตาหยีพลางกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็จวนจะได้รับชัยชนะในไม่ช้านี้แล้วสินะ ข้ารู้สึกคาดหวังยิ่งนัก!

ในช่วงที่ยังมีลมหายใจอยู่ หากได้เห็นหนานจิ้นสามารถรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวได้อีกทั้งตนยังได้มีส่วนร่วมด้วยช่างเป็นเกียรติที่ได้สร้างชื่อเสียงอันดีงามให้เลื่องลือระบือไกล เวลานี้เหิงกั๋วกงพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งที่จักรพรรดิส่งเขามา ในบรรดากั๋วกงทั้งเจ็ดมีเพียงเขาที่ได้อยู่ที่นี่ กลับไปเมื่อไรพวกนั้นคงอิจฉาเขาจนแทบแดดิ้นแน่!

จริงสิ อาการป่วยของหลู่กั๋วกง...

รัชทายาทเจาเลิกคิ้วเล็กน้อย หมอทหารบอกว่าเป็นโรคจ้งเฟิง ข้าจึงส่งเขากลับเมืองเย่เฉิงไปแล้ว ท่านเคยไปเยี่ยมหรือไม่?”

ไม่เคยเลยพ่ะย่ะค่ะ อาการป่วยของเขาดูท่าว่าน่าจะหนักหนาทำให้การเดินทางล่าช้าต้องพักแรมกันเป็นระยะ ตอนที่กระหม่อมออกเดินทางมาที่นี่เขายังกลับไปไม่ถึงเมืองเย่เฉิงเลยพ่ะย่ะค่ะ

อ้อ” รัชทายาทเจามิได้ใส่ใจสุขภาพของหลู่กั๋วกงนัก แต่จะปล่อยให้เขามาตายอยู่ข้างนอกแบบนี้คงมิใช่เรื่องดี ดังนั้นเขาจึงได้ส่งทหารฝีมือดีจำนวนไม่น้อยตามไปคุ้มกันด้วย หวังเพียงว่าจะเดินทางได้อย่างราบรื่นโดยไม่คาดหวังเรื่องความเร็ว หากจะยังกลับไม่ถึงเย่เฉิงก็มิใช่เรื่องแปลก

แต่ต่อให้เขาสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีก็เกรงว่าคงไม่รอดเช่นกัน จักรพรรดิกริ้วถึงเพียงนั้น

โทษตายยังสบายไปสำหรับเขา ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาทำเรื่องงามหน้าอะไรไว้อีก?”

สีหน้ารัชทายาทแสดงถึงความกริ้วโกรธ เหิงกั๋วกงตกตะลึงรีบเอ่ยถาม “เรื่องอะไรงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

เขาคิดว่าอย่างมากหลู่กั๋วกงก็คงบัญชาการได้ไม่ดี หรือไม่ก็แย่งอำนาจทางการทหารจากองค์รัชทายาทจึงมีจุดจบเช่นนี้ ทว่าเหตุใดถึงดูเหมือนมิใช่เพียงเท่านี้

ตอนทัพใหญ่ออกเดินทางได้มีการรวบรวมสมุนไพรมากมายจากทั่วทั้งเมือง เฉพาะรถที่ใช้บรรทุกสมุนไพรก็มีสิบกว่าคันแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าทัพใหญ่อยู่ฉู่โจวไม่ถึงครึ่งปี หลังออกรบเพียงครั้งเดียวสมุนไพรบางส่วนกลับติดปีกบินหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ว่าอย่างไรนะ นั่น…!”

เขาปิดบังไว้มิดชิดมาก ติดสินบนหมอทหารคนหนึ่ง ตาแก่นั่นก็เลอะเลือน ไม่สนใจดูแลจัดการงานใดๆ ทั้งสองคนสมคบคิดรวมหัวกัน นำสมุนไพรล้ำค่าไปขายต่อเก็งกำไร ได้เงินก้อนโตเข้ากระเป๋าตัวเองทั้งที่บ้านเมืองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน

ต่ำช้ายิ่งนัก!” เหิงกั๋วกงคิดไม่ถึงว่าผู้ที่เคยเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมสร้างผลงานในสนามรบมาด้วยกันในวันวานจะตกต่ำถึงเพียงนี้ หรือว่าหลู่กั๋วกงจะขัดสนเงินทองอย่างนั้นหรือ? ทว่าต่อให้ขัดสนเงินทองก็ไม่ควรนำชีวิตของเหล่าพี่น้องทหารหาญมาแลก!

ฝ่าบาทได้กราบทูลเรื่องนี้ให้จักรพรรดิทรงทราบหรือไม่?”

รัชทายาทเจาส่ายหน้า ข้ายังไม่ต้องการให้พระชายารู้เรื่องนี้จึงเก็บเป็นความลับไว้ก่อน เอาไว้มีโอกาสค่อยคิดบัญชีสะสางกันภายหลัง

ฮึ! กลัวก็แต่คนผิดจะอายุไม่ยืนน่ะสิพ่ะย่ะค่ะ

งั้นก็ต้องถือว่าเขาดวงดีแต่อนาคตอันสดใสของสกุลเซี่ยย่อมถึงทางตันแล้ว

เหิงกั๋วกงนิ่งงัน ยามนี้กั๋วกงทั้งเจ็ด เจิ้นกั๋วกงบ้านแตกสาแหรกขาด ยศถาบรรดาศักดิ์ถูกริบคืน หลู่กั๋วกงก็คงอยู่ได้อีกไม่นาน ส่วนพวกเขาที่เหลือก็ไม่รู้ว่าจะสามารถสืบทอดกันต่อไปได้อีกสักกี่รุ่น

ทว่าสำหรับเรื่องพวกนี้เหิงกั๋วกงปลงตกปล่อยวางได้แล้ว ในอดีตตอนลูกชายเขาไม่เอาถ่านก็ไม่เคยหวังจะให้ลูกชายส่งเสริมพัฒนาวงศ์ตระกูล ตอนนี้ลูกชายสามารถประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เขายังมีสิ่งใดให้ต้องเรียกร้องคาดหวังอีกหรือ ขอเพียงก่อนเขาตายตระกูลไม่พังทลายไปเสียก่อน เท่านี้เขาก็นอนตายตาหลับแล้ว

ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาช่วยดูแลลูกชายกระหม่อมมาหลายปีนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม!เหิงกั๋วกงทรุดตัวลงคุกเข่าคารวะด้วยความจริงใจ

ซื่อจื่อมีวันนี้ได้ต้องขอบใจพระชายา แต่ตัวเขาเองก็มีใจฮึดสู้ มิฉะนั้นท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นโคลนตมไม่เอาอ่าวเหมือนเดิม

ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรู้สึกซาบซึ้งใจในพระเมตตาของพระชายายิ่งนัก

ถังเยว่มิได้ต้องการอะไรมาก ขอแค่น้องสาวเขาอยู่ดีมีสุขก็พอเท่านี้ก็ถือเป็นการแทนคุณเขาแล้ว

เหิงกั๋วกงหัวเราะเสียงดัง ตรงจุดนี้ขอฝ่าบาทและพระชายาโปรดวางพระทัย อาหย่างดงามสง่าผ่าเผย ทั้งยังเพียบพร้อมด้วยศีลธรรมอันดีงาม นิสัยตรงไปตรงมา ไม่มีสะใภ้บ้านใดดีงามไปกว่านี้แล้ว หากวันใดซุ่นเอ๋อร์กล้าข่มเหงนาง กระหม่อมนี่ละจะเป็นคนเล่นงานเขาเอง!

รัชทายาทเจาพยักหน้าโดยไม่เอ่ยอะไรอีกเพราะไม่ต้องการก้าวก่ายเรื่องในครอบครัวขุนนางมากเกินไป

ไปเชิญพวกรองแม่ทัพหลูมาร่วมหารือวางแผนตีเมืองเถอะ

เหิงกั๋วกงใคร่ครวญแล้วเอ่ยทัดทาน ฝ่าบาท ในเมื่อทรงมีพระประสงค์ให้เป็นความลับ มิสู้ให้รู้กันแค่จำเป็นไม่ดีกว่าหรือ?”

ไม่มีใครกล้ารับประกันว่าในกองทัพพวกเขาจะปราศจากไส้ศึกเป่ยเยว่ ศึกครั้งนี้จะเกิดข้อผิดพลาดแม้เพียงน้อยนิดก็ไม่ได้เป็นอันขาด

ท่านกั๋วกงกังวลได้ถูกต้องแล้ว

เพียงข้ามคืน ทหารทั้งกองทัพก็ได้รับทราบว่ารัชทายาทเจามีบัญชาให้ทัพใหญ่เคลื่อนทัพเดินหน้าต่อ บุกตีเมืองสวีโจวที่อยู่ห่างออกไปสองร้อยลี้

คำสั่งนี้มิได้อยู่เหนือความคาดหมาย ทุกคนมิได้รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดปกติ แต่หลังผ่านช่วงบ่ายไปแล้ว ก็มีอีกหนึ่งคำสั่งถูกส่งมา ตามการคาดการณ์ของรัชทายาท ทหารรักษาการณ์เมืองสวีโจวมีอยู่อย่างจำกัด จึงไม่จำเป็นต้องเคลื่อนทัพเอิกเกริกใหญ่โต ด้วยเหตุนี้จึงมีบัญชาให้รองแม่ทัพหลูนำกำลังทหารสามหมื่นนายไปตีสวีโจว ส่วนองค์รัชทายาทพาไพร่พลอ้อมไปตีอีกเมืองที่อยู่ไกลกว่า

นอกจากนี้ยังมีจดหมายลับฉบับหนึ่งถูกส่งไปฉู่โจว องค์รัชทายาทมีคำสั่งให้แม่ทัพหูนำทัพขึ้นเหนือโดยเร็วที่สุด ใช้เมืองเยี่ยนโจวเป็นฐานบัญชาการ จะต้องเฝ้าประตูเมืองเยี่ยนโจวไว้ให้ดี หากทัพใหญ่ปราชัยเมืองเยี่ยนโจวจะเป็นฐานทัพให้พวกเขาพักหายใจ

แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เมืองฉู่โจวก็จะกลายเป็นดั่งเมืองกระดาษ หากข้าศึกบุกตีก็จะถูกตีแตกได้โดยง่ายรัชทายาทเจาจึงให้ทหารราบเกราะหนักห้าพันนายไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่นเพื่อปกป้องฉู่โจว ส่วนตนเองพาผู้พิทักษ์เกราะนิลห้าพันนายและไพร่พลอีกเกือบห้าหมื่นแต่งกายเรียบง่ายมุ่งหน้าสู่เมืองจิงตู พวกเขามิได้ใช้ทางหลวงแต่เลี่ยงเมืองและหมู่บ้านทั้งหมด เลือกถนนเส้นเล็ก เดินทางลำบาก ทว่าแม้จะเดินทางลำบากแต่เพราะเป็นถนนเส้นตรง ขึ้นเขาลงห้วยจึงย่นเวลาในการเดินทางได้มากกว่าที่วางแผนไว้

เมื่อใกล้ถึงเมืองจิงตู รัชทายาทเจาสั่งว่าไม่ต้องเดินทางต่อ แต่ให้กองทัพพักอยู่ในป่าลึกชั่วคราว พร้อมกับส่งคนไปสืบข่าว ตอนนี้เป่ยเยว่อยู่ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ จะเจอหิมะตกในช่วงฤดูใบไม้ผลิบ้างเป็นครั้งคราว มีคนหนาวจนเป็นแผลไม่น้อย โชคดีที่ยาทาแก้ผิวหนังอักเสบเพราะความหนาวที่ถังเยว่เตรียมไว้ให้มีประสิทธิภาพดีมาก ใช้แล้วได้ผลชะงัด ไพร่พลมีกันคนละขวดเล็กๆ ผิวหนังตรงไหนอักเสบเพราะความหนาวก็ทาตรงนั้น โดยพื้นฐานแล้วหากอากาศมิได้หนาวเหน็บต่อเนื่องหลายวันย่อมมิใช่ปัญหาใหญ่

หลังจากได้พักหนึ่งวันหนึ่งคืน คนที่ถูกส่งออกไปสืบข่าวก็กลับมา แต่ละคนล้วนมีสีหน้าแช่มชื่นเบิกบานด้วยกันทั้งนั้น

ฝ่าบาท ข่าวดีพ่ะย่ะค่ะ!

ว่ามา!

กษัตริย์เป่ยเยว่สวรรคตแล้วพ่ะย่ะค่ะ!

สิ้นประโยคนั้นรองแม่ทัพโดยรอบต่างกรูกันเข้ามาห้อมล้อมผู้ส่งข่าว ซักถามว่าตกลงสถานการณ์เป็นเช่นไรกันแน่

เรื่องนี้กระจายไปทุกตรอกซอกซอย ปีนี้กษัตริย์เป่ยเยว่ทรงชราภาพมากแล้ว ได้ยินว่าเป็นเพราะพ่ายศึกติดต่อกันหลายครั้งอีกทั้งยังถูกยึดดินแดนจึงกริ้วจนลมสว้านจุกอก

เช่นนั้นองค์ชายพระองค์ใดสืบราชบัลลังก์ต่อ?”

แต่ไหนแต่ไรมากษัตริย์เป่ยเยว่ทรงกุมอำนาจไว้เพียงผู้เดียว ก่อนเกิดเรื่องจึงมิได้ทรงแต่งตั้งรัชทายาทเตรียมไว้ เคยมีพระประสงค์จะแต่งตั้งองค์ชายสี่แห่งเป่ยเยว่ ทว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนจู่ๆ องค์ชายสี่ก็สิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันในตำหนักของพระองค์เอง กษัตริย์เป่ยเยว่ทั้งกริ้วทั้งเสียพระทัยจนในคืนเดียวกันนั้นถึงกับกระอักเลือดและเสด็จสวรรคตในช่วงย่ำรุ่ง ตอนนี้ในราชสำนักเป่ยเยว่กำลังเกิดความวุ่นวายโกลาหล ทุกคนล้วนมีผู้สืบทอดที่ตนพอใจจึงเกิดการขัดแย้งกันอย่างหนัก แต่ได้ข่าวว่าในเมืองจิงตูประกาศใช้กฎอัยการศึกแล้ว ประตูเมืองปิดสนิท ห้ามมีการเข้าออกเด็ดขาด!

นี่นับเป็นจังหวะและโอกาสดี ฝูงมังกรไร้ผู้นำ บัดนี้ทัพเป่ยเยว่ก็กลายเป็นเพียงเม็ดทรายที่กระจัดกระจายเท่านั้นหวังติ่งจวินกล่าวแล้วรีบเสนอความคิด ฝ่าบาท เช่นนี้มิสู้พวกเรารออีกสักสองสามวันให้องค์ชายพวกนั้นรบราแย่งชิงกันเองก่อน จากนั้นพวกเราค่อยลงมือกวาดล้างขุดรากถอนโคนให้สิ้นซากทีเดียวเลย ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

รัชทายาทเจานิ่งเงียบมิเอ่ยวาจาใดอยู่นาน ขณะที่ทุกคนกำลังนึกว่าข้อเสนอนี้จะต้องได้รับความเห็นชอบแน่ จู่ๆ รัชทายาทก็เอ่ยถามทหารนายนั้นขึ้นประโยคหนึ่ง เจ้ามั่นใจหรือว่าผู้ที่สิ้นพระชนม์กะทันหันในตำหนักเป็นองค์ชายสี่จริง?”

นายทหารผู้นั้นนิ่งอึ้งไป ก่อนจะพยักหน้า

ข้าพระองค์ได้ยินมาว่าเป็นองค์ชายสี่ แต่ข่าวผิดพลาดหรือไม่ยังมิได้ตรวจสอบให้แน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ

ฝ่าบาท มีสิ่งใดผิดปกติหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ทุกคนเอ่ยถามด้วยสีหน้างงงัน

รัชทายาทเจาก็มิได้ปิดบัง “พวกท่านรู้หรือไม่ว่าในบรรดาองค์ชายเป่ยเยว่ผู้ใดมีความสามารถล้ำเลิศที่สุด ผู้ใดมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเรามากที่สุด

ได้ข่าวว่าองค์ชายสี่ปราดเปรื่องตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เป็นผู้มีความรู้และคุณธรรมเหนือกว่าใคร เป็นองค์ชายที่ปวงประชารักใคร่เทิดทูนที่สุด นอกจากนี้ยังมีองค์ชายเจ็ดที่ดูเหมือนว่ามีอำนาจไม่น้อย แต่เพราะพระมารดามีฐานะต่ำต้อย อาศัยความสามารถของพระองค์เองแสดงความสามารถออกมาโดดเด่นกว่าใครในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย ความสามารถเชิงบุ๋นเชิงบู๊ล้วนยอดเยี่ยม กล่าวกันว่าทรงได้รับความชมชอบจากกษัตริย์เป่ยเยว่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ

สองคนนี้ องค์ชายสี่โลเลเกินไปไม่กล้าตัดสินใจ ทำงานใหญ่ให้สำเร็จได้ยาก องค์ชายเจ็ดใจคอคับแคบจุกจิกหยุมหยิม ไม่ใช่ตัวเลือกกษัตริย์ที่ดี

หรือยังมีองค์ชายพระองค์ใดอดทนข่มใจไม่แสดงตัวอีกหรือ?”

รัชทายาทเจาพยักหน้าแล้วเขียนอักษรคำว่า ‘สอง’ ลงบนพื้น

นี่...เป็นองค์ชายรองที่ถูกปลดจากตำแหน่งเมื่อสิบกว่าปีก่อนมิใช่หรือ กล่าวกันว่าตอนนั้นมีคำเล่าลือว่าจะแต่งตั้งเขาเป็นรัชทายาท แต่เขากลับสมคบคิดแม่ทัพใหญ่ในราชสำนักร่วมกันก่อกบฏ ทว่ายังไม่ทันได้ลงมือก็มีคนพบเบาะแสเข้าจึงถูกกษัตริย์เป่ยเยว่จองจำ

เรื่องใหญ่ขนาดนี้หนานจิ้นย่อมต้องรู้ข่าวอยู่แล้ว เพียงแต่ทุกคนคิดไม่ถึงว่าบุคคลที่เดิมควรอยู่นอกวงจะกลายเป็นผู้มีความเป็นไปได้ที่จะขึ้นครองตำแหน่งจักรพรรดิองค์ต่อไปในความคิดของรัชทายาทเจาเสียได้

จากหลักฐานในช่วงหลายปีที่ค้นหามาได้ ยืนยันแล้วว่าองค์ชายรองเป็นผู้บริสุทธิ์แต่ถูกคนวางแผนใส่ร้าย เขาอดทนข่มใจอยู่สิบกว่าปี แอบสั่งสมกำลังอำนาจไว้กระทั่งกษัตริย์เป่ยเยว่เสด็จสวรรคต เดิมทีข้าต้องการเอาชีวิตเขาแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดผู้ที่ตายถึงกลายเป็นองค์ชายสี่ไปได้

ไม่รู้ว่าข้างนอกมีข่าวองค์ชายรองบ้างหรือไม่?” สายตาหวังติ่งจวินมองไปยังพลทหารที่ไปสืบข่าว

พวกเขาสบตากันแล้วส่ายหน้า ยังไม่ได้ข่าวเลยพ่ะย่ะค่ะ ถ้าอย่างไรเดี๋ยวข้าพระองค์จะไปสืบดูอีกครั้ง

รัชทายาทเจาโบกมือ ไม่เป็นไร เหน็ดเหนื่อยกันมาหลายวันแล้ว พวกเจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ เปลี่ยนให้คนอีกชุดไปแทน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสืบข่าวองค์ชายรองมาให้แน่ชัดให้จงได้

น้อมรับพระบัญชา!


 

255 จักรพรรดิสวรรคต

คุณชาย แย่แล้ว! ในวังส่งคนมาตามท่านเข้าวังด่วนขอรับ

เหอกระโจนเข้ามาในห้องทรงพระอักษร รีบร้อนเสียจนลืมแม้กระทั่งมารยาทพื้นฐาน

บอกหรือไม่ว่ามีธุระอันใด?”

บอกขอรับ ข่าวเพิ่งแพร่ออกมาว่าตอนที่จักรพรรดิไปล่าสัตว์ทรงตกจากหลังม้าได้รับบาดเจ็บที่พระเศียรขอรับ

ถังเยว่รีบผุดลุกขึ้น เกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร เป็นอุบัติเหตุงั้นหรือ?”

บ่าวไม่แน่ใจ แต่เห็นคนที่มาจากในวังรีบร้อนมาก เกรงว่าสถานการณ์คงมิสู้ดีนัก คุณชาย...”

ไปหยิบล่วมยามาให้ข้า! ข้าจะรีบไปถังเยว่เร่งรีบเสียจนไม่ได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า พอพุ่งตัวออกจากห้องก็เห็นขันทีใหญ่กำลังวิ่งกระหืดกระหอบมา

พอเห็นเขา ขันทีเฒ่าก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น คุกเข่าลงบนพื้นกอดขาถังเยว่

พระชายา ต้องช่วยองค์เหนือหัวนะพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้...ฮือๆๆๆตอนนี้...มีแต่พระองค์เท่านั้น...

ถังเยว่ถีบเรียกสติฝ่ายนั้นไปหนึ่งทีแล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

รีบลุกขึ้น เดี๋ยวเจ้าเล่าเหตุการณ์มาให้ละเอียดแต่ตอนนี้รีบเข้าวังกันก่อน!

ถังเยว่หอบล่วมยาเร่งสาวเท้าวิ่งไปยังประตูใหญ่ พ่อบ้านเตรียมม้าไว้ให้เขาที่หน้าประตูเรียบร้อยแล้วเพราะรู้ว่าสถานการณ์คับขัน แม้แต่รถม้ายังต้องงดใช้ชั่วคราว

ถังเยว่พลิกตัวกระโดดขึ้นหลังม้า กำลังจะหวดแส้ พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงกวักมือเรียกเหอให้เข้ามาใกล้ๆ ค้อมกายกระซิบข้างหูเขากำชับสองสามประโยค จากนั้นก็รีบควบม้าพุ่งตรงไปยังพระราชวัง นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ขี่ม้าแต่เพราะร้อนใจจึงลืมกลัว จนเข้าไปถึงในวังแล้วจึงเพิ่งรู้ตัวว่าหยุดม้าไม่ได้!

ทหาร! รีบมาช่วยข้าเร็วเข้า ข้าหยุดม้าไม่ได้!ถังเยว่ตะโกนเสียงดังลั่น ดึงเชือกบังเหียนพยายามบังคับม้า

องครักษ์นายหนึ่งกระโจนมาดักหน้า ถังเยว่ตะโกนไล่ รีบหลบไป!

เขาคิดว่าแรงปะทะเพียงแค่นี้ไม่น่าจะทำให้ม้าหยุดลงได้ ทว่าฝ่ายนั้นเพียงแตะปลายเท้าก็ทะยานตัวลอยขึ้นกลางอากาศแล้วโผเข้าหาเขา ถังเยว่หลับตาปี๋ องครักษ์ผู้นั้นพลิกกายนั่งคร่อมซ้อนหลังเขา กระตุกบังเหียน ม้ายกขาหน้าตะกุยอากาศพร้อมกับร้องคำรามก่อนจะเอียงตัวล้มลงกับพื้นทว่าก่อนหน้านี้องครักษ์ผู้นั้นคว้าแขนถังเยว่พาเขากระโดดลงจากหลังม้าก่อนแล้ว

ถังเยว่รู้สึกเจ็บที่ข้อเท้าเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดก็เหยียบลงบนพื้นได้เสียที

ขอพระราชทานอภัยที่ล่วงเกินพ่ะย่ะค่ะองครักษ์ผู้นั้นปล่อยแขนเขาแล้วคุกเข่าข้างเดียวทำความเคารพ

ถังเยว่ตบอกตนเองให้คลายตกใจ

รีบลุกขึ้นเถอะ ต้องขอบคุณพี่ชายที่ช่วยชีวิต

นี่เป็นหน้าที่ของข้าพระองค์พ่ะย่ะค่ะ!

ถังเยว่ไม่มีเวลาจะพูดคุยกับเขา หลังกล่าวขอบคุณเสร็จก็รีบพุ่งตรงไปยังตำหนักบรรทมขององค์จักรพรรดิหนานจิ้น

ในวังเกิดความชุลมุนวุ่นวายไปหมด เขาเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังร่ำไห้อยู่หน้าตำหนักบรรทมขององค์จักรพรรดิ พลันเกิดลางสังหรณ์มิสู้ดีบางอย่างผุดขึ้นในใจ

รีบถอยไปให้หมด! พระชายาเสด็จแล้ว!

ฝูงชนแหวกออกเป็นทาง ถังเยว่เดินเข้าไปด้วยท่าทางเคร่งขรึมและน่าเกรงขาม มีองค์ชายและพระชายากลุ่มหนึ่งคุกเข่าอยู่ที่ห้องชั้นนอก พอเห็นถังเยว่ก็มีสีหน้าหลากอารมณ์ เมื่อเทียบกับเสียงร่ำไห้ระงมหน้าตำหนัก หญิงชายในห้องนี้มีเพียงเสียงร้องไห้แต่ไร้น้ำตา เห็นแล้วชวนน่าเวทนายิ่งนัก คนพวกนี้ต่างหากที่เป็นญาติสนิทที่สุดของบุรุษซึ่งนอนเจ็บอยู่ภายในห้อง แต่กลับมีกิริยาอาการเช่นนี้ดูคล้ายประชดกันชอบกล

ถังเยว่ก้าวเท้ายาวๆ ผ่านคนเหล่านั้นเข้าไปในห้องชั้นใน เห็นพระอัครมเหสีหูซื่อนั่งคุกเข่าอยู่ข้างแท่นบรรทม นางคุกเข่าอย่างสง่างาม สีหน้าสงบนิ่ง ดวงตาฉายแววอาดูรแต่ที่สัมผัสได้มากกว่าคือความอดกลั้น

พระอัครมเหสี พระชายาเสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ

พระอัครมเหสีผินหน้ามา มุมปากขยับเล็กน้อยขณะทอดถอนใจ

เจ้ามาช้าไป

ถังเยว่ก้าวยาวๆ เข้าไปเพ่งพิจารณาสีหน้าจักรพรรดิหนานจิ้นซึ่งตอนนี้เป็นสีเขียวอมแดง ขอบตาเว้าลึก มีผ้าพันแผลหนาเตอะพันรอบหน้าผาก ทั้งยังมีรอยโลหิตไหลซึมออกมา เขาจับชีพจรและตรวจการเต้นของหัวใจ จักรพรรดิหนานจิ้นไร้ซึ่งลมหายใจแล้วจริงๆ เสื้อคลุมมังกรบนร่างก็เปลี่ยนเป็นชุดใหม่แล้ว

เสด็จพ่อทรงไม่หายใจนานแค่ไหนแล้วพ่ะย่ะค่ะ

ประมาณหนึ่งเค่อ หมอหลวงอูเพิ่งจะออกไป เขาบอกว่าไม่สามารถช่วยได้แล้ว

น้ำเสียงของพระอัครมเหสีแม้ฟังเผินๆ ยังคงราบเรียบนุ่มนวล แต่ถังเยว่จับกระแสเสียงที่สั่นเครือน้อยๆ ด้วยความหวาดกลัวได้

ถังเยว่แกะผ้าพันแผลของจักรพรรดิหนานจิ้นออก ตรวจดูบริเวณศีรษะพบว่าตรงท้ายทอยมีรูคงกระแทกถูกวัตถุแหลมคมบางอย่าง เขาไม่รู้ว่ามีเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายใดซ่อนอยู่ในเรื่องนี้หรือไม่ หลังตรวจดูบาดแผลแล้วจึงลอบมองพระอัครมเหสี ส่งคำถามด้วยสายตา นางส่ายหน้าให้เขาเพียงเล็กน้อยจนแทบไม่รู้สึก จากนั้นจึงยกผ้าขึ้นเช็ดซับหัวตาแล้วลุกขึ้นยืน

ประกาศออกไป จักรพรรดิเสด็จสวรรคตแล้ว ให้ไว้ทุกข์ทั่วทั้งแผ่นดินนานสามเดือน รัชทายาทยังไม่เสด็จกลับจากการศึกสงคราม งานพระราชพิธีพระบรมศพให้พระชายาเป็นผู้ดูแลจัดการ งานราชกิจให้จิ่วชิงและกั๋วกงทั้งหลายช่วยจัดการแทนไปก่อน รอให้รัชทายาทเสด็จกลับแล้วค่อยจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

เสียงถ่ายทอดคำสั่งดังต่อกันออกไป ทั่วพระราชวังเต็มไปด้วยบรรยากาศเศร้าสร้อยหดหู่ เสียงร้องไห้ดังระงมชวนให้รู้สึกกดดัน

ถังเยว่คิดไม่ถึงว่าพระอัครมเหสีจะยกหน้าที่ดูแลงานพระราชพิธีพระบรมศพให้ตนเป็นคนจัดการ งานใหญ่ขนาดนี้เขาทำไม่ไหวและไม่อยากทำด้วย หากเกิดข้อผิดพลาดแม้เพียงนิดก็จะถูกคนขุดออกมาโจมตี มิหนำซ้ำทั้งองค์ชายและพระชายาดุจฝูงหมาป่าพญาเสือที่อยู่ข้างนอกพวกนั้นต่างคอยจ้องจับผิดหาจุดอ่อนมาเล่นงานเขาตาแทบไม่กะพริบ

เสด็จแม่จะทรงส่งจดหมายให้รัชทายาทเสด็จกลับมาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ

ถังเยว่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจักรพรรดิหนานจิ้นจะเสด็จสวรรคตกะทันหัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ความมั่นคงของราชสำนักก็มิอาจรับประกันได้แล้ว

ทัพหลังไม่มั่นคง หลี่เจาอยู่ทัพหน้าย่อมได้รับผลกระทบแน่ ถังเยว่ยอมให้เขากลับมาดีกว่าที่จะให้อีกฝ่ายต้องอยู่ในวังวนแห่งความยุ่งยากเพราะเหตุนี้

ไม่!พระอัครมเหสีส่ายหน้าอย่างแน่วแน่และหนักแน่น ราชสำนักแห่งนี้มีขุนนางมีนักวางแผนที่สามารถบริหาราชกิจได้ในช่วงสั้นๆ ไม่มีทางเกิดความโกลาหลขึ้นแน่ ส่วนวังหลังมีข้าซึ่งเป็นพระอัครมเหสีอยู่ทั้งคนอยากดูนักว่าพวกมันใครจะบังอาจกล้าก่อกบฏ!

ถังเยว่เลื่อมใสในความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของนางยิ่งนัก แต่ถึงกระนั้นก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ สถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดี รัชทายาทไม่อยู่ พวกองค์ชายมีความคิดแตกต่างกัน ต้องมีพละกำลังมหาศาลเพียงใดจึงจะสามารถสกัดกั้นองค์ชายพวกนั้นได้

พระชายาหม่า...พระชายาหม่า...เข้าไปไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ...พระชายา!

ไสหัวออกไป! ข้าจะขอเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิเป็นครั้งสุดท้าย...

ใช่! พวกเราจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท ฝ่าบาทจะเสด็จสวรรคตได้อย่างไร เมื่อครู่ตอนส่งพระองค์เข้าไปยังมีพระชนม์ชีพอยู่ชัดๆ เหตุใดพอพระชายาเข้าไปก็ทรงเสด็จสวรรคตแล้วเล่า?”

เขาเป็นหมอเทวดามิใช่หรือ! ไหนว่าสามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้อย่างไรล่ะ เหตุใดนอกจากรักษาไม่หายแล้วยังทำให้ตายเสีย! หรือว่าเขาสมคบคิดกับพระอัครมเหสีปลงพระชนม์ฝ่าบาท!

บังอาจ!พระอัครมเหสีพอได้ยินประโยคนี้ก็ตวาดลั่นด้วยความกริ้วโกรธ ทหาร! มาจับพวกคนพูดจาเหลวไหลเลอะเลือนออกไปให้หมดทั้งฝูงเดี๋ยวนี้!

พระอัครมเหสี ท่านกล้าหรือ!

พระอัครมเหสี ท่านร้อนตัวละสิ! ทำให้ฝ่าบาทต้องสวรรคต นึกว่ารัชทายาทจะขึ้นครองราชย์ได้งั้นหรือ เจ้ามันหญิงอำมหิต เอาชีวิตฝ่าบาทคืนมานะ ฮือๆ ฝ่าบาทของข้า!

พอแล้ว!ถังเยว่ตวาด รัชทายาทไม่อยู่เย่เฉิง จักรพรรดิสวรรคตตอนนี้จะเกิดประโยชน์อะไรกับพระองค์ พวกเจ้านึกว่าสติปัญญาของผู้อื่นจะอยู่ระดับเดียวกับพวกเจ้าหรืออย่างไร!

เจ้า...เจ้ามันก็แค่พระชายาบุรุษ ที่นี่เจ้าก็มีสิทธิ์พูดด้วยงั้นหรือ!

เฮอะ! ข้าเป็นถึงพระชายาที่องค์จักรพรรดิทรงออกราชโองการพระราชทานงานอภิเษกสมรสให้ พระชายาคลางแคลงในการตัดสินพระทัยขององค์จักรพรรดิอย่างนั้นหรือ? หรือจะไปถามองค์จักรพรรดิด้วยตัวเองว่าทรงยอมรับข้าผู้เป็นพระชายาบุรุษคนนี้หรือไม่ดีล่ะ!” ถังเยว่แสยะยิ้ม สำหรับสตรีในวังหลังแห่งนี้ ไม่น่าทะนุถนอมอ่อนโยนด้วยเลยจริงๆ

พิษร้ายที่สุดคือใจนาง ประโยคนี้ไม่ได้เขียนขึ้นมาเล่นๆ บทผู้หญิงจะร้ายขึ้นมาถึงกับชวนขนพองสยองเกล้าจนขนหัวลุกกันเลยทีเดียว

แม้จะไม่ถึงกับเชี่ยวชาญแต่เขาก็เคยฟังเรื่องราวการใช้กลอุบายชิงดีชิงเด่นในวังหลังมาบ้าง แต่ละเรื่องโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งกว่าละครโทรทัศน์เสียอีก

ยังไม่เอาตัวพวกเขาออกไปอีก จักรพรรดิเพิ่งสวรรคตได้ไม่นานพวกเจ้าก็คิดจะก่อเรื่องวุ่นวายแล้วงั้นหรือ?”

องครักษ์กลุ่มใหญ่ถืออาวุธบุกเข้ามา ผลักนางกำนัลขันทีที่ห้อมล้อมปกป้องเหล่าองค์ชายและพระชายาแล้วนำตัวออกไปทีละคน

พวกเจ้าจะทำอะไร เพิ่งพูดอยู่หยกๆ ว่าจักรพรรดิเพิ่งสวรรคตได้ไม่นานก็คิดจะฆ่าล้างบางพวกเราแล้วหรือ!

บัดนี้ราชสำนักไร้ผู้นำ รัชทายาทยังไม่เสด็จกลับ ข้ารู้สึกว่าเรื่องเร่งด่วนที่สุดควรเป็นการให้เสนาบดีเลือกองค์ชายขึ้นมาบริหารบ้านเมืองเป็นการชั่วคราว รอให้รัชทายาทเสร็จศึกกลับมาค่อยเลือกวันเสด็จขึ้นครองราชย์ พระอัครมเหสีทรงคิดเห็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?”

ถังเยว่หันไปดูเห็นองค์ชายอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งใส่ชุดสีขาวสวมหมวกทองใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดฝาด ดูไร้ซึ่งความหยิ่งทะนงถือดีออกจะมีแนวโน้มว่าง่ายอยู่ในโอวาทเสียด้วยซ้ำ ที่แท้ก็เป็นองค์ชายสิบห้านั่นเอง ถังเยว่ย่อมรู้จักเขา องค์ชายคนนี้เป็นผู้ที่ไม่ค่อยโดดเด่นเท่าใดนัก น่าจะเพิ่งอายุครบสิบห้าปีเต็มจำได้ว่าเป็นเด็กที่อยู่ในโอวาทว่านอนสอนง่าย แต่ไหนแต่ไรแทบไม่เคยออกมาปรากฏตัวในที่สาธารณะแต่ครั้งนี้กลับประหลาดอย่างยิ่ง เขาโผล่มาในเวลานี้มีจุดประสงค์ใด?

อีกอย่าง ข้ารู้สึกว่าให้พระชายาเป็นผู้ดูแลจัดการงานพระราชพิธีพระบรมศพของเสด็จพ่อไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ตั้งแต่โบราณกาลหนานจิ้นไม่เคยมีเหตุการณ์ที่จะให้พระชายามาจัดงานสำคัญเช่นนี้ พระอัครมเหสีไม่ทรงถามความคิดเห็นของเหล่าเสนาบดีดูหน่อยหรือ แม้เสด็จพ่อจะไม่อยู่แล้ว แต่ราชสำนักก็มีกฎมณเฑียรบาลอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ

องค์ชายสิบห้าพูดจามีเหตุมีผล วาจาฉะฉานสงบนิ่งไม่ใช้อารมณ์มาเจือปนยิ่งดูสมเหตุสมผลอย่างมาก แต่ต่อให้สมเหตุสมผลเพียงใดสามารถออกมายืนพูดในเวลานี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีแผนการแอบแฝงในใจ

ถังเยว่เดินมาตรงหน้าเขา แล้วยิ้ม

น้องสิบห้า ไม่เจอกันนานมาก ดูสิเจ้าโตขนาดนี้แล้ว สามารถแบ่งเบาภาระของเสด็จพี่เจ้าได้แล้วช่างน่าปลื้มใจยิ่งนักถังเยว่หันไปทางพระอัครมเหสี พูดด้วยน้ำเสียงขอคำปรึกษา เสด็จแม่ ลูกเองก็รู้สึกว่างานพระราชพิธีพระบรมศพให้ลูกดูแลจัดการน่าจะไม่เหมาะสมนัก อีกอย่างช่วงนี้ลูกต้องจัดเตรียมเสื้อผ้าหน้าร้อนให้พวกทหารทัพหน้า แต่ว่าเมื่อครู่ที่เสด็จแม่กล่าวว่าให้จิ่วชิงกับเหล่ากั๋วกงร่วมกันบริหารบ้านเมืองไปก่อนเป็นการชั่วคราวนั้นลูกสนับสนุนและเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง งานราชกิจเร่งด่วนแม้เหล่าองค์ชายจะปรีชาสามารถแต่ยังขาดประสบการณ์ มิสู้ให้เหล่าองค์ชายได้ศึกษาการบริหารงานราชสำนักจากเหล่าเสนาบดีก่อน เช่นนี้ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

พระอัครมเหสีหันมองเขาด้วยความแปลกใจ คำพูดนี้ของถังเยว่ฟังดูเหมือนคิดมาเพื่อองค์ชายทั้งหลายไม่เหมือนวาจาที่พระชายารัชทายาทควรพูดออกมาเลยสักนิด แต่เมื่อลองตรองให้ดีแล้วดูเหมือนว่าความใจกว้างของเขาจะมิได้เสียผลประโยชน์อะไรนัก งานพระราชพิธีพระบรมศพของจักรพรรดิมีระเบียบวิธีของบรรพบุรุษอยู่แล้ว ชั่วยามใดต้องทำสิ่งใดล้วนกำหนดไว้ตายตัว ผู้ดูแลจัดการงานพระราชพิธีพระบรมศพเป็นเพียงฐานะในนามที่ฟังดูดีเท่านั้น

สำหรับเรื่องที่ให้เหล่าองค์ชายศึกษาการบริหารราชกิจ ขอเพียงในราชสำนักยังมีอัครเสนาบดีและกั๋วกงทั้งหลายยังอยู่ องค์ชายพวกนั้นจะสามารถทำอะไรได้

ข้าอนุญาตพระอัครมเหสีกล่าวพร้อมกับพยักหน้า


 

256 เมืองแตก

ถังเยว่กลับถึงจวนในช่วงโพล้เพล้ เหนื่อยล้าไปทั้งตัว สีหน้าบ่งบอกถึงความอ่อนเพลีย คนในจวนรัชทายาทต่างรู้ข่าวแล้วบริเวณรอบจวนจึงประดับด้วยแพรขาว บ่าวไพร่ต่างเปลี่ยนมาสวมชุดไว้ทุกข์มัดแถบผ้าขาว

พี่ถัง…” จางฉุนที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกรีบตรงเข้ามาจูงแขนเขาไปถาม “เกิดอะไรขึ้นทำไมจู่ๆ จักรพรรดิถึงเสด็จสวรรคตกะทันหันได้ล่ะ ทรงสุขภาพแข็งแรงมาตลอดไม่ใช่เหรอ?”

ถังเยว่จูงเขาเข้าประตู กระทั่งเข้ามาในห้องทรงพระอักษรแล้วจึงพูดขึ้น “ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องราวทั้งหมดนักหรอก ได้ยินว่าทรงตกจากหลังม้าตอนไปล่าสัตว์ ตอนนั้นมีเสนาบดีอยู่กันหลายคน หลังเกิดเรื่องได้ตรวจสอบดูแล้วว่าม้าไม่มีปัญหาเพียงแต่วิ่งเร็วเกินไปสะดุดถูกเถาวัลย์เข้าจึงล้ม

แบบนี้มันมีลับลมคมในชัดๆ” จางฉุนฟังแล้วอ้าปากตะลึงค้าง ที่จริงถังเยว่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสงสัยไม่น้อย ม้าอยู่ดีๆ จะสะดุดเถาวัลย์ล้มได้อย่างไร ประจวบเหมาะกับศีรษะขององค์จักรพรรดิไปกระแทกถูกหินแหลมเข้าพอดี เรื่องนี้ไม่บังเอิญไปหน่อยหรือ?

จะมีลับลมคมในหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะพูดอะไรได้ ต่อให้มีใครวางกลอุบายไว้ พวกเราก็ไปยุ่งเกี่ยวด้วยไม่ได้

แล้วคุณไม่กลัวว่าจะมีคนคิดชิงบัลลังก์หรือ? จักรพรรดิหนานจิ้นสิ้นพระชนม์ รัชทายาทก็อยู่ในที่ห่างไกลขนาดนั้น หากมีคนคิดปองร้ายหวังฮุบอำนาจในราชสำนักก็สามารถฉวยโอกาสนี้ชิงตำแหน่งรัชทายาทไปได้อย่างสบายเลยนะ แล้วตำแหน่งพระชายาของคุณก็จะเป็นอันสิ้นสุดไม่ใช่เหรอ

ถังเยว่มองอีกฝ่ายอย่างจนใจ “ฉันรู้ว่านายเป็นห่วงเรื่องอะไร ผลเลวร้ายที่สุดของเรื่องนี้ก็คือถ้ามีคนคิดปองร้ายอย่างที่นายว่าจริง เขาจงใจวางแผนกำจัดจักรพรรดิหนานจิ้นแล้วยึดอำนาจราชสำนัก จัดการสังหารคนสนิทของรัชทายาทให้สิ้นซาก จากนั้นก็ตัดขาดข่าวสารกับทัพใหญ่ที่อยู่ชายแดนแล้วขึ้นเป็นจักรพรรดิเสียเอง…”

แค่นี้ก็แย่พอแล้ว ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงคนแรกที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการฆ่าก็คือคุณ! คุณเหมือนมีป้ายยี่ห้อรัชทายาทแปะอยู่กลางหน้าผาก หรือถ้าหากเขาหาเรื่องใส่ความว่าทั้งที่คุณเป็นหมอเทวดาแต่กลับรักษาจักรพรรดิไม่ได้ขึ้นมาล่ะ!จางฉุนยิ่งคิดยิ่งตื่นตระหนก รีบเขย่าแขนถังเยว่อย่างร้อนใจ พี่ถัง! พวกเรารีบเก็บของลี้ภัยไปอยู่ที่อื่นก่อนดีกว่าไหม?”

ถังเยว่ยิ้มอย่างอ่อนใจ “ความจริงก็คือความจริง พวกเราไม่ได้ทำเช่นนั้นจะมายัดเยียดข้อหาฆ่าคนตายให้พวกเราได้ยังไง?”

ถึงขั้นต้องลี้ภัยเชียวหรือ เจ้าเด็กนี่จินตนาการออกมาได้อย่างไร!

เรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุปฉะนั้นพูดอะไรไปล้วนเป็นการคาดเดาไปเองทั้งนั้น นายวางใจเถอะ เมื่อกี้ฉันได้ปรึกษากับเสนาบดีหลายคน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำได้อย่างข้อสันนิษฐานของฉัน

ในวังมีพระอัครมเหสีกับคนที่อยู่ฝ่ายสกุลหูรักษาการณ์อยู่ ในราชสำนักก็มีอัครเสนาบดีกับกั๋วกงหลายท่านร่วมแรงแข็งขันรับมือคนข้างนอก ยังมีไพร่พลที่เฝ้าอยู่เมืองเย่เฉิงซึ่งล้วนเป็นคนสนิทของรัชทายาท นอกเสียจากว่าจู่ๆ คนเหล่านี้พร้อมใจกันแปรพักตร์หักหลังรัชทายาท ไม่เช่นนั้นถังเยว่ก็ยังคิดไม่ออกว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีโอกาสลงมือได้อย่างไร แผ่นดินนี้ขาดก็แต่การทำพิธียกให้หลี่เจาสืบทอดต่ออย่างเป็นทางการเท่านั้นและตามความเป็นจริงหลี่เจาในฐานะรัชทายาทก็ถือว่าเป็นเจ้าแห่งแผ่นดินนี้กึ่งหนึ่งมานานแล้ว แทนที่จะคาดเดาเอาเองว่าใครเป็นผู้ฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย สู้เอาเวลาไปคิดว่าตอนนี้รัชทายาทต้องเผชิญกับอันตรายอะไรบ้าง ขาดแคลนเสื้อผ้า อาหาร ยาเวชภัณฑ์และหมอหรือไม่ยังจะดีเสียกว่า สิ่งเหล่านี้ต่างหากเป็นเรื่องที่เขาควรใส่ใจมากที่สุด

จางฉุนฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างระอาใจ

ทำไมคุณใจเย็นขนาดนี้! นี่เป็นศึกแย่งชิงในวังหลวงเชียวนะ ศึกชิงบัลลังก์แต่ละยุคสมัยล้วนเป็นเหตุการณ์นองเลือดทั้งสิ้น ดีไม่ดีพวกเราอาจกลายเป็นก้อนหินให้คนอื่นเหยียบข้าม

เมื่อก่อนนายชอบพูดอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่หรือว่าพวกเราเป็นคนที่ข้ามภพมา เป็นตัวเอกของเรื่องที่มีรัศมีโดดเด่น เป็นแมลงสาบที่ตีไม่ตาย

เอ่อก็จริง ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้พวกเราคงกลับมาเกิดใหม่ในโลกยุคนี้พร้อมภารกิจสำคัญจริงๆ นั่นละ ดังนั้นหากยังปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จก็จะไม่ถูกตัดบททิ้งง่ายๆ แน่

ถังเยว่กลั้นหัวเราะขณะถาม “ภารกิจอะไร?”

ก็ภารกิจช่วยรัชทายาทเจารวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวยังไงล่ะ ก็เหมือนอย่างพระเอกคนนั้นที่ย้อนยุคกลับไปในราชวงศ์ฉินช่วยอิ๋งเจิง[1]แล้วใช้ความรู้สมัยใหม่ของเขาช่วยพัฒนาให้แผ่นดินรุ่งเรืองประชาชนเข้มแข็ง ช่วยเหลือราษฎรที่ยากจนอดอยากจนกลายเป็นบุคคลสำคัญที่ต้องถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อย่างไรล่ะ

เหอะๆ…” ถังเยว่หัวเราะเสียงเย็นพลางตบศีรษะอีกฝ่ายไปหนึ่งที “พอได้แล้ว อย่ามัวมานั่งเพ้อเจ้ออยู่เลย จักรพรรดิเสด็จสวรรคต การค้าของนายต้องได้รับผลกระทบแน่ ช่วงนี้ก็อย่าซ่าให้มากนัก ออกไปข้างนอกก็พาคนติดตามไปด้วยให้มากหน่อย ไม่อย่างนั้นบุคคลสำคัญอย่างนายเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะแย่เอาได้

เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่ผมตัดสินใจขอลี้ภัยไปก่อนนะคุณมีข้าวของอะไรจะส่งไปชายแดนหรือเปล่า ฝากผมไปก็ได้

นายแน่ใจนะว่าที่จะไปไม่ใช่เพราะคิดถึงใครบางคนจนทนไม่ไหว ทำเป็นหาข้ออ้างเอาเรื่องนี้มาบังหน้าเผ่นไปชายแดน

จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง ผมกลัวตายจะแย่ อีกอย่างผมอยู่ที่นี่ก็รังแต่จะเป็นตัวถ่วงคุณ ไม่แน่อาจกลายเป็นจุดอ่อนของคุณก็ได้ สู้เดินทางไปให้ไกลๆ ซะเลยดีกว่า หรือคุณคิดว่าไง?”

ถังเยว่ขี้เกียจจะเปิดโปงคำโป้ปดของอีกฝ่ายและเขาเองก็อยากฝากจางฉุนไปแจ้งข่าวให้หลี่เจาทราบพอดีจึงพยักหน้าตอบรับ

เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วเดินทางเข้าวัง แม้จะไม่ต้องเป็นผู้ดูแลจัดการงานพระราชพิธีแล้วแต่ก็ยังต้องไปเฝ้าพระศพจักรพรรดิหนานจิ้นอยู่ดี หลี่เจาไม่อยู่เขาก็ควรทำหน้าที่ลูกกตัญญูแทน

ในช่วงที่หนานจิ้นและเป่ยเยว่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าทั้งแผ่นดิน ในที่สุดศึกครั้งสุดท้ายก็เริ่มขึ้น ข่าวจักรพรรดิหนานจิ้นสวรรคตยังแพร่ไปไม่ถึงชายแดน กระทั่งรัชทายาทเจายังไม่รู้ เป่ยเยว่เองก็ย่อมไม่รู้เช่นกัน

รัชทายาทเจาส่งคนไปตีเมืองสวีโจว คิดไม่ถึงว่าจะถูกศัตรูโต้กลับ องค์ชายรองแห่งเป่ยเยว่นำกำลังทหารรักษาการณ์สามหมื่นและทหารรักษาพระองค์อีกหนึ่งหมื่นนายจากเมืองจิงตูไปเสริมทัพที่เมืองสวีโจว จึงต้านทานกองทัพหนานจิ้นที่นำโดยแม่ทัพหลูและทหารสามหมื่นนายที่ยังอยู่นอกเมืองไว้ได้

โชคดีที่แม่ทัพหลูมิได้มุทะลุยอมสู้ตาย ตอนที่เขาตระหนักว่าไม่สามารถคว้าชัยมาได้ก็รีบถอนกำลังทันที ในที่สุดก็สามารถฝ่าวงล้อมข้าศึกออกมาได้โดยมีไพร่พลเหลืออยู่หมื่นกว่าชีวิต พวกเขาซ่อนตัวอยู่กลางหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง

ขณะเดียวกันรัชทายาทเจาก็นำทัพใหญ่หลายหมื่นเร่งรุดมาถึงนอกเมืองจิงตู เดิมตั้งใจว่าจะรบอย่างอำมหิตสักครั้ง คิดไม่ถึงว่าทหารที่รักษาการณ์เมืองจิงตูจะมีจำนวนเพียงน้อยนิด จึงสามารถเปิดประตูเมืองได้อย่างสบายโดยไม่ต้องเปลืองแรงมากนัก ทหารหนานจิ้นบุกเข้าพระราชวังกษัตริย์เป่ยเยว่ บรรดาเสนาบดีและราชนิกุลต่างหนีกันกระเจิดกระเจิง ปราศจากการขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น

ช่างน่าประหลาดยิ่งนัก ต่อให้เมืองจิงตูแห่งนี้จะว่างเปล่าเพียงใดก็ไม่น่าจะถึงกับไม่มีทหารยามเฝ้าคุ้มกันสักคนหรอกกระมัง ได้ยินว่าทหารรักษาพระองค์ของเป่ยเยว่หนึ่งหมื่นนายก็เป็นกองกำลังทหารใจเพชรทัพหนึ่ง เฝ้าอารักขาความปลอดภัยพระราชวังตลอดทั้งปี เหตุใดถึงไม่เห็นใครสักคนเลยล่ะ?” หวังติ่งจวินเดินสำรวจจนทั่ววังแล้วฉวยจับตัวขันทีคนหนึ่งมาซักถาม ตอนนี้ในวังใครเป็นเจ้านายพวกเจ้า?”

ข้า...ข้าไม่ทราบ…”

ไม่ทราบงั้นหรือ?” หวังติ่งจวินตวัดมีดจ่อไปที่คอเขา ถลึงตาจ้องหน้าอย่างดุดัน

ฝ่ายตรงข้ามตกใจจนขาสั่น กลั้นปัสสาวะไว้ไม่อยู่ต้องยอมปล่อยออกมาให้ราดรดกางเกง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังคงส่ายหน้ารัว

ข้าไม่ทราบจริงๆ ก่อนหน้านี้เป็นองค์ชายสี่คอยกำกับดูแลทั้งหมด แต่เวลานี้องค์ชายสี่ทรงสิ้นพระชนม์แล้วก็มิเคยได้ยินว่ามีเจ้านายพระองค์ไหนขึ้นมาแทนที่ ข้าเพียงฟังคำสั่งจากขันทีใหญ่

รัชทายาทเจาเดินมาจากด้านหลังแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นเยียบ

องค์ชายรองยังอยู่ในเมืองจิงตูหรือไม่?”

องค์ชายรอง ข้า...ข้าไม่เห็นพระองค์มานานหลายปีแล้ว คิดว่าคงยังอยู่กระมัง

รัชทายาทเจาเห็นว่าอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องอย่างที่คาดจึงขมวดคิ้วมุ่นเข้าหากัน ทว่าก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทหารรักษาการณ์ในเมืองจิงตูแห่งนี้หายไปไหนกันหมด?

ไม่ได้การแล้ว!รัชทายาทเจากับหวังติ่งจวินกล่าวขึ้นแล้วหันมาสบตากัน ต่างก็มองออกถึงความกังวลใจของอีกฝ่าย

ดูเหมือนว่าพวกเขาคงได้ข่าวแล้ว จึงเพิ่มกำลังพลเพื่อหวังโค่นพวกเราแต่คงคาดไม่ถึงว่าพวกเราจะแบ่งทหารออกเป็นสองทาง ทัพหนึ่งตีเมืองสวีโจวอีกทัพบุกตรงมายังจิงตูแห่งนี้

ยังไม่ต้องรีบร้อน หลูติ้งเจียงผู้นี้ต่อให้ไม่มีความสามารถอื่นแต่อย่างน้อยก็ยังรู้จักประเมินสถานการณ์ อีกทั้งข้าเคยเตือนเขาไว้ล่วงหน้าแล้วขอเพียงพวกเขาถอยทัพไปยังจุดที่เราหารือกันไว้ก่อนหน้า ก็จะไม่มีอันตรายถึงชีวิตเป็นการชั่วคราว

เช่นนั้นพวกเราควรรีบตามไปสมทบหรือตั้งมั่นอยู่ที่นี่ รอให้ฝ่ายตรงข้ามเดินมาติดกับเองดีพ่ะย่ะค่ะ?”

องค์ชายรองเห็นสถานการณ์ไม่ปกติย่อมต้องสืบหาร่องรอยของทัพใหญ่มาตามทาง ที่สุดย่อมสามารถเดาเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเราได้ไม่ยาก บางทีเวลานี้เขาอาจอยู่ระหว่างทางกลับเมืองก็เป็นได้

เช่นนั้นกระหม่อมจะรีบสั่งการลงไป ให้คนปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้เพื่อเตรียมรับมือข้าศึกกลับเมืองนะพ่ะย่ะค่ะ

อืม” รัชทายาทเจาพยักหน้า สายตาจับจ้องมองแผ่นหลังของหวังติ่งจวินที่เร่งรีบวิ่งจากไปก่อนจะหันกลับมาถามขันทีน้อยผู้นั้น “ได้ข่าวว่าในวังเป่ยเยว่มีผู้ทรงความรู้ทรงคุณธรรมท่านหนึ่ง นามว่าจิ้งเซิง เขาอยู่ที่ใด?”

อาจารย์จิ้งเซิง...ปกติอาจารย์อยู่ในตำหนักอวี้หลิน แต่ว่า...

แต่ว่าอะไร?”

แต่ว่าก่อนหน้านี้อาจารย์ล่วงเกินองค์ชายสี่ ได้ยินว่าถูกขับไล่ออกจากวังไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จขอรับ

รัชทายาทเจาเรียกองครักษ์นายหนึ่งเข้ามา ให้เขาตามขันทีน้อยไปหาคน

หากเจอเขาแล้วให้พามาพบข้า

พ่ะย่ะค่ะ!

รัชทายาทเจายืนอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของพระราชวัง สายตากวาดมองไปทั่วทั้งเมืองจิงตูของเป่ยเยว่ ที่นี่เป็นดินแดนรุ่งเรืองที่สุดในใต้หล้ากระทั่งเมืองเย่เฉิงยังมิอาจทัดเทียม ก็ไม่แปลกหรอกที่ในสายตาชาวเป่ยเยว่จะดูแคลนพวกเขา แต่ไหนแต่ไรมาหนานจิ้นไม่เคยเทียบเทียมเป่ยเยว่ได้ หากจะวัดกันที่ความทรงพลัง หนานจิ้นก็ด้อยกว่าจนน่าละอาย เมืองจิงตูแห่งนี้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรและกว้างใหญ่ไพศาลจนน่าตื่นตะลึงอย่างแท้จริง

ทว่านับจากนี้ ดินแดนแห่งนี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของหนานจิ้นต่อจากนี้ที่นี่จะเปลี่ยนชื่อใหม่ เปลี่ยนเจ้านายใหม่และเปลี่ยนประวัติศาสตร์หน้าใหม่!

น่าเสียดายที่ผู้คนในเมืองเวลานี้ยังจิตใจระส่ำระสาย ราษฎรปิดประตูเงียบไม่ยอมออกมา ตามท้องถนนเงียบเหงาวังเวง บรรยากาศมิได้รุ่งเรืองเฟื่องฟูอย่างที่เคยบันทึกไว้

ทหาร! ถ่ายทอดคำสั่งข้า ไม่อนุญาตให้ทหารคนใดก่อความวุ่นวายแก่ราษฎร ห้ามปล้นสะดมชิงทรัพย์ ที่สำคัญห้ามทำร้ายชาวบ้านสามัญชน

ขุนนางและผู้สูงศักดิ์ของเป่ยเยว่เล่าพ่ะย่ะค่ะ

ให้นำตัวไปคุมขังไว้ในวัง รอให้หลังสะสางปัญหาที่ค้างคาได้ก่อนค่อยลงโทษพร้อมกันทีเดียว

น้อมรับพระบัญชา!

รัชทายาทเจายืนอยู่บนหอคอยนานมาก กระทั่งสังเกตเห็นสีท้องฟ้ามืดลงแล้วจึงค่อยๆ เดินลงมาทีละก้าว

ฝ่าบาท พาตัวมาแล้วพ่ะย่ะค่ะองครักษ์พาชายชุดขาวคนหนึ่งเดินเข้ามา

รัชทายาทเจาแย้มยิ้ม

อาจารย์เสวียนจิ้ง หลายปีมานี้ลำบากท่านแล้ว

 

 

เชิงอรรถ

  1. อิ๋งเจิ้งคือพระนามของจิ๋นซีฮ่องเต้ ผู้รวมหกแคว้นให้เป็นหนึ่ง

 

257 ตระเวนเกลี้ยกล่อม

หลายปีก่อนถังเยว่เคยแนะนำอาจารย์เสวียนจิ้งให้กับเขา นับจากนั้นอาจารย์เสวียนจิ้งก็เดินทางมาเป่ยเยว่อย่างลับๆ พักอาศัยกลางเขาก่อนระยะหนึ่งแล้วค่อยเรียกมหาบัณฑิตทั่วทุกสารทิศมาชุมนุมจิบชาสนทนาหลักธรรม ชื่อเสียงความเป็นผู้ทรงภูมิและมีคุณธรรมของเขาค่อยๆ เลื่องลือไป

เพราะเขาอายุยังน้อยจึงป่าวประกาศกับโลกภายนอกว่าอาจารย์ของตนเป็นจอมปราชญ์ที่ใช้ชีวิตซ่อนเร้นอาศัยอยู่กลางป่าเขาลำเนาไพรมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากอาจารย์ล่วงลับไปแล้วจึงมีความคิดอยากออกมาเปิดหูเปิดตาดูโลกภายนอก

ศิลปะการเดินหมากของเขาสูงส่ง เชี่ยวชาญเรื่องชา ชำนาญเพลงพิณ ทั้งยังเก่งกาจด้านการบริหารราชสำนักและดูแลราษฎร มหาบัณฑิตส่วนใหญ่ต่างยอมรับให้ความนับถือ

พอองค์ชายสี่ทราบเรื่องนี้เข้าจึงติดตามมาหวังจะคารวะเขาเป็นอาจารย์ ตอนแรกอาจารย์เสวียนจิ้งยังไม่รับปาก กระทั่งหลังจากองค์ชายสี่มาสามครั้งแล้วยังไม่ได้พบจึงโกรธกริ้วจนใช้กำลังอาวุธพาตัวเขากลับเมืองจิงตู อาจารย์เสวียนจิ้งจึงพักอยู่ที่จวนองค์ชายสี่ในฐานะกึ่งเชลยกึ่งอาคันตุกะมานับแต่นั้น

องค์ชายสี่ต้องทุ่มเทเวลาและแรงกายแรงใจในการเอาอกเอาใจอาจารย์เสวียนจิ้งมากมาย เพราะองค์ชายอื่นรวมทั้งกษัตริย์เป่ยเยว่ต่างคิดจะดึงตัวเขาไปไว้ใช้งาน แต่องค์ชายสี่มิได้โง่เขลา บุคคลที่เป็นยอดอัจฉริยะเช่นนี้จะยอมปล่อยให้หลุดมือตกเป็นของคนอื่นได้อย่างไร ดังนั้นจึงทุ่มเทใช้กลอุบายและสารพัดวิธีเพื่อซื้อใจ อาจารย์เสวียนจิ้งช่วยองค์ชายสี่วางแผนกลยุทธ์ต่างๆ ตามที่อีกฝ่ายต้องการ ภายในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปีก็สามารถทำให้องค์ชายสี่มีอนาคตรุ่งโรจน์ กษัตริย์เป่ยเยว่เล็งเห็นความสำคัญจนเกือบจะก้าวถึงตำแหน่งรัชทายาทได้สำเร็จ

ด้วยเหตุนี้ชื่อเสียงอาจารย์เสวียนจิ้งจึงยิ่งเลื่องลือ หลังจากหนานจิ้นยกทัพมาตีเมือง กษัตริย์เป่ยเยว่ให้เหตุผลว่าราชสำนักจำเป็นต้องใช้บุคคลที่มีความสามารถอย่างเร่งด่วน จากนั้นก็บังคับชิงตัวอาจารย์เสวียนจิ้งให้เข้าวังมารับใช้ตนเอง

ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ในที่สุดก็สำเร็จสมดังพระประสงค์แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” อาจารย์เสวียนจิ้งยกมือขึ้นคารวะ เขาในตอนนี้บุคลิกคล้ายเทพเซียนตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า สุภาพงามสง่า แม้แต่รัชทายาทเจายังต้องยอมรับว่าคนผู้นี้มีความเพียบพร้อมไปทุกด้าน

นี่เป็นเพราะแผนกลยุทธ์ตลอดหลายปีมานี้ของอาจารย์ ลำบากท่านแล้ว

กระหม่อมเป็นที่ปรึกษาของพระชายา ขอเพียงเป็นคำสั่งจากพระชายา กระหม่อมย่อมต้องพยายามทำให้สำเร็จอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ

อาจารย์เสวียนจิ้งมิใช่คนที่มีนิสัยเป็นบ่าวลืมนาย ที่สำคัญเขามองออกว่าถังเยว่ไม่ธรรมดามาตั้งแต่แรกจึงไม่คิดเปลี่ยนนาย แม้รัชทายาทเจาจะเป็นกษัตริย์ที่หาได้ยากยิ่งถึงขนาดกล่าวได้ว่าพันปีจะมีสักคนก็ตาม แต่ถังเยว่สร้างความประทับใจให้เขาได้ลึกซึ้งกว่า คนผู้นั้นเสมือนเป็นผู้กอบกู้พลิกฟื้นแผ่นดินนี้

รัชทายาทเจาไม่ถือสากับวาจาของอีกฝ่าย ตัวเขากับถังเยว่ย่อมถือเป็นคนคนเดียวกัน ดังนั้นคนที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อถังเยว่ก็คือซื่อสัตย์ภักดีต่อเขา การกล่าววาจาเช่นนี้ของอีกฝ่ายจึงถือเป็นการแสดงความภักดีต่อเขา มิได้มีสิ่งใดแตกต่าง

กษัตริย์เป่ยเยว่สวรรคต องค์ชายสี่สิ้นพระชนม์ ไม่ทราบว่าอาจารย์รู้เบาะแสขององค์ชายรองบ้างหรือไม่?”

ฝ่าบาทก็คงเดาได้แล้วมิใช่หรือ?” อาจารย์เสวียนจิ้งชี้ไปยังนอกประตูเมือง “อำนาจทางการทหารในเมืองจิงตูตอนนี้ล้วนอยู่ในมือองค์ชายรอง บัดนี้ในเมืองไม่มีทหารเลยสักคนเพราะถูกองค์ชายรองพาออกไปจนหมดเป้าหมายขององค์ชายรองคือใครฝ่าบาทย่อมทรงรู้ดีใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ

รัชทายาทเจาพยักหน้า “ข้าแบ่งทหารออกเป็นสองทาง เดิมคิดจะสู้รบให้รู้แพ้รู้ชนะกับเขาที่นอกเมืองจิงตู คิดไม่ถึงว่าเขาจะสร้างความประหลาดใจให้ข้าได้มากมายถึงเพียงนี้

ฉะนั้นจึงต้องขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ด้วยการป้องกันอันแน่นหนาของเมืองจิงตู ต่อให้องค์ชายรองติดปีกก็ไม่อาจบุกเข้าเมืองมาได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ

รัชทายาทเจาเปล่งเสียงหัวเราะแห่งความยินดีออกมา

ก็มิใช่ว่าจะไม่มีโอกาสชนะเสียทีเดียว ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นเมืองหลวงเป่ยเยว่ ราษฎรกับขุนนางในเมืองล้วนอยู่ฝ่ายเป่ยเยว่ หากพวกเขารวมพลังกันต่อต้านพวกเราก็ไม่อาจเข่นฆ่าได้หมดทุกชีวิตหรอก

ตรงจุดนี้ฝ่าบาททรงวางพระทัยได้ หลายปีมานี้มิใช่ว่ากระหม่อมอยู่ในเป่ยเยว่โดยไม่สร้างรากฐานอันใดไว้ ใช้ชื่อเสียงของกระหม่อมปลอบขวัญราษฎรย่อมมิใช่เรื่องยาก

หือ?” รัชทายาทเจาเลิกคิ้วแล้วประสานมือคารวะ “เช่นนั้นก็ต้องรบกวนอาจารย์แล้ว

มิกล้าอาจารย์เสวียนจิ้งยกมือขึ้นคารวะกลับแล้วเบี่ยงตัวเงยหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้า สมัยเด็กกระหม่อมเคยเรียนศาสตร์ดูดาวจากบนเขา เห็นดาวหลักของหนานจิ้นกับเป่ยเยว่ทั้งสองดวงอับแสง ตอนแรกคิดว่าสองแคว้นสู้รบกันมานานปี ราษฎรตกทุกข์ได้ยาก สองฝ่ายต่างมอดม้วย คิดไม่ถึงว่าหนึ่งปีต่อมากระหม่อมจะเห็นดาวจักรพรรดิดวงใหม่ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้าหนานจิ้น ดาวดวงนั้นเปล่งแสงสว่างขึ้นทุกวัน กระหม่อมจึงทำนายได้ว่าเจ้าแห่งแคว้นมหาอำนาจยุคใหม่ได้อุบัติขึ้นแล้ว พออายุได้ยี่สิบกระหม่อมจึงเดินทางลงจากเขา มุ่งหน้าไปเมืองเย่เฉิง มิได้รีบร้อนตามหาเจ้าแห่งแคว้นมหาอำนาจเพื่อพึ่งพิง แต่เลือกที่จะไปอยู่กับลี่หยางโหวผู้มีชื่อเสียงด้านความจงรักภักดี ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?”

เพราะท่านคำนวณได้ว่าจะมีบุคคลที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าปรากฏขึ้นในจวนลี่หยางโหว

ฮ่าๆ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมหาใช่เทพคำนวณไม่ จึงไม่สามารถทำนายสิ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนได้มากมายนัก เพียงแต่ตอนที่บังเอิญพบลี่หยางโหวนั้นเห็นเขาหน้าผากเอิบอิ่ม โชคชะตาร่ำรวยมั่งมี ไม่เพียงเป็นคนซื่อตรงรักความถูกต้อง มิหนำซ้ำยังมีโหงวเฮ้งของมหาเศรษฐี ความร่ำรวยมั่งมีที่มิใช่ได้มาด้วยการแย่งชิงแต่เพราะได้พบกับผู้มีวาสนาบารมีสูงส่ง ฉะนั้นกระหม่อมจึงมาพักอยู่ในจวนของเขาคิดว่าจะอยู่ในฐานะผู้สังเกตการณ์เพื่อเป็นสักขีพยานว่าเจ้าแห่งแคว้นมหาอำนาจได้อุบัติขึ้นบนพื้นพิภพแล้ว คนผู้นี้จะสามารถรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ

ตอนที่คุณชายเพิ่งถูกรับตัวกลับมากระหม่อมยังมิได้สนใจเขา เพราะเข้าใจมาโดยตลอดว่าผู้เปี่ยมวาสนาบารมีที่จะนำพาความรุ่งเรืองมาสู่ลี่หยางโหวนั้นต้องเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ในวันหน้าแน่ ตอนนั้นเขายังมิได้สวามิภักดิ์ต่อฝ่าบาทแต่ดวงชะตาของเขากลับดีวันดีคืน กระทั่งได้พบคุณชาย กระหม่อมจึงรู้ว่าผู้เปี่ยมวาสนาบารมีที่แท้จริงอยู่ตรงหน้านี่เอง หากมิใช่เพราะคุณชายมีจิตใจดีงามเปี่ยมเมตตา เชี่ยวชาญวิชาการแพทย์ กระหม่อมคิดว่าคุณชายจะต้องเป็นเจ้าแห่งแคว้นมหาอำนาจไม่ผิดแน่

รัชทายาทเจาหวนคิดถึงเสียงของถังเยว่ รอยแย้มยิ้มเบิกบานพลันกระจ่างเต็มวงหน้า ดวงตาคู่งามอ่อนแสงลง ครู่หนึ่งจึงส่ายหน้าแล้วเอ่ย

เขาใจอ่อนเกินไป ทนเห็นเหตุการณ์ผู้คนถูกเข่นฆ่ามากมายไม่ได้แน่ อีกอย่างเขาเกิดมามีหน้าที่ช่วยชีวิตคนจะสามารถทำเรื่องรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งได้อย่างไร

นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ คุณชายเป็นผู้มีความสามารถเปี่ยมล้น ทว่าเขาเหมาะที่จะเป็นผู้พิทักษ์แผ่นดินแต่ไม่เหมาะที่จะเป็นเจ้าแห่งแคว้นมหาอำนาจ ถึงกระนั้นก็ยังมีฝ่าบาทอยู่ พระองค์ต่างหากที่เหมาะจะเป็นเจ้าแห่งแคว้นมหาอำนาจอย่างแท้จริง

รัชทายาทเจาหันไปมองจ้องอีกฝ่ายอย่างเต็มตา

ที่จริงแล้วความคิดข้าเรียบง่ายมาก ข้าเพียงต้องการเห็นราษฎรในใต้หล้าไม่ต้องทุกข์ยากเพราะภัยสงคราม ไม่ต้องต้องพลัดที่นาคาที่อยู่เพราะการสู้รบ การรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นครั้งนี้ ในใจข้าล้วนเป็นไปเพื่อประชาราษฎร์ทั้งสิ้น

ฝ่าบาทรับสั่งได้ถูกต้อง ตอนนี้ภารกิจของกระหม่อมเสร็จสิ้นแล้วไม่ทราบว่ากระหม่อมขอกลับเย่เฉิงก่อนจะได้หรือไม่?” อาจารย์เสวียนจิ้งถาม

อาจารย์ไม่มีญาติพี่น้องอยู่เย่เฉิง ไยจึงใจร้อนดุจลูกธนูอยากรีบกลับไปถึงเพียงนี้

แม้ไร้ญาติแต่ยังมีนายเก่า กระหม่อมคิดถึงเจ้านายเก่าของกระหม่อมน่ะสิพ่ะย่ะค่ะ” อาจารย์เสวียนจิ้งกล่าวแล้วทอดถอนใจยาวเหยียด ในช่วงที่สายตารัชทายาทซึ่งจับจ้องเขาอยู่นั้นเริ่มคมกล้าขึ้น อาจารย์เสวียนจิ้งก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ฝ่าบาทไม่ทรงรู้สึกหรือพ่ะย่ะค่ะว่าอยู่ห่างจากคุณชาย อาหารทุกวันสามมื้อรสชาติดั่งเคี้ยวเทียนไข[1]แทบกลืนไม่ลง

รัชทายาทเจามุมปากกระตุก นึกอยากจะเย็บปากคู่สนทนายิ่งนัก สิ่งใดที่ไม่อยากได้ยินก็ยังมาพูดย้ำเตือนสิ่งนั้นอยู่ได้!

กระหม่อมต้องขอพระราชทานอภัยที่มีนิสัยตะกละตะกลาม ในใจจึงคิดเพียงอยากกลับไปลิ้มรสอาหารฝีมือคุณชายให้เร็วขึ้นอีกสักวันก็ยังดีนี่เป็นความคาดหวังเพียงหนึ่งเดียวของกระหม่อมในช่วงหลายปีมานี้

ไว้ให้สงครามยุติแล้วข้าจะส่งอาจารย์กลับด้วยตัวเอง!” รัชทายาทเจาเอ่ยกลั้วหัวเราะดวงตายิบหยีทว่าในใจนึกเย้ยหยัน ‘คิดจะกลับไปกินกับข้าวฝีมือถังเยว่ก่อนข้าผู้เป็นพระสวามีอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ!

เสียงแตรดังมาจากหน้าประตูเมืองตามด้วยเสียงประโคมกลองศึกดังสนั่น ดวงตารัชทายาทเจาเปลี่ยนไปในทันทีแล้วเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม

พวกเขามาแล้ว!

จากที่คำนวณเวลา พวกที่มาน่าจะเป็นเพียงทหารม้าเกราะเบา เป็นไปไม่ได้ที่ทหารราบจะเดินทางจากสวีโจวถึงจิงตูได้ภายในเวลาแค่วันเดียว

วิเศษมาก!” รัชทายาทเจากระโดดขึ้นหลังม้า พาคนมุ่งหน้าไปยังประตูเมือง

อาจารย์เสวียนจิ้งยืนอยู่ที่เดิม ทอดตามองพระราชวังสูงตระหง่านโดดเด่นตรงหน้าแล้วหันไปส่งยิ้มให้องครักษ์ที่รัชทายาทเจาทิ้งไว้ให้เขาพลางเปรยขึ้น

เช่นนั้นต้องรบกวนท่านขุนศึกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าน้อยหน่อยแล้ว

คนในเมืองต่างหวาดผวา อาจารย์เสวียนจิ้งจึงมิได้ออกไปเตร็ดเตร่เอ้อระเหยตามท้องถนน แต่กลับมีจุดหมายปลายทางเพื่อไปพบปะคนของสำนักการศึกษาหลายแห่ง

ในเมือง ราษฎรไม่มีทางเอาชีวิตตัวเองมาขวางทหารหนานจิ้นพวกเขาหวังเพียงจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป หาได้สนใจว่าใครจะเป็นกษัตริย์ของพวกเขาไม่

ส่วนขุนนางในราชสำนักนั้นหากจัดการยุ่งยากก็สังหารทิ้งได้ เปลี่ยนรัชศกใหม่ก็ต้องเปลี่ยนขุนนางใหม่อยู่แล้ว หากมีขุนนางคนใดคิดต่อต้านเชือดไก่ให้ลิงดูเสียก็สิ้นเรื่อง ส่วนพวกชนชั้นสูงล้วนเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวละโมบโลภมากรักตัวกลัวตาย ชอบติดสินบน ชอบวางอำนาจบีบบังคับ แต่ก็มิใช่อุปสรรค ความยุ่งยากเพียงหนึ่งเดียวคือเหล่าบัณฑิตทั้งหลาย พวกเขารักแผ่นดิน ยึดมั่นหลักธรรม ซื่อสัตย์จงรักภักดี แม้สองมือไร้เรี่ยวแรงแต่ปากกลับมีวาทศิลป์ล้ำเลิศ มือก็ชอบเขียนบรรยายเป็นที่สุด จิตใจก็มั่นคงแน่วแน่ ไม่อ่อนไหวเอนเอียงง่ายๆ ฉะนั้นคนพวกนี้จึงเป็นแกนนำต่อต้านในเมือง

คนเหล่านี้ต่างจากขุนนาง จะสังหารทิ้งทั้งหมดไม่ได้ มิฉะนั้นอยากนั่งอย่างมั่นคงในแผ่นดินเป่ยเยว่ก็จะไม่ง่าย บัณฑิตเป็นเสาหลักค้ำจุนจิตใจราษฎร แม้ในกำมือของคนส่วนนี้จะไม่มีอำนาจแต่กลับสร้างผลกระทบได้ใหญ่หลวง หากพวกเขารวมตัวกันต่อต้านการรุกรานของหนานจิ้น ต่อให้หนานจิ้นรบชนะ ก็ยากที่จะยืนหยัดอยู่ในเมืองนี้ได้

สถานการณ์บ้านเมืองรวมกันนานเข้าก็ต้องแยก แยกกันนานแล้วก็ต้องรวมกัน พวกท่านดูสิ ดาวกษัตริย์ทางใต้ตกแล้ว ดาวดวงใหม่ขึ้นมาแทนที่ สว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าเก่า เป่ยเยว่ตกต่ำกำลังจะอับแสง ใต้หล้านี้กำลังเข้าสู่การผลัดเปลี่ยนแผ่นดินสู่รัชศกใหม่” อาจารย์เสวียนจิ้งพูดโน้มน้าวเหล่าบัณฑิตด้วยท่าทางนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน

แน่นอนว่าต้องมีบัณฑิตที่จงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง ยอมพลีชีพไม่เกรงกลัวต่อความตาย พวกเขาเกลียดชังการที่หนานจิ้นรุกรานเป่ยเยว่จนเข้ากระดูกดำ ต่อให้ต้องตายก็ไม่อาจยอมรับการปกครองภายใต้ระบอบของหนานจิ้น

อาจารย์ปกป้องหนานจิ้นถึงเพียงนี้ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด?ตอนนั้นองค์ชายสี่มองท่านผิดไปจริงๆ ฮึ!” มีคนลุกขึ้นกล่าวอย่างเดือดดาล

อาจารย์เสวียนจิ้งชงชาอย่างไม่รีบร้อน

องค์ชายสี่ใช้กำลังบังคับจับตัวข้าน้อยมาจิงตู ที่ข้าน้อยช่วยองค์ชายสี่คิดวางแผนกลอุบายต่างๆ ก็เพราะหวังว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเป่ยเยว่ แต่สุดท้ายแล้วคนคํานวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต สถานการณ์ในใต้หล้าหาใช่แค่พละกำลังของข้าน้อยเพียงผู้เดียวจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสียเมื่อไร รัชทายาทหนานจิ้นเป็นเจ้าแห่งแคว้นมหาอำนาจ สุดท้ายแล้วใต้หล้านี้จะต้องตกไปอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และมีรัชทายาทเจาเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่จะสามารถรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียว ราษฎรในใต้หล้าจึงจะสามารถอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขได้

ดาราศาสตร์เป็นวิชาอันลึกลับแต่บัณฑิตจำนวนมากต่างเชื่อถือสิ่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นในหมู่พวกเขาบางคนก็เคยศึกษาศาสตร์แขนงนี้จึงย่อมสามารถมองออกว่าคำพูดของอาจารย์เสวียนจิ้งมิใช่ของปลอม

อาจารย์กล่าวได้ถูกต้องแล้ว แต่จะให้พวกเราทอดทิ้งเป่ยเยว่แล้วโผไปซบหนานจิ้น เช่นนี้จะมิเท่ากับเป็นการให้พวกเราเป็นคนตระบัดสัตย์ไร้ความมั่นคงดุจต้นหญ้าที่ลู่เอนไปตามสายลมหรอกหรือ?”

อาจารย์เสวียนจิ้งส่ายหน้าแล้วกล่าวอย่างใจเย็น

คนเราเกิดมาไม่ควรแบ่งแยกดินแดน ที่ทุกคนขยันศึกษาหาความรู้เพื่อสิ่งใด เพื่อกษัตริย์เป่ยเยว่หรือเพื่อจักรพรรดิหนานจิ้นอย่างนั้นหรือมิใช่เลย ทุกคนทำไปเพื่อให้ราษฎรในใต้หล้าได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพื่อให้ราชสำนักโปร่งใสยิ่งขึ้น เพื่อให้จักรพรรดิทรงมีเมตตาและธรรมาภิบาลสูงขึ้น เป่ยเยว่อาจเปลี่ยนมือเจ้าของ แต่เป้าหมายของทุกคนจะเปลี่ยนตามไปด้วยเช่นนั้นหรือ?”

แต่หลังจากหนานจิ้นยึดครองเป่ยเยว่ได้สำเร็จ มีหรือจะปล่อยพวกเราไป?”

อาจารย์เสวียนจิ้งส่ายหน้า ยกริมฝีปากเป็นรอยยิ้มขัน

ท่านคิดผิดแล้ว ราชสำนักกำลังขาดแคลนคนทำงานจึงเป็นโอกาสดีที่ทุกคนจะได้แสดงปณิธานอันยิ่งใหญ่ให้เป็นที่ประจักษ์ ในเมื่อพวกท่านมีความสามารถหนานจิ้นจะเบาปัญญาพอที่จะฆ่าล้างบางทุกคนได้อย่างไร

จริงด้วย จริงด้วย…”

 

 

เชิงอรรถ

  1. จืดชืดไร้รสชาติ

 

258 ถูกกลืนหายไปในสายธารที่เชี่ยวกราก

ฆ่ามัน!

เสียงตะโกนสั่งฆ่าดังสนั่นมาจากนอกประตูเมืองหลวงเป่ยเยว่เหล่าราษฎรต่างปิดประตูหน้าต่างมิดชิด พร่ำสวดมนต์ภาวนาอยู่ตลอดเวลาหวังว่าสงครามจะสิ้นสุดในเร็ววัน

ได้ยินว่าหนานจิ้นล้วนเป็นอนารยชน ฆ่าคนไม่กะพริบตา รีบช่วยกันวิงวอนให้พระโพธิสัตว์ช่วยคุ้มครองให้สามารถขับไล่พวกมันออกไปโดยเร็วที่สุดด้วยเถิด!

ในครอบครัวตระกูลหนึ่ง นายหญิงสองมือประกบ สิบนิ้วพนม พร่ำสวดอมิตาภพุทธในใจซ้ำๆ ทว่าบุตรชายในบ้านนางกลับแย้งขึ้น

ท่านแม่อย่าเชื่อคำพูดโคมลอย ข้าได้ยินมาว่าหนานจิ้นซื่อสัตย์ต่อประชาชน ขุนนางมือสะอาดไม่ทุจริต ทั้งยังมีรัชทายาทผู้ทรงพระปรีชา มีความสามารถห้าวหาญเก่งกาจรอบด้าน อีกทั้งยังมีพระชายาเปี่ยมอัจฉริยภาพและคุณธรรมดุจเทพเซียน จะเป็นอนารยชนไปได้อย่างไร ที่สำคัญหลายปีมานี้หนานจิ้นพัฒนาระบบการศึกษา ให้ความสำคัญกับการเกษตร ยกระดับฐานะพ่อค้าวาณิชให้สูงขึ้น ขอเพียงมีผลงานสร้างประโยชน์ ราชสำนักจะให้ความสำคัญจนถึงขั้นได้เป็นขุนนาง หลายปีมานี้ระบบการบริหารบ้านเมืองของหนานจิ้นเข้มแข็งกว่าเป่ยเยว่ตั้งไม่รู้กี่เท่า

เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?”

จะเป็นจริงหรือไม่ ใช่แค่ฟังจากลมปากลูกแล้วจะเชื่อได้ มิสู้ท่านแม่รอหลังสงครามยุติแล้วดูให้ประจักษ์แก่ตาตนเอง หากเป่ยเยว่เป็นฝ่ายชนะสิ่งที่ลูกพูดไม่ว่าจริงหรือเท็จย่อมไม่เกิดประโยชน์อันใด

บนป้อมประตูเมือง หวังติ่งจวินทอดตามองบรรยากาศภายในเมืองอันแสนสงบแล้วหันไปปรารภ

ฝ่าบาท ดูเหมือนอาจารย์ท่านนั้นจะทำนายถูก ราษฎรในเมืองมิได้ร่วมมือกับทหารเป่ยเยว่ตอบโต้พวกเราเลยพ่ะย่ะค่ะ

ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ราษฎรที่นี่ล้วนคุ้นชินกับชีวิตที่สุขสบาย แม้พวกทหารมาถึงเมืองก็ไม่แน่ว่าพวกเขาจะมีความกล้าพอที่จะลุกขึ้นมาต่อต้าน

หรือต่อให้ไม่เป็นเช่นนั้น หากราษฎรจะลุกขึ้นสู้กับกองกำลังทหารก็ใช่ว่าอาศัยแค่มีใจกล้าหาญแล้วจะสำเร็จเสียเมื่อไร

พวกบัณฑิตที่อาจารย์ท่านนั้นกล่าวถึงมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเช่นนั้นจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

มิใช่ว่าหวังติ่งจวินจะดูถูกนักการศึกษา เขาเพียงรู้สึกว่านักการศึกษาเป็นพวกดีแต่พูด พอให้มาจับมีดจับทวนเข้าจริงๆ ยังสู้พวกชาวบ้านไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของพวกบัณฑิตขึ้นอยู่กับจิตวิญญาณของพวกเขา เจ้าลองเปรียบเทียบนิสัยอัครเสนาบดีกับเสนาบดีตุลาการเซวียแล้วลองคิดดูก็น่าจะรู้

เอ่อ…” หวังติ่งจวินหมดสิ้นถ้อยคำที่จะพูดต่อ หากในเมืองเป่ยเยว่มีบัณฑิตที่มีนิสัยเหมือนอัครเสนาบดีกับใต้เท้าถิงเว่ยนับพันนับหมื่นคนเช่นนั้นพวกเขาจะทำศึกต่อไปได้อย่างไร?

ทว่าจะสังหารคนพวกนี้เสียให้สิ้นย่อมเป็นไปไม่ได้ หากทำเช่นนั้นหนานจิ้นมิต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงกลายเป็นทรราชสังหารราษฎรผู้บริสุทธิ์อย่างโหดเหี้ยมอำมหิตหรอกหรือ

ทูลฝ่าบาท กำลังทหารและม้าของกองทัพข้าศึกจากสามหมื่นเวลานี้เหลือเพียงสองหมื่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ แม่ทัพหลี่เสนอว่าให้เปิดประตูเมืองเพื่อออกไปล้อมปราบข้าศึกนอกเมือง! รัชทายาทโปรดทรงบัญชา!

รัชทายาทเจายืนอยู่บนป้อมประตูเมือง จ้องมองลงไปยังทัพเป่ยเยว่ที่อยู่เบื้องล่าง ดวงตามองตรงไปยังผู้บัญชาการศูนย์กลางกองทัพข้าศึก เขาพอจะเดาออกว่าคนผู้นั้นก็คือองค์ชายรองแห่งเป่ยเยว่นั่นเอง ความจริงองค์ชายรองผู้นี้อายุไม่น้อยแล้ว เรียกได้ว่าเฉียดวัยกลางคน ใบหน้าโดดเด่นคมเข้ม ดวงตาเปล่งประกาย หากไม่เป็นเพราะมีจุดยืนที่ต่างกัน รัชทายาทเจาย่อมรู้สึกชื่นชมคนผู้นี้แน่ ทว่าเวลานี้พวกเขากลับต้องเป็นศัตรูคู่แค้นที่ไม่ใครก็ใครต้องตายกันไปข้างหนึ่ง!

องค์ชายเถิง เจ้ารู้สึกว่าศึกครั้งนี้ยังจำเป็นต้องรบรากันต่อไปหรือไม่?” รัชทายาทเจาจ้องมองลงไปแล้วเอ่ยถาม

ต่อให้ต้องสู้กันจนเหลือชีวิตสุดท้ายเพียงชีวิตเดียว ข้าผู้เป็นองค์ชายก็จะสู้ให้ถึงที่สุด!” องค์ชายเถิงตวาดอย่างเดือดดาลพลางชูอาวุธขึ้นชี้มายังรัชทายาทเจา “หนานจิ้นของพวกเจ้ายึดครองแผ่นดินของข้า ใช้กำลังบุกรุกยึดครองราษฎรของข้า ตอนนี้ยังหวังบีบให้องค์ชายอย่างข้ายอมก้มหัวสวามิภักดิ์เป็นข้ารับใช้อีกงั้นหรือ ฝันไปเถอะ!

เจ้าอย่าลืมสิว่าศึกครั้งนี้ใครเป็นผู้เริ่มก่อน หนานจิ้นของข้าไม่เคยรุกล้ำพรมแดน ทั้งหมดล้วนเป็นพวกเจ้าบีบบังคับพวกข้าเองมิใช่หรือ?”

เฮอะ! ใครบ้างไม่มีใจทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูง ใครไม่อยากรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งบ้าง หากหนานจิ้นของพวกเจ้าไม่มีใจมักใหญ่ใฝ่สูง มีหรือจะแอบฝึกฝนกองทัพทหารแปลกประหลาดกองนั้น?”

ตอนที่องค์ชายเถิงได้เห็นอานุภาพของกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลก็ถึงกับรู้สึกหนาวสะท้าน หากมิได้ปะทะซึ่งหน้าเขาย่อมไม่มีทางจินตนาการถึงความร้ายกาจของกองทัพนี้ได้ตลอดกาล

รัชทายาทเจายกมือไพล่หลัง มุมปากปรากฏเป็นรอยยิ้มเย็นชา

หากไม่มีกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิล มีหรือที่กองทัพหนานจิ้นของข้าจะสามารถบุกตีมาถึงเมืองหลวงของเจ้าได้

ขณะที่กล่าวประโยคนี้ภายในใจรัชทายาทเจาก็รู้สึกปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่งที่มีถังเยว่เป็นพระชายา คนผู้นั้นเพียบพร้อมไปด้วยความสามารถและคุณธรรม เป็นดวงดาวนำโชคของเขาอย่างแท้จริง มิฉะนั้นลำพังตัวเขาเองกว่าจะฝึกฝนกองกำลังทหารที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเช่นนี้ขึ้นมาได้ย่อมต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสิบปีขึ้นไป สามารถพูดได้ว่าการมีอยู่ของถังเยว่ช่วยย่นระยะเวลาในการรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวให้สำเร็จเร็วขึ้นได้เป็นสิบปี เป็นความจริงที่ว่าตัวเขาเองย่อมมีความทะเยอทะยานเป็นธรรมดา แต่เขามิได้กระหายสงคราม หากสามารถอยู่ร่วมกับเป่ยเยว่อย่างสันติและปลอดภัยก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำสงครามเพื่อรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเสมอไป

พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ มาสู้กันให้รู้ดำรู้แดงไปเลยดีกว่า!องค์ชายเถิงคำรามก้อง “ทหารเป่ยเยว่ของข้า ไปฆ่าพวกมันเดี๋ยวนี้! พวกเจ้าจงคิดถึงญาติพี่น้องที่อยู่ข้างหลัง คิดถึงครอบครัวของพวกเจ้าที่ถูกสังหารเห็นลูกเมียพี่น้องของตัวเองที่ถูกย่ำยีหรือไม่ บุกไป! ฆ่ามัน!

เฮ!ขวัญทหารทัพเป่ยเยว่ฮึกเหิมขึ้นในทันที รัชทายาทเจาคร้านที่จะโต้แย้งโน้มน้าวจึงโบกมือหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นบนป้อมประตูเมืองก็มีกลไกหน้าไม้เรียงรายเป็นแถวยาวเหยียด แม้จะดูไม่สะดุดตาแต่กลับทำให้ทุกคนที่ได้เห็นสั่นสะท้านไปตามๆ กัน

เหล่าทหารหนานจิ้นต่างได้ยินว่าพระชายาส่งเสบียงและอุปกรณ์ชุดใหม่มาให้ อาหารการกินในช่วงสองสามวันมานี้ของพวกเขาจึงดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีหน้าไม้เพิ่มขึ้นมากขนาดนี้ หน้าไม้เหล่านี้ดูภายนอกไม่ต่างจากหน้าไม้ทั่วไป แต่เหล่าทหารที่เคยเห็นอานุภาพของมันต่างรู้ว่าอาวุธนี้เป็นของล้ำค่าที่ใช้ปกป้องบ้านเมืองได้ หากเมืองฉู่โจวติดตั้งอาวุธพวกนี้ไว้ละก็ ต่อให้ทัพเป่ยเยว่คิดจะบุกตีเมืองอีกก็เป็นเรื่องยากแล้ว

ยิง!

ผู้ให้สัญญาณธงตะโกนสั่งเสียงดัง โบกสะบัดธงในมือโดยแรง กลไกหน้าไม้นับร้อยเคลื่อนตัวปล่อยลูกดอกโลหะออกไปพร้อมกัน สังหารทหารข้าศึกที่อยู่ด้านหน้าสุดตายเกลื่อน ทหารเป่ยเยว่ก็ไม่อยู่เฉย พอเห็นลูกดอกพุ่งตรงมาราวกับห่าฝนก็รีบยกโล่ขึ้นบังหน้าอกตัวเอง แต่การเคลื่อนไหวของพวกเขายังช้าไป ลูกดอกชุดสองบินถลามาถึงตัวแล้ว เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดจึงดังระงม

หากเป็นพลธนูทั่วไปต่อให้สลับผลัดกันยิงสองแถวก็ยังมีช่วงเว้นระยะเวลา แต่หน้าไม้บนป้อมประตูเมืองกลับปล่อยลูกดอกได้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีเวลาให้พวกเขาได้ทันตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย หลังปล่อยลูกดอกออกไปสิบชุดอย่างต่อเนื่องร่างไร้ชีวิตของทหารข้าศึกก็กองเกลื่อนอยู่ใต้ป้อมประตูเมือง เหล่าทหารที่เหลือรีบคุ้มกันองค์ชายรองไว้ตรงกลางและก้าวถอยหลังห่างไปห้าสิบก้าวถึงหยุดลง

ฝ่าบาท! หน้าไม้ของหนานจิ้นร้ายกาจเกินไป ควรทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”

องค์ชายเถิงถ่มน้ำลาย ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวอย่างเคียดแค้น

ให้ทุกคนร่วมกันตะโกนป่าวร้อง ราษฎรในเมืองมีอยู่มิใช่น้อยหากสามารถออกมาเป็นกำลังร่วมกันตีขนาบทั้งในทั้งนอกยังต้องกลุ้มใจว่าจะไม่ชนะอีกหรือ!

เมืองจิงตูแห่งนี้เป็นเมืองหลวงของเป่ยเยว่ ทว่าเวลานี้ทัพใหญ่แห่งหนานจิ้นกลับเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่ในเมือง ฝ่ายทหารเป่ยเยว่มีบ้านแต่กลับไม่ได้ มีประตูแต่เข้าไม่ได้ ช่างน่าหัวร่อทั้งน้ำตายิ่งนัก

พวกพ่อแก่แม่เฒ่าชาวบ้านในเมืองทั้งหลายเอ๋ย! พวกท่านจะนิ่งดูดายทนเห็นลูกหลานพวกท่านตายอยู่หน้าประตูบ้านก็ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอย่างนั้นหรือ หัวหงอกส่งหัวดำยอมรับโจรเป็นเจ้าก็ได้หรือ ออกมาดูญาติพี่น้องของพวกท่านสิ พวกเขากำลังถูกเข่นฆ่าตามอำเภอใจ วิญญาณวีรบุรุษจะถูกฝังไว้ใต้พสุธาตลอดกาล พวกท่านยังสามารถหลบอยู่ในบ้านโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรได้อีกหรือ! ความอ่อนแอขี้ขลาดของพวกท่านมีแต่จะทำให้ญาติสนิทมิตรสหายของพวกท่านต้องเจ็บปวดทรมาน กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดทำลายแผ่นดิน พวกท่านหวังอยากให้ลูกหลานตายตาไม่หลับ ปล่อยให้ครึ่งชีวิตที่เหลือของพวกเขามีชีวิตอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวด เสียใจและรู้สึกผิดอย่างนั้นหรือ! ออกมาเถิด ออกมาดูว่าญาติพี่น้องของพวกท่านถูกมีดแทงตายถูกธนูยิงตายอย่างไร เลือดของพวกเขายังอุ่นๆ พวกเขาหวังเพียงก่อนตายจะได้เห็นหน้าพวกท่านเป็นครั้งสุดท้าย เมืองจิงตูแห่งนี้กลายเป็นเมืองหลวงที่ถูกล้างด้วยเลือด พวกท่านมิได้กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่วทั้งเมืองบ้างเลยหรือไร…”

หวังติ่งจวินคว้าหน้าไม้ขนาดใหญ่คันหนึ่งขึ้นมา บรรจุลูกดอกโลหะขนาดเท่าท่อนแขนดอกหนึ่ง เล็งไปยังนายทัพที่กำลังกู่ก้องร้องตะโกนไม่หยุด ลูกดอกถูกปล่อยออกไปในทันที!

ทว่ากลับไม่เกิดประโยชน์ คนหนึ่งตายก็มีคนใหม่ลุกขึ้นมาตะโกนพูดแทน เสียงของพวกเขาดังสะท้อนกึกก้องราวกับจะให้ราษฎรทั้งเมืองได้ยิน เสมือนต้องการปลุกจิตวิญญาณราษฎรในเมืองจิงตูให้ตื่นขึ้น

ฝ่าบาท…” หวังติ่งจวินจ้องไปยังเบื้องหลังไม่คลาดสายตา เกรงว่าราษฎรทั้งเมืองจะมุดออกมาด้านนอก หากถึงเวลานั้นขึ้นมาพวกเขาควรฆ่าหรือไม่ฆ่าดี?

หากจะฆ่าก็ต้องฆ่าให้หมดทุกคนอย่าให้มีเหลือแม้แต่ชีวิตเดียวเช่นนั้นหรือ? แต่จะฆ่าอย่างไรไหว?

หากเกิดการสังหารหมู่เช่นนั้นจริง เกรงว่าชื่อเสียงอันดีงามขององค์รัชทายาทที่สั่งสมมาตลอดจะต้องมัวหมองย่อยยับในคราวนี้ สีหน้ารัชทายาทเจานิ่งสงบปราศจากคลื่นอารมณ์ขณะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ

เปิดประตูเมือง ออกไปบุกตีทั้งกองทัพ รีบรบ รีบจบศึกโดยเร็วที่สุด

ประตูเมืองที่ทั้งหนาและหนักค่อยๆ เคลื่อนเปิดออก เหล่าทหารวิ่งเรียงแถวออกมาอย่างพร้อมเพรียงปากก็ร้องตะโกน ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!ดังกึกก้องจนทำให้ทหารเป่ยเยว่ถอยร่นไปหลายสิบก้าว

ห้ามถอย! ฆ่ามัน!” องค์ชายเถิงถืออาวุธควบม้าบุกเข้าไปเป็นคนแรกเพื่อเป็นตัวอย่าง เหล่าทหารที่เหลือจึงไม่ถอยอีก ต่างเดินหน้าอย่างห้าวหาญ ปฏิญาณว่าจะสู้ตายกับทหารหนานจิ้น

ในเมืองจิงตู มีเพียงราษฎรซึ่งอยู่ใกล้ประตูเมืองที่สามารถได้ยินเสียงตะโกนปลุกใจอย่างฮึกเหิมของทัพเป่ยเยว่เมื่อครู่ ทว่าน่าเสียดายที่ราษฎรละแวกนี้ล้วนเป็นชาวบ้านยากจน มีจำนวนมากที่เป็นคนเร่ร่อนอพยพมาจากต่างถิ่น พวกเขาเป็นคนไร้บ้านให้กลับ ไร้ถิ่นฐานให้จงรักภักดี บางคนถึงขั้นบ้านแตกสาแหรกขาด พลัดพรากจากลูกเมีย ตลอดทางต้องหลบหนีด้วยความลำบากยากเข็ญ ความรู้สึกของพวกเขาจึงย่อมเย็นชาหมางเมินยิ่งกว่าสามัญชนทั่วไป พวกเขาเห็นความเป็นความตายมาจนชินชาแล้วจะยอมพลีชีพเพื่อราชสำนักเลือดเย็นเช่นนี้ได้อย่างไร

ชาวบ้านที่ยังซาบซึ้งในบุญคุณราชสำนักเป่ยเยว่ซึ่งมีอยู่ไม่กี่คนกระโจนออกมา ในมือถือท่อนไม้ แต่พอเห็นทหารหนานจิ้นในชุดนักรบมีอาวุธครบมือ แต่ละคนล้วนตกใจจนขวัญบิน ไหนเลยจะยังกล้าถือท่อนไม้พุ่งเข้าไปสู้รบกับทหารข้าศึกได้อีก

เรื่องของความกล้า ถ้าคนมากก็ย่อมฮึกเหิม แต่ถ้าคนน้อยต่อให้กล้าสักแค่ไหนก็ย่อมถูกกลืนหายไปในสายธารที่เชี่ยวกราก ดังนั้นชาวบ้านเหล่านั้นจึงได้แต่หันมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี ท้ายที่สุดเมื่อไม่เห็นใครเปิดฉากบุกตะลุยก่อน จึงต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้านปิดประตู

และทันทีที่ประตูบานนั้นปิดลง คิดจะเคาะให้เปิดอีกก็ยากแล้ว!


 

259 จอมโกหกมาจากหนใด

องครักษ์วังหลวงของเป่ยเยว่สู้ศึกอย่างองอาจห้าวหาญ รัชทายาทเจาสู้รบกับเป่ยเยว่มาหลายปียังเพิ่งเคยเห็นกองกำลังทหารทัพนี้แสดงแสนยานุภาพเต็มที่เป็นครั้งแรก หากไม่เป็นเพราะมีกองทัพผู้พิทักษ์เกราะนิลแล้วละก็ ทหารรักษาพระองค์ของเป่ยเยว่หนึ่งหมื่นนายทัพนี้ต้องสามารถต้านไพร่พลสามหมื่นของพวกเขาได้อย่างสบาย กำลังการสู้รบไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

รัชทายาทเจาสวมเสื้อเกราะเงินทั้งชุด ในมือถือกระบี่หนักโรมรันกับองค์ชายเถิง ทั้งสองรุกรับกันกว่าครึ่งชั่วยามก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ

องค์ชายเถิงถ่มโลหิตในปากทิ้งแสยะยิ้มแล้วเอ่ย “ได้ยินมานานแล้วว่าวิทยายุทธ์รัชทายาทหนานจิ้นยากจะหาผู้ใดเทียบเทียม วันนี้ข้าได้ประจักษ์แล้วว่าสมดังคำเล่าลืออย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด อายุเพียงเท่านี้กลับมีความสามารถถึงเพียงนี้ ช่างหาตัวจับยากนัก!

ข้าก็ได้ยินมานานแล้วว่าองค์ชายรองเปี่ยมความสามารถและทรงคุณธรรมที่สุดในบรรดาองค์ชายของเป่ยเยว่ เป็นผู้สืบทอดที่มีความหวังมากที่สุดว่าจะนำพาเป่ยเยว่ไปสู่จุดสูงสุด แต่น่าเสียดาย...

ฮ่าๆ ครั้งนั้นข้าถูกคนชั่ววางแผนใส่ร้ายทำให้เสด็จพ่อระแวงสงสัยจนต้องถูกจองจำอยู่หลายปี ความแค้นนี้ถึงตายข้าก็ไม่ลืม!

ฉะนั้นท่านจึงฉวยจังหวะที่กษัตริย์เป่ยเยว่สวรรคตรับช่วงอำนาจทางการทหารในเมืองหลวงต่อ คิดจะบุกตีข้าให้ตั้งตัวไม่ติด แต่ใครจะรู้ที่คิดว่าใกล้สำเร็จกลับพังไม่เป็นท่า!รัชทายาทเจาเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบแต่เปี่ยมพลังโจมตีกระแทกใจองค์ชายเถิงอย่างหนักหน่วง ส่งผลให้คนฟังถึงกับกระอักเลือด

ฮึ! หากไม่เป็นเพราะเจ้าตัดใจสละกำลังไพร่พลทัพหนึ่งทิ้ง มีหรือที่ข้าจะหลงกล ไม่รู้ว่าหากพวกทหารที่ถูกส่งไปตีเมืองสวีโจวรู้ว่าตัวเองเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งแล้วจะรู้สึกเช่นไร

รัชทายาทเจามิได้กริ้วกลับเอ่ยตอบอย่างจริงจัง

หมากตัวหนึ่งอะไรกัน คำพูดนี้เหลวไหลสิ้นดี นี่เพราะข้าคาดไม่ถึงว่าองค์ชายรองยังมีไพ่ตายซ่อนอยู่ ดังนั้นหากได้ชีวิตองค์ชายรองมาเซ่นสังเวยวิญญาณเหล่าทหารหาญคิดว่าพวกเขาต้องนอนตายตาหลับแน่

ต้องมาดูกันว่าเจ้ามีความสามารถนั้นหรือไม่!

องค์ชายเถิงเงื้อง้าวขึ้นสูง เปล่งเสียงคำรามดังลั่น ขับควบอาชาพุ่งใส่รัชทายาทเจา ง้าวปะทะกระบี่หนักเกิดเป็นประกายไฟ ง่ามมือของทั้งสองสั่นสะท้านจนชาหนึบ บาดแผลก่อนหน้านี้ปริแยก เลือดสดๆ ไหลทะลักออกจากปากแผล

ข้ายังมีเรื่องไม่เข้าใจ หวังว่ารัชทายาทจะให้ความกระจ่าง

เชิญกล่าว

จวนเจียนจะลาลับอยู่รอมร่อ รัชทายาทเจาจึงไม่ถือสาที่จะทำให้อีกฝ่ายได้ตายตาหลับ

ศึกเหนือใต้ครั้งนี้เป่ยเยว่พ่ายแพ้เร็วเกินไปจนสิ้นท่าอย่างน่าอนาถ สาเหตุสำคัญมาจากหนานจิ้นมีหน่วยรบพิเศษเพิ่มมาทัพหนึ่ง สาเหตุรองลงมาคือหนานจิ้นมีอาวุธใหม่มากมาย อาวุธยุทโธปกรณ์รูปแบบใหม่นี้มาจากความคิดของอาจารย์ท่านใดกันแน่

เมื่อมีสงคราม การปรับปรุงและประดิษฐ์สร้างอาวุธย่อมไม่เคยหยุดนิ่ง เรื่องสองแคว้นแย่งชิงดึงคนที่มีความสามารถมาเป็นพวกล้วนมิใช่ความลับ แต่มีนายช่างใหญ่ฝีมือเฉียบขาดเช่นนี้เกิดขึ้นในแผ่นดินตั้งแต่เมื่อใด เหตุไฉนเขาถึงมิเคยล่วงรู้!

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหนานจิ้นซ่อนตัวไว้ลึกลับเกินไป หรือข่าวของพวกเขาล้าหลังเกินไปกันแน่

มุมปากรัชทายาทเจายกขึ้นเป็นรอยยิ้มแสนอ่อนโยน เป็นภาพที่คนจำนวนนับไม่ถ้วนเพิ่งเคยได้เห็นเป็นครั้งแรก

เรื่องนี้...ข้าบอกเจ้าแบบไม่ปิดบังก็ได้ ทั้งหมดล้วนเป็นคำแนะนำจากพระชายาของข้าเอง กว่าจะสำเร็จกลายเป็นอาวุธอย่างที่เห็นช่างฝีมือหลายร้อยคนต้องเร่งมือทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ คำตอบนี้เป็นที่พอใจหรือไม่?”

องค์ชายเถิงสองตาเบิกค้าง ทำใจให้เชื่อไม่ลง

พระชายา...ชายาบุรุษผู้นั้นน่ะหรือ?”

นี่มัน...เหลวไหลเกินไปแล้ว! บุรุษที่เปี่ยมสามารถมากมายถึงเพียงนี้จะยอมลดตัวไปอยู่ใต้ร่างบุรุษอีกคนได้อย่างไร!

เจ้าหลอกข้า! พระชายาของเจ้าเป็นหมอเทวดาที่คนนับหมื่นต่างให้ความเคารพเลื่อมใสมิใช่หรือ เหตุใดจึงกลายเป็นนายช่างสร้างอาวุธไปเสียได้!

อัจฉริยภาพของชายาข้าเกริกเกียรติล้นฟ้า เขาหาได้มีแค่ฝีมือการรักษาโรคเพียงอย่างเดียวไม่

ฮ่าๆ ได้ข่าวว่ากองทัพหมอทหารหนานจิ้นครั้งนี้ยิ่งใหญ่เหลือคณา ทั้งหมอและยาล้วนมีมาอย่างครบครัน ช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บมานับไม่ถ้วน คิดว่าต้องเป็นฝีมือพระชายารัชทายาทอย่างแน่นอน

ถูกต้อง!

ฮึ! สวรรค์ทอดทิ้งข้าสินะ เหตุใดคนที่เก่งกาจมากความสามารถเช่นนี้ถึงไปตกอยู่ในกำมือหนานจิ้น หากข้ารู้เร็วกว่านี้ ต่อให้ต้องแลกด้วยอะไรก็จะต้องปลิดชีพเขาให้จงได้!

เจ้ากล้าหรือ!รัชทายาทเจาตวัดกระบี่แล้วฉวยจังหวะที่อีกฝ่ายเงื้อง้าวหยิบกระบอกไม้ไผ่ออกมาจากบั้นเอว นิ้วเรียวยาวเพียงกดเบาๆเข็มเงินเล่มเล็กดุจขนวัวหลายเล่มก็ยิงออกมาจากกระบอกไม้ไผ่นั้น พุ่งไปปักลงบนหน้าอกอีกฝ่าย

เข็มเงินเหล่านี้เคลือบด้วยยางของพืชมีพิษ ถังเยว่ตั้งใจทำเตรียมไว้ให้ใช้ในยามคับขัน ในสายตาเขาสนามรบคือสถานที่ซึ่งมีอันตรายรอบด้าน มีอาวุธลับไว้ป้องกันตัวก็รับประกันความปลอดภัยเพิ่มขึ้นได้อีกขั้น น่าเสียดายที่เขาประดิษฐ์ปืนไม่เป็น มิฉะนั้นคงแอบทำไว้ให้หลี่เจาใช้ป้องกันตัวหนึ่งกระบอกแน่ แต่เพราะได้แรงบันดาลใจจากตะปูฝนพรำดอกสาลี่[1] เขาจึงสร้างอาวุธลับจิ๋วชิ้นนี้ขึ้นมา ประสิทธิภาพยอดเยี่ยมตามคาด ใช้ยิงใส่ขณะที่คู่ต่อสู้ยังไม่ทันตั้งตัว กอปรกับมีพิษเคลือบไว้ต่อให้ศัตรูไม่อยากตายก็คงยาก

เจ้าต่ำช้า!” องค์ชายเถิงกระอักโลหิตสีดำออกมา เพียงพริบตาก็ชักกระตุกแล้วล้มลง

ในสนามรบไม่มีคำว่าต่ำช้า!

รัชทายาทเจามิได้เพิ่งเคยเห็นฤทธิ์ของพิษชนิดนี้เป็นครั้งแรก แต่เพิ่งเคยเห็นมันถูกใช้กับคนเป็นครั้งแรก พลันรู้สึกนึกชื่นชมอยู่ในใจ ‘ทั้งพิษพีซวง พิษเจ้อตู๋ล้วนเทียบไม่ติดเลยสักนิด

ดูเหมือนคำพูดขององค์ชายเถิงจะกระตุ้นความคิดบางอย่าง เวลานี้รัชทายาทเจาปรารถนาอยากยุติสงครามให้จบลงโดยเร็วที่สุด เขาจะได้รีบกลับไปอยู่ข้างกายถังเยว่โดยเร็ว จากกันเกือบสองปีแล้ว ความคิดถึงของเขาสั่งสมอัดแน่นจนล้นอก หากมากกว่านี้อีกเพียงนิดคงได้ระเบิดออกมาแน่!

ผู้บัญชาการทัพเป่ยเยว่ตายแล้ว ผู้ยอมจำนนจะไม่ถูกสังหาร!

รัชทายาทเจาประกาศข่าวการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายเถิงให้ทหารกองทัพเป่ยเยว่รับรู้ด้วยเสียงดังกึกก้อง บรรยากาศในสนามรบพลันเปลี่ยนแปลงไปในทันที เมื่อครู่ขวัญทหารทัพเป่ยเยว่เพิ่งฮึกเหิมแต่เพราะการดับสูญของผู้บัญชาการทำให้พวกเขาเสียขวัญจนไม่รู้จะทำเช่นไร การทำศึกตั้งแต่อดีตกาลจับโจรให้จับหัวหน้าโจรก่อน ไร้ผู้นำคนสำคัญแล้วพวกทหารยังจะมีใจสู้ต่อได้อย่างไร

ยิ่งกว่านั้นองค์ชายเป่ยเยว่ต่างสิ้นพระชนม์กันหมดแล้ว ต่อให้พวกเขาทวงแผ่นดินคืนมาได้ก็หาผู้สืบทอดที่เหมาะสมมารับช่วงต่อไม่ได้

องค์ชายเถิงสิ้นพระชนม์ มิใช่แค่พวกเขาสูญเสียผู้บัญชาการทัพแต่หมายถึงความหวังในการกอบกู้แผ่นดินของเป่ยเยว่ได้สูญสิ้นลงแล้ว ขุนนางที่ถูกจองจำเมื่อได้ฟังข่าวร้ายต่างเศร้าโศกไปตามๆ กัน ไม่มีองค์ชายรองแล้วพวกเขายืนหยัดต่อสู้ไปจะมีความหมายอะไร ขุนนางผู้ซื่อตรงบางคนถึงขนาดใช้ศีรษะโขกเสาฆ่าตัวตายตรงนั้นทันที

สวรรค์ทอดทิ้งเป่ยเยว่ของข้า!

องค์จักรพรรดิ! กระหม่อมผิดต่อฝ่าบาทยิ่งนัก..

ในที่สุดแผ่นดินเป่ยเยว่ก็ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือศัตรู ฝ่าบาท...กระหม่อมไม่มีหน้าไปพบพระองค์...

เสียงคร่ำครวญอย่างโศกเศร้าอาดูรดังมาจากคุกใต้ดิน เหล่าบัณฑิตที่ถูกอาจารย์เสวียนจิ้งเรียกมาชุมนุมพอได้ยินข่าวร้ายต่างเงียบงันไปตามๆ กัน

ยามราตรี ดวงดาวบนฟากฟ้าส่องแสงสว่างไสว อาจารย์เสวียนจิ้งชี้ไปยังดวงดาวทางทิศทักษิณที่ส่องสว่างเจิดจรัสดวงหนึ่งพลางกล่าว

ดูสิ ดาวจื่อเวยสว่างขึ้นทุกที ส่วนดาวจักรพรรดิเป่ยเยว่เลือนหายไร้ร่องรอย รัชศกใหม่มาถึงแล้ว

หวังก็แต่จักรพรรดิหนานจิ้นจะเป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรม เปี่ยมเมตตา ขยันปฏิบัติราชกิจ รักใคร่ชาวประชา มิเช่นนั้นต่อให้ต้องตายข้าก็จะขอต่อต้านการปกครองระบอบหนานจิ้นให้ถึงที่สุด!

อาจารย์เสวียนจิ้งมองจุดที่อยู่เหนือดาวจื่อเวยซึ่งเปล่งแสงสว่างไสวอยู่เหนือขึ้นไป ดาวจักรพรรดิที่อ่อนแสงก่อนหน้าบัดนี้หายไปแล้ว มุมปากพลันปรากฏรอยยิ้มบาง

วางใจเถอะ หากรัชทายาทเจาทรงทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้าน้อยจะชดใช้ให้ทุกท่านเอง

บัดนี้เป่ยเยว่ไม่มีกำลังจะต่อต้านใดๆ อีก บรรดาขุนนางเชื้อพระวงศ์ต่างพาทหารส่วนตัวและคนในครอบครัวอพยพหลบหนีกระเจิดกระเจิงไปหมดแล้ว พวกเขาตั้งใจว่าก่อนที่ผู้ปกครองคนใหม่จะขึ้นครองราชย์ จะต้องหาดินแดนแห่งความสุขของตัวเองให้เจอ ยึดครองที่นั่นแล้วตั้งตัวเป็นใหญ่ จะได้เติบโตผงาดขึ้นเป็นมังกรผู้แข็งแกร่งต่อไป

รัชทายาทเจามิได้แบ่งกำลังทหารออกไปตามล่าสังหารบรรดาขุนนางและเชื้อพระวงศ์ที่หลบหนี แต่วันรุ่งขึ้นมีคำสั่งว่า หากป็นชนชั้นสูงที่หลบหนีต้องถูกยึดทรัพย์ ถูกถอดยศศักดิ์ที่เคยมี ไม่ว่าใครก็สังหารพวกเขาได้ พวกเขาจะมิได้รับการปกป้องคุ้มครองจากราชสำนักอีก ส่วนชนชั้นสูงที่ยังอยู่ในเมืองจิงตูจะถูกตัดสินตามคุณงามความดี

หากตลอดชีวิตไม่เคยทำเรื่องชั่วช้า ผิดกฎหมาย ไม่เพียงไม่ถูกลงอาญามิหนำซ้ำยังมีรางวัลให้อีก ส่วนชนชั้นสูงที่ทำเรื่องชั่วช้าสามานย์จะต้องถูกลงทัณฑ์ขั้นเด็ดขาด โทษสถานเบาคือลดตำแหน่ง โทษหนักต้องกลายเป็นไพร่ ถูกยึดทรัพย์ แต่รับประกันได้ว่าชีวิตจะปลอดภัยไร้กังวล จะมีการตั้งกล่องนิรนามไว้ในเมือง ชาวบ้านสามารถแจ้งชื่อผู้กระทำผิดกฎหมาย ประพฤติชั่วช้าพร้อมหลักฐานยืนยัน หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นความจริงจะรีบดำเนินการทันที

ทันทีที่มีคำสั่งนี้ออกไปก็ได้รับการยอมรับจากราษฎรทั่วทั้งเมือง สำหรับชนชั้นที่ถูกกดขี่พวกเขาย่อมยินดีที่จะได้เห็นคนที่กดขี่พวกเขาได้รับกรรมเสียบ้าง ปกติคนสูงศักดิ์มักก่อกรรมทำเข็ญไว้มาก ฉุดคร่าหญิงสาวชาวบ้านยังถือเป็นเรื่องเบา เห็นชีวิตคนเสมือนต้นหญ้าฆ่าล้างตระกูลเป็นเรื่องที่มีให้เห็นอยู่ดาษดื่น เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ชาวบ้านจึงแห่มาแจ้งเต็มไปหมด กล่องนิรนามจึงเต็มไปด้วยแถบผ้า แผ่นกระดาษ ม้วนไม้ไผ่ยัดแน่นเต็มกล่อง ราษฎรจำนวนมากแม้ไม่รู้หนังสือ เขียนหนังสือไม่เป็น แต่ก็ยอมบากหน้าไปขอให้คนอื่นช่วยเขียนแทนบ้าง ใช้วิธีวาดรูปแบบตรงๆ ธรรมดาสามัญเข้าใจง่าย และไม่รบกวนใครให้ยุ่งยากบ้าง

ตอนที่จางฉุนเดินทางรอนแรมนับพันลี้ถึงเมืองหลวงเป่ยเยว่ก็เป็นเวลาหลังปีใหม่ สรรพสิ่งกลับสู่สภาพปกติแล้ว เขานอนแผ่หราอยู่ในรถม้าอันกว้างขวาง เพลียเสียจนยืดตัวตรงแทบไม่ไหว กระดูกแทบจะแยกส่วนออกมาเป็นชิ้นๆ ตอนที่ถูกประคองลงมาจากรถม้าเขาก็ก่นด่าอย่างแค้นเคือง

การคมนาคมที่แสนบ้าบอ ชาตินี้ข้าจะหาเงินมาซ่อมแซมถนนให้จงได้!

เขาจับทหารยามเฝ้าเมืองมาซักถาม “รัชทายาทหนานจิ้นอยู่ในเมืองใช่หรือไม่ ทรงพำนักอยู่ที่ใด?”

ได้ยินมาว่าเมืองหลวงเป่ยเยว่กว้างใหญ่นัก ในยุคนี้แม้แต่แผนที่ยังเป็นขนาดย่อ เชื่อถือไม่ได้ ตลอดทางจางฉุนหลงทางมานับครั้งไม่ถ้วน

ทหารนายนั้นเห็นจางฉุนหน้าขาวซีด เนื้อตัวมีแต่กลิ่นเหม็นโชยออกมา ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงทั้งยังมีฟางปักอยู่สองกิ่ง วิเคราะห์ว่าต้องมิใช่ผู้มีอำนาจบารมีเป็นแน่จึงรีบไล่เขา

ไปๆ องค์รัชทายาทใช่คนที่เจ้าจะมาถามหาได้งั้นหรือ?”

บังอาจ! ดูท่าทีของเจ้าแล้วคงมิใช่ชาวหนานจิ้นกระมัง รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร! ข้ามาจากจวนรัชทายาทหนานจิ้น ยังไม่รีบไปทูลรายงานอีกหรือ!

ทหารผู้นั้นตกใจสะดุ้งโหยง แม้จะรู้สึกคลางแคลงอยู่บ้างแต่คิดว่าเรื่องนี้มิใช่หน้าที่ตนจึงส่ายหน้าแล้วกล่าว “หลังจากเข้าเมืองแล้วเดินตรงไป จากนั้นก็ถามหาที่ตั้งของพระราชวัง ย่อมมีคนชี้ทางให้เจ้าได้

เจ้าโง่นี่มาจากที่ใดกัน! รัชทายาทหนานจิ้นพระองค์นั้นได้กลายเป็นกษัตริย์ไร้มงกุฎของเมืองนี้ไปตั้งนานแล้ว ถ้าไม่พำนักอยู่ในพระราชวังแล้วจะไปอยู่ที่ใดได้อีกเล่า!

จวนรัชทายาทหนานจิ้นมีคนประเภทนี้จริงหรือ โกหกกระมัง?

 

 

เชิงอรรถ

  1. ตะปูฝนพรำดอกสาลี่ เป็นอาวุธลับจากวรรณกรรมเรื่องชอลิ้วเฮียง

 

260 เมืองเย่เฉิงส่งคนมา (1)

ฝ่าบาท เมืองเย่เฉิงส่งคนมาพ่ะย่ะค่ะทหารยามนายหนึ่งรีบวิ่งเข้ามารายงานรัชทายาทเจาที่อยู่ในห้องทรงพระอักษร

ข่าวจักรพรรดิหนานจิ้นสวรรคตแพร่สะพัดมาถึงเป่ยเยว่แล้ว แต่เรื่องที่ต้องจัดการหลังเสร็จศึกมีมากมาย รัชทายาทเจาจึงมิอาจปลีกตัวกลับไปได้ทันที ต้องรอแต่งตั้งคนมารับหน้าที่ดูแลเป่ยเยว่แต่ละตำแหน่งให้เรียบร้อยก่อนจึงจะสามารถนำทัพกลับหนานจิ้นได้ เขารู้ว่านอกจากประกอบพิธีบวงสรวงดวงวิญญาณอดีตจักรพรรดิแล้วยังมีความยุ่งยากสารพัดที่ต้องแบกรับ ไม่รู้ว่าป่านนี้ถังเยว่เป็นอย่างไรบ้าง อยู่ห่างกันหนึ่งแสนแปดพันลี้ กว่าจะส่งข่าวถึงกันล่าช้าเกินไป เหมือนอย่างข่าวจักรพรรดิสวรรคตยังล่าช้าถึงสองเดือนกว่าจะล่วงรู้ กว่าที่เขาจะกลับไปไม่รู้ว่าตำแหน่งจักรพรรดิจะถูกคนอื่นแย่งไปครองแล้วหรือยัง ดังนั้นทันทีที่ได้ยินว่าเมืองเย่เฉิงส่งคนมา รัชทายาทเจาจึงรีบวางงานในมือลงแล้วเอ่ยถาม เป็นผู้ใด?”

ไม่รอให้คนอื่นตอบ ก็ได้ยินเสียงจางฉุนตะโกนดังมาจากด้านนอก

กระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ...

เหล่าขุนนางและแม่ทัพในห้องทรงพระอักษรต่างพร้อมใจกันหันไปมองทางประตูใหญ่เป็นตาเดียว ไม่รู้ว่าคนผู้นี้คือใครถึงได้บังอาจทำท่ากำแหงต่อหน้ารัชทายาทเช่นนี้

จางฉุนที่กำลังก้าวยาวๆ เดินเข้ามาประดุจคนสำคัญพลันต้องชะงักขาค้างอยู่กลางอากาศทั้งที่ยังไม่ได้เหยียบลงพื้น เขารีบหดขาถอยกลับในทันทีพร้อมกับยืนเกาศีรษะหัวเราะแห้งๆ อยู่หน้าประตู

ที่แท้ฝ่าบาทกำลังยุ่งอยู่หรอกหรือ ถ้างั้นทรงงานต่อไปเถอะ กระหม่อมจะรออยู่ด้านนอก…”

ในหมู่แม่ทัพมีคนคนหนึ่งกำลังสั่นสะท้านไปทั้งตัว ไม่ทันจะกล่าวคำทักทายก็กระโจนพรวดพราดออกมาแล้วคว้าตัวจางฉุนแบกขึ้นบ่าวิ่งออกไปทันที

เฮ้ย! เจ้าจะทำอะไร! ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้นะ ข้ายังมีธุระสำคัญ…”

เหล่าขุนนางและแม่ทัพในห้องทรงพระอักษรต่างงุนงงเป็นไก่ตาแตก มีเพียงรัชทายาทเจาที่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุมเยือกเย็น

เชิญทุกท่านสนทนากันเรื่องปัญหาเมื่อครู่ต่อเถอะ ตกลงเป็นอันว่าเรื่องน้อยใหญ่ในเมืองหลวงแห่งนี้มอบให้อาจารย์เสวียนจิ้งเป็นผู้ดูแลไปก่อน คุมตัวอัครเสนาบดี สมุหกลาโหมและผู้ตรวจราชการคนเก่าไปขังไว้ในคุกใหญ่ ขุนนางที่เหลือคงเดิมไว้ชั่วคราวแล้วค่อยพิจารณาผลงานในวันหน้า

ทุกคนจึงได้สติคืนกลับมาจากอาการตื่นตะลึงเมื่อครู่ ครั้งนี้ต่างพร้อมใจกันหันไปมองอาจารย์เสวียนจิ้งด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาชิงชัง สามารถพูดได้ว่าหลังหนานจิ้นมีชัยเหนือเป่ยเยว่ อาจารย์ท่านนี้ก็แทบจะลอยขึ้นฟ้า จากที่ปรึกษาไร้อำนาจบารมี จู่ๆ ก็กลายเป็นผู้แทนพระองค์ เป็นบุคคลสำคัญของเมืองนี้ไปแล้ว แม้จะบอกว่าเดิมทีเขาก็เป็นผู้มีความรู้และคุณธรรมได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากผู้คน แต่การมีอำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือนั้นให้ความรู้สึกที่ต่างกันอย่างลิบลับ

ขอฝ่าบาทเสด็จกลับอย่างวางพระทัย เมื่อทรงขึ้นครองราชย์แล้วค่อยส่งขุนนางมารับช่วงจัดการงานที่นี่ต่อ ระหว่างนี้กระหม่อมจะดูแลเมืองหลวงแห่งนี้ให้อยู่ในความสงบเรียบร้อยแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ

อันที่จริงรัชทายาทเจาก็มีความกังวลอยู่บ้าง จริงอยู่ที่อาจารย์เสวียนจิ้งฉลาดหลักแหลม มีความสามารถโดดเด่น มีกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมแยบยล แต่เขาไม่เคยเป็นขุนนาง ไม่เคยบริหารงานดูแลราษฎร จะสามารถรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้ดีหรือไม่ก็ยังพูดยาก แต่การเดินทางมาครั้งนี้รัชทายาทพาขุนนางฝ่ายพลเรือนมาด้วยน้อยมาก ที่มีอยู่ก็ไม่อาจแบกรับภาระสำคัญนี้ได้จึงจำต้องมอบหน้าที่นี้ให้อาจารย์เสวียนจิ้ง

หลังจากข้าไปแล้ว ให้แม่ทัพหูนำไพร่พลสามหมื่นนายตั้งมั่นรักษาการณ์เมืองหลวง แม่ทัพหวังพาไพร่พลสามหมื่นนายตั้งมั่นรักษาการณ์เมืองเยี่ยนโจว ทั้งสองคอยช่วยเหลือกันและกัน หากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้แม่ทัพทั้งสองหารือตัดสินใจร่วมกัน ไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งจากข้า

หลังสะสางงานเรียบร้อย รัชทายาทเจาก็ให้คนไปตามตัวจางฉุนมา มิได้เหนือความคาดหมายแม้แต่น้อย เขาต้องรออยู่ครึ่งชั่วยามคนที่เรียกให้มาพบจึงเพิ่งจะมาถึง ทหารยามที่ไปตามเอาแต่ก้มหน้างุดไม่กล้าพูดสิ่งใด ใบหูทั้งสองข้างแดงก่ำไม่รู้ว่าไปแอบฟังพวกเขามานานแค่ไหน

รัชทายาทเจาจ้องมองจางฉุนที่หน้าแดงซ่าน ไม่มีอาการขาวซีดเฉกเช่นเมื่อครู่เลยสักนิด เช่นนี้แล้วมีหรือจะไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นไปทำอะไรกับหวังติ่งจวินมาบ้าง แต่เขาก็มิใช่คนไร้เหตุผล พลัดพรากจากกันไปนาน ได้กลับมาเจอหน้าอีกครั้งย่อมโหยหากันและกัน มิหนำซ้ำพวกเขาแยกจากกันมาสองปีกว่า ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ

รัชทายาทเอ่ยถามอย่างตรงประเด็น

พระชายาส่งเจ้ามาหรือเจ้ามาเอง?”

แน่นอนจางฉุนย่อมต้องบอกว่าถังเยว่เป็นคนส่งมา เขาลูบคลำตามเนื้อตัวอยู่นานก่อนจะพึมพำขึ้น

กระหม่อมยังได้นำจดหมายที่พี่ถังเขียนถึงฝ่าบาทมาด้วย...อยู่ที่ไหนนะ...

ทันทีที่รัชทายาทเจาได้ยินว่ามีจดหมายของถังเยว่ไหนเลยจะยอมให้เขาค่อยๆ หา รีบสั่งให้คนไปค้นหายังจุดที่จางฉุนอยู่เมื่อครู่ ผลปรากฏว่าไปหาเจอที่ใต้เตียงในตำหนักปีก ไม่รู้ควรตำหนิว่าแม่ทัพหวังใจร้อนเกินไปหรือความรักของพวกเขาลึกล้ำเกินไปเลยจริงๆ แค่จะเดินต่ออีกไม่กี่ก้าวยังทนไม่ไหว

ใบหน้าจางฉุนขึ้นสีแดงจัด หัวเราะแหะๆ แล้วพูดต่ออย่างไม่เป็นธรรมชาติ

ต้องเป็นเพราะตอนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อครู่ไม่ทันระวังจึงทำหล่นแน่ๆ ฝ่าบาทมิทรงทราบ ตลอดการเดินทางมาที่นี่กระหม่อมได้อาบน้ำเพียงสามครั้ง รู้สึกเหม็นไปหมดทั้งตัว

ไม่ใช่แค่รู้สึก แต่เหม็นของจริงต่างหาก!” หวังติ่งจวินที่อยู่ข้างๆ ยืนยัน

เมื่อครู่เขารีบร้อนแบกอีกฝ่ายออกไป หวังจะกอดให้หายคิดถึงแล้วจับขย้ำกินให้เต็มรัก แต่ที่ไหนได้กลิ่นไม่พึงประสงค์จากเนื้อตัวอีกฝ่ายทำเอาเขาเขมือบไม่ลงเลยจริงๆ จึงต้องจับแก้ผ้าแล้วโยนลงน้ำชำระล้างร่างกายให้เกลี้ยงเกลาเสียก่อนถึงค่อยเริ่ม

จางฉุนถลึงตาใส่

ตลอดการเดินทางแสนลำบากลำบน ระยะทางไกลโพ้นต้องดั้นด้นบุกป่าฝ่าดง ฝ่ามรสุมลมพายุ ต้องนอนค้างอ้างแรมกลางแจ้ง แม้แต่น้ำร้อนก็ยังไม่มีให้ดื่มไม่ได้อาบน้ำก็ต้องเหม็นหึ่งเป็นธรรมดา

แต่ในความเป็นจริงเป็นเพราะหลังเข้าสู่เขตแดนเป่ยเยว่ยิ่งเดินทางขึ้นเหนืออากาศก็ยิ่งหนาว จางฉุนนั่งเอาผ้าห่มห่อตัวไม่กล้าลงจากรถม้าตลอดทั้งวันไหนเลยจะกล้าอาบน้ำ นานครั้งจะได้พักโรงเตี๊ยมสักที คิดจะนอนแช่น้ำร้อนให้สบายตัวสักหน่อยแต่พอไปดูถังอาบน้ำก็สกปรกโสโครกเกินจะทนรับได้

รัชทายาทเจาไม่มีอารมณ์มานั่งฟังคู่รักถกเถียงกัน เขารีบฉีกจดหมายออกอ่านซึ่งก็เหมือนกับทุกครั้ง ในจดหมายถังเยว่มักแจ้งแต่ข่าวดีไม่รายงานข่าวร้าย เนื้อหาส่วนใหญ่เขียนเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของตัวเองและลูกคุยเรื่องดินฟ้าอากาศในเมืองเย่เฉิง พูดถึงชาวบ้านราษฎรและข่าวลือทั่วไป จากนั้นค่อยเข้าเรื่องธุระสำคัญ

เสด็จพ่อเสด็จสวรรคตอย่างกะทันหัน มีเรื่องราวมากมายที่ยังมิได้สะสาง หลู่กั๋วกงถูกส่งกลับมาถึงจวนแล้ว หลังส่งหมอหลวงหลายท่านไปร่วมกันรักษาอาการป่วยก็ดีขึ้น แต่ยังคงขยับตัวเคลื่อนไหวไม่ได้ ท่านอัครเสนาบดีรับข้อเสนอของกระหม่อมแล้วว่าจะยังไม่ประกาศโทษของเขาเป็นการชั่วคราว รอให้รัชทายาทเสด็จกลับมาก่อนค่อยสอบสวนพิจารณาคดี

ในราชสำนักไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เรื่องที่เสด็จพ่อทรงตกจากหลังม้าได้ตรวจสอบดูแล้วมิได้มีกลอุบายใด แต่พวกองค์ชายไม่เชื่อ คิดเพ้อเจ้อหวังจะใส่ร้ายป้ายสีกระหม่อม น่าหัวร่อเป็นที่สุด ดังนั้นกระหม่อมจึงรับบทพี่สะใภ้อบรมสั่งสอนพวกเขาแทนฝ่าบาท หวังว่าพวกเขาจะสามารถปรับปรุงตัวเอง กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่

ระยะนี้น้องสิบห้ามีพฤติกรรมแปลกๆ เหมือนจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นคนละคน ชอบเอาหน้าไปเสียทุกเรื่อง แต่ทำงานมีกฎเกณฑ์ การพูดการจาก็ดูดีมีหลักการจนได้รับคำสรรเสริญจากขุนนางหลายท่าน ท่าทางดูต่างจากเมื่อก่อนที่เคยเป็นเด็กเรียบร้อยไม่ค่อยพูดราวกับเป็นคนละคน กระหม่อมเคยคิดสงสัยว่าเขาก็ถูกสับเปลี่ยนวิญญาณเช่นกันหรือไม่ แต่หลังจากหาหลักฐานพิสูจน์ยืนยันหลายครั้งก็พบว่ากระหม่อมคิดมากไปเอง เพียงแค่ในอดีตเขาเก็บงำตัวตนที่แท้จริงไว้มิดชิดเกินไปเท่านั้น

เวลานี้ราชสำนักไร้ผู้นำ รัชทายาทก็อยู่ไกล ยังเสด็จกลับมาไม่ได้ ใจคนไม่มั่นคง มีบางคนเกิดความคิดเอนเอียงก็มิใช่เรื่องผิดแปลก โชคดีที่วังหลังยังมีเสด็จแม่คอยค้ำจุน ในราชสำนักยังมีเหล่าขุนนางเสนาบดีที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อฝ่าบาทรักษาการณ์ ไม่เปิดช่องโหว่ให้พวกเขา ทำให้แผนการของพวกเขาต้องสูญเปล่า

ทุกอย่างในเมืองเย่เฉิงเรียบร้อยดี ฝ่าบาทมิต้องทรงเป็นห่วง การรายงานเกี่ยวกับศึกสงครามในระยะนี้ค่อนข้างล่าช้า เนื้อหาไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่ารบกันไปถึงไหนแล้ว ขอให้ทุกอย่างราบรื่น กระหม่อมรอการกลับมาของฝ่าบาทอยู่นะ!

ตอนที่รัชทายาทเจาเห็นวันที่ลงท้าย คิ้วก็ขมวดมุ่นเป็นปม

เจ้าเดินทางจากเย่เฉิงมาถึงที่นี่ใช้เวลาเกือบครึ่งปีเชียวหรือ?”

จางฉุนกะพริบตาถี่ก่อนพยักหน้า “ใช่พ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นอัตราความเร็วเท่าที่รถม้าจะวิ่งได้เร็วที่สุดแล้ว ระหว่างทางม้าตายไปสามตัว รถเสียไปสองคัน ลำบากยากเข็ญเหลือเกิน

หวังติ่งจวินที่อยู่ข้างๆ หน้าตาบูดบึ้ง ‘เจ้าเด็กบ้า! นึกว่ามานี่เพราะคิดถึงข้าซะอีก นึกไม่ถึงว่าจะเถลไถลเที่ยวชมภูผาลำธารมาตลอดทางมาเยี่ยมข้าเป็นเพียงของแถมงั้นสิ เที่ยวเล่นซะจนลำบากแย่เลยสินะ!

จางฉุนยกมือลูบศีรษะตัวเองแล้วเงยหน้ามองเพดาน พบว่าพระราชวังเป่ยเยว่งดงามวิจิตรตระการตายิ่งนัก แม้แต่เพดานก็ยังวาดภาพจิตรกรรม หรูหราอลังการเป็นอย่างยิ่ง

ในเมื่อจงโหย่งโหวลำบากถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็พักอยู่ในวังต่อเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางกลับหนานจิ้น แม่ทัพหวังต้องไปเฝ้ารักษาการณ์ที่เมืองเยี่ยนโจวดังนั้นจะต้องเดินทางลงใต้ไปพร้อมกันกับข้า

ครั้งนี้มิใช่แค่หวังติ่งจวินงุนงง แม้แต่จางฉุนก็ยังอึ้งไปด้วย คิดไม่ถึงว่าไม่เจอกันตั้งหลายปีรัชทายาทเจายังคงเป็นบุรุษผู้เจ้าคิดเจ้าแค้นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เขาก็แค่มาส่งจดหมายให้ช้าไปไม่กี่วันเท่านั้นเองมิใช่หรือ อุตส่าห์เป็นกังวลว่าจะทำให้ทัพหน้าต้องเสียเวลารอ จึงให้คนส่งเสบียงข้าวของมาก่อน แล้ว ตัวเขาอาจจะแวะเที่ยวเล่นรายทางไปบ้างแต่ก็มิได้สร้างความเสียหายทำให้ใครเดือดร้อนไม่ใช่หรือ?

ฮึ! พักก็พักสิ! ดีเลย จะได้ตระเวนเที่ยวเมืองจิงตูอันเลื่องชื่อให้ชุ่มปอด ส่วนสายตาคับแค้นใจของหวังติ่งจวินนั้นจางฉุนเลือกทำเป็นมองไม่เห็น

ฤดูร้อนปีแรกแห่งรัชศกต้าถัง

รัชทายาทเจานำทัพใหญ่ห้าหมื่นกลับเย่เฉิงพร้อมชัยชนะ เหล่าราษฎรต่างแซ่ซ้องออกมารับเสด็จตลอดทาง ถวายชาถวายน้ำ ทุกครัวเรือนที่เคลื่อนผ่านต่างตกแต่งบ้านเรือนให้มีบรรยากาศครื้นเครง จุดประทัด เชือดไก่ล้มแพะประหนึ่งเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่

วันนี้นอกกำแพงเมืองเย่เฉิงตั้งแต่ช่วงต้นยามเหม่า เหล่าขุนนางต่างมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง ชะเง้อคอรอคอย ราษฎรทั้งในและนอกเมืองต่างมาจับจองพื้นที่จนเต็มไปหมด กล่าวกันว่าร้านขายของริมถนนตลอดสองข้างทางจากประตูเมืองไปจนถึงกำแพงวังล้วนเนืองแน่นไปด้วยผู้คน เพียงเพื่อมารอรับเสด็จจักรพรรดิองค์ใหม่ของพวกเขา

ที่ด้านหน้าสุดของฝูงชน หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่สวมชุดสีฟ้าครามดุจน้ำในทะเลสาบยืนตัวตรง มีเพียงคนที่ยืนติดกับพวกเขาเท่านั้นถึงจะได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของสองพ่อลูก

เตียเตีย เสด็จพ่อจะเสด็จกลับมาแล้วจริงหรือ?”

มีเฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าคนใกล้ชิดเท่านั้นที่เสี่ยวลั่วลั่วจะเผยนิสัยความเป็นเด็กออกมาบ้าง ช่วงที่หลี่เจาไม่อยู่เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหลังจากจักรพรรดิหนานจิ้นล่วงลับ สถานการณ์ในราชสำนักมิได้ราบรื่นอย่างที่ถังเยว่เขียนไว้ในจดหมาย ลำพังพวกเขาสองพ่อลูกถูกลอบสังหารไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการใช้กลอุบายทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น มีคนมากมายที่มุ่งหวังจะเอาชีวิตของพวกเขาให้จงได้

ท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เสี่ยวลั่วลั่วได้แต่บังคับให้ตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่โดยเร็วที่สุด ต้องทำสิ่งต่างๆ โดยที่ถังเยว่ไม่รู้ไว้มากมายหลายเรื่อง เขาจำได้ว่าบิดาเคยสั่งไว้ว่าให้ดูแลปกป้องเตียเตียให้ดี นี่คือความรับผิดชอบของเขา

ถังเยว่ทอดตาเหม่อมองไปไกล ใบหน้าเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม

ก็จริงน่ะสิ เสด็จพ่อของเจ้าจะกลับมาแล้ว ลั่วลั่วดีใจไหม?”

เสี่ยวลั่วลั่วครุ่นคิดจริงจังสักพัก จริงอยู่ที่เขาดีใจแต่กลับมีความทุกข์ใจมากกว่า

หลังจากเสด็จพ่อกลับมา ข้าก็นอนกับเตียเตียไม่ได้แล้วใช่หรือไม่?”

ถังเยว่ยิ้มค้างก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างกระอักกระอ่วน

เอ่อก็...มานอนได้เป็นบางครั้ง


 

260 เมืองเย่เฉิงส่งคนมา (2)

ขนาดลาลากเครื่องโม่แป้งยังต้องมีเวลาหยุดพักผ่อนกันบ้าง ตัวเขาเองก็เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกขย้ำทุกวี่ทุกวันหรอกกระมัง แต่พวกเขาพลัดพรากจากกันมานาน คาดว่าในช่วงแรกคงตัวติดกันตลอดเวลาสักระยะ

จวบจนตะวันตรงหัว ใบหน้าทุกคนเป็นสีแดงจัด ชุดขุนนางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อจนแนบเนื้อไปทั้งตัว คนที่อายุมากแข้งขาเริ่มสั่นเทา

ถังเยว่ยังหนุ่มอยู่จึงไม่เป็นไร สงสารก็แต่ลูกน้อยที่ตากแดดจนแก้มแดงก่ำจึงสั่งให้คนเอาร่มมากางและช่วยพัดให้เขา พร้อมกับแจ้งให้ผู้คนด้านหลังดื่มน้ำและพักผ่อนบ้าง เขาไม่อยากให้หลี่เจาที่เพิ่งกลับมาถึงต้องพบเจอผู้คนล้มป่วยกันทั้งโขยง

ทหารถ่ายทอดคำสั่งส่งสัญญาณต่อกันเป็นทอดๆ ถังเยว่บ่นพึมพำในใจ ‘เวรกรรมจริงๆ รู้อย่างนี้กินข้าวกลางวันก่อนแล้วค่อยมาก็ดี ไม่เห็นต้องมายืนเสียเวลาเปล่าๆ ไปทั้งช่วงเช้าอย่างนี้เลย

แต่คำพูดประโยคนี้เขาก็เพียงบ่นในใจ ขืนพูดให้ตาแก่หัวดื้อโบราณคร่ำครึในราชสำนักได้ยินมีหวังได้ถูกเทศนาจนหูชาแน่

มาแล้ว!

ในที่สุดก็มากันสักที มีคนถอนหายใจดังเฮือก ทันใดนั้นทุกคนต่างรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนบนพื้น เสียงการเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบระเบียบดังก้อง จะต้องเป็นสัญญาณของทัพใหญ่เคลื่อนพลกลับมาแน่

จริงดังคาด เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงเกือกม้า ชั่วขณะนั้นทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่เข้าทางเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ละคนล้วนมีสีหน้าตื่นเต้น ความอ่อนเพลียจากการถูกแดดเผามาครึ่งวันเลือนหายไปเป็นปลิดทิ้ง

เสียงดังกระชั้นเข้ามาใกล้มากขึ้น ทว่าหลังผ่านไปหนึ่งชั่วยามจึงเห็นการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย มีฝุ่นตลบอบอวลนำหน้ามาก่อนราวกับเกิดพายุหมุน นำพาบรรยากาศดุดันมาปะทะหน้า

กระทั่งขบวนกองทัพหลายหมื่นเคลื่อนเข้ามาใกล้ ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง คุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียง กู่ร้องสรรเสริญ

ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี

ถ้อยคำอวยพร ‘ขอให้อายุยืนหมื่นปี’ มิได้กล่าวสรรเสริญให้เฉพาะว่าที่กษัตริย์ของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังอวยพรให้กับกองทัพไร้พ่ายด้วย เวลานี้ในใจพวกเขาพลันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกในยามที่บ้านเมืองมั่งคั่งประชาราษฎร์เข้มแข็งอย่างแท้จริง

พวกเขาคือวีรบุรุษที่องอาจห้าวหาญแห่งหนานจิ้น พวกเขาคือเหล่านักรบที่ยอมสละแม้กระทั่งชีวิตเพื่อหลอมรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง ยังมีมหาจักรพรรดิผู้นำพาหนานจิ้นไปสู่จุดสูงสุด ทำให้ทุกคนยินดีก้มศีรษะโค้งคำนับให้อย่างพร้อมเพรียง น้อมถวายความเคารพบูชาและความจงรักภักดีจากใจของพวกเขา

ท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้ายอดอาชาไนยตัวหนึ่งแทรกออกมาจากขบวน ยอดวีรบุรุษผู้งามสง่านั่งอยู่บนหลังของมัน สวมเกราะเบาครบชุดเปล่งรัศมีดุจเทพสงคราม ระยิบระยับสะดุดตาพาใจสั่นสะท้าน

เขาผู้นั้นควบม้าเข้ามา กระทั่งอยู่ห่างจากถังเยว่เพียงไม่กี่ก้าวจึงกระตุกบังเหียน ยอดอาชาไนยผงาดยกเท้าหน้าตะกายฟ้า เงยหน้าส่งเสียงคำรามลั่น

บุรุษผู้อยู่บนหลังม้าก้มหน้ามองลงมายังบุรุษเบื้องล่าง แววตาอ่อนโยนขึ้นทุกขณะ ใบหน้าที่เคยเยือกเย็นแข็งกระด้างดุจภูเขาน้ำแข็งเริ่มหลอมละลาย ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้างขวางงดงามจับตา เขาขยับเข้ามาอีกสองก้าว โน้มตัวก้มลงรวบร่างบุรุษที่คิดถึงคะนึงหาทุกเช้าค่ำขึ้นมากอดไว้แนบอก จากนั้นก็สะบัดแส้เฆี่ยนม้าฝ่าฝูงชนมุ่งหน้าเข้าเมืองไปโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น

ผู้คนต่างแหวกทางให้โดยปริยาย สองฟากถนนสายหลักมีคนคุกเข่าอยู่แน่นขนัด ตอนแรกเหล่าราษฎรต่างคิดว่าจะได้ยลโฉมองค์จักรพรรดิผู้งามสง่าให้เป็นบุญตา ที่ไหนได้กลับเห็นแค่เงาผ่านไปเพียงวูบเดียว ได้แต่กินฝุ่นไปจนเต็มท้องทว่าแม้แต่นิ้วเท้าก็มิได้เห็น

เฮ้! ลั่วลั่วยังอยู่ข้างนอก...

ถังเยว่ถูกการกระทำของหลี่เจาทำให้ตระหนกตกใจจนเหงื่อแตกเต็มตัว เขาสามารถจินตนาการได้เลยว่าลูกชายที่ถูกพวกเขาทอดทิ้งไม่แน่เวลานี้อาจกำลังร้องไห้ด้วยความเสียใจ

เจ้าไม่คิดถึงพระสวามีหรือ?”

คิดถึงสิแต่อื้อ…”

ท้ายทอยถังเยว่ถูกคนซ้อนกายด้านหลังรั้งให้หันกลับไปหาแล้วประกบจูบปิดปากทันที สัมผัสจากริมฝีปากอันคุ้นเคยทำให้ถังเยว่ลืมสิ้นทุกสิ่ง ไหนเลยจะยังมีอารมณ์สนใจว่าลูกจะร้องไห้น้อยใจหรือไม่

กระทั่งมาถึงหน้าประตูจวน หลี่เจาถึงยอมถอนริมฝีปากออก จ้องมองนัยน์ตาไหวระริกเจือหยาดน้ำของคนในอ้อมแขน เขาอุ้มอีกฝ่ายกระโดดลงจากหลังม้าแล้วมุ่งหน้าตรงเข้าห้องบรรทมทันที

ระหว่างทางบ่าวไพร่ข้าราชบริพารยังไม่ทันได้ถวายบังคม เงาร่างเจ้าของจวนก็เคลื่อนผ่านวูบไปดุจสายลมพัดโบก พวกบ่าวไพร่ได้แต่หันมองหน้ากัน แล้วยิ้มหน้าบานก่อนจะรีบวิ่งแยกย้ายไปทำงานตามหน้าที่ตน

โอ้! เจ้านายกลับมาแล้ว เดี๋ยวต้องใช้น้ำร้อนแน่ๆ รีบไปต้มน้ำไว้เร็วเข้า!

โอ้! เจ้านายกลับมาแล้ว จะต้องหิวแน่ ต้องรีบไปหุงข้าวแล้วสิ!

โอ้! เจ้านายกลับมาแล้ว ต้องรีบตัดแต่งเล็มหญ้าในจวนให้เรียบร้อย กระถางโบตั๋นที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวานเอาไปตั้งไว้ที่ไหนนะ?

ถังเยว่เพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นต่อจากนี้ จึงพยายามดิ้นพราดๆ จะลงจากอ้อมแขน ปากก็ร้องตะโกนเอ็ดตะโร

หลี่เจา! เสียสติไปแล้วหรือ พระอัครมเหสียังรออยู่ในวัง พวกขุนนางก็กำลังรีบรุดเข้าวังเฉลิมฉลองแสดงความยินดี มีเรื่องมากมายรอให้ไปจัดการ...นี่...

หุบปาก!หลี่เจาตะคอกใส่เขาคำหนึ่งพลางยกเท้าถีบประตูให้เปิดออก วางร่างเขาลงบนเตียงแล้วโถมร่างตามเข้ามาทาบทับทันที

ช้าก่อนข้างนอก…”

ให้พวกเขารอไปก่อน!

เสื้อผ้าค่อยๆ ถูกโยนออกมานอกเตียงทีละชิ้น ผ้าม่านโรยตัวลงมา เพียงไม่นานก็เกิดเสียงครางเครือหยาบโลนดังสะท้อนไปทั่วห้อง

ถังเยว่ซึมซับความสุขที่เริดร้างห่างหายไปนานพลางคิดปลอบใจตัวเอง ‘ช่างเถอะ ต่อให้คนทั้งแผ่นดินรู้ว่าเวลานี้พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่อย่างมากก็แค่ขายหน้าเท่านั้น ใครจะห้ามไม่ให้สามีภรรยาจู๋จี๋กันได้เล่า

เมื่อสลัดภาระอันหนักอึ้งในใจพวกนี้ทิ้งไป ถังเยว่ก็หันมาจดจ่ออยู่กับการเสพสุขให้เต็มที่ พายุรักโหมกระหน่ำถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ระลอกแล้วระลอกเล่า

กระทั่งความมืดโรยตัวปกคลุมทั่วผืนฟ้า ในที่สุดพายุรักบนเตียงจึงสงบลง ทั้งสองกอดก่ายซ้อนกายเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ เหงื่อเกาะพราวระยิบระยับงดงามไปทั้วตัว

ถังเยว่รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงถูกสูบไปจนหมดสิ้น เมื่อเช้าตื่นแต่หัววัน กินข้าวเช้าไปแค่นิดเดียว ยืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์ร้อนแรงมาครึ่งวันก็เหนื่อยพอแล้ว ยังต้องถูกคนพาควบม้าเร็วรี่มาตลอดทางและยังถูกทรมานสารพัดท่า ท้องก็ร้องจ๊อกๆ ตอนนี้แม้แต่นิ้วยังขยับไม่ไหวเลยด้วยซ้ำ

ลุกออกไป หนัก!” เขาร้องบ่นด้วยเสียงแหบพร่า

ไม่เอา นอนบนตัวเจ้าสบายดี

แต่กระหม่อมไม่สบาย!

พระสวามียกทัพจับศึกมาหลายปี ได้รับความลำบากอย่างเหลือแสน ชายาไม่เข้าใจความรู้สึกข้าบ้างเลยหรือ?” หลี่เจาตัดพ้อด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ

ถังเยว่กระหวัดแขบโอบรอบคออีกฝ่ายแล้วขยับร่างดิ้นหลุดออกจากขาข้างหนึ่งอย่างยากเย็น

กระหม่อมรู้สึกว่าเวลานี้ฝ่าบาทควรไปสรงน้ำ เปลี่ยนฉลองพระองค์ชุดใหม่ จากนั้นเสวยอาหารเลิศรสให้อิ่มหนำ บรรทมให้สบาย นี่ต่างหากล่ะคือเรื่องสำคัญที่ควรทำ

เป็นคนเดินทางบุกป่าฝ่าดงมาไกลแท้ๆ เหตุใดถึงมีพละกำลังเหลือเฟือถึงเพียงนี้ อย่าบอกนะว่าร่างกายและพลังล้นเหลือเหล่านี้ฝึกปรือมาจากในสนามรบ ดูเหมือนว่าอนาคตหลายสิบปีต่อจากนี้คงไม่ต้องกังวลเรื่องเพศรสแล้วสินะ

ไม่เอา ข้าหิว...อยากกินเจ้าแล้ว!

ถังเยว่รู้สึกถึงความร้อนรุ่มที่สุมรวมแถวท้องน้อย ส่วนนั้นผงาดง้ำขึ้นมาอีกครั้ง ในใจพลันสั่นไหว ถึงกับต้องเอ่ยปากร้องขอชีวิต

กระหม่อมไม่ไหวแล้วจริงๆ นี่ก็มืดแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมารบกันใหม่เถอะนะ

หลี่เจาหอมแก้มเขาหนึ่งทีแล้วเลิกม่านขึ้น จ้องมองสีท้องฟ้านอกหน้าต่างพลางทอดถอนใจอย่างแสนเสียดาย

ก็ได้ วันนี้จะปล่อยเจ้าไปก่อน!ถึงอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกมาก

ถังเยว่จุดยิ้มมุมปาก ฝ่าบาททรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางยิ่งนัก

เมื่อทั้งสองอาบน้ำกินข้าวเสร็จ จึงนั่งรถม้าเข้าวังด้วยกัน

ใบหน้าถังเยว่ยังคงแดงเรื่อ ริมฝีปากบวมเจ่อ ตัวเขาแทบอยากจะขอลาหยุดไม่ออกจากบ้าน แต่เมื่อคิดดูแล้วยิ่งไม่ออกจากบ้านยิ่งไม่ดีเช่นนั้นจะเป็นการยืนยันว่าเขาถูกใครบางคนทำให้ลงจากเตียงไม่ได้ ใช้นิ้วเท้าคิดยังรู้เลยว่าคนข้างนอกพวกนั้นจะเอาไปเล่าลือกันเช่นไร

หลังเข้าวัง ถังเยว่ก้มหน้าตลอดทางปล่อยให้อีกฝ่ายเดินจูงเขาไปข้างหน้า พยายามไม่มองหน้าใครทั้งสิ้น รู้สึกว่าตลอดทางได้ยินเสียงซุบซิบอื้ออึงจะต้องกำลังหัวเราะเยาะเขาเป็นแน่!

เขาหยิกกลางฝ่ามือหลี่เจาแรงๆ หนึ่งที พลางบ่นพึมพำอย่างขัดเคือง

ต้องโทษฝ่าบาทนั่นละ กระหม่อมต้องถูกคนทั่วทั้งเมืองเย่เฉิงหัวเราะเยาะแน่

ผู้ใดกล้า?” หลี่เจาเอ่ยปลอบ วางใจเถอะ ใครกล้าเอาไปลือ ข้าไม่ละเว้นมันแน่

อย่านะ!” ถังเยว่รีบห้าม จากตอนแรกเป็นแค่ข่าวซุบซิบเล็กน้อย หากถูกหลี่เจาทำให้ใหญ่โตเอิกเกริกจะมิกลายเป็นเรื่องใหญ่ระดับบ้านเมืองไปหรอกหรือ แบบนี้เรียกว่าช่วยตรงไหนกัน!

แน่นอนว่าหลี่เจาแค่พูดไปอย่างนั้น เขาย่อมต้องการให้ข้างนอกเอาไปเล่าลือกันอยู่แล้วว่าความรักของพวกเขาหวานชื่นเพียงใด

ถังเยว่ได้พบลูกชายในตำหนักพระอัครมเหสีจึงหันไปส่งยิ้มเก้อกระดากให้เด็กน้อย ฝ่ายนั้นแค่นเสียงขึ้นจมูกแล้วเบือนหน้าโผเข้าสู่อ้อมกอดพระอัครมเหสี ไม่สนใจบิดาทั้งสองคนเลยแม้แต่น้อย

พระอัครมเหสีกลับเบิกบานใจ ไม่กริ้วโกรธหรือถือสาที่โอรสมาหาช้าเลยสักนิด เพียงไต่ถามสารทุกข์สุกดิบตอนที่อยู่ในสนามรบ มิได้รั้งตัวไว้นานก็ปล่อยให้กลับไปพักผ่อน

ตำแหน่งจักรพรรดิหนานจิ้นว่างลง แม้จะบอกว่ามีเหล่าขุนนางเสนาบดีคอยดูแลมิให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายแต่ก็มีเรื่องราวมากมายที่รอให้รัชทายาทเจาเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด ทัพใหญ่เคลื่อนทัพกลับมาพร้อมชัยชนะรัชทายาทเจาก็เสด็จกลับมาอย่างปลอดภัย ในวังได้เตรียมจัดงานเฉลิมฉลองไว้แต่แรกแล้ว ตอนนี้กำลังดื่มกินกันอย่างครื้นเครง

ทันทีที่รัชทายาทเจาปรากฏตัวก็ได้รับการต้อนรับอย่างชื่นชม ไม่ว่าใครก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ทันทีที่มาถึงเย่เฉิงก็ทิ้งเหล่าขุนนางและราษฎรทั้งเมืองไว้แล้วไปเสวยสุขส่วนตัวให้เสียบรรยากาศ เพียงแต่มีผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างมองถังเยว่ด้วยสายตาแปลกประหลาด

ถังเยว่แอบคิดในใจ ‘นี่คงไม่ได้เห็นฉันเป็นผู้นำพาเภทภัยที่จะทำให้บ้านเมืองได้รับความเสียหาย ประชาชนได้รับความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสหรอกนะ

เดิมทีรัชทายาทมีพระชายาบุรุษก็เป็นที่โต้แย้งมากพอแล้ว ไว้รัชทายาทเจาขึ้นครองราชย์เมื่อไร ประเด็นนี้จะต้องถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงอีกอย่างไม่ต้องสงสัย แม้เขาจะไม่กลัวถูกคนอื่นนินทาว่าร้าย และเชื่อมั่นในปณิธานความมุ่งมั่นของหลี่เจา แต่ได้ยินเรื่องพวกนี้ทุกเมื่อเชื่อวันก็น่ารำคาญไม่น้อย

ถังเยว่กินข้าวมาจากที่จวนแล้วจึงไม่หิว เขานั่งใจลอยอยู่ตรงที่ของตัวเองอย่างนั้นสักพัก กินขนมไปสองคำ ดื่มเหล้าไปสองจอกก็ง่วงงุนจึงฟุบหลับอยู่ตรงนั้น

เสี่ยวลั่วลั่วนั่งอยู่ข้างกายเขาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย คอยเฝ้าปกป้องเตียเตียราวกับผู้ใหญ่ เขาจดชื่อเอาไว้หมดแล้วว่าขุนนางคนไหนพูดถึงเตียเตียในทางเสียหายบ้าง รอกลับจวนแล้วค่อยฟ้องบิดา

ตอนถังเยว่ตื่นขึ้นมาก็ล่วงเข้าสู่ยามอู่ของวันใหม่ ข้างกายว่างเปล่าเย็นเยียบ เรื่องที่เขาคิดว่าจะลงจากเตียงไม่ได้สามวันนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง

คิดแล้วก็ควรเป็นเช่นนั้น เมื่อวานแค่วู่วามไปชั่วขณะเท่านั้น หลี่เจาจะเอาแต่เสวยสุขต่อเนื่องกันหลายวันจนละเลยราชกิจสำคัญย่อมเป็นไปไม่ได้ และนั่นก็ไม่ใช่วิสัยของฝ่ายนั้น

วิกฤตการณ์ได้รับการแก้ไข ถังเยว่ก็โล่งใจ เบาสบายไปทั้งตัว ลุกจากเตียงอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ตรงดิ่งเข้าครัว เตรียมลงมือทำอาหารชุดใหญ่เพื่อผู้ชายของเขา

หลายปีมานี้ความเลื่องชื่อในแผ่นดินของถังเยว่มิได้มีแต่วิชาการแพทย์ แต่ยังมีฝีมือการทำอาหารของเขาด้วย สำหรับความสามารถพิเศษในการประดิษฐ์ประยุกต์อาวุธยุทโธปกรณ์ของเขานั้นถูกเก็บเป็นความลับภายในกองทัพ ส่วนพรสวรรค์ด้านอื่นๆ ก็มิได้ประกาศให้ปวงประชารับรู้

ตอนที่ขันทียกอาหารเดินตามหลังเขาเข้ามาในตำหนักประชุมราชกิจเป็นขบวน กลิ่นหอมฉุยลอยอบอวลยั่วยวนกระตุ้นต่อมหิวของทุกคนในที่นั้น ต่างกลืนน้ำลายดังเอื๊อกกันเป็นแถว

เอาละ ขุนนางทุกท่านพักก่อนเถอะ เอาไว้ค่อยหารือกันใหม่

หลี่เจาโบกมือไล่ให้พวกตัวเกะกะแก่ชราคร่ำครึพวกนี้ออกไปก่อน ส่วนตัวเขากินอาหารมื้อใหญ่ ต่อด้วยเสวยสุขกับชายาผู้เพียบพร้อมของตนไปในคราวเดียวกัน ได้รับความพึงพอใจทั้งกายและใจอย่างเปี่ยมล้น

ถังเยว่เดินค้ำสะโพกยักแย่ยักยันออกมาจากตำหนักประชุมราชกิจ กัดฟันพึมพำอย่างเข่นเขี้ยว

ฮึ! คราวหน้าจะไม่ทำเรื่องเสียเปรียบสองอย่างในคราวเดียวแบบนี้อีกแล้ว


 

260 เมืองเย่เฉิงส่งคนมา (3)

รัชทายาทเจาสะสางราชกิจอย่างกระปรี้กระเปร่ามีพลัง ไม่ต้องผ่านประสบการณ์นองเลือด ไม่ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอะไรอีกต่อไป ซ้ำยังมีพระชายาผู้เพียบพร้อมคอยอยู่เคียงข้าง เป็นช่วงเวลาวันชื่นคืนสุขและอิสรเสรีเป็นที่สุด

เขาเพิ่งกลับมาจึงมิได้รีบร้อนลงมือกับคนที่มีจิตคิดร้ายต่อตนเอง เพียงส่งคนไปคอยควบคุมจับตาเก็บไว้คิดบัญชีภายหลัง

เขาเรียกน้องสิบห้าที่กล่าวกันว่านิสัยเปลี่ยนไปผู้นั้นมาพบ พอเห็นใบหน้าอีกฝ่ายที่กลับมาทำตัวขลาดเขลาดังเก่าก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเย้ยหยันและไม่เก็บมาใส่ใจอีก หากน้องชายคนนี้คิดจะสู้กับเขาขึ้นมาจริงๆ หลี่เจาคงถึงขั้นเลื่อมใสในตัวอีกฝ่าย แต่เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้เป็นเพียงต้นหญ้าอ่อนแอที่เอนลู่ไปตามลมเท่านั้น ความกล้าหาญของเขามีเพียงน้อยนิดจึงมิใช่เรื่องที่จะต้องกังวล

ต้นฤดูใบไม้ร่วง รัชทายาทเจาขึ้นครองราชย์ตามคำขอร้องของเหล่าขุนนางและราษฎร ชื่ออาณาจักรถูกเปลี่ยนเป็นต้าถัง มีตัวเขาเป็นปฐมจักรพรรดิ สถาปนาเย่เฉิงเป็นเมืองหลวง ขณะเดียวกันก็แต่งตั้งถังเยว่เป็นพระอัครมเหสี ให้ดูแลและมีอำนาจสูงสุดในกรมวัง ส่วนพระอัครมเหสีหูซื่อเป็นพระพันปีหลวงถือตราประทับหงส์ควบคุมดูแลงานใหญ่น้อยในวังหลังสืบต่อไป พระชายาพร้อมทั้งโอรสธิดาของอดีตองค์จักรพรรดิถูกเชิญไปปลูกจวนพำนักอยู่นอกวัง ก่อร่างสร้างสกุลเป็นของตัวเอง ผู้ที่ไร้ทายาทให้อพยพไปอยู่ชานเมือง ปฎิบัติธรรมบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ซีหยวนอัน สวดมนต์ขอพรเพื่อปวงประชา

ช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ปฐมจักรพรรดิมอบรางวัลให้แก่ทุกคนที่มีผลงานความดีความชอบ แต่งตั้งหวังติ่งจวินเป็นเจิ้นกั๋วกง ลี่หยางโหวเป็นฮู่กั๋วกง ยังมีเหล่าทหารหาญทั้งหลาย รองแม่ทัพหลูซิ่งเจียงมีทั้งผลงานและความผิดถือว่าเสมอตัว ไม่ถูกถอดยศแต่ก็ไม่ได้เลื่อนขั้น หลู่กั๋วกงเซี่ยขุยลักลอบขโมยยาสมุนไพรในกองทัพเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ใส่ตัว จึงถอดยศศักดินาหลู่กั๋วกง ลงโทษประหารชีวิต แต่ความวิบัตินี้ไม่ตกทอดถึงลูกหลาน

นอกจากเหล่าขุนนางบู๊แล้ว ปฐมจักรพรรดิได้ออกคำสั่งว่าหลังปีใหม่จะมีการเปิดสอบคัดเลือกขุนนาง ขอเพียงมีความรู้ความสามารถไม่ว่าจะยากดีมีจนเป็นชนชั้นใดล้วนเข้าร่วมทดสอบได้ทั้งสิ้น หลังผ่านการคัดเลือกจะได้รับการพิจารณาให้เป็นขุนนางตามแต่ละท้องถิ่น ทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขเพื่อบ้านเมืองและราษฎร

ปลายปีเดียวกัน ปฐมจักรพรรดิรับฟังความคิดเห็นของพระอัครมเหสีให้มีการพระราชทานอภัยโทษในโอกาสต่างๆ พร้อมกับแก้ไขกฎหมาย ยกเลิกการลงโทษที่โหดร้ายทารุณอย่างการใช้รถม้าแยกร่าง ยกเลิกกฎหมายการซื้อขายคน เทียบเท่ากับการเลิกทาส แต่ในจวนผู้สูงศักดิ์มีทาสเป็นจำนวนมากถ้าคิดจะยกเลิกการซื้อขายทาสให้หมดสิ้นหาใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ภายในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน

แม้สามารถรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวแต่ก็มีความเสียหายทรุดโทรมอย่างหนัก การบูรณะต้องใช้เวลาสามปีเต็มกว่าต้าถังจะสงบมั่นคงได้ นโยบายแต่ละข้อที่เป็นประโยชน์ต่อราษฎรล้วนบรรลุผล เหล่าประชาราษฎร์ได้เห็นถึงพระเมตตาและน้ำพระทัยอันกว้างขวางแผ่ไพศาลของจักรพรรดิองค์ใหม่ ได้เห็นความอุดมสมบูรณ์และยิ่งใหญ่ของชาติบ้านเมือง นานวันไปชาวเป่ยเยว่ที่เคยมีความคิดจะกอบกู้เอกราชก็อยู่เป็นราษฎรต้าถังอย่างสงบเรียบร้อย

ในหมู่ชาวบ้านไม่รู้ว่ามีเพลงกลอนชาวบ้านและนิทานเกี่ยวกับพระอัครมเหสีเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ทุกตรอกซอกซอยทั้งในเมืองและชนบททั่วทุกหัวระแหงต่างนำเรื่องราวของปฐมจักรพรรดิแห่งแว่นแคว้นและพระอัครมเหสีบุรุษไปเผยแพร่ และในบรรดาเรื่องเล่าเหล่านี้ล้วนมีพระอัครมเหสีเป็นตัวเอก

พวกเขาเล่าว่าพระอัครมเหสีเป็นเซียนที่สวรรค์ส่งมาเพื่อช่วยเหลือปวงประชาในใต้หล้า เดิมทีหลังปฏิบัติภารกิจสำคัญสำเร็จแล้วต้องกลับสู่สรวงสวรรค์ แต่เพราะตกหลุมรักปฐมจักรพรรดิจึงตัดใจจากไปไม่ลง แรกเริ่มเดิมทีทุกคนทำเหมือนแค่ฟังนิทานเรื่องเล่า ไม่เก็บมาคิดจริงจัง ชาวบ้านบางคนทนฟังไม่ได้ยังพูดโต้แย้งหักล้าง

เทพเซียนอะไรกัน! ข้าว่าเป็นเซียนจิ้งจอกกลับชาติมาเกิดน่ะไม่ว่า!

ยั่วยวนจนจักรพรรดิผู้ปรีชาของพวกเขาหลงใหลหัวปักหัวปำ หากไม่ใช่เซียนจิ้งจอกแล้วจะเป็นอะไรไปได้!

มุมมองความคิดประเภทนี้ยังมีอีกมาก แต่ภายในเวลาอันรวดเร็วก็ถูกความจริงแต่ละอย่างตบหน้าฉาดใหญ่

พระอัครมเหสีของพวกเขาเป็นหมอเทวดาแห่งยุคสมัย มีฝีมือการรักษาโรคแสนวิเศษดุจเทพเซียนสามารถรักษาคนตายให้ฟื้น แม้แต่อาการบาดเจ็บที่ขาของปฐมจักรพรรดิก็เป็นเขานี่ละที่สามารถรักษาหาย คุณูปการล้นเหลือจะหาผู้ใดเสมอเหมือน

พระอัครมเหสีของพวกเขารักราษฎรดั่งลูก นโยบายต่างๆ มากมายที่เป็นประโยชน์แก่ราษฎรล้วนมาจากเขาเป็นผู้เสนอ ยกเลิกการซื้อขายมนุษย์ หักลดหย่อนภาษี สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล ล้วนเป็นเรื่องดีงามอันใหญ่หลวงที่สร้างคุณประโยชน์แก่อาณาประชาราษฎร์

อะไรนะ! พวกเจ้าไม่เชื่องั้นหรือ?

อะไรนะ! วังหลังเข้ามาแทรกแซงการเมืองในราชสํานักไม่ได้?

อะไรนะ! นี่ล้วนเป็นข่าวลือหลอกลวงงั้นหรือ?

หากไม่เชื่อจะไปถามผู้คนทั่วเมืองเย่เฉิงดูก็ได้ ชาวเย่เฉิงต่างรู้กันทั่วทั้งเมืองว่าพระอัครมเหสีของพวกเขามีจิตใจกว้างขวางเป็นที่สุด มีเมตตา จิตใจอ่อนโยนเป็นที่สุด ทนนิ่งดูดายเห็นราษฎรตกทุกข์ได้ยากไม่ได้ ตอนแรกนโยบายพวกนี้ถูกพวกขุนนางใหญ่ต่อต้านว่าหามีประโยชน์อันใดไม่ ก็มีองค์จักรพรรดินี่ละที่ยืนกรานสนับสนุนโดยไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น

และสิ่งที่ตามมาหลังสิ้นสุดสงครามทหารจำนวนมากต่างปลดชุดเกราะกลับบ้านเกิด กองกำลังทหารที่ได้รับความเมตตารักษาอาการบาดเจ็บจากหน่วยพยาบาลของพระอัครมเหสีก็ถวายตัวเป็นองครักษ์ผู้พิทักษ์พระอัครมเหสี

หากมีผู้ใดกล้าพูดจาจาบจ้วงพระองค์ละก็ “ตีมัน!

หากมีผู้ใดกล้าทูลเสนอให้องค์จักรพรรดิรับพระสนม “ตีมัน!

ตีจนกว่ามันผู้นั้นจะยอมถอดใจ!

ชื่อเสียงของถังเยว่ถูกนำไปเล่าขานกลายเป็นเทพเซียนมหัศจรรย์พันลึกมากขึ้นทุกวัน แม้เนื้อหาเรื่องราวส่วนใหญ่จะเป็นความจริง แต่ที่เล่าลือกันไปทั่วขนาดนี้ก็เพราะมีคนคอยขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง และคนผู้นั้นก็มิใช่ใคร...เป็นองค์จักรพรรดิซึ่งประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรนั่นเอง!

คราวนี้จะรอดูสิว่าตาเฒ่าพวกนั้นจะยังกล้าเสนอให้ข้ารับสนมอยู่อีกหรือไม่” องค์จักรพรรดิกล่าวกับพระชายาที่รัก

ถังเยว่แม้ไม่ใส่ใจในเรื่องชื่อเสียงของตัวเองแค่สามารถลดความยุ่งยากได้ก็ดีแล้วแต่พอได้ฟังเรื่องราวมหัศจรรย์เกินจริงไปหลายเท่าเขาเองก็ยังรู้สึกตกตะลึง

พวกเซียนต่างมีอายุวัฒนะนับร้อยปีมิใช่หรือ หลังกระหม่อมตายไปแล้วเรื่องพวกนี้ก็เชื่อไม่ได้แล้ว

เจ้ายังสามารถควบคุมเรื่องหลังความตายได้ด้วยหรือ อีกอย่างผู้เป็นเซียนก็ต้องกลับไปยังที่ที่ควรอยู่ ให้ข้าผู้เป็นปุถุชนยืมตัวมาตั้งหลายสิบปีก็นับว่าดีมากแล้ว

ถังเยว่ยิ้มพลางบีบแก้มอีกฝ่าย “ฝ่าบาททรงเป็นโอรสสวรรค์ พระองค์ต่างหากที่ควรเป็นเทพเซียนลงมาจุติมากที่สุด

ถูกต้อง ดังนั้นพวกเราถูกลิขิตให้เกิดมาเป็นคู่กัน” หลี่เจาแนบหน้าผากกับถังเยว่ แล้วกระซิบ หลังจากนี้อีกร้อยปีพวกเราจะจูงมือกันกลับไปยังที่ที่เราจากมา อยู่ครองคู่เป็นสามีภรรยากันทุกชาติภพ!

ฝ่าบาทถือเป็นจริงเป็นจังขนาดนั้นเชียว

ถังเยว่ฟังคำพูดหวานเลี่ยนชวนจั๊กจี้จนขนลุกแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าได้ฟังคำพูดแบบนี้ต่อให้รู้ว่าเป็นคำโกหกก็ยังทำให้รู้สึกดีและเป็นสุขใจ

ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนอีกครา

รถม้าคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูเมืองเย่เฉิง บุรุษชุดขาวผู้หนึ่งรับการช่วยประคองจากบ่าวก้าวลงจากรถม้า ทอดตามองไปยังกำแพงเมืองสูงตระหง่านโดดเด่นที่เพิ่งได้รับการบูรณะซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

ในที่สุดก็ได้กลับมาเสียที เมืองเย่เฉิงแห่งนี้ดีที่สุดแล้ว

ด้านหลังของเขามีชายหนุ่มสวมหมวกผ้าสักหลาดที่กำลังกัดพุทราเชื่อมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์

ข้าว่าเมืองจิงตูดีกว่า สาวงามอกใหญ่ก้นงอน ชายหนุ่มรูปงามแข็งแรงบึกบึน อาจารย์เสวียนจิ้งท่านคิดว่าอย่างไร?”

อาจารย์เสวียนจิ้งยังไม่ทันได้อ้าปากตอบก็ได้ยินเสียงคนพูดกลั้วหัวเราะดังมาแต่ไกล

โอ้โห! จงโหย่งโหวของเราเที่ยวสนุกจนลืมกลับบ้านกลับช่องเลยนะ ข้ายังนึกว่าเจ้าพบเจออันตรายระหว่างทาง กำลังคิดจะส่งทหารไปตามหาและช่วยเจ้าอยู่พอดี

พี่ถัง สบายดีไหม?”

ข้าสบายดีมาก แต่ใครบางคนนี่สิสบายดีหรือไม่ ยังบอกยาก ฮ่าๆ

ถังเยว่พักเรื่องของพวกเขาไว้ก่อนแล้วหันไปประสานมือคารวะอาจารย์เสวียนจิ้ง

ลำบากท่านอาจารย์แล้ว ต่อไปภายหน้าต้องรบกวนท่านช่วยชี้แนะสั่งสอนรัชทายาทให้มาก

ข้างกายถังเยว่มีเด็กหนุ่มวัยสิบกว่าขวบที่กำลังรวบชายเสื้อขึ้นแล้วคุกเข่าลงอย่างสงบนิ่ง โขกศีรษะสามครั้งด้วยท่าทางขึงขังจริงจัง

ศิษย์หลี่ลั่วยวน กราบคารวะอาจารย์!

อาจารย์เสวียนจิ้งรับไหว้ตามธรรมเนียม ประคองว่าที่ลูกศิษย์ให้ลุกขึ้น เพ่งพิศขึ้นลงอยู่หลายครา ก่อนจะหัวเราะร่าแล้วกล่าว “วิเศษ! ต้าถังของเราจะรุ่งโรจน์ต่อไปอีกหลายสิบปี!

จางฉุนทนดูท่าทางมีลับลมคมในของอีกฝ่ายไม่ไหวจึงเบ้ปากพูดอย่างหมั่นไส้

วาจานี้ต้องรอให้ท่านบอกอีกหรือ เสี่ยวลั่วลั่วเป็นเด็กที่ยอดอัจฉริยะอย่างพวกข้าช่วยกันเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ย่อมต้องเป็นคลื่นลูกใหม่มาแรงกว่าคลื่นลูกเก่าอย่างแน่นอน!

ยอดอัจฉริยะเจ้าน่ะหรือ เฮอะ…”

เสียงหัวเราะอย่างเยาะหยันดังขึ้นด้านหลังจางฉุนเสียงหนึ่ง สีหน้าเขาพลันกระด้างขึ้น แล้วโดยที่ไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไปมองก็รีบพูดทิ้งท้ายไว้เพียงประโยคเดียว

ข้ายังมีธุระ ต้องขอตัวก่อน…”

แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกไป ก็มีคนมาคว้าคอเสื้อเขาไว้บังคับให้หันกลับไปเผชิญกับใบหน้าหล่อเหลาแต่บึ้งตึงขุ่นเคือง

ได้ข่าวว่าจงโหย่งโหวใช้ชีวิตในเมืองจิงตูเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีบุรุษสตรีมากมายมาเสนอตัว มิหนำซ้ำยังบอกอีกว่าเป็นบุรุษผู้น่าหลงใหลที่สุดในใต้หล้า ใจป้ำที่สุดไม่มีใครเกินหน้า จริงหรือไม่?”

แหะๆ ชมเกินไปแล้ว คนอื่นแค่ให้เกียรติพูดกันไปอย่างนั้นเองจางฉุนตอบหน้าทะเล้นยิ้มแป้น

เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นคำเล่าลือที่กล่าวกันว่าความสามารถด้านกามกิจของจงโหย่งโหวเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าล่ะ จริงหรือไม่?”

เอ่อ…”

หวังติ่งจวินไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ บีบคางเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข่นเขี้ยวดุดัน

ในเมื่อกลับมาแล้วก็อย่าคิดว่าจะไปไหนได้อีก ข้าต้องขอคำชี้แนะเรื่องกามกิจจากท่านโหวให้มากหน่อยแล้ว” พูดจบก็แบกคนพาดบ่า สาวเท้ายาวๆ มุ่งหน้าเข้าเมือง

ถังเยว่เลิกคิ้ว รู้สึกเป็นห่วงสุขภาพจางฉุนเล็กน้อย ตัดสินใจว่าหลังจากเข้าวังแล้วจะต้องคัดเลือกสมุนไพรบำรุงร่างกายส่งไปให้เขาเสียหน่อย ป้องกันไม่ให้เขาหมกมุ่นในกามตัณหา น้ำเชื้อหมดจนแห้งตายตั้งแต่อายุยังน้อย

เขาพาอาจารย์เสวียนจิ้งกับลูกชายเข้าวัง บังเอิญพบองค์จักรพรรดิที่มารออยู่หน้าประตูวังอยู่ก่อนแล้ว

อาจารย์เสวียนจิ้งนึกว่าตนมีบารมีจนองค์จักรพรรดิต้องมาต้อนรับจึงดีใจปลื้มปริ่มจนน้ำตาคลอ

สามารถได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากฝ่าบาทถึงกับเสด็จมาต้อนรับด้วยพระองค์เอง ถึงตายกระหม่อมก็ไม่เสียดายชีวิต

จักรพรรดิปรายตามองอาการน้ำตารื้นของอีกฝ่ายด้วยความพิศวง แล้วเอ่ยถามถังเยว่

พระชายาที่รัก ข้าคิดว่าควรเปลี่ยนอาจารย์คนใหม่ให้ลูกเรา เจ้าล่ะคิดว่าอย่างไร?”

ถังเยว่แอบยิ้ม “อาจารย์เป็นยอดฝีมือ ฝ่าบาทเสด็จมาต้อนรับก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว

จะให้เขาบอกกับยอดฝีมือที่น้ำตาลคลอเบ้าได้อย่างไรว่าองค์จักรพรรดิไม่ได้มาต้อนรับเจ้า ทว่าอาจารย์เสวียนจิ้งมีสติปัญญาสูงส่ง ความฉลาดทางอารมณ์ก็ล้นเหลือดังนั้นจึงย่อมตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าเมื่อครู่ตนสำคัญตัวผิดไป ใบหน้าที่มักประดับด้วยรอยยิ้มลึกล้ำสุดจะคาดเดาพยายามกลั้นขำจนใบหน้าเนียนขาวเจือสีแดงเรื่อดูน่ามอง แต่เขาก็ไม่ทึ่มทื่อถึงกับจะประกาศบอกออกมาให้ขายหน้าตัวเองหรอก

อะแฮ่ม การเดินทางครั้งนี้แสนลำบาก กระหม่อมเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ขออนุญาตยังไม่เข้าวังและบทเรียนของรัชทายาทขอเริ่มพรุ่งนี้ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

กระทั่งจักรพรรดิพยักหน้าเขาจึงรีบขอตัวออกไปทันที ระดับความเร็วครั้งนี้น่าจะเร็วที่สุดตั้งแต่เกิดมา

จักรพรรดิยกมือข้างหนึ่งโอบบ่าพระอัครมเหสีอันเป็นที่รักไว้ พลางปรายตามองโอรสอย่างผู้ชนะขณะเอ่ย

ในเมื่อไหว้ครูฝากตัวเป็นศิษย์เรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นนับแต่พรุ่งนี้ไปเจ้าก็ย้ายออกไปอยู่นอกวังได้แล้ว!

สั่งเสร็จก็ประคองพระอัครมเหสีก้าวเดินไปอย่างลำพอง ทิ้งให้องค์รัชทายาทที่ใบหน้าถมึงทึงด้วยความเคืองแค้นตีอกชกลมอยู่ด้านหลัง

คิดจะขับไล่ไสส่งข้าอีกแล้ว ฝันไปเถอะ!” เขาพึมพำแล้วจงใจตะโกนเสียงดังลั่น เตียเตีย คืนนี้ลูกขอนอนกับท่านนะ!

ถังเยว่รู้สึกว่ามือที่วางบนบ่าบีบแน่นขึ้นอีกหลายส่วน เขาหันกลับไปพูดกลั้วหัวเราะกับลูกชาย

ได้สิ อย่าลืมอาบน้ำให้สะอาดเกลี้ยงเกลาด้วยล่ะ!

สองพ่อลูกส่งสัญญาณลับเป็นที่รู้กันแวบหนึ่ง ต่างทำเมินเหมือนมองไม่เห็นใบหน้าเขียวคล้ำด้วยอารมณ์ขุ่นมัวขององค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่

องครักษ์ทั้งด้านในและนอกกำแพงวังต่างก้มหน้าลง ตัดสินใจว่าเดี๋ยวกลับไปจะต้องหาคนมาเข้าเวรแทน ทันทีที่จักรพรรดิกริ้ว คนรับกรรมล้วนเป็นผู้อยู่เบื้องล่างอย่างพวกเขานี่แหละ!

 

 

จบบริบูรณ์


 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม