ผมแค่อยากเป็นพนักงานธรรมดา 201-250
บทที่ 201 ผู้หญิงที่คายโชคทิ้ง
(5)
อิมบกฮีเลื่อนนัดแขก ที่จองไว้ไปคราวหลังทันที
อารมณ์ตอนนี้ไม่เหมาะจะรับแขกและให้คำแนะนำชะตากรรมของคนอื่นได้
ไฟกำลังตกใส่หลังเท้า
ยังจะให้มาสนใจชีวิตคนอื่นอีกงั้นเหรอ
หลังจากนั่งกระวนกระวายอยู่ในสำนักสักพัก ก็เด้งตัวลุกพรวดขึ้นมาตะโกนบอกลูกศิษย์ที่อยู่ข้างนอก
“เตรียมรถ! ฉันจะออกไปข้างนอก”
“ครับ!”
เธอรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ววิ่งไปขึ้นรถ
จากนั้นก็กดโทร.ออก
“พี่คะ!”
“โอ๊ย หูจะแตก! อายุเยอะขึ้นแล้วไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลยหรือไง”
“ตอนนี้ฉันไม่มีสติจะมาฟังพี่บ่นหรอกนะ
อยู่ไหนคะ ฉันอยู่บนรถแล้วพี่อยู่บ้านหรือเปล่า”
“เปล่า”
“แล้วอยู่ไหนล่ะคะ”
“อะแฮ่ม...จะมาตอนนี้เลยเหรอ ไว้คราวหน้า...”
“ฉันบอกว่าตอนนี้ฉันไม่มีสติแล้วไง”
ทันทีที่อิมบกฮีแผดเสียง
นักพรตมยองอูจึงยอมตกลงอย่างไม่เต็มใจนัก
“ต้มหวูดรถไฟกินหรือไง...เดี๋ยวส่งข้อความไปให้ มาถึงลานจอดรถใต้ดินแล้วโทร.มา ฉันจะลงไป”
“โอเคค่ะ”
หลังจากนั้นไม่นาน
ก็มีข้อความเข้ามาที่โทรศัพท์มือถือของเธอพร้อมที่อยู่ของออฟฟิศเทลแห่งหนึ่งในย่านกังนัม
แม้จะสงสัยว่าทำไมอยู่ ๆ ชายที่ซื้อคอนโดหรูและใช้ชีวิตอยู่ดีกินดีถึงส่งที่อยู่ออฟฟิศเทลมาให้
แต่เธอคิดว่าเดี๋ยวไปถึงก็รู้เลยพยายามระงับความกระวนกระวายใจเอาไว้
เมื่อขับรถยนต์ราวสี่สิบนาทีก็มาถึงออฟฟิศเทลขนาดใหญ่ใกล้สถานีกังนัมเธอก็กดมือถือทันที
พอรับโทรศัพท์แล้ว นักพรตมยองอูก็บอกว่าให้รอประมาณยี่สิบนาทีแล้วค่อยขึ้นมาห้องตามหมายเลขที่ส่งให้ในข้อความ
เธอจึงต้องนั่งรออยู่ในรถยี่สิบนาทีอย่างกระวนกระวาย
แต่เมื่อถึงเวลาแล้วขึ้นมาถึงหน้าประตูห้องก็ตกใจกับป้ายชื่อที่ติดไว้ว่า‘นักพรตมยองอู
ดวงชะตาอะคาเดมี’
“พี่ ข้างนอกนั่นคืออะไรคะ”
เธอเปิดประตูเข้าไปถามทันควัน
ไม่รู้ว่าอายหรือเปล่า
นักพรตมยองอูถึงแอบหลบตาก่อนจะตอบ
“ฉันเคลียร์เรื่องการเป็นหมอดูไปแล้วก็จริง
แต่จะให้อยู่ว่าง ๆ หมกอยู่แต่ในบ้านเฉย ๆ หรือไง มันก็ต้องทำมาหากินสิ
ต้องแต่งงานด้วย...”
“มีผู้หญิงที่จะแต่งงานด้วยแล้วหรือไง
เจอกับผู้หญิงผ่านเอเจนซี่แต่งงานนั่นน่ะเหรอคะ”
“หึ ๆ...นั่นแหละ นั่งก่อนสิ เอากาแฟไหม”
“ไม่ต้องค่ะ”
นักพรตมยองอูหัวเราะแล้วเริ่มเล่าเรื่องราว
“จริง ๆ
ฉันก็ไปตามนัดที่เอเจนซี่แนะนำของเธอจัดให้มาหลายครั้งแล้วนี่นา”
“ใช่ แต่ไหนบอกว่าโดนปฏิเสธหมดไงคะ
เพราะอายุเยอะเกิน”
“หลายครั้งก็ไม่ถูกใจฉันต่างหาก
บิดเบือนข้อมูลเกินไปแล้ว”
“อืม แล้วยังไงต่อล่ะคะ”
“ดังนั้นพอไม่มีหนทางจะปลอบจิตใจอันเปล่าเปลี่ยวของฉันได้
ฉันเลยพยายามลองไปเที่ยวเมืองนอกแล้วแวะไปหลาย ๆ ที่
แต่ใครจะไปรู้ว่าฉันจะได้เจอคู่ชีวิตของตัวเองที่โมร็อกโกล่ะ”
“โมร็อกโก? มันอยู่ติดกับประเทศอะไรคะ”
“อยู่ติดประเทศไหนมันสำคัญอะไร
เอาเป็นว่าอาทิตย์หน้าฉันจะไปโมร็อกโกอีกรอบ จัดงานแต่งงานที่นั่นแล้วพากลับมา
เราตัดสินใจจะใช้ชีวิตด้วยกันที่นี่”
“เจ้าสาวอายุเท่าไหร่คะ”
“ยี่สิบเจ็ด”
“เฮอะ...โจรชัด ๆ แบบนี้...”
“ฉันไม่เคยล่อลวงเลยนะ
แค่ความรู้สึกมันตรงกันเท่านั้นเอง
เธอบอกว่าตกหลุมรักท่าทีที่เหมือนนักปราชญ์ของฉัน”
“พูดให้มันเข้าท่าหน่อยเถอะค่ะ”
“ผิดตรงไหน ฉันบังคับพามาหรือไง
แน่นอนว่าฉันแสดงออกชัดเจนว่าฉันมีเงิน”
ตอนนั้นเธอจึงขมวดคิ้ว แต่ก็ทำสีหน้าเข้าใจ
“มันก็จริง...หน้าตาอย่างพี่ ถ้าไม่มีเงินจะเป็นนักปราชญ์ได้เหรอคะ
ขอทานต่างหาก”
“พูดแรงเกินไปหรือเปล่า
อะแฮ่ม...แล้วทำไมถึงมาหาฉันล่ะ รีบพูดมาอีกสามสิบนาที ฉันมีสอน”
“มีคนอยากเรียนกับพี่ด้วยเหรอคะ”
“ทำไมจะไม่มี”
“ในย่านนี้น่ะ ถึงชื่อเสียงพี่จะโด่งดัง แต่คนธรรมดาทั่วไปจะรู้ความสามารถพี่แล้วแห่มาเรียนได้ยังไงคะ”
“เดี๋ยวนี้มีคนเกษียณเร็วเยอะแยะ
เพราะฉะนั้นเลยคิดว่ามันคือการเรียนรู้ทักษะเพื่อวัยชราไง
เพราะศึกษาดวงชะตาครั้งเดียวก็หาเงินได้เกินคาดแล้ว”
“ก็จริงนะ แต่ก็ได้เงินอยู่ใช่ไหม”
“พูดตรง ๆ มันก็ไม่เท่าตอนฉันรับดูดวงหรอก
แต่ก็เข้ามามากพอจะรักษาเกียรติไว้ได้ เพราะไม่จำเป็นต้องฝืนชะตากรรมอันสงบสุข
ไม่ต้องฝืนชะตากรรมอันตรายเพื่อพูดสิ่งดี ๆ ให้ฟัง
ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่าการพูดตามความเป็นจริงจะรู้สึกสบายใจได้ขนาดนี้”
แน่นอนว่าหน้าตาของนักพรตมยองอูดูสงบมากเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
เธอบ่นพึมพำว่าปวดใจกับภาพนั้นก่อนจะพูดออกมา
“ดีแล้วแหละ...”
“ว่าแต่ทำไมเธอถึงทำหน้าซังกะตายแบบนั้นล่ะ
สร้างเรื่องอีกแล้วหรือไง”
“เห็นฉันเป็นเด็กเหรอคะ
จะสร้างเรื่องอะไรนัก”
“เธอสร้างเรื่องไว้เยอะจะตาย
อย่างน้อยถ้าเป็นเด็ก ต่อให้สร้างเรื่องก็แค่ทำของแตกหรือล้มหน้าคะมำ
แต่ถ้าผู้ใหญ่สร้างเรื่องขึ้นมาก็เสียหายเป็นร้อย ๆ ล้านน่าเป็นห่วงยิ่งกว่าน่ะสิ”
“หึ...”
“ตกลงเกิดอะไรขึ้น”
อิมบกฮีขยับปากอ้า ๆ หุบ ๆ อยู่พักหนึ่ง
ความจริงแล้วเธอไม่ได้สนใจเรื่องไร้สาระที่นักพรตมยองอูเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ด้วยซํ้า
แค่อยู่ระหว่างกำลังเครียดว่าจะเริ่มพูดอย่างไรต่างหาก
หลังจากคิดอยู่สักพัก
สุดท้ายเธอก็พูดหน้าเจื่อน ๆ
“พี่คะ รู้ไหมว่าวันนี้ฉันเจอใคร”
“ใครล่ะ”
“ลูกชายพี่...ลูกชายพี่มยองจามาหาฉันค่ะ”
ใบหน้าของนักพรตมยองอูพลันเคร่งเครียดในชั่วพริบตา
“ใครมาหานะ ยองฮุนไปหาเธอเหรอ”
อิมบกฮีที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้รีบเงยหน้าขึ้นทันที
“ยองฮุน? พี่รู้จักอยู่แล้วเหรอคะ
รู้จักลูกชายพี่มยองจาแล้วงั้นเหรอ”
“ใช่ เขาเคยมาหาฉันหนึ่งครั้ง”
“ทำไมเพิ่งมาบอกตอนนี้ล่ะคะ!”
“ทำไมฉันต้องบอกเรื่องนั้นกับเธอ
ยองฮุนเป็นลูกชายฉัน ทำไมฉันต้องเล่าเรื่องลูกชายฉันให้เธอฟังด้วย”
“นะ...นั่น...”
“ที่มยองจาตายไม่ใช่ความผิดเธอ
มันเป็นความผิดฉันเอง ไม่รู้ว่าเมียป่วยแล้วยังทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ แบบนั้น
จะไปโทษลูกศิษย์ได้ที่ไหนล่ะ”
“...”
เธอตอบไม่ได้และก้มหน้าลง
“แล้วยองฮุนว่ายังไงบ้าง”
“บอกว่าฉันใจแคบแล้วทำให้คนรอบข้างลำบากค่ะ”
“มองเก่งจริง ๆ”
“พี่!”
“แล้วอะไรอีก”
“บอกว่าโหงวเฮ้งหาเงินได้ด้วยจมูกแล้วออกมาทางปากค่ะ
เหตุผลที่พี่มยองจาทำพิธีรับขันธ์ให้ฉันช้าเพราะเห็นสิ่งนั้นเหมือนกัน
พี่เองก็เห็นแบบนั้นเหรอคะ”
นักพรตมยองอูพยักหน้าด้วยสีหน้าตกตะลึง
“ใช่ มยองจาพูดแบบนั้นตั้งแต่ตอนแรกที่เจอเธอแล้ว
แต่พอรับขันธ์มาแล้วก็ช่วยอะไรไม่ได้ ในที่สุดพอถึงเวลาที่ต้องตาย
มยองจาถึงยอมรับว่ามันเป็นปัญหาที่แก้ไขโดยอาศัยเวลา”
“ยังไงก็ต้องทำอยู่แล้ว
ทำไมถึงทำให้ช้าขนาดนั้นล่ะคะ มันไม่มีวิธีอื่นอยู่แล้วหนิ”
“เพราะพยายามหาทางอื่นไง
มยองจาบอกว่าเธอจะเป็นหมอดูไม่ได้เด็ดขาดแต่สุดท้ายก็หาทางออกไม่ได้”
อิมบกฮีกำหมัดก่อนจะร้องไห้
“โกหก...อย่าโกหกสิคะ
หาทางออกบ้าบออะไรคะ”
“ช่างเถอะ
จะพูดเรื่องที่ผ่านมาแล้วเพื่ออะไร เธอเองก็เลิกแค้นคนตายได้แล้ว
ตีแม่นํ้าที่ไหลผ่านก็มีแต่มือเธอที่เจ็บ”
“หึ! พระอรหันต์อยู่ตรงนี้นี่เอง”
“แล้วจบแค่นั้นเหรอ”
“เขาบอกฉันว่าเหลือเวลาไม่มากแล้วค่ะ”
“หือ”
“เขาบอกฉันว่าเหลือเวลาไม่มากแล้ว
แล้วก็ชี้หว่างคิ้วของตัวเอง มองเห็นอะไรตรงหว่างคิ้วของฉันเหรอคะ”
นักพรตมยองอูตกใจและเพ่งมองหว่างคิ้วของอิมบกฮี
แต่ด้วยสายตาของเขา
ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ
หากจะให้หาร่องรอยจริง ๆ
ก็เหมือนจะมีแสงคลํ้า ๆ นิดหน่อยออกมา
ยากจะมองว่าโหงวเฮ้งมีการเปลี่ยนแปลงด้วยเรื่องแค่นี้...
“เด็กนั่นพูดอย่างนั้นเหรอ”
“ค่ะ เขาพูดแบบนั้น”
นักพรตมยองอูเอนหลังลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง
“ถ้างั้นก็คงถูกนั่นแหละ”
“พี่เห็นว่าเป็นยังไงคะ
ไม่เห็นอะไรเลยใช่ไหม”
“สายตาฉันมองไม่เห็นอะไรเลย”
“งั้นก็หมายความว่าจะไม่เป็นไรไม่ใช่เหรอคะ”
“เธอเองก็รู้นี่นา
มยองจามักจะมองเห็นชัดเจนในสิ่งที่ฉันมองไม่เห็นหว่างคิ้วบ่งบอกชะตากรรมของมนุษย์
มันคือลัคนา สิ่งนี้ไม่ได้เห็นด้วยตา แต่เห็นได้ด้วยจิตวิญญาณต่างหาก
ถ้าพลังฉันถึงขนาดนั้น ตอนนั้นฉันคงไม่เกาะติดกับมยองจาแบบนั้น
ฮึ่ม...เด็กนั่นสืบทอดพลังมาจากมยองจาโดยตรง”
อิมบกฮีลุกขึ้นจากที่นั่ง
“ช่างเถอะค่ะ แค่พี่ไม่เห็นก็โอเค”
“มันไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้ามนะ”
“ไร้สาระ...คนที่ไม่ได้ทำพิธีรับขันธ์จะรู้อะไรคะ
พลังเทพมันเป็นแค่ชื่อเรียกหรือไง”
“มันก็จริงอยู่...”
อันที่จริงถ้าเป็นช่วงก่อนจะเจอกับยองฮุน
นักพรตมยองอูเองก็คงจะคิดแบบเดียวกับอิมบกฮี
ทำไมพิธีรับขันธ์ถึงเรียกว่าพิธีรับขันธ์ล่ะ
ทำไมผู้คนถึงตามหาร่างทรง
เพราะมันมีข้อจำกัดในการมองเห็นของคนที่ไม่ได้รับขันธ์
ไม่อาจแย้งได้ว่าคำพูดของเธอผิด
เนื่องจากยองฮุนไม่เคยรับขันธ์มาก่อน
แต่เพียงเพราะเขารู้ถึงความสามารถของยองฮุน
ครั้งนี้จึงเออออตามความคิดเห็นของเธอไม่ได้ก็เท่านั้น
“ฉันมาเพื่อฟังความคิดเห็นของพี่ค่ะ
ในเมื่อพี่บอกว่าไม่เป็นไรก็คือไม่เป็นไรถ้าคิดว่าฉันจะหวั่นไหวกับคำขู่ของพวกอ่อนหัดที่ยังไม่ได้แม้แต่จะทำพิธีรับขันธ์ละก็คิดผิดแล้วค่ะ”
“เฮ้อ...เจ้าเด็กนี่หนิ”
“แค่นี้แหละค่ะ ฉันขอตัวก่อนแล้วกัน
สภาพแวดล้อมดี ที่ตั้งดี สถาบันสอนพิเศษคงจะไปได้สวยค่ะ
เดี๋ยวฉันสั่งให้ลูกศิษย์เอากระถางดอกไม้มาวางให้สักหน่อย”
เธอออกไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่อยากได้ยินคำบ่นของนักพรตมยองอูมากกว่านี้แล้ว
“มันคือชะตากรรมสินะ...ชะตากรรม...”
นักพรตมยองอูหัวเราะอย่างสิ้นหวัง
เรื่องที่มยองจาเคยพูด เขาเพิ่งมาเข้าใจเอาป่านนี้
ทว่าตอนนี้ก็ย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว
รองประธานใหญ่อีเซจุนตกใจมาก
“พูดใหม่ซิ”
“ประธานอีเซมินตัดสินใจร่วมมือกับกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนไล่ท่านรองประธานใหญ่ออก...”
“พูดให้มันจบ!”
“พวกเขาเซ็นสัญญาข้อตกลงต่อกัน
รวมถึงขอรับการรับรองจากหน่วยงานราชการด้วยครับ แล้วประธานอีเซมินก็ฝากให้สำนักงานกฎหมายจองมยองยื่นฟ้องเรียกร้องส่วนแบ่งมรดกครับ”
เขาไม่อยากจะเชื่อ
เมื่อไม่กี่วันก่อน
น้องชายยังพูดเสียงดังฟังชัดว่าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
ไม่ต้องเป็นห่วงอยู่เลยไม่ใช่เหรอ
แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะหักหลังกันด้วยวิธีแบบนี้
“เวรเอ๊ย สั่งให้เตรียมรถ”
“รับทราบครับ”
ไม่จำเป็นต้องถามว่าจะไปที่ไหน
หัวหน้าฝ่ายเลขานุการรีบออกจากห้องรองประธานใหญ่และแจ้งคนขับรถว่ารองประธานใหญ่กำลังจะลงมา
จุดหมายน่าจะเป็นตึกบริษัทชินยองประกันภัย
ตึกบริษัทชินยองประกันภัยตั้งอยู่บนถนนเทเฮรันโรในย่านกังนัม
แตกต่างกับสำนักงานใหญ่ของกรุ๊ปที่ตั้งอยู่บนถนนอึลจีโร
ตลอดการเดินทางจากถนนอึลจีโรไปกังนัม
คนขับรถกับหัวหน้าฝ่ายเลขานุการต่างรู้สึกกระสับกระส่ายเหมือนนั่งอยู่บนเบาะหนาม
เนื่องจากรองประธานใหญ่สบถคำหยาบอยู่คนเดียวบนเบาะหลัง
แถมรถก็ยังติดอีก ความอึดอัดนั้นไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
หลังจากผ่านความลำบากเช่นนั้นจนมาถึงตึกบริษัทชินยองประกันภัยหัวหน้าฝ่ายเลขานุการก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
เพราะไม่มีผู้บริหารคนไหนโผล่หน้ามาเลย ทั้ง ๆ
ที่แจ้งแล้วว่ารองประธานใหญ่กำลังจะเข้าไปที่ชินยองประกันภัย
บรรยากาศเย็นยะเยือกภายในอาคารขนาดใหญ่น่าจะไม่ได้มาจากลมแอร์เพียงอย่างเดียว
รองประธานใหญ่อีเซจุนก้าวเดินฉับ ๆ
สีหน้าเคร่งเครียดราวกับทหารที่กำลังจะออกรบ
โชคดีที่มีพนักงานจำรองประธานใหญ่อีเซจุนได้
ถ้าไม่มีภาพที่อีกฝ่ายรีบกดลิฟต์ให้อย่างเร่งรีบ บรรยากาศคงยิ่งแย่ลงกว่านี้มาก
จากนั้นรองประธานใหญ่อีเซจุนก็ตรงไปยังห้องประธานบริษัทและเปิดประตูเข้าไปอย่างแรง
“มาแล้วเหรอ นั่งสิ”
ประธานอีเซมินกล่าวอย่างไร้อารมณ์ขณะมองพี่ชายที่อารมณ์คุกรุ่นจนหน้าแดงกํ่าพร้อมหายใจฟึดฟัด
เมื่อเห็นว่าเตรียมกระทั่งชาไว้รอล่วงหน้าแล้ว
รองประธานใหญ่อีเซจุนก็รู้สึกเหมือนท้องยิ่งปั่นป่วน แต่พยายามอดทนแล้วนั่งลง
ประธานอีเซมินดื่มชาหนึ่งอึกด้วยสีหน้าสงบก่อนจะพูด
“ฉันไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้...ขอโทษ”
“จะหักหลังกันสักครั้งก็เล่นแรงเลยสินะ”
“อืม หักหลัง แต่รู้ไหม
ถ้าพี่ไม่ปฏิเสธข้อเสนอฉันแบบนั้น ต่อให้ฮยองจุนจะหว่านล้อมยังไง
ฉันก็คงไม่สนใจหรอก”
“ไอ้เวรเอ๊ย...เฮ้ย
มันเป็นเพราะฉันไม่ยอมกำหนดวันให้งั้นเหรอ ไอ้โง่คิดว่าฉันจะไม่ยอมให้หรือไง”
“ฉันรู้ว่าพี่จะให้ แต่เมื่อไหร่ล่ะ
ตอนฉันแก่แล้ว ไม่มีเรี่ยวแรง เหลือแต่เมียที่อยู่ดีกินดี
ประโคมแบรนด์เนมทั้งตัวไปไหนมาไหนเหรอ หรือตอนที่มีแต่พวกลูก ๆชอบใจ
เพราะได้เที่ยวใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายโดยที่ฉันไม่แม้แต่จะได้แตะต้องงั้นเหรอ”
“...”
ในที่สุดรองประธานใหญ่อีเซจุนก็ตระหนักว่าเขาคิดด้วยบรรทัดฐานของตัวเองมากเกินไป
พอถึงเวลาที่ทุกคนตายกันหมด ต่อให้กลายเป็นเศรษฐีพันล้านแล้วจะทำอะไรได้
ทำไมถึงคิดไม่ได้ว่า
ต่อให้มีทรัพย์สมบัติมากมายแค่ไหน มันก็มีค่าเฉพาะเวลาที่เราสามารถใช้ได้
“เมียบ่นฉันไม่หยุดไม่หย่อน ขนาดลูก ๆ
ยังมองฉันเป็นไอ้ขี้แพ้ที่ขี้ขลาดไร้ความทะเยอทะยาน
ถึงอย่างนั้นฉันก็พยายามเชื่อใจพี่ แต่พี่คิดถึงแต่ตัวเอง”
“เดี๋ยวฉันกำหนดวันให้เลย เอาเมื่อไหร่ดี
หนึ่งเดือนหลังฮยองจุนออกจากบริษัทไหม”
“มันสายไปแล้ว”
“ไอ้เวร!”
“มันสายเกินไป!”
ดวงตาของประธานอีเซมินแดงกํ่าและพูดต่อด้วยนํ้าเสียงแค้นเคือง
“แค่คิดถึงฉันสักครั้งก็ได้นี่!
ฉันใช้ชีวิตโดยเอาพี่เป็นศูนย์กลางมาทั้งชีวิตแค่นึกถึงฉันสักครั้งแล้วยอมทำให้ตามสิ่งที่ฉันต้องการก็ได้นี่นา!
ตอนนี้มันสายไปแล้ว ตอนนี้...ฉันกับพี่ถือว่าเป็นคนอื่น ออลออร์นอตติง (all
or nothing)ตานี้ฉันออลอินแล้ว พี่จะเอายังไง”
รองประธานใหญ่อีเซจุนกัดฟันแน่น
“แล้วนายจะต้องเสียใจที่เลือกทางนั้น”
บทที่ 202 ไม่ว่าบ้านนี้หรือบ้านนั้น...(1)
ช่วงเวลาที่รองประธานใหญ่อีเซจุน กับประธานอีเซมินกำลังประกาศสงครามระหว่างพี่น้องนั้น
ยองฮุนก็กำลังพูดคุยกับหัวหน้าฝ่ายพัคบยองโฮ
“เห็นว่าเธอเป็นนักข่าวฝึกหัดที่ยังไม่ได้รับการว่าจ้างเป็นพนักงานประจำครับ”
“ฝึกหัดเหรอครับ
ถ้างั้นก็แสดงว่าเป็นพนักงานของเซยองอิลโบจริง ๆ สินะ”
“ใช่ครับ”
“เฮ้อ...”
ยองฮุนขมวดคิ้วกับคำอธิบายของหัวหน้าฝ่ายพัคบยองโฮ
“ปกตินักข่าวฝึกหัดมาเก็บข้อมูลเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอครับ
พวกเลิฟสตอรี่ของลูกเขยมหาเศรษฐี”
หัวหน้าฝ่ายพัคพยายามกลั้นรอยยิ้มที่วาดบนริมฝีปากก่อนจะตอบ
“เพราะพวกเขายึดติดกับยอดวิวครับ จริง ๆ
คนกลุ่มนี้ชอบสืบหาอะไรที่มันแย่กว่านั้นด้วยซํ้า โดยเฉพาะยิ่งถ้าเป็นเด็กฝึกงาน
อาจจะต้องยิ่งพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้เป็นพนักงานประจำครับ
อืม...ถึงอย่างนั้นก็ถือว่าใจกล้าพอสมควร
ถึงคิดจะมาเก็บข้อมูลกรรมการผู้จัดการตามลำพัง...”
“ความเป็นไปได้ที่โดนเบื้องบนสั่งมาล่ะครับ”
“มันอาจจะเป็นไปได้นะครับ พูดตรง ๆ ว่าเป็นไปได้สูงมากที่เบื้องบนจะสั่งมาถ้าเป็นเด็กฝึกงานที่เพิ่งเรียนจบมหา’ลัย
น่าจะหัวหมุนกับการเรียนรู้งาน
ปกติไม่มีทางคิดเข้ามาในตึกบริษัทยักษ์ใหญ่เพื่อเก็บข้อมูลผู้บริหารไปเขียนข่าวหรอกครับ”
“อืม...เรื่องนี้หาตัวคนสั่งยากใช่ไหมครับ”
“บางทีอาจจะมีการดักฟังเหมือนพวกสายลับในละคร
เราไม่สามารถสืบถึงขนาดนั้นได้ครับ”
“ไม่ว่ายังไงก็ตงิด ๆ ใจ...”
“พอลองคิดดูแล้ว
ผมก็รู้สึกแบบนั้นอยู่เหมือนกันครับ
พวกเราเพิ่งจะเริ่มสืบเรื่องเซยองกรุ๊ปได้ไม่เท่าไหร่ก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
มันมีบางอย่างน่าสงสัย ยิ่งกว่านั้น พอตรวจสอบอินสตาแกรมส่วนตัวของนักข่าวคนนั้นแล้ว
ถือว่าค่อนข้างสวยเลยถ้าหากทางฝ่ายนั้นเข้าหาด้วยเจตนาไม่ดี
แล้วกรรมการผู้จัดการอนุญาตให้สัมภาษณ์ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะต้องเผชิญกับปัญหาที่วุ่นวายมากครับ”
ยองฮุนเริ่มคิดหนัก
ถ้ารู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโจชียอนแล้ว
จะพยายามเล่นงานกันด้วยวิธีง่าย ๆ แค่นี้งั้นเหรอ
ถึงจะเป็นวิธีที่สกปรกมากและอาจสร้างความเสื่อมเสียได้
แต่ก็เห็นได้ชัดว่ายากจะสร้างปัญหาได้มากกว่านั้น
พอพิจารณาถึงความอันตรายของสมุดบัญชีที่โจชียอนถืออยู่แล้ว
สู้บอกว่าการสัมภาษณ์เป็นเหยื่อล่อเพื่อลักพาตัวหรือพาไปฆ่าทิ้ง
ยังดูน่าเชื่อถือมากกว่า
แต่ถ้าเซยองกรุ๊ปทำอย่างนั้นก็ดูจะเผยตัวออกมาง่ายเกินไป
ถ้างั้นมันคือแผนที่ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่...
“ได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเซยองกรุ๊ปมาบ้างไหมครับ”
“เซยองกรุ๊ปเป็นบริษัทที่ไม่มีความผันผวนอะไรมากมาตั้งแต่แรกแล้วครับถึงจะอยู่มานาน
แต่รากฐานมั่นคงและมีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อวงการการเมืองและธุรกิจ
จึงเป็นที่รู้กันดีว่าไม่มีอุปสรรคสำคัญอะไร
ในที่นี้หมายถึงช่องทางที่พอจะทำให้เกิดปัญหาต่อสิทธิ์การบริหารของกรุ๊ปครับ”
“แล้วยังไงต่อครับ”
“หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นเมื่อสิบปีก่อน เซยองกรุ๊ปก็หลีกเลี่ยงที่จะเปิดเผยชีวิตส่วนตัวของผู้บริหารอย่างสุดความสามารถครับ
ผมพยายามแอบถามจากทางอัยการเพื่อสืบเรื่องราวเมื่อสิบปีก่อนที่กรรมการผู้จัดการเคยพูดถึงก่อนหน้านี้...แต่มันไม่ง่ายเลยครับ
ทางฝ่ายอัยการไม่คิดจะเปิดปากพูดถึงคดีเมื่อสิบปีก่อนเลย”
“ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำอย่างนั้นไม่ใช่เหรอครับ”
“แน่นอนครับ
แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายในการแยกแยะว่าใครอยากห้อยกระดิ่งที่คอแมว[1] มันเป็นสถานการณ์ที่จะบุกเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ครับ”
“อืม...เข้าใจแล้วครับ”
ถึงจะไม่ได้คิดว่ามันง่ายตั้งแต่แรกแล้ว
แต่พอลองพยายามจริง ๆ กลับยากกว่าที่คิดไว้
แถมการปรากฏตัวของนักข่าวที่ชื่อวังกาฮีก็ทำให้เขากังวลใจตลอดเวลา
รู้สึกเหมือนพลาดอะไรบางอย่าง
ประธานใหญ่ซงอึนแชสัมผัสได้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเทียบกับสองสามปีก่อน
นึกว่าหลังแต่งงานจะได้ใช้ชีวิตเป็นแม่บ้านไปตลอดชีวิต
แต่สามีกลับล้มป่วยอย่างไม่คาดคิด
ชีวิตจึงพลิกผันต้องรับตำแหน่งประธานบริษัทที่มียอดขายต่อปีเกินหลักล้านล้านอย่างกะทันหัน
ปัจจุบันทั้งอู่ต่อเรือ โรงแรม ก่อสร้าง
การค้า รวมถึงการเข้าซื้อกิจการขนส่งทางทะเลอย่างนิปปอนยูเซนของญี่ปุ่นนั้น
นำพาเธอไปสู่การเป็นกลุ่มธุรกิจแนวหน้ารายใหม่สมคำรํ่าลือ
แน่นอนว่ารอบ ๆ
ตัวเธอเปลี่ยนแปลงไปจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
ตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน
เธอมาเข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางธุรกิจที่จัดขึ้นโดยนายกรัฐมนตรี
เพื่อแสดงให้เห็นถึงการมีอยู่ของผู้หญิงเพียงคนเดียวในบรรดาผู้นำกลุ่มธุรกิจแนวหน้า
ขนาดถ่ายรูปก็เสียสละให้ผู้หญิงย้ายมาอยู่ตรงจุดที่โดดเด่น
ช่วงที่ควรจะได้รับความสนใจก็ส่งไมโครโฟนให้ประธานใหญ่ซงอึนแช
คนอื่น ๆ อาจคิดว่าเธอโชคดี
แต่ในความเป็นจริง ช่วงเวลาทั้งหมดนี้ช่างยุ่งยากสำหรับเธอ
เนื่องจากเธอไม่ชอบอะไรที่น่าเบื่อหน่าย แต่เพราะรู้ว่ามันคือสิ่งที่จำเป็น
เธอจึงรักษาที่นั่งไว้อย่างเงียบ ๆ เท่านั้น
“ทำไมคนมีชื่อเสียงที่สุดในเวลานี้ถึงทำสีหน้าไม่ค่อยดีแบบนั้นล่ะ”
คนที่เข้ามาชวนคุยคือประธานใหญ่คิมแทฮยอนของอูมยองกรุ๊ป
ปัจจุบันกำลังดำเนินโปรเจกต์ความร่วมมือในต่างประเทศกับเอชเอสคอนสตรัคชั่นอยู่
ดังนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองกรุ๊ปจึงดูเหมือนสนิทกันมากขึ้น
ถึงจะมีทัศนคติที่แตกต่างกัน
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
“สีหน้าฉันดูไม่ดีขนาดนั้นเลยเหรอคะ
อุตส่าห์พยายามแล้วนะ แต่การเล่นละครตบตานี่ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้จริง ๆ
มีอะไรอยากพูดมากกว่านั้นหรือเปล่าคะ”
“บนหน้าผมเขียนไว้แบบนั้นเหรอ”
“ค่ะ ดูเหมือนแบบนั้น”
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนยักไหล่ก่อนจะพูด
“คิดจะทำยังไงกับฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ล่ะ”
“ทำไมถึงถามฉันอย่างนั้นล่ะคะ”
“ไม่ใช่ดวงไฟหน้าลมหรอกเหรอ
บริษัทที่ต้องต่อเรือดันหาออร์เดอร์ไม่ได้แถมสร้างแต่หนี้ท่วมหัว
ไม่รู้จะเจ๊งเมื่อไหร่ จะปล่อยไว้เฉย ๆ อย่างนั้นหรือไง”
ประธานใหญ่ซงอึนแชหันมามองอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ถ้ารู้ดีถึงขนาดว่าช้อนของบ้านคนอื่นมีกี่คันขนาดนั้น
ก็ไปถามเขาเองสิคะว่าคิดจะทำยังไง
ทำไมถึงมาถามฉันที่ไม่ได้สนใจอะไรบ้านหลังนั้นล่ะคะ”
“โธ่...ประธานใหญ่ซงเป็นญาติของบ้านหลังที่น่าสนใจนั่นไม่ใช่เหรอ
ถ้าถามทางนั้นเอง ผมอาจจะโดนตบบ้องหูเข้าก็ได้ เลยกะจะมาลองถามญาติสนิทดูก่อนน่ะ”
“ไม่กลัวว่าจะโดนฉันตบสินะคะ”
ใบหน้าของประธานใหญ่คิมแทฮยอนตึงขึ้นเล็กน้อย
คำพูดของเธอไม่ต่างจากการตอบโต้อย่างรุนแรงว่าอย่าแตะต้องฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์
“ประธานใหญ่ซงดูไม่ใช่อย่างนั้น แต่ก็เป็นผู้หญิงใจกล้าเหมือนกันนะเนี่ย”
“ทำไมถึงทำแบบนี้คะ ถึงฉันจะอ่อนแอ
แต่คนรอบข้างชอบบอกว่าเล็บฉันคมนะคะ”
“แหม ประธานใหญ่ซง
เรามีงานสนามบินอินเดียที่ทำร่วมกันอยู่
ผมแค่อยากสนิทกับเอชเอสกรุ๊ปเท่านั้น...ถ้ากางเล็บคม ๆ ใส่กันแบบนั้น
มันจะวุ่นวายมากกว่าน่ากลัวนะ อีกอย่างผมก็ไม่ได้มาเพื่อชวนทะเลาะสักหน่อย”
“แล้วอะไรล่ะคะ
ตอนพ่อสามีฉันเสียชีวิตก็บอกว่าจะยกทุกอย่างที่เหลืออยู่ให้ลูกของลูกสาว
ท่านประธานใหญ่คาดหวังให้ฉันยิ้มรับงั้นเหรอคะ”
“พูดตรง ๆ กันดีกว่าครับ
เดิมทีแล้วมันคือสิ่งที่ลูกของลูกชายควรได้ไม่ใช่เหรอ”
“เฮ้อ...ตลกดีนะคะ
พ่อสามีฉันยังมีลูกของลูกชายที่ฉันไม่รู้จักอีกเหรอท่านประธานใหญ่จะบอกว่าสามีที่เสียไปแล้วนอกใจฉันหรือไงคะ”
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนตอบกลับพลางเมินเฉยคำพูดถากถางของเธอ
“ก็น่าจะรู้ว่าผมไม่ได้หมายถึงแบบนั้นนะครับ
ฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ควรจะเป็นของสามีของประธานใหญ่ซงตั้งแต่แรกไม่ใช่เหรอ
ทั้ง ๆ ที่มีลูกชายแต่กลับยกบริษัทการค้าที่เป็นตัวถ่วงของกรุ๊ปให้ลูกชายแท้ ๆ
แล้วยกตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายวางแผนการบริหารที่เป็นมันสมองหลักของกรุ๊ปให้หลานชาย...ผมไม่เข้าใจเลยสักนิด
แต่ท่าทางประธานใหญ่ซงของเราคงเข้าใจใช่ไหม”
“คำว่าเราเมื่อกี้ค่อนข้างขัดหูอยู่นะคะ”
“ฮ่า ๆ ถ้ามันขัดหูก็ขอโทษด้วย”
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนยิ้มพร้อมกล่าวขอโทษ
เขาแสดงรอยยิ้มออกมาได้เพราะมั่นใจว่าประธานใหญ่ซงอึนแชกำลังไขว้เขว
นัยน์ตาสั่นไหวของเธอพิสูจน์ได้ว่าหมัดของเขาแย็บเข้าถูกจุดพอดี
“แล้วอยากถามอะไรคะ”
“ฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์น่ะ
ล้มแน่นอนถ้าปล่อยไว้อย่างนั้น สัดส่วนหนี้สูงจนกู้เพิ่มไม่ได้แล้ว
ถึงแม้จะเพิ่งขอปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มเมื่อต้นปี แต่ประธานใหญ่ซงก็รู้ใช่ไหมครับ
ถ้าเรียกตามคำพูดเด็กสมัยนี้ มันคือสถานการณ์ที่ไม่มีทางออก”
“ไม่ต้องอ้อมค้อม
เข้าประเด็นเลยดีกว่าค่ะ”
“ร่วมมือกันเถอะครับ”
นัยน์ตาของเธอสั่นไหวอีกครั้ง
ภาพนั้นทำให้ประธานใหญ่คิมแทฮยอนโน้มน้าวซํ้า
“ร่วมมือกันแล้วประธานใหญ่ซงก็เอาฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ไป
ตามหลักการแล้วมันก็ควรจะอยู่ในมือคุณอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“แล้วทางท่านประธานใหญ่ล่ะคะ”
“แค่เศษ ๆ ก็พอใจแล้ว”
หมายความว่าจะแยกแต่ฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ออกจากฮยอนจินกรุ๊ปแล้วยกให้เอชเอสกรุ๊ป
ส่วนตัวเองจะเอาเฉพาะบริษัทในเครือที่เหลือเท่านั้น
เอาแค่ยอดขายของบริษัทในเครือนั่นก็มีมูลค่าหลายล้านล้านแล้ว
จะใช้คำว่าเศษก็กระดากใจเกินไป
แต่เขากลับยิ้มราวกับยืนยันว่าจะเอาไปเพียงแค่เศษเท่านั้น
ทว่า...
“ฉันไม่สนใจค่ะ”
ประธานใหญ่ซงอึนแชที่อย่างน้อย ๆ
น่าจะกังวลเอ่ยปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
คราวนี้สายตาของประธานใหญ่คิมแทฮยอนเองก็เปลี่ยนเป็นประหลาดใจ
“ผมอาจจะไม่เข้าใจว่ารสนิยมของประธานใหญ่ซงเป็นยังไง
ผมว่าผมเสนอสิ่งที่น่าจะถูกใจประธานใหญ่ซงแน่ ๆ แล้วนะ
แต่ปฏิเสธกันอย่างไร้เยื่อใยแบบนี้...แสดงว่าผมเข้าใจผิดจริง ๆ ใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ”
“ถ้างั้นก็ขอโทษด้วยแล้วกันครับ”
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนสีหน้าบึ้งตึงเหมือนไม่เคยยิ้มและชวนคุยมาก่อนพร้อมกับหันตัวกลับ
แม้จะแปลกใจกับท่าทีเย็นชาของผู้นำกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่อย่างอูมยองกรุ๊ปแต่ประธานใหญ่ซงอึนแชก็มองตรงไปข้างหน้าอีกครั้งโดยไม่แสดงสีหน้าหวั่นไหวสักนิด
อีกด้านหนึ่ง
ใบหน้าของประธานใหญ่คิมแทฮยอนที่หันหน้าหนีกลับนิ่งสงบเกินคาด
แตกต่างจากท่าทางโกรธเคืองเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
ไม่สิ ไม่ถึงขั้นสงบนิ่ง แต่กำลังยิ้มบาง ๆ
ด้วยซํ้า
เขามั่นใจว่าการตกปลาเมื่อกี้นี้ไม่ได้ล้มเหลวเสียทีเดียว
เมื่อถึงช่วงเวลาเลิกงาน ยองฮุนก็โดนประธานใหญ่ซงอึนแชเรียกตัว
“เรียกผมเหรอครับ”
“ปกติฉันมักจะเรียกแต่ตอนเช้า
ไม่ค่อยเรียกตอนเย็น ๆ แบบนี้เลยสงสัยละสิ”
“ความจริงก็ใช่ครับ”
“อืม...”
ประธานใหญ่ซงอึนแชเรียกยองฮุนมา
แต่ก็ไม่อาจเปิดปากพูดได้ง่าย ๆ
ยองฮุนจึงรอเธออย่างใจเย็น
“เมื่อกี้ฉันเพิ่งกลับมาจากงานประชุมกับนายกรัฐมนตรี”
“ครับ ผมได้ยินจากเลขาฯแล้ว”
“เจอกับประธานใหญ่คิมแทฮยอน
อูมยองกรุ๊ปที่นั่นด้วย คงเห็นว่าช่วงนี้ค่อนข้างสนิทกันเลยให้ฉันกับเขานั่งติดกัน
ไม่รู้มีเซนส์หรือไม่มี...อะแฮ่ม...แต่อยู่
ๆเขาก็ถามฉันว่าสนใจฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ไหม”
“ฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์เหรอครับ”
“อือ บอกว่าแค่ลมพัดทีเดียวก็คงจะเจ๊ง
เลยชวนไปเก็บก่อนใครแย่งไปเอาน่ะ”
ไม่มีใครในวงการไม่รู้ว่าสถานการณ์ของฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์แย่ลงเรื่อย
ๆ
ถึงออร์เดอร์จะไม่ได้ขาดแคลน
แต่มีหนี้เยอะเกินไป กำไรส่วนใหญ่จากการต่อเรือขายก็กำลังนำไปใช้หนี้
แถมยังจงใจทำราคาหุ้นตกเพื่อป้องกันการโจมตีจากภายนอก
ตอนนั้นเคยคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่น่าทึ่ง
แต่ราคาหุ้นที่นึกว่าจะฟื้นตัวเมื่อเวลาผ่านไปกลับหมดแรง
ถ้าคิดจะให้ฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์อยู่รอดก็จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากบริษัทอื่น
“ไขว้เขวเหรอครับ”
“พูดตามตรงก็ใช่”
“อย่างนั้นสินะครับ”
“ถ้ามีใครมาบอกว่าจะยกบริษัทอื่นให้
ฉันคงหัวเราะเยาะแล้วก็ไม่สนใจต่อให้บอกว่าจะให้โอกาสครอบครองซัมจอนอิเล็กทรอนิกส์
ก็อาจจะปฏิเสธด้วยซํ้ามั้ง แต่ถ้ากรรมการผู้จัดการชเวของเราเสนอก่อนก็อีกเรื่อง
บนโลกนี้ไม่มีใครเข้าหากันด้วยความหวังดีร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“แต่ทำไมต้องเป็นฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ด้วย
เขาเอาพ่อสามีที่ยังฝังใจฉันมาทำให้ไขว้เขว ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว คำพูดของเขาก็ถูก
ไม่สิ พูดให้ชัดคือฉันคิดแบบนั้นมาตั้งแต่แรก ฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์
ทำไมถึงยกให้ลูกของลูกสาวล่ะ ถ้าจะให้ แน่นอนว่าควรให้ลูกชายสิ”
“...”
ยองฮุนเอาแต่เงียบ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาที่ตัวเองจะพูดอะไรออกมาได้ง่าย
ๆ
จะประเมินความรู้สึกที่ฝังใจประธานใหญ่ซงอึนแชมาตลอดหลายสิบปีตั้งแต่แต่งงานจนถึงตอนนี้ง่าย
ๆ ได้อย่างไร
“ฉันพยายามทำความเข้าใจอยู่หลายครั้ง ใช่
มันคงมีเหตุผลแหละ สงสัยจะเกลียดพวกเรามาก ลูกสาวของเราอาจจะทำให้หัวใจของคุณพ่อเจ็บปวดละมั้ง...ต่อให้เจ็บ
ฉันก็เจ็บกว่า สามีของฉันยิ่งเจ็บกว่า ยอนฮีเองก็ยิ่งเจ็บกว่า”
“คงจะเป็นอย่างนั้นครับ”
“ฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ พูดตรง ๆ
ไม่ว่าจะซื้อกิจการแบบนั้นหรือไม่ซื้อมันจะมีประโยชน์อะไรกับชีวิตฉันนัก เงินที่ Nodri
Clare หามาได้มันเยอะกว่าฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ด้วยซํ้า
แต่ถ้าอยากได้ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้ว มันคือความโลภของฉันงั้นเหรอ”
“ไม่ใช่ความโลภหรอกครับ
เรื่องนี้มันใกล้เคียงกับความฝังใจ”
ประธานใหญ่ซงอึนแชปิดปากแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง
ทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินนั้นสดใสและปลอดโปร่ง
เธอมองภาพของเมืองใหญ่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว
“อืม ความฝังใจสินะ
เฮ้อ...พ่อสามีฉันก็เสียแล้ว แต่ยังทำให้ฉันเจ็บปวดใจแบบนี้อยู่อีก”
“พอเวลาผ่านไปแล้ว มันจะจางหายไปเองครับ”
“ขอโทษนะ
ฉันดันทำตัวไม่ได้เรื่องต่อหน้ากรรมการผู้จัดการชเว”
“ไม่หรอกครับ มันก็เกิดขึ้นได้
ผมรู้ว่าท่านประธานใหญ่ไม่ได้ทำเพราะแค่อยากได้ครับ”
“ขอบคุณที่ยอมเข้าใจนะ กลับเถอะ
ได้ยินว่าวันนี้มีเดตกับยอนฮี”
“ครับ”
ยองฮุนก้มศีรษะแล้วออกมาจากห้องประธานใหญ่
เขามีสีหน้าสงบกระทั่งออกมาจากตรงนั้น
ทันทีที่กลับมาถึงฝ่ายวางแผนและประสานงานก็เรียกพบมินฮี
“ช่วยนัดกรรมการผู้จัดการคิมชางฮุน
อูมยองคอนสตรัคชั่นให้หน่อยนะครับ”
“รับทราบค่ะ”
ยองฮุนพยายามระงับความโกรธที่กำลังพลุ่งพล่าน
ถึงอย่างไรก็มีสิ่งที่ต้องพิจารณาอีกมาก
แต่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้ที่ฝ่ายนั้นมาทำให้จิตใจของประธานใหญ่ซงไขว้เขว
คานบ้านตัวเองจะพังแล้วยังไม่รู้ตัว
จะมาอยากได้บ้านคนอื่นเขาอีก...
1 พูดคุยปรึกษาในเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
[1]
พูดคุยปรึกษาในเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
บทที่ 203 ไม่ว่าบ้านนี้หรือบ้านนั้น...(2)
กรรมการผู้จัดการคิมชางฮุน อูมยองคอนสตรัคชั่นฟังคำพูดของเลขาฯแล้วก็เอียงศีรษะ
“กรรมการผู้จัดการชเวยองฮุน เอชเอสการผลิต?
เมื่อไหร่”
“เขาถามว่าเย็นวันศุกร์นี้ได้ไหมคะ”
“เย็นวันศุกร์นี้ก็พรุ่งนี้นี่นา อะไรกัน
รู้สึกไม่สบายใจแฮะ...โอเค ตอนนั้นแหละ”
“แต่เย็นวันศุกร์มีงานกินเลี้ยงทีมธุรกิจแบรนด์นะคะ
ไม่เป็นไรเหรอ”
“แค่ให้บัตรบริษัทไปก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง
ถ้าฉันอยู่ด้วยเดี๋ยวก็อึดอัดกันเปล่า ๆ ฝากบอกว่าฉันไม่ร่วมแล้วกัน”
“รับทราบค่ะ ฉันจะคอนเฟิร์มนัดให้นะคะ”
“อ้อ แล้วก็เรียกหัวหน้าฝ่ายยุนฮีชานมาด้วย”
“ได้ค่ะ”
หลังจากเลขาฯออกไปไม่นาน
หัวหน้าฝ่ายยุนฮีชานก็เข้ามาในห้องกรรมการผู้จัดการ
ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาแล้วพูดเหมือนอยู่บ้านของตัวเอง
“โคตรร้าย”
“อะไร”
“จะอะไรล่ะ ก็พี่ชายนายไง
เห็นว่าเมื่อวานได้หุ้นในบริษัทเรามาเพิ่มอีกหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ไม่สิ
ทำไมถึงมีเงินเพิ่มมาเรื่อย ๆ แบบนั้น ใครคอยให้เงินพี่นายอยู่เนี่ย”
“อย่าบอกนะว่าพ่อเป็นคนให้”
“ล้อเล่นน่า
ไอ้บ้า...แต่ได้เงินมาจากไหนกันแน่ แฟนพี่นายดึงมาหรือเปล่า”
“ยังไม่ได้แต่งงานด้วยซํ้า จะเอาเงินมาช่วยให้สามีรับช่วงต่อกรุ๊ปแล้วเหรอในนามของพี่?
แล้วจะจัดการภาษียังไง”
“นั่นสิ
หาไม่เจอเลยแฮะ...แต่คิดว่ามันมีอะไรบางอย่าง”
หัวหน้าฝ่ายยุนที่กำลังครุ่นคิดหันหน้ามาถาม
“แล้วตามฉันมาทำไม”
“อยู่ ๆ กรรมการผู้จัดการชเวยองฮุน
เอชเอสการผลิตก็นัดเจอฉัน”
“กรรมการผู้จัดการชเว? ตอนนี้ที่อินเดียมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีปัญหาเลย นายเองก็รู้นี่นา”
“ฉันรู้
ฉันได้รับรายงานทุกวันเพราะกรรมการผู้จัดการชเว...ทางนายก-รัฐมนตรีก็ไม่มีการเคลื่อนไหวพิเศษอะไร
โปรเจกต์ต่อไปก็เหมือนจะช่วยสนับสนุนเอชเอสคอนสตรัคชั่นเหมือนเดิม
ได้ยินมาว่าคิดจะดำเนินงานด้วยบริษัทเกาหลีต่อเพราะเงินค่าที่ดินเข้าไปทางนั้นเยอะมาก
ถ้างั้นเอชเอสคอนสตรัคชั่นก็กำไร อาจจะแค่อยากเจอหน้าเฉย ๆ หรือเปล่า”
ชางฮุนทำปากยื่นและฝังตัวเองลงบนโซฟาฝั่งตรงข้ามฮีชาน
“ไม่มีทาง...คนที่ไม่เคยส่งข้อความมาสักฉบับถ้าไม่ใช่การติดต่อเรื่องงานจะเรียกคนอื่นไปเจอหน้าเฉย
ๆ เนี่ยนะ แถมนัดพรุ่งนี้ทันทีด้วย”
“พรุ่งนี้? งั้นก็แปลว่ามีประเด็นอะไรน่ะสิ”
“ก็ใช่ไง”
“พอเหอะ
เครียดแล้วได้อะไร...ตั้งแต่กรรมการผู้จัดการชเวรู้เรื่องของนายนายก็ระวังตัวมากขึ้นแล้ว”
“งั้นเหรอ”
“เอาจริง ๆ จะกลัวมันก็ถูกแหละ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นมานั่งห่อเหี่ยวถ้าเจอกันแล้วก็คงได้คำตอบเอง
จะว่าไปแล้วยอดขายของอูมยองโซลาร์เซลล์กำลังลดลงอย่างเห็นได้ชัด
รู้ใช่ไหมว่าตอนนี้คือโอกาส”
“อืม...”
“เหตุผลที่พี่ชายนายทุ่มเงินส่วนตัวรวบรวมหุ้นอูมยองคอนสตรัคชั่นจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ
ตำแหน่งของตัวเองเริ่มไม่มั่นคงน่ะสิ
บางทีการที่กรรมการผู้จัดการชเวเรียกนายอาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ก็ได้”
“งั้นเหรอ”
“กรรมการผู้จัดการชเวเป็นคนคำนวณละเอียด
ถ้าเขาต้องการอะไรก็จะให้ค่าตอบแทนที่เท่ากัน ถ้าพวกเราต้องการอะไร
ก็ต้องให้ค่าตอบแทนที่เหมาะสมเหมือนกัน
อันที่จริงมันไม่มีข้อตกลงไหนจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว”
“มันก็จริง”
“ใช้กรรมการผู้จัดการชเวให้เป็นประโยชน์มากที่สุด
แล้วใช้โอกาสนี้เอาชนะพี่ชายนายกันเถอะ”
ถ้ามีใครเห็นสถานการณ์นี้จะต้องคิดว่าประหลาดแน่นอน
ชางฮุนเป็นลูกชายคนรองและเป็นถึงกรรมการผู้จัดการของกรุ๊ป
แต่ผู้นำในการสนทนากลับเป็นฮีชาน
ยิ่งไปกว่านั้น
ความปรารถนาที่ลุกโชนอยู่ในแววตาของฮีชานนั้นก็เพียงพอจะทำให้สับสนว่า
ตกลงคนที่ต้องการเอาชนะพี่ชายชางฮุนจริง ๆ คือชางฮุนหรือฮีชานกันแน่
เรื่องที่รองประธานใหญ่อีเซจุนไปชินยองประกันภัยแล้วถูกฉีกหน้าแพร่กระจายไปทั่วบริษัทในเครือทั้งหมด
แม้จะไม่รู้ว่ามาพบประธานอีเซมินแล้วพูดคุยอะไรกัน
แต่เรื่องที่ไม่มีผู้บริหารและพนักงานของชินยองประกันภัยออกมาต้อนรับสักคน ทั้ง ๆ
ที่ผู้บริหารสูงสุดของกรุ๊ปมาเยือน ก็สร้างความตกใจให้ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทในเครืออื่น
ๆ ได้มากพอแล้ว
ถ้ามองในแง่ของทหาร
มันคือสถานการณ์ที่เสนาธิการไปเยี่ยมกองพลแห่งหนึ่ง
แต่ตลอดการเดินทางไปยังสถานที่ที่มีผู้บัญชาการกองพลอยู่
กลับไม่มีพลทหารโผล่หน้ามาให้เห็นสักคน
ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าลงในอินทราเน็ตภายในบริษัทว่าเห็นรองประธานใหญ่พยายามข่มความโกรธด้วยใบหน้าที่แดงกํ่าในล็อบบี้ของชินยองประกันภัย
และทันทีที่บริษัทลบเนื้อหาดังกล่าวออก
มันก็แพร่กระจายไปยังกระดานข่าวนิรนามของเหล่าพนักงานบริษัทขนาดใหญ่ภายนอก
สถานการณ์จึงเข้าใกล้สภาวะวิกฤต
แม้ว่ากำไรจากธุรกิจจะเกินหนึ่งล้านล้านวอน
แต่ราคาหุ้นที่เคยขยับไปมาในรูปแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้ากลับทะลุจุดสูงสุดในรอบห้าสิบสองสัปดาห์
และบ่งบอกให้รู้ว่าสงครามเริ่มต้นขึ้นแล้ว
“รู้เรื่องแล้วใช่ไหม”
“ครับ”
ประธานอีเซมินสูบบุหรี่ก่อนจะพ่นควันออกมา
แววตาเต็มไปด้วยความสำนึกผิด
ฮยองจุนยื่นที่เขี่ยบุหรี่มาข้างหน้าอีกฝ่ายเงียบ
ๆ
ประธานอีเซมินเคาะบุหรี่ลงบนที่เขี่ยบุหรี่แล้วพูด
“ฉันรู้ว่าพี่เกลียดแกมาตั้งแต่เด็ก ๆ
แล้ว”
“ครับ?”
“พูดให้ชัด ๆ ก็ไม่ใช่แค่แกคนเดียว
แต่รวมถึงน้อง ๆ ของแกด้วย ตอนแรกฉันคิดว่าพี่แค่ไม่ชอบเด็ก เพราะเด็ก ๆ มักไม่เชื่อฟังแล้วก็เอาแต่ใจตัวเอง
แต่ฉันก็ได้รู้ว่าถึงแกจะเข้า ม.ปลาย เข้ามหา’ลัยแล้ว พี่ก็ยังเกลียดแกกับน้อง ๆ
เหมือนเดิม”
“รู้ได้ยังไงครับ”
“ทำไมจะไม่รู้
ฉันอยู่กับพวกแกมาเกินยี่สิบปีแล้วนะ...ถ้าบอกว่าแค่มองตาก็รู้คงเกินจริงไปหน่อย
แต่ไม่ใช่ว่าจะอ่านความขุ่นเคืองที่แผ่มาจากตัวพี่ชายฉันไม่ออก
สายตาที่ใช้มองพี่สะใภ้กับลูก ๆ มันมีความเกลียดชังที่อธิบายด้วยคำพูดไม่ได้
พอเห็นแบบนั้น ฉันก็คิดว่ามันคงจะมีสาเหตุสินะ แต่พี่ก็ไม่เคยพูดออกมาจากปากเลย
แล้วฉันจะทำอะไรได้ล่ะ มันไม่ใช่เรื่องของฉัน ถ้าสร้างครอบครัวของตัวเองแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับคนอื่นนี่นา
ใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“ฉันไม่มีทางพอใจกับการได้ดูแลชินยองประกันภัยเพียงที่เดียวหรอก
พี่ฉันเป็นอันดับหนึ่งของพ่อมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ความจริงพี่ก็ฉลาดนั่นแหละ
แต่พ่อมีคู่แข่งที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาอยู่คนหนึ่ง ลูกชายเขาก็เรียนค่อนข้างเก่งเหมือนกันดังนั้นพ่อจะไม่ชอบพี่ได้ยังไง
พ่อฉันเป็นแบบนั้นถึงได้ชอบแกเหมือนกันไงเพราะพ่อชอบคนเก่ง”
คำว่าชอบคนเก่ง
ถึงเจ้าตัวจะพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน
แต่ฮยองจุนรู้ถึงความเจ็บปวดอันลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้น
ประธานอีเซมินสูบบุหรี่อีกครั้งก่อนจะพ่นออกมายาวแล้วพูดต่อ
“อาสะใภ้ของแกน่ะ”
“ครับ”
“พอสร้างความวุ่นวายในงานศพแล้ว...หึ...ก็บีบฉันเหมือนเป็นลูกไก่ในกำมือนึกภาพออกไหม”
“อาสะใภ้ค่อนข้างหัวแข็งใช่ไหมครับ”
“ฉันมีผู้หญิงที่เคยชอบตอนเรียนมหา’ลัย”
“จริงเหรอครับ”
“เธอเป็นผู้หญิงที่เรียนศิลปะ สวยแล้วก็อ่อนโยนมาก
จนเหมาะกับคำว่าแค่ลมพัดก็กลัวจะบินหนีไป
นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันจินตนาการถึงการแต่งงานกับผู้หญิงที่ใช้แต่คำพูดสุภาพไพเราะคนนั้น
แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะรู้ว่าถ้าแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น
ฉันจะไม่มีอะไรดีกว่าพี่เลย หลังจากเลิกกับเธอด้วยดี ฉันก็แต่งงานกับผู้หญิงจากตระกูลที่ในเวลานั้นครอบครองอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่หลายแห่งในโซล
อาสะใภ้ของแกไง”
“แต่มันก็เป็นไปได้ด้วยดีไม่ใช่เหรอครับ
อาสะใภ้ก็มีทรัพย์สินค่อนข้างเยอะ...”
“ดูเป็นอย่างนั้นเหรอ”
ประธานอีเซมินพูดต่อพร้อมรอยยิ้มขมขื่น
“เพราะทรัพย์สมบัติมหาศาลที่เมียมีนั่นแหละ
ขนาดอยู่ในบ้าน ฉันยังแทบจะไม่เหลือศักดิ์ศรี ทั้ง ๆ ที่เป็นหัวหน้าครอบครัว
แต่เมียที่เลี้ยงลูกอยู่บ้านกลับมีทรัพย์สินเยอะกว่าหัวหน้าครอบครัวที่ออกไปทำงานหาเงินข้างนอก
แล้วลูก ๆจะฟังคำพูดฉันไหมล่ะ ฮู่...”
“มันไม่ใช่ความผิดของอานะครับ”
“ใช่สิ ฉันแต่งงานผิดไง
ถึงพ่อจะไม่ได้เห็นฉันอยู่ในสายตาตั้งแต่แรกแต่ฉันก็แต่งงานเพราะอยากได้อำนาจมากขึ้นอีกนิด
มันเป็นความผิดฉันเอง”
“แต่ตอนนี้ทุกคนในครอบครัวก็กำลังส่งกำลังใจให้อาอยู่ไม่ใช่เหรอครับ”
ฮยองจุนพยายามสร้างบรรยากาศจึงโยนมุกตลกใส่
แต่สายตาของประธานอีเซมินกลับยิ่งแย่ลง
“ฮยองจุน”
“ครับ”
“แกรู้ไหมทำไมฉันถึงร่วมมือกับแก”
ถ้าคิดง่าย ๆ
ก็นึกว่าคงเพราะอยากครอบครองมรดก แต่พอเห็นสายตาที่แวบขึ้นมา
ฮยองจุนก็รู้ว่าไม่ใช่แค่เหตุผลนั้น
“จะบอกว่าไม่ใช่เพราะเงินอย่างเดียวใช่ไหมครับ
ผมไม่แน่ใจ”
“ถ้าจะทำเพราะเงิน
ฉันคงไม่จัดการด้วยวิธีแบบนั้นตั้งแต่แรกหรอก นี่มันอะไรกัน ไป ๆ มา ๆ
ทั้งสองฝั่งเหมือนค้างคาว ไม่มีศักดิ์ศรี...”
“ครับ”
“แฟนนายเคยบอกไว้ใช่ไหม
ว่าพี่ไม่มีทางเชื่อใจฉัน ฉันไม่เชื่อเรื่องนั้นเลยนะ
เพราะต่อให้จะโดนมองว่าเป็นไอ้ขี้แพ้ที่บ้าน แต่ฉันก็คิดว่ามีแค่พี่เท่านั้นที่เชื่อใจฉัน
แค่ช่วยกำหนดวันดำเนินการให้ก็พอ
จะผลัดไปหน่อยก็ไม่มีปัญหาฉันแค่อยากโชว์ชื่อสามพยางค์ของฉันต่อหน้าคนอื่นอย่างมั่นใจ
แค่อยากสร้างศักดิ์ศรีต่อหน้าครอบครัวสักครั้ง”
“...”
“เหตุผลที่ฉันร่วมมือกับแก
เพราะสิ่งเดียวที่เหลืออยู่สำหรับฉันจริง ๆก็คือเงิน ตอนนี้ถ้าไม่ใช่เงิน
ฉันก็ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวแล้ว
อีกอย่างก่อนฉันจะแบ่งบริษัทนี้กับแก...ฉันจะปั๊มจนดังปึง!”
“อะไร...”
“ตราประทับไง ฉันว่าจะหย่า”
ฮยองจุนไม่สามารถทำความเข้าใจคำพูดของอาได้ชั่วขณะ
และหลังจากผ่านไปสักพักถึงเข้าใจ
“อยากแก้แค้นอาสะใภ้เหรอครับ”
“หึ!
ถ้าฉันขอหย่าก่อนจะได้ครึ่งหนึ่งของชินยอง แกคิดว่าอาสะใภ้แกจะเป็นยังไง หึ ๆ ๆ
อย่างน้อยก็คงจับขากางเกงฉันแล้วบอกว่าเลิกไม่ได้เด็ดขาดคิกกก...แต่ฉันจะเลิกอย่างไม่เหลือเยื่อใย
จะปั๊มตราประทับลงบนใบหย่าจนดังปึง!ก่อนที่ครึ่งหนึ่งของชินยองจะมาอยู่ตรงหน้าฉัน
ฮ่า ๆ ๆ”
ประธานอีเซมินหัวเราะอย่างสดชื่นราวกับเห็นภาพภรรยากำลังคุกเข่าอ้อนวอนอยู่ตรงหน้า
ถึงการหย่าร้างจะไม่ได้ง่ายเหมือนที่คิด
แต่อย่างไรฮยองจุนไม่อยากพูดทำลายความฝันของอา
ไม่สิ
เขาคิดว่าบางทีสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจริง ๆ ไม่ใช่การหย่า
แต่เป็นการเห็นภาพอาสะใภ้เจ็บปวดจากการโดนขู่ว่าจะหย่าต่างหาก
เย็นวันศุกร์ ณ ร้านเนื้อย่างชื่อดังแห่งหนึ่งในย่านกังนัม
แม้ว่าผนังกั้นจะไม่ได้กันเสียงอย่างสมบูรณ์
แต่ก็มีการแบ่งช่องอย่างพอเหมาะ
หากไม่ได้ตั้งใจยื่นหน้ามามองก็เป็นสถานที่ที่ยากจะเห็นใบหน้าของคนที่กำลังย่างเนื้อกินอยู่ข้างใน
ยองฮุนเหลือบมองหัวหน้าฝ่ายยุนฮีชานที่กำลังตั้งใจย่างเนื้อก่อนจะถาม
“คุณสองคนไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเลยนะครับเนี่ย
อย่างกับโซลเมตเลย”
“ฮ่า ๆ ถ้าเกิดไม่มีหมอนี่
ผมจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจน่ะครับ เพราะมันหัวดีกว่าผม โดยเฉพาะเวลาอยู่ตรงหน้าคนฉลาดอย่างกรรมการผู้จัดการชเวตามลำพังถ้าเกิดผมจิตใจว้าวุ่นขึ้นมาจะให้ทำยังไงล่ะครับ
คิดซะว่าเราสองคนเป็นแบบแพ็กคู่แล้วทานข้าวตามสบายเถอะครับ ว่าแต่มีเรื่องอะไร...”
ยองฮุนคีบเนื้อสันนอกที่สุกดีแล้วเข้าปากหนึ่งชิ้นเพื่อลิ้มรสแล้วค่อยพูด
“ช่วงนี้พ่อคุณกำลังคิดอะไรอยู่ครับ”
คำถามที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยของยองฮุนทำเอาชางฮุนได้แต่เอียงศีรษะโดยไร้คำตอบหัวหน้าฝ่ายยุนจึงออกตัวแทน
“หมายถึงเรื่องไหนเหรอครับ...”
“ผมหมายถึงท่านมีบริษัทที่ต้องการหรือเปล่า”
กรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนส่ายหน้า
“ไม่มีเรื่องแบบนั้นนะครับ
ในการประชุมประธานบริษัทก็ไม่ได้มีเรื่องเกี่ยวกับ M&A อันที่จริงจะพูดแบบนี้ให้ฟังมันก็ยังไงอยู่
แต่ปีที่แล้วเราขาดทุนเยอะมากเพราะฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์
ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีการนำเรื่องเกี่ยวกับM&A เข้าประชุมเลยครับ
ทำไมถึงถามเรื่องนั้นล่ะ”
“พ่อของกรรมการผู้จัดการกำลังสะกิดสีข้างชวนแม่ยายผมอยู่ครับ”
ถ้าเป็นแม่ยายของกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนก็คงหมายถึงประธานใหญ่ของเอชเอสกรุ๊ป
“ท่านประธานใหญ่ซงอึนแชเหรอครับ
จะเอาที่ไหน...”
ตอนชางฮุนแสดงความสงสัย
หัวหน้าฝ่ายยุนก็เอ่ยถาม
“หรือว่าเอาฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์มาต่อรองเหรอครับ”
“ถูกต้องครับ”
“ดูเหมือนท่านจะเสียดายเงินทุนที่ผูกอยู่กับฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ครับถึงตอนนั้นจะถอนทุนคืนมาบ้างแล้ว
มันก็ยังมีเงินทุนก้อนใหญ่ที่ผูกอยู่ตรงนั้นแต่ราคาหุ้นไม่มีสัญญาณว่าจะฟื้นตัว
อีกอย่าง...”
“อีกอย่างอะไรครับ”
“ความซบเซาของอูมยองโซลาร์เซลล์ยาวนานขึ้นครับ
ราคาแผงโซลาร์เซลล์ยังค่อนข้างตํ่าอยู่ โปรเจกต์ใหญ่ ๆ ก็มีไม่ค่อยเยอะ
เราจึงต้องอุดความเสียหายนั่นด้วยเงินทุนภายในกรุ๊ป ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่...”
“ขัดหูขัดตาใช่ไหมครับ”
หัวหน้าฝ่ายยุนตอบอย่างเก้อเขิน
“ใช่ครับ”
“อูมยองโซลาร์เซลล์เป็นของพี่ชายกรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนหรือเปล่าครับ”
“ถูกต้องครับ”
“อืม...”
ตอนแรกว่าจะมาห้ามสักหน่อย
แต่สถานการณ์ของบ้านนี้ก็แย่กว่าที่คิด
ต้องรีบใช้เงินด่วนตอนนี้
แต่เงินก้อนกลับผูกไว้กับบริษัทที่ไร้ความหวังดังนั้นคงจะพยายามทำอะไรบางอย่าง
ตอนนั้นหัวหน้าฝ่ายยุนฮีชานก็ออกหน้าอีกครั้ง
“กรรมการผู้จัดการ
ผมคิดว่าจะลองทำแบบนี้ดูครับ”
“ครับ?”
“ตอนนี้สถานการณ์ของกรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนกำลังดีมากครับผลประกอบการอูมยองคอนสตรัคชั่นก็ดี
งานก่อสร้างที่ได้รับในอินเดียก็เพียงพอจะได้เลื่อนเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ในการแต่งตั้งบุคลากรครั้งถัดไปครับอันที่จริงต่อให้ได้ขึ้นเป็นรองประธานอูมยองคอนสตรัคชั่นก็ไม่น่าแปลกใจด้วยซํ้าในทางกลับกัน
ภายในบริษัทต่างคิดว่ามันแปลกที่เขาไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งในการประเมินบุคลากรประจำปีเมื่อช่วงต้นปีครับ”
“แล้วยังไงต่อครับ”
“ช่วยสนับสนุนกรรมการผู้จัดการของพวกผมด้วยเถอะครับ”
หัวหน้าฝ่ายยุนฮีชานเลิกย่างเนื้อแล้วลุกขึ้นยืนโค้งศีรษะ
บทที่ 204 ไม่ว่าบ้านนี้หรือบ้านนั้น...(3)
“ถ้าผมช่วยสนับสนุนแล้ว จะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างนั้นเหรอ แล้วสมมติว่าผมช่วย จะให้อะไรผมล่ะครับ”
หัวหน้าฝ่ายยุนฮีชานมองกรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนแทนคำตอบ
“มองฉันทำไม”
“ถ้าให้ผมพูดมันจะมีความน่าเชื่อถือไหมล่ะครับ
กรรมการผู้จัดการต้องพูดเองสิถึงจะน่าเชื่อถือ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าฝ่ายยุน ชางฮุนจึงกระแอมไอพร้อมกับจัดท่าทาง
“อะแฮ่ม...ถ้ามีบริษัทในเครือไหนที่ต้องการ
ผมจะจัดการห่อส่งให้หนึ่งที่เลยครับ
ยกเว้นก่อสร้างกับโซลาร์เซลล์ที่ไม่ได้รวมอยู่ในนั้น
เพราะโซลาร์เซลล์คืออนาคตของกรุ๊ปครับ”
ยองฮุนเอียงศีรษะพูด
“ก่อนหน้านี้ก็เคยพูดเรื่องคล้าย ๆ
นี้มาแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“ฮ่า ๆ ๆ ใช่ครับ จริงด้วย
กรรมการผู้จัดการเคยบอกว่าไม่ต้องการ”
“ตอนนั้นไม่ต้องการ
ตอนนี้ก็ยังไม่ต้องการเหมือนเดิมครับ”
ไม่มีสิ่งที่ต้องการก็หมายความว่าไม่ได้อยากได้อะไร
แน่นอนว่าชางฮุนเริ่มร้อนใจขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะอย่างที่หัวหน้าฝ่ายยุนฮีชานบอก
หากพลาดโอกาสตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแบบนี้อีกเมื่อไร
ถ้าราคาแผงโซลาร์เซลล์พุ่งสูงขึ้นอย่างกะทันหันด้วยเหตุผลทางการเมืองเมื่อไร
เห็นได้ชัดว่าบริษัทแผงโซลาร์เซลล์ที่เป็นตัวแทนของประเทศเกาหลีอย่างอูมยองโซลาร์เซลล์จะติดปีกพุ่งทะยานทันที
ก่อนที่จะเป็นแบบนั้น
เขาต้องสร้างความประทับใจให้พ่อเห็นและซื้อหุ้นของอูมยองมาสักเล็กน้อย
ดูเหมือนต้องทำให้ได้แบบนั้นถึงจะสามารถรักษาอำนาจของกรุ๊ปไว้ได้ระดับหนึ่ง
ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นในอนาคตก็ตาม
ปัญหาคือต่อให้มีเงินก็ไม่สามารถซื้อหุ้นของบริษัทได้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพ่อ
หากพยายามจะทำแบบนั้นก็ต้องแสดงความสามารถที่โดดเด่นกว่าพี่ชายออกมาให้เห็น
ซึ่งตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมพอดี
“ผมคิดไม่ถึงว่าจะมีคนคิดว่าบริษัทในเครือมากมายของอูมยองเป็นเหมือนก้อนหินไร้ค่า
แต่กรรมการผู้จัดการเดาใจยากมากเลยนะครับเนี่ย ถ้างั้นนอกจากบริษัทในเครือแล้ว
มีอะไรที่ต้องการเพื่อยกระดับความสัมพันธ์ของเราหรือเปล่าครับ”
บริษัทในเครือของอูมยองกรุ๊ปทำเงินได้หลายหมื่นล้านต่อปีเป็นอย่างตํ่าบางบริษัทก็ทำเงินได้มากกว่าแสนล้านวอน
แต่ที่ไม่สนใจเพราะเอามาแล้วก็ไม่ได้ทำให้ใครมีความสุขมากขึ้นสักคน
มันไม่ใช่บริษัทที่มีการเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัดเหมือน
Nodri
Clare ไม่ได้เป็นการช่วยเหลือบริษัทที่ตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างแฮจูชิปบิลดิ้งแอนด์มารีนกับอู่ต่อเรือกุนซาน
ไม่ใช่บริษัทที่จะสร้างความร่วมมือต่อกันได้แบบนิปปอนยูเซน
ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้คิดว่าต้องการอะไรเพิ่ม
“ไม่รู้สิครับ”
นี่คือคำตอบที่ดีที่สุดที่ยองฮุนตอบได้
ขณะที่ชางฮุนกำลังตกที่นั่งลำบาก
ฮีชานก็วางเนื้อสุกพอดีหนึ่งชิ้นลงบนจานของยองฮุนก่อนจะพูด
“ลองคิดดูให้ดีเถอะครับ
ท่าทางเหมือนมีเรื่องกังวลอยู่เห็น ๆ คงจะมีเรื่องที่แก้ปัญหาไม่ได้ใช่ไหม
บางทีพวกเราอาจจะช่วยได้นะครับ”
แน่นอนว่าเขานึกถึงเรื่องเกี่ยวกับโจชียอนทันทีที่ได้ยินคำพูดของหัวหน้าฝ่ายยุน
อย่างไรก็ตาม
มันไม่ใช่เรื่องที่เอามาพูดกับคนนอกโดยพลการได้
แต่หัวหน้าฝ่ายยุนเห็นว่าสีหน้าของยองฮุนเปลี่ยนจึงพูดต่อเพราะคิดว่าจับทางถูก
“รู้จัก ‘สำนักงานกฎหมายเอเชีย’
ใช่ไหมครับซีอีโอ ที่นั่นเป็นของพ่อตาของท่านประธานใหญ่ครับ อายุเก้าสิบกว่าแล้ว
ตอนนี้ลูกชายเลยมาบริหารแทนแต่ความสัมพันธ์ระหว่างอูมยองของเรากับสำนักงานกฎหมายเอเชียก็แทบไม่ต่างอะไรกับญาติสนิทครับ
ทางนั้นเป็นคนจัดการเคลียร์ปัญหาทางกฎหมายทั้งหมดให้
ดังนั้นอูมยองเลยมีทีมกฎหมายขนาดเล็กเมื่อเทียบกับกรุ๊ปอื่น
ๆเพราะไม่จำเป็นต้องขยายเพิ่มครับ”
“งั้นเหรอครับ”
“ครับ”
“อืม...”
เรื่องนี้ดึงดูดความสนใจได้จริง ๆ
กฎหมายของประเทศเราอยู่ข้างคนรวย
เพราะฉะนั้นขอแค่มีเงินเยอะก็สามารถเลือกสำนักงานกฎหมายที่ต้องการได้ทุกเมื่อ
และถ้ามีความใกล้ชิดสนิทสนมก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีก
ต่อให้ไปหาหมอที่ไหนก็เข้ารับการตรวจได้เหมือนกัน
แต่มันก็มีเหตุผลที่จำเป็นต้องมีหมอประจำตัวโดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม
ความใกล้ชิดสนิทสนมนั้นต้องข้ามสะพานไปอีกทอด และไม่รู้ด้วยว่าคนของสำนักงานกฎหมายนั่นเป็นคนแบบไหน
มันจึงไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินใจได้ง่าย ๆ
ชางฮุนมองท่าทีลังเลของยองฮุนแล้วพูดเสริม
“ถ้าผมกลายเป็นผู้สืบทอดอูมยอง
เวลาเอชเอสกรุ๊ปเผชิญกับปัญหาทางด้านกฎหมาย ผมสามารถช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่ครับ
แล้ว...”
ยองฮุนตัดบท
“ผมเข้าใจครับ แต่อย่างที่พูดตอนแรก
ผมจะช่วยสนับสนุนกรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนได้หรือไม่...มันค่อนข้างยืนยันยาก
แถมตอนนี้พ่อของกรรมการผู้จัดการก็กำลังพยายามคิดต่าง...”
ระหว่างที่พยายามจะปฏิเสธเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจได้ง่าย
ก็มีเสียงแปลก ๆ ดังมาจากด้านนอก
หลังจากได้ยินคำขอโทษแว่ว ๆ อยู่ ๆ
ก็มีใครบางคนโผล่เข้ามากะทันหัน
ยองฮุนขมวดคิ้วเมื่อเห็นใบหน้าของชายแปลกหน้า
แต่กรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนตกใจพร้อมกับขึ้นเสียงใส่
“อะไรเนี่ย”
“ขอโทษครับกรรมการผู้จัดการ
ท่านประธานมาหา...”
“ว่าไงนะ”
ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นแล้วผายมือไปทางประตูทางเข้า
สถานการณ์วุ่นวายนี้ทำให้ยองฮุนต้องเอ่ยถาม
“คนรู้จักเหรอครับ”
“ครับ เลขาฯส่วนตัวของพี่ชายผม”
สีหน้าของชางฮุนเคร่งเครียดขึ้น
และผ่านไปไม่นานนักก็มีชายหนุ่มอีกคนเดินเข้ามา
หัวหน้าฝ่ายยุนฮีชานตกใจจนลุกขึ้นเหมือนติดสปริง
ส่วนสูงถึงหนึ่งร้อยเก้าสิบและเครื่องหน้าชัดเจนก็ว่าดูดีแล้ว
แถมยังสวมแว่นตาเสริมภาพลักษณ์หนุ่มหล่อผู้ชาญฉลาดมากความสามารถ
อีกฝ่ายก้มศีรษะลงเล็กน้อยให้ยองฮุนก่อนจะพูด
“เฮ้ย...เห็นนายโดดงานกินเลี้ยงทีมธุรกิจแบรนด์มาพบใครบางคน
นึกว่าจะมาเจอผู้หญิงซะอีก”
“มาหาฉันเหรอ ทำไม”
“ทำไมอะไรล่ะ...ก็แค่พี่ชายอยากมาดื่มกับน้องชายสักแก้วหลังจากไม่ได้ทำมานานเอง”
จากนั้นก็นั่งลงข้าง ๆ และทักทายยองฮุน
“สวัสดีครับ ผมคิมโดฮุน
ถ้าเป็นคนที่ชางฮุนของเราพาหัวหน้ายุนมาพบด้วย คงไม่น่าใช่คนธรรมดาแน่นอน...”
“ชเวยองฮุนครับ”
“คุณทำงานอะไรเหรอครับ”
ยองฮุนฉีกยิ้มด้วยสีหน้าสนใจแล้วย้อนถามกลับ
“แล้วคุณทำงานอะไรล่ะครับ”
วินาทีนั้นโดฮุนคิ้วกระตุก
แต่ไม่นานก็ยิ้มแล้วตอบกลับ
“ฮ่า ๆ ขอโทษทีครับ
ผมบริหารบริษัทพลังงานแสงอาทิตย์เล็ก ๆ ชื่ออูมยองโซลาร์เซลล์ครับ”
“อ๋อ งั้นเหรอครับ ทานข้าวมาหรือยังครับ”
“ยังเลยครับ”
“ถ้างั้นก็ต้องสั่งเนื้อเพิ่มสิครับ”
ยองฮุนกดกริ่งเรียกพนักงานเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร
หัวหน้าฝ่ายยุนรีบจัดช้อนกับตะเกียบอย่างรวดเร็ว
ส่วนชางฮุนก็ดื่มเหล้าโดยไม่พูดอะไร เพราะความรู้สึกแย่ ๆ
กำลังทำให้รู้สึกเสียวสันหลัง
การที่พี่ชายมาหากันจะหมายความว่าอะไรล่ะ
เห็นได้ชัดว่าพี่จับตามองความเคลื่อนไหวของตนตลอด
และเมื่อรู้ว่าไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงก็ไล่ตามพิกัดมา
“รู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่”
“พนักงานของฉันผ่านมาแถวนี้พอดีเลยเห็นนายเดินเข้ามาในนี้
ถ้าไม่ได้พนักงานคนนั้น ฉันก็ไม่รู้หรอก”
“คงต้องให้โบนัสนะเนี่ย”
ประธานคิมโดฮุนแค่นหัวเราะก่อนจะหันหน้าไปหายองฮุน
“ถ้าทำแค่นี้แล้วให้โบนัสก็เกินเหตุแล้ว
ว่าแต่ถ้าเป็นคุณชเวยองฮุนละก็ใช่คนของฝ่ายวางแผนและประสานงานของเอชเอสการผลิตหรือเปล่าครับ”
“ดูเหมือนผมจะกลายเป็นคนดังไปแล้วนะครับเนี่ย
คนแปลกหน้ารู้จักชื่อผมกันหมดเลย...”
“ทุกวันนี้เอชเอสกรุ๊ปกำลังได้รับความสนใจมากที่สุดในวงการธุรกิจไม่ใช่เหรอครับ
แถมยังลงนิตยสารว่ามีกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนเป็นศูนย์กลางด้วยท่าทางคงยังไม่เห็นสินะครับ”
“ผมไม่ค่อยอ่านพวกนิตยสารน่ะครับ”
“ดูจากการแต่งตัวแล้วรสนิยมดีมากเลยนะครับ”
“ต้องขอบคุณภรรยาผมครับ
เธอค่อนข้างมีเซนส์ด้านแฟชั่น”
“อ๋อ...ผู้หญิงที่ชางฮุนเคยเที่ยวตามตื๊อ...อิมยอนฮี?
ใช่ไหมครับ”
สีหน้าของชางฮุนเริ่มบูดบึ้ง
แต่ยังไม่ได้รีบออกตัว
เพราะรู้สึกว่ามันแปลก ๆ
ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้พวกเขาพี่น้องต่างคนต่างขัดขากันและกันเป็นนัย
ๆมาตลอด
แต่ก็ไม่เคยขัดขากันออกนอกหน้าจนถึงขั้นสร้างความอับอายให้กันแบบนี้มาก่อน...
ชางฮุนเริ่มใช้ความคิดอย่างบ้าคลั่งทั้ง ๆ
ที่เหงื่อแตกพลั่ก
ท่าทาง...คงมีอะไรบางอย่างที่ตัวเองไม่รู้มาสั่นคลอนจิตใจของพี่ชายอย่างประธานคิมโดฮุนแน่นอน
“ผมทราบว่ากรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนเคยเจอกับภรรยาของผมหลายครั้งก่อนแต่งงาน
แต่ไม่เคยได้ยินว่าเขาตามตื๊อมาก่อนเลยครับ
ภรรยาของผมก็บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีกับกรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนด้วย
ท่าทางจะเข้าใจอะไรผิดนะครับ”
“อ๋อ...จริงเหรอครับ อืม
มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก...”
ถึงจะพยายามกวนประสาท
แต่ทั้งยองฮุนและชางฮุนก็ไม่ได้มีท่าทางอะไรนัก
“มีเรื่องสำคัญอะไรอีกเหรอครับ”
“สนิทกับกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนจากชินยองใช่ไหมครับ”
มันเป็นทิศทางที่คาดไม่ถึง
“แล้วยังไงครับ”
“เพื่อนผมค่อนข้างรู้เรื่องเกี่ยวกับชินยองดี
อันที่จริงผมได้ยินมาว่าเมื่อสองสามปีก่อน กรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนแทบจะ
อืม...จะบอกว่าไม่เอาไหนก็ไม่ใช่ แต่ก็ค่อนข้างเที่ยวเก่งพอสมควร
ผมเคยเจอหลายครั้ง สมัยก่อนก็...นั่นแหละครับ”
“...”
“แต่เมื่อปีก่อน หรือสองปีก่อนนี่แหละ
อยู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนไปครับ ทำงานเก่งแสดงฝีมือได้อย่างโดดเด่น อย่างกับคนละคน
แต่เพื่อนผมยังบอกอีกว่ามีข่าวลือว่ากรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนกลายเป็นแบบนั้นหลังจากสนิทกับกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนน่ะครับ”
ยองฮุนเพียงแค่เอาเนื้อที่หัวหน้าฝ่ายยุนใส่จานไว้ให้เข้าปากโดยไม่ตอบอะไร
หัวหน้าฝ่ายยุนเองก็ย่างเนื้อต่อโดยไม่สนว่าประธานคิมโดฮุนจะพูดอะไรเช่นกัน
พอเห็นยองฮุนทำแบบนั้น
โดฮุนจึงพูดต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียดมากกว่าเดิม
“เพื่อนผมบอกมาว่า...บางทีการที่กรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนเปลี่ยนไปแบบนั้น
อาจจะมีกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนอยู่เบื้องหลัง...”
“มันเป็นความคิดที่ไม่เมกเซนส์เลยครับ”
“ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันครับ
ไม่ดื่มเหล้าเหรอครับ สันนอกต้องทานคู่กับไวน์นะ”
โดฮุนเรียกพนักงานมาสั่งไวน์หนึ่งขวด
จากนั้นก็ชิงคว้าที่เปิดไวน์จากพนักงานมาเปิดขวดอย่างชำนาญแล้วรินใส่แก้วให้ยองฮุน
ก่อนจะยิ้มแปลก ๆแล้วพูด
“พวกเรามาสนิทกันเถอะครับ”
“ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ”
“ว่าแต่กำลังคุยอะไรกับน้องผมอยู่เหรอครับ”
“เรื่องงานที่อินเดียน่ะครับ”
โดฮุนยิ้มกว้างพร้อมกับเคาะศีรษะตัวเอง
“อ๋อ~ จริงด้วย
อย่างนั้นนี่เอง กำลังสร้างสนามบินใหม่ที่อินเดียด้วยกันใช่ไหมครับ งั้นหรือว่าไอเดียที่ให้ชินยอง
เอชเอสคอนสตรัคชั่น แล้วก็อูมยองของพวกเรามาทำกิจการค้าร่วมกันจะเป็นของ...”
“นั่นเป็นความเห็นของกรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนครับ”
ชางฮุนกล่าวขอบคุณด้วยสายตาเล็กน้อย
โดฮุนมองหน้าชางฮุนก่อนจะตอบกลับ
“อย่างนั้นสินะครับ บางครั้งน้องผมก็มีช่วงเวลาที่ไอเดียบรรเจิดเหมือนกัน”
โดฮุนคีบเนื้อที่หัวหน้าฝ่ายยุนย่างหลังพนักงานนำมาเสิร์ฟเพิ่มเข้าปากลวก
ๆสองสามชิ้นแล้วสบตากับยองฮุน
“ที่ชวนให้มาสนิทกันในอนาคต
ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับ ถ้าอูมยองกับเอชเอสสนิทกัน
ความร่วมมือระหว่างกันและกันก็คงจะยอดเยี่ยมมาก ด้านก่อสร้างก็คุยกับน้องผม
แล้วถ้ามีเรื่องเกี่ยวกับภาพที่กว้างกว่านั้น ติดต่อผมได้ทุกเมื่อเลยนะครับ”
“ได้ครับ”
“ขอบคุณสำหรับอาหารนะครับ
เนื้อย่างที่นี่อร่อยดี แต่คราวหน้าผมจะพาไปที่ที่ดีกว่านี้ครับ”
หลังจากพูดแบบนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกไป
เนื่องจากอีกฝ่ายรูปร่างสูงใหญ่เกินหนึ่งร้อยเก้าสิบ
พอเขาไปแล้วก็รู้สึกได้ว่ามีพื้นที่มากขึ้น
“ฮู่...ขอบคุณครับ”
หัวหน้าฝ่ายยุนแอบตามไปสำรวจข้างนอกพร้อมกับค้อมศีรษะ
“ไปแล้วเหรอ”
“อืม สำรวจรอบ ๆ แล้ว
ไม่มีใครที่น่าสงสัย”
“โอเค นั่งลง”
ชางฮุนพยายามทำเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร
แต่ยองฮุนรู้อยู่แล้วว่าชางฮุนรู้สึกอย่างไร
“ผมว่าเขาไม่ได้ยินเรื่องที่พวกเราคุยกันหรอก ไม่ต้องกังวลครับ”
ถึงจะเป็นคำพูดของยองฮุน
แต่ชางฮุนก็ไม่อาจผ่อนคลายสีหน้าได้ในทันที
“มันเป็นการเตือนครับ
ว่าเขาคอยจับตามองผมอยู่ตลอด”
“แค่นั้น อืม...ถึงอย่างนั้นพี่ชายก็ใช้ได้เลยนะครับ
ปกติน่าจะติดต่อมานัดเจอกันนอกรอบต่างหาก”
“เพราะก่อนจะมาที่นี่
เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณไงครับ คงจะคิดว่ามันราบรื่นดี
จงใจแสดงไมตรีจิตกับคุณต่อหน้าผม เพราะคิดว่าจะทำให้ผมรู้สึกหมดหนทางได้ครับ”
“ไม่ต้องกังวลมากเกินไปหรอกครับ ถึงยังไงก็ไม่ได้สู้เพื่อเอาชีวิตไม่ใช่เหรอ”
“ในสายตาของกรรมการผู้จัดการ
มันคงดูเหมือนการทะเลาะระหว่างพี่น้องธรรมดา ๆ สินะครับ”
“มันก็...”
พูดตามตรงเนื่องจากไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างพ่อกับลูกชายที่ต้องเดิมพันทุกอย่างในชีวิตแบบชินยอง
แน่นอนว่านํ้าหนักในสายตาของยองฮุนจึงลดลง
ไม่ว่าบ้านนี้หรือบ้านนั้นก็เหมือนไม่ใช่ครอบครัว
จะเรียกว่ามองแล้วน่าสนใจดีได้ไหมนะ
ยองฮุนถามชางฮุนที่กำลังอารมณ์เสียเล็กน้อย
“ถึงระหว่างทางมันจะวุ่นวายจนลากยาว
แต่สรุปคือกรรมการผู้จัดการบอกพ่อให้วางมือจากฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ไม่ได้ใช่ไหมครับ”
“ครับ? จะให้พูดตรง
ๆ มันก็...”
“ถ้างั้นหาโอกาสนัดหมายให้ผมได้พบท่านประธานใหญ่สักครั้งนะครับไม่ต้องโจ่งแจ้ง”
หัวหน้าฝ่ายยุนฮีชานเข้าใจอย่างรวดเร็ว
“อีกหนึ่งอาทิตย์จะมีงานวันสถาปัตยกรรม
ถ้าไปแถวนั้นจะมีร้านอาหารที่ท่านประธานใหญ่ต้องแวะทานอยู่ครับ”
“ดีเลยครับ
แล้วประธานคิมโดฮุนจะมาด้วยหรือเปล่า”
“ไม่ครับ เพราะเป็นวันสถาปัตยกรรม
ประธานอูมยองโซลาร์เซลล์เข้าร่วมคงไม่เหมาะ”
“ผมจะตัดสินใจหลังจากพบท่านประธานใหญ่ตอนนั้นแล้วกันนะครับ”
ชางฮุนถามด้วยสีหน้างุนงง
“อะไร...”
“จะช่วยสนับสนุนคุณเป็นผู้สืบทอดอูมยองกรุ๊ป
หรือจะเลิกให้ความสนใจดีผมจะตัดสินใจหลังจากได้เจอพ่อของคุณครับ”
บทที่ 205 เดอร์ตี้เพลย์
(1)
ห้องสวีตของโรงแรม ระดับห้าดาวในโซล
ชาฮยองซอกมองกระจกและพูดขณะสวมเสื้อเชิ้ต
“ไอ้เวรนั่นโคตรตลก อยู่ ๆ
ก็มาบอกว่าเธอไม่ใช่นักข่าว แล้วนักข่าวฝึกหัดไม่ใช่นักข่าวหรือยังไง”
“นั่นสิคะ โอ๊ย~ หงุดหงิดจัง
ตัวเองเป็นใครถึงดูถูกนักข่าวฝึกหัด”
วังกาฮีที่ร่างกายเปลือยเปล่ารู้สึกหงุดหงิดพลางดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงหน้าอก
“แต่ก็นั่นแหละ พวกคนจนน่ะ
พอมีเงินเข้าหน่อยก็เหยียดคนจนยิ่งกว่าเดิมพวกโง่...ไพร่ที่เข้ามาอยู่ในตระกูลแล้วนึกว่าตัวเองกลายเป็นขุนนางจริง
ๆ”
“ถ้างั้นฉันก็เป็นไพร่เหมือนกันเหรอ”
เมื่อวังกาฮีเหลือบมองแล้วเอ่ยถาม
ชาฮยองซอกก็ยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง
“ไม่ถึงขนาดไพร่หรอกน่า
อนุของขุนนางเขาไม่เรียกว่าไพร่แล้ว”
“อืม...อนุ?”
“ยายบ้า...ทำไม งั้นเธออยากแต่งงานกับฉันหรือไง”
“ก็ไม่ใช่อย่างนั้น...”
ชาฮยองซอกหัวเราะเยาะเธอและหันมามองกระจกอีกครั้ง
“ดีเลย
ถ้าเป็นคนพูดว่านักข่าวฝึกหัดไม่ใช่นักข่าว แสดงว่าเบื้องหลังก็ไม่มีทางใสสะอาด
อ้อ ว่าแต่รู้ได้ยังไงว่าเธอเป็นแค่นักข่าวฝึกหัด ไม่มีทางที่หมอนั่นจะจำรายชื่อนักข่าวของเราได้...”
“เพราะเจอกันที่ร้านกาแฟในตึกสำนักงานใหญ่
เป็นไปได้ไหมคะว่ามีคนจำฉันได้แล้วแอบบอกเรื่องตัวตนของฉัน”
“เวรเอ๊ย ถ่ายหนังอะไรอยู่
ศูนย์ศูนย์เจ็ดเหรอ แค่เห็นหน้าเธอก็มีประวัติส่วนตัวโผล่ออกมาเลยหรือไง”
“อาจจะเป็นแค่คนที่รู้จักฉันเป็นการส่วนตัวก็ได้ค่ะ”
เขาหยุดชะงักก่อนจะขมวดคิ้วและสบถออกมา
“ยายบ้าเอ๊ย...ฉันสั่งให้เธอเล่นโซเชียลแต่พอดีแล้วใช่ไหม
พอใส่ชุดว่ายนํ้าแล้วโพสต์รูปบ้า ๆ แบบนั้นก็มีคนจำเธอได้เยอะไม่ใช่หรือไง
คำนึงถึงหน้าตาของผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่านักข่าวหน่อย”
“พี่ก็ดูมันแล้วเรียกฉันมาหาเหมือนกันนี่คะ”
“มันคนละเรื่องกัน ยายนี่หนิ โธ่โว้ย
ไม่งั้นก็คงทำให้มันขายขี้หน้าได้จัง ๆสักรอบแล้ว...”
“งั้นตอนนี้จะทำยังไงต่อล่ะคะ”
ชาฮยองซอกผูกเนกไทเงียบ ๆ แทนคำตอบ
ตอนแรกก็คิดว่าจะปล่อยผ่านไปเฉย ๆ
แต่ก็เปลี่ยนความคิด
เหตุผลก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ
เพราะหมอนั่นแต่งงานกับผู้หญิงที่สวยกว่าฮันจูยอนที่ตัวเองกำลังจะแต่งงานด้วย
ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่ไพร่...
ถึงจะไม่เคยลองพูดคุยกับสาวสวยคนนั้นสักครั้ง
แต่แค่นั้นมันก็ทำให้ภายในใจของเขาขุ่นเคืองแล้ว
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง เธอไม่ต้องยุ่งแล้ว”
“ค่ะ...”
พอเธอทำหน้ามุ่ยคอตก
เขาก็หยิบบัตรออกมาจากกระเป๋าสตางค์แล้วโยนไปที่เตียง
“เอาบัตรนี้ไปซื้อเสื้อมาใส่สักตัว”
“ว้าว! ซื้อของแพง ๆ ได้ไหมคะ”
“ซื้ออันที่มันพอเหมาะ
อย่าเที่ยวเอาไปใช้เกินตัวหรืออวดใส่เพื่อน ๆ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ฉันกลับละ”
เขาสวมสูทอย่างสุภาพเรียบร้อยและออกมาจากห้อง
จากนั้นก็เหลือบมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะกดโทร.ไปที่ไหนสักแห่ง
“สวัสดีค่ะหัวหน้าฝ่าย”
“อืม ฉันเอง รู้จักชเวยองฮุน
เอชเอสการผลิตไหม”
“หมายถึงกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนที่กำลังโด่งดังในตอนนี้ใช่ไหมคะ”
“ใช่ หมอนั่นแหละ ไม่รู้สึกแปลก ๆ หรือไง
ไม่ใช่ตระกูลมหาเศรษฐีด้วยซํ้า
แต่เข้าหาลูกสาวคนเดียวของตระกูลมหาเศรษฐีแล้วแต่งงานได้ยังไง”
“ตอนเขาแต่งงาน ฉันก็เคยสงสัยเหมือนกันเลยลองสืบดู เห็นว่าเป็นเพื่อนร่วมงานกันนะคะ”
“เพื่อนร่วมงานก็ไม่ได้แค่มีหมอนั่นคนเดียวนี่นา”
“ก็...ใช่ค่ะ”
“นักข่าวยุนก็รู้ว่ามหาเศรษฐียอมแต่งงานกับคนธรรมดาง่าย
ๆ ที่ไหน”
“ฉันทราบค่ะว่ามันยากมาก”
“มันยากมาก แต่มันก็มีกรณีแบบนั้นอยู่บ่อย
ๆ ไม่ใช่เหรอ ปลอมระดับการศึกษา ปลอมบัญชีทรัพย์สินเข้าหา
แล้วปอกลอกหลังแต่งงาน...เข้าใจหรือเปล่า”
“อ๋อ~ ค่ะ เข้าใจค่ะ ว่าแต่ทำไมต้องเป็นกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุน...”
“ฉันแค่สงสัย เลิฟสตอรี่ของผู้ชายธรรมดา ๆ
ที่เติบโตมาในครอบครัวทั่วไปแต่ได้แต่งงานกับลูกสาวคนเดียวของครอบครัวมหาเศรษฐี
คนอื่นก็น่าจะอยากรู้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ค่ะ เพราะฉะนั้นปีที่แล้วพวกเราก็เลยตั้งใจจะทำข่าวเหมือนกัน แต่มันไม่ง่ายเลย...”
“ทำไมถึงไม่ง่าย”
“ทางเอชเอสกรุ๊ปไม่ต้องการเผยแพร่เรื่องนั้นออกสื่อค่ะ ดังนั้นพิธีแต่งงานเลยแทบจะไม่ได้ออกข่าว ขนาดทางกองบรรณาธิการก็ยังห้ามว่าอย่าพยายามเขียนเรื่องราวของคู่นั้นเลย...”
“เฮ้ย...ใครมันทำพลาดแบบนั้น พวกเราต้องคอยแคร์คนอื่นแล้วเขียนข่าวตั้งแต่เมื่อไหร่
หา!”
“ขอโทษค่ะ”
“นักข่าวยุน
อย่าทำเรื่องให้ต้องมานั่งขอโทษสิ ตัวเธอเองก็เห็นฉันที่อเมริกามานาน
รู้ว่านิสัยฉันเป็นยังไงนี่นา ต้องช่วยให้ฉันปรับตัวเข้ากับชีวิตในเกาหลีให้ได้สิ”
“ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่ค่ะ”
“ถึงฉันจะไม่ได้สนใจด้านสื่อ
แต่ฉันมองอยู่เฉย ๆ ปล่อยให้บริษัทก้าวไปในทิศทางที่ผิดไม่ได้หรอกนะ”
“แน่นอน หัวหน้าฝ่ายพูดถูกค่ะ”
“อะแฮ่ม...ฉันไม่ได้ว่าอะไรนักข่าวยุนนะ
ฉันแค่รู้สึกอึดอัด อย่าด่าฉันในใจล่ะ”
“โธ่ พูดอะไรกันคะ ถ้าทำผิดก็ต้องโดนตำหนิอยู่แล้ว ครั้งต่อไปจะได้ไม่ทำผิดพลาดแบบนี้ แล้วก็ทำให้ดีขึ้นไม่ใช่เหรอคะ”
“นั่นแหละ...เพราะแบบนี้ไงฉันถึงชอบนักข่าวยุน
พวกเราเคยมีความสุขที่อเมริกากันนี่นา ใช่ไหม ฮะ ๆ ๆ...”
“แน่นอนค่ะ ตอนนั้นมีความสุขมาก ๆ เลย”
“อะแฮ่ม...ดังนั้นลองไปสืบดู ใครจะไปรู้
อาจจะเจออะไรสนุก ๆ สักอย่างก็ได้”
“รับทราบ! ฉันจะตั้งใจสืบนะคะ”
“โอเค ตั้งใจล่ะ!”
เขาวางสายและขึ้นลิฟต์มาที่ร้านอาหารชั้นสองก่อนจะมองไปรอบ
ๆ
เมื่อพบหญิงสาวนั่งอยู่ริมหน้าต่างไกล ๆ
ด้วยท่าทางสง่างามราวกับภาพวาดจึงยิ้มกว้างแล้วเดินเข้าไปหา
“รอนานแล้วใช่ไหมครับ”
“ไม่เลยค่ะ ไม่นานเท่าไหร่”
ทันทีที่ฮันจูยอนลุกขึ้น
เขาก็รีบโบกมือให้เธออย่างรวดเร็วพร้อมกับห้ามปราม
“นั่งเถอะครับ ยืนขึ้นมาทำไม
ผมตั้งใจจะมาเร็ว
แต่มีตติ้งนานมาก...ไม่สิพอดีพนักงานคนหนึ่งทำงานพลาดอย่างร้ายแรงน่ะครับ
เลยต้องใช้เวลาจัดการนานมาก”
“คงยุ่งน่าดูเลยนะคะ ไม่เป็นไรค่ะ
แล้วอาหาร...”
“คอร์สอาหารกลางวันมื้อพิเศษของที่นี่ใช้ได้เลยครับ”
เขาเรียกพนักงานมาสั่งอาหารก่อนจะถาม
“ที่บ้านคุณคิดยังไงกับผมเหรอครับ”
“บอกว่าดีมาก ๆ ค่ะ”
“จริงเหรอครับ ค่อยยังชั่วหน่อย”
“แหม พวกเขาต้องชอบอยู่แล้วค่ะ
คิดว่าไม่ชอบเหรอคะ”
“ความจริงเกรดผมไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ
ไม่ใช่คนชอบเที่ยว แต่ก็ไม่ได้ชอบเรียนด้วย...เข้าใจใช่ไหมครับ”
“ฮ่า ๆ
เข้าใจค่ะ...แต่ฉันนึกว่าคุณฮยองซอกเรียนเก่งซะอีก”
“เปล่าครับ ผมแค่ชอบเล่นเกม
แล้วก็ต้องเรียกว่าเป็นโอตาคุหน่อย ๆไหมนะ เพราะฉะนั้นเกรดเลยตํ่า แอบกังวลว่าจะผิดหวังกันน่ะครับ
ทางบ้านคุณจูยอนน่าจะสืบเบื้องหลังผมมาหมดแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
จูยอนตกใจพลางโบกมือ
“อุ๊ย ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ สืบอะไรกัน”
“ถึงคุณจูยอนจะไม่รู้
พวกเขาก็คงสืบมาพอประมาณแล้วละครับ แต่ในเมื่อบอกว่าไม่เป็นไร
แสดงว่าคงจะยอมรับเกรดแย่ ๆ ของผมได้ ฮ่า ๆ ๆ!”
เมื่อเห็นเขายิ้มกว้าง จูยอนก็ยิ่งชอบเขา
ถ้าเป็นตัวเองคงจะอายจนไม่กล้าพูดออกมาก่อน
แต่พอเห็นเขาตอบอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่มีลังเล เธอก็รู้สึกว่าต่อให้แต่งงานกันแล้ว
เขาก็เป็นผู้ชายที่เธอมอบความเชื่อใจได้
“ดีใจนะคะที่คุณคิดแบบนั้น...แต่ฉันมั่นใจว่าพวกเขาไม่ได้สืบเบื้องหลังอะไรแน่นอนค่ะ”
“ถ้าไม่ใช่ก็โล่งอกไปทีครับ อ้อ
คุณกำลังปวดหัวเพราะร้านดิวตี้ฟรีที่สนามบินอินชอนใช่ไหมครับ”
แววตาของจูยอนเปล่งประกาย
“อันที่จริงก็ใช่ค่ะ”
“มันเป็นงานของคุณจูยอน แต่ผมทนอยู่เฉย ๆ
ไม่ได้ครับ ความจริงแล้วนับจนถึงตอนนี้ร้านดิวตี้ฟรีที่ตั้งอยู่ตรงเมนหลักของสนามบินอินชอนอยู่ที่เดิมมาห้าปีแล้วนี่นา
มันถึงเวลาเปลี่ยนแล้วครับ
เดี๋ยวภายในสองสามวันผมจะยกประเด็นขึ้นมาระหว่างนำเสนอข่าว
ความคิดเห็นของประชาชนก็จะเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติเองครับ”
“ขอบคุณนะคะ”
“ขอบคุณอะไรกันครับ มันเป็นสิ่งที่สมควรทำอยู่แล้ว”
ชาฮยองซอกมองเธออย่างอบอุ่นด้วยรอยยิ้มในดวงตา
ณ ห้องประธานบริษัทชินยองประกันภัย
ประธานอีเซมินมองสลับไปมาระหว่างกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนกับประธานธนาคารชินยองอย่างมาซอกแดก่อนจะถาม
“ขาดหนึ่งคนสินะ ใช่ไหม”
ประธานธนาคารมาซอกแดพยักหน้า
“ใช่ครับ เพราะตามข้อบังคับของบริษัท
การปลดประธานกรรมการจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมีกรรมการมากกว่าครึ่งเห็นชอบด้วย”
“คนเดียว...แค่คนเดียวนี่แหละปัญหา
มันจะเป็นไปได้ไหม”
ฮยองจุนขมวดคิ้วแล้วพูด
“ก่อนอื่นมั่นใจแล้วห้าคน
ส่วนที่เหลืออีกห้าคนค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวพ่อมากครับ
ไม่ว่าจะลองขุดคุ้ยเบื้องหลังยังไงก็ไม่มีอะไรที่พอจะใช้เป็นจุดอ่อนได้เลย”
“แปลว่าแกจับจุดอ่อนของคนอื่นแล้วเกลี้ยกล่อมสินะ”
“เรื่องนั้นอาไม่จำเป็นต้องรู้หรอกครับ
รู้ไปก็ไม่มีอะไรดี...”
“นั่นสินะ ตามนั้นแล้วกัน
แกคงจัดการได้ดีอยู่แล้ว”
ไม่ใช่แค่พูดเฉย ๆ
แต่ประธานอีเซมินไม่ได้อยากรู้เลยว่าฮยองจุนเกลี้ยกล่อมครึ่งหนึ่งของคณะกรรมการมาได้อย่างไร
เพราะกลัวว่าทันทีที่ได้รู้เรื่องนั้นแล้วปรากฏว่าฮยองจุนเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมายขึ้นมา
ตัวเองจะพลอยโดนหางเลขไปด้วย
“เอาเป็นว่าสิ่งที่ผมพบก็คือมันยากสำหรับผมในการโน้มน้าวพวกเขาครับ”
“แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าจะมีคนที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดไม่ใช่เหรอ”
“ไม่รู้เลยครับ
แต่หนึ่งในนั้นมีคนที่ต้องเกลี้ยกล่อมให้ได้โดยไม่มีข้อแม้”
“ใครล่ะ โคอิเกะ ยูริโกะ เหรอ”
“ถูกต้องครับ”
ประธานอีเซมินกระตุกปากแล้วล้างปากด้วยชาก่อนจะกล่าว
“โรยัลเมเจอร์ถือหุ้นของชินยองไฟแนนเชียลกรุ๊ปอยู่เท่าไหร่”
“ประมาณเจ็ดเปอร์เซ็นต์ครับ”
เธอเป็นคณะกรรมการของชินยองไฟแนนเชียลกรุ๊ป
และเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นที่อยู่อันดับต้น ๆ ของรายชื่อผู้ถือหุ้นในเวลาเดียวกัน
“ถ้าผู้หญิงคนนั้นยอมมาอยู่ข้างเราก็ไม่มีอะไรต้องกลัว
แต่จะเป็นไปได้ไหม”
“เธอเป็นคนเดียวที่ไม่ได้สนิทกับพ่อลึกซึ้งขนาดนั้น
ต่างกับกรรมการคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ข้างพ่อ ดังนั้นถ้าเธอยอมมาอยู่ข้างเราได้
เธอก็จะค่อนข้างมีอำนาจ...แต่พอคิดถึงหุ้นที่เธอถืออยู่แล้ว ไม่ว่ายังไงก็เป็นคนที่ต้องดึงมาให้ได้ครับ”
“เรื่องนั้นมันก็จริง
เพราะเธอแค่รับสืบทอดโรยัลเมเจอร์ต่อมา มันเลยเหนื่อยกว่าเดิมนี่ไง
เท่าที่ฉันรู้มา เธอรักปู่ที่เสียไปแล้วมาก
ไม่เคยคิดจะต่อต้านเจตนารมณ์ของปู่ตัวเองเลยสักนิด”
“ผมก็รู้มาอย่างนั้นเหมือนกันครับ
มันไม่มีวิธีเลย เพราะการเกลี้ยกล่อมเธอให้ได้มันไม่ใช่ทางเลือกครับ”
“แล้วแกลองคิดอะไรไว้บ้างไหม”
ฮยองจุนส่ายหน้าสีหน้าเคร่งเครียด
“ยังครับ...”
“ประธานธนาคารมาล่ะ”
“ผมก็ไม่มีไอเดียอะไรเหมือนกันครับ”
ประธานอีเซมินพูดพลางมองฮยองจุนอย่างไม่สบอารมณ์
“จิ๊ ๆ...ทำไมแกแย่กว่าแฟนแกอีกเนี่ย”
“แฟนผมเก่งจริง
แต่ต้องเอามาเปรียบเทียบกันด้วยเหรอครับ”
“เพราะมันเทียบกันได้ ฉันถึงเทียบไง
ถ้างั้นแบบนี้เป็นไง”
“หมายถึงอะไรครับ”
“แกรู้ไหมว่าเดิมทีชินยองประกันภัยเป็นของบริษัทไหน”
“ครับ
ดงยองประกันภัยที่ตอนนี้หายไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“ถูกต้อง
สมัยก่อนพ่อฉันอยากทำธุรกิจประกัน
แต่รัฐบาลไม่ยอมอนุมัติดังนั้นก็เลยไม่มีทางเลือก
ถ้าคิดจะทำธุรกิจประกันก็ต้องซื้อกิจการ แต่บริษัทที่สะดุดตาก็คือดงยองประกันภัย
รู้ไหมว่าพ่อฉันทำยังไง”
ฮยองจุนเอียงศีรษะ
“หรือว่า...”
“ใช่ ก็รู้หนิ
พ่อกระจายข่าวลือด้านลบเกี่ยวกับดงยองประกันภัยอย่างต่อเนื่องเช่น
ประธานบริษัทในเวลานั้นทำผิดศีลธรรม
มีอาการสมองเสื่อมระยะแรกแล้วขายบริษัทให้ต่างชาติราคาถูก เป็นต้น
แพร่ข่าวลือที่ไม่สมเหตุสมผล แต่ตอนนั้นมันได้ผลนะ
ประชาชนเรียกร้องให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง จนเรื่องผิดกฎหมายเล็ก ๆ น้อย ๆ
ที่ครอบครัวของประธานบริษัทเคยทำปรากฏขึ้น”
“จริง ๆ เมื่อเทียบกับคนมีเงินเยอะ ๆ
คนอื่นแล้ว มันไม่ใช่จุดด่างพร้อยด้วยซํ้าถูกไหมครับ”
“อืม พูดตามตรง
ถ้าอัยการขุดคุ้ยแล้วเข้าไปจับใครสักคน เคยมีใครรอดด้วยเหรอ เรื่องผิดศีลธรรมน่ะ
ตอนนั้นใครบ้างที่ไม่ทำ ส่วนเรื่องทุนต่างชาติถ้านำเสนอข่าวสักข่าวโดยไม่ระบุตัวตนของผู้ให้ข้อมูล
มันก็สั่นคลอนความคิดเห็นของประชาชนได้อย่างน่าเชื่อถือแล้ว
สุดท้ายพวกเราก็ได้กินเรียบ ถึงจะไม่ได้กินถูก ๆ
แต่สิ่งที่สำคัญก็คือเราได้กินของที่ไม่สามารถกินได้ในราคาที่เหมาะสมไม่ใช่เหรอ”
“มันก็จริงอยู่...”
“ทำไม
ตกใจที่ฉันชวนทำให้พี่ชายฉันเสื่อมเสียหรือไง”
“พูดตามตรงก็ใช่ครับ”
“เด็กโง่ ถ้าเจอศัตรูอยู่กลางสนามรบ
ฉันก็ต้องฆ่าเพื่อเอาชีวิตรอดไอ้ลูกหมานี่ไม่ได้สืบทอดสายเลือดพี่ชายฉันจริง ๆ
สินะ มีมุมอ่อนโยนกับเขาด้วย”
ฮยองจุนสูดลมหายใจด้วยสีหน้าเก้อเขิน
และหลังจากจัดระเบียบความคิดอยู่สักพักก็พูด
“ก่อนอื่นถ้าปล่อยข่าวลือในแง่ลบเกี่ยวกับฝั่งพ่อ
อาจจะมีความเป็นไปได้ที่ทำให้โคอิเกะ ยูริโกะ หวั่นใจสินะครับ”
“ไม่ใช่แค่อาจจะมีความเป็นไปได้
แต่คงจะหวั่นใจแน่นอน สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นเหลืออยู่ก็คือมรดกของปู่เท่านั้น
ถ้าบอกว่าราคาหุ้นของชินยองอาจจะร่วงหนัก คงตกใจมากเลยมั้ง”
“แต่ก็อาจจะคิดว่ามันเป็นข่าวลือที่พวกเราจงใจปล่อย
เพื่อครอบครองสิทธิ์ในการบริหารก็ได้นะครับ”
“แน่นอนว่าคงคิดอย่างนั้น
ถ้างั้นควรทำยังไงล่ะเนี่ย”
“...ถึงอย่างนั้นก็ต้องทำให้มันดูน่าเชื่อถือจนพอจะทำให้คิดว่าอาจจะเป็นความจริงครับ”
ประธานอีเซมินตบมือ
“นั่นแหละ! งั้นต้องลองวางแผนดูกันสักตั้ง
ประธานธนาคารมา เย็นนี้มีนัดหรือยัง”
“ไม่มีครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็มากินข้าวกับฉันแถว ๆ
นี้สิ”
กินอาหารกันสองคนแถว ๆ บริษัท
เจตนาคือแอบหวังให้ข่าวลือแพร่กระจายออกไปว่าพวกเขาสองคนร่วมมือกันแล้ว
เพื่อป้องกันไม่ให้ประธานธนาคารมาเปลี่ยนใจเป็นอื่น
ประธานธนาคารมาก้มศีรษะลง
“รับทราบครับ”
บทที่ 206 เดอร์ตี้เพลย์
(2)
รองประธานใหญ่อีเซจุน มาทำงานตอนเช้าและเปิดทีวีพร้อมกับดื่มอเมริกาโน่ร้อนเหมือนทุกครั้ง
เพราะการฟังข่าวเศรษฐกิจต่าง ๆ
ในรถระหว่างเดินทางมาทำงาน
ก่อนจะมาดูข่าวอีกครั้งในห้องรองประธานใหญ่เพื่อไม่ให้พลาดเรื่องอะไรไป
มันเป็นกิจวัตรประจำวันของเขา
รายการที่ออกอากาศอยู่ตอนนี้เป็นการหยิบยกปัญหาทางเศรษฐกิจต่าง
ๆแล้วเชิญผู้เชี่ยวชาญมาพูดคุย...
เขาเอนหลังพิงโซฟาดูข่าวอย่างสบายใจ
ก่อนจะตกใจเด้งตัวมาข้างหน้าเหมือนติดสปริง
[จากข้อมูลข่าวลือที่แพร่กระจายอยู่ทั่วตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่เช้าวันนี้ว่ากันว่า
รองประธานใหญ่อีเซจุนจากชินยองไฟแนนเชียลกรุ๊ปจะจบสงครามระหว่างพี่น้อง
พร้อมกับวางแผนจะขายสามบริษัทนี้คือ ชินยองหลักทรัพย์และการลงทุน ชินยองประกันภัย
และหลักทรัพย์จัดการกองทุนชินยองมอร์แกนสแตนลีย์ คิดว่ายังไงบ้างครับ]
[ตอนนี้สถานการณ์ของชินยองกรุ๊ปค่อนข้างจะวุ่นวายมากจริง
ๆ ครับ จากสงครามระหว่างพี่น้อง
โดยเฉพาะเรื่องที่ว่ามรดกของประธานใหญ่อีคยองโฮที่เสียชีวิตไปแล้วจะส่งต่อให้ฝ่ายไหนมากกว่ากัน
น่าจะทำให้เกิดผลกระทบที่ใหญ่พอสมควรครับ
ปัญหาคือพอรองประธานใหญ่อีเซจุนคิดจะเคลียร์สงครามระหว่างพี่น้องให้เรียบร้อย
อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะอยากจัดการกับชินยองประกันภัยนะครับ]
[อย่างน้อย ๆ
ก็อยากจัดการชินยองประกันภัยมากที่สุดในสามบริษัทนี้ใช่ไหมครับ]
[ครับ ถูกต้อง
ต่อให้ยึดอำนาจบริหารของกรุ๊ปมาได้อย่างสมบูรณ์
แต่ประธานอีเซมินก็ถือหุ้นของชินยองประกันภัยอยู่มากกว่าสิบเปอร์เซ็นต์
อาจจะมองว่าเป็นหนามยอกอก ถ้ามีผู้ซื้อที่เหมาะสมก็คงอยากขายครับ]
ถ้ามีคนมาถามว่าอยากขายหรือเปล่า
แน่นอนว่ารองประธานใหญ่อีเซจุนคงจะตอบว่าใช่
เพียงแต่ความรู้สึกอยากขายกับการพูดออกมาจากปากในสถานการณ์นี้มันเป็นคนละเรื่องกัน
ผู้บริหารที่เคยทำงานให้ธนาคารชินยองก็อยู่ในชินยองหลักทรัพย์และการลงทุน
ผู้บริหารที่เคยอยู่ชินยองประกันชีวิตก็กำลังทำงานอยู่ในชินยองประกันภัยเช่นกัน
มันคือรูปแบบของการหมุนเวียนงานภายในกรุ๊ป
หากพูดเหมือนมั่นใจออกมาตรงนี้ว่าจะตัดชินยองประกันภัยทิ้ง
ผู้บริหารและพนักงานของชินยองประกันภัยจะต้องกระสับกระส่ายแน่นอน
รองประธานใหญ่อีเซจุนตะโกนเสียงดังขณะตรึงสายตาไว้ที่ข่าว
“เฮ้ย! เข้ามาซิ!”
เสียงตะโกนของเขาทำให้หัวหน้าฝ่ายเลขานุการรีบเข้ามาอย่างรวดเร็วจากนั้นรองประธานใหญ่อีเซจุนก็ชี้ไปที่ข่าวโดยไม่พูดอะไร
[อืม...อย่างนั้นสินะครับ
ถ้าอย่างนั้นข่าวลือที่แพร่กระจายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์อาจจะไม่ใช่เรื่องโกหกทั้งหมดก็ได้ใช่ไหมครับ]
[ถึงจะยังยืนยันไม่ได้
แต่เรื่องราวที่ออกมาตอนนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีมูลครับ]
[ถ้างั้นชินยองหลักทรัพย์และการลงทุน
กับหลักทรัพย์จัดการกองทุนชินยองมอร์แกนสแตนลีย์ล่ะครับ]
[สำหรับส่วนนี้
หากจะไม่พูดถึงผู้เป็นสาเหตุทำให้เกิดสงครามระหว่างพี่น้องในขณะนี้อย่างกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนก็คงจะไม่ได้ครับ
ถึงจะไม่รู้ว่าห่างเหินกับพ่อด้วยเหตุผลอะไร แต่ยังไงก็ตาม
เรื่องที่ผู้บริหารของชินยองหลักทรัพย์ฯและหลักทรัพย์จัดการกองทุนชินยองมอร์แกนสแตนลีย์
สองแห่งนี้สนิทสนมกับกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนมาก
ทุกคนต่างรับรู้โดยทั่วกันแม้จะเป็นคนที่รู้เรื่องภายในของชินยองกรุ๊ปแค่เล็กน้อยก็ตามครับ]
[อย่างนี้นี่เอง
ถ้ามองอย่างนั้นก็แสดงว่าเรื่องเกี่ยวกับการขายบริษัททั้งสามแห่งก็ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้ใช่ไหมครับ]
[แต่อาจจะมีโอกาสน้อยกว่าชินยองประกันภัยเล็กน้อยครับ
เพราะถึงยังไงพวกเขาเป็นแค่ผู้บริหารมืออาชีพเท่านั้น]
[ปัญหาคือมีเรื่องอื่นอยู่ในข่าวลือนี้ด้วยครับ
มีเนื้อหาเกี่ยวกับรองประธานใหญ่อีเซจุนที่ค่อนข้าง...จะเป็นปัญหาด้วย
คิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้ครับ]
“ไอ้เวรพวกนี้...”
รองประธานใหญ่อีเซจุนทำสีหน้าเหลืออด
คำที่ควรพูดกับคำที่ไม่ควรพูด...
[มีปัญหาอยู่แล้วครับ
การเผยแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวแบบนี้แน่นอนว่าต้องมีการสืบสวนให้กระจ่างครับ]
[เพราะแบบนี้ก็เลยมีคนพูดว่าข่าวลือที่เผยแพร่เมื่อเช้านี้มาจากทางฝั่งประธานอีเซมินครับ]
[ดังนั้นผมถึงบอกว่าต้องสืบให้กระจ่างไงครับ]
ขนาดหมาเห่าก็ยังไม่เห่าแบบนั้นเลย
การสร้างความสงสัยเกี่ยวกับข่าวลือไร้สาระนั่นแล้วบอกว่าค่อยสืบสาวราวเรื่องทีหลัง
มันสมเหตุสมผลงั้นเหรอ
“เวรเอ๊ย...เฮ้ย!
ไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้แล้วลบให้หมด!”
“รับทราบครับ
ผมจะให้ทีมกฎหมายจัดการถอนรากถอนโคนทันทีครับ”
“ถอนรากถอนโคนอะไร
ถ้าเป็นนายจะโพสต์ให้โดนจับได้หรือไง”
“...”
ความจริงไม่จำเป็นต้องหาด้วยซํ้าว่าใครเป็นคนโพสต์
เพราะเห็นกันชัด ๆ ว่าเป็นการรวมหัวกันระหว่างประธานอีเซมินกับกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุน
แต่สองคนนั้นไม่ใช่คนโง่
ไม่ว่าจะขุดอย่างไรก็คงจับหางสองคนนั้นไม่ได้
ก่อนอื่นต้องลบข่าวลือและควบคุมสถานการณ์ภายในบริษัทให้ได้ก่อน
“จัดการให้เสร็จก่อนสามทุ่มแล้วโพสต์ลงอินทราเน็ต
บอกว่าข่าวลือทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ตาม
ชินยองกรุ๊ปไม่มีนโยบายขายบริษัทลูกเข้าใจไหม”
“รับทราบครับ”
“อีกอย่าง...ไปสืบมาว่าเรื่องชีวิตส่วนตัวที่ไอ้เวรพวกนั้นมันพูดถึงคืออะไรแล้วก็ตัวพวกมันด้วย...”
รองประธานใหญ่อีเซจุนชี้นิ้วสั่น ๆ
ไปที่ผู้ประกาศข่าวและผู้เชี่ยวชาญที่กำลังรายงานข่าวอยู่ในช่องเศรษฐกิจ
หัวหน้าฝ่ายเลขานุการตอบรับทันที
“ผมจะลองตามสืบข้อมูลส่วนตัวของสองคนนั้น
มีความเป็นไปได้สูงว่าน่าจะเป็นคนของฝั่งกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุน
หรือไม่ก็โดนซื้อตัวไปครับ”
“หามาให้ได้”
“รับทราบครับ”
หัวหน้าฝ่ายเลขานุการโค้งศีรษะและออกจากห้องรองประธานใหญ่
รองประธานอีเซจุนกำหมัดแน่นจนสั่นระริก
ก่อนจะปรับลมหายใจให้เข้าที่แล้วหลับตาลง จากนั้นความเสียใจก็ถาโถมเข้ามา
ตอนนั้นที่น้องชายขอให้กำหนดวันดำเนินการ เขาควรจะทำให้...
แต่ก็ไม่แน่ใจว่าต่อให้ย้อนเวลากลับไปแล้ว
ตัวเองจะกำหนดวันให้ได้ไหม
เพราะการแบ่งทรัพย์สินก็คือการแบ่งอำนาจด้วยเช่นกัน
การแบ่งอำนาจมันน่าเสียดาย
และเขาก็ไม่มั่นใจว่าอำนาจที่แบ่งให้นั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเขาเองหรือเปล่า
ยองฮุนอ่านข่าวบนไอแพดที่มินฮียื่นให้ก่อนจะส่งคืนเธออีกครั้งแล้วกล่าว
“แผนการใช้ได้เลยนะครับเนี่ย
แล้วปฏิกิริยาของพวกผู้บริหารกับพนักงานเป็นยังไงครับ”
“จากที่กรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนเล่า
ทุกคนกำลังโพสต์คอมเมนต์แสดงความกังวลลงในอินทราเน็ตของบริษัทค่ะ
เพราะถ้าหากถูกรวมเข้ากับบริษัทที่มีขนาดเล็กกว่าชินยองไฟแนนเชียลกรุ๊ป หรือขาดแคลนสวัสดิการและการดูแลก็อาจจะเดือดร้อนกันพอสมควรนะคะ
เหนือสิ่งอื่นใด
เห็นได้ชัดว่าพนักงานของบริษัทที่ควบรวมกิจการจะค่อนข้างกระวนกระวายใจเพราะกังวลว่าจะถูกปรับโครงสร้างได้ทุกเมื่อค่ะ”
“ราคาหุ้นล่ะครับ”
“ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก
เพราะรองประธานใหญ่อีเซจุนยืนยันลงในอินทราเน็ตของบริษัทว่ามันเป็นแค่ข่าวลือ
จะไม่มีการขายเด็ดขาดค่ะ”
“แล้ว...ปัญหาชีวิตส่วนตัวนั่นคืออะไรครับ”
มินฮีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“รองประธานใหญ่อีเซจุนเรียกพวกผู้หญิงมาปาร์ตี้ที่บ้านพักตากอากาศค่ะ”
“โห...รองประธานใหญ่อีเซจุนคงโมโหน่าดู
แต่มันจะได้ผลเหรอครับคงไม่ได้แค่ทำให้เสียชื่อเฉย ๆ หรอกนะ”
“มันไม่ใช่แค่ข่าวลือที่ทำให้เสียชื่อค่ะ”
“อย่าบอกนะครับว่านั่นคือเรื่องจริง”
“ค่ะ”
“ว้าว...กรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนตัดสินใจได้เด็ดขาดจริง
ๆ”
“พยายามรวบรวมหลักฐานมาจนถึงตอนนี้ แต่ทางนั้นจัดการคนไว้ได้อย่างรอบคอบมาก
กรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนจึงยังรวบรวมหลักฐานไม่ได้ค่ะแต่เขารู้ดีว่าดำเนินการจัดการด้วยวิธีไหน
ข่าวลือก็เจาะจงเกินกว่าจะมองว่าเป็นเพียงเหตุการณ์ธรรมดา ๆ
ดังนั้นรองประธานใหญ่อีเซจุนคงจะหนักใจแน่นอนค่ะ”
“ถ้าทางอัยการยกเรื่องนี้ขึ้นมา...”
“ถ้าเกิดประเด็นกับคณะผู้บริหาร
พวกผู้บริหารกับพนักงานจะรู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้นค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น
ถ้าถูกจับกุมหรือฟ้องร้อง มันก็ไม่ต่างอะไรกับเกมโอเวอร์ค่ะ”
“อืม...คิดเห็นว่ายังไงครับ”
“ความคิดของฉันเหรอคะ”
“ผมอยากรู้ความคิดของคุณมินฮี อยากรู้ความคิดของทางกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนด้วยครับ”
เธอครุ่นคิดสักพักถึงเอ่ยตอบ
“ก่อนอื่นกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนบอกว่าไม่ได้มีจุดประสงค์จะสร้างผลลัพธ์ใด
ๆ ด้วยข่าวลือนี้ แต่ทำเพื่อให้กรรมการไขว้เขวเพราะเรื่องนั้นค่ะ”
“อ๋อ...ก็เข้าท่าอยู่นะครับ”
“ตอนแรกฉันก็คิดว่าเรื่องนี้อาจจะเกินตัวไปหน่อย
แต่พอได้ฟังเรื่องนั้นแล้วก็คิดว่าบางทีอาจจะเป็นไปได้ค่ะ”
“โอเคครับ ไปทำงานเถอะ”
หลังจากมินฮีออกไปแล้ว
ยองฮุนก็จมอยู่กับความคิด
โชคของกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนในปีนี้ค่อนข้างดีพอสมควร
ทว่าไม่ได้ดีถึงขั้นจะประสบความสำเร็จทุกประการ
แม้โอกาสและความสัมพันธ์ที่ดีกำลังเกาะกุมมืออีกฝ่ายอยู่
แต่ก็มีอุปสรรคอยู่ทุกหนแห่ง ดังนั้นจึงต้องรับมือกับมันอย่างชาญฉลาด
สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ
กรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนเป็นคนเหนื่อยง่ายและขาดความอดทนมาตั้งแต่เกิด
จะเรียกว่าเป็นคนที่แทบจะไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จจากการศึกษาหรือศิลปะและกีฬาได้ไหมนะ
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่คนหัวไม่ดีจึงได้รับการศึกษาตามสมควร
เจ้าตัวควรจะต้องใช้ชีวิตอย่างเพลิดเพลินกับการเที่ยวเล่นแต่พอควรด้วยโชคที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
อย่างไรก็ตาม ช่วงสามสิบต้น ๆ
กลับติดอยู่ในพายุไต้ฝุ่นและต้องปรับทิศทางของชะตากรรมอีกครั้ง
แต่ก็ได้มินฮีเข้ามาช่วยเสริมในส่วนที่บกพร่องอยู่ข้าง ๆ
จนดูเหมือนจะบรรลุสิ่งที่ต้องการในที่สุด
เพียงแต่เขาไม่สบายใจนิดหน่อย
เนื่องจากไม่รู้ว่าโชคของประธานอีเซมินเป็นอย่างไร
อย่างน้อยก็ดูเหมือนจะไม่เป็นปัญหามากนักเพราะมินฮีอยู่เคียงข้าง...
ตอนนั้นมินฮีก็กลับเข้ามาอีกรอบ
“กรรมการผู้จัดการ
ถึงเวลาที่แจ้งไว้แล้วค่ะ”
“อ้อ ขอบคุณครับ
เดี๋ยวผมกลับมาหลังมื้อเที่ยงนะครับ”
“รับทราบค่ะ”
ยองฮุนออกมาจากห้องกรรมการผู้จัดการแล้วสบตากับยอนฮีหนึ่งครั้งจากนั้นก็ขึ้นรถมุ่งหน้าไปยังย่านซอโช
เมื่อจอดรถในลานจอดรถสาธารณะใกล้ ๆ
กับที่ตั้งร้านอาหารที่หัวหน้าฝ่ายยุนฮีชานบอกมา
เขาสังเกตเห็นป้ายเขียนว่าร้านอาหารแฮบอมอยู่ตรงมุมหนึ่ง
มองผ่าน ๆ นึกว่าเป็นร้านของกินเล่น
พอเข้าไปข้างในกลับไม่มีลูกค้าสักคนและมีโต๊ะแค่ประมาณหกโต๊ะเท่านั้น
เพราะคิดว่าตัวเองมาเร็วไปหน่อยจึงอ่านเมนูแล้วสั่งข้าวราดหมูผัดเผ็ดง่าย
ๆหลังจากนั้นไม่นานก็มีกลุ่มคนเข้ามา
“อ้าว”
“สวัสดีครับ”
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนเห็นยองฮุนแล้วทำตาเป็นประกาย
อย่างน้อยก็เคยทักทายกันทางสายตาขณะเดินผ่านในงานทางการจึงรู้ว่ายองฮุนเป็นใคร
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนหันมาถามชางฮุน
“แกเป็นคนบอกงั้นเหรอ”
“พอดีกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนจากเอชเอสการผลิตบอกว่าอยากพบท่านประธานใหญ่ครับ”
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจกับการชี้แจงของชางฮุน
“ครับ ผมขอพบท่านประธานใหญ่ในที่เงียบ ๆ
เองครับ”
“อะแฮ่ม...ถ้างั้นก็ควรจะติดต่อแยกต่างหากสิ
มาทำอะไรในร้านอาหารชาวบ้านเขา”
“ทานอาหารเงียบ ๆ แล้วค่อยคุยก็ได้ครับ
ผมแค่สับสนนิดหน่อย”
“เรื่องอะไร”
“ผมได้ยินเรื่องที่เสนอให้ท่านประธานใหญ่ของผมแล้วนะครับ
ตอนนั้นท่านประธานใหญ่ของผมก็คิดไม่ถึงว่าจะได้ฟังข้อเสนอแบบนั้น
แต่ก็นับถือเจตนารมณ์ของท่านประธานใหญ่คิม...แต่คาดไม่ถึงว่าจะทำให้ผมขายหน้าขนาดนี้ครับ”
“เฮอะ...จะบอกว่าฉันทำให้นายขายหน้าหรือไง”
“ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น
ตอนนี้ผมคงไม่ต้องทนปวดแขนแบบนี้หรอกครับ”
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนมองมือของยองฮุนที่ยื่นออกมานิ่ง
ๆ สุดท้ายก็ยอมจับก่อนจะนั่งลง
“ฉันได้ยินเรื่องของนายมาเยอะ...ประธานใหญ่ซงเอ็นดูนายมาก
แต่ควรจะระวังหน่อยนะ อาจจะโดนหาว่าอวดดีได้”
“ผมจะระวังครับ”
“แล้วนายเอาคำตอบมาด้วยหรือเปล่า”
“ไม่มีคำตอบครับ”
“ว่าไงนะ”
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนขมวดคิ้ว
ยองฮุนใช้ช้อนคลุกข้าวราดหมูผัดเผ็ดที่มาเสิร์ฟพอดีพร้อมกับกล่าว
“ต้องถามคำถามให้ถูก
ถึงจะได้คำตอบไม่ใช่เหรอครับ”
“หมายความว่ายังไง”
“ถามว่าสนใจฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์หรือเปล่า...มันก็ทั้งสนแล้วก็ไม่สนครับ”
“ล้อฉันเล่นหรือไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ
ผมบอกว่ามันไม่ใช่คำถามที่ถูกต้องไม่ใช่เหรอ สำหรับท่านประธานใหญ่ของผม
ฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์เป็นบริษัทที่มีเหมือนไม่มีครับถ้ามีก็ภูมิใจ
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีแฮจูชิปบิลดิ้งแอนด์มารีนแล้ว หนี้สินก็เยอะจนเป็นกังวล
ถ้าไม่มีก็แอบโหวง ๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องต้องกังวล
ดังนั้นถึงไม่มีก็ใช้ชีวิตต่อได้ครับ ถ้าถามว่าอยากได้มันหรือเปล่า
จะให้พวกผมตอบว่าอะไรล่ะครับ”
“...แล้วยังไง”
ยองฮุนตักข้าวราดหมูผัดเผ็ดใส่ปากหนึ่งช้อนใหญ่พลางมองคุณยายเจ้าของร้านอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนจะดื่มนํ้าแล้วลุกขึ้น
“ตอนแรกผมกังวลจะถามตอบแบบไหนดี
แต่ตอนนี้น่าจะไม่จำเป็นแล้วละครับ”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะดูเหมือนที่ตรงนี้จะค่อนข้างมีความหมายต่อท่านประธานใหญ่ไว้คราวหลังผมจะนัดหมายผ่านฝ่ายเลขาฯนะครับ
ขอตัว...”
ยองฮุนแอบส่งสายตาให้ชางฮุนแล้วเดินออกมา
ท่าทางอวดดีของเขาทำเอาชางฮุนได้แต่เดินตามหลังมาอย่างงุนงง
“กำลังทำอะไรครับ”
ยองฮุนเดินไปที่ลานจอดรถโดยไม่ตอบอะไร
และพอขึ้นรถแล้วก็พูดกับชางฮุนที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับ
“ท่านประธานใหญ่ของผมต้องการฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ครับ
แต่ผมไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ หนี้ก็เยอะ แถมมีแฮจูชิปบิลดิ้งแอนด์มารีนอยู่แล้ว ผมไม่อยากซื้อกิจการเพิ่มให้พนักงานไม่สบายใจน่ะครับ”
“แล้วยังไงต่อครับ”
“ถ้าสัญญาว่าซื้อฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ไปแล้วจะทำให้มันเติบโตได้ดีผมจะยอมช่วยครับ
ทำให้คุณกลายเป็นผู้สืบทอดของทางนั้น”
“แค่นั้นเหรอครับ”
“พูดตรง ๆ แค่นั้นก็พอ
แต่ผมไม่ใช่คนใจบุญสุนทาน ผมคิดว่าตัวเองควรจะได้อะไรสักอย่าง
ถ้าจะให้พูดตรงนี้เลยคือ
พวกเราจะเอาฮยอนจินเครื่องจักรกลที่เป็นบริษัทในเครือของฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ครับ
ถ้าเอามาผนึกกำลังกับทางก่อสร้างน่าจะใช้ได้”
ถึงอย่างไรก็ต้องการในสิ่งที่ตัวเองไม่มีอยู่แล้ว
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวล
“ผมสัญญาครับ”
“ดีครับ
ถ้างั้นก็เริ่มจากสืบเรื่องร้านอาหารนั่นก่อนเลย”
“ครับ?”
“คุณยาย...เจ้าของร้านนั้น
ผมให้คำใบ้แล้วนะครับ ทำอะไรล่ะครับ ไม่ลงเหรอ ผมกินมื้อเที่ยงไปนิดเดียวเอง
ต้องรีบไปกินข้าวต่อครับ”
ชางฮุนลงจากรถด้วยสีหน้างงงวย จากนั้นรถของยองฮุนก็เคลื่อนตัวออกจากลานจอดรถ
บทที่ 207 เดอร์ตี้เพลย์
(3)
ชางฮุนตั้งสติ เป็นอย่างแรก
การบอกให้ซื้อกิจการของฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์
ก็เหมือนกับการบอกว่าต้องแบกรับภาระหนี้สินจำนวนมากที่ฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์มีอยู่
ตอนนี้บริษัทกำลังซวนเซเพราะหนี้ก้อนนั้น
แต่ต้องกอดมันไว้เนี่ยนะ...
แต่ในสายตาเขา
กรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนไม่ใช่คนโลภมากขนาดนั้น
เพราะฉะนั้นเลยตั้งเงื่อนไขแบบนั้นไม่ใช่เหรอ
มันคือเงื่อนไขที่คาดไม่ถึงด้วยซํ้าสำหรับตัวเขาที่เกิดมาในครอบครัวมหาเศรษฐี
ไม่ได้ขอให้มอบค่านํ้าร้อนนํ้าชา
เงื่อนไขมีแค่ขอให้ซื้อกิจการบริษัทที่ไม่รู้จะเจ๊งไหม
แต่ก็ประเมินได้ว่าหากปฏิเสธคงยากจะได้รับความช่วยเหลือจากกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนอีก
“อืม ก็เอาตามนั้น...”
แค่นั้นก็พอจะยอมรับได้อยู่
ปัญหาก็คือ
กรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนสั่งให้สืบเรื่องร้านอาหารทำไมกันแน่
เขาพยายามครุ่นคิดระหว่างกลับมาที่ร้านอาหาร
แต่หัวหน้าฝ่ายยุนฮีชานก็รีบวิ่งออกมาถาม
“เป็นยังไงบ้าง”
“เขาจะช่วยสนับสนุนฉัน”
“ว้าว...โอเค”
หัวหน้าฝ่ายยุนตั้งใจจะดีใจ
ก่อนจะรีบหันมองรอบตัวพลางควบคุมสีหน้าแล้วเอ่ยถาม
“แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”
“เขาบอกให้สืบเรื่องร้านอาหารดู”
“หมายความว่าไง”
“ไม่...เขาบอกว่าจะช่วยดันฉัน
แล้วก็ให้คำใบ้มา บอกให้สืบเรื่องยายเจ้าของร้านอาหาร”
หัวหน้าฝ่ายยุนขมวดคิ้วพร้อมกับไตร่ตรอง
จากนั้นก็พูดออกมา
“พอลองคิดดูแล้ว เมื่อกี้กรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนก็พูดแบบนั้นนี่นาว่าที่ตรงนี้ค่อนข้างมีความหมายต่อท่านประธานใหญ่
ฉันว่าเขาน่าจะรู้อะไรบางอย่างลองโทร.ถามไม่ได้เหรอ”
“โทร.ไหมล่ะ”
“เออ รีบ ๆ เลย
ท่านประธานใหญ่น่าจะยังกินข้าวอยู่”
เขาพยายามจะฝืนลองหาบางอย่างดูด้วยตัวเอง
เพราะกลัวจะโดนมองว่าหัวไม่ดี
แต่พอมาคิดดูแล้วก็ไม่จำเป็นต้องรักษาหน้าต่อกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุน
ทันทีที่โทร.หา
กรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนก็รับสายขณะกำลังขับรถ
“ฮัลโหล”
“ผมคิมชางฮุน อูมยองคอนสตรัคชั่นนะครับ ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กรรมการผู้จัดการพูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไงเลยติดต่อมาครับ”
“อ๋อ...อาหารเมื่อกี้ไม่อร่อยเลยครับ”
“ครับ? อาหารไม่อร่อยเหรอครับ”
“ครับ ผมลองกินข้าวราดหมูผัดเผ็ด เมนูพื้นฐานที่สุดของร้านแล้วแต่รสชาติไม่ได้เรื่องเลยครับ”
“แล้วยังไง...ครับ”
“ยังไงอะไรล่ะ ลองคิดดูสิครับ เหตุผลที่ทำให้คนอย่างท่านประธานใหญ่มาที่ร้านอาหารนั่น จะเป็นเพราะบรรยากาศเหรอ ถ้าจะมีความหลังอะไร อย่างน้อยรสชาติมันก็ต้องอร่อยสักอย่างใช่ไหมล่ะครับ”
“ก็จริงนะครับ”
“งั้นแปลว่าไม่ใช่ความหลังเกี่ยวกับเรื่องรสชาติ...ถ้าต้องไปร้านอาหารนี้ทุกปีก็คงจะมีเหตุผลอื่นไม่ใช่เหรอครับ”
“หมายความว่าเหตุผลนั้นจะช่วยยกตำแหน่งผมได้เหรอครับ”
“กรรมการผู้จัดการคิมชางฮุน”
“ครับ?”
“ทำไมถึงรีบร้อนขนาดนั้นครับ ผมต้องมาสอนกรรมการผู้จัดการด้วยเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น...”
“แค่ลองสืบดูหน่อยเถอะครับ ไม่ได้คิดจะก่อกบฏตอนนี้อยู่แล้วใช่ไหมถ้าไม่ได้คิดจัดการประธานคิมโดฮุนตอนนี้ มันก็ไม่ใช่สถานการณ์ที่ทำให้เกิดปัญหาใหญ่กับกรรมการผู้จัดการนี่นา ถ้างั้นค่อย ๆ ใช้เวลาเรียนรู้เกี่ยวกับพ่อทีละนิดละหน่อย อย่างน้อยก็น่าจะได้เห็นอะไรสักอย่างไม่ใช่เหรอครับ”
คำพูดของกรรมการผู้จัดการชเวทำให้กรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนตระหนักได้ว่าตัวเองใจร้อนเกินไป
สิ่งสำคัญที่สุดในการตัดสินใจเลือกทายาทคือความรู้สึกของพ่อ ไม่ใช่พี่ชาย
แต่พอลองคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับพ่อเท่าไร
ถึงเขากับพี่ชายจะไปเรียนต่างประเทศด้วยกันทั้งคู่
แต่พี่กลับเกาหลีเร็วกว่าเขามากและใช้เวลาอยู่กับพ่อเยอะกว่า
ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าถ้าได้รู้ว่าปกติพ่อคิดอย่างไร
มีความทรงจำแบบไหนเขาก็อาจจะใกล้ชิดกับพ่อมากขึ้น
“ผมคิดน้อยไปครับ
จากที่ฟังผมก็ใจร้อนเกินไปจริง ๆ ขอบคุณนะครับ”
“ไว้ขอบคุณตอนเจออะไรเถอะครับ”
“ได้ครับ
กรรมการผู้จัดการทานข้าวไม่อิ่มเพราะผม เดี๋ยวไว้คราวหน้าผมเลี้ยงมื้อใหญ่นะครับ”
“ผมจะรอครับ”
หลังจากวางสายแล้วชางฮุนก็พูดขึ้นมา
“ฉันคิดว่าพวกเราใจร้อนเกินไป
คงต้องลองหาดูว่าพ่อมีความหลังสำคัญอะไรกับร้านอาหารนั่นหรือเปล่า”
“อืม มันก็เป็นความคิดที่ดี...จะเจออะไรกันแน่นะ”
“เดี๋ยวก็รู้เองแหละ”
ชางฮุนเข้าไปในร้านอาหารด้วยความรู้สึกว่าต้องหาอะไรให้เจอราวกับเป็นนักสืบ
สิ่งที่ปรากฏในสายตาชางฮุนมีเพียงยายแก่ ๆ
ที่คาดเดาอายุไม่ได้กับโต๊ะเก่า ๆ เหมือนความมันวาวจะจางหายไปแล้ว
ระหว่างที่พ่อของเขายังคงกินข้าวอยู่
เขาก็พิจารณาห้องครัวที่อยู่ข้างหลังพ่ออย่างละเอียด
แต่ห้องครัวก็คือห้องครัวจะมีอะไรไปได้
ส่วนยายก็กำลังนั่งเหม่อดูทีวี
โดยไม่เหลือบมองพ่อของเขาเลยสักครั้งเหมือนคิดว่าเป็นแค่ลูกค้า
พอพ่อใกล้จะกินข้าวเสร็จ
เขาจึงเริ่มคิดว่ากรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนอาจจะแค่แกล้งพูดเหมือนมันมีอะไร
ตอนนั้นก็ได้ยินเสียงประตูดังกรุ๊งกริ๊ง
เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นเด็กผู้ชายเหมือนจะอยู่ประมาณ
ม.ต้นสะพายกระเป๋าเข้ามาพูดกับยายเจ้าของร้าน
“ยาย ผมกลับมาแล้ว”
“อ้าว ลูกหมาของยายกลับมาแล้วเหรอ
ที่โรงเรียนเรียนหนักหรือเปล่า”
“ไม่รู้ ขอข้าวหน่อย”
“รอเดี๋ยวเดียว”
เด็กผู้ชายคนนั้นนั่งหลบมุมแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
แต่หัวหน้าฝ่ายยุนกลับหน้าซีดเผือดพร้อมกับสะกิดหลังชางฮุนยิก ๆ
พอชางฮุนหันมาขยับปากถามว่า ‘ทำไม’ ฮีชานก็บุ้ยปากชี้ไปทางเด็กผู้ชาย
ชางฮุนไม่เข้าใจว่าทำแบบนั้นทำไม
ฮีชานจึงกระซิบข้างหูด้วยความอึดอัด
“เด็กนั่นหน้าเหมือนท่านประธานใหญ่เลย!”
เขากำลังจะพูดว่า ‘เพ้อเจ้ออะไร’
แต่ทันทีที่เห็นหน้าเด็กคนนั้นชัด ๆ สติสตังก็กลับเข้าร่าง
ก่อนจะรู้สึกเหมือนโดนสาดด้วยนํ้าเย็นจัด
จริงด้วย
อย่างที่ฮีชานบอก เด็กคนนั้นเหมือนพ่อเขามาก
ปากแบบนั้น หูหนา ๆ จมูกทู่...
ตอนนั้นเองเขาก็เห็นพ่อของเขาดื่มนํ้าหลังกินเสร็จและกำลังมองเด็กคนนั้นอยู่
เหตุผลที่ต้องมาร้านอาหารนี้ทุกปีไม่ใช่เพราะรสชาติอาหาร
แต่เป็นเพราะเด็กคนนั้นนี่เอง
ชางฮุนออกมาจากร้านสักพักเพราะจิตใจสับสน
ฮีชานตามออกมาพลางมองรอบ ๆ แล้วกระซิบ
“นายตาบอดหรือไง มองครั้งเดียวก็ดูไม่ออก
แถมยังเลิ่กลั่กอีก”
“ปกติเขาก็ไม่นึกถึงหน้าครอบครัวตัวเองกันอยู่แล้ว...ใครจะไปคิดว่าอยู่
ๆเด็ก ม.ต้นที่โผล่มาจะกลายเป็นลูกชายของพ่อฉันล่ะ”
“แล้วจะทำยังไง”
“ทำยังไงได้ล่ะ
ยายคนนั้นกับพ่อฉันไม่น่าจะมีความสัมพันธ์อะไรกันหรอกลองหาตัวแม่เด็ก ม.ต้นคนนั้น
ตรวจสอบมาด้วยว่าพ่ออุปถัมภ์เด็กคนนั้นอยู่หรือเปล่า”
“โอเค ฉันจะลองสืบดู
ว่าแต่กรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนรู้เรื่องนี้อยู่แล้วงั้นเหรอ”
“รู้เรื่องนี้เนี่ยนะ
ฉันเพิ่งบอกที่อยู่ร้านเขาวันนี้เอง”
หัวหน้าฝ่ายยุนฮีชานเอียงศีรษะสีหน้าเหลือเชื่อ
“มันสมเหตุสมผลเหรอ ไม่สิ เวรเอ๊ย
นั่นแหละ เขารู้อยู่แล้วถึงทำแบบนั้นไง เด็กนั่นก็ยังไม่มาให้เห็น
แต่แค่กินข้าวราดหมูผัดเผ็ด แล้วท่านประธานใหญ่...ยังไงก็ตาม
จะบอกว่าดูออกงั้นเหรอ ถ้าขนาดนั้นก็ไม่ใช่แค่หัวดีหรอก ต้องปูเสื่อรับดูดวงแล้วไม่ใช่หรือไง
ถ้าเขาปูเสื่อเมื่อไหร่ ฉันยอมจ่ายล้านวอนไปเป็นลูกค้าคนแรกเลย”
“จริง ๆ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน
แต่ไม่อยากจะเชื่อเลย...แล้วว่ากันตามตรงนะ เขารู้ได้ยังไงมันสำคัญตรงไหน
รู้ก่อนอย่างนี้ก็ยิ่งดีสิ เรื่องนี้มันน่าจะเป็นประโยชน์กับฉันแน่นอน”
“แต่มันจะทำประโยชน์ให้นายยังไง
จริงอยู่...มันเป็นข้อมูลที่สำคัญมากแต่ต้องเอามาใช้ยังไงถึงจะเป็นประโยชน์กับนายล่ะ
ฉันคิดไม่ออกเลย”
หัวหน้าฝ่ายยุนส่ายหน้าเหมือนไม่รู้อะไรทั้งนั้น
อันที่จริงชางฮุนก็รู้สึกเหมือนกัน
แต่เขาเชื่อในตัวกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุน
“ลองสืบดูก่อน
ไม่จำเป็นต้องกังวลตั้งแต่ตอนนี้ ค่อย ๆ สืบ เดี๋ยวก็เจออะไรเองนั่นแหละ”
“โอเค”
หลังจากปรึกษาหารือกันได้ไม่นาน
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนกับเลขาฯก็ออกมาจากร้าน
ประธานใหญ่คิมขึ้นรถด้วยสีหน้าสงบราวกับว่ากินข้าวหนึ่งมื้ออย่างอิ่มหนำสำราญ ก่อนจะลดกระจกลงมาพูดกับชางฮุนเหมือนอยู่
ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“แก”
“ครับ พ่อ”
“สนิทกับกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนของเอชเอสการผลิตเหรอ”
“ไม่ได้ถึงขั้นสนิท
แต่ก็เคยเจอกันบ้างครับ”
“ทำไม เพราะอินเดียเหรอ”
“สนิทกันมากขึ้นเพราะอินเดียจริง ๆ ครับ”
“ปกติมันไร้มารยาทแบบนั้นอยู่แล้วเหรอ”
“ตอนแรกผมก็คิดว่าไม่มีมารยาทเหมือนกัน
แต่จริง ๆ เขามีเส้นแบ่งที่ชัดเจนเกินคาดครับ ตรงกันข้ามแล้ว
เพราะมีเส้นแบ่งชัดเจนเลยเรียกว่าเป็นหน้ากากก็ได้ไม่ใช่แค่กับพ่อ
บางทีต่อให้อยู่ตรงหน้าประธานาธิบดีก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ดีครับ”
“ถ้างั้นแสดงว่าอยู่ต่อหน้าประธานใหญ่ซงก็ทำตัวแบบนั้นงั้นเหรอ”
“ตอนแรกประธานใหญ่ซงเองก็อาจจะงงพอ ๆ
กับพ่อเลยมั้งครับ เขาไม่ใช่คนเลือกปฏิบัติแบบนั้นหรอก
แค่มีความคิดของตัวเองชัดเจน แต่มันกลับถูกต้องจนน่าขนลุก ตอนแรก ๆ
อาจจะคิดว่าอวดดีไร้มารยาท แต่หลังจากนั้นนะ...”
“ทำไม”
“พูดตรง ๆ
คือเป็นคนที่ไม่อยากเป็นศัตรูด้วยครับ”
“ขนาดนั้นเลย”
“เข้าบริษัทมาได้ไม่กี่ปีเอง
แต่ประสบความสำเร็จถึงขนาดนี้เลยนะครับ”
“ก็จริง...โอเค แกจะเข้าบริษัทหรือเปล่า”
“ครับ ผมมีเรื่องต้องเข้าไปจัดการ”
“อืม
รู้ใช่ไหมว่าช่วงนี้ฉันคาดหวังกับแกมาก พวกผู้บริหารฝ่ายก่อสร้างชมแกเยอะมาก
เวลาแบบนี้ต้องระวังตัวให้ดี จะทำตัวอวดเก่งเพราะโดนชมนิด ๆหน่อย ๆ ไม่ได้เด็ดขาด
คนพวกนั้นจะกลายเป็นสมบัติของแก ดูแลจัดการให้ดี”
“ผมจะจำให้ขึ้นใจครับ”
“ดี”
กระจกรถเลื่อนขึ้นอีกครั้งและรถยนต์ของประธานใหญ่คิมแทฮยอนก็เคลื่อนตัวออกไป
ณ ห้องประธานบริษัทชินยองประกันภัย
ภายในห้องประธานบริษัทที่ควรจะเงียบสงบกลับมีเสียงเปิดประตูดังปัง!
รองประธานใหญ่อีเซจุนหน้าแดงกํ่าเหมือนลูกพลับพลางพ่นลมหายใจฟึดฟัดขณะจ้องหน้าประธานอีเซมินเหมือนจะจับกิน
โดยที่ด้านหลังมีเหล่าเลขานุการกำลังยืนงงอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร
ประธานอีเซมินขมวดคิ้วก่อนจะลุกไปนั่งที่โซฟารับแขกแล้วกล่าว
“นั่งสิ
หรือถ้าจะมาฆ่าฉันก็เอามีดที่ซ่อนอยู่ออกมาแทงเลย”
“ไอ้บ้าเอ๊ย...นายเป็นบ้าไปแล้วจริง ๆ
หรือไง”
“คิดจะปล่อยข่าวลือไปทั่วหรือไง
นั่งก่อนสิ นี่! เอานํ้าเย็นมาสองแก้วพอบอกให้นั่งไง”
ทันทีที่รองประธานใหญ่อีเซจุนยอมนั่งลงบนโซฟา
นํ้าเย็นสองแก้วที่เต็มไปด้วยนํ้าแข็งก็วางอยู่ตรงหน้าแต่ละคน
พอรองประธานใหญ่อีเซจุนดื่มนํ้าเย็นอึก ๆ
แล้ววางแก้วลง ประธานอีเซมินก็เปิดปากพูด
“เมื่อปีที่แล้วหรือเปล่านะ อยู่ดี ๆ
ลูกสาวฉันก็บอกว่าจะแต่งงาน พอถามว่ามีแฟนแล้วเหรอก็ตอบว่าไม่ใช่
พี่เองก็รู้ว่าเจ้าเด็กนั่นเรียนอยู่ที่อเมริกาเป็นสิบปีใช้เงินไปมากมายขนาดนั้น
แต่อยู่ ๆ ก็มาบอกว่าจะแต่งงาน จะไม่ให้งงได้ยังไงล่ะ”
“แล้วยังไง”
“ทีนี้ฉันเลยถามว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น
แต่คำตอบสุดยอดเลย บอกมาแค่ว่าอยู่บ้านแล้วหงุดหงิด ฉันก็ถามว่าทำไมถึงหงุดหงิด
รู้ไหมว่าลูกสาวฉันพูดว่าอะไร”
“ว่าอะไรล่ะ”
“บอกว่าขายหน้าจนทนไม่ไหว
อยากแต่งงานออกไปใช้ชีวิตดี ๆ
แต่เมื่อวานฉันเล่าให้เมียกับลูกสาวฟังว่าจะเล่นงานพี่ยังไง
ลูกสาวฉันก็ปรบมือชอบใจใหญ่หึ ทั้ง ๆ ที่รับเงินอั่งเปาหลายล้านวอนจากลุงอยู่ทุกปี
แต่พอบอกว่าจะทำให้ลุงเสื่อมเสียชื่อเสียงนะ กลับตบมือหัวเราะลั่นแล้วบอกว่าเยี่ยม
เวรเอ๊ย...ฉันนี่เลี้ยงลูกไม่ได้เรื่องจริง ๆ ว่าไหม”
ประธานอีเซมินหัวเราะคิกคัก
รองประธานใหญ่อีเซจุนมองภาพนั้นแล้วเอ่ยถาม
“นายอยากพูดอะไรกันแน่”
“พี่ ตอนนี้ฉันก็เป็นแบบนี้แล้ว
สั่งสอนลูกได้ไม่ดี เมียก็... ไม่ต้องพูดก็รู้ใช่ไหม
เพราะฉะนั้นพี่ช่วยเสียสละหน่อยสิ อย่างน้อย ๆ
ฉันก็อยากรักษาศักดิ์ศรีที่ยังเหลืออยู่”
“ฉันก็ไม่มีอะไรเหมือนกัน
ต่างกับนายที่มีเมียมีลูก ส่วนฉันไม่มีอะไรทั้งนั้น”
“ไม่เอาน่า ตอนนี้ชีวิตพี่ดีจะตาย ขอแค่ตัดสินใจ
พี่ก็เลิกกับพี่สะใภ้ไปคบกับผู้หญิงคนอื่นได้อยู่แล้ว
แต่เพราะตำแหน่งนั้น...เพราะพี่กลัวฉันจะมาแย่งตำแหน่ง ถึงไม่ยอมเลิกไง”
“ไอ้เวร...”
“พี่ เห็นแก่ฉันสักครั้งเถอะ
แล้วฉันจะหยุดตรงนี้ เดี๋ยวคุกเข่าให้เลย”
ประธานอีเซมินคุกเข่าลงตรงนั้น
ภาพนั้นทำให้รองประธานใหญ่อีเซจุนถอนหายใจ
“เฮ้อ...บ้าเอ๊ย...”
“เห็นแก่ฉันสักครั้ง แล้วฉันจะพอแค่นี้”
“ถ้านายแย่งตำแหน่งฉันไปแล้ว
คิดเหรอว่าอีฮยองจุนจะปล่อยนายไว้สุดท้ายนายก็รักษาตำแหน่งนั้นไม่ได้อยู่ดี”
“ไม่หรอก เป็นไปไม่ได้
เพราะไอ้เด็กนั่นทำให้ฉันเป็นแบบนี้ไง มันไม่มีทางเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้อยู่ดี
ฉันไม่เชื่อใจนาย”
ประธานอีเซมินถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้น
“ฮู่...โอเค งั้นก็ช่วยไม่ได้
ฉันไม่ส่งนะ”
“ถ้าไม่จัดการเรื่องนี้ให้ถูกต้อง
นายจะถูกฟ้องดำเนินคดีข้อหาฟอกเงิน”
“สมนํ้าสมเนื้อกันดี พวกเราพี่น้อง...แต่ของพี่น่าจะเร่งด่วนกว่าฉันนะเพราะวันนี้อัยการจะเข้ายึดตรวจค้นบ้านพักตากอากาศนั่นแล้วออกหมายจับผู้ดูแลบ้านด้วย
บางทีเราอาจจะเจอกันที่สำนักงานอัยการก็ได้ ชีวิตเฮงซวยจริง ๆ ว่าไหม”
ประธานอีเซมินจุดบุหรี่แล้วสูบเข้าไปเต็มปอด
บทที่ 208 เกมพลิก (1)
วันรุ่งขึ้นยองฮุนถูกตำหนิ (?) เล็กน้อยในรถระหว่างเดินทางไปทำงานกับยอนฮี
“รู้ไหมว่าช่วงนี้ฉันเบื่อมาก”
พอคิดดูแล้ว เขาก็ละเลยเธอเพราะงานจริง ๆ
“ขอโทษที แต่ช่วงนี้เวลาว่างช่วงเย็น ๆ
ฉันกำลังเรียนสอบใบขับขี่เรือยอช์ตอยู่ ถ้าผ่านแล้วก็ออกไปล่องเรือบ่อย ๆ กัน”
“งั้นก็ดีสิ...แต่ฉันแค่อยากให้พี่ทำงานสบาย
ๆ กว่านี้หน่อย พูดตรง ๆพี่น่าจะยุ่งสุดในบริษัทแล้ว”
“ฮ่า ๆ ไม่ขนาดนั้นหรอก
พนักงานเหนื่อยกันจะตาย ฉันก็แค่ไปนู่นไปนี่บ่อยเฉย ๆ
อาจจะดูเป็นเจ้านายที่ทำงานหนักในมุมของพนักงานที่หมกตัวอยู่กับเอกสารละมั้ง”
“งั้นเหรอ แต่ช่วงนี้สีหน้าพี่ไม่ค่อยดีเลยนะ
ถามแล้วก็เอาแต่บอกว่าไม่เป็นไร ฉันก็แค่เป็นห่วง”
“ไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ
แค่มีเรื่องกลุ้มใจนิดหน่อย แต่แก้ปัญหาได้เยอะแล้ว”
ตอนแรกรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
เนื่องจากประธานใหญ่คิมแทฮยอนของอูมยองกรุ๊ปเอาฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์มาทำให้แม่ยายเขาไขว้เขว
แต่ก็รู้สึกเหมือนเจอคำตอบนิดหน่อยจากเรื่องนั้น
เพราะต่อให้เอชเอสกรุ๊ปจะแตะต้องทุกอย่างไม่ได้
แต่ถ้าขยายมุมมองให้กว้างขึ้นอีกเล็กน้อยก็รู้ว่ามีทางออกอื่น
แม้ฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์จะไม่ได้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของแม่ยาย
เพราะอย่างไรมันก็เป็นเพียงความฝังใจ
แต่ถ้าหากมีเจ้าของคนใหม่ได้ครอบครองมันเดี๋ยวความฝังใจนั้นก็จางหายไปเอง
ยอนฮีไม่ได้ถามว่าเรื่องอะไร
“โล่งอกไปที
ถ้างั้นวันนี้เราไปกินมื้อเที่ยงกันสองคนนะ”
“เอาไหมล่ะ”
“อื้อ ไม่มีนัดใช่ไหม”
“อืม ตอนเช้าก็ไม่ได้ยุ่งอะไร ไปไกล ๆ
หน่อยดีไหม ปูนึ่งเป็นไง”
“กู๊ดกู๊ด~”
ถึงจะตกลงกันเป็นอย่างดี
แต่หนึ่งชั่วโมงก่อนพักเที่ยง เดตมื้อกลางวันแสนหวานของเขากับยอนฮีก็ล้มเหลว
เพราะกรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนของอูมยองคอนสตรัคชั่นบอกว่ามีเรื่องเร่งด่วนที่สุดในโลกและขอพบทันที
พอมีก้างขวางคอโผล่มาอีกแล้ว ยอนฮีก็บ่นกรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนไม่หยุด
แต่ก็ยอมเลื่อนนัดไปครั้งหน้าแล้วนัดกับเพื่อน ๆ แทน
สถานที่ที่นัดหมายกับกรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนคือร้านอาหารฟิวชั่นแห่งหนึ่งในย่านซังอัม
ซึ่งอยู่ห่างจากอึลจีโรพอสมควร
อีกฝ่ายรออยู่ในร้านอาหารกับหัวหน้าฝ่ายยุนฮีชานเช่นเคย
ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิดเมื่อเห็นยองฮุนเข้ามา
“ขอโทษที่ให้มาซะไกลเลยนะครับ
พอดีก่อนหน้านี้มีงานเลยหลบสายตาคนรอบข้างไม่ได้
แล้วแถวอึลจีโรก็มีพนักงานออฟฟิศเยอะ
จะไปร้านไหนก็มีพนักงานบริษัทผมไม่ก็บริษัทในเครืออยู่ทั้งนั้นครับ”
เรียกว่าเกียรติศักดิ์ของบริษัทใหญ่ได้ไหมนะ
ต่อให้อูมยองกรุ๊ปจะไม่ได้อยู่ในท็อปไฟว์ของวงการธุรกิจ
แต่ก็พอจะคาดเดาขนาดของมันได้
แน่นอนว่าอาจจะพูดเกินจริงประมาณหนึ่ง
แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับการเตรียมพร้อมรับมือกับเรื่องไม่คาดคิด
“มันก็เป็นไปได้ครับ ว่าแต่ทำไมอยู่ดี ๆ
ถึงนัดเจอล่ะ”
ทันทีที่ยองฮุนนั่งลงแล้วถาม
ชางฮุนก็นั่งตามก่อนจะพูด
“ก่อนอื่นผมอยากถามอะไรบางอย่างครับ”
“ว่ามาเลยครับ”
“รู้เรื่องนั้นได้ยังไงครับ”
“เรื่องไหนครับ”
“เรื่องที่เด็กในร้านอาหารนั่นเป็นลูกอีกคนของพ่อผมน่ะครับ”
“จริงเหรอครับ”
ทันทีที่ยองฮุนถามเหมือนเพิ่งรู้เรื่องนี้
ชางฮุนก็ย้อนถามอีกครั้งด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“ไม่รู้มาก่อนจริง ๆ เหรอครับ”
“มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นไม่ใช่เหรอครับ
ผมเพิ่งไปร้านนั้นครั้งแรกเมื่อวานแน่นอนว่าผมไม่รู้ครับ”
ถึงจะพูดแบบนี้
แต่หลังจากรู้ดวงชะตาของประธานใหญ่คิมแทฮยอนแล้วยองฮุนก็คาดเดาผ่านการสันนิษฐานได้ในระดับหนึ่ง
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนเป็นคนที่มีความกระชุ่มกระชวยโดยธรรมชาติหากจะมีลูกมากกว่าห้าคนก็ไม่แปลก
แต่ไม่เคยได้ยินว่าประธานใหญ่คิมแทฮยอนมีลูกเยอะขนาดนั้น
ด้วยความเป็นคนที่ไม่มีทางพอใจแค่ผู้หญิงคนเดียว เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ว่านอกจากภรรยาที่บ้านแล้วก็น่าจะยังคบกับผู้หญิงอีกหลายคน
เนื่องจากดวงชะตามีบุตรมากจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าลูกคนอื่น
ๆ อาจจะใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง เขาไม่ได้โกหกนะ
แต่หลังจากกินข้าวราดหมูผัดเผ็ดแล้วก็รู้สึกได้ว่าร้านอาหารแห่งนั้นมีอะไรบางอย่าง
เพราะมันไม่อร่อยเลยจริง ๆ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหลังลงจากภูเขามาจนถึงตอนนี้ได้กินแต่อาหารอร่อย
ๆหรือเปล่า รสนิยมถึงสูงขึ้นจนคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่
แต่อาหารประมาณนี้ประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่จำเป็นต้องถ่อมากินหรอก
ถ้าไม่ใช่เพราะรสชาติก็คงมีเรื่องราวบางอย่าง
แต่ด้วยฐานะของประธานใหญ่คิมแทฮยอนที่มีเส้นสายเยอะ
ยองฮุนเลยคิดว่าในอดีตอีกฝ่ายอาจจะเคยติดหนี้เจ้าของร้านมาก่อน
หรืออีกหนึ่งเหตุผลก็คือบางทีอาจจะมีลูกอีกคนอยู่ในบ้านหลังนี้
จริง ๆ อาจจะมีเหตุผลอื่นก็ได้
แต่น่าแปลกที่คิดถึงข้อสงสัยนั้นเป็นอย่างแรก และพอดูจากข้อมูลที่กรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนสืบเรื่องนั้นมาแล้วแน่นอนว่าโชคของเขาก็ไม่เลวเหมือนกัน
“ให้ตาย...ควรจะคิดยังไงกับเรื่องนี้ดี...ผมตกใจมากเลยครับ
กะว่าเดี๋ยวจะสืบเรื่องร้านอาหารนั้นอย่างละเอียดตามที่กรรมการผู้จัดการบอก แต่จู่
ๆ ก็มีเด็กผู้ชาย ม.ต้นโผล่เข้ามาในร้าน ตอนแรกผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
แต่หัวหน้าฝ่ายยุนพูดออกมาทันทีเลยว่าเด็กคนนั้นหน้าเหมือนพ่อผมครับ”
“น่าตกใจมากเลยนะครับเนี่ย”
“อย่างแรก
เรามีข้อมูลเกี่ยวกับเด็กคนนั้นที่หัวหน้าฝ่ายยุนหามาครับ”
ทันทีที่หัวหน้าฝ่ายยุนฮีชานพยายามจะอ้าปากพูด
อาหารก็ดันมาเสิร์ฟพอดีและหลังจากพนักงานออกจากห้องไปก็เริ่มเล่าใหม่
“แม่ของเด็กนักเรียนคนนั้นเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อห้าปีก่อน
ตอนนี้อยู่กับยายแค่สองคนครับ ทุก ๆ
ปีหลังจากเสร็จงานวันสถาปัตยกรรมแล้วท่านประธานใหญ่จะต้องแวะมาบ้านหลังนั้น
พอถามฝ่ายเลขาฯว่าทำแบบนั้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่
มันก็หลังจากแม่เด็กคนนั้นเสียพอดีครับ เอ่อ ทานก่อนเลยครับ”
มื้อกลางวันเป็นซุปซี่โครง
แต่เสิร์ฟมาในปริมาณเยอะมาก
ยองฮุนพูดขณะใช้ช้อนตักขึ้นมาแล้วใช้กรรไกรแยกเนื้อที่ติดอยู่กับซี่โครงชิ้นใหญ่
“เดี๋ยวผมกินไปฟังไป พูดต่อเลยครับ”
“ครับ ทีแรกผมไปถามสำนักงานเขตมาว่า
พอดีเห็นครอบครัวนั้นกำลังลำบาก ไม่ทราบว่ามีใครช่วยเหลือหรือยัง
พวกเขาก็บอกว่าไม่รู้อะไรเลยเว้นเสียแต่จะมาจากรัฐบาลครับ ทีนี้ผมเลยหมดหนทาง
แต่บังเอิญว่ายายที่นั่งฟังอยู่ข้าง ๆ
รู้จักครอบครัวนั้นเลยเล่าว่ามีคนจ่ายค่าเทอมให้หลานบ้านนั้นทุกปีครับ”
“งั้นเหรอครับ
คุณยายปากสว่างอยู่นะครับเนี่ย”
“นั่นน่ะสิครับ
มันยากจะสืบอะไรเพิ่มมากกว่านั้น แต่ดูเหมือนท่านประธานใหญ่จะพยายามแอบช่วยอยู่
ถ้ายอดเงินมันเยอะ บางที...อาจจะกลัวคนอื่นรู้ก็เลยช่วยได้แค่ค่าเทอมครับ”
“อืม...”
ยองฮุนพยักหน้าพร้อมกับจิ้มซี่โครงกินกับซอสปรุงรส
มีเพียงสีหน้าบ่งบอกว่ากำลังตั้งใจฟังเรื่องราว
กรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนเอ่ยถามเพราะอึดอัดจนไม่ได้แตะซุปซี่โครงที่วางอยู่ตรงหน้าสักคำ
“ตอนนี้ควรจะทำยังไงดีครับ
ถ้าแม่รู้เรื่องนี้เข้าละก็...เห็นได้ชัดว่าเหตุผลที่พ่อสนับสนุนเงินก้อนใหญ่ไม่ได้
เพราะกลัวว่าแม่จะรู้ เรื่องนี้จะช่วยให้ผมเข้าไปอยู่ในสายตาพ่อได้หรือเปล่าครับ”
“พูดทุกอย่างที่ผมอยากพูดไปหมดแล้วนี่ครับ
ถ้าพ่อดูแลเด็กคนนั้นได้ไม่เต็มที่เพราะแม่
กรรมการผู้จัดการก็ควรจะออกตัวว่าอยู่ข้างพ่อไม่ใช่เหรอครับ”
“มันไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้นครับ ถ้าแม่รู้ความจริงเรื่องนี้เข้า...ที่ผ่านมาแม่รู้มาตลอดว่าพ่อนอกใจ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ขอคำสัญญาจากพ่อไว้แค่เรื่องเดียวครับห้ามมีลูกนอกสมรสเด็ดขาด
ถ้าเกิดแม่รู้เรื่องนี้ก็คงหย่าครับ”
“อย่างนั้นสินะครับ แต่ก็นั่นแหละ
ผมเป็นแค่ผู้สนับสนุนที่ช่วยทำให้กรรมการผู้จัดการได้สืบทอดอูมยองกรุ๊ป
ไม่ใช่คนช่วยป้อนอาหารให้อูมยองกรุ๊ปครับ”
“มันก็จริงครับ”
“เจอวิธีที่จะทำให้ใกล้ชิดกับพ่อได้มากขึ้น
แต่บังเอิญมีลูกนอกสมรสโผล่มามันก็ขึ้นอยู่กับกรรมการผู้จัดการแล้วครับว่าจะเอาเรื่องนั้นมาใช้ประโยชน์ยังไงผมให้คำแนะนำเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวของกรรมการผู้จัดการไม่ได้หรอกครับ”
“ฮู่...นั่นสินะครับ ฮ่า ๆ
ผมนี่ก็ถามอะไรโง่ ๆ”
“ผมก็ไม่อยากทำให้ความสัมพันธ์แม่ลูกต้องห่างเหินหรอกครับ
ผมแค่พูดตามที่เห็น ถ้าในครอบครัวมีเรื่องแบบนั้น
ยอมแพ้กับเรื่องนี้ไปก่อนดีไหมครับ”
“ยอมแพ้เหรอครับ”
“ครับ คราวหน้าก็คงมีโอกาสดี ๆ
เกิดขึ้นอีก”
ยองฮุนพูดอย่างไม่สะทกสะท้านก่อนจะแทะซี่โครงต่อ
แต่จิตใจของชางฮุนไม่ได้ผ่อนคลายขนาดนั้น
“มันจะมีโอกาสที่ดีกว่านี้เหรอครับ”
“ฮ่า ๆ กรรมการผู้จัดการ
เห็นผมเป็นหมอดูหรือไงครับ”
“อ่า...นั่นสินะครับ คุยกับกรรมการผู้จัดการชเวแล้ว
รู้สึกเหมือนกำลังคุยกับหมอดูยังไงไม่รู้...”
“ทานเถอะครับ ผมเคยบอกแล้วนี่นา
อย่ารีบร้อนคิดอะไรเกินไป ค่อย ๆทานแล้วคิดเถอะครับ”
กรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนยิ้มและเชื้อเชิญให้กินอาหาร
ก่อนจะกินซุปซี่โครงอย่างเอร็ดอร่อยอีกครั้ง
แม้ท่าทางนั้นจะไม่ค่อยน่าดูนัก
แต่ไม่นานชางฮุนก็พยายามผ่อนคลายจิตใจแล้วจดจ่อกับการกินอาหาร
“เฮ้ย เจอสถานการณ์แบบนี้ นายจะค่อย ๆ คิด ไม่รีบไม่ร้อนได้เหรอ”
หลังเสร็จสิ้นนัดกินอาหารกลางวันกับกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนกรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนก็กลับบริษัทแล้วพูดกับหัวหน้าฝ่ายยุนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หัวหน้าฝ่ายยุนเอนตัวลงบนโซฟาก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่มีทางหรอก
กรรมการผู้จัดการชเวมีบางอย่างแตกต่างจากพวกเราคิดคนละอย่างกัน
นกกระจอกจะรู้ความต้องการของนกฟีนิกซ์ได้ยังไง”
“เราเป็นกรรมการผู้จัดการเหมือนกัน
ใครเป็นนกกระจอก ใครเป็นนกฟีนิกซ์”
“คนหนึ่งเกิดมาเป็นมหาเศรษฐีเลยได้เป็นกรรมการผู้จัดการ
อีกคนมีแต่ตัวแต่กลายเป็นกรรมการผู้จัดการของกลุ่มธุรกิจแถวหน้าไง
ไม่ใช่แค่นายคนเดียวแต่รวมถึงคนอื่น ๆ ที่เป็นเหมือนนายด้วย
พออยู่ต่อหน้ากรรมการผู้จัดการชเวก็กลายเป็นนกกระจอกกันหมดนั่นแหละ”
“โธ่โว้ย ปลอบใจได้ดีเหลือเกิน”
“แล้วสรุปจะเอายังไง”
“ไม่ว่ายังไงฉันก็ทำตามคำแนะนำของกรรมการผู้จัดการชเวไม่ได้
เพราะถ้าพลาดโอกาสนี้มันอาจจะไม่กลับมาอีก”
“คิดให้ดีล่ะ
อย่างที่กรรมการผู้จัดการชเวบอก มันเป็นการกู๊ดบายความสัมพันธ์แม่ลูกนะ”
“รู้แล้ว ฉันก็รู้สึกผิดกับแม่
แต่จะให้ทำยังไงล่ะ พูดตามตรงนายคิดว่าฉันรู้สึกยังไง
ตอนทุกคนสนับสนุนไอ้ปีศาจนั่นกันหมด แม่คิดว่ามันมีค่าเพราะเป็นลูกชายของตัวเอง
แต่ไม่ใช่กับฉัน”
ตอนนั้นได้ยินเสียงปี๊บดังขึ้นพร้อมกับเสียงของเลขาฯผ่านทางโทรศัพท์
“กรรมการผู้จัดการคะ ท่านประธานใหญ่แจ้งว่าให้นำแผนสนามบินใหม่เพิ่มเติมของอินเดียไปเสนอค่ะ”
“โอเคครับ”
ฮีชานผิวปาก
“วิ้ว~ เสือก็คือเสือสินะ”
“ฉันจะทำเรื่องนี้ได้ใช่ไหม”
“อย่ามาถามฉันเลย ฉันนึกภาพไม่ออกด้วยซํ้าว่าหลังจากนี้จะเป็นยังไงพูดตามตรงฉันสงสัยว่าตอนนายเข้าข้างท่านประธานใหญ่
ท่านประธานใหญ่จะถูกใจจริง ๆ หรือเปล่า”
“ก็นั่นน่ะสิ
เพราะมันอาจจะเป็นเรื่องที่พ่อฉันไม่อยากรื้อฟื้นก็ได้”
“นั่นแหละที่ฉันหมายถึง...”
“เดี๋ยวฉันกลับมา”
ชางฮุนเอารายงานที่วางอยู่บนโต๊ะใส่แฟ้มแล้วเดินออกจากห้อง
ระหว่างขึ้นลิฟต์ก็มีความคิดร้อยพันผ่านเข้ามา
ทว่าลิฟต์ที่ปกติมักเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้าพลันเปิดออกทันที
พอเข้าไปในห้องประธานใหญ่ด้วยความประหม่า ประธานใหญ่คิมแทฮยอนผู้เป็นพ่อก็กำลังนั่งอยู่กับโอคยองมิน
ประธานบริษัทอูมยองคอนสตรัคชั่นพอดี
“อ้าว มานี่สิ
ประธานโอชมแกเยอะมากจนฉันงงไปหมด”
“ฮ่า ๆ ๆ น่าชื่นชมก็ต้องชมสิครับ
ช่วงนี้ถ้าไม่ได้กรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนคงจะดำเนินงานในต่างประเทศไม่ได้ครับ”
“หยุดเยินยอกันได้แล้ว มัวทำอะไรอยู่
รีบนั่งสิ”
ชางฮุนนั่งลงอย่างระมัดระวังก่อนจะพูด
“เอาแต่ชมกันแบบนี้
ผมก็เขินเหมือนกันนะครับ”
“เมื่อก่อนไม่ใช่อย่างนี้เลยนะ
กรรมการผู้จัดการคิมของเราถ่อมตัวเก่งขึ้นนะครับ”
“ถ่อมตัวอะไรกัน...ไม่เขินก็ไม่ใช่คนแล้วครับ”
“ฮ่า ๆ ๆ!”
หลังจากพูดคุยเรื่องไร้สาระกันอยู่สักพัก
ประธานโอคยองมินก็แอบสังเกตท่าทีของชางฮุนแล้วลุกขึ้นยืน
“ผมขอตัวก่อนแล้วกันนะครับ”
“อ้าว ทำไมล่ะ ต้องฟังด้วยกันสิ”
“ยังไงกรรมการผู้จัดการคิมก็ไม่ต้องรายงานผมอยู่แล้ว
ถ้ามีผมอยู่ด้วยอาจจะกดดัน ไว้ผมค่อยฟังทีหลังดีกว่าครับ”
เพราะสังเกตเห็นว่าทั้งสองคนน่าจะมีเรื่องพูดคุยอย่างเร่งด่วน
จึงได้พยายามปลีกตัวออกไปอย่างระมัดระวัง
ชางฮุนจึงตัดสินใจกล่าวว่าเดี๋ยวจะเลี้ยงข้าวประธานโอสักมื้อ
“เอาอย่างนั้นก็ได้”
หลังจากประธานโอคยองมินออกไปแล้ว
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนก็ถามขึ้น
“มีอะไรจะพูดหรือไง”
ชางฮุนจัดการความรู้สึกย้อนแย้งก่อนจะเอ่ยปากพูด
“พ่อครับ ที่ร้านอาหารที่ไปเมื่อวานน่ะ”
“หือ? ทำไม”
“เด็กนักเรียนที่เดินเข้ามาตอนนั้นหน้าเหมือนพ่อจนน่าตกใจเลยครับ”
“ว่าไงนะ แก จะทำอะไร...”
ใบหน้าของประธานใหญ่คิมแทฮยอนเคร่งเครียดขึ้นในชั่วพริบตา
“ผมลองสืบดูเพราะรู้สึกแปลก ๆ
แม่ของเด็กคนนั้นตายเมื่อห้าปีก่อนนี่ครับ
ที่พ่อต้องไปร้านนั้นทุกปีตั้งแต่ห้าปีก่อน...เพราะเป็นห่วงเด็กคนนั้นใช่ไหมครับ”
“...”
“พ่อ ผมอยู่ข้างพ่อนะครับ
ถ้าพ่อบอกว่าอยากเอาชื่อใส่ทะเบียนบ้าน ผมก็ไม่คัดค้านครับ”
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนรู้สึกสับสนอยู่ชั่วขณะ
สับสนจนเผลอพูดออกมาไม่รู้ตัว
“จริงเหรอ แกพูดจริงเหรอ”
บทที่ 209 เกมพลิก (2)
ประธานใหญ่คิมแทฮยอน ใจตกไปที่ตาตุ่มตอนชางฮุนพูดเรื่องนั้นขึ้นมา
ถึงจะนอกใจก็ห้ามมีลูกนอกสมรสเด็ดขาด
มันคือกฎเหล็กระหว่างสามีภรรยา ซึ่งเรื่องนี้ลูกชายทั้งสองคนก็รู้ดี
เพราะตอนลูกชายสองคนยังเด็กพวกเขาสามีภรรยาทะเลาะกันบ่อย ๆ ด้วยปัญหาเรื่องผู้หญิง
ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะไม่รู้
แม่ของชางฮุนคือผู้หญิงที่โหดเหี้ยมมากพอจะรับรู้ว่าก่อนหน้านี้สามีเคยกำจัดเด็กทิ้งไปแล้วอย่างน้อยสองคน
ประธานใหญ่คิมคิดว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน
แต่คำพูดต่อมาของลูกชายกลับเหนือความคาดหมาย
“ครับ ผมพูดจริง”
“รู้ใช่ไหมว่าการเอาเข้าทะเบียนบ้านมันหมายความว่าอะไร
มรดกที่แกควรจะได้ก็ต้องลดลงนะ แน่นอนว่าคงจะแบ่งหนึ่งในสามเลยไม่ได้เพราะแม่แก
แต่ก็ต้องเตรียมยกบริษัทในเครือสักแห่งที่แกควรได้ให้ในภายหลัง ทั้ง ๆ
ที่รู้แบบนั้นก็ยังบอกว่าให้เอาเข้าทะเบียนบ้านอีกหรือไง”
“ก็น้องผมนี่ครับ”
“เฮอะ...น้องแกงั้นเหรอ”
“ครับ”
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนจ้องตาชางฮุนเขม็งอยู่สักพัก
ด้วยท่าทางที่บ่งบอกว่าถ้าโกหกเพียงนิดเดียวจะไม่ปล่อยไว้ ทำให้ชางฮุนกลัวมาก
แต่ก็พยายามควบคุมความรู้สึก
จินตนาการถึงสถานการณ์แบบนี้ในหัวมาเป็นร้อย
ๆ รอบแล้ว จะควบคุมความรู้สึกไม่ได้หรือไง
พ่อลูกแข่งจ้องตากันเช่นนั้น
ก่อนที่ประธานใหญ่คิมแทฮยอนจะคลายสีหน้าแล้วถามพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
“เด็กคนนั้นเหมือนฉันขนาดนั้นเลยเหรอ”
“พูดตรง ๆ เห็นแวบแรกผมก็ดูไม่ออกครับ
ถ้าหัวหน้าฝ่ายยุนที่อยู่ข้างหลังไม่ทำหน้าซีดแล้วสะกิดหลังยิก ๆ บอกผม
ผมก็คงไม่รู้ว่าเหมือนใครแล้วออกจากร้านมาเฉย ๆ ครับ”
“สายตาหัวหน้าฝ่ายยุนใช้ได้เลยนะ
สมแล้วที่แกพาไปไหนมาไหนด้วย”
“หัวหน้าฝ่ายยุนเซนส์ไวตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วครับ
ฉลาดจนไม่ต้องพูดถึง”
“ไม่เคยคิดเป็นอื่นเลยเหรอ”
“ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกครับ
ก่อนหน้านี้มีสถานการณ์ให้โกงได้เยอะแยะแต่ลองสืบดูแล้วก็ไม่เคยแตะต้องอะไรทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นผมถึงตั้งใจเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดีครับ”
“ใสสะอาดเกินไปก็อาจจะทำให้แกปวดหัวได้นะ”
“ก็แค่ระวังไม่ให้มันเปื้อนเสื้อผ้าผมเท่านั้นเองครับ”
“โชคดีที่แกมีเพื่อนดี
ฉันได้ยินมาจากประธานโอแล้วก็จริง
แต่บุคลากรทางฝั่งก่อสร้างพูดถึงแกค่อนข้างดีทีเดียว
ฉันกังวลอยู่ว่าพอแกกลับมาจากเมืองนอกแล้วจะเอาแต่เที่ยวเล่น
แต่สุดท้ายก็กลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ ฉันพอใจมาก”
“ขอบคุณครับ”
“ก่อนหน้านี้แกเคยไม่พอใจที่ไม่ได้เลื่อนเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ใช่ไหม”
“ผมยังเด็ก
ไม่ยึดติดกับการเลื่อนตำแหน่งหรอกครับ”
“ทัศนคติดี
ถึงอย่างนั้นเรื่องพีเอ็มสนามบินใหม่ของอินเดียก็ช่วยทำให้อูมยองคอนสตรัคชั่นวางรากฐานสำหรับการดำเนินงานในต่างประเทศอย่างเต็มตัวถือเป็นเรื่องสำคัญต่อภายในและภายนอก
ถึงตอนนั้นฉันจะชมแกไปแล้ว แต่ในเมื่อทำได้ถึงขนาดนี้
ออร์เดอร์สนามบินใหม่ครั้งหน้าก็อยู่แค่เอื้อม
ตอนนี้คงต้องขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่แล้วละ”
ดูเหมือนจะตัดสินใจไว้เรียบร้อยแล้วถึงพูดออกมา
ชางฮุนฉีกยิ้มพร้อมก้มศีรษะลง
“ถ้างั้นผมก็น้อมรับด้วยความยินดีครับ”
แน่นอนว่าใบหน้ากำลังยิ้ม
แต่ในใจเขากลับยังไม่หายเครียด
เพราะการเลื่อนตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่สามารถทำได้ทุกเมื่อ
เรื่องสำคัญคือหุ้นต่างหาก
“แล้วก็หุ้นอูมยองน่ะ”
ในที่สุดก็พูดออกมาสักที
“ครับ...”
“ตอนนี้แกเองก็ควรจะได้หุ้นของอูมยองไปบ้าง
ถ้าเพิ่มอีกคนเข้ามาในทะเบียนบ้าน มันก็น่าจะวุ่นวายมากขึ้นใช่ไหม
อย่างน้อยก็ยกหุ้นให้เด็กคนนั้นไม่ได้อยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นก็ควรจะแบ่งกันล่วงหน้าให้ชัดเจนเลย”
“จริงเหรอครับ”
“ทำไม แกมาประจบฉันเพราะหวังเรื่องนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”
ถึงใจจะหล่นวูบไปชั่วขณะ
แต่ชางฮุนก็ตีหน้าซื่อ
“พูดอะไรครับ
ยังไงพี่ก็เป็นอันดับหนึ่งในใจพ่ออยู่แล้วนี่นา”
“เคยเป็นอย่างนั้น”
ใช้คำว่า ‘เคย’
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนแค่นยิ้มแล้วพูดเสริม
“ฉันไม่รู้นะว่าหัวหน้าฝ่ายยุนวางแผนให้หรือยังไง
แต่ใช้ความคิดได้ดีทีเดียวอย่างน้อยก็ทำให้ฉันคิดจะยกหุ้นของอูมยองให้แกกับโดฮุนอย่างเท่าเทียมกัน”
ชางฮุนกำหมัดและพยายามอดทนไม่ให้เผลอโห่ร้องด้วยความยินดี
“ขอบคุณครับ”
“แต่แกต้องจำสิ่งที่ตัวเองพูดวันนี้ไปจนกว่าฉันจะตาย
เข้าใจใช่ไหมว่ามันหมายความว่าอะไร”
“หมายถึงถ้าหลังจากนี้พ่อกับแม่ทะเลาะกัน
ผมต้องเข้าข้างพ่อใช่ไหมครับ”
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนยกมุมปากขึ้น
“ใช่ ฉันไม่อยากหย่ากับแม่แก
ไม่อยากหย่าตอนอายุเท่านี้แล้วออกข่าวให้เป็นขี้ปากชาวบ้าน
แถมหย่าในวัยนี้ก็ต้องปวดหัวกับการแบ่งทรัพย์สินอีกแล้วทรัพย์สินทั้งหมดนั่นมันเป็นของใคร
พ่อฉันยกให้ฉัน มันเป็นทรัพย์สินที่ฉันสร้างมาเอง
แต่ทำไมหย่าแล้วฉันต้องแบ่งให้คนอื่นด้วย”
“จากมุมมองของพ่อก็คงเป็นอย่างนั้นแหละครับ”
“หึ! ยังไงแกก็นึกถึงแม่อยู่ดีสินะ”
“เอาจริง ๆ แม่น่าสงสารนะครับ
พ่อไม่ได้นอกใจแม่แค่ครั้งสองครั้งสักหน่อย...”
“ไหนเมื่อกี้แกเพิ่งบอกว่าจะเข้าข้างฉัน”
“ถ้าทะเลาะกับแม่เรื่องทะเบียนบ้าน
ผมเข้าข้างพ่อแน่นอนครับ เพราะเด็กคนนั้นผิดอะไรล่ะครับ เรื่องมันผ่านมานานแล้ว
แม่เด็กก็ตายแล้ว คงจะลำบากน่าดู...ยังไงก็เป็นน้องชายผม
ผมเลยอยากเอาชื่อเข้าทะเบียนบ้านแล้วดูแลให้ดีครับ”
“โอ้โฮ พูดดีนะเนี่ย”
“ก็จริงนี่ครับ”
“อะแฮ่ม...โอเค ฉันเชื่อแกนะ เข้าใจไหม”
“ครับ ไม่ต้องห่วง อ้อ
ผมจะรายงานเรื่องออร์เดอร์สนามบินใหม่ในอินเดียให้ฟังเพิ่มเติมนะครับ”
ชางฮุนเปิดแฟ้มแล้วเริ่มรายงานเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
แต่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าริมฝีปากตัวเองค่อย ๆ
แย้มยิ้ม
หัวหน้าฝ่ายโอจีฮวาน ทีมพัฒนาทรัพยากรมาที่ฝ่ายวางแผนและประสานงานหลังจากไม่ได้มานาน
ดูจากสีหน้าอิ่มอกอิ่มใจของเจ้าตัวแล้ว
ใครเห็นก็รับรู้ได้ว่างานต้องประสบความสำเร็จแน่นอน
“คาดว่าขั้นตอนการซื้อกิจการจะเสร็จสิ้นพร้อมกับการส่งมอบเรือในเดือนหน้าครับ
ในที่ประชุมระดับผู้บริหารกล่าวว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหน้าที่
ดังนั้นอาจจะปรับเปลี่ยนตำแหน่งก่อน
ส่วนการโอนหุ้นจะดำเนินการในวันส่งมอบครับว่าแต่คิดไว้หรือยังครับว่าจะเอาใครมาเป็นผู้บริหาร...”
การตกลงซื้อกิจการของนิปปอนยูเซนทำให้เหล่าผู้บริหารภายในกรุ๊ปแอบคาดหวังกันอยู่ในใจ
เนื่องจากมีบริษัทในเครือของเอชเอสกรุ๊ปเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแห่ง
จึงเปรียบเสมือนโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งอีกครั้ง
สำหรับพวกผู้บริหารและพนักงานที่ไม่สามารถเลื่อนตำแหน่งได้เพราะไม่มีตำแหน่งว่าง
“เอ่อ
ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นเลย...ท่านประธานใหญ่น่าจะมีคนในใจบ้างใช่ไหมครับ”
จริง ๆ มันคือปัญหาที่ควรคิดเอาไว้ล่วงหน้า
แต่หลังจากตามประธานซงบยองชานไปเจอโจชียอนแล้ว เรื่องราวก็พัวพันกันไปหมด
ถึงจะตำหนิตัวเองในใจว่าละเลยเกินไปทั้ง ๆ
ที่งานบริษัทต้องมาก่อน แต่ก็แสดงออกไปต่อหน้าพนักงานไม่ได้จึงแกล้งทำเป็นไม่รู้
แต่หัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานกลับเอียงศีรษะด้วยความสงสัย
“ก่อนหน้านี้ผมได้ยินมาว่าท่านประธานใหญ่...”
ดูเหมือนท่านประธานใหญ่จะบอกคนอื่น ๆ
ว่าฝากเรื่องนั้นไว้กับกรรมการผู้จัดการฝ่ายวางแผนและประสานงานสินะ
“อ๋อ งั้นเหรอครับ โอเค
ผมจะลองคิดดูนะครับ”
“ให้เลือกรายชื่อผู้บริหารมืออาชีพนอกกรุ๊ปมาเสนอไหมครับ”
ฝ่ายวางแผนและประสานงานคงจะมีรายชื่อผู้บริหารภายในกรุ๊ปอยู่แล้วดังนั้นเลยถามว่าคิดจะจ้างคนภายนอกเข้ามาหรือไม่
“เดี๋ยวขอคิดดูก่อนครับ”
“รับทราบครับ”
“ไม่ทราบว่ามีพนักงานคนไหนอยากย้ายไปนิปปอนยูเซนบ้างไหมครับ”
“หมายถึงด้วยเงื่อนไขของการเลื่อนตำแหน่งเหรอครับ”
“แน่นอนครับ”
“น่าจะเยอะมากเลยครับ
เพราะมันคือโอกาสที่จะได้เรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นแล้วก็ได้ประสบการณ์หลาย ๆ อย่างครับ”
“ถ้างั้นปรึกษากับฝ่ายบุคคลแล้วคัดเลือกบุคลากรที่จำเป็นต่อนิปปอนยูเซนกับคนที่สมัครใจไปให้ผมทีนะครับ
รวมถึงพวกผู้บริหารด้วย”
“ได้ครับ”
เมื่อหัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานลงมาที่ทีมพัฒนาทรัพยากรแล้ว
หัวหน้าฝ่ายชเวดงชุล ทีมปิโตรเคมีก็เดินเข้ามาหา
หลังจากอดีตหัวหน้าฝ่ายปิโตรเคมีอย่างโกซึงฮยอนได้เลื่อนตำแหน่งตำแหน่งงานที่ว่างอยู่จึงเป็นของชเวดงชุล
เพื่อนร่วมรุ่นของหัวหน้าฝ่ายโอจีฮวาน
ได้ยินมาว่าหัวหน้าฝ่ายชเวดงชุลดีใจมากกับการเลื่อนตำแหน่งอย่างไม่ทันคาดคิด
วันนั้นภรรยาของหัวหน้าฝ่ายชเวถึงกับร้องไห้โฮที่บ้าน
“หัวหน้าฝ่ายโอของเรา
ช่วงนี้ใส่ฟองนํ้าเสริมไหล่เยอะหรือไง”
“เปล่า ดูเป็นอย่างนั้นเหรอ
ฉันนึกว่ามันมองไม่เห็นซะอีก กะจะใส่เพิ่มสักชั้นอยู่นะเนี่ย”
“แหม~ หัวหน้าฝ่ายโอสบายอกสบายใจใหญ่เชียวนะ”
“ฮ่า ๆ
ๆ...เพราะแบบนี้ไงคนเราถึงต้องปีนเชือกให้เก่ง”
“พอเหอะ รีบเล่ามาเร็ว เป็นไงบ้าง”
“แปลกมาก..”
“แปลกอะไร”
“เขาบอกว่าไม่ได้คิดไว้เลย”
“ไม่ได้คิดงั้นเหรอ”
“เออ ดูจากสีหน้าแล้ว
เหมือนสีหน้าเวลาหัวหน้าฝ่ายชเวมาทำงานแล้วลืมเอามือถือมาเป๊ะ คิดว่าน่าจะลืมจริง
ๆ แหละ”
“ลืมเรื่องนั้นเนี่ยนะ”
“เออ ก็นะ
เท่าที่ได้ยินมาได้ข่าวว่าแทบไม่อยู่ติดห้องเลย”
“ยุ่งอะไรขนาดนั้น”
“ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ ๆ
คือไม่ได้ไปเที่ยวเล่นแน่นอน”
“จริงเหรอ”
“อือ สไตล์คนละแบบกับพวกเรา
ขนาดที่ญี่ปุ่นก็แทบไม่เคยคุยอะไรนอกเหนือจากเรื่องงาน
โทรศัพท์ส่วนตัวก็ไม่คุยกับใครนอกจากภรรยา แถมตีกอล์ฟไม่เป็นด้วยซํ้า”
หัวหน้าฝ่ายชเวดงชุลทำหน้าตกใจ
เพราะต่อให้ไม่ใช่พวกมหาเศรษฐีและเป็นแค่นักธุรกิจเจ้าของกิจการเล็ก
ๆก็แทบจะไม่มีใครตีกอล์ฟไม่เป็น
กอล์ฟเป็นกีฬาที่สำคัญจนแทบจะกลายเป็นคุณสมบัติจำเป็นของคนทำธุรกิจแต่คนที่ได้แต่งงานกับลูกสาวคนเดียวของมหาเศรษฐีกลับตีกอล์ฟไม่เป็นเนี่ยนะ...
“ตีกอล์ฟไม่เป็นงั้นเหรอ ถ้างั้นทำอะไร”
“ตอนพักก็ดื่มกาแฟที่ล็อบบี้โรงแรมคนเดียว
ชมวิว ดูผู้คนอะไรประมาณนั้นไม่รู้ว่ามันสนุกยังไงเหมือนกัน
แต่เอาเป็นว่าค่อนข้างแปลก
ถ้าเขายุ่งขนาดนั้นก็แสดงว่ากำลังทำงานอะไรที่พวกเราไม่รู้นั่นแหละ เด็ก ๆ
ในฝ่ายวางแผนและประสานงานก็หัวหมุน
ไม่รู้ว่าโปรเจกต์อะไร...ยังไงก็คงไม่แย่กับพวกเราหรอก”
“นายจะไปไหม”
“ไปไหน”
“จะไปไหนล่ะ นิปปอนยูเซนไง
ถ้าไปที่นั่นก็ได้เลื่อนเป็นผู้บริหารแน่นอนไม่ใช่เหรอ”
หัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานขมวดคิ้วพร้อมกับเดาะปากเหมือนเวทนา
“จิ๊ ๆ ๆ...โธ่ หัวหน้าฝ่ายชเวที่น่าสงสารของพวกเรา”
“ทำไม”
“หัวหน้าฝ่ายของเรายังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ~เลยนะ ไม่รู้เหรอว่าห่างตาก็ห่างใจ ทำไมขันทีถึงมีอำนาจเยอะล่ะ
เพราะเจอหน้าพระราชาบ่อย ๆ
คอยปรนนิบัติใกล้ชิด...ถึงได้มีอำนาจแข็งแกร่งไม่ใช่หรือไง”
“โอ้โฮ~ เพราะงั้นช่วงนี้ก็เลยชอบอยู่ใกล้ชิดกรรมการผู้จัดการชเวบ่อย
ๆสินะ”
“ไม่ได้ถึงขั้นนั้น...แต่ถ้าพัฒนาขึ้นอีกนิดก็อาจจะเป็นไปได้
ยังไงก็ตามฉันไม่ไปหรอก หัวหน้าฝ่ายชเวจะไปหรือเปล่าล่ะ”
“ไปสิ ฉันไม่ได้มีเชือกหนา ๆ
เหมือนนายสักหน่อย...”
หัวหน้าฝ่ายชเวดงชุลพึมพำสีหน้าขมขื่น
แต่อยู่ ๆ
พนักงานก็ลุกขึ้นโดยพร้อมเพรียงกันก่อนจะทักทายใครบางคน
แน่นอนว่าหัวหน้าฝ่ายโอกับหัวหน้าฝ่ายชเวเองก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย โอจีฮวาน”
“ครับ กรรมการผู้จัดการ”
น่าแปลกใจเพราะคนที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมคือยุนจองฮวานกรรมการผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรต่างประเทศ
คนที่เดินจับท้ายทอยไปไหนมาไหนอยู่พักหนึ่งเพราะบอกว่าโดนโกซึงฮยอนที่เคยอยู่ใต้บังคับบัญชาหักหลัง
“โกซึงฮยอนก็คนหนึ่งแล้ว
นายก็เป็นนกสองหัวเหมือนกันหรือไง”
“เปล่านะครับ”
“ตามฉันมา”
“ครับผม”
หัวหน้าฝ่ายโอคิดว่าตายแน่ ๆ
แล้วก้มหน้าเดินตามอีกฝ่ายไป
เมื่อเข้ามาในห้องกรรมการผู้จัดการ
กรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานก็นั่งลงที่โต๊ะประจำตำแหน่ง
ก่อนจะพยักพเยิดสั่งให้เขานั่งลงแล้วอ้าปากพูด
“ฉันได้รับรายงานแล้ว
เรื่องที่นายทำงานให้กรรมการผู้จัดการชเว ฝ่ายวางแผนและประสานงานน่ะ
แล้วก็รู้ว่ามันไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่นายก็ควรจะมารายงานผลด้วยไม่ใช่เหรอ
เห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตอหรือไง”
“เปล่าครับ”
“งั้นทำไมกลับมาจากฝ่ายวางแผนและประสานงานแล้วถึงไม่มาหาฉันแต่ดันไปคุยเล่นกับหัวหน้าฝ่ายชเว”
“ผมคอแห้งเลยกะว่าจะแวะไปดื่มกาแฟนิดหน่อยแล้วค่อยขึ้นมาครับขอโทษครับ”
คอแห้งเนี่ยนะ...
ถึงจะเป็นข้ออ้างที่แม้แต่เด็กประถมยังไม่ใช้
แต่นอกจากนั้นแล้วก็นึกข้ออ้างดี ๆ ไม่ออกเลย
เพราะรู้ว่าตัวเองทำพลาดที่ตื่นเต้นมากเกินไปจนอยากเล่าให้หัวหน้าฝ่ายชเวฟัง
แน่นอนว่ากรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานแค่นหัวเราะใส่
“หึ! จะโกหกก็ให้มันเนียนหน่อยเหอะ”
“ขอโทษครับ”
“ช่างเถอะ แล้วเป็นยังไงบ้าง”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น
หัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานที่กำลังก้มศีรษะขอโทษจึงเข้ามานั่งข้าง ๆ
กรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานแล้วตอบ
“เท่าที่ฟังมา
ดูเหมือนกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนยังไม่ได้คิดว่าจะให้ใครไปบริหารนิปปอนยูเซนครับ”
“ยังไม่ได้คิด จริงเหรอ”
“ครับ”
“ไม่ได้คิดจะจ้างคนนอกหรือไง”
“สีหน้าเขาบ่งบอกว่าไม่เคยคิดเรื่องนั้นมาก่อน
ดูงง ๆ ด้วยครับ บอกให้ลิสต์รายชื่อผู้บริหารมืออาชีพจากภายนอกมาเสนอก่อน
ผมคิดว่าเขาน่าจะดูบุคลากรทั้งภายในภายนอกแล้วค่อยตัดสินตอนนั้นนะครับ”
“อืม...นายคิดว่ายังไง”
หัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานตอบกลับทันทีหลังกรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานพูดจบ
โดยไม่เว้นจังหวะหายใจ
“แน่นอนว่ากรรมการผู้จัดการเหมาะสมครับ”
“เลิกโกหกได้แล้ว”
“ยังไงก็ต้องเป็นกรรมการผู้จัดการครับ
ต้องไปให้ได้นะครับ พูดตรง ๆทั้งกรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอน ทั้งอดีตหัวหน้าฝ่ายวางแผนและประสานงานอย่างกรรมการผู้จัดการใหญ่คังโนชิกด้วย...สองคนนั้นสนิทกับกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนไม่ใช่เหรอครับ
ถึงทิศทางมันจะสลับด้าน
แต่ก็มองว่าเป็นไลน์ของกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนได้นะครับ”
“อืม...”
กรรมการผู้จัดการยุนพยักหน้าเห็นด้วย
หัวหน้าฝ่ายโอจึงพูดต่อ
“ในสถานการณ์นี้
ถ้าสั่งสมประสบการณ์จากตำแหน่งซีอีโอ
หรือไม่ก็ระดับกรรมการผู้จัดการใหญ่ขึ้นไปของนิปปอนยูเซนเพื่อการก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น
ผมคิดว่ากรรมการผู้จัดการน่าจะได้รับการยอมรับจากภายในกรุ๊ปมากพอนะครับ”
“งั้นเหรอ”
“ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ลองทำสักครั้งสิ”
“ครับ?”
นี่มันอะไรกัน...
คำว่า ‘ฉิบหายแล้ว’ แวบผ่านเข้ามาในหัว
“ตอนนี้นายสนิทกับกรรมการผู้จัดการชเวไม่ใช่เหรอ
ถ้างั้นก็คงช่วยให้ฉันเป็นได้ใช่ไหม ฉันเชื่อในตัวนายนะ”
กรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานตบไหล่หัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานด้วยแววตาเชื่อมั่น
“ฮ่า ๆ...ครับ...”
ตกหลุมพรางซะแล้ว
บทที่ 210 เกมพลิก (3)
หลังลงมาจากฝ่ายทรัพยากร หัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานก็กระแทกตัวนั่งลงที่โต๊ะตัวเองแล้วก้มหน้างุดครุ่นคิดอย่างต่อเนื่อง
“ฉิบหาย ฉิบหาย...”
เรื่องนี้ฉิบหายแน่ ๆ
ไม่ว่าตัวเองจะสนิทกับผู้มีอำนาจสูงสุดของกรุ๊ปอย่างกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนมากแค่ไหน
แต่คิดว่าจะยกตำแหน่งที่สูงกว่าระดับกรรมการผู้จัดการใหญ่ของนิปปอนยูเซนให้ได้งั้นเหรอ
ถ้าหากคิดอย่างนั้นจริง ๆ
กรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานก็ไม่ต่างอะไรกับคนโง่
ต่อให้จับเชือกของกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุน
แต่ถ้าเที่ยวเซ้าซี้ไปเรื่อยก็ต้องโดนแบล็กลิสต์แน่นอน
ตอนนี้ถ้าเขาไม่ทำตามคำสั่งลับ (?)
ของกรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานแต่โดยดี
ต่อไปบรรดาโปรเจกต์ทั้งหมดของฝ่ายทรัพยากรต่างประเทศที่มีอะไรให้แสดงฝีมือเต็มที่ก็คงจะถูกจัดสรรให้ทีมอื่นแทน
น่าจะส่งแต่โปรเจกต์กลวง ๆ
ทำกำไรได้ไม่เยอะมาให้ไม่หยุดไม่หย่อนแน่นอน
ถ้าเป็นอย่างนั้น
ไม่ว่าจะสนิทกับกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนมากแค่ไหนหากไม่มีผลงานให้ผลักดัน
สุดท้ายก็ต้องมีข้อจำกัดในการเลื่อนตำแหน่ง
“เป็นอะไร”
หัวหน้าฝ่ายชเวดงชุลแอบถามเพราะทนเก็บความสงสัยไม่ไหว
“ไม่รู้ แต่ฉิบหายแน่”
“กรรมการผู้จัดการยุนสร้างเรื่องเหรอ”
“เออ โยนขี้ก้อนเบ้อเร่อมาให้รับผิดชอบ
ฉันนึกไม่ออกเลยว่าควรจะจัดการเรื่องนี้ยังไง”
“โคตรอยากรู้เลย แต่บอกไม่ได้ใช่ไหม”
“อือ
ฉันบอกได้นะว่ามีอะไรอยู่ในฮาร์ดไดรฟ์คอมพ์ฉันบ้าง แต่กับเรื่องนี้ไม่ได้จริง ๆ”
“ฉันไม่ค่อยอยากรู้เท่าไหร่หรอก เพราะของในฮาร์ดไดรฟ์ฉันน่าจะสนุกกว่าของในฮาร์ดไดรฟ์นายเยอะ
ยังไงก็สู้ ๆ แล้วกัน~”
หัวหน้าฝ่ายชเวดงชุลรู้ว่าถึงจะพยายามขุดคุ้ยต่อไปก็มีแต่จะเจ็บปากจึงถอยก่อน
แน่นอนว่าจัดการหันเสาอากาศมาทางหัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานแล้วเรียบร้อย
เหตุผลก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เรียกว่าเป็นแค่ปัจจัยเสริมพลังอย่างหนึ่งให้แก่ชีวิตในบริษัทอันน่าเบื่อหน่ายก็ได้ละมั้ง
อีกด้านหนึ่ง
หัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานก็กำลังใช้ความคิดอย่างบ้าคลั่ง
และหลังจากนั้นไม่นานก็นึกออกว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถให้ความกระจ่างเล็ก
ๆ น้อย ๆ ได้ในสถานการณ์นี้
เขาต่อสายโทรศัพท์ทันที
“มาแล้วเหรอ รถติดมากใช่ไหม”
หัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานยิ้มกว้างต้อนรับมินฮี
“ทำไมต้องให้มาถึงที่นี่ด้วยล่ะคะ”
หัวหน้าฝ่ายโอยิ้มเขิน ๆ
เมื่อสถานที่นัดหมายไม่ใช่อึลจีโร แต่เป็นพันโพที่ต้องข้ามสะพานมา
“หลบสายตาคนอื่นน่ะ
บอกแล้วว่าเดี๋ยวฉันพามาเอง”
“แล้วถ้ามีใครเห็นตอนขึ้นรถหัวหน้าฝ่าย
การถ่อมาถึงที่นี่มันจะมีประโยชน์อะไรคะ ยังไงฉันก็นั่งรถไฟฟ้าไปไหนมาไหนอยู่แล้ว
ต่อให้เป็นเวลาเลิกงานก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรค่ะ ว่าแต่มีเรื่องอะไรเหรอคะ”
“ทำไม ดูเหมือนมีอะไรเหรอ”
“ประมาณนั้นค่ะ
นํ้าเสียงตอนโทร.มานัดก็เหมือนกัน ช่วงนี้ทำงานกับกรรมการผู้จัดการของเรา
มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าคะ”
“ไม่มี~ ฉันไม่ได้อึดอัดอะไรกับกรรมการผู้จัดการเลยสักนิด
ตรงกันข้ามคือเขาทำให้สบายใจมาก จนบางทีฉันก็สงสัยว่าฉันต้องทำอะไรกันแน่”
“อาจจะเป็นเพราะกรรมการผู้จัดการไม่ใช่คนสั่งงานแบบลงรายละเอียดทีละอย่างละมั้งคะ”
ไม่ใช่เพราะไม่อยากลงรายละเอียด
แต่ยองฮุนไม่รู้รายละเอียดงานต่างหาก
ขนาดตอนนี้มีอบรม (?)
แยกส่วนตัวทุกวัน
แต่เมื่อเทียบกับพนักงานที่มีประสบการณ์การทำงานทีละขั้นจากพื้นฐานแล้วก็ยังถือว่าห่างชั้นมากอยู่ดี
“เพราะมันเป็นสไตล์ของกรรมการผู้จัดการไง
ฉันไม่ได้ข้องใจอะไรกับเรื่องนั้นเลย อ้อ ดื่มอะไรสักหน่อยเนอะ”
หัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานขยับตัวอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะถือเครื่องดื่มสองแก้วกลับมานั่ง
จากนั้นก็อ้าปากพูดกับมินฮีที่กำลังดูดนํ้าด้วยสีหน้าสงสัย
“ดูเหมือนกรรมการผู้จัดการยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะมอบตำแหน่งซีอีโอของนิปปอนยูเซนให้ใคร”
“คงจะยุ่งมากจนไม่มีเวลาคิดค่ะ”
มินฮีรู้ดีอยู่แล้วว่ายองฮุนยุ่งแค่ไหน
แถมยังมีการสั่งงานพนักงานอย่างลับ ๆ
โดยที่ไม่ได้บอกเธอด้วย
ดังนั้นยองฮุนไม่มีเวลาจะคิดถึงผู้บริหารคนใหม่ของนิปปอนยูเซนแน่นอน
“ช่วยสืบให้หน่อยได้ไหมว่ามีกรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานอยู่ในใจบ้างหรือเปล่า”
“กรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานเหรอคะ
อืม...”
มินฮีกอดอกและจมอยู่กับความคิด
เท่าที่ตัวเองรู้
หัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานเป็นคนรักษาระยะอย่างเคร่งครัด แต่เรื่องนี้มีอะไรแปลก ๆ
แต่เธอพยักหน้าเพราะคิดว่ายังเร็วเกินไปที่จะตัดสินเขา
“ไว้จะลองถามให้นะคะ ว่าแต่อยากให้ถามเฉย
ๆ หรือว่าอยากให้กรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานเป็นซีอีโอของนิปปอนยูเซนคะ”
“ถ้าจะให้พูดตรง ๆ
ฉันอยากให้กรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานเป็นซีอีโอของนิปปอนยูเซน”
คิ้วของมินฮีขมวดเข้าหากันทันที
ท่าทางนั้นทำให้หัวหน้าฝ่ายโอรีบพูดเสริม
“ไม่ต้องเป็นประธานบริษัทก็ได้
แค่ระดับกรรมการผู้จัดการใหญ่ก็พอแล้ว”
“กรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานสั่งมาเหรอคะ”
ถึงจะสั่งจริง ๆ
แต่เขาบอกไม่ได้ว่าโดนสั่งมา
ต่อให้คนถามจะเก็บความลับเก่งขนาดไหนก็บอกความจริงไม่ได้
หัวหน้าฝ่ายโอรู้ดีว่าการผลีผลามพูดถึงเรื่องที่ไม่มีหลักฐาน
คนที่เดือดร้อนก็มีแต่ตัวเองคนเดียวเท่านั้น
“สถานการณ์มันซับซ้อนนิดหน่อย
ฉันรู้ว่าคุณมินฮีคิดอะไรอยู่ แต่มันตรงกันข้าม”
“ยังไงคะ”
“กรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานพยายามจับผิดฉันอยู่น่ะ
ถ้าฉันคิดจะแสดงความสามารถในบริษัทนี้ต่อ
ก็ไม่ควรอยู่ใต้อำนาจกรรมการผู้จัดการยุน”
“...”
“ถึงจะไม่เข้าใจ
แต่สถานการณ์ของฉันตอนนี้เป็นอย่างนั้นแหละ
ฉันรู้ว่ามันน่าปวดหัวเลยไม่ขออะไรคุณมินฮีมาก”
“ถ้าอย่างนั้น...”
“แค่ลองถามเฉย ๆ
ก็พอว่านึกถึงกรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานบ้างหรือเปล่า
หลังจากนั้นเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
ผู้หญิงที่ชื่อคิมมินฮีคนนี้เป็นเลขาฯของผู้มีอำนาจสูงสุด
เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่โง่เขลา และต่อให้พยายามแค่ไหน เธอก็กำหนดขอบเขตไว้ชัดเจน
ถึงอย่างไรจุดประสงค์ก็คือการทำให้กรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนรู้ว่ากรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานอาจจะเป็นผู้สมัคร
ดังนั้นจึงไม่คิดจะขออะไรจากเธอมากกว่านี้
“ฉันเข้าใจว่าอยากส่งกรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานไปญี่ปุ่น
แต่ขอแค่นั้นก็พอเหรอคะ”
มันเป็นเรื่องเล็กน้อยเกินไปสำหรับการขอร้องอย่างจริงจัง
“คงไม่ได้พูดเพราะเป็นห่วงฉันหรอกนะ”
“ฉันแค่สงสัยน่ะค่ะ
หัวหน้าฝ่ายจะหลุดพ้นจากวิกฤตนี้ได้ยังไง...เท่าที่ดูเหมือนไม่คิดจะโจมตีให้กรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานเสียท่าเลย...”
หัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานทำหน้าแหยก่อนจะตอบ
“กรรมการผู้จัดการยุนน่ะ
เป็นคนน่ากลัวจริง ๆ ถ้าจะโดนหมายหัวสักครั้งก็ไม่มีเหตุผลอะไรหรอก แล้วถอยกลับไม่ได้ด้วย
ไม่ว่าลูกน้องจะประจบประแจงแค่ไหนก็ไม่ยิ้มให้ใครง่าย ๆ”
“ฉันเคยได้ยินข่าวลือมาเหมือนกัน
แต่ไม่คิดว่าจะขนาดนั้นนะคะเนี่ย”
“อืม...ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่คนเข้าสังคมไม่เป็นหรอกนะ...แต่จะเป็นกับพวกลูกน้องเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะกรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนที่ทำให้อาการหนักขึ้นทีนี้เขาเลยหมายหัวว่าฉันจะต้องเหยียบเขาขึ้นไปเหมือนกรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอน”
“อ๋อ...ก็สมควรอารมณ์เสียอยู่นะคะ”
“ใช่ พูดตามตรงฉันก็เข้าใจความรู้สึกนั้น
เพราะฉะนั้นเลยต้องหาวิธี
แล้ววิธีที่ดีที่สุดก็คือทำให้เขาเลื่อนตำแหน่งในระดับสูงกว่ากรรมการผู้จัดการใหญ่ของนิปปอนยูเซน”
“วินวินกันทั้งคู่สินะคะ
แต่ตอนกรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานกลับมาจากนิปปอนยูเซน
อย่างน้อยหัวหน้าฝ่ายก็ควรมีตำแหน่งสูงกว่ากรรมการผู้จัดการยุนไม่ใช่เหรอคะ”
“แน่นอนว่าควรจะเป็นอย่างนั้น
แต่มันเป็นเรื่องในอนาคตนี่นา ไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องอีกสองสามปีข้างหน้าตั้งแต่ตอนนี้หรอก”
“เป็นความคิดที่ดีนะคะ”
“คุณมินฮี พวกเราสนิทกันนี่นา
คำขอประมาณนี้มันไม่ได้ยากขนาดนั้นใช่ไหม”
“โอเคค่ะ ฉันจะลองถามให้
เพราะมันไม่ได้ยากอะไร”
ถึงภายนอกมินฮีจะตอบอย่างคูล ๆ
แต่ไม่ได้คิดจะรับฟังคำขอของเขา
“ขอบคุณนะ หลังจากนั้นเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
คิมโดฮุน ประธานอูมยองโซลาร์เซลล์ได้ยินคำพูดที่เหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆในการประชุมผู้บริหาร
“กรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนทำผลงานได้เยอะมากทีเดียว
ไม่ใช่เพราะเป็นลูกชายฉัน แต่ทุกคนต่างก็ชื่นชม และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากมาย
ฉันเลยตั้งใจว่าจะยกหุ้นของอูมยองให้สักหน่อย”
การประกาศอย่างกะทันหันของผู้เป็นพ่ออย่างประธานใหญ่คิมแทฮยอนทำเอาคนที่เข้าร่วมประชุมสังเกตสีหน้าของคิมโดฮุนทันที
ใครมองก็เห็นว่าสีหน้าไม่สู้ดี
และเห็นได้ชัดว่าพยายามจะซ่อนความรู้สึกสับสนเอาไว้
แน่นอนว่าประธานใหญ่ก็รับรู้เรื่องนั้น
แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้แล้วพูดต่ออีกครั้ง
“เดี๋ยวนี้ชาวบ้านชอบด่าว่าพวกมหาเศรษฐีไม่จ่ายภาษีใช่ไหม
ฝ่ายกลยุทธ์คราวนี้ก็จ่ายภาษีให้ครบล่ะ อย่าให้ชางฮุนโดนด่า”
“รับทราบครับ”
ถึงจะไม่ได้บอกว่าจะให้ชางฮุนมากแค่ไหน
แต่ดูจากการที่หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ตอบรับเหมือนรออยู่แล้ว
แสดงว่าพูดคุยกันไว้แล้วแน่นอน
โดฮุนคิดว่าตัวเองไม่อาจสงบสติแล้ววางตัวนิ่งเฉยได้อีกต่อไป
“ท่านประธานใหญ่ครับ
ถึงกรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนจะได้คำชมว่าผลงานดี ทำงานเก่ง แต่เรายังไม่ได้รับการยืนยันคำสั่งพีเอ็มของสนามบินแห่งใหม่เพิ่มเติมในอินเดียเลย
แล้วช่วงนี้ก็มีการพูดถึงการสืบทอดอำนาจของมหาเศรษฐีกันเยอะ
การโอนหุ้นในสถานการณ์นี้จะดึงดูดความสนใจของผู้คนทั่วโลก...”
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนตัดบท
“อ้อ ฉันรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว คนจะพูดมันก็พูดนั่นแหละ
เพราะฉะนั้นถ้าชางฮุนทำงานชุ่ย ๆ ฉันจะไม่โอนหุ้นให้สักเปอร์เซ็นต์
ประธานโอก็รู้ใช่ไหม”
ประธานโอคยองมินจากอูมยองคอนสตรัคชั่นตอบทันที
“ใช่ครับ ยํ้าหลายรอบเลย”
“คนสมัยนี้รู้ทุกอย่าง
ลูกคนไหนมีความสามารถ ลูกคนไหนไม่เอาไหนถึงจะด่าเรื่องการสืบทอดอำนาจ
แต่ก็ไม่ได้ด่าด้วยเหตุผลของการรับช่วงต่ออย่างเดียว
ปัญหามันคือการให้คนไม่มีความสามารถมารับตำแหน่งที่กำหนดความอยู่รอดของธุรกิจและทรัพย์สินมากมาย
เพียงเพราะได้พ่อแม่ดีต่างหาก ดูสิ ตั้งแต่ยุคเก้าศูนย์เป็นต้นมา
เคยมีสักกี่ครั้งกันที่เศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างดีแต่หลังจากชางฮุนมาเป็นกรรมการผู้จัดการของอูมยองคอนสตรัคชั่น
ยอดขายก็เพิ่มขึ้นตั้งเท่าไหร่”
“พ่อครับ
ก่อนหน้านี้เราก็เคยรับคำสั่งก่อสร้างจากต่างประเทศมานับไม่ถ้วนนะครับ”
“คำสั่งก่อสร้างถูก ๆ
ที่ฉันเฉือนเนื้อของตัวเองกินน่ะเหรอ เฉพาะกำไรจากพีเอ็มสนามบินใหม่ของอินเดียที่ได้มาเมื่อปีก่อนก็เท่าไหร่แล้ว
ประธานโอได้เท่าไหร่นะ”
“เกินแสนล้านมานิดหน่อยครับ”
“โอเค
จนถึงตอนนี้มีกี่ครั้งกันที่ทำกำไรได้เกินแสนล้านจากคำสั่งก่อสร้างจากต่างประเทศ
นอกจากนี้เอาเฉพาะยอดขายอุปกรณ์หนักที่ส่งออกจากอูมยองคอนสตรัคชั่นแมชชีนเนอรี่ไปอินเดียก็มีมากกว่าหมื่นล้านเครื่อง
แถมยังออกข่าวด้วย ถ้าขนาดนั้นทุกคนก็น่าจะคิดว่าชางฮุนมีความสามารถไม่เลวนะ
ทุกคนคิดเหมือนกันใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“แน่นอนครับ”
ไม่มีใครปฏิเสธสักคน
เจตนารมณ์ของผู้นำกรุ๊ปแน่วแน่
และเหนือสิ่งอื่นใดก็มีความสามารถที่เห็นได้ชัดเจน จึงไม่มีเหตุผลจะคัดค้าน
แต่พอเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของคนที่เปรียบเสมือนรัชทายาทของกรุ๊ปอย่างประธานคิมโดฮุนจากอูมยองโซลาร์เซลล์แล้ว
ก็ได้แต่กังวลว่าชะตากรรมของกรุ๊ปอาจจะสั่นคลอน
“เยี่ยม จบการประชุมแต่เพียงเท่านี้”
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนเดินออกจากห้องประชุม
เนื่องจากใบหน้าของประธานคิมโดฮุนค่อย ๆ
แดงขึ้น เหล่าประธานบริษัทที่เข้าร่วมประชุมเลยรีบหนีกันเหมือนมีใครไล่ตาม
หลังจากสงบสติอารมณ์เพียงลำพังในห้องประชุมที่ไม่มีใคร
โดฮุนก็ลุกขึ้นเดินไปที่ห้องประธานใหญ่
สถานการณ์ตึงเครียดจนเหงื่อไหลอาบหน้าหัวหน้าฝ่ายเลขานุการที่ตามหลังมา
เมื่อโดฮุนเข้าไปในห้องประธานใหญ่
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนก็เหมือนกำลังรออยู่ก่อนแล้ว
“นั่งสิ”
“ครับ”
“ตกใจละสิ”
“พูดตามตรงก็ใช่ครับ”
“นั่นสินะ ฉันเข้าใจ”
“พ่อ...”
ตอนที่โดฮุนพยายามจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนก็ชิงตัดหน้าก่อน
“ฉันลองสืบมา
แล้วก็เจอว่าแกมีน้องชายอีกคน”
“ครับ?”
“แม่เขาตายแล้ว อาศัยอยู่กับยาย”
“...”
“ดังนั้นฉันเลยอยากเอาเด็กคนนั้นเข้าทะเบียนบ้านแล้วเลี้ยงดู”
โดฮุนตกใจจนตะโกนออกมาทันที
“พ่อ ไม่ได้นะครับ!”
“ไม่ได้งั้นเหรอ”
“แม่คงไม่ยอมหรอกครับ”
“แกช่วยฉันไม่ได้เหรอ”
ถามว่าช่วยไม่ได้งั้นเหรอเนี่ยนะ...
เมื่อกี้นี้เพิ่งพูดอ้อม ๆ
ว่ากรุ๊ปไม่ได้แบ่งหนึ่ง แต่แบ่งเป็นสอง
แต่ทันทีที่ใส่ชื่อเข้าทะเบียนบ้าน
กรุ๊ปมูลค่าหลายล้านล้านวอนอาจจะถูกแบ่งเป็นสาม ไม่ใช่แค่สอง
ถึงจะบอกว่าเด็กนั่นยังเด็ก
แต่ไม่ว่าจะเด็กแค่ไหน พ่อก็ยังไม่ได้จะตายตอนนี้สักหน่อย
แล้วพอโตเป็นผู้ใหญ่ได้เรียนหนังสือมาประมาณหนึ่งแล้วจะจัดการอย่างไรกับเรื่องราวที่ตามมาหลังจากนั้นล่ะ
เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้
“พ่อ แค่ช่วยเฉย ๆ
ไม่ต้องเอาเข้าทะเบียนบ้านไม่ได้เหรอครับ”
“อย่าเอาเข้าทะเบียนบ้าน แค่ช่วยเฉย
ๆ...งั้นเหรอ”
โดฮุนไม่สามารถตอบคำย้อนถามของประธานใหญ่คิมแทฮยอนได้ในทันที
ถ้ามีเลือดของพ่อผสมอยู่จริง ๆ
ต่อให้ไม่ใช่ตอนนี้ สักวันเด็กคนนั้นก็ต้องกลายเป็นตัวหายนะอยู่ดี
ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะฆ่าเด็กคนนั้นไม่ได้
หรือทำอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ประธานคิมแทฮยอนก็ยิ้มอย่างขมขื่นออกมา
“อย่างนั้นสินะ ฉันเข้าใจแล้ว”
โดฮุนโล่งอกเมื่อพ่อพยักหน้าเหมือนล้มเลิกความคิด
แต่คำพูดที่ตามมาของพ่อก็ทำให้โดฮุนรู้สึกเหมือนโดนนํ้าเย็นสาดเรียกสติ
“ถ้าแกคิดจะมาบอกว่าอย่ายกหุ้นให้ชางฮุน
ฉันก็ขอโทษด้วย เรื่องนั้นน่าจะยาก แกฉลาดก็จริง
แต่ชางฮุนเองก็มีความสามารถพอจะเป็นผู้นำกรุ๊ปได้เหมือนกัน”
ใช้คำว่ากรุ๊ป ไม่ใช่แค่อูมยองคอนสตรัคชั่น
“พ่อ...”
“แกสองคนลองแข่งกันดูสิ เติบโตไปพร้อม ๆ
กันแล้วมาช่วยเหลือบริษัทออกไปได้แล้ว”
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนหันหลังกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง
เหมือนพูดในสิ่งที่ต้องพูดจบแล้ว
บทที่ 211 เกมพลิก (4)
เมื่อกลับมาถึงเมืองเซจง ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของอูมยองโซลาร์เซลล์โดฮุนก็นั่งคิดซํ้าแล้วซํ้าเล่าอยู่ในห้องทำงานของตัวเอง
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยสักครั้งว่าตัวเองจะไม่ได้เป็นผู้สืบทอดของอูมยองกรุ๊ปถึงแม้จะแข่งขันกับน้องชายเพื่อสิทธิ์ในการบริหารบริษัท
แต่เชื่อว่าหัวใจของพ่อจะอยู่ข้างเขาเสมอ
ทว่าวันนี้ความเชื่อนั้นกลับพังทลายย่อยยับ
มันผิดพลาดตั้งแต่ตรงไหนกันนะ
สุดท้ายหลังจากนั่งเงียบมานาน
เขาก็เรียกหัวหน้าฝ่ายเลขานุการมาถาม
“ทำไมพ่อถึงเปลี่ยนใจกันแน่”
ไม่ได้พูดคนเดียว
แต่เป็นการถามหัวหน้าฝ่ายเลขานุการที่นั่งลงข้าง ๆ
ฮงแชคยอง
หัวหน้าฝ่ายเลขานุการของอูมยองโซลาร์เซลล์
แม้จะมีประสบการณ์การทำงานในบริษัทเพียงหกปี
แต่ก็ได้รับความเชื่อใจจากประธานคิมโดฮุนอย่างล้นเหลือ
เนื่องจากมีคุณสมบัติยอดเยี่ยมเกินกว่าจะเป็นเลขาฯธรรมดา
ๆ จึงมีคนตั้งคำถามเกี่ยวกับประสบการณ์สั้น ๆ ของเธอไม่เยอะนัก
ขนาดคนที่เคยแอบนินทาซึ่งมีจำนวนน้อยยังพูดไม่ออกกับความสามารถของเธอที่แสดงฝีมือช่วยเหลือประธานบริษัทอย่างไม่ขาดตกบกพร่องตลอดระยะเวลาหนึ่งปี
ด้วยไหวพริบที่แม่นยำเฉียบคม รวมถึงภาพลักษณ์อันงดงาม
เธอจึงเป็นทั้งคนรักและที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้ของโดฮุน
ฮงแชคยองถามกลับแทนคำตอบ
“คุยเรื่องอะไรกับท่านประธานใหญ่ล่ะคะ”
“ฮู่...พ่อบอกว่ามีลูกนอกสมรส”
“ลูกนอกสมรสเหรอคะ”
“อืม เธอก็รู้ว่าพ่อของฉันมีผู้หญิงเยอะ ถึงไม่รู้ว่าทุกวันนี้ไปเจอใครที่ไหนบ้าง
แต่เห็นบอกว่าแม่ตายแล้ว เด็กคนนั้นอาศัยอยู่กับยาย”
“แล้วท่านประธานใหญ่ว่ายังไงต่อคะ”
“บอกว่าอยากเอาเข้าทะเบียนบ้าน”
“คะ?”
ฮงแชคยองเบิกตากว้าง
“คิดว่ามันสมเหตุสมผลไหม”
“แน่นอนว่าไม่อยู่แล้วค่ะ!”
“นั่นสิ ฉันเลยบอกว่าไม่ได้ไง เวรเอ๊ย
ลูกคนไหนมันจะเห็นด้วยกับการทำแบบนี้ คงต้องเป็นบ้าก่อนถึงจะทำได้
แถมยังกลัวแม่ฉันอีก สุดท้ายพ่อก็รับมือแม่คนเดียวไม่ไหวเลยมาขอให้ฉันช่วย
แต่แน่นอนว่าฉันปฏิเสธ แค่นั้นแหละ”
“ไม่มีเรื่องอื่นต่อแล้วเหรอคะ”
“อืม เพราะหลังจากนั้นก็ตัดสินใจจะยกหุ้นให้ชางฮุน
แล้วพูดเหมือนต่อให้ห้ามก็ไม่มีประโยชน์ แค่นี้ จบสถานการณ์”
เธอจึงพูดด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“นี่มันขู่กันชัด ๆ เลยนี่คะ
ขู่ว่าจะยกหุ้นให้น้องเพราะไม่ยอมช่วย”
“เอาเรื่องนี้เป็นไพ่ไว้ขู่กันงั้นเหรอ
มันไม่เมกเซนส์น่ะสิ ถ้าคิดจะใช้เรื่องนี้มาขู่กัน
ก็ต้องใช้กับน้องฉันด้วยไม่ใช่เหรอ ถ้าปฏิเสธทั้งคู่...”
โดฮุนหยุดพูดแล้วสบตากับแชคยองก่อนจะเอียงศีรษะ
“หรือว่า...”
“ไม่ใช่ว่ากรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนยอมรับข้อเสนอของท่านประธานใหญ่เรียบร้อยแล้วเหรอคะ”
“เพราะงั้นก็เลยได้หุ้นอูมยองงั้นเหรอ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็สมเหตุสมผลอยู่นะคะ”
“สมเหตุสมผลก็จริง...แต่ชางฮุนยอมรับเรื่องนั้นเนี่ยนะ
ทันทีที่เพิ่มลูกนอกสมรสเข้าทะเบียนบ้าน มรดกมูลค่าหลายแสนล้านที่ต้องได้ก็จะลดลง”
“อาจจะไม่ใช่ก็ได้ค่ะ
ถ้าท่านประธานได้สืบทอดกรุ๊ป แล้วกรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนได้อูมยองคอนสตรัคชั่นแค่อย่างเดียว
ในมุมมองของกรรมการผู้จัดการคิมชางฮุน
การเพิ่มอีกคนเข้ามาในทะเบียนบ้านแล้วได้ส่วนแบ่งของกรุ๊ปด้วย
มันก็เป็นกำไรไม่ใช่เหรอคะ”
“แปลว่าไอ้ชางฮุนมันจงใจทำแบบนี้เพราะคิดจะหักหลังฉันใช่ไหม”
“ก่อนหน้านี้ก็เคยพูดนี่คะ
ว่าน้องชายเกลียดท่านประธาน ถ้างั้นก็อาจเป็นไปได้นะคะ”
“ไม่ พูดให้ชัด ๆ
ก็คือทั้งเกลียดทั้งกลัวฉันต่างหาก แต่ตอนนี้มันกล้าหาเรื่องชนกับฉัน
ไอ้เวรเอ๊ย...มันโตจนลืมเรื่องในอดีตไปหมดแล้วหรือไง”
โดฮุนกัดริมฝีปากก่อนจะลุกขึ้น
ฮงแชคยองรีบถามทันที
“จะไปไหนคะ”
“จะไปไหนได้ล่ะ ก็ไปอูมยองคอนสตรัคชั่นที่ไอ้เวรนั่นมันอยู่ไง”
พอโดฮุนสวมเสื้อเตรียมตัวจะออกไป
แชคยองก็จับแขนเขาไว้
จากนั้นก็พูดอย่างใจเย็น
“พวกผู้ชายอาจจะสู้กันด้วยหมัด
แต่ผู้หญิงเราไม่จิกหัวสู้กันธรรมดา ๆหรอกค่ะ รู้ไหมคะว่าทำไม”
“ทำไม”
“เพราะใครโมโหก่อนถือว่าแพ้ค่ะ ดังนั้นจะเหน็บแนมก็เหน็บไป
แต่จะไม่แสดงออกว่าโมโหเด็ดขาด
ถ้าโมโหก็เท่ากับเปิดเผยบาดแผลและจุดอ่อนของเราให้ฝ่ายตรงข้ามรู้
ท่านประธานไปหาแล้วจะพูดอะไรคะ
จะห้ามไม่ให้รับหุ้นเหรอหรือจะบอกว่าเอาลูกนอกสมรสของท่านประธานใหญ่เข้าทะเบียนบ้านไม่ได้เด็ดขาดงั้นเหรอคะ”
“...”
“จะกดด้วยอำนาจก็ต้องมีอำนาจก่อนถึงจะทำได้ค่ะ
ถึงกรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนจะเป็นแค่กรรมการผู้จัดการ
แต่เขาอยู่คนละบริษัทกับท่านประธานรู้ใช่ไหมคะว่าจะเรียกว่ามีอำนาจไม่ได้จนกว่าจะได้เป็นประธานใหญ่ของกรุ๊ปถ้าโมโหทั้ง
ๆ ที่ไม่มีอำนาจ ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่กลัวหรอก แต่กลับมองว่าตลกด้วยซํ้าความกลัวเพียงเล็กน้อยที่หลงเหลืออยู่ในใจก็จะหายไปด้วยค่ะ”
โดฮุนพยักหน้ากับคำพูดของแชคยองแล้วเรียกเลขาฯให้เอานํ้าเย็นมาให้
หลังจากดื่มนํ้าเย็นจนหมดก็นั่งลงอีกครั้ง
“ขอบคุณ ฉันได้สติเพราะเธอเลย
ถ้างั้นจะทำยังไงดี”
“ถ้ากรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนรู้เรื่องลูกนอกสมรสก่อน
แล้วทำข้อตกลงกับท่านประธานใหญ่เรียบร้อยแล้ว ท่านประธานก็ต้องเลือกค่ะ”
“เลือกอะไร”
“ว่าจะเลือกท่านประธานใหญ่
หรือเลือกคุณแม่ไงคะ”
“แน่นอนว่าต้องเป็นพ่อไม่ใช่เหรอ
ตอนนี้ถ้าฉันเข้าข้างแม่จนอยู่นอกสายตาพ่อก็จบเห่ ถึงจะรู้สึกผิดกับแม่ก็ตาม”
“งั้นอย่างแรกก็ต้องคุยกับท่านประธานใหญ่อีกครั้ง
เอาให้รู้ว่าลูกนอกสมรสคนนั้นเป็นใครกันแน่ค่ะ”
“ยังไงก็ควรจะได้รู้จักอยู่แล้ว...แต่มีเหตุผลอะไรที่จำเป็นต้องรู้ตอนนี้ทันทีหรือไง”
“ค่ะ
ต้องรู้ก่อนว่าเด็กคนนั้นเป็นใครถึงจะวางกลยุทธ์ได้ไงคะ ใช่ลูกชายแท้ ๆ หรือเปล่า
ใช้ชีวิตลำบากจริงไหม เคยก่อเรื่องอะไรจนพอจะเอามาเล่นงานได้หรือเปล่า...”
ประธานคิมโดฮุนแย้มยิ้ม
“ถ้าเป็นเด็กที่โตมาแบบไม่มีแม่แล้วเที่ยวสร้างปัญหาไปทั่ว
ก็จะเอาข้ออ้างนั้นมาเปลี่ยนความคิดของพ่อได้ใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าออกนอกลู่นอกทางตั้งแต่เด็ก
ๆ ก็อาจจะยิ่งสร้างเรื่องเยอะขึ้น”
“ถ้าเกิดเป็นเด็กเรียนเก่งที่ไม่เคยก่อเรื่องเลยล่ะ”
ฮงแชคยองยักไหล่
“ถ้างั้นก็...ยอมแพ้ดีไหมคะ”
ถึงจะพูดเหมือนยอมแพ้
แต่เธอรู้จักนิสัยของเขาดี
ว่าเขาเลือดเย็นขนาดไหน
บางครั้งก็มีมุมที่โหดร้ายด้วยซํ้า
และตรงกับความคิดของเธอ
โดฮุนยกมุมปากขึ้นแล้วกล่าว
“ปกติคนเราก็อ่อนแอต่อสิ่งล่อตาล่อใจอยู่แล้ว
ยิ่งเป็นเด็กก็ยิ่งอ่อนแอมากขึ้นเท่านั้น การทำเด็กดี ๆ เสียคน
มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
“ใช่ค่ะ คุณก็ทำฉันเสียคนเหมือนกันนี่นา”
เธอค่อย ๆ ใช้นิ้วชี้เขี่ยแผ่นอกของโดฮุน
โดฮุนจึงจับมือเธอก่อนจะเดินไปล็อกประตู
มีคนคนหนึ่งในฝ่ายวางแผนและประสานงานที่ใช้เวลาหลังพักกลางวันซึ่งควรจะยุ่งอยู่กับงานอย่างสบายใจ
นั่นก็คือกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุน
สาเหตุที่เขายุ่งเพราะต้องออกไปมีตติ้งข้างนอกบ่อย
ๆ ดังนั้นพออยู่จัดการงานในบริษัทเลยรู้สึกเหมือนได้พัก
มินฮีจึงอาศัยเวลาว่างเข้ามาหา
“กรรมการผู้จัดการคะ”
“ครับ?”
ยองฮุนที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างหันหน้ากลับมา
“ฉันมีเรื่องอยากคุยด้วยสักครู่น่ะค่ะ”
“อ้อ พูดมาเลยครับ มีเรื่องอะไรเหรอ”
“พอดีได้ยินมาว่าช่วงนี้กรรมการผู้จัดการมีเรื่องกลุ้มใจเกี่ยวกับปัญหาเรื่องบุคลากรค่ะ”
“ผมกำลังคิดเรื่องนั้นอยู่พอดีเลย
หมายถึงนิปปอนยูเซนใช่ไหมครับ”
“ค่ะ ใช่ค่ะ”
จริง ๆ
วิธีที่ดีที่สุดคือการเจอและดูดวงชะตาด้วยตัวเองถึงจะแม่นยำ
แต่เขาให้ผู้สมัครมายืนเรียงแถวแล้วคอยจับมือทีละคนไม่ได้
ถ้าเป็นบุคลากรในบริษัทอย่างน้อยก็อาจจะพอบังคับได้
ส่วนคนที่เชิญมาจากภายนอกก็คงต้องสัมภาษณ์เองอย่างใกล้ชิดทีละคน
แต่ในสถานการณ์ยุ่ง ๆแบบนี้จะมีเวลาว่างทำอย่างนั้นเมื่อไรกัน
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่จะปล่อยให้ใครมานั่งตรงนั้นก็ได้
นิปปอนยูเซนไม่ได้มีสำนักงานใหญ่ที่เกาหลี และพนักงานส่วนใหญ่ก็เป็นคนญี่ปุ่น
จึงต้องให้คนที่พอจะไว้ใจได้มารับตำแหน่ง
ดังนั้นเขาเลยกำลังคิดอยู่
“เมื่อวานฉันเจอกับหัวหน้าฝ่ายโอจีฮวาน
ฝ่ายพัฒนาทรัพยากร แต่อยู่
ๆหัวหน้าฝ่ายโอก็พูดบางอย่างออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยค่ะ”
“อะไรครับ”
“เขาฝากฉันมาถามว่ากรรมการผู้จัดการคิดจะให้กรรมการผู้จัดการยุนจองฮวาน
ฝ่ายทรัพยากรต่างประเทศเป็นซีอีโอของนิปปอนยูเซนบ้างหรือเปล่าน่ะค่ะ”
“แค่ฝากมาถามเหรอครับ
ว่าผมคิดยังไงกับกรรมการผู้จัดการยุนจองฮวาน”
“ค่ะ”
“แค่นี้เหรอครับ”
“ใช่ค่ะ ขอมาแค่นี้”
“ได้ถามไหมครับว่าทำไมถึงขอแบบนั้น”
มินฮีขมวดคิ้วก่อนจะพูด
“เขาบอกว่าถูกกรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานหมายหัวอยู่ค่ะ
เพราะฉะนั้นต้องส่งกรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานไปนิปปอนยูเซน
ตัวเองถึงจะใช้ชีวิตในบริษัทได้อย่างราบรื่น
เหมือนเขาคิดว่ากรรมการผู้จัดการจะเพิ่มชื่อลงในรายชื่อผู้สมัครตำแหน่งประธานให้
ถ้าฉันลองเสนอให้พิจารณากรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานค่ะ”
“หึ...งั้นเหรอครับ”
โดยทั่วไปแล้วถ้ามีปัญหากับหัวหน้าก็คงคิดจะย้ายตัวเองออกมามากกว่าไม่มีทางคิดจะย้ายหัวหน้าไปอยู่ที่อื่น
เนื่องจากเคยทำงานด้วยกันที่ญี่ปุ่นก่อนหน้านี้จึงเคยดูดวงชะตาของอีกฝ่ายหัวหน้าฝ่ายโอเป็นคนใช้สมองเก่ง
แต่ไม่ใช่คนประเภทที่จะนำความคิดแหวกแนวแบบนี้ไปสู่การปฏิบัติจริง
ยิ่งกว่านั้นยังเป็นคนเข้าสังคมเก่งจนไม่น่าจะเป็นศัตรูกับใคร
แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะเคลื่อนไหวด้วยเรื่องแบบนี้...
“เขาบอกด้วยค่ะว่าถ้าไม่ใช่ซีอีโอของนิปปอนยูเซน
ระดับกรรมการผู้จัดการใหญ่ขึ้นไปก็โอเค”
“ระดับกรรมการผู้จัดการใหญ่ขึ้นไปก็โอเคงั้นเหรอ
จริงเหรอครับ”
“ค่ะ เขาพูดอย่างนั้น”
ยองฮุนเอียงศีรษะด้วยความสงสัย
“แปลกแฮะ...หัวหน้าฝ่ายโอเป็นคนพูดแบบนั้นใช่ไหมครับ”
“ค่ะ ถูกต้องแน่นอน
ตรงส่วนไหนที่ว่าแปลกเหรอคะ”
“คำว่าระดับกรรมการผู้จัดการใหญ่ขึ้นไปก็โอเค
ตัวเองก็ไม่ใช่กรรมการผู้จัดการ แล้วมั่นใจว่ามันโอเคได้ยังไงล่ะครับ
ทำงานที่ญี่ปุ่นด้วยซํ้าไม่ใช่เกาหลีแค่ระดับกรรมการผู้จัดการใหญ่ก็ดีแล้วงั้นเหรอ”
มินฮีคิดว่ายองฮุนพูดเพราะไม่ค่อยรู้จักวงจรการทำงานของพนักงานออฟฟิศจึงตอบด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอนว่าดีค่ะ
เพราะถ้าทำงานเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของนิปปอนยูเซน
ตอนกลับเกาหลีก็อาจจะได้ตำแหน่งประธานบริษัทไงคะ”
ยองฮุนแย้มยิ้ม
“เขาอาจจะไม่อยากห่างจากครอบครัว
หรือครอบครัวอาจจะไม่เห็นด้วยก็ได้นะครับ ในทางกลับกัน
ถ้าเกิดท่านประธานใหญ่สนิทกับใครบางคนมากขึ้นกรรมการผู้จัดการ...ยุนจองฮวาน?
เอาเป็นว่าผมเรียกกรรมการผู้จัดการยุนแล้วกันครับ
ถ้าเกิดมีใครบางคนพยายามจะแย่งตำแหน่งที่กรรมการผู้จัดการยุนต้องการขึ้นมา
จะขัดขวางได้เหรอครับ”
“เรื่องนั้น...”
“ประสบการณ์การทำงานต้องคอยสั่งสมก็จริง...แต่ชีวิตในบริษัทมันใช้แค่ข้อมูลที่ไหนล่ะครับ
คนทำงานนะ ไม่ใช่หุ่นยนต์
ถ้าผมเป็นกรรมการผู้จัดการยุนก็คงรู้สึกดีครึ่งกังวลครึ่ง
เพราะมัวแต่ทำงานที่ญี่ปุ่นจนอยู่ห่างจากอำนาจหลักของกรุ๊ป... เขาน่าจะคิดแบบนั้นนะครับ”
“อาจจะเป็นไปได้ค่ะ”
“แล้ว...หัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานจะไม่รู้เรื่องนั้นเชียวเหรอครับ
ไม่ได้ไปในฐานะประธานบริษัท แต่ไปในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่นะ”
“ถ้างั้น...”
“นี่ไม่ใช่ความคิดของหัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานครับ
ถ้าไม่ใช่เจ้าตัวก็คงพูดอย่างมั่นใจไม่ได้หรอกว่าอันไหนดีหรือไม่ดี”
มินฮีอ้าปากค้างทันที
“หรือว่ากรรมการผู้จัดการยุนจงใจ...”
“ไม่รู้สิครับ
มาลองดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
พอหัวหน้าฝ่ายโอบอกว่าจะจัดการเองก็ชักสงสัยขึ้นมาเลยครับ จะสร้างกระดานยังไงนะ”
“รับทราบค่ะ”
พอมินฮีออกจากห้องไปแล้ว ยองฮุนก็หันไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง
ถึงจะพูดว่าสงสัย แต่จริง ๆ
ความสนใจของยองฮุนไม่ได้อยู่กับเรื่องนี้
ครืดดด
เสียงโทรศัพท์สั่นดังขึ้นมา
สายจากโจชียอนหลังจากไม่ได้โทร.มานาน
“ฮัลโหล”
“ไอ้เด็กนิสัยเสีย ถ้าคนแก่ไม่โทร.หาก็ไม่คิดจะติดต่อมาก่อนเลยสินะ”
“ขอโทษครับ งานผมยุ่งมาก”
“ยุ่งอะไร...มาเจอฉันหน่อย”
“ครับ มันก็ควรเป็นอย่างนั้น
แต่เรื่องที่ผมเคยบอกก่อนหน้านี้...”
“ไอ้เด็กนี่หนิ คิดว่าฉันแก่แล้วจะหลงลืมหรือไง ออกมาตามนัด ฉันจะแนะนำอัยการให้รู้จักคนหนึ่ง นายลองดูแล้วประเมินเอาแล้วกันว่าเขาจับมีดได้ดี หรือหั่นหัวไชเท้าก็ยังไม่เป็น”
“รับทราบครับ ผมจะไป”
โจชียอนวางสายไปเฉย ๆ โดยไม่อธิบายเพิ่มเติม
จากนั้นก็มีข้อความเข้ามาแจ้งสถานที่นัดพบ
แต่ที่น่าแปลกก็คือนัดพบตรงริมแม่นํ้าฮันทางใต้สุดของสะพานพันโพเวลาตีหนึ่ง
บทที่ 212 ราคาของเกียรติยศ (1)
ยองฮุนลุกจากเตียง อย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้รบกวนการนอนหลับของยอนฮี
แต่คนประสาทสัมผัสไวอย่างเธอก็ตื่นขึ้นมาทันทีหลังจากยองฮุนลุกขึ้น
“จะไปแล้วเหรอ”
“อือ ไม่ต้องลุกหรอก”
“รีบกลับมานะ”
“โอเค”
ยอนฮีหลับตาอีกครั้ง ยองฮุนจึงออกมาเงียบ ๆ
นัดตอนตีหนึ่ง ถ้าอยู่คนเดียวเขาคงไม่นอนแล้วก็ออกไปเลย
แต่ทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะพรุ่งนี้ยอนฮีก็ต้องไปทำงานตั้งแต่รุ่งสาง
ยองฮุนแต่งตัวสบาย ๆ
ก่อนจะขึ้นรถมุ่งหน้าไปยังทางใต้ของสะพานพันโพ
เนื่องจากระยะทางไม่ไกลจากบ้านเท่าไรและไม่ใช่เวลารถติด
จึงมาถึงสถานที่นัดพบภายในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาที
แม้จะเป็นเวลาตีหนึ่ง
แต่ก็ยังเห็นผู้คนประปราย
ยองฮุนเพียงแค่รอโทรศัพท์เข้าโดยไม่จำเป็นต้องลงจากรถ
พอตีหนึ่งเป๊ะก็มีเบอร์ไม่รู้จักโทร.เข้ามา
“ฮัลโหล”
“อัยการคิมซังชอลครับ เอาของมาแล้วใช่ไหมครับ”
เขามาพบอัยการจริง แต่อยู่ ๆ พูดถึงของอะไร
นอกจากนี้ยังรู้สึกสับสนเล็กน้อย
เพราะเป็นการติดต่อจากอัยการโดยตรงไม่ใช่จากโจชียอน แต่เขาก็ตอบอย่างใจเย็น
“อืม...มาเจอกันก่อนแล้วค่อยคุยดีไหมครับ”
“ได้ครับ อยู่ตรงไหนครับ”
ยองฮุนบอกตำแหน่งอย่างละเอียด
ไม่นานนักผู้ชายตัวเล็กสวมสูท หน้าตาดู...เอาแต่ใจ (?)
เล็กน้อยก็ขึ้นรถมา
“สวัสดีครับ ผมอัยการคิมซังชอล
คุณโจชียอนส่งมาใช่ไหมครับ”
ท่าทางโจชียอนจะไม่มาที่นี่
ดูเหมือนจงใจเตรียมพื้นที่ให้พบกันแค่สองคน...
“ประมาณนั้นครับ”
“ประมาณนั้น? มาส่งของไม่ใช่เหรอครับ”
“ก่อนผมจะแนะนำตัวเอง ชื่ออัยการคิมซังชอลใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ”
“ถ้างั้นช่วยบอกสังกัดกับวันเดือนปีเกิดได้ไหมครับ”
อัยการคิมซังชอลขมวดคิ้ว
“ทางนั้นเป็นคนเรียกผมมาเองนะ
แล้วจะทำอะไรครับ”
“ผมคิดว่าน่าจะสื่อสารอะไรกันผิด
ขอเช็กก่อนแล้วจะบอกนะครับ”
“ฮู่...สำนักงานอัยการเขตตะวันออก
แผนกคดีอาญา ภาคห้า แปดศูนย์ศูนย์เจ็ดหนึ่งศูนย์ครับ”
“รอสักครู่นะครับ”
ยองฮุนโทร.หาพนักงานฝ่ายวางแผนและประสานงานทันที
ถึงจะรู้สึกผิดที่ต้องโทร.หาเวลานี้
แต่มันไม่มีทางเลือกอื่น
“ช่วยตรวจสอบให้หน่อยครับว่ามีอัยการคิมซังชอลอยู่ในสังกัดสำนักงานอัยการเขตตะวันออก
แผนกคดีอาญา ภาคห้าหรือเปล่า วันเกิดคือแปดศูนย์ศูนย์เจ็ดหนึ่งศูนย์ครับ”
อันที่จริงไม่จำเป็นต้องยืนยันตัวตนหรอก
เพราะเป็นอัยการที่โจชียอนเรียกตัวมา
แต่เขาทำเพื่อหาวันเดือนปีเกิดของอีกฝ่าย
ผ่านไปประมาณห้านาที ข้อความยืนยันก็เข้ามา
ยองฮุนจึงพยักหน้าแล้วพูดหลังจากเห็นสิ่งนั้น
“ถูกต้องสินะครับ”
“ไม่ พวกคุณเรียกผมมาเอง...”
“สวัสดีครับ ผมกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุน
จากฝ่ายวางแผนและประสานงานของเอชเอสการผลิตครับ”
พอเห็นยองฮุนขอจับมือในสถานการณ์นี้
อีกฝ่ายก็ชักสีหน้าขณะจับมือ
“เอชเอสการผลิตเหรอครับ ทำไมคุณถึง...”
“คุณโจชียอนบอกให้ออกมาที่นี่เพราะจะส่งของให้เหรอครับ”
“เฮอะ...ไอ้เจ้าหนี้นอกระบบนี่มันหลอกฉันสินะ”
คิมซังชอลหลับตาลง สีหน้าหมดคำจะพูด
“ไม่ได้หลอกหรอกครับ
เพราะผมมาพบคุณอัยการจริง ๆ”
“ถ้างั้นคุณเป็นคนขอให้เขาพาผมมาพบคุณเหรอครับ”
“เปล่าครับ ตรงกันข้าม
คนขอคือคุณโจชียอนครับ”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน...เกมยี่สิบคำถามหรือไงครับ”
“ไม่ทราบว่าสิ่งที่คุณโจชียอนจะส่งให้คือสมุดบัญชีหรือเปล่าครับ”
สีหน้าคิมซังชอลเคร่งเครียดขึ้น
“คุณก็รู้เรื่องสมุดบัญชีนั่นด้วยเหรอครับ”
“คุณอัยการรู้มาประมาณไหนล่ะครับ
ผมต้องรู้ก่อนว่ามันคล้าย ๆ กับสิ่งที่ผมรู้มาหรือเปล่า ถึงจะให้คำตอบได้ครับ”
คิมซังชอลปิดปากเงียบอยู่สักพักก่อนจะจ้องยองฮุนแล้วถาม
“ทำไมคุณถึงดูสนใจสมุดบัญชีนั่นล่ะครับ
เอชเอสการผลิตล็อบบี้อำนาจการเมืองแล้วเหรอ อ้อ ร่วมมือกับอำนาจทางการเมืองมาเยอะแล้วสินะ
ตั้งแต่ปัญหาเรื่องอู่ต่อเรือกุนซานก่อนหน้านี้...”
“อำนาจทางการเมืองเหรอ...อย่างนี้นี่เอง
เข้าใจแล้วครับ”
ท่าทีเฉยเมยของยองฮุนทำเอาอีกฝ่ายมีสีหน้าสับสน
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ยองฮุนก็พูดต่อ
“ผมเพิ่งรู้เกี่ยวกับสมุดบัญชีได้ไม่นานเท่าไหร่ครับ
พอดีน้องชายของแม่ยายผมเขาเคยทำงานกับคุณโจชียอนอยู่หลายปี ดังนั้นเลยได้รู้จักกัน
แล้วก็รู้ด้วยว่าเขาเครียดกับสมุดบัญชีที่ถือไว้มานานพอสมควรครับ”
“เขาบอกคุณเรื่องสมุดบัญชีเหรอครับ
มันไม่ต่างอะไรกับลมหายใจของเจ้าตัวเลยนะ
แต่กลับบอกคนที่ไม่ได้สนิทขนาดนั้นอย่างคุณ”
“น่าจะประเมินแล้วว่าผมพอจะเชื่อถือได้น่ะครับ
อืม เรื่องนั้นมันสำคัญด้วยเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น...เชิญต่อเลยครับ”
“เขาเครียดมากว่าจะให้สมุดบัญชีกับอัยการคนไหนดี
ถึงจะได้รับการสืบสวนอย่างถูกต้องครับ”
“เฮอะ...เห็นอัยการของประเทศเกาหลีเป็นอะไร...คุณเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันเหรอครับ”
“พูดตามตรงผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ครับ
ก็เลยบอกวิธีที่ชัดเจนที่สุดให้ฟัง”
“วิธีไหนครับ”
“ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีความยุติธรรมก็ควรเป็นอัยการที่มีความแค้นต่อคู่กรณีในสมุดบัญชี
ผมเคยบอกเขาไว้ ถ้าเป็นอัยการประเภทนั้นก็น่าจะมีความหวังไม่ใช่เหรอครับ”
“จะบอกว่าผมมีความแค้นกับคู่กรณีในสมุดบัญชีงั้นเหรอ”
ตอนคำนวณดวงชะตาระหว่างสนทนา
คิมซังชอลเหมาะกับเป็นอัยการอย่างชัดเจน
เพราะเป็นดวงชะตาที่ตรงพอดีเป๊ะกับคำว่ามีมีดอยู่ในดวงชะตา
เจ้าตัวเป็นคนฉลาด ดวงชะตาในวัยเด็กดี ใจสู้
และเกิดมาพร้อมกับชะตากรรมที่จะได้กินเงินเดือนรัฐ
นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเกียรติยศอีกด้วย
นั่นคือสิ่งที่สำคัญ
“ครับ
ถ้าเป็นคนที่มีความสัมพันธ์อันเลวร้ายกับเซยองกรุ๊ปมานาน
มันก็น่าจะเหมาะสมนะ...ไม่ทราบว่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าครับ”
แววตาของอัยการคิมซังชอลสั่นไหว
พอเห็นแบบนั้น ยองฮุนก็พยักหน้า
“ใช่สินะครับ เคยมีเรื่องอะไรกันเหรอ”
“มีเรื่องทุจริตเกี่ยวกับเซยองกรุ๊ปในสมุดบัญชีงั้นเหรอครับ”
คิมซังชอลพูดเรื่องอื่นกับคำถามของยองฮุน
“ถ้าบอกว่าใช่ล่ะครับ”
“ตลกดีนะ มันก็มีเหตุผล
แต่ถ้าเป็นสมุดบัญชีที่มีอะไรถึงขนาดนั้นถึงจะไม่ใช่ผม อัยการคนไหน ๆ
ก็คงอยากได้กันทั้งนั้นแหละครับ
ถ้าถือคดีนั้นแล้วเขย่าสถานการณ์ทางการเมืองก็จะกลายเป็นอัยการดาวเด่นในชั่วพริบตาใครจะปฏิเสธล่ะครับ
ถ้าเป็นคดีใหญ่ขนาดนั้น ต่อให้เซยองกรุ๊ปมีอำนาจแข็งแกร่งแค่ไหนก็ขวางไม่ได้หรอกครับ”
“ถ้าผมบอกว่ามันมีข้อมูลการทุจริตของอัยการรวมอยู่ในสมุดบัญชีด้วยล่ะครับ”
“พูดแรงจัง
กรุณาพูดอะไรที่ตัวเองรับมือไหวด้วยนะครับ ต่อให้จะมาจากเอชเอสกรุ๊ป
แต่คำพูดเมื่อกี้มันเป็นปัญหาใหญ่ครับ”
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกหน่วยงานอัยการ
แค่พูดตามที่ได้ยินมาว่ามีเรื่องแบบนั้นครับ มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรข้าม ๆ
ไปดีกว่า เอาเป็นว่าทำไมคุณถึงมีเรื่องกับเซยองกรุ๊ปล่ะครับ”
การทุจริตของอัยการจะไม่สำคัญได้อย่างไร
แต่ยองฮุนพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่พร้อมกับจ้องหน้าคิมซังชอล
เพราะแววตาของยองฮุนมีพลังที่แข็งแกร่ง
และไม่จำเป็นต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ
คิมซังชอลจึงเริ่มพูดถึงเรื่องราวในอดีตโดยอัตโนมัติ
“เมื่อนานมาแล้ว
มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมเคยชอบสมัยติวสอบครับ
เธอเป็นผู้หญิงที่ได้เจอกันบ้างเวลาไปเรียนพิเศษที่ย่านชินริม
แต่หลังจากบังเอิญได้นั่งร่วมโต๊ะกันในร้านอาหารก็สนิทกันมากขึ้นครับ
ตอนนั้นผมไม่รู้จะขอบคุณป้าเจ้าของร้านยังไง...เธอบอกว่าฝันอยากเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ
พวกเราเลยเรียนแล้วให้กำลังใจกันและกันครับ”
“...”
“ผมไม่กล้าขอเธอคบเพราะติวสอบอยู่
แต่วันหนึ่งสีหน้าเธอก็เริ่มหมองลงมากครับ
ผมมาได้ยินทีหลังว่าเธอลำบากมากเพราะเรื่องเงิน...จนถึงตอนนี้ผมก็ยังเสียใจที่ไม่สามารถถามเธอได้ว่าทำไมตอนนั้นถึงลำบากขนาดนั้น
เพราะบ้านผมค่อนข้างฐานะดีครับ ถ้ามาขอให้ช่วยก็น่าจะช่วยได้”
“แล้วยังไงต่อครับ”
“เธอโทร.มาบอกว่าจะเลิกสอบตำรวจแล้วครับ
หลังจากนั้นก็ขาดการติดต่อเลย พอผ่านไปประมาณสามปีได้
ผมพยายามจะจับตัวพ่อในวงการรูมซาลอนข้อหาเลี่ยงภาษี แล้วก็เจอเธอในร้านเหล้าครับ”
“หมายถึงได้เจอหน้ากันเหรอครับ”
“เปล่าครับ ผมเห็นในสมุดบัญชี
เวลาเจ้าของกิจการให้สาว ๆ ยืมเงินมักจะกลัวโดนเชิดเงินหนีเลยให้ลงเป็นชื่อจริง
ไม่ใช่นามแฝง แต่มันมีชื่อที่คุ้นเคยอยู่ครับ ตอนแรกผมคิดว่าอาจจะไม่ใช่
แต่ก็รู้สึกแปลก ๆ เลยลองสืบดูเธอตายแล้วครับ”
ตอนจบสะเทือนใจมาก
“ทำไมอยู่ ๆ ถึง...”
“ประธานใหญ่ของเซยองกรุ๊ป
ผมรู้มาว่าไอ้เวรนั่นเรียกเธอไปหาเป็นการส่วนตัวบ่อย ๆ
แต่ก็สืบสวนเรื่องนี้ไม่ได้ครับ เพราะมันเป็นการฆ่าตัวตายด้วยโรคซึมเศร้า
ถึงในจดหมายลาตายที่เขียนสาปแช่งชีวิตอาภัพของตัวเองจะมีชื่อประธานใหญ่ของเซยองโผล่มา
แต่เบื้องบนไม่อนุญาตให้สอบสวนเพราะเรื่องแค่นั้นครับ พูดตามตรงว่าถึงจะอนุญาตให้สืบสวน
ก็ไม่มีข้อหาจะจับกุมอยู่ดีครับไอ้ระยำเอ๊ย...ขอสูบบุหรี่ได้ไหมครับ”
จริง ๆ คือไม่ได้เด็ดขาด
แต่สถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่กล้าจะปฏิเสธจึงลดกระจกรถลง
คิมซังชอลจุดบุหรี่แล้วสูบเฮือกหนึ่งก่อนจะพูด
“ถ้าสมุดบัญชีนั่นมีประวัติการทุจริตของเซยอง
ก็คงไม่มีใครในประเทศเกาหลีที่กระตือรือร้นในการสืบสวนได้เท่าผมแล้วครับ”
“อย่างนั้นสินะครับ”
ยองฮุนพยักหน้า
จากนั้นปิดปากเงียบและรอจนกว่าอีกฝ่ายจะสูบบุหรี่เสร็จ
ทันทีที่สูบบุหรี่จนหมดมวน
ยองฮุนก็กดกระจกรถขึ้นแล้วถาม
“ถ้าเบื้องบนปฏิเสธการสืบสวนล่ะครับ”
“เพราะฉะนั้นผมถึงต้องเห็นสมุดบัญชีไงครับ
ถ้าเห็นแล้วตัดสินว่ามันเป็นหลักฐานที่ชัดเจน
เบื้องบนเองก็คงจะอนุญาตให้สืบสวนครับ”
“แล้วถ้าโดนขัดขวางล่ะครับ”
อัยการคิมซังชอลเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันก่อนจะตอบ
“ถึงอย่างนั้นผมก็จะทำครับ”
“เยี่ยมเลย สมุดบัญชี
เดี๋ยวคุณโจชียอนจะเอามาให้นะครับ”
อีกฝ่ายทำหน้างง
“ถ้างั้นก่อนหน้านี้คืออะไร
ไม่ได้เอาสมุดบัญชีมาด้วยเหรอครับ”
“ฮ่า ๆ เมื่อกี้คุณอัยการก็พูดเองนี่นา
สมุดบัญชีนั่นเป็นเหมือนลมหายใจแล้วจะฝากไว้กับคนอื่นได้ยังไงครับ”
“แล้วคุณมาที่นี่ทำไมครับ”
“มาเพื่อพบคุณครับ”
“เพื่อพบผม?”
“ครับ คุณโจชียอนอยากให้ผมมาพบคุณตั้งแต่แรกแล้วครับ
ให้มาเจอแล้วตัดสินใจว่าคุณจะนำสมุดบัญชีไปใช้ได้อย่างถูกต้องหรือเปล่า”
“ดังนั้นเมื่อกี้ผมเพิ่งผ่านการทดสอบ
ถูกไหมครับ”
“จะคิดแบบนั้นก็ได้ครับ”
“เฮอะ...คุณมีความสัมพันธ์ยังไงกับโจชียอนกันแน่ครับ”
“เรื่องนั้นเดี๋ยวพอเวลาผ่านไปก็จะค่อย ๆ
เข้าใจเองครับ เรื่องเดียวที่บอกได้เต็มปากก็คือ
ผมกับคุณโจชียอนไม่ได้ร่วมมือกันเพื่อผลประโยชน์ใด ๆ
ครับถ้าเป็นประธานซงบยองชานก็ไม่แน่”
“แน่ใจใช่ไหมครับ”
“เดี๋ยวก็ได้รู้ครับ”
คิมซังชอลเปิดประตูรถเตรียมจะก้าวออกไป
แต่ก็ปิดเข้ามาอีกครั้งแล้วถาม
“ในสมุดบัญชีมีประวัติการทุจริตของอัยการจริง
ๆ หรือเปล่าครับ”
“ผมได้ยินมาอย่างนั้นนะครับ”
“คุณก็ยังไม่ได้เห็นสินะครับ”
“ครับ”
“ถ้างั้นก็ไม่แน่ใจใช่ไหมครับ”
“อืม...ถ้าให้พนันข้างใดข้างหนึ่ง
ผมคงจะลงเงินข้างที่คุณโจชียอนพูดจริงครับ”
คิมซังชอลเลียริมฝีปากที่แห้งผากแล้วพูด
“ถ้าอย่างนั้นผมก็อาจจะดำเนินการสืบสวนไม่ได้
แต่ทั้ง ๆ ที่รู้เรื่องนั้น คุณก็ยังคิดว่าผมจะทำได้เหรอครับ”
“ใช่ครับ ผมคิดว่าคุณน่าจะทำได้ดี”
“ทำไมล่ะครับ”
“แค่รู้สึกแบบนั้นเฉย ๆ ครับ”
พูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นเพราะนิสัยแน่วแน่
มุมานะที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดรวมถึงความใจแคบและยึดติดกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ
แม้จะบอกว่าชอบกัน
แต่ความจริงยองฮุนไม่ได้เชื่อเรื่องที่เจ้าตัวเล่าร้อยเปอร์เซ็นต์
เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่าจะชอบอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่ฝ่ายหญิงไม่ได้คิดแบบนั้น
ถึงอย่างนั้นเขาก็คิดว่าไฟแห่งการล้างแค้นยังคงโหมกระพือในใจอีกฝ่าย
โสดมาทั้งชีวิต ไม่มีดวงคนรัก
ไม่มีดวงแต่งงาน ความโกรธแค้นที่มีต่อประธานใหญ่ของเซยองกรุ๊ปผู้ทำลายความรักสั้น
ๆ ในตอนนั้นจึงยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด
ไม่เคยลืมความแค้นอันยาวนาน
ดังนั้นหากมีหลักฐานที่ถูกต้องอยู่ในมือคิมซังชอลคงไม่มีทางยกเลิกการสืบสวน
“ให้ตาย...ถ้าหากมีการทุจริตภายในของอัยการอยู่จริง
ๆ อย่างที่คุณหรือโจชียอนพูด ผมคงต้องเตรียมถอดชุดครุยสินะครับ”
“ผมกำลังคิดว่าทีมกฎหมายของบริษัทผมค่อนข้างขาดแคลนมากเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นอยู่พอดีครับ
ถ้าต้องถอดชุดครุยเพราะเรื่องนั้นจริง ๆ
ผมจะพาไปที่สำนักงานกฎหมายที่ดีที่สุดของเกาหลีเองครับ”
“เรื่องนั้น...”
“ไม่ค่อยถูกใจใช่ไหมครับ”
ยองฮุนแย้มยิ้มก่อนคิมซังชอลจะเอ่ยคำปฏิเสธด้วยซํ้า
พออีกฝ่ายขมวดคิ้วถึงพูดต่อ
“การเตรียมถอดชุดครุยทั้ง ๆ
ที่กำลังจะทำสิ่งที่ยุติธรรมที่สุดในโลก มันไม่น่าเศร้าเกินไปหน่อยเหรอครับ
ถ้าความยุติธรรมตกลงสู่พื้นดิน มันก็ไม่ใช่ประเทศที่ดีแล้วนี่นา”
“พูดแบบนั้นก็ถูกต้อง...”
ถูกต้องแต่เป็นคำพูดที่มาจากวิชาจริยธรรม
ในมุมมองของอัยการคิมซังชอลจึงไม่ค่อยประทับใจเท่าไรนัก
“ทำงานเก่งขนาดนั้น แต่กลับต้องมาเข้าทีมกฎหมายของบริษัทแห่งหนึ่งคอยดูแลครอบครัวผู้บริหาร
มันได้เหรอครับ”
“แล้วยังไงต่อครับ”
“ถ้าทำงานเก่งก็ควรส่งไปที่ใหญ่ ๆ
จะได้ทำงานเก่งมากขึ้นครับ
ผมจะทำให้คุณลงเลือกตั้งระบบสัดส่วนในการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้ อ้อ
ในฐานะพรรครัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยหน้านะครับ”
“พรรคไหนก็ได้เหรอครับ”
“ครับ พรรคที่คุณอัยการต้องการ”
อัยการคิมซังชอลกลืนนํ้าลายดังเอื๊อก
บทที่ 213 ราคาของเกียรติยศ (2)
วันรุ่งขึ้นยองฮุน เพียงแค่สแกนบัตรเข้างานแล้วมุ่งหน้าไปที่ย่านซองบุก
หลังแยกกับคิมซังชอลเมื่อวานนี้ก็ไม่ได้ติดต่อโจชียอนเพื่อถามว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
เนื่องจากคาดเดาไว้แล้วคร่าว ๆ
แถมยังไม่ใช่เรื่องที่เหมาะจะคุยรายละเอียดกันทางโทรศัพท์
โจชียอนนั่งดื่มชาอยู่ที่โซฟาอย่างใจเย็น
ดูไม่ออกเลยว่ากำลังรอยองฮุนอยู่หรือเปล่า
“อรุณสวัสดิ์ครับ อากาศดีมากเลยนะครับ”
“ดื่มอะไรไหม”
“แค่นํ้าเปล่าก็พอครับ”
“คนงานยังไม่มาเลย
นายไปรินนํ้าจากตู้เย็นมาสักแก้วแล้วกัน”
“ถ้าจะให้ทำเองแล้วถามทำไมครับ”
“ฉันถามตามมารยาทน่ะสิ
นึกว่านายจะตอบว่าไม่เป็นไร”
ทันทีที่ยองฮุนรินนํ้ามาหนึ่งแก้วแล้ว
โจชียอนก็พูด
“เมื่อก่อนถ้าอากาศดี
ฉันคงตื่นเต้นจนก้นไม่ติดพื้น แต่เดี๋ยวนี้พออากาศดีแล้วอารมณ์เสียซะอย่างนั้น”
“อาจเป็นเพราะจิตใจของผู้อาวุโสไม่แจ่มใสครับ”
“รู้แล้วน่า ฉันจะไม่รู้ใจตัวเองได้ยังไง
แต่ถึงอย่างนั้นหลังจากได้เจอนายแล้วพออากาศดีก็หงุดหงิดน้อยลง”
“กดดันกันไม่หยุดเลยนะครับ”
“ก็ควรกดดันหน่อยสิ
จะรับงานนี้โดยที่ไม่รู้สึกกดดันเลยได้ยังไง”
“ทำไมเมื่อวานถึงไม่มาครับ”
โจชียอนหัวเราะชอบใจ
“ฮ่า ๆ ๆ...เจ้าเด็กนี่
ฉันไม่ได้นัดดูตัวให้นายกับอัยการนั่นสักหน่อย ไปแล้วจะให้คุยอะไรล่ะ อีกอย่างถ้าฉันออกตัวขอให้ไปเจอคนคนหนึ่ง
คิดเหรอว่าอัยการนั่นจะยอมมาเจอ
พวกคนที่หยิ่งกว่ามิสโคเรียก็คืออัยการของประเทศเกาหลีนั่นแหละ”
“เมื่อคืนผมตกใจอยู่เหมือนกันครับ”
“หมอนั่นถามหาสมุดบัญชีก่อนเลยใช่ไหม”
“ครับ”
“แค่ไม่โดนจับตัวไปก็พอแล้ว”
“ถ้าผมโดนจับขึ้นมาจริง ๆ จะทำยังไงครับ”
“จะจับแบบไม่มีหมายได้ยังไงล่ะ
ไม่ใช่ตาสีตาสาที่ไหน ถ้าจับหนึ่งในผู้กุมอำนาจของเอชเอสกรุ๊ปอย่างนายไป
สายโทรศัพท์ของสำนักงานอัยการไหม้ทันทีแน่ แม่ยายนายมีอำนาจขนาดนั้น”
“อ่า...ผมได้ยินมาว่าแต่ก่อนครอบครัวแม่ยายผมเคยมีความเกี่ยวข้องกับอำนาจการเมืองอยู่ครับ”
“ถึงไม่เกี่ยวข้องแล้วยังไง
ตำแหน่งที่ครอบครองอยู่ตอนนี้ก็คืออำนาจที่แม่ยายนายมี”
“พอมีอำนาจแล้วมันดีจริง ๆ
เลยนะครับเนี่ย”
“พอไม่มีมัน
ทุกคนก็เลยเป็นเดือดเป็นร้อนกันไง”
ยองฮุนดื่มนํ้าให้ชุ่มคอก่อนจะพูดเข้าประเด็น
“หาคนได้เหมาะดีนะครับ”
โจชียอนตบเข่าทันที
“ฮ่า ๆ ๆ! ฉันว่าแล้วว่าต้องใช้ได้”
“หลังจากเจอผู้ชายคนนั้น...ผมคิดว่าน่าสนใจมากเลยครับ
นึกว่าจะหาคนเหมาะ ๆ ยากซะอีก แต่หาเจอได้ยังไงครับ”
โจชียอนยิ้มพร้อมกับดื่มชาหนึ่งอึก
จากนั้นก็ใช้นิ้วเคาะเหมือนให้จังหวะแล้วตอบ
“ฉันก็พยายามตามหาพวกอัยการที่มีความแค้นต่อเซยองอย่างที่นายบอกว่าแต่เซยองมันเป็นยังไงกันล่ะ
พวกนั้นไม่มีทางงัดข้อกับบริษัทที่มีอำนาจอันดับต้น ๆ ของประเทศเกาหลีหรอก
เขาถึงว่ากันว่าบนโลกนี้ไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับเซยองสักคน แต่...”
“แต่อะไรครับ”
“แต่จู่ ๆ ก็มีคนแปลก ๆ โผล่เข้ามา
ฟังจากคำพูดของพวกนักข่าวเซยองเห็นว่าเวลามีข่าวปลอมหรือข่าวที่มีปัญหาบางอย่างออกมา
จะมีอัยการคนหนึ่งที่ไม่ยอมปล่อยผ่านเลยสักครั้ง
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้พยายามขุดคุ้ยอะไรอย่างเปิดเผยเท่าไหร่
ดูเหมือนเป็นแค่ตัวน่ารำคาญเหมือนพวกแมลงมีปีก หึ ๆ...แต่ฉันคิดว่าหมอนั่นต้องเป็นคนที่นายบอกแน่
อัยการเพียงคนเดียวที่ทำให้เซยองปั่นป่วนได้ เหมือนโชคชะตาที่พานายมาเจอฉัน
ฉันเชื่อว่ามันเป็นโชคชะตา”
“ใช่ครับ มันเป็นโชคชะตาจริง ๆ”
ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกิน
การปรากฏตัวของคนที่เหมาะสมกับจังหวะเวลาที่ต้องการ
เขาคิดว่ามันเป็นโชคชะตา
“ว่าแต่นายมองหมอนั่นตรงไหนถึงมั่นใจ”
“เพราะเขาดูเหมือนไม่ใช่คนใจกว้าง
และไม่ได้ชอบเข้าสังคมน่ะครับ”
“หมายความว่ายังไง
ไม่ใช่แค่หาคนที่มีความสัมพันธ์แย่ ๆ กับเซยองหรอกเหรอ”
“ถึงบอกว่ามีความสัมพันธ์เลวร้ายในอดีต
แต่คนที่กักเก็บความรู้สึกนั้นไว้นาน ๆ มันก็มีไม่เยอะหรอกครับ
พอเวลาผ่านไปก็ลืมไปโดยปริยายหรือประนีประนอมต่อกัน
ถ้ามันไม่ใช่เหตุการณ์น่าสะเทือนใจ
อย่างเช่นการเสียชีวิตของคนในครอบครัวเหมือนผู้อาวุโสครับ”
“เพราะแบบนั้นเขาถึงเรียกว่าเวลาเป็นยารักษาไม่ใช่หรือไง”
“ใช่ครับ แต่บางทีก็มีคนที่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น”
“อือฮึ...พูดต่อสิ”
“ตอนเด็ก ๆ
ผมฆ่าเวลาด้วยการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ครับ พอใช้เวลาอยู่กับมันนาน ๆ
ก็รู้ว่าศัตรูที่ทำให้ผมเหนื่อยสุด ๆ เวลาเล่นเกม
ไม่ใช่ศัตรูที่มีพลังแข็งแกร่งครับ”
“ถ้างั้นคืออะไร”
“พวกที่ต่อให้ตายแล้วตายอีกก็ยังตามติดแล้วจ้องจะหาโอกาสโจมตีกันต่างหากครับ
คุยก็คุยไม่รู้เรื่อง ทำร้ายฝ่ายตรงข้ามครั้งสองครั้งก็ไม่หายแค้นง่าย
ๆบางครั้งก็มีพวกบ้าที่ฟื้นแล้วก็ฆ่า ฟื้นแล้วก็ฆ่าใหม่ไม่รู้จบ ซํ้า ๆ
เป็นสิบรอบครับ”
“เฮอะ ๆ...พวกนอกคอกสินะ”
“ในโลกแห่งความเป็นจริงก็มีคนแบบนั้นครับ
คนที่เก็บความแค้นไว้ในใจมานานแล้วจ้องหาแต่โอกาสจะแก้แค้น
ภายนอกไม่แสดงความโกรธออกมาให้เห็นแต่อดทนอย่างมุมานะเฝ้ารอให้โอกาสมาถึง
สุดท้ายเมื่อโอกาสมาถึงก็แก้แค้นอย่างโหดเหี้ยมครับ”
“เขาเป็นอย่างนั้นเหรอ”
“ครับ
มีแต่คนประเภทนี้เท่านั้นที่จะตรงเข้าขยํ้าศัตรูอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่สนใจสายตาขององค์กร”
โจชียอนเอียงศีรษะ
“ตอนฉันเห็นรูปก็ดูไม่ใช่คนอย่างนั้นเลยนะ
ถึงภาพลักษณ์จะค่อนข้างด้อย...”
“เขาเป็นคนใช้ชีวิตโดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีเพียงอย่างเดียวครับ
แต่อย่างที่ผู้อาวุโสพูด ภาพลักษณ์เขาค่อนข้างด้อยใช่ไหมครับ
เพราะฉะนั้นบางทีอาจจะโดนล้อตั้งแต่เด็ก ๆ เลยเติบโตมาพร้อมกับบาดแผล
ในใจคงจะเกลียดผู้หญิงสวย ๆ ทุกคนบนโลกที่เอาแต่คบกับผู้ชายรวย ๆ หน้าตาดีครับ”
“หมายความว่าบาดแผลนั้นทำให้เขาต้องร้ายงั้นเหรอ”
“จากสภาพแวดล้อมรอบตัว
ผมคิดว่าคงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ”
โจชียอนพยักหน้าก่อนจะถามเหมือนมีเรื่องสงสัย
“นายได้สืบมาไหมว่าเกิดเรื่องไม่ดีอะไรระหว่างหมอนั่นกับเซยอง”
“ครับ
อืม...เขาคิดว่าผู้หญิงที่เป็นอดีตคนรักของตัวเองตายเพราะประธานใหญ่ของเซยองกรุ๊ปครับ”
“จริงเหรอ
เฮอะ...ประธานใหญ่ของเซยองอย่างชามยองจินโดนเต็ม ๆ เลยสินะ”
“แต่เรื่องนี้...”
“ทำไม”
“เพราะเขาเป็นคนยึดเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
เลยยากจะเชื่อสิ่งที่พูดมาทั้งหมดครับ
มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาอาจจะไม่ได้รักกัน...”
“หมายความว่ายังไง”
“ถ้าซักไซ้ไล่เลียงตามความเป็นจริงแล้วอาจจะไม่ใช่ก็ได้
แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอกครับ เพราะเขาคงจะเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ”
“เอาเป็นว่า ต่อให้มีอะไรมาขัดขวาง
เขาก็จะผลักดันการสืบสวนต่อเพราะความแค้นนั่นใช่ไหม”
ยองฮุนตอบหลังจากดื่มนํ้าดับกระหายอีกครั้ง
“มีความเป็นไปได้ครับ
แต่เนื่องจากเขาเป็นคนฝักใฝ่ในเกียรติยศชื่อเสียงดังนั้นผมเลยเสนอแครอตให้หนึ่งหัวครับ”
“แครอตอะไร”
“ถ้าดำเนินการสืบสวนเรื่องนี้ก็ต้องเตรียมถอดยูนิฟอร์ม
หลังจากนั้นผมจะช่วยใส่ชื่อลงในการเลือกตั้งแบบสัดส่วนของพรรคที่ต้องการในการเลือกตั้งครั้งต่อไปครับ”
“ฮ่า ๆ ๆ! แครอตที่ไม่กินไม่ได้สินะ
ถ้าพูดถึงเกียรติยศ นักการเมืองคืออันดับแรกอยู่แล้ว”
“บางทีหลังจากเจอผมเมื่อวาน
เขาอาจจะฝันว่าการสืบสวนครั้งนี้จะทำให้ชื่อเสียงตัวเองโด่งดัง
จนเบิกทางสู่การเป็นนักการเมืองอย่างงดงามก็ได้ครับ”
“ไม่หรอก น่าจะไม่ได้นอนด้วยซํ้าละมั้ง
ฝันที่กลายเป็นจริงได้แบบนี้ ยังมีกะจิตกะใจจะนอนหลับอีกหรือไง ฮ่า ๆ ๆ”
โจชียอนหัวเราะอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดต่อเมื่อยองฮุนทำท่าลุกขึ้น
“ฉันกะว่าจะไปสำนักงานอัยการวันนี้”
“จะเอาไปให้เองเลยเหรอครับ”
“แหงสิ จะให้ฉันฝากใครได้ล่ะ”
“เตรียมสำเนาเผื่อด้วยนะครับ
ถ่ายรูปกับวิดีโอเอาไว้ด้วย”
“รู้แล้วน่า นายทำได้ดีมาก
แต่คนรับรางวัลดันเป็นไอ้เวรบยองชาน ไม่ใช่นาย รำคาญมันจริง ๆ”
“ใครรับแล้วยังไงล่ะครับ ใครจะไปรู้
ถ้าเซยองกรุ๊ปแตกเป็นเสี่ยง ๆอย่างน้อยอาจจะได้เก็บเศษเล็กเศษน้อยกินก็ได้”
“คิก ๆ ถ้าเซยองพังแล้วแตกเป็นเสี่ยง ๆ
มันก็เป็นรางวัลที่เหมาะสมแล้ว”
“ผมเสร็จธุระแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ”
“ทำได้ดีมาก”
หลังจากยองฮุนกลับไป
โจชียอนก็เติมเต็มกระเพาะด้วยแกงเผ็ดปลาดาบแล้วเรียกตัวประธานซงบยองชานให้มาพบ
จากนั้นก็รื้อเตาทำความร้อนเก่า ๆ
ที่ซ่อนไว้ในมุมหนึ่งของห้องใต้ดินเพื่อหยิบสมุดสีดำเล่มหนาออกมา
ก่อนจะกลับขึ้นมาข้างบน
ระหว่างที่ใช้ผ้าเช็ดฝุ่นอย่างระมัดระวังและตรวจทานเนื้อหาของสมุดบัญชีอีกครั้ง
ประธานซงบยองชานก็เข้ามาหา
“อะไรจะทะนุถนอมขนาดนั้นครับ”
ถึงกับต้องเอ่ยถามเมื่อเห็นโจชียอนห่อสมุดบัญชีด้วยผ้าไหมที่ปกติใช้สำหรับห่อของขวัญ
“ฉันจะไปสำนักงานอัยการตอนนี้
เตรียมรถให้พร้อม”
“สำนักงานอัยการเหรอครับ”
“ใช่”
“ทำไมอยู่ ๆ ถึงไปสำนักงานอัยการล่ะครับ”
“ให้เล่าไหมล่ะ”
ทันทีที่โจชียอนแย้มยิ้ม
ประธานซงบยองชานก็รีบโบกมือทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไรครับ ช่างมันเถอะ
ถ้ามันจะทำให้อายุสั้นลง ผมไม่รู้ดีกว่าครับ”
“ก็ใช่น่ะสิ
ได้ยินคนเรียกว่าประธานธนาคารบ่อย ๆ ช่วงนี้คงเดินอกผายไหล่ผึ่ง
น่าจะไม่อยากยื่นเท้าเข้ามารานํ้าในเรื่องที่ไม่ควรรู้หรอกมั้ง”
“แน่นอนอยู่แล้วครับ ผมสตาร์ตรถไว้แล้ว
ลงไปเลยก็ได้ครับ อันนั้นผมไม่ต้องถือให้ใช่ไหมครับ”
“แหงสิ”
ต่อให้มันจะหนักกว่านี้
แต่ก็เป็นสิ่งของที่ฝากไว้ในมือของคนอื่นไม่ได้เป็นอันขาด
โจชียอนหอบสมุดบัญชีที่ห่ออย่างแน่นหนาลงมาแล้วขึ้นรถของประธานซงบยองชาน
จากนั้นประธานซงบยองชานก็ถามจากเบาะคนขับ
“ว่าแต่...จะไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอก
นายบอกว่าอยากได้ที่ดินตรงที่จอดรถนั่นใช่ไหม”
“ครับ? โธ่
แน่นอนสิครับ”
“ฉันบอกเด็ก ๆ ของฉันไว้แล้ว
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ขายถูก ๆ หรอกนะ ฉันบอกว่าให้สูงกว่าราคาที่ประกาศไว้
นายพูดดีก็เอาไปแล้วกัน”
“ขอบคุณครับ!”
“รีบไปสิ!”
“ครับ! ไปกันเลยครับ!”
ณ ห้องทำงานของประธานใหญ่ชามยองจิน เซยองกรุ๊ป
ประธานใหญ่ชามยองจินกำลังถือไม้กอล์ฟฝึกพัตต์อยู่
ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นซงจียงเปิดประตูพรวดเข้ามา
“ท่านประธานใหญ่ครับ”
“อายุก็เยอะแล้ว
นายยังไม่รู้จักมารยาทอีกหรือไง หือ?”
“ขอโทษครับ”
ชามยองจินใช้ไม้กอล์ฟกระแทกท้องอีกฝ่าย
“ถ้าต้องสอนขนาดนั้นก็หัดเรียนรู้ซะบ้าง
จะเข้ามาก็เคาะประตู ไอ้เวร”
“ขอโทษครับ”
ไม่รู้ว่าถูกใจสีหน้าเจ็บปวดของซงจียงหรือเปล่า
เขาถึงวางไม้กอล์ฟลงพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาแล้วถาม
“มีอะไร”
“ตาเฒ่าโจชียอนโผล่ไปที่สำนักงานอัยการครับ”
“ว่าไงนะ อัยการเรียกเหรอ”
“เท่าที่สืบไม่มีหมายเรียกเกี่ยวกับโจชียอน...”
“แปลว่าไปเองหรือไง”
“น่าจะเป็นอย่างนั้นครับ”
ชามยองจินใช้เท้าเตะข้อพับของซงจียงแล้วตะโกน
“ไม่ใช่คำว่าน่าจะ พูดออกมาให้มันชัด ๆ
ซิ”
“ขอโทษครับ ผมมั่นใจว่าเขามาเอง”
“โธ่เว้ย...ไปตัวเปล่างั้นเหรอ”
“เห็นว่ากอดอะไรบางอย่างไว้ที่อก...”
“ไอ้พวกเวร...”
ประธานใหญ่ชาลุกพรวดแล้วตบหน้าซงจียง
เพียะ!
ไม่รู้ว่าตบแรงขนาดไหน
ซงจียงที่มีร่างกายแข็งแรงและความสูงมากกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรถึงกับตัวเซ
ก่อนจะพยายามทรงตัวและจัดท่าทางให้ถูกต้อง
เนื่องจากความโกรธเคืองยังไม่ลดลง
ประธานใหญ่ชาจึงตบอย่างต่อเนื่อง
เมื่อแก้มทั้งสองข้างของซงจียงบวมแดงและมีเลือดไหลออกมาจากปากประธานใหญ่ชาจึงปลดกระดุมข้อมือแล้วถาม
“แก
ไอ้เวร...มัวทำอะไรอยู่ถึงไม่จับตามองมันให้ดี ๆ”
“โจชียอนวางบอดี้การ์ดไว้รอบบ้านจนยากเข้าใกล้ครับ
ยิ่งไปกว่านั้น เวลาเดินทางก็ไม่ใช้รถตัวเอง แต่มีรถคนอื่นมารับอีกที...”
“ถ้างั้นก็ต้องตามไปไม่ใช่หรือไง!”
“ทุกครั้งที่ตามมักจะมีรถโผล่มาจากไหนไม่รู้มาขวางทาง...”
เพียะ!
ประธานใหญ่ชามยองจินตบหน้าอีกครั้งโดยไม่รอให้อีกฝ่ายแก้ตัวจนจบ
พอเห็นว่าตบจนเลือดไหลกบปากแล้ว
เขาก็ถามอีกครั้ง
“มันไปหาอัยการคนไหน”
“อัยการคิมซังชอล
สำนักงานอัยการเขตตะวันออกครับ”
“ไสหัวไปไอ้เวร ออกไปสำนึกผิดซะ”
“รับทราบครับ”
เมื่อซงจียงโค้งศีรษะแล้วออกจากห้อง
ประธานใหญ่ชาก็ยกหูโทรศัพท์ขึ้นทันที
หลังจากจัดการความคิดสักพักก็กดโทร.ออก
“อ้าว~ สวัสดีครับ
ผมชามยองจินนะ ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ”
“ผมก็เหมือนเดิมตลอดแหละครับ ยุ่งมาก”
“ใช่ครับ คงจะยุ่งกันมาก
ไม่มีอะไรหรอกครับ สำนักงานอัยการเขตตะวันออกมีอัยการชื่อคิมซังชอลใช่ไหมครับ”
“อัยการคิมซังชอลเหรอครับ”
“มันคงจะยากสำหรับท่านอัยการสูงสุดในการจำอัยการแต่ละคน
แต่ว่าอัยการคิมซังชอลคนนั้น เฮ้อ จริง ๆ เลย...”
“มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
“พอดีเหมือนเขาจะกำลังตกหลุมพรางเรื่องไร้สาระน่ะครับ
ถ้าจะตรวจสอบก็ควรมีหลักฐานชัดเจน
ไม่ใช่เอาหลักฐานปลอมแปลงที่ไหนมาก็ได้...ยังไงผมฝากท่านอัยการสูงสุดดูแลหน่อยนะครับ”
“ได้ครับ เดี๋ยวผมจัดการตักเตือนให้ครับ”
“ถ้างั้นรบกวนด้วยนะครับ”
ประธานใหญ่ชามยองจินวางสายและสบถออกมาทันที
“ไอ้แก่เอ๊ย...ถึงเวลาตายก็ตาย ๆ ไปสักที
ว่าแต่ไอ้เวรคิมซังชอลมันโง่มาจากไหน กล้าดียังไง...”
ประธานใหญ่ชามยองจินคิดว่าสถานการณ์จะจบลงแค่นี้
เพราะตัวเองต่อสายตรงไปถึงอัยการสูงสุดแล้ว
อัยการตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งไม่มีทางสู้อะไรได้แน่นอน
บทที่ 214 ราคาของเกียรติยศ (3)
หลังจากได้พบกับ กรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนของเอชเอสกรุ๊ปเมื่อวานซืนอัยการคิมซังชอลก็ไม่อาจยับยั้งหัวใจที่พองโตไว้ได้เลย
เขามีเพื่อนสนิทในสำนักงานอัยการแค่ไม่กี่คน
และคิดว่าถึงอย่างไรก็ต้องมีข้อจำกัดในการเลื่อนตำแหน่งอยู่แล้ว เพราะตัวเองไม่เก่งในการหาเส้นสาย
แต่ผู้ชายคนนั้นกลับบอกว่าจะให้เขาเริ่มต้นด้วยการลงเลือกตั้งแบบสัดส่วนที่เปรียบเสมือนเซฟโซน
ไม่ใช่การลงเลือกตั้งในเขตที่มีความเสี่ยงสูงด้วยซํ้า...
ประการแรก
ถึงจะเป็นเพียงการเลือกตั้งแบบสัดส่วน แต่ถ้าเปิดตัวในฐานะนักการเมืองให้ประชาชนจดจำได้สำเร็จ
ก็จะสร้างความมั่นใจในการลงสมัครประจำเขตสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า
ถ้าหากได้เป็นนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่แล้วกลายเป็นประธานาธิบดีในท้ายที่สุด...
นับตั้งแต่นึกถึงคำว่าประธานาธิบดี
อัยการคิมซังชอลก็ไม่สามารถควบคุมหัวใจที่เต้นแรงไว้ได้เลย
จากนั้นโจชียอนก็มาหา
อีกฝ่ายทิ้งสมุดบัญชีไว้พร้อมกับคำพูดประโยคหนึ่ง
“จำไว้เสมอว่ามีคนคอยช่วยเหลือนายอยู่
ไม่ต้องห่วงด้านหลังหรอก”
สิ่งแรกที่ตรวจสอบทันทีที่ได้รับสมุดบัญชีคือ
ตรวจสอบว่ามีชื่อของผู้บังคับบัญชาโดยตรงของตัวเองอย่างหัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลหรือไม่
เพราะถ้าหากมีชื่อผู้บังคับบัญชาโดยตรงอยู่ในสมุดบัญชีก็นับว่าเจอกำแพงใหญ่ตั้งแต่เริ่ม
แต่โชคดีที่ไม่มีชื่ออยู่ในนั้น
เขากำหมัดพร้อมแอบส่งเสียงร้องเบา ๆ
ก่อนจะใส่สมุดบัญชีไว้ในลิ้นชักแล้วล็อกกุญแจ ตอนนั้นเองโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“คิมซังชอลครับ”
“นายขึ้นมาที่ห้องท่านหัวหน้าอัยการเขตหน่อยสิ”
เสียงหัวหน้าอัยการฝ่าย
“หัวหน้าอัยการเขตเหรอครับ”
อัยการคิมซังชอลรู้สึกเหมือนใจหล่นวูบ
เขากำลังจะไปหาหัวหน้าอัยการฝ่ายพอดี
แต่อีกฝ่ายกลับโทร.มาบอกว่าหัวหน้าอัยการเขตตามหาเขาอยู่
จึงรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับโจชียอน
“นายไปทำอะไรมา ทำไมอยู่ ๆ ท่านหัวหน้าอัยการเขตถึงอยากเจอนาย”
“ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ”
แกล้งทำเป็นไม่รู้ไปก่อน
“แล้วทำไมถึงเรียกหานาย ไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ เหรอ ถ้าฉันมารู้ทีหลังนายตายนะ”
“คือว่า...”
“อะไร”
“ผมรับเรื่องร้องเรียนมาเรื่องหนึ่ง...”
“เฮ้อ...นายไปยุ่งกับพวกคนใหญ่คนโตงั้นเหรอ”
“ยังบอกไม่...”
“ขึ้นมาก่อน”
นํ้าเสียงเคร่งเครียดของหัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลทำเอาซังชอลประหม่า
แต่ทันทีที่วางสาย
ซังชอลจึงยืดหลังตรงอีกครั้ง
ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูออกไปแล้วตะโกนอย่างโอ้อวดใส่พนักงานสืบสวน
“ผมขอตัวไปห้องหัวหน้าอัยการเขตก่อนนะครับ”
“ทำไมถึงไปห้องหัวหน้าอัยการเขต...”
“เดี๋ยวกลับมานะครับ”
พอเห็นพนักงานสืบสวนจางซองกยูทำหน้างง
ซังชอลก็รู้สึกมีความสุขแปลก ๆ
จนถึงตอนนี้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดีก็ไม่เคยถูกเรียกพบเป็นการส่วนตัวมาก่อน ดังนั้นแม้จะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
เขาก็รู้สึกยืดอกและเบิกบานใจอย่างประหลาด
กำปั้นเหมือนมีแรงขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
เมื่อเห็นสายตางุนงงของพนักงานสืบสวนจางที่มักชื่นชมความสามารถของอัยการคนอื่น ๆ
แต่ไม่เคยเคารพเขา
เขามุ่งหน้าไปยังห้องหัวหน้าอัยการเขตอย่างมั่นใจ
ก๊อก ก๊อก
เมื่อก่อนถ้าต้องมาพบหัวหน้าอัยการเขต
ไหล่คงจะลู่ลงอัตโนมัติและคิดไม่หยุดว่าต้องจัดการสีหน้าอย่างไร พูดคุยอย่างไร
แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่ามันเปลี่ยนไปแล้ว
พอคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นนักการเมืองหลังจากการสืบสวนครั้งนี้เสร็จสิ้นลงตำแหน่งหัวหน้าอัยการเขตก็ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่ขนาดนั้นแล้ว
“เข้ามา”
ซังชอลเปิดประตูเข้าไปอย่างมั่นใจพร้อมกับก้มศีรษะลงประมาณสามสิบองศา
“เรียกตัวผมเหรอครับ”
“ใช่ นั่งก่อนสิ”
ทันทีที่ซังชอลนั่งลง
หัวหน้าอัยการเขตพัคโนฮุนที่นั่งอยู่ก็จ้องเขม็ง
จากนั้นหัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลที่นั่งทำหน้าเครียดอยู่ข้าง
ๆ ก็ออกตัว
“นายไปก่อเรื่องอะไรมา”
“ครับ?”
“ไปก่อเรื่องอะไรมา
ท่านอัยการสูงสุดถึงหมายหัวนาย”
“ท่านอัยการสูงสุดเหรอครับ”
“ไปแตะต้องอะไรใครเขามา”
ซังชอลเหลือบมองใบหน้าหัวหน้าอัยการเขตที่ยังคงจ้องกันอยู่ก่อนจะตอบ
“ตรวจสอบพบว่ากลุ่มธุรกิจใหญ่มีการล็อบบี้ในทุกสาขาอาชีพ
รวมถึงอำนาจทางการเมืองด้วยครับ”
หัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลกุมขมับ
“ไอ้บ้า นายอยู่แผนกคดีพิเศษเหรอ
ทำไมนายถึงอยากสืบเรื่องพวกนั้นล็อบบี้? พูดอะไรให้มันเข้าท่าหน่อยน่า
ใครส่งรายงานมาทางโทรศัพท์หรือไง”
“มีสมุดบัญชีเป็นหลักฐานครับ”
หัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลตกใจและหันหน้าไปหาหัวหน้าอัยการเขตพัคโนฮุนทันที
ก่อนหน้านี้นึกว่าแค่ขุดคุ้ยบริษัทใหญ่โดยที่ไม่มีหลักฐานอะไร
แต่ถ้าพบสมุดบัญชีแล้ว เรื่องราวก็กลับตาลปัตร
อย่างไรก็ตาม หัวหน้าอัยการเขตพัคโนฮุนยังคงมองซังชอลด้วยสีหน้าแบบเดิมก่อนจะเปิดปากพูด
“นายจะขุดเรื่องนั้นต่อเหรอ”
“ครับ”
“โอเค
หลักฐานก็มีชัดเจน...ถ้าคิดจะเป็นอัยการก็ต้องใจกล้าประมาณนั้นแหละ
แต่นายไม่ใช่แผนกคดีพิเศษหนิ ส่งหลักฐานให้สำนักงานอัยการเขตกลางแผนกคดีพิเศษซะ
ส่วนนายก็ไปรับผิดชอบคดีอื่น”
ถึงคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะถูกขัดขวางการสืบสวน
แต่พอหัวหน้าอัยการเขตพูดออกมาอย่างเด็ดขาดแบบนั้น
ซังชอลก็ตอบโต้อะไรไม่ได้ไปชั่วขณะ
“ไม่...”
“ทำอย่างนั้นแล้วจบเรื่องนี้ซะ”
“รับทราบครับ”
ซังชอลกลายเป็นคนนํ้าท่วมปากและต้องออกมาจากห้องหัวหน้าอัยการเขตอย่างไม่มีทางเลือก
ตอนผ่านการสอบเนติบัณฑิตที่ใครต่อใครต่างปรารถนาแล้วได้เป็นอัยการก็รู้สึกราวกับได้ครอบครองโลกทั้งใบ
แต่หลังจากนั้นกลับรู้สึกขมขื่นมากเมื่อได้รู้ว่าแม้แต่ในหมู่อัยการก็ยังมีชนชั้นอำนาจและโลกที่แตกต่างกัน
หลังจากรู้สึกหมดหนทางในตอนนั้น เขาพยายามเพิ่มโอกาสในการชนะคดีความโดยไม่ทำพลาดแม้แต่ครั้งเดียว
เพื่อไขว่คว้าโอกาสที่ไม่รู้จะเข้ามาเมื่อไรสุดท้ายก็พ่ายแพ้หลายครั้งต่อหน้าสำนักงานกฎหมายชื่อดัง
อุตส่าห์คิดว่าครั้งนี้จะต่างไปจากเดิม
เขากัดริมฝีปากเมื่อคิดว่าจะไม่สามารถเอ่ยปากพูดเรื่องนี้ต่อหน้าผู้มีอำนาจอย่างหัวหน้าอัยการเขตได้อีก
“นาย ตามฉันมาซิ”
หัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลลากตัวเขา
พอเข้าไปในห้องหัวหน้าอัยการฝ่าย
ซังชอลก็ถามหัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลที่บังคับให้เขานั่งลง
“แบบนี้ก็ได้เหรอครับ
ไม่ได้จะยุติการสืบสวนเรื่องนี้ใช่ไหมครับ”
“ฮู่...ในสมุดบัญชีมีอะไรอยู่”
“ครับ?”
“ในสมุดบัญชีมีอะไรกันแน่
ถึงต้องต่อสายตรงไปหาท่านอัยการสูงสุด”
ซังชอลไม่อาจเปิดปากได้ง่าย ๆ
ในสมุดบัญชีไม่มีชื่อของหัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลก็จริง
แต่เขาตัดสินใจไม่ได้เพราะยังไม่แน่ใจ
หัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลรับรู้ถึงความกังวลของซังชอลจึงพูดขึ้นมา
“นายคงเดาออกไม่ใช่เหรอว่ามันคือโทรศัพท์จากไหน
ฉันอาจจะช่วยคัฟเวอร์ให้ได้”
“เซยองกรุ๊ปครับ”
ซังชอลตอบทันทีโดยไม่หายใจเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายอาจจะช่วยคัฟเวอร์ให้ได้
แน่นอนว่าเพราะไม่ได้มีชื่ออยู่ในสมุดบัญชีถึงตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว
“เซยอง? เซยองอยู่ในนั้นงั้นเหรอ”
“ครับ”
“อ่า...เวรเอ๊ย...เพราะงั้นเลยต่อสายตรงมาหาท่านอัยการสูงสุดเลยสินะคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องล่ะ”
“มันคือประวัติการเป็นสปอนเซอร์อย่างต่อเนื่องให้กลุ่มคนที่รับราชการและนักการเมืองจำนวนมาก
โดยไม่แบ่งพรรครัฐบาลหรือฝ่ายค้านครับ”
“สปอนเซอร์เหรอ”
“ครับ ไม่ได้จ่ายเป็นเงินสด
แต่เขาสนับสนุนเป็นของขวัญราคาแพงอย่างพวกรถยนต์ ภาพวาด
หรือของแบรนด์เนมตั้งแต่คนเหล่านั้นยังเด็ก ๆ ครับ”
“ตั้งแต่ยังเด็ก ๆ หมายถึงตั้งแต่ตอนไหน”
“บางคนเริ่มตั้งแต่เป็นนักศึกษา
บางคนก็เริ่มตั้งแต่สอบผ่านครับ”
“สอบ? หมายถึงสอบรับราชการเหรอ
แบบพวกสอบเข้ากระทรวงต่างประเทศ หรือสอบข้าราชการพลเรือน”
ซังชอลสังเกตท่าทีก่อนจะตอบ
“ครับ...”
คำพูดของเขาอาจจะกระตุ้นความรู้สึกบางอย่าง
นัยน์ตาของหัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลถึงสั่นระริก
“มีการสอบเนติฯอยู่ในการสอบนั้นด้วยหรือเปล่า”
“ใช่ครับ”
หัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลกุมขมับ
เพราะเรื่องใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก
หลังวางมือไว้บนศีรษะแล้วจมอยู่กับความคิดสักพักก็พูด
“นายทำเรื่องนี้คนเดียวไม่ได้หรอก”
“ผมยอมรับว่าทำคนเดียวมันเกินความสามารถครับ
แต่ผมไว้ใจอัยการคนอื่น ๆ ไม่ได้”
“ว่าไงนะ”
“อัยการที่มีชื่ออยู่ในสมุดบัญชีนั้น
เท่าที่ผมดูคร่าว ๆ มีมากกว่าห้าคนครับในจำนวนนั้นมีหัวหน้าอัยการฝ่ายสองคน
อธิบดีอัยการหนึ่งคน”
“เวรแล้วไง...”
“ผมเลยเชื่อใจใครไม่ได้ครับ”
“แล้วนายเชื่อฉันหรือเปล่า”
“พูดตามตรง ถึงจะเชื่อไม่ได้เต็มร้อย
แต่ก็ไม่ได้มีชื่ออยู่ในสมุดบัญชีครับ”
“ฉันต้องขอบคุณไหม”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ”
“ฉันไม่ได้พูดในฐานะหัวหน้าอัยการฝ่ายนะ
แต่ถ้าแตะต้องเรื่องนี้ นายต้องถอดชุดครุยออก”
“ผมเตรียมใจแล้วครับ”
“เตรียมใจแล้วเหรอ”
“ครับ”
หัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลเห็นถึงความตั้งใจอันแน่วแน่ของซังชอลจึงพยักหน้าแล้วกล่าว
“ดี แต่อย่างที่นายเองก็รู้
นายสืบสวนเรื่องนี้คนเดียวไม่ได้หรอก ต่อให้ไม่ได้รับการสนับสนุนกำลังคน
อย่างน้อยก็ควรมีเกราะป้องกันไม่ให้ใครมาขัดขวางถึงจะออกหมายจับได้ไม่ใช่เหรอ”
“มันก็ใช่ แต่ใครจะช่วยผมล่ะครับ”
“มีสายของอธิบดีอัยการชินดงโฮอยู่ในสมุดเล่มนั้นหรือเปล่า”
อธิบดีอัยการชินดงโฮเป็นบุคลากรที่มีตำแหน่งตํ่ากว่าอัยการสูงสุดคนปัจจุบันหนึ่งระดับ
และรู้กันว่ามักจะสนิทสนมกับคนจากมหาวิทยาลัยอื่นที่ไม่ใช่มหาวิทยาลัยโซล
สิ่งที่น่าตลกก็คือ
ซังชอลเองก็ไม่ได้จบจากมหาวิทยาลัยโซลเช่นกัน แต่กลับไม่เคยมีใครในสายของอธิบดีอัยการชินดงโฮเข้าหาเลย
“ผมยังไม่ได้เช็กอย่างละเอียด
แต่น่าจะไม่มีนะครับ”
“งั้นเหรอ โอเค เดี๋ยวฉันสร้างสถานการณ์ดู
นายกำสมุดบัญชีไว้ให้แน่นแล้วหลบไปอยู่เงียบ ๆ สักสองวันแล้วกัน”
“รับทราบครับ แต่จะทำแบบนั้นได้เหรอครับ”
“ถ้างั้นฉันจะให้นายมานั่งพูดเพ้อเจ้อไปเรื่อยหรือไง
นายทำให้ดีก็แล้วกันต้องทำให้ดีจริง ๆ นะ
ชีวิตของคนมากมายอาจจะขึ้นอยู่กับสิ่งนี้”
“ได้ครับ ผมเชื่อหัวหน้านะครับ”
อัยการคิมซังชอลรีบกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเองแล้วหยิบสมุดบัญชีที่ซ่อนไว้ในลิ้นชักมาใส่กระเป๋า
จากนั้นก็ออกมาจากห้องและพูดกับพวกพนักงาน
“ผมไม่สบาย ขอตัวกลับก่อนครับ
ถ้ามีใครมาหาผม ฝากบอกว่าผมลาป่วยนะครับ”
ซังชอลถือสมุดบัญชีแล้วออกจากสำนักงานอัยการเขตตะวันออก
กรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนดูเวลาด้วยสีหน้าประหม่าเล็กน้อย
ห้านาทีก่อนถึงเวลานัด
“ได้เวลาแล้วครับ”
“อืม...”
ประธานอีเซมินเอาแต่ส่งเสียงในลำคอโดยไม่ตอบกลับ
ตอนนี้จิตใจของเขาไม่ได้ผ่อนคลายขนาดนั้น
หมายยึดและตรวจค้นบ้านของผู้ดูแลบ้านพักตากอากาศถูกยกเลิก
การสืบสวนทางฝั่งพี่ชายก็ล่าช้าเช่นกัน
ในทางกลับกัน
คมดาบของอัยการกำลังหันมาหาเขาอย่างว่องไว
ดังนั้นช่วงนี้ถึงจะนอนอยู่บนเตียงก็หลับไม่ลง
ท่ามกลางสถานการณ์แบบนั้น
ประธานอีเซมินจึงไม่ค่อยสบายใจเท่าไรในการมีตติ้งกับคนจากบริษัทอื่นที่ไม่ใช่ทางฝั่งอัยการ
อีกด้านหนึ่ง
ฮยองจุนไม่ได้กังวลเกี่ยวกับการต่อสู้ทางกฎหมายระหว่างสองพี่น้องมากนัก
เรื่องสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือผู้บริหารกับพนักงานของกรุ๊ปที่สั่นสะท้านเพราะการต่อสู้ทางกฎหมาย
และคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ตัวเองได้รับจากเรื่องนั้นเท่านั้น
เนื่องจากอัยการไม่ได้กดดันเขาด้วยข้อหาใด ๆ
จิตใจของฮยองจุนจึงผ่อนคลายกว่าประธานอีเซมิน
และแล้วประตูก็เปิดออกพร้อมยองฮุนที่เดินเข้ามา
“มารอนานแล้วเหรอครับ”
“ไม่นานเท่าไหร่”
“ไม่เป็นไร นายรักษาเวลาได้ดีทีเดียว”
ยองฮุนก้มศีรษะก่อนจะยื่นนามบัตรให้และขอจับมือ
ประธานอีเซมินพิจารณานามบัตรอย่างละเอียดแล้วจับมือตอบ
“ช่วงนี้เขาว่ากันว่านามบัตรใบนี้มีค่าเกินกว่าจินตนาการ
เป็นเกียรติมากที่ได้พบนาย”
“เกียรติอะไรกันครับ เชิญนั่งครับ”
ยองฮุนนั่งลงพร้อมกับเรียบเรียงความคิดสักพักแล้วถึงพูด
“ขอบคุณที่สละเวลามาวันนี้นะครับ
ถ้าได้เจอตอนเย็น อย่างน้อยคงได้ดื่มสักหน่อย น่าเสียดายจังครับ”
“ไม่เป็นไร ได้ยินว่าเป็นเพื่อนฮยองจุน
ฉันพูดเป็นกันเองแล้วกันนะ ได้ใช่ไหม”
“แน่นอนครับ”
“เห็นฮยองจุนบอกว่าเป็นคนที่ช่วยพวกเราได้แน่นอน
ต้องออกมาเจอนายให้ได้ ดูแล้วน่าประทับใจอยู่นะ ยังไงก็กินข้าวกันก่อนเถอะ”
ทั้งสามคนจึงกินอาหารพลางสนทนากันเบา ๆ
และเมื่อกินอาหารใกล้เสร็จประธานอีเซมินก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากก่อนจะพูด
“นายคงได้ยินสถานการณ์ของฉันมาแล้วใช่ไหม”
“ครับ ได้ยินมาแล้ว”
“ถ้างั้นขอถามตรง ๆ เลย
นายช่วยฉันได้หรือเปล่า”
ยองฮุนยิ้มและตอบอย่างมั่นใจ
“ฮ่า ๆ แน่นอนครับ
ผมจะพยายามช่วยอย่างสุดความสามารถเท่าที่ผมจะทำได้ครับ”
ฮยองจุนตกใจนิดหน่อย เพราะเห็นได้ชัดว่าเรื่องที่ประธานอีเซมินขอให้ช่วยคือการโยกย้ายอัยการ
แต่นึกไม่ถึงว่ายองฮุนจะยอมรับปากง่าย ๆ แบบนี้
“นายกระตือรือร้นดีจริง ๆ ฮ่า ๆ ๆ
ถ้าอย่างนั้นฉันเชื่อนายนะ”
“เดี๋ยวพวกผมสองคนขอคุยกันหน่อยแล้วค่อยกลับ
ท่านประธานกลับก่อนได้เลยนะครับ”
พอยองฮุนพูดแบบนั้น
ฮยองจุนก็พูดต่อทันทีเหมือนนัดกันไว้ล่วงหน้าแล้ว
“ใช่ครับ
พอดีผมมีเรื่องส่วนตัวจะคุยกับเขา อากลับก่อนได้เลยครับ”
“โอเค”
เมื่อประธานอีเซมินออกไปแล้ว
ยองฮุนจึงพาฮยองจุนกลับไปนั่ง
จากนั้นก็เคลียร์โต๊ะอีกครั้งแล้วสั่งปลาดิบเพิ่ม
“อะไร ไม่อิ่มเหรอ”
“ปกติกรรมการผู้จัดการกินจุไม่ใช่เหรอครับ
หม้อดินอย่างเดียวไม่น่าอิ่มนะ”
“ไม่ได้ถึงขั้นอิ่ม ยังพอกินต่อได้
เหล้าล่ะ”
“สั่งนํ้าแทนเหล้าเถอะครับ”
“ถ้านํ้าก็พอเหอะ หมดความอยากอาหาร
แล้วอยากคุยอะไร อยู่ดี ๆ ก็เรียกให้มานั่ง ตกใจหมด”
“ไว้ปลาดิบมาแล้วค่อยคุยเถอะครับ
ไม่ใช่เรื่องด่วนอะไร”
“ตามนั้น”
รู้สึกเหมือนจะเป็นเรื่องสำคัญ
ฮยองจุนจึงอดทนรอเงียบ ๆ
หลังจากนั้นสักพักปลาดิบก็มาเสิร์ฟ
ยองฮุนลิ้มรสปลาดิบหนึ่งชิ้น ก่อนจะพูดกับฮยองจุนที่ทำหน้าสงสัยเต็มที
“ไว้ใจอาไม่ได้นะครับ”
“หา? ว่าไงนะ ไหนเมื่อกี้บอกว่าจะช่วยอย่างเต็มที่ไง”
“ผมปฏิเสธตรงนั้นไม่ได้นี่ครับ
จัดการเคลียร์เรื่องราวให้เสร็จก่อนจะโดนลากไปสำนักงานอัยการเถอะ
ถ้าประธานอีเซมินเอาชนะพ่อกรรมการผู้จัดการได้แล้ว
ใบมีดนั่นจะวกกลับมาหากรรมการผู้จัดการครับ”
ฮยองจุนคีบปลาดิบหนึ่งชิ้นที่กำลังจะเอาเข้าปากค้างไว้อย่างนั้น
บทที่ 215 ราคาของเกียรติยศ (4)
“ใบมีดนั่น จะวกกลับมาหาฉันงั้นเหรอ
แน่ใจนะ”
“แน่ใจอะไรล่ะครับ
มันก็แค่ความรู้สึกของผมเท่านั้นเอง”
“โลกนี้มีอะไรชัวร์ไปกว่าความรู้สึกของนายที่ไหน!”
ยองฮุนจึงพูดเหมือนตำหนิฮยองจุนที่ตะโกนเสียงดัง
“เบาเสียงลงหน่อยเถอะครับ
จะเรียกประธานอีเซมินที่กลับบริษัทไปแล้วมาอีกรอบหรือไง”
“ไม่ใช่...โทษที
เอาเป็นว่านายรู้สึกอย่างนั้นใช่ไหม”
“แววตาเขาไม่มีความเมตตาเลยครับ”
คำว่าแววตาไม่มีความเมตตาไม่ใช่แค่การพูดไปอย่างนั้นเอง
ดูจากดวงตาที่ทำมุมเป็นสามเหลี่ยมแล้ว เห็นได้ชัดว่าจิตใจของเจ้าตัวก็มีเหลี่ยมมุมเช่นเดียวกัน
แต่เขาไม่ได้เตือนฮยองจุนด้วยเหตุผลนั้นเพียงอย่างเดียว
ช่วงบั้นปลายชีวิตของประธานอีเซมิน
ไม่ใช่เพียงแค่ดวงหายนะจากหน่วยงานราชการกับดวงจากลาที่ค่อนข้างร้ายแรง
แต่หากทำอะไรผิดพลาดอาจจะประสบกับอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดด้วย
คงเป็นเรื่องยากในการหลุดพ้นจากวงล้อมของอัยการในครั้งนี้
ทั้งยังอาจมีการหย่าร้างและใช้ชีวิตแยกจากครอบครัว
ทันทีที่ตระหนักถึงเรื่องนั้น
เขาไม่มีทางปล่อยฮยองจุนที่เปรียบเหมือนคนนอกไปแน่นอน
เนื่องจากเป็นคนร้ายกาจและไม่ได้มีความเมตตาอะไรมากนักมาตั้งแต่แรก
เห็นได้ชัดว่าประธานอีเซมินไม่ได้คิดจะแบ่งทรัพย์สินมหาศาลของกรุ๊ปออกเป็นสองส่วนอยู่แล้ว
“ดวงตาไม่มีความเมตตางั้นเหรอ
อาฉันขึ้นชื่อเรื่องความอ่อนโยนมากเลยนะยอมอาสะใภ้ทุกอย่าง
ครั้งนี้ก็ยอมหักหลังพ่อฉันเพราะเชื่อฟังอาสะใภ้”
“ถ้าเสือกับหมาป่าอยู่ด้วยกัน
หมาป่าก็คงจะอยู่แบบหงอ ๆ ไม่ใช่เหรอครับ”
“ใช่”
“แต่ถึงอย่างนั้นหมาป่าก็ไม่ใช่สัตว์นิสัยอ่อนโยนอยู่แล้วนี่ครับ”
ฮยองจุนกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะพยักหน้า
“พอพูดแบบนั้นแล้วก็เข้าใจเลย
ถ้างั้นอาฉันก็เป็นหมาป่าสินะ”
“อย่างที่บอกครับ
แววตาเขาดูเหมือนคนไร้ความเมตตา แล้วคิดว่าในสถานการณ์ที่หักหลังพี่น้อง
เขาจะแบ่งครึ่งหนึ่งของกรุ๊ปให้กรรมการผู้จัดการที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันไหมล่ะครับ”
“หมายความว่าให้เลิกเล่นเกมอย่างยุติธรรมงั้นเหรอ”
“ถ้าเป็นผมคงจะไม่ทำอย่างนั้นครับ”
“ฮู่...เดี๋ยวก่อน
ฉันต้องกินเหล้าสักหน่อย”
ฮยองจุนสั่งเหล้าเหมือนอดกลั้นต่อไปไม่ไหว
จากนั้นก็รินเหล้าจากขวดที่พนักงานเอามาเสิร์ฟใส่แก้ว
แล้วกระดกรวดเดียวก่อนจะพูด
“อะแฮ่ม...งั้นแปลว่าให้ฉันเป็นฝ่ายจัดการก่อนจะโดนจัดการสินะ”
“เรื่องนั้นกรรมการผู้จัดการเคลียร์เอาเองเถอะครับ”
“ทำไมนายถอยกลับอีกแล้ว”
ยองฮุนยักไหล่
“เพราะยังไงก็เป็นการตัดสินใจของกรรมการผู้จัดการไงครับ
ผมแสดงความคิดเห็นของตัวเองหมดแล้ว ไม่มีอะไรเสริมอีกครับ”
ชีวิตของกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุน
แค่ช่วยขนาดนี้ก็กังวลว่าจะลํ้าเส้นเกินไปแล้ว
จึงไม่จำเป็นต้องชี้แนะแนวทางให้ทุกอย่าง
“โคตรเย็นชาเลย แต่ยังไงก็ขอบคุณ พูดตรง ๆ
ว่าฉันคิดแบบนั้น ต่อให้บอกว่าไม่ใช่สายเลือดเดียวกันก็เถอะ แต่พ่อก็ทิ้งฉัน
แม่ก็เอาแต่รังควาน...ถึงอาจะร่วมมือกับฉันเพื่อผลประโยชน์ของเขา
แต่ฉันก็ยังคิดว่าถ้าเรื่องราวจบลงเราอาจจะสนิทกันมากขึ้น”
“เป็นคนเซนสิทีฟนะครับเนี่ย”
“ไม่ว่าจะเลือดเย็นแค่ไหน
กับครอบครัวมันก็แตกต่างนี่นา
มินฮีที่นายแนะนำให้รู้จัก...ตอนนี้เหมือนฉันจะเหลือแค่มินฮีคนเดียวแล้ว
ดังนั้นถึงจะเข้าไปเป็นลูกชายบุญธรรมปลอม ๆ
ฉันก็ตั้งใจว่าจะทำดีกับเขาเหมือนเป็นพ่อแท้ ๆ...”
ยองฮุนคีบปลาดิบกินทีละชิ้นโดยไม่ตอบอะไร
ท่าทางแบบนั้นทำให้ฮยองจุนรู้สึกหมั่นไส้จนบ่นออกมา
“อร่อยไหม คนอื่นเขาไม่สบายใจเนี่ย”
“ถ้างั้นก็หยุดแล้วขอบริษัทในเครือมาสักแห่งสิครับ
ถ้าทำอย่างนั้นอาของกรรมการผู้จัดการก็คงไม่พยายามต่อสู้ให้เสียเลือดเสียเนื้อกันอีก”
“เฮอะ...อุตส่าห์มาถึงตรงนี้เพื่อขอบริษัทในเครือแห่งเดียว?
มันได้เหรอ”
“ถ้างั้นก็เครียดต่อไปครับ
ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็มาจากความโลภของกรรมการผู้จัดการไม่ใช่หรือไง”
“ฉันผิดเอง ฉันพูดผิดเองแหละ โอเค
กินเถอะ”
ฮยองจุนยอมรับว่าถึงจะเครียดจะกังวลไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
จากนั้นก็ขยับตะเกียบอย่างรวดเร็ว
ตรงข้ามกับร้านอาหารญี่ปุ่นที่ยองฮุนกันฮยองจุนกำลังกินข้าวกัน บังเอิญมีร้านอาหารญี่ปุ่นสุดหรูคล้าย ๆ กันอีกหนึ่งร้านพอดี
ภายในร้านนั้น
หัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลกำลังดื่มเหล้าแกล้มปลาดิบพร้อมพูดคุยกับชายสวมแว่นตาอายุประมาณสี่สิบ
“อยู่ ๆ ก็เรียกหากันแบบนี้ ไหนว่าช่วงนี้ยุ่งมากไม่ใช่เหรอครับ”
“ก็ต้องมีคดีสิถึงเรียกนักข่าวมา
ฉันเป็นดาราหรือไง ถึงจะเรียกนักข่าวมาเจอได้ตลอดเวลา”
คนที่นั่งชนแก้วอยู่ฝั่งตรงข้ามหัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลคือนักข่าวจองแดซูนักข่าวอาวุโสของช่องสาธารณะอย่าง
KSC
ประสบการณ์ในการทำงานของเขานั้นยอดเยี่ยม
และยังแวะเวียนอยู่ในข่าวท้องถิ่นและข่าวการเมืองจนเป็นที่รู้จักไปทั่ว
เมื่อก่อนจึงได้เจอกับหัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลค่อนข้างบ่อย
“ถ้างั้นวันนี้มีอะไรครับ
เป็นหัวหน้าอัยการแล้ว
ตอนนี้ก็ไม่น่ามีเรื่องให้ต้องแวะมาเจอนักข่าวไม่ใช่เหรอครับ”
“ฉันก็นึกว่าอย่างนั้นเหมือนกัน”
“โอ้โฮ...วันนี้เหล้าคงจะหวานน่าดูเลยนะครับ”
“อาจจะหวานหรือขมก็ได้”
“อาจจะขมงั้นเหรอครับ ทำไมถึงขมล่ะ”
“ต้องหวานสิถึงจะกลืนลงคอ
ถ้าขมอาจจะพ่นออกมาจากปาก”
“หมายความว่าอาจจะเป็นข่าวที่ผมรับมือไม่ไหวใช่ไหมครับ
ระหว่างที่ไม่ได้เจอกันนี่อ่อนโยนขึ้นเยอะเลยนะครับ”
แม้จะพูดเหมือนหยอกล้อนิดหน่อย
แต่หัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลก็ยังกระดกเหล้าเข้าปากด้วยสีหน้าขมขื่น
บรรยากาศอันหนักอึ้งทำให้นักข่าวจองแดซูมั่นใจว่าวันนี้ต้องมีอะไรแน่นอนแต่ก็กังวลเช่นเดียวกัน
ถ้าเปรียบเปรยเกินจริงสักหน่อยก็เรียกได้ว่าถึงขั้นทำให้นกที่กำลังบินอยู่ร่วงลงมาได้
หัวหน้าอัยการฝ่ายเอาข่าวแบบไหนมากันแน่ ถึงได้เครียดขนาดนั้น
ขนาดตอนเปิดโปงคดีติดสินบนของนักการเมืองชื่อดังครั้งก่อน
ยังไม่ทำใจนานแบบนี้เลย
หัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลวางแก้วเหล้าลงก่อนจะเปิดปากพูด
“มีข่าวลือเรื่องหนึ่ง”
“ครับ?”
“ฉันบอกว่ามีข่าวลือเรื่องหนึ่งแพร่กระจายไปทั่ว”
นักข่าวจองแดซูเข้าใจคำพูดของเขาทันที
“มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับหัวหน้าอัยการฝ่ายสินะครับ
ได้ยินข่าวลืออะไรมาครับ”
จากนั้นก็จงใจเป็นฝ่ายขีดเส้นก่อนเพื่อให้หัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลวางใจ
“ข่าวลือว่าอัยการได้รับสมุดบัญชีที่เซยองกรุ๊ปช่วยสนับสนุนอำนาจทางการเมืองกับข้าราชการมาเป็นเวลานาน”
นักข่าวจองแดซูตกใจมากจนกลืนนํ้าลายดังเอื๊อก
ตอนแรกคิดว่าเป็นปลาตัวใหญ่ธรรมดา แต่นี่มันใหญ่เสียยิ่งกว่าใหญ่ด้วยซํ้า
เซยองกรุ๊ปงั้นเหรอ...
ในหมู่สื่อมวลชนมีกฎที่รู้กันข้อหนึ่ง
หากไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญมากจะไม่เอาเรื่องอื้อฉาวหรือผิดกฎหมายของสื่อเจ้าอื่นมาเขียนข่าว
เซยองกรุ๊ปคือหนึ่งในบริษัทหนังสือพิมพ์แนวหน้าของประเทศเกาหลีหากเป็นสมุดบัญชีที่มีประวัติว่าเป็นสปอนเซอร์ให้นักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐมาเป็นเวลานานจริง
ๆ ประเทศเกาหลีคงกลับตาลปัตร
และแน่นอนว่าสื่อที่รายงานเรื่องนี้เป็นเจ้าแรกจะกลายเป็นศัตรูกับเซยองกรุ๊ปในอนาคต
นักข่าวจองแดซูเข้าใจแล้วว่าทำไมหัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลถึงบอกว่าอาจจะหวานหรือขมก็ได้
“โอ้...ขมมากเลยครับ”
“ขมใช่ไหมล่ะ”
“ครับ ตอนเด็ก ๆ ผมก็กินยาจีนเก่งนะ
แต่วันนี้มันขมเกินจนไม่รู้ว่าจะกลืนหรือคายทิ้งดี”
“ถ้าจะคายก็รีบ ๆ บอก
จะได้ส่งต่อให้คนชอบกินอะไรขม ๆ”
“เฮอะ
ๆ...ถึงอย่างนั้นเขาว่ากันว่าขมเป็นยาใช่ไหมล่ะครับ ผมยอมกินแล้วตายเองดีกว่าส่งยาดี
ๆ ให้คนอื่น”
“คิดให้ดีล่ะ อาจจะตายจริง ๆ ก็ได้นะ
ฉันไม่ได้พูดเกินจริง ต้องระวังให้ดี”
นักข่าวจองแดซูกลืนนํ้าลายอีกรอบแล้วดื่มเหล้า
พอความร้อนตีตื้นขึ้นมาถึงอกก็พูดอย่างใจปํ้า
“ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่เคยมองหาแต่ข่าวหวาน ๆ
อายุก็เยอะพอสมควรแล้วสั่งสมประสบการณ์มาก็มาก
ถ้าขืนเลือกกินอีกคงโดนรุ่นน้องนินทาครับ”
“งั้นเหรอ พูดจริงนะ”
“ครับ”
“เยี่ยม
แต่ฉันปล่อยให้นายหมดทีเดียวเลยไม่ได้นะ”
สีหน้าของนักข่าวจองแดซูเปลี่ยนอย่างรวดเร็วเหมือนจะถามว่าพูดบ้าอะไร
“ฮะ?”
“ถ้ามองเรื่องนี้เป็นนิยายก็ระดับมหากาพย์
ปล่อยทีเดียวหมด คนคงไม่เข้าใจหรอก ปล่อยทีละบทดีกว่า”
“สมุดบัญชีก็ได้มาแล้ว
มีเหตุผลอะไรถึงต้องจับมาทีละบท แค่ปล่อยสมุดบัญชีทีเดียวก็จบแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงเรียกนักข่าวจองมาดื่ม”
“เรื่องนั้น...”
ตอนนั้นนั่นเองนักข่าวจองแดซูถึงจับสังเกตได้ว่ามีบางอย่างแปลก
ๆ
แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเรื่องปกติที่อัยการผู้สืบสวนจะเผชิญหน้ากับนักข่าวแล้วใช้พื้นที่สื่อสร้างกระแส
แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายโยนหินถามทางบ่อยจนเกินไป
พอลองคิดดูแล้ว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคดีกลุ่มธุรกิจใหญ่ล็อบบี้นักการเมืองและมีหลักฐานชัดเจน
ดังนั้นหากออกหมายค้นโดยใช้สมุดบัญชีเป็นหลักฐาน...
“หรือว่าภายในไม่อนุมัติการสืบสวนเหรอครับ”
หัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลพยักหน้า
“ฉันบอกแล้วไง ว่ามันขม”
“พวกเขาพยายามปกปิดใช่ไหมครับ”
“ใช่”
นักข่าวจองแดซูเลียริมฝีปากก่อนจะถาม
“บทแรกชื่ออะไรดีครับ”
“นายควรจะเป็นคนตั้งชื่อบทสิ
ฉันแค่เล่าเรื่องให้ฟังเท่านั้น
อย่างที่บอกอัยการบังเอิญได้รับสมุดบัญชีที่เซยองกรุ๊ปช่วยสนับสนุนนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐมาเป็นเวลานาน
พวกเขาให้การสนับสนุนด้วยวิธีที่ไม่แสดงร่องรอยการไหลของเงินสด อย่างพวกนาฬิกา
ของแบรนด์เนม ดังนั้นถ้าไม่มีสมุดบัญชีเล่มนี้ก็ไม่สามารถแกะรอยได้”
“เป็นข่าวลือที่น่าสนใจมากทีเดียว
โอเคครับ ผมจะลองจัดการดูนะครับ”
“ไม่มีเวลาแล้ว ถ้าเกินเย็นนี้
ฉันไม่แน่ใจว่าจะปกป้องสมุดบัญชีไว้ได้ไหม”
เนื่องจากอัยการคิมซังชอลหายตัวไปพร้อมสมุดบัญชี
พวกอัยการแผนกคดีพิเศษที่มารับหลักฐานต่อจึงนั่งรออยู่ในห้องของเขาจนถึงตอนนี้
มันเป็นประเด็นที่โดนปัดทิ้งจากคนในสำนักงานอัยการเดียวกัน
จึงต้องเคลื่อนไหวด้วยความคิดเห็นของประชาชน
“เดี๋ยวผมปล่อยก๊อกแรกเลยครับ”
“ขอบคุณ”
“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ ไว้จะกลับมาฟังนิยายเรื่องยาวเรื่องนี้ต่อนะครับ”
นักข่าวจองแดซูทิ้งเหล้ากับอาหารไว้ตามเดิมและลุกออกจากร้านทันทีเพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมานั่งเพลิดเพลินกับเหล้าและอาหาร
เมื่อหัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลกินข้าวและดื่มเหล้าคนเดียวจนเริ่มเมาเขาก็ขึ้นแท็กซี่มุ่งหน้าไปยังซาวน่าแถวนั้น
คาดหวังว่าหลังจากนอนหลับสักงีบแล้วเข้าไปที่สำนักงานอัยการจะมีเรื่องสนุก
ๆ เกิดขึ้น
“ยังหาไม่เจออีกหรือไง”
ประธานใหญ่ชามยองจินแสดงความไม่สบายใจอย่างรุนแรงตั้งแต่วันนั้น
ดังนั้นหัวหน้าเลขาฯซงจียงที่ยืนรายงานอยู่ข้าง
ๆ จึงรู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลอาบหน้าผากเพราะความตึงเครียด
“ครับ เห็นว่าไม่ได้อยู่บ้าน
แล้วก็ยังไม่ได้กลับไปที่สำนักงานอัยการด้วยครับ”
“เด็ก ๆ แผนกคดีพิเศษล่ะ”
“บางส่วนปักหลักอยู่ที่ห้องอัยการคิมซังชอล
บางส่วนกำลังตามหา...”
“เวรเอ๊ย
พอเป็นอัยการเหมือนกันเลยตามตำแหน่งมือถือ ค้นรถไม่ได้สินะตาแก่นั่นโคตรสุดยอดจริง
ๆ ว่าไหม”
“ครับ?”
“ไม่สิ...มันรู้จักไอ้เวรคิมซังชอลอะไรนั่นได้ยังไงถึงฝากฝังเรื่องนั้นไว้
แถมยังหาอัยการที่มีปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ กับเราเจออย่างน่าเหลือเชื่ออีก”
“...”
ซงจียงตอบคำถามนี้ไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
ทำได้เพียงกลืนนํ้าลายลงคอ
เพราะตระหนักว่าหากพูดอะไรผิดเพียงคำเดียวก็อาจจะโดนซัดจนน่วมเหมือนก่อนหน้านี้
ประธานใหญ่ชามยองจินไม่สนว่าอีกฝ่ายจะตอบหรือไม่
หลังจากครุ่นคิดอย่างรอบคอบก็เอ่ยปากพูด
“หรือว่ามีคนคอยช่วยตาแก่นั่น”
“ครับ?”
“มันแปลก ๆ นิดหน่อย ไม่มีทางที่ไอ้เวรนั่นจะไม่อ่านเนื้อหาในสมุดบัญชีถ้าอย่างนั้นก็น่าจะรู้ว่ามันเป็นของที่ไม่ควรแตะต้อง
แต่กลับเก็บไว้แล้วหนีเนี่ยนะถึงจะถ่วงเวลา...แต่มันเชื่อใจใคร
ตาแก่ที่มีแต่เงินนั่นเหรอ”
“เงินสดที่โจชียอนมี แม้แต่บริษัทใหญ่ ๆ
ก็ยังต้องยอมครับ อาจจะให้สัญญาถึงความรํ่ารวยมหาศาลหลังจบคดีนี้ก็ได้”
ชามยองจินแค่นหัวเราะ
“ไอ้ลูกหมา นายยังห่างชั้นนัก
พวกอัยการมันชอบเงินอยู่แล้ว แต่แสดงออกอย่างเปิดเผยไม่ได้
มันไม่เอาตำแหน่งไปเดิมพันกับเงินหรอก ถ้าเป็นนายจะแลกเงินกับอำนาจหรือไง”
“ผม...”
“คงยอมแลกละสิ เพราะฉะนั้นนายถึงอยู่ใต้ฉันไง
หลักการชีวิตที่ไม่ได้อยู่ในตำราเรียนข้อแรกคือ อำนาจมาก่อนเงิน
พวกมันรู้ดีกว่าใคร ๆ เพราะเป็นคนฉลาด อืม
ถ้าโยนให้ทีละหมื่นล้านแสนล้านอาจจะกระโดดงับเหมือนหมาแต่โจชียอนมันจะโยนเงินร้อยล้านให้อัยการคนนั้นเหรอ”
“ถ้าเขามีเงินก็อาจเป็นไปได้ไม่ใช่เหรอครับ”
“ถ้าเป็นนายจะโยนเงินร้อยล้านให้อัยการธรรมดา
ๆ ที่ไม่ใช่หัวหน้าอัยการหรือไง ไอ้โง่เอ๊ย”
“ขอโทษครับ”
ประธานใหญ่ชามยองจินเดาะปาก แต่จู่ ๆ
ประตูก็เปิดออกกะทันหัน
ชาฮยองซอกโผล่เข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกพร้อมตะโกนเสียงดัง
“พ่อ! เปิดทีวีสิครับ!”
“หือ? ทำไมล่ะ”
ฮยองซอกหารีโมตเปิดทีวีแล้วกดไปที่ช่อง KSC
แทนคำตอบ
และ...
[...ใช่ครับ
ได้ยินมาว่าสมุดบัญชีที่บันทึกประวัติการเข้าหานักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐมาเป็นเวลานานของเซยองกรุ๊ป
ด้วยการเสนอสิ่งของราคาสูงที่ไม่ใช่เงินสด อย่างเช่นพวกรถยนต์ ของแบรนด์เนม
หรือภาพวาด ได้ถูกส่งไปที่อัยการแล้วครับ]
[ถ้าอย่างนั้นการสืบสวนก็คงจะเริ่มต้นขึ้นแล้วสินะคะ]
[ปัญหาอยู่ที่ตรงนี้ครับ
สุดท้ายหลังจากรับสมุดบัญชีไปแล้ว
อัยการมีความตั้งใจจะสืบสวนเรื่องนี้อย่างถูกต้องหรือไม่
แต่น่าประหลาดใจที่ได้ยินข่าวมาว่าทางอัยการพยายามยับยั้งการสืบสวนของอัยการที่ได้รับสมุดบัญชีคนแรกครับ]
[งั้นก็เป็นปัญหาไม่ใช่เหรอคะ]
[คงต้องรอข่าวยืนยันออกมาก่อนถึงจะทราบครับ
แต่ความจริงที่ว่าอัยการมีความตั้งใจจะสืบสวนหรือไม่นั้น
ขึ้นอยู่กับว่าจะจัดตั้งทีมสืบสวนอย่างไรครับ]
“เวรเอ๊ย...”
ประธานใหญ่ชามยองจินทิ้งตัวลงบนโซฟา
บทที่ 216 กับดัก (1)
ชาฮยองซอก นั่งลงข้าง ๆ พ่อแล้วดูข่าวจนจบ
หลังจากข่าวจบลงด้วยบทสนทนาไร้สาระไม่กี่ประโยค
ฮยองซอกก็ปิดทีวีก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“พ่อ เกิดอะไรขึ้นครับ
พนักงานของพวกเราทรยศเหรอ”
ประธานใหญ่ชามยองจินตอบโดยที่ยังไม่หายโกรธ
“ฝีมือตาแก”
ฮยองซอกอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก
นิ้วมือสั่นระริก
สีหน้าซีดเผือดกับแววตาที่ฉายชัดถึงความหวาดกลัวบ่งบอกความรู้สึกของเจ้าตัวในตอนนี้
“พ่อ...”
“แกไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
“พ่อ
ตาคิดจะแก้แค้น...แก้แค้นให้แม่ใช่ไหมครับ”
“หึ! คิดว่ามันมีปัญญาแก้แค้นหรือไง
กล้าดียังไง...”
“ในข่าวเมื่อกี้ไงครับ
อัยการที่รับสมุดบัญชีหายตัวไปแล้ว ช่องสาธารณะกระจายข่าว ทีนี้สื่อเล็ก ๆ
ก็ต้องเริ่มเกาะกระแสตาม พอร์ทัลก็คงไม่แคร์ท่าทีของเราหรอกครับ
ถ้างั้น...ทางบลูเฮาส์ก็คงจะกดดันอัยการ...”
“แกออกไปก่อน”
“พ่อ...”
“เร็วสิ!”
ชาฮยองซอกกัดริมฝีปากก่อนจะลุกเดินออกจากห้องหนังสือ
ประธานใหญ่ชามยองจินหลับตาจมอยู่กับความคิด
แต่ไม่นานก็ลืมตาขึ้นแล้วโทรศัพท์ไปที่ไหนสักแห่ง
ทว่าก่อนประธานใหญ่ชามยองจินจะได้อ้าปากพูด
อัยการสูงสุดก็ชิงพูดก่อน
“เห็นข่าวแล้วใช่ไหมครับ ผมขอโทษด้วยนะครับ”
“พูดตามตรง ตอนนี้ผมงงมากครับ
ท่านจัดการยังไงกันแน่ ถึงควบคุมอัยการธรรมดา ๆ คนหนึ่งไม่ได้
จนข่าวมันออกไปถึงช่องข่าวสาธารณะครับ”
“อืม...เป็นความผิดพลาดของผมเองครับ”
“ต่อให้สืบสวนก็ควรเป็นระดับหัวหน้าฝ่ายสอบสวนกลาง
คงไม่ได้คิดจะปล่อยให้อัยการชั้นผู้น้อยคนหนึ่งกระโดดขึ้นมาทำหรอกใช่ไหมครับ”
“แน่นอนว่าต้องเป็นแบบนั้นครับ”
“ผมเชื่อใจท่านอัยการสูงสุดนะครับ”
ประธานใหญ่ชามยองจินวางสายก่อนจะหันไปหาซงจียง
“นายไปตามหาไอ้เวรคิมซังชอลนั่นซะ
ไม่ว่าจะส่งคนตามหาหรือจะค้นบ้านมันก็ทำอย่างลับ ๆ อย่าทำตัวสะเพร่าเอาพวกตัวใหญ่
ๆ ไปบ้านอัยการเหมือนพวกไร้สมองล่ะ”
“ผมจะจำให้ขึ้นใจครับ”
“ออกไปได้แล้ว”
ประธานใหญ่ชามยองจินหลับตาลงอย่างเหนื่อยใจ
เขาสัมผัสได้โดยสัญชาตญาณว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ช่วงเวลาที่ประธานใหญ่ชามยองจินตกตะลึงกับข่าว สส.โดซูยอนก็กำลังดูข่าวอยู่เช่นกัน
เพราะความกังวลและความโกรธที่สุมอยู่ในอก
เธอจึงเผลอกำหมัดแน่นจนได้แผลที่ฝ่ามือ แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาใส่ใจกับอะไรพวกนั้น
เธอรับรู้ได้ทันทีว่าสมุดบัญชีที่พูดถึงในข่าวมาจากโจชียอน
คิดอยู่ว่าควรจะติดต่อหาอัยการสูงสุดดีหรือไม่
แต่ไม่นานก็ตระหนักได้ว่าแค่นั้นคงไม่พอจะยับยั้งสถานการณ์ไว้ได้
เพราะรู้ว่าประธานใหญ่ชาของเซยองกรุ๊ปไม่มีทางอยู่เฉยและคงจะโทร.ไปหลายครั้งแล้วด้วยซํ้า
ต่อให้ตัวเองเข้าไปเสริมก็ไม่ได้มีความหมายอะไร
ถึงอย่างนั้นก็คิดว่าจะรออยู่เฉย ๆ
แบบนี้ต่อไปไม่ได้ แต่พอหยิบโทรศัพท์เพื่อโทร.หาใครบางคน
ผู้ช่วยก็เคาะประตูแล้วเปิดเข้ามา
“ท่าน สส.ครับ”
“ทำไม”
“ผู้ช่วย สส.บงซองซู
พรรควัฒนธรรมก้าวหน้าโทร.มาถามว่าถ้าช่วงเย็นมีเวลาว่าง อยากนัดทานข้าวด้วยครับ”
“บอกว่าไม่ว่าง”
สส.โดซูยอนตอบทันทีโดยไม่เว้นจังหวะหายใจก่อนจะทำมือสั่งให้รีบออกไป
แต่ผู้ช่วยกลับลังเลและพูดซํ้าอีกครั้ง
“แจ้งว่าอยากคุยเรื่องสายพานอุตสาหกรรมชีวภาพครับ”
“สายพานอุตสาหกรรมชีวภาพเหรอ”
ผู้ช่วยสะดุ้งเมื่อเห็นคิ้วของเธอขมวด
“ผมปฏิเสธว่าไม่ว่างแล้วกันนะครับ”
“ไม่ต้อง จะให้ไปเจอกันที่ไหน”
“นัดเจอที่เฮโรด ย่านชินซาครับ”
บาร์ชื่อเฮโรดที่ตั้งอยู่ในย่านชินซา
เป็นร้านเหล้าที่เก็บรักษาความลับของลูกค้าอย่างเคร่งครัด เช่น
นักการเมืองระดับสูง มหาเศรษฐี ดารา
ที่นี่ต้องสมัครสมาชิกเท่านั้นถึงจะเข้าได้
และหากทรัพย์สินหรือชื่อเสียงไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด
ต่อให้อยากสมัครแค่ไหนก็สมัครไม่ได้
“โอเค”
โดซูยอนสงบความร้อนใจลง
สถานการณ์ยังไม่ร้ายแรงถึงขั้นมีการจัดตั้งทีมสืบสวน อัยการสูงสุดไม่ใช่คนโง่
เชื่อว่าคงไม่ปล่อยเรื่องนั้นไว้เฉย ๆ แน่นอน
เธอจึงเดินทางไปย่านชินซาทันที
หัวข้อที่ สส.บงซองซูโยนไว้ทำให้ก้นของเธอไม่อยู่ติดเก้าอี้
มีไม่กี่คนที่รู้ว่าโมเต็ลเล็ก ๆ
ห้าชั้นที่ตั้งอยู่ในแหล่งรวมร้านเหล้าตรงข้ามกับสวนสาธารณะโดซานย่านชินซานั้น
คือร้านเหล้าที่ดีที่สุดในประเทศเกาหลี
สส.โดซูยอนเดินเข้าไปในห้องขนาดเล็กตามคำแนะนำของพนักงาน
“ยินดีที่ได้พบครับ เชิญนั่งก่อน”
สส.บงซองซูนั่งอยู่ก่อนแล้ว
พร้อมกับเชื้อเชิญให้เธอนั่ง
สส.บงซองซูเป็นหนุ่มโสดอายุยังไม่ถึงสี่สิบจากชนชั้นแรงงาน
แม้จะเพิ่งชนะการเลือกตั้งเป็นครั้งแรก แต่ก็เป็นคนพิเศษที่ถูกพูดถึงมากในยออึยโด
ถึงจะเปิดตัวอย่างงดงามด้วยชัยชนะในเขตเลือกตั้ง
ภายใต้พรรควัฒนธรรมก้าวหน้าที่มีสัดส่วนเก้าอี้น้อยกว่าสิบที่นั่ง
แต่เขาก็กลายเป็นข่าวมาแล้วหลายครั้งเนื่องจากประเด็นความขัดแย้งภายในพรรค
ทันทีที่
สส.โดซูยอนนั่งลงด้วยสีหน้าอึดอัดใจ สส.บงก็ยิ้มแล้วพูด
“ฮ่า ๆ ผมนัด
สส.โดซูยอนมาคุยเรื่องร้ายแรงหรือเปล่าครับเนี่ย ผมเป็นแฟนคลับท่าน สส.นะครับ”
“แฟนคลับอะไรกัน อย่าพูดให้เขินเลยค่ะ”
“จริง ๆ นะครับ
นักการเมืองหญิงที่เข้มแข็งและมั่นใจเหมือนท่าน สส.เนี่ยผมชอบผู้หญิงเข้มแข็งครับ”
สส.โดซูยอนทำหน้าเครียดยิ่งกว่าเดิม
เพราะรู้สึกว่าคำพูดสุดท้ายเหมือนเป็นการคุกคามทางเพศ ถ้าเป็นคนอื่นพูดคำนั้นคงจะไม่ได้รู้สึกแบบนี้
แต่พอบวกกับสีหน้าเลี่ยน ๆ ของ สส.บงซองซูแล้วก็อดรู้สึกแบบนั้นไม่ได้
ไม่รู้ว่าอ่านสีหน้าอึดอัดของเธอออกหรือเปล่า
สส.บงถึงพูดต่ออย่างเคอะเขิน
“ผมพูดจากใจจริง ถ้ามันทำให้รู้สึกแปลก ๆ
ก็ขอโทษด้วยนะครับ พูดอะไรต่ออีกน่าจะเสียบรรยากาศ เรามาเข้าเรื่องเลยแล้วกันครับ
ก่อนอื่นสักแก้ว...”
เมื่อ สส.บงรินเหล้าให้
เธอจึงต้องยื่นแก้วออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
พอดื่มหนึ่งแก้วจนความร้อนของเหล้าขึ้นมาถึงคอ
สส.บงก็เริ่มพูด
“สายพานอุตสาหกรรมชีวภาพ...ผมได้ยินมาครับว่าท่าน
สส.อยากย้ายไปที่ชุนชอน”
“ฉันไม่เข้าใจว่าท่าน สส.พูดถึงอะไรค่ะ”
ทันทีที่ สส.โดซูยอนแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
เขาก็พูดด้วยสีหน้าเหมือนบอกว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง
“จากบรรดา สส.ของประเทศเกาหลี
คนที่สนิทกับข้าราชการระดับสูงของกระทรวงที่ดินฯมากที่สุดน่าจะเป็นผมนะครับ ถึงจะบอกเหตุผลไม่ได้
แต่เอาเป็นว่ามันเป็นอย่างนั้นครับ”
สส.โดซูยอนรำคาญท่าทางยักไหล่อย่างอวดดีของ
สส.บง แต่เธอทำเพียงแค่จ้องตาเขาโดยปกปิดความรู้สึกเอาไว้
สายตาคาดคั้นทำเอา
สส.บงซองซูรู้สึกเก้อเขินจนต้องพูดต่อ
“อันที่จริงผมไม่ได้สงสัยว่าทำไมถึงอยากย้ายสายพานอุตสาหกรรมชีวภาพไปที่ชุนชอนขนาดนั้น
เพราะคิดว่าคงจะมีเหตุผล
แต่ก็ไม่ได้อยากสืบเรื่องนั้นจนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราต้องอึดอัดครับ”
“แล้วยังไงต่อคะ”
“ดังนั้นผมเลยเฝ้าดูสถานการณ์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น...แต่ท่าทีของกระทรวงที่ดินฯเปลี่ยนไปแล้วครับ”
“ยังไงคะ”
ความตึงเครียดปรากฏในแววตาของเธอ
สส.บงซองซูคิดในใจว่าสร้างความหวั่นไหวได้สำเร็จ
ก่อนจะตอบกลับ
“สถานการณ์เปลี่ยนกลับมาที่ฮานัมอีกครั้งครับ”
“มั่นใจเหรอคะ”
ไม่มีทางที่
สส.โดจะไม่รู้ว่าการถามแบบนั้นหมายความว่าตัวเองกำลังหลงกลสส.บง
ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทางเลือกนอกจากถามออกไป
เพราะสถานการณ์ของเธอนั้นเร่งด่วน
เธอเพิกเฉยต่อคำพูดของเทพธิดาฮวาอกไม่ได้
บาดแผลฝังลึกในจิตใจต่อการสูญเสียครอบครัวทำให้เธอไม่ยอมสูญเสียมันอีกครั้ง
และต้องย้ายสายพานอุตสาหกรรมชีวภาพไปชุนชอนให้ได้
แม้จะรู้ว่ามันไม่สมเหตุสมผลก็ตาม
“ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ
ข้อมูลยืนยันแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์”
สส.โดซูยอนกระดกเหล้าที่เหลือครึ่งแก้วรวดเดียวโดยไม่พูดอะไร
สส.บงรินเหล้าใส่แก้วของเธอเงียบ ๆ
ก่อนจะพูด
“แต่ไม่มีอะไรต้องกังวลครับ
เพราะอย่างที่บอก ไม่มี สส.คนไหนใกล้ชิดกับกระทรวงที่ดินฯเท่าผมแล้ว”
“ถ้างั้นต้องการอะไรคะ”
“ผมอยากย้ายพรรคครับ”
สส.โดซูยอนหัวเราะออกมาอย่างพูดไม่ออก
นักการเมืองที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกคิดจะย้ายพรรคแล้ว...
แต่ลองคิดดูอีกทีก็คิดว่าสมควรทำแบบนั้น
พอมองย้อนกลับไป
ตอนแรกเขาพยายามเริ่มต้นเส้นทางการเมืองด้วยพรรคสันติภาพเป็นหนึ่ง แต่ตกรอบจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน
สุดท้ายก็เข้าร่วมพรรควัฒนธรรมก้าวหน้าเพราะช่วยผลักดันให้ลงเลือกตั้งในเขตที่ต้องการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ตอนนี้พรรคสันติภาพเป็นหนึ่งมีสิทธิ์ชนะในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
ดังนั้นจึงเป็นสถานการณ์ที่เหมาะสมในการใช้โอกาสนี้พิจารณาย้ายพรรค
สุดท้าย
ของขวัญสำหรับเข้าพรรคคือการมอบสายพานอุตสาหกรรมชีวภาพให้ชุนชอน...
“ก็ดีนะคะ”
เธอไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธ
“ฮ่า ๆ ๆ นึกแล้วว่าต้องเป็นอย่างนั้น”
“ว่าแต่ทราบไหมคะว่าทำไมกระทรวงที่ดินฯถึงเปลี่ยนใจ”
“ดูเหมือนพรรครัฐบาลจะยื่นมือเข้ามาครับ”
เธอทำตาเป็นประกาย
“พรรครัฐบาลเหรอคะ”
“ครับ ดูเหมือนจะมี
สส.ที่ให้เหตุผลว่าทำไมถึงต้องเป็นฮานัม แต่ไม่มีอะไรต้องกังวลครับ
ยังไงก็มีผมอยู่ ฮ่า ๆ ๆ!”
โดซูยอนไม่ชอบรอยยิ้มโอ้อวดของเขา
แต่ตัดสินใจยอมอดทนเพราะของขวัญที่อีกฝ่ายมอบให้น่าสนใจมาก
“ถ้างั้นช่วยสืบเรื่องนั้นให้ด้วยสิคะ ว่าใครพยายามเข้ามายุ่งกระทรวงที่ดินฯ”
“นั่นคือข้อตกลงหรือคำขอร้องเหรอครับ”
“เขตอึนพยอง กรุงโซล ดีไหมคะ”
“หมายถึงอะไรครับ”
“เขตเลือกตั้งที่จะลงสมัครในการเลือกตั้งครั้งต่อไปไงคะ”
สส.บงซองซูยิ้มกว้าง
“ผมจะรับผิดชอบอย่างเต็มที่ตั้งแต่ต้นยันจบเลยครับ”
“ฉันเชื่อท่าน สส.นะคะ”
เธอพูดอย่างนั้นแล้วลุกออกไปทันที
เขาหัวเราะพร้อมกับมองเธอเดินออกไป
ก่อนจะดื่มเหล้าต่อเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ผ่านไปประมาณสิบนาที
ประตูก็เปิดออกพร้อมผู้มาเยือนคนใหม่
น่าประหลาดใจเมื่อคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้าม สส.บงแล้วรินเหล้าใส่แก้วตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติคือ
สส.ชอนโบยุน
จากนั้นก็มีอีกคนเข้ามาเพิ่ม
นั่นก็คือกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุน
“รอจนท้อแล้วนะเนี่ย”
“ยิ่งรอนาน
ผลที่ได้รับก็ยิ่งหอมหวานไม่ใช่เหรอครับ”
“แล้วเป็นไงล่ะ หวานไหม”
สส.บงซองซูเอาแก้วเหล้าแตะปากแล้วยิ้มผ่านดวงตา
“หวานอยู่นะครับ”
สส.ชอนโบยุนจึงพูดด้วยสายตาสงบเยือกเย็น
“โดซูยอนไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ต่อกรได้ง่าย
ๆ”
“ผมรู้ครับ
แต่ดูเหมือนเธอจะค่อนข้างร้อนใจ นึกว่าจะไม่หลงกล...พูดตรง ๆ
ผมคิดว่าจะโดนจี้ว่ารู้สถานการณ์ทั้งหมดของกระทรวงที่ดินฯได้ยังไงซะอีก
แต่นึกไม่ถึงว่าจะปล่อยผ่านไปเฉย ๆ ครับ
ถ้าขอก็ไม่ใช่ว่าจะบอกไม่ได้...ดูเหมือนเธอไม่ได้มีเวลามากพอครับ”
สส.ชอนทำเพียงแค่พยักหน้ารับ
แต่ในใจก็แอบตกตะลึง
เพราะไม่นึกว่า
สส.โดซูยอนจะปล่อยผ่านง่ายขนาดนั้นเช่นกัน
ก่อนหน้านี้เธอเป็นคนรอบคอบมากจนไม่เคยพูดผิดสักครั้งด้วยซํ้า
แต่เรื่องครั้งนี้กลับจัดการอย่างไม่สมกับเป็นตัวเอง
“โดซูยอนบอกว่าจะทำอะไรให้นะ”
“ช่วยเปลี่ยนเขตเลือกตั้งของผมเป็นเขตอึนพยองครับ”
“เขตอึนพยอง...ก็ดีหนิ”
“ในฐานะมนุษย์ ผมก็ดีใจนะครับ
แต่ไม่ใช่ถึงกับต้องโห่ร้อง ผมเองก็เป็น
สส.ที่ชนะการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตมาเหมือนกัน ไม่ได้ขึ้นมาฟรี ๆ
ด้วยการเลือกตั้งแบบสัดส่วนสักหน่อย”
“ก็รู้นี่นาว่าโชคดีชนะการเลือกตั้งเพราะได้ประโยชน์จากความขัดแย้งของคนอื่น”
“อืม เรื่องนั้นยอมรับครับ
เพราะได้ประโยชน์จากความขัดแย้งของคนอื่นจริง ๆ ยังไงก็ตาม
ถ้าถือธงพรรคสันติภาพเป็นหนึ่งไปที่เขตอึนพยอง โอกาสชนะการเลือกตั้งก็คงจะเพิ่มขึ้น...อยากให้ผมทำอย่างนั้นไหมครับ”
“พูดตามตรงก็ใช่ นายลำบากมามากนี่นา
ตอนนี้ก็ควรได้ใช้ชีวิตสบาย ๆ สิ”
ไม่ว่าอย่างไรก็ดูเหมือนว่านักการเมืองทั้งสองคนนี้มีความสัมพันธ์บางอย่างกันมาก่อน
“ถ้างั้นจะเอายังไงกับสายพานอุตสาหกรรมชีวภาพครับ
คิดจะส่งต่อไปให้ชุนชอนจริง ๆ เหรอ”
“ทำแบบนั้นได้ไหม”
สส.ชอนโบยุนพูดแบบนั้นพร้อมกับจ้องยองฮุน
ชายหนุ่มคนนั้นที่ได้พบกันก่อน
สส.โดซูยอนจะมา จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พูดอะไรเลยนอกจากตอนทักทาย จน
สส.บงซองซูแอบสงสัยอยู่ในใจ
ยองฮุนจัดท่าทางให้ดีแล้วอ้าปากพูด
“ยังไงเรื่องคราวนี้ก็น่าจะทำให้
สส.โดซูยอนลงสมัครเลือกตั้งครั้งต่อไปได้ยากครับ”
“เห็นด้วย แล้วยังไงต่อ”
“อยากจะออกมาแล้วจะได้ชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไปเหรอครับ”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ...”
“คิดว่าถ้าไม่ย้ายพรรคก็อาจจะไม่ชนะการเลือกตั้งใช่ไหมครับ”
สส.บงไม่สามารถตอบได้ในทันที
ถึงจะมีเจตนารมณ์ในการเข้าสู่การเมืองแค่ไหน
แต่เขาหัวดีเกินกว่าจะเดินเพียงเส้นทางเดียวและเอาแต่นึกถึงสิ่งที่ตัวเองยึดมั่น
แม้กระทั่งตอนนี้
การตัดสินใจว่าถ้าไม่ย้ายพรรคจะไม่มีทางอยู่รอดก็กำลังครอบงำหัวเขาอยู่
“พูดตามตรงก็ใช่”
“ถ้าเกิดชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไปโดยที่ไม่ต้องย้ายพรรคล่ะครับ”
แววตาของ สส.บงซองซูสั่นไหว
“นายคิดว่ามันเป็นไปได้งั้นเหรอ”
“พวกนักธุรกิจทำเรื่องยากให้เป็นไปได้ครับ
แล้วผมก็ได้ยินบ่อย ๆ ว่าตัวเองเป็นนักธุรกิจที่ค่อนข้างมีความสามารถ”
“เฮอะ ๆ...โอเค ฉันได้ยินข่าวลือเรื่องนั้นมาเยอะแล้ว
ถ้างั้นจะให้ทำยังไงดูเหมือนนายจะมีที่ดินในฮานัมนิดหน่อย
ให้ย้ายกลับไปที่ฮานัมอีกทีไหม”
“ถึงจะมีที่ดิน
แต่ความจริงผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ว่าสายพานอุตสาหกรรมชีวภาพจะไปอยู่ที่ไหน
เพราะไม่ได้สนใจการหาเงินจากการขึ้นราคาที่ดินครับ”
“ถ้าอย่างนั้น”
“ช่วยจับโดซูยอนไว้ก็พอครับ”
บทที่ 217 กับดัก (2)
สส.บงซองซู ออกไปแล้วจึงเหลือเพียงยองฮุนกับ สส.ชอนโบยุนอยู่ในห้อง
ทั้งสองคนสั่งเหล้าใหม่
หลังจากดื่มไปสองสามแก้วก็คุยกันต่อ
“สนิทกับ สส.บงซองซูมากอยู่แล้วเหรอครับ”
“ฉันเคยช่วยเหลือเขานิดหน่อยเมื่อนานมาแล้ว
ตอนคนงานที่โดนเลิกจ้างเดินขบวนประท้วง พูดตรง ๆ ฉันทำเพื่อชนะการเลือกตั้งมากกว่า
ไม่ได้มีใจเป็นธรรมอะไรหรอก แต่ในเวลานั้นก็ถือว่าเป็นประโยชน์กับเขามาก
เพราะฉะนั้นหลังจากเขาเป็น สส.แล้วเลยได้เจอกันบ้าง”
“อย่างนี้นี่เอง”
“รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงที่ดินฯเป็นเพื่อนซี้กับ
สส.บง ท่าทางตอนเด็ก ๆ
จะยึดถือความยุติธรรมเป็นพิเศษจนช่วยเหลือเพื่อนที่ลำบากไว้หลายคนตอนนั้นเลยได้รับความช่วยเหลือเยอะมาก”
“ดังนั้นถึงใช้อำนาจได้สินะครับ”
ยองฮุนพยักหน้า แต่ทันทีที่เห็นโหงวเฮ้งของ
สส.บงก็รู้ว่าจะมีคนจำนวนมากเข้ามาคอยช่วยเหลือ
สส.บงซองซูคิ้วยาวและเข้ม โหนกแก้มดี
จึงเป็นโหงวเฮ้งที่มีผู้คนรายล้อมรอบตัว
“แต่การทำให้โดซูยอนตกที่นั่งลำบาก
มันจะโอเคเหรอ ยังอยู่ในตำแหน่งอยู่เลยนะ ถึงจะทำให้
สส.ที่ยังดำรงตำแหน่งตกที่นั่งลำบาก แต่มันก็ได้ผลเฉพาะตอนข่าวออกเท่านั้น สุดท้ายพอเวลาผ่านไปก็จางหายไปเอง
ครั้งนี้ก็เหมือนกันไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน
มีเพียงชื่อของโดซูยอนเท่านั้นที่ถูกกล่าวถึงมากขึ้น
ในทางกลับกันอาจกลายเป็นว่าทำให้เธอได้เปรียบในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็ได้”
“ใช่ครับ มันก็อาจจะเป็นไปได้”
ท่าทีเห็นด้วยแต่กลับไม่กังวลเลยสักนิดทำเอา
สส.ชอนโบยุนต้องเอ่ยถาม
“นายมีอะไรอยู่ในกระเป๋าหรือเปล่า
อย่ารู้อยู่คนเดียวสิ บอกกันหน่อย”
ยองฮุนจัดการความคิดสักพักก่อนจะเปิดปาก
“เห็นข่าวแล้วใช่ไหมครับ”
“ข่าวอะไร”
“ข่าวเรื่องสมุดบัญชีบันทึกประวัติกลุ่มธุรกิจที่ให้การสนับสนุนนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐมานานถูกส่งไปให้อัยการไงครับ”
“ต้องเห็นอยู่แล้วสิ
วุ่นกันไปหมดเพราะเรื่องนั้น”
ไม่มีทางไม่รู้
เพราะกลัวว่าจะมีชื่อของ
สส.พรรคเดียวกันอยู่ในสมุดบัญชี เหล่า สส.คนดังของพรรครัฐบาลที่สนิทกับอัยการจึงพยายามโทรศัพท์ติดต่อกันตลอดเวลา
ส่วน
สส.ชอนโบยุนกำลังให้ความสนใจว่าอัยการจะจัดตั้งทีมและดำเนินการสืบสวนไปในทิศทางไหนมากกว่า
“สส.โดซูยอนคงจะลงสมัครเลือกตั้งครั้งหน้าไม่ได้ครับ”
สส.โดซูยอนมีดวงที่ต้องระวังเรื่องติฉินนินทาตั้งแต่ปีที่แล้ว
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ดวงหายนะจากหน่วยงานราชการจนต้องติดคุก
แต่ก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
เพราะมีดวงจะได้รับความอับอายอย่างมากจากความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ
เนื่องจากเธอเคลื่อนไหวมากเกินไปในช่วงเวลาที่ควรระวัง
“ทำไมล่ะ
หรือว่าในสมุดบัญชีนั่นมีชื่อโดซูยอนเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น
แต่ก็น่าจะเดือดร้อนพอสมควรครับ”
“เล่ารายละเอียดให้ฟังไม่ได้ใช่ไหม”
“มากกว่านี้จะลำบากเอาครับ
รู้ไว้เท่านี้ก็พอ”
สส.ชอนโบยุนพยักหน้าพลางกระดกเหล้าเข้าปาก
แม้จะไม่ได้เล่าสถานการณ์อย่างละเอียด แต่สรุปก็คือเรื่องนี้อาจจะทำให้โดซูยอนโดนคัดออก
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ถือเป็นโอกาสที่ดีมากในมุมมองของพรรครัฐบาล
อย่างไรก็ตาม
ตอนนี้การโจมตีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยลดลงเป็นอย่างมาก
และความคิดเห็นของประชาชนก็ย้ายไปที่สมุดบัญชีแทนเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น บรรยากาศภายในพรรคจึงค่อย
ๆ ดีขึ้น
ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้
ถ้าแม้แต่โดซูยอนยังพลาดล้มไปด้วย
ทิศทางของการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งหน้าก็จะยิ่งชัดเจนมากขึ้น
“ขอบใจนะ ถ้าไม่มีนาย
ฉันคงทำอะไรไม่ได้แน่นอน แต่ไหน ๆ
ก็จะทำแล้วเอาสายพานอุตสาหกรรมชีวภาพกลับไปไว้ที่ฮานัมดีไหม”
ยองฮุนส่ายหน้า
“เรื่องที่พูดก่อนหน้านี้
ผมไม่ได้แค่พูดไปอย่างนั้นนะครับ ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นมันก็ดี
แต่ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ครับ”
“ถ้างั้นสำหรับนายตอนนี้
อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุด”
“การขยายการเติบโตของแบรนด์สินค้าแบรนด์เนมที่พวกเรากำลังดูแลอยู่การเพิ่มออร์เดอร์ของเอชเอสคอนสตรัคชั่น
หรือไม่ก็ออร์เดอร์เรือขนส่ง LNGจากกาตาร์ด้วยครับ”
“โกลบอลมาก”
“อยู่แต่ในประเทศมันพัฒนาช้านี่ครับ”
“ความตั้งใจดี แต่สุดท้ายแล้ว
สส.บงซองซูจะยอมรับข้อตกลงของเราหรือเปล่า”
“น่าจะรับครับ”
“มีเหตุผลที่มั่นใจไหม ขนาดฉันเห็นเขามานานยังไม่มั่นใจเลย”
ยองฮุนเอียงศีรษะ
“ไม่ใช่ว่าเชื่อใจไปแล้วเหรอครับ”
“ฉันไม่ไว้ใจเขา ไม่เคยไว้ใจตั้งแต่แรก
เพราะรู้ว่าการออกมาเป็นตัวแทนเรียกร้องผลประโยชน์ของแรงงาน
พื้นฐานมันมาจากความโลภที่ตัวเขาอยากลงเล่นการเมือง ฉันคิดว่าเขาเป็นคนเปลี่ยนใจได้ทุกเมื่อเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเพราะฉะนั้นฉันไม่ไว้ใจเขา”
“ถูกต้องครับ มองเก่งเหมือนกันนะครับเนี่ย
ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันเพียงแต่...”
“เพียงแต่อะไร”
“เขาเป็นคนเปลี่ยนแปลงจุดยืนของตัวเองเสมอถ้ามีเหตุผลมารองรับครับเพราะเขาคิดว่าชื่อเสียงของตัวเองสำคัญมาก
การได้ใช้ชีวิตทางการเมืองและยึดมั่นในอุดมการณ์
โดยที่ไม่ถูกเรียกว่านักการเมืองนกสองหัวน่าจะดึงดูดใจเขาได้มากพอสมควรครับ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ ยังไงก็ขอบคุณมาก
เพราะมีนายอยู่ด้วย เรื่องมันถึงง่ายขึ้นเยอะ”
“ถ้าจัดการโดซูยอนเรียบร้อยแล้ว
ทีนี้ก็เหลือแค่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสินะครับ”
“ถูกต้อง”
“มีนโยบายที่เตรียมไว้หรือยังครับ”
แม้จะช่วยเพราะคิดว่า
สส.ชอนโบยุนสามารถเป็นประธานาธิบดีได้ แต่ไม่ว่าศักยภาพในดวงชะตาจะยิ่งใหญ่แค่ไหน
ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปตามนั้นทั้งหมด
มีศักยภาพพอจะเป็นประธานาธิบดีก็จริง
แต่ก็มีบางกรณีที่อาจจะคบคนผิดบางกรณีก็อาจจะโชคร้ายเกิดปัญหาสุขภาพก็ได้
แน่นอนว่าเขามีความสามารถเหนือกว่าหมอดูทั่วไปจนมองเห็นดวงชะตาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับประธานาธิบดีแล้ว นํ้าหนักมันก็คนละอย่างกัน
“ตอนเจอนายครั้งแรก ฉันก็คิดว่าจะเป็นยังไงนะถ้าทำโปรเจกต์ใหญ่สักชิ้นเหมือนนายกเทศมนตรีกุนซาน
แต่ฉันเปลี่ยนความคิดแล้ว ระหว่างเตรียมหย่าหลังจากเห็นภรรยาสร้างเรื่อง
ตอนนี้ฉันคิดว่าการแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้นรอบตัวน่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
มากกว่าการทำโปรเจกต์ยิ่งใหญ่ใด ๆ ก็ตาม”
“เป็นความคิดที่ดีครับ”
ความแตกต่างของคนที่กำลังจะเป็นประธานาธิบดีกับคนที่ไม่ใช่มันใหญ่มากงั้นเหรอ
ยองฮุนไม่ได้คิดอย่างนั้น
คนที่ใช่ต่อให้ล้มไปข้างหน้าก็ได้เงิน
ส่วนคนที่ไม่ใช่ต่อให้ล้มไปข้างหลังก็ยังจมูกแตก ยองฮุนไม่ได้กังวลมากนัก
เพราะถึงแม้จะไม่ได้พยายามทำอะไรอีกฝ่ายก็ไหลไปได้โดยธรรมชาติอยู่ดี
เพียงแค่จัดการเรื่องโดซูยอนให้เรียบร้อย
เรื่องที่เกินความสามารถเล็กน้อยเหล่านั้นก็จะถูกจัดการไปเอง
อัยการคิมซังชอลที่ซ่อนตัวมาหลายวันปรากฏตัวที่สำนักงานอัยการเขตตะวันออกอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าไปอยู่ดีกินดีที่ไหนมา ตอนที่ปรากฏตัวในชุดสูทสะอาดสะอ้านเหล่าอัยการแผนกคดีพิเศษที่ยึดห้องทำงานจึงอ้าปากค้างแล้วทำได้แค่ตั้งคำถาม
“สมุดบัญชีอยู่ที่ไหนครับ”
“สมุดบัญชีเหรอครับ พูดถึงสมุดบัญชีอะไร”
“อย่าโกหกแล้วรีบ ๆ บอกมาเถอะครับ
สมุดบัญชีที่เป็นหลักฐานอยู่ที่ไหน”
ตอนนั้นนั่นเองอัยการคิมซังชอลถึงพูดเหมือนเพิ่งนึกออก
“อ๋อ...อันนั้นเหรอครับ ไม่รู้สิครับ
เอาไปวางไว้ไหนนะ ตอนนี้คิดไม่ออกเลย ถ้าคิดออกเดี๋ยวบอกนะครับ แป๊บหนึ่ง
ผมต้องเข้าไป ช่วยหลบหน่อยครับ”
“เฮอะ...ให้ตายเถอะ...”
ถึงจะอยู่ตํ่ากว่าหลายขั้น
แต่ก็ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน พวกเขาจึงไม่สามารถทำอะไรโดยพลการได้
เลยต้องหลีกทางให้อย่างไม่มีทางเลือก
ไม่ถึงห้านาทีหลังอัยการคิมซังชอลปรากฏตัว
ก็ถูกเรียกมาพบที่ห้องหัวหน้าอัยการเขตทันที
อัยการคิมซังชอลคิดไว้อยู่แล้วว่าต้องโดนเรียกแน่
ๆ จึงกล่าวกับอัยการแผนกคดีพิเศษที่มองเขาเหมือนตัวประหลาดทีละคน ๆ ว่าทำได้ดีมาก
เชิญกินข้าวในห้องได้ตามสบาย ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องหัวหน้าอัยการเขต
“สวัสดีครับ”
ครั้งนี้ก็มีหัวหน้าอัยการเขตพัคโนฮุนและหัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลอยู่ในห้องหัวหน้าอัยการเขตเช่นเดิม
“นั่งสิ ร่างกายโอเคแล้วใช่ไหม”
“ครับ โอเคแล้วครับ”
หัวหน้าอัยการเขตพัคโนฮุนจ้องอัยการคิมซังชอลที่เข้ามานั่งอย่างมั่นใจด้วยสายตาแปลก
ๆ
ถึงจะไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับอัยการคิมซังชอลเท่าไรนัก
แต่ก็เคยได้ยินคำเล่าลือมาบ้าง ดังนั้นจึงรู้ว่าปกติเป็นคนอย่างไร แต่ท่าทางของเขาในตอนนี้ต่างจากท่าทางในอดีต
ต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เปลี่ยนไป
หัวหน้าอัยการเขตพัคโนฮุนสงสัยว่ามันคือสมุดบัญชี
หรืออย่างอื่นที่ทำให้สมุดบัญชีเคลื่อนไหวกันแน่
“ระหว่างพักได้ดูข่าวหรือเปล่า”
“ครับ ดูแล้ว”
“นายปล่อยเหรอ”
“ไม่ใช่นะครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย”
สายตาของหัวหน้าอัยการเขตพัคโนฮุนจึงเบนไปหาหัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูล
“ถ้างั้นคนที่ไปเจอพวกนักข่าวแล้วทำให้องค์กรเราขายหน้าก็คือนายสินะใช้สมองได้ดีหนิ
แต่จะทำยังไงต่อ อยากให้ฉันช่วยขวางท่านอัยการสูงสุดหรือไง”
“ขอโทษครับ”
หัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลยอมรับอย่างง่ายดายพร้อมกับก้มศีรษะ
“ฉันอยากรู้ความคิดของนายมากกว่าคำขอโทษ
นายไม่ใช่คนโง่สักหน่อยยังไงก็ต้องมีแผนรับมือไม่ใช่เหรอ อย่าบอกนะว่าเดินเกมทั้ง
ๆ ที่ไม่มีแผนอะไรเลยบอกมาว่าใครกัน”
“ครับ?”
“ใครคอยระวังหลังให้กันแน่
พรรครัฐบาลเหรอ”
“ไม่ใช่ครับ เพราะเท่าที่ผมรู้
ในสมุดบัญชีเล่มนั้นมีทั้งพรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านเลย”
“ไม่มีนักการเมืองคอยระวังหลังให้...หรือว่าพออายุปูนนี้แล้วความเป็นธรรมในใจมันเลยพุ่งสูงขึ้นหรือไง
สำนักงานอัยการต้องเคลื่อนไหวเป็นหนึ่งเดียวกันฉันต้องอธิบายไหมว่าเจตนารมณ์ของท่านอัยการสูงสุดก็คือเจตนารมณ์ขององค์กร”
หัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลปรับลมหายใจสักพักแล้วตอบกลับ
“มีนักกฎหมายอยู่ในสมุดบัญชีด้วยครับ”
“ว่าไงนะ”
อัยการคิมซังชอลพูดเสริมให้หัวหน้าอัยการเขตพัคโนฮุนที่กำลังตกใจ
“ในสมุดบัญชีมีชื่อผู้พิพากษาที่ยังอยู่ในตำแหน่งสามคน
อัยการในตำแหน่งอีกห้าคนครับ”
“ล้มเลิกซะ”
“ท่านหัวหน้าอัยการเขต...”
“หยุดเดี๋ยวนี้! บ้าไปแล้วหรือไง
คิดจะทำอะไร จะทำให้อัยการทั่วประเทศขายหน้าเหรอ
คิดว่าจะสืบสวนเรื่องนั้นได้หรือไง ฉันไม่อนุญาตให้สืบสวนแล้วนาย...”
หัวหน้าอัยการเขตพัคโนฮุนใช้นิ้วชี้อัยการคิมซังชอล
ก่อนจะรัวออกมาเหมือนปืนกล
“เฮ้ย ไอ้บ้าเอ๊ย
ถ้ารู้เรื่องนั้นก็ควรบอกล่วงหน้าสิ
เอาสมุดบัญชีไปซ่อนไว้ที่ไหนถึงเพิ่งโผล่หน้ามา
แผนกคดีพิเศษยอมปล่อยเฉยเพราะคิดว่าเป็นอัยการเหมือนกันหรอกนะ
ลองหันไปมองข้างหลังนายดูสิ ต้องได้ถอดชุดครุยก่อนหรือไงถึงจะได้สติ”
หัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลพูดขึ้นมาทันที
“ขัดขวางการสืบสวนครั้งนี้ไม่ได้หรอกครับ”
“อะไรนะ”
“พวกผมมอบสำเนาสมุดบัญชีที่อัยการคิมซังชอลมีให้ท่านอธิบดีอัยการชินดงโฮแล้วครับ
ถ้าท่านอัยการสูงสุดมัดมือทั้งสองข้างของอัยการคิมซังชอลท่านอธิบดีอัยการจะเคลื่อนไหวครับ”
อัยการคิมซังชอลไม่ได้อยู่เฉยขณะซ่อนตัว
หัวหน้าอัยการเขตพัคโนฮุนที่กำลังร้อนใจนิ่งค้างไปชั่วขณะ
“เรื่องนี้...รู้ใช่ไหมว่ามันเป็นการก่อกบฏ”
“พูดตามตรง
ท่านหัวหน้าอัยการเขตก็ไม่ได้จบจากมหา’ลัยโซลนี่ครับยังพูดกับผมอยู่บ่อย ๆ
เลยว่าการเลื่อนตำแหน่งของตัวเองคงสิ้นสุดแค่ตรงนี้แต่โอกาสนี้อาจเป็นโอกาสดีที่จะกำจัดความชั่วร้ายที่ฝังรากลึกอยู่ในสำนักงานอัยการก็ได้นะครับ”
“นาย...คิดว่ามันจะเป็นไปได้เหรอ”
“เป็นไปได้ครับ สื่อต่าง ๆ
เริ่มก้าวตามเราแล้ว พรรครัฐบาลเองก็เห็นชอบครับ”
“นายบอกว่ามี สส.พรรครัฐบาลรวมอยู่ด้วย
เอาอะไรมาเห็นชอบ”
“ผมจะบอกเหตุผลทีหลัง
แต่พวกเขาเห็นชอบด้วยจริง ๆ ครับ
ถ้าเรากวาดล้างความชั่วร้ายที่ฝังรากลึกจากมหา’ลัยโซลได้
อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ดีกว่าสำหรับองค์กร
แล้วก็เป็นตัวอย่างที่ดีให้อัยการชั้นผู้น้อยด้วยนะครับ”
อัยการคิมซังชอลอดแค่นหัวเราะในใจกับคำพูดของหัวหน้าอัยการฝ่ายอีฮันยูลไม่ได้
ถึงจะบอกว่าพวกที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซลเป็นเหมือนความชั่วร้ายที่ฝังรากลึก
แต่พวกนั้นก็ไม่ได้ทำผิดกฎหมายแต่อย่างใด
เพียงแค่กุมอำนาจของสำนักงานอัยการอยู่เท่านั้น
มันน่ารังเกียจที่เห็นพวกเขาพยายามทำให้อำนาจของตัวเองมั่นคงขึ้นด้วยการอ้างถึงสิทธิ์ในการแต่งตั้งบุคลากรของคนเหล่านั้น
จนถึงกับต้องตัดอนาคตด้วยการใช้คำว่าความชั่วร้ายที่ฝังรากลึก
ซึ่งในสายตาของซังชอลมันไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันเลย
“ไหนบอกว่าแม้กระทั่งผู้พิพากษาก็อยู่ในนี้ไง
ถ้าเกิดหมายจับไม่ออกมาล่ะโอเค สมมติว่ามีหมายจับหรือหมายค้นออกมา
แล้วการพิพากษาหลังจากนั้นไม่เละหรือไง”
“ไม่มีทางเละหรอกครับ”
“แน่ใจเหรอ”
“หลักฐานชัดเจนมากครับ
ถ้าไม่ใช่ผู้พิพากษาที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ หมายจับต้องออกมาแน่นอนครับ”
หัวหน้าอัยการเขตพัคโนฮุนคิดหนัก
ทันทีที่ฝืนผลักดันการสืบสวนครั้งนี้ก็จะกลายเป็นศัตรูกับอัยการสูงสุดทันที
แต่คำว่าคนที่ไม่ได้จบจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซลสามารถยึดอำนาจภายในขององค์กรอัยการได้
มันแข็งแกร่งยิ่งกว่าสิ่งล่อตาล่อใจใด ๆ
หัวหน้าอัยการเขตพัคโนฮุนไตร่ตรองอยู่พักหนึ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์
“ผมพัคโนฮุนนะครับ
รบกวนสั่งให้แผนกคดีพิเศษถอนกำลังด้วยครับขอโทษครับ แต่เด็ก ๆ
ของผมจะทำการสืบสวนเอง ขอโทษครับ”
หัวหน้าอัยการเขตพัคโนฮุนก้มศีรษะปลก ๆ
ก่อนจะวางสาย
ภาพนั้นทำให้อัยการคิมซังชอลกำหมัดทั้งสองข้าง
ไม่จำเป็นต้องถามว่าโทร.ไปที่ไหน
เมื่อแจ้งหัวหน้าสำนักงานอัยการกรุงโซลเขตกลางแล้ว
ตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนเห็นภาพที่ตัวเองถูกรายล้อมไปด้วยนักข่าวและแสงสปอตไลต์อยู่ตรงหน้า
บทที่ 218 โปรเจกต์ใหม่ (1)
ข่าวที่ว่าภายในสำนักงานอัยการ กำลังเผชิญกับความวุ่นวายลอยเข้าหูยองฮุนจากหลายช่องทาง
ผู้อาวุโสโจชียอนได้รับแจ้งกำหนดการเรียกสอบแล้ว
และบอกว่าจะไม่ออกจากบ้านแม้แต่ก้าวเดียวจนกว่าจะถึงตอนนั้น
เนื่องจากมีบอดี้การ์ดส่วนตัวรักษาความปลอดภัยอยู่รอบบ้าน
จึงไม่มีเรื่องพิเศษอะไรจนกว่าจะถึงเวลาแสดงตัวที่สำนักงานอัยการ
ส่วน สส.ชอนโบยุนก็ไปสั่งงาน สส.บงซองซูแทน
ยองฮุนจึงไม่มีอะไรต้องทำเพิ่มเติม
หากจัดการเรื่องของกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนได้อย่างราบรื่น
ยองฮุนก็จะได้กลับมาจดจ่อกับงานของบริษัทอย่างเต็มที่
ก๊อก ก๊อก
“หัวหน้าฝ่ายโอจีฮวาน
ทีมพัฒนาทรัพยากรมาหาค่ะ”
เมื่อได้ยินว่าหัวหน้าฝ่ายโอที่เพิ่งหยั่งเชิงกันด้วยเรื่องกรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานมาหา
ยองฮุนก็คิดว่าได้จังหวะพอดี เพราะได้ยินว่ากำลังร่างแผนงานบางอย่างอยู่
แต่ยังไม่ได้ข่าวคราวเลยสงสัยว่าทำอะไรอยู่กันแน่
“เชิญเข้ามาเลยครับ”
“ค่ะ”
พอมินฮีออกไปแล้ว
หัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานก็เข้ามาทันที
อีกฝ่ายผงกศีรษะก่อนจะยื่นแฟ้มให้แล้วรายงาน
“ทำการโอนบริษัทจัดจำหน่ายขนาดเล็กที่เคยพูดถึงก่อนหน้านี้ให้ฟุกุฮาระไอ
เพื่อตอบแทนที่ยกมือให้พวกเราเรียบร้อยแล้วครับ ดูเหมือนจะยื่นขอหย่าภายในเดือนนี้
ถ้าการซื้อกิจการของนิปปอนยูเซนเสร็จสิ้นลง คายะ
โอกิโนริอาจจะต้องย้ายไปอยู่ข้างถนนครับ”
“จะไม่ให้อะไรสักอย่างเลยเหรอครับ”
“มันเลวร้ายกว่าที่เห็นมาก
เธอถึงขั้นบอกว่าโชคดีแค่ไหนแล้วที่ไม่สั่งให้ยากูซ่าฆ่าทิ้งครับ”
“อืม...แล้วจะนอกใจทำไม...นี่คืออะไรครับ”
ทันทีที่เปิดแฟ้มก็เห็นหัวข้อ
[โรดแมปสำหรับโครงการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย] เด่นสะดุดตา
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าทีมพัฒนาทรัพยากรดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย
“ครับ
เมื่อปีที่แล้วมีการประกาศโรดแมปพัฒนาพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยเพื่อลดสัดส่วนของเชื้อเพลิงถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ
แล้วเพิ่มสัดส่วนของพลังงานทดแทนให้มากขึ้นครับ”
“แล้วยังไงครับ”
“แต่ปีที่แล้วเราดำเนินโครงการหลาย ๆ
อย่างพร้อมกัน
ดังนั้นจึงไม่สามารถยื่นมือเข้าไปในโครงการนี้ได้ด้วยความสามารถของเอชเอสการผลิตเพียงบริษัทเดียวครับ
เพราะเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นแล้ว เราขาดทั้งเงินทุนและประสบการณ์ในการสร้างสิ่งก่อสร้างด้านพลังงาน
แต่สถานการณ์ของโครงการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยก็ยังไม่ก้าวหน้า
เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมนึกถึงโครงการนี้ขึ้นมาครับ”
ยองฮุนลุกขึ้นแล้วย้ายไปที่โซฟา
“มานั่งคุยกันดีกว่าครับ”
“ครับ ประเทศไทยกำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องการลดลงของปริมาณการผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อน
และพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ครับเนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติไม่แน่นอน
จึงวางแผนว่าจะลดสัดส่วนก๊าซธรรมชาติและเพิ่มสัดส่วนของพลังงานทดแทน
แต่ก็ยังเป็นแค่แผน ยังไม่มีการเคลื่อนไหวให้เห็นแต่อย่างใดครับ”
“เหตุผลคืออะไรครับ”
“ถึงเหตุผลใหญ่ที่สุดคือการพัฒนาพลังงานทดแทนยังไม่ได้แสดงให้เห็นประสิทธิภาพอะไรมากนัก
แต่ความเป็นจริงคือยากจะคาดหวังการทำงานอย่างรวดเร็วจากผู้กำกับนโยบาย
ดังนั้นโครงการเลยมักจะถูกยืดออกไปครับ จะมองว่ายืดเยื้ออย่างไม่มีเหตุผลก็ไม่ผิดครับ”
“อืม...อย่างนั้นสินะครับ
ถ้างั้นสิ่งที่เราจะได้รับจากโปรเจกต์นี้คืออะไรครับ”
“มีสองอย่างครับ อย่างแรก
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังดึงก๊าซธรรมชาติมาใช้จำนวนมาก
จนคิดเป็นครึ่งหนึ่งของการบริโภคของประเทศ จากแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย สาเหตุที่ไทยสามารถครองอันดับสามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รองจากมาเลเซียและอินโดนีเซียได้ ก็เป็นเพราะแหล่งก๊าซธรรมชาติทั้งสองแห่งนี้ครับ”
หัวหน้าฝ่ายโอดื่มนํ้าให้ชุ่มคอแล้วเล่าต่อ
“ปัญหาคือเส้นตายของสิทธิ์การพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติสองแห่งนี้ในอ่าวไทยใกล้เข้ามาแล้วครับ
โครงการนี้จะสิ้นสุดในปีสองพันยี่สิบสอง และมีสิทธิ์ในการดำเนินงานนานถึงสามสิบปี
มีบริษัทเพียงไม่กี่แห่งที่จ้องจะเข้าร่วมประมูล ได้แก่ บริษัทซีอาร์จากอเมริกา
บริษัทพลังงานจากฝรั่งเศส บริษัทปิโตรเลียมจากยูเออี เป็นต้นครับ
ผมเลยคิดว่าถ้าพวกเรากับบริษัทนํ้ามันแห่งชาติของเกาหลีลองเข้าร่วมในรูปแบบของกิจการค้าร่วมจะเป็นยังไงน่ะครับ”
“หมายความว่าพวกเราควรเข้าร่วมการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติงั้นเหรอครับ”
“ครับ”
“มันน่าจะยากนะ...”
ถึงยองฮุนจะไม่รู้เลยสักนิดว่าการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติประกอบด้วยกระบวนการใดบ้าง
แต่รู้สึกได้ถึงความยากลำบากในการแทรกตัวเข้าไปท่ามกลางการแข่งขันของบริษัทชื่อดังเหล่านั้น
“ใช่ครับ ถ้าแข่งกันด้วยความสามารถเฉย ๆ
ก็คงจะยากมาก”
“ถ้าไม่ใช่ความสามารถล่ะครับ”
“ถ้าเกิดไม่มีกรรมการผู้จัดการ
ผมคงไม่กล้าเสนอว่ามาลองทำโครงการนี้กันเถอะหรอกครับ กรรมการผู้จัดการอาจจะเคยรู้สึกมาแล้วตอนเข้าไปทำโครงการสนามบินใหม่ของอินเดีย
แต่ครั้งนี้ก็มีเรื่องที่น่ากังวลอยู่ครับ
ต่อให้บริษัทที่มีชื่อเสียงจะเข้าร่วมประมูล
แต่พวกเขาก็ไม่ได้ร่วมประมูลด้วยความสามารถเพียงอย่างเดียว
บางทีก็เน้นการล็อบบี้มากกว่าครับ”
“มันฟังดูเข้าท่าก็จริง...แต่คิดว่าจะเป็นไปได้เหรอครับ
ความชำนาญน่าจะห่างชั้นกันมากเลยนะ”
“ถึงแม้เทียบกับบริษัทจากอเมริกาและฝรั่งเศสแล้ว
ความเชี่ยวชาญของบริษัทนํ้ามันของเกาหลีจะด้อยกว่ามาก
แต่เนื่องจากไม่ใช่การขุดเจาะใหม่เป็นเพียงการเปลี่ยนตัวผู้ประกอบการ
ถ้าโน้มน้าวได้ดีก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับถ้าโปรโมตความสามารถในการบริหารกับความเชี่ยวชาญที่บริษัทนํ้ามันได้รับจากการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติในทะเลตะวันออก
บวกกับเงินทุนของเรา...”
“ถ้าล็อบบี้ดี ๆ ก็ได้ประโยชน์
จะพูดอย่างนั้นใช่ไหมครับ”
“ครับ”
“อืม...”
ยองฮุนกอดอกแล้วลองคิดสักพัก
แต่ก็ยังมองไม่ออกว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ได้
เพราะไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับเรือขับเคลื่อน LNG หรือนํ้ามันปาล์มที่เคยศึกษามาก่อนหน้านี้
“อันนี้คืออย่างแรก
แล้วอีกอย่างหนึ่งล่ะครับ”
“อีกอย่างหนึ่งคือการควบรวมกิจการครับ”
“การควบรวมกิจการ?”
ทุกโปรเจกต์ที่พูดมาไม่มีอะไรง่ายเลย
“แม้ว่าประเทศไทยจะบอกว่าปริมาณก๊าซธรรมชาติลดลง
แต่กำหนดเวลาคือปีสองพันสามสิบเจ็ด
และต่อให้ลดลงก็ยังมีปริมาณมากพอสมควรครับในสถานการณ์ที่คำสั่งซื้อเรือขนส่ง LNG
มากกว่าร้อยลำจากกาตาร์อยู่แค่ปลายจมูกความต้องการในการขนส่งก๊าซ LNG
จะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอนาคตแน่นอนครับ”
“แล้วยังไงต่อครับ”
“มีบริษัทเดินเรือแห่งหนึ่งที่มีมูลค่าตลาดหกแสนล้านชื่อพัลแฮมารีนครับถือเป็นบริษัทเดินเรือที่มั่นคงและประสบความสำเร็จในการขนส่งก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินดินดานในอเมริกา
ด้วยปริมาณการขนส่งก๊าซ LNG ที่มีประมาณสิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์จากทั้งหมด
ปัจจุบันเรามีบริษัทต่อเรือกับบริษัทขนส่งทางทะเลที่ขนส่งรถยนต์เป็นหลักแล้ว
แต่ไม่มีบริษัทที่จะขนส่งก๊าซ LNG ครับ
ถ้าหากเข้าซื้อกิจการพัลแฮมารีน
น่าจะคาดหวังการทำงานร่วมกันได้มากกว่านิปปอนยูเซนครับ”
หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด
ยองฮุนก็ยิ้มแล้วถาม
“ทำงานหนักมากเลยนะครับเนี่ย
ใครเป็นคนริเริ่มเหรอครับ”
“กรรมการผู้จัดการยุนเสนอไอเดียครับ”
“อ๋อ...”
ยองฮุนพยักหน้า
กรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานออกไอเดีย
แล้วตัวเองก็เอามาทำจนเสร็จงั้นเหรอ
ถ้ากรรมการผู้จัดการยุนเป็นคนคิดจริง ๆ ก็ควรจะเอารายงานไปเสนอท่านประธานใหญ่ไม่ใช่เหรอ
แน่นอนว่ากรรมการผู้จัดการยุนคงไม่มีทางถือรายงานมาหาเขาที่มีตำแหน่งกรรมการผู้จัดการเหมือนกัน
แถมเรื่องนี้ก็ไม่ใช่โครงการที่ดำเนินการโดยฝ่ายวางแผนและประสานงานด้วยจึงกล่าวได้ว่าเป้าหมายในการเสนอโครงการของหัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานผิดมาตั้งแต่แรก
เนื่องจากเรื่องนี้เป็นโปรเจกต์ที่ต้องดำเนินการระดับบริษัท
การบอกว่าจะดำเนินการเพราะกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนจึงไม่ใช่เหตุผลที่เหมาะสมจะนำมาเขียนรายงานได้
พอเห็นหัวหน้าฝ่ายโอมองมาด้วยสีหน้าประหม่า
ยองฮุนก็ถามต่อ
“กรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานบอกว่าโปรเจกต์นี้น่าจะโอเคใช่ไหมครับ”
“เขาบอกว่าคุ้มกับการลองทำครับ”
มองไม่เห็นคำโกหกใด ๆ ในประโยคนั้น
“ผมรู้ว่ามันเป็นโปรเจกต์ใหญ่มาก
แต่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์กับบริษัทจริง ๆ งั้นเหรอครับ”
“การที่เอชเอสคอนสตรัคชั่นมีความชำนาญเพิ่มขึ้นจากการทำพีเอ็มในโครงการก่อสร้างสนามบินใหม่ในอินเดียมีความหมายมากยิ่งขึ้นครับ
เพราะมีแนวโน้มว่าจะส่งผลดีต่อการก่อสร้างในต่างประเทศที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ในทำนองเดียวกัน
การลองท้าทายด้วยการเข้าร่วมประมูลแหล่งก๊าซธรรมชาติในต่างประเทศ
ต่อให้สุดท้ายจะล้มเหลว แต่ก็มีความหมายสำคัญมากไม่แพ้กันครับ
เพราะบริษัทชั้นนำของเมืองนอกต่างก็เคยล้มเหลวมามากมายในตอนแรก”
ยองฮุนส่ายหน้า
“ความล้มเหลวไม่มีความหมายครับ
มีแค่พวกเราเท่านั้นที่พอใจ แต่นั่นไม่ใช่การสั่งสมความเชี่ยวชาญ...กลับกัน
อาจจะสั่งสมความรู้สึกพ่ายแพ้มากขึ้นก็ได้ครับ ถ้าทำก็ต้องสำเร็จสิ
ถึงจะมีความหมาย”
“ขอโทษครับ”
“ผมไม่ได้พูดเพื่อให้ขอโทษนะครับ”
“ไม่ครับ ผมคิดน้อยเอง ถูกแล้วครับ
ถ้าจะทำก็ควรทำให้สำเร็จ ถูกต้องแล้วครับ”
“เอาเป็นว่าผมรับรู้แล้ว
เดี๋ยวจะลองคิดดูนะครับ”
“ครับ”
หัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานก้มศีรษะให้และเดินออกจากห้องกรรมการผู้จัดการ
ยองฮุนมองรายงานที่อีกฝ่ายทิ้งไว้เงียบ ๆ
เรียกว่าเห็นถึงความพยายามที่จะส่งกรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานไปที่นิปปอนยูเซนได้ไหมนะ
ตอนนั้นยอนฮีก็เปิดประตูพลางชะโงกหน้าเข้ามา
“ยุ่งไหม”
“เปล่า เข้ามาสิ”
“หัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานมาหนิ เพราะเรื่องนิปปอนยูเซนเหรอ”
“ไม่ใช่ พูดถึงนิปปอนยูเซนก็จริง
แต่เหตุผลไม่ใช่เรื่องนั้น”
ยอนฮีฝังตัวลงบนโซฟาแล้วพูด
“พวกเราไปไบรตันกันเถอะ”
“กะทันหันแบบนี้เลยเหรอ”
“อื้อ
เห็นพี่ใช้ชีวิตยุ่งมากเลยอยากให้พักน่ะ ยังไงก็ใกล้ถึงช่วงวันหยุดแล้วด้วย
คุณแม็กซ์ โครลีย์ บอกให้มาช่วงนอกฤดูกาลนี่นา
จะได้ไปขอบคุณที่เขาให้เรือยอช์ตเป็นของขวัญด้วย”
อันที่จริงพอนึกถึงเรือสำราญขนาดใหญ่ที่กำลังต่ออยู่ในกุนซานตอนนี้เขาก็จำเป็นต้องไปพบปะในส่วนของธุรกิจสักครั้งด้วยเช่นกัน
แถมเรือยอช์ตที่ให้เป็นของขวัญวันครบรอบแต่งงานก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะกล่าวขอบคุณทางโทรศัพท์แล้วจบเรื่องกันไป
“เอาสิ ไปกัน”
“จริงเหรอ”
ยอนฮีทำตาโตพร้อมยืดตัวขึ้น
“อืม อย่างที่เธอบอกนั่นแหละ
ปีนี้ควรจะไปขอบคุณแม็กซ์ โครลีย์ที่ไบรตัน ขอบคุณที่ช่วยตอนต่อเรือสำราญด้วย
แล้วก็ต้องแสดงความยินดีกับการเลื่อนชั้น ตอนแรกควรจะต้องไปตอนแข่งนัดสุดท้ายด้วยซํ้า
แต่น่าเสียดายที่ยุ่งจนไปไม่ได้”
“ใช่ไหมล่ะ คิก ๆ...เยี่ยมเลย
ถ้างั้นฉันจองโรงแรมเลยดีไหม”
“ถ้าบอกคุณแม็กซ์ว่าจะไปหา
เขาอาจจะจัดการให้เรียบร้อยแล้วก็ได้นะ”
“คงจะเป็นอย่างนั้นแหละ อ่า...ดีจังเลย
งั้นคงต้องจองตั๋วเครื่องบินก่อน”
ยอนฮีกำลังจะลุกขึ้น
แต่เห็นรายงานที่หัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานวางเอาไว้
เธอมองรายงานผ่าน ๆ ก่อนจะถาม
“อันนี้หัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานทำเหรอ
อะไรจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้”
“อื้อ
น่าจะตั้งใจทำมากเพราะกรรมการผู้จัดการยุนจองฮวาน”
“อ๋อ~ เรื่องนั้นน่ะเหรอ
แต่ถ้าเทียบว่าทำเพื่อส่งกรรมการผู้จัดการยุนไปนิปปอนยูเซน มันก็เล่นใหญ่เกินไปนะ”
เพราะเป็นสามีภรรยากัน
เขาจึงเล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับหัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานให้ยอนฮีฟัง
“คงเป็นเรื่องที่คิดมาตั้งแต่แรกแล้วแหละ
แล้วก็เพื่อส่งกรรมการผู้จัดการยุนไปด้วย”
“ถ้างั้นก็คิดเรื่องนี้จริงจังเลยน่ะสิ
ประมูลโครงการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย? ทำได้จริงเหรอ”
“ไม่รู้สิ...อืม
มันเป็นโปรเจกต์ที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน แต่พอฟัง ๆ แล้วก็คิดหนัก
เพราะมันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
“อะไร จะเอาจริงเหรอเนี่ย”
“ไม่แน่ใจ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก...”
ยอนฮีวางรายงานไว้บนโต๊ะของยองฮุนก่อนจะพูด
“โครงการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติ
ถ้าทำได้ก็คงดีแหละ บ้านข้าง
ๆก็หาเงินจากแหล่งก๊าซธรรมชาติของเมียนมาร์ได้เยอะนี่นา
ถ้าพวกเรามีสินค้าทำเงินแบบนั้นก็จะเป็นประโยชน์ต่อเอชเอสการผลิตมาก”
บ้านข้าง ๆ ที่เธอพูดถึงคือบริษัทการค้าเหมือนกันอย่างโพสวันอินเตอร์-เนชั่นแนล
“นั่นสินะ”
“สู้ ๆ นะ~”
ยอนฮีโบกมือให้แล้วเดินออกไป
ตอนยองฮุนกำลังมองรายงานที่วางอยู่ก็มีโทรศัพท์เข้า
กรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนของอูมยองคอนสตรัคชั่นนั่นเอง
“ฮัลโหล”
“คิมชางฮุนนะครับ”
“ครับ”
“พ่อยืนยันว่าจะยกหุ้นอูมยองให้ผมแล้วครับ”
“ยินดีด้วยครับ”
“ต้องขอบคุณกรรมการผู้จัดการนั่นแหละครับ อย่างน้อยก็ต้องเลี้ยงข้าวเดี๋ยวผมหาร้านดี ๆ ให้นะครับ”
“ไม่ต้องเลี้ยงหรอก
แล้วจะทำยังไงกับปัญหาของฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ล่ะครับ”
“ครับ? เอ่อ...ขอเวลาสักหน่อยได้ไหมครับ ยังไงฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ก็มีหนี้ก้อนใหญ่มาก ถ้าผมพูดออกไปว่าจะซื้อกิจการ ความเชื่อมั่นของพ่อที่มีต่อผมอาจจะร่วงสู่ดินทันทีเลยก็ได้ครับ”
เข้าใจแล้ว
แต่เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ เพราะมีคำกล่าวว่า
หากไม่สามารถแสดงผลงานที่โดดเด่นในสงครามออร์เดอร์เรือขนส่ง LNG
ร้อยลำจากกาตาร์ได้ บริษัทอาจจะเผชิญกับการสั่นคลอนครั้งใหญ่
ต้องช่วยแก้ปัญหาก่อนจะถึงเวลานั้น
เขาไม่สนใจว่าประธานคิมแทมินจะอยู่หรือตาย
เพียงแค่สงสารพนักงานที่ต้องเดือดร้อนเพราะคณะผู้บริหารที่ไร้ความสามารถเท่านั้น
“ผมไม่ได้สัญญากับกรรมการผู้จัดการว่าจะให้เวลาดูสถานการณ์นะครับถ้าไม่มีข่าวเจรจาซื้อกิจการบริษัทฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ภายในเดือนนี้
ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจับมือกับประธานคิมโดฮุนครับ”
คำพูดที่เหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ
ทำให้เสียงพูดเงียบหายไปจากหูโทรศัพท์ชั่วขณะ
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงของกรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนก็ดังขึ้น
“รับทราบครับ ผมจะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด”
“ผมจะรอนะครับ”
ยองฮุนวางสายก่อนจะลุกขึ้น
เพราะดูเหมือนคิดคนเดียวไม่น่าจะได้คำตอบ
เขาเดินออกจากห้องและพูดกับมินฮี
“เดี๋ยวผมไปฝ่ายโครงการพิเศษแป๊บหนึ่งนะครับ”
“รับทราบค่ะ”
“อ้อ แล้วก็...อาทิตย์หน้าผมจะบินไปทำงานที่ประเทศไทยหน่อย
มีผมกับอีกคนหนึ่ง”
บทที่ 219 โปรเจกต์ใหม่ (2)
กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอน ฝ่ายโครงการพิเศษยิ้มกว้างต้อนรับเมื่อยองฮุนแวะมาหา
กรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนกุมอำนาจใหญ่ที่สุดภายในกรุ๊ปก็จริง
แต่เขาเป็นคนที่คาดเดาความคิดได้ยากที่สุดและไม่ใช่คนที่จะมาพบกันเพื่อพูดคุยเรื่องไร้สาระหรืองานที่ไม่สลักสำคัญ
ดังนั้นทันทีที่มาถึงฝ่ายโครงการพิเศษหลังจากไม่ได้มานาน
กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนจึงซ่อนความดีใจเอาไว้ไม่อยู่
หลังจากสั่งให้เลขาฯนำชามาเสิร์ฟก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าแฝงความนัย
“มีอะไรล่ะ”
“ครับ?”
“มาหาเพราะมีเรื่องไม่ใช่เหรอ
รู้ไหมว่าสไตล์ของกรรมการผู้จัดการชเวน่ะค่อนข้างเย็นชา”
“ผมเหรอครับ”
“ใช่สิ
คนอื่นเขาแค่มาเจอกันแล้วกินข้าวหรือดื่มชาโดยที่ไม่ต้องมีเรื่องสำคัญอะไร
แต่กรรมการผู้จัดการชเวไม่เคยทำอะไรแบบนั้นเลยนี่นา ตอนนี้คนในบริษัทเขารู้กันหมดแล้วว่าเป็นพวกบ้างาน”
“จริงเหรอครับ”
อาจจะเป็นเพราะยองฮุนใช้ชีวิตในบริษัทแบบไม่คิดอะไร
ถึงเพิ่งรู้ว่ามีข่าวลือแบบนั้นแพร่กระจายในหมู่พนักงาน
แน่นอนว่ามินฮีก็คงจะรู้อยู่แล้ว
แต่น่าจะไม่เล่าให้ฟังเพราะกลัวเขาจะรู้สึกไม่ดีถ้าได้ยิน
“ไม่รู้เหรอ
ฉันนึกว่านายรู้อยู่แล้วซะอีก”
“ถ้าเสร็จงานแล้วผมก็กลับบ้านพร้อมคุณยอนฮี
หรือไม่ก็ออกไปมีตติ้งข้างนอก เวลากินข้าวในบริษัท ส่วนใหญ่ก็กินกับคุณยอนฮี
มันเลยอาจจะดูเป็นแบบนั้นสินะครับ ไว้ผมจะมาบ่อย ๆ แล้วกันครับ”
“เมื่อก่อนนายก็เคยพูดอย่างนั้นนะ”
“ฮ่า ๆ งั้นเหรอครับ”
“ล้อเล่นน่า อ้อใช่ มีเรื่องอะไรล่ะ”
“อยากบอกว่าแค่แวะมาเที่ยวเล่น
แต่ผมก็ดันมาเพราะมีเรื่องอยากถามจริง ๆเขินเลยนะครับเนี่ย”
“ไม่มีอะไรต้องเขินเลย
ฉันรู้สึกดีจะตายที่นายเลือกมาถามฉัน ท่ามกลางผู้บริหารกับพนักงานมากมาย”
ยองฮุนทำหน้าเก้อเขิน พอเลขาฯนำชามาเสิร์ฟก็จิบหนึ่งอึกแล้วเปิดปากพูด
“พอดีหัวหน้าฝ่ายโอจีฮวาน
ทีมพัฒนาทรัพยากรเอารายงานมาเสนอเรื่องหนึ่งครับ”
“รายงานอะไร”
“อยากดูก่อนไหมครับ”
ยองฮุนยื่นรายงานของหัวหน้าฝ่ายโอให้อีกฝ่าย
กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนอ่านรายงานสีหน้าจริงจัง
ก่อนจะเอียงศีรษะแล้วกล่าว
“โอจีฮวานดูไม่เหมือนคนแบบนั้นเลย
แต่ความทะเยอทะยานสุดยอดเลยแฮะ”
“ใช่ไหมล่ะครับ”
“กล้าดีนะเนี่ย แต่ก็แค่ลองทำเฉย ๆ
ไม่ใช่เหรอ โชว์ให้เห็นความทะเยอ-ทะยานแล้ว
จะทำจริงหรือเปล่าก็อีกเรื่อง...อะไรแบบนี้มีให้เห็นบ่อย ๆ คิดว่ายังไงก็ต้องโดนปัดตกจากข้างบนอยู่แล้ว
เลยพยายามทำให้มันยิ่งใหญ่ที่สุดไงเพราะต่อให้โดนปฏิเสธทีหลัง
ก็ให้ความรู้สึกว่าคนคนนี้เป็นคนกล้าหาญ วิสัยทัศน์กว้างไกล”
“ถึงอย่างนั้นการที่พนักงานระดับหัวหน้าฝ่ายคิดโปรเจกต์แบบนี้ขึ้นมามันก็ไม่ใช่เรื่องที่เห็นได้ทั่วไปไม่ใช่เหรอครับ”
“มันก็ใช่...อะไร
มีเรื่องอื่นที่ยังไม่ได้บอกฉันอีกใช่ไหม”
กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนทำตาเป็นประกาย
สัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลังรายงานเล่มนี้
แต่ยองฮุนไม่สามารถเล่าให้ฟังได้ว่าโปรเจกต์นี้เกี่ยวข้องกับการเลื่อนตำแหน่งของกรรมการผู้จัดการยุนจองฮวาน
เพราะไม่ว่าจะเชื่อใจกรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนแค่ไหน
แต่ถ้าหากกรรมการผู้จัดการโกบอกเรื่องนี้กับคนอื่นแล้วข่าวลือแพร่กระจาย
คงจะเกิดผลกระทบที่รุนแรงตามมา
“มันก็มีอยู่ แต่เล่าให้ฟังลำบากครับ
มองแค่ตัวโครงการแล้วพูดออกมาก็พอครับ”
“มีอะไรกันแน่...อืม...ฉันยิ่งดูก็ยิ่งโลภนะเนี่ย
บางทีถ้าเป็นช่วงก่อนจะได้เจอกรรมการผู้จัดการชเว ฉันก็คงควํ่าทันทีที่เห็นเลย
เพราะคิดว่ามันเป็นโปรเจกต์ที่ไม่เข้าท่า ยังไงเรื่องนี้ก็ล็อบบี้กันหนักอยู่”
“ถ้าใช้ความสามารถมันยากมากไหมครับ”
“ความสามารถก็ส่วนความสามารถ
แต่ชื่อเสียงมันห่างชั้นกันน่ะสิ
ทำไมพวกเราถึงพยายามจะคว้าการเป็นพีเอ็มโครงการในอินเดียขนาดนั้นล่ะ
ก็เพราะเห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนในการคว้าชัยชนะจากโครงการที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้
ระหว่างบริษัทก่อสร้างที่เคยเป็นผู้นำพีเอ็มกับบริษัทก่อสร้างทั่วไปไงสำหรับธุรกิจพลังงาน
ชื่อเสียงของเชฟรอนกับโททาลยากที่จะก้าวข้าม
เพียงแต่ในกรณีนี้เรื่องราวมันต่างกันเล็กน้อย
เพราะเป็นการเลือกผู้ประกอบการใหม่ของแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ถูกขุดไปเรียบร้อยแล้ว”
“งั้นลองทำดูดีไหมครับ”
กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนหัวเราะฝืน ๆ
“เฮอะ...อยากลองจริง ๆ เหรอ พูดตามตรง
ถ้าทำแค่พวกเรา ต่อให้ล้มเหลวก็แค่ขายหน้านิดหน่อย
แต่บริษัทนํ้ามันจะไม่หัวเราะเยาะเอาเหรอ”
“อาจจะกระตือรือร้นมากขึ้นก็ได้ครับ”
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนรับผิดชอบ
คิด ๆ ดูแล้ว ทางฝั่งการเมืองอาจจะชอบมากกว่าก็ได้”
ชั่วขณะนั้น ยองฮุนนึกถึง สส.ชอนโบยุนขึ้นมา
ถึงจะไม่ช่วยผลักดันก็คงทำได้ดีอยู่แล้ว
แต่สมมติว่าช่วยเหลืออีกฝ่ายที่เป็นสมาชิกพรรครัฐบาลในปัจจุบัน
ถ้าชนะประมูลโครงการแหล่งก๊าซธรรมชาติครั้งนี้
เห็นได้ชัดว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อพรรครัฐบาล
“มันก็โอเคอยู่นะครับ”
“โอเคงั้นเหรอ”
“ครับ ถ้าฝั่งการเมืองเห็นชอบด้วยก็ดีไง”
“ว่ากันตามตรงแล้ว
ฉันก็เข้าใจนะว่าบริษัทเราไม่ได้อยู่ห่างจากอำนาจทางการเมือง...แต่นายโคกับใครอยู่”
“ยังบอกไม่ได้...”
“ความลับเยอะเหลือเกิน...ถ้างั้นจะให้ทำยังไง”
“ผมอยากให้กรรมการผู้จัดการตรวจสอบอย่างจริงจังครับ”
“โอเค งั้นฝ่ายโครงการพิเศษจะรับเรื่องนี้เอง
นัดโอจีฮวานให้หน่อย”
“ได้ครับ”
ยองฮุนพูดอย่างนั้นและออกมาจากฝ่ายโครงการพิเศษ
เขารู้ว่ากรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนคงจะคว้าตัวหัวหน้าฝ่ายโอแล้วพยายามขุดหาความลับ
แต่ปัญหาหลังจากนั้นคือสิ่งที่หัวหน้าฝ่ายโอต้องจัดการเอง
ทีมสืบสวนถูกจัดตั้งขึ้นแล้วโดยมีสำนักงานอัยการเขตตะวันออกเป็นศูนย์กลางอัยการคิมซังชอลจึงเรียกตัวโจชียอนมาพบ
เมื่อโจชียอนปรากฏตัวที่สำนักงานอัยการเขตตะวันออก
พวกนักข่าวจำนวนมากก็เข้ามารุมล้อม
โฉมหน้าของราชาเงินกู้นอกระบบแห่งมยองดงที่มีแต่ข่าวลือมากมายปรากฏบนช่องสาธารณะ
ประธานใหญ่ชามยองจินของเซยองกรุ๊ปมองภาพนั้นผ่านทีวี
ก่อนจะเขวี้ยงแก้วที่ถืออยู่ในมือทิ้ง
คนงานเข้ามาจัดการเก็บกวาดแก้วทันที
หัวหน้าฝ่ายเลขานุการซงจียงก็รีบเดินเข้ามาเช่นกัน
ประธานใหญ่ชามยองจินถามเหมือนกำลังรออยู่
“เป็นยังไงบ้าง”
“ดูเหมือนตอนนี้ภายในสำนักงานอัยการจะแบ่งเป็นสองพวก
สายที่ไม่ใช่มหา’ลัยโซลนำโดยอธิบดีอัยการชินดงโฮกำลังสกัดกั้นสายมหา’ลัยโซลที่มีอัยการสูงสุดรวมอยู่ด้วยครับ”
“ไอ้เวรพวกนี้มันใช้ประโยชน์จากฉันแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทะเลาะกันเองงั้นเหรอ”
“พวกคนที่ไม่ได้จบจากมหา’ลัยโซลน่าจะคิดว่ามันเป็นโอกาสที่สามารถกวาดล้างสายหลักของอัยการสูงสุดทิ้งได้ครับ
แต่ยังไงก็ไม่น่าจะจัดการได้ง่าย ๆ”
“ถ้างั้นคงจะเปิดสมุดบัญชีทั้งหมดสินะ”
“เนื่องจากสถานการณ์ตอนนี้เสียงของเราเข้าไม่ถึงสายของอธิบดีอัยการชินดงโฮที่จัดตั้งทีมสืบสวน...”
“ข้อสรุปคืออะไร”
หัวหน้าฝ่ายเลขานุการซงจียงขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งพลางสังเกตท่าทีของเขาแล้วพูดเบา
ๆ
“ยังไม่ได้รับการยืนยันครับ
แต่ผมแอบติดต่อกับบอดี้การ์ดส่วนตัวของโจชียอนอย่างลับ ๆ
ทางนั้นเล่าให้ฟังว่าโจชียอนเดินทางกับใคร เจอใครบ่อย ๆ บ้าง”
“จริงเหรอ ครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ทำงานแล้วได้เรื่อง
แล้วยังไง”
“คนที่เอารถมารับทุกครั้งเวลาโจชียอนจะเดินทางคือประธานซงบยองชานที่เพิ่งซื้อกิจการธนาคารออมทรัพย์ของโจชียอนครับ”
“ซงบยองชาน? หมอนั่นเคยเป็นลูกไล่โจชียอนไม่ใช่หรือไง”
“ใช่ครับ
แล้วประธานซงบยองชานก็เป็นน้องชายของประธานใหญ่ซงอึนแชเอชเอสกรุ๊ปด้วยครับ”
“น้องของประธานใหญ่ซงอึนแชงั้นเหรอ
ทำไมฉันถึงไม่รู้ล่ะ”
“เขาไม่ได้เปิดเผยต่อภายนอกว่าตัวเองเกี่ยวข้องกับประธานใหญ่ซงอึนแชถึงการตั้งถิ่นฐานในมยองดงจะได้รับความช่วยเหลือจากพี่สาวอย่างประธานใหญ่ซงอึนแช
แต่ไม่ใช่เงินของประธานใหญ่ซงทั้งหมดครับ”
“แต่ตอนซงบยองชานทำงานกับโจชียอน
ประธานใหญ่ซงอึนแชยังอยู่ก้นครัวอยู่เลยไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ครับ
ประธานใหญ่ซงอึนแชเพิ่งมาเป็นประธานบริหารได้ไม่ถึงสองปีบางทีเขาอาจจะไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้ประธานใหญ่ซงอึนแชที่ยังเป็นแม่บ้านในตอนนั้นครับ”
ประธานใหญ่ชามยองจินใช้นิ้วชี้เขี่ยที่วางแขนเหมือนวาดอะไรบางอย่าง
เพราะมันเป็นนิสัยที่ทำเป็นประจำเวลาตัดสินใจเรื่องสำคัญ
ซงจียงจึงรอจนกว่าเขาจะจัดการความคิดเสร็จ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ประมาณสิบนาทีก็เปิดปากพูด
“นัดประธานใหญ่ซงอึนแช”
“ได้ครับ”
“เอาให้เร็วที่สุด
แล้วเอาลิสต์นักการเมืองที่กินเงินไปมาให้ฉันด้วย
ดูซิว่าจะปิดปากเงียบไปได้ถึงเมื่อไหร่”
“ครับ รับทราบครับ”
ประธานใหญ่ซงอึนแชรู้สึกลำบากใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าประธานใหญ่ชามยองจินของเซยองกรุ๊ปขอพบ
เพราะไม่มีทางไม่รู้ว่าปลายคมดาบของอัยการที่กำลังเคลื่อนไหวกันอย่างวุ่นวายตอนนี้พุ่งไปที่ใคร
พอจะคาดเดาได้ว่าเหตุผลของการขอพบในสถานการณ์นี้เป็นเพราะน้องชายของเธอ
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่คิดว่าตัวเองจะช่วยแก้ปัญหาได้
อย่างไรก็ตาม
เรื่องที่ลำบากใจคือชื่อของประธานใหญ่ชามยองจิน
เซยองกรุ๊ปยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเมินเฉย
และครั้งนี้ก็เป็นลูกเขยที่เข้ามาช่วยชีวิตเธอเอาไว้
“ถ้างั้นผมไปด้วยก็ได้ครับ”
คำพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรของยองฮุน
ทำให้ประธานใหญ่ซงมุ่งหน้าไปโรงแรมด้วยจิตใจที่ผ่อนคลายขึ้น
“ประธานใหญ่ชามยองจินนัดเจอฉันทำไมกันแน่”
อันที่จริงพอได้ยินว่าประธานใหญ่ชามาขอพบแม่ยาย
ยองฮุนก็คิดว่าในที่สุดก็ถึงเวลาแล้ว
เพราะประธานซงบยองชานคอยรับส่งโจชียอนตลอด
สักวันความเชื่อมโยงของเอชเอสกรุ๊ปกับโจชียอนก็ต้องถูกเปิดเผยอยู่ดี
ดังนั้นแทนที่จะคิดให้มันยาก
ยองฮุนจึงร่วมเดินทางไปกับแม่ยายด้วยความอยากรู้อยากเห็น
สถานที่นัดหมายคือโรงแรมในเครือของเอชเอสการท่องเที่ยวเช่นเคยแต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือประธานใหญ่ชาเป็นผู้กำหนดสถานที่นัดหมายเอง
บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมคนที่มาถึงโรงแรมก่อนจึงเป็นฝ่ายประธานใหญ่ชา
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ
น่าจะครั้งแรกหลังจากเจอกันที่งานศพประธานใหญ่อิมหรือเปล่า”
“ค่ะ จริงด้วย”
ประธานใหญ่ชามยองจินค่อนข้างอ่อนเยาว์เมื่อเทียบกับอายุจริงที่เคยได้ยินมา
ถ้าบอกว่าอายุสักสี่สิบก็เชื่อละมั้ง
อาจจะเพราะตั้งใจออกกำลังกายเป็นประจำ
กล้ามเนื้อบนร่างกายจึงค่อนข้างชัด
แถมยังดูแข็งแรงมากจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นประธานใหญ่ของกลุ่มธุรกิจแนวหน้า
“ช่วงนี้ได้ยินแต่คนชื่นชมประธานใหญ่ซง
พวกผมเองก็พยายามจะเขียนข่าวพิเศษเกี่ยวกับประธานใหญ่ซงหลายครั้งแล้ว
แต่ได้ยินมาว่าปฏิเสธอย่างหนักแน่นมากเลยครับ”
“พอดีฉันไม่อยากตกเป็นขี้ปากใครน่ะค่ะ
ส่วนทางนี้คือกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุน ลูกเขยแล้วก็สมบัติลํ้าค่าของฉันเองค่ะ”
“โอ้โฮ...สมบัติลํ้าค่าเลยเหรอ”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ
ผมชเวยองฮุนจากฝ่ายวางแผนและประสานงานครับ”
ยองฮุนยื่นมือออกไปทันที
ประธานใหญ่ชามยองจินมองยองฮุนด้วยสีหน้าสนใจ
เพราะส่วนใหญ่คนหนุ่มสาวที่เข้ามาทักทายตนมักจะโค้งศีรษะอย่างเดียวโดยไม่กล้าขอจับมือ
แต่ยองฮุนกลับยื่นมือออกมาราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ไม่สิ ถ้าจะให้พูดชัด ๆ
ก็คือมันดูไม่มีมารยาท
ถ้ายองฮุนอยู่คนเดียวก็คงไม่ยอมจับตอบ
แต่ตอนนี้ตนเป็นฝ่ายเชิญมาเองและประธานใหญ่ซงอึนแชก็อยู่ด้วย
จึงต้องยอมจับมือด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เวลาอาหารกลางวันพอดี
ทานข้าวหรือยังครับ”
“ข้าวไว้ทีหลังเถอะ
เพราะฉันไม่ได้ตั้งใจจะชวนคนที่กำลังยุ่ง ๆ มาทานข้าวแบบสบายใจ”
ปกติถ้าพูดแบบนี้ก็ต้องยอมทันที
แต่ยองฮุนกลับยักไหล่แล้วตอบ
“ทำยังไงดีล่ะครับ
พอดีแม่ยายผมอดข้าวไม่ได้ พวกเราคงต้องทานข้าวกันก่อน
ฝีมือเชฟของโรงแรมเราใช้ได้เลยนะครับ ถ้าจะทานแค่พวกเราก็คงแปลก
ๆมาทานด้วยกันสิครับ”
“ฝีมือเชฟโรงแรมนี่น่ะฉันรู้ดี เผลอ ๆ
ฉันอาจจะมาโรงแรมนี้บ่อยกว่านายด้วยซํ้า”
“ถ้างั้นก็น่าจะถูกปาก โล่งอกไปทีนะครับ”
จากนั้นยองฮุนก็เรียกพนักงานมาสั่งรูมเซอร์วิส
ท่าทางแบบนั้นทำให้ประธานใหญ่ชามยองจินโกรธจนแทบทนไม่ไหว
แต่พอมองหน้าประธานใหญ่ซงแล้วพยายามข่มอารมณ์อีกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น
คนที่รู้สึกเสียดายการนัดหมายในวันนี้ก็คือตัวเอง ไม่ใช่ฝั่งประธานใหญ่ซง
ดังนั้นเมื่อรูมเซอร์วิสขึ้นมาเสิร์ฟ
ประธานชามยองจินจึงต้องฝืนใจกินอาหารแม้จะไม่อยากอาหารก็ตาม
ประธานใหญ่ซงอึนแชคิดว่ายองฮุนคงมีเหตุผลที่ทำแบบนี้เลยทำเพียงแค่ยิ้มแล้วกินข้าวจนเสร็จ
“เหลือเยอะเลย
ไม่ใช่ว่าไม่ถูกปากใช่ไหมครับ”
“ไม่หรอก ฉันแค่ไม่ได้คิดจะมาทานข้าวกลางวันเฉย
ๆ เอาเถอะ ท่านประธานใหญ่ครับ”
“คะ?”
“ทราบใช่ไหมครับว่าน้องชายท่านประธานใหญ่กำลังสร้างปัญหาใหญ่ให้ผม”
“น้องชายฉันเหรอคะ”
“ไม่ทราบงั้นเหรอครับ”
ประธานใหญ่ซงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนจะพูด
“กำลังสอบสวนฉันอยู่เหรอคะ”
วินาทีนั้นประธานใหญ่ชามยองจินตระหนักได้ว่าตัวเองประเมินประธานใหญ่ซงตํ่าเกินไป
ปฏิกิริยาที่เย็นชากว่าที่คิดทำให้ประธานใหญ่ชาตอบอย่างสับสนเล็กน้อย
“สอบสวนอะไรกัน อย่าเข้าใจผิดสิครับ
ผมไม่ได้มีเจตนาอื่นเลย”
ประธานใหญ่ซงกอดอกมองสักพักแล้วพูด
“ฉันรู้ว่าก่อนหน้านี้มีคนสอนงานให้น้องชายตอนทำธุรกิจเงินกู้ในมยองดงค่ะแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อนก็เพิ่งรู้ว่าคนที่เคยสอนงานให้น้องฉันส่งสมุดบัญชีไปให้อัยการว่าแต่มันเกี่ยวอะไรกับประธานใหญ่ชาคะ”
“เกี่ยวครับ
เพราะสมุดบัญชีนั่นสร้างมาเพื่อเล่นงานผม”
ทั้ง ๆ ที่เห็นได้ชัดว่าตัวเองทำเรื่องทุจริต
แต่กลับทำเหมือนเป็นเหยื่อเสียเอง
“อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง แล้วยังไงต่อคะ”
“น้องชายท่านประธานใหญ่อาจจะถูกเหมารวมกับเรื่องนี้
จนต้องเดือดร้อนครั้งใหญ่ก็ได้นะครับ”
“อันนี้หมายความว่าให้ระวังตัว
หรือกำลังเตือนฉันอยู่คะ”
“ท่านประธานใหญ่ เราอย่าตั้งแง่ใส่กันเลยครับ
ต่างคนต่างมีขอบเขตของตัวเองอย่างชัดเจน
ผมไม่คิดจะข้ามเขตของท่านประธานใหญ่กับเอชเอสกรุ๊ปเลยนะครับ
ดังนั้นท่านประธานใหญ่ก็ควรช่วยรักษาเขตของผมด้วย”
หว่างคิ้วของประธานใหญ่ซงอึนแชขมวดแน่นขึ้น
ตอนนั้นยองฮุนที่นั่งฟังเงียบ ๆ ก็ยิ้มแปลก
ๆ ก่อนจะอ้าปากพูด
“แปลกมากเลยนะครับเนี่ย”
“หือ? หมายความว่ายังไง”
“ถ้าไปร้านอาหาร
บางทีก็จะมีคนเข้ามาขอความเมตตาจนทำให้รำคาญแต่คนที่เข้ามาขอความเมตตาเอง
อย่างน้อยก็ยื่นหมากฝรั่งออกมาสักชิ้นแล้วค่อยขอเงิน
แต่ท่านประธานใหญ่ทำแค่ขออย่างเดียวเหรอครับ”
“นายมองฉันเป็นขอทานงั้นเหรอ”
“ผมแค่เปรียบเปรยเฉย ๆ
อย่าเข้าใจผิดสิครับ”
ประธานใหญ่ชามยองจินโมโหมากจนสบถคำหยาบยังแทบไม่ออก
บทที่ 220 เดินเกมผิด (1)
“นายคิดว่าฉันโง่เหรอ อย่าเข้าใจผิดเนี่ยนะ”
ประธานใหญ่ชามยองจินชักสีหน้าอย่างแรงพร้อมกับขึ้นเสียง
ตัวใหญ่อยู่แล้วยังทำหน้าโหดอีก บางทีถ้าเป็นคนอื่นอาจจะกลัวจนสะดุ้งเฮือกไปแล้ว
แม้แต่ประธานใหญ่ซงอึนแชเองยังเผลอกระตุกมือไม่รู้ตัว
ทว่ายองฮุนกลับยิ้มเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไร
“ท่านประธานใหญ่ครับ เมื่อก่อนแค่ควบคุมการออกอากาศกับหนังสือพิมพ์มันก็อาจจะเปลี่ยนความคิดของประชาชนให้เป็นไปตามที่ท่านประธานใหญ่ต้องการได้
แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว เพราะโซเชียลมีเดียกับเว็บไซต์วิดีโอต่าง ๆ
ตอนนี้ไม่ใช่แค่อัยการ นักข่าว หรือนักธุรกิจเท่านั้นที่รู้ว่าท่านประธานใหญ่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแค่ไหน
แม้แต่พนักงานเสิร์ฟอาหารที่นี่ก็อาจจะรู้แล้วพากันซุบซิบนินทาอยู่ก็ได้ครับ
แต่ท่านประธานใหญ่กลับเอ่ยปากขอให้ช่วยง่าย ๆ
เหมือนแค่ช่วยเก็บกระดาษที่ร่วงแผ่นหนึ่ง แล้วจะไม่ให้ผมงงได้ยังไงครับ”
ประธานใหญ่ชามยองจินรู้สึกเหลือเชื่อและเหลืออดจนจับจุดไม่ถูกว่าควรจะโต้กลับอย่างไร
สมควรอึ้งเพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่เกิดมาที่ตัวเองโดนเด็กวัยรุ่นตำหนิกันซึ่ง
ๆ หน้าขนาดนี้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถทุบตีหรือสบถด่าตามนิสัยเดิมได้
จึงจำใจอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ในทางกลับกัน
ยองฮุนจงใจยั่วโมโหประธานใหญ่ชา โดยพื้นฐานแล้วอีกฝ่ายมีนิสัยขี้โมโหและหยิ่งยโส
ถ้ายอนฮีเกิดมาเป็นผู้ชายอาจจะมีนิสัยประมาณนี้เหมือนกัน
สาเหตุที่ยอนฮีไม่ได้มีนิสัยแย่ขนาดนั้น
เพราะตอนเด็ก ๆ เธอต้องระหก-ระเหินอยู่ข้างนอกโดยไม่ได้รับการเลี้ยงดูจากครอบครัวเนื่องจากเรื่องของน้องชายนั่นเอง
เรียกได้ว่าสภาพแวดล้อมรอบ ๆ
ตัวช่วยทำให้นิสัยของเธอไม่แย่ลงก็ได้
แต่ในกรณีของประธานใหญ่ชามยองจิน
เห็นได้ชัดว่าคงจะเป็นเพราะถูกคนรอบตัวเลี้ยงดูเหมือนเจ้าชายตั้งแต่เด็ก ๆ
จนนิสัยโดยพื้นฐานยํ่าแย่เกินเยียวยา
เหตุผลที่เขาตั้งใจดูถูกอีกฝ่าย
เนื่องจากคนที่มีบุคลิกหยิ่งยโสแบบนั้นหากเจอกับฝ่ายตรงข้ามที่ดูอ่อนแอก็จะยิ่งมีความมั่นใจและแข็งแกร่งขึ้น
“เฮอะ...ประธานใหญ่ซง
ดูเหมือนคนเป็นลูกเขยของท่านประธานใหญ่จะนิสัยแย่กว่าผมอีกนะครับ”
“พอดีลูกสาวฉันค่อนข้างนิสัยเสีย
เลยต้องคบกับผู้ชายนิสัยเหมือนตัวเองน่ะค่ะ ถ้าทำให้ไม่สบายใจก็ต้องขอโทษด้วย
เอาเป็นว่าฉันเข้าใจแล้วค่ะว่าประธานใหญ่ชาอยากจะพูดอะไร”
“...”
“หลังจากแต่งงานเข้าตระกูลอิม
ฉันเคยช่วยน้องชายครั้งเดียวตอนมาตั้งรกรากที่มยองดง
หลังจากนั้นจนถึงตอนนี้เจ้านั่นก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องเงินอีกเลยค่ะผู้หญิงคนอื่น ๆ
พอแต่งงานกับครอบครัวมหาเศรษฐีก็ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย เจ้านั่นกลับไม่เคยพึ่งพาฉัน
แต่สร้างทุกอย่างขึ้นมาด้วยตัวเอง แล้วก็คงกลัวว่าจะทำฉันเดือดร้อนไปด้วย
เพราะนอกจากช่วงเทศกาลแล้วก็ไม่เคยติดต่อมาเลยสักครั้งฉันก็เพิ่งรู้ว่าเขาสนิทกับคนที่ชื่อโจชียอนมากขนาดนั้นเหมือนกันค่ะ”
เมื่อบรรยากาศกลับมาเป็นปกติ (?)
ประธานใหญ่ชามยองจินก็พยายามกดข่มความโมโหลง
แต่คำพูดต่อมาของเธอทำให้ต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง
“ถ้าเจ้านั่นสร้างความเดือดร้อนให้ประธานใหญ่ชา
ฉันก็ขอโทษด้วยนะคะแต่ถึงอย่างนั้นฉันก็สั่งให้น้องทำนั่นทำนี่ไม่ได้หรอกค่ะ
ถ้าน้องฉันสนิทกับโจชียอนแล้วตัดสินใจจะช่วยเขา
ก็แสดงว่าคงจะมีเหตุผลให้ทำอย่างนั้น ฉันเชื่อในการตัดสินใจของน้องฉันค่ะ”
“ผมมองว่าคำพูดเมื่อกี้เป็นการประกาศว่าจะเป็นศัตรูกับผมได้ใช่ไหมครับ”
“ท่านประธานใหญ่แบ่งฝั่งง่ายดีนะคะ
ถ้าไม่ใช่มิตรก็คือศัตรู ก่อนหน้านี้อาจจะสบายใจได้เพราะอำนาจที่มีอยู่
แต่เรื่องคราวนี้มันยากเกินกว่าจะแก้ไขด้วยความคิดตื้น ๆ แบบนั้นค่ะ อ้อ
อันนี้ไม่ใช่คำเตือน เพราะฉะนั้นหวังว่าท่านประธานใหญ่จะไม่ได้รู้สึกแย่นะคะ”
“...”
ประธานใหญ่ซงอึนแชลุกขึ้นเหมือนไม่มีอะไรจะพูดแล้ว
“พอกินข้าวเสร็จแล้วก็ง่วงเลยนะเนี่ย
ท่าทางฉันคงต้องดื่มกาแฟสักแก้วแล้วกลับบริษัทแล้วละค่ะ
ส่วนเรื่องที่เหลือคุยกับกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนแทนแล้วกัน ขอตัวนะคะ”
เธอพูดอย่างนั้นก่อนจะผงกศีรษะแล้วเดินออกจากห้องไปจริง
ๆ
ประธานใหญ่ชามยองจินตกตะลึงกับสถานการณ์น่าเหลือเชื่อนี้
แล้วหันหน้าไปตามเสียงของยองฮุนที่ดังขึ้นอีกครั้ง
“เมื่อกี้คงจะได้ยินแล้ว
ท่านประธานใหญ่ของพวกผมไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเรื่องของน้องชายที่เกี่ยวข้องกับโจชียอน
และต่อให้ต้องกลายเป็นศัตรูกับเซยองกรุ๊ปก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมายครับ”
ประธานใหญ่ชามยองจินจ้องยองฮุนด้วยใบหน้าแดงกํ่า
แต่ยองฮุนก็พูดต่อโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร
“แถมเนื้อหาในสมุดบัญชีก็ร้ายแรงกว่าที่คิดไว้เยอะเลยครับ”
ประธานใหญ่ชาตกใจมาก แต่พยายามจะไม่แสดงออก
เพราะไม่รู้ว่าพูดถึงเนื้อหาของสมุดบัญชีตามในข่าว
หรือว่ารู้เนื้อหาทั้งหมดของสมุดบัญชีจริง ๆ กันแน่
“นั่นเป็นเรื่องที่โจชียอนแต่งขึ้นมาทั้งหมด”
“ผมไม่สนว่ามันจะจริงหรือไม่จริงหรอกครับ
เพราะไม่ได้มีเงินของพวกเราอยู่ในนั้น
แล้วก็ไม่ได้อยากรู้ด้วยว่าผู้บริหารของบริษัทอื่นจะทุจริตหรือเปล่า
แต่ถ้าพวกเราเปลี่ยนท่าทีว่าจะช่วยเหลือเซยองกรุ๊ป ความรู้สึกต่อต้านของประชาชนก็จะพุ่งมาหาพวกเราแทนครับ”
“นายคิดว่าประชาชนจะรู้หรือไงว่าเอชเอสกรุ๊ปช่วยพวกเราอยู่”
“ทำไมล่ะครับ
ถึงตอนนี้ประธานซงบยองชานจะกำลังช่วยโจชียอนอยู่
แต่ถ้าเหตุการณ์มันเกิดพลิกผันตามที่ท่านประธานใหญ่ต้องการ
ทางเคเอสซีที่เป็นผู้นำเสนอข่าวดังกล่าวก็ต้องพยายามหาว่าสาเหตุคืออะไรไม่ใช่เหรอครับ
ถ้าเป็นแบบนั้นยังไงก็ต้องรู้อยู่ดีครับว่าประธานซงบยองชานกับเอชเอสกรุ๊ปเกี่ยวข้องกัน”
“นายกำลังดันทุรังสินะ”
“ผมไม่ได้ดันทุรังครับ
ท่านประธานใหญ่ต่างหาก อีกอย่างผมได้ยินว่ามันไม่ใช่สมุดบัญชีทุจริตธรรมดา ๆ
แต่มีนักการเมือง รวมถึงนักกฎหมายอยู่ด้วยนี่ครับ”
ประธานใหญ่ชามยองจินต้องยอมรับอย่างไม่มีทางเลือกว่าหมดสิทธิ์เป็นผู้นำในการเจรจาแล้ว
“นายเชื่อเรื่องนั้นเหรอ”
“ผมเชื่อไหมไม่สำคัญ
แต่สำคัญที่ว่าประชาชนจะเชื่อหรือเปล่า ดังนั้นตอนนี้ท่านประธานใหญ่ของพวกผมเลยไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของเซยองครับ
ท่านประธานใหญ่เข้าใจใช่ไหมครับ”
พูดเหมือนตัวเองกับประธานใหญ่ซงอึนแชมีความคิดแตกต่างกัน
ดูจากการทำตัวไม่มีมารยาทมาจนถึงตอนนี้แล้วยังพูดเหมือนเป็นเรื่องของคนอื่นคนไกลอีก
จึงอดทึ่งกับความไร้ยางอายนี้ไม่ได้
“ถ้างั้นก็คุยจบแล้วสินะ”
ยองฮุนเกาศีรษะอย่างประหม่าก่อนจะพูด
“มันก็ควรจะจบแบบนี้ แต่มาเปิดอกพูดตรง ๆ
กันเถอะครับ”
“กันเถอะครับงั้นเหรอ...”
“ท่านประธานใหญ่ไม่ได้มาที่นี่แค่เพื่อระบายความโกรธใช่ไหมครับ
ถ้างั้นเรามาคุยกันแบบเปิดอกเลยดีกว่า ไม่ได้มาเพื่อขอให้ประธานใหญ่ซงช่วยบอกให้น้องชายเลิกยุ่งกับคดีโจชียอน
แต่มาขอให้หักหลังโจชียอนไม่ใช่เหรอครับ”
“...”
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นสินะครับ
ถ้าพูดออกมาตรง ๆ ตั้งแต่แรก เรื่องราวก็คงง่าย พอเอาแต่อ้อมไปอ้อมมา
บทสนทนาของเราก็ยิ่งออกนอกประเด็นไงครับ”
คำพูดมันแปลก ๆ
“ว่าไงนะ”
ก่อนหน้านี้ไม่นาน
ต่อให้ก่นด่าก็ยังไม่สาสมด้วยซํ้า แต่ทันทีที่เนื้อหาเปลี่ยนอย่างกะทันหัน
นํ้าเสียงของประธานใหญ่ชาก็เปลี่ยนเช่นกัน
“เห็นว่าประธานซงบยองชานศึกษาเรียนรู้งานอยู่ภายใต้อำนาจเจ้าหนี้นอกระบบที่ชื่อโจชียอนมานานครับ
ความสัมพันธ์เหมือนครูกับลูกศิษย์ ถ้าคิดจะตัดความสัมพันธ์แบบนั้น
ใช้แค่คำพูดอย่างเดียวมันพอเหรอครับ”
คำพูดที่พรั่งพรูออกมาโดยไม่หยุดพัก
ทำให้ประธานใหญ่ชาคาดเดาไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้คิดอะไรอยู่ในใจกันแน่
เรียกว่าตบหัวแล้วลูบหลังงั้นเหรอ
แต่วาทศิลป์ไม่ธรรมดาเลย
ท่าทางการพูดคุยอย่างไม่ลังเลเหมือนพนักงานขายประกัน
และไม่แสดงความประหม่าเลยสักนิดทั้ง ๆ ที่อยู่ต่อหน้าตนช่างน่าประหลาดใจ
“แล้วนายต้องการอะไร”
“ผมได้ยินมาว่าถึงเซยองกรุ๊ปจะโด่งดังด้านการออกอากาศกับหนังสือพิมพ์แต่สิ่งที่ทำเงินได้จริง
ๆ คือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครับ”
“เฮอะ...แล้วยังไง”
“ประธานซงบยองชานเพิ่งซื้อที่ดินลานจอดรถจากโจชียอนครับ
คงจะเสียดายเพราะเอาที่ดินดี ๆ ไปใช้เป็นลานจอดรถเฉย ๆ
โดยที่ไม่ได้ทำอะไรความสัมพันธ์ระหว่างโจชียอนกับประธานซงบยองชานเป็นอย่างนั้นแหละครับดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างครูกับลูกศิษย์
แต่สุดท้ายก็เป็นความสัมพันธ์ที่เอื้อประโยชน์ต่อกันและกัน
ถ้าให้ท่านประธานใหญ่ชาเข้าไปแทรกระหว่างนั้นดีไหมครับ
ตัวอย่างเช่น...อืม...ผมได้ยินว่าเซยองมีตึกเก่าในจงโน ถูกต้องไหมครับ”
“หมายถึงตึกตรงซาจิกเหรอ”
“อ้อ ย่านซาจิก ใช่ครับ”
ตอนพนักงานฝ่ายวางแผนและประสานงานตรวจสอบเกี่ยวกับเซยองกรุ๊ปมีการดึงข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ในครอบครองมาด้วย
ตึกที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือตึกเก่าที่ตั้งอยู่ในย่านซาจิก
แม้ว่ามูลค่าปัจจุบันจะไม่เท่าไร
แต่ถ้าหลังจากนั้นมีการรีโนเวตหรือรื้อสร้างใหม่ทั้งหมดให้สูงขึ้น
ก็จะเป็นตึกที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นหลายเท่า
“ฮ่า ๆ ๆ! นายนี่มันบ้าจริง ๆ สินะ
รู้หรือเปล่าว่ามันราคาเท่าไหร่”
“ไม่รู้ครับ”
“ไม่รู้งั้นเหรอ”
“ครับ ผมไม่รู้
แต่อยากรู้เพิ่มอีกอย่างหนึ่ง ค่าตัวของท่านประธานใหญ่เท่าไหร่เหรอครับ”
ประธานใหญ่ชามยองจินแปลกใจกับความกล้าหาญของชายหนุ่มตรงหน้าจนอ้าปากค้าง
เพราะไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่าจะมีคนมาพูดจาข่มขู่กันซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้
ประธานใหญ่ชาระบายยิ้มพร้อมกับอดทนไม่ให้ซัดหน้าชายหนุ่มที่จ้องหน้ากันอยู่
“นายรับมือกับคำพูดของตัวเองไหวใช่ไหม”
“ยังอยู่ในศตวรรษที่ยี่สิบอยู่เหรอครับ”
“...”
“เอาละ ผมเชื่อว่าท่านประธานใหญ่เข้าใจ ถ้างั้นมาคุยเรื่องของเราต่อนะครับ”
“เรา? แล้วก่อนหน้านี้คือเรื่องของใคร”
“ของประธานซงบยองชานไงครับ
คิดว่าถ้าไม่ได้ตึกที่ซาจิก
ประธานซงจะยอมทรยศคนที่ตัวเองเคยติดตามเหมือนเป็นครูเหรอครับ”
ประธานใหญ่ชาจึงพูดด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่ายอมแพ้
“รู้ไหมว่าตึกเก่าที่ซาจิกนั่นราคาเท่าไหร่
เกินห้าหมื่นล้านเลยนะ”
“ประมาณนั้นก็เหมาะสมนี่ครับ”
“เฮอะ...โอเค ไหนพูดต่อซิ”
ยองฮุนพูดทันทีเหมือนรออยู่
“อย่างที่ท่านประธานใหญ่ทราบครับ
ฮยอนจินการท่องเที่ยวกลายเป็นครอบครัวของเอชเอสกรุ๊ปและเปลี่ยนชื่อเป็นเอชเอสการท่องเที่ยวแล้ว
สำหรับพวกเราที่มีโรงแรมระดับห้าดาวจำนวนมาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
รวมถึงในโซลนั้น มีเรื่องหนึ่งที่รู้สึกเสียดายอยู่นิดหน่อยครับ
เราไม่มีรีสอร์ตที่ตั้งอยู่ในสถานที่พักผ่อนหย่อนใจเลย
เพราะยังไงโรงแรมกับรีสอร์ตก็มีรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกันครับ”
ประธานใหญ่ชามยองจินเอนศีรษะไปด้านหลังสักพักเหมือนโดนดึงท้ายทอยก่อนจะถาม
“นายกำลังขอฮันคยองรีสอร์ตอยู่เหรอ”
“เครือรีสอร์ตที่ดีที่สุดของประเทศเราคือฮันคยองรีสอร์ตนี่ครับ
ผมคิดว่ามันเป็นรีสอร์ตที่สร้างขึ้นมาได้ดีมาก”
“ไอ้บ้าเอ๊ย...นายไม่ใช่ซงบยองชานสักหน่อย
ทำไมฉันต้องให้นายด้วยล่ะ”
“ผมได้ยินมาว่าโลกทุกวันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
บริษัทจัดจำหน่ายทำกำไรได้มากกว่าคนที่สร้างมันขึ้นมา
จนกลายเป็นธุรกิจที่น่าสนใจครับ ถ้าท่านประธานใหญ่ซงช่วยพูดให้ระหว่างนั้น
น้องชายก็ต้องยอมฟังไม่ใช่เหรอครับ”
ถึงจะพูดเหมือนอยากได้มาก ๆ ยองฮุนก็ไม่ได้สนใจรีสอร์ตขนาดนั้น
แน่นอนว่ามีก็ดีกว่าไม่มี
แต่ไม่ได้อยากได้จนถึงขนาดต้องบีบบังคับแย่งมา
เพียงแต่ควรทำประมาณนี้
จิตใจของโจชียอนถึงจะผ่อนคลายลงได้เล็กน้อยอีกอย่างเขาก็ต้องการให้บทลงโทษเล็ก ๆ
น้อย ๆ กับครอบครัวที่น่ารังเกียจแบบนี้ด้วย
ดังนั้นต่อให้จะได้รับรีสอร์ตในภายหลัง
เอชเอสกรุ๊ปก็ไม่ได้คิดจะครอบครอง
บางทีประธานซงบยองชานอาจจะได้ไปก็ได้นะ
ถ้าหากประธานซงบยองชานรับรู้ถึงความคิดนี้
คงจะดีใจจนกระโดดโลดเต้นแน่นอน
“ค่าตอบแทนคือฮันคยองรีสอร์ตงั้นเหรอ
นายไม่ได้คำนวณอะไรพลาดใช่ไหม”
“ฮ่า ๆ ๆ! อาจจะดูเป็นแบบนั้นก็ได้นะครับ
เพราะมุมมองของแต่ละคนแตกต่างกัน ถ้าการคำนวณออกมาไม่เหมือนกันก็ต้องเข้าใจสิ
ถือว่ารับทราบตรงกันนะครับ
หวังว่าท่านประธานใหญ่จะใช้บริการโรงแรมของเราเป็นอย่างดีครับ”
“เฮอะ...”
ประธานใหญ่ชามยองจินมองยองฮุนลุกขึ้นโดยไม่มีการโต้แย้งแม้แต่นิดแถมยังไม่กล้ารั้งไว้ด้วย
“ถ้างั้นเดินทางปลอดภัยนะครับ”
ยองฮุนโค้งเก้าสิบองศาให้ประธานใหญ่ชาที่กำลังหน้าดำหน้าแดงแล้วออกจากห้องสวีตไปอย่างนั้น
“ไอ้ลูกหมาเอ๊ย...”
ประธานใหญ่ชามยองจินที่ถูกทิ้งไว้ลำพัง
เพราะทำลายข้าวของไม่ได้ เลยได้แต่โวยวายอยู่คนเดียว ก่อนจะเปิดประตูตะโกนออกไปข้างนอก
“เฮ้ย ไอ้เวร!”
“ครับ ท่านประธานใหญ่!”
หัวหน้าฝ่ายซงจียงที่รออยู่ข้างนอกรีบวิ่งเข้ามาทันที
“นายไปสืบเรื่องเกี่ยวกับไอ้กรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนนั่นมาให้ละเอียดเดี๋ยวนี้
แล้วบอกฮยองซอกที่อยู่ซาจิกว่า ฉันจะขายตึกตรงซาจิก”
“ครับ? เดี๋ยวครับ
คุณฮยองซอกคงจะไม่พอใจมาก...”
“ตอนนี้มันใช่เวลามาห่วงความรู้สึกฮยองซอกหรือไง
ไอ้เวรนี่ยังตั้งสติไม่ได้อีก...”
“ขอโทษครับ”
ประธานใหญ่ชามยองจินกระฟัดกระเฟียดแล้วเดินผ่านซงจียงออกไป
หัวหน้าฝ่ายซงจียงกัดริมฝีปากพร้อมกับกำหมัดแล้วคลายออกอยู่ซํ้า
ๆจากนั้นก็ถอนหายใจและจัดการกับความรู้สึกก่อนจะรีบตามประธานใหญ่ชาไป
บทที่ 221 เดินเกมผิด (2)
เมื่อกลับมาถึงบริษัท ประธานใหญ่ซงอึนแชที่เก็บความสงสัยเอาไว้ก็เรียกพบยองฮุนทันที
ยองฮุนแวะมาที่ฝ่ายวางแผนและประสานงานก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องประธานใหญ่
เพราะคิดว่าต้องสงสัยแน่นอน
“เธอออกมายังไง”
ประธานใหญ่ซงอึนแชถามด้วยความกังวล
เธอได้รับการรายงานทุกอย่างจากยองฮุนเรียบร้อยแล้ว
ก่อนโจชียอนจะปรากฏตัวที่สำนักงานอัยการ
แม้จะไม่ได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับน้องชาย
แต่เธอก็กังวลมากเมื่อได้ยินว่าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของโจชียอน
“ผมคิดว่าสถานการณ์น่าจะหนักอยู่นะครับ
ขนาดผมค่อนข้างดันทุรังเขาก็นั่งติดที่ไม่ลุกหนีเลย ทั้ง ๆ ที่นิสัยแบบนั้น”
“แค่มองก็รู้แล้วว่านิสัยแย่ใช่ไหม”
“ครับ แววตาอำมหิตมาก”
“ฮู่...ถ้าสามีฉันมีนิสัยแบบนั้น
ฉันคงจะหย่าทันทีแน่ ไม่สนเงินหรืออะไรทั้งนั้น
น่าสงสารลูกสาวของเจ้าหนี้นอกระบบที่ชื่อโจชียอนนะ
เพราะแบบนี้ไงผู้ชายถึงต้องเจอผู้หญิงดี ๆ ผู้หญิงเองก็ต้องเจอผู้ชายดี ๆ
เหมือนกัน ฉันดีใจมากที่ลูกเขยชเวของพวกเราเป็นสุภาพบุรุษ”
“ฮ่า ๆ งั้นเหรอครับ”
“อือ จริง ๆ นะ
เพราะผู้ชายที่แย่ที่สุดในบรรดาผู้ชาย
ก็คือผู้ชายที่ง้างมือแล้วพูดจาหยาบคายใส่ผู้หญิง”
“ใช่ครับ”
“แล้วเธอดันทุรังเรื่องอะไร”
ยองฮุนทำหน้าเขิน ๆ ก่อนจะพูด
“ผมขอตึกตรงซาจิกที่เซยองกรุ๊ปครอบครองอยู่ครับ
บอกว่าจะใช้มันโน้มน้าวประธานซงบยองชาน”
“ตึกเหรอ ราคาเท่าไหร่”
“ได้ยินว่าเกินห้าหมื่นล้านครับ”
“ห้าหมื่นล้าน...ก็ดันทุรังจริง ๆ
นั่นแหละ แต่มันไม่ใช่ตึกที่แพงที่สุดของพวกเขาใช่ไหม”
“ครับ
พวกเขามีตึกที่ใหญ่กว่านั้นอยู่สองสามแห่ง
แต่ผมกลัวจะโดนตบหน้าถ้าขอตึกมูลค่าสูงพวกนั้นเลยลดระดับลงมาครับ”
“แหม~ พูดตรง ๆ
แค่นี้ก็เกือบโดนตบแล้ว”
“เพราะเป็นโรงแรมของเราเลยลองเสี่ยงดูครับ
ถ้าไม่ใช่โรงแรมเราคงจะน่ากลัวมากจริง ๆ”
ประธานใหญ่ซงอึนแชหัวเราะคิกคัก
“ฮ่า ๆ ๆ! ก็ใช่น่ะสิ
เมื่อกี้ฉันก็กลัวเหมือนกัน ไม่รู้เพราะได้ยินว่าเคยฆ่าคนหรือเปล่า
ถึงยิ่งดูน่ากลัวกว่าเดิม ตอนเขาตะโกน ฉันเกือบเรียกบอดี้การ์ดแล้ว”
“เพราะฉะนั้นผมเลยวางคนไว้ชั้นล่างเผื่อไว้ครับ
ต่อให้เกิดอะไรขึ้นจริง ๆคงไม่ใช่เรื่องใหญ่มาก”
“ยังไงก็มีปัญหาอยู่ดี”
ยองฮุนหัวเราะแบบฝืน ๆ
ก่อนจะกลับเข้าประเด็นหลักอีกครั้ง
“พอผมบอกว่าจะเอาตึกตรงซาจิกมาเกลี้ยกล่อมประธานซงบยองชานเขาก็โกรธจนตัวสั่นเลยครับ
อาจจะเพราะเป็นคนที่รู้สถานการณ์ของการฟ้องร้องดีกว่าใคร
ถึงมองว่าถ้าแก้ปัญหาผ่านพวกเราได้ก็จะเป็นการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดครับ”
“ความคิดของลูกเขยชเวถูกต้อง
การไปสู้ให้ชนะที่ศาล น่าจะเป็นแผนสุดท้าย
เพราะวิธีที่ดีที่สุดคือการแก้ปัญหาเงียบ ๆ เหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
“เพื่อทำแบบนั้น
การทำให้สมุดบัญชีหรือคำให้การของโจชียอนกลายเป็นปัญหาก็คงจะดีที่สุดครับ”
“ถ้างั้นจะใช้ตึกตรงซาจิกโน้มน้าวเหรอ”
“ไม่ครับ”
“แล้วยังไง”
“ผมบอกว่าตึกตรงซาจิกจะมอบให้ประธานซงบยองชาน
ส่วนพวกเราก็ต้องการค่านายหน้าที่มากพอ ๆ กับการทำงานหนักครับ”
“ค่านายหน้าเหรอ ประมาณเท่าไหร่”
“ผมขอฮันคยองรีสอร์ตของเซยองดีเวลลอปเมนต์ที่ครอบครองทรัพย์สินแท้จริงส่วนใหญ่ภายในเซยองกรุ๊ปครับ”
ประธานใหญ่ซงอึนแชอ้าปากค้าง
“ฮันคยองรีสอร์ต? อย่าบอกนะว่าขอฮันคยองรีสอร์ตทั้งหมด”
“ครับ”
“มันมากเกินไปแล้ว
ต่อให้ตัวเองโดนฆ่าทิ้งก็ไม่ยกให้หรอกมั้ง ถึงฉันเป็นเขาก็ให้ทั้งหมดไม่ได้หรอก
นั่นมันราคาตั้งเท่าไหร่ รีสอร์ตแห่งเดียวแพงกว่าตึกตรงซาจิกเยอะมาก
ขอแล้วจะได้เหรอ”
“ผมรู้อยู่แล้วครับว่าไม่ให้
แต่ถ้าไม่ให้ก็คงทนต่อไปไม่ไหวหรอกครับ”
“มีวิธีเหรอ”
“ก็แค่ทำให้สถานการณ์เป็นอย่างนั้นครับ”
ยองฮุนพูดแค่นั้น
ประธานใหญ่ชามยองจินเป็นคนที่มีศักดิ์ศรีสูงมากจนไม่มีทางทนต่อความยากลำบากที่ได้รับจากสื่อหรืออัยการได้
คนเราถ้าอาหารไม่อร่อย บางคนจะคิดว่า
‘ถึงอย่างนั้นก็เป็นอาหารมื้อหนึ่ง’แล้วกินแค่พออิ่มท้อง แต่บางคนกลับปฏิเสธอาหารโดยบอกว่าไม่กินเลยยังจะดีกว่า
การฝ่าฟันความยากลำบากก็เช่นเดียวกัน
บางคนหัวเราะและข้ามผ่านความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
ในขณะที่บางคนไม่สามารถทนกับคำดูถูกที่พุ่งใส่ตัวเองได้แม้แต่นิดเดียว
คนคนนั้นคือประธานใหญ่ชามยองจิน
ตอนนี้อาจจะคิดว่าไม่สมเหตุสมผลเลยปฏิเสธ
แต่ถ้าเข้าไปในสำนักงานอัยการแล้วถูกสอบสวนทั้งคืนหลาย ๆ ครั้ง
ได้ฟังคำพูดไม่สุภาพจากอัยการอายุน้อย ๆ ก็คงจะสติแตก
“อยากรู้จัง แต่คงไม่บอกใช่ไหม”
“ผมไม่ใช่พระเจ้า
จะรู้ได้ยังไงล่ะครับว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น
แค่พยายามสร้างสถานการณ์ให้เป็นแบบนั้นเฉย ๆ ครับ”
“โอเค
งั้นฉันจะรอดูอย่างใจจดใจจ่อแล้วกัน”
“ฮ่า ๆ ได้ครับ”
ประธานใหญ่ซงอึนแชตัดสินใจจะอดทนต่อความสงสัยด้วยความยินดี
เพราะถ้ายอมรอ
ลูกเขยของเธอก็มักจะนำความสำเร็จที่เหนือความคาดหมายมาให้เสมอ
“ขายอะไร ลุงเสียสติไปแล้วเหรอ”
บนชั้นห้าของซองวอนบิลดิ้งเจ้าปัญหาที่ตั้งอยู่ในย่านซาจิก
หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของเซยองดีเวลลอปเมนต์อย่างชาฮยองซอกชักสีหน้าใส่ซงจียงที่อายุมากกว่าตัวเองหลายปี
ถ้าดูจากรูปปากแล้วคงไม่แปลกหากจะมีคำหยาบหลุดออกมา
แต่หัวหน้าฝ่ายซงจียงก็พยายามควบคุมสีหน้าของตัวเองและข่มความโกรธที่พุ่งขึ้นมา
“นี่เป็นการตัดสินใจของท่านประธานใหญ่ครับ
ท่านสั่งให้ผมมาปรึกษากับทนายเพื่อดำเนินการขายตึก”
“ทำไมต้องขายด้วย
ถ้าจะขายก็รื้อสร้างใหม่สิ
รู้ไหมว่าถ้าสร้างที่นี่ใหม่มันต่อเพิ่มขึ้นไปได้อีกตั้งกี่ชั้น
แล้วราคาตึกจะสูงขึ้นแค่ไหน”
ชาฮยองซอกตบหน้าอกของซงจียง
ซงจียงคิดในใจว่าพฤติกรรมแบบนี้เหมือนพ่อเขาชัด
ๆ
“ท่านประธานใหญ่เป็นคนตัดสินใจทั้งหมดครับ
ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมถึงขายตึก”
“อะไรนะ ตาบอดหรือไง
คนที่สแตนด์บายอยู่ข้าง ๆ
พ่อตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงบอกว่าไม่รู้ว่าทำไมพ่อถึงขายเนี่ยนะ ล้อเล่นหรือเปล่าเนี่ย”
“ท่านประธานใหญ่ตัดสินใจหลังจากพบกับประธานใหญ่ซงอึนแชของเอชเอสกรุ๊ป
ผมคิดว่าน่าจะมีข้อตกลงบางอย่างกับเอชเอสกรุ๊ปนะครับ”
“ข้อตกลง? พวกเราจะไปทำข้อตกลงอะไรกับพวกเอชเอส”
“ดูเหมือนว่า...”
“ดูเหมือนว่าอะไร”
“ท่านประธานใหญ่ได้รับความเดือดร้อนจากสมุดบัญชีที่โจชียอนส่งให้อัยการครั้งนี้
จึงขอความช่วยเหลือจากเอชเอสกรุ๊ปครับ
เอชเอสกรุ๊ปน่าจะขอตึกที่ซาจิกแลกกับการช่วยเหลือ...”
ชาฮยองซอกตวาดเสียงดังก่อนซงจียงจะพูดจบ
“โอ๊ย! เวรเอ๊ย! น่ารำคาญฉิบหาย”
สุดท้ายก็เริ่มเตะเก้าอี้กับโต๊ะทำงานรอบ ๆ จนพวกพนักงานตกใจแล้วรีบหนีออกจากออฟฟิศ
หลังจากที่ฟาดงวงฟาดงาอยู่พักหนึ่ง
ชาฮยองซอกก็อ้าปากถามพร้อมกับโยนเศษอุปกรณ์สำนักงานที่แตกทิ้งส่ง ๆ
“เอชเอสกรุ๊ปจะช่วยเราได้ยังไง”
ซงจียงตอบเหมือนรอให้ความโกรธสงบลงในระดับหนึ่ง
“คนที่คอยช่วยเหลือโจชียอนอย่างใกล้ชิดเสมอ...”
“มีคนคอยช่วยเหลือคนแก่แบบนั้นด้วยเหรอ”
“เอ่อ ครับ มีครับ”
“พูดต่อสิ”
“คนที่คอยช่วยโจชียอนคือซงบยองชาน
คนที่เพิ่งซื้อกิจการธนาคารออมทรัพย์คังมยองของโจชียอนเมื่อไม่นานมานี้ครับ”
“ซื้อกิจการ? อะไร
ไหนว่าเป็นผู้ช่วย งั้นก็เป็นคนมีเงินเยอะสินะ”
“เขาไม่ได้ทำงานเหมือนลูกจ้างตั้งแต่แรก
แต่น่าจะสอนให้ทำงานเหมือนเป็นครูกับลูกศิษย์ครับ”
ชาฮยองซอกนั่งโต๊ะของพนักงานที่วิ่งหนีออกไปและแอบดูรูปของพนักงานคนนั้น
“หึ! ประสาท
ครูกับลูกศิษย์อะไรกัน...ตาแก่นั่นดูหนังกำลังภายในเยอะหรือไง ไร้สาระชะมัด”
“แต่ประธานธนาคารออมทรัพย์ที่ชื่อซงบยองชานนั่น
เป็นน้องชายแท้ ๆของประธานใหญ่ซงอึนแช เอชเอสกรุ๊ปครับ”
ชาฮยองซอกค่อย ๆ ละสายตาจากรูปพนักงานหญิง
“น้องชายของประธานใหญ่ซงงั้นเหรอ
น้องชายของประธานใหญ่เอชเอสกรุ๊ปเรียนรู้งานจากเจ้าหนี้นอกระบบเนี่ยนะ
เรื่องบ้าบออะไรกัน”
“ประธานใหญ่ซงอึนแชเพิ่งก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้บริหารได้ไม่กี่ปีครับ
ยังไม่ถึงสามปีด้วยซํ้า
ก่อนหน้านั้นไม่ต่างอะไรจากแม่บ้านที่แต่งงานเข้าตระกูลมหาเศรษฐี”
ฮยองซอกยกมุมปากขึ้นแล้วกระแนะกระแหน
“แม่บ้านที่ทำแต่งานบ้านงั้นเหรอ
ระหว่างที่ฉันไปอเมริกากลับมา ประเทศเกาหลีดีขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย
แม่บ้านที่ทำแต่งานบ้านมาทั้งชีวิตกลายเป็นประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ได้
หรือว่ามีสกิลบริหารติดตัวมาตั้งแต่เกิดหรือไง สตีฟ จ๊อบส์เวอร์ชันเกาหลีชัด ๆ”
“ดูจากการขยายฮยอนจินการผลิตมาได้ถึงขนาดนั้น
ท่าทางจะไม่ได้ไร้ความสามารถนะครับ”
“ลุงเป็นคนดีซะจริง ๆ
ดูจากการประเมินผู้หญิงที่กำลังอ้างความชอบธรรมเพื่อจะฮุบตึกที่เป็นที่สุดของที่สุดในสถานการณ์นี้น่ะ”
แค่หงอต่อหน้าสิงโตเท่านั้น
แต่เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น ไฮยีน่าดุร้ายอย่างตนจะเรียกว่าเป็นคนดีได้ที่ไหนกัน
ซงจียงรู้สึกว่ามันเหลวไหล
แต่ก็เปลี่ยนเรื่องเพื่อลดคำพูดไร้สาระ
“ยังไงก็ตาม
ถ้าหากประธานใหญ่ซงอึนแชสั่งให้น้องชายทำลายความน่าเชื่อถือของหลักฐานในสมุดบัญชี
หรือเปิดโปงอดีตหรือการกระทำที่ผิดกฎหมายของโจชียอน
มันจะทำให้จัดการสถานการณ์ได้ง่ายขึ้นครับ
ดูเหมือนท่านประธานใหญ่จะตกลงเพราะเรื่องนี้”
ชาฮยองซอกเอนศีรษะไปข้างหลังด้วยท่าทางเดียวกับพ่ออย่างประธานใหญ่ชามยองจิน
“โอ๊ย~ โธ่โว้ย
ปวดหัวชะมัด ถ้างั้นแปลว่าต้องยอมปล่อยตึกนี้จริง ๆ เหรอ”
“ท่านประธานใหญ่ตัดสินใจแล้ว
น่าจะเปลี่ยนใจยากครับ”
“ฮู่...”
เขากัดเล็บมืออย่างงุ่นง่าน
ปัจจุบันแค่เฉพาะมูลค่าตึกก็เกินห้าหมื่นล้าน
ค่าเช่าต่อเดือนอย่างเดียวก็ได้เดือนละร้อยล้าน
เนื่องจากเป็นตึกที่ค่อนข้างมีอายุพอสมควร
ถ้าไล่บริษัทที่อยู่มาหลายปีออกแล้วรื้อสร้างใหม่
อย่างน้อยตึกนี้ก็จะกลายเป็นตึกที่มีมูลค่ามากกว่าแสนล้านวอนแต่พอโดนแย่งไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้ก็รู้สึกเสียดายจนยากจะข่มตานอนได้
แค่นอนไม่หลับอย่างเดียวงั้นเหรอ
ไม่แค้นจนตรอมใจตายก็บุญแล้ว
ตึกนี้เป็นตึกที่พ่อยกให้เขาเป็นของขวัญวันเกิดตอนอายุสิบห้าปี
ทั้ง ๆ ที่มันเป็นของเขา
แล้วทำไมถึงยกให้คนอื่นโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเขาล่ะ
ฮยองซอกไม่อาจยอมรับได้
“ไม่ว่ายังไงก็ไม่ได้”
“ครับ?”
“ลุง พ่อไม่ได้พูดเรื่องอื่นอีกเหรอ
แค่บอกว่าให้แล้วก็จบหรือไง”
“อ๋อ
สั่งให้ผมไปสืบเรื่องของกรรมการผู้จัดการฝ่ายวางแผนและประสานงานของเอชเอสกรุ๊ปมาครับ”
“กรรมการผู้จัดการฝ่ายวางแผนและประสานงานของเอชเอสกรุ๊ปเหรอ”
ฮยองซอกได้สติขึ้นมาทันที
หมอนั่นคือคนที่เขาเคยส่งวังกาฮีไปดักจับไม่ใช่เหรอ
“ครับ ตอนนั้นท่านประธานใหญ่โกรธจัด
ดูเหมือนกรรมการผู้จัดการคนนั้นจะทำให้ท่านประธานใหญ่หงุดหงิดมาก
อีกอย่างตอนนั้นประธานใหญ่ซงอึนแชของเอชเอสกรุ๊ปก็ขอตัวกลับก่อน
ที่ท่านประธานใหญ่ตัดสินใจทำแบบนี้ก็เป็นหลังจากคุยกับกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนอยู่สักพัก
จึงมีความเป็นไปได้สูงว่ากรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนจะเกี่ยวข้องกับข้อตกลงการขายตึกครั้งนี้ครับ”
แทบไม่ต่างอะไรกับการฟ้องว่ากรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนเป็นคนบีบบังคับ
พอเป็นอย่างนี้
แน่นอนว่าฮยองซอกทนอยู่เฉยไม่ได้
“มันบ้าหรือไง
คิดว่าตัวเองเป็นประธานบริษัทเหรอ ฉันจะไปหามันเดี๋ยวนี้เลย บอกมันด้วย”
“หมายถึงกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนเหรอครับ
ถ้าไปหาโดยที่ไม่ได้นัดอาจจะไม่ได้เจอนะครับ”
“มันจะไม่มาพบฉันงั้นเหรอ
ถ้างั้นก็บอกไปว่าเราไม่ขายตึก แล้วฉันจะต้องได้เจอมันตอนนี้ ถ้าไม่ยอมโผล่หน้ามาเจอ
มันตายแน่”
ชาฮยองซอกชี้หน้าซงจียงพร้อมกับข่มขู่
ก่อนจะก้าวเดินไปที่ลานจอดรถอย่างมั่นใจ
เชื่อว่าหัวหน้าฝ่ายซงจียงคงไม่ส่งต่อคำว่า
‘ตาย’ นั่นแน่นอน
“ใครมานะครับ”
ยองฮุนถามอย่างงงงวย
มินฮีเองก็ตอบอย่างอารมณ์เสีย
“อยู่ ๆ เขาก็จะมาพบกรรมการผู้จัดการค่ะ
บอกว่าต้องพบให้ได้ ให้อยู่ตรงนั้นห้ามไปไหนเด็ดขาด พูดเหมือนคนจะมาทวงเงิน
ฟังแล้วรู้สึกแย่มากเลยค่ะ”
“ใครเป็นคนโทร.มาครับ”
“หัวหน้าฝ่ายเลขาฯซงจียงของเซยองกรุ๊ปค่ะ”
“ซงจียงงั้นเหรอ...”
เขาเคยได้ยินมาจากโจชียอนก่อนหน้านี้
ซงจียงเป็นคนรับผิดชอบงานยาก ๆ
ทุกอย่างเหมือนเป็นหมาล่าเนื้อของเซยองกรุ๊ป นิสัยโหดเหี้ยมอำมหิต
จนมีคนพูดกันว่าหากอายุสักสามสิบ คงมีคนสงสัยว่าเจ้าตัวเป็นลูกชายลับ ๆ
ของประธานใหญ่ชามยองจินแน่นอน
“จะทำยังไงดีคะ”
“บอกให้เขามาเลยครับ
เจอกันที่ห้องประชุมชั้นหก”
“รับทราบค่ะ เดี๋ยวฉันจองห้องไว้ให้”
“อ้อ แล้วก็...”
“คะ?”
“บอกให้คนที่ชื่อซงจียงคนนั้นขึ้นมาด้วยนะครับ”
ตอนพบกับประธานใหญ่ชาที่โรงแรม
เขาคิดอยู่ว่าอยากเห็นดวงชะตาของคนคนนี้ที่เจอกันแค่ผ่าน ๆ
บทที่ 222 เดินเกมผิด (3)
ณ สำนักงานใหญ่ ของเอชเอสการผลิตที่ตั้งอยู่ในย่านอึลจีโร
เนื่องจากเอชเอสการผลิตยังคงใช้ตึกเดิม
เมื่อเทียบกับบริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ เลยดูไม่เหมือนบริษัทใหญ่เท่าที่ควร
เพราะภาพลักษณ์ของตัวอาคารไม่ค่อยงดงามเท่าไรนัก
ดังนั้นเมื่อช่วงต้นปีเลยมีการกล่าวกันว่าควรจะซื้อตึกใหม่
ควรจะรีโนเวตตึกเดิม แต่การตัดสินใจเกี่ยวกับตึกสำนักงานใหญ่ก็โดนเลื่อนออกไป
เพราะบริษัทยังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
และกลัวว่าจะเป็นการเปิดแชมเปญก่อนโดยใช่เหตุหรือเปล่า
บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมสีหน้าของชาฮยองซอกเมื่อมาถึงตึกสำนักงานใหญ่ของเอชเอสการผลิตถึงมีความสบายใจแฝงอยู่
หลังจากได้รับแจ้งจากพนักงานตรงล็อบบี้
หัวหน้าฝ่ายซงจียงก็เดินเข้ามาหาฮยองซอกที่กำลังสำรวจภายในตัวอาคารแล้วกล่าว
“ขึ้นไปได้เลยครับ”
“ได้เงินมาแล้วมันไหลออกรูหรือไง
สภาพดูไม่ได้เลย”
“ใช่ครับ
ถ้าเทียบกับตึกเอซตรงชินซาที่เพิ่งสร้างเมื่อปีที่แล้ว ตึกนี้ก็เหมือนตึกสมัยปีแปดแปดเลยครับ”
“น่าจะสร้างก่อนปีแปดแปดอีกมั้ง
หรือไม่ใช่ เอาเหอะ ลุงรออยู่ตรงนี้แล้วกัน”
“คือว่า...”
“ทำไม”
“กรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนบอกว่าให้ผมไปด้วยน่ะครับ”
“เรียกลุงด้วยงั้นเหรอ”
“ครับ”
“ทำไม ลุงมีอะไรกับคนชื่อชเวยองฮุนหรือไง”
ซงจียงรีบโบกมือทันที
“ไม่มีครับ ผมยังไม่เคยคุยด้วยสักครั้ง
แค่ทักทายผ่าน ๆ ตอนเจอกับประธานใหญ่ซงอึนแชเท่านั้นครับ”
“แล้วทำไมต้องชวนลุงไปด้วย
นี่มันกำลังดูถูกผมหรือเปล่า”
“ครับ?”
“เป็นไปได้แฮะ ลองคิดดูนะ
มันเรียกลุงมาคุยด้วยเพราะคิดว่าผมยังเด็กไงไม่งั้นจะเรียกลุงไปด้วยเพื่ออะไรล่ะ
ดูถูกกันชัด ๆ”
“...งั้นให้ผมรอตรงนี้ไหมครับ”
ต่อให้มาถึงที่นี่ด้วยความโกรธ
เขาก็รู้ว่าใครกุมความเป็นผู้นำในการนัดหมายครั้งนี้
“ไม่ต้อง เรียกแล้วก็ขึ้นไปเถอะ”
ชาฮยองซอกบ่นพึมพำอยู่สักพัก แต่พอพนักงานต้อนรับหญิงนำทางให้ก็ยิ้มกว้างเหมือนไม่เคยอารมณ์เสียมาก่อน
เขาส่งยิ้มอบอุ่นอย่างกับเป็นคนละคนระหว่างขึ้นลิฟต์ไปพร้อมกับเหล่าพนักงานของเอชเอสการผลิตจนถึงชั้นหก
“กรรมการผู้จัดการกำลังรออยู่ค่ะ”
มินฮีได้รับแจ้งจากพนักงานจึงมารออยู่หน้าลิฟต์ชั้นหก
เธอก้มศีรษะและนำทางให้
ใบหน้าสวย ๆ
กับรูปร่างผอมเพรียวอย่างหาตัวจับยาก
ทำให้ฮยองซอกเดินตามหลังอย่างผ่อนคลายพร้อมกับชื่นชมรูปร่างของเธอ
“ที่นี่ค่ะ”
“อ้อ ครับ ขอบคุณนะครับ”
หลังจากก้มศีรษะให้เล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนแล้วเปิดประตูเข้าไปภาพชายหนุ่มที่ยืนมองออกไปนอกหน้าต่างก็ปรากฏสู่สายตา
ฮยองซอกเยาะเย้ยในใจว่าจะไปโชว์ที่ไหน
แต่ก็ทักทายตามมารยาทโดยไม่แสดงท่าทางเย้ยหยันออกมา
“ขอโทษที่อยู่ ๆ
ก็แจ้งว่าจะมาหาอย่างกะทันหันนะครับ ผมชาฮยองซอกครับ”
“ชเวยองฮุนครับ”
ยองฮุนจับมือกับฮยองซอกก่อนจะหันหน้าไปทางซงจียง
“คนนี้คือ...”
“เอ่อ ครับ ผมซงจียงครับ”
“หัวหน้าฝ่ายเลขาฯใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ
ตอนเจอกันที่โรงแรมคราวก่อนไม่ได้มีจังหวะพูดคุยกันเลย
ผมเลยให้มาด้วยเพราะคิดว่าอย่างน้อยก็ควรทักทายกันไว้สักหน่อยไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
“ครับ แน่นอนครับ”
“ทั้งสองคนเชิญนั่งก่อนครับ คุณมินฮี
รบกวนเอาชามาให้หน่อยครับ”
ก่อนมินฮีจะนำชามาเสิร์ฟ
ยองฮุนเพียงแค่มองทั้งสองคนนิ่ง ๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไร
ทั้ง ๆ
ที่ควรจะมีข้อสงสัยมากมายว่ามีธุระอะไร
ทำไมถึงอยากเจอตัวเองเกิดอะไรขึ้นกับเซยองกรุ๊ปหรือเปล่า แต่กลับทำเพียงแค่มองเฉย
ๆ เท่านั้น
หัวหน้าฝ่ายซงจียงสับสนกับสายตาแปลก ๆ นั่น
น่าแปลกที่พอเห็นสายตาของยองฮุนก็ให้ความรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายมองหัวใจของตนจนทะลุปรุโปร่ง
อีกด้านหนึ่ง
ฮยองซอกกำลังคิดอย่างจริงจังว่าควรจะเกริ่นอย่างไรให้ตัวเองเป็นฝ่ายได้เปรียบในความเงียบอันแปลกประหลาดนี้ดี
ถ้าปิดปากเงียบแล้วอยู่เฉย ๆ ก็อีกเรื่อง
แต่ถ้าบุกมาหาด้วยตัวเองขนาดนี้แล้วไม่ได้ผลประโยชน์อะไรกลับไปเลย
มันคงเป็นเรื่องขายหน้า ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้ได้
ดังนั้นสายตาแปลก ๆ
ของยองฮุนจึงยิ่งทำให้ประหม่าเข้าไปอีก
ผ่านไปประมาณห้านาที ทันทีที่มินฮีนำชาเข้ามาเสิร์ฟ
ยองฮุนก็ชี้ไปที่ชาแล้วกล่าว
“ดื่มสิครับ
พอดีกรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนของบริษัทเราไปทำงานที่สวิตเซอร์แลนด์แล้วเอาชาดี ๆ
กลับมาด้วย เขาให้ผมเป็นของขวัญ
ผมเลยนำมาเสิร์ฟทุกครั้งเวลามีแขกคนสำคัญมาน่ะครับ”
ฮยองซอกคิดในใจว่าเสียเวลาอธิบายเรื่องไร้สาระ
“ขอบคุณครับ ผมจะดื่มอย่างดีเลยครับ”
และยองฮุนก็ยังไม่ได้ถามอยู่ดีว่ามาทำไม
ในทางกลับกัน ยองฮุนค่อย ๆ กวนประสาทฮยองซอก
ด้วยการจ้องหน้าซงจียงแทนฮยองซอก เป็นต้น
ด้วยความคิดว่าหากอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ
เรื่องราวอาจจะยิ่งยืดเยื้อฮยองซอกจึงกระแอมแล้วเริ่มเข้าเรื่อง
“อะแฮ่ม...ไม่ใช่อะไรหรอกครับ
พอดีผมได้ยินเรื่องแปลก ๆ มาเลยคิดว่าไม่น่าใช่แล้ว ถึงได้มาหาแบบนี้น่ะครับ
ผมไม่อยากจะเชื่อเลย...”
ยองฮุนขัดก่อนอีกฝ่ายจะพูดยืดยาว
“อ๋อ หมายถึงตึกตรงซาจิกเหรอครับ”
“ครับ”
“เรื่องนั้นคงทำให้หัวหน้าฝ่ายไม่สบายใจสินะครับ”
“พูดตามตรงก็ใช่ครับ”
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องทำสิครับ
เพราะถึงยังไงท่านประธานใหญ่ชาเองก็ถามว่าจำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอ
แล้วบอกว่าจะลองคิดดูอีกทีอยู่แล้ว
ผมคิดว่าถ้าเป็นตึกตรงซาจิกก็คงเป็นข้อตกลงที่ดีพอสมควร
แต่ถ้ามันทำให้หัวหน้าฝ่ายของเซยองดีเวลลอปเมนต์ตกใจจนต้องวิ่งออกมาเท้าเปล่าแบบนี้
ผมก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นก็ได้ครับ”
จัดการเรียบเรียงอย่างสมบูรณ์แบบจนไม่มีอะไรจะพูดต่อ
ทำเอาฮยองซอกถึงกับอึ้ง
ตลอดการเดินทางมาที่นี่
ฮยองซอกคิดหนักมากว่าควรจะให้อะไรทดแทนตึกตรงซาจิกดี เพื่อให้ข้อตกลงนี้จบลงอย่างสวยงาม
แต่นึกไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะควํ่าดีลไปเลย
มันมีมูลค่ามหาศาลขนาดไหนหากสร้างใหม่จะมีมูลค่าถึงแสนล้าน แต่กลับทิ้งตึกนั้นง่าย
ๆ อย่างนั้น คิดไม่ถึงเลยว่าจะแค่ยอมแพ้ไปเฉย ๆ
“ถ้างั้น...”
“ครับ ผมคิดผิดเอง
ฝากบอกท่านประธานใหญ่ว่าให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะครับ”
ตอนนั้นนั่นเองฮยองซอกถึงตระหนักขึ้นมาได้อีกครั้งว่าเดิมทีแล้วข้อตกลงนี้เป็นคำขอของใคร
ถึงจะมาเพราะความเสียดายซองวอนบิลดิ้งในย่านซาจิกจนไม่อาจยกให้ใครแต่ก็ไม่พร้อมจะส่งพ่อเข้าคุกเช่นกัน
“คือว่า...อย่าทำแบบนั้นเลย
ถ้าพูดถึงอย่างอื่นที่ไม่ใช่ซองวอนบิลดิ้งตรงซาจิก มันก็พอเป็นไปได้นะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องพิจารณาก็ได้
พวกผมไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เร่งรีบจนต้องทำข้อตกลงที่น่าอึดอัดใจครับ”
พอพูดอย่างนั้นพร้อมรอยยิ้มเป็นนัย ๆ
ฮยองซอกก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังปั่นหัวกันอยู่
สีหน้าของยองฮุนชัดเจนมาก
จนถึงขั้นต่อให้เป็นคนที่โดนรอบข้างพูดใส่ว่าไม่มีเซนส์ก็ยังรับรู้ได้ในทันที
แน่นอนว่าฮยองซอกโกรธ
แต่พอมองย้อนกลับมาในสถานการณ์ปัจจุบันแล้วก็หมดคำจะพูดจนต้องกลับคำ
“ขอโทษครับ ผมขอโทษ ผมคิดผิดเองครับ”
“หมายถึงอะไรครับ”
“ผมนึกว่าจะเปลี่ยนเงื่อนไขของข้อตกลงได้ครับ”
ยอมรับความผิดของตัวเองง่ายกว่าที่คิด
ยองฮุนอยากจะแกล้งมากกว่านี้
แต่ในเมื่อยอมรับผิดแบบนั้น อารมณ์อยากแกล้งก็หายไป รู้สึกเสียดายนิดหน่อย
“ใช่ครับ
เพราะมันเป็นข้อตกลงที่เอียงไปที่ฝั่งหนึ่ง อืม ผมทราบดีครับว่าตึกนั้นสำคัญกับหัวหน้าฝ่ายมาก
แต่ผมคิดว่าสถานการณ์ที่พวกคุณกำลังเผชิญมันตึงมือเกินกว่าจะมาหวงของสำคัญนะครับ”
“โอเคครับ
ผมตั้งใจจะเสนออย่างอื่นแทนซองวอนบิลดิ้ง แต่ในเมื่อกรรมการผู้จัดการบอกว่าไม่ได้
ผมก็ขอถอนคำพูดครับ”
ถึงจะบอกว่าเป็นของที่เตรียมมาทดแทนซองวอนบิลดิ้ง
แต่อย่าพูดถึงหมื่นล้านเลย
คิดจะเกลี้ยกล่อมด้วยงานศิลปะมูลค่าไม่เกินสามสี่พันล้านด้วยซํ้าฮยองซอกจึงไม่กล้าพูดออกมาว่าคิดอย่างนั้น
“หัวหน้าฝ่ายชาฮยองซอกไม่มีสิทธิ์ยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงข้อตกลงนี้ครับเพราะมันเป็นข้อตกลงระหว่างผมกับประธานใหญ่ชามยองจิน”
“อ๋อ...ถ้างั้นหมายความว่าไม่ได้คิดจะฟังคำพูดของผมตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมครับ”
“ไม่ใช่ไม่ฟัง
แต่แค่สงสัยว่าจะพูดอะไรต่างหากครับ น่าสนใจมากทีเดียว”
“เฮอะ...นี่มันปั่นหัวผมชัด ๆ เลยนะ
สนุกไหมครับ”
ยองฮุนฉีกยิ้มก่อนจะพูด
“จะว่าไปแล้ว
ช่วยออกไปก่อนสักครู่ได้ไหมครับ”
ชั่วขณะนั้นชาฮยองซอกคิดว่าตัวเองได้ยินผิด
“อะไรนะครับ”
“พอดีผมมีเรื่องจะคุยกับหัวหน้าฝ่ายซงจียงตามลำพังน่ะครับ
กรุณาช่วยออกไปก่อนได้ไหมครับ”
จะพูดเหลวไหลอะไรก็ควรมีขอบเขต
แต่ตอนนี้กลับไล่เจ้านายออกไปข้างนอกแล้วบอกว่าจะคุยกับลูกน้อง
ฮยองซอกอดกลั้นคำสบถที่เกือบจะหลุดออกมาอย่างยากลำบาก
“คิดจะทำอะไรครับ ไม่สิ...”
“ผมไม่ได้จะคุยเรื่องสำคัญกับหัวหน้าฝ่ายซงจียงหรอกครับ
เพราะฉะนั้นผมจะคุยธุระสั้น ๆ กับเขาแล้วปล่อยตัวออกไป ไม่โอเคเหรอครับ”
“เดี๋ยว...”
ถ้าคิดอย่างนั้นก็ควรจะบอกกันก่อนสิ...
หลังจากด่าในใจว่าทำให้คนอื่นต้องขายหน้า
สุดท้ายฮยองซอกก็พยักหน้า
“โอเคครับ แค่แป๊บเดียวใช่ไหม”
“ครับ”
“อะแฮ่ม...”
เมื่อชาฮยองซอกออกจากห้องประชุมไปแล้ว
จึงเหลือเพียงยองฮุนกับหัวหน้าฝ่ายซงจียงแค่สองคน
ยองฮุนจึงถามซงจียงที่กำลังนั่งเครียดเงียบ
ๆ
“ชีวิตมันเหนื่อยใช่ไหมครับ”
“ครับ?”
“เปล่า...ผมแค่คิดว่ามันคงเหนื่อยมากกับการตามดูแลคนรวยนิสัยเอาแต่ใจน่ะครับ”
“อ๋อ ครับ...แล้ว...”
“เห็นว่าท่าทางลำบากเลยอยากทักทายเฉย ๆ
ครับ แล้วก็สงสัยเรื่องหนึ่งด้วย”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“ถ้าทำงานให้ประธานใหญ่ชามยองจินมานาน
ก็คงจะเรียนรู้อะไรมาเยอะเลยสินะครับ”
“ประมาณนั้นครับ”
“อืม...ประธานใหญ่ชามยองจินใจกว้างน่าดูเลยนะครับ
ผมนึกว่าวันนั้นตัวเองจะโดนชกสักหมัดด้วยซํ้า”
“...”
“หัวหน้าฝ่ายคงจะเหนื่อยมาก แต่ผมว่านะ
ถ้าเอาคนที่มีมนุษยธรรมแล้วพูดจารู้เรื่องมากกว่านี้หน่อยมาบริหารบริษัท
มันคงจะดีกว่าครับ”
“ครับ? หมายความว่ายังไง...”
“ผมแค่คิดอย่างนั้นเฉย ๆ
ออกไปได้แล้วละครับ”
คำไล่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ซงจียงลุกขึ้นด้วยสีหน้างง
ๆ ก่อนจะเดินออกไป
เพราะรู้ว่าเป็นคำพูดที่มีความหมายแฝง
และก็คงจะแปลก ๆ หากถามรายละเอียดเพิ่มเติมตรงนั้น
ชาฮยองซอกที่กำลังรออยู่ข้างนอกจึงเดินเข้าไปในห้องประชุมอีกครั้ง
โดยอดกลั้นความรู้สึกที่อยากถามว่าคุยเรื่องอะไรกันเอาไว้ก่อน
แม้จะคิดว่านี่มันเรื่องบ้าอะไร
แต่ก็กลับไปนั่งที่เดิม ทำตัวตามนํ้าไปก่อน
เมื่อฮยองซอกนั่งลงแล้ว
ยองฮุนก็จมอยู่กับความคิดสักพักถึงอ้าปากพูด
“ถึงไม่ให้ซองวอนบิลดิ้งตรงซาจิกกับพวกผม
ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้ปัญหานี้เลยครับ”
“มีวิธีอื่นเหรอครับ”
“ครับ”
“มันคืออะไรครับ”
“ผมบอกได้นะ
แต่ไม่รู้ว่าหัวหน้าฝ่ายจะคิดยังไงครับ จริง ๆ ผมพูดด้วยความหวังดี
ถ้าหากมันทำให้หัวหน้าฝ่ายเข้าใจผิดขึ้นมา ผมคงจะลำบากใจมากครับ”
“โอเคครับ ผมไม่เข้าใจผิดหรอก
พูดมาเถอะครับ”
ยองฮุนเอียงศีรษะก่อนจะพูด
“จากที่ได้ยินมา
ความสัมพันธ์ของประธานใหญ่ชามยองจินกับโจชียอนไม่มีวันกลับมาญาติดีกันได้
ถึงผมจะไม่รู้รายละเอียด แต่คงไม่ใช่เรื่องผิดใจกันธรรมดา ๆ สินะครับ”
ฮยองซอกอ้อมแอ้มสีหน้างุนงงเล็กน้อย
“อืม ก็ประมาณนั้นแหละครับ
มาจนถึงตอนนี้แล้วมันสำคัญอะไร...”
“ใช่ครับ สิ่งสำคัญไม่ใช่เรื่องนั้น
สำคัญแค่ว่าความแค้นนั้นมันหยั่งรากลึกเกินกว่าจะเยียวยาได้
แหล่งข่าวภายในสำนักงานอัยการของพวกเราก็หูตาไวพอ ๆ กับเซยองกรุ๊ปครับ
แล้วผมก็รู้ด้วยว่าตอนนี้อัยการกำลังสืบสวนคดีนี้ด้วยความรู้สึกแบบไหน”
“อยากพูดอะไรกันแน่ครับ”
“บางทีประธานใหญ่ชามยองจินคงหนีการจับกุมไม่ได้ครับ”
“เดี๋ยวนะ
ไม่ใช่ว่าขอซองวอนบิลดิ้งเพื่อช่วยขัดขวางเรื่องนั้นเหรอครับ”
“การยกตึกให้แล้วขัดขวางเรื่องนั้น
สุดท้ายมันเป็นประโยชน์กับคุณจริง ๆเหรอครับ”
ฮยองซอกผงะ
“ว่าไงนะครับ”
“ผมพูดทุกอย่างจบแล้วครับ
ครั้งหน้าคงไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องบุกมาหากันกะทันหันแบบนี้อีกนะครับ”
ยองฮุนลุกขึ้นทันที
ฮยองซอกกำลังสับสน
แต่รีบคว้าแขนของยองฮุนที่กำลังจะเปิดประตูออกไปเอาไว้
จากนั้นก็ขมวดคิ้วและถาม
“พูดถึงอะไรกันแน่ครับ มันเป็นประโยชน์ยังไง”
“ก็เข้าใจคำพูดของผมนี่ครับ
หวังว่าคุณจะลองคิดให้ดีว่าเรื่องนั้นมันเป็นประโยชน์ต่อคุณจริง ๆ หรือเปล่า
แล้วจัดการอย่างชาญฉลาดนะครับ เชิญกลับเถอะครับ”
ยองฮุนยิ้มก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปอย่างนั้น
บทที่ 223 กระจัดกระจาย (1)
ภายในรถ ระหว่างทางกลับซองวอนบิลดิ้งในย่านซาจิก
ฮยองซอกลืมความตั้งใจแรกที่จะถามว่าซงจียงคุยอะไรกับยองฮุนไปโดยปริยาย
ถึงมันจะเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดของกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนทำให้จิตใจเขาไขว้เขว
ถ้าหากไม่ช่วยพ่อ...
พอคิดว่าไม่ใช่เพียงแค่ซองวอนบิลดิ้งที่ไม่ต่างอะไรกับของของตัวเองอยู่แล้วแต่จะได้เซยองกรุ๊ปทั้งหมดมาอยู่ในมือตัวเอง
เขาก็ตื่นเต้นจนมือสั่นไปหมด
แต่ในทางกลับกันก็หวาดกลัวด้วย
คนที่รู้ดีที่สุดในประเทศเกาหลีว่าพ่อเป็นคนน่ากลัวขนาดไหนก็คือตัวเขาเองและพอโตขึ้นก็ได้เรียนรู้ความโหดร้ายอำมหิตของพ่อ
ดังนั้นจึงรู้ว่าหากคิดทรยศพ่อแล้วทำพลาด
ความจริงที่ตัวเองรับมือไม่ไหวก็จะถาโถมเข้าใส่
เรียกได้ว่ารู้สึกเหมือนความคาดหวังกับความหวาดกลัวกำลังเขย่าประสาทส่วนปลายอยู่
หลังจากนั้น
ทันทีที่เห็นซองวอนบิลดิ้งอยู่ไกล ๆ ถึงได้สติกลับมา
“ลุง”
“ครับ?”
“เมื่อกี้คุยอะไรกับกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนเหรอ”
หัวหน้าซงจียงตกใจมาก
แต่พยายามตอบเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร
“เขาเห็นว่าผมดูแลท่านประธานใหญ่ก็เลย...ถูกใจน่ะครับ
เลยมาถามว่าสนใจไปทำงานเคียงข้างประธานใหญ่ซงอึนแชหรือเปล่า แค่นั้นครับ”
“อะไรนะ งั้นลุงจะออกจากบริษัทเราเหรอ”
“ไม่ใช่ครับ ไม่มีทางเป็นอย่างนั้น
ผมปฏิเสธครับ”
“ทำไมล่ะ
ผมคิดว่าเขาน่าจะเสนอเงินให้เยอะนะ”
“ท่านประธานใหญ่มีบุญคุณช่วยเลี้ยงดูผม
ผมจะย้ายไปได้ยังไงครับ”
“บุญคุณเลยเหรอ...แต่ถ้าดูตามความเป็นจริง
จะเรียกบุญคุณก็ถูกแหละพ่อผมเลี้ยงคนที่ไม่ต่างกับพวกอันธพาลอย่างลุงจนเป็นหัวหน้าฝ่ายเลขาฯ
ช่วยทำให้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมานี่นา”
หัวหน้าซงจียงหมดคำจะพูด
แค่ทำงานเพราะเงิน จะเรียกว่าใครเลี้ยงใคร
เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังทำเรื่องสกปรก ๆ
เหมือนตอนใช้ชีวิตเป็นอันธพาลอยู่ดี
ทว่าน่าแปลกที่รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นกว่าตอนก่อนจะพบกับกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุน
เมื่อก่อนพอได้ฟังคำพูดเหล่านี้ก็โมโหอยู่บ่อย
ๆ สุดท้ายก็ปล่อยผ่านเพราะคิดแค่ว่าต้องอดทนทำงานต่อ
แต่กลับสลัดคำพูดสุดท้ายของกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนออกจากหัวไม่ได้
“แน่นอนครับ ถูกต้องแล้ว”
ดังนั้นระหว่างที่ตอบกลับเหมือนมันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว
มือที่กำพวงมาลัยรถก็เกร็งอย่างไม่รู้ตัว
“ไม่ใช่ว่าพูดแบบนั้นแล้วทรยศกันทีหลังใช่ไหม”
หัวหน้าฝ่ายซงจียงแอบใจกระตุก
“พูดอะไรครับ”
“ล้อเล่นน่า”
ถึงในความเป็นจริงฮยองซอกจะเป็นคนพูดคำว่าทรยศออกมาเอง
แต่รู้สึกแทงใจตัวเองโดยใช่เหตุด้วย
เพราะกำลังคิดถึงการทรยศพ่ออยู่ก็เลยเผลอถามว่าจะไม่ทรยศกันใช่ไหมออกมาไม่รู้ตัว
แต่พอพูดออกมาแล้วกลับรู้สึกว่าการทรยศมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย
เขาเอนศีรษะไปด้านหลังแล้วมองซองวอนบิลดิ้งที่เห็นนอกกระจกรถก่อนจะเปิดปากพูด
“ลุง”
“ครับ?”
“อัยการทำให้พ่อลำบากมากไหม”
“ดูเหมือนสมุดบัญชีที่เป็นหลักฐานจะร้ายแรงมาก
ต่อให้จับมือกับสำนักงานกฎหมายที่ดีที่สุดของเกาหลีก็อาจจะรอดยากอยู่ดีครับ แม้แต่ภายในสำนักงานอัยการเองก็ได้ยินตลอดว่าพวกเขากัดฟันแน่นในการสืบสวนครั้งนี้ท่านประธานใหญ่ถึงมองว่าวิธีที่ดีที่สุดคือการรับความช่วยเหลือจากเอชเอสกรุ๊ปเพื่อจัดการกับต้นตอของปัญหาครับ”
“อย่างนั้นสินะ...แต่เหมือนที่พูดเมื่อกี้นี้
กรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนของเอชเอสการผลิตบอกว่ามันยากจะออกหน้าให้นี่นา
เราควรจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดีล่ะ”
หัวหน้าฝ่ายซงจียงรู้สึกแปลก ๆ
กับคำถามของชาฮยองซอก
ควรจะทำอย่างไรดีงั้นเหรอ...
มันเป็นสถานการณ์ที่ต้องให้เอชเอสการผลิตเคลื่อนไหวเท่านั้น
ถึงจะขัดขวางการจับกุมท่านประธานใหญ่ได้ไม่ใช่เหรอ
เพราะฉะนั้นเมื่อครู่นี้ที่ไปขอซองวอนบิลดิ้งคืนในห้องประชุมของเอชเอสการผลิตถึงได้โดนตอกกลับอยู่ฝ่ายเดียวจนพูดอะไรไม่ถูก
แต่ตอนนี้กลับมาพูดว่าจะทำอย่างไรดีเนี่ยนะ
“ไม่รู้สิครับ
ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องโน้มน้าวกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนหรือประธานใหญ่ซงอึนแชของเอชเอสกรุ๊ปให้ได้ไม่ใช่เหรอครับ”
“ถ้าโน้มน้าวได้มันก็ดี
แต่ถ้าโน้มน้าวไม่ได้จะทำยังไงล่ะ
เมื่อกี้ไม่ได้ยินที่กรรมการผู้จัดการชเวพูดกับผมเหรอ เขาบอกว่าจะไม่ช่วยนี่นา”
“ทั้งสองคนคุยอะไรกันข้างในกันแน่...”
“จะคุยอะไรล่ะ
เขาบอกว่าประธานใหญ่ซงเปลี่ยนใจแล้ว จะให้ซองวอนบิลดิ้งหรืออะไรก็ไม่เอาทั้งนั้นน่ะสิ”
“เอ่อ จริงเหรอครับ”
ซงจียงรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าชาฮยองซอกกำลังโกหก
แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงโกหก
ได้แต่เดาว่าคงจะมีข้อตกลงลับ ๆ
ระหว่างทั้งสองคน
“งั้นคิดว่าจะมีเหตุผลอื่นอีกหรือไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ”
“จะว่าไปก็แปลว่าลุงไม่มีไอเดียใช่ไหม”
“ครับ...เดี๋ยวผมจะลองคิดดู”
“ไม่ต้องหรอก ผมจะหวังอะไรจากลุงได้”
ฮยองซอกหัวเราะเยาะซงจียงแล้วหันไปมองนอกกระจกรถ
ขาของเขาสั่นระริกจนทำให้รู้ว่าจิตใจกำลังกระวนกระวายและตื่นเต้นมากแค่ไหน
ต้องทำอย่างไรถึงจะไม่โดนถูกจับได้ก่อนพ่อถูกจับกุมแล้วผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างราบรื่น
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้แล้ว
ว่าจะยกซองวอนบิลดิ้งให้เป็นค่าตอบแทนคำขอร้องว่าอย่าช่วยพ่อ
“ฮยองซอกไปเอชเอสการผลิตงั้นเหรอ”
หลังจากส่งชาฮยองซอกลงที่ซองวอนบิลดิ้งแล้วกลับมาถึง
ซงจียงก็รายงานต่อประธานใหญ่ชามยองจินทันที
ประธานใหญ่ชามีแววตากังวลว่าลูกชายจะไปสร้างเรื่องที่เอชเอสการผลิตอีกหรือเปล่า
“ครับ ไปคุยกับกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุน
ฝ่ายวางแผนและประสานงานเรื่องซองวอนบิลดิ้งครับ”
“หึ! ไอ้เด็กนั่นไม่นึกถึงพ่อมันเลย
พอได้ยินว่าจะยกตึกให้ก็ไปเลยสินะชเวยองฮุนว่ายังไงบ้าง หมอนั่นไม่น่าจะเคี้ยวง่ายนะ”
ถึงจะเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว
แต่ประธานใหญ่ชามยองจินไม่เคยเจอคนที่สั่นคลอนหัวใจคนอื่นได้เหมือนหมอนั่นมาก่อน
ไม่ได้รู้สึกเหมือนกำลังคุยกับชายหนุ่มอายุสามสิบ
แต่เหมือนคนมากเล่ห์ที่ตีหน้าซื่อจนคาดเดาความรู้สึกไม่ได้ และมีประสบการณ์มานานเฉกเช่นโจชียอน
ดังนั้นจึงไม่เชื่อว่าลูกชายที่ยังอารมณ์แปรปรวนและเอาแต่ใจจะรับมือไหว
หัวหน้าฝ่ายซงจียงตอบสีหน้าเคร่งเครียด
“เก็บเกี่ยวอะไรไม่ได้เลยครับ
ในทางกลับกัน พอเขาบอกว่าประธานใหญ่ซงอึนแชปฏิเสธซองวอนบิลดิ้ง
แล้วให้ทำเหมือนเรื่องทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้น คุณชายก็ตกใจเลยบอกให้ดำเนินข้อตกลงต่อโดยมีซองวอนบิลดิ้งเป็นเงื่อนไขตามเดิมครับ”
“ไปทำตัวขายขี้หน้ามาสินะ
แบบนี้ฉันจะฝากกรุ๊ปไว้ได้หรือไง อึกับเต้าเจี้ยวยังแยกไม่ออกเลย”
“ถ้าเป็นเพราะเรื่องอื่น ผมไม่ทราบนะครับ
แต่ผมคิดว่าเป็นเพราะซองวอนบิลดิ้งที่คุณฮยองซอกได้รับเป็นของขวัญวันเกิดกลายเป็นเงื่อนไขข้อตกลงจิตใจเลยกระวนกระวายจนทัศนวิสัยแคบลงครับ”
“ไม่ต้องฝืนเข้าข้างมันหรอก”
ประธานใหญ่ชามยองจินพูดพลางโยนไม้กอล์ฟให้ซงจียงหลังฝึกพัตต์เสร็จ
“แต่ต่อให้ลูกชายฉันจะหัวร้อน
ฉันก็จำเป็นต้องให้ไอ้ชเวยองฮุนอะไรนั่นช่วยอยู่ดี อ้อ
แล้วเรื่องที่ฉันให้ไปสืบล่ะ”
หัวหน้าฝ่ายซงจียงหยิบสมุดบันทึกออกมาแล้วเริ่มอ่าน
“เขาเพิ่งเข้ามาทำงานเป็นพนักงานใหม่ของฮยอนจินการผลิต
ซึ่งเป็นชื่อเดิมของเอชเอสการผลิตเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว
แต่ประวัติก่อนหน้านั้นแทบจะไม่มีเลยครับ”
“หา เพิ่งเข้ามาเป็นพนักงานใหม่เมื่อสองปีที่แล้วงั้นเหรอ
แต่ตอนนี้เป็นกรรมการผู้จัดการ เพราะจีบลูกสาวของประธานใหญ่ซงหรือไง”
“ดังนั้น
เมื่อปีที่แล้วนักข่าวของเราจึงพยายามจะเขียนข่าวเกี่ยวกับเอชเอสแต่ทางเอชเอสกรุ๊ปปฏิเสธเสียงแข็งเลยครับ
บอกว่าไม่ให้เขียนเพราะเป็นเรื่องส่วนตัว สำนักข่าวของเราเลยไม่ได้แตะต้องอะไรมากกว่านี้ครับ”
“แล้วอะไรอีก”
“ยากจะพูดว่าเขาแค่ได้แฟนดีอย่างเดียว
เพราะมีข่าวลือว่าความสามารถของเขายอดเยี่ยมมากครับ
ลือกันว่าขนาดในบริษัทก็ไม่มีผู้บริหารหรือพนักงานคนไหนที่ไม่ยอมรับในความสามารถของกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุน
แม้จะเคยมีการโพสต์ถึงความไม่พอใจเกี่ยวกับสวัสดิการหรือสภาพแวดล้อมการทำงานภายในกรุ๊ป
บนเว็บบอร์ดนิรนามที่รวบรวมเหล่าพนักงานของบริษัทขนาดใหญ่แต่ทุกคนต่างตะลึงจนพูดไม่ออกเกี่ยวกับความสามารถของกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนครับ”
ประธานใหญ่ชามยองจินพยักหน้า
บางทีถ้าเป็นช่วงเวลาก่อนจะได้เจอกัน
เขาคงจะคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลกับการเผยความสามารถแบบนั้นทั้ง ๆ
ที่เพิ่งเข้าบริษัทมาได้ปีเดียว
แต่หลังจากที่ได้เจอแล้วก็รู้สึกว่าคำอธิบายนั้นสมเหตุสมผลดี
“ประธานใหญ่ซงอึนแชโชคดีนะเนี่ย”
“ดังนั้นจึงมีข่าวลือว่าเวลาไปออกงานสังคม
ประธานใหญ่ซงเองจะชอบอวดลูกเขยมากครับ”
“ครอบครัวล่ะ”
“หาอะไรไม่เจอเลยครับ
ประวัติการศึกษาก็ด้วย แต่ได้ยินว่าตอนแต่งงานไม่มีใครนั่งเก้าอี้พ่อแม่ของเขา
เดาว่าอาจจะเป็นเด็กกำพร้าครับ”
“มันก็เป็นไปได้...”
ประธานใหญ่ชามยองจินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเปิดปากพูด
“ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาพวกเด็กกำพร้าน่ะ
ชอบเวลาได้กิน ได้นอน และได้รับความรักที่สุดแล้ว
เพราะชีวิตไม่เคยได้รับสามสิ่งนั้นอย่างเต็มที่มาก่อน
มีอะไรในนั้นที่พวกเราสามารถให้ได้บ้าง”
“บางทีอาจจะต้องการเงินเพื่อกินอิ่มนอนหลับหรือเปล่าครับ”
“อืม ถึงรีสอร์ตจะใหญ่ แต่ให้บริษัทไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร
ลองหาวิธีเอารีสอร์ตที่ยางยางให้ชเวยองฮุนเป็นการส่วนตัวดูสิ”
“เอ่อ...หมายความว่าไม่ใช่ฮันคยองรีสอร์ตทั้งหมด
แต่ยกเฉพาะฮันคยองรีสอร์ตที่ยางยางให้เจ้าตัวใช่ไหมครับ”
“ใช่ ให้ทั้งหมดมันไม่สมเหตุสมผลเลย
ให้แค่ที่เดียวก็ปวดใจจะแย่แล้ว...”
“ผมจะลองหาดูครับ แต่ว่า...”
“แต่อะไร”
“ปกติแล้วในกรณีแบบนี้
กับคนที่อาจกลายเป็นปัญหาอย่างกรรมการผู้จัดการชเว
ท่านประธานใหญ่จะพยายามใช้กำลังจัดการมาตลอด แต่คราวนี้มีเหตุผลอื่นเหรอครับ”
ประธานใหญ่ชายกมุมปากข้างหนึ่งขึ้น
“หึ...จำไว้ให้ดี ถึงจะเป็นแค่เด็กกำพร้า
แต่หมอนั่นก็มีเอชเอสกรุ๊ปทั้งหมดหนุนหลังอยู่ แถมยังเป็นคนฉลาดอีก
คนฉลาดและมีแบ็กดีแบบนั้น ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ต้องดึงมาเป็นพวกให้ได้
เพราะฉะนั้นต้องใช้ทุกวิถีทางเกลี้ยกล่อมหมอนั่นให้สำเร็จ”
“รับทราบครับ
แต่ว่า...พอดีเมื่อเช้าแม่ผมบอกว่าเข้าโรงพยาบาล ผมขอแวะไปดูสักสองวันได้ไหมครับ”
“ว่าไงนะ แม่นายน่ะเหรอ เฮ้อ
ทำไมต้องเป็นอะไรตอนนี้ด้วย...”
“ขอโทษครับ”
“เข้าโรงพยาบาลเพราะอะไร”
“เห็นว่าล้มเพราะปวดหัวหน้ามืด
ตอนนี้กำลังตรวจอยู่น่ะครับ”
“บัดซบ...แม้กระทั่งขี้หมาเวลาจะใช้ทำยาก็ไม่มี[1]...นายกลับมาแล้วต้องทำงานเพิ่มเท่าตัว เข้าใจไหม”
“ครับ รับทราบครับ”
“ออกไปได้แล้ว”
ซงจียงก้มศีรษะแล้วออกมาจากห้องทำงานของประธานใหญ่ชา
เขาโกหก
ถึงแม่จะไปหาหมอจีนแถวบ้านนอกเพราะปวดเอวกับหัวเข่า
แต่ก็ค่อนข้างแข็งแรงเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่คนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน
เมื่อวานซืนก็บอกว่าเพิ่งไปเล่นไพ่กับชาวบ้านในละแวกนั้น
ตลอดสองวันที่ผ่านมา
ซงจียงหมกตัวอยู่ในโมเต็ลใกล้ ๆ โซลและเอาแต่ดื่มเหล้า แม้โดนปฏิบัติเหมือนหมาทั้ง
ๆ ที่รับใช้มาเกือบยี่สิบปี แต่การทรยศมันง่ายที่ไหนกัน
ทว่ายิ่งเวลาผ่านไป
ความตั้งใจของเขาก็ยิ่งแน่วแน่ขึ้น
รวมถึงคำพูดที่บอกว่าคงจะเหนื่อยมากของกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวตลอด
จนถึงตอนนี้ไม่มีใครเคยพูดคำนั้นกับเขามาก่อนนอกจากครอบครัว
แค่ทำให้ทุกคนหวาดกลัวด้วยใบหน้าอันโหดเหี้ยมกับร่างกายใหญ่โตเท่านั้นแต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาไม่เคยได้รับการปฏิบัติในฐานะมนุษย์เลย
คำพูดของกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนทำให้การตัดสินใจของเขาเด็ดขาด
สุดท้ายหลังจากนอนหลับสนิทก็ตื่นมาอาบนํ้าให้สะอาดแล้วออกจากโมเต็ลพอออกมาจากโมเต็ลมืด
ๆ และได้รับแสงแดดอันอบอุ่น เขารู้สึกเหมือนได้รับการเฉลิมฉลองชีวิตใหม่
ซงจียงเรียกแท็กซี่เดินทางไปที่ย่านจงโน
เขาลงตรงหน้าโรงภาพยนตร์พิคคาดิลลี่เก่า
เดินไปทางด้านหลังสักพักก็หยุดยืนอยู่หน้าตึกเก่าสองชั้น
บริเวณชั้นหนึ่งมีเครื่องกระจายเสียงและเครื่องดนตรีที่อย่างน้อยน่าจะอยู่มาเกินยี่สิบปี
เขาค่อย ๆ เดินตามบันไดข้าง ๆ เครื่องดนตรีลงไปที่ชั้นใต้ดิน
ตรงประตูเหล็กมีรหัสผ่าน
รวมถึงการจดจำลายนิ้วมือ แตกต่างจากภาพลักษณ์ทรุดโทรมภายนอก
ปี๊บบ...
เห็นได้ชัดว่าภายนอกเป็นตึกเก่าที่เหมือนจะถล่มได้ทุกเมื่อ
แต่พอเปิดประตูเข้าไปแล้วกลับกลายเป็นคนละโลกโดยสิ้นเชิง
ในพื้นที่มีฟังก์ชันควบคุมอุณหภูมิและความชื้นอย่างสมบูรณ์แบบ
มีงานศิลปะมากมายวางเรียงรายอยู่เต็มพื้นที่อันกว้างใหญ่นี้
คงไม่มีใครคาดคิดว่าในตึกเก่า ๆ
ใจกลางเมืองเช่นนี้จะมีงานศิลปะราคาแพงมูลค่าหลายพันล้านซ่อนอยู่
ภายในตึกซอมซ่อนี้มีการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันอัคคีภัยและกลไกความปลอดภัยเผื่อเกิดไฟไหม้ด้วย
เหตุผลที่ต้องสร้างสถานที่แบบนี้ไว้ข้างนอกก็เพื่อเตรียมพร้อมหากอัยการบุกเข้ามาที่บ้านหรือโดนตรวจสอบภาษี
และที่ต้องอยู่ใกล้ใจกลางเมือง เพราะจะได้นำหนึ่งในสิ่งของที่อยู่ที่นี่ออกมาใช้ประโยชน์
(?)
ได้ทุกเมื่อ
ซงจียงผลักโต๊ะขนาดใหญ่ที่อยู่ติดผนังไปด้านข้างอย่างชำนาญ
เมื่อโต๊ะโดนผลักไปด้านข้างก็เผยให้เห็นตู้เซฟที่ซ่อนอยู่ตรงผนัง
เขาลังเลครู่หนึ่งขณะวางนิ้วลงบนแผงตัวเลขของตู้เซฟ แต่ไม่นานก็กดรหัสผ่าน
พอประตูเปิดก็โกยพันธบัตรไม่ระบุชื่อและทองคำแท่งจำนวนมากที่อยู่ในตู้เซฟใส่กระเป๋า
จากนั้นก็เอายูเอสบีเล็ก ๆ
ออกมาจากกระเป๋าแล้ววางไว้ในนั้นก่อนจะปิดประตู
[1]
แม้เป็นสิ่งที่มีอยู่มากในยามปกติ
แต่พอถึงเวลาจำเป็นที่จะใช้กลับหาไม่ได้
บทที่ 224 กระจัดกระจาย (2)
ยองฮุนมาเจอ โจชียอนที่ไม่ได้เจอกันนาน
เมื่อออกมาจากการสอบสวนของอัยการ
โจชียอนมีสีหน้าสบายใจกว่าเดิมราวกับเสร็จสิ้นงานสุดท้ายของชีวิตแล้ว
พอเห็นกระทั่งรอยยิ้มบาง ๆ ตรงมุมปากก็รู้สึกได้ว่าก้อนบางอย่างที่ฝังลึกอยู่ในใจคลี่คลายไปเยอะมาก
“ตอนถูกอัยการสอบสวนไม่เหนื่อยเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรต้องเหนื่อย
ไม่รู้อัยการคิมซังชอลได้พลังมาจากไหน ถึงตาลุกวาวจนฉันพลอยได้รับพลังไปด้วย
พูดตรง ๆ ฉันไม่ได้เชื่ออัยการอย่างสนิทใจแต่ดูจากบรรยากาศแล้ว
มันไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดเลย”
“ไม่ได้ทำแค่ส่ง ๆ ใช่ไหมครับ”
“อืม ไม่ใช่แค่อัยการคิมซังชอลเท่านั้น
แต่ทีมสืบสวนทั้งทีมแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะจับกุมประธานใหญ่ชามยองจินให้ได้
พอสืบจากอัยการคิมซังชอลทีหลัง เลยรู้ว่าภายในสำนักงานอัยการก็มีเส้นสายซับซ้อนเหมือนกัน”
“ยังไงครับ”
“มีชื่ออัยการหลายคนจากสายของอัยการสูงสุดที่เรียนจบจากมหา’ลัยโซลอยู่ในสมุดบัญชี
ฉันน่ะไม่รู้หรอกว่าอัยการคนไหนอยู่สายไหน
แต่กลายเป็นว่ามันคือโอกาสตรวจสอบอำนาจภายในองค์กร”
“บังเอิญมากเลยนะครับ”
“ใช่ ชีวิตมันคาดเดาไม่ได้จริง ๆ ก่อนหน้านี้ฉันด่าว่าอัยการเป็นหมารับใช้ของพวกมหาเศรษฐีมาตลอดชีวิตของฉัน
แต่ตอนใกล้ตายกลับได้รับความช่วยเหลือจากพวกมัน
อยู่มาจนอายุปูนนี้แล้วยังไม่รู้จักโลกดีเลย
เพราะฉะนั้นฉันเลยยิ่งอยากรู้เรื่องนายน่ะสิ นายกินอยู่ยังไงกันแน่
ถึงรู้จักโลกดีกว่าฉันที่ใช้ชีวิตจนแทบหมดแล้ว”
ยองฮุนยักไหล่แล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“เพราะตอนที่คนอื่นกำลังเรียนภาษาอังกฤษเรียนเลข
ผมเรียนรู้ผู้คนไงครับถ้าคนเรียนเลขมารู้ดีกว่าผม มันก็ไม่แฟร์ไม่ใช่เหรอครับ”
“มันก็สมเหตุสมผล...แต่ยังไงก็มิสเทอรี่อยู่ดี
มิสเทอรี่”
“เก่งภาษาอังกฤษเหมือนกันนะครับเนี่ย”
“คิดว่าคนแก่ไม่รู้ภาษาอังกฤษหรือไง
แล้วนี่มาทำไม ปกติถ้าฉันไม่ตามก็ไม่โผล่มาเลยหนิ”
“เมื่อไม่นานมานี้ประธานใหญ่ชามยองจินมาหาท่านประธานใหญ่ของผมครับ”
“ชามยองจินงั้นเหรอ แล้วยังไง
แม่ยายนายไปเจอเขาตามลำพังงั้นเหรอ”
“เปล่าครับ ผมไปด้วย”
โจชียอนที่เพิ่งแสดงรอยยิ้มบาง ๆ
เมื่อครู่นี้ทำตาวาววับอย่างกับเป็นคนละคน
“เป็นไงบ้าง”
“รู้ไม่ใช่เหรอครับว่าผมบอกชะตากรรมของคนอื่นให้ฟังไม่ได้”
“ไอ้เด็กใจดำ
ถ้าบอกอะไรไม่ได้เลยก็คงไม่มาถึงที่นี่หรอกมั้ง รีบ ๆ
บอกเรื่องที่บอกได้มาเร็วเข้า”
ยองฮุนค่อย ๆ ยิ้มก่อนจะเริ่มเล่า
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้นหรอกครับ
บางทีมันอาจจะเป็นความจริงที่ผู้อาวุโสอาจจะทราบอยู่แล้ว นิสัยโหดร้าย
ไม่รู้จักเอาใจใส่คน...ประมาณนั้นก็ทราบนี่ครับ”
“แหงสิ ไม่ใช่แค่ฉัน
แต่คนรอบตัวหมอนั่นก็รู้กันหมดนั่นแหละ”
“แต่เรื่องหนึ่งที่อาจจะคาดไม่ถึง
คือความกลัวที่ซ่อนอยู่ใต้ความโหดร้ายที่แสดงออกมาครับ”
“ความกลัว?”
“ครับ
เรียกว่าเป็นคนขี้ขลาดที่เสแสร้งเก่งก็ได้ครับ”
โจชียอนไม่อยากจะเชื่อ
“คนขี้ขลาดที่เสแสร้งเก่งงั้นเหรอ
หมอนั่นเนี่ยนะ”
“ปกปิดความอ่อนแอข้างในด้วยการแสดงออกอย่างโหดร้ายไงครับ”
“อืม เอาเป็นว่าตามนั้น แล้วยังไงต่อ”
“มีตึกที่เซยองดีเวลลอปเมนต์เป็นเจ้าของครับ
อยู่ตรงซาจิก...”
“ซองวอนบิลดิ้ง”
“รู้จักเหรอครับ”
“หึ! ตอนแรกมันเป็นของฉันไง เอาเหอะ
ว่าต่อเลย”
“เขาขอให้ช่วยหน่อย ขอให้ประธานซงบยองชานลงมือช่วยเขา
ผมเลยบอกว่าถ้ายอมยกซองวอนบิลดิ้งให้ จะลองคิดดูครับ”
“เฮอะ...นั่นมันตั้งกี่หมื่นล้าน แค่ขอเฉย
ๆ เนี่ยนะ คิดว่ามันจะยกให้หรือไง”
“ครับ”
พอเห็นยองฮุนพยักหน้าอย่างใจเย็น
โจชียอนก็ต้องยอมรับว่าตัวเองอาจตัดสินบางอย่างผิดพลาด
“ยกให้จริงเหรอ
หมอนั่นจะยกตึกมูลค่าหลายหมื่นล้าน แลกกับคำพูดแค่ไม่กี่คำเนี่ยนะ”
“เพราะชะตากรรมของเขาแขวนอยู่บนคำพูดไม่กี่คำนั่นไงครับ
ถึงจะมาหากันหนึ่งครั้งและกำลังรอคำตอบของผมอยู่
แต่คงจะกระวนกระวายน่าดูเลยครับแล้วถ้าอัยการออกหมายเรียก...”
“มันจะยิ่งเป็นบ้ากว่านี้อีก”
“ใช่ครับ
ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงจะถือสัญญาซื้อขายตึกมาหาพร้อมกับทนาย”
“ถ้างั้นจะทำยังไง ไม่ได้คิดจะช่วยจริง ๆ
ใช่ไหม”
“ผมไม่ใช่คนเปลี่ยนใจเพราะตึกหรอกครับ
ของประธานซงบยองชานต่างหาก ประธานซงบยองชานก็ควรได้รับอะไรบางอย่าง ถึงจะหักหลังผู้อาวุโสได้ไม่ใช่เหรอครับ”
“ไหนเมื่อกี้บอกว่าพูดไม่กี่คำแลกกับตึกก็เป็นเรื่องธรรมดาไง”
“ผมขออย่างอื่นครับ”
“อะไร”
“ทรัพย์สินที่งอกงามที่สุดในบรรดาทรัพย์สินที่เซยองดีเวลลอปเมนต์ครอบครองก็คือฮันคยองรีสอร์ตครับ
ถ้าเอชเอสการท่องเที่ยวสามารถเอามันมาได้ในราคาที่เหมาะสม
ก็น่าจะเป็นการทำงานร่วมกันที่ดีครับ”
ขณะนั้นโจชียอนนึกว่าตัวเองฟังผิด
แต่คำอธิบายต่อมาก็ทำให้รู้ว่าเขาได้ยินถูกแล้ว
“ฮันคยองรีสอร์ต
ต่อให้โจรแอบย่องเข้าบ้านมาขโมยสมบัติ มันก็ไม่ได้ถอนเสาหลักไปด้วยนะ”
“ถึงจะเรียกว่าฮันคยองรีสอร์ตเป็นเสาหลักของเซยองดีเวลลอปเมนต์...พวกเขาก็ยังมีอย่างอื่นอีกเยอะแยะครับ”
แม้โจชียอนจะไม่อยากเชื่อ
แต่หลังจากฟังแล้วก็อดรู้สึกสะใจไม่ได้
“ฮ่า ๆ ๆ! ไอ้เด็กคนนี้!
ถ้าซองวอนบิลดิ้งหลายหมื่นล้าน ฮันคยองรีสอร์ตก็เกินหลายแสนล้าน
ขนาดขอเป็นเงินก็น่าจะยังคิดหนักเลย แต่แค่เอ่ยปากขอเฉย ๆ เนี่ยนะ ทำไม
ทำไมไม่บอกชามยองจินว่าขอทรัพย์สินทั้งหมดไปเลยล่ะ”
“ยังไงเขาก็ยกให้เฉย ๆ ไม่ได้อยู่ดีครับ
เพราะเป็นข้อตกลงระหว่างบริษัทคงจะตอบกลับมาในราคาที่เหมาะสมครับ”
“ไม่มีโจรที่ไหนเขาทำแบบนี้กันสินะ
แล้วยังไง ถ้าฮุบจนหมดเกลี้ยงแล้วจะทำยังไงต่อ”
“จะทำยังไงล่ะครับ แค่บอกว่าพยายามแล้ว
แต่มันไม่ได้ผลก็จบไม่ใช่เหรอครับ”
คราวนี้ยองฮุนยักไหล่และพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“จะหน้าด้านมันก็ต้องมีขอบเขต
แต่นายนี่มันไม่มีจุดสิ้นสุดจริง ๆแต่ดี มันดีมากกก
พอจินตนาการว่าชามยองจินสูญเสียซองวอนบิลดิ้งกับฮันคยองรีสอร์ตแล้วกำลังนั่งร้องไห้อยู่ในคุก
ความแค้นยาวนานกว่าสิบปีของฉันก็เหมือนได้รับการสะสาง ฮ่า ๆ ๆ ๆ!”
โจชียอนระเบิดหัวเราะเสียงดังอยู่พักหนึ่ง
หัวเราะจนถึงขั้นนํ้าตาไหลเลยทีเดียว
โจชียอนบ่นพึมพำว่าหนังท้องตึงพลางเช็ดนํ้าตาก่อนจะกล่าว
“ขอบใจ”
“ผมจะรับคำขอบคุณก็ต่อเมื่อเรื่องทุกอย่างจบลงครับ”
“ถึงอย่างนั้นก็ขอบใจ
ต่อให้ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่ยังไงก็ขอบใจที่ทำให้ชามยองจินตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
รวมถึงที่บอกให้ฉันเอาสมุดบัญชีไปให้อัยการและทำให้มันไม่เสียเปล่าด้วย
ใจจริงฉันอยากยกสมบัติบางส่วนของฉันให้เลย แต่นายคงไม่รับใช่ไหม”
“ใช่ครับ
ทรัพย์สมบัติไม่ได้จำเป็นอีกต่อไปแล้ว อีกอย่างภรรยาผมก็เป็นมหาเศรษฐีครับ
แถมยังเป็นมหาเศรษฐีหน้าใหม่ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยอีกสิบปีในประเทศเกาหลีคงไม่มีตระกูลไหนมีเงินมากกว่าภรรยาผมแล้วครับ”
“มั่นใจในตัวเองมาก
แต่พอนายเป็นคนพูดแล้วก็ฟังดูเป็นไปได้
นั่นสินะความสามารถของนายไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้อยู่แล้ว
ไม่มีอะไรให้ฉันช่วยเลยหรือไง”
“แค่ให้ความร่วมมือกับการสืบสวนของอัยการ
แล้วก็ช่วยคล้อยตามการแสดงของประธานซงบยองชานในอนาคตแบบเนียน ๆ ก็พอครับ”
“แปลว่าสักวันหนึ่งไอ้เวรบยองชานมันต้องเล่นละครว่าหักหลังฉันใช่ไหม”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ
เพราะยังไม่รู้ว่าประธานซงบยองชานจะทำยังไง
ผมแค่บอกไว้ล่วงหน้าว่าเผื่อเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจะได้ไม่ตกใจครับ”
“โอเค
สุดท้ายไอ้เวรบยองชานก็สนุกอยู่คนเดียวสินะ”
“ครับ บางทีคงจะชอบมากเลยละครับ”
สีหน้าดีใจของประธานซงบยองชานตราตรึงในความทรงจำอยู่แล้ว
ชาฮยองซอก หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของเซยองดีเวลลอปเมนต์ ทำตัวเหมือนเป็นคนละคนมาหลายวันแล้วในสายตาของพนักงาน
ก่อนหน้านี้ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษไม่แพ้ใครในโลก
ถ้าโมโหขึ้นมาเมื่อไรก็มักจะกลายเป็นคนบ้าทันที
แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนกลับแสดงภาพลักษณ์ของหัวหน้าฝ่ายที่ถอดแบบจากละคร
เหมือนตัวเองเป็นบารอนอาชูร่า
สำหรับพวกพนักงานน่ะ
ภาพลักษณ์แบบนั้นของหัวหน้าฝ่ายชาฮยองซอกถือเป็นเรื่องดี
แต่วันนี้อยู่ ๆ
ชาฮยองซอกก็ประกาศอย่างกะทันหันว่าจะย้ายฝ่ายกลยุทธ์ของเซยองดีเวลลอปเมนต์ไปย่านกังนัมที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่
และให้เตรียมย้ายทันที โดยที่ตัวเองไม่ได้เข้าออฟฟิศ
จากนั้นก็ไปหาหัวหน้าฝ่ายเลขานุการซงจียง
หัวหน้าฝ่ายซงจียงที่ไม่เห็นหน้ามาสองวันเพราะแม่เข้าโรงพยาบาล
วันนี้ก็ยังไม่เห็นหน้าอีกเหมือนเดิม
ก่อนอื่น
เนื่องจากรู้ว่าบุคคลที่สำคัญที่สุดหากจะดำเนินแผนการในอนาคตคือหัวหน้าฝ่ายซงจียง
ฮยองซอกจึงสอบถามโรงพยาบาลที่แม่ของอีกฝ่ายเข้ารับการรักษา
“แม่ของหัวหน้าฝ่ายซงจียงเหรอคะ
ได้ยินว่าไม่สบาย แต่เข้าโรงพยาบาลเลยเหรอคะ อืม...เดี๋ยวจะลองหาดูค่ะ”
เมื่อถามทางฝ่ายเลขานุการ
พนักงานก็เปลี่ยนสายโทรศัพท์แล้วหาข้อมูลทันที
ลองหาจากบ้านของหัวหน้าฝ่ายซงจียงและโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงแล้ว
แต่ไม่พบร่องรอยของหัวหน้าฝ่ายซงจียงกับครอบครัวที่ไหนเลย
เขารู้สึกแปลก ๆ
แต่อยู่ดี ๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
พ่อสั่งให้หัวหน้าฝ่ายซงไปฆ่ากรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนหรือเปล่า
มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นเด็ดขาด
หากไม่มีการช่วยเหลือของกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนในช่วงเวลาที่สำคัญก็คงยากที่จะเอาพ่อเข้าคุกได้
ฮยองซอกเรียกพนักงานของบริษัทจ้างวานที่ตัวเองรู้จัก
บุกเข้าไปที่บ้านเดี่ยวในย่านซงพาที่ซงจียงอาศัยอยู่
ปัง ปัง ปัง!
“หัวหน้าฝ่าย! หัวหน้าฝ่าย!”
ความคิดที่โผล่ขึ้นในสถานการณ์ที่โทรศัพท์ติดต่อไม่ได้
คนในครอบครัวก็ไม่รับโทรศัพท์
ก็คือข้อสงสัยว่ากรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนอาจจะตายแล้วหรือเปล่า
เขาเคาะประตูพร้อมกับโทร.หากรรมการผู้จัดการชเวยองฮุน
คิดอย่างแน่วแน่ว่าถ้าหากอีกฝ่ายไม่รับโทรศัพท์ก็คงต้องโทร.หา
119
ทันทีแต่ก่อนสัญญาณครั้งที่สามจะดังขึ้น ปลายสายก็รับโทรศัพท์
“ฮัลโหล”
“เอ่อ ครับ
กรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนใช่ไหม”
“ครับ ใช่ครับ หัวหน้าฝ่ายชาฮยองซอกใช่ไหมครับ มีเรื่องอะไร...”
“เอ่อ...ไม่ทราบว่าเจอคนแปลก ๆ
มาวนเวียนใกล้ ๆ บ้างไหมครับ”
“ไม่มีนะครับ”
“งั้นเหรอครับ”
“ทำไมครับ มีเรื่องอะไรเหรอ”
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร
พอดีผมได้ยินเรื่องแปลก ๆ มา...ยังไงก็ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
“เกิดอะไรขึ้น...”
“เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังทีหลังครับ
ถ้างั้นแค่นี้นะครับ”
พอวางสายแล้ว ฮยองซอกก็เลิกเคาะประตู
จากนั้นก็พูดกับพนักงานของบริษัทจ้างวานที่มาด้วยกัน
“ดูเหมือนไม่มีคนอยู่ข้างในใช่ไหม”
“คิดว่าอย่างนั้นครับ
ไฟก็ปิดอยู่...ว่าแต่เขาหลบหนีเหรอครับ ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นแล้วทำเสียงดังแบบนี้
ตำรวจอาจจะมาได้นะครับ”
“ไม่ได้หนี...”
จริงสิ
ไม่ได้หนี แต่หายตัวไปแล้ว
หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยด้วย ทำไมล่ะ
หัวหน้าฝ่ายซงจียงมีเหตุผลอะไรที่ต้องหายตัวไป
ถ้าไม่ได้ก่อเรื่องแล้วจะซ่อนตัวด้วยเหตุผลอะไร...
“เวรเอ๊ย! ทิ้งคนไว้ที่นี่สักสองสามคน
ที่เหลือถอนตัว อีกอย่างหัวหน้าฝ่ายซงมีลูกสาว
ลองเช็กดูด้วยว่าเด็กนั่นไปโรงเรียนหรือเปล่า เร็วเข้า!”
ฮยองซอกทิ้งพนักงานของบริษัทพร้อมกับสั่งงานไว้แล้วมุ่งหน้ากลับบ้าน
เขาเปิดประตูดังปังแล้วรีบเข้าไปในห้องทำงานของพ่ออย่างไร้สติ
“พ่อครับ!”
ประธานใหญ่ชามยองจินที่กำลังฝึกพัตต์อยู่ตกอกตกใจ
“เอะอะโวยวายอะไร”
“พ่อ...พ่อครับ...”
“ทำไม”
“หัวหน้าฝ่ายซงจียงหายตัวไปแล้วครับ”
ประธานใหญ่ชาจับไม้กอล์ฟอีกครั้งสีหน้าหงุดหงิด
“นึกว่าเรื่องอะไร...หัวหน้าฝ่ายซงกลับบ้านต่างจังหวัด
แม่มันเข้าโรงพยาบาล...”
ฮยองซอกตะโกนออกมาเหมือนอึดอัดก่อนประธานใหญ่ชาจะพูดจบ
“ติดต่อไม่ได้ครับ!
ลองติดต่อโรงพยาบาลที่แม่หัวหน้าฝ่ายซงน่าจะเข้ารับการรักษาจนทั่วแล้วก็หาไม่เจอ
ไม่ใช่แค่หัวหน้าฝ่ายซง แต่ยังติดต่อคนในครอบครัวไม่ได้สักคนเลยครับ
ลูกสาวหัวหน้าฝ่ายซงก็ไม่ได้ไปโรงเรียน!”
ประธานใหญ่ชามยองจินใจหล่นวูบ
จากนั้นก็พูดพร้อมกับโยนไม้กอล์ฟทิ้ง
“จงโน...ไปจงโนกัน”
“จงโนเหรอครับ จงโนทำไม”
“บอกให้ไปก็ไปสิ! เร็วเข้า!”
ประธานใหญ่ชามยองจินบอกว่าไม่ต้องการคนขับรถแล้วบอกที่อยู่ให้ฮยองซอกที่จับพวงมาลัยเอง
สถานที่ที่มาถึงหลังจากขับรถอย่างไม่มีสติคือตึกเก่าซอมซ่อ
เมื่อฮยองซอกถามด้วยความสงสัยว่ามาที่นี่ทำไม
ประธานใหญ่ชามยองจินก็สำรวจรอบตัวก่อนจะก้าวลงบันไดมืด ๆ
พอฮยองซอกตามไปถึงประตูที่เปิดออกพร้อมกับเสียงอุปกรณ์ดังปี๊บก็ต้องตกตะลึงกับการตกแต่งภายในและผลงานศิลปะ
“พ่อ...ทั้งหมดนี่มันอะไร...”
“จะอะไรล่ะ สมบัติทั้งหมดของพวกเราน่ะสิ”
คำตอบของประธานใหญ่ชาทำให้ความโลภปรากฏในสายตาของฮยองซอก
ประธานใหญ่ชาที่ไม่ทันได้เห็นภาพนั้นผลักโต๊ะออกแล้วกดรหัสตู้เซฟ
และทันทีที่เห็นว่าภายในตู้เซฟว่างเปล่า
แข้งขาก็อ่อนแรงจนทรุดฮวบ
“ไอ้เวรเอ๊ย...”
“พ่อ มันเคยมีอะไรอยู่ข้างในเหรอครับ”
“พันธบัตรไม่ระบุชื่อ เงินสด ทองคำแท่ง มูลค่าเป็นหมื่น
ๆ ล้าน”
คำนั้นทำเอาฮยองซอกทรุดนั่งกับพื้นด้วยเช่นกัน
ทั้งหมดนั่นมันเป็นของของฉันนะ...
สมบัติทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ในนั้นเป็นของฉัน...
อาจเพราะคับแค้นใจมากเกินไป
สุดท้ายนํ้าตาจึงไหลออกมาด้วย
บทที่ 225 กระจัดกระจาย (3)
ตอนแรกรู้สึกไม่ยุติธรรม และคับแค้นใจ แต่พอมันค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ
ยูเอสบีหนึ่งอันที่วางอยู่ในตู้เซฟก็ปรากฏสู่สายตา
“พ่อ นั่นอะไรครับ”
“เอ๊ะ”
ประธานใหญ่ชามยองจินจึงได้สติกลับมา
หลังจากกำลังครุ่นคิดว่าควรจะแจ้งตำรวจเกี่ยวกับตู้เซฟที่ว่างเปล่า
หรือควรจะสั่งให้บริษัทในเครือไล่ตามดี
“มันเหลืออยู่ในตู้เซฟ คืออะไรครับ”
ฮยองซอกหยิบยูเอสบีที่เหลืออยู่ในตู้เซฟขึ้นมา
“ฉันไม่รู้ มันไม่ได้อยู่ตั้งแต่แรก”
“ถ้างั้นก็แปลว่าไอ้เวรซงจียงนั่นทิ้งมันไว้เหรอครับ”
“น่าจะใช่”
“ลองเช็กดูไหมครับว่าอะไรอยู่ข้างใน”
“ออกไปกันก่อนดีกว่า เปลี่ยนรหัสผ่านแล้วเรียกคนมาย้ายงานศิลปะทั้งหมดที่นี่ไปไว้ที่โกดังในยางพยอง”
“โอเคครับ”
ประธานใหญ่ชามยองจินฝืนลุกขึ้นอย่างยากลำบาก
ถึงจะช็อกมากจนสติหลุด แต่ก็ไม่ใช่คนอ่อนแอจนเอาแต่นั่งจมอยู่เฉย ๆ
เพียงแค่กำลังคิดว่าควรจะแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไร
ถึงจะมอบความเจ็บปวดเจียนตายที่สุดให้ซงจียงได้
ระหว่างอยู่ในรถเพื่อเดินทางกลับบ้าน
ฮยองซอกก็ถามด้วยความโกรธ
“จะทำยังไงกับไอ้เวรนั่นดีครับ
ควรแจ้งความก่อน...”
“แจ้งความแล้วยังไง
แกจะอธิบายเรื่องตึกนั่นยังไง อุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่ชั้นใต้ดินกับผลงานศิลปะล่ะ
ไหนจะเรื่องเก็บพันธบัตรไม่ระบุชื่อ เงินสดกับทองคำแท่งไว้ในตู้เซฟ
แกจะอธิบายทั้งหมดนั่นยังไง”
“งั้นจะปล่อยให้มันหนีไปเฉย ๆ
อย่างนั้นเหรอครับ”
“หัดพูดอะไรให้มันเข้าท่าบ้าง! ปล่อยไปเฉย
ๆ งั้นเหรอ”
“ขอโทษครับ ผมร้อนใจไปหน่อย...”
ทันทีที่ประธานใหญ่ชาตวาดใส่
ฮยองซอกที่กำลังโมโหก็ตกใจจนลดเสียงลง
เพราะรู้ดีว่าเวลาพ่อโมโหขึ้นมามันน่ากลัวขนาดไหน
“แกบอกว่าติดต่อครอบครัวมันไม่ได้เลยใช่ไหม”
“ครับ”
“ส่งให้คนแอบสืบมาว่ามันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่
อย่ากระโตกกระตากจนไปเข้าหูตำรวจหรือนักข่าวล่ะ”
“ได้ครับ”
“ถ้ามันใจกล้าขึ้นเครื่องบินคงมีประวัติผู้โดยสารอยู่
บินไปจีนน่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด
เพราะฉะนั้นตรวจสอบประวัติผู้โดยสารที่บินไปจีนหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
“ครับ”
“ถ้าขึ้นเครื่องบินก็หมายความว่ามันซ่อนทองคำแท่งไว้ที่ไหนสักแห่งในเกาหลีถ้าไม่ได้ขึ้นเครื่องก็เป็นไปได้สูงว่าจะลักลอบออกจากอินชอนไปประเทศจีนไปอินชอนแล้วระดมคนจากฝั่งเรา
ตามหาพวกเจ้าของเรือที่มีเอี่ยวกับการลักลอบออกนอกประเทศ
ถ้าลองไล่บี้พวกนั้นอาจจะเจอคนที่ช่วยให้ซงจียงหลบหนี”
“รับทราบครับ”
“แล้วก็นัดประธานใหญ่ซงอึนแชจากเอชเอสกรุ๊ปให้ฉันด้วย”
ฮยองซอกได้สติขึ้นมาทันที
เหตุผลที่พ่อพยายามนัดเจอกับประธานใหญ่ซงชัดเจนมาก
แม้จะโดนปล้นสมบัติไปเป็นพันเป็นหมื่นล้านก็ตาม
แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่สามารถใช้อำนาจจัดการในทันทีได้
หากต้องการจะใช้อำนาจรัฐจับกุมหมอนั่น
การสืบสวนของอัยการในปัจจุบันก็เป็นอันสิ้นสุด
หากเคลื่อนไหวผิดพลาดในตอนนี้
สายตาของคนทั้งประเทศอาจจะพุ่งไปที่พันธบัตรไม่ระบุชื่อกับทองคำแท่งมูลค่าเกินกว่าหลายหมื่นล้านที่โดนขโมยไป
จิตใจพ่อของเขาที่พยายามรอคอยการตัดสินใจของประธานใหญ่ซงอึนแชอย่างสบาย
ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเร่งรีบ
ฮยองซอกกัดริมฝีปากแล้วตอบเสียงดังเหมือนเป็นเรื่องปกติ
“เดี๋ยวผมนัดให้ครับ”
ในสมองฮยองซอกสับสนวุ่นวาย
ควรจะจับตัวหัวหน้าฝ่ายซงจียงที่หนีไปก่อน
หรือควรทิ้งเรื่องนั้นไว้ทีหลังแล้วมุ่งเน้นไปที่การจับพ่อเข้าคุกก่อนดี
แต่พอกลับถึงบ้านแล้วเช็กว่าข้างในยูเอสบีนั่นมีอะไรอยู่
เขาก็ต้องตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง
“พ่อ...”
“ฉันดูอยู่...”
ไม่ใช่แค่ฮยองซอกคนเดียวที่ตกใจ
ประธานใหญ่ชามยองจินช็อกเหมือนตอนเห็นพันธบัตรไม่ระบุชื่อกับทองคำแท่งหาย...ไม่สิ
ช็อกมากกว่าตอนนั้นด้วยซํ้า
ในยูเอสบีอันนั้นมีคลิปวิดีโออยู่หนึ่งคลิป
แต่ที่น่าตกใจคือมันเป็นคลิปวิดีโอที่ฮยองซอกกับประธานใหญ่ชาทำร้ายใครบางคนตรงหน้าบ้าน
ตอนท้ายของคลิปวิดีโอจบลงด้วยการลากคนที่โดนทำร้ายเข้าไปในบ้านสองพ่อลูกรู้ดีว่าคลิปนี้หมายถึงอะไร
มันคือคลิปวิดีโอที่ไม่ควรเปิดเผยสู่ภายนอก
โดยเฉพาะฮยองซอกที่ตกใจมากจนมือไม้สั่นระริก
เรื่องสมุดบัญชีนั่น
พ่อเข้าคุกคนเดียวแล้วก็จบ แต่เห็นได้ชัดว่าถ้าหากคลิปนี้รั่วไหลไปสู่ภายนอก
แม้แต่ตัวเขาเองก็หนีไม่พ้นคุกเช่นกัน
“ไอ้เวรเอ๊ย...”
ฮยองซอกขบฟันแน่น
ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินของพ่อหรืออะไรก็แล้วแต่
ต้องจับไอ้เวรนี่ให้ได้เดี๋ยวนี้
เขาตระหนักว่าถ้าจับมาแล้วไม่สามารถทำให้มันหุบปากได้ในอนาคต
ตัวเองก็คงไม่มีทางหลับลงแน่นอน
ประธานใหญ่ชามยองจินรู้สึกโล่งใจเมื่อไม่ถูกปฏิเสธการนัดพบ แม้จะขอพบในเย็นวันเดียวกันก็ตาม
แม้ตัวเองจะมีอำนาจในฐานะประธานใหญ่ของเซยองกรุ๊ป
แต่ฝ่ายตรงข้ามคือผู้นำของเอชเอสกรุ๊ป
กลุ่มธุรกิจแนวหน้าที่ได้รับความสนใจอยู่ในปัจจุบัน
ไม่ใช่ฝ่ายที่จะวางนามบัตรก่อน
แต่พอเห็นชเวยองฮุนปรากฏตัวเพียงลำพังก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“ขอโทษที่นัดพบในโรงแรมบ่อย ๆ นะครับ
แต่พอดีมันมีที่เงียบ ๆ และปลอดสายตาคนอื่นไม่มากนัก
หวังว่าท่านประธานใหญ่จะเข้าใจนะครับ”
ประธานใหญ่ชาถามสีหน้าเย็นชา
“ฉันนัดประธานใหญ่ซงอึนแชไว้นะ
ไม่ได้อยากเจอนาย”
“ท่านประธานใหญ่ซงไม่ว่างครับ
ผมเลยได้รับคำสั่งให้มาจัดการเรื่องนี้แทนถ้าทราบว่าคำพูดของผมก็คือเจตนารมณ์ของท่านประธานใหญ่ซง
ท่านประธานใหญ่ชาก็คงทราบว่าการที่ผมอยู่ตรงนี้เพียงลำพังมันไม่ใช่เรื่องผิดพลาดครับ”
ถึงจะบอกว่าคำพูดของตัวเองคือเจตนารมณ์ของประธานใหญ่
แต่มันก็มีสิ่งที่คนอายุเยอะและอยู่ในตำแหน่งประธานใหญ่ด้วยกันเท่านั้นสื่อสารกันรู้เรื่อง
มันมีข้อแตกต่างเพราะคนหนุ่มสาวไม่ได้ผ่านโลกมานานนัก
รวมถึงการเผชิญหน้ากับผู้คนด้วย
ดังนั้นการที่ไม่ได้สนทนากับเจ้าตัวแล้วได้สนทนากับกรรมการผู้จัดการฝ่ายวางแผนและประสานงานแทน
มันไม่สมกับศักดิ์ศรีของเขา
อย่างไรก็ตาม
ต่อให้โกรธก็เดินออกจากการนัดหมายนี้ไม่ได้อยู่ดี
เพราะรู้ว่าไอ้เด็กเฮงซวยที่กำลังยิ้มสบาย ๆ
อยู่ฝั่งตรงข้ามตอนนี้กำลังกำคอเสื้อเขาไว้อยู่
“นายได้รับความเอ็นดูจากประธานใหญ่ซงอึนแชเป็นพิเศษสินะ
โอเค”
“เรียกว่าเอ็นดูเป็นพิเศษก็เกินไปครับ
จะว่าไปแล้ว การที่ท่านประธานใหญ่รีบมาหากันก็แสดงว่าตัดสินใจได้แล้ว ใช่ไหมครับ”
“หมายความว่ายังไง
การตัดสินใจเป็นของประธานใหญ่ซงต่างหาก”
“ท่าทางจะเข้าใจอะไรผิดนะครับ
หรือคิดว่าให้ท่านประธานใหญ่ซงจัดการอัยการก่อน
แล้วตอนนั้นถึงค่อยยกตึกกับรีสอร์ตให้เหรอครับ”
“แล้วคิดว่าฉันจะยกให้เฉย ๆ
โดยที่ไม่มีของตอบแทนหรือไง นายเห็นฉันโง่สินะ”
ยองฮุนทำหน้าเศร้า
“อย่างนั้นสินะครับ
คำพูดของท่านประธานใหญ่ก็มีเหตุผล
อาจจะกังวลว่าพวกผมจะรับอย่างเดียวโดยที่ไม่ยอมทำตามคำขอของท่านประธานใหญ่สินะครับ”
ความคิดแบบนี้แม้แต่เด็ก ม.ต้นก็ยังคิดได้
แต่กลับพูดเหมือนมันเป็นการตรัสรู้อันยิ่งใหญ่
ระหว่างที่ประธานใหญ่ชาหมดคำจะพูด
ยองฮุนก็พูดต่อ
“น่าเสียดายนะครับที่ความคิดเห็นของเราไม่ตรงกัน
แต่ก็ช่วยไม่ได้”
การขู่ว่าไม่อยากทำก็เลิกเป็นวิธีที่ยองฮุนเคยใช้กับสองพ่อลูกคู่นี้มาแล้ว
ดังนั้นประธานใหญ่ชาจึงชักสีหน้า
“ขู่แบบนั้นมันอาจจะได้ผลสักครั้งสองครั้ง
แต่นายต้องรู้ไว้ด้วยว่าสักวันนายอาจจะโดนเอาคืนหนัก”
“ท่านประธานใหญ่คิดว่าทุกอย่างเป็นไปตามบรรทัดฐานของตัวเองเท่านั้นสินะครับ”
“ว่าไงนะ”
“ประธานซงบยองชานเป็นน้องชายของท่านประธานใหญ่ซงครับ
อายุอานามก็ห้าสิบเข้าไปแล้ว คิดว่าการเปลี่ยนใจน้องชายอายุเท่านั้นมันง่ายเหรอครับ
แถมประธานซงบยองชานก็ไม่ได้พึ่งพาประธานใหญ่ด้วย
จะเปลี่ยนใจคนแบบนั้นคิดว่าจะแก้ปัญหาได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำงั้นเหรอครับ
อีกอย่างทำไมท่านประธานใหญ่ของพวกผมต้องทนลำบากอย่างนั้นด้วย”
“...”
“เรื่องนี้ผมเคยพูดไปแล้ว
ผมจะไม่พูดอีกแล้วกันครับ”
“ถ้าซองวอนบิลดิ้งอย่างเดียว
ฉันโอนให้ก่อนได้อยู่แล้ว กำลังสั่งพนักงานกับทนายความเตรียมสัญญาอยู่
แต่สิ่งที่ฉันหมายถึงคือฮันคยองรีสอร์ต อย่าบอกนะว่าจะขอล่วงหน้าด้วย”
“อ้อ ขอโทษครับ ผมเข้าใจผิดเองสินะ
แต่ฮันคยองรีสอร์ตก็เหมือนกันครับ”
“นายจะเอาอย่างนี้จริง ๆ ใช่ไหม”
“ขอโทษนะครับ
ผมไม่รู้ว่าท่านประธานใหญ่ได้ยินอะไรจากลูกชายบ้างหรือยัง
แต่ความจริงแล้วท่านประธานใหญ่ซงไม่ได้อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับมันไม่ใช่ตึกที่จะเข้ามาอยู่ในมือตัวเองด้วย...เข้าใจความหมายใช่ไหมครับ”
ประธานใหญ่ชามยองจินเอนศีรษะไปด้านหลัง
รู้สึกเหมือนติดอยู่บนทางด่วนที่ไม่อาจลงระหว่างทาง
สถานการณ์ที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
เขารู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่โง่ขนาดไหนในการแลกฮันคยองรีสอร์ตกับเรื่องที่ไม่มีอะไรรับประกันผลลัพธ์ได้ชัดเจน
แต่มองไม่เห็นทางจะหลุดพ้นจากปัญหานี้เลย
“คิดจะซื้อเท่าไหร่”
“ผมคิดว่าประมาณสามแสนล้านน่าจะเหมาะสมนะครับ”
“เฮอะ ๆ...สามแสนล้านงั้นเหรอ...”
ราคาน่าเหลือเชื่อ
คิดอยู่ด้วยซํ้าว่าจะเรียกล้านล้านดีไหม
แต่กลับบอกว่าจะจ่ายสามแสนล้านเนี่ยนะ
“สักห้าแสนล้านสิ”
“ห้าแสนล้านไม่ใช่จำนวนเงินที่เอชเอสการท่องเที่ยวรับไหวครับ”
“อย่ามาโกหก
นึกว่าฉันไม่รู้เหรอว่าเอชเอสการท่องเที่ยวออมเงินสดที่ได้ไว้ตั้งเท่าไหร่
มันไม่กระเด็นออกจากกรุ๊ปเลยนี่ กะจะเอาไว้ซื้อโรงแรมเหมาะ ๆเพิ่มอีกไม่ใช่เหรอ”
“เอาเงินออมที่เก็บสะสมมาอย่างยากลำบากมาใช้หมดได้เหรอครับ
โอเคครับ สี่แสนล้านแล้วกัน”
“นายคิดว่าคำว่าแสนล้านมันเป็นชื่อเล่นเด็กหรือไง”
“ถ้าเกินสี่แสนก็คงยากครับ”
สี่แสนล้านวอนเป็นจำนวนเงินที่ไม่สมเหตุสมผลเลย
แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็มีข้อสรุปเดียว
“เข้าใจแล้ว”
สุดท้ายประธานใหญ่ชามยองจินก็ปิดดีล
หากเป็นที่รู้กันภายหลังว่าขายฮันคยองรีสอร์ตในราคาสี่แสนล้านวอนเขาคงได้ยินคนด่าว่าโง่อยู่พักหนึ่ง
แต่ถ้ามันทำให้การสืบสวนนี้จบลงด้วยดีและจัดการปัญหาที่ตามมาได้ก็ถือว่าเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต
“เป็นความคิดที่ดีมากครับ”
แตกต่างกับชาฮยองซอก
เพราะคิดว่าฮันคยองรีสอร์ตไม่ใช่ของพ่อที่กำลังจะต้องไปนอนในคุกเร็ว ๆ นี้
แต่เป็นของตัวเองต่างหาก ให้แค่ซองวอนบิลดิ้งอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว
ถ้ามันสามารถส่งพ่อเข้าคุกได้
แค่นั้นก็เป็นข้อตกลงที่ดี
แต่การส่งมอบขายฮันคยองรีสอร์ตในราคาถูกเพียงสี่แสนล้านมันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อประธานใหญ่ชามยองจินลุกขึ้น ฮยองซอกก็มองยองฮุนด้วยสายตาแฝงความหมาย
ยองฮุนเองก็ส่งสายตาแปลก ๆ
กลับไปให้ฮยองซอกเช่นกัน
แม้จะไม่ได้สนทนากันเลย
แต่ทั้งสองคนก็เข้าใจกันและกัน
ฮยองซอกแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าจะไม่ยกฮันคยองรีสอร์ตให้
ส่วนยองฮุนก็ตอบกลับว่าลองขวางดูสิ
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนของอูมยองกรุ๊ปนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นสีหน้าค่อนข้างลำบากใจ
ตรงหน้ามีภรรยาที่กำลังโกรธจนเลือดขึ้นหน้ากับลูกชายคนโตที่มีสีหน้าไม่พอใจยืนอยู่
“เอาเรื่องนั้นมาพูดตอนนี้งั้นเหรอ
พูดว่าจะเอาชื่อเข้าทะเบียนบ้านง่าย ๆแบบนั้นได้ยังไง”
“มันไม่ได้ง่ายเลย ฉันคิดมาตั้งนานแล้ว”
“แปลว่าคุณรู้มานานแล้วน่ะสิ
แต่ปิดบังฉันไว้”
“เรื่องนั้นมันไม่สำคัญสักหน่อย”
“ทำไมมันจะไม่สำคัญคะ คุณหลอกฉัน
คุณไม่มองว่าฉันเป็นคนด้วยซํ้าเก็บมันเป็นความลับไว้คนเดียวมาตั้งกี่ปี”
“เฮ้อ...”
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนปิดหน้า
รู้อยู่แล้วว่าคงจะยาก แต่สุดท้ายพอพูดออกมาจริง ๆ
แล้วกลับถูกต่อต้านอย่างเหนือความคาดหมาย
แต่เขาจะยอมแพ้แบบนี้ไม่ได้
ตอนเห็นรูปที่เด็กคนนั้นไปโรงเรียนอย่างห่อเหี่ยวก็รู้สึกสงสารมาก
เทียบกับพวกลูกชายที่เติบโตมาอย่างเพียบพร้อมทุกอย่าง
เด็กคนนั้นคงจะโตมาโดยที่ไม่มีอะไรเป็นดั่งใจสักอย่าง
ตอนแรกเขาตั้งใจจะแอบช่วยเหลือเฉย ๆ
และใช้ชีวิตเหมือนเด็กคนนั้นไม่มีตัวตน
แต่คำพูดของลูกชายคนรองก็ทำให้ประธานใหญ่คิมแทฮยอนเปลี่ยนใจ
เขาจะเลี้ยงลูกชายของตัวเอง ใครจะว่าอะไรได้
“ไม่ได้เด็ดขาดค่ะ!”
แต่มีอยู่หนึ่งคน
ใครที่ว่านั่นมีภรรยาของเขารวมอยู่
การคัดค้านแบบหัวชนฝาของภรรยาเพียงพอจะทำให้เขาหนักใจ
ตอนนั้นเสียงของชางฮุนที่ลงมาจากชั้นสองก็ดังขึ้น
“แม่ เด็กคนนั้นผิดอะไรครับ
แค่เอามาเข้าทะเบียนบ้านเฉย ๆ เอง น่าสงสารออกครับ”
คำพูดที่เหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ
แม่ที่ฟังอยู่รู้สึกเหมือนถูกทรยศส่วนโดฮุนที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ไม่อาจซ่อนความรู้สึกเหลือเชื่อไว้ได้
แน่นอน
ตนก็รู้ว่าควรจะเข้าข้างพ่อเพื่อสืบทอดบริษัทของพ่อ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังลังเล
กำลังสังเกตสถานการณ์อยู่
เพราะไม่รู้ว่าจะต้องเข้าข้างอย่างไรถึงจะทำให้แม่เสียใจน้อยลง
นึกไม่ถึงว่าน้องชายจะเข้าข้างอย่างออกหน้าขนาดนั้น
“แก แก...แกพูดแบบนั้นได้ยังไง”
“ผมเข้าใจความรู้สึกของแม่นะ
แต่เด็กคนนั้นทำอะไรผิดครับ แน่นอนว่าพ่อผิดจริง ๆ แต่เด็กนั่นไม่ได้ผิดอะไรเลย
เท่าที่รู้
แม่เด็กก็ตายไปหลายปีแล้วนี่นาอยู่คนเดียวโดยไม่มีพ่อมีแม่น่าสงสารออกครับ
พวกเราก็แค่ช่วยดูแล”
ยุนจีซุก ภรรยาของประธานใหญ่คิมแทฮยอนโกรธจนไม่รู้จะทำอย่างไรจึงคว้าแก้วบนโต๊ะโยนใส่ลูกชายที่ยืนอยู่ตรงบันได
ทันทีที่แก้วแตกเป็นเสี่ยง ๆ
พร้อมเสียงดังเพล้ง จีซุกก็ตะโกนใส่ชางฮุนที่กำลังเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“แก! ออกไป! ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก
ออกไปเดี๋ยวนี้!”
จีซุกเลื่อนนิ้วที่ชี้หน้าลูกชายคนรองไปหาประธานใหญ่คิมแทฮยอน
“คุณก็ออกไปด้วย! เดี๋ยวนี้!”
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนทำหน้าเศร้าแล้วลุกขึ้นมุ่งหน้าไปทางประตูหน้าบ้าน
แต่โดฮุนมองเห็น
ความปีติยินดีที่อยู่ในดวงตาของชางฮุนขณะเดินผ่านแม่ด้วยสีหน้าเจื่อน
ๆ
บทที่ 226 กระจัดกระจาย (4)
ฮยองซอกนั่งกัดเล็บ และคิดหนักอยู่ในออฟฟิศของตัวเองเพียงลำพัง
แม้จะโมโหที่ไม่สามารถแจ้งความเอาผิดเรื่องที่ไอ้เวรซงจียงแอบขนสมบัติที่ซ่อนอยู่ในตู้เซฟออกไปได้
แต่ถ้าต้องขายแม้แต่ฮันคยองรีสอร์ตที่เป็นเหมือนสมบัติลํ้าค่าในราคาถูก ๆ อีก ตอนนี้ต่อให้พ่อจะเข้าคุก
ตัวเขาก็แทบไม่เหลืออะไรอยู่ในมือแล้ว
แน่นอนว่าถึงแม้กรุ๊ปจะมีทรัพย์สินในครอบครองเกินหลายแสนล้าน
แต่ฮยองซอกก็ยังไม่พอใจ ต่อให้เอาสิ่งที่ไม่มีมารวมด้วย
อย่างไรก็ต้องขายสิ่งที่มีในราคาถูกอยู่ดี ช่วยไม่ได้หากจะระเบิดความเดือดดาลออกมา
ฮยองซอกคิดวิธีเหมาะ ๆ ไม่ออกเลย
เขาเพิ่งกลับเกาหลีมาได้ไม่นานจึงขาดเส้นสายและคนที่ไว้ใจจนพอจะเรียกใช้ส่วนตัวได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในวันที่ตัวเองอาจยื่นมือไปทางอัยการอย่างเลินเล่อจนเรื่องไปถึงหูพ่อ...
มันคงจะเกิดเรื่องที่ไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการ
ดังนั้นเลยอยากรอให้การสืบสวนของอัยการสิ้นสุดลงเงียบ ๆ
แต่ฮยองซอกก็ไม่ได้ไว้ใจอัยการถึงขนาดนั้น
เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยเห็นอัยการปฏิบัติตามคำพูดของพ่อเป็นอย่างดีจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าสุดท้ายการสืบสวนจะดำเนินต่ออย่างชอบธรรมจนถึงที่สุดหรือไม่
มันเป็นสถานการณ์คลุมเครือที่เคลื่อนไหวอะไรไม่ได้
ในเวลานั้นฮันจูยอนโทร.เข้ามา
เดิมทีเขาก็เครียดจนผมจะร่วงอยู่แล้วพอผู้หญิงไร้ประโยชน์โทร.มาก็ยิ่งหงุดหงิดจนทะลุปรอท
แถมอายุก็ไม่น้อยแล้ว
ไม่รู้ทำไมถึงเล่นตัวขนาดนั้น...
เขาแอบด่าในใจว่าสวยแต่รูป แต่อยู่ ๆ
ก็มีบางอย่างแวบผ่านเข้ามาในหัวเหมือนฟ้าแลบ
ฮยองซอกจึงรีบกดรับโทรศัพท์แล้วชวนมาเจออย่างเร่งรีบ
หลังจากนั้นก็ขึ้นรถมุ่งหน้าไปกังนัม
จูยอนที่นั่งอยู่ในคาเฟ่สุดหรูของย่านอับกูจองโบกมือเมื่อเห็นฮยองซอก
“ทางนี้ค่ะ ดื่มอะไรไหมคะ”
“ครับผม”
ฮยองซอกคลายความร้อนใจพลางปรับลมหายใจด้วยการสูดหายใจเข้าลึก
ๆแล้วสั่งกาแฟกับพนักงาน
จากนั้นก็ถือแก้วกาแฟกลับมานั่งตรงข้ามเธอพลางทำสีหน้าหม่น
ๆ เล็กน้อย
“ช่วงนี้คงเหนื่อยใช่ไหมคะ”
“ครับ
อืม...ในข่าวมีเรื่องพวกผมออกมาเยอะเลยใช่ไหมครับ”
“เดี๋ยวมันก็ผ่านไปค่ะ”
ฮันจูยอนพูดเหมือนเห็นใจ
เธอเองก็รู้สึกสับสนนิดหน่อยกับสถานการณ์ตอนนี้
และรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมด้วยเช่นกัน
ตอนแรกที่คบกับผู้ชายชื่อคิมแทมินก็คิดว่าตัวเองเลือกผู้ชายได้ดีพอตัว
ตัวบุคคลก็ไม่ได้แย่
เหนือสิ่งอื่นใดคือฮยอนจินกรุ๊ปของอีกฝ่ายมีอนาคตที่ดีและค่อนข้างมั่นคง
ถึงบริษัทแม่อย่างฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์จะสั่นคลอนจากความซบเซาของอุตสาหกรรมต่อเรือ
แต่เธอเชื่อว่าจะฟื้นกลับมาได้อีกครั้งหากเศรษฐกิจดีขึ้นรวมถึงเชื่อว่าฮยอนจินการท่องเที่ยวที่เป็นตัวทำเงินจะช่วยชดเชยสิ่งที่ขาดแคลน
ทว่าฮยอนจินการท่องเที่ยวกลับโดนบริษัทในเครือเดียวกันอย่างฮยอนจินการผลิตฮุบแล้วแยกตัวออกไป
สรุปง่าย ๆ
ก็คือสถานการณ์ที่ทรัพย์สินถูกแบ่งครึ่งหากมันหยุดเพียงแค่นั้นก็คงไม่เป็นไร
แต่หลังจากนั้นก็ไม่เห็นเค้าลางว่าบริษัทจะฟื้นตัว
ส่วนคิมแทมินก็ไม่ให้ความสำคัญกับเธอแล้ว
จากนั้นเธอก็เชื่อคำพูดของหมอดูจนหาผู้ชายคนใหม่เจอในที่สุด นั่นคือชาฮยองซอก
จูยอนคิดว่าผู้ชายคนนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน
เซยองกรุ๊ปคือกลุ่มธุรกิจแนวหน้าที่มีอำนาจมากจนประเมินแค่ทรัพย์สินในครอบครองเพียงอย่างเดียวไม่ได้
เขาเป็นลูกชายคนเดียวของกรุ๊ปนั้น บวกกับภาพลักษณ์สุภาพบุรุษตอนพบกันครั้งแรก
จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังลืมไม่ลง
แต่อยู่ ๆ ก็เกิดอุบัติเหตุ
เรื่องนี้เรียกว่าอุบัติเหตุถูกต้องแล้ว
ใครจะรู้ว่าเซยองกรุ๊ปจะกลายเป็นเป้าหมายของอัยการล่ะ
ตอนนี้เธอสับสนแล้วว่าตัวเองไม่มีดวงเรื่องผู้ชาย
หรือซวยที่เจอแต่ผู้ชายแปลก ๆ เองกันแน่ แต่นํ้าที่หกแล้วก็ไม่อาจย้อนคืนกลับไปได้
“ฮู่...ผมช็อกมากครับ
ไม่คิดว่าพ่อจะทำแบบนั้น...”
ฮยองซอกพูดเหมือนสะเทือนใจมากกับการทุจริตของพ่อ
จูยอนรู้สึกแปลกใจกับคำพูดของฮยองซอกชั่วขณะ
เพราะคิดว่าไม่มีทางจะไม่รู้...แต่คิดอีกทีว่าถ้าหากไม่รู้จริง ๆ
ก็คงจะตกใจมากจึงกุมมือเขาไว้
“ผลการสืบสวนยังออกมาไม่ครบเลยนี่คะ
เดี๋ยวพอเวลาผ่านไปแล้วทุกอย่างก็คงกระจ่างเอง รอก่อนนะคะ”
ครึ่งหนึ่งมาจากใจจริง
อีกครึ่งหนึ่งคือปลอบตามมารยาท แต่ฮยองซอกกลับส่ายหน้าพลางปั้นสีหน้าหนักใจ
“ไม่ใช่ครับ เท่าที่รู้มา พ่อผมทำผิดจริง
ๆ ให้ตายเถอะ...ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าบริษัทของผมที่ครอบครองสื่อจะทำเรื่องแบบนั้น”
ฮยองซอกปิดหน้าเหมือนเจ็บปวด
จูยอนลูบไหล่คนที่กำลังทุกข์ด้วยความสงสาร
เธอรู้ว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษอยู่แล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นลูกหลานของตระกูลมหาเศรษฐี
ไม่นึกเลยว่าจะเป็นคนไร้เดียงสาขนาดนี้
แต่ภาพลักษณ์แบบนั้นกลับกลายเป็นเสน่ห์ที่ยิ่งพิเศษในสายตาของจูยอนเพราะที่ผ่านมาเธอเคยคบกับผู้ชายที่เก่งและรวยมาเยอะ
แต่นี่คือครั้งแรกที่ได้เจอผู้ชายที่ยึดมั่นในความยุติธรรม
ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจเรียกได้ว่าตรงสเป็ก
แค่รู้สึกพิเศษเพราะเป็นสไตล์ที่เพิ่งเคยเจอ
“น่าจะมีเหตุผลไม่ใช่เหรอคะ”
“จะมีเหตุผลอะไรล่ะครับ
เหตุผลในการเข้าหาและสนับสนุนพวกเจ้าหน้าที่รัฐอายุน้อย ๆ
หรือนักการเมืองหน้าใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสังคม
มันก็ชัดเจนไม่ใช่เหรอคงพยายามทำให้กลายเป็นหมาที่เชื่อฟังคำพูดตัวเองในอนาคตนั่นแหละครับ
ผม...ผิดหวังในตัวพ่อจริง ๆ ไม่อยากจะเชื่อ...”
จูยอนรู้สึกว่าประเด็นมันแปลกขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ก็เห็นด้วยกับคำพูดของเขาไปก่อน
“จริงค่ะ
มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ...เกินความคาดหมายค่ะ”
“ผมให้อภัยพ่อไม่ได้ครับ”
“คะ?”
“ผมมั่นใจว่าในสำนักงานอัยการมีอัยการหลายคนสนิทกับพ่อ
แล้วจะสอบสวนอย่างโปร่งใสได้เหรอครับ ฮู่...พ่อเหมือนแกนแห่งความชั่วร้ายของประเทศเกาหลี
ผมปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้ครับ”
“เอ่อ...”
จูยอนคิดว่านี่มันไม่ใช่แล้ว
ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นพ่อของตัวเอง
แต่กลับพูดว่าปล่อยไว้ไม่ได้เนี่ยนะ
แถมท่าทีของอัยการตอนนี้ ต่อให้ปล่อยไว้เฉย
ๆ เซยองกรุ๊ปก็ลำบากมากแล้ว มันหมายความว่าเขาจะทำอะไรบางอย่างเพิ่มอีกสินะ...
แต่ถึงอย่างไรก็ยังคลุมเครือเกินกว่าจะห้ามเขาว่าไม่ควรทำ
ความโลภที่พุ่งทะยานขึ้นมากำลังขัดขวางการปลอบโยนอย่างเก้
ๆ กัง ๆของเธอ
“พวกเราไม่ใช่แค่บริษัทใหญ่
แต่เป็นบริษัทที่ครอบครองสื่อตัวแทนของประเทศเกาหลีนะครับ บางทีอาจจะระดมนักข่าวในสังกัดกับเส้นสายของพวกเราเพื่อบงการสื่อในประเทศทั้งหมดก็ได้
เห็นข่าววันนี้ไหมครับ
ที่มีการออกมาโต้แย้งวิจารณ์การบังคับสอบสวนเกี่ยวกับเซยองกรุ๊ป”
คำถามที่ว่านักข่าวในสังกัดที่จงรักภักดีก็ควรจะทำแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอในเมื่ออัยการจะมาลากตัวผู้บริหารบริษัทของตัวเองไป
แต่สุดท้ายเธอก็อดทนเอาไว้
จากนั้นก็ตั้งสติแล้วพูดแบบเผื่อใจ
“เห็นแล้วค่ะ หลักฐานออกมาชัดเจนแล้ว
จะบอกว่าเป็นการบังคับสอบสวนก็เกินไปหน่อยค่ะ พอเห็นข่าวนั้นแล้ว
ประชาชนจะคิดยังไงนะ...บางทีอาจจะพูดกันว่าพยายามบังท้องฟ้าด้วยฝ่ามือ[1] ก็ได้”
“นั่นคือสิ่งที่ผมหมายถึงครับ
ผมไม่เคยอับอายกับบริษัทตัวเองขนาดนี้มาก่อน จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงครับ”
แค่ลองโยนเผื่อไว้
แต่ปฏิกิริยาตอบรับของฮยองซอกกลับถูกต้อง
อยู่ ๆ จูยอนก็คอแห้งกะทันหัน
แม้จะอยู่ในร้านกาแฟที่เปิดแอร์เย็นเฉียบแต่เธอกลับร้อนจนต้องใช้มือพัด
และคอแห้งถึงขั้นสั่งเครื่องดื่มเพิ่มอีกแก้ว
ฮันจูยอนดื่มนํ้าโซดาเย็น ๆ
พลางจัดการกับความคิด
หากประธานใหญ่ชามยองจินของเซยองกรุ๊ปโดนจับกุมและถูกตัดสินว่ามีความผิดตามการพิจารณาคดีหลังจากนั้น...
ถึงในเวลานี้จะคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระมาก
แต่ถ้าหากเป็นแบบนั้นขึ้นมาจริง ๆ เซยองกรุ๊ปก็จะตกอยู่ในมือชาฮยองซอกทันที
เหตุผลที่เธอพยายามจะแต่งงานกับลูกชายคนเดียวของกลุ่มธุรกิจชั้นแนวหน้าคืออะไรล่ะ
เพราะความเชื่อที่ว่าหลังจากผ่านไปหลายสิบปี
ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นจะตกทอดมาถึงลูกชาย แม้จะไม่รู้ว่าเมื่อไรก็ตาม
รวมถึงอาจจะได้รับผลประโยชน์ทีละเล็กละน้อยในการใช้ชีวิตตลอดช่วงเวลานั้น
แต่ถ้าทรัพย์สินกับอำนาจทั้งหมดของเซยองกรุ๊ปตกอยู่ในมือของชาฮยองซอกโดยตรงและไม่จำเป็นต้องรอเวลานานขนาดนั้น
อำนาจของเธอที่กำลังจะกลายเป็นภรรยาของเขาก็คงแข็งแกร่งมากขึ้นเช่นกัน
ตำแหน่งลูกสะใภ้ของเซยองกรุ๊ป
กับตำแหน่งนายหญิงของเซยองกรุ๊ป มันแตกต่างราวฟ้ากับเหว
หากเป็นอย่างนั้น GK
กรุ๊ปก็อาจจะก้าวกระโดดไปข้างหน้าได้ไกลมากขึ้นเช่นกัน
เพราะได้รับพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างสำนักข่าวเซยองอิลโบและเซยองมีเดียเข้ามาเป็นพวก
หัวใจเธอเต้นตึกตัก
มุมปากยกจนแทบฉีกไปถึงท้องฟ้า
จูยอนได้รับการอบรมจากครอบครัวมานานว่าควรจะทำอย่างไรเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
“มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ”
เธอมองไม่เห็นว่าดวงตาของฮยองซอกที่กำลังตีหน้าเศร้าเปล่งประกายชั่วขณะ
“ถ้าทำผิดก็ต้องถูกลงโทษครับ ถึงจะปวดใจ
แต่ผมหวังว่าเพื่อบริษัทแล้วพ่อจะยอมรับโทษอย่างกล้าหาญ
คอมเมนต์ในข่าวมีคำด่าพวกเราครับ พรรณนาว่ากรุ๊ปของเราเป็นแมลงเกาะกินประเทศเกาหลี
ถ้าพ่อยอมรับความผิดของตัวเองและชดใช้โทษอย่างกล้าหาญ
ประชาชนก็คงจะกลับมาเชื่อใจนักข่าวของเซยองอิลโบได้อีกครั้ง
เซยองมีเดียเองก็จะได้รับความรักจากผู้ชมเหมือนกัน ผมเชื่ออย่างนั้นครับ”
“ใช่ค่ะ
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็อาจจะเปลี่ยนความคิดเห็นแง่ลบของประชาชนในเวลานี้ได้
ฉันจะลองดูนะคะ”
“ยังไงครับ มีวิธีเหรอ”
สายตาชัดเจนของฮยองซอกทำให้การตัดสินใจของจูยอนยิ่งแน่วแน่ขึ้น
“ค่ะ
หัวหน้าฝ่ายกฎหมายของบริษัทฉันเคยเป็นหัวหน้าอัยการเขตมาก่อนแถมคนที่เพิ่งเข้ามาเป็นที่ปรึกษาเมื่อปีก่อนก็เคยเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาเหมือนกันอาจจะช่วยได้ค่ะ”
“อ๋อ...จริงเหรอครับ”
ฮยองซอกตกใจกับเส้นสายด้านกฎหมายที่แข็งแกร่งกว่าที่คิด
เขาแค่ต้องการให้ช่วยสร้างความคิดเห็นของประชาชนจากรอบข้าง
หรือช่วยกดดันอัยการในฐานะบุคคลที่สาม แต่ไม่นึกว่าจะได้ถึงขนาดนี้
“สำหรับบริษัทฉัน
เรื่องอื่นเป็นยังไงไม่รู้ แต่ทีมกฎหมายค่อนข้างเก่งเลยค่ะเพราะน่าจะประมาณสักสิบปีก่อน
เคยทะเลาะกันหนักมากเพราะเรื่องดิวตี้ฟรีตอนนั้นทีมกฎหมายพยายามกันอย่างหนักเพื่อเอาชนะ
เลยยังรักษาเอาไว้ได้จนถึงตอนนี้ไงคะ โชคดีใช่ไหมล่ะคะ”
“ครับ โชคดีมาก”
ฮยองซอกต้องหันหน้าหนีเพราะเผลอยิ้มออกมา
จากนั้นก็พยายามทำสีหน้าเจ็บปวดอีกครั้งแล้วพูดต่อ
“อย่างน้อยถ้ามีแม่อยู่ด้วยก็คงจะห้ามพ่อได้...ทำไมเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้...”
จูยอนจับมือฮยองซอกที่นํ้าตาคลอ
“ไม่เป็นไรค่ะ
มันไม่ใช่ความผิดของคุณฮยองซอกนะคะ”
แน่นอนว่าฮันจูยอนเองก็ระวังอย่างเต็มที่เพราะกลัวจะเผลอยิ้มออกมาเช่นกัน
ช่างเป็นภาพที่ประหลาดเมื่อคู่รักสองคนกำลังพยายามทำหน้าเศร้าใส่กัน
“ฮ่า ๆ ๆ! รับไปสักแก้วสิครับ”
“ผมไม่เป็นไรครับ”
“โธ่~ ไม่เอาน่า
รับไปเถอะครับ แขนผมสั่นไปหมดแล้ว ฮ่า ๆ ๆ!”
กรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนหัวเราะเสียงดังหลุดโลก
แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะตอนนี้เขาทั้งดีใจและมีความสุขมากกว่าตอนไหน ๆ
ทุกครั้งที่นึกถึงสีหน้าสับสนของพี่ชายตอนก่อนออกมาจากบ้าน
มุมปากก็ค่อย ๆ ยกขึ้นทุกที
“รับเถอะครับกรรมการผู้จัดการ
เรื่องทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณกรรมการผู้จัดการไม่ใช่เหรอครับ”
แม้แต่หัวหน้าฝ่ายยุนฮีชานที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
ก็ช่วยเสริมด้วย
สุดท้ายยองฮุนก็แกล้งทำเป็นเอาชนะไม่ได้จึงกระดกใส่ปากหนึ่งแก้วก่อนจะถาม
“แล้วราบรื่นดีใช่ไหมครับ”
“แน่นอนครับ ถึงตอนนี้พ่อจะปวดใจมาก
แต่พอลูกชายคนรองคอยหนุนหลังอย่างเต็มที่ พ่อก็ยกมือมาวางบนไหล่ผมแล้วบอกว่า
ฉันเหลือแค่แกคนเดียวนะ อย่างนี้เลยครับ!”
กรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนถึงกับแสดงละครเก้
ๆ กัง ๆ ออกมา
“ถ้างั้นก็เกือบเสร็จสมบูรณ์แล้วสินะครับ”
“ใช่ครับ ตอนนี้พี่อยู่นอกสายตาพ่อแล้ว”
หัวหน้าฝ่ายยุนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
จึงพูดเสริมอีกประโยค
“ยังไงผลงานของอูมยองโซลาร์เซลล์ก็ถดถอยอย่างต่อเนื่อง
ส่วนผลงานของอูมยองคอนสตรัคชั่นกลับเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกไตรมาส
เพราะฉะนั้นเทียบกันไม่ติดเลยครับ”
“ผลงานของอูมยองโซลาร์เซลล์แย่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“เพราะราคาแผงโซลาร์เซลล์ตํ่ามากและยังไม่ฟื้นตัวเลยครับ
นอกจากนี้ประเทศที่ส่งเสริมธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์อย่างจริงจังก็คือประเทศจีน
แต่จีนเน้นบริษัทของประเทศตัวเอง ดังนั้นการส่งออกจึงยากในหลาย ๆ ด้านครับ”
“อืม...อย่างนี้นี่เอง
ถ้างั้นการซื้อกิจการของฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์เป็นยังไงบ้างครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนจึงพูดด้วยสีหน้าหนักใจเหมือนรู้ว่าจะต้องถาม
“ถึงมันจะยาก แต่ผมคิดว่าจะปรึกษากับพ่อก่อนแล้วค่อยดำเนินการให้เร็วที่สุดครับ”
“จะทำได้ใช่ไหมครับ”
“พูดตรง ๆ มันยากครับ
ฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์มีหนี้สินเยอะมากแถมยังได้ยินมาว่าฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ได้ออร์เดอร์เรือขนส่ง
LNG ที่สั่งซื้อจากกาตาร์รอบนี้มาไม่เยอะด้วย เห็นว่ากันว่าถ้าได้ออร์เดอร์น้อยกว่ายี่สิบลำคงทนต่อลำบาก
ไม่ว่ายังไงภายในกรุ๊ปก็คงมองการซื้อกิจการในแง่ลบครับ”
“ถ้างั้นก็แปลว่าไม่มีทางสินะครับ”
จะพยายามอย่างเต็มที่
แต่มันไม่ค่อยราบรื่นเลย
ขอโทษ
เห็นได้ชัดว่าคิดจะตัดจบแบบนั้น
ยองฮุนจึงลองถามดู
เขาอยากจะช่วยฟื้นฟูฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์
แต่จะใช้เงินตัวเองช่วยก็ต้องเสียเยอะเกินไป อยากช่วยด้วยเงินของคนอื่น
ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด
“ผมไม่ใช่คนไร้จิตสำนึกครับ
ผมจะทำให้สำเร็จเพราะสัญญาไว้แล้ว เรามีหุ้นที่ได้คืนมาก่อนหน้านี้
ถ้าลงทุนเพิ่มเติมตามเงื่อนไขการแบ่งหุ้นกับประธานใหญ่คิมแทมิน
อาจจะลดความเสี่ยงและทำให้อำนาจการยึดครองฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์แข็งแกร่งขึ้นด้วยครับ”
ถึงอย่างนั้นก็เป็นคำตอบที่มีความกระตือรือร้นมากกว่าที่คิด
ยองฮุนจึงคิดหนักก่อนจะเปิดปากพูด
“เมื่อไม่นานมานี้ประเทศไทยเพิ่งประกาศโรดแมปพัฒนาพลังงานไฟฟ้าเพื่อจะลดการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินและเพิ่มพลังงานทดแทน
แต่กุญแจสำคัญของโรดแมปนั้นก็คือ ก๊าซธรรมชาติกับพลังงานแสงอาทิตย์ครับ”
“ครับ ผมทราบ”
“พวกเขาแสดงปณิธานว่าจะเพิ่มสัดส่วนก๊าซธรรมชาติให้มากกว่าปัจจุบันและเพิ่มพลังงานแสงอาทิตย์เป็นห้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของพลังงานทั้งหมดภายในปีสองพันสามสิบเจ็ด
สนใจเรื่องนี้ไหมครับ”
“ครับ? เดี๋ยว...นั่นมันเป็นงานของอูมยองโซลาร์เซลล์นะครับ”
“ใช่ครับ
ถ้าผลงานของอูมยองโซลาร์เซลล์ดีขึ้น มันอาจจะเป็นเรื่องดีต่อประธานคิมโดฮุนคนเดียว
แต่เมื่อกี้บอกว่าตอนนี้ผลงานแย่มากนี่ครับ”
“...”
“ถ้าน้องชายออกหน้าเป็นพิชเชอร์ตัวสำรอง
ช่วยกอบกู้ผลงานของอูมยองโซลาร์เซลล์อย่างยิ่งใหญ่ พ่อจะมองพี่ชายยังไงล่ะครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนกลืนนํ้าลายดังเอื๊อก
หัวหน้าฝ่ายยุนจึงช่วยตอบแทน
“คงมองว่าโง่ครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนพูดพร้อมกับเบิกตากว้างราวกับมีแสงเลเซอร์ออกจากตา
“ผมจะรีบไปปรึกษาหาข้อยุติกับพ่อเดี๋ยวนี้เลยครับ”
[1]
แม้ว่าจะปิดบังสักเพียงใดก็ไม่สามารถปิดบังได้
บทที่ 227 กระจัดกระจาย (5)
คำสั่งของประธานใหญ่ ชามยองจินที่ลงมาถึงประธานเซยองดีเวลลอปเมนต์เรื่องการขายฮันคยองรีสอร์ตนั้น
ทำให้ภายในกรุ๊ปเกิดความปั่นป่วนอย่างมาก
คำสั่งให้ขายสินทรัพย์ลํ้าค่าของเซยองดีเวลลอปเมนต์และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปีอย่างฮันคยองรีสอร์ตในราคาถูก
ๆ เพียงแค่สี่แสนล้านในมุมมองของประธานจางบกซูนี่เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้
“นายลองคุยกับท่านประธานใหญ่หน่อยสิ
มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย”
สุดท้ายประธานจางบกซูก็เรียกตัวชาฮยองซอก
หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของเซยองดีเวลลอปเมนต์ผู้เป็นลูกชายของประธานใหญ่ชามยองจินมานั่งแล้วถาม
“ฮู่...นั่นน่ะสิครับ”
ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ชาฮยองซอกก็ยังทำสีหน้าอึดอัดเช่นเคย
“หรือว่าทำแบบนั้นเพราะตอนนี้อัยการกำลังสืบสวนท่านประธานใหญ่อยู่มันเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นเหรอ”
“ผมไม่แน่ใจ
แต่คิดว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกันครับ
ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นก็ไม่มีทางขายฮันคยองรีสอร์ตถูก ๆ แบบนี้แน่
เฮ้อ...ถึงอย่างนั้นก็เถอะ จะขายฮันคยองรีสอร์ตได้ยังไงครับ
แถมยังแค่สี่แสนล้านอีก”
“นั่นแหละที่ฉันหมายถึง”
“ผมไม่เข้าใจเลยครับ
ถึงจะให้หนึ่งล้านล้านแล้วอ้อนวอนให้ขายก็ยังคิดหนักเลย แต่กลับขายที่สี่แสนล้าน
เห็นได้ชัดว่าพ่อประเมินผิดครับ”
“ไม่สิ จะมองว่าผิดซะทีเดียวมันก็...”
ประธานจางบกซูรู้ดีว่าต่อให้กล้านินทาท่านประธานใหญ่ขนาดไหน
แต่ถ้าพลอยเข้าไปผสมโรงด้วยก็อาจจะเป็นเรื่องใหญ่
ดังนั้นจึงพยายามจะถอยก้าวหนึ่ง
แต่ฮยองซอกไม่ยอมปล่อย
“ผิดครับ
ฮันคยองรีสอร์ตเป็นสถานที่แบบไหนกัน ตอนสร้างรีสอร์ตที่ยางยางครั้งแรก
เราพยายามล็อบบี้นักการเมืองเขตนั้นทุกวิถีทางเพื่อสร้างมันขึ้นมาไม่ใช่เหรอครับ
ท่านประธานเป็นคนบอกผมเองว่าตอนนั้นลำบากสุด ๆ”
“มันก็ใช่...”
“แล้วมีแค่นั้นเหรอครับ
ทุกครั้งที่สร้างรีสอร์ตแต่ละแห่ง เราขัดแย้งกับชาวบ้านในพื้นที่หนักขนาดไหน เวลาซื้อที่ดินก็ชอบมายุ่งว่าขุดไม่ได้อย่างนั้นอย่างนี้จนทะเลาะกับผู้รับเหมา...ทะเลาะเพราะมีคนร้องเรียนเข้ามา...ผมกลับเกาหลีทีไรท่านประธานก็บ่นไม่หยุด
ถ้าผมไม่รับรู้ก็ไม่ใช่คนแล้วครับ”
“การทำธุรกิจมีอะไรง่ายที่ไหนล่ะ
ไม่ว่าจะสร้างรีสอร์ตหรือสร้างคอนโดก็หลีกเลี่ยงการปะทะกับชาวบ้านในพื้นที่ไม่ได้หรอก”
“ผมรู้ครับว่าท่านประธานดูแลฮันคยองรีสอร์ตมาด้วยความยากลำบากแต่การบอกว่าจะเทขายในราคาสี่แสนล้านเนี่ย
มันหมายความว่าพ่อไม่รู้อะไรเกี่ยวกับท่านประธานเลยไม่ใช่หรือไงครับ!”
“เฮ้ย อย่าอารมณ์เสียน่า...”
“ไม่อารมณ์เสียไหวเหรอครับ
มาบอกว่าจะขายฮันคยองรีสอร์ตของพวกเราในราคาสี่แสนล้าน
จะไม่ให้ผมอารมณ์เสียได้เหรอครับ!”
ประธานจางบกซูรู้สึกหนักใจมาก
ลูกชายสามารถตำหนิ
สามารถด่าพ่อได้แต่ถ้าพนักงานใต้บังคับบัญชาทำอย่างนั้นต้องโดนไล่ออกทันที
ทว่าในประเด็นนี้ ฮยองซอกไม่ได้พูดอะไรผิดสักคำ
มันคือสถานการณ์ลำบากใจที่เขาไม่สามารถเออออตามฮยองซอกได้ในขณะเดียวกันก็เข้าข้างท่านประธานใหญ่ไม่ได้ด้วยเช่นกัน
“แล้วจะทำยังไง”
“ทำอะไรได้ล่ะครับ”
“ไหนบอกว่าไม่ยอม
ถ้างั้นก็ต้องโน้มน้าวท่านประธานใหญ่สิ”
“ผมลองทำแล้วครับ”
“จริงเหรอ แล้วว่าไง”
“พ่อไม่ยอมบอกผมตรง ๆ เหมือนกันครับ
แต่ผมคิดว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับการสืบสวนของอัยการครั้งนี้แน่นอน
ถ้างั้นก็ทำอะไรไม่ได้ครับ ต้องยอมขายอย่างเดียว”
“เฮ้อ...”
ประธานจางบกซูเอนตัวพิงพนักสีหน้าสิ้นหวัง
อย่างที่หัวหน้าฝ่ายชาฮยองซอกบอก
มันเป็นรีสอร์ตที่อุตส่าห์ประคบประหงมมาถึงขนาดนี้
ตนเป็นคนพิจารณาและว่าจ้างบุคลากรจำนวนมากจากต่างประเทศด้วยตัวเองไม่ว่าจะเป็นสถาปนิก
ผู้รับเหมาภูมิทัศน์ หรือผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมระดับห้าดาว
เพื่อพัฒนาให้กลายเป็นรีสอร์ตที่ดีที่สุดในประเทศเกาหลี
แต่ความพยายามดังกล่าวกลับไม่ได้รับราคาที่เหมาะสมและโดนเอามาขายราคาถูก
ๆ เพียงแค่สี่แสนล้าน ประธานจางบกซูรู้สึกเหมือนความยากลำบากเมื่อสมัยหนุ่ม ๆ
ลอยหายไปในอากาศชั่วพริบตา
“พ่อก็จริง ๆ เลย...ข้าราชการ นักการเมือง
แล้วใครอีก หลาย ๆ คนก็พูดกันว่าสนับสนุนแบบนั้นแล้วจะได้อะไร
ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ตอนนี้พ่อกำลังลำบากขนาดนี้
แล้วคนพวกนั้นช่วยอะไรบ้างครับ”
“ตอนนี้เข้าตาจนแล้วไง”
“เราเอาเงินไปประเคนให้เพื่อขอความช่วยเหลือเวลาเข้าตาจนไม่ใช่เหรอครับแต่ดูสิ
มีนักการเมืองคนไหนออกมาช่วยพ่อบ้าง”
ทันทีที่ออกตัวว่าจะช่วยประธานใหญ่เซยองกรุ๊ปในสถานการณ์นี้
มันก็เหมือนป่าวประกาศว่าชื่อตัวเองอยู่ในสมุดบัญชี แล้วใครจะยอมช่วยล่ะ
แม้จะเป็นเรื่องธรรมดาที่ออกหน้าอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้
แต่พอฮยองซอกมาชี้ให้เห็นแบบนี้
ประธานจางบกซูจึงมองว่าการสปอนเซอร์ของประธานใหญ่ชาไร้ประโยชน์ไปด้วย
“เรื่องนั้นนายพูดถูก”
“มันเป็นความผิดของพ่อผมที่ทำให้บริษัทสิ้นเนื้อประดาตัวครับ”
“สิ้นเนื้อประดาตัวเลยเหรอ
พูดเกินไปหรือเปล่า”
“ถ้ามันไม่จบแค่ฮันคยองรีสอร์ตล่ะครับ”
“หา หรือว่า...จะทำอย่างนั้นเหรอ”
“ท่านประธานเคยคิดเหรอครับว่าสักวันหนึ่งฮันคยองรีสอร์ตของเราจะถูกขายในราคาสี่แสนล้าน”
“เรื่องนั้น...”
“ได้ยินเรื่องขายซองวอนบิลดิ้งแล้วใช่ไหมครับ”
“...”
“ถ้ามันไม่ได้จบแค่ฮันคยองรีสอร์ต
แต่เป็นเซยองซีซี วอนอิลทาวเวอร์ในเตหะราน รวมถึงแฟรนไชส์คาเฟ่อย่างดรีมคาเฟ่ด้วย
ตอนนั้นจะเป็นยังไงครับ”
“มีเหตุผลจะต้องกระโดดไปไกลขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ความมุ่งมั่นในการสืบสวนของอัยการแข็งแกร่งกว่าที่คิดครับ
พ่อพยายามทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้โดนลากไปถึงการพิจารณาคดี
เพราะมองว่าถ้าโดนพิพากษาอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าปีถึงจะออกมาได้ครับ”
“ทางแทยังพูดอย่างนั้นเหรอ”
สำนักงานกฎหมายแทยัง
คือสำนักงานกฎหมายที่มีความสามารถติดสามอันดับแรกของประเทศเกาหลี
และเป็นสำนักงานที่ประธานใหญ่ชามยองจินมอบหมายให้เป็นทนายความประจำตัวในการสืบสวนครั้งนี้
และแน่นอนว่าทางแทยังไม่ได้พูดอย่างนั้น
“ครับ พวกเขาบอกว่าน่าจะยากมาก”
ประธานจางบกซูตระหนักว่าสถานการณ์อาจจะร้ายแรงกว่าที่คิดไว้เยอะ
“ถ้างั้นตอนนี้คิดจะทำยังไง”
“ทำยังไงได้ล่ะครับ
ขายรีสอร์ตตามคำสั่งพ่อ
หลังจากนั้นก็แค่จับตาดูสถานการณ์ว่าถ้ามีอะไรต้องขายอีกก็ขาย”
“เฮอะ ๆ”
“เฮ้อ...ผมปวดใจจริง ๆ นะครับที่ต้องเห็นบริษัทล้มเพราะความโลภของพ่อ”
“...”
ฮยองซอกเหลือบมองประธานจางบกซู
เมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มหน้าสีหน้าเศร้าสร้อยก็แอบกำหมัด
ประธานจางบกซูตกหลุมพรางแล้ว
ต่อให้พ่อจะติดคุกก็คงไม่พยายามหาทางช่วยเหลือ
ถ้ามีหมายค้นและยึดจากอัยการก็คงไม่ใช้อำนาจขัดขวาง
ตอนนี้เหลือแค่รอดูว่าความสามารถของคนที่จะมาเป็นภรรยาในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร
เซยองซีซีของเซยองดีเวลลอปเมนต์ตั้งอยู่ที่อีชอน
เนื่องจากอึดอัดกับการอยู่แต่ในบ้านเลยคิดจะออกมารับลม
ประธานใหญ่ชามยองจินจึงมาออกสนามหลังจากไม่ได้มานาน
มุมปากยกเป็นรอยยิ้มเมื่อหวดไม้กอล์ฟออกไปอย่างแรง
“ไนซ์ช็อต!”
“วันนี้ลูกเข้าเป้านะเนี่ย”
“เหมือนฝีมือดีขึ้นเลยนะคะ
เอาแต่ซ้อมกอล์ฟจนไม่ได้หลับได้นอนหรือเปล่า”
“ก็รู้นี่นาว่าช่วงนี้สถานการณ์ฉันเป็นยังไง
ปวดหัวจนไม่เคยได้จับไม้กอล์ฟอย่างสบายใจเลย”
“ถ้าอย่างนั้นก็เก่งเกินไปแล้วค่ะ”
“โชคดีละมั้งน่ะสิ”
“ดูเหมือนการสืบสวนน่าจะจบลงด้วยดีนะคะ
ฮ่า ๆ ๆ!”
“ฮ่า ๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ”
ประธานใหญ่ชามยองจินส่งไม้กอล์ฟให้แคดดี้แล้วเอามือไพล่หลังก้าวเดินอย่างผ่อนคลาย
แต่กลับมีคนกลุ่มหนึ่งรีบเดินเข้ามาหาจากที่ไกล ๆ
แค่มองก็รู้แล้วว่าคนที่ใส่สูทสีดำเดินเข้ามาท่ามกลางแดดจ้าไม่ใช่คนที่คิดจะมาตีกอล์ฟแน่นอน
ประธานใหญ่ชามยองจินมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง
และเมื่อคนกลุ่มนั้นเข้ามาใกล้ก็ตรงตัวพอดีเป๊ะ
เพราะคนที่เดินผายไหล่อย่างมั่นใจอยู่หน้าสุด
คืออัยการคิมซังชอลที่เคยเห็นรูปมาหลายครั้งแล้ว
“พวกผมเป็นอัยการนะครับ ประธานใหญ่ชามยองจินใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ”
เขาตอบพร้อมกับมองพวกบอดี้การ์ดของตัวเองวิ่งมาจากที่ไกล
ๆ
แม้ในใจจะสบถคำด่าว่าพวกหน้าโง่
แต่ก็ไม่ได้แสดงออกให้เห็น
“ติดต่อไม่ค่อยได้เลย
มาอยู่ที่นี่นี่เองสินะครับ”
“งั้นเหรอครับ ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“มันก็อาจจะเป็นไปได้ครับ ยังไงก็โชคดีที่ได้พบกันนะครับ
ผมขอจับกุมท่านประธานใหญ่ในข้อหาติดสินบนเจ้าพนักงาน นี่คือหมายจับครับ”
อัยการคิมซังชอลยิ้มขณะนำหมายจับที่มีลายเซ็นของผู้พิพากษาออกมาส่งให้
ประธานใหญ่ชามยองจินยิ้มอย่างสิ้นหวัง
ก่อนจะถอดถุงมือโยนใส่หน้าบอดี้การ์ดที่เพิ่งวิ่งมาถึง
“ไปสิครับ”
“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือครับ”
ทันทีที่จับกุมประธานใหญ่ชามยองจิน
อัยการคิมซังชอลก็รู้สึกถึงความสุขอันน่าตื่นเต้นที่วิ่งผ่านสันหลัง
หลังจากออกข่าวว่ามีการออกหมายจับประธานใหญ่ชามยองจินได้ไม่นานเท่าไร ข่าวที่ว่าประธานใหญ่ชาถูกจับกุมอย่างกะทันหันที่สนามกอล์ฟก็กลายเป็นประเด็นในพอร์ทัล
และหลังจากข่าวออกไม่ถึงห้านาที
ฮันจูยอนก็มาหาฮยองซอก
“เห็นข่าวแล้วใช่ไหมคะ”
“ครับ
ทางบ้านของคุณจูยอนยื่นมือเข้ามาหรือเปล่า”
“ทางอัยการมุ่งมั่นจนไม่จำเป็นต้องใช้แรงของพวกเราเลยค่ะ
แค่กังวลอยู่เรื่องเดียวว่าผู้พิพากษาอาจจะยกเลิกหมายจับ
แต่ฉันเคยบอกใช่ไหมว่าที่ปรึกษาทีมกฎหมายของบริษัทฉันเคยเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา
เขายื่นมือเข้ามาช่วยค่ะดังนั้นหมายจับถึงได้รับการอนุมัติทันที”
ฮยองซอกไม่เคยเห็นจูยอนสวยขนาดนี้มาก่อน
เขาจึงพูดและกอดเธออย่างจริงใจ
“ทำได้ดีมากเลยครับ”
พ่อตัวเองโดนจับ
แต่กลับดีใจแล้วชมว่าทำได้ดีมากงั้นเหรอ...
ถึงจูยอนจะทำเพราะความโลภของตัวเอง
แต่พูดตรง ๆ ก็สับสนนิดหน่อย
“ขอบคุณค่ะ”
“จับกุมเรียบร้อยแล้ว
บรรยากาศของสำนักงานอัยการเป็นยังไงบ้างเหรอครับ”
“จากการอนุมัติหมายจับทันที
บรรยากาศภายในเรียกว่าแทบจะราบรื่นทุกอย่างค่ะ
ได้ยินว่าหลักฐานแน่นมากจนพิสูจน์โทษได้ง่าย หลังจากประธานใหญ่ชาถูกจับกุมแล้ว
คนที่มีชื่ออยู่ในสมุดบัญชีจะถูกเรียกตัวมาสอบสวนต่อ
การสืบสวนจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วค่ะ”
“ถ้างั้นพ่อก็คงออกมาไม่ได้ง่าย ๆ
สินะครับ”
“บางทีอาจจะเป็นอย่างนั้น...แต่ทางสำนักงานกฎหมายแทยังคงจะพยายามหาทางประกันตัวออกมาค่ะ”
“ประกันตัวก็จำเป็นต้องใช้เงินนี่ครับ”
“ใช่ค่ะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลครับ”
ฮยองซอกตัดสินใจอย่างแน่วแน่
ก่อนอื่น
พ่อของเขาไม่สามารถขอประกันตัวได้ด้วยทรัพย์สินของเซยองกรุ๊ป
ต้องขอประกันตัวด้วยทรัพย์สินส่วนตัว
แต่คนที่ถือทรัพย์สินนั้นไว้ในมือคือเขา
“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”
ใครเห็นคงคิดว่าบรรยากาศเหมือนส่งศัตรูเข้าคุก
แต่จูยอนตัดสินใจปล่อยผ่าน
เพราะตอนนี้กลุ่มธุรกิจสื่อยักษ์ใหญ่ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมกำลังล่อลวงเธออยู่
[อูมยองกรุ๊ป จะเสนอตัวเป็นพิชเชอร์ตัวสำรองของฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ที่กำลังดิ้นรนกับการขาดดุลงั้นหรือ]
ยองฮุนฉีกยิ้มขณะอ่านข่าวบนพอร์ทัล
เขาไม่ได้โน้มน้าวกรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนด้วยความมั่นใจ
เพราะกรรมการผู้จัดการคิมชางฮุนไม่ได้มีวาทศิลป์ยอดเยี่ยม
แถมตอนนี้ตำแหน่งก็ไม่ได้มีความสำคัญมากอะไรในบริษัท
อย่างไรก็ตาม
ยองฮุนให้ข้อเสนอแบบนั้นกับอีกฝ่าย
เพราะนึกวิธีอื่นที่จะช่วยฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ไม่ออกแล้ว
หากบริษัทอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นก็มีความเป็นไปได้สูงที่ประธานใหญ่ซงอึนแชจะทนมองเฉย
ๆ ไม่ได้เพราะมันเป็นความฝังใจเดียวที่เหลืออยู่สำหรับเธอ
แต่พอเป็นแบบนี้
ความอึดอัดที่อยู่ในมุมหนึ่งของหัวใจก็สลายหายไป
ส่วนข่าวการจับกุมประธานใหญ่ชามยองจินวันนี้กลับกลายเป็นเรื่องธรรมดาจนไม่อยู่ในสายตาของยองฮุน
“กรรมการผู้จัดการ ถึงเวลาเดินทางแล้วค่ะ”
มินฮีเข้ามาแจ้ง
“โอเคครับ ออกเดินทางเลย”
ยองฮุนสวมสูทแล้วออกจากห้องทำงานของตัวเอง
เขานั่งรถคันเดียวกับมินฮีมาโรงแรมไฮแอทที่ตั้งอยู่ตรงนัมซาน
สถานที่นัดหมายคือห้องอาหารเกาหลีภายในโรงแรม
“มาแล้วเหรอ”
กรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนที่รออยู่ก่อนแล้วทักทายยองฮุนด้วยสีหน้าตึงเครียด
“ครับ ทางนั้นมาแล้วเหรอ”
“ยัง...”
“แล้วทำไมถึงเครียดขนาดนี้ล่ะครับ”
“เห็นชัดเลยเหรอ”
“ครับ นั่งเถอะ”
ยองฮุนเป็นฝ่ายนั่งลงก่อน
กรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนจึงนั่งลงข้าง ๆ
มินฮีก้มศีรษะให้ยองฮุนเล็กน้อยก่อนจะปิดประตูเดินออกไป
“สถานการณ์เป็นยังไงบ้างครับ”
พอยองฮุนถาม ฮยองจุนก็เอียงคอสีหน้าคลุมเครือ
“ไม่มีอะไรคืบหน้า
พ่อกับอากำลังแลกหมัดใส่กัน แต่ต้องเรียกว่าไม่มีแรงกระแทกไหมนะ
ต่อยไม่ตรงเป้าทั้งคู่
แต่ข้อดีคือพออาสร้างเรื่องให้พ่อดูเหมือนความสนใจที่พุ่งมาทางฉันก็ลดลงไปด้วย”
“ถึงอย่างนั้นบริษัทก็น่าจะไม่เงียบนะครับ”
“แหงสิ อย่าให้พูดเลย มัวแต่ถามกันว่าอยู่ฝั่งใครจนไม่เป็นอันทำงานถ้าประเมินว่าอยู่คนละฝั่ง
ไม่ว่าจะเป็นโปรเจกต์อะไรก็ปัดทิ้งหมด โชคดีที่ธุรกิจการเงินค่อนข้างอนุรักษนิยม
ถ้าบริษัทไอทีเป็นแบบนี้นะ โอ้โฮ...”
ฮยองจุนส่ายหน้า
แต่ขณะนั้นประตูกลับเปิดออกโดยมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา
สาวสวยวัยสามสิบต้น ๆ
ส่งยิ้มเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือไปหายองฮุน
“โคอิเกะ ยูริโกะ ค่ะ”
“ชเวยองฮุนจากเอชเอสกรุ๊ปครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
โคอิเกะ ยูริโกะ ผู้สืบทอดของรอยัลเมเจอร์
และเป็นหนึ่งในกรรมการอิสระของชินยองไฟแนนเชียลนั่นเอง
บทที่ 228 ผู้ช่วย (1)
โคอิเกะ ยูริโกะ เก่งภาษาเกาหลี
ต่อให้เป็นแค่คำทักทายง่าย ๆ
แต่ออกเสียงได้ชัดเจนมาก จึงรับรู้ได้ว่าเธอพูดภาษาเกาหลีค่อนข้างเก่งทีเดียว
“พูดภาษาเกาหลีเก่งนะครับ”
“ฉันมาเกาหลีบ่อยตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วค่ะ”
“เพราะมีความเกี่ยวข้องลึกซึ้งกับชินยองไฟแนนเชียลหรือเปล่าครับ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ
ฉันแค่ชอบบรรยากาศของเกาหลี
ตรงไปตรงมามีชีวิตชีวา...เหนือสิ่งอื่นใดคือชอบเพราะมันไม่น่าเบื่อ
แต่บรรยากาศของคุณชเวยองฮุนพิเศษมากเลยนะคะ”
“ผมเหรอครับ”
“ค่ะ อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ แต่แปลกดี
อย่าเข้าใจผิดนะคะ ฉันไม่ได้หมายความว่าไม่ดี”
เธอยิ้มแปลก ๆ แล้วดื่มชาอย่างสุภาพ
ยองฮุนมองฮยองจุนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
สักพักจนอีกฝ่ายขยับปากถามว่า ‘ทำไม’
เขาจึงหันกลับมามองโคอิเกะ ยูริโกะ อีกครั้ง
เธอเป็นผู้หญิงที่อ่านยาก
เป็นครั้งแรกที่ยองฮุนเผชิญหน้ากับคนอื่นแล้วรู้สึกเหมือนโดนกำแพงขวางเอาไว้
“ชีวิตที่เกาหลีเป็นยังไงบ้างครับ”
“ดีค่ะ
สัมผัสบรรยากาศที่ยังคงวุ่นวายและมีชีวิตชีวาเหมือนเดิมของโซลจนรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมากโดยที่ไม่รู้ตัว
ว่าแต่ฉันมีเรื่องสงสัยค่ะ”
“พูดมาได้เลยครับ”
“คุณสองคนมีความสัมพันธ์ยังไงกันคะ”
“ถ้าบอกว่าเป็นเพื่อนก็สนิทเกินไป
เรียกว่าพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจน่าจะใกล้เคียงขึ้นมาหน่อยครับ”
“อ๋อ...น่าสนใจมากเลยนะคะเนี่ย
อันที่จริงฉันก็สงสัยอยู่
กรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนบอกตอนนัดแล้วว่าจะมีอีกคนหนึ่ง
ฉันคิดว่าประธานธนาคารชินยองจะมาด้วยซํ้า แต่กลับกลายเป็นเอชเอสการผลิต
อยากทราบว่าเรียกคุณมาด้วยเหตุผลอะไรน่ะค่ะ”
“จะมีเหตุผลอื่นเหรอครับ
เพราะต้องการความช่วยเหลือของคุณไง”
“พูดตรงจังเลยนะคะ”
“เพราะผมคิดว่าควรจะซื่อสัตย์กับคุณครับ”
“อุ๊ย
รู้หรือเปล่าคะว่าคำพูดเมื่อกี้มันโรแมนติกมาก”
ยองฮุนตอบอย่างสับสนเล็กน้อย
“ไม่ได้หมายถึงแง่นั้นนะครับ
อีกอย่างผมก็แต่งงานแล้วด้วย”
“คุณมีความสามารถในการทำให้คนอื่นสับสนนะคะ”
“ฮ่า ๆ งั้นเหรอครับ”
“ว่าแต่ทำไมถึงคิดว่าควรจะซื่อสัตย์กับฉันเหรอคะ”
“คิดว่าคุณน่าจะไม่ชอบคนโกหกน่ะครับ”
แววตาของเธอเปล่งประกาย
ใคร ๆ ก็ไม่ชอบคนโกหก
แต่ไม่ค่อยมีใครเอาเรื่องนั้นมาเป็นจุดขายเท่าไร
“บางทีอาจจะไม่มีทางรู้ว่าโกหกหรือไม่โกหกไม่ใช่เหรอคะ”
ยองฮุนจ้องตาเธอสักพักก่อนจะพูดเรื่องอื่น
“แต่ก่อนผมเคยเจอป้าคนหนึ่ง อ๋อ
ป้าในที่นี้หมายถึงแม่บ้านนะครับ”
“ทราบค่ะ ฉันพูดเกาหลีเก่งนะ”
“นั่นสินะครับ
ป้าคนนั้นบอกว่าตอนตัวเองเด็ก ๆ ชอบโดนคนอื่นพูดใส่ว่าไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือ
เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหนก็อ่านบรรยากาศไม่ออก เคยทำลายบรรยากาศด้วยคำพูดแปลก ๆ
บ่อยมาก แต่หลังจากแต่งงานเลี้ยงดูลูกหลาย ๆ อย่างก็เปลี่ยนไปครับ”
“จะบอกว่าถ้าแต่งงานแล้ว
เซนส์ที่ไม่เคยมีจะโผล่มาเหรอคะ”
“ใกล้เคียง แต่บริบทต่างกันครับ
สามีเธอกลับบ้านช้าทุกวี่ทุกวันแล้วอ้างเพื่อนอ้างบริษัท ส่วนพวกลูกหมา...อ้อ
บางทีก็จะเรียกลูกแบบนั้นนะครับ”
“ทราบค่ะ”
“ขอโทษทีครับที่ผมขัดจังหวะบ่อย
ส่วนพวกลูก ๆ ก็อ้างว่าต้องซื้อหนังสือเรียน ต้องจ่ายค่าเรียนพิเศษ
พอเวลาผ่านไปก็ค่อย ๆ เข้าใจว่านั่นเป็นแค่ข้ออ้าง หลังจากนั้นสักพักก็รู้ว่าข้ออ้างของสามีคือการนอกใจ
ข้ออ้างของลูกคือการเก็บเงินซื้อเกมครับ”
“นั่นมันแย่มากเลยนะคะ”
“เธอที่เคยอ่อนต่อโลกจึงกลายเป็นผู้หญิงที่มีเซนส์เฉียบแหลมกว่าใครในโลกไปโดยปริยาย
มันเป็นเรื่องน่าเศร้าใช่ไหมครับ”
เมื่อคำพูดของยองฮุนจบลง สีหน้าของโคอิเกะ
ยูริโกะ ที่เคยยิ้มอ่อนโยนก็แข็งค้างเหมือนนํ้าแข็งอย่างน่าประหลาด
“ฉันเคยได้ยินสุภาษิตเกาหลีที่ว่า
‘มีกระดูกอยู่ในคำพูด[1]’ คำพูดของคุณชเวยองฮุนก็คงจะเป็นแบบนั้นสินะคะ”
“อย่างนั้นเหรอครับ”
“แอบสืบประวัติฉันเหรอคะ”
“เพราะเป็นคนที่จะต้องขอความช่วยเหลือไงครับ
ถ้าคิดจะขอความช่วยเหลือก็ต้องรู้ก่อนว่าขาดเหลืออะไร ถึงจะขอความช่วยเหลือได้
ถึงจะรู้ว่ามันเสียมารยาทแต่ก็ลองสืบมานิดหน่อยครับ”
ฮยองจุนหันมามองยองฮุนด้วยสีหน้าตกใจ
อีกฝ่ายอาจจะตกใจเพราะเขาสืบเรื่องของผู้หญิงคนนั้นโดยไม่บอกไม่กล่าวแต่แน่นอนว่ายองฮุนไม่เคยสืบประวัติโคอิเกะ
ยูริโกะ มาก่อน
ไม่ว่างและไม่มีเหตุผลจะทำอย่างนั้น
เพียงแต่ถ้าบอกว่าไม่เคยสืบประวัติเธอ
เขาก็อธิบายเหตุผลที่รู้จักตัวเธอดีไม่ได้ จึงต้องยอมรับว่าสืบจริง
“เสียมารยาทมากเลยนะคะ”
“ผมรู้สึกผิดในส่วนนั้นครับ”
โคอิเกะ ยูริโกะ
อารมณ์เสียมากจนยกแขนกอดอกและทำสีหน้าไม่พอใจ
ยองฮุนพอจะเข้าใจความรู้สึกของเธอ
เพราะมันคงจะเป็นอดีตที่ไม่อยากเปิดเผย
“แล้วหาเจอไหมคะว่าฉันขาดอะไร”
“ไม่ครับ หาไม่เจอเลย
คุณมีพร้อมทุกอย่างครับ ยกเว้นเรื่องหนึ่ง...”
“อะไรคะ”
ยองฮุนไม่ตอบคำถามของเธอแล้วเริ่มพูดเรื่องอื่นอีกครั้ง
“ตอนนี้ชินยองไฟแนนเชียลกรุ๊ปกำลังยืนอยู่ตรงทางแยกที่สำคัญครับรองประธานใหญ่อีเซจุนผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด
ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อาจจะถูกอัยการเรียกตัวข้อหาทุจริตต่าง ๆ
แล้วก็กำลังเตรียมขายบริษัทในเครือของกรุ๊ปพนักงานของบริษัทในเครือกำลังกระวนกระวาย
ภาวนาให้ปัญหาจบลงโดยเร็วครับ”
“...”
“ผมไม่ได้หมายความว่ากรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในการจัดการเรื่องนี้ให้จบสิ้นนะครับ”
“ถ้าอย่างนั้น...”
“แค่อยากบอกว่าเขาคือทางเลือกที่ดีในการจัดการความวุ่นวายนี้ให้เรียบร้อยครับ”
“ฉันเข้าใจค่ะว่าเขาไม่ใช่คนเหมาะสมที่สุด
เป็นแค่ไพ่ดีที่สามารถเลือกใช้ได้แต่ฉันไม่คิดจะหักหลังรองประธานใหญ่อีเซจุน
นอกจากนี้ข่าวการขายของบริษัทในเครือ...พูดตามตรงว่าฉันไม่เชื่อค่ะ”
ฮยองจุนแทรกขึ้นมาตรงนี้
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ
ในมุมมองของรองประธานใหญ่อีเซจุน
ชินยองประกันภัยกับชินยองหลักทรัพย์และการลงทุนไม่ต่างอะไรกับหนามยอกอกโดยเฉพาะชินยองประกันภัยที่ถือหุ้นในบริษัทในเครือจำนวนมาก
เช่น ธนาคารชินยอง ชินยองประกันชีวิต เป็นต้น ถ้าหากปล่อยไว้เฉย ๆ
โดยไม่จัดการหุ้นของบริษัทในเครือ
จากมุมมองของรองประธานใหญ่อีเซจุนก็เหมือนกอดโกดังเก็บดินปืนที่ไม่รู้จะระเบิดเมื่อไหร่ครับ”
“หมายความว่าถ้าคุณชนะรองประธานใหญ่อีเซจุน
จะไม่มีเรื่องแบบนั้นงั้นเหรอคะ”
“ใช่ครับ
ประธานบริษัทชินยองประกันภัยร่วมมือกับผม สัญญาว่าจะรับผมเป็นลูกบุญธรรมครับ”
“ถึงฉันจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาแล้ว...แต่มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากเลยนะคะ”
“เพื่อทำให้กรุ๊ปของเรามั่นคงครับ”
พูดให้ชัดคือไม่ใช่แค่ความมั่นคงของกรุ๊ป
แต่เป็นความรู้สึกอยากครอบครองกรุ๊ปต่างหาก เธอและฮยองจุนต่างก็รู้ดี
ดังนั้นเธอจึงไม่เชื่อคำพูดของอีฮยองจุน
เพราะมันเป็นการประดิษฐ์คำ
สู้ประกาศว่าตัวเองจะครอบครองชินยองไฟแนนเชียลกรุ๊ปและไม่มีทางขายบริษัทในเครือเด็ดขาดยังดีกว่า
เธออาจจะเชื่อเขา
“อย่างนั้นสินะคะ”
โคอิเกะ ยูริโกะ แค่พยักหน้าเท่านั้น
แล้วหลังจากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก
อาจจะเพราะอึดอัด ฮยองจุนเลยดื่มชาอึก ๆ
หลังจากตรวจสอบดวงชะตาของเธอแล้ว
ยองฮุนก็รู้ว่าคำโน้มน้าวของฮยองจุนคงจะไม่ได้ผล
เขาถึงประเมินว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เข้าถึงยาก
โคอิเกะ ยูริโกะ
มีเงินเยอะและไม่ชอบติดหนี้ใคร เกลียดการถูกจีบด้วยคำประจบประแจง
เพราะฉะนั้นใช้คำพูดโน้มน้าวไม่มีทางได้ผล
“แล้วคุณล่ะคะ”
พอฮยองจุนพูดจบแล้ว เธอก็หันหน้ามาหายองฮุน
เป็นเชิงถามว่าเขาจะโน้มน้าวเธออย่างไร
ยองฮุนครุ่นคิดสักพักก่อนจะเปิดปากพูด
“ผมจะยกชินยองประกันภัยให้ครับ”
ฮยองจุนหันขวับทันที ส่งสายตาเหมือนยิงเลเซอร์ถามว่าพูดบ้าอะไร
แต่ยองฮุนทำเป็นไม่รับรู้และมองโคอิเกะ ยูริโกะ คนเดียว
เธอขมวดคิ้วกับข้อเสนอที่ไม่คาดคิด
“หมายความว่ายังไงคะ”
“ผมไม่คิดจะโน้มน้าวคุณครับ
เรามาแลกเปลี่ยนกัน”
“...”
“ถ้าคุณไม่ต้องการ
พวกเราก็จะยอมถอยแต่โดยดี เพราะอย่างน้อยก็น่าจะมีกรรมการอิสระสักคนจากอีกสี่คนที่เหลือต้องการชินยองประกันภัยครับ”
“เมื่อกี้บอกว่าร่วมมือกับประธานบริษัทชินยองประกันภัยแล้วไม่ใช่เหรอคะฉันได้ยินกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนพูดอย่างชัดเจนเลยนะว่าเขาจะรับเป็นลูกบุญธรรม”
“มันเป็นแค่คำพูดไงครับ ลูกของพี่ชายก็เหมือนลูกของตัวเอง...ไร้สาระลูกตัวเองก็คือลูกตัวเอง
ลูกพี่ชายก็คือลูกพี่ชายสิครับ แถมยังเป็นลูกชายที่ไม่มีสายเลือดเดียวกันสักหยดอีก
เขาจะยอมช่วยสนับสนุนเด็กที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดงั้นเหรอครับ
หลังจากจัดการรองประธานใหญ่อีเซจุนแล้ว คนแรกที่จะเล่นงานกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนก็คือประธานบริษัทชินยองประกันภัยนั่นแหละครับ”
เธอดื่มชาพร้อมคิดพักหนึ่งแล้วตอบกลับ
“กรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนไม่น่าจะเห็นด้วยนะคะ”
“เขาจะเห็นด้วยครับ”
“ทำไมถึงมั่นใจขนาดนั้นคะ”
“ถ้าเข้าใจว่านั่นคือวิธีที่ดีที่สุด
เขาก็ต้องเห็นด้วยครับ”
“ถ้าเป็นคนที่คิดจะทรยศประธานอีเซมินของชินยองประกันภัย
แล้วจะเชื่อได้ยังไงคะว่าเขาจะไม่ทรยศฉัน”
“ไม่ต้องใช้ความเชื่อใจ
แต่มาเซ็นสัญญากันเถอะครับ ถ้างั้นก็น่าจะไม่มีปัญหาใช่ไหม”
“...”
“ถ้าไม่ต้องการก็ช่วยไม่ได้ครับ
วันนี้สนุกมากเลย”
ทันทีที่ยองฮุนลุกขึ้น
เธอก็สูญเสียความสุขุมเป็นครั้งแรก
“รอเดี๋ยวค่ะ”
“ท่าทางจะต้องการสินะครับ”
“ฉันได้ยินมาว่าชินยองประกันภัยเป็นบริษัทที่ค่อนข้างมั่นคงค่ะ
แล้วฉันก็ไม่ใช่คนโง่ ฉันรู้ว่าการแลกเปลี่ยนคะแนนหนึ่งเสียงกับบริษัทหนึ่งแห่ง
มันเป็นประโยชน์กับฉันมากค่ะ”
“โล่งอกไปทีครับ”
“แต่ฉันสงสัยค่ะ
ปกติคนอื่นเขาจะพยายามโน้มน้าวฉันด้วยการพูดว่าแค่ช่วยกันหน่อย ถ้าฉันช่วยสนับสนุน
มูลค่าหุ้นของฉันจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่...แต่คาดไม่ถึงเลยค่ะว่าจะทำข้อตกลงด้วยการยกบริษัทให้”
“ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณมากนัก
แต่อย่างน้อยก็คิดว่ารู้สองเรื่องครับดูจากภายนอกแล้วเป็นคนเพียบพร้อมทุกอย่าง
แล้วอีกอย่างก็เป็นคนไม่เชื่อใจคนอื่น”
เธอทำตาโตเหมือนประหลาดใจ
“รู้ได้ยังไง...”
“คนที่ไม่เชื่อใจคนอื่นก็มีอยู่เยอะครับ
ไม่เชื่อคำพูดของใครนอกจากครอบครัว ยิ่งพยายามโน้มน้าวมากเท่าไหร่
ก็จะยิ่งระวังตัวมากขึ้นเท่านั้นครับไม่ว่าจะมีเจตนาดีแค่ไหนก็ตาม”
“...”
“ถึงชินยองประกันภัยจะเป็นบริษัทใหญ่
แต่ยังไงกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนก็มือเปล่าอยู่ดีครับ
บอกว่าจะยกบริษัทที่อยู่ในมือคนอื่นให้คุณมันก็เป็นการออกจากมือคนอื่นไปสู่มือคนอื่นครับ
ถ้าหวงสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในมือตัวเองราวกับมันอยู่ในมือจนทำให้เสียงาน
ก็ดูเหมือนความโลภจะทำให้ตามืดบอด ไม่ควรร่วมงานกับคนแบบนั้นใช่ไหมล่ะครับ”
“แต่เมื่อกี้เหมือนกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนจะเสียดายมากเลยนะคะ”
“ผมเพิ่งช่วยทำให้ตาเขาสว่างขึ้น
ทัศนวิสัยน่าจะชัดเจนแล้วครับ”
ฮยองจุนพยักหน้าไม่หยุด
“ครับ ๆ ถูกต้อง”
โคอิเกะ ยูริโกะ ยิ้มเหมือนกำลังสนุก
“พวกคุณเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจริง ๆ อ้อ
แค่สนิทกันเหมือนเพื่อนเฉย ๆใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ”
“น่าอิจฉาจัง
การมีคนที่พอจะเชื่อใจได้อยู่รอบตัว มันโชคดีจริง ๆ ค่ะ”
“เด็กสาวคนหนึ่งได้มรดกจำนวนมากขนาดนั้น
คนรอบตัวที่อยากได้มันจะเยอะแค่ไหนล่ะครับ มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
คนเราไม่มีเหตุผลจะต้องเชื่อใจทุกคนหรอกครับ”
“มันไม่ง่ายอย่างที่พูดหรอกมั้งคะ”
ยองฮุนเกาศีรษะพร้อมกับคิดหนักว่าจะพูดหรือไม่พูดดี
แต่สุดท้ายก็เปิดปากพูด
“ทรัพย์สมบัติทำให้คนเราตามืดบอด
ทรัพย์สมบัติก็ทำให้จิตใจคนเราป่วยด้วยครับ
ถ้าเป็นคนอดทนกับความเหงาได้และสบายใจกับการอยู่คนเดียวต่อให้ใช้ชีวิตเหมือนคุณตอนนี้ก็คงจะไม่เป็นไร
แต่ถ้าเป็นคนชอบเข้าสังคมชอบพูดคุย
ความเหงานั่นอาจจะทำให้คุณเจ็บปวดได้ทุกเมื่อครับ”
“ฉันไม่เข้าใจคุณจริง ๆ นะคะ
เอาความมั่นใจอะไรมาตัดสินชี้ขาดแบบนั้นคะ”
“คิดซะว่าเป็นเรื่องของคนรอบตัว
ไม่ใช่เรื่องของตัวเองสิครับ ฟังผ่าน ๆก็พอ”
เธอไม่เข้าใจ แต่ตัดสินใจปล่อยผ่าน
“แล้วถ้ามีคนรอบตัวฉันเป็นแบบนั้น
ควรจะทำยังไงดีคะ”
“สร้างครอบครัวครับ”
“หมายถึงแต่งงานเหรอคะ”
“เพราะครอบครัวคงจะเชื่อใจได้ครับ”
“ผู้ชายเชื่อใจไม่ได้ค่ะ”
“ถึงผู้ชายไม่มีเงินจะเชื่อใจไม่ได้
แต่อย่างน้อยถ้ามีเงินมากพอจนไม่สนใจมรดกของคุณ
ผู้ชายคนนั้นก็น่าจะเชื่อใจได้ไม่ใช่เหรอครับ แถมเป็นคนมั่นคงมากด้วย”
เธอขมวดคิ้ว
“มีผู้ชายแบบนั้นเหรอคะ”
“โบราณกล่าวไว้ว่า ถ้าแม่สื่อดี
ยกเหล้าสามจอก ถ้าแม่สื่อแย่ ตบแก้มสามทีครับ”
โคอิเกะ ยูริโกะ รู้สึกว่ามันไร้สาระ
แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ฟังเหมือนคุยโม้โอ้อวด
ผู้ชายที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกกำลังแนะนำผู้ชายให้คนไม่เชื่อใจคนอื่นอย่างเธอ
ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะแค่นหัวเราะใส่ไปแล้ว
แต่น่าประหลาด พอเป็นผู้ชายคนนั้นที่รู้จักเธอดีเท่าคุณปู่...ไม่สิ
รู้จักดีกว่าคุณปู่ที่เสียไปแล้ว ไม่รู้ทำไมเธอถึงคิดว่าสามารถเชื่อเขาได้
“ถ้าหากเป็นคนดี...ถ้าเป็นคนที่ฉันพอจะเชื่อใจได้
มันจะไม่จบง่าย ๆ ด้วยการยกเหล้าสามจอกขอบคุณแน่นอนค่ะ”
คำพูดนั้นทำให้ฮยองจุนออกหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย
“ถ้างั้นชินยองประกันภัย...”
“นั่นเป็นข้อตกลงนี่คะ
มันเป็นของในมือคนอื่นนะ ทัศนวิสัยยังเบลออยู่หรือเปล่าคะ”
“เอ่อ ครับ...ไม่ใช่ครับ อะแฮ่ม...”
ฮยองจุนหันหน้าหนีอย่างหงอย ๆ
[1]
มีความหมายลึกซึ้งแฝงอยู่ในคำพูด
บทที่ 229 ผู้ช่วย (2)
หลังจากโคอิเกะ ยูริโกะ กลับไปแล้ว
ยองฮุนกับฮยองจุนก็ย้ายมานั่งที่คาเฟ่เงียบ ๆ แถวนั้น
ฮยองจุนกระสับกระส่ายเหมือนเด็กอยู่ไม่สุข
พอยองฮุนถือเครื่องดื่มมานั่งแล้ว ถึงอ้าปากถามเหมือนรอจังหวะอยู่
“อยู่ ๆ ก็เป็นพ่อสื่ออะไร
นายคิดอะไรอยู่เนี่ย”
ยองฮุนใช้ส้อมตัดเค้กชิ้นเล็กเข้าปาก
ลิ้มรสสักพักก่อนจะตอบ
“ปกติคนจนมักจะมองคนรวยแล้วคิดว่าพวกเขาอาจจะมีเรื่องโชคร้ายที่พวกเราไม่รู้ครับ
คำพูดนั้นไม่ได้ผิดเลย เพราะตัวอย่างอยู่ตรงหน้าผม”
“ทำไมอยู่ ๆ มาหาเรื่องคนอยู่เฉย ๆ
อย่างฉันล่ะ”
“ก็แค่พูดตามสถานการณ์
แต่พวกคนมีเงินส่วนใหญ่ชีวิตจะมีความสุขมากกว่าต้องเผชิญกับเรื่องแย่ ๆ
อย่างกรรมการผู้จัดการไงครับ”
“ก็เกือบถูกนะ
ถึงอย่างนั้นในบรรดาเพื่อนรอบตัวที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องมรดกแบบฉัน
ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขขนาดนั้นหรอก”
“จากบรรดาคนที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแบบนั้น
หลายคนพอโตขึ้นก็ถูกหักหลังจากคนใกล้ชิดซํ้าแล้วซํ้าเล่าเพราะมรดกที่มี
กลับกันถ้าเผชิญสถานการณ์นั้นตั้งแต่ตอนเด็กมาก ๆ
ก็จะกลายเป็นคนที่ตั้งแง่ไม่ไว้ใจใครครับ”
“จิตวิทยาหรือไง”
“ถึงผมจะไม่รู้พวกจิตวิทยา
แต่คิดแบบนั้นก็ได้ครับ ผมพูดถึงชีวิตของมนุษย์”
“พูดต่อสิ”
“เท่าที่ผมรู้มา คุณโคอิเกะ ยูริโกะ
เติบโตมาแบบเจ้าหญิงตั้งแต่เด็ก ๆ ครับมีชีวิตเหมือนเจ้าหญิงที่ไม่เคยขาดอะไร
แค่กระดิกนิ้วก็ได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้ว”
“ก็คงใช้ชีวิตแบบนั้นแหละ เพราะบ้านรวย”
“แต่มันมีจุดหักมุมอย่างเหนือความคาดหมายครับ”
“งั้นเหรอ คืออะไรล่ะ”
เรื่องนั้นไม่รู้หรอก
เขารู้เพียงแค่ดวงช่วงวัยเด็กของเธอดีมาก แต่ถ้าอายุยี่สิบปีจะพัวพันดวงติฉินนินทาและดวงหายนะจากหน่วยงานราชการนับไม่ถ้วน
โดยเฉพาะกับคนใกล้ชิด
“เรื่องนั้นผมบอกไม่ได้ครับ”
“แค่พวกเราคนกันเองก็น่าจะบอกได้ไม่ใช่เหรอ”
“อะไรจะอยากรู้เรื่องส่วนตัวของคนอื่นขนาดนั้นครับ
ข้ามไปเถอะ”
“โอ๊ย...เออ เอาเหอะ แล้วยังไงต่อ”
“อย่างที่บอกครับ
เธอเติบโตมาโดยที่ไว้ใจใครไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าค่อย ๆเกลี้ยกล่อมขอให้มาเป็นพวก
ไม่ว่ามันจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีแค่ไหนสำหรับเธอก็ตามแค่ไม่แค่นเสียงใส่ก็บุญแล้วครับ”
“ก็เลยบอกว่าจะยกบริษัทให้น่ะเหรอ”
“ครับ เพราะอย่างน้อยเธอก็คงจะลองเก็บไปพิจารณา
โดยที่ไม่ได้ปฏิเสธออกมาทันทีครับ”
“ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใหญ่เกินไปหรือไง”
“แล้วมีวิธีอื่นไหมครับ”
ฮยองจุนเกาศีรษะอย่างหงุดหงิด
“ไม่ ไม่มี เฮ้ย...ฉันขอแค่คะแนนเดียวก็พอ
แต่ใครจะไปนึกว่าคะแนนเดียวนั่นจะแพงขนาดนี้”
“ถ้าคิดในทางกลับกัน ที่ผ่านมาอาจจะถูกเกินไปก็ได้นะครับ”
“นายจัดการให้มันเรียบร้อยขนาดนั้นได้ยังไง
ฉันอยากรู้บ้าง มนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักรสักหน่อย
นายมีเคล็ดลับอะไรถึงรักษาเส้นสายไว้ได้”
ยองฮุนยักไหล่
“ไม่มีหรอกครับ เคล็ดลับอะไรแบบนั้น”
“ถ้างั้นก็แค่รู้เฉย ๆ เหรอ”
“ครับ ถ้าจะมีเคล็ดลับเดียวก็คือยึดมาตรฐานของฝ่ายตรงข้าม
ไม่ใช่ของตัวเองแค่นั้นครับ มนุษย์แต่ละคนมีเส้นที่ไม่ควรข้าม”
“แล้วจะรู้เรื่องนั้นได้ยังไง”
“เพราะผมรู้เรื่องนั้น
ผมกับกรรมการผู้จัดการถึงแตกต่างกันไงครับสมมติคนอื่น ๆ มองว่ามีนํ้าอยู่ครึ่งถ้วย
โคอิเกะ ยูริโกะ จะมองว่ามีนํ้าอยู่เต็มแก้วตั้งแต่แรกแล้ว
ดังนั้นจึงไม่คิดจะเติมนํ้าใส่แก้วนั้นเพิ่มครับ”
“เหลือเชื่อชะมัด โอเค
ถ้างั้นเล่าเรื่องพ่อสื่อหน่อยสิ”
“คุณโคอิเกะ ยูริโกะ ไม่มีครอบครัว
ไม่มีเพื่อนด้วยครับ ถ้างั้นเธอจะเหงามากขนาดไหนล่ะ”
ฮยองจุนถามสีหน้าอึ้ง ๆ
“นายเลยบอกว่าจะเป็นพ่อสื่อให้น่ะเหรอ
เพราะดูเหงาเนี่ยนะ”
“ใช่”
“เป็นบ้าหรือไง”
ยองฮุนเพียงแค่ฉีกยิ้ม
อีกฝ่ายถามต่อเหมือนไม่อยากเชื่อ
“แล้วถ้าผู้หญิงคนนั้นปฏิเสธจะทำยังไงต่อ
นายจะกลายเป็นไอ้โง่ที่ถูกปัดตกทันที เพราะดันไปบอกผู้หญิงที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกว่าจะเป็นพ่อสื่อให้นะ”
“มันก็อาจจะเป็นไปได้ครับ”
“ไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นเลยเหรอ”
“ผมไม่คิดว่าเธอจะปฏิเสธครับ”
“ทำไม”
“เพราะเธอน่าจะเหงาครับ”
“เฮ้อ...”
“ลองคิดดูสิครับ ตอนกรรมการผู้จัดการโสด
ถ้ามีใครมาแนะนำผู้หญิงให้กรรมการผู้จัดการจะไม่เอาเหรอครับ”
“ไม่มีทาง ฉันต้องตอบตกลงอยู่แล้ว”
“ก็เหมือนกันไงครับ”
“เฮ้ย ผู้หญิงอย่างโคอิเกะ ยูริโกะ
จะมานัดบอดอะไรโง่ ๆ แบบนั้นหรือไงผู้ชายรอบตัวคงรุมจีบกันให้วุ่น”
“ไม่น่าใช่นะครับ”
“เพราะอะไร”
“เพราะผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ไว้ใจใครง่าย ๆ
แต่ก็มีช่วงเวลาแบบนั้นไม่ใช่เหรอครับ สถานการณ์ที่ต้องรีบใช้คนอย่างเร่งด่วน
แต่ดันไม่มีคนรู้จักเลย ทีนี้คนที่พอจะเชื่อใจได้ก็มาช่วยแนะนำคนให้”
“ดังนั้นแปลว่าผู้หญิงคนนั้นคิดว่าคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกอย่างนายพอจะเชื่อใจได้งั้นสิ”
“อาจจะใช่ครับ”
“ถ้านายไม่ได้เข้าฮยอนจินการผลิต
แล้วก้าวเข้าวงการแชร์ลูกโซ่แทน อาจจะระดับโจฮีพัล[1]เลยมั้ง”
“ชมใช่ไหมครับ”
“ชมสิ ไม่ชมแล้วอะไร อะแฮ่ม...ช่างเถอะ
แล้วนายคิดจะแนะนำใครให้เธอไม่ใช่ฉันใช่ไหม ฉันมีเจ้าของแล้วนะ”
ยองฮุนแค่นหัวเราะขึ้นจมูก
“จะรีบคิดไปเองอะไรขนาดนั้นครับ”
“ไม่ใช่ฉันเหรอ”
“อะไรครับ คาดหวังจริง ๆ เหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น...ฉันนึกว่านายพูดอย่างนั้นเพราะนึกถึงฉันไง
ฉันก็เลยคิดว่าจะปฏิเสธยังไงดี”
“รู้หมดแล้วครับว่าโกหก”
“อะแฮ่ม...ถ้าไม่ใช่ฉันแล้วใครล่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องที่กรรมการผู้จัดการต้องรู้ครับ
ยังไงก็ไม่ใช่กรรมการผู้จัดการเพราะฉะนั้นอย่าตีตนไปก่อนไข้
แล้วกลับไปวางแผนให้ดีเถอะครับ ถ้าคุณโคอิเกะยูริโกะ
ยอมยกมือให้ก็จะชนะใช่ไหมครับ”
“แน่นอน เดี๋ยวปรึกษาประธานธนาคารมาซอกแดกับอา
แล้วหาเวลาเปิดประชุมคณะกรรมการบริษัท”
“ทำให้ดีนะครับ ผมช่วยอะไรต่อไม่ได้แล้ว
มันถึงขีดจำกัดของผมแล้ว”
“แค่นี้ก็ช่วยได้มากแล้ว ขอบคุณ”
“สมควรขอบคุณแล้วละครับ ผมไม่ลืมนะครับ
ทุกอย่างที่ผมช่วยไว้”
ฮยองจุนห่อไหล่เหมือนกลัวคำว่าไม่ลืม
“โอ๊ย น่ากลัว ฉันรู้แล้วน่า
คิดว่าไม่รู้จักนิสัยนายหรือไง ถ้าฉันได้จริง ๆฉันชดใช้คืนแน่”
ยองฮุนยิ้มกับคำตอบอีกฝ่าย
ก่อนจะหยิบแก้วกาแฟที่เหลืออยู่แล้วลุกออกไป
“ท่านประธานใหญ่ ครั้งนี้ไม่รอดง่าย ๆ หรอกนะครับ”
แม้จะสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว คำพูดของอัยการคิมซังชอลก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของประธานใหญ่ชามยองจิน
ได้ยินมาบ้างว่าบรรยากาศเปลี่ยนไปแล้ว
แต่ไม่เคยนึกว่าจะโดนอัยการชั้นผู้น้อยจับมาขังแล้วขู่กันอย่างเปิดเผยแบบนี้
เขาไม่ได้รับการติดต่อจากอัยการสูงสุดเลย
ส่วนพวกอัยการใกล้ตัวก็ยกสองมือสองเท้า ยํ้าว่าความตั้งใจของทีมสืบสวนครั้งนี้แน่วแน่มากจนไม่อาจยื่นมือเข้ามาได้
ควรต้องทำอะไรสักอย่าง
แต่ไอ้ลูกเวรก็ส่งมาแต่ทนายโดยที่ไม่มาดูดำดูดีด้วยซํ้า
ขณะที่อึ้งจนพูดไม่ออก
ความวิตกกังวลกับความหวาดกลัวที่ไม่สามารถหาทางผ่อนคลายก็กำลังบีบคั้นเขา
แถมคนที่นั่งแต่เก้าอี้สำหรับประธานบริษัทนุ่ม
ๆมาทั้งชีวิตอย่างเขาก็เกลียดเก้าอี้เหล็กในห้องสอบสวนที่แข็งและทำให้ไม่สบายตัวจนเข้าไส้
ทั้งที่ตะโกนสั่งแล้วว่าให้เอาเก้าอี้ดี ๆ
มาแทนตัวนี้ แต่ก็ไม่มีใครตอบรับความต้องการของเขา
แม้จะเป็นการร้องขอจากทนายความที่เข้าร่วมด้วย
ก็ได้รับคำตอบว่าอย่ามาเรียกร้องสิทธิพิเศษ เพราะคนอื่น ๆ
ก็รับการสอบสวนบนเก้าอี้ตัวนั้นเหมือนกันพวกเขาทั้งสองคนจึงต้องเงียบปากอย่างไม่มีทางเลือก
สถานการณ์ที่คำพูดของประธานใหญ่เซยองกรุ๊ปไม่ได้เข้าหูของอัยการชั้นผู้น้อยเลย
ทั้งประธานใหญ่ชา
ทั้งทนายความจากสำนักงานกฎหมายสามอันดับแรกของประเทศเกาหลี
ต่างก็รู้สึกเหมือนกันว่าสถานการณ์นี้เหมือนละครตอนหนึ่ง
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังคิดว่าจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไรดี
ประตูก็เปิดออกโดยมีอัยการคิมซังชอลเดินเข้ามาอีกครั้ง
เจ้าตัวผงกศีรษะให้รุ่นพี่ที่จบจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล
และปัจจุบันมีตำแหน่งเทียบเท่าหัวหน้าสำนักงานอัยการกรุงโซล จากนั้นก็กล่าว
“รบกวนทนายความช่วยหลีกทางสักครู่ครับ”
“ผมมีสิทธิ์...”
อัยการคิมซังชอลตัดบทพูดของทนายความพัคชานยอลที่กำลังขมวดคิ้วและประท้วงว่าไม่เหมาะสม
“ผมทราบว่าทนายความมีสิทธิ์ครับ
แต่ถ้านั่งคุยอยู่ข้าง ๆ ด้วย ผมว่าท่านประธานใหญ่คงไม่ชอบใจนะ...”
“ทำไม”
“คุณโจชียอนแจ้งว่าอยากพูดคุยกับท่านประธานใหญ่เป็นครั้งสุดท้ายจะเอายังไงดีครับ
ถ้าไม่ต้องการก็ปฏิเสธได้นะครับ”
ต่อให้ประธานใหญ่ชามยองจินใช้ชีวิตอย่างไม่เคยกลัวเกรงสิ่งใด
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีอยู่คนหนึ่งที่รู้สึกตะขิดตะขวงใจด้วย นั่นคือโจชียอน
ฝ่ายนั้นคือพ่อของภรรยาที่เสียไปแล้ว
และเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ถึงวิธีการสะสมทรัพย์สมบัติจนรํ่ารวยของเขาอย่างแจ่มแจ้ง
อีกทั้งยังมีความแค้นต่อเขามากจนเสียดฟ้า
หากไม่ใช่สถานการณ์แบบนี้ ประธานใหญ่ชามยองจินคงจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับโจชียอนไปจนตาย
แต่ตอนนี้ไม่คิดจะหลีกเลี่ยงแล้ว
เพราะตอนนี้คือสถานการณ์ที่อย่างน้อยก็ต้องคว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้ให้ได้
“เจอสิ นายออกไปก่อน”
“จะไม่เป็นอะไรเหรอครับ”
“ไม่เป็นไร
ยังไงก็ต้องเจอกันสักวันอยู่แล้ว”
ประธานใหญ่ชาพยายามพูดเหมือนไม่รู้สึกอะไร
แน่นอนว่าเขาเป็นกังวลหากไม่มีทนายอยู่ด้วย
แต่ก็ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายร่วมวงสนทนากับโจชียอน
ไม่ใช่เพราะทนายพัคไม่รู้เรื่องราวก่อนหน้านี้
แต่เพราะไม่อยากให้รับรู้ถึงบทสนทนาและอารมณ์เลวร้ายระหว่างพวกเขาสองคน
อัยการคิมซังชอลพยักหน้าเหมือนจะบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องก่อนจะพูดกับทนายพัคชานยอล
“อย่างนั้นก็คงจะเบื่อ
ไปดื่มกาแฟกับผมสักแก้วไหมครับ อยากให้ผมเรียกท่านหัวหน้าอัยการเขตด้วยหรือเปล่า”
“ไม่ต้อง
แล้วทำไมหัวหน้าอัยการฝ่ายของนายไม่เห็นโผล่หน้ามาเลยล่ะเดี๋ยวนี้มาตรฐานอัยการตํ่าลงเยอะเลยนะ”
ทนายพัคจ้องด้วยสีหน้าดูถูกราวกับไม่เคยเห็นคนไร้มารยาทแบบนี้มาก่อนแล้วเดินผ่านหน้าไป
อัยการคิมซังชอลโมโห
แต่ก็ไม่ได้แสดงออกให้เห็น
ทนายพัคที่กำลังก้าวเดินชะงักเท้าหยุดอยู่หน้าชายชราที่นั่งหลับตาเงียบ
ๆอยู่บนเก้าอี้ตรงทางเดิน
“สวัสดีครับ ผมพัคชานยอลจากสำนักงานกฎหมายแทยัง
นี่นามบัตรผมครับ หวังว่าจะติดต่อมาสักครั้งนะครับ”
โจชียอนลืมตาขึ้นและรับนามบัตรที่ยื่นให้พร้อมกับพยักหน้า
“ได้สิ”
“ครับ...”
แต่ก่อนทนายพัคจะก้มศีรษะลง
โจชียอนโยนนามบัตรลงบนพื้นแล้วลุกขึ้น
ท่าทางนั้นทำให้ทนายพัคคว้าแขนเสื้อของโจชียอนไว้
“ผู้อาวุโส”
“ทำไม”
“เก็บเรื่องเก่า ๆ
ไว้ในใจก็มีแต่เจ็บปวดใจไม่ใช่เหรอครับ ถึงจะมีความแค้นฝังลึก
แต่ก็แก้ไขได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องทำให้มันอึกทึกครึกโครมขนาดนี้ ผมจะช่วยเองครับ”
โจชียอนแค่นหัวเราะ
“หึ! นายจะช่วยอะไรได้ ทั้ง ๆ
ที่ยังเป็นหมารับใช้ชามยองจินอยู่เนี่ยน่ะเหรอ”
คิ้วของทนายพัคชานยอลกระตุก
“ผู้อาวุโส พูดแรงเกินไปนะครับ”
“นายจะช่วยฉันงั้นเหรอ
ถ้าคิดจะช่วยฉันจริง ๆ ทำไมไม่ช่วยตั้งแต่ตอนเป็นอัยการล่ะ
คนหนุ่มกว่าฉันมันความจำสั้นขนาดนั้นหรือไง จำไม่ได้เหรอว่าสมัยเป็นอัยการ นายทำอะไรกับคดีของฉัน”
“ตอนนั้นผมไม่ได้รับผิดชอบคดี...”
“ประสาท”
“ครับ?”
“ฉันบอกว่าประสาท
ฉันรู้ดีเลยละว่านายปิดคดีของฉันยังไง นาย แล้วก็โดซูยอน
พวกนายสองคนรู้อยู่แก่ใจดี”
โจชียอนหัวเราะเยาะทนายพัคที่ทำหน้าตกใจก่อนจะเดินผ่าน
อัยการคิมซังชอลที่ถอยหลังมามองเหตุการณ์นั้นจึงเปิดปากพูด
“อ้าว...ผมเคยได้ยินเรื่องรุ่นพี่ที่มากประสบการณ์
แต่สุดยอดมากเลยนะครับเนี่ย
มีความสัมพันธ์กับประธานใหญ่ชามยองจินของเซยองกรุ๊ปมายาวนานเลยสินะ
ถ้าตอนนี้ยังอยู่ในตำแหน่งอยู่ ผมคงจะได้เรียนรู้อะไรเยอะทีเดียวครับ”
ทนายพัคชานยอลไม่ค่อยชอบสนทนากับคนที่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
แต่คำพูดของอัยการคิมซังชอลทำให้ละฝีเท้าออกไปไม่ได้
“ถ้าฉันยังอยู่ในตำแหน่ง
นายไม่มีปัญญาได้คุยกับฉันแน่นอน”
“โธ่ แหงสิครับ
รุ่นพี่ยิ่งใหญ่คับฟ้านี่นา...อ้อ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่รุ่นพี่มหา’ลัยเดียวกัน
ผมทราบครับว่าเรามาจากคนละมหา’ลัย”
“โชคดีที่ยังรู้จักเจียม”
“แน่นอนสิครับ
คนจบจากมหา’ลัยบ้านนอกอย่างผมจะไปเข้าตาคนอย่างประธานใหญ่ชามยองจินเหรอครับ
การเลียแข้งเลียขาประธานใหญ่ชาก็เหมือนกันถ้าไม่ได้มีระดับการศึกษาเท่ารุ่นพี่
จะกล้าฝันถึงได้ยังไงล่ะครับ”
“ว่าไงนะไอ้เวร”
ในที่สุดก๊อกของทนายพัคก็แตกจนหมุนตัวหันไปหาอัยการคิมซังชอล
แต่อัยการคิมซังชอลกลับพูดเหมือนจะถามว่าอารมณ์เสียอะไรขนาดนั้น
“ไม่ได้หมายความว่าไม่ดีนะครับ
นั่นก็เป็นความสามารถไม่ใช่เหรอ ผมพูดเพราะคิดว่ารุ่นพี่เจ๋งมากเลยครับ
ขนาดแค่ขี้เล็บของปลายเท้ารุ่นพี่ ผมยังไล่ตามไม่ทันเลย ฮ่า ๆ ๆ!”
“ไอ้เวรเอ๊ย...ขนาดหัวหน้าอัยการฝ่ายของนาย
เวลาอยู่ต่อหน้าฉัน...”
“ผมทราบครับ
ทราบดี...ทราบทุกอย่างแหละครับ ผมไม่ใช่คนโง่สักหน่อยยังไงก็ตาม
ต่อไปเราคงจะได้เจอกันอีกเรื่อย ๆ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
อัยการคิมซังชอลโค้งเก้าสิบองศาให้ทนายพัคที่ตัวสั่นด้วยความโกรธก่อนจะหมุนตัวกลับ
อีกฝ่ายส่งสายตาดูถูกมาให้กัน
อัยการคิมซังชอลรู้ดี จริง ๆ
ฝ่ายนั้นไม่ได้มองว่าเขาเทียบเท่าขี้เล็บของตัวเองด้วยซํ้า
ดังนั้นก็เลยอยากเห็นเหลือเกินว่าตอนที่เขาเปิดตัวในฐานะนักการเมืองอย่างงดงามด้วยคดีในครั้งนี้
สีหน้าของคนคนนั้นจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
[1]
อาชญากรคดีฉ้อโกงแชร์ลูกโซ่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกาหลี
บทที่ 230 ผู้ช่วย (3)
ทันทีที่โจชียอน เปิดประตูห้องสอบสวนเข้ามา
ประธานใหญ่ชามยองจินก็สูดลมหายใจเข้าลึกโดยไม่รู้ตัว
ชายชราที่มีริ้วรอยลึกและไม่ค่อยมีเนื้อหนังมังสาจ้องมองมาด้วยสายตาวาววับ
แน่นอนว่าคงจะไม่มีใครเห็นสายตานั้นแล้วไม่สะทกสะท้าน
“ไอ้คนไม่มีมารยาท...เห็นหน้าพ่อตาแล้วไม่คิดจะทักทายเลยสินะ”
“ขอโทษครับ
แต่พอคิดว่าสาเหตุที่ทำให้ผมต้องมาอยู่ที่นี่เป็นเพราะใครผมก็ไม่อยากฝืนทักทายเลยครับ”
“เพราะฉันงั้นเหรอ
โทษว่าทั้งหมดเป็นความผิดฉันที่ทำให้นายโดนจับเข้ามาอยู่สำนักงานอัยการสินะ”
“ถ้างั้นจะเป็นเพราะใครล่ะครับ”
โจชียอนดึงเก้าอี้ไปข้างหลังเงียบ ๆ
แล้วค่อย ๆ นั่งลงตรงข้ามประธานใหญ่ชา
จากนั้นก็พูดด้วยนํ้าเสียงสงบเยือกเย็น
“นึกถึงครั้งแรกที่เจอนาย
มีความกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความมั่นใจฉันถูกใจมาก
เพราะเคยคิดมาตลอดว่าผู้ชายควรจะเป็นแบบนั้น แต่ฉันติดใจอยู่อย่างเดียว
แววตาของนาย”
“...”
“นายเองก็รู้ ถ้าจะมองว่าพวกคนปล่อยเงินกู้สมัยปีแปดแปดเป็นอันธพาลก็ไม่ผิด
ตอนนี้มันอาจจะเปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่ความจริงหลาย ๆ
คนก็ยังมีเลือดอันธพาลผสมอยู่บ้าง...ยังไงก็ตาม
ในสายตาฉันที่เคยเป็นอันธพาลมาก่อนแววตานั้นของนายมันอำมหิตมาก
ถึงฉันจะติดใจเรื่องนั้น แต่พยายามมองข้ามด้วยการคิดว่าเป็นแค่ความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของวัยหนุ่มสาว”
“กำลังดูโหงวเฮ้งอยู่เหรอครับ
จะพูดว่าพอมาดูตอนนี้แล้ว ‘หน้าตาเป็นอย่างนั้นเลย’ หรือไง”
ถึงประธานใหญ่ชาจะโต้กลับอย่างหงุดหงิด
แต่โจชียอนก็เล่าเรื่องของตัวเองต่อ
“ตอนนายมาขอฮีจู ฉันรู้ว่านายไม่ได้รักฮีจูของฉัน
แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะเคยคิดว่าชีวิตผู้หญิงจะอะไรนัก
แค่ใช้ชีวิตด้วยความสนุกคลอดลูกแล้วเลี้ยงดู
ถ้าได้โอบกอดทรัพย์สินและอำนาจมากมายนั่น ความรักก็ไม่ได้สำคัญอะไร
ฮู่...แต่ไม่ใช่เลย ช่างโง่เขลานัก ฉันเพิ่งมารู้เมื่อสายเกินไปว่าความสุขของลูกไม่ใช่สิ่งที่พ่อแม่จะบังคับได้”
“อยากพูดอะไรกันแน่ครับ”
“ฮีจูของฉันไม่ใช่เด็กแสดงออกเก่งมาตั้งแต่เด็ก
ๆ แล้ว เจ็บก็ไม่แสดงออกไม่อร่อยก็ไม่พูดว่า ‘ไม่อร่อย’ ไม่สนุกก็ไม่ยอมพูดว่า
‘ไม่สนุก’ ตอนนั้นคิดว่าเป็นแค่เด็กเรียบร้อยเฉย ๆ แต่หลังจากนั้นถึงได้รู้ว่าลูกกลัวฉัน
ถึงได้รู้ว่าเพราะไม่อยากทำให้ฉันต้องโมโห”
เส้นเลือดปรากฏในดวงตาของโจชียอน
“แล้วทนมานานแค่ไหน ต้องทรมานมากเท่าไหร่
ฉันไม่อาจเดาได้ด้วยซํ้าไม่กล้าเดาว่าเด็กคนนั้นจะเจ็บปวดและลำบากมากขนาดไหน”
“...”
“แต่ทั้ง ๆ
ที่กลัวจนตัวสั่นก็ไม่กล้าส่งเสียงออกมา เพราะกลัวพ่อแย่ ๆ
คนนี้จะสูญเสียทรัพย์สิน ฉันไม่ใช่พ่อที่แย่ที่สุดในโลกหรอกเหรอ”
“ท่าทางตอนนี้ความคิดจะเปลี่ยนไปแล้วสินะครับ”
“ใช่ พอใกล้จะตายแล้ว
ทรัพย์สมบัติลํ้าค่าพวกนั้นมันก็ไร้ความหมายบ้านช่องใหญ่โตเหมือนปราสาทก็ดูว้าเหว่
ดูเปล่าประโยชน์ไปหมด เพราะฉะนั้นก่อนตาย ฉันต้องแก้แค้นให้ลูกสาวให้ได้
ตายไปแล้วถึงจะพูดว่าขอโทษกับเด็กคนนั้นได้”
“คิดว่าทำแบบนี้แล้วผมจะลำบากเหรอครับ
ไม่เลยสักนิด ไม่ว่าผู้อาวุโสจะพยายามใช้กำลังมากแค่ไหน
อีกไม่นานผมก็ได้ออกจากที่นี่แล้ว สมุดบัญชีห่วย ๆ นั่นจะถูกแฉว่าเป็นของปลอมครับ”
“งั้นเหรอ แต่ช่วยฟังเรื่องนี้หน่อยได้ไหม
รู้หรือเปล่าว่าตอนแรกฉันพยายามแก้แค้นยังไง”
“...”
“ฉันน่ะ
ตอนแรกตั้งใจจะใช้แค่สมุดบัญชีเล่มเดียว เรียกตัวนายมาสำนักงานอัยการ จริง ๆ
ฉันก็ไม่ไว้ใจอัยการเหมือนกัน เพราะสมัยก่อนเคยมีประสบการณ์มาครั้งหนึ่งแล้ว นายกับอัยการเป็นพวกเดียวกัน...”
“แล้วเรียกตัวผมมาที่สำนักงานอัยการทำไมล่ะครับ”
“พยายามทำให้สำนักงานอัยการดูไร้อำนาจไง
ด้วยข่าว...”
ถึงจะพูดแค่นั้น
ประธานใหญ่ชาก็เข้าใจความหมายของโจชียอน
“เพราะตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่นี่
เลยมองผมเป็นไก่อ่อนงั้นเหรอครับ”
โจชียอนค่อย ๆ
สงบแววตาบ้าคลั่งลงแล้วยิ้มจาง ๆ
“หึ ๆ ๆ อย่ากระวนกระวายแบบนั้นสิ
ฉันบอกแล้วไง ว่าตอนแรกตั้งใจจะทำแบบนั้น แต่เปลี่ยนความคิดแล้ว”
“...”
“นายไม่มีทางหลุดพ้นจากที่นี่ได้หรอก
อยู่ที่นี่หรืออยู่ในคุกก็จับตาดูให้ดีว่าบริษัทของนายจะล่มจมยังไง
จับตาดูภาพเซยองกรุ๊ปกระจัดกระจายทีละนิดจนไม่เหลือแม้กระทั่งเสาคํ้าจุน
ถึงแม้ความสิ้นหวังสุดหัวใจที่นายรู้สึกตอนนั้นมันจะยังไม่ถึงหนึ่งในสิบที่ฉันรู้สึก
แต่แค่นั้นฉันก็มีเรื่องไปพูดกับฮีจูแล้ว
ว่าฉันทำให้ปีศาจตัวนั้นมันได้ชดใช้คืนบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ แล้ว”
“ฝันอะไรที่มันไม่มีวันเป็นจริงนะครับ
ท่าทางจะยังไม่รู้จักอำนาจของผมดีพอ”
โจชียอนตอบพร้อมกับกำไม้เท้าที่ถืออยู่
“ฉันจะไม่รู้จักพลังของเซยองกรุ๊ปได้ยังไง
แต่โลกมันเปลี่ยนไปแล้วอีกอย่างอำนาจก็เหมือนนํ้า
พออ่างเก็บนํ้าที่ชื่อเซยองกรุ๊ปมีรูรั่ว อำนาจมันก็ถูกย้ายไปที่อื่น คิดว่ามันจะไปที่ไหนล่ะ
ถ้าเซยองอิลโบเจ๊ง ฉันว่ามยองอิลอิลโบหรือแฮดงอิลโบก็ไม่น่าจะเสียใจนะ
นายว่าความคิดฉันจะผิดหรือเปล่าล่ะ”
“...”
“หึ ๆ
แค่นึกถึงเรื่องนั้นก็มีความสุขแล้ว”
“มาหาผมทำไมกันแน่ครับ
ถ้าจะพูดเรื่องไร้สาระแค่นี้ก็พอแล้ว ตอนนี้พูดธุระมาเถอะครับ”
“ธุระเหรอ...ไม่มีหรอก
นึกว่าฉันจะมาชวนทำข้อตกลงอะไรสักอย่างแล้วพานายออกไปจากที่นี่หรือไง ฮ่า ๆ ๆ!
มันจะเป็นไปได้ยังไง ฉันแค่ตั้งใจจะมาแกล้งนายเฉย ๆ แต่แกล้งสนุกดีนะ
นั่งอยู่บนเก้าอี้แข็ง ๆ ทั้งวัน ก้นน่าจะเป็นฝีแล้วไม่ใช่เหรอ หือ? ฮ่า ๆ ๆ”
ประธานใหญ่ชามยองจินโกรธจนตะโกนออกไปข้างนอก
“ทนายพัค! ทนายพัค!”
เสียงตะโกนของประธานใหญ่ชาทำให้อัยการคิมซังชอลเปิดประตูเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น
คุณโจชียอนแตะต้องร่างกายคุณเหรอครับ”
ถามทั้ง ๆ
ที่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางเป็นไปไม่ได้
โจชียอนลุกขึ้นแล้วพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ฉันพูดจบแล้ว”
“ผู้อาวุโสบอกว่าถ้าได้คุยกับประธานใหญ่ชาแล้วน่าจะคิดอะไรมากขึ้นแต่มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างหรือเปล่าครับ”
“ไม่แน่ใจเท่าไหร่
แต่เหมือนจะไม่ได้อะไรมาก”
“เสียดายจัง เดี๋ยวเชิญออกไปก่อนนะครับ”
“โอเค”
ประธานใหญ่ชามยองจินโมโหจนเลือดขึ้นหน้าขณะมองทั้งสองคนวางแผนสมรู้ร่วมคิดกัน
“ทนายพัค!”
“คงจะไปเข้าห้องนํ้าน่ะครับ
อย่าตะโกนเสียงดังสิครับ ใครมาได้ยินคงนึกว่าผมทำร้ายท่านประธานใหญ่”
“ทนายพัค!”
“ครับ! เรียกผมเหรอครับ ท่านประธานใหญ่”
ทนายพัคชานยอลที่รีบวิ่งมาถึงกับเหงื่อตกเมื่อเห็นว่าบรรยากาศไม่ปกติ
“นายมีหน้าที่อะไร มัวทำอะไรอยู่ถึงไม่ยอมโผล่หัวมาสักที”
“ขอโทษครับ”
“มาเที่ยวเล่นที่นี่เหรอ
หรือกำลังว่าความฟรี ๆ ทำงานฟรี ๆ หรือไง”
“เปล่าครับ ผมแค่ไปคุยโทรศัพท์แป๊บ...”
ตอนนั้นโจชียอนที่ยังไม่ได้ออกไปก็หันมามองประธานใหญ่ชาแล้วพูดบางอย่างออกมา
“ลำบากน่าดู ต่อให้ประธานใหญ่ชาจะอายุมากแล้วก็ยังเป็นเด็กอยู่ดีเป็นเด็กก็คงต้องออกแรงเยอะ
ๆ หน่อยนะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ!”
โจชียอนออกจากสำนักงานอัยการพร้อมเสียงหัวเราะ
“อย่าใส่ใจเลยครับ
เพราะมันไม่ใช่คำพูดที่มีความหมายอะไร ถ้างั้นตามสบายนะครับ”
อัยการคิมซังชอลหัวเราะเบา ๆ
แล้วหายตัวไปโดยไม่บอกว่าจะสอบสวนอีกครั้งเมื่อไร
ประธานใหญ่ชากำหมัดจนสั่นด้วยความโกรธ
“เวรเอ๊ย...”
“ขอโทษครับ”
“นายจะทำยังไง
จะอยู่ที่นี่ต่อไปแบบนี้เหรอ การพาฉันออกไปไม่ใช่งานของนายหรือไง หา”
“ผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถครับ”
“เลิกพูดว่าจะพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วพาฉันออกไปจากที่นี่!เดี๋ยวนี้!”
“รับทราบครับ แน่นอน...”
แน่นอนว่าทนายพัคพยายามตอบในเชิงบวกเพื่อบรรเทาความโกรธของประธานใหญ่ชาไปก่อน
แต่โทรศัพท์ของตัวเองกลับดังขึ้น
โทรศัพท์จากบริษัท
เมื่อส่งสายตาถามว่ารับโทรศัพท์ได้ไหม
ประธานใหญ่ชาก็ตอบ
“รับสิ”
“ครับ...”
ทนายพัคชานยอลรีบกดรับโทรศัพท์
ก่อนจะพูดกับประธานใหญ่ชา
“ทางเอชเอสกรุ๊ปติดต่อมาถามว่าจะเอายังไงครับ”
“เขาว่ายังไงบ้าง”
“เขาบอกว่าถามมาแค่นั้นครับ
เพราะฉะนั้นผมก็ไม่รู้รายละเอียด...”
ประธานใหญ่ชามยองจินกลอกตาแล้วเอ่ยถามอย่างเร่งรีบ
“ฮยองซอกล่ะ”
“หัวหน้าฝ่ายชาฮยองซอก จากที่ได้ยินมา
กำลังพบปะคนในแวดวงการเมืองเพื่อพาท่านประธานใหญ่ออกไปครับ”
“การเมืองเหรอ
เด็กนั่นมันรู้จักนักการเมืองด้วยหรือไง”
“ผมได้ยินมาเท่านั้นครับ”
แค่ได้ยินอย่างเดียวจริง ๆ
เนื่องจากหัวหน้าฝ่ายชาฮยองซอกคือคนส่งต่อเรื่องนั้นให้สำนักงานกฎหมายแทยังเอง
แน่นอนว่าในมุมมองของแทยัง
คำพูดนั้นน่าเชื่อถือ เพราะไม่คิดว่าลูกชายของลูกความจะพูดอย่างทำอย่าง
“แล้วฮันคยองรีสอร์ตล่ะ”
“ฮันคยองรีสอร์ตเหรอครับ
ฮันคยองรีสอร์ตเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้”
ประธานใหญ่ชามยองจินกุมศีรษะที่ปวดจี๊ดเอาไว้
ถึงจะมอบหมายอำนาจทั้งหมดให้ลูกชายเพราะไม่สามารถไว้ใจคนอื่นได้แต่มีลางสังหรณ์ว่ามันอาจจะไม่ได้เรื่อง
ไม่ใช่เพราะสงสัยในตัวลูกชาย
แต่เพราะไม่เชื่อในการจัดการงานของเด็กนั่น
“ขายฮันคยองรีสอร์ตให้เอชเอสกรุ๊ป”
“ครับ? หมายความว่ายังไง”
“ซงบยองชาน
คนที่ไม่ต่างอะไรกับมือขวาของโจชียอนคือน้องชายของประธานใหญ่เอชเอสกรุ๊ป
ทางเอชเอสบอกว่าถ้ายกฮันคยองรีสอร์ตให้ จะช่วยเกลี้ยกล่อมซงบยองชานให้
เข้าใจใช่ไหมว่ามันหมายถึงอะไร”
“เข้าใจครับ
ผมจะนัดพบคนจากเอชเอสกรุ๊ปทันที”
“นี่ ทนายพัค”
“ครับ?”
“ฉันไม่ใช่คนมีความอดทนสูง
อย่าทำให้ฉันโมโหล่ะ”
ความอำมหิตที่พุ่งออกมาจากแววตาของประธานใหญ่ชาทำให้ทนายพัคชานยอลกลืนนํ้าลายอย่างไม่รู้ตัว
เพราะรู้ดีว่าประธานใหญ่ชาเป็นคนน่ากลัวและโหดร้ายขนาดไหน
แค่คดีที่ตัวเองช่วยปกปิดให้ก็ยังนับด้วยมือเดียวไม่พอดังนั้นจึงไม่มีทางจะไม่รู้
“ผมจะจำให้ขึ้นใจครับ”
หัวใจของประธานใหญ่ชาที่กำลังจ้องทนายพัคแทบลุกเป็นไฟ
คำพูดของโจชียอนยังคงวนเวียนอยู่ในใจ
ไม่ว่าอย่างไรก็เห็นได้ชัดว่าเรื่องคราวนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย
ๆ ด้วยคำพูดแค่ไม่กี่คำเหมือนเมื่อก่อน
ชาฮยองซอกพูดกับทนายพัคชานยอลจากสำนักงานกฎหมายแทยังอย่างไม่ยินดียินร้าย
“ไม่...นึกว่าผมกำลังล้อเล่นอยู่เหรอครับ
ตอนนี้ผมกำลังเจรจากับทางเอชเอสอยู่”
“เจรจาอะไรกันอยู่ครับ
ทำไมถึงยังไม่มีคำตอบจากเอชเอสสักที”
“เพราะพวกเขาเปลี่ยนคำพูดไปเรื่อย ๆ
น่ะสิครับ”
“เปลี่ยนคำพูดเหรอครับ”
“ก่อนหน้านี้พูดเหมือนถ้ายอมขายฮันคยองรีสอร์ตถูก
ๆ จะช่วยพ่อทันทีแต่ตอนนี้กลับพูดว่าเอามาแค่นั้นน่าจะยาก
แล้วถามว่าให้เชื่อใจแล้วรอกันได้ไหมนี่มันตลกมากเลยใช่ไหมล่ะครับ”
ความอึดอัดทำให้ทนายพัคคลายเนกไทที่ผูกออกเล็กน้อยและกล่าว
“ตอนนี้แค่ชั่วโมงเดียวท่านประธานใหญ่ก็ทนไม่ไหวแล้วครับ
ถ้าทางเอชเอสยื้อเวลา ผมจะไปพบพวกเขาเอง”
“นี่ไม่เชื่อผมเหรอครับ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น...”
“ไม่เชื่อกันชัด ๆ!
พ่อต้องอยู่ในที่ที่หนาวแล้วก็อึดอัดแบบนั้น
แล้วลูกชายอย่างผมจะคิดเป็นอื่นได้หรือไง!”
ที่ผ่านมาทนายพัคแค่คิดว่าฮยองซอกโง่และทำงานไม่เป็นเท่านั้น
แต่ไม่เคยคิดถึงขั้นว่าลูกชายจะตั้งใจทำให้พ่อออกมาไม่ได้เลย
ถ้าเป็นบริษัทอื่น ๆ อาจจะสงสัยในเรื่องนั้น
แต่สำหรับเซยองกรุ๊ป เขาไม่เคยคิดตีความไปในทิศทางนั้นได้เลย
เพราะรับรู้ถึงความสามารถในการควบคุมคนของประธานใหญ่ชามยองจินเป็นอย่างดี
แต่คำพูดและท่าทางร้อนใจของชาฮยองซอกเมื่อครู่นี้ทำให้เขามั่นใจหัวหน้าฝ่ายชาฮยองซอกไม่คิดจะพาประธานใหญ่ชามยองจินออกจากสำนักงานอัยการ
ลูกชายของลูกความไม่มีความคิดจะช่วยลูกความของเขา
สถานการณ์แบบนี้ถ้าไม่ถูกขัดขวางก็คงพอโล่งอกได้บ้าง
ใช่ว่าเขาไม่เคยเจอกรณีแบบนี้
แต่แค่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับประธานใหญ่ชามยองจินของเซยองกรุ๊ป
บางทีถ้าเข้าสำนักงานใหญ่ไปรายงานข้อเท็จจริงเรื่องนี้
ทุกอย่างต้องกลับตาลปัตรแน่นอน
“เปล่าครับ ผมผิดเอง”
“อะแฮ่ม...ถ้างั้นก็เชื่อผมแล้วรอก่อนครับ
ผมจะทำทุกวิถีทาง...”
ตอนที่ชาฮยองซอกกำลังตะโกนเสียงดัง
โทรศัพท์มือถือของทนายพัคก็มีสายเข้า
ถึงจะเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก
แต่น่าแปลกที่คิดว่าอาจจะเป็นการติดต่อจากทางเอชเอสกรุ๊ป
และเซนส์ของเขาก็ถูกต้อง
“ผมชเวยองฮุนจากฝ่ายวางแผนและประสานงานของเอชเอสการผลิตนะครับใช่ทนายพัคชานยอลหรือเปล่าครับ”
“ใช่ครับ ผมกำลังรออยู่เลย
พอดีติดต่อไม่ได้...”
“ผมยุ่งนิดหน่อยครับ”
“ในเมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้
ผมจะไม่พูดให้มากความนะครับ สถานการณ์ของท่านประธานใหญ่ค่อนข้างลำบากมาก
เราจะขายรีสอร์ตที่ต้องการให้ทันที...”
ชาฮยองซอกรีบตะโกน
“เปิดลำโพงครับ! เขาต้องคุยกับผม
ไม่ใช่คุณ!”
ทนายพัคชานยอลกัดริมฝีปากก่อนจะวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะและเปลี่ยนเป็นเปิดลำโพง
“กรรมการผู้จัดการ! ผมชาฮยองซอกนะครับ
ยังไงก็ควรจะคุยกับผมทำไมถึงติดต่อทนายพัคล่ะครับ”
“จะติดต่อใครแล้วยังไงครับ งานเสร็จเรียบร้อยต่างหากที่สำคัญ”
“ฮ่า ๆ มันก็จริงนะ...ยังไงก็ตาม
ผมจะทำให้ดีที่สุด...”
“ไม่ต้องครับ ผมเปลี่ยนความคิดแล้ว”
“ครับ? นั่นมัน...อย่าบอกนะครับว่าแค่ฮันคยองรีสอร์ตก็ยังไม่พอ
นี่มันไม่เกินไปหน่อยเหรอครับ”
ฮยองซอกจงใจขึ้นเสียง
แต่ทนายพัคไม่พลาดช็อตกระตุกมุมปากของอีกฝ่าย
ทว่าคำพูดที่ได้ยินจากโทรศัพท์มือถือกลับเหนือความคาดหมาย
“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ผมตกลงจะให้ความช่วยเหลือโดยไม่มีเงื่อนไขครับท่านประธานใหญ่ไม่ต้องการหาผลประโยชน์ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก อืม ต่อให้บอกว่าจะช่วย ก็ไม่รู้ว่าพวกเราจะช่วยได้เยอะหรือเปล่า แต่มันไม่ควรมีคนที่รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมไม่ใช่เหรอครับ”
“เดี๋ยว...รีสอร์ต...”
“ครับ ไม่จำเป็นแล้ว ภายในวันพรุ่งนี้ประธานซงบยองชานอาจจะพูดอะไรบางอย่างที่สำคัญครับ”
ทนายพัคกำหมัดแน่นพร้อมกับตะโกน
“ขอบคุณครับ! ขอบคุณมากครับ!”
ฮยองซอกบังคับหัวใจที่สั่นไหวให้สงบลง
คิดง่ายเกินไปแล้ว
ทันทีที่ฮยองซอกลุกพรวด
ทนายพัคที่วางสายเสร็จเรียบร้อยก็ถามด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ
“จะไปไหนครับ”
“พ่อกำลังจะได้ออกมาแล้ว ผมจะอยู่เฉย ๆ
ได้เหรอครับ ต้องไปเตรียมตัวสิ”
ฮยองซอกพูดแบบนั้นแล้วหมุนตัวจากไป
เพราะไม่ได้ไร้เดียงสาจนคิดว่าข้อเสนอของกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนคือการช่วยเหลือด้วยใจที่บริสุทธิ์จริง
ๆรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่ามันคือคำขู่ว่า
ถ้าไม่ปล่อยฮันคยองรีสอร์ตให้ในทันทีก็จะช่วยปล่อยตัวพ่อออกจากสำนักงานอัยการ
บทที่ 231 ผู้ช่วย (4)
โจชียอน พูดกับยองฮุนที่เพิ่งวางสายโทรศัพท์
“คิดว่าเด็กนั่นจะเอาฮันคยองรีสอร์ตมาด้วยหรือเปล่า”
“คงเป็นอย่างนั้นครับ”
พอเห็นยองฮุนพยักหน้า
โจชียอนก็มองออกไปยังที่ห่างไกล
ทิวทัศน์ด้านนอกที่มองเห็นจากโรงแรมไฮแอทสวยงามมาก
“มันฉลาดมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว
ต่อให้โลภมากแค่ไหน แต่ก็เป็นคนคอยบอกแม่ตลอดว่า ต้องเอานํ้าเชื่อมจากธัญพืชที่คุณตาชอบไปด้วยเวลาไปเจอคุณตาตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้เลยว่ามันผิดตั้งแต่ตรงไหน
แต่ต่อให้รู้ว่ามันผิดตรงไหน แล้วจะมีอะไรแตกต่างจากเดิม...”
“ใช่ครับ เพราะเราย้อนเวลากลับไปไม่ได้
ต่อให้รู้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”
“ถ้าบอกว่ายกฮันคยองรีสอร์ตให้
แล้วนายจะทำยังไงต่อ”
“ควรทำยังไงดีล่ะครับ”
“ถ้าฉันพูด นายจะยอมทำตามหรือไง”
ยองฮุนถอนหายใจสักพักพลางจัดระเบียบความคิด
ตอนแรกเป็นเพราะเขาแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่ได้ทั้ง
ๆ ที่รู้ว่าจะมีคนตาย และร่วมมือด้วยเพราะเป็นคนรู้จักของแม่ที่เสียไปแล้ว
แต่พอได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้นก็ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับชีวิตของโจชียอนบ่อย
ๆ โดยอัตโนมัติ เนื่องจากรับรู้ถึงความเจ็บปวด
เข้าใจถึงความแค้นของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี เขาจึงรู้สึกอยากช่วยจากใจจริง
ทว่าไม่คิดจะมีส่วนร่วมเกินกว่าระดับที่เหมาะสม
เพราะไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องของโจชียอน
“ถ้าพวกเราทำได้ มันจะกลายเป็นกำไรครับ”
“เรื่องกำไรมันแน่นอนอยู่แล้ว
แค่ฮันคยองรีสอร์ตอย่างเดียวก็มีมูลค่าตลาดเกินหนึ่งล้านล้านแล้ว
เพราะเราสามารถซื้อมันได้ในราคาถูก จะไม่ใช่กำไรได้ยังไง”
“ไม่รู้สิครับ”
“ทำไม”
“ผมไม่แน่ใจว่าการเอาทรัพย์สินของเซยองกรุ๊ปเข้ามาในบริษัทเรา
มันจะเป็นเรื่องดีหรือเปล่าน่ะครับ
เพราะฉะนั้นเลยรู้สึกว่าอยากให้ประธานซงบยองชานเอาฮันคยองรีสอร์ตไปด้วย”
“นี่เรียกว่าเป็นโรคแล้ว โรครักศีลธรรม
อย่าเอาความดีความชั่วไปโทษเงินสิมันขึ้นอยู่กับจิตใจของคนใช้เงินต่างหาก
เงินไม่มีความดีความชั่ว”
“นับตั้งแต่โบราณมา
เงินทำให้จิตใจของคนเราป่วยครับ
เงินคือสิ่งที่ดึงความโอ้อวดและความกระหายที่เคยสงบนิ่งอยู่ก้นบึ้งของจิตใจขึ้นมา
ถ้าควบคุมจิตใจไม่ได้ เงินที่มากเกินกว่าความจำเป็นจะทำให้เกิดหายนะครับ
โดยเฉพาะกับเงินที่ได้มาฟรี ๆ...”
“แปลกชะมัด นายมั่นใจในตัวเองมาตลอด
แต่กลับระวังตัวเป็นพิเศษเวลาเงินมาอยู่ตรงหน้า กลัวว่าจะโดนเงินครอบงำสินะ”
ยองฮุนพยักหน้า
“มองถูกแล้วครับ
การได้ฮันคยองรีสอร์ตในราคาถูกมันก็ดี
แต่ขณะเดียวกันก็ไม่สบายใจเพราะได้มาง่ายเกินไป”
“หึ!
ฮยองซอกมันยังไม่ได้บอกว่าจะให้นายเลยด้วยซํ้า
ไอ้คนโลภมากที่อยากรีบแย่งสมบัติของพ่อตัวเองจนถึงขั้นส่งเข้าคุกนั่น
แต่พูดเหมือนฮันคยองรีสอร์ตอยู่ในมือนายทั้ง ๆ ที่มันยังไม่ทันยกให้ด้วยซํ้า”
“ผู้อาวุโส ขับรถเป็นใช่ไหมครับ”
คำถามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้โจชียอนขมวดคิ้ว
“สนทนาธรรมอีกแล้วเหรอ แต่ช่างเถอะ
กลัวจะไม่รู้ว่าเคยเป็นพระหรือไงถึงชอบสนทนาธรรมเหลือเกิน”
“ไม่ใช่การสนทนาธรรมครับ
ผมแค่ตระหนักขึ้นมาได้ระหว่างขับรถเฉย ๆ”
“งั้นเหรอ ไหนขยายความสิ”
“การขยับรถที่กำลังจอดอยู่ในตอนแรกจำเป็นต้องใช้แรงเยอะ
ดังนั้นจึงต้องใช้เกียร์ตํ่าครับ จากนั้นพอรถเริ่มเร่งความเร็วก็เปลี่ยนเป็นเกียร์สูง
มันก็เหมือนกับความรู้สึกของคนเราครับ ตอนที่ไม่มีความคิดใด ๆ
ก็จะไม่รู้สึกหวั่นไหวกับสิ่งล่อตาล่อใจมากนัก
ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดก็ยิ่งรู้สึกแบบนั้นครับ”
“...”
“แต่ถ้าถูกสิ่งล่อตาล่อใจล่อลวงสักครั้ง
เรื่องมันก็จะแตกต่างกันครับถ้าไม่ใช่การเคลื่อนไหวของคนอื่น
แต่เริ่มเคลื่อนไหวด้วยตัวเองเมื่อไหร่
ไม่ว่าพลังที่เคยล่อลวงเขาในตอนแรกจะลดน้อยลงแค่ไหน ในทางกลับกันแล้ว
คนเราจะได้รับแรงกระตุ้นมากขึ้นและเริ่มไล่ตามความโลภ
ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ครับ”
“ถ้างั้นก็หมายความว่าตอนนี้เป็นสถานการณ์ที่ฮยองซอกเคลื่อนไหวด้วยตัวเองแล้ว
ดังนั้นเลยหยุดไม่ได้สินะ”
“ยิ่งความเร็วสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องใช้แรงเบรกมากกว่านั้น
รถถึงจะหยุดได้ครับพลังในการควบคุมจิตใจตัวเองของชาฮยองซอกไม่เพียงพอที่จะหยุดเขาในตอนนี้ในหัวของเขาน่าจะมีภาพตัวเองกลายเป็นประธานใหญ่ของเซยองกรุ๊ปโดยปราศจากพ่อ
และใช้ชีวิตราวจักรพรรดิเรียบร้อยแล้วครับ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น
บางทีเขาอาจจะเดิมพันด้วยอะไรมากกว่าฮันคยองรีสอร์ตก็ได้ครับ”
ดวงตาของโจชียอนกลายเป็นสีแดง
“ฮีจูของฉันก็เป็นแบบนี้เหมือนกันงั้นเหรอ”
“อาจจะใช่ครับ”
แม้จะเป็นการถามตอบสั้น ๆ
โจชียอนก็ทำความเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในนั้นก่อนจะก้มศีรษะลง
หลังจากเช็ดนํ้าตาสักพักก็กล่าว
“นายบอกว่าอาจจะเดิมพันด้วยอะไรที่มากกว่าฮันคยองรีสอร์ตก็ได้ใช่ไหม”
“ครับ”
“ฉันไปคุยกับชามยองจินที่สำนักงานอัยการมาแล้ว
ว่าจะทำให้มันโดนขังอยู่ในสำนักงานอัยการแล้วเฝ้ามองบริษัทตัวเองแตกเป็นเสี่ยง ๆ
อย่างสิ้นหวังสำหรับหนังสือพิมพ์และการออกอากาศ
ถ้าไม่ใช้อำนาจทางการเมืองก็คงแตะต้องไม่ได้
แต่ทรัพย์สินหลักของเซยองกรุ๊ปคือเซยองดีเวลลอปเมนต์ ฉันต้องการให้มันพังทลาย”
“อืม...ไม่รู้ว่าจะทำได้ถึงขนาดนั้นหรือเปล่า
แต่จะลองดูนะครับ”
“ขอบคุณ”
“ไม่มีอะไรต้องขอบคุณเลยครับ
เพราะแค่เก็บเศษซากจากกระบวนการนั้นก็คงจะเป็นประโยชน์กับบริษัทมากแล้ว”
“โรครักศีลธรรมของนายน่ะ
จะเอาไปได้เยอะนักหรือไง”
“ผมก็กังวลเรื่องนั้นเหมือนกันครับ”
“หึ ๆ...ฉันเคยเล่าแล้วใช่ไหมว่าเมื่อก่อนฉันไม่ให้ลูกสาวคบเพื่อนคนแรกเพราะจน”
“ครับ”
“หลังจากเวลาผ่านไปนาน
ฉันก็เจอเพื่อนคนนั้นของลูกอีกครั้ง ถึงตอนแรกจะไม่รู้
แต่เพื่อนคนนั้นเป็นคนบอกเองว่าตัวเองคือเพื่อนในตอนนั้น
เธอบอกว่าฉันเป็นคนทำให้เห็นถึงความโหดร้ายของโลกในตอนที่ตัวเองเคยยากจนข้นแค้นเด็กคนนั้นคือเทพธิดายอนฮวา”
ยองฮุนเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับแม่อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“ความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้จริง
ๆ นะครับ”
“ใช่
เธอเล่าเรื่องนั้นหลังจากบอกให้ฉันแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้คนยากจนและเลิกทำธุรกิจเงินกู้นอกระบบ...ถ้าหากเป็นหมอดูคนอื่นมาพูดอย่างนั้น
ฉันคงจะสับสนว่านั่นคือดวงที่ถูกต้องจริง ๆ
หรือพูดอย่างนั้นเพราะความรู้สึกในอดีตกันแน่”
“เชื่อในดวงชะตาสินะครับ”
“ถูกต้อง บรรยากาศแปลก ๆ
ที่ออกมาจากเทพธิดายอนฮวานั่น...เหมือนนายในตอนนี้มาก ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องโกหก
แต่ฉันก็ทำได้เพียงแค่มองข้ามทรัพย์สินครึ่งหนึ่งเชียวนะ...อืม
มันเป็นความผิดฉันเอง ฉันไม่ได้เกริ่นเพื่อจะเล่าเรื่องแบบนั้นหรอก
หลังจากตอนนั้นฉันก็ได้เจอเทพธิดายอนฮวาอีกหลายครั้งแต่จะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังต่างหาก”
“หมายถึง...”
“หลังจากเจอนาย ฉันก็ลองตามหาเทพธิดายอนฮวาอีกครั้งให้แน่ใจ
แต่เธอเสียชีวิตแล้ว แล้วก็ได้ยินมาว่าสามีอย่างนักพรตมยองอูที่เคยอยู่ข้าง ๆ
เธอตลอดก็ปิดสำนักหมอดูไปแล้วเหมือนกัน”
“ครับ...”
“นายรู้อยู่แล้วจริง ๆ ด้วยสินะ
ฉันติดใจการดูดวงของเทพธิดายอนฮวาตอนนั้นมาก จนฉันเดินทางไปหาด้วยตัวเองหลายครั้ง
น่าจะสองครั้งมั้งนะมันไม่มีอะไรสำคัญ ดวงฉันเหมือนกันทั้งสองครั้ง
แล้วก็ไม่เคยพูดว่าให้ใช้ยันต์ที่เห็นบ่อย ๆ นั่นด้วย บอกว่ายันต์ป้องกันไม่ได้
แต่ฉันรู้ว่านักพรตมยองอูที่จับตามองอยู่ข้าง ๆ เสมอคอยส่งสายตาบอกเรื่อย ๆ
ว่าให้ใช้ยันต์หรือเครื่องรางตลอดแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ทำลายจุดยืนของตัวเอง”
“อย่างนั้นเหรอครับ”
“ดังนั้นฉันเลยลองถามครั้งหนึ่งตอนนักพรตมยองอูไม่อยู่ว่า
ออกมาทำเองคนเดียวดีไหม
เพราะถ้าอยู่กับผู้ชายที่ชื่อนักพรตมยองอูอาจจะต้องฟังคำลวงโลกบ่อย ๆ นะ”
นึกว่าแค่เล่าว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างไรแล้วจบ
แต่พอเริ่มเล่าเรื่องราวลงลึกยองฮุนเองก็อินไปด้วยเหมือนกัน
“แล้วเธอตอบว่าอะไรครับ”
“ก็บอกฉันว่าอย่าเพิ่งอารมณ์เสีย
เพราะถึงเขาจะโลภมาก แต่ก็ไม่ใช่คนนิสัยแย่อะไร
แค่ชอบทำพฤติกรรมแบบนั้นกับคนรวยเฉย ๆ น่ะสิ ฉันเลยบอกพวกเขาสองคนดูไม่ค่อยเหมาะสมกัน
แต่เธอตอบว่ามันก็ดี ถ้าลองใช้ชีวิตจนอายุเท่าฉันก็น่าจะได้เห็นว่ามันดีจริง ๆ
หรือดีแค่ภายนอก
แต่ดูเหมือนว่าเทพธิดายอนฮวาจะชอบที่ได้อยู่กับนักพรตมยองอูจากใจจริงนะ”
“จริงเหรอครับ”
“อืม ตลกใช่ไหมล่ะ ฉันไม่รับรู้ถึงอันตรายที่กลํ้ากรายลูกสาวตัวเองแต่ดันสงสัยว่าผู้หญิงอีกคนจะใช้ชีวิตดีไหม
ถ้าไม่ใช่ความเพ้อเจ้อของคนแก่แล้วจะเรียกว่าอะไร แต่ตอนนั้นฉันสงสัยจริง ๆ นะ”
“เอ็นดูสินะครับ...”
“แล้วก็พูดอย่างนั้นด้วยนะ
บอกว่าตัวเองเป็นคนโชคดี ถ้าหากเป็นคนธรรมดาคงรับมือกับตัวเองไม่ไหว แต่ได้เจอกับคนที่ช่วยรักษาโรคเทพให้ได้คอยร่วมทุกข์ร่วมสุขแล้วใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ
แค่นั้นก็ไม่ได้แย่อะไร”
“...”
“หลังจากเจอนายแล้ว
ฉันก็คิดว่าควรจะเล่าดีไหม
แต่คิดว่ามันยังไม่ใช่เวลาถึงอย่างนั้นก็อยากเล่าให้ฟังสักครั้ง
ถ้ามันไม่มีประโยชน์ก็ลืม ๆ ไปนะ”
“ไม่หรอกครับ ขอบคุณครับ”
“โอเค วิวสวยดี
ฉันจะนั่งต่ออีกหน่อยแล้วค่อยกลับ แต่ท่าทางนายจะยุ่งมาก ลุกไปก่อนได้เลย”
“ครับ ขอตัว...”
ยองฮุนลุกขึ้นและยื่นบัตรจอดรถให้พนักงาน
ถึงจะไม่ใช่เรื่องสำคัญเหมือนอย่างที่โจชียอนพูด
แต่หัวใจด้านหนึ่งกลับเบาลงอย่างน่าประหลาด
เขาแค่รู้สึกขอบคุณและคิดถึงมากขึ้นเมื่อได้ยินว่าแม่ที่เสียชีวิตไปแล้วไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างกลํ้ากลืนฝืนทน
ยองฮุนมองขึ้นไปบนฟ้า
ก่อนจะรีบขึ้นรถเพราะกลัวมีใครมาเห็นแล้วออกเดินทางราวกับกำลังหลบหนี
มินฮีแจ้งยองฮุนที่เพิ่งกลับมาถึงบริษัทว่ามีคนรออยู่ในห้องประชุม
ไม่ต้องถามก็รู้ว่าใคร
ทันทีที่ยองฮุนรีบลงไป
ชาฮยองซอกที่พยายามทำหน้านิ่งก็ลุกพรวด
“ยุ่งสินะครับ
ผมผิดเองที่มาโดยไม่ได้นัดก่อน”
“นั่งก่อนครับ รอนานแล้วเหรอ”
“รอแป๊บเดียวครับ
แต่มันไม่ใช่ปัญหา...พูดตามตรงผมงงมากเลยครับต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ”
ยองฮุนมองออกไปนอกหน้าต่างสักพักแล้วกล่าว
“อากาศดีนะครับ”
“ครับ?”
“อากาศดี ๆ แบบนี้
พวกเราอย่ามัวอ้อมค้อมหยั่งเชิงกันดีกว่าครับ”
ไม่รู้ว่าอากาศดีกับการอ้อมค้อมมันเกี่ยวอะไรกัน
แต่ฮยองซอกก็ตัดสินใจแน่วแน่กับท่าทีแบบนั้นของยองฮุน
“เอาสิครับ ต้องการให้ผมทำยังไงครับ”
“ฮันคยองรีสอร์ต แล้วก็เซยองซีซีครับ”
ข้อเสนอที่น่าตกใจของยองฮุนทำเอาฮยองซอกขึ้นเสียงเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“ล้อเล่นหรือเปล่าครับ
เอารีสอร์ตที่ต่อให้จ่ายหนึ่งล้านล้านก็ยังคิดหนักไปในราคาถูก ๆ แล้ว
ยังจะขอกระทั่งสนามกอล์ฟตรงนั้นด้วยเหรอครับ จะให้พวกผมกินแกลบเลยหรือไง”
“โทษนะครับ คุณชาฮยองซอก
ผมไม่ทำข้อตกลงกับคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์ฮันคยองรีสอร์ตเป็นสิ่งที่ต้องขายให้พวกเราอยู่แล้ว
แต่คุณกลับเปลี่ยนใจกลางคัน”
“ผมเปลี่ยนใจยังไงครับ”
“ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น
คุณคงไม่เปลี่ยนวันทำสัญญาตามใจชอบหรอกครับรู้ไหมว่าเรื่องนั้นทำให้เจ้าหน้าที่จากเอชเอสการท่องเที่ยวมองผมเป็นคนโง่มากแค่ไหน”
แน่นอนว่าโกหก
จะมีผู้บริหารกับพนักงานที่ไหนกล้ามองลูกเขยของประธานใหญ่กรุ๊ปและควบตำแหน่งผู้มีอำนาจสูงสุดอย่างยองฮุนเป็นคนโง่บ้าง
“ระ...เรื่องนั้น...”
“เอชเอสการท่องเที่ยวแจ้งมาว่าจะทบทวนแผนการซื้อกิจการฮันคยองรีสอร์ตใหม่ทั้งหมด
เพราะคุณบอกว่าต้องพิจารณาวันทำสัญญากับเงื่อนไขข้อตกลงอีกครั้งโดยที่ไม่มีเหตุผลรองรับ
แต่พอมาถึงตอนนี้กลับบอกว่าจะขายฮันคยองรีสอร์ตให้ จะให้ผมพูดว่า ‘ครับ
ผมจะรับไว้ด้วยความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง’ แล้วรับมาหรือไงครับ”
อันที่จริงถ้าซื้อกิจการฮันคยองรีสอร์ตได้ในราคาสี่แสนล้าน
ต่อให้ขอบคุณทางเซยองดีเวลลอปเมนต์ร้อยแปดเท่าสำหรับการยอมเปลี่ยนใจก็ยังไม่พอเลย
ถึงแม้จะรู้เรื่องนั้นอย่างแจ่มแจ้ง
แต่ด้วยความไร้ยางอายของยองฮุนที่ทำเหมือนถูกบังคับให้ทำข้อตกลงที่ขาดทุน
ฮยองซอกจึงตกอยู่ในสภาพที่อึ้งจนไม่รู้ว่าจะโต้แย้งอย่างไร
“ไม่ใช่...”
“ถ้าไม่โอเคก็ช่วยไม่ได้นะครับ
ถ้าจะต้องโน้มน้าวท่านประธานใหญ่อีกครั้งผมเองก็เหนื่อยมาก
ท่านประธานใหญ่ปฏิเสธที่จะคุยกับผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยครับ”
“...”
“ถ้าคิดจะเรียกคืนเรื่องที่ตัดสินใจไปแล้ว
มันก็จำเป็นต้องใช้หลักประกันแบบนั้นครับ”
“นั่นคือสนามกอล์ฟเหรอครับ”
“พูดตรง ๆ
สนามกอล์ฟสนามเดียวยังไม่พอด้วยซํ้า แต่ถึงอย่างนั้นพอมีสนามกอล์ฟมาจูงใจ
ท่านประธานใหญ่อาจจะยอมช่วยอีกครั้งครับ”
“...”
“จะเอายังไงครับ”
“เฮ้อ...”
ความอึดอัดเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมทำให้ชาฮยองซอกเอนศีรษะไปข้างหลังและจมลงไปในความคิด
แต่มาถึงตอนนี้ก็ย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว
ตัวเองก็รู้สึกได้เหมือนกันว่าสายตาของทนายพัคชานยอลเวลามองกันมันเปลี่ยนไปแล้ว
ถ้าหากพ่อออกมาได้ก็ไม่มีทางที่คำพูดของทนายพัคจะไม่ถึงหูพ่อ
ถ้าเป็นอย่างนั้น...
ไม่อยากจะคิดเลย
“ได้ครับ”
“โอเคครับ
แต่ผมมีเรื่องหนึ่งจะแจ้งให้ทราบ”
“แจ้งให้ทราบเหรอครับ”
“ครับ ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่
แค่ได้รับแจ้งมาว่าถึงจะคุมตัวท่านประธานใหญ่มาไว้ที่สำนักงานอัยการได้
เพราะสมุดบัญชีเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือมาก แต่ด้วยข้อหาติดสินบนอย่างเดียว มันก็ยากจะขยายเวลาการควบคุมตัวครับ”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรที่สำคัญกว่านั้น
ศาลอาจจะไม่ขยายระยะเวลาการควบคุมตัวหรือเปล่านะ อืม
ผมไม่ค่อยรู้เรื่องทางกฎหมายเท่าไหร่ แต่พูดประมาณนั้นครับ”
“...”
“แค่อยากให้ทราบไว้ครับ
ต่อให้พวกเราจะช่วย ประธานใหญ่ชามยองจินก็อาจจะถูกปล่อยตัวอยู่ดี
เดี๋ยวทางเอชเอสการท่องเที่ยวจะติดต่อเซยองดีเวลลอปเมนต์ไปอีกครั้งนะครับ
หวังว่าตอนนั้นจะไม่ผิดสัญญาเหมือนคราวก่อนอีก ขอตัว...”
ยองฮุนก้มศีรษะให้เล็กน้อย
แต่ภาพนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของฮยองซอกด้วย
เพราะกำลังมีความคิดเดียววนเวียนอยู่ในหัว
บางสิ่งบางอย่างที่สำคัญจนยืดเวลาการคุมตัวพ่อออกไปได้...
บทที่ 232 คนชนะได้ทุกอย่าง (1)
ผ่านไปสามวัน หลังจากเรียกตัวหัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานมาตรวจสอบสถานการณ์ในประเทศไทย
กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนก็อธิบายเนื้อหาสรุปให้ยองฮุนฟัง
“อุดม ผู้มีอำนาจตัดสินใจในโครงการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเขาเป็นพวกหัวกะทิที่มีอยู่แค่ไม่กี่คน
ชอบเข้าสังคม พบปะกับพวกมหาเศรษฐีในประเทศไทยบ่อย ๆ”
“งั้นเหรอครับ”
“แน่นอนว่าเป้าหมายของเราคืออุดม
แต่ปัญหาคือต่อให้เขาเข้าข้างเราก็ไม่สามารถเชื่อใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างที่รู้กันดีว่าประเทศไทยเผชิญกับปัญหาการทุจริตอย่างหนัก
แล้วพวกเราก็ไม่รู้อะไรเลยว่าตอนเริ่มโครงการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาตินี้
ใครจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนกันยังไงบ้าง”
“สถานการณ์ซับซ้อนกว่าที่คิดนะครับ”
“ใช่
ถ้ามีเส้นสายในประเทศไทยก็คงจะหาข้อมูลเพิ่มอีกนิดได้
แต่น่าเสียดายที่พวกเราไม่ได้ทำธุรกิจกับทางฝั่งไทยมากนัก
ถ้าเป็นอินโดนีเซียก็ว่าไปอย่าง แต่สำหรับประเทศไทย
โพสวันอินเตอร์เนชั่นแนลดำเนินธุรกิจหลาย ๆ อย่าง
และโครงสร้างพื้นฐานก็ค่อนข้างใหญ่กว่าพวกเรา”
“ถ้างั้นก็แปลว่าต้องพุ่งชนด้วยตัวเองเหรอครับ”
“ถูกต้อง กรรมการผู้จัดการชเวต้องไปทำงานที่ไทยด้วยตัวเองอย่างไม่มีทางเลือก
แน่นอนว่าช่วยสนับสนุนได้นะ
แต่ฉันคิดว่ายังไงก็น่าจะมีข้อจำกัดแถมทางบริษัทนํ้ามันแห่งชาติของเกาหลีก็ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในประเทศไทยเหมือนกัน
ดังนั้นการขอความช่วยเหลือจากทางนั้นก็คงจะยาก”
“ปฏิกิริยาทางบริษัทนํ้ามันแห่งชาติเป็นยังไงบ้างครับ”
“ฉันไม่ได้เสนออย่างเป็นทางการ
แค่ไปเจอกับยูมยองกุก หัวหน้าฝ่ายธุรกิจเอเชียแล้วแอบเกริ่น ๆ”
“เป็นยังไงครับ”
กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนเอียงศีรษะสีหน้าอึดอัดใจ
“ปากเสียมาก ถามกลับมาว่าจะทำได้หรือไง
อย่างที่รู้กัน เพราะเป็นรัฐวิสาหกิจ
ความกดดันเกี่ยวกับผลการดำเนินงานเลยตํ่ามากเมื่อเทียบกับบริษัทเอกชน
ไม่จำเป็นต้องออกแรงอะไรมาก ถ้างานไม่ตรงตามเป้าก็แค่ยืนขำจริง ๆ ก็พูดถูกแหละ
แต่มันน่าหงุดหงิด”
“ถ้าไม่มีค่าตอบแทนก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องทำงานหนักสินะครับ”
“ไม่ใช่ว่ารัฐวิสาหกิจไม่มีค่าตอบแทนนะ
แค่ไม่ได้เยอะเหมือนบริษัทเอกชนเท่านั้น
แถมการตัดสินใจสนับสนุนแผนกไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าโครงสร้างอำนาจการเมืองภายในองค์กรเป็นยังไง
ดังนั้นมันเลยไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน”
“แต่ยังไงก็สรุปว่าทางบริษัทนํ้ามันแห่งชาติค่อนข้างกำกวมใช่ไหมครับ”
“ใช่ กำกวมมาก
พวกเราคงต้องไปโชว์ผลลัพธ์ให้เห็นกับตา ถึงจะกระตือรือร้นออกหน้าให้”
“ถ้าทางบริษัทนํ้ามันแห่งชาติช่วยออกหน้าให้
มันจะเป็นประโยชน์เหรอครับ”
“ต่อให้พูดว่าจะช่วยสนับสนุนเราผ่านการล็อบบี้มากแค่ไหน
แต่สุดท้ายก็จะมีช่วงเวลาที่ต้องแสดงความสามารถให้เห็นสักครั้ง
ไม่ว่าจะผ่านการนำเสนอหรืออะไรก็ตาม...พวกเขามีประสบการณ์ในการจัดการกับก๊าซธรรมชาติที่ขุดเจาะจากอ่าวทะเลตะวันออก
ดังนั้นควรจะใช้เรื่องนั้นมาเป็นฐาน
แล้วแสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้มีดีแค่คำพูดเท่านั้น”
“อืม...เอาเป็นว่าผมเข้าใจแล้ว จะออกเดินทางเมื่อไหร่ครับ”
“สัปดาห์หน้าจะมีการจัดประชุมเกี่ยวกับพลังงานทดแทนที่กรุงเทพฯ
พอดีได้รับกำหนดการยืนยันการเข้าร่วมมาแล้ว
แน่นอนว่าหลังจบงานคงจะมีปาร์ตี้กับพวกผู้เข้าร่วมต่อ
ในปาร์ตี้นั้นต้องมีเจ้าหน้าที่จากบริษัทพลังงานที่เรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งของพวกเราแน่นอน”
“เรื่องนั้นก็คงช่วยไม่ได้สินะครับ โอเค
ผมจะเตรียมตัวให้พร้อมครับ”
กรรมการผู้จัดการโกจ้องหน้ายองฮุนสักพักก่อนจะถาม
“ว่าแต่ช่วงนี้มีเรื่องกลุ้มใจอะไรหรือไง”
“ครับ? ดูเป็นอย่างนั้นเหรอ”
“อืม นายดูเหมือนคนไม่ได้นอนเลย”
“อ่า...”
จริง ๆ ช่วงนี้เขานอนไม่ค่อยหลับเพราะมัวแต่คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้
สถานการณ์ฝั่งโจชียอนกำลังอยู่ในช่วงสำคัญที่สุด
รวมถึงอีกหลายเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน เช่น
สถานการณ์ของชินยองไฟแนนเชียลกรุ๊ปกับอูมยองกรุ๊ป
ดังนั้นเรื่องที่ต้องใส่ใจจึงไม่ได้มีแค่เรื่องสองเรื่อง
แม้จะเหนื่อยมาทั้งวันแล้วก็ตาม
แต่พอล้มตัวนอนและเริ่มคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ก็เลยนอนไม่หลับ
ทำได้เพียงนอนพลิกไปพลิกมาแทบทั้งคืน
“ทำไม เครียดเรื่องอะไร”
“ไม่ใช่ปัญหาของผมหรอกครับ
แค่มีอะไรหลายอย่างที่ต้องใส่ใจ”
“อะไร”
“มีเรื่องทางชินยองด้วย...”
“หรือว่าเรื่องที่กำลังดังตอนนี้ก็เกี่ยวกับพวกเราด้วยเหรอ”
“หมายถึงเรื่องอะไรครับ”
“เซยองกรุ๊ปไง
ที่ประธานใหญ่ชาสปอนเซอร์ให้พวกข้าราชการแล้วโดนจับได้”
ไม่รู้เพราะเซนส์ดี
หรือว่าข่าวลือไปไวกันแน่...
“รู้ได้ยังไงครับ”
“ได้ยินข่าวลือว่าเซยองจะขายรีสอร์ตให้โรงแรมเราน่ะสิ
ถ้าเป็นรีสอร์ตของเซยองก็คือฮันคยองรีสอร์ต ที่นั่นใหญ่จะตาย แต่อยู่ ๆ
กลับมาบอกว่าจะขายรีสอร์ตให้ในสถานการณ์นี้
มันก็แปลว่าต้องมีอะไรระหว่างสองบริษัทไม่ใช่เหรอ”
ทั้งเซนส์ดีและข่าวลือก็กระจายไว
“ใช่ครับ
เซยองกับพวกเรามีข้อตกลงบางอย่าง”
กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนรีบดึงมู่ลี่ในห้องตัวเองลงทันทีก่อนจะกล่าว
“เรื่องอะไร บอกหน่อยสิ”
“อืม...ห้ามเอาไปพูดที่ไหนนะครับ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ฉันไม่ใช่คนปากเปราะนะ”
กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนเองก็เป็นหนึ่งในผู้บริหารของกรุ๊ป
และไม่ใช่คนจะไปคุยโม้กับใครที่ไหนอยู่แล้ว
“จริง ๆ แล้วโจชียอน
คนที่ฟ้องร้องและแฉสมุดบัญชีของประธานใหญ่ชาตอนนี้สนิทกับน้องชายของท่านประธานใหญ่ของเรามากครับ”
“เจ้าหนี้นอกระบบคนนั้นน่ะเหรอ”
“ครับ”
“อืม...มันก็เป็นไปได้สินะ
ฉันเคยได้ยินข่าวลือมาว่าน้องชายของท่านประธานใหญ่เป็นขาใหญ่ที่มยองดง แต่ถ้าบอกว่าสนิทกับโจชียอน
แสดงว่าท่านประธานใหญ่ของเรามีส่วนเกี่ยวข้องกับการซุ่มเล่นงานประธานใหญ่ชาครั้งนี้เหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ
ท่านประธานใหญ่ไม่ได้ต้องการแทรกแซงงานของน้องชาย
น้องชายอย่างประธานซงบยองชานก็ไม่ได้ต้องการให้ท่านประธานใหญ่เข้ามาข้องเกี่ยวกับคดีเพราะตัวเองครับ
แต่จริง ๆ เรื่องนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะประธานซงบยองชาน”
“ถ้างั้น...”
“มันเกี่ยวข้องกับผมครับ”
“เกี่ยวข้องกับกรรมการผู้จัดการชเวงั้นเหรอ
นายมีความสัมพันธ์ไม่ดีอะไรกับเซยองกรุ๊ปหรือไง”
“ไม่ใช่ แค่ไป ๆ มา ๆ
ก็บังเอิญเข้าไปช่วยโจชียอนครับ”
กรรมการผู้จัดการโกตกใจจนอ้าปากค้าง
“อ๋อ...งั้นที่ประธานใหญ่ชาอยู่ในสำนักงานอัยการตอนนี้
ก็เป็นฝีมือของกรรมการผู้จัดการชเวเหรอ”
“ไม่ใช่ฝีมือของผมทั้งหมด
แต่ก็ใช่ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องครับ”
กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนค่อนข้างคุ้นเคยกับวิธีการพูดของกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุน
เพราะเคยสัมผัสกับการจัดการอันน่าเหลือเชื่อที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำพูดถ่อมตัวของยองฮุนมาหลายครั้งแล้ว
แค่พูดว่ามีส่วนร่วมก็พอจะเดาได้ว่ายื่นมือเข้าไปในเรื่องนี้มากแค่ไหน
“ถ้าอย่างนั้นคืออะไร
ถ้ามองจากทางเซยองดีเวลลอปเมนต์ พวกเราก็ไม่ต่างกับศัตรูนะ
แต่ทำไมยอมขายฮันคยองรีสอร์ตให้พวกเรา”
“เพราะพวกเขาคิดว่าพวกเราเป็นพันธมิตรเดียวที่ช่วยเขาได้ครับ”
กรรมการผู้จัดการโกกลืนนํ้าลายดังเอื๊อก
“น่ากลัวชะมัด...นายกำลังหลอกประธานใหญ่ชาของเซยองกรุ๊ปอยู่สินะ”
“มันมีเหตุผลให้ทำแบบนั้น ยังไงก็ตาม
เซยองถือฮันคยองรีสอร์ตกับเซยองซีซีมาขอความช่วยเหลือครับ”
“เราแค่แกล้งทำเป็นช่วยเหรอ”
“ครับ”
“หลอกง่ายไปไหม”
“สถานการณ์มันซับซ้อนครับ
เพราะมันไม่ใช่สถานการณ์ที่เซยองกรุ๊ปทั้งหมดพยายามจะช่วยประธานใหญ่ชา”
“หมายความว่ายังไงอีก”
“ลูกชายของประธานใหญ่ชามยองจินอยากได้สิทธิ์ในการบริหารครับ”
“ลูกคิดจะหักหลังพ่องั้นเหรอ”
“ครับ”
“บ้านแตกสาแหรกขาด”
ยองฮุนทำสีหน้าหม่นหมอง
พอเห็นอย่างนั้น
กรรมการผู้จัดการโกก็สังเกตท่าทีแล้วถาม
“ทำไม”
“ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ ไม่นับเรื่องที่เป็นประโยชน์กับพวกเรา
แต่แค่รู้สึกไม่สบายใจแล้วก็อารมณ์ไม่ดีที่เห็นภาพแบบนั้น
ผมเข้าใจว่าทำไมถึงใช้ชีวิตแบบนั้น ทำไมถึงคิดและทำอย่างนั้น ต่อให้เข้าใจ
แต่พอเห็นแล้วก็รู้สึกไม่ดีเลยครับ”
“เข้าใจได้
เพราะมันไม่ใช่ภาพที่น่ามองเท่าไหร่นี่นะ”
“บางครั้งผมก็คิดว่าตัวเองอาจจะคิดผิดก็ได้
แต่มันก็ไม่ได้ผิดคาดเลยครับ”
“ชีวิตมันก็เป็นแบบนั้นแหละ...อ้อ
แล้วมีเรื่องกรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานฝ่ายทรัพยากรต่างประเทศอยู่นี่นา”
“ครับ”
“ไม่มีข่าวอะไรเลย
โอจีฮวานบอกว่ารายงานโครงการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติให้กรรมการผู้จัดการยุนจองฮวานฟังเรียบร้อยแล้ว
แต่ถ้าจะพูดให้ชัดมันเป็นโครงการของฝ่ายทรัพยากรต่างประเทศนี่นา
ถ้างั้นก็ควรจะขึ้นมาหาฉันแล้วแย่งโครงการนี้คืนสิ อย่างน้อยจะคัดค้านก็ได้
แต่เงียบมาก”
“หัวหน้าฝ่ายโอจีฮวานว่ายังไงบ้างครับ”
“หัวหน้าฝ่ายโอก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน ตอนแรกตัวเองรายงานเรื่องนี้กับกรรมการผู้จัดการชเว
หลังจากนั้นก็รายงานกรรมการผู้จัดการยุน แต่ก็แค่ปล่อยผ่านไปเฉย ๆ
คิดอะไรอยู่กันนะ”
“ผมก็เริ่มสงสัยเหมือนกัน
รอดูไปก่อนนะครับ”
“จิ๊...เอางั้นก็ได้”
กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนรู้สึกไม่สบายใจบางอย่าง
แต่ตัดสินใจข้ามมันไป
มีการจัดประชุมคณะกรรมการบริษัทเร่งด่วนที่ชินยองไฟแนนเชียล
ประธานธนาคารชินยองควบตำแหน่งกรรมการผู้จัดการอย่างมาซอกแดเปิดประชุมคณะกรรมการบริษัทอย่างกะทันหัน
ข่าวนั้นทำให้รองประธานใหญ่อีเซจุนที่ตั้งใจไปพักสมองที่บ้านพักตากอากาศสักระยะต้องรีบกลับมาทันที
การโจมตีของน้องชายอย่างประธานอีเซมินถูกอัยการขัดขวางจนแทบจะไร้ความหมาย
รองประธานใหญ่อีเซจุนจึงโล่งใจได้ประมาณหนึ่ง
เนื่องจากจำเป็นต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะกรรมการเกินครึ่งถึงจะสามารถแต่งตั้งและปลดประธานกรรมการได้
จึงวางใจว่าอย่างน้อยตัวเองก็คว้าเอาไว้ได้ครึ่งหนึ่งแล้ว
ตอนนี้เหลือแค่ดึงหนึ่งในกรรมการฝั่งฮยองจุนกลับมาอยู่ฝั่งตัวเองอีกครั้งก่อนจะถึงการประชุมคณะกรรมการประจำปีครั้งถัดไป
ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย...
“อย่างที่ทุกท่านทราบ
พอท่านประธานใหญ่อีคยองโฮเสียชีวิตลง บรรยากาศภายในบริษัทก็วุ่นวายมากครับ โดยเฉพาะเหล่าผู้บริหารและพนักงานของชินยองประกันภัยกับชินยองหลักทรัพย์และการลงทุน
ที่แสดงความกังวลอย่างต่อเนื่องว่าจะโดนแยกออกจากกรุ๊ปหรือไม่”
ประธานมาซอกแดเกริ่นนำด้วยท่าทีไม่สบายใจ
พอเห็นว่าหมอนั่นอยู่ข้าง ๆ ฮยองจุน
ไม่ใช่ตัวเอง รองประธานใหญ่อีเซจุนก็ตระหนักว่าทำพลาดที่พามันเข้ามาตั้งแต่แรก
แต่เพราะเพิ่งได้รับการแต่งตั้งไม่นานจึงยังไม่มีข้ออ้างให้สั่งปลด
สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจว่าจะไล่ประธานธนาคารมาซอกแดออกหลังการประชุมคณะกรรมการประจำปีครั้งถัดไป
แต่แล้วก็ตระหนักได้อีกครั้งว่าตัวเองนิ่งนอนใจมากเกินไป
“ดังนั้นผมจึงคิดว่าควรมีการเลือกตำแหน่งประธานกรรมการที่ยังว่างอยู่โดยเร็ว
เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาหุ้นที่ผันผวนตลอดเวลาและความไม่สงบภายในบริษัทครับ”
“เดี๋ยวครับ! นั่นมันหมายความว่ายังไง!”
โจกีดง ผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินและที่ปรึกษาของบริษัทด้านการลงทุนอย่างอาร์เอ็นไอพาร์ตเนอร์สตะโกนเสียงดัง
เนื่องจากสนิทสนมกับรองประธานใหญ่อีเซจุน
จึงไม่อาจยอมรับคำพูดเหลวไหลและไร้มารยาทของประธานธนาคารมาซอกแดได้
แต่ประธานธนาคารมาซอกแดไม่ได้อยู่คนเดียว
“ควรจะมองความเป็นจริงอย่างเป็นกลาง
ไม่ใช่มาตะคอกถามว่าหมายความว่ายังไงนะครับ
ตอนนี้ภายนอกกำลังจับตามองอย่างเป็นกังวล
จนคิดว่าชินยองไฟแนนเชียลกรุ๊ปจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อไหร่ก็ไม่แปลกใจแล้ว
ตั้งแต่อดีตประธานใหญ่เสียชีวิต การลงทุนทั้งหมดก็หยุดลง เราไม่เคยมีคำอธิบายที่ชัดเจนให้ภายนอกเลยว่าทำไมการลงทุนจากต่างประเทศถึงหยุดชะงักครับ”
อาจารย์คิมแจจุนจากมหาวิทยาลัยเกาหลี
หนึ่งในกรรมการอิสระของชินยองไฟแนนเชียล
เห็นได้ชัดว่าทิศทางการลงทุนแตกต่างกัน
ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมาเป็นผู้บริหาร
บางคนลงทุนเชิงรุก บางคนลงทุนแบบระมัดระวัง
เมื่อการลงทุนเชิงรุกล้มเหลว แน่นอนว่าความรับผิดชอบนั้นจะถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง
ดังนั้นการลงทุนทั้งหมดจึงถูกระงับชั่วคราวเท่าที่จะเป็นไปได้
จนกว่าการบริหารจัดการจะกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง
พนักงานเองก็ต้องคอยระแวดระวังเหมือนกัน
“เรื่องนั้น...ตอนนี้การแข่งขันในต่างประเทศไม่ค่อยดี...”
“ในเมื่อประเทศเราไม่มีนํ้ามันแม้แต่หยดเดียว
ก็ไม่ควรหยุดการลงทุนจากต่างประเทศแล้วดำเนินการต่อไปไม่ใช่เหรอครับ
ถ้าตัดการลงทุนแบบนี้ ก็เหมือนกับตัดนํ้าบ้านที่ไม่มีเงิน
แล้วพวกธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เข้าไปในต่างประเทศจะทำยังไงครับ
ทุกคนพูดว่าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว เลยมาขอให้ผมช่วยพูดอะไรหน่อยครับ”
“คุณรักชาติอยู่คนเดียวเหรอ”
“พูดดี ๆ นะครับ”
ประธานธนาคารมาซอกแดขึ้นเสียง
“หยุดเถอะครับ!
พวกเราไม่ได้มารวมตัวเพื่อทะเลาะกันนะครับ
ทิศทางต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับข้อสรุปที่ได้จากการประชุมอย่างยุติธรรมและสมเหตุสมผล”
“แล้วสิ่งที่ต้องการคืออะไรครับ”
รองประธานใหญ่อีเซจุนจ้องประธานธนาคารมาซอกแดด้วยแววตาโหดเหี้ยม
ประธานธนาคารมาซอกแดสะดุ้งทันที
แต่ไม่นานก็ยืดอกแล้วกล่าว
“เราจะปล่อยให้ตำแหน่งประธานกรรมการว่างต่อไปแบบนี้ไม่ได้ครับเพราะฉะนั้นผมขอเสนอให้แต่งตั้งกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนที่กำลังมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ภายในกรุ๊ปขึ้นเป็นประธานกรรมการ
ใครเห็นด้วยช่วยยกมือขึ้นด้วยครับ”
รองประธานใหญ่อีเซจุนลุกขึ้นจ้องกรรมการทั้งสิบคน
หัวใจของเขาเต้นรัวเมื่อมีคนเริ่มยกมือขึ้นหนึ่งคน
สองคน และแล้วเมื่อเห็นมือของโคอิเกะ ยูริโกะ
ที่เชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าต้องอยู่ข้างตัวเอง จึงทนไม่ไหวและตะโกนออกมา
“คุณ!”
“เกินครึ่งแล้วครับ
ดังนั้นกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนได้รับเลือกให้เป็นประธานกรรมการครับ”
ประธานธนาคารมาซอกแดรีบตีค้อนประธานเพราะกลัวว่าจะมีคนเอามือลง
บทที่ 233 คนชนะได้ทุกอย่าง (2)
[การแต่งตั้งประธานกรรมการสำเร็จ]
ข้อความจากอาจารย์คิมแจจุนทำให้ฮยองจุนกำหมัดแล้วโลดเต้นส่งเสียงตะโกนร้องด้วยความดีใจ
“เยสส~ส!”
แม้ที่ผ่านมาจะพยายามสุดชีวิตเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบนี้
ถึงอย่างนั้นมุมหนึ่งของจิตใจก็ยังคิดว่ามันอาจจะผิดพลาดก็ได้
ถึงมีกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนคอยช่วย
มีมินฮีคอยช่วยดูแลอยู่ข้าง ๆก็ใช่ว่าความกังวลจะหายไป
ทว่าในที่สุดก็มาถึงตรงนี้จนได้
แค่เสียดายที่ตะโกนเสียงดังไม่ได้เพราะอยู่ในบริษัท
แต่พนักงานที่ทำงานอยู่ข้างนอกไม่มีทางไม่ได้ยินเสียงตะโกนร้องด้วยความดีใจที่ระเบิดออกมาชั่วขณะนั้น
ไม่มีผู้บริหารกับพนักงานคนไหนไม่รู้ว่าวันนี้มีการเรียกประชุมคณะกรรมการบริษัท
แน่นอนว่าเป็นช่วงเวลาที่ลุ้นระทึกจนแทบไม่กล้าหายใจ
เพราะรู้ว่าการตัดสินใจว่าควรอยู่ฝั่งไหน
ขึ้นอยู่กับว่าผลการประชุมคณะกรรมการจะออกมาเป็นอย่างไร
ดังนั้นจึงไม่มีใครไม่รู้ว่าเสียงตะโกนร้องด้วยความดีใจที่ดังขึ้นมาระหว่างกำลังรอผลลัพธ์หมายความว่าอย่างไร
ก๊อก ก๊อก...
ประตูถูกเปิดออกโดยมีกรรมการผู้จัดการซอนวอนจู
ทีมกลยุทธ์แบรนด์ชะโงกหน้าเข้ามา
ซอนวอนจูที่ได้ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการตอนอายุเกินสี่สิบมานิดหน่อยเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากภายในกรุ๊ปว่ามีความสามารถค่อนข้างสูง
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ด้วยการปีนป่ายอันน่าทึ่งหลังจากเข้าบริษัท
เจ้าตัวจึงได้รับการยกย่องเรื่องการวางตัวที่นำไปสู่การเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วมากกว่าความสามารถของตัวเองเสียอีก
“อ้าว กรรมการผู้จัดการ”
“โอ้...อยู่ที่นี่นี่เอง”
“เอ่อ ครับ...”
ฮยองจุนนึกขึ้นมาได้ว่าข้างนอกอาจจะได้ยินเสียงตะโกนของตัวเองจึงจัดการกับสีหน้า
แต่กรรมการผู้จัดการซอนวอนจูกลับยิ้มด้วยไมตรีจิตแล้วพูด
“ผลการประสานงานสินเชื่อของพนักงานธนาคารชินยองครั้งนี้ได้รับการตอบรับที่ดีเลยมีนัดกินเลี้ยงกัน
ผมเลยอยากรู้ว่ากรรมการผู้จัดการจะเข้าร่วมด้วยไหมน่ะครับ
แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร...”
“ไม่หรอกครับ ผมโอเคครับ”
หลังจากปัญหาระหว่างเขากับรองประธานใหญ่อีเซจุนถูกเปิดเผยต่อภายนอกแล้ว
ไม่ว่าแผนกไหนก็หายากที่จะมีคนพยายามเชิญฮยองจุนไปกินเลี้ยงหรือกินข้าวด้วยกัน
ยิ่งถ้าเป็นคนของรองประธานใหญ่
ต่อให้เดินผ่านหน้าก็คงไม่แลกันด้วยซํ้าทำเหมือนเห็นหมาบ้านคนอื่น
ขนาดคนที่ไม่ทำอย่างนั้นก็ยังเว้นระยะห่างกับเขาเป็นปกติ เพราะกลัวว่าจะโดนหางเลขไปด้วย
เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ดื่มเหล้ากับยองฮุนหรือเพื่อน
ๆ ก็จำไม่ได้แล้วว่าเคยไปกินเลี้ยงกับคนในบริษัท
โดยเฉพาะพนักงานตั้งแต่ระดับหัวหน้าแผนกลงมา
แค่มีคนมาหาตัวเองหลังจากที่ไม่มีมานานก็ดีใจแล้ว
พอชวนไปกินเลี้ยงกับพวกพนักงานอายุน้อย ๆ ฮยองจุนจึงอารมณ์ดีขึ้นมาทันทีจนยิ้มออกมาไม่รู้ตัว
“ฮ่า ๆ! พนักงานต้องชอบใจกันแน่ ๆ ครับ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็โล่งอก...เย็นนี้เหรอครับ”
“ครับ
เดี๋ยวผมแจ้งเวลากับสถานที่ไว้กับเลขาฯนะครับ”
กรรมการผู้จัดการซอนวอนจูพูดทิ้งท้าย หลังจากเขาออกไปได้ไม่นานก็มีคนเปิดประตูเข้ามาอย่างระมัดระวังอีกครั้ง
“กรรมการผู้จัดการ ยินดีด้วยนะครับ~”
น่าประหลาดใจที่เป็นผู้จัดการฝ่ายยูจีฮอน
ฝ่ายสนับสนุนการบริหารจัดการ
เช่นเดียวกับผู้บริหารและพนักงานคนอื่น
อีกฝ่ายเคยเว้นระยะห่างกับฮยองจุนและทักทายผ่านสายตาจากไกล ๆ เท่านั้น
ถึงแม้จะแสดงออกอย่างเรียบง่าย
แต่เขาก็กล่าวแสดงความยินดีพร้อมตายิ้มอันเป็นเอกลักษณ์
ตอนนั้นเองที่เขาตระหนักถึงสาเหตุที่อยู่ ๆ
กรรมการผู้จัดการซอนวอนจูทีมกลยุทธ์แบรนด์เข้ามาชวนไปกินเลี้ยงด้วย
ถ้าเป็นเวลาปกติก็คงจะนึกออกทันทีแต่กลับดีใจมากจนไม่มีสติฉุกคิดเรื่องนั้น
เขาคิดว่าตัวเองเหมือนคนโง่และซื่อบื้อมาก
ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้รู้สึกแย่ขนาดนั้น เพราะเมื่อเห็นผู้คนเริ่มวิ่งเข้ามาต่อแถว
เขาก็รู้สึกได้ว่าผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้คือใคร
แต่ช่วงนี้มินฮีกำชับเขาด้วยเรื่องเดิม ๆ อยู่บ่อย ๆ
ต่อให้ชนะการต่อสู้ครั้งนี้ก็ห้ามทำตัวเย่อหยิ่งเด็ดขาด
โดยเฉพาะการยกตัวอย่างกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนมาบรรยายสรุปให้ฟังทีละอย่าง
ว่าสถานการณ์ไหนเขาแสดงออกและพูดจาอย่างไร
เพราะฟังจนติดหู
ฮยองจุนที่ไม่ได้นิสัยดีขนาดนั้นจึงไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร
ขนาดฟังเสียงบ่นของมินฮียังไม่อารมณ์เสียเลย
เขาลองคิดถึงเหตุผลนั้นเงียบ ๆ
มันไม่ใช่เพราะเธอสวยกว่าผู้หญิงคนอื่นและไม่ใช่การพูดอ้อมค้อมโดยไม่ทำให้รู้สึกแย่ด้วย
แต่มีเพียงเหตุผลเดียว
เพราะมินฮีเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถจนแม้แต่ฮยองจุนก็ยังยอมรับ
จิตใต้สำนึกบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีสิทธิ์บ่นเขาได้
ก็เลยรู้สึกว่าคำบ่นของเธอเปรียบเหมือนการให้คำแนะนำ
“ขอบคุณครับ ผมก็เพิ่งรู้เมื่อกี้นี้เอง
ข่าวเร็วมากเลยนะครับเนี่ย”
“นั่นหมายความว่าการประชุมคณะกรรมการวันนี้สำคัญมากขนาดนั้นไม่ใช่เหรอครับ
ถ้าตอนนี้ได้เป็นประธานกรรมการแล้วก็คงต้องย้ายออกจากที่นี่น่าเสียดายจังครับ
อย่างที่ทราบกันดี ว่าเป็นพนักงานสัญญาจ้างก็ทำได้แค่คอยสังเกตท่าทีของเบื้องบน
ดังนั้นดูเหมือนที่ผ่านมาผมจะไม่ได้ปฏิบัติต่อประธานกรรมการอย่างที่ควรเลยสักครั้งครับ”
แม้คำพูดจะยืดยาว
แต่สุดท้ายฮยองจุนก็เข้าใจความหมายที่ต้องการสื่ออย่างแจ่มแจ้ง
โยนสาเหตุที่ตัวเองแกล้งทำเป็นไม่เห็นเขามาจนถึงตอนนี้กลับไปให้รองประธานใหญ่อีเซจุน
เป็นการแสดงออกเชิงอุปมาว่าอยากจะจงรักภักดีต่อไปในอนาคต
ดีมาก
ถึงแม้จะเป็นคนตรงไปตรงมา
แต่ผู้จัดการฝ่ายยูจีฮอนก็มีความสามารถและได้รับคำชื่นชมที่ดีจากคนรอบตัว จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยได้ยินเลยว่าไปทำเรื่องผิดพลาดที่ไหนมา
ยิ่งไปกว่านั้น
ตอนการประเมินบุคลากรประจำปีครั้งถัดไป หรือถ้าช้าหน่อยก็ครั้งถัด ๆ
ไปก็คงได้เลื่อนขึ้นเป็นระดับกรรมการผู้จัดการใหญ่แน่นอน
ดังนั้นเขาไม่มีเหตุผลที่จะไม่ชอบการเข้าหาแบบนี้ของอีกฝ่าย
“ผมก็กลัวพ่อเหมือนกันครับ
มันเป็นเรื่องปกติ ถ้ามีเวลาว่างไว้ไปทานข้าวด้วยกันนะครับ”
อาจเพราะวางใจเมื่อเห็นฮยองจุนพูดด้วยรอยยิ้ม
ผู้จัดการฝ่ายยูจีฮอนจึงส่งยิ้มบาง ๆ
“ขอบคุณครับ ถ้างั้นผมจะลองหาเวลาดูนะ
ขอแสดงความยินดีกับการรับตำแหน่งประธานกรรมการอีกครั้งครับ”
“ขอบคุณที่มาแสดงความยินดีด้วยตัวเองครับ”
จังหวะที่ผู้จัดการฝ่ายยูจีฮอนเปิดประตูเดินออกไป
ก็มองเห็นเหล่าผู้บริหารกำลังต่อแถวอยู่ข้างนอกเหมือนลูกค้ารอคิวหน้าร้านอาหารแสนอร่อย
“นี่มันอะไรกัน! ตั้งใจทำงานของตัวเองแล้วจริงเหรอ”
พอมาหาประธานใหญ่ชามยองจินที่โดนควบคุมตัวอยู่ในสำนักงานอัยการทนายพัคชานยอลก็ต้องสะดุ้งแล้วถอยหลังหนึ่งก้าว
เพราะอีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะเข้ามาตบบ้องหู
จากนั้นไม่นานก็ตระหนักถึงความผิดพลาดของตัวเอง
จึงเดินเข้าไปใกล้อีกก้าวและโต้แย้ง
“ขอโทษครับ แต่เรื่องนี้ต่างจากเนื้อหาที่เขาเคยคุยกับผม
กรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนสัญญาไว้อย่างชัดเจนว่าจะช่วยด้วยความหวังดี
โดยไม่รวมฮันคยองรีสอร์ตไว้ในเงื่อนไขครับ ผมไม่ได้ฟังเรื่องนี้แค่คนเดียว
แต่หัวหน้าฝ่ายชาฮยองซอกก็ฟังด้วยกันครับ”
“แล้วนี่มันอะไร!”
ประธานใหญ่ชามยองจินโยนโทรศัพท์มือถือของทนายพัคลงบนโต๊ะ
[ขายฮันคยองรีสอร์ตให้เอชเอสการท่องเที่ยวงั้นเหรอ]
[ทีมกลยุทธ์ของเอชเอสการท่องเที่ยวยืนยันรายละเอียดว่ามีการเคลื่อนไหวเพื่อซื้อกิจการฮันคยองรีสอร์ตครับ
มีข่าวลือว่าเชนโฮเต็ลขนาดใหญ่ที่เปลี่ยนชื่อจากฮยอนจินการท่องเที่ยวเป็นเอชเอสการท่องเที่ยว
และเป็นส่วนหนึ่งของเอชเอสกรุ๊ปนี้กำลังประเมินมูลค่าของรีสอร์ตในหลาย ๆ
ด้านเพื่อเจรจาต่อรองราคากับเซยองดีเวลลอปเมนต์
ปัจจุบันยังไม่ทราบว่าเอชเอสการท่องเที่ยวประเมินฮันคยองรีสอร์ตไว้ประมาณเท่าไร
แต่ราคาที่เหมาะสมของฮันคยองรีสอร์ตในตลาดอยู่ที่ประมาณเก้าแสนล้านวอน
ซึ่งคาดการณ์ว่าไม่ใช่จำนวนเงินที่เกินกำลังขนาดนั้นสำหรับเอชเอสการท่องเที่ยวในการเข้าซื้อกิจการครับ
ถ้าหากดีลครั้งยิ่งใหญ่นี้ประสบความสำเร็จ
เอชเอสการท่องเที่ยวจะกลายเป็นผู้นำในวงการธุรกิจการท่องเที่ยวภายในประเทศ...]
ทนายพัคชานยอลไม่เชื่อข่าวนี้ในตอนแรก
จนกระทั่งเขาลองโทร.หาเซยองดีเวลลอปเมนต์
เพราะคิดว่ามันไร้สาระ
แต่หัวหน้าฝ่ายชาฮยองซอกของเซยองดีเวลลอปเมนต์กลับบ่นอู้อี้ราวกับว่าตัวเองถูกหักหลัง
‘ไอ้พวกนี้มันเลวจริง ๆ ปากบอกว่าจะทำให้ฟรี แต่อยู่ดี ๆ ก็บอกว่าเหมือนจะยาก ถ้าไม่เพิ่มสนามกอล์ฟเข้ามาอีกอย่างคงจะลำบาก อย่างกับพวกแก๊งอันธพาลรีดไถ...’
แค่ยกฮันคยองรีสอร์ตให้ก็เป็นเรื่องเหลวไหลแล้ว
แต่เมื่อคิดว่าต้องบอกกับประธานใหญ่ชาว่าต้องขายกระทั่งเซยองซีซีด้วย
ทัศนวิสัยก็มืดมนไปหมด
“อย่างแรกดูเหมือนว่าเอชเอสกรุ๊ปจะเปลี่ยนใจแล้วครับ”
“โอเค ถึงมันจะน่าหงุดหงิด
แต่ยังไงฉันก็คิดจะขายให้อยู่แล้วก็ถือว่าให้ไปแล้วทำไมมันไม่พูดอะไรเลยล่ะ
อย่างน้อยไอ้เวรซงบยองชานอะไรนั่นควรจะบอกสื่อว่าบัญชีนั่นเป็นของปลอมไม่ใช่หรือไง!”
“การซื้อกิจการยังไม่ได้รับการยืนยันครับ
รออีกนิด...”
เพียะ!
ทนายพัคชานยอลรู้สึกเหมือนเห็นดาวระยิบระยับชั่วพริบตา
แม้ความโกรธและอับอายขายหน้าจะเอ่อล้นเหมือนนํ้าทะลัก
แต่ไม่นานก็ตั้งสติพร้อมกับก้มศีรษะ
“ขอโทษครับ”
“แกพูดเป็นแค่นั้นเหรอ
ยังไม่ได้ยืนยันการเข้าซื้อกิจการ? ยังไงหลังจากนี้อัยการมันก็ต้องคอนเฟิร์มอยู่แล้วว่าสมุดบัญชีนั่นเป็นของจริงหรือของปลอมการทำให้สื่อเคลื่อนไหวมันยากขนาดนั้นเลยหรือไง”
“ไม่ใช่ครับ”
อย่างที่อีกฝ่ายพูด ถ้าเผยแพร่เรื่องเสีย ๆ
ของโจชียอนกับสื่อแล้ว ต่อให้การซื้อกิจการผิดพลาด
ก็เป็นไปได้ว่าทางอัยการจะพูดบางอย่างแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นการไม่ยอมเคลื่อนไหวเพราะการซื้อกิจการยังไม่ได้รับการยืนยันจึงกลายเป็นปัญหา
ไม่ใช่ว่าทนายพัคไม่รู้เรื่องนั้น
แต่ปัญหาคือเขาตัดสินใจไม่ได้ว่าจะบอกสาเหตุที่ทำให้เรื่องกลายเป็นแบบนี้ได้หรือไม่
“ถ้างั้นอะไรล่ะ
นี่ฉันฝากงานให้คนปัญญาอ่อนทำหรือไง แทยังทำได้แค่นี้เองเหรอ เฮ้ย ตอบสิ
ให้ฉันโทร.หาอิมจุงซอกตอนนี้เลยไหม”
แม้แต่ชื่อของหัวหน้าทนายความของสำนักงานแทยังก็ออกมาด้วย
เขาจำเป็นต้องเปลี่ยนใจจากตอนแรกที่คิดจะปลอบคร่าว
ๆ แล้วค่อยใช้เวลาตามสืบเบื้องลึกเบื้องหลัง
“ความจริง...”
“ความจริงอะไร”
“หัวหน้าฝ่ายชาฮยองซอกทำตัวแปลก ๆ ครับ”
สุดท้ายก็พูดออกมาจนได้
แน่นอนว่าประธานใหญ่ชามยองจินได้แค่เอียงศีรษะด้วยความสงสัย
“หมายความว่ายังไง”
“ดูเหมือนว่าหัวหน้าฝ่ายชาฮยองซอกจะพยายามขัดขวางการพาท่านประธานใหญ่ออกจากสำนักงานอัยการครับ”
“ดูเหมือน? พูดให้มันชัด
ๆ ซิ”
ทันทีที่อีกฝ่ายทำเหมือนจะง้างมือตบอีกครั้ง
พัคชานยอลก็รีบตอบอย่างรวดเร็ว
“ผมมั่นใจว่าเขากำลังขัดขวางครับ!”
“ไอ้เวรเอ๊ย...พูดอะไรให้มันเข้าท่าหน่อย”
ประธานใหญ่ชาพูดจาหยาบคาย
แต่ปลายนิ้วที่ชี้ไปทางทนายพัคกลับสั่นเล็กน้อย
เพราะรู้ว่าอาจไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว
“ตอนแรกผมแค่คิดว่ามันแปลก ๆ
แต่ยิ่งขุดเข้าไปเรื่อย ๆ
ถ้าไม่ใช่ต้องการขัดขวางการพาตัวท่านประธานใหญ่ออกจากสำนักงานอัยการ
ก็หาเหตุผลอื่นมาอธิบายไม่ได้แล้วครับ”
“ในแง่ไหน”
“ตอนแรกหัวหน้าฝ่ายชาบอกว่าทางเอชเอสกรุ๊ปพยายามทำลายข้อตกลงด้วยการพูดว่าแค่ฮันคยองรีสอร์ตอย่างเดียวไม่พอครับ
ผมก็โกรธเพราะนึกว่าเป็นอย่างนั้น
แต่ตอนนั้นกรรมการผู้จัดการชเวก็โทร.มาบอกว่าจะช่วยโดยที่ไม่เอาฮันคยองรีสอร์ตแล้ว
แต่พอได้ยินคำนั้น หัวหน้าฝ่ายชาก็ตกใจมากครับ”
“แล้วยังไงต่อ”
“แน่นอน
การพูดว่าจะช่วยโดยที่ไม่เอารีสอร์ต มันเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว
ผมเลยโฟกัสแต่การแก้ต่างให้ท่านประธานใหญ่แล้วรอข่าวเกี่ยวกับประธานซงบยองชานที่กำลังจะเผยแพร่ในเร็วนี้...แต่กลับได้ยินเพียงข่าวจากทีบีซีว่าการสัมภาษณ์ประธานซงบยองชานถูกยกเลิกครับ
แล้วหลังจากนั้นไม่นานข่าวนี้ก็ออก
ดูจากสิ่งนี้แล้วผมคิดว่าการทิ้งรีสอร์ตของกรรมการผู้จัดการชเวในตอนนั้น
คงจะไม่ใช่การยอมเสียสละจริง ๆ
แต่บางที...อาจจะเป็นการข่มขู่หัวหน้าฝ่ายชาที่ลังเลไม่ยอมขายรีสอร์ตให้ครับ”
ประธานใหญ่ชามยองจินกุมศีรษะ
พอเห็นอย่างนั้น ทนายพัคจึงพูดต่อทันที
“ไม่ใช่แค่เรื่องนี้เท่านั้น
แต่หัวหน้าฝ่ายชาฮยองซอกไม่ได้พยายามสืบประวัติของโจชียอนตามที่ผมเคยขอไว้อย่างจริงจังด้วยครับ
ผมพยายามจะหาคำตอบให้ชัดเจนมากกว่านี้...”
“พอแล้ว!”
ประธานใหญ่ชาตะโกนพร้อมกับก้มหน้าลงทั้งที่ยังกุมศีรษะอยู่
ไม่อยากจะเชื่อเลย
สติกระจัดกระจายจนหายใจติดขัด
ไม่ใช่ใครที่ไหน
แต่เป็นลูกชายตัวเองที่ถึงขั้นยอมขายรีสอร์ตแล้วพยายามโยนพ่อตัวเองใส่คุกสำนักงานอัยการ
จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องเก่า ๆ ขึ้นมา
ตอนที่เคยบีบลูกชายที่กำลังลังเลให้จนมุม
เพื่อให้เติบโตมาไม่ต่างจากเสือและหมาป่า แต่แล้วความสัมพันธ์ที่แข็งกระด้างนั้นกลับไม่เหลืออะไรเลย
ตอนนั้นประตูห้องสอบสวนก็เปิดออก
โดยมีอัยการคิมซังชอลที่ทำให้รู้สึกขัดหูขัดตาอยู่เสมอเดินเข้ามา
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอารมณ์ที่สุมอยู่ในอก
หรือเป็นเพราะหน้าตาที่คิดว่าอัปลักษณ์ ไม่ว่าจะเห็นหน้ากี่ครั้งถึงได้มองว่าทุเรศมากจนต้องสบถด่าในใจ
“ทานข้าวอิ่มไหมครับ อ้าว เหลือเยอะเลย
ซุปเนื้อวัวของที่นี่อร่อยมากนะทุกคนกินกันเกลี้ยงเลย ไม่ถูกปากเหรอครับ”
อัยการคิมซังชอลดึงถาดซุปเนื้อวัวที่ประธานใหญ่ชากินเหลือไว้มาฝั่งตัวเองก่อนจะโยนเอกสารหนึ่งฉบับไปแทนที่
ทันทีที่สายตาของประธานใหญ่ชาจับจ้องเอกสารนั้น
อัยการคิมซังชอลก็กล่าว
“ความหวังเดียวของท่านประธานใหญ่คือระงับการขยายเวลาควบคุมตัวนี่นาทำยังไงดีล่ะ
จะว่าไปท่านประธานใหญ่แรงเยอะดีนะครับ”
“อะไร”
“คุณลุงที่เคยโดนท่านประธานใหญ่ทำร้ายจนต้องนอนอยู่ในห้องผู้ป่วยตอนนี้ยื่นฟ้องท่านประธานใหญ่ครับ
ไปตกปลาแล้วออกหมัดใส่เจ้าของที่นั่นมาใช่ไหม”
หัวใจของประธานใหญ่ชาหล่นวูบ
มีเพียงฮยองซอกและบอดี้การ์ดของตัวเองเท่านั้นที่รู้เรื่องเกี่ยวกับการทำร้ายเจ้าของเรือประมงที่นั่น
ตอนนั้นก็ยัดเงินเคลียร์เรียบร้อยแล้ว...
“ท่านประธานใหญ่ของเราคงจะโดนคดีทำร้ายร่างกายเพิ่มด้วยสินะ
เพราะฉะนั้นต่อไปก็อย่าเลือกกินนะครับ ทีนี้คงต้องกินซุปเนื้อวัวบ่อย ๆ
แต่ต่อให้ไม่ถูกปากก็โอเคใช่ไหม อายุก็เยอะแล้ว เดี๋ยวร่างกายจะแย่เอานะครับ หึ ๆ
ๆ”
อัยการคิมซังชอลหัวเราะราวกับปีศาจ
บทที่ 234 คนชนะได้ทุกอย่าง (3)
“ขายฮันคยองรีสอร์ตด่วนงั้นเหรอ”
โจชียอนใช้แว่นขยายอ่านหนังสือพิมพ์อยู่สักพัก
ก่อนวางแว่นลงเมื่อเห็นยองฮุนเข้ามา
“มาแล้วเหรอ”
“ครับ ผมต้องขึ้นเครื่องตอนบ่ายเลยรีบมา”
“ขึ้นเครื่อง? ไปทำงานนอกสถานที่หรือไง”
“ครับ
พอดีมีเรื่องที่ต้องไปจัดการที่ประเทศไทยนิดหน่อย”
“ยุ่งน่าดูสินะ อืม
ยังหนุ่มยังแน่นก็ควรจะทำงานให้หนักเข้าไว้ อายุเยอะค่อยเที่ยวเล่นก็ยังไม่สาย
เวลายังมีอีกมาก เดี๋ยวจะกลายเป็นมนุษย์ไร้ประโยชน์”
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับ”
“ฉันพูดเรื่องจริงทั้งนั้น
พอไม่ได้ช่วยเหลือสังคม ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์ เฮ้อ
ถึงจะสงสัยว่าเจ้าหนี้นอกระบบจะช่วยอะไรสังคมได้ แต่ถ้าไม่มีคนอย่างพวกฉัน
พวกเจ้าของกิจการขนาดย่อมก็คงต้องปิดกิจการ”
“ผมทราบครับ”
“อัยการคิมซังชอลติดต่อฉันมา
ไอ้เจ้าฮยองซอกมันให้ข้อมูลอัยการเรื่องคดีทำร้ายร่างกายเพื่อกำจัดพ่อมันสินะ
ถึงขั้นเตรียมใบตรวจสุขภาพแล้วเกลี้ยกล่อมบอดี้การ์ดที่เคยอยู่ข้าง ๆ
ตอนทำร้ายร่างกายมาด้วย หึ ๆ...ทั้ง
ๆที่เห็นไอ้เด็กนั่นพยายามทำทุกอย่างเพื่อจะเอาพ่อตัวเองเข้าคุก
แต่ทำไมหัวใจฉันมันถึงได้โล่งขนาดนี้นะ”
“โล่งอกเหรอครับ”
โจชียอนหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดีและย้อนถาม
“นายเห็นว่าฉันเสียใจเหรอ”
“พูดตามตรงก็ใช่ครับ”
“ถ้านายว่าอย่างนั้นก็คงจริง
แต่ที่ฉันโล่งอกมันก็เป็นความจริงเหมือนกันพอรับสายอัยการคิมซังชอล
ฉันก็รู้สึกเหมือนร่างกายอ่อนแรงแปลก ๆ ตอนนี้มันคงจะถึงเวลาแล้วละ
นายนี่มันเก่งจริง ๆ หลังจากได้เห็นชามยองจินตกนรกทั้งเป็นด้วยตาตัวเอง
ฉันก็ตายตาหลับแล้ว เยี่ยมมาก”
ต่อให้ดูดวงชะตาก็ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าจะตายวันไหนเวลาใด
อย่างไรก็ตาม
ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพราะดูดวงชะตาได้ถูกต้อง
แต่เพราะเจ้าตัวใกล้จะบรรลุความปรารถนาของตัวเองแล้ว จึงรู้สึกหมดแรงเท่านั้น
เนื่องจากการล้างแค้นที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณยามชราดำเนินมาถึงปลายทางแล้ว
หากบอกว่าตอนนี้กำลังเตรียมพร้อมสำหรับความตายก็ไม่ใช่การพูดเกินจริงเลย
“ทุกอย่างยังไม่จบ
อย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องนั้นสิครับ”
“หึ ๆ...ทำไม
กลัวฉันจะตายเร็วเกินไปหรือไง”
“ยังไงก็ควรดูหนังที่ค้างไว้ให้จบก่อนไม่ใช่เหรอครับ”
“ใช่ ฉันต้องดูหนังให้จบ
แต่หลังจากได้รับโทรศัพท์จากอัยการนั่นก็คิดแบบนั้นขึ้นมา
ว่าตอนนี้น่าจะตายตาหลับแล้ว ขอบใจจริง ๆ”
“...”
“โล่งอกที่นายไม่ยกฮันคยองรีสอร์ตหรือเซยองซีซีให้คนอื่นแล้ว”
“ผมว่าจะยกให้ประธานซง
แต่ขนาดมันใหญ่เกินกว่าจะให้ครับ”
“แค่ธนาคารออมทรัพย์ก็เพียงพอแล้วสำหรับบยองชาน
คนอย่างหมอนั่นน่ะถ้าได้ฟรี ๆ แล้วจัดการไม่ได้มันก็ปล่อยทิ้ง
ต้องได้มาด้วยนํ้าพักนํ้าแรงตัวเองถึงจะดูแลดีจนออกดอกออกผล”
“ถูกต้องครับ”
“ฉันมองขาดล่ะสิ”
“ครับ เก่งกว่าหมอดูทั่ว ๆ ไปซะอีก”
“หึ ๆ
ๆ...คนแก่ก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปซะหมดหรอกนะ แล้วจะเอายังไงกับคิมซังชอล
คิดจะเลี้ยงต่อหรือไง ได้ยินมาว่าฝันสูงมากเลยหนิ”
ยองฮุนส่ายหน้านิ่ง ๆ
“เขาไม่ใช่คนก่อปัญหาครับ
แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะเป็นใหญ่ในสำนักงานอัยการเหมือนกัน
ถ้าช่วยดึงเข้าสู่เวทีการเมืองในตำแหน่งที่เหมาะสมก็จะยืนหยัดได้ด้วยความสามารถของเขาเอง
ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องใส่ใจมากครับ”
“ถ้างั้นที่บอกว่าจะช่วยให้ได้ลงเลือกตั้งแบบสัดส่วนก็ไม่ใช่เรื่องโกหกน่ะสิ”
“สัญญาไว้แล้วก็ต้องรักษาสัญญาสิครับ
เพียงแต่ผมไม่ได้ช่วยรับประกันอันดับก็เท่านั้นเอง”
“อ้าว ฮ่า ๆ ๆ! มีคนใจร้ายแบบนี้ด้วยเหรอ ถ้าตกอันดับมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ”
“ผมไม่ได้ตั้งใจทำเรื่องให้ยุ่งยาก
แต่อำนาจของพวกผมมีข้อจำกัดในการให้ความช่วยเหลือครับ ถ้าฝืนผลักดันจริง ๆ
ก็อาจจะดึงอันดับขึ้นได้ แต่มันจะกลายเป็นภาระต่อกรุ๊ปครับ”
“แล้วยังไงต่อ”
“ให้เขาเลือกครับ ว่าจะภาวนาให้การจัดอันดับที่ไม่รู้ผลลัพธ์แน่ชัด
หรือจะลองไต่เต้าขึ้นมาจากการเลือกตั้งเขตที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดดูสักตั้ง”
“นายคิดว่าหมอนั่นจะเลือกอะไร”
ยองฮุนแย้มยิ้ม
“ถึงศักยภาพจะไม่มากพอ
แต่เขาเป็นคนที่มีความกล้าและมุ่งมั่นพอสมควรครับ ถึงได้กล้าสบประมาทประธานใหญ่ชามยองจินของเซยองกรุ๊ป”
“ฉันก็แปลกใจเหมือนกัน
พอดูจากการพูดโดยที่ไม่คำนึงถึงอนาคตแล้วฉันก็ถึงขั้นคิดว่า
‘หมอนี่มันลืมตัวหรือเปล่า’ ด้วยซํ้า”
“ถึงจะมีดวงได้รับราชการ
แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าตอนเลือกตั้งได้เจอกับใครร่วมมือกับใคร
ถึงจะตัดสินว่าได้หรือไม่ได้ครับ”
“ไม่รู้ว่าจะเลือกตั้งชนะหรือไม่ชนะงั้นเหรอ”
“อย่างที่ผมบอกครับ
ถึงจะมีดวงได้รับราชการ
แต่ก็ไม่ใช่คนที่เส้นทางในอนาคตราบรื่นเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ
เพราะฉะนั้นผมเองก็รับประกันไม่ได้เหมือนกันครับ”
โจชียอนพยักหน้าอย่างเสียดายเล็กน้อย
“นั่นสินะ”
“อยากให้อัยการคิมซังชอลไปได้ดีเหรอครับ”
“เอาจริง ๆ ก็ใช่
ถึงฉันจะไม่ไว้ใจแล้วก็เกลียดพวกอัยการมาทั้งชีวิต
แต่ยังไงก็ได้รับความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ก่อนตาย
ฉันเลยอยากให้หมอนั่นได้ยืดไหล่กับเขาบ้างสักหน่อย”
“ผมจะคอยจับตามองอยู่ห่าง ๆ ครับ”
โจชียอนหัวเราะออกมาทันทีเหมือนแค่นั้นก็พอใจแล้ว
เพราะคนอย่างยองฮุนพูดเองว่าจะคอยจับตามองอยู่ห่าง
ๆ ต่อให้ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากก็คงไม่พังทลายหรอก
ท่าทางนั้นทำให้ยองฮุนเอียงศีรษะด้วยความสงสัย
“ทำไมผู้อาวุโสไม่ถามถึงปัญหาของลูกหลานตัวเองเลยล่ะครับ”
“ถามแล้วยังไง นายจะตอบเหรอ”
“ผมบอกปัญหาเรื่องสุขภาพได้ครับ”
“อ้อ...จริงสิ มีเรื่องนั้นด้วยสินะ
ฉันนี่โง่จริง ๆ นึกว่าแค่ยกมรดกมหาศาลให้พวกลูก ๆ ก็เรียบร้อยแล้ว โง่สิ้นดี”
โจชียอนบอกวันเดือนปีเกิดของลูกตัวเองทันที
จากนั้นยองฮุนจึงเขียนสิ่งที่ควรระวังและหลีกเลี่ยงทีละข้อ
ชายชราพับกระดาษแผ่นนั้นเก็บอย่างทะนุถนอม
ก่อนจะแอบถาม
“ไม่มีอย่างอื่นนอกเหนือจากเรื่องสุขภาพเหรอ”
“เรื่องอื่นรู้ไปก็ไม่มีอะไรดีหรอกครับ
แค่เกิดมาพร้อมดวงโชคลาภและปกป้องทรัพย์สินที่มีไว้ได้ ก็ไม่ขาดเหลืออะไรแล้ว
ผู้อาวุโสไม่จำเป็นต้องกังวลเลยครับ”
“อืม ใช่...แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
“ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
ทันทีที่ยองฮุนลุกขึ้น
โจชียอนก็เดินเข้ามาหาและสวมกอดเขาไว้
“ขอบคุณมาก ขอบคุณ...”
“ไม่เป็นไรครับ”
โจชียอนลูบหลังยองฮุนอย่างนั้นพักหนึ่ง
โดซูยอนกัดเล็บตัวเอง
ยิ่งการสอบสวนของอัยการดำเนินต่อไปเท่าไร เธอก็ยิ่งร้อนใจว่าสมุดบัญชีของนักกฎหมายอาจถูกเปิดเผยออกมาได้ทุกเมื่อ
ถึงจะมีแค่ชื่อข้าราชการระดับล่างและนักการเมืองไม่กี่คนถูกเปิดเผยออกมาเท่านั้น
แต่หากมีเรื่องสมุดบัญชีที่เกี่ยวกับนักกฎหมายถูกปล่อยออกมา
เธอก็ไม่กล้าหาญพอจะต้านแรงปะทะ
ประชาชนกำลังแสดงความผิดหวังอย่างมากกับข่าวอื้อฉาวที่เกิดขึ้นกับพรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน
หากชื่อของสามีเธอปรากฏในข่าวละก็...
ชีวิตของ สส.โดซูยอนคงจบลงตรงนี้แน่นอน
ถ้าเป็นประเด็นอื่นก็อาจจะขัดขวางการสืบสวนของอัยการ
หรืออย่างน้อยคงพอตรวจสอบได้ว่ากำลังดำเนินการสืบสวนอย่างไร แต่สำหรับประเด็นนี้ไม่อาจถามได้ง่าย
ๆ
เพราะหากเข้าไปก้าวก่ายทีมสืบสวนแม้เพียงเล็กน้อยก็คงจะโดนกล่าวหาว่าคิดจะแทรกแซงการสืบสวน
“รอนานแล้วเหรอครับ”
ระหว่างที่โดซูยอนกำลังกลัดกลุ้มใจ
สส.ชอนโบยุนก็เดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ
“เปล่าค่ะ”
“ดูเครียดมากเลยนะครับ”
สีหน้ายิ้มแย้มของ สส.ชอนกวนประสาทจนทำให้
สส.โดขมวดคิ้ว
“ส่วนทางท่าน สส.ก็คงจะมีเรื่องดี ๆ
ใช่ไหมคะ ดูเหมือนตอนนี้ยออึยโดจะโดนระเบิดลงนะ แต่ทำไมสีหน้าท่าน
สส.ถึงได้แจ่มใสขนาดนั้นล่ะคะ”
“หือ งั้นเหรอครับ สงสัยผมจะดีใจที่ได้เจอ
สส.โดน่ะ”
สส.ชอนไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นไว้ในใจได้
ว่ากันตามตรง
เมื่อเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้
ต่อให้นอนหลับก็สมควรตื่นขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม
แน่นอนว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าที่สมาชิกในพรรคเดียวกันมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาวในสมุดบัญชีนั่น
แต่ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก เพราะพรรคฝ่ายค้านเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นเดียวกัน
ต่อให้ประชาชนจะเหมารวมว่านักการเมืองเป็นเหมือนกันหมดทุกคน
แต่ไม่ว่าอย่างไรการเลือกตั้งก็ต้องดำเนินต่อไป
ประชาชนจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากลงคะแนนเสียง
สุดท้ายพอเวลาผ่านไปก็จะเหลือแค่นักการเมืองที่ไม่ได้มีชื่ออยู่ในสมุดบัญชีดังนั้นสถานการณ์ครั้งนี้ไม่ได้เลวร้ายไปเสียหมด
นอกจากนี้ยังมีศัตรูที่ยกสองมือยอมแพ้แบบนี้อีกจึงอดยิ้มออกมาไม่ได้
แต่การท้วงติงของ
สส.โดก็ทำให้เขาตระหนักถึงความผิดพลาดของตัวเองจึงควบคุมอารมณ์และจัดการสีหน้าทันที
“คิดจะทำยังไงคะ”
“หมายถึงอะไรครับ”
“ฉันถามว่าจะจัดการสถานการณ์นี้ยังไงคะ
เรื่องนี้เป็นปัญหาที่พรรครัฐบาลและฝ่ายค้านต้องร่วมมือกันข้ามผ่าน
ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะมานั่งชมแม่นํ้าระหว่างข้าม[1] นะคะ”
“ไม่รู้สิครับ
ถ้าผลการสอบสวนของอัยการออกมา
คนทำผิดก็ควรถูกลงโทษส่วนพวกเราที่ไม่ได้เกี่ยวข้องก็แค่มาลองคิดกันว่าจะทำยังไงไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีกก็พอแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
สส.โดซูยอนกัดริมฝีปากขณะมอง
สส.ชอนแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
เมื่อรู้สึกได้ว่าการพูดอ้อมค้อมไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น
เธอจึงกำมือแน่นก่อนจะอ้าปากพูด
“ฉันรู้นะคะว่าคนของพรรครัฐบาลที่สามารถเข้าใกล้การสืบสวนครั้งนี้ได้มากที่สุดคือใคร”
“คนนั้นคือผมเหรอครับ”
“ค่ะ ได้ยินมาว่าเมื่อวานซืนท่าน
สส.เพิ่งดื่มเหล้ากับหัวหน้าทีมสืบสวนอย่างสนิทสนมด้วยนี่คะ”
นักการเมืองดื่มเหล้ากับหัวหน้าทีมสืบสวนผู้รับผิดชอบคดีที่อ่อนไหวแบบนี้งั้นเหรอ
ไม่มีทางดูดีในสายตาคนภายนอกแน่นอน
สส.ชอนโบยุนยอมรับความจริงว่าตัวเองโดนเล่นงานเข้าแล้ว
“รู้ได้ยังไงครับ”
“ถึงร้านเหล้าจะเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยแค่ไหน
แต่หน้าตาของ สส.ชอนก็เป็นที่รู้จักกว้างขวาง ต้องระวังให้มากกว่านี้นะคะ”
สส.ชอนตำหนิตัวเองในใจ
อันที่จริงกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนก็บอกแล้วว่าเวลาที่ต้องการมีตติ้งลับ
ๆ ให้มาใช้โรงแรมตัวเองได้
แต่ปัญหามาจากที่เขาใช้ร้านเหล้าวีไอพีในย่านชองดัมเพราะไม่อยากพึ่งพานักธุรกิจบ่อยนัก
พวกพนักงานที่ร้านเหล้าอาจจะเก็บความลับอย่างรอบคอบ
แต่ดูเหมือนจะมีคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับ
สส.โดอยู่ท่ามกลางบรรดาลูกค้าที่มีเพียงไม่กี่คนในวันนั้นด้วย
แน่นอนว่าหากเขาปฏิเสธ
อีกฝ่ายก็คงจะดึงดันต่อไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐานแต่ถ้าถูกซุบซิบนินทาด้วยข่าวแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไป
“เฮ้อ ให้ตายสิ...ต้องการอะไรครับ”
“จัดการแค่นี้ก็พอแล้วนี่
กรุณาหยุดเพียงเท่านี้เถอะค่ะ”
สส.ชอนฉีกยิ้ม
“ห้ามทำมากกว่านี้? ถ้าถึงขั้นกำหนดไกด์ไลน์มาเรียบร้อยแล้ว
ก็ควรจะบอกเหตุผลด้วยไม่ใช่เหรอครับ”
“หมายถึงให้ฉันยื่นเชือกล่ามคอให้ท่าน
สส.ด้วยตัวเองงั้นเหรอคะ”
“นั่นก็เกินไปหน่อย
แต่จะมาขอให้ยุติการสืบสวนโดยที่ไม่บอกเหตุผลมันสมเหตุสมผลแล้วเหรอครับ”
“ถ้าเรื่องไปไกลเท่าไหร่
ประชาชนก็มีแต่จะยิ่งรังเกียจการเมืองมากขึ้นเท่านั้นค่ะ”
“...”
สส.ชอนโบยุนจ้องเธอนิ่ง ๆ
สส.โดอึดอัดกับสายตานั้นจึงพูดออกมาเหมือนทนไม่ไหว
“ท่าน
สส.จะลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งหน้าใช่ไหมคะ งั้นมาทำข้อตกลงกันดีไหม”
“ว่ามาสิครับ”
สส.ชอนกอดอก
ท่าทางเหมือนบอกว่าไหนลองพูดมา แต่ในใจเขากลับกำลังกระวนกระวายเพราะไพ่ที่เธอถือนั้นค่อนข้างอันตรายสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่เขาเล็งเอาไว้
“ถ้ายอมยุติการสืบสวนสมุดบัญชีที่มีชื่อนักการเมืองไว้แค่นั้น
ฉันจะไม่ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีค่ะ”
“เฮ้อ...คงไม่ได้เสนอเพราะคิดว่าการสละสิทธิ์เป็นคู่แข่งของผมคือไพ่ที่ยอดเยี่ยมใช่ไหมครับ”
“ฟังให้จบก่อนสิคะ
ฉันสละสิทธิ์การลงสมัครประธานาธิบดีครั้งนี้
แต่หลังจากเสร็จสิ้นการเลือกตั้งประธานาธิบดี ฉันจะเป็นประธานพรรคค่ะ
ถ้าช่วยทำให้ฉันเป็นประธานพรรคได้ ฉันจะเก็บเรื่องที่ท่าน
สส.ดื่มเหล้ากับหัวหน้าทีมสืบสวนครั้งนี้ไว้จนวันตายเลยค่ะ”
สส.ชอนโบยุนเอียงศีรษะ
“แล้วคุณล่ะ”
“ฉันจะช่วยให้ท่าน
สส.ได้เป็นประธานาธิบดีไงคะ
เป็นไงบ้างคะถ้าประมาณนี้ก็เป็นไพ่ที่น่าลองเปิดดูไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่ว่าจะเจรจากันไม่ได้นะครับ”
จะเชื่อได้แค่ไหนว่า
สส.ผู้มีอิทธิพลของพรรคฝ่ายค้านจะหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้กัน
เขารู้สึกสงสัยในทีแรก
ก่อนชอบใจที่อีกฝ่ายบอกว่าจะช่วยทำให้เขาได้ตำแหน่งประธานาธิบดี
แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่เจรจากันได้อย่างที่บอกไป
“ไม่ยากเลยค่ะ
ยังไงการสืบสวนตอนนี้ก็ทำให้อัยการเรียกความไว้วางใจจากประชาชนมาได้อีกครั้งอยู่แล้ว
ต่อให้หยุดอยู่แค่นี้ก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอกค่ะในทางกลับกัน
ภายในสำนักงานอัยการก็คงอยากให้ทีมสืบสวนจบเรื่องแบบพอดี ๆนะคะ”
“มั่นใจเหรอครับ”
“ค่ะ ฉันมั่นใจ
พวกเขาคงจะอยากจบเรื่องแบบเงียบ ๆ โดยไม่ทำให้เรื่องมันใหญ่ไปมากกว่านี้ค่ะ”
“รู้ไหมครับว่าคำนั้นมันหมายความว่ายังไง”
“รู้สิคะ บางทีถ้าท่าน
สส.ยอมทำตามที่ฉันบอก อัยการสูงสุดกับพรรคพวกของเขาคงจะทยอยลาออกกันตามลำดับ
เรื่องนั้นฉันจัดการเองค่ะ ถ้าช่วยทำให้มันจบแบบนั้นได้
ทีมสืบสวนตอนนี้น่าจะขอบคุณท่าน สส.เป็นอย่างมากเลยนะคะ”
สส.ชอนโบยุนก้มหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูด
“ผมจะลองคิดดูครับ”
หว่างคิ้วของเธอขมวดแน่น
“จะลองคิดดูงั้นเหรอคะ”
“มันเป็นประเด็นที่หนักเกินกว่าจะตัดสินใจตรงนี้ครับ”
สส.โดข่มกลั้นความหงุดหงิดอย่างสุดความสามารถแล้วย้อนถาม
“จะใช้เวลาคิดถึงเมื่อไหร่คะ”
“พรุ่งนี้เวลานี้จะสรุปให้ฟังครับ”
อันที่จริงไม่มีเหตุผลให้ต้องยื้อเวลาเป็นวัน
แต่เขาตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะยุติการสืบสวนตามที่
สส.โดซูยอนยื่นข้อเสนอมาดีหรือไม่
อย่างน้อยก็ต้องปรึกษากรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนก่อนถึงจะตัดสินใจได้
เพราะชอนโบยุนไม่ต้องการทำอะไรหุนหันพลันแล่นจนต้องห่างเหินกับเอชเอสกรุ๊ป
[1]
ลักษณะการมองเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งผ่าน ๆ
อย่างไม่สนใจเพราะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
บทที่ 235 คนชนะได้ทุกอย่าง (4)
“ไอ้พวกเวรเอ๊ย! สารเลวกันทั้งหมด!”
รองประธานใหญ่อีเซจุนอาละวาดพังข้าวของในห้องทำงานของตัวเอง
ตอนแรกที่เริ่มเสนอให้แต่งตั้งประธานกรรมการในการประชุมคณะกรรมการก็ยังรู้สึกย่ามใจ
ทว่าท้ายที่สุดเมื่อชื่อของฮยองจุนถูกเสนอแล้วมีคนยกมือให้เกินครึ่ง
เขาก็ไม่อาจแยกแยะได้ว่านี่คือความจริงหรือความฝัน
เพราะมันน่าเหลือเชื่อเกินไป
ใคร ๆ
ต่างก็มองว่าตนคือผู้สืบทอดกรุ๊ปโดยชอบธรรม
แต่กลายเป็นว่าเด็กที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันสักหยดกลับถูกเลือกให้เป็นประธานกรรมการของกรุ๊ป
นี่ไม่ใช่เรื่องสมเหตุสมผลเลยสักนิด
พอเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
เขาจึงไม่อยากยอมรับว่าเป็นความจริง
หลังจบการประชุมคณะกรรมการ
เขาเรียกกรรมการที่อยู่ฝั่งตัวเองมารวมตัวและวางแผนหาทางพลิกเกม
อย่างไรก็ตาม
กฎข้อบังคับของบริษัทระบุว่าจะได้รับการแต่งตั้งเมื่อมีผู้เห็นชอบมากกว่าครึ่ง
เพราะฉะนั้นต่อให้ใช้สมองมากแค่ไหนก็ไม่สามารถพลิกมติของที่ประชุมคณะกรรมการได้
หลังจากเวลาผ่านไปก็ตระหนักได้ว่า
สิ่งที่เหลืออยู่ในมือของตนมีเพียงหุ้นของบริษัทเท่านั้น
เนื่องจากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ยังคงมีอิทธิพลต่อบริษัท
ถ้าเห็นช่องโหว่ของอีฮยองจุนแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจดึงบริษัทกลับมาได้อีกครั้ง
ทว่าสิ่งสำคัญคือความพ่ายแพ้ในตอนนี้
ฮยองจุนที่ได้เป็นประธานกรรมการคงจะขยายหุ้นของตัวเองและพยายามหาพันธมิตรมาไว้ข้างตัวมากขึ้น
ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไร
ความเป็นไปได้ในการดึงบริษัทกลับมาก็ยิ่งลดลงเท่านั้น
เท่ากับว่าตอนนี้ตัวเองเป็นแค่พ่อม่ายที่มีแต่เงิน
หากไม่โกรธจนเลือดขึ้นหน้าก็คงแปลก
ทำลายข้าวของไปได้สักพักก็เริ่มหอบจึงพยายามปรับลมหายใจ
ก่อนจะรีบกดโทรศัพท์แล้วโทร.ออก
“ฉันเอง”
“พี่ชาย~ นึกแล้วว่าต้องโทร.มา”
อาจเป็นเพราะชนะสงคราม
นํ้าเสียงของประธานอีเซมินจึงเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
“มาเจอกันหน่อย”
“เอาสิ เจอกันที่บริษัทคงไม่ดี...มีร้านอาหารตรงวังชิมนีที่เคยไปอยู่บ่อย ๆใช่ไหม เจอที่นั่นแล้วกัน”
“ได้”
รองประธานใหญ่อีเซจุนตัดสายและเปิดประตูออกไปอย่างฉุนเฉียว
เหล่าพนักงานที่กำลังวุ่นวายเพราะข่าวใหญ่ที่เกิดขึ้นต่างตัวแข็งเป็นหินและพากันลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
รองประธานใหญ่อีเซจุนพูดกับเลขาฯคนหนึ่ง
“เก็บกวาดข้างในด้วย”
“รับทราบค่ะ”
เลขาฯทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่สุดท้ายก็ปิดปากเงียบ
ตอนแรกเธอตั้งใจจะแจ้งเรื่องพิธีเข้ารับตำแหน่งของประธานกรรมการอีฮยองจุน
แต่คิดว่าถ้าพูดเรื่องนั้นออกมาตอนนี้ อาจจะเป็นการฆ่าตัวตายเลยยั้งตัวเองไว้
แต่รองประธานใหญ่อีเซจุนก็สังเกตได้อยู่ดี
เขาจ้องเลขาฯอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์
ก่อนจะเดินออกจากห้องรองประธานใหญ่
“เฮ้อ...”
เลขาฯหมดแรงทรุดตัวลงบนเก้าอี้
ส่วนพนักงานที่เหลือก็ปล่อยลมหายใจที่กลั้นไว้แล้วนั่งลงเช่นกัน
“หัวหน้าฝ่าย พวกเราจะเป็นยังไงต่อเหรอคะ”
หนึ่งในพนักงานของฝ่ายเลขาฯถามขึ้น
ถ้าเป็นนิสัยเวลาปกติคงจะโดนตำหนิต่อหน้าไปแล้วว่าพูดจาไร้สาระ
แต่พอเห็นการกระทำของรองประธานใหญ่อีเซจุนวันนี้ก็ส่ายศีรษะ
“ไม่รู้สิ”
“พวกเราคงไม่ได้จบแค่นี้ใช่ไหมคะ”
“จะไล่ออกเลยเหรอ รอดูก่อนเถอะ...”
หัวหน้าฝ่ายเลขาฯนั่งลงพลางทำสีหน้าเคร่งขรึม
เพราะรู้ว่าถ้าจะมีใครสักคนในฝ่ายนี้ที่มีโอกาสถูกไล่ออก
ตัวเองก็คือคนที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด
“มาเร็วนะเนี่ย ใครเห็นคงนึกว่ามาตามหาเมียที่กำลังนอกใจ”
ประธานอีเซมินแย้มยิ้มเมื่อเห็นรองประธานใหญ่อีเซจุนมารออยู่ก่อนแล้ว
ดูท่าจะรีบมากทีเดียว
เพราะตั้งแต่ที่อีกฝ่ายติดต่อมาหา เวลาก็ผ่านไปไม่ถึงสามสิบนาทีด้วยซํ้า
ยิ่งกว่านั้น
พอนั่งลงและลองยกกาต้มเหล้าขึ้นมา ก็ดูเหมือนจะดื่มไปครึ่งหนึ่งแล้วด้วย
“ดื่มคนเดียวเหรอ”
“แล้วจะให้ฉันดื่มกับใคร มองสิ
ที่นี่มีใครอยู่ไหม”
“ช็อกน่าดูเลยสินะ หึ ๆ...พี่รู้หรือเปล่า
ตั้งแต่ฉันเกิดมาก็เหมือนจะเพิ่งเคยเห็นพี่ร้อนรนแบบนี้ครั้งแรก
ไม่แน่ใจว่าตอนที่ยังจำความไม่ได้เคยมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นไหม...แต่แปลกตาดี”
“มันคือของขวัญที่นายมอบให้ฉันไม่ใช่หรือไง”
“ฉันซาบซึ้งนะที่พี่พูดแบบนั้น เพราะจริง
ๆ ฮยองจุนมันเอาสปอตไลต์ไปหมด จนเครียดอยู่ว่าจะทำยังไงดีถ้าทุกคนมองข้ามฉัน”
“สนุกไหมล่ะ ฉันแพ้แล้วสนุกไหม”
“ทำไมถามแบบนี้ล่ะ ก่อนหน้านี้พวกเราเพิ่งทะเลาะเหมือนจะฆ่ากันตายนี่นา
ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามพ่ายแพ้ไปแบบนี้ มันก็ต้องสนุกสิ
จะชอบใจแทบตายก็เป็นเรื่องปกติด้วยซํ้า”
รองประธานใหญ่อีเซจุนรินมักกอลลีลงในแก้วตัวเอง
โดยไม่แสดงอาการหวั่นไหวต่อการล้อเลียนของประธานอีเซมิน
ถ้าแกล้งก็ต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบถึงจะแกล้งสนุก
แต่พอฝ่ายตรงข้ามไม่แสดงอารมณ์อะไร
ประธานอีเซมินจึงไม่แกล้งต่อและรับกามารินมักกอลลีใส่แก้วตัวเองเช่นกัน
รองประธานใหญ่อีเซจุนกระดกมักกอลลีรวดเดียวก่อนจะกล่าว
“ฉันเคยคิดไว้ว่าสักวันอาจจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
เคยคิดว่าตัวเองอาจจะแพ้ก็ได้ แต่สุดท้ายก็คิดว่าตัวเองคงชนะ
เพราะมันคือบริษัทที่พ่อสร้างขึ้นมาแล้วยกให้ฉัน ฉันเข้าใจว่านายอาจจะรู้สึกแย่
เพราะนายเองก็เป็นลูกของพ่อเหมือนกัน”
เขาดื่มมักกอลลีที่เหลือในแก้วก่อนจะพูดต่อ
“หลังจากรู้ว่าฮยองจุนค่อย ๆ
ดึงคนไปเป็นพวก ฉันก็คิดขึ้นมาแวบหนึ่งว่าจะขอความช่วยเหลือจากนายดีไหม”
“แต่ก็ไม่ได้ทำหนิ”
“อืม ฉันพลาดเอง
เพราะนึกว่าจะใช้อำนาจตัวเองจัดการฮยองจุนได้แต่อย่าเข้าใจผิดล่ะ
ไม่ใช่เพราะฉันไม่อยากแบ่งมรดกเลยไม่ขอความช่วยเหลือจากนาย
แต่เป็นเพราะฉันไม่อยากให้นายรับรู้ถึงความพ่ายแพ้ของฉัน”
ประธานอีเซมินแค่นหัวเราะ
“หึ! โอเค ตอนนั้นอาจจะเป็นอย่างนั้น
แต่การรับรู้ทุกอย่างแล้วยังเมินคำขอร้องของฉันหลังจากพ่อตาย
มันก็เป็นเพราะความโลภของพี่นั่นแหละ”
รองประธานใหญ่อีเซจุนยอมรับอย่างง่ายดาย
“ใช่ นายพูดถูก
สุดท้ายมรดกของพ่อก็อยู่ในมือฉัน ฉันเลยไม่มั่นใจว่าจำเป็นต้องยกมันให้นายแล้วแบกรับความเสี่ยงหรือเปล่า”
“ต้องแบกรับความเสี่ยงงั้นเหรอ”
“ฉันไม่ไว้ใจนาย
ลองคิดดูสิว่าตอนนั้นน้องสะใภ้เป็นยังไง
จำไม่ได้เหรอว่าเธอเคยไล่ต้อนฉันว่าจะร่วมมือกับฮยองจุน
ถ้าฉันไม่ยอมแบ่งมรดกของพ่อให้ตอนนั้น”
“จำได้สิ คิดว่าเมียฉันไล่ต้อนแต่พี่เหรอ
ฉันก็โดนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นแค่แบ่งก็จบแล้วหนิ เมียก็คงไม่มากวนใจฉันอีก
แล้วก็ไม่ด่าพี่ด้วย”
“มรดกมันไม่ใช่ปัญหา
ถ้านายได้หุ้นแล้วร่วมมือกับฮยองจุนขึ้นมา ฉันก็สูญเงินจนไม่เหลืออะไรเลยน่ะสิ”
ประธานอีเซมินไม่ยอมแพ้แม้จะมีการโต้แย้งของพี่ชาย
“ถึงอย่างนั้นก็ควรจะแบ่งสิ
ต่อให้พี่ทำพลาดแล้วฉันหักหลัง การแบ่งมรดกมันก็ถูกต้องแล้ว ถ้าทำแบบนั้น
อย่างน้อยถึงจะกลายเป็นไอ้โง่ใจอ่อน
แต่ก็คงไม่แพ้ให้กับลูกชายที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันสักหยดหรอก”
“ฉันยอมรับ
ดังนั้นฉันถึงคิดว่ามันคือความผิดพลาดของฉันไง ตอนนั้นถ้ายอมทำตามที่นายขอ
มันคงไม่แย่ขนาดนี้”
“ยังไงก็มีเงินเยอะนี่นา
แค่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายกับทรัพย์สมบัติมากมายนั่นก็น่าจะพอใจแล้ว
เมื่อก่อนเคยพูดไว้หนิ ว่าจะเป็นนักลงทุนระดับโลก ไหน ๆอยู่ตัวคนเดียวแล้ว
เงินก็มีเยอะ ทำไมไม่ตั้งบริษัทลงทุนสักแห่ง แล้วลองผันตัวมาเป็นนักลงทุนแนวหน้าของเอเชียสักครั้งล่ะ”
“ล้อเล่นหรือไง
คำพูดสมัยยังไม่รู้ความนี่จำได้ดีเหลือเกินนะ”
“หึ ๆ ๆ...แล้วอยากพูดอะไรกันแน่
อย่าบอกนะว่าจะมาขอให้ฉันช่วยพี่อีกครั้ง? มันสายไปแล้วน่า”
คำตอบอันเด็ดขาดของน้องชายทำเอารองประธานใหญ่อีเซจุนขมวดคิ้วชั่วขณะ
แต่เขาก็รินมักกอลลีใส่แก้วดื่มก่อนจะพูดด้วยนํ้าเสียงราบเรียบ
“ชินยองเป็นของตระกูลอี มันเป็นของพวกเรา
นายคงไม่คิดว่าฮยองจุนมันจะแบ่งบริษัทนี้กับนายง่าย ๆ หรอกใช่ไหม”
มุมปากข้างหนึ่งของประธานอีเซมินยกขึ้น
“พี่ ฉันไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้นนะ ตอนนี้พี่รอชมอยู่ข้างนอกอย่างเดียวก็พอ”
“ถ้างั้นนายมีแผนเหรอ”
“ยังไงฉันก็ไม่ได้คิดจะแบ่งทรัพย์สินของกรุ๊ปเราให้ฮยองจุนตั้งแต่แรกอยู่แล้วอย่างที่พี่บอก
ชินยองไฟแนนเชียลเป็นของบ้านเรา ทำไมต้องยกให้คนอื่นด้วยล่ะ”
“ฉันจะช่วยเอง”
“เกิดอะไรขึ้นกับพี่เนี่ย”
“นี่ คิดว่าฉันจะขออะไรจากนายหรือไง
แค่หุ้นที่ฉันมีก็หลายแสนล้านแล้ว”
“ไม่อยากเป็นประธานกรุ๊ปงั้นเหรอ”
“ถ้านายไล่ไอ้ฮยองจุนออกไปได้
นายก็เป็นประธานใหญ่ไป ให้ฉันเป็นแค่รองประธานใหญ่ก็พอ แค่นั้นฉันก็พอใจแล้ว”
“จริงเหรอ”
“อืม ฉันถือหุ้น
ส่วนนายเป็นประธานใหญ่...เป็นไง กับความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง
มันจะมีอะไรดีไปมากกว่านี้อีก”
ประธานอีเซมินกอดอกและจมอยู่กับความคิดเงียบ
ๆ
ตนคิดเรื่องไล่ฮยองจุนออกไปตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ก็กำลังกลุ้มใจกับพวกคนสนิทว่าจะไล่หลานนอกไส้ที่ขึ้นมาเป็นประธานกรรมการอย่างไรดี
ถ้าได้ร่วมมือกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของกรุ๊ปที่ดำรงตำแหน่งรองประธานใหญ่เห็นได้ชัดว่าจะมีประโยชน์มากเพราะเส้นสายและอำนาจของอีกฝ่าย
แต่ก็เคยโดนปัดทิ้งไปครั้งหนึ่งแล้ว
“มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องได้รับความช่วยเหลือจากพี่ด้วย”
“ลองคิดดูดี ๆ
ฮยองจุนได้เป็นประธานกรรมการแล้ว มันถือสิทธิ์ในการแต่งตั้งบุคลากรของกรุ๊ป
แล้วก็คงจะแต่งตั้งคนของตัวเองเข้ามารับตำแหน่งสำคัญตามใจชอบ
เราไม่สามารถขัดขวางเรื่องนั้นได้ การโต้กลับควรจะเริ่มหลังจากนั้น
แต่จะทำยังไงล่ะ ฮยองจุนมีเรื่องทุจริตหรือเปล่า”
แน่นอนว่าไม่มี
และรองประธานใหญ่อีเซจุนก็ไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะมีข้อมูลดังกล่าว
เพราะถ้ามีอะไรแบบนั้น
เจ้าตัวคงจะรู้ก่อนและไล่ฮยองจุนออกไปก่อนเปิดประชุมคณะกรรมการแล้ว
“ถ้าลองสืบตอนนี้...”
“ไม่มีอะไรโผล่มาหรอก
นายจะรู้จักไอ้เด็กนั่นดีกว่าฉันหรือไง
ถึงมันจะชอบผู้หญิงมากกว่าเงินจนต้องมาปวดหัวเพราะปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่ไอ้เรื่องเที่ยวรูมซาลอน
เข้าผับหลีหญิง ก็ยังไม่ใหญ่พอให้ดึงมันลงจากตำแหน่งประธานกรรมการได้อยู่แล้ว”
“ใช่...”
“ถ้าเจอปัญหาเรื่องเงินก็คงจัดการได้ทันที
มันโตมาบนกองเงินกองทองถ้าเงินไม่พอก็ใช้บัตรบริษัทหรือบัตรของแม่มัน
แต่ถ้าคิดจะยกประเด็นเรื่องบัตรบริษัทขึ้นมาละก็...”
“พี่ก็จะโดนสินะ”
“ใช่ เพราะเป็นบัตรที่ฉันให้ไว้
ไอ้เด็กนั่นไม่มีจุดอ่อนที่ถึงตายเลย”
“ถ้างั้นพี่มีวิธีเหรอ”
“เล่นงานซึ่ง ๆ หน้าเลยไง
ในการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นครั้งหน้าฉันจะดึงมันลงมา อย่าลืมสิ
ฉันเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของชินยองไฟแนนเชียลกรุ๊ปนะ”
ประธานอีเซมินถามอย่างข้องใจ
“แต่ยังไงประธานกรรมการก็ต้องแต่งตั้งผ่านการประชุมคณะกรรมการอยู่ดีหนิ”
“ดังนั้นฉันกับนายต้องร่วมมือกันโน้มน้าวคณะกรรมการไง
เชื่อฉันสิ”
รองประธานใหญ่อีเซจุนกำหมัดทุบโต๊ะแล้วพูดอย่างมั่นใจ
น้องชายอย่างประธานอีเซมินจึงฉีกยิ้มแล้วพยักหน้า
“โอเค ดี มาลองดูกันสักตั้ง”
“นายคิดถูกแล้ว”
ดูเหมือนความอึดอัดในใจจะค่อย ๆ
คลายลงบ้างแล้ว
รองประธานใหญ่อีเซจุนถึงได้ยิ้มพร้อมกับคีบแพนเค้กต้นหอมซีฟู้ดเข้าปาก
“ที่ดิน? หมายถึงที่ดินผืนนั้นอีกแล้วเหรอคะ”
ยอนฮีขมวดคิ้วย้อนถามหัวหน้าฝ่ายซงอึนจินของห้างสรรพสินค้าแกรนด์ที่ไม่ได้พบกันมานาน
“ใช่ ตรงนั้นแหละ
หรือเธอคิดจะเอามันไปทำอย่างอื่น”
“เปล่า...แต่ก่อนหน้านี้พี่เลิกสนใจไปแล้วนี่นา
ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงอยากได้ที่ดินนั้นอีกล่ะคะ”
“จะอะไรเล่า ก็ภายในบริษัทเปลี่ยนการตัดสินใจน่ะสิ
มันมีกรณีแบบนั้นบ่อยจะตาย บอกว่าจะทำแล้วก็ควํ่าทิ้ง แต่อยู่ ๆ ก็รื้อขึ้นมาใหม่
พวกเธอก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ”
“มันก็ใช่...”
“ลองคิดดูดี ๆ นะ”
หลังแยกกับหัวหน้าฝ่ายซงอึนจิน
ยอนฮีก็ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนอยู่คนเดียวระหว่างกลับบริษัท
เธอได้ยินจากยองฮุนมาประมาณหนึ่งแล้วจึงรู้ว่าการเลือกเขตสายพานอุตสาหกรรมชีวภาพจะกลับไปที่ฮานัมอีกครั้ง
เนื่องจากยองฮุนไม่คิดจะเสริมสร้างการเติบโตของเอชเอสคอนสตรัคชั่นด้วยการก่อสร้างคอนโดมิเนียมเป็นหลัก
จึงไม่มีความโลภในที่ดินผืนนั้น แต่ไม่รู้ทำไมยอนฮีถึงรู้สึกเสียดายถ้าจะขายมันออกไปเฉย
ๆ
“มีเรื่องเครียดอะไรเหรอครับ”
หัวหน้าฝ่ายพัคบยองโฮเข้ามาถามยอนฮีที่มัวแต่ขบคิดเรื่องนี้
ถึงยอนฮีจะมีตำแหน่งตํ่ากว่า
เธอก็เป็นลูกสาวคนเดียวของท่านประธานใหญ่ต่อให้ยอนฮีจะห้ามแล้วว่าไม่ต้องทำแบบนั้น
แต่เขาก็ยังพูดสุภาพกับเธออยู่ดี
“อ๋อ คือว่า...”
ยอนฮีเล่าบทสนทนาที่ได้พูดคุยกับหัวหน้าฝ่ายซงอึนจินให้เขาฟัง
หัวหน้าฝ่ายพัคเองก็รู้ว่าสายพานอุตสาหกรรมชีวภาพจะถูกสร้างขึ้นที่ฮานัมเช่นกัน
“จริง ๆ
พื้นที่ตรงนั้นเหมาะกับการสร้างคอนโดมากที่สุดครับ
ถึงกรรมการผู้จัดการจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ แต่บางทีถ้าเอามาสร้างอะไรสักอย่าง
เขาอาจจะไม่คัดค้านก็ได้นะครับ ดีกว่าปล่อยที่ดินผืนนั้นว่างไว้เฉย ๆ”
“อืม...”
“อยากเอามาทำอย่างอื่นเหรอครับ”
“คือว่า...ว่ากันตามตรง
ตอนนี้พวกเราครองพื้นที่ในธุรกิจแบรนด์เนมได้นิดหน่อยแล้วไม่ใช่เหรอคะ”
“ครับ?”
“Nodri Clare กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วขนาดนี้
จะมีแค่อย่างเดียวมันก็ยังไง ๆ อยู่นะคะ ถึงจะกวาดเงินสดจากจีนมาได้แบบนี้
แต่การสะสมเงินนั้นต่อไปเรื่อย ๆ มันก็เท่านั้น”
“แล้วยังไงต่อครับ”
“พวกเราลองขยายธุรกิจแบรนด์เนมดูสักครั้งดีไหมคะ”
บทที่ 236 เรื่องราวที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ (1)
หัวหน้าฝ่ายพัคบยองโฮ นั่งลงข้าง ๆ และถามอย่างจริงจัง
“อยากขยายยังไงครับ
ดูเหมือนไม่น่าอยากขยายแบรนด์ Nodri Clareต่อ...หรือว่าอยากลองสร้างพรีเมียมเอาต์เล็ตบนที่ดินตรงฮานัมงั้นเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ”
หัวหน้าฝ่ายพัคอึ้งเล็กน้อยกับคำตอบของยอนฮี
“เอ่อ...หมายถึงว่าอยากลองทำธุรกิจจัดจำหน่ายใช่ไหมครับ
แต่ว่าธุรกิจแบบนี้นับวันก็ยิ่งหดตัวลงเรื่อย ๆ ในสถานการณ์ที่แพลตฟอร์มออนไลน์กินรวบทุกอย่าง
ธุรกิจจัดจำหน่ายแบบออฟไลน์...”
“ไม่ใช่แค่จำหน่ายสินค้าธรรมดา ๆ
แต่เป็นการจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมค่ะ”
“ตอนนี้ก็มีเอาต์เล็ตแบรนด์เนมอยู่แล้วนะครับ”
“ถึงจะเรียกว่าเอาต์เล็ตแบรนด์เนม
แต่ก็มีแบรนด์ราคาถูกค่อนข้างเยอะค่ะ
ฉันอยากทำเอาต์เล็ตที่รวบรวมเฉพาะแบรนด์เนมราคาสูง
เป็นสถานที่ที่อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับวีวีไอพีของห้างเท่านั้นถึงจะเข้ามาได้อย่างมั่นใจ”
คำตอบของยอนฮีทำให้หัวหน้าฝ่ายพัคบยองโฮจับทางไม่ถูกไปชั่วขณะ
“สถานที่ที่เข้ามาได้อย่างมั่นใจมันหมายความว่าอะไรเหรอครับ”
“ก่อนอื่น
ฉันขอพูดก่อนว่าฉันไม่ใช่คนแบบนั้นนะคะ แต่คนรวย ๆ
บางคนเขาอาจจะไม่อยากอยู่กับคนที่ไม่ได้มี...”
เมื่อเห็นว่าเธออธิบายลำบาก
หัวหน้าฝ่ายพัคจึงช่วยตอบให้อย่างสบาย ๆ
“หมายถึงไม่อยากอยู่ร่วมกับคนจนใช่ไหมครับ”
ยอนฮียิ้มสีหน้าประดักประเดิด
“ใช่ค่ะ
อีกอย่างสิ่งที่คนเหล่านั้นหลงใหลก็คือคอนเน็กชัน
สิ่งที่ฉันคิดมันไม่ใช่แค่เอาต์เล็ตที่รวมเฉพาะช็อปแบรนด์เนมอย่างเดียว
แต่เป็นการพบปะสังสรรค์ผ่านโปรแกรมต่าง ๆ รวมถึงการจัดแฟชั่นโชว์ทุกซีซั่นด้วยค่ะ”
“อ๋อ...สร้างให้คนมารวมตัวกันสินะครับ”
“ถูกต้องค่ะ ยังไงป้า ๆ
พวกนั้นก็เบื่อกับการอยู่แต่ในบ้าน อยากออกมาเมาท์มอยข้างนอก
แต่สถานที่ที่ไปก็มีแต่ที่เดิม ๆ คนที่เจอก็คนเดิม ๆ ตลอดเหมือนกันค่ะ
ฉันอยากสร้างพื้นที่ให้แตกต่างเล็กน้อย อยากช็อปก็ช็อป
แล้วจัดงานพบปะสังสรรค์ที่เหมาะสมกับคุณภาพของสินค้าแบรนด์เนม
อาจจะเชิญดีไซเนอร์ที่เป็นผู้นำแฟชั่นมาด้วยก็ได้ค่ะ”
“สเกลค่อนข้างใหญ่เลยนะครับ”
หัวหน้าฝ่ายพัคบยองโฮกะพริบตาปริบ ๆ
ตอนแรกเห็นพูดถึงเรื่องแบรนด์เนมเลยคิดว่าคงจะเปิดช็อปขนาดพอเหมาะสักแห่งก็พอแล้ว
แต่ก็ต้องตกใจกับคำว่าเอาต์เล็ตแบรนด์เนม
และยิ่งตกใจกว่าเดิมเมื่อสเกลมันใหญ่กว่านั้น
“ใช่ไหมล่ะคะ
แต่ถ้ามองแค่ตัวธุรกิจอย่างเดียว มันน่าจะยากนิดหน่อยหรือเปล่าคะ”
“ไม่รู้สิครับ เพราะมันเป็นธุรกิจที่ผมไม่เคยนึกถึงมาก่อน
เลยเดาไม่ออกว่ามันจะต้องลงทุนเท่าไหร่ แล้วจะสร้างยอดขายยังไง
เดี๋ยวลองให้ฝ่ายวางแผนและประสานงานวิเคราะห์ดูก่อนดีกว่าครับ”
“ดูเหมือนฉันจะทำให้ทุกคนต้องลำบากกัน
ขอโทษด้วยนะคะ”
“พูดอะไรแบบนั้นละครับ
มันเป็นงานของบริษัทนี่นา จริง ๆ
ที่ดินผืนนั้นมันกลายเป็นพื้นที่ที่มีมูลค่าพอสมควร จะปล่อยร้างไว้ก็ยังไง ๆ อยู่
ถ้ามีไอเดียทางธุรกิจที่โอเค การนำมันมาพิจารณาก็เป็นหน้าที่ของพวกเราครับ
อีกอย่างถึงตอนนี้จะมีเอาต์เล็ตแบรนด์เนมแล้ว
แต่ไอเดียของคุณหนูก็เหนือขึ้นไปอีกระดับ ฟังดูเข้าท่าอยู่นะครับ”
“ถ้างั้นก็โล่งอกไปทีค่ะ”
ยอนฮียิ้มกว้างก่อนจะรีบกดโทรศัพท์โทร.ออก
“พี่ ฉันเองค่ะ ขอโทษทีนะ ฉันลองถามดูแล้ว
แต่เห็นว่าช่วงนี้ไม่มีแพลนจะขายที่ดินผืนนั้น
ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนยังไงจะติดต่อไปนะคะ~”
หลังจากวางสายก็กล่าวกับหัวหน้าฝ่ายพัค
“พวกเรามาทำให้เต็มที่กันเถอะค่ะ
ให้ฉันทำอะไรก่อนดีคะ”
เพราะคิดว่านี่คือธุรกิจแรกที่ตัวเองเป็นคนนำทัพก็เลยตื่นเต้นเป็นพิเศษยอนฮีจึงลุกพรวดขึ้นด้วยใบหน้าที่แดงขึ้นเล็กน้อย
ทันทีที่มาถึงประเทศไทย ยองฮุนก็ต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะฝนตกหนักมาก
“ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้อากาศจะเป็นแบบนี้
แต่คนจะเที่ยวมันก็เที่ยวกันนั่นแหละ เท่าที่หาข้อมูลมาเห็นว่าตอนนี้หน้าฝนนะ
ระหว่างที่อยู่ที่นี่ คงต้องเจอฝนนิดหน่อย”
กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนพยายามพูดสร้างความผ่อนคลาย
“มันไม่ได้ดูเหมือนตกนิดหน่อยเลยนะครับ”
“ไม่เป็นไรน่า ตกแบบนี้อีกแป๊บเดียวก็หยุดแล้ว”
แต่ถึงแม้ว่าจะนั่งแท็กซี่มาถึงโรงแรมเพื่อเช็กอินและเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว
ฝนที่กระหนํ่าก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย
ยองฮุนมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้ากังวลก่อนจะถาม
“ฝนตกไม่หยุดแบบนั้นก็ยังจะจัดปาร์ตี้เหรอครับ”
“แหงสิ แน่นอนอยู่แล้ว มันไม่ใช่ปาร์ตี้ธรรมดา
ๆ แต่เป็นงานเลี้ยงฉลองหลังจบการประชุมเรื่องพลังงานทดแทนเลยนะ
คนที่มีอำนาจสูงสุดในโครงการนี้อย่างอุดมจะยอมพลาดโอกาสดี ๆ แบบนั้นหรือไงล่ะ
บางทีตอนนี้เขาอาจวางแผนสูบเงินจากพวกเราหลายร้อยล้านเลยด้วยซํ้า
แค่เฉพาะในงานเลี้ยงครั้งนี้เท่านั้นนะไม่รวมที่อาจจะต้องจ่ายในอนาคต”
“เขาจะคิดไปถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“ฉันมั่นใจว่ามันจะมากกว่านั้น
ยังไงตอนนี้ก็ไม่สำคัญแล้วว่าใครจะมารับช่วงต่อโครงการ
เพราะแค่จัดการกับก๊าซธรรมชาติที่ขุดออกมาแล้วให้ดีก็พอถ้างั้นมันจะเหลืออะไรล่ะ
ใครจะให้รีเบต[1] กับเขามากกว่ากันไม่ใช่หรือไง”
“ถึงจะมาทั้ง ๆ
ที่รู้เรื่องนั้นอยู่แล้วก็เถอะ...”
“ทั้งหมดก็แค่นั้นแหละ
ในประเทศเราพวกคนรวยจะมีชีวิตที่ดีกว่าคนธรรมดาใช่ไหมล่ะ ที่ประเทศไทยก็ไม่ต่างกัน
เพราะถ้ามีเงินมากก็ใช้ชีวิตสุขสบายไปทั้งชาติ ยิ่งมีเงินเยอะเท่าไหร่
ก็ยิ่งทำตามใจตัวเองได้มากเท่านั้น”
“ถ้างั้นเตรียมตัวพร้อมแล้วใช่ไหมครับ”
“ใช่ ไปกันเถอะ”
ทั้งสองคนเรียกรถลิมูซีนเพื่อเดินทางไปโรงแรม
จุดหมายปลายทางก็คือโรงแรมหรูแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ
ห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมแน่นขนัดไปด้วยผู้คนมากมายจนแทบจะไม่มีที่ว่างให้แทรกตัวเข้าไป
ถ้าหากคิดจะตามหาอุดมผู้เป็นตัวเอกของวันนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับงมเข็มบนหาดทราย
“ปกติคนเยอะขนาดนี้เลยเหรอครับ”
“ไม่รู้สิ ฉันก็เพิ่งเคยเห็นสถานการณ์แบบนี้ครั้งแรกเหมือนกัน
เอ๊ะนั่นอะไรน่ะ”
เมื่อมองตามนิ้วของกรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนก็เห็นป้ายโฆษณาที่มีรูปถ่ายเต็มตัวของผู้ชายที่ดูเหมือนจะเป็นดาราตั้งอยู่
“ท่าทางจะมีดารามาร่วมงานด้วยนะ
ไม่ใช่ดาราประเทศเราใช่ไหมครับ”
“อืม ดูแล้วไม่น่าใช่
พวกเราเลือกวันผิดหรือไงเนี่ย แต่ก็ช่วยไม่ได้
ไม่ได้มีการประชุมพลังงานกันทุกวันนี่นา เฮ้อ ดวงซวยจริง ๆ”
“นั่นสิครับ ยังไงก็ลองหาดูก่อนเถอะ”
ทั้งสองคนเริ่มตามหาชายที่ชื่ออุดมท่ามกลางผู้คนมากมาย
ถึงจะรู้จักรูปพรรณสัณฐานของอีกฝ่ายผ่านรูปภาพและวิดีโอแล้ว
แต่พอเอาเข้าจริง ๆ
การตามหาท่ามกลางผู้คนที่เดินขวักไขว่เช่นนี้ก็เป็นเรื่องยากมาก...
“อ้าว อยู่นั่นไง”
ทว่ากลับหาเจอง่ายกว่าที่คิด
เพราะกลุ่มบอดี้การ์ด (?)
ที่สวมสูทสีดำยืนห้อมล้อมรอบตัวค่อนข้างเด่นสะดุดตา
“เข้าไปกันครับ”
อุดมกำลังพูดคุยกับสาวสวยชาวต่างชาติ
เธอยิ้มขณะสัมผัสหน้าอกและต้นแขนของอุดม
ราวกับตั้งใจจะทำให้เขาเป็นของเธอในคืนนี้
คำพูดแรกของกรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนที่เห็นภาพนั้นจึงเป็นแบบนี้
“โอ้โฮ...ท่าจะยากแฮะ”
แม้ว่าเงินจะสำคัญที่สุดในโลก
แต่ถ้าจะมีสิ่งล่อใจที่แข็งแกร่งกว่าเงินสิ่งนั้นก็คงเป็นผู้หญิง
อย่างไรก็ตาม
ยองฮุนก็เดินเข้าไปหาโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ก่อนจะยื่นมือออกไปพร้อมทักทายด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษฟังดูแปร่ง ๆ เล็กน้อย
“สวัสดีครับ ผมชเวยองฮุน จากเอชเอสกรุ๊ป
ประเทศเกาหลีใต้ครับ”
“เอชเอสกรุ๊ป...”
“ท่านอุดมคงจะทราบแล้วว่าพวกเราทำข้อตกลงร่วมกับบริษัทนํ้ามันแห่งชาติของเกาหลี
เพื่อเข้าร่วมโครงการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติของประเทศไทยครับ”
“อ๋อ...อย่างนั้นสินะครับ”
สีหน้าบ่งบอกว่างุนงง
ฝ่ายโครงการพิเศษของเอชเอสการผลิตส่งเอกสารทางการเกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติไปเรียบร้อยแล้ว
แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ได้รับ
กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนรีบเข้ามายืนข้าง
ๆ อย่างรวดเร็วและเริ่มอธิบายเหมือนพลาดโอกาสนี้ไม่ได้
“เกาหลีใต้มีการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติจากเมียนมาและอ่าวทะเลตะวันออกอยู่แล้วครับ
จริงอยู่ว่าพวกเรายังไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับบริษัทชั้นนำอื่น ๆ
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็มีความชำนาญเพียงพอ
และเหนือสิ่งอื่นใดคือราคาย่อมเยากว่าบริษัทอื่น...”
ระหว่างที่กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนกำลังจะอธิบายต่อ
หญิงสาวชาวต่างชาติที่ยืนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ข้าง ๆ ก็แทรกขึ้นมา
“แหล่งก๊าซธรรมชาติเมียนมาไม่ใช่ของบริษัทคุณ
แต่เป็นของบริษัทอื่นไม่ใช่เหรอคะ พูดอย่างกับเป็นโครงการของตัวเอง
คิดจะหลอกท่านอุดมหรือไงคะ”
เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่มายืนด้วยกันเพื่อเป็นแค่เพื่อนคุยจริง
ๆ ด้วย
กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนเองก็ไม่ได้หวั่นไหวและสวนกลับเหมือนจะถามว่าแล้วเรื่องนั้นมันทำไม
“นั่นเป็นคำถามที่ดีมากครับ
ผมพูดถึงเรื่องเมียนมาเพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าเกาหลีใต้ขาดความชำนาญ
นอกจากนี้บริษัทนํ้ามันแห่งชาติของเกาหลีที่ทำกิจการค้าร่วมกับพวกเรา
ก็เป็นบริษัทที่มีประสบการณ์อันยอดเยี่ยมเกี่ยวกับการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติจากอ่าวทะเลตะวันออก
ดังนั้นจึงไม่ได้มีความแตกต่างจากบริษัทที่กำลังขุดเจาะแหล่งก๊าซธรรมชาติในเมียนมามากนัก
ขอโทษนะครับคุณมาจากบริษัทไหนเหรอครับ”
“...”
เธอหันหน้าไปทางอื่นโดยไม่ตอบคำถาม
อาจจะไม่พอใจที่พวกเขาไปทำให้เธอไม่สบายใจ
อุดมจึงกล่าวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
“ผมเข้าใจครับ
แต่ดูเหมือนว่าการพูดคุยเกี่ยวกับหัวข้อจริงจังแบบนั้นจะไม่เหมาะกับสถานการณ์นี้นะครับ”
“โอเคครับ
ถ้างั้นเป็นมื้อกลางวันพรุ่งนี้ได้ไหมครับ”
พออุดมทำหน้าหนักใจ
หญิงสาวที่ไม่ทราบชื่อก็แทรกขึ้นมาอีกครั้ง
“ขอโทษค่ะ แต่พรุ่งนี้ท่านอุดมมีนัดกับพวกฉันแล้ว
เสียใจด้วย แต่ฉันแนะนำว่าคราวหน้าคุณควรนัดหมายก่อนมาประเทศไทยนะคะ”
คราวนี้กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนทำหน้าผิดหวังเหมือนหมดหนทาง
แต่ยองฮุนกลับแย้มยิ้มแล้วอ้าปากพูดด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษแปร่ง
ๆเช่นเดิม
“อย่างนี้นี่เอง แล้วคืนนี้ล่ะครับ ขอเวลาสักครู่หลังจากจบงานเลี้ยงก็ได้ครับ”
อุดมโบกมือเหมือนจะบอกว่าไม่ได้
“ขอโทษทีครับ
คืนนี้ผมก็มีนัดแล้วเหมือนกัน”
“อ๋อ งั้นเหรอครับ
ท่านคงไม่ได้ใช้เวลากับสาวสวยที่แต่งงานแล้วคนนี้ก็แสดงว่ามีนัดสำคัญอื่นสินะครับ”
ถึงจะตะกุกตะกัก
แต่ยองฮุนที่ตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษมาเป็นปี ๆ
ก็พูดด้วยไวยากรณ์ที่สื่อความหมายได้อย่างชัดเจน ซึ่งในทางกลับกัน
ปัญหาก็คือมันชัดเจนมากจนไม่มีทางไม่เข้าใจความหมาย
“ว่ายังไงนะครับ”
“คะ...คุณ! พูดอะไรน่ะ!”
ยองฮุนจึงรีบพูดพลางโบกมือ
“อ้อ ขอโทษครับ คุณอาจจะหย่าแล้วก็ได้
สงสัยผมจะเข้าใจผิดสินะครับ”
หญิงสาวต่างชาติโกรธจนขึ้นเสียงใส่
“คุณรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร”
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นใคร
ทว่าเธอมีหางตาเรียวบาง เปลือกตาหนา
จึงเป็นโหงวเฮ้งที่ชอบเข้าหาผู้ชายและมีผู้ชายติดพันเยอะด้วยเช่นกัน
เรียกได้ว่าแค่มองโหงวเฮ้งก็แสดงดวงดอกท้อออกมาเต็มเปี่ยมแล้ว
ผู้หญิงคนนี้หน้าผากแคบและโหนกคิ้วตํ่า
ช่วงวัยเด็กคงจะดวงไม่ค่อยดีนักถึงแม้จะเป็นชาวตะวันตกก็มีปากเล็กและโหนกแก้มชัด
บางทีในช่วงวัยรุ่นอาจจะเคยแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่งก็ได้
“ขอโทษครับ ผมคงเข้าใจผิดไปเอง
แต่ดูจากปฏิกิริยาแล้ว ท่าทางจะแต่งงานมาแล้วจริง ๆ ใช่ไหมครับ”
ถ้าที่นี่คือประเทศเกาหลีก็คงจะเรียกตำรวจมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้แต่ตรงนี้เป็นสถานการณ์ที่แปลกประหลาด
การเรียกตำรวจมาเพราะแค่ถามว่าแต่งงานแล้วหรือยังมันไม่ใช่เรื่องนอกจากนี้ถ้าบอกว่าคนละสัญชาติจึงมีความแตกต่างทางวัฒนธรรม
ตำรวจก็ไม่สามารถว่ากล่าวตักเตือนอะไรได้
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น
ปัญหาใหญ่คือการพูดต่อหน้าผู้ชายที่เธอกำลังพยายามจีบอยู่
หลังจากพูดถึงคำว่าแต่งงาน
เธอก็รับรู้ได้ว่าสีหน้าของอุดมเคร่งเครียดขึ้น
“พอเถอะครับ ถือว่าเห็นแก่หน้าผมก็ได้”
“ขอโทษทีครับ ผมแค่เกรงว่าท่านอุดมอาจจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาว...”
อุดมมองยองฮุนด้วยสายตาแปลก ๆ
ก่อนจะเรียกบอดี้การ์ดของตัวเองเข้ามา
จากนั้นก็รับกระดาษโน้ตหนึ่งแผ่นมาส่งให้ยองฮุน
“รบกวนติดต่อมาทางนี้นะครับ”
อาจเป็นเพราะอารมณ์เสีย
อีกฝ่ายจึงไม่พูดอะไรต่อและหันหลังเดินหน้าตึงออกไปพร้อมกับเหล่าบอดี้การ์ด
ในจังหวะที่ยองฮุนเก็บกระดาษโน้ตแผ่นนั้นใส่กระเป๋าด้านในสูทอย่างระมัดระวัง
อยู่ ๆ หญิงสาวคนนั้นก็ตบหน้ายองฮุนอย่างกะทันหัน
เพียะ!
“กรรมการผู้จัดการ!”
กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนตื่นตระหนกตกใจมาก
รีบดูทันทีว่าแก้มของยองฮุนเป็นอะไรหรือไม่
นี่มันสถานการณ์บ้าบออะไรกัน
ถ้าหากสำนักงานใหญ่รู้ว่าแก้มของผู้มีอำนาจสูงสุดในกรุ๊ปอย่างลูกเขยสุดที่รักของท่านประธานใหญ่
ถูกหญิงสาวต่างชาติที่ไม่รู้ว่าเป็นใครด้วยซํ้าตบเข้าระหว่างมาทำงานนอกสถานที่ในประเทศไทยขึ้นมา...แค่คิดก็อนาคตมืดมนแล้ว
“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร”
ทว่ายองฮุนกลับหัวเราะขณะลูบแก้มที่เริ่มแดงขึ้น
ก่อนจะพูดกับหญิงสาวที่ฟึดฟัดเพราะระงับความโกรธไม่อยู่
“เคยแต่งงานแล้วจริง ๆ ด้วยสินะ”
“...”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ
เมื่อกี้อาจจะได้ยินมาแล้ว ผมชเวยองฮุนจากเอชเอสกรุ๊ปครับ คุณมาจากที่ไหนเหรอครับ”
“ทำไมฉันต้องบอกด้วยคะ”
“อย่างน้อยก็ควรทราบชื่อก่อน
คราวหน้าผมจะได้ไม่พูดจาให้ร้ายแบบนี้อีกไงครับ”
“หึ! หมายความว่าถ้าบอกชื่อเสียงเรียงนาม
คุณจะยอมเล่นแบบแฟร์เพลย์งั้นเหรอคะ”
“อาจจะเป็นไปได้นะครับ
เพราะเกาหลีเป็นประเทศขงจื๊อ”
เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจับมือยองฮุนแล้วตอบ
“เอลิชา เลคกี ค่ะ จากซีอาร์”
“เจ้าหน้าที่ระดับสูงเหรอครับ”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ”
“อืม...อย่างนั้นสินะ ผมเข้าใจแล้วครับ
ไว้คราวหน้ามาทักทายกันดี ๆสักครั้งนะครับ”
“ไม่โกรธเหรอคะที่โดนตบ”
“โดนตบครั้งเดียวแล้วได้เบอร์ติดต่อของท่านอุดมมา
ก็กำไรอยู่ไม่ใช่เหรอครับ
แถมยังผลักคู่แข่งคนสำคัญที่เตรียมตัวมาอย่างดีได้อีกด้วย...”
“ชื่อชเวยองฮุนใช่ไหมคะ ฉันจะจำไว้ค่ะ”
เอลิชาจ้องยองฮุนเขม็งและหมุนตัวเดินออกจากห้องจัดเลี้ยง
กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนจึงเอ่ยถามพร้อมกับสำรวจว่าแก้มของยองฮุนโอเคหรือไม่
“ว่าแต่รู้ได้ยังไงว่าผู้หญิงคนนั้นแต่งงานแล้ว”
“มองแล้วให้ความรู้สึกเหมือนผู้หญิงที่แต่งงานแล้วน่ะครับ”
“สวย ๆ แบบนั้นเนี่ยนะ มองจากตรงไหน
แล้วถ้าไม่ใช่ขึ้นมาจะทำยังไง”
“ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิครับ
แต่จนถึงที่สุดแล้วก็ไม่ยอมพูดอยู่ดีว่าแต่งงานแล้วจริงหรือเปล่า ก็แสดงว่าจริงไม่ใช่เหรอครับ”
ยองฮุนลูบแก้มพร้อมรอยยิ้ม
กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนจึงมองเขาเหมือนเป็นสัตว์ประหลาด
[1]
รีเบต (Rebate) หมายถึง ส่วนลดหรือเงินคืนที่จะได้รับเมื่อบรรลุข้อตกลงระหว่างสองฝ่าย
บทที่ 237 เรื่องราวที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ (2)
หลังจากนั้น การเข้าพบอุดมก็ไม่ใช่เรื่องยาก
อีกฝ่ายไม่ได้ให้เบอร์ติดต่อปลอม ๆ
แล้วส่งคนอื่นมาแทนตัวเอง และไม่ได้ถ่วงเวลาด้วยการบอกว่าไว้เจอกันวันหลัง
ทันทีที่กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนติดต่อมา
อุดมก็นัดเจอที่ห้องสวีตชั้นแปดของโรงแรมนั้น
แยกกันที่ห้องจัดเลี้ยงยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดีก็มาพบกันเป็นการส่วนตัวได้แล้ว
แน่นอนว่าถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้นัดเจอพวกยองฮุนด้วยท่าทีที่เป็นมิตรเท่าไรนัก
แค่ดูจากปากที่ยื่นออกมาตอนนี้ก็รู้แล้วว่าอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบครับ”
ยองฮุนโค้งศีรษะอย่างสุภาพก่อนจะยื่นมือออกไป
อุดมจับมือส่ง ๆ เหมือนหงุดหงิดแล้วนำทางไปที่โซฟา
“เห็นว่าอยากเจอผม
มีเรื่องอะไรก็ลองพูดมาครับ”
หมายความว่าถึงจะยอมมาเจอ แต่ถ้าพูดอะไรไร้สาระก็อาจจะไม่เกิดประโยชน์
ยองฮุนจึงกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าใจ
“เมื่อครู่นี้ถึงผมจะเสียมารยาทไปหน่อย
แต่ก็เพิ่งให้ความช่วยเหลือท่านมานะครับ เย็นชาเกินไปหรือเปล่า”
“ผมซาบซึ้งมากกับการช่วยรักษาชื่อเสียงที่เกือบจะเสื่อมเสียของผมถ้าไม่ใช่เพราะเหตุการณ์นั้น
ผมก็คงไม่ยอมพบกับพวกคุณเป็นการส่วนตัว แต่ถ้าเห็นแก่ผมจริง ๆ
คุณควรจะบอกผมแบบไม่กระโตกกระตากนะครับ”
“ขออภัยสำหรับเรื่องนั้นครับ
ผมใจร้อนจนทำเสียเรื่องเอง”
ถึงจะรู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดพลาด
แต่ตั้งใจแกล้งผู้หญิงคนนั้น
อุดมก็ไม่อยากฟื้นฝอยหาตะเข็บกับเรื่องราวที่ผ่านไปแล้ว
“มันผ่านไปแล้วก็ช่างเถอะ
สรุปก็คือเอชเอสกรุ๊ปร่วมมือกับบริษัทนํ้ามันแห่งชาติของเกาหลี
เพื่อเข้าร่วมโครงการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ”
“ขอโทษนะครับ แต่มันน่าจะยาก”
คำปฏิเสธที่ปัดทิ้งทันทีโดยไม่ถามเหตุผล
ทำให้กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนต้องเข้ามาแทรก
“ท่านลองฟังเงื่อนไขของเราก่อนดีไหมครับ”
“ไม่เกี่ยวกับว่าเงื่อนไขของพวกคุณคืออะไร
เพราะนี่เป็นเรื่องที่ตัดสินใจเรียบร้อยแล้วครับ”
“เดี๋ยว...”
เมื่อกรรมการผู้จัดการโกรู้สึกพูดไม่ออก
ยองฮุนจึงออกหน้า
“หรือว่าถูกตัดสินใจจากส่วนที่อำนาจของท่านอุดมเข้าไม่ถึงเหรอครับ”
“ไม่พอใจสินะ”
“ขอโทษครับ
แต่ผมแค่คิดว่าบางทีพวกผมอาจจะช่วยท่านอุดมได้...”
“ฮ่า ๆ ๆ! คุณจะช่วยผมได้งั้นเหรอ”
“เพราะผมเป็นต่างชาติก็เลยคิดว่าผมช่วยท่านไม่ได้เหรอครับ”
คำพูดของยองฮุนทำให้กรรมการผู้จัดการโกเสริมเพื่ออธิบายให้เข้าใจ
“ไม่ว่าจะที่เกาหลีหรือไทยก็ล้วนมีผู้คนหลายชนชั้นอาศัยอยู่ทั้งนั้นครับซึ่งเอชเอสกรุ๊ปมีการทำธุรกิจการค้าขนาดใหญ่มากกับทั่วโลก
ทำให้มีคอนเน็กชันกับตัวช่วยไว้อำนวยความสะดวกเยอะเช่นกัน
ถ้าท่านอุดมมีเรื่องที่ต้องการความช่วยเหลือ
พวกเราอาจจะเป็นอาวุธลับของท่านก็ได้ไม่ใช่เหรอครับ”
“หึ!
ผมไม่รู้ว่าพวกคุณกำลังพูดถึงอะไรกันแน่”
แต่น่าแปลกที่สีหน้าของอุดมอ่อนลงกว่าตอนแรกเล็กน้อย
ไม่สิ ไม่ใช่อ่อนลง แต่เรียกว่าดูเหมือนมีความอยากรู้อยากเห็นแฝงอยู่นิดหน่อยมากกว่า
ยองฮุนจึงโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วพูด
“ชีวิตเรามักจะพบกับอุปสรรคที่ไม่คาดคิดครับ
ยิ่งไปกว่านั้นเวลาทำงานใหญ่ ๆ บางครั้งจะมีคนเอาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
มาคอยขัดแข้งขัดขาและพยายามจะหาจุดอ่อนของท่านอุดมใช่ไหมล่ะครับ”
“อะแฮ่ม...”
“จะโดดเดี่ยวขนาดไหนกันนะครับ ทั้ง ๆ
ที่ทำงานใหญ่เพื่อประเทศ แต่คนรอบข้างมีแต่ความโลภ
รวมถึงพวกแมลงสาบยั้วเยี้ยที่พยายามใส่ร้ายท่านให้เสื่อมเสียอีก
คงจะอึดอัดแล้วก็โกรธน่าดูสินะครับ”
ตอนนี้ยองฮุนรู้สึกภาคภูมิใจมากที่การตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่เสียเปล่า
“สารเลวทั้งนั้น...พวกแมลงเม่า...”
และผลของการเรียนภาษาอังกฤษก็มีมากพอสมควร
อุดมที่เคยมองพวกยองฮุนเป็นพ่อค้าหาบเร่เริ่มคล้อยตามคำพูดของเขา
“ถูกต้องครับ พวกแมลงเม่า
ผมคิดว่ามันน่าจะยากหากท่านอุดมจะข้ามผ่านแมลงเม่าพวกนั้นตามลำพัง ช่วงเวลาแบบนั้นถ้ามีเพื่อนที่พึ่งพาได้จากต่างประเทศมาช่วยล่ะครับ”
“ผมมีเพื่อนเยอะนะ”
“ครับ
บริษัทที่จะได้รับผิดชอบโครงการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติครั้งนี้ก็คงเป็นเพื่อนที่เชื่อถือได้ของท่านเช่นกัน
แต่แปลกมากเลยนะ ทำไมพวกเขาถึงช่วยแก้ไขความยากลำบากที่ท่านกำลังเผชิญอยู่ไม่ได้ล่ะครับ”
คำพูดของยองฮุนทำให้หว่างคิ้วของอุดมขมวดเข้าหากัน
“คุณพูดเหมือนรู้ถึงปัญหาของผมเลยนะ”
“ไม่รู้สิครับ แต่ผมมั่นใจอยู่หนึ่งเรื่อง
เอชเอสกรุ๊ปจะเป็นเพื่อนที่น่าเชื่อถือของท่านอุดมได้
ไม่ใช่เพื่อนที่วางตัวเป็นเจ้านาย แต่ละเดือนก็ให้แค่เศษเงินแล้วเร่งให้แก้ปัญหาเหมือนสั่งงานคนรับใช้แน่นอนครับ”
“...”
“ผมดีใจที่ได้พบท่านอุดมในวันนี้นะครับ
การสรุปทุกอย่างที่นี่วันนี้เลยทั้ง ๆ ที่แค่ตั้งใจมาทักทาย
อาจจะเป็นการกดดันท่านจนเกินไป ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ความตั้งใจของพวกผมก็ตาม
ไว้พบกันใหม่คราวหน้านะครับ”
อุดมมองหน้ายองฮุนสักพัก
ก่อนจะเขียนหมายเลขลงกระดาษโน้ตที่โรงแรมจัดเตรียมไว้แล้วส่งให้ยองฮุน
“เมื่อกี้เป็นเบอร์ติดต่อของเลขาฯผม
ส่วนนี่คือเบอร์ผมเอง”
“ขอบคุณครับ”
“ที่ผ่านมาผมเคยได้ยินคำโอ้อวดมาหลากหลายแบบ
แต่คำโอ้อวดของคุณวันนี้แปลกใหม่ดีเพราะเป็นแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ผมจะรอการพบกันครั้งหน้านะ เรามาดูกันว่าคำพูดของคุณมันเป็นแค่คำคุยเฉย ๆ
หรือจะเป็นความจริงกันแน่”
“ผมก็รอเหมือนกันครับ
ถ้างั้นขอตัวก่อน...”
ยองฮุนก้มศีรษะให้แล้วออกมาจากโรงแรม
กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนเดินตามออกมา
หลังจากขึ้นมาบนรถในลานจอดรถชั้นใต้ดินก็พรั่งพรูสิ่งที่สงสัยออกมา
“นายรู้ได้ยังไง
ฉันไม่เห็นเคยได้ยินเลยว่าท่านอุดมกำลังมีปัญหา”
“ทุกคนก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอครับ ทั้ง ๆ
ที่อยู่ในตำแหน่งสูง แถมยังเป็นตำแหน่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มากมายขนาดนั้น
ถ้าบอกว่าไม่มีใครจ้องจะมาหาโอกาสเลย ก็ดูเกินจริงไปหน่อยนี่ครับ”
“พอฟังแล้วมันก็จริงแฮะ...”
ดูจากดวงชะตาของอุดม
เจ้าตัวค่อนข้างเป็นคนเรื่องมาก
อารมณ์แปรปรวนแบ่งแยกสิ่งที่ชอบกับไม่ชอบอย่างชัดเจน
ไม่ถูกใจนิดเดียวก็อาการออกทันที
ดังนั้นจึงมีศัตรูอยู่รอบตัวเยอะ รวมถึงมีดวงถูกติฉินนินทาและดวงหายนะจากหน่วยงานราชการเข้ามาตั้งแต่ปีที่แล้ว
นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ต้องระวังตัวแล้วระวังตัวอีก
อุดมไม่ใช่คนโง่
ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้เรื่องนั้น และเห็นได้ชัดว่ามีนิสัยขี้ระแวงเป็นทุนเดิม
ทำให้ตอนนี้กำลังเครียดมากเพราะการเคลื่อนไหวของศัตรูที่รายล้อมอยู่รอบตัว
“อีกอย่างฟังจากเมื่อกี้นี้
เขาก็พูดเหมือนเรื่องนี้ถูกตัดสินใจเรียบร้อยแล้วจำได้ไหมครับว่าเขาทำหน้าไม่สบายใจมาก
ๆ ตอนพูดแบบนั้น”
“งั้นเหรอ”
กรรมการผู้จัดการโกเอียงศีรษะ
มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
เพราะอุดมทำหน้าไม่สบายใจตั้งแต่ต้น ไม่ใช่แค่เฉพาะช่วงเวลานั้น
“ครับ เขาเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
ถ้างั้นก็แปลว่าคงจะไม่พอใจที่สถานการณ์กลายเป็นแบบนั้น
บางทีอาจจะเจอเรื่องที่ทำให้รู้สึกเสียศักดิ์ศรีเพราะบริษัทที่เคยล็อบบี้เขา ทั้ง
ๆ ที่ไม่ควรเกิดสถานการณ์แบบนั้นขึ้นครับ”
“เฮ้อ...ถึงไม่เห็นกับตา
แต่ก็สันนิษฐานเก่งมากเลยนะ”
“ไม่ได้เก่งอะไรหรอกครับ
ผมแค่รู้สึกว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นเลยลองถามดูแต่มันก็ถูกต้องจริง ๆ ครับ”
“ถึงจะแค่ลองถามเพราะรู้สึกว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น
ก็ถูกเป๊ะจนน่าเหลือเชื่อตลอด กรรมการผู้จัดการชเวนี่เป็นผีชัด ๆ”
ตอนที่กรรมการผู้จัดการโกส่ายศีรษะ
โทรศัพท์มือถือของยองฮุนก็ดังขึ้น
สส.ชอนโบยุนนั่นเอง
“ฮัลโหลครับ”
“ฉันเอง ตอนนี้อยู่ต่างประเทศเหรอ”
“ครับ ตอนนี้ผมอยู่ประเทศไทย”
“อ้าวเหรอ อืม...จะกลับมาตอนไหนล่ะ”
ยองฮุนครุ่นคิดสักพัก
วันนี้อุดมจะตกลงข้อสรุปอย่างไรนะ
อีกฝ่ายมีนิสัยที่ค่อนข้างเรื่องมากและขี้ระแวง
แม้วันนี้จะทำตัวเหมือนเชื่อคำโน้มน้าวเป็นอย่างดีด้วยการให้เบอร์โทรศัพท์ของตัวเองมา
แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คนเชื่อใจใครง่าย ๆ
คนแบบนั้นจะรีบให้คำตอบงั้นเหรอ
ไม่มีทางได้ข้อสรุปแน่นอน
ถ้าอย่างนั้น ในทางกลับกันแล้ว การที่ทางนี้แสดงให้เห็นความเคลื่อนไหวเบา
ๆ ก่อน อาจจะเป็นวิธีช่วยลดความกังขาของอีกฝ่ายให้น้อยลงได้
“กลับเลยก็ได้ครับ”
“อ้าว จริงเหรอ งานเสร็จหมดแล้วหรือไง”
“ครับ
ถ้ารีบบินก็น่าจะกลับไปถึงพรุ่งนี้เช้า”
“ไม่ต้องเดินทางตั้งแต่เช้ามืดหรอก ไว้พรุ่งนี้เย็น ๆ ค่อยเจอกันก็ได้ไม่ต้องรีบ”
“ขอบคุณครับที่เป็นห่วง โอเคครับ
เจอกันพรุ่งนี้ตอนเย็น”
กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนถามหลังจากวางสาย
“พรุ่งนี้? อะไร
จะปล่อยผ่านไปแบบนี้เหรอ”
“การเล่นตัวไม่ได้มีไว้ใช้กับคู่รักเพียงอย่างเดียวนี่ครับ
แถมเราก็ยังไม่ได้บอกด้วยว่าจะให้อะไรเขาได้บ้าง”
“แค่ทำคุยใหญ่คุยโต”
“ฮ่า ๆ! ใช่ครับ
เพราะฉะนั้นเขาเลยสงสัยแล้วก็ไม่ไว้ใจ ในช่วงเวลาแบบนั้นถ้าเรายังเดินหน้าต่อ
สุดท้ายเขาก็อาจจะมองเราเหมือนบริษัทพลังงานบริษัทอื่น
ๆที่คิดจะกอบโกยผลประโยชน์จากเขาอย่างเดียวครับ”
“ดังนั้นเลยจะถอยกลับมาหนึ่งก้าวงั้นเหรอ”
“ครับ
เวลาซื้อของก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอครับ
ของที่พนักงานหว่านล้อมด้วยวาทศิลป์อันแพรวพราวจนเรายอมจ่ายเงินซื้อ
ก็เป็นเรื่องง่ายถ้าหลังจากนั้นอยากจะคืนสินค้า
แต่ถ้าเป็นของที่ตัวเองตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะซื้อ
ก็ทำใจยากถ้าจะเอาไปคืนนี่ครับ”
“กรรมการผู้จัดการชเวเข้าใจความรู้สึกแบบนั้นเหรอ”
“จริง ๆ ผมเห็นจากในอินเทอร์เน็ตครับ”
“ฮ่า ๆ
ๆ...ก็เป็นอย่างที่กรรมการผู้จัดการชเวพูดนั่นแหละ ฉันก็เคยมีประสบการณ์เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นเลยโดนภรรยาทุบหลังอยู่หลายครั้ง”
“ก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ
ถ้าเขามาหาพวกเราอีกครั้งหลังจากคิดหนักมานาน
ท่าทีในตอนนั้นก็คงเปลี่ยนไปมากจากที่เจอกันวันนี้ครับ วันนี้เขาอาจจะเป็นต่อ
แต่ตอนนั้นอาจจะเป็นพวกเราก็ได้ครับ”
กรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนตั้งใจจะพูดบางอย่าง
สุดท้ายก็ปิดปากเงียบ
คำพูดของยองฮุนฟังดูมีเหตุผลทั้งหมดก็จริง
แต่มันขาดไปหนึ่งอย่าง
อุดมอาจจะไม่กลับมาหาเอชเอสกรุ๊ปอีกครั้งก็ได้
ทว่ากรรมการผู้จัดการโกก็ไม่กล่าวถึงเรื่องนั้น
เพราะจนถึงตอนนี้ยังไม่มีเรื่องไหนที่ไม่เป็นไปตามคำพูดของกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนเลย
ยองฮุนขึ้นเครื่องบินกลับมาเกาหลีในเช้าวันรุ่งขึ้นและเข้ามาจัดการงานที่ค้างไว้จากนั้นก็เดินทางมายังร้านอาหารเกาหลีดั้งเดิมในย่านชองดัม
“มารอนานแล้วเหรอครับ”
ยองฮุนถามเมื่อเห็น สส.ชอนมารอก่อนแล้ว
อีกฝ่ายเชิญให้ยองฮุนนั่งลงตรงหน้าพลางทำสีหน้ารู้สึกผิด
“ไม่หรอก
ฉันรู้สึกผิดมากกว่าที่เรียกเพื่อนที่กำลังทำงานยุ่ง ๆ กลับมาจากเมืองนอก”
“ไม่เป็นไรครับ ท่าน
สส.คงไม่ได้โทร.หาผมเพราะแค่เบื่อ ๆ ยังไงก็น่าจะมีเรื่องสำคัญ
จะอยู่เกาหลีหรืออยู่เมืองนอกแล้วมันยังไงล่ะครับ”
“ขอบคุณที่เข้าใจนะ”
“ว่าแต่มีเรื่องอะไรเหรอครับ...”
“กินข้าวกันก่อนเถอะ
ว่าแต่นายบินไปเมืองนอกทำไมล่ะ”
“อ๋อ
ผมว่าจะลองเข้าร่วมโครงการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยครับ”
“แหล่งก๊าซธรรมชาติ?”
“ครับ
ตั้งใจจะทำกิจการค้าร่วมกับบริษัทนํ้ามันแห่งชาติเกาหลี
แต่ยังไม่ได้ผลลัพธ์อะไรเลยครับ”
“งานสำคัญสินะ
ฉันยิ่งรู้สึกผิดกว่าเดิมอีกนะเนี่ย คนกำลังพยายามจะทำชื่อเสียงให้ประเทศที่เมืองนอก
แต่นักการเมืองกลับเรียกคนที่ทำงานอยู่ต่างบ้านต่างเมืองมาเพื่อถามปัญหาทางการเมือง”
“ฮ่า ๆ ๆ!
งานเสร็จเรียบร้อยไปพอสมควรแล้วครับ ผมเองก็ต้องทำงานเหมือนกัน”
“ถ้างั้นค่อยโล่งอกหน่อย กินก่อนเถอะ”
อาหารอร่อยมาก
ไม่รู้ว่าเพราะเป็นอาหารเกาหลีมื้อแรกหลังจากที่กินแต่อาหารรสชาติไม่คุ้นชินตอนอยู่ไทยมาหรือเปล่า
หลังจากกินอาหารเสร็จ
สส.ชอนโบยุนก็เปิดปากพูด
“ก่อนหน้านี้ฉันเพิ่งเจอกับโดซูยอนมา”
“ช้ากว่าที่คิดนะครับเนี่ย ผมนึกว่า
สส.โดซูยอนจะรีบมาหาซะอีก”
“น่าจะไปเจอ สส.มาหลายคนแล้ว ยกเว้นฉัน สุดท้ายก็เพิ่งมารู้ทีหลังว่าคนที่ใกล้ชิดกับการสืบสวนครั้งนี้มากที่สุดคือฉัน
แต่เรื่องนั้นฉันพลาดท่าโดนจับได้แบบไม่คาดคิดนิดหน่อย”
“ยังไงครับ”
“ฉันไปเจอกับหัวหน้าทีมสืบสวนครั้งนี้แล้วพูดคุยกันเล็กน้อย
แต่โดซูยอนดันรู้เรื่องนั้นน่ะสิ”
“น่าจะระวังหน่อย...”
“นั่นน่ะสิ
ฉันน่าจะฟังนายแล้วนัดเจอที่โรงแรม...”
“แล้วยังไงต่อครับ”
“โดซูยอนยื่นข้อเสนอมาหนึ่งข้อเพื่อเก็บเรื่องนั้นเป็นความลับ
กำหนดไกด์ไลน์มาให้ฉันน่ะ
ขอให้ฟ้องร้องถึงแค่คดีสปอนเซอร์นักการเมืองกับข้าราชการระดับสูงแล้วปิดคดีไว้แค่นั้น”
“ถ้าทำแบบนั้นแล้วเธอจะให้อะไรครับ”
“จะช่วยผลักดันฉันในการเลือกตั้งประธานาธิบดีคราวนี้
บอกว่าตัวเองจะถอนตัวจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีแล้วแอบช่วยฉันแทน”
“ฮ่า ๆ! จริงเหรอครับ
แบบนั้นก็เยี่ยมเลยสิ”
เห็นได้ชัดว่าเป็นคนดวงดี
ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรมาก
แต่นักการเมืองคนสำคัญของฝ่ายค้านกลับบอกว่าจะช่วยสนับสนุนให้เป็นประธานาธิบดี
สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้เพราะความโชคดีล้วน
ๆ
“มันจะดีเหรอ
เพราะฉันไม่มั่นใจเลยว่าควรรับไว้หรือเปล่า
การสืบสวนนี้มันเป็นไปตามความต้องการของนายนี่นา ถึงโดซูยอนจะพูดแบบนั้น
แต่อัยการเองก็บอกว่าไม่อยากไปต่อแล้วเหมือนกัน มันใช่สิ่งที่ถูกต้องงั้นเหรอ”
“จะไปต่อก็คงลำบากใจ...แต่มีสิ่งที่ทีมสืบสวนต้องการในตอนนี้อยู่ครับ”
“เห็นบอกว่าถ้าหากยอมปิดคดีแค่ตรงนั้น
จะช่วยทำให้อัยการสูงสุด รวมถึงพรรคพวกลาออก”
“จริงเหรอครับ
ถ้างั้นก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว”
“งั้นเหรอ”
“ครับ แต่อาจจะไม่ได้จบแค่นี้ก็ได้
คงไม่มีทางยอมแลกเปลี่ยนง่าย ๆแบบนั้นหรอกครับ”
“ถ้างั้น?”
“ถ้าจะทำอย่างนี้ก็อย่ารับความช่วยเหลือแบบแอบ
ๆ แต่ให้รับอย่างเปิดเผยไปเลยครับ เพราะเราอาจจะโดนหักหลังเมื่อไหร่ก็ได้
อย่าประมาทจะดีกว่า”
“มีวิธีหรือไง”
“ถ้า สส.โดซูยอนย้ายพรรคล่ะครับ”
บทที่ 238 การเปลี่ยนแปลง (1)
สส.ชอนโบยุนตกใจ
“โดซูยอนย้ายพรรคงั้นเหรอ
โดซูยอนเนี่ยนะจะย้ายพรรค?”
“ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นขึ้นมาล่ะครับ”
โดซูยอนเป็นหนึ่งในผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไปของพรรคฝ่ายค้าน
และเป็นนักการเมืองที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
โดยมีข้อได้เปรียบเพิ่มจากการเป็นอดีตอัยการหญิงผู้เฉลียวฉลาด
ผู้หญิงที่ไม่ต่างอะไรกับหน้าตาของพรรคฝ่ายค้านจะย้ายไปอยู่พรรครัฐบาลงั้นเหรอ
ถึงมันจะเป็นเรื่องเหลวไหล
แต่เห็นได้ชัดว่าหากเป็นจริงก็อาจจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อพรรคฝ่ายค้าน
“ก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้วน่ะสิ
แถมยังไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ด้วย”
ต่อให้บอกว่าจะปิดปากเงียบถ้าช่วยปิดคดี
นั่นก็เป็นเพียงลมปากของเธอเท่านั้น
ถ้าเป็นเรื่องที่มีหลักฐานชัดเจน
แค่ทำลายหลักฐานนั้นก็จบ แต่เรื่องคราวนี้สมควรจะหวั่นใจ
เพราะทันทีที่เธอเปลี่ยนใจ เรื่องนี้ก็อาจจะหลุดออกมาเมื่อไหร่ก็ได้
ทว่าหากเธอมาเข้าอยู่ในพรรคเดียวกัน
สถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เพราะเธอจะไม่กล้าผลักดันตัวเองเข้าสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดีในครั้งนี้รวมถึงต้องช่วยทำให้พรรครัฐบาลชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และคงไม่กล้าพูดถึงประเด็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไปด้วยเช่นกัน
สส.ชอนโบยุนเคยคิดว่าตัวเองได้รับข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธในสถานการณ์ที่เคลื่อนไหวได้ลำบาก
แต่ความคิดเห็นของกรรมการผู้จัดการชเวก็ทำให้ความกังวลทั้งหมดนั่นกลายเป็นเรื่องไร้สาระทันที
ถ้าเกิดโดซูยอนได้เข้ามาอยู่ในพรรครัฐบาลจริง
ๆ
“ใช่ไหมล่ะครับ”
“แต่เรื่องนั้นมันจะเป็นไปได้เหรอ
การย้ายพรรคไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย
บางครั้งก็มีการย้ายไปพรรคอื่นอยู่บ้าง ในกรณีที่พรรคเดิมแตกแยก
เพราะแย่งชิงอำนาจหรือความรับผิดชอบหลังจากพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ในการเลือกตั้งทั่วไปหรือการเลือกตั้งประธานาธิบดี
แต่มักจะแสดงออกด้วยการกระทำเป็นนัย ๆ
ก่อนหน้านั้นว่าตัวเองไม่เหมาะกับพรรคที่สังกัดอยู่แล้วค่อยย้าย”
“ส่วนใหญ่คงเป็นอย่างนั้นสินะครับ”
“คราวนี้มันแตกต่างกัน
โดซูยอนลงหลักปักฐานในพรรคสันติภาพเป็นหนึ่งมานานจนหยั่งรากลึก
คนที่ทำให้เธอก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมืองก็คือยุนพิลโฮจากพรรคสันติภาพเป็นหนึ่ง
อดีตประธานาธิบดียุนพิลโฮ
ถึงอย่างนั้นนายก็ยังคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่เธอจะออกจากพรรคสันติภาพเป็นหนึ่งที่เป็นรากฐานของตัวเองมาหาพวกเรางั้นเหรอ”
ยองฮุนจิบนํ้าขิงอบเชยล้างปากก่อนจะพูด
“ทราบไหมครับว่าทำไม
สส.โดซูยอนถึงขอให้หยุดสืบสวน”
“เรื่องนั้น...”
ถึงจะได้ฟังเรื่องราวจากยองฮุนมาประมาณหนึ่งแล้ว
แต่ก็ยังไม่เคยได้ยินประเด็นหลักเลย
เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมเล่าประเด็นหลักที่ควรรู้จริง
ๆ ให้ฟังสักที
และกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนก็เป็นคนปากหนัก
“การสืบสวนครั้งนี้พุ่งเป้าไปที่ประธานใหญ่ชามยองจินของเซยองกรุ๊ป
แต่สุดท้ายปลายมีดนั่นจะพุ่งต่อไปถึงโดซูยอนครับ เธอรู้ตัวอยู่แล้ว”
“โดซูยอนจะย้ายพรรคเพื่อหยุดเรื่องนั้นหรือไง
อาฟเตอร์ช็อกน่าจะกระหนํ่าอยู่นะ”
“หากการสืบสวนยังดำเนินต่อไป เธอจะลำบากยิ่งกว่าการย้ายพรรคครับ”
“อืม...ถ้ามันเป็นตามคำพูดของนาย
ฉันก็คงไม่มีอะไรจะคัดค้าน โล่งใจได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย โอเค ฉันเชื่อนาย”
“ครับ”
“แล้วนายจะไปเจอโดซูยอนยังไง
ฉันนัดให้ไหม”
“ไม่เป็นไรครับ พวกเราเคยเจอกันมาก่อนแล้ว
ถ้าผมชวนมาเจอคงไม่ปฏิเสธ”
สส.ชอนพยักหน้าแล้วพูด
“อิจฉาแม่ยายนายจริง ๆ ถ้าถามอะไรสักอย่าง
นายก็คงเสนอทางออกให้แถมยังจัดการทุกอย่างเองหมดเลยสินะ”
“ชมเกินไปแล้วครับ”
“เกินไปอะไร...ยังไงก็ไว้เจอกันใหม่หลังจบงาน”
จากนั้นยองฮุนก็แยกกับ สส.ชอนโบยุน
แม้ว่าจะขอให้ สส.ชอนโบยุนระงับการสืบสวนแล้ว แต่ สส.โดซูยอนก็รอคอยอย่างกระวนกระวายเพราะยังไม่ได้รับการติดต่อใด
ๆ ทั้งสิ้น
พวกนักข่าวที่ได้รับข้อมูลมาจากทางอัยการมีการเปิดเผยรายชื่อใหม่ทุกวันพอเป็นอย่างนี้จึงกังวลว่าสมุดบัญชีที่มีรายชื่อของนักกฎหมายจะถูกเปิดเผยออกมาด้วยหรือเปล่า
ระหว่างกำลังคิดอย่างแน่วแน่ว่าถ้าหาก
สส.ชอนโบยุนปฏิเสธข้อเสนอของเธอจริง ๆ
ก็คงจะต้องไปพบกับอัยการหัวหน้าทีมสืบสวนสักครั้ง
แต่น่าแปลกใจที่ได้รับการติดต่อจากกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนของเอชเอสกรุ๊ปก่อน
อันที่จริงเธอสงสัยเอชเอสกรุ๊ปมาสักพักแล้ว
ถึงจะไม่มีสติหลังจากพบกับโจชียอน
แต่พอเห็นว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นไปตามที่โจชียอนหวังไว้ทุกอย่าง
เธอก็เริ่มสงสัยว่ามีอิทธิพลใหญ่บางอย่างคอยช่วยเขาอยู่หรือเปล่า
และที่น่าสงสัยมากที่สุดก็คือเอชเอสกรุ๊ปนั่นเอง
หนึ่งในนั้นที่นึกถึงคือกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนที่เคยเจอพร้อมกับโจชียอน
และคิดว่าคงจะต้องลองสืบเบื้องลึกเบื้องหลังดูสักครั้ง
แต่ก็รู้สึกประหลาดใจมากที่ทางนั้นติดต่อเข้ามาตอนกำลังจนมุมที่สุดพอดี
อีกฝ่ายคงจะมีเจตนาแอบแฝง
เธอเลยสองจิตสองใจว่าควรจะออกไปเจอดีไหม
แต่สถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างลำบากมากจึงต้องออกไปยังสถานที่นัดหมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สถานที่ที่ยองฮุนนัดพบกับนักการเมืองอย่างลับ
ๆ ก็คือโรงแรมในเครือเช่นเคย
เขาสั่งพนักงานล่วงหน้าว่าให้รับรองเธอตั้งแต่ลานจอดรถชั้นใต้ดินจนมาถึงห้องสวีตของโรงแรม
เพราะกลัวว่าอาจจะมีใครเห็นเข้า
ห้องเพรสซิเดนเชิลสวีตที่มีราคามากกว่าสิบล้านวอนต่อคืนคือห้องที่มีราคาแพงที่สุดในโรงแรม
ต่อให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ใช่ว่าจะเข้าพักได้ง่าย ๆ
ดังนั้นพอเปิดประตูเข้าไปเห็นการตกแต่งภายในแสนอลังการ
สส.โดซูยอนจึงตั้งใจเดินอกผายไหล่ผึ่งอย่างมั่นใจ เพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้ตนเอง
“ยินดีต้อนรับครับ”
ยองฮุนยิ้มพร้อมกับลุกขึ้น
เมื่อเห็นยองฮุนเตรียมไวน์และชีสเป็นกับแกล้มไว้ล่วงหน้า
สส.โดซูยอนก็นั่งลงตรงข้ามยองฮุนก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเย็นชา
“จะอวดว่าตัวเองเป็นมหาเศรษฐีหรือไงคะ
มันไม่อลังการเกินไปหน่อยเหรอ”
“ฮ่า ๆ ปกติเวลาจะพบกับคนตำแหน่งสูง ๆ
ในสถานที่เงียบ ๆ ผมมักจะใช้โรงแรมในเครืออยู่แล้ว
แต่พอดีว่าห้องว่างเหลือแค่ห้องนี้ห้องเดียว
ผมเลยต้องพามาที่นี่อย่างไม่มีทางเลือกครับ
อย่างที่ทราบดีว่าช่วงวันหยุดยังไม่หมดถึงจะเป็นโรงแรมในโซลก็มีห้องว่างเหลือไม่เยอะ
ช่วยเข้าใจหน่อยนะครับ”
“...”
“อ้อ อีกอย่างผมได้ยินมาว่าท่าน
สส.ชอบไวน์เลยเตรียมไว้ให้ด้วยครับพูดตรง ๆ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องไวน์เท่าไหร่
ไม่รู้อะไรสักอย่างว่ามาจากที่ไหนถึงจะแพง ต้องบ่มเท่าไหร่ถึงจะดี
แต่ผมเตรียมมาเพราะผู้จัดการโรงแรมแนะนำให้ เขาบอกว่าถ้าเป็นคนที่ชอบไวน์
ต้องพอใจแน่นอนครับ”
ถ้าอยู่ในสถานการณ์ปกติ
เธอคงพิจารณาว่าเป็นไวน์แบบไหน
แต่สภาพจิตใจของเธอตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาใส่ใจเรื่องไวน์เลย
“นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะมานั่งดื่มอย่างสบายใจ
ไว้ค่อยพูดเรื่องไร้สาระทีหลังแล้วเข้าประเด็นเถอะค่ะ เหตุผลที่นัดฉันมาคืออะไรคะ”
ยองฮุนเอาขวดไวน์ไปวางไว้ด้านข้างก่อนจะอ้าปากพูด
“ผมสนิทกับ
สส.ชอนโบยุนเป็นการส่วนตัวครับ”
พูดเพียงแค่นี้ หว่างคิ้วของ
สส.โดซูยอนก็ขมวดเข้าหากันแล้วขึ้นเสียงด้วยความโกรธ
“เป็นแค่นักธุรกิจ
กล้าดียังไงมาหลอกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของเกาหลี”
“ผมเหรอ ผมหลอกท่าน
สส.โดซูยอนงั้นเหรอครับ”
“ถ้าไม่ใช่แล้วจะเป็นอะไรได้อีก
คิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าโจชียอนเคลื่อนไหวเพื่อกดดันฉัน”
ยองฮุนพยักหน้าและพูดเหมือนว่าจะคิดไปแบบนั้นก็ไม่ผิด
“จะเข้าใจแบบนั้นก็ได้เหมือนกันสินะครับ
เพราะถึงจะรัวปืนใหญ่ใส่เซยองกรุ๊ป แต่ก็ดันทำให้ สส.ที่เคยอาศัยอยู่บ้านข้าง ๆ เดือดร้อนไปด้วย
แต่ผมขอชี้แจงให้ชัดเจนหนึ่งเรื่องครับ ท่าน
สส.ไม่ใช่เป้าหมายที่โจชียอนเล็งไว้ตั้งแต่แรก
แต่เป็นประธานใหญ่ชามยองจินของเซยองกรุ๊ปต่างหากครับ
ซึ่งสิ่งที่ทำให้ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแบบนี้ก็ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น
แต่เป็นเพราะความผิดในอดีตของท่าน สส.ต่างหาก ดังนั้นพอมาบอกว่าโดนผมหลอก ก็งง ๆ
อยู่นะครับ”
“...”
“ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้ผมขอพบท่าน
สส.ด้วยความตั้งใจว่าจะช่วยเหลือ แต่ผมผิดหวังมากครับถ้าจะพูดเหมือนผมมาข่มขู่”
สส.โดซูยอนกัดริมฝีปากก่อนจะอ้าปากพูด
“ทำไมคุณถึงช่วยโจชียอนล่ะคะ”
“ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ
ผมแค่บังเอิญได้รู้จักคุณโจชียอน แล้วเห็นว่าเรื่องมันไม่ยุติธรรมเลยอยากช่วยครับ”
“จะให้ฉันเชื่อคำพูดนั้นเหรอคะ”
“ผมเข้าใจว่ามันเชื่อยากครับ
การบอกว่ากลุ่มบริษัทใหญ่ที่บริษัทในเครือมีราคาตลาดมูลค่ามากกว่าล้านล้านวอน
พยายามจะปั่นหัวเซยองกรุ๊ปกับอัยการ เพียงเพราะแค่มีนํ้าใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ก็ฟังดูเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อจริง ๆ แต่เพราะแบบนั้นโลกมันถึงสนุกไม่ใช่เหรอครับ
เพราะบางครั้งก็มีเรื่องที่ไม่สามารถใช้คอมมอนเซนส์ตีความได้”
“หึ!”
“ถ้ารู้สึกว่ามันเชื่อยาก
จะไม่เชื่อก็ได้นะครับ ท่าน สส.จะเชื่อผมหรือไม่ก็ไม่ได้สำคัญอะไร”
“แปลว่าต่อให้มาเจอกันเพื่อหาทางช่วยฉัน
แต่ฉันไม่จำเป็นต้องเชื่อใจคุณก็ได้งั้นเหรอคะ”
“ครับ เพราะผมจะให้คำแนะนำแค่ข้อเดียว
ส่วนการตัดสินใจเป็นของท่าน สส.ครับ”
สส.โดซูยอนหันมองรอบตัวสักพัก
ทันทีที่คนเซนส์ไวอย่างยองฮุนขยับตัว
สส.โดซูยอนที่รู้สึกอึดอัดใจเลยชี้ไปยังขวดไวน์ที่ตั้งอยู่ข้างยองฮุน
“ถ้าเอามาให้ก็ขอแก้วหนึ่งค่ะ”
“ได้สิครับ”
ที่ผ่านมายองฮุนดื่มไวน์กับยอนฮีบ่อยมาก
ถึงจะไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับไวน์ แต่ก็เปิดขวดได้อย่างชำนาญ
ยองฮุนเปิดขวดไวน์ราคาแพงที่ผู้จัดการบอกชื่อมาแต่ก็ลืมไปแล้ว
ก่อนจะรินใส่แก้วของ สส.โดซูยอน จากนั้นก็รินให้ตัวเองครึ่งแก้ว
อาจเป็นเพราะความตึงเครียดคลายลงเล็กน้อยหลังจากได้จิบไวน์
เธอจึงกล่าวออกมา
“อยากพูดอะไรก็พูดมาเลยค่ะ”
“สส.ชอนโบยุนคงจะไม่ระงับการสืบสวน เพียงเพราะคำว่าจะช่วยสนับสนุนเขาเป็นประธานาธิบดีหรอกครับ”
“...”
“ถ้าเชื่อทุกคำพูดในแวดวงการเมือง
นั่นไม่ได้เรียกว่าไร้เดียงสา แต่เรียกว่าโง่ไม่ใช่เหรอครับ
เพราะไม่รู้ว่าหลังจากปิดคดีแล้ว ท่าน
สส.จะรักษาคำพูดว่าจะช่วยผลักดันการเลือกตั้งประธานาธิบดีจริงหรือเปล่า
แล้วก็ไม่รู้ด้วยครับว่าท่าน สส.จะยอมปิดปากเงียบเรื่องที่
สส.ชอนดื่มเหล้ากับหัวหน้าทีมสืบสวนไปถึงเมื่อไหร่”
“แล้วยังไงคะ”
“ขนาดเวลาทำสัญญาอสังหาริมทรัพย์ก็ยังต้องแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนว่าตั้งใจจะทำสัญญาจริง
ๆ ด้วยเงินมัดจำก่อน แล้วค่อยจ่ายเงินที่เหลือทีหลังเลยครับ ถ้าจะทำสัญญากับ
สส.ชอนโบยุนก็ควรจะวางมัดจำไว้ก่อน สส.ชอนโบยุนถึงจะเชื่อในความจริงใจของท่าน
สส.ได้ไม่ใช่เหรอครับ”
“มันก็ฟังดูเข้าท่าดีนะ
แล้วฉันต้องทำอะไรให้เป็นเงินมัดจำล่ะคะ”
“ย้ายพรรคสิครับ”
เธอชะงักทันทีและสวนกลับด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“ขอโทษนะคะ กรรมการผู้จัดการชเวยองฮุน
คุณชักจะพูดแรงเกินไปแล้วนะ”
“ถ้างั้นก็ปล่อยให้การสืบสวนดำเนินต่อไปแล้วกันครับ
พอมีชื่อของผู้พิพากษาที่ได้รับการสปอนเซอร์จากเซยองกรุ๊ปมานานเกินสิบปีเปิดเผยออกมาแล้วพบว่าหนึ่งในผู้พิพากษาเหล่านั้นคือสามีของท่าน
สส.โดซูยอนก็คงไม่เป็นไร...”
มือที่จับแก้วไวน์ของ สส.โดซูยอนสั่นเทา
เพราะนึกไม่ถึงว่ากรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนจะรู้ความจริงทั้งหมด
“คุณ...”
“ผมบอกแล้วไงครับ
ผมอยากช่วยคุณโจชียอนเป็นการส่วนตัวเลยยอมช่วยแน่นอนว่าผมรู้ทุกอย่างที่ถูกบันทึกไว้ในสมุดบัญชีเล่มนั้น
แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เพราะผมไม่คิดจะเอาไปพูดที่ไหน”
“...”
“ใช้ภาพลักษณ์คนทรยศสักหน่อยดีไหมครับ
มันจะช่วยปกป้องครอบครัวแล้วก็ตัวเองได้นะครับ
อีกอย่างการย้ายไปพรรครัฐบาลมันก็ไม่ใช่เรื่องแย่กับท่าน สส.นี่นา ถ้า
สส.ชอนโบยุนได้ตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว เขาจะช่วยผลักดันท่าน สส.ได้ขนาดไหนล่ะ
ใช่ไหมครับ”
เธอดื่มไวน์ต่อด้วยมือสั่น ๆ แทนคำตอบ
ยองฮุนรอเงียบ ๆ
จนกว่าอีกฝ่ายจะคลายความกังวลลง
ไม่นานหลังจากดื่มไวน์ที่รินให้หมดแล้ว
เธอก็วางแก้วลงและเปิดปากพูด
“การย้ายพรรคไม่ใช่เรื่องง่าย
ไม่ได้ย้ายได้ตามใจชอบเหมือนย้ายชมรมมหา’ลัยนะคะ”
“ผมรู้ครับว่ามันยาก”
เธอสูดหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดต่อ
“อย่างน้อยก็ต้องช่วยทำให้ฉันย้ายได้อย่างเป็นธรรมชาติค่ะ”
“จะให้ผมเพิ่มเชื้อไฟให้เหรอครับ”
“ฉันไม่ใช่คนบ้า
แถมยังทำทุกอย่างเพื่อพรรคสันติภาพเป็นหนึ่งมาตลอดแต่อยู่ ๆ กลับย้ายพรรคกะทันหัน
มันสมเหตุสมผลเหรอคะ ฉันจำเป็นต้องมีข้ออ้าง”
“อืม...”
ยองฮุนกอดอกคิดสักพักก่อนจะตอบ
“ผมอยากบอกวิธีดี ๆ นะครับ
แต่ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับการเมืองเท่าไหร่ดูเหมือนท่าน
สส.คงต้องคิดข้ออ้างนั้นเองแล้วละครับ”
“นั่นมัน...”
“จะว่าไปแล้วผมมีเรื่องสงสัยเป็นการส่วนตัวเลยอยากถามอะไรสักอย่างครับ
ทำไมถึงคิดจะย้ายที่ตั้งของสายพานอุตสาหกรรมชีวภาพจากฮานัมไปชุนชอนเหรอครับ”
โดซูยอนจ้องยองฮุนด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่สักพักถึงตอบ
“ไม่ต้องรู้หรอกค่ะ”
“ผมขอพูดเผื่อไว้ก่อน ท่าน สส.ไม่ได้ทำแบบนั้นเพราะฟังคำพูดหมอดูมาใช่ไหมครับ”
ดวงตาของเธอสั่นไหวอย่างรุนแรง
พอเห็นเธอตกใจมากจนไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
ยองฮุนจึงกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย
“เรื่องที่
สส.ชอนโบยุนดื่มเหล้ากับหัวหน้าทีมสืบสวน...แน่นอนว่ามันอาจเป็นประเด็นที่จะกลายเป็นปัญหาได้
เพราะฉะนั้นเลยใช้เรื่องนั้นกดดันสส.ชอนโบยุนสินะครับ แต่ถ้าเรื่องที่ท่าน
สส.เชื่อหมอดูจนคิดจะย้ายที่ตั้งของสายพานอุตสาหกรรมชีวภาพรั่วไหลออกไปสู่ภายนอก
ระหว่าง สส.ชอนโบยุนกับ สส.โดซูยอน ใครจะได้รับผลกระทบมากกว่ากันเหรอครับ”
“...”
“ถ้ายังอยู่ในพรรคสันติภาพเป็นหนึ่งต่อ ก็ดูจะไม่ค่อยดีต่อตัวท่าน
สส.เท่าไหร่นะครับ ลองคิดให้ดี ๆ อ้อ ไวน์ขวดนั้นเอากลับไปได้เลยครับ
ถึงราคาจะเกินสิบล้านวอน แต่แค่นั้นผมให้เป็นของขวัญได้อยู่แล้ว ขอตัวครับ...”
ยองฮุนก้มศีรษะให้โดซูยอนที่สติหลุดเพราะความตกใจแล้วเดินออกจากห้องไป
บทที่ 239 การเปลี่ยนแปลง (2)
สส.โดซูยอน อยู่ในห้องเพรสซิเดนเชิลสวีตอันว่างเปล่านี้เพียงลำพัง
หลังจากกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนออกไปแล้ว
เธอคงจะเหนื่อยกับการเก็บอารมณ์
จึงรินไวน์จนเต็มแก้วแล้วกระดกดื่มรวดเดียวตรงนั้นเลย
จากนั้นก็ส่งข้อความหาใครบางคนพลางดื่มไวน์ต่อด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ผ่านไปประมาณห้านาทีก็มีคนเคาะประตูจากด้านนอก
เพราะเริ่มเมานิดหน่อยแล้ว
โดซูยอนจึงลุกขึ้นแล้วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถือแก้วไวน์เดินไปเปิดประตูให้
“เรียกผมเหรอครับ”
คนที่ปรากฏตัวคือคังฮยองซู
ผู้ช่วยและเลขาฯเพียงคนเดียวที่เธอพูดคุยระบายความในใจด้วยได้
“เข้ามาแป๊บหนึ่งสิ”
“ครับ”
เขาเดินตามเข้ามาอย่างระมัดระวัง
พอนั่งลงข้าง ๆ สส.โดก็เอ่ยถาม
“พูดคุยกันเรียบร้อยดีไหมครับ”
สส.โดซูยอนเอนศีรษะไปด้านหลังอย่างอึดอัด
“เฮ้อ...ฮ่า ๆ จะบ้าตาย ฮยองซู”
“ครับ”
“เวลาแบบนี้ฉันควรจะทำไงยังไงดี”
“ลูกเขยกาฝากของเอชเอสพูดเรื่องแปลก ๆ
อีกแล้วเหรอครับ”
“ใช่ โยนมิชชั่นน่าปวดหัวสุด ๆ
มาให้อีกต่างหาก เฮงซวย...แต่ตอนนั้นฉันสบถด่าออกมาไม่ได้ด้วยซํ้า”
“เขาดูมีอำนาจจะหยุดการสืบสวนครั้งนี้ได้จริงเหรอครับ”
เธอแค่นหัวเราะ
“เหอะ...ฮยองซู เรื่องนั้นฉันควรถามนายไม่ใช่เหรอ”
“ขอโทษครับ ผมอดสงสัยไม่ได้...”
คังฮยองซูรีบก้มศีรษะลง
ความจริงแล้วไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้หาข้อมูลเกี่ยวกับกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนมา
แต่ผู้ช่วยของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ใช่เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองแห่งชาติ
ต่อให้พยายามสืบก็มีข้อจำกัด
โดยเฉพาะการสืบประวัติของลูกเขยมหาเศรษฐีที่มีมุมเสี่ยงอันตรายหลาย
ๆ อย่าง
“เขาไม่ใช่คนพูดโกหก”
โดซูยอนพูดอย่างมั่นใจ
ผู้ช่วยคังพยักหน้ายอมรับคำพูดของเธอ
เนื่องจากเธอเคยเผชิญหน้าพวกอาชญากรกับตำรวจมาเป็นเวลานาน
ดังนั้นสายตาที่ใช้มองคนจึงค่อนข้างแม่นยำ เมื่อเธอให้คำจำกัดความว่าเป็นคนแบบนั้น
ผู้ช่วยคังก็ต้องตัดสินตาม
“อย่างนั้นสินะ เขาพูดว่าอะไรเหรอครับ”
“ยื่นข้อเสนอที่ฉันปฏิเสธไม่ได้ ไม่ใช่สิ
ฉันพูดผิด มันคือข้อเสนอที่ต้องยอมรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่างหาก
ฉันคงจะต้องย้ายพรรค”
ผู้ช่วยคังตกใจมาก
“ครับ? หมายถึงย้ายจากพรรคสันติภาพเป็นหนึ่งไปอยู่พรรคสันติภาพก้าวหน้าเหรอครับ
นั่นมันเรื่องอะไร...”
“หึ...อืม ไม่เข้าท่าเลยใช่ไหมล่ะ”
“ไม่ได้เด็ดขาดครับ พวก สส.ที่ติดตามท่าน
สส.มาแล้วเพิ่งได้รับเลือกตั้งครั้งแรกจะทำยังไงล่ะครับ
มันไม่ใช่แค่โดนตราหน้าว่าคนทรยศ แต่เห็นได้ชัดว่าชาวบ้านในพื้นที่เขตเลือกตั้งจะโวยวายทันทีครับ”
“ฉันรู้ น่าจะเป็นอย่างนั้นนั่นแหละ”
“ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ
ทันทีที่พูดถึงเรื่องการถอนตัวออกจากพรรค คำใส่ร้ายป้ายสีทุกรูปแบบจะพุ่งมาหาท่าน
สส. รวมถึงเรื่องในอดีตที่ท่าน สส.เคยทำพลาดตอนลงเลือกตั้ง...”
“ฉันรู้ ฉันรู้ดี แต่ยังไงก็คงต้องย้าย”
ผู้ช่วยคังจึงถามอย่างไม่เข้าใจ
“มันมีเรื่องอะไรกันแน่ครับ...”
“นายไม่ต้องรู้หรอก
เอาเป็นว่าสถานการณ์มันเป็นแบบนี้”
“ครับ”
“นายลองใช้สมองดู
ทำยังไงถึงจะออกจากพรรคแล้วรักษาภาพลักษณ์ของฉันไว้ได้มากที่สุด”
“อืม...”
ผู้ช่วยคังกัดริมฝีปากและจมอยู่กับความคิด
ระหว่างช่วงเวลานั้น
สส.โดซูยอนก็ดื่มไวน์ก่อนจะหลับตาลง
ความกดดันที่กำลังบีบเธออยู่ตอนนี้
คงมีแต่ต้องเมาเท่านั้นถึงจะพอทนไหว
การโยกย้ายคือเรื่องที่ควรจะพิจารณาเป็นสิบ
ๆ ครั้ง แต่เธอกลับต้องลาออกจากพรรคสันติภาพเป็นหนึ่งที่ตัวเองเชื่อมั่น
นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับได้ง่าย ๆ แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
ผ่านไปครู่ใหญ่ ผู้ช่วยคังก็เปิดปากพูดเบา ๆ
ด้วยนํ้าเสียงสงบ
“ถ้าต้องออกจากพรรคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เหตุผลก็เป็นเรื่องสำคัญครับเพราะแค่ลาออกเฉย ๆ คงไม่ได้ ดังนั้นเท่าที่ผมคิดได้มีสองวิธีครับ”
“สองวิธี?”
“ครับ
วิธีแรกคือการวิพากษ์วิจารณ์การจัดการภายในของพรรคสันติภาพเป็นหนึ่ง
หลังจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับบัญชีทุจริตของโจชียอนในตอนนี้
แล้วประกาศตัวเป็นศัตรูกับพวกแกนนำพรรคครับ”
“วิจารณ์การจัดการสืบสวนงั้นเหรอ”
“ตอนนี้แกนนำในพรรคกำลังจับตามองผลการสืบสวนอย่างใจจดใจจ่อเพราะกลัวว่าจะมีใครโดนเล่นงานครับ”
“มันก็แหง
เรื่องนั้นพรรครัฐบาลก็ไม่ต่างกันหนิ”
“ถูกต้องครับ แต่ท่าน
สส.ต้องก้าวนำออกมาหนึ่งก้าว
แสดงจุดยืนว่าการสืบสวนจะต้องใสสะอาดและหนักแน่นผ่านการสืบสวนพิเศษครับ”
“การสืบสวนพิเศษ?”
ตอนสมุดบัญชีของโจชียอนถูกเปิดเผยออกมาครั้งแรก
ทางพรรคฝ่ายค้านเคยเรียกร้องว่าให้นำเข้ากระบวนการสืบสวนพิเศษ
แต่หากจะยืนกรานนำเข้าการสืบสวนพิเศษก็ต้องมีบุคคลที่พอจะเป็นตัวแทนของพรรคฝ่ายค้านได้
สุดท้ายแล้ว หากประธานาธิบดีแต่งตั้งอัยการแล้วเข้าสู่การสืบสวนพิเศษจริง ๆ
นักการเมืองฝ่ายค้านอาจจะเสียหายมากกว่านักการเมืองพรรครัฐบาลก็ได้
ดังนั้นถึงเรื่องการสืบสวนพิเศษจะมาจากทางฝ่ายค้าน
แต่ถ้า
สส.โดซูยอนที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นหน้าตาของพรรคสันติภาพเป็นหนึ่งยืนกรานเรื่องการสืบสวนพิเศษขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่ามันจะทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ภายในพรรค
“ครับ แกนนำไม่มีทางยอมรับการสืบสวนพิเศษ
ท่าน สส.ก็ตำหนิเลยว่าประชาชนไม่สามารถไว้วางใจพรรคฝ่ายค้านได้
เพราะการเคลื่อนไหวที่ชักช้ายืดยาดครับ”
“อืม...เหมือนจะเข้าท่านะ”
เธอพยักหน้า
แน่นอนว่าแผนดีทีเดียว
แม้ว่าพรรคฝ่ายค้านอาจจะเสียเปรียบ
แต่มันเป็นเรื่องดีที่ประชาชนจะจดจำภาพลักษณ์ว่าเธอเผชิญหน้าต่อสู้กับความอยุติธรรมและยืนหยัดในความถูกต้อง
ถ้าหากหนึ่งในแกนนำพรรคพูดจาไม่ดีใส่เธอขึ้นมา
มันจะสร้างระยะห่างจากพรรคสันติภาพเป็นหนึ่งได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก...
“แกนนำที่กำลังกังวลและกระวนกระวายใจอยู่ตอนนี้คงจะโจมตีท่าน
สส.อย่างเปิดเผย แล้วห้ามปรามไม่ให้ทำเรื่องดังกล่าวแน่นอนครับ”
ช่างตรงกับความคิดของเธอจริง ๆ
“คงจะอย่างนั้น”
“ถ้าเกิดท่าน
สส.ยิ่งต่อต้านโดยการตำหนิพวกแกนนำ
หลังจากนั้นก็จะมีข้ออ้างในการถอนตัวออกจากพรรคเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติครับ”
“ถ้าพวกนั้นยอมรับการสืบสวนพิเศษล่ะ”
“ไม่มีทางยอมครับ”
ผู้ช่วยคังตอบด้วยนํ้าเสียงเฉียบขาด
ถึงจะคิดอยู่แล้วว่าคนเหล่านั้นไม่มีทางยอมรับการสืบสวนพิเศษ
แต่เธอก็ตั้งใจลองถามดู เพราะอยากรู้ว่าเขามั่นใจในความคิดของตัวเองมากแค่ไหน
“แล้วอีกวิธีล่ะ”
“หลังจากเสร็จสิ้นการเลือกตั้งทั่วไปจนมาถึงตอนนี้
คะแนนนิยมของพรรคยังยํ่าอยู่กับที่ครับ
นอกจากนี้ยังเป็นสถานการณ์ที่เสียงของฝ่ายค้านไม่ได้ออกข่าวด้วยซํ้าเพราะคดีของโจชียอนครับ”
“ใช่”
“นักการเมืองที่ไม่มีประเด็นคือนักการเมืองที่เสียชีวิตแล้ว
การที่ความเป็นอยู่ของพรรคฝ่ายค้านอ่อนแอเช่นนี้
มันเป็นผลมาจากการจัดการที่ไม่ชัดเจนของแกนนำครับ”
“แล้วยังไง”
“รวบรวมพวก สส.ที่ติดตามท่าน
สส.แล้วเพิ่งได้รับเลือกตั้งครั้งแรก เพื่อเรียกร้องให้จัดตั้งแกนนำพรรคใหม่ครับ”
“เหอะ...น่าสนุกดีหนิ”
เธอแค่นหัวเราะเหมือนจะบอกว่าไม่น่าเชื่อ
แต่เรื่องนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย
เพราะรู้ดีว่าการกระทำนั้นจะส่งผลกระทบอย่างไรภายในพรรค
ที่พูดไปจึงฟังคล้ายคำชมว่าผู้ช่วยคังช่างจินตนาการ
“ท่าน สส.มองว่าวิธีไหนดีกว่ากันครับ”
“มันก็คล้าย ๆ กัน
ไม่ว่าวิธีแรกหรือวิธีหลัง พรรคสันติภาพเป็นหนึ่งก็วุ่นวายจนเละไม่เป็นท่าอยู่ดี”
“พรรครัฐบาลน่าจะชอบนะครับ
ความคิดเห็นภายในพรรครัฐบาลเกี่ยวกับการเข้าร่วมพรรคของท่าน
สส.ก็คงจะดีขึ้นโดยปริยายเช่นกัน”
ถึงจะบอกให้ถอนตัวออกจากพรรคฝ่ายค้าน
แต่ก็ไม่ได้มีเงื่อนไขว่าต้องเข้าร่วมพรรครัฐบาลทันที
หากแกนนำพรรครัฐบาลแสดงจุดยืนว่าสนับสนุนการเข้าร่วมพรรคของเธอเห็นได้ชัดว่าคงเกิดการคัดค้านภายในพรรค
และจะต้องทำให้เธอลำบากแน่นอน
อย่างไรก็ตาม
หากทำให้พรรคสันติภาพเป็นหนึ่งวุ่นวายโกลาหลแล้วลาออกจากพรรค
ก็เป็นไปได้ว่าภายในพรรครัฐบาลจะมองการเข้าร่วมพรรคของเธอด้วยความเป็นมิตร
“อืม...นายคิดว่าฉันจะเลือกวิธีไหน”
“น่าจะวิธีแรกครับ”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะวิธีที่สองมันมีความเป็นไปได้ว่าท่าน
สส.จะถูกพวก สส.ที่เพิ่งได้รับเลือกตั้งครั้งแรกรั้งข้อเท้าไว้ครับ”
สส.โดซูยอนฉีกยิ้ม
“นายนี่มันรู้ใจฉันดีจริง ๆ โอเค ขอบใจ
ยังไงนายก็ทำให้ฉันคลายกังวลลงได้บ้าง”
“ขอบคุณครับ”
เธอดื่มไวน์ที่เหลือจนหมดก่อนจะลุกขึ้นทันที
จากนั้นก็กล่าวกับผู้ช่วยคังที่ทำท่าจะลุกตาม
“ฉันจะนั่งไปกับคนขับรถ
นายเรียกแฟนมาพักผ่อนที่นี่แล้วกัน”
“ครับ? ที่นี่...”
“เขาบอกว่าห้องว่างเลยเสนอให้
แล้วจะให้กลับไปเฉย ๆ หรือไง โกรธจนแทบบ้าตาย อย่างน้อยก็ต้องนอนในห้องแพง ๆ
นี่สักคืนก่อนค่อยกลับ ถึงจะรู้สึกดีขึ้นหน่อย”
“ได้จริง ๆ เหรอครับ”
“ฉันมีครอบครัวแล้ว จะเรียกสามีกับลูก ๆ
มานอนที่นี่ก็ไม่ได้นี่นาคนหนุ่ม ๆ อย่างนายน่ะควรอยู่
ถ้าเกิดมีพนักงานมาว่าอะไรก็บอกชื่อกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนไป
ใช้ชื่อเขาสั่งรูมเซอร์วิสมาเยอะ ๆ ด้วย”
“รับทราบครับ”
เมื่อ สส.โดซูยอนออกไปจากห้องแล้ว
ผู้ช่วยคังฮยองซูที่โดนทิ้งให้อยู่เพียงลำพังก็ชูมือขึ้นทั้งสองข้างพร้อมกับโห่ร้องอย่างไร้เสียง
“ไม่สิ ถ้าเป็นอย่างนั้น...ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วครับ ไอ้เวรพวกนั้นมันสมควรตายจริง ๆ”
ทนายพัคชานยอลบังคับตัวเองให้ระงับความโกรธที่พุ่งขึ้นมา
ประธานใหญ่ชามยองจินที่ไม่อยากจะเชื่อว่าลูกชายทรยศเป็นลมหมดสติภายในสำนักงานอัยการ
บทเป็นลมระหว่างการสืบสวนแล้วเข้าโรงพยาบาลคือการแสดงที่มักจะเห็นบ่อย
ๆ และครั้งนี้ทนายพัคก็เตรียมบทเข้าโรงพยาบาลไว้เป็นทางออกสุดท้ายด้วยเช่นกัน
เหตุผลที่ทำให้พวกมหาเศรษฐีคนอื่น ๆ
คิดว่าบทเข้าโรงพยาบาลเป็นทางออกสุดท้าย
เนื่องจากปกติประธานใหญ่ชามยองจินแข็งแรงมาก
เจ้าตัวไม่ได้มีโรคประจำตัว
ถึงจะอายุเกินหกสิบก็ยังมีกล้ามเนื้อแข็งแรงให้อวด เพราะฉะนั้นคิดได้อย่างเดียวว่ามันคือทางออกสุดท้าย
แต่ทนายพัคร้อนใจมาก
เพราะประธานใหญ่ชาเกิดเป็นลมหมดสติจริง ๆไม่ใช่แค่การแสดง
ข้อเรียกร้องครั้งนี้ของเซยองกรุ๊ปเดิมพันด้วยศักดิ์ศรีของสำนักงานกฎหมายแทยัง
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องส่งตัวประธานใหญ่ชามยองจินออกไปโดยไม่มีเงื่อนไขแต่ลูกชายที่ควรจะให้ความช่วยเหลือมากที่สุดกลับมีท่าทีเช่นนี้
“ได้ลองคุยอย่างจริงจังหรือเปล่าครับ”
ชาฮยองซอกเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำถามของทนายพัค
“งั้นจะบอกว่าที่ผมยกฮันคยองรีสอร์ต
รวมถึงสนามกอล์ฟให้มัน แล้วเอาแต่นั่งหัวเราะเฉย ๆ หรือไง ไอ้เวรนี่ยิ่งนับวันยิ่งเอาใหญ่...”
สันดานออกจนได้
แต่ทนายพัคไม่ได้แสดงความโกรธ
สมกับเป็นมืออาชีพ
ถึงอย่างไรระหว่างอยู่ในสำนักงานกฎหมายก็รับมือกับพวกมหาเศรษฐีมาหลายครั้งแล้ว
ขนาดทนายความผู้หญิงน้องใหม่บางคนโดนทายาทมหาเศรษฐีรุ่นสี่ตบหน้า
ก็ยังไม่กล้าขึ้นเสียงใส่เลยสักครั้ง
ดังนั้น
การได้ยินคำว่าไอ้เวรนั่นไอ้เวรนี่จากชาฮยองซอก
สำหรับตนก็เป็นเหมือนพฤติกรรมของพวกมือสมัครเล่น
“ไม่ใช่อย่างนั้น
ผมหมายถึงยังไม่เห็นทางเอชเอสกรุ๊ปลงมือทำอะไรเลยครับ
ประธานซงบยองชานก็หายตัวเข้ากลีบเมฆ การสืบสวนก็ยังไม่มีแววจะยุติเลยครับ”
“เพราะแบบนั้นไงผมถึงด่า!
ผมไม่ปล่อยเอาไว้เฉย ๆ แน่”
“เฮ้อ...หัวหน้าฝ่ายครับ”
“ทำไม”
“คุณพ่อไม่สบายนะครับ
ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล”
“รู้แล้ว”
“ไม่ไปเยี่ยมเหรอครับ”
ชาฮยองซอกเริ่มหงุดหงิด
อุตส่าห์คิดว่าไม่มีทางออกมาได้แน่นอน
แต่นึกไม่ถึงว่าอยู่ ๆ พ่อจะล้มป่วยกะทันหัน
ถ้าเป็นเมื่อเดือนก่อนเขาคงจะรีบไปที่โรงพยาบาลแล้ว
แต่พอนึกถึงพ่อที่ล้มป่วยท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้จนได้ออกจากสำนักงานอัยการ
ก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายขึ้นมา
“อยากพูดอะไรกันแน่ครับ”
“ตอนนี้กำลังมีข่าวลือแย่ ๆ ครับ
ว่าหัวหน้าฝ่ายอาจจะทิ้งท่านประธานใหญ่...”
พลั่ก!
ทนายพัคชานยอลถึงกับหน้าหัน
แต่ด้วยความที่รู้ตัวอยู่แล้วว่าอาจจะโดนต่อย
ถึงภาพด้านหน้าจะพร่ามัวก็พยายามตั้งสติแล้วพูดต่อ
“ไปเยี่ยมคุณพ่อที่โรงพยาบาลแล้วพูดคุยกันเถอะครับ
ถ้าได้เห็นภาพลูกชายเศร้าเพราะประธานใหญ่ชามยองจินล้มป่วย
อัยการที่สืบสวนอยู่จะได้รู้สึกหนักใจบ้างครับ”
“ตลกจัง
อัยการสมัยนี้เป็นพวกอารมณ์อ่อนไหวหรือไง”
“ความสัมพันธ์อันเศร้าโศกระหว่างพ่อลูกไม่ใช่เรื่องสำคัญ
แต่การแสดงฉากที่ลูกชายอาจจะทำอะไรบางอย่างเพื่อพ่อของตัวเองให้เห็นต่างหากที่สำคัญครับถึงตอนนี้ทีมสืบสวนจะเว้นระยะห่างกับเซยองกรุ๊ปแล้ว
แต่พวกอัยการส่วนใหญ่ก็ยังเป็นคนที่อยู่ในกำมือของเซยองครับ”
“...”
“ตอนนี้ทีมสืบสวนกำลังสืบสวนอย่างกระตือรือร้นและกังวลไปพร้อม
ๆกันครับ ถ้าเป็นศัตรูกับเซยองกรุ๊ปแล้ว จะไปหางานทำในสำนักงานกฎหมายใหญ่ ๆ
หลังลาออกมันก็ยาก จะไปทางการเมืองก็อาจโดนสื่อประจานจนเหลือแต่กระดูก
ถ้าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยหน้าไม่เป็นอย่างที่ต้องการ
ก็อาจจะต้องเจอกับอาฟเตอร์ช็อกหลังจากนั้น...ดังนั้น ช่วงเวลาแบบนี้...”
“รู้แล้วน่า
เคยเห็นผมทอดทิ้งคนชรามาก่อนหรือไง เว่อร์จริง ๆ ให้ตาย...ยังไงก็ตั้งใจจะไปเยี่ยมอยู่แล้ว”
ตอนที่ฮยองซอกลุกพรวดทั้งสีหน้าอารมณ์เสีย
โทรศัพท์มือถือของทนายพัคก็ดังขึ้น
หลังจากเจ้าตัวรีบรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว
อยู่ ๆ สีหน้าก็สดใสขึ้นมาทันที
“ครับ? ตื่นแล้วเหรอ
ครับผม ลูกชายท่านประธานใหญ่จะไปทันที ครับ...”
ทนายพัควางสายโทรศัพท์พร้อมกับมองอย่างคาดหวัง
ฮยองซอกจึงเหลือบตามองก่อนจะพูด
“จะมองอะไรแบบนั้น
ผมก็บอกแล้วไงว่าจะไปหาอยู่แล้ว”
พอพูดจบก็หันหลังเดินลงไป
ทนายพัคคิดว่าโล่งอกไปที
แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ทันเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวของฮยองซอก
บทที่ 240 การเปลี่ยนแปลง (3)
ณ ตึกวีไอพี โรงพยาบาลซองโม ที่ตั้งอยู่ในพันโพ
ฮยองซอกที่มาพร้อมกับทนายพัคชานยอลหยุดอยู่หน้าตึกครู่หนึ่งพลางหันมองรอบตัว
ทนายพัคมองภาพนั้นจากข้างหลังก่อนจะมองนาฬิกาด้วยความไม่พอใจ
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพ่อตัวเองได้สติแล้ว ฮยองซอกกลับมัวแต่โอ้เอ้จนใช้เวลาตั้งสองชั่วโมงกว่าจะเดินทางมาถึงโรงพยาบาล
เพราะถึงจะช็อกจนเป็นลม
แต่เห็นได้ชัดว่าด้านหนึ่งของหัวใจประธานใหญ่ชายังคงเหลือความเชื่อมั่นในตัวลูกชาย
และกำลังรอคอยฮยองซอกอยู่
ประธานใหญ่ชาถามหาฮยองซอก
ซึ่งทนายพัคก็คิดว่าการช่วยพาลูกชายไปอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายให้เร็วที่สุดนั้น
คือหนทางที่จะเรียกคืนความเชื่อมั่นของประธานใหญ่ชาที่มีต่อตนกลับมาได้
แต่พอเห็นฮยองซอกเดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าตึกโรงพยาบาลและมีสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่กล้าก้าวเข้าไป
ทนายพัคก็อดอารมณ์เสียไม่ได้
“หัวหน้าฝ่าย?”
“อ้อ พอดีคิดอะไรนิดหน่อย ไปกันเถอะ”
เริ่มหยาบคายสักครั้งแล้ว
หางเสียงก็เหมือนโดนลบออกจากหัว ฮยองซอกค่อย ๆ เดินเข้าไปในตึก
ทั้ง ๆ
ที่บรรยากาศของที่นี่เงียบสงบต่างจากตึกอื่นที่เสียงดังวุ่นวาย
แต่กลับมีกลุ่มคนที่แต่งกายไม่เข้ากับโรงพยาบาลอยู่เต็มไปหมด
แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกตำรวจที่ถูกส่งมาเฝ้าประธานใหญ่ชามยองจินแน่นอน
ทนายพัคชานยอลแนะนำสถานะของฮยองซอกกับหนึ่งในนั้นเพื่อขออนุญาตเข้าไป
ในขณะเดียวกันก็สังเกตสีหน้าของฮยองซอกด้วย
แต่พอเห็นสงบเกินคาดก็เริ่มสงสัย
“โอเคครับ เชิญ”
เมื่อตำรวจหลีกทางให้
ทนายพัคจึงตั้งใจจะเข้าไปพร้อมฮยองซอก
แต่ฮยองซอกกลับยกแขนขึ้นมาขวางหน้าทนายพัคและพูดด้วยท่าทางเย็นชา
“ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยตามภาษาพ่อลูก
รบกวนรอข้างนอกนะครับ”
อยู่ดี ๆ ก็กลับมาพูดสุภาพอีกรอบ
“ครับ?”
“ผมบอกว่าให้รออยู่ข้างนอกครับ”
“ได้ครับ”
ทนายพัคทำได้แค่ถอยกลับอย่างไม่มีทางเลือก ฮยองซอกจัดปกเสื้ออีกครั้งพลางสะบัดศีรษะเพื่อคลายความตึงเครียดก่อนจะเปิดประตูเข้าไป
ประธานใหญ่ชามยองจินที่นอนหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียงผู้ป่วยเงยหน้าขึ้นดูว่าใครเข้ามา
แล้วก็เห็นว่าเป็นฮยองซอก
“แก...ไอ้ลูกเวร...”
“ได้ยินว่าเป็นลมเหรอครับ นั่นไง
ระวังหน่อยสิ นอนลงเถอะครับ เดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้งอีก”
ฮยองซอกปฏิบัติตัวเหมือนก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
ถ้าเป็นประธานใหญ่ชามยองจินในเวลาปกติก็คงจะตบหน้าแล้วตะคอกใส่แต่ตอนนี้แค่ได้มาอยู่ในโรงพยาบาลเพียงชั่วครู่เท่านั้นและยังอยู่ในการควบคุมตัวจิตใจของเจ้าตัวจึงห่อเหี่ยวอยู่มาก
ต่อให้เห็นฮยองซอกทำตัวนิ่งเฉย
ก็แสดงความโกรธออกมาไม่ได้ด้วยซํ้า
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ถามได้เพียงแค่นี้
ฮยองซอกเริ่มด่าเอชเอสกรุ๊ปเหมือนที่เคยทำกับทนายพัคชานยอล
“ไอ้เวรพวกนั้นมันเคยบอกว่าถ้าให้ฮันคยองรีสอร์ต
จะสั่งซงบยองชานให้ทำลายหลักฐานได้ใช่ไหมครับ พูดตรง ๆ ผมเครียดมากเพราะรู้สึกแย่
แต่ถ้าอยากให้พ่อออกมา มันก็มีวิธีเดียวนี่นา
เพราะฉะนั้นสุดท้ายเลยยกฮันคยองรีสอร์ตให้
แต่ไอ้เวรพวกนั้นมันกลับบอกว่าแค่นั้นไม่พอครับ”
“แล้วยังไงต่อ”
“ผมเลยต้องยกสนามกอล์ฟให้ด้วยอย่างไม่มีทางเลือกอื่น
แต่พวกมันบอกแค่ว่ากำลังพยายามอยู่...ยังไงก็ตาม ไอ้สารเลวพวกนั้น
พอมันรู้ว่าเราลำบากก็วางแผนจะกินรวบครับ”
ประธานใหญ่ชามยองจินไม่ใช่คนโง่
และไม่ใช่คนที่ใช้ชีวิตมาอย่างเรียบง่ายจนหลงเชื่อการแสดงง่อย ๆ ของฮยองซอกด้วย
“เลิกโกหกแล้วพูดมาตามตรง
แกคิดว่าคำโกหกตื้น ๆ แบบนั้นจะหลอกฉันได้หรือไง”
ฮยองซอกสูดหายใจเข้าเหมือนพยายามจะแก้ต่าง
แต่พอสบตากับพ่อก็ถอนหายใจและหัวเราะอย่างหมดแรง
“ฮ่า ๆ...”
“หัวเราะทำไม”
“เฮ้อ...พ่อ ผมรู้สึกว่ามันตลกมากจริง ๆ
นะ เวรเอ๊ย นี่มันสถานการณ์อะไรวะเนี่ย เกิดเรื่องเวรอะไรขึ้นกันแน่”
“...”
อาจจะเป็นเพราะความโกรธเคืองพลุ่งพล่านขึ้นมา
ฮยองซอกจึงพูดด้วยนํ้าเสียงสั่นเครือ
“ทุกอย่างเป็นความผิดของพ่อนั่นแหละครับ
จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับตาแบบนี้ตั้งแต่แรกทำไม”
“ว่าไงนะ”
“ผมเคยบอกว่าไม่อยากทำนี่ครับ
ผมบอกแล้วไงว่าไม่อยากทำ! แล้วทำไมถึง...เรื่องนี้มันเป็นความผิดของพ่อ ผมไม่ผิด
เพราะฉะนั้นอย่ามาว่าผมครับ”
“ไอ้ลูกเนรคุณ...”
ประธานใหญ่ชามยองจินกำหมัดแน่นจนมือสั่นระริก
แต่ฮยองซอกระเบิดอารมณ์ออกมาจนควบคุมตัวเองไม่ได้
จึงรัวใส่ประธานใหญ่ชาที่กำลังสั่นด้วยความโกรธไม่หยุด
“ผมไม่ได้เกลียดแม่เลยครับ
พ่อต่างหากที่เกลียดแม่ ยูเอสบีที่หัวหน้าฝ่ายซงจียงทิ้งไว้น่ะ
พ่อรู้อยู่แล้วใช่ไหมครับ
รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่ามีหน้าผมอยู่ในคลิปนั่นเพราะฉะนั้นถ้าเกิดเรื่องของแม่...”
“หุบปาก!”
ในที่สุดประธานใหญ่ชาก็ไม่สามารถระงับความโกรธไว้ได้และลุกขึ้นตบหน้าฮยองซอก
ฮยองซอกหน้าหันพร้อมกับเสียงดัง ‘เพียะ’
แววตาที่บ่งบอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในตอนแรกค่อย
ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความบ้าคลั่ง
“ถ้าโดนจับได้ พ่อตั้งใจจะยัดข้อหาผมจริง
ๆ เหรอครับ ไม่สิ ทำไปแล้วใช่ไหม จะโยนความผิดทุกอย่างมาให้ผมใช่ไหม”
“ไอ้ ไอ้ลูกโง่...”
“พ่อนั่นแหละโง่! ให้ตายเถอะ!
คิดว่าผมจะยอมเป็นฝ่ายโดนกระทำหรือไงนึกว่าผมจะยอมตายทั้งเป็น
โดนพ่อหลอกใช้แล้วทิ้งเหมือนแม่เหรอ”
ประธานใหญ่ชามยองจินได้แต่นิ่งอึ้งเหม่อมองลูกชายอาละวาด
แต่พอตั้งสติได้ก็สวนกลับ
“แกพูดเรื่องบ้าอะไร!
ทำไมฉันต้องคิดว่าแกเป็นของใช้แล้วทิ้งด้วย ฉันจะฆ่าแกทำไม”
“แล้วทำไมต้องฆ่าแม่ด้วยล่ะ!”
“ไอ้บ้าเอ๊ย!”
มีตำรวจอยู่ข้างนอกเต็มไปหมด
แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ตำรวจพวกนั้นจะไม่ได้ยินคำพูดของลูกชายที่สติแตก
ถึงตำรวจจะได้ยินเรื่องนี้แล้วไม่มีทางรื้อคดีใหม่ได้ก็จริง แต่การมีคนอื่นมารับรู้เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดี
ดังนั้นพอเห็นไอ้เด็กบ้านี่ตาเหลือกพรํ่าเพ้อถึงความลับดำมืดที่ควรจะเก็บไว้จนตายลงหลุม
ประธานใหญ่ชาก็รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน
เขาดึงเข็มสายนํ้าเกลือที่ติดอยู่ตรงแขนออกแล้วลุกพรวดจากเตียงไปทุบศีรษะฮยองซอก
จากนั้นก็ใช้มือคว้าแจกันดอกไม้เล็ก ๆ
มาทุบศีรษะฮยองซอกซํ้าอีก
หลังจากแจกันดอกไม้แตกเป็นเสี่ยง ๆ
พร้อมเสียงดัง ‘เพล้ง!’ ฮยองซอกก็ช็อกเอามือกุมศีรษะแล้วล้มลง
“ไอ้ลูกไม่รักดี...”
ทว่าฮยองซอกที่ล้มลงกลับตัวสั่นและชักกระตุก
ประธานใหญ่ชามองลูกชายหายใจหอบถี่ด้วยความตกตะลึง
ก่อนจะตะโกนเสียงดัง
“หมอ! ตามหมอมา!”
ทนายพัคที่ยืนรออยู่ข้างนอกเพราะไม่กล้าเข้าไปจึงรีบเปิดประตูเข้ามาด้วยความตกใจ
แต่พอเห็นภาพฮยองซอกนอนกองอยู่กับพื้นก็ตะโกนออกมาเช่นเดียวกัน
“พยาบาล! เรียกหมอมาที่นี่! เร็วเข้า!”
ตำรวจกับพยาบาลต่างกรูกันเข้ามาในห้องผู้ป่วย
พวกตำรวจดันตัวประธานใหญ่ชาไปที่เตียงเพราะกลัวว่าจะบันดาลโทสะแล้วก่อเหตุขึ้นอีก
ส่วนพยาบาลก็พิจารณาอาการของฮยองซอกแล้วรีบวิ่งไปเรียกหมอมา
ทุกคนทำได้เพียงแค่มองเหตุการณ์น่าสลดที่เกิดขึ้นภายในชั่วพริบตา
โดยที่ไม่สามารถพูดอะไรได้
ตำรวจที่รับผิดชอบเสยผมขึ้นอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ทนายพัคเองก็มองฮยองซอกกับประธานใหญ่ชาสลับกันด้วยใบหน้าซีดเผือด
ตอนแรกคิดว่าคงทะเลาะกันตามปกติ
ถ้าว่ากันตามนิสัยของประธานใหญ่ชาแล้ว
ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาหากลูกชายจะโดนตบหน้า
และหลังจากตบลูกชายสักสองสามครั้งก็น่าจะตั้งสติได้
ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกมันตัดขาดกันง่าย
ๆ ที่ไหนล่ะ
แม้ว่าตอนนี้ลูกชายสนใจเงินจนพยายามวางแผนทำเรื่องไร้สาระ
แต่พอรับรู้ถึงความน่ากลัวของประธานใหญ่ชาเมื่อไหร่ก็คงได้สติเอง
แต่คาดไม่ถึงว่าจะเกิดสถานการณ์นี้ขึ้น
“ฮยองซอกจะไม่เป็นไรใช่ไหม”
ประธานใหญ่ชามยองจินยังตั้งสติไม่ได้เมื่อเห็นลูกชายชักและมีเลือดออกบริเวณท้ายทอย
เลยถามออกไปทั้งมือที่ยังคงสั่นเทา
“เขาจะไม่เป็นไรครับ”
“ใช่
มันเป็นลูกใครกันล่ะ...แค่โดนตีหัวนิดหน่อยเอง...”
ถึงจะพูดอย่างนั้น
แต่ก็ไม่อาจทำให้หัวใจที่ปั่นป่วนสงบลงได้ และไม่อาจละสายตาจากลูกชายที่นอนอยู่ด้วยเช่นกัน
ความพยายามในการข่มใจไม่ให้ลุกจากเตียงแล้ววิ่งไปนั้น
แสดงออกผ่านการกำพนักเตียงแน่นจนเส้นเลือดปูดออกมา
แต่พอได้ยินจากปากหมอที่รีบวิ่งเข้ามาว่าให้นำเข้าห้องผ่าตัดด่วน
เพราะสงสัยว่าเส้นเลือดในสมองแตก เนื่องจากอาการไม่ใช่แค่ศีรษะแตกทั่วไปประธานใหญ่ชาก็กระหืดกระหอบลุกจากเตียงทันที
จากนั้นก็คว้าตัวหมอกับพยาบาลพร้อมกับครํ่าครวญอ้อนวอน
“ช่วยชีวิตลูกผมด้วยนะครับ
ช่วยชีวิตลูกผมด้วย”
“ผมจะพยายามอย่างเต็มที่ครับ ใจเย็น ๆ
แล้วนั่งลงก่อนนะครับ”
“ได้โปรด...ช่วยชีวิตลูกผมด้วยครับ”
สุดท้ายก็ทรุดตัวลงกับพื้นแล้วร้องไห้ออกมา
เสียงร้องไห้ครํ่าครวญด้วยความเสียใจดังขึ้นตามหลังฮยองซอกที่ถูกเข็นออกไป
ณ การประชุมมาตรการรับมือของพรรคสันติภาพเป็นหนึ่ง
ทุกคนต่างพูดเรื่องไร้สาระกันคนละคำด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
“เรื่องที่ สส.อีซังจุนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสปอนเซอร์นั้นหรือไม่
เราจะยืนยันได้ก็ต่อเมื่อมีผลการสืบสวนออกมา
แต่การที่พวกนักข่าวเขียนข่าวมั่วซั่วเพื่อยอดวิวแบบนี้
นับว่าเป็นปัญหาไม่ใช่เหรอ...”
“ผมคิดว่าการที่มีแต่ชื่อของ
สส.พรรคฝ่ายค้านปรากฏอยู่ในสื่อตลอดช่วงสองสามวันมานี้
มันอาจจะมีจุดประสงค์บางอย่าง ไม่คิดอย่างนั้นเหรอครับ”
“ถูกต้องครับ”
ในตอนนั้น สส.โดซูยอนที่กำลังรอจังหวะเงียบ
ๆ จึงขยับหน้าเข้าใกล้ไมโครโฟนแล้วพูด
“ทุกคนพูดได้ดีมากเลยค่ะ
แต่ฉันขอพูดอะไรที่ต่างออกไปนิดหน่อยนะคะ”
เหล่านักข่าวที่ทำข่าวพวก สส.โดยไม่มีความคิดเห็นใดกับเนื้อหาอันน่าเบื่อหน่าย
ต่างทำตาเป็นประกายและโฟกัสที่ใบหน้าของ สส.โดซูยอน
เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของนักข่าวที่จับจ้องมาทางตัวเอง
เธอก็ปรับลมหายใจสักพักก่อนจะพูดต่อ
“ประชาชนไม่มีความเชื่อมั่นในตัวนักการเมืองค่ะ
ตอนนี้ก็มาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น...ยิ่งรู้สึกได้จริง ๆ
เลยค่ะว่าไม่มีใครเชื่อถือได้เลยสักคน
ในสถานการณ์แบบนี้ควรแสดงให้เห็นว่าฝ่ายค้านของเราแตกต่างจากพรรครัฐบาล
จะเอาแต่พูดอย่างเดียวว่าดีกว่า ใสสะอาดกว่า มันไม่ได้หรอกค่ะ
เราต้องแสดงให้เห็นด้วยการกระทำ”
“หมายถึงให้แสดงอะไรยังไงครับ”
สส.ผู้ทรงอิทธิพลในพรรคฝ่ายค้านอย่าง
สส.ซอยองจุนถาม
เธอตอบกลับด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าถามได้จังหวะพอดี
“ฉันคิดว่าการสืบสวนบัญชีทุจริตของโจชียอนควรเปลี่ยนเป็นการสืบสวนพิเศษ
ด้วยความกระตือรือร้นและเด็ดขาดค่ะ”
สีหน้าของเหล่า
สส.ที่เข้าร่วมการประชุมมาตรการรับมือเผยให้เห็นถึงความงุนงง
จากนั้น
สส.ซอยองจุนที่เพิ่งโยนคำถามใส่เมื่อครู่นี้ก็พูดเหมือนจะบอกว่าเธอกำลังเพ้อเจ้อ
“ไม่ได้ยินที่
สส.โอจินฮยอกพูดเมื่อกี้เหรอครับ
ขนาดตอนนี้การสืบสวนยังดำเนินการโดยที่มีแต่พรรคฝ่ายค้านเสียเปรียบอยู่ฝ่ายเดียวเลย
แล้วคิดว่าการสืบสวนพิเศษที่ประธานาธิบดีแต่งตั้งจะยุติธรรมหรือไงครับ”
“ทุกวันนี้ประชาชนไม่ได้โง่นะคะ”
“เดี๋ยว แล้วใครบอกว่าประชาชนโง่ล่ะครับ”
สส.โดซูยอนจี้จุด
สส.ซอยองจุนที่กำลังสับสนอีกครั้งด้วยการตอบไม่ตรงคำถาม
“ประชาชนฉลาดกว่าใครค่ะ พอมองการจัดการที่ไม่มีความแตกต่างอะไรจากพรรครัฐบาลแล้ว
พวกเขาก็คิดว่าพรรครัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้านก็เหมือน ๆ กันหมด
ถ้าฝ่ายค้านออกมาแสดงจุดยืนถึงการสืบสวนพิเศษอย่างยุติธรรม
ความเชื่อมั่นในพรรคฝ่ายค้านอาจจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ค่ะ”
“ไม่สิ...ทำไมถึงเอาแต่พูดออกนอกเรื่อง
ไม่รู้เหรอครับว่าประธานาธิบดีเป็นคนกำหนดการสืบสวนพิเศษ”
“การสืบสวนพิเศษที่ถูกกำหนดมาแบบนั้น
จะเป็นการสืบสวนที่ยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม ประชาชนเขาก็รู้กันหมดค่ะ
ถ้าเกิดมีปัญหาในระหว่างการสืบสวนขึ้นมา
ประชาชนจะยังไว้วางใจพรรครัฐบาลในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งหน้าได้เหรอคะ
ยิ่งอยู่ในช่วงเวลาแบบนี้ พวกเราก็ยิ่งต้องเดินหน้าค่ะ”
เหล่านักข่าวที่เคยง่วงนอนเพราะเนื้อหาอันน่าเบื่อหน่ายเริ่มพากันรัวนิ้วอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด
เพื่อโพสต์ข่าวการประกาศจุดยืนอย่างกะทันหันของ สส.โดซูยอนลงในพอร์ทัล
[(ข่าวด่วน) สส.โดซูยอนยืนกราน
นำสมุดบัญชีทุจริตของโจชียอนเข้าการสืบสวนพิเศษ]
[ไม่มีรายละเอียด]
ข่าวด่วนประเภทนี้เริ่มโพสต์ลงพอร์ทัลอย่างต่อเนื่อง
หากเป็นนักการเมืองที่มากประสบการณ์หน่อย
แค่ดูการรัวนิ้วของพวกนักข่าวก็เดาได้ล่วงหน้าแล้วว่าหัวข้อข่าวจะออกมาแบบไหน
แน่นอนว่า
สส.คนใหญ่คนโตของพรรคฝ่ายค้านต่างหน้าเสียอย่างพร้อมเพรียงกัน
เมื่อเห็นนักข่าวเขียนข่าวพร้อมรอยยิ้ม
เพราะงับเหยื่อได้ดีมาก
ตอนนี้ทิศทางการเมืองจะเอนเอียงไปทางการสืบสวนพิเศษ
ส่วนพรรคฝ่ายค้านที่ไม่ได้แสดงจุดยืนอย่างจริงใจว่าจะนำเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการสืบสวนพิเศษก็จะสูญเสียสิทธิ์ในการเป็นผู้นำ
ขนาดเตะลูกเข้าประตูตัวเองก็ยังไม่ทำกันขนาดนี้
แต่ สส.โดซูยอนที่ยืนกรานนำเข้าการสืบสวนพิเศษกลับนั่งทำหน้าอิ่มเอม
ราวกับตัวเองได้ทำในสิ่งที่ยอดเยี่ยม
สส.ซอยองจุนทนสถานการณ์นี้ไม่ไหวลุกพรวดขึ้นมาชี้นิ้วและขึ้นเสียงใส่เธอ
“ตรงนี้มีคนไม่ยุติธรรมที่ไหน!
พูดจาไม่รู้เรื่อง ให้ตายเถอะ...”
และนักข่าวก็ไม่พลาดภาพด้านหลังของอีกฝ่ายที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเดินออกไป
ทุกคนที่เห็นภาพนี้ต่างก็มั่นใจ
พรรคสันติภาพเป็นหนึ่งเกิดความขัดแย้งขึ้นภายในอย่างชัดเจน
บทที่ 241 ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก (1)
[ประธานใหญ่ชามยองจินทำร้ายลูกชายที่มาเยี่ยม]
[(ข่าวด่วน) ลูกชายของประธานใหญ่ชามยองจิน
ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะจนหมดสติ]
ข่าวด่วนที่ปรากฏต่อกันบนพอร์ทัลทำให้โจชียอนสติแตก
นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน ทำไมอยู่ ๆ
ชามยองจินถึงทำร้ายลูกชายสุดที่รักจนหมดสติล่ะ
เนื่องจากไม่ใช่สถานการณ์ที่ตัวเองสามารถถามตำรวจได้โดยตรงว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาจึงเดินวนเวียนอยู่ในห้องพักอย่างทำอะไรไม่ถูก
แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวด่วนเพิ่มเติม
และไม่เจอข่าวอะไรอีกนอกจากความจริงที่ว่าลูกชายประธานใหญ่ของเซยองกรุ๊ปอย่างชาฮยองซอกเข้ารับการผ่าตัดฉุกเฉิน
สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหวรีบแต่งตัวออกจากบ้าน
เขาให้บอดี้การ์ดที่จ้างไว้เพราะกลัวถูกลอบทำร้ายระหว่างที่การสืบสวนยังไม่เสร็จสิ้นขับรถมาส่ง
จุดหมายปลายทางคืออึลจีโรนั่นเอง
ร้านกาแฟที่อยู่ห่างจากตึกบริษัทเอชเอสการผลิตที่ยองฮุนทำงานอยู่ไม่ถึงห้านาที
ปกติเขาไม่ใช่คนใจร้อนแบบนี้
แต่หัวใจที่ว้าวุ่นทำให้เขาต้องเร่งรีบถึงขนาดนี้
อย่างน้อยก็ต้องได้ฟังเรื่องราวบางอย่างจากยองฮุนก่อน
ถึงจะรู้สึกสงบขึ้นได้บ้าง
แต่ยองฮุนกลับบอกโจชียอนว่าไหน ๆ ก็มาแล้ว
อย่ามัวอยู่แต่ในคาเฟ่ไปกินข้าวกันดีกว่า
จากนั้นก็แจ้งที่อยู่ของร้านอาหารเกาหลีดั้งเดิมแถวนั้นมาให้
ถึงจะคิดว่ายังเร็วเกินไปสำหรับมื้อเย็น
แต่เขาก็ยอมย้ายที่นั่งรอโดยไม่ปริปากบ่น
พอมาถึงร้านก็เข้าใจว่าทำไมถึงชวนมาเจอกันที่ร้านอาหารเกาหลีดั้งเดิมแห่งนี้
เพราะบรรยากาศร้านนั้นเงียบสงบ เอื้อต่อการรักษาความเป็นส่วนตัวได้อย่างดี
หลังจากนั่งลงแล้วดื่มนํ้าไปได้ไม่กี่อึก
ประตูก็เปิดออกโดยมียองฮุนเดินเข้ามา
“ทำไมอยู่ ๆ ถึงมาที่นี่ล่ะครับ”
“อะไร นายไม่รู้เหรอว่าฉันมาทำไม”
“ผมประชุมยาวเลยครับ”
เหตุการณ์ในประเทศไทยทำให้ยองฮุนต้องกินข้าวกล่องเป็นมื้อกลางวันร่วมกับฝ่ายโครงการพิเศษแล้วประชุมยิงยาว
โจชียอนหยิบแว่นขยายออกมาแล้วกดโทรศัพท์มือถือตัวเอง
จากนั้นก็ส่งให้ยองฮุนทันที
“ดูนี่สิ”
“สักครู่นะครับ ผมขอสั่งอาหารก่อน
ทานมื้อกลางวันมาเรียบร้อยหรือยังครับ”
“ฉันรวย มีคนทำกับข้าวให้กินที่บ้าน”
“ดีแล้วครับ พอเรื่องมันใกล้จะจบแล้ว
ผมก็กลัวว่าผู้อาวุโสจะอดอาหารแล้วรอวันตายอย่างเดียว”
“ฉันรอวันตายก็จริง
แต่ฉันจะไม่อดอาหารจนตาย โลกนี้มีอะไรน่าสังเวชเท่าการอดตายอีกล่ะ
อีกอย่างลูกฉันก็ยังอยู่”
“ใช่ครับ มีหลานที่น่ารักด้วย”
“เพราะฉะนั้นฉันจะใช้ชีวิตให้ดีที่สุด
ไม่ต้องห่วง”
“โล่งอกไปทีครับ”
ยองฮุนเรียกพนักงานมาสั่งเมนูอาหารชุดเบสิก
ก่อนจะอ่านข่าวในโทรศัพท์มือถือที่โจชียอนส่งให้
เนื่องจากเป็นรายงานข่าวด่วนเกือบทั้งหมด
ยองฮุนจึงกวาดตามองข่าวที่ไม่มีแม้แต่เนื้อหาแล้วคืนโทรศัพท์มือถือให้โจชียอนพลางเอ่ยถาม
“รีบมาเพราะเรื่องนี้เหรอครับ”
“นายรู้อะไรบ้างไหม”
ยองฮุนวางสายตาไว้ที่โทรศัพท์มือถือนิ่ง ๆ
แล้วเปิดปากพูด
“ตอนเห็นชาฮยองซอกครั้งแรก
ผมเห็นว่าเขามีดวงพรากเข้ามาตั้งแต่ปีก่อนยาวจนถึงปีหน้าครับ”
“ดวงพราก?”
“ครับ ดวงพรากถือเป็นดวงเลวร้ายที่สุดในบรรดาดวงเคราะห์ทั้งหมดแต่พอดวงเสียเลือดเนื้อเข้ามาเสริมในเคราะห์
จึงทำให้มีดวงประสบเหตุไม่คาดคิดครับ
เพราะรู้อยู่แล้วว่าผู้อาวุโสคิดจะจับประธานใหญ่ชาไปไว้ในสำนักงานอัยการ
ผมเลยคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวกับดวงเคราะห์นี้ครับ”
“มีดวงเคราะห์เข้ามางั้นเหรอ...”
“ครับ ปีที่แล้วยังสบายดี
ส่วนปีนี้ผู้อาวุโสก็บอกว่าจะจบความแค้นนี้ด้วยการดำเนินการสืบสวนอย่างถูกต้อง
ผมเลยนึกว่าเขาคงจะผ่านดวงเคราะห์นั้นไปได้ดีแล้ว...แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นสินะครับ”
“เฮ้อ...หมายความว่ายังไงก็ต้องตายอยู่ดีใช่ไหม”
“อาจจะไม่ตายก็ได้
แต่ถึงเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นก็ไม่อาจทำให้เขาหลีกเลี่ยงเคราะห์ร้ายได้อยู่ดีครับ”
โจชียอนดื่มนํ้าอีกครั้งด้วยสีหน้าว้าวุ่น
หัวใจหนักอึ้ง ตอนแรกตัดสินใจว่าจะแก้แค้น แต่พอเลิกล้มความตั้งใจที่จะฆ่าทิ้ง
กลับรนหาที่ตายด้วยตัวเอง...
ความรู้สึกช่างซับซ้อนจนยากจะอธิบายออกมา
จนกระทั่งอาหารมาเสิร์ฟ
จิตใจที่วุ่นวายสับสนจนแม้แต่จะอ้าปากพูดก็ยังทำไม่ได้จึงเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง
หลังจากใช้ปลายตะเกียบเขี่ยไปมาทั้งที่มีอาหารรสเลิศวางอยู่ตรงหน้าโจชียอนก็ถามขึ้น
“นายคิดว่านี่เป็นโทษทัณฑ์จากสวรรค์หรือเปล่า”
ยองฮุนพยักหน้าเงียบ ๆ
“มันคือโทษทัณฑ์จากสวรรค์ครับ”
“งั้นเหรอ
โทษทัณฑ์จากสวรรค์ที่มีต่อฮยองซอกใช่ไหม”
“ไม่ใช่ครับ
มันคือโทษทัณฑ์จากสวรรค์ที่มีต่อประธานใหญ่ชามยองจินต่างหาก”
โจชียอนอ้าปากค้างเล็กน้อยและพยักหน้าเข้าใจ
“อืม นั่นสินะ
การได้รับรู้ความรู้สึกของพ่อที่ฆ่าลูกตัวเอง
ไม่มีบทลงโทษไหนที่หนักหนาไปกว่านี้อีกแล้ว”
“ไม่ว่าชาฮยองซอกจะตายหรือไม่
ตอนนี้ประธานใหญ่ชาก็ออกมาเผชิญโลกลำบากแล้วครับ เซยองกรุ๊ปจะแตกโดยอัตโนมัติ”
“...”
โจชียอนก้มหน้าพร้อมขยับมือที่จับตะเกียบ
หลังจากนั้นสักพักนํ้าตาก็ไหลมันเป็นช่วงเวลาที่ความรู้สึกมากมายพรั่งพรูมาบรรจบกัน
ยองฮุนไม่รู้ว่าจะปลอบอย่างไร
จึงได้เพียงแต่เฝ้ามอง
หลังจากนํ้าตาไหลอยู่พักหนึ่ง
โจชียอนก็ใช้ทิชชูเช็ดนํ้าตาแล้วพูดด้วยนํ้าเสียงที่สงบลง
“ถึงจะด่าว่าไอ้เด็กนั่นสมควรตาย
แต่ฉันก็นึกถึงสมัยมันยังเด็ก นึกถึงหน้าของเด็กที่เข้ามากอดฉันพร้อมรอยยิ้มแล้วเรียกว่าคุณตา
ทั้ง ๆ ที่อยากตีให้ตาย...แต่หัวใจก็เจ็บปวด”
“นั่นคือเหตุผลที่กลัวเลือดไม่ใช่เหรอครับ”
“ใช่
นั่นแหละ...ฉันเองก็ถูกสวรรค์ลงโทษเหมือนกัน
มีตั้งกี่คนที่พวกเขาไม่มีเงินแล้วเคยขอร้องให้ฉันรอหน่อย
ฉันหากินด้วยการรีดไถแม้กระทั่งเงินก้นถุงของพวกคนจน คนที่กำลังเดือดร้อน
แล้วจะไม่ได้รับบทลงโทษเลยได้ยังไง ถ้าฉันฟังคำพูดของเทพธิดายอนฮวา
คงจะไม่เป็นถึงขนาดนี้...”
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว
เวลานั้นคงไม่มีใครตัดสินใจทำแบบนั้นได้ง่าย ๆหรอกครับ”
“ถึงจะรู้อยู่แก่ใจ
แต่มันจะปลอบใจอะไรได้ล่ะ ฮู่...คิดถูกแล้วที่มาหานายฉันสงสัยจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
มาถูกจังหวะพอดี ตอนนี้ทุกอย่างมันจบแล้วจริง ๆ”
“ที่ผ่านมาคุณเหนื่อยมามากแล้ว
ตอนนี้ก็ใช้ชีวิตสบาย ๆ เถอะครับ”
“โอเค ฉันหมดแรงแล้วคงต้องไปก่อน
ไม่ต้องสนใจฉันหรอก กินให้เสร็จแล้วค่อยกลับ”
ยองฮุนตอบกลับอย่างสุภาพ
เพราะกลัวว่าการลุกตามอาจจะทำให้อีกฝ่ายหนักใจมากขึ้น
“ครับ เดินทางปลอดภัยนะครับ”
“อืม”
โจชียอนเดินไหล่ตกออกจากห้อง
วันนี้แผ่นหลังของเจ้าตัวดูเศร้าเป็นพิเศษ
สส.โดซูยอนหลบมาอยู่ที่โรงแรมสักพักเพื่อหลีกเลี่ยง สส.สมาชิกพรรคเดียวกันที่มารวมตัวอยู่ในห้องทำงาน
เนื่องจากถูกโจมตีมากมายจนนับไม่ถ้วน
ตั้งแต่คำถามที่ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่
ไปจนถึงการข่มขู่ว่าให้จัดแถลงข่าวทันทีเพื่อถอนข้อเสนอ
ความจริงตัวเธอเองก็คิดว่ามันเป็นข้อเสนอที่ลํ้าเส้นเกินไปเหมือนกัน
ปฏิกิริยาของ สส.ภายในพรรคและความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเพราะคำพูดของเธอนั้นไม่ได้ทำให้เธอแปลกใจสักเท่าไร
ปัญหาคือทั้ง ๆ
ที่อุตส่าห์วางระเบิดลูกใหญ่ถึงขนาดนี้ แต่คำพูดของเธอกลับถูกกลบซะแทบมิด
เพราะเหตุการณ์ความรุนแรงของประธานใหญ่ชาเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
ดังนั้นเมื่อผู้ช่วยคังฮยองซูที่ตามมาถึงโรงแรมเพื่อคอยช่วยเหลือคุยโทรศัพท์เสร็จ
สส.โดซูยอนจึงเอ่ยถาม
“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง”
“อย่างแรก
ปฏิกิริยาจากทางพรรครัฐบาลเองก็บอกว่าคาดไม่ถึงเหมือนกันครับ
ถึงจะเป็นเรื่องดีสำหรับพรรคตัวเอง แต่ก็ต้องระวังเผื่อจะมีเจตนาอื่นแอบแฝง”
“ข่าวโดนกลบนี่นา นั่นไม่ใช่ปัญหาหรือไง”
“เหตุการณ์ความรุนแรงของประธานใหญ่ชามยองจินค่อนข้างน่าตกใจก็จริงแต่ว่ากันตามตรงแล้ว
ความรุนแรงก็คือความรุนแรง
การเมืองก็คือการเมืองครับต่อให้จะโดนประเด็นร้อนตอนนี้กลบ
แต่เรื่องนี้ก็ยังเป็นประเด็นทางการเมืองที่มีความสำคัญมาก
ไม่ว่าจะพอร์ทัลหรือรายการข่าวก็ต้องฉายแสงมาที่คำพูดของท่าน สส.ครับ”
“หมายความว่าไม่จำเป็นต้องกังวลใช่ไหม”
“แน่นอนครับ”
คำพูดของผู้ช่วยคังทำให้เธอสบายใจขึ้นไม่น้อย
ด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกได้อีกครั้งว่าควรจะมีผู้ช่วยที่มีความสามารถอยู่เคียงข้าง
“ประธานพรรคล่ะ”
ผู้ช่วยคังเกาศีรษะ เป็นการแสดงออกว่าลำบากใจ
“ถึงจะไม่ได้พูดถึงการกระทำดังกล่าว
แต่ก็บอกว่าตอนนี้ไม่ได้รู้ถึงความสำคัญของข้อเสนอนั้นมากเท่าไหร่
รวมถึงบอกว่าท่าน
สส.ขาดความสามารถในการรับมือกับวิกฤตและการตระหนักถึงความเป็นจริงจนกลายเป็นปัญหา
ถ้าประธานพรรคยังพูดแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ น่าจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของท่าน
สส.ครับ”
“อาจจะถูกตราหน้าเป็นนักการเมืองที่ไร้ความสามารถใช่ไหม”
“ครับ”
“ทางแก้ล่ะ”
“ยังไงก็ขึ้นหลังเสือมาแล้ว
การออกตัวว่าจะฝึกให้เชื่องหรือจะลองเจรจากับเสือดู
มันไม่ต่างอะไรกับชวนไปตายครับ”
“ไม่ว่าทางไหนก็ต้องสู้จนตัวตายสินะ...มีประเด็นจะโต้กลับไหม”
“นอกจากการชักนำสู่ความผิดพลาดด้วยคำพูดที่หนักแน่นต่อแล้ว...”
ดูเหมือนจะทำอะไรได้ไม่มากนัก
สิ่งที่พอทำได้ก็เริ่มต้นโดยไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน
มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะคว้าชัยชนะในการต่อสู้ระหว่างพรรคฝ่ายค้านขนาดใหญ่กับ
สส.คนเดียวในพรรคนั้น
ถึงจะคว้าสิทธิ์ความเป็นผู้นำได้อย่างน่าตกใจด้วยการชิงลงมือก่อน
แต่เธอก็คิดว่าต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อไม่ให้เสียสิทธิ์ความเป็นผู้นำ
“ฉันต้องแถลงข่าว”
ผู้ช่วยคังเข้าใจคำพูดของเธอทันที
“จะรัวหมัดต่อเอาให้ตั้งสติไม่ได้ใช่ไหมครับ”
“ใช่ ถ้าฉันจัดแถลงข่าว
แกนนำคงจะวางแผนโต้ตอบ แล้วพวกสมาชิกพรรคบางส่วนที่ใจร้อนก็จะกระโดดออกมาเอง”
“ครับผม เดี๋ยวผมจะแจ้งนักข่าวทันที
สถานที่คือโรงแรมนี้ดีไหมครับ”
“ตามนั้นแหละ เอาให้เร็วที่สุด
ฉันจะเตรียมตัวให้พร้อม”
“รับทราบครับ”
เมื่อผู้ช่วยคังฮยองซูยกหูโทรศัพท์อีกรอบแล้วเดินออกจากห้อง
สส.โดซูยอนก็เปิดแล็ปท็อป และค่อย ๆ เริ่มพิมพ์ข้อโต้แย้งของตัวเองอย่างช้า ๆ
ประธานพรรคควักแทโฮจากพรรคสันติภาพเป็นหนึ่งประหลาดใจกับข้อความที่ได้รับอย่างไม่ทันตั้งตัว
[สส.โดซูยอนจะจัดแถลงข่าวด่วนที่โรงแรมเพรสซิเดนท์ครับ]
ถึงเนื้อหาของข้อความจาก สส.จางยงซองจะสั้น
แต่ผลกระทบนั้นไม่น้อยเลย
เขากดโทรศัพท์ทันที
สส.จางยงซองเองก็รับโทรศัพท์ก่อนสัญญาณแรกจะดังเสียอีก
“ครับ ท่านประธาน”
“อะไรกัน อยู่ดี ๆ จะมาแถลงข่าวอะไรอีก”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ได้ยินมาจากนักข่าวว่าจะจัดขึ้นในอีกสามสิบนาทีตอนนี้นักข่าวที่ยออึยโดคงจะวิ่งไปที่โรงแรมเพรสซิเดนท์กันหมดแล้วครับ”
“โดซูยอนล่ะ”
“ติดต่อไม่ได้ครับ โทรศัพท์ปิดเครื่อง ผู้ช่วยก็บอกปัดว่าตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นครับ”
“ประสาท คัง...อะไรนะ
ที่โดซูยอนเอาไว้ข้างตัวน่ะ”
“ผมติดต่อผู้ช่วยคังฮยองซูนั่นแหละครับ”
“แล้วมันบอกว่าตัวเองไม่รู้งั้นเหรอ
ไอ้เวรเอ๊ย...”
“ผมว่ามันแปลก ๆ นะครับ ดูเหมือนพยายามจะยืนกรานเรื่องการสืบสวนพิเศษจริง ๆ”
“ทำแบบนั้นทำไมกันแน่ จะทำลายพรรคในสถานการณ์แบบนี้งั้นเหรออะไรเนี่ย”
“พวก สส.ที่เพิ่งได้รับเลือกตั้งครั้งแรกเริ่มสั่นคลอนแล้วครับ ถ้าเกิดเธอยืนกรานเรื่องการสืบสวนพิเศษในงานแถลงข่าว แล้วไล่ต้อน สส.ที่ต่อต้านเรื่องนี้ว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลัง พวก สส.ที่เพิ่งได้รับเลือกตั้งครั้งแรกก็อาจจะเข้าร่วมกับเธอด้วยครับ ถ้าเป็นอย่างนั้น...”
“จะปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้!”
ประธานพรรคควักแทโฮตะโกนลั่น
แต่ก็ต้องพูดใหม่อีกรอบเพราะรู้ว่าคนที่ควรโกรธไม่ใช่
สส.จางยงซอง
“อ้อ ขอโทษที ฉันไม่ได้โกรธ สส.จางนะ”
“โธ่ แน่นอนครับ ผมทราบดี ตอนนี้ผมก็งงและโกรธไม่ต่างจากท่านประธานเหมือนกัน เราจะทำยังไงกันดีครับ รีบไปที่โรงแรมเพรสซิเดนท์ดีไหม”
ประธานพรรคควักแทโฮครุ่นคิดอยู่สักพัก
ใจจริงเขาอยากจะล้มงานแถลงข่าวแล้วจับเธอมาถามว่าตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่
แต่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ จึงควรจะประเมินสถานการณ์อย่างมีสติให้มากที่สุด
“จะรีบวิ่งไปทำอะไรล่ะ ไม่ต้องทำขนาดนั้น
รอฟังก่อนว่าจะพล่ามอะไรบ้าง”
“แค่จับตามองเฉย ๆ ก็พอเหรอครับ”
“แล้วจะทำอะไรได้อีกล่ะ
คิดว่ายืนกรานเรื่องการสืบสวนพิเศษแล้วจะได้นำเข้ากระบวนการจริง ๆ เหรอ
ทางพรรครัฐบาลล่ะ คิดว่าพวกนั้นจะยอมรับง่าย ๆ หรือไง”
พรรครัฐบาลเองก็ไม่ได้รอดจากสมุดบัญชีทุจริตของโจชียอน
ต่อให้ทิศทางของการสืบสวนพิเศษจะเข้าข้างพรรครัฐบาลอย่างไร
แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะสืบสวนอย่างเป็นมิตรมากแค่ไหน
แถมยังไม่สามารถประเมินได้ว่าควรจะนำเข้าการสืบสวนพิเศษ หรือควรจับตามองการสืบสวนของอัยการเฉย
ๆ ดี
“แต่ถ้าพูดออกไมค์แบบนั้น พรรครัฐบาลอาจจะผลักดันไปในทิศทางของการสืบสวนพิเศษก็ได้นะครับ”
“ไม่มีทาง ต่อให้ตายก็เป็นไปไม่ได้หรอก
ตัวเองเป็นใครถึงกล้ามาพูดเรื่องการสืบสวนพิเศษสุ่มสี่สุ่มห้า อวดดีน่ะสิ...”
“โอเคครับ ถ้างั้นเดี๋ยวจับตาดูก่อน”
“อืม ดีมาก...”
ทว่าขณะกำลังจะวางสาย อยู่ ๆ
เสียงตื่นตระหนกของ สส.จางยงซองก็ดังขัดคำพูดของเขา
“ท่านประธาน!”
“ทำไมอีก”
“ผมเพิ่งได้รับข้อความ ทางอัยการบอกว่ายังมีสมุดบัญชีอื่นนอกเหนือจากสมุดบัญชีที่พบก่อนหน้านี้ครับ ถ้าเรื่องนี้ไปถึงการสืบสวนพิเศษจริง ๆ เราอาจจะตายกันหมดแน่ครับ!”
ประธานพรรคควักแทโฮหลับตาลงหลังได้ยินเสียงของ
สส.จางที่ใกล้จะกรีดร้องออกมาเต็มที
บทที่ 242 ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก (2)
ระหว่างที่ประธานพรรคควักแทโฮ กำลังฟังเสียงครํ่าครวญของ สส.จางยงซอง
สส.โดซูยอนกลับใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มกับข่าวจากทางอัยการของผู้ช่วยคังฮยองซู
“นั่นเรื่องจริงเหรอ”
“ครับ
ผมไม่รู้ว่าเริ่มสืบสวนอย่างจริงจังแล้ว
หรือว่าทางอัยการแค่เปิดเผยเรื่องนี้กับนักข่าวก่อนเฉย ๆ
แต่มั่นใจว่าเรื่องนี้น่าจะมาจากทางอัยการ
ว่าแต่ว่า...มันเป็นประเด็นสำคัญเหรอครับ”
ด้วยฐานะผู้ช่วยของคังฮยองซู
เขาไม่รู้หรอกว่ามันเป็นประเด็นที่ต้อนเธอจนมุมได้แค่ไหน
แค่พูดเพราะเห็นว่าเป็นข้อมูลสำคัญ
แต่พอเห็น สส.โดซูยอนครุ่นคิด
เขาจึงเดาได้ว่าสมุดบัญชีที่ยังไม่ได้เปิดเผยนั่นมีความลับที่สำคัญมากของ
สส.โดอยู่
“ฮู่...”
เธอเสยผมและพยายามทำให้ใจที่สั่นสงบลง
ไม่เคยคิดมาก่อนว่าหลังจากฟังคำพูดของกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนแล้วตัวเองจะโดนหักหลังแบบนี้ในสถานการณ์ที่ขึ้นหลังเสือไปแล้ว
ไม่รู้เลยว่าใครทำผิดพลาด
หรือมันเป็นแผนการของกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนกันแน่
สส.โดกัดริมฝีปากก่อนจะพูดกับผู้ช่วยคัง
“นายออกไปข้างนอกแป๊บหนึ่ง”
“รับทราบครับ”
พอไล่ผู้ช่วยคังออกไปแล้วก็โทรศัพท์หายองฮุน
ทันทีที่กรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนรับโทรศัพท์หลังจากสัญญาณดังไม่กี่ครั้งเธอก็ขึ้นเสียงใส่อย่างขุ่นเคือง
“ฮัลโหลครับ”
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ
เมื่อกี้นี้ทางอัยการเพิ่งเปิดเผยเรื่องเกี่ยวกับสมุดบัญชีเล่มใหม่
คุณหลอกฉันเหรอคะ”
“ครับ? สมุดบัญชีเล่มใหม่เหรอครับ”
“ก็ใช่น่ะสิคะ! แล้วตอนนี้จะให้ทำยังไง
ฉันเรียกนักข่าวมาหมดแล้ว คุณควรรับผิดชอบไม่ใช่หรือไงคะ”
“โอเคครับ ใจเย็น ๆ ก่อน เดี๋ยวผมลองเช็กให้ ท่าน สส.จัดแถลงข่าวตามเดิมได้เลยครับ”
ฟังจากนํ้าเสียงของกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนแล้ว
เขาก็ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องจริง ๆ
สส.โดซูยอนจึงโล่งอกเล็กน้อย
“แก้ปัญหาได้จริง ๆ ใช่ไหมคะ แน่ใจนะ”
“ครับ ผมจะคุยกับอัยการด้วยตัวเอง ไม่ต้องห่วงครับ ทางฝั่งนั้นก็อาจจะกำลังกดดันอยู่เหมือนกัน”
“ถ้างั้นฉันจะเชื่อใจกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนแล้วจัดงานต่อนะคะ”
“ครับ แถลงข่าวตามสบายเลยครับ”
“โอเคค่ะ”
สส.โดซูยอนจึงวางสายแล้วเรียกผู้ช่วยคัง
“เข้ามาซิ!”
“ครับ”
“งานแถลงข่าวจะดำเนินตามกำหนดการเดิม
อย่าหวั่นไหว ไม่ต้องสนใจข่าวจากทางอัยการ”
“ไหน ๆ จะยืนกรานเรื่องการสืบสวนพิเศษแล้ว
ประเด็นจากฝั่งอัยการครั้งนี้จะสนับสนุนคำพูดของท่าน สส.มากขึ้นนะครับ
แต่ในทางกลับกันแล้วการพูดถึงประเด็นนี้ก็...”
“ไม่! เราจะไม่พูดถึงประเด็นนั้น
ข้ามไปเลย”
คังฮยองซูลองถามเผื่อไว้ก่อน
แต่พอเห็นปฏิกิริยาของ สส.โดแล้วก็มั่นใจ
“ถ้าหาก...ประเด็นของฝั่งอัยการมีความเกี่ยวข้องกับท่าน
สส. เราควรยกเลิกการแถลงข่าวน่าจะดีกว่านะครับ นํ้าที่หกแล้วไม่สามารถย้อนกลับได้”
“รู้น่า ฉันจัดการแล้ว”
“จัดการแล้วงั้นเหรอครับ”
“ใช่”
คำตอบเด็ดขาดของเธอทำให้ผู้ช่วยคังเบาใจลง
“โอเคครับ ผมจะเตรียมพร้อมทันที”
เมื่อเขาออกไป สส.โดซูยอนก็สงบจิตสงบใจ
จากนั้นก็ออกจากห้องด้วยความหวาดหวั่นเหมือนทหารที่กำลังจะเข้าสู่สนามรบ
หลังวางสายจาก สส.โดซูยอน ยองฮุนก็โทร.หาอัยการคิมซังชอลทันที
แต่อีกฝ่ายไม่รับโทรศัพท์
อาจจะประชุมหรือกำลังสอบสวนใครบางคนอยู่
ยองฮุนที่ร้อนใจจึงรีบแต่งตัวแล้วออกจากห้องทันที
“เดี๋ยวผมกลับมานะครับ”
ยองฮุนขับรถตรงไปยังย่านซงพาที่ตั้งของสำนักงานอัยการเขตตะวันออก
เมื่อมาถึงสำนักงานอัยการเขตตะวันออกและจอดรถเสร็จเรียบร้อย
อัยการคิมซังชอลที่ก่อนหน้านี้ติดต่อไม่ได้ก็รับสายพอดี
เมื่อได้ยินว่ายองฮุนมาถึงลานจอดรถแล้ว
อัยการคิมซังชอลก็ตกใจรีบวิ่งออกมาถึงลานจอดรถ
“ขอโทษทีครับ พอดีผมกำลังสอบสวนพยานอยู่”
พอขึ้นมานั่งบนรถของยองฮุนแล้วก็หายใจหอบ
“จังหวะไม่ดีสินะครับ”
“ว่าแต่ทำไมมาถึงที่นี่...”
“ได้ยินว่าทางอัยการปล่อยข่าวเรื่องสมุดบัญชีเพิ่มเติม
คุณอัยการเป็นคนปล่อยเหรอครับ”
“อ๋อ ครับ ผมบอกพวกนักข่าวเอง”
อัยการคิมซังชอลยักไหล่พร้อมพูดเหมือนตัวเองทำได้ดี
แต่กลับต้องไหล่ตกทันทีที่เห็นใบหน้าเคร่งเครียดของยองฮุน
“เฮ้อ...ทำไมถึงทำอย่างนั้นครับ”
“ไม่ คือเห็น
สส.โดซูยอนพูดถึงเรื่องการสืบสวนพิเศษ แล้วก็กำลังโดนทางพรรคโจมตีอยู่น่ะครับ
ผมเลยโยนฟืนเพิ่มไปสักท่อนเพราะคิดว่าได้จังหวะพอดี มีอะไรผิดพลาดเหรอครับ”
“อย่างน้อยก็ควรจะบอกผมก่อนนะครับ”
“ทำไมล่ะครับ”
“สส.โดซูยอนตั้งใจทำแบบนั้นให้ตัวเองโดนโจมตีครับ”
“ตั้งใจเหรอครับ”
“ครับ โดซูยอนไม่อยากให้มีการสืบสวนพิเศษ”
“ถ้าอย่างนั้น?”
“เธออยากย้ายพรรคครับ”
อัยการคิมซังชอลอ้าปากค้าง
“ย้ายพรรคงั้นเหรอครับ”
“ครับ
ตั้งใจยกเรื่องการสืบสวนพิเศษขึ้นมาเพื่อสร้างความวุ่นวาย ถ้าเกิดใส่ฟืนเข้าไปจริง
ๆ ทางพรรครัฐบาลก็อาจจะไม่ยอมรับการสืบสวนพิเศษ ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วภายในสำนักงานอัยการจะรับได้ไหมล่ะครับ”
“ไม่ เรื่องนั้น...”
พูดตามตรง
อัยการคิมซังชอลยังรู้สึกหนักใจกับการสืบสวนสมุดบัญชีเล่มสามที่บันทึกความอัปยศของเหล่านักกฎหมายเอาไว้อยู่เลย
ยิ่งไปกว่านั้น
เห็นได้ชัดว่าหากฝากการสืบสวนไว้ในมือคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเองจะทำให้เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงภายในสำนักงานอัยการ
โดยเฉพาะ
ระหว่างที่ภายในสำนักงานอัยการกำลังมองทีมสืบสวนโจชียอนด้วยความหมั่นไส้
ถ้าหากเห็นว่าพวกเขาส่งสมุดบัญชีเล่มใหม่เข้ากระบวนการสืบสวนพิเศษ
มันจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ
ต่อให้ตัวเองได้เดินแยกไปสู่เส้นทางการเมือง
แต่กลุ่มคนที่ร่วมดำเนินการสืบสวนมาด้วยกันก็คงจะเดือดร้อนมาก
“ตอนนี้คุณโจชียอนสะสางหนี้ในใจเรียบร้อยแล้วครับ
เพราะคดีทำร้ายร่างกายของประธานใหญ่ชาที่เกิดขึ้นเมื่อวาน”
“จริงเหรอครับ”
“ครับ ผมเองก็เหมือนกัน
ผมไม่ได้มีใจยุติธรรมจนอยากเปลี่ยนแปลงโลกแค่สงสัยว่าการสืบสวนนี้จะทำให้วงการกฎหมายเปลี่ยนไปได้หรือเปล่า”
“อย่างนั้นสินะครับ”
“แค่สิ่งที่ทำมาจนถึงตอนนี้
คุณอัยการก็ได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้ว ผมคิดว่าเราควรจะหยุดแค่นี้ครับ”
“ต่อให้ผมหยุด
แต่เบื้องบนก็ไม่ยอมหรอกครับ จุดประสงค์ของการสืบสวนของผมกับเบื้องบนต่างกัน กรรมการผู้จัดการก็รู้ไม่ใช่เหรอครับ”
“ไม่ต้องห่วงครับ
ถ้าการสืบสวนยุติแต่พอควร อัยการสูงสุด รวมถึงพรรคพวกของเขาจะลาออกเองครับ”
“จริงเหรอครับ”
“ครับ”
อัยการคิมซังชอลพยักหน้าเงียบ ๆ
ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าโล่งใจ
“โอเคครับ
ความจริงผมก็หลุดพิรุธหลายอย่างอยู่เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่ทุกคนกำลังสืบสวนกันอยู่
แต่ก็ยังคอยถามตลอดว่าทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอฮ่า ๆ ๆ! ถามอยู่เรื่อยเลย...ทั้งละอาย
ทั้งรู้สึกผิดด้วย ผมคิดว่าตัวเองทำตัวแย่ในหลาย ๆ ด้านครับ
กับประธานใหญ่ชามยองจินก็เหมือนกัน จริง ๆ ตอนนี้เซยองกรุ๊ปใกล้ถึงจุดจบแล้ว
จะขุดคุ้ยสมุดบัญชีต่อก็ไม่ได้อะไรแล้วครับ”
“ดีใจนะครับที่คิดแบบนั้น”
“แล้วหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
“หมายถึงอะไรครับ”
“เซยองกรุ๊ปน่ะครับ
ถึงสื่อของพวกเขาจะไม่สามารถแตะต้องได้ง่าย ๆแถมยังไม่มีอะไรให้กิน แต่เซยองดีเวลลอปเมนต์ก็สุดยอดเลยไม่ใช่เหรอครับผมได้ยินมาว่าได้ฮันคยองรีสอร์ตไปแล้วในราคาถูกมาก
แต่ถึงอย่างนั้นเซยองดีเวลลอปเมนต์ก็ยังมีทรัพย์สินอีกเยอะเลยนะครับ”
“รู้ครับ แต่ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่”
“ถ้าจะเอาก็เอาไปทั้งหมดเลยได้นี่ครับ”
“ผมไม่สนใจครับ แต่เรื่องที่คุณอัยการสงสัยจริง
ๆ ไม่น่าใช่เรื่องนั้นหรือเปล่าครับ”
อัยการคิมซังชอลหัวเราะอย่างเคอะเขิน
“ฮ่า ๆ พอดีผมมันเป็นพวกวัตถุนิยมน่ะครับ
แล้วตอนนี้ผมควรจะทำยังไงครับ”
“ถ้าการสืบสวนยุติลงเรียบร้อยแล้ว
แน่นอนว่าสื่อกับประชาชนคงจะพูดกันว่าการสืบสวนไม่สมบูรณ์ครับ”
“ครับ”
“ถึงตอนนั้นค่อยออกหน้าครับ”
“อ๋อ...ให้ทำเหมือนว่าการยุติการสืบสวนตอนนี้เป็นแรงกดดันจากภายนอกเหรอครับ”
“ครับ
แล้วคุณอัยการจะกลายเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม
ภายในวงการการเมืองก็จะมีคนที่ต้องการภาพลักษณ์อย่างคุณอัยการเพิ่มขึ้น”
“หมายถึงทั้งพรรครัฐบาลทั้งพรรคฝ่ายค้านเลยเหรอครับ”
“ใช่ครับ อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน
คุณอัยการก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้วหนิครับ”
อัยการคิมซังชอลมองยองฮุนด้วยสายตาแปลก ๆ
“คุณแปลกมากครับ รู้จักผมดีกว่าใคร ๆ
ขนาดแม่ที่คลอดผมมายังไม่รู้เลย เหมือนเข้ามาอยู่ในใจผมจริง ๆ ครับ”
“ปกติผมค่อนข้างมองคนเก่งน่ะครับ”
“ฮ่า ๆ ปูเสื่อรับดูดวงได้เลยนะครับเนี่ย
เอาเป็นว่าผมเข้าใจแล้ว เดี๋ยวผมจัดการเรื่องสมุดบัญชีที่รั่วไหลไปถึงสื่อเอง”
ยองฮุนขมวดคิ้วขณะมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ก้าวลงจากรถแล้วเดินกลับเข้าสำนักงานอัยการอีกครั้ง
ปล่อยข่าวเรื่องสมุดบัญชีเพื่อช่วย
สส.โดซูยอนงั้นเหรอ
คิมซังชอลไม่ใช่คนตัดสินใจอะไรเร็วขนาดนั้น
ถึงจะเป็นคนระวังตัวและยึดติด แต่การปล่อยข่าวให้สื่อเพราะเห็นว่า
สส.โดซูยอนเรียกนักข่าวกะทันหันเพื่อพูดคุยเรื่องนั้น
มันไม่สอดคล้องกับนิสัยของคิมซังชอลเลย
ถ้าวิเคราะห์จากนิสัยอีกฝ่ายก็เป็นไปได้ว่ากำหนดเวลาปล่อยสมุดบัญชีเล่มสามไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว
แต่ทำไมล่ะ
ไม่มีทางที่คิมซังชอลจะไม่รู้ว่าเป้าหมายของโจชียอนคือชามยองจิน
และไม่มีทางไม่รู้ด้วยว่าสถานการณ์มันจบลงเรียบร้อยแล้ว...
เห็นได้ชัดว่ามีใครบางคนเป่าหูอยู่ข้าง ๆ
ยองฮุนสนใจเรื่องนั้น
เพราะไม่รู้ว่าคนคนนั้นเป็นใครและมีจุดประสงค์อะไร
อัยการคิมซังชอลนั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดหลังจากกลับเข้ามาในสำนักงานอัยการ
และหลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักก็ยกหูโทรศัพท์
“อ้อ ผมเองครับ ออกมาเจอกันหน่อยสิ อือ
โอเคครับ เดี๋ยวผมออกเลย”
เขากลับออกไปที่ลานจอดรถอีกครั้ง
ก่อนจะหยุดชะงักแล้วเหลือบมองบริเวณที่กรรมการผู้จัดการชเวจอดรถเมื่อครู่
หลังจากมั่นใจว่ารถของกรรมการผู้จัดการชเวไม่อยู่แล้ว
จึงรีบเดินไปขึ้นรถของตัวเอง
เขาเอาแต่สังเกตรอบตัวเพราะกลัวว่าอาจจะบังเอิญเจอนอกสำนักงานอัยการจากนั้นก็ขับขึ้นทางด่วนโอลิมปิกแล้วเข้าไปในคาเฟ่แห่งหนึ่งของย่านมีซา
“ทางนี้ครับ”
ใครบางคนโบกมือให้อัยการคิมซังชอล
อัยการคิมซังชอลจึงรีบเดินไปนั่งตรงนั้นแล้วเข้าเรื่องทันที
“ขอโทษนะครับ แต่ผมคิดว่าเราควรหยุด”
“ฮะ? หมายความว่ายังไงครับ”
คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าอัยการคิมซังชอลคือชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบรังสีรอบตัวกับเสื้อผ้าที่สวมใส่ให้ความรู้สึกสูงส่ง
ราวกับคนที่ครอบครองทรัพย์สมบัติจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตายังหล่อเหลา
ใครเห็นก็คงมองว่าเป็นคนน่าคบหา
“อย่าถามเหตุผลเลยครับ
แค่ลืมการมีอยู่ของสมุดบัญชีไปน่าจะดีกว่า”
ชายหนุ่มชักสีหน้าไม่พอใจ
จากนั้นก็ตำหนิอัยการคิมซังชอล
“คิดจะทำอะไรครับ ล้อคนอื่นเล่นเหรอ
พวกเราดูตลกนักหรือไงครับ”
“ผมบอกคุณตั้งแต่แรกแล้วนะครับว่าอาจจะลำบาก”
“ถ้างั้นการเสนอชื่อคุณในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็เป็นเรื่องยากเหมือนกันครับ”
ใบหน้าของอัยการคิมซังชอลเคร่งเครียด
“กำลังขู่ผมอยู่เหรอครับ”
“ผมไม่ได้ขู่ แค่พูดตามความเป็นจริงครับ
แน่นอนถ้าคุณยอมช่วยพวกเรา...”
“ผลลัพธ์จะเป็นไปตามที่พวกคุณต้องการครับ”
“อะไรนะครับ”
“พวกคุณจะได้รับผลลัพธ์ที่ต้องการครับ
มันจะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นอย่ามาเร่งผมอีกเลยครับ อีกอย่างฝากบอกท่านประธานพรรคด้วยว่าทำตามที่ต้องการได้เลย”
อัยการคิมซังชอลพูดแบบนั้นแล้วลุกเดินออกไป
พออัยการคิมซังชอลออกไปแล้ว
ชายหนุ่มที่โดนทิ้งก็นั่งต่ออีกประมาณสิบนาทีถึงขยับตัว
สถานที่ที่เจ้าตัวขับรถมาถึงก็คือคฤหาสน์แห่งหนึ่งในย่านซองบุก
คนที่กำลังรอเขาอยู่ในคฤหาสน์คือประธานพรรครัฐบาลมินกูซังที่เคยไปให้อิมบกฮีดูดวงชะตาของหลานตัวเอง
ภาพลักษณ์ยังโอบอ้อมอารีเช่นเดียวกับตอนนั้น
มินกูซังเอ่ยถามทันทีที่ชายหนุ่มเดินเข้ามา
“รีบเข้ามา เขาว่ายังไงบ้าง”
ชายหนุ่มนั่งลงตรงหน้าประธานพรรครัฐบาลแล้วพูดอย่างเนือย
ๆ
“เขากลับคำครับ
บอกว่าไม่น่าทำได้...ทีนี้จะทำยังไงดีครับ”
ประธานพรรคมินกูซังขมวดคิ้ว
“สำหรับฉันมันไม่มีวิธีอื่นแล้ว
ถ้าไม่เปิดเผยสมุดบัญชีก็ไม่มีทางจะควบคุมจิตใจของผู้พิพากษาชินฮาอึนได้”
“ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะครับ ทั้งคนนั้น
ทั้งคนนี้ ทำไมถึงไม่มีใครรักษาสัญญากันเลย”
“พูดแรงนะ”
“คนที่แรงคือท่านประธานต่างหากครับ
ถ้าทำให้เป็นประธานพรรคแล้วมันก็ควรได้อะไรกลับมาบ้างไม่ใช่เหรอครับ มีแต่ให้ไป
ไม่มีอะไรกลับมาเลยก่อนหน้านี้พวกผมทำเรื่องสูญเปล่าเหรอครับ”
ประธานพรรคมินกูซังกำหมัดจนสั่นระริก แต่ไม่สามารถอ้าปากพูดได้
เพราะคำพูดของอีกฝ่ายไม่ได้ผิด
ชายหนุ่มหยิบผ้าเนื้อดีออกมาจากกระเป๋าเสื้อเพื่อเช็ดแว่นตาพร้อมกับกล่าว
“ถ้าเปลี่ยนใจผู้พิพากษาชินฮาอึนไม่ได้
จะไม่มีการสนับสนุนจากกรุ๊ปของผมในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งถัดไปครับ อืม
พอได้เป็นถึงประธานพรรคแล้ว
ตอนนี้ก็คงไม่มีความโลภแล้วสินะ...ไม่ได้สนใจตำแหน่งแล้วนี่นาใช่ไหมครับ”
มีนักการเมืองที่ไหนไม่ต้องการเป็นประธานาธิบดีบ้าง
ประธานพรรคมินกูซังกัดริมฝีปากแล้วตอบกลับทันที
“รอก่อน ฉันจะหาทางเอง”
“ถ้างั้นผมจะเชื่อท่านประธานนะครับ
อีกอย่าง...รบกวนท่านประธานจัดการกับอัยการคิมซังชอลเฮงซวยนั่นด้วย
แค่ยอมคุยด้วยก็พยายามเอาตัวเองมาเทียบผม ประสาท...เข้าใจใช่ไหมครับ”
ประธานพรรคมินลุกขึ้นโดยไม่ตอบอะไร
การไม่ตอบรับคือการรักษาศักดิ์ศรีเพียงอย่างเดียวที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้
บทที่ 243 ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก (3)
[สส.โดซูยอน ตำหนิความลังเลของกลุ่มแกนนำพรรคสันติภาพเป็นหนึ่ง]
[พรรคสันติภาพเป็นหนึ่งทะเลาะกันเอง
แบบนี้ไม่เป็นไรเหรอ]
[พรรครัฐบาลและฝ่ายค้านเรียกร้องการสืบสวนพิเศษ
สุดท้ายการตัดสินใจของบลูเฮาส์จะเป็นอย่างไร]
การแถลงข่าวของ
สส.โดซูยอนทำให้พรรคสันติภาพเป็นหนึ่งโกลาหล
แน่นอนว่าการประชุมมาตรการรับมือภายในพรรคกลายเป็นสถานที่ที่ใช้รวมตัวกันประณามเธอ
ขณะที่เธอปฏิเสธการเข้าร่วมประชุมพอดี
ทุกคนจึงตำหนิเธออย่างรุนแรงโดยไม่จำเป็นต้องไว้หน้า
“กำลังเข้าใจผิดใหญ่หลวงเลยนะครับ
มันไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ไขด้วยการทำแบบนี้...”
“อวดดีไง อุตส่าห์ญาติดีด้วย
แต่กลับทำเหมือนคนอื่นเป็นขี้หมา!”
“ใจเย็น ๆ ก่อนครับ ผมไม่คิดว่า
สส.โดซูยอนจะทำอย่างนั้นโดยไม่มีเหตุผลเธอน่าจะมีความคิดอะไรบางอย่างไม่ใช่เหรอครับ”
“จะคิดอะไรล่ะ! แค่อยากดังน่ะสิ
ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาจะมาช่วยคิดให้สส.โดซูยอนสักหน่อย! ไม่รู้จักดูสถานการณ์”
“ใครกันแน่ครับที่ไม่ดูสถานการณ์!
คิดว่าตัวเองหัวร้อนเป็นคนเดียวหรือไงเราควรจะคิดอย่างมีสติไม่ใช่เหรอ!”
“ขึ้นเสียงใส่ใคร! เด็กเมื่อวานซืน”
“เด็กเมื่อวานซืน? เด็กงั้นเหรอ
พูดดี ๆ นะ! ระวังปากบ้าง!”
การประชุมมาตรการรับมือกลายเป็นความวุ่นวาย
ยูจินบก
หัวหน้าพรรคสันติภาพเป็นหนึ่งถึงกับเดินออกจากห้องประชุมพอประธานพรรคควักแทโฮได้ยินข่าวนั้นก็ตามตัว
สส.โดซูยอนมายออึยโดทันที
เขาคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่รับสาย
แต่โชคดีที่เธอไม่ได้หลีกเลี่ยง
อย่างไรก็ตาม เธอบอกว่าไม่อยากถูก สส.หลายสิบคนรุมทึ้งจึงชวนมาเจอกันในที่เงียบ
ๆ เขาเลยต้องมาพบเธอในบาร์อันเงียบสงบใกล้กับยออึยโดอย่างไม่มีทางเลือก
“สีหน้าดูดีนะ”
“ดูดีเหรอคะ มีคนโทร.มาด่าทุกชั่วโมงเลย”
“เธอก็ไม่รับโทรศัพท์หนิ”
เธอฉีกยิ้มกับคำถามของประธานพรรคควักแทโฮที่ทำหน้าบึ้งตึง
“ไม่รับโทรศัพท์เองแล้วยังไงล่ะคะ
ฉันก็ได้ยินทุกอย่างผ่านผู้ช่วยอยู่ดี”
“เธอทำอย่างนั้นทำไมกันแน่
ขอฟังเหตุผลหน่อย”
“มีเหตุผลที่ไหนคะ
ฉันแค่คิดว่าจำเป็นต้องใช้การสืบสวนพิเศษก็แค่นั้นจะบอกว่าฉันคิดเป็นอื่นเหรอคะ”
ประธานพรรคควักแทโฮจ้องเธออย่างอดกลั้นก่อนจะพูด
“สส.โดซูยอน ฉันคือควักแทโฮนะ
มือขวาของอดีตประธานาธิบดียุนพิลโฮที่ดึงเธอมาเข้าพรรคนี้
รู้ไหมว่าประธานาธิบดียุนพิลโฮเรียกฉันว่าอะไรท่านเรียกฉันว่าดวงตาที่ทำให้มองเห็นสุนทรียภาพอันงดงาม
ฉันคือดวงตาที่ใช้มองผู้คน อย่ามาโกหกต่อหน้าฉัน เธอทำแบบนั้นเพราะอะไร มันต้องมีเหตุผลไม่ใช่เหรอ”
สส.โดซูยอนคิดว่ายิ่งคุยกับเขามากเท่าไร
ตัวเองก็ยิ่งจนมุมมากขึ้นเท่านั้นมีคนรับมือง่าย ๆ อยู่ในวงการนี้ที่ไหนล่ะ
ประธานพรรคควักแทโฮจึงไม่ต่างอะไรกับจิ้งจอกเฒ่า
อย่างไรก็ตาม
เหตุผลที่ไม่หลีกเลี่ยงการพบกับเขาเป็นเพราะเธอไม่สามารถหนีไปตลอดได้
ช่วงเวลาของการเจรจาอาจจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้าเอาแต่หนีไปเรื่อย ๆ
เธอเชื่อว่าเขาจะต้องมีแผนอะไรแน่นอน
สำหรับเธอแล้ว
หนทางที่ดีที่สุดคือการขับไล่ตัวเองออกจากพรรค
แต่ว่า...
“ทำไมไม่พูดล่ะ
หรือว่าอยากออกจากพรรคงั้นเหรอถึงได้ใช้ระเบิดพลีชีพตัวเอง ทำไม พรรคสันติภาพก้าวหน้ามันสั่งให้เธอมาทำตัวกร่างหรือไง”
“พูดอะไรอย่างนั้นคะ”
“ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นก็ไม่มีเหตุผลจะต้องทำแบบนี้นี่นา
หรือเธอคิดจริง ๆว่าควรจะใช้การสืบสวนพิเศษ อย่างนั้นจริง ๆ เหรอ”
“ค่ะ
ฉันอยากใช้การสืบสวนพิเศษมาจัดระเบียบทั้งฝ่ายรัฐบาล ทั้งฝ่ายค้านให้สะอาดหมดจด”
ประธานพรรคควักแทโฮหัวเราะคิกคัก
“เหอะ ๆ
ๆ...เกิดอะไรขึ้นกันล่ะเนี่ยโดซูยอน นี่ โดซูยอน!”
“ทำไมคะ”
“ชื่อสามีเธออยู่ในสมุดบัญชีนั่นไม่ใช่เหรอ
แล้วจะมาเรียกร้องการสืบสวนพิเศษอะไร”
สส.โดซูยอนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
ตกใจมากจนลืมว่าต้องควบคุมสีหน้า
พอเห็นอย่างนั้น
ประธานพรรคควักแทโฮก็พูดเหมือนถามว่าจะตกใจอะไรขนาดนั้น
“คิดว่าตำแหน่งนี้มันเป็นตำแหน่งที่ได้เลื่อนขึ้นมาเฉย
ๆ เหรอ คิดว่าแค่อยู่มานานก็ขึ้นมาตรงนี้ได้หรือไง ไม่ใช่เลย มันไม่ใช่แบบนั้น
ระหว่างที่เดิมพันด้วยความเป็นความตายมาหลายสิบครั้ง เธอก็ต้องโชคดีพอที่จะไม่แพ้แม้แต่ครั้งเดียว
ต่อให้พวกหัวขโมยหลายร้อยคนจ้องจะหาโอกาสเล่นงาน
เธอก็ต้องมีฝีมือมากพอจะปกป้องตัวเอง ถึงจะสามารถขึ้นมาอยู่ตรงนี้ได้
แล้วคิดว่าคนอย่างฉันจะไม่รู้ความคิดในใจเธอเหรอ โดซูยอน”
“หมายความว่ายังไงคะ
ชื่อสามีฉันอยู่ในสมุดบัญชีนั่นงั้นเหรอ”
“หึ ๆ...เธอยังแสดงไม่เก่งนะ
แต่ถ้าอยากปิดบัง ฉันก็จะยอมเล่นด้วยชื่อสามี สส.โดอยู่ในสมุดบัญชีนั่น
ถ้าอัยการพิเศษขุดเจอมันจะเป็นยังไงนะ”
ตัวเธอสั่นเทา
การเดินเรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน
ประธานพรรคควักแทโฮมองเห็นความกระสับกระส่ายของเธอจึงพูดขึ้นมา
“หยุดไว้แค่นี้ดีกว่า
อยากเอาชีวิตการเมืองไปเดิมพันกับเรื่องแบบนั้นจริง ๆเหรอ”
เธอรู้สึกว่าช่วงเวลาแห่งการเลือกมาถึงแล้ว
ในช่วงเวลาที่สิ้นหวัง เสือกลับเลือกจะเจรจาแทนที่จะเข้ามาขยํ้าคอ
ถ้ายอมรับการเจรจาตรงนี้คงจะกู้ลมหายใจกลับมาได้
แต่ก็รู้ว่าอนาคตจะตกตํ่าจนกลายเป็นหุ่นเชิดของเสือตัวนี้
เคยคิดเป็นร้อย ๆ
ครั้งว่าการเป็นหุ่นเชิดก็ดีกว่าตาย แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่
“ฮู่...อย่างนั้นสินะคะ
ฉันไม่เคยรู้มาก่อน แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น แสดงว่าสามีของฉันคงจะทำผิดจริง ๆ ค่ะ”
“ว่าไงนะ”
สีหน้าของประธานพรรคควักแทโฮเปลี่ยนไปจนดูประหลาด
จะหัวเราะก็ไม่ใช่ จะโกรธก็ไม่เชิง
“ก็ถูกต้องแล้วค่ะถ้าอัยการพิเศษจะเปิดเผยทุกอย่าง
ถ้าสามีฉันทำผิดก็สมควรได้รับโทษตามกฎหมายอย่างยุติธรรม”
ท้ายที่สุดใบหน้าของประธานพรรคควักแทโฮก็บิดเบี้ยว
“บ้าเอ๊ย...”
สส.โดซูยอนลุกขึ้นก่อนอีกฝ่ายจะแสดงความโกรธออกมา
“ขอตัวก่อนนะคะ จะกลับไปถามสามี
ถ้าเกิดเขาทำผิดจริง ๆ ฉันจะเปิดโปงเองค่ะ
ท่านประธานเองก็ต้องการแบบนั้นเหมือนกันใช่ไหมคะ”
“...”
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำวันนี้ค่ะ ขอตัว...”
เมื่อเห็นเธอปิดประตูดังปังแล้วเดินออกไป ประธานพรรคควักแทโฮก็ตระหนักได้ว่าตัวเองประเมินสถานการณ์ผิด
นี่ไม่ใช่การข่มขู่
ตอนแรกเขาตั้งใจมาสืบให้แน่ใจว่าทำไมเธอถึงทำแบบนั้นแต่กลับพลาดที่รีบร้อนต้อนเธอจนมุมแล้วหงายไพ่ออกมาให้เห็น
เขากดโทร.ไปหาใครบางคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ตลอดเวลาที่เดินทางกลับบริษัท ยองฮุนไม่อาจยับยั้งความรู้สึกอึดอัดใจได้
เห็นได้ชัดว่ามีอะไรบางอย่าง...แต่ดูเหมือนไม่ใช่ปัญหาใหญ่ถึงขั้นต้องให้คนไปสืบเรื่องนี้โดยเฉพาะ
แค่รู้สึกไม่สบายใจถ้าจะปล่อยไปเฉย ๆ เท่านั้น
อาจเป็นเพราะกลับเข้าบริษัทด้วยความรู้สึกแบบนั้น
ยอนฮีจึงรับรู้ได้ทันทีว่ายองฮุนรู้สึกกังวลบางอย่าง
“ทำไม งานที่ออกไปทำไม่ค่อยโอเคเหรอ”
“หา? เปล่า...ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก
ว่าแต่นั่นคืออะไร”
ในมือของยอนฮีถือรายงานกระดาษหลายแผ่น
เธอรีบวางรายงานลงบนโต๊ะของยองฮุนก่อนจะตอบ
“พี่เคยพูดแบบนั้นนี่นา
ว่าที่ดินในฮานัมน่ะ เราจำเป็นต้องสร้างคอนโดเหมือนคนอื่นด้วยหรือไง”
“จะสร้างก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
แค่อย่าพยายามตักตวงผลประโยชน์จากมันมาก”
“นั่นแหละ
นั่นแหละ...เอาเป็นว่าฉันลองคิดมานิดหน่อย”
“นี่น่ะเหรอ”
“อื้อ ลองอ่านดูก่อน”
ยองฮุนเริ่มอ่านรายงาน
ยอนฮีจึงทิ้งตัวลงบนโซฟา
ดูจากสีหน้าที่มั่นใจมากแล้ว
เห็นได้ชัดว่าคงจะทุ่มเทแรงกายแรงใจพอสมควร
หลังจากอ่านอย่างละเอียดอยู่สักพัก
ยองฮุนก็วางรายงานแล้วถาม
“ฉันไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับด้านนี้เท่าไหร่
เลยไม่แน่ใจว่าดีหรือไม่ดี แต่ถ้าเป็นฮานัม มันไม่ไกลเหรอ”
“ไกลเหรอ”
“อืม มันไม่ได้ใกล้โซลนี่นา”
ยอนฮีโบกนิ้วชี้เหมือนจะบอกว่าช่างไม่รู้อะไรเลย
“ไม่รู้เรื่องเลยสินะ ถ้าฮานัมไกล
คนจะไปตีกอล์ฟถึงชอลลา ถึงชุงชองทำไมล่ะ”
“เรื่องนั้น...”
พูดตามตรงว่าไม่รู้
เนื่องจากไม่ได้ชอบเล่นกอล์ฟ
เขาจึงไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่ชื่นชอบกอล์ฟจนยอมออกต่างจังหวัดหรือออกไปถึงต่างประเทศเลยสักนิด
“ถึงมันจะมีเหตุผลหลาย ๆ อย่าง
แต่เรื่องที่สำคัญที่สุดคือ เพราะมันจำเป็นต้องไปที่นั่นไง
ต้องไปที่นั่นเท่านั้นถึงจะสนุก ถ้าอย่างนั้นระยะทางก็ไม่ใช่ปัญหา
แน่นอนนี่เป็นความคิดของฉันนะ”
“มันก็จริง...แต่มันไม่สะดวกไม่ใช่เหรอ”
“ไม่สะดวกอะไร ผู้หญิงที่มีเงินมีเวลาเยอะ
เขาไม่ได้ขับรถเองกันสักหน่อยคงให้คนขับรถพามานั่นแหละ”
“อ๋อ...”
“พี่ไม่รู้ละสิว่าพวกผู้หญิงรวย ๆ
น่ะหงุดหงิดแค่ไหนเวลาเบื่อ จะให้ทำงานบ้านเหรอ จะตรวจการบ้านลูกเหรอ
หรือจะให้ไปทำงานบริษัท รู้ไหมว่าทำไมถึงเอาแต่หมกมุ่นกับงานอดิเรกทุกประเภท เพราะเบื่อไง
เบื่อ ๆ ก็เลยอยากมารวมตัวเมาท์กัน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากเจอคนระดับเดียวกับตัวเอง”
“งั้นเหรอ”
“แหงสิ ส่วนผู้ชายรวย ๆ
ถึงแพตเทิร์นจะคนละแบบ แต่ก็เหมือนกันอยู่ดีเพราะอยากคบค้าสมาคมกับคนระดับเดียวกัน
ทั้งสนุกทั้งได้ออกกำลังกายด้วย เหมือนกับการตีกอล์ฟที่ไม่มีเงินก็ไม่สามารถลงสนามได้ง่าย
ๆ ผู้หญิงก็เป็นเหมือนกัน”
“อืม...พอฟังแล้วก็ดูเข้าท่านะ”
“ใช่ไหมล่ะ”
“แต่ค่าใช้จ่ายมัน...ค่อนข้างสูงอยู่”
ค่าก่อสร้างดีไซน์เซ็นเตอร์แบบผสมผสานที่ระบุไว้ในรายงานราว
ๆ สามแสนล้านวอน
“ไม่สูงเท่าห้างนะ”
ยอนฮียักไหล่พร้อมกับพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่
พอฟังแบบนั้นแล้วก็รู้สึกว่าจริง
ยองฮุนจึงพยักหน้า
“ได้
นัดมีตติ้งกับเจ้าหน้าที่ฝั่งก่อสร้างแล้วกัน”
“โอเค ว่าแต่เล่ามาซิ พี่เป็นอะไร
ทำไมทำหน้าแบบนั้นตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
“ฉันไปเจออัยการคิมซังชอลมา แต่รู้สึกเหมือนเขาคิดเป็นอื่น”
“คิดเป็นอื่น?”
“อือ
เขาอาจจะรู้ตัวว่ามีวิธีก้าวเข้าสู่วงการการเมืองได้แล้วหรือเปล่า
ถึงพยายามเปิดทางของตัวเอง”
“ฝ่ายเราเสียเปรียบเหรอ”
“ฉันไม่ได้กังวลเพราะเขาเป็นคนทรยศ
แต่เพราะเขาเป็นคนไม่รอบคอบแล้วก็ไม่คิดจะสังเกตคนอื่นต่างหาก”
“แปลว่าอาจจะทำพลาดได้สินะ”
“อืม เพราะอย่างนั้นเลยกังวล ไม่รู้สิ
ปีนี้ก็ไม่มีดวงถูกติฉินนินทาจนต้องห่วงอะไรมากมาย รอดูกันก่อนเถอะ”
ยองฮุนตัดสินใจหยุดกังวลเรื่องไร้สาระและโฟกัสไปที่ประเทศไทย
จนกระทั่ง สส.ชอนโบยุนขอนัดพบ
กลางดึกจวนเกือบเที่ยงคืน สส.ชอนนัดพบยองฮุนที่ริมแม่นํ้าฮัน
ถึงเวลาจะไม่เหมาะสม
แต่เพราะคิดว่าคงจะมีเรื่องบางอย่าง ยองฮุนจึงออกมาแม้ยอนฮีจะทำสีหน้าไม่พอใจ
พอมาถึงก็เป็นอย่างที่เขาคาดเดาไว้
เมื่อเจอรถของ
สส.ชอนโบยุนก็เปิดประตูหลังขึ้นไปนั่ง
อีกฝ่ายถอนหายใจและต้อนรับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ขอโทษที ที่เรียกมาเวลานี้”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ไม่อะไรล่ะ...ยังข้าวใหม่ปลามันอยู่
ผู้หญิงคนไหนจะชอบคนที่เรียกสามีตัวเองออกมาเวลานี้
คราวหลังฉันคงต้องให้ของขวัญภรรยานายแล้วสิ”
“ไม่เป็นไรครับ เธอโตมาแบบไม่ขาดเหลืออะไร
ให้มารับของขวัญง่าย ๆคงไม่ชอบใจเท่าไหร่ ว่าแต่มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
“อืม...”
สส.ชอนถอนหายใจและเม้มริมฝีปากอยู่สักพัก
ก่อนจะอ้าปากพูด
“ประธานพรรคมินกูซังกำลังกดดันฉัน”
“ยังไงครับ...”
“อาจจะรู้ว่าฉันมีส่วนเกี่ยวข้องกับทีมสืบสวน
เลยมาคุยกับฉันเรื่องสมุดบัญชี ตอนแรกก็คิดว่าเรื่องนี้คงราบรื่นดี แต่สุดท้ายดันมีแมลงวันแปลก
ๆเข้ามาตอม เขารู้จักสมุดบัญชีนั่นได้ยังไงนะ”
“เขาว่ายังไงบ้างครับ”
“บอกว่ามีสมุดบัญชีที่บันทึกเกี่ยวกับการทุจริตของนักกฎหมายอยู่
แต่ตอนนี้ทีมสืบสวนพยายามจะปกปิดมัน”
“มาขอให้เลิกปกปิดแล้วสืบสวนต่อจนจบเหรอครับ”
“ถูกต้อง เรื่องนี้มันพัวพันกันแปลก ๆ
พอเห็นโดซูยอนหยิบเรื่องอัยการพิเศษขึ้นมาพูด
จนทำให้พรรคฝ่ายค้านตกอยู่ในความวุ่นวายก็ตบเข่าฉาดเลยนั่นเป็นวิธีที่น่าทึ่งมาก
แต่นึกไม่ถึงว่าทางฝั่งฉันคิดจะยอมรับเรื่องนั้นจริง ๆแถมยังเป็นประธานพรรคอีก”
“เขาน่าจะมีเหตุผลนะครับ”
“นั่นแหละ
ปัญหาก็คือเขาไม่ยอมบอกเหตุผลนั้น”
“ไม่ได้ครับ
มันไม่เพียงแต่ทำให้เรื่องใหญ่ขึ้น แต่การดำเนินงานของ
สส.โดซูยอนก็จะลำบากมากขึ้นด้วยครับ”
“ฉันรู้ ก็เลยเป็นปัญหาไง
แล้วจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี”
“ต้องรู้ก่อนว่าทำไมประธานพรรคมินกูซังถึงทำแบบนั้น
ผมจะลองไปเจอเขาดูครับ”
“นาย? กับประธานพรรคมิน?
เจอแล้วจะทำยังไง”
“ลองคุยไงครับ ว่ามีเหตุผลอะไรกันแน่”
“อืม...เดี๋ยวฉันจะลองหาโอกาสให้ดูเป็นธรรมชาติ
แต่ว่า...เขาพูดจาแปลก ๆ”
“ครับ? หมายถึง...”
“บอกว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อพรรคน่ะสิ
เพื่อพรรค....น่าจะทำข้อตกลงกับใครสักคนไว้...”
“ท่าน
สส.กังวลเรื่องพรรคหรือกังวลเกี่ยวกับเขาครับ”
“ทั้งสองอย่าง
อีกอย่างมันไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าฉันจะได้ที่หนึ่งในการเลือกตั้งประธานาธิบดี
โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งการสนับสนุนจากประธานพรรคมินกูซังเพราะเขาเป็นทั้งผู้สนับสนุนและเพื่อนร่วมพรรคที่สนิทที่สุดของฉัน”
มันคือโอกาสทอง
สส.ชอนโบยุนไม่อยากพลาดโอกาสแบบนี้ที่เข้ามาหาตัวเอง
บทที่ 244 ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก (4)
การนัดพบกับประธานพรรคฝ่ายรัฐบาล อย่าง สส.มินกูซังไม่ใช่เรื่องยาก
เพราะ สส.ชอนโบยุนบอกประธานพรรคมินกูซังว่า
ในการปฏิบัติตามคำสั่งนั้น จำเป็นต้องใช้ความช่วยเหลือของเอชเอสกรุ๊ปเท่านั้น
ประธานพรรคมินกูซังจึงแสดงความตั้งใจว่าอยากนัดพบผ่าน
สส.ชอนยองฮุนเลยเดินทางไปยังบาร์อันเงียบสงบในยออึยโดซึ่งเป็นสถานที่นัดพบทันที
บาร์ใต้ดินที่มีดนตรีคลาสสิกดังคลอ ๆ
มีลูกค้าไม่เยอะมากนัก การตกแต่งภายในก็เป็นแบบดั้งเดิมด้วยเช่นกัน
ในความรู้สึกของยองฮุนที่เคยไปบาร์หรู ๆ
หลายต่อหลายครั้งเพราะเรื่องงานที่นี่เป็นบาร์เก่าแก่จนเรียกได้ว่าอยู่เหนือความคาดหมายเล็กน้อย
“ท่านกำลังรออยู่เลยครับ”
พนักงานนำทางยองฮุนไปที่โต๊ะโดยไม่ถามด้วยซํ้าว่ามาหาใคร
พอเดินตามเข้าไปถึงด้านในสุด
ก็มีหนุ่มใหญ่รูปร่างภูมิฐานแย้มยิ้มให้ด้วยสีหน้าโอบอ้อมอารี
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ พูดสบาย ๆ
ได้ใช่ไหม”
“แน่นอนครับ
ผมชเวยองฮุนจากเอชเอสการผลิตครับ”
“ฉันมินกูซัง นั่งสิ”
ทันทีที่ยองฮุนนั่งลงหลังจากจับมือกัน อีกฝ่ายก็รินเหล้าใส่แก้วออนเดอะร็อคให้
“ที่นี่ดูเก่านิดหน่อยใช่ไหมล่ะ
มันเป็นบาร์ที่อยู่มาตั้งแต่ฉันเริ่มเล่นการเมืองแรก ๆ เลย”
“เป็นสถานที่ที่มีประวัติยาวนานสินะครับ”
“ตอนแรกอยู่อีกตึก ไม่ใช่ตึกนี้หรอก
แต่ย้ายมาที่นี่ได้ประมาณสิบห้าปีแล้วมันเป็นร้านที่ให้ความสบายใจเหมือนบ้านฉัน”
หมายความว่าที่นี่คือสถานที่ที่มอบความมั่นคงทางจิตใจให้นั่นเอง
“อย่างนั้นสินะครับ”
“ได้ยินมาว่านายยังหนุ่ม
แต่เด็กกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะ”
“จริงเหรอครับ”
“ฉันเคยดื่มกับประธานใหญ่อิมชางโฮเมื่อนานมาแล้ว
น่าจะเกินสิบปีแล้วละ ยูเครนหรือเปล่านะ หรือที่ไหน
ตอนนั้นราคาธัญพืชพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนพวกเกษตรกรโวยวายยกใหญ่ว่ากระทบการเลี้ยงปศุสัตว์
หลังความอลหม่านจบลงแล้วเลยรีบนำเข้ามาประมาณล้านตัน”
“ครับ”
“นายไม่รู้สินะ หึ
ๆ...ตอนนั้นฉันซาบซึ้งมาก มันเป็นข้อตกลงที่ฮยอนจินการผลิตไม่ได้อะไรเลย ประธานใหญ่อิมเลยชักสีหน้าโวยวายว่าให้ฉันเลี้ยงอาหารหนึ่งมื้อ
ฉันก็เลี้ยงนะ ในร้านอาหารญี่ปุ่นที่แพงมากด้วย แต่ไม่รู้สิ หลังจากกินเสร็จ
เขาก็ตะคอกใส่ฉัน”
“ทำไมท่านประธานใหญ่อิมถึงทำอย่างนั้นล่ะครับ”
“บอกว่าฉันเลี้ยงแต่เหล้า
ขึ้นเสียงใส่ว่าฉันเอาแต่ตักตวงผลประโยชน์จากตัวเอง ตอนนั้นฉันงงมาก...ฮ่า ๆ ๆ!
จำขึ้นใจเลย”
เอาคนตายออกมายกตัวอย่างแปลก ๆ
มันมีความหมายแฝงว่าถ้าคิดจะขออะไรไม่เข้าท่าก็ให้ล้มเลิกความตั้งใจไปซะ
แต่ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้น
เขากลับสงสัยเกี่ยวกับความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์อันน่าประหลาดที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของอีกฝ่าย
“ตอนนั้นคงผิดหวังน่าดูสินะครับ”
“ไม่หนิ จะผิดหวังทำไม
นักการเมืองก็มีเหตุผลของนักการเมือง
นักธุรกิจก็มีเหตุผลเฉพาะของนักธุรกิจไม่ใช่เหรอ ฉันไม่ใช่คนใจแคบขนาดนั้นหรอก”
“โล่งอกไปทีครับ”
“ประธานอิมชางโฮเป็นคนเข้มงวดมาก
เรียกว่าไม่มีการผ่อนปรนเลยได้ไหมนะ สมกับเป็นชายชาตรี”
ยองฮุนพยักหน้านิ่ง ๆ
ประธานพรรคมินจิบชาผู่เอ๋อร์ที่โอ้อวดว่านำเข้ามาจากประเทศจีนก่อนจะพูดต่อ
“ฉันได้ยินมาจาก
สส.ชอนว่านายสนิทกับอัยการคิมซังชอลเหรอ
แล้วก็คอยกำกับอยู่เบื้องหลังคดีของโจชียอนครั้งนี้ด้วย”
ยังเลือกใช้คำได้คมคายเช่นเคย
แม้จะเป็นอย่างนั้น
แต่สีหน้ากลับอบอุ่นมีเมตตาจนคนธรรมดาไม่มีทางเดาความคิดในใจได้
“จะเรียกว่ากำกับมันก็ยังไง ๆ อยู่...”
“ฉันว่ากำกับมันทำให้เข้าใจง่ายกว่าคำว่าควบคุมนะ
มันเกินไปงั้นเหรอ”
“จากที่ได้ฟัง
ผมว่าทั้งสองคำก็ความหมายเดียวกันนะครับ”
“อย่างนั้นสินะ งั้นนายลองอธิบายมาซิ
ถ้าไม่ใช่กำกับ ไม่ใช่ควบคุม แล้วมันคืออะไร”
“ช่วยเหลือครับ”
“ฮ่า ๆ ๆ! จริงสิ
จะใช้คำนั้นก็ได้เหมือนกัน ช่วยเหลือ...ปกติแล้ว คำว่าช่วยเหลือเนี่ย
จะเอามาใช้ก็ต่อเมื่อฝ่ายตรงข้ามตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากมาก ๆถึงจะพูดแบบนั้น
แต่เท่าที่ฉันรู้มา ผู้อาวุโสคนนั้นรํ่ารวยมากเลยหนิ
แถมยังได้ยินมาว่าเป็นเจ้าหนี้นอกระบบหากินด้วยการรังแกคนลำบากอีก”
“ถึงจะไม่รู้แน่ชัดว่ารังแกยังไง แต่จริง
ๆ นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมสนใจครับ ผมช่วยเพราะมีเหตุผลที่สมควรช่วย
แล้วก็ไม่เสียใจกับการตัดสินใจนั้นครับ”
“มั่นใจน่าดูเลยนะ”
“ท่านประธานดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบบริษัทผมเท่าไหร่
ถูกไหมครับ”
เมื่อยองฮุนถามอย่างตรงไปตรงมา
อีกฝ่ายก็แย้มยิ้มทันที
“ทำไมฉันต้องไม่ชอบนักธุรกิจด้วยล่ะ
เข้าใจผิดแล้ว ฉันชอบพวกนักธุรกิจไฟแรงนะ
โดยเฉพาะนักธุรกิจที่ให้ความร่วมมือช่วยส่งแรงงานจำนวนมากให้ได้กลับเข้าทำงานอย่างนาย
ฉันจะเกลียดลงได้ยังไง ต้องขอบคุณนายที่ทำให้พวกเราได้รับความช่วยเหลือครั้งใหญ่
ขอบคุณมาก”
“ไม่ใช่หรอกครับ
มันแค่บังเอิญเป็นแบบนั้นพอดี ว่าแต่เหตุผลที่นัดเจอผม...”
ประธานพรรคมินเงียบไปสักพักถึงค่อยเกริ่นเรื่องราว
“ฉันมาจากซาชอน คยองนัม ไม่ว่าจะตอนนี้หรือแต่ก่อนมันก็คือบ้านนอกดี
ๆ นี่เอง แต่น่าประหลาดใจมาก
ถ้าถัดไปอีกหนึ่งหมู่บ้านจากตรงนั้นจะมีเด็กสามคนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน
ผู้ใหญ่บ้านกับคนในหมู่บ้านต่างภาคภูมิใจว่าเด็กพวกนี้จะต้องกลายเป็นคนใหญ่คนโตของประเทศชาติแน่นอน”
ขณะกำลังเล่าเรื่องที่ไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไรกันแน่
ยองฮุนก็จับตามองเงียบ ๆ
ประธานพรรคมินดื่มชาผู่เอ๋อร์จิบหนึ่งแล้วเล่าต่อ
“ทั้งสามคนฉลาดก็จริง
แต่ก็แข่งขันกันเองด้วย เลยตั้งใจเรียนกันมาก ๆต่างคนต่างผลัดกันได้ที่หนึ่ง
แต่โรงเรียนบ้านนอกน่ะ มีนักเรียนรวมกันทั้งโรงเรียนยังไม่ถึงยี่สิบคนด้วยซํ้า
ดังนั้นทั้งสามคนเลยไม่รู้ว่าตัวเองฉลาดแค่ไหน กระทั่งย้ายมาเรียน ม.ต้นกับ
ม.ปลายในเมือง
ถึงได้รู้ว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่นหลังจากนั้นคนหนึ่งก็ได้เข้าคณะรัฐศาสตร์
สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหา’ลัยโซล คนหนึ่งไปเรียนต่อเมืองนอก นายคงจะเดาออก
ฉันคือคนที่เข้ารัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของมหา’ลัยโซล
ส่วนคนที่เคยบอกว่าจะไปเรียนเมืองนอกแล้วเป็นนักวิทยาศาสตร์ ไม่รู้อะไรเข้าสิง
อยู่ ๆก็บอกว่าจะพัฒนาอะไรสักอย่างแล้วก่อตั้งบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมา เจ้านั่นคือคังฮีซอง
ประธานใหญ่ของโอซองอิเล็กทรอนิกส์ในตอนนี้”
“แล้วอีกคนที่เหลือล่ะครับ”
ประธานพรรคมินมองยองฮุนด้วยสายตาแฝงความรู้สึกผิด
จากนั้นก็ตอบด้วยเสียงทุ้มตํ่า
“เข้าคณะนิติศาสตร์ มหา’ลัยโซล
พวกเราคิดว่ามันเหนือความคาดหมายเพราะเพื่อนคนนั้นจนมาตั้งแต่เด็ก และเกลียดความยากจนเข้าเส้น
จนนึกว่าจะเข้าคณะเศรษฐศาสตร์เพื่อหางานในบริษัทดี ๆ ทำ แต่ดันเข้าคณะนิติฯทั้ง ๆ
ที่ครอบครัวไม่สามารถซัปพอร์ตได้...ฉันกับฮีซองเป็นห่วงมาก
แต่เพื่อนคนนั้นเป็นอัจฉริยะกว่าที่พวกเราคิด สอบเนติฯผ่านก่อนจะเรียนจบซะอีก
ช่างเป็นเพื่อนที่น่าทึ่งจริง ๆ”
“เก่งมากเลยนะครับ”
“ใช่ เก่งมาก ฉลาด
มั่นคงในจุดยืนของตัวเอง แล้วก็สวยด้วย...พวกเราชอบเพื่อนคนนั้นกันทั้งคู่”
“ผู้หญิงเหรอครับ”
“ใช่ ผู้ชายสองคนกับสาวสวยหนึ่งคน
เพราะเราสามคนเป็นเพื่อนกันทุกคนเลยคิดว่าโศกนาฏกรรมความรักถูกกำหนดไว้แล้ว คงจะต่อยกันแน่
ๆนายเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันใช่ไหม”
“พูดตรง ๆ
ว่าพอฟังแล้วก็คิดอย่างนั้นครับ”
ประธานพรรคมินยิ้มกว้าง
“ก็สมควรแหละ
แต่ฉันกับฮีซองไม่กล้าบอกชอบเธอทั้งคู่ รู้ไหมว่าทำไม”
“ทำไมเหรอครับ”
“เพราะกลัว”
“ครับ?”
“เธอเป็นผู้หญิงที่น่ากลัว ฉลาดมาก และรู้จักใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเพื่อประโยชน์ของตัวเอง
ฉันกับฮีซองรู้เรื่องนั้นดี เพราะเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ
เพราะฉะนั้นพวกเราเลยทั้งชอบทั้งกลัวเธอไปพร้อม ๆ กัน”
อีกฝ่ายยืดหลังตรงก่อนจะพูดต่อ
“ชินฮาอึน คือชื่อของเธอ
มีชื่ออยู่ในสมุดบัญชีเล่มสุดท้ายของโจชียอนด้วย”
“แล้วยังไงต่อ”
“เธอรู้ความลับมากมายของโอซองอิเล็กทรอนิกส์
แถมยังรับผิดชอบคดีปลอมแปลงราคาหุ้นของทายาทโอซองอิเล็กทรอนิกส์อีก”
ตอนนั้นยองฮุนเลยเข้าใจว่าทำไมถึงต้องเล่าเรื่องยาวขนาดนี้
“ดังนั้นเลยจะขอให้สืบสวนสมุดบัญชีนั่นต่อ
เพื่อไม่ให้เธอรับผิดชอบคดีนี้งั้นเหรอครับ”
“ถ้าจะพูดให้ชัด ๆ จุดประสงค์ฉันคือ
ทำให้เธอปลดเกษียณอย่างอัปยศโดยรวมคดีนั้นเข้าไปด้วยต่างหาก”
“เดี๋ยวนะ...”
นึกไม่ถึงเลยว่าสมุดบัญชีของโจชียอนจะสร้างผลกระทบเกี่ยวพันเป็นลูกโซ่แบบนี้
ซึ่งสิ่งที่เขาสงสัยก็คือ เพราะอะไรประธานพรรคมินกูซังถึงรู้ดีถึงขนาดที่ว่าในสมุดบัญชีของโจชียอนมีชื่อใครอยู่บ้าง
ไม่มีทางที่โจชียอนจะเที่ยวเอาไปเล่าที่ไหนแน่...
“ท่านประธานรู้ได้ยังไงครับ
เกี่ยวกับสมุดบัญชี”
“ปากคนเรามันเบามากนะ ลองคิดดูสิ
ในเมื่อมั่นใจว่าไม่ได้ทิ้งหลักฐานใด ๆ ไว้ แต่ถ้ามีคนมาบอกว่าจะให้เงินหลายร้อยล้าน
แลกกับคำพูดเพียงคำเดียวใครมันจะหลีกเลี่ยงสิ่งล่อใจได้ล่ะ”
“คงยากครับ”
“ถูกต้อง มันยากมาก
ดูยังไงก็ไม่มีอะไรเบาเหมือนปากคนหรอก”
“แปลว่ามีใครบางคนในทีมสืบสวน
แพร่งพรายเรื่องสมุดบัญชีให้ข้าราชการระดับสูงทราบเรียบร้อยแล้วสินะครับ”
“ใช่ จะคิดว่าคนที่ควรรู้เรื่องสมุดบัญชีรู้กันหมดแล้วก็ได้
แน่นอนว่าคนที่สมควรรู้เรื่องนั้น อย่างน้อย ๆ ก็มีอำนาจพอกันกับฉัน
หรือคนที่มีฐานะเทียบเท่าเขา
โอซองประเมินว่าตอนนี้คือโอกาสทองที่สามารถกำจัดระเบิดที่ชื่อชินฮาอึนได้”
ยองฮุนถอนหายใจเฮือกใหญ่
เรื่องมันพัวพันกันอย่างน่าประหลาด การสืบสวนควรจบลงเพียงเท่านี้
แต่กลับมีคนพยายามจะใช้เหตุผลของตัวเองสร้างหมากกระดานใหม่ปรากฏตัวออกมา
ยองฮุนจึงพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ
“ขอโทษนะครับ
แต่ผมคิดว่าการดึงสมุดบัญชีนั่นออกจากการสืบสวนมันน่าจะดีกว่า
ภายในสำนักงานอัยการรับมือไม่ไหวครับ”
ถึงจะไม่ได้บอก
แต่เห็นได้ชัดว่าถ้าหากเรื่องมันใหญ่ขึ้น
โจชียอนที่ตั้งใจจะพักผ่อนอย่างสบายใจหลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นคงไม่ทนดูอยู่เฉย ๆ
แน่นอน
ตอนนี้สื่อทุกสำนักกำลังตามหาโจชียอนทุกวัน แต่ถ้าเรื่องมันใหญ่ขึ้นแล้วกลายเป็นสถานการณ์ที่มีผลประโยชน์ของบริษัทยักษ์ใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้อง...
“เราอย่าอ้อมค้อมกันดีกว่า
สถานการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับนายตอนนี้คืออะไรนายได้ผลประโยชน์อะไรกันแน่”
“ผม...”
ไม่มี
เพราะมันไม่มีข้อเชื่อมโยงระหว่างคดีทุจริตของโจชียอนกับเอชเอสกรุ๊ปอยู่แล้ว
อย่างที่บอก
ไม่ว่าจะมีใครตายเพราะสมุดบัญชีนั้น หรือคดียุติลงอย่างสมบูรณ์แบบ
เขาก็ไม่ได้มีอะไรต้องใส่ใจ
“ไม่มีใช่ไหม ถ้างั้นก็ดี ช่วยฉันหน่อยสิ”
“แล้วท่านประธานล่ะครับ”
“ผลประโยชน์ของฉันเหรอ มีสิ
ถึงจะบอกไม่ได้ แต่มีเหตุผลกับผลประโยชน์มากพอจนต้องโน้มน้าวและยอมเล่าเรื่องเก่า
ๆ ของตัวเองให้นายฟัง”
ไม่ง่ายซะแล้ว
“ฮู่...อย่างนั้นสินะครับ”
“ลำบากใจหรือไง”
“ขอโทษครับ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ลำบากใจอยู่ดี”
โดซูยอนถึงขั้นจัดงานแถลงข่าวแล้ว
และตอนนี้โดซูยอนก็กลายเป็นไพ่ที่ไม่สามารถทิ้งได้สำหรับ สส.ชอนโบยุนแล้วด้วย
“ฉันไม่อยากทำถึงขนาดนี้หรอกนะ
แต่มันก็ไม่มีทางเลือก
รู้ใช่ไหมว่าพวกฉันกับรัฐบาลกาตาร์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก”
“คิดจะผลักพวกผมออกจากออร์เดอร์เรือขนส่ง LNG
เหรอครับ”
“ตอนท่านประธานาธิบดีเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมสุดยอดที่กาตาร์
ฉันก็สานสัมพันธ์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของกาตาร์ไว้
ตอนนั้นฉันได้รับคำสัญญาว่าจะช่วยสนับสนุนเรือขนส่ง LNG ของเกาหลีด้วยนะ
การจะขอให้เขาตัดบริษัทออกสักแห่ง มันไม่ใช่เรื่องยากเลย”
“นั่นสิครับ”
“ลองคิดดูดี ๆ แล้วกัน ถึงตอนนี้ฉันจะขู่
แต่ถ้านายสนิทกับฉัน ผลลัพธ์ก็อาจจะตรงกันข้ามไม่ใช่เหรอ”
“ผมจะจำให้ขึ้นใจครับ”
“จะให้คำตอบได้เมื่อไหร่”
“ภายในสัปดาห์หน้าผมจะให้คำตอบครับ”
“ช้าไป ฉันให้เวลาสามวัน ต้องได้คำตอบ”
“ได้ครับ ขอตัวนะครับ...”
หลังจากแยกกับประธานพรรคมินกูซังแล้ว
ยองฮุนก็มุ่งหน้าไปที่ริมแม่นํ้าฮันทันที
ยองฮุนก้าวขึ้นรถที่จอดรออยู่ล่วงหน้าในจุดเดียวกัน
ก่อนจะพูดกับ สส.ชอนที่สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
“ลำบากแล้วครับ”
“ทำไม ยากเหรอ”
“ครับ ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะโน้มน้าวได้”
“ถ้าอย่างนั้น?”
“ตัดขาดได้ไหมครับ”
สส.ชอนส่ายหน้าพร้อมสีหน้าหนักใจ
“ไม่ได้ เขาไม่ใช่แค่ สส.ธรรมดา
แต่เป็นถึงประธานพรรคนะ ถ้าไม่มีการสนับสนุนของเขา
การเลือกตั้งประธานาธิบดีจะกลายเป็นเกมที่ยากมาก”
“ถ้างั้นจะทิ้ง สส.โดซูยอนเหรอครับ”
“ก็ต้องอย่างนั้น มันไม่มีทางเลือก”
ยองฮุนขมวดคิ้ว
จากนั้นก็พูดด้วยนํ้าเสียงสงบเหมือนกำลังตักเตือน
“ท่าน สส.ครับ”
“หือ?”
“ที่เอชเอสกรุ๊ปคิดจะร่วมมือกับท่าน สส.
เป็นเพราะเห็นว่าท่าน สส.จะสามารถเป็นประธานาธิบดีได้นะครับ”
“ฉันรู้น่า เพราะฉะนั้น...”
“แล้วจะทิ้งโดซูยอนเพื่อไปร่วมมือกับมินกูซังงั้นเหรอครับ”
“นายคิดว่ามันผิดเหรอ”
“ผิดครับ
มันคือสถานการณ์ที่ต้องหวังพึ่งมือของโดซูยอน แม่ทัพของศัตรูที่ยอมจำนนต่อฝ่ายเรา
แล้วประธานพรรคมินกูซังล่ะครับ”
“นั่น...”
“ถ้าจะให้เปรียบก็เป็นเหมือนอัครมหาเสนาบดีที่ระแวงท่าน
สส.ชอนครับ”
“ว่าไงนะ ระแวงฉันเนี่ยนะ”
“ประธานพรรคมินกูซังจะไม่สนับสนุนท่าน
สส.ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ครับ เพราะเขาจะสมัครประธานาธิบดีด้วยตัวเอง
การไว้ใจและติดตามเขาก็เหมือนบอกว่าจะยอมแพ้กับการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ครับ”
สส.ชอนโบยุนกะพริบตาเหมือนไม่อยากเชื่อ
บทที่ 245 สงครามกลางเมือง (1)
“พูดเรื่องอะไร ประธานพรรคมินจะลงเลือกตั้งประธานาธิบดีทำไม ถ้าคิดจะลงก็คงไม่เป็นประธานพรรคตั้งแต่แรก”
“นั่นไม่ใช่ความคิดของท่าน
สส.คนเดียวเหรอครับ”
“ไม่ใช่ความคิดฉันคนเดียว
ตอนเลือกตั้งประธานพรรคก็มีกฎกลาย
ๆว่าคนที่เป็นประธานพรรคต้องสนับสนุนผู้สมัครประธานาธิบดี มันไม่ใช่ความคิดของฉัน
แต่เป็นความคิดของคนทั้งพรรค”
“ผมเคยเห็นจากที่ไหนสักที่
ไม่แน่ใจว่าจากข่าวหรือคอมเมนต์ เขาบอกว่าการเมืองเป็นเหมือนสิ่งมีชีวิต
ตอนนั้นอาจจะคิดเห็นตรงกันในเรื่องแบบนั้น
แต่ตอนนี้มันยังเป็นอย่างนั้นอยู่หรือเปล่าล่ะครับ”
“พวก สส.ในพรรคคงจะประท้วง”
“อาจจะใช่ครับ
เพราะบอกว่าเคยมีความรู้สึกร่วมในตอนนั้น
แต่ถ้าเกิดทำให้คิดว่าหากไม่ใช่ประธานพรรคมินก็จะพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้
ผลจะเป็นยังไงล่ะครับ พอถึงเวลานั้นพวก
สส.จะปฏิเสธประธานพรรคมินกูซังได้เต็มปากเหรอครับ”
“...”
แน่นอนว่า สส.ชอนไม่สามารถตอบได้
การเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นเกมทีมที่ต้องชนะอย่างไม่มีข้อแม้ เพื่อชัยชนะแล้ว
คำมั่นสัญญาในอดีตมันก็สามารถลบเลือนกันได้
ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่ใช่สัญญาด้วยซํ้า
จะเอาเพียงแค่ความเห็นพ้องต้องกันมาเป็นปัญหางั้นเหรอ
คำตอบออกมาแล้ว
“มีความเป็นไปได้สูงมากที่โอซองอิเล็กทรอนิกส์จะสนับสนุนประธานพรรคมินกูซังมาจนถึงตอนนี้
เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างผมกับท่าน
สส.ครับเขาต้องการผลักผู้พิพากษาที่ชื่อชินฮาอึนออก
เพราะรับคำขอร้องของโอซองอิเล็กทรอนิกส์มา”
“โอซองอิเล็กทรอนิกส์? โอเค
ฉันรู้ว่าประธานใหญ่คังของโอซองอิเล็ก-ทรอนิกส์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประธานพรรคมินมาก
แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยได้ยินเลยนะ
ว่าทางนั้นคอยให้การสนับสนุนกิจกรรมทางการเมืองของเขาเพราะก่อนหน้านี้โอซองอิเล็กทรอนิกส์สนับสนุนพรรคฝ่ายค้านมาก”
“อย่างนั้นสินะ
แต่เรื่องนั้นมันจะสำคัญอะไรล่ะครับ”
“ก็จริง...ถ้าโอซองอิเล็กทรอนิกส์มีสิ่งที่ต้องการแล้วประธานพรรคมินยอมทำตาม
แค่นั้นมันเพียงพอแล้วที่ทำให้โอซองผลักดันประธานพรรคมินในการลงสมัครประธานาธิบดี
ว่าแต่ผู้พิพากษาคนนั้นเกี่ยวอะไร”
“เห็นว่าเธอรับผิดชอบคดีสำคัญที่เกี่ยวกับโอซองอิเล็กทรอนิกส์อยู่น่ะครับแถมยังรู้ความลับของโอซองอิเล็กทรอนิกส์เยอะด้วย
แต่ผมไม่รู้รายละเอียดครับ”
“อืม...ถ้าโอซองช่วยสนับสนุนจริง ๆ
ก็คงมีแนวโน้มสูงว่าประธานพรรคมินจะก้าวนำพวกเราในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้”
พอเห็นท่าทีเคร่งเครียดของอีกฝ่ายแล้ว
ยองฮุนก็มองออกไปข้างนอกสักพักก่อนจะพูด
“ยังไงก็แล้วแต่ ผมหวังว่าท่าน สส.จะตัดสินใจได้นะครับ
เพราะผมไม่คิดจะรับฟังความต้องการของประธานพรรคมิน”
“ประธานพรรคมินน่าจะไม่ได้ขอร้องเฉย ๆ
อย่างเดียว เขาว่ายังไงบ้างล่ะ”
“ถ้าไม่ยอมทำตามคำขอที่ตั้งไว้
เขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้ผมประสบความยากลำบากในสงครามการสั่งซื้อเรือขนส่ง
LNG ของกาตาร์ครั้งนี้ครับ”
“อ่า...ถ้าเป็นประธานพรรคมินก็คงจะทำได้
แต่ถึงอย่างนั้นนายก็ไม่คิดจะฟังคำขอของประธานพรรคมินงั้นเหรอ
บริษัทนายน่าจะเสียหายหนักอยู่นะ”
“ไม่ใช่แค่เสียหายหนักครับ
แต่เสียหายอย่างใหญ่หลวงต่างหาก ดังนั้นเลยไม่อยากฟังอะไรต่อ ปกติผมเป็นคนหัวแข็งนิดหน่อยอยู่แล้วครับ”
“แล้วถ้าฉันตัดสินใจว่าจะไม่ร่วมมือกับเขา
นายคิดจะทำยังไง”
ยองฮุนขมวดคิ้ว
“คำถามแปลกดีครับ
ถึงเอชเอสกรุ๊ปจะให้ความช่วยเหลือท่าน
สส.ชอนแต่มันก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบเจ้านายกับลูกน้องนะครับ”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว
ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะ”
“เวลาเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นกับท่าน สส.
พวกผมก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยท่าน งั้นถ้าเกิดผมประสบปัญหาเพราะท่าน
สส.ขึ้นมา ท่าน สส.ก็ต้องจัดการให้ผมไม่ใช่เหรอครับ หรือว่าผมเข้าใจผิด”
สส.ชอนโบยุนรู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์น่าหนักใจที่ไม่รู้ว่าควรจะแก้ไขอย่างไร
แต่ก็รู้ดีว่ากรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนไม่ได้พูดผิด
เพื่อให้สมกับการเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี
ตนจำเป็นต้องแสดงให้กรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนเห็นว่าสามารถแก้ไขปัญหานี้เองได้
“ไม่หรอก ฉันผิดเอง ไม่ต้องเป็นห่วง
ฉันจะขัดขวางไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น”
“ขอบคุณครับ ผมเชื่อว่าท่าน
สส.สามารถจัดการได้ ถ้างั้นไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้านะครับ”
ยองฮุนพูดแบบนั้นแล้วลงจากรถ
ผู้ช่วยที่เดินเตร็ดเตร่รออยู่ข้างนอกจึงกลับเข้ามาประจำที่นั่งคนขับแล้วขับรถออกไป
ขณะจับพวงมาลัยแล้วโฟกัสทางข้างหน้า
ผู้ช่วยก็ถามขึ้น
“เราจะทำยังไงเหรอครับ”
“ตามที่เคยบอกไปตอนแรก”
“รับทราบครับ”
สส.ชอนโบยุนมองออกไปนอกกระจกรถเงียบ ๆ
การเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ใกล้เข้ามาถึงกำลังจะสั่นสะเทือนวงการการเมือง
[อัยการเปิดเผยว่าสมุดบัญชีเล่มใหม่ไม่มีอยู่จริง...]
เช้าวันต่อมา หลังจากเช็กข่าวใหม่แล้ว
ยองฮุนก็หันมาพูดกับยอนฮีที่เพิ่งอาบนํ้าเสร็จ
“ตารางงานวันนี้เป็นยังไง”
“ทำไม”
“อยากกินมื้อเที่ยงด้วยกันน่ะ”
ถึงปกติจะกินข้าวพร้อมกับพนักงานในฝ่ายวางแผนและประสานงาน
แต่บางครั้งก็มีออกไปเดตกันสองคนบ้าง
ด้วยการกินข้าวในร้านที่ไม่ไกลจากบริษัทมากนัก
“ขอโทษ...ฉันมีประชุมยาวเลย
กินข้าวข้างนอกน่าจะลำบาก”
“ช่วงนี้ยุ่งนะ”
“ฮิ
ๆ...อาจเป็นเพราะฉันออกไอเดียเองละมั้ง ถึงจะทำงานจนหัวหมุน
มันก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรขนาดนั้น ว่าแต่เมื่อคืนออกไปคุยเรื่องอะไรมาเหรอ”
“บางแง่ก็ชัดเจน
บางแง่ก็ทำเอาปวดหัว...ฉันไปเจอประธานพรรคมินกูซังมาความโลภไม่ธรรมดาเลยละ”
“จริงเหรอ
เห็นในทีวีทีไรก็ดูเป็นคนอบอุ่นนะ จนฉันคิดว่าเป็นถึงประธานพรรคแล้ว
คงน่าจะสิ้นสุดชีวิตทางการเมืองโดยที่ไม่หวังอะไรอีก”
“เขาละโมบโลภมากต่างจากภาพลักษณ์ที่แสดงให้เห็น
น่าจะเป็นนักการเมืองที่น่ากลัวที่สุดจากบรรดานักการเมืองที่ฉันเคยเจอมาก่อนหน้านี้เลยมั้ง”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ดูจากดวงชะตาแล้ว
เขามีดวงเสียเลือดเนื้อที่สมดุลกับคู่ธาตุ
มันคือดวงชะตาที่อาจจะเป็นเจ้าขุนมูลนายหรือแม่ทัพ พอเป็นถึงประธานพรรครัฐบาลแล้ว
ชีวิตก็เป็นไปตามดวงชะตา”
“อย่างนี้นี่เอง”
“แต่เดิมที ดวงเสียเลือดเนื้อเป็นดวงเคราะห์
ดังนั้นเขาเลยโกหกเก่งและไร้คุณธรรม”
“ความนิยมของเขาค่อนข้างดีเลยนี่นา”
“ถูกต้อง
ถ้าคนที่ไม่มีคุณธรรมคิดจะทำให้ตัวเองได้รับความนิยมที่ดี เขาควรจะทำยังไงล่ะ”
“อ๋อ...ก็เลยโกหกเก่ง...”
“ใช่ โกหกมาตั้งแต่เกิด
เมื่อวานตอนเจอกันเขาก็เล่าให้ฟัง บอกว่าตอนเด็ก ๆ มีเพื่อนสนิทสองคน
พวกเขาสามคนหัวดีกันทุกคน แต่มีเพื่อนหนึ่งคนเป็นผู้พิพากษา
เขาบอกว่าเพื่อนคนนั้นเป็นคนน่ากลัว ทำทุกอย่างได้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ทั้ง ๆ
ที่เป็นคนสวย แต่เขาก็ไม่กล้าสารภาพรัก เพราะเธอน่ากลัวมาก”
“อะไรเนี่ย ละครเหรอ ตลกจัง
แสดงว่านั่นเป็นเรื่องโกหกหมดเลยสินะ”
“ความเป็นไปได้ก็สูงไม่ใช่เหรอ
เพราะเขาสามารถแต่งเรื่องไปในทิศทางที่ตัวเองได้เปรียบได้อยู่แล้ว ยังไงก็ตาม
ระหว่างเล่าเรื่องนั้น เขาก็ขอให้กดดันทีมสืบสวนให้กำจัดผู้พิพากษาคนนั้นด้วย
ฉันเลยตอบว่าจะลองคิดดูก่อน”
“พี่คิดจะทำยังไง”
“คนโกหกเก่ง ๆ น่ะ ไม่มีความซื่อสัตย์หรอก
ต่อให้โกหกเก่งแค่ไหน แต่ถ้าเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ อย่างน้อยก็ทำข้อตกลงกันได้
แต่ถ้าไม่มีความซื่อสัตย์ก็ไม่สมควรทำข้อตกลง”
“คิดจะเมินไปเลยสินะ”
“อื้อ”
“เขาคงไม่อยู่เฉย ๆ หรอกมั้ง”
“สส.ชอนโบยุนต้องหยุดเขาให้ได้
พวกเราอุตส่าห์ช่วยมาถึงตอนนี้นี่นา”
“ก็จริง...แต่เขาจะทำได้เหรอ”
“ต้องทำให้ได้สิ
เพราะเขาอยากเป็นประธานาธิบดีนี่นา”
“บางทีพี่ก็น่ากลัวนะ”
ยอนฮีส่ายศีรษะมองยองฮุนที่แย้มยิ้มเล็กน้อย
ประธานกรรมการชินยองไฟแนนเชียลกรุ๊ป
ขนาดเห็นป้ายชื่อของตัวเองแล้ว
ฮยองจุนก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
เพราะฉะนั้นเวลาไม่มีคน
เขาจะคอยลูบป้ายชื่อตลอด ถ้ามีรอยมือก็ใช้ผ้าเช็ดออกจนเป็นกิจวัตร
ผู้บริหารและพนักงานในกรุ๊ปต่างหันกลับมาหาเขาอย่างพร้อมเพรียง
เหมือนไม่เคยจงรักภักดีกับพ่อมาก่อน กรรมการอิสระที่เคยอยู่ฝ่ายตรงข้ามก็แอบโผล่หน้ามาเช่นกัน
ถึงจะไม่รู้ความรู้สึกในใจ
แต่พอเห็นการกระทำที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้แล้ว
เขาจึงคิดว่าอำนาจเป็นสิ่งที่น่ากลัว
“ท่านประธานคะ
นี่เป็นชารอนเนอเฟลด์จากเยอรมนี ลองชิมดูสิคะ”
ถึงจะเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าฝ่ายเลขาฯประจำห้องรองประธานใหญ่ขึ้นชื่อเรื่องความสวย
แต่พอพวกเธอกลายมาเป็นเลขาฯของตัวเองแล้ว
เหมือนจะเข้าใจว่าทำไมพ่อถึงรับแต่สาวสวยเข้ามาเป็นเลขาฯ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะหน้ามืดตามัวจนอยู่ไม่สุข
แต่ตอนนี้ฮยองจุนไม่เหมือนตอนนั้นแล้ว
“วางไว้แล้วออกไปได้เลยครับ”
เหตุผลคือความสวยของมินฮีก็ไม่แพ้พวกเธอเลย
แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือมีหลายปัจจัยที่ทำให้เขาไม่สามารถไว้ใจใครได้นอกจากมินฮี
เพราะฉะนั้นแทนที่จะหลงใหลสายตาของสาวสวยที่ส่งยิ้มเล็ก
ๆ ให้ เขากลับรู้สึกกลัวมากกว่า
“ได้ยินมาว่าคุณผู้หญิงอยู่ที่ชั้นหนึ่งค่ะ”
“แม่ผมเหรอครับ เวลานี้เนี่ยนะ”
ฮยองจุนทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
ระเบิดที่จัดการยากที่สุดก็คือแม่
แถมยังมาเวลาเลิกงานพอดีอีกด้วย...
“ค่ะ ได้ยินว่าขึ้นมาแล้ว
พนักงานตรงทางเข้าไม่กล้าขวาง...”
“โอเคครับ
ถ้ามาแล้วก็เชิญเข้ามาข้างในเลย”
“รับทราบค่ะ”
หลังจากเลขาฯออกไปแล้ว ฮยองจุนกุมศีรษะตัวเองยังไม่ทันถึงสิบวินาทีประตูก็ถูกเปิดออกอย่างแรง
“พนักงานที่นี่เป็นอะไรกันไปหมด”
มาถึงปุ๊บก็บ่นทันที
“ทำไมครับ”
“หึ!
กล้าดียังไงไม่รู้จักฉัน...สั่งสอนพนักงานแกด้วย
ไม่รู้จักแม่ของประธานกรรมการได้ยังไง”
“แม่ของประธานกรรมการจะมาบริษัททำไมครับ
เพราะไม่มีเรื่องให้ต้องมาเลยไม่สอนไง อีกอย่างทำไมพนักงานต้องจำหน้าแม่ด้วย”
โกมยองซุก แม่ของฮยองจุนทำหน้าเหลือเชื่อ
“ทำไมต้องจำงั้นเหรอ
แกเป็นประธานกรรมการบริษัทนี้
ส่วนฉันเป็นแม่แกแม่อาจจะแวะมาหาลูกชายที่บริษัทก็ได้
ดังนั้นพนักงานก็ควรจำหน้าฉันไว้ จะได้เชิญเข้ามาทันทีน่ะสิ”
“ผมไม่เคยเห็นแม่ใครมาบริษัทลูกชายบ่อย ๆ
เลยนะครับ ในบริษัทเรามีพนักงานแบบนั้นที่ไหน ที่นี่เป็นโรงเรียนหรือไง
ถึงจะเป็นโรงเรียน แต่ถ้าลูกไม่สร้างปัญหาก็ไม่ค่อยมากัน
เพราะฉะนั้นต่อไปแม่ก็ไม่ต้องคิดจะมาบริษัทหรอกครับ”
“แก! แกพูดแบบนี้กับแม่ได้ยังไง”
“พูดได้ครับ ผมเป็นประธานกรรมการนะ
หรือว่าแม่เป็นประธานกรรมการทำไมครับ ถามจริง ๆ”
“เฮ้อ คุยกับแกไม่รู้เรื่องจริง ๆ
ช่างเถอะ เดี๋ยวฉันบอกเลขาฯไว้เอง”
ฮยองจุนหลับตา
แม่เป็นใครถึงจะเรียกเลขาฯมาสั่งสอน
ถึงจะเหลืออด แต่เป็นเขาที่จะขายหน้าหากทะเลาะกันตรงนี้จนได้ยินไปถึงข้างนอก
โกมยองซุกยังคงพูดกับลูกชายที่นั่งหลับตา
สีหน้าบ่งบอกว่าไม่อยากคุย
“แล้วเรื่องที่ฉันเคยขอไว้ก่อนหน้านี้น่ะ
ตอนนี้ยอมฟังได้แล้วใช่ไหม”
“อะไรครับ”
“จะอะไรล่ะ
คราวก่อนฉันเคยขอให้ช่วยหางานให้ลูกชายของฮยอนซุกไง”
“จำเป็นต้องทำให้ด้วยเหรอครับ”
“แหงสิ
ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าสามีของฮยอนซุกทำงานอะไร
เขาเป็นข้าราชการระดับห้าของกระทรวงที่ดินฯ ไม่รู้ว่าอนาคตจะเติบโตขนาดไหน”
“ถ้าอายุขนาดนั้นยังอยู่ระดับห้า
ผมว่าน่าจะรู้อนาคตแล้วนะ...”
“หนวกหู เอาเป็นว่าทำตามที่แม่บอก
เอาที่ที่ไม่เหนื่อยเกินไป เข้าใจไหม”
“แม่ครับ
ผมเพิ่งเป็นประธานกรรมการได้ไม่กี่วันเองนะ
แต่ถ้าเริ่มงานด้วยการสั่งลูกน้องให้หางานให้ลูกเพื่อนแม่ เขาจะคิดยังไงกับผมครับ”
“จะคิดยังไง
ลูกน้องที่ไหนจะคิดแบบนั้นกับประธานบริษัท”
“เฮ้อ...ช่างมันครับ ผมเหนื่อยแล้ว
แม่กลับไปเถอะ”
“แกจะไปไหน
เดี๋ยวก็ถึงเวลาเลิกงานแล้วนี่นา ไปกินมื้อเย็นกับฉันดีกว่า”
“อยู่ ๆ ก็พูดมื้อเย็นอะไร
ถ้าผมมีงานล่ะครับ”
“ฉันรู้ว่าแกไม่มีถึงมาหาไง”
“แม่รู้ตารางงานผมได้ยังไงครับ”
“รู้แล้วทำไมล่ะ
รู้ตารางงานของลูกชายตัวเองไม่ได้หรือไง”
ฮยองจุนมองออกไปข้างนอกด้วยความโกรธ
พวกเลขาฯต้องบอกตารางงานของเขาแน่นอน
จากนั้นก็คิดได้ว่าตัวเองควรรับผิดชอบด้วย
ต่อไปคงต้องเตือนอย่างหนักแน่นว่าห้ามบอกตารางงานเด็ดขาด
แต่แม่กลับพูดขึ้นมา
“รีบเตรียมตัวซะ”
“ไม่ได้ครับ ผมมีนัดตอนเย็น”
“นัดอะไร
หรือว่า...แกยังคบกับผู้หญิงที่เป็นเลขาฯนั่นอยู่อีกเหรอ”
“แม่ไม่ต้องสนใจแล้วกลับเถอะครับ
ผมก็จะออกไปแล้วเหมือนกัน”
ฮยองจุนแต่งตัวแล้วเดินออกจากห้องประธานกรรมการเหมือนไม่อยากอยู่ด้วยแล้ว
“แม่ผมจะกลับตรงประตูทางเข้าชั้นหนึ่ง
ช่วยบอกให้คนขับรถมารับด้วยนะครับ”
“รับทราบค่ะ”
มยองซุก แม่ของฮยองจุนไม่กล้าพูดเสียงดังต่อหน้าเลขาฯจึงกัดฟันเดินตามฮยองจุนไปถึงลานจอดรถใต้ดิน
“แม่ขึ้นรถกลับตรงชั้นหนึ่งสิครับ
จะตามมาถึงชั้นใต้ดินทำไม”
“ได้ยินว่าแกเปลี่ยนรถหนิ ขอดูหน่อย”
“มันก็แค่รถของบริษัทครับ
คิดว่าผมจะขับซูเปอร์คาร์หรือไง”
เถียงกันแบบนั้นแล้วเดินออกมาลานจอดรถก็ได้ยินเสียงบีบแตรสั้น
ๆ ดังขึ้น
พอฮยองจุนหันไปมองก็เห็นรถคุ้น ๆ
เข้ามาในสายตา
จังหวะที่รู้สึกว่าแย่แล้ว
คนขับรถคันที่บีบแตรสั้น ๆ ก็ก้าวลงมา
“คุณฮยองจุน...สวัสดีค่ะ”
เธอโบกมือให้ฮยองจุนหลังจากบีบแตร
แต่กลับเห็นว่ามีผู้หญิงอีกคนยืนอยู่ข้าง ๆ เขา
มินฮีจึงต้องลงจากรถมาโค้งศีรษะทักทายอย่างไม่มีทางเลือก
โกมยองซุกเอ่ยถามพร้อมสายตาวาววับ
“ใคร”
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อคิมมินฮี”
“แล้วผู้หญิงที่ชื่อคิมมินฮีเป็นใครล่ะคะ”
“เป็นแฟนคุณฮยองจุนค่ะ”
“เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะ
ลูกชายฉันไม่มีแฟนนะ”
มยองซุกตั้งใจจะพูดตัดกำลังใจ
แต่มินฮีไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา
“น่าจะเป็นคุณแม่เองนะคะที่เข้าใจผิด
สงสัยจะไม่สนิทกับลูกชาย
ปกติแม่ที่สนิทกับลูกชายเขาจะได้ยินเรื่องแฟนจากลูกชายบ่อย ๆ...”
หว่างคิ้วของมยองซุกขมวดเข้าหากันทันที
บทที่ 246 สงครามกลางเมือง (2)
“ว่าไงนะ”
“อุ๊ย ขอโทษค่ะคุณแม่ หนูแค่ล้อเล่นเฉย ๆ
อารมณ์ไม่ดีเหรอคะ”
“คุณแม่? แม่ใคร
ปกติเธอล้อเล่นกับผู้ใหญ่แบบนั้นงั้นเหรอ”
“พอดีหนูได้ยินมาจากคุณฮยองจุนว่า
คุณแม่เป็นคนคูลมากเหมือนวัยรุ่นสมัยนี้น่ะค่ะ”
โกมยองซุกกลายเป็นคนแก่และไม่คูลในชั่วพริบตา
สติสัมปชัญญะก็ขาดผึงทันที
กำลังหงุดหงิดเพราะลูกชายไม่ยอมเชื่อฟังอยู่แล้ว
พอได้ยินคำพูดอวดดีของผู้หญิงไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า
ขีดจำกัดของความอดทนจึงพังทลาย
“กล้าดียังไง...”
ฮยองจุนขวางมือมยองซุกที่พยายามจะวิ่งไปตบหน้ามินฮีสักฉาดได้อย่างหวุดหวิด
“แม่ หยุด! ขอร้อง หยุดเถอะครับ”
มือมยองซุกสั่นระริกเพราะไม่ได้ผ่อนแรงเลย
ไม่ใช่เพราะโกรธลูกชายที่ห้าม
แต่เป็นเพราะสายตาอวดดีของหญิงสาวที่ไม่กะพริบตาสักครั้ง แม้ฝ่ามือจะอยู่ตรงหน้า
“เธอ...”
“ถ้าดูอวดดีเกินไปก็ขอโทษด้วยค่ะ”
“เธอเป็นใคร”
“ขอทักทายอย่างเป็นทางการอีกครั้งนะคะ
หนูชื่อคิมมินฮี ปีนี้อายุยี่สิบเก้าทำงานเป็นเลขานุการฝ่ายวางแผนและประสานงานของเอชเอสการผลิต
รู้จักกับคุณฮยองจุนมาได้ประมาณหนึ่งปีแล้วค่ะ”
“คบกันมาหนึ่งปีแล้วเหรอ”
“เราเพิ่งคบกันอย่างเป็นทางการได้ไม่นานค่ะ”
“เธอคงไม่คิดจะแต่งงานกับลูกฉันหรอกใช่ไหม”
“มีคนบอกไว้ว่า การคบกันต้องถามความเห็นชอบของผู้หญิง
ส่วนการแต่งงานต้องถามความเห็นชอบของผู้ชาย ถ้าถามว่าคิดจะแต่งงานหรือเปล่า
น่าจะต้องถามคุณฮยองจุนนะคะ ไม่ใช่หนู”
ด้วยเหตุนี้มยองซุกจึงหันหน้าไปหาลูกชายอัตโนมัติ
ฮยองจุนจึงพูดกับแม่ที่หันมามองตัวเองทั้ง ๆ
ที่ยังจับมือเอาไว้
“ผมคิดไปถึงเรื่องแต่งงานเลยครับ”
“แกเป็นบ้าไปแล้วหรือไง”
“ผมไม่ได้เป็นบ้า
คุณมินฮีช่วยผมเยอะมากจนมาอยู่ตรงนี้ได้ แม่ไม่รู้เหรอครับ
ว่าถ้าไม่มีผู้หญิงคนนี้ ผมก็ไม่มีโอกาสแม้แต่จะทำข้อตกลงกับอาด้วยซํ้า”
“หนวกหู
ทุกอย่างเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้หรือไง เพราะแกเป็นลูกชายฉันต่างหาก”
“ไม่ใช่หรอกครับ ว่ากันตามตรง
เป็นเพราะผมเป็นลูกชายแม่...ช่างเถอะกลับเถอะครับ ตอนนี้เลย...”
โกมยองซุกตัวสั่นระริกด้วยความโกรธ
เพราะไม่มีทางไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงเป็นลูกแม่ ไม่ใช่ลูกพ่อ
ถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แถมยังได้ยินคำพูดแบบนั้นต่อหน้าผู้หญิงที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าอีกเลยโกรธจนเลือดขึ้นหน้า
แต่เนื่องจากรู้ว่าการทะเลาะกับลูกชายมันไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์นี้ได้จึงหันลูกศรไปอีกทาง
“พ่อแม่เธอทำอะไร บ้านรวยไหม
หรือคิดจะเข้ามาบ้านฉันตัวเปล่า”
สีหน้ามินฮีเปลี่ยนเป็นเย็นชา
ผู้หญิงน่ารังเกียจ
มินฮีคิดว่าแม่ของฮยองจุนเป็นแบบนั้น
ขณะที่บาดแผลเกี่ยวกับการนอกใจของแม่ที่เคยประสบมาตั้งแต่เด็ก ๆ
ยังไม่หายสนิทและฝังอยู่ในมุมหนึ่งของหัวใจ
พอเรื่องครอบครัวกับเงินออกมาจากปากผู้หญิงแบบนั้น จึงดูไม่สมเหตุสมผลสำหรับมินฮี
ทว่าตอนที่กำลังคิดจะตอบโต้อะไรบางอย่าง
กลับได้ยินเสียงบีบแตรสั้น ๆดังมาจากข้างหลัง
เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นรถมากกว่าห้าคันกำลังติดแหง็กเพราะมีรถเธอจอดขวางอยู่
เจ้าของรถบางคนจำประธานกรรมการได้ก็ออกมาทักทาย
แต่ถึงอย่างไรสถานการณ์ตอนนี้ก็ค่อนข้างสร้างความเดือดร้อนพอสมควร
“เดี๋ยวคงต้องขยับรถ ฉันขอตัวเลยนะคะ
นัดวันนี้ก็เอาไว้วันหลังแล้วกันค่ะ”
มินฮีพูดแบบนั้นก่อนจะก้าวขึ้นรถแล้วขับออกไป
“เห็นความไร้มารยาทนั่นไหม”
ฮยองจุนกุมหน้าผากขณะมองมยองซุกเดือดพล่าน
พอเห็นผู้บริหารกับพนักงานเดินผ่านแล้วก้มศีรษะให้ก็รู้สึกอาย
เขาจึงรีบพาแม่เข้าไปตรงจุดรอลิฟต์
“หยุดแค่นี้แล้วขึ้นรถกลับบ้านตรงชั้นหนึ่งเถอะครับ”
“จะกลับไปทำอะไร
ฉันบอกแล้วไงว่าจะมากินข้าวเย็นกับแก ยายเด็กนั่นก็ไปแล้ว
นัดตอนเย็นก็ยกเลิกไม่ใช่หรือไง ไปกับฉันสิ”
ตอนแรกฮยองจุนตั้งใจจะตอบว่าไม่ได้
แต่เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกและทักทายพนักงานที่โดยสารลงมา
เขาก็ตระหนักได้อีกครั้งว่าตรงนี้ไม่ใช่สถานที่ที่สมควรทะเลาะกัน
“โอเคครับ ไปก็ได้”
เขาขึ้นมาที่ล็อบบี้เพื่อออกจากตรงนี้และก้าวขึ้นรถที่จอดรออยู่ตรงประตูทางเข้าพร้อมกัน
“จะไปไหนเหรอครับ”
คนขับรถที่จับพวงมาลัยเป็นคนตอบ
“ไปร้านซูดัมตรงชุงมูโรครับ”
ฮยองจุนหันหน้าไปหาแม่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“ซูดัมคือร้านอาหารชุดแบบดั้งเดิมนี่ครับ
จะไปเจอใครที่นั่นเหรอ”
“ไปแล้วก็รู้เองนั่นแหละ ออกรถเลยลุง”
“รับทราบครับ”
ทันทีที่รถเคลื่อนตัวออกไป
ฮยองจุนก็รู้สึกไม่สบายใจแปลก ๆ
“อย่าบอกนะครับว่าแม่แอบนัดดูตัวให้ผม”
“ช่างเรื่องนั้นเถอะ แกรีบพูดมาซิ
คิดจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ เหรอ”
“ครับผม”
“เลิกคิดซะ
แกไม่ใช่ลูกชายของรองประธานใหญ่เหมือนแต่ก่อนนะ
ตอนนี้เป็นถึงประธานกรรมการของชินยองไฟแนนเชียลกรุ๊ปแล้ว
แกคิดว่าทายาทที่จะมากุมอำนาจในอีกสิบยี่สิบปีข้างหน้า จะยืนอยู่ระดับเดียวกับประธานกรรมการที่บริหารกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ในตอนนี้หรือไง
พนักงานที่เรียกใช้ได้ก็ต่างกันเงินทุนที่ใช้ได้ก็ต่างกัน
ตอนนี้แกเป็นศูนย์กลางพายุไต้ฝุ่นในวงการธุรกิจเลยนะ”
“ก็เอามาโยงกันได้นะ
ผมเพิ่งรู้ว่าแม่จินตนาการเก่งขนาดนี้ครับ”
“ฉันแค่เสียดายที่ลูกชายวางตัวดีกว่านี้ไม่ได้ต่างหาก
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญกับแกมากนะ
อย่าแต่งงานกับใครที่ไหนก็ไม่รู้แล้วทำชีวิตพังสิ เดี๋ยวแม่จะปูทางให้แกเอง”
“จะไปเจอใครกันแน่ครับ ถึงได้พูดแบบนี้”
“เดี๋ยวก็รู้เองน่า
เพราะฉะนั้นถ้าแกพูดเรื่องผู้หญิงคนเมื่อกี้ออกมาต่อหน้าคนพวกนั้นแม้แต่นิดเดียว
แม่จะกัดลิ้นตัวเองตายตรงนั้นแหละ จำไว้”
คำว่ากัดลิ้นตายเป็นคำพูดติดปากที่แม่ใช้พูดกับพ่อเสมอเมื่อต้องการอะไรบางอย่าง
พอคำพูดนั้นออกมา ขนาดพ่อยังห้ามไม่ได้
เขาจึงปล่อยเลยตามเลย
“ฮู่...โอเคครับ”
ฮยองจุนยอมแพ้และหันไปมองนอกกระจกรถ
สีหน้าสุดท้ายของมินฮีที่เหมือนโกรธจัดยังคงติดอยู่ในใจ
“อุ๊ย~ ทำไมมาเร็วจังเลยคะ พวกเราอุตส่าห์รีบมาแล้วนะ แต่ลูกชายฉันก็ไม่ใช่แค่พนักงานธรรมดา
จะเลิกงานก่อนคนอื่นเขาก็ลังเลอยู่นั่นน่ะค่ะ โฮ่ ๆ ๆ!”
“แน่นอนอยู่แล้วสิคะ
เป็นประธานกรรมการก็ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีแก่พนักงานเป็นเรื่องปกติ
พวกเราเคยเจอกันมาหลายครั้งแล้วใช่ไหม”
ฮยองจุนอึ้งมาก
เพราะถึงจะคิดไว้แล้วว่าคงเป็นคนที่มีชาติตระกูลดีประมาณหนึ่ง
แต่คิดไม่ถึงจะเป็นภรรยาของรองประธานใหญ่โอซองกรุ๊ป
แถมหญิงสาวที่นั่งอย่างสุภาพเรียบร้อยก็คือลูกสาวคนเล็กของตระกูลนี้ที่เห็นได้ชัดว่ายังเป็นนักศึกษาอยู่
เศรษฐีหุ้นอายุน้อยที่สุดในประเทศ?
เธอเป็นคนดังถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นเซเลบที่สวยและรวยมาก
“ครับ
เคยเจอกันตอนงานแต่งงานพี่ซอกฮุนเมื่อปีที่แล้ว”
“จริงด้วย
จะตอนนั้นหรือตอนนี้ทำไมถึงได้รูปหล่อขนาดนี้นะ”
“ขอบคุณครับ”
“เมื่อไหร่จะมีพิธีรับตำแหน่งล่ะ
ฉันต้องไปแสดงความยินดีสักหน่อย”
“ผมไม่คิดจะจัดพิธีรับตำแหน่งครับ
มันคือตำแหน่งที่กลายเป็นเรื่องเศร้าผมไม่อยากจะทำให้เอิกเกริกน่ะครับ”
แม้แต่ตอนนี้ฮยองจุนก็ยังรู้สึกผิดต่อพ่ออยู่ในมุมหนึ่งของหัวใจ
ถึงจะแย่งตำแหน่งของพ่อมาเพื่อเอาชีวิตรอด
แต่ก็กังวลเกี่ยวกับพ่อที่ไม่สามารถติดต่อได้ว่าเป็นหรือตายอยู่ที่ไหน
ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะจัดงานรวมถึงพิธีเข้ารับตำแหน่งทั้งหมด
เพราะกลัวว่าพ่อจะเสียใจและเจ็บปวดจากการเฝ้ามองพิธีเข้ารับตำแหน่งจากไกล ๆ
“ใช่ ควรจะเป็นอย่างนั้น นั่งก่อนสิ”
โจแจซุก ภรรยารองประธานใหญ่คังแจชิกของโอซองกรุ๊ป
ฮยองจุนเคยเจอหน้าและทักทายหลายครั้งแล้ว
ในความจริง
แม้จะไม่มีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันโดยตรงระหว่างกลุ่มธุรกิจ
แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะสนิทสนมกันผ่านงานการกุศลของรัฐบาล
หรืองานมงคลและไม่มงคลที่จัดขึ้นเป็นการส่วนตัวด้วยเหตุผลต่าง ๆ
นั่นเป็นเหตุผลที่สามารถชวนคุยโดยแสร้งทำเป็นสนิท
เหมือนกำลังคุยกับเพื่อนของลูกชายได้
“ครับ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“ค่ะพี่”
“ไม่นึกว่าจะได้เจอกันที่นี่”
“ฉันก็เหมือนกัน...”
คังดาอึนยิ้มแห้ง ๆ
เพราะอึดอัดกับการนัดหมายนี้เช่นกัน
เนื่องจากภาพลักษณ์ของเธอดูสวย โกมยองซุก
แม่ของฮยองจุนจึงนั่งลงและเอ่ยอย่างชื่นชม
“ทำไมถึงสวยขนาดนี้ พูดจาก็เพราะ
ได้ยินมาว่าเกรดดีมากด้วยนี่นา”
“ไม่หรอกค่ะ”
“สวย ฉลาด
รู้จักเคารพผู้ใหญ่...อยากได้จริง ๆ เลย โฮะๆ ๆ!”
ลูกสาวคนเล็กของโอซองกรุ๊ปที่อยู่ในท็อปทรีของเกาหลี
มูลค่าของชื่อนั้นแข็งแกร่งมากจนทำเอาฮยองจุนที่อุตส่าห์รักษาความนิ่งเฉยมาได้ถึงตอนนี้สั่นคลอนแน่นอนว่าเป็นใครก็ต้องสั่นกันทั้งนั้น
เอาแค่โอซองอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ในโอซองกรุ๊ปก็เป็นบริษัทใหญ่ระดับโลกที่มีกำไรสุทธิมากกว่าสิบล้านล้านวอนต่อปีแล้ว
ถ้าเทียบกับโอซองอิเล็กทรอนิกส์
ชินยองไฟแนนเชียลกรุ๊ปยังไม่พร้อมจะได้ชื่อว่าโกลบอลกรุ๊ป
ดังนั้นจึงใจสั่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลังจากนั้นก็กินอาหารปกติ
แม่ของทั้งสองตระกูลไม่ได้บังคับให้ลูกตัวเองสานสัมพันธ์กัน แค่ใช้เวลาไปกับการพูดคุยเรื่องการเมืองจริงจังบ้างไม่จริงจังบ้างเหมือนเพื่อนสนิทที่มากินข้าวด้วยกันพร้อมลูก
ๆ
ชายหนุ่มและหญิงสาวสองคนแทรกขึ้นมาเมื่อถูกพูดถึง
แต่การสนทนาส่วนใหญ่ก็เป็นมยองซุกกับแจซุก
หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว
แจซุกก็ลุกขึ้นก่อนและกล่าว
“ค่อย ๆ ออกมากันล่ะ วันนี้ฉันเลี้ยงเอง”
“อุ๊ย ฉันต้องเลี้ยงสิ”
“ไม่เป็นไรหรอก”
ทันทีที่แจซุกเดินออกไป มยองซุกก็พูดขึ้นมา
“เดี๋ยวแม่ไปล้างมือแป๊บหนึ่งนะ รอก่อนละ”
ออกไปโดยตั้งใจวางกระเป๋าที่ถือมาทิ้งไว้ด้วย
เหตุผลชัดเจน หมายความว่าระหว่างแม่ ๆ ทั้งสองคนไม่อยู่ ให้ขอเบอร์ติดต่อส่วนตัวเอาไว้
หนุ่มสาวจะไม่รู้เจตนาของสองคนนั้นได้อย่างไร
ดาอึนคิดไว้ว่าจะถามเบอร์โทรศัพท์
แต่ขณะกำลังจ้องมองฮยองจุนฮยองจุนกลับพูดขึ้นมาก่อน
“ไม่แน่ใจว่าการนัดหมายวันนี้เป็นความต้องการของแม่พวกเราหรือเปล่าแต่ถ้าเธอไม่ได้อยากมา
ฉันก็รู้สึกผิดนะ เพราะฉันเองก็เพิ่งรู้วันนี้ตอนมาถึงเหมือนกัน
ถ้าทำให้อึดอัดก็ขอโทษด้วย”
“ไม่หรอกค่ะ ไม่เป็นไร”
“ช่วงนี้แม่ฉันกำลังไหล่ยกนิดหน่อย
ก็เลยอาจจะพูดเรื่องที่มันน่าอึดอัดบ้างช่วยเข้าใจหน่อยนะ ขอโทษสำหรับวันนี้”
ฮยองจุนพูดแบบนั้นแล้วลุกขึ้นพร้อมกระเป๋าถือของมยองซุก
ดาอึนงุนงงแต่ก็รั้งตัวฮยองจุนที่รีบออกไปไม่ทัน ระหว่างที่พูดอะไรไม่ออก
ดาอึนก็ค่อย ๆยิ้มออกมา
แจซุกกับมยองซุกแยกกันโดยไม่พูดอะไรมาก
เพราะพวกเธอคิดว่าลูกทั้งสองคนคงจะแลกเบอร์ติดต่อกันแล้ว
พออยู่บนรถขณะเดินทางกลับบ้าน
มยองซุกก็ถามด้วยสายตาเปี่ยมความคาดหวัง
“ได้เบอร์มาไหม”
“ผมไม่ได้ขอครับ”
มยองซุกตกใจมาก
“ทำไมล่ะ ทำไมแกไม่ขอ”
“เด็กคนนั้นยังไม่จบมหา’ลัยเลยนะครับ
จะแต่งงานกับเด็กแบบนั้นได้ยังไงรู้หรือเปล่าครับว่าอายุห่างกับผมเท่าไหร่”
“แกตลกนะ
เมื่อก่อนแกเคยบอกว่าเด็กผู้หญิงคือที่สุดหนิ ตอนแกก่อเรื่องสมัยก่อนน่ะ
แกทำกับเด็กที่เพิ่งยี่สิบด้วยซํ้า จำไม่ได้เหรอ”
ฮยองจุนก้มหน้าลง
ตอนยังไม่รู้ถูกผิดเอาแต่เที่ยวเล่นจนก่อเรื่องถือเป็นยุคมืดของเขา
อันที่จริงพูดกันตามตรงแล้ว
เขาทำตัวไม่รู้จักโตมาตลอดจริง ๆ
จนกระทั่งเจอกับยองฮุนและได้ฟังความจริงอันน่าตกใจนั้น
“ตอนนั้นเคยเป็นอย่างนั้น
แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วครับ”
“ไม่ใช่อะไร โอซองกรุ๊ปเลยนะ
ลูกสาวคนเล็กของโอซองกรุ๊ป”
“เขาบอกว่าถ้าผมแต่งงานกับเด็กคนนั้น
จะยกโอซองกรุ๊ปให้ผมหรือไงครับ”
“คงจะไม่ใช่โอซองอิเล็กทรอนิกส์
แต่อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะให้โอซองประกันชีวิตไม่ใช่เหรอ”
“ฮ่า ๆ โอซองประกันชีวิต? จะยกกุญแจดอกสำคัญของทุนหมุนเวียนอย่างโอซองประกันชีวิตให้ลูกเขยงั้นเหรอครับ
แม่ไร้เดียงสาจริง ๆ เลยนะ”
“ถะ...ถ้างั้นก็โอซองการผลิตไง...”
“ไม่ให้ครับ ไม่ยกให้หรอก ถึงชื่อจะใหญ่โต
แต่แต่งงานแล้วผมไม่ได้อะไรเลยนะ”
หลังจากเจอกับยองฮุนแล้ว เขาไม่ได้แค่โตขึ้นอย่างเดียว
แต่มีมุมมองที่กว้างขึ้น
และตัดสินความเป็นจริงอย่างเป็นกลางด้วย
ถึงฮยองจุนจะใจสั่นตอนเห็นลูกสาวคนเล็กของโอซองกรุ๊ป
แต่มันเป็นเพราะภูมิหลังของเธอ ไม่ใช่ความสวย
ตอนนี้เขาไม่ใช่ลูกม้าวิ่งพล่านอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังแล้ว
เมื่อเห็นมยองซุกทำหน้างง
ฮยองจุนก็แค่นหัวเราะก่อนจะพูดต่อ
“กลับกันแล้ว
ทางนั้นเอาอะไรไปได้เยอะเลยนะครับ ชินยองประกันชีวิตชินยองประกันภัยของพวกเรา
น่าจะอยากได้ทุกอย่างเลยด้วยซํ้า เพราะคงคิดว่าตัวเองจะได้ชินยองไฟแนนเชียลทั้งหมด
ถ้าขอให้พวกเราช่วยอุดความเสียหายให้เหมือนเป็นบริษัทในเครือ
พวกเราก็ต้องทำให้ถึงแม้จะขาดทุน แม่ ถ้าคิดจะหาประโยชน์จากการแต่งงานก็ทำให้มันดี
ๆ หน่อยเถอะครับ อย่าทำลายอนาคตของลูกชายเลย”
มยองซุกอ้าปากค้างกับคำว่าทำลายอนาคตของลูกชาย
อีกทั้งยังตระหนักได้ด้วยว่าลูกชายโตเกินกว่าจะมาทำอะไรตามใจเธอแล้ว
บทที่ 247 สงครามกลางเมือง (3)
เรื่องราวที่ได้ฟัง ระหว่างเดินเข้าบ้านทำเอาแจซุกหันหลังขวับทันที
“ไม่ได้แลกเบอร์ติดต่อกันมางั้นเหรอ”
“อื้อ”
“ทำไมล่ะ ฮยองจุนไม่ค่อยโอเคหรือไง”
“เปล่า โอเคกว่าที่คิดอีก”
แจซุกต้องเกลี้ยกล่อมดาอึนอยู่นานพอสมควรกว่าจะยอมมาในวันนี้
นั่นเป็นเพราะดาอึนปฏิเสธทันทีที่ได้ยินว่าจะต้องพบกับฝ่ายตรงข้าม
กลุ่มหญิงสาววัยยี่สิบต้น ๆ
ของตระกูลมหาเศรษฐีส่วนใหญ่ยังรักษาความสนิทสนมกันอยู่โดยไม่สนใจว่าใครจะมาจากกรุ๊ปเล็กกรุ๊ปใหญ่
ระดับความสนิทจะแตกต่างกันไปในแต่ละคนก็จริง แต่อย่างน้อยข่าวลืออื้อฉาวที่เกิดขึ้นในประเทศก็พอจะใช้เป็นประเด็นของการสนทนาได้
ดาอึนจึงรับรู้ว่าฮยองจุนมีข่าวลือมากมายว่าเคยควงผู้หญิงหลายคน
ถึงจะไม่ได้ทำตัวหยาบคายเหมือนพวกอันธพาล
แต่ก็ยากจะมองว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษถึงจะเป็นคุณหนูของตระกูลมหาเศรษฐีแนวหน้า
แต่ตัวเองยังเรียนไม่จบ ดังนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่จะไม่อยากแต่งงานโดยมองแต่ผลประโยชน์
ทว่าไหน ๆ เขาก็ทั้งหล่อทั้งสุภาพ
แถมยังมีภูมิหลังครอบครัวของตัวเองดาอึนเลยมีความปรารถนาอันใสซื่อว่าเขาจะมองแต่เธอคนเดียว
ด้วยเหตุนั้นแม้จะเคยปฏิเสธทันทีที่ได้ยินชื่ออีฮยองจุนของชินยองไฟแนนเชียล สุดท้ายก็ยอมเปลี่ยนใจหลังจากโดนเกลี้ยกล่อมยาวนานถึงสองชั่วโมง
แต่กลับบอกว่าโอเคกว่าที่คิด
ดังนั้นต่อให้แลกเบอร์ติดต่อกันไว้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
แจซุกจึงรู้สึกเหลือเชื่อเหมือนกัน
“งั้นก็ดีสิ”
“แต่พี่เขาดูเหมือนไม่ได้อยากมานะ”
“หือ?”
หว่างคิ้วของแจซุกขมวดแน่น
ไม่เข้าใจความหมายของคำว่าไม่อยากมา
“เขาไม่อยากมา
แต่น่าจะฝืนใจมาเพราะคุณป้า”
“ฮ่า ๆ พูดอะไรเนี่ย
ทำไมประธานกรรมการของชินยองไฟแนนเชียลจะไม่อยากเจอพวกเรา แกเข้าใจผิดแล้ว”
มีผู้ชายที่ไม่อยากเจอลูกสาวคนเล็กของกลุ่มธุรกิจชั้นนำของเกาหลี
แถมยังเป็นบริษัทโกลบอลอย่างโอซองกรุ๊ปด้วยเหรอ
แจซุกเชื่อว่าไม่มีอย่างแน่นอน
“ไม่น่าใช่นะ”
แต่ดาอึนทิ้งตัวนั่งบนโซฟาห้องนั่งเล่นและยืนยัน
ถึงแม้เจ้าตัวจะยังอายุน้อยก็มีความฉลาดหลักแหลมจนรองประธานใหญ่คังผู้เป็นพ่อยอมรับแจซุกจึงนั่งลงข้าง
ๆ ดาอึน
“จริงเหรอ แกรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ”
“อื้อ แต่มันตลกดี”
“อะไร”
“สิ่งที่เขาพูด”
“พูดว่าอะไร อย่ากั๊กสิ เล่ามาให้จบ
อย่าทำให้แม่ท้องไส้ปั่นป่วน”
ดาอึนฉีกยิ้มก่อนจะตอบ
“ใจร้อนจังเลย...เมื่อกี้ตอนแม่ออกไปจ่ายเงิน
คุณป้าก็ออกไปด้วย อืมเขาขอโทษหนู ถามว่าไม่ได้ถูกบังคับให้มาเพราะเขาใช่ไหม”
“แล้วยังไงต่อ”
“หนูก็บอกว่าไม่ใช่ ไม่เป็นไร
เพราะกลัวเขาจะคิดแบบนั้น แต่เขาก็พูดต่ออีกว่า
ช่วงนี้คุณป้าไหล่ยกนิดหน่อยเลยทำอะไรเกินเหตุไปบ้าง ตอนนั้นหนูก็รู้สึกแบบ
‘อ๋อ...พี่เขาไม่อยากได้เบอร์เลยแต่งเรื่องสินะ’ ”
“ไม่อยากได้เบอร์เลยทำแบบนั้นเนี่ยนะ”
“หนูรู้สึกได้
แล้วพอพูดจบก็ไม่สนใจหนูด้วยซํ้า เขาหยิบกระเป๋าคุณป้าแล้วลุกออกไปเลย”
“เหอะ...ตลกแล้ว คิดว่าตัวเองเป็นใคร”
“นั่นน่ะสิ วันนี้หนูโดนปฏิเสธจัง ๆ
เลยนี่นา”
แจซุกลุกพรวดด้วยสีหน้าสุดจะทน
“ป้า! มีเบียร์เหลืออยู่ใช่ไหมคะ
เตรียมกับแกล้มมาด้วยนะ”
“ค่ะ~”
หลังสั่งงานที่ห้องครัวแล้วก็เปิดหน้าต่างห้องนั่งเล่นเพราะรู้สึกอึดอัด
จากนั้นก็นั่งลงอีกครั้ง
หยิบกระป๋องเบียร์ที่แม่บ้านเอามาเสิร์ฟแล้วกระดกดื่มอึก ๆ
“แม่ก็คิดว่าเบียร์ดีกว่าไวน์ใช่ไหม”
“บ้าหรือไง ไวน์ดี ๆ อร่อยจะตาย กินเพราะมันโล่งต่างหาก
เวลาอึดอัดไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว ว่าแต่หมอนั่นมันเป็นอะไร
กล้าดียังไงถึงปฏิเสธดาอึนของเรา”
“หนูว่าน่าสนใจดีออก”
“โดนปฏิเสธ ยังบอกว่าน่าสนใจอีกเหรอ”
“แปลกใหม่ดีนี่นา
ปกติเห็นแต่ผู้ชายทำคอตกอยู่ตรงหน้า พอมาเจอผู้ชายที่เตะเสื่อทิ้งแล้วเดินไปตามทางตัวเอง
มันก็ไม่เหมือนใครดี”
“ไม่ใช่แผนหรือไง”
“ถ้ามันเป็นแผนก็ยังแปลกใหม่นะ
แต่ต่อหน้าหนูยังไม่มีผู้ชายคนไหนวางแผนแบบนั้น ต่อให้ทำเป็นไม่ชอบ ไม่สนใจ
แต่สุดท้ายพอนัดเจอกันจริง ๆก็จะพยายามทำทุกอย่างให้เข้าตาหนูอยู่ดี”
“งั้นแปลว่าเด็กนั่นไม่สนใจจริง ๆ เหรอ
ฉันอยากรู้ว่าพ่อแกจะว่ายังไงถ้ารู้ว่าชินยองไฟแนนเชียลไม่ให้ค่าโอซองกรุ๊ป”
“บางทีพ่ออาจจะคิดว่าน่าสนใจเหมือนกันก็ได้นะ”
“ก็น่าสนุกดี”
แจซุกปรายตามองแล้วเคี้ยวปลาหมึกแห้งที่เสิร์ฟเป็นกับแกล้ม
ก่อนจะตะโกนขึ้นมาอีกรอบ
“ป้า! เอาโคชูจังกับมายองเนส!”
[ฉันแม่ของฮยองจุนนะ มาเจอกันหน่อยตรงหน้าบริษัทตอนพักเที่ยง]
มินฮีถอนหายใจหลังจากเห็นข้อความที่ส่งมาหาตัวเอง
โดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร จะว่าไปแล้ว
ถ้าเป็นถึงภรรยาของตระกูลมหาเศรษฐี การหาเบอร์โทรศัพท์มือถือของพนักงานบริษัทอื่นก็คงไม่ยาก
แต่อาจจะเป็นเพราะแสดงความรู้สึกแย่ ๆ
ผ่านทางสีหน้าอย่างชัดเจนพอเข้าไปรายงานตารางงานจึงต้องรับคำถามที่ไม่ทันคาดคิดจากกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุน
“มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเหรอครับ”
“คะ? เปล่าค่ะ”
“เหมือนจะมีนะ ถ้าเป็นงานบริษัทก็พูดมาเลย
ถ้าไม่ใช่ก็ไม่เป็นไรครับ”
ตอนแรกตั้งใจจะบอกว่าเป็นปัญหาส่วนตัว
ไม่ใช่งานบริษัท แต่สุดท้ายมินฮีก็เปลี่ยนใจ
“ความจริง...แม่ของประธานกรรมการอีฮยองจุนนัดเจอฉันค่ะ”
แม้จะพูดแค่นั้น
รอยยิ้มบนใบหน้าของกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนก็ยังคงอยู่
“อ๋อ...เข้าใจแล้ว”
“ทราบอยู่แล้วเหรอคะว่ามีปัญหาอะไร”
“พอจะเดาได้ครับ”
สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ
เดิมทีดวงชะตาของมินฮีเป็นคนมีดวงสามี แต่ไม่มีดวงพ่อแม่สามี
ถ้าจะเอาให้ชัดก็ไม่ใช่ว่าไม่มีดวง
แต่ดวงเข้ากันไม่ได้มากกว่าเรียกว่าเป็นดวงชะตาที่จะทะเลาะกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดด้วยปัญหาเรื่องเงินและอสังหาริมทรัพย์ต่าง
ๆ
การพลั้งปากจะทำให้ความสัมพันธ์ยิ่งถอยห่างจากกันแต่ดวงชะตาแบบนี้ไม่ใช่ดวงชะตาพิเศษอะไร
สามารถพบเจอได้บ่อย ๆ รอบตัว
ลูกสะใภ้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับบ้านสามี
และลูกเขยที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับบ้านภรรยา ถึงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะพยายามก็ไม่ดีขึ้นง่าย
ๆ เนื่องจากเป็นผลมาจากดวงชะตา หากคิดจะกำจัดมันทิ้งก็ต้องหย่า
หรือไม่ก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่มาเจอหน้ากันอีกตลอดชีวิต
“เฮ้อ...ฉันควรจะทำยังไงดีคะ”
“ผมแนะนำให้คุณมินฮีลองไปเจอกับประธานกรรมการอีฮยองจุนตอนนั้นเพราะเห็นว่าพวกคุณสองคนดูเข้ากันได้ดี
ไม่ใช่แค่ความรํ่ารวยมหาศาลของเขานะครับ”
“ฉันทราบค่ะ”
“ไม่ใช่ครับ
คุณมินฮีไม่เข้าใจความหมายของผม”
“คะ?”
ยองฮุนพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำอีกครั้งให้มินฮีที่ทำหน้างงฟัง
“ทั้งสองคนดูเข้ากันได้ดี
คำพูดนี้หมายความว่าถ้าพวกคุณคบกันก็จะรักใคร่ปรองดอง อนาคตอาจจะดีขึ้นกว่าเดิมครับ
ความสัมพันธ์ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียว
มันไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ดี
นั่นหมายความว่าผมไม่ได้แนะนำประธานกรรมการอีฮยองจุนให้เพราะเขาเป็นคนดีอย่างเดียวครับ”
“ถ้าอย่างนั้น...”
“อย่าดูถูกความรํ่ารวยของประธานกรรมการอีฮยองจุนสิครับ
ถ้าเข้ากันไม่ได้แล้วเลิกกันก็จบ ถ้าเงินไม่พอใช้ก็หาใหม่ได้ ไม่ใช่เหรอครับ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของยองฮุน
มินฮีจึงเข้าใจว่าเขาพยายามจะบอกอะไร
“ขอบคุณค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว”
เหตุผลที่ยองฮุนไม่อธิบายให้ละเอียดกว่านี้
ก็เพราะคนอย่างมินฮีไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น
เธอแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเองหากช่วยกำหนดทิศทางให้
“ดีมาก ถ้างั้นออกไปทำงานเถอะครับ”
“ค่ะ”
มินฮีออกมาจากห้องและจดจ่ออยู่กับงานของตัวเองอย่างใจเย็น
พอเวลาผ่านไปจนถึงพักเที่ยง
เธอก็เดินไปยังร้านกาแฟที่อยู่ห่างจากบริษัทเล็กน้อย
อาจจะเป็นเพราะมาค่อนข้างเร็ว
ร้านกาแฟแฟรนไชส์ขนาดใหญ่จึงยังเงียบสงบ
ทำให้มองเห็นหญิงวัยกลางคนที่กำลังดื่มกาแฟอย่างสง่างามอยู่ตรงโต๊ะด้านในสุดได้ไม่ยาก
“สวัสดีค่ะ”
“มาแล้วเหรอ นั่งสิ”
ทันทีที่มินฮีนั่งลงฝั่งตรงข้าม
โกมยองซุกก็เหลือบมองการแต่งตัวของเธอแล้วเอ่ย
“ฉันกลัวว่าถ้าชวนไปกินข้าวแล้วเธอจะแน่นท้อง
เลยนัดมาเจอที่นี่แทนโอเคใช่ไหม”
“ปกติหนูไม่ค่อยแน่นท้องเท่าไหร่ จริง ๆ
ทานข้าวด้วยกันก็ดีนะคะ น่าเสียดายจัง พอดีเวลาทานข้าวหนูมีน้อย
คุณแม่คงต้องรีบคุยหน่อย ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”
มือของมยองซุกเกร็งจนแทบจะกำอัตโนมัติ
“เธอพูดเก่งอยู่นะ”
“ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ”
“ฟังเป็นคำชมหรือไง”
“คุณแม่ โกรธเหรอคะ
ทำไมตั้งแง่ใส่กันขนาดนั้นล่ะคะ”
“แม่เม่ออะไร...!”
มยองซุกกำลังจะขึ้นเสียง
แต่พอตระหนักถึงคนรอบข้างก็รีบลดเสียงลงอย่างรวดเร็ว
“อย่าพูดคำว่าแม่ออกจากปากอีก
ทำไมฉันถึงกลายเป็นแม่เธอ”
“จะเรียกว่าคุณป้ามันก็ยังไง ๆ อยู่นี่คะ
ถึงยังไงก็เป็นคุณแม่ของคุณฮยองจุน...”
“บ้านเธอสอนมายังไงกันแน่
พ่อแม่ไม่ได้สั่งสอนมารยาทพื้นฐานหรือไงจริงสิ...ได้ยินว่าหย่ากันตั้งแต่เธอเด็ก ๆ
แล้วหนิ เพราะแบบนี้ไงถึงต้องดูครอบครัวก่อนแล้วค่อยพาผู้หญิงเข้าบ้าน...”
มยองซุกยิ้มเยาะมินฮี
สถานการณ์นี้หากเป็นผู้หญิงธรรมดาคงจะโกรธจนนํ้าตาไหล
มินฮีเองก็โกรธเหมือนกัน
แต่เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่กลั้นความโกรธเอาไว้แล้วร้องไห้นํ้าตาหยดติ๋ง ๆ
“ถ้าทราบว่าพ่อแม่หนูหย่ากันแล้ว
ท่าทางจะสืบประวัติของหนูมาเยอะเลยสิใช่ไหมคะ”
“แล้วเธอคิดว่าฉันจะอยู่เฉย ๆ หรือไง
สืบมาครบเลยละ”
“นั่นสินะ ใช่ค่ะ คุณแม่พูดถูก
การสั่งสอนของครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญแต่แม่หนูย้ายออกจากบ้านไปตั้งแต่หนูเด็ก ๆ
แล้วค่ะ ทราบไหมคะว่าสาเหตุคืออะไร”
“อะไร”
“ไม่ทราบสินะคะ นอกใจน่ะค่ะ
ทิ้งสามีกับลูก ๆ ไว้ข้างหลัง แล้วนอกใจออกจากบ้านไปกับผู้ชายที่ไหนไม่รู้
เติบโตมาในครอบครัวแบบนี้
คงไม่มีทางได้รับการสั่งสอนจากครอบครัวอย่างที่ควรอยู่แล้วใช่ไหมล่ะคะ”
“...”
“แต่แปลกดีนะคะ
ดูไม่ออกเลยว่าคุณฮยองจุนเองก็ไม่ได้รับการสั่งสอนจากครอบครัว
หรือว่าเป็นเพราะนอกใจ แต่ไม่ได้ย้ายออกจากบ้านงั้นเหรอคะ”
“นังเด็กบ้า...”
มยองซุกตัวสั่นระริก โกรธจนพูดอะไรไม่ออก
มินฮีมองท่าทางแบบนั้นของอีกฝ่ายแล้วพูดต่ออย่างใจเย็น
“คุณฮยองจุนเป็นถึงประธานกรรมการ
ถ้าไม่อยากให้เขาเห็นข่าวว่าคนเป็นแม่ทำร้ายแฟนของประธานกรรมการละก็
ต่อให้โมโหก็ควรจะวางมือทั้งสองข้างลง แล้วฟังเงียบ ๆ นะคะ”
“ว่าไงนะ”
“หนูมีความทรงจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับแม่ที่นอกใจค่ะ
ยังโกรธและไม่สามารถให้อภัยได้ แต่ถ้าคนที่จะมาเป็นแม่สามีของหนู
เคยนอกใจทั้งในอดีต และปัจจุบันก็ยังนอกใจอยู่ หนูคงทนดูอยู่เฉย ๆ ไม่ได้หรอกค่ะ”
“เพ้อเจ้ออะไร...!”
“โรงแรมริทซ์-คาร์ลตัน จงโน
คุณแม่ไปที่นั่นกับจิตรกรยุนแจซูบ่อย ๆใช่ไหมคะ”
นัยน์ตาของมยองซุกสั่นไหวเหมือนเรือใบที่เจอคลื่นลูกใหญ่
“...”
“ได้ยินว่าสนับสนุนจิตรกรยุนแจซูมานานแล้ว
ซื้อภาพวาดมาเยอะด้วยแล้วก็...หนูจะหยุดแค่นี้แล้วกันค่ะ
เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่หนูอยากพูดออกมาจากปากเท่าไหร่”
มินฮีดื่มนํ้าเปล่าที่เอามาแทนเครื่องดื่มอึกหนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“คุณแม่คงจะคิดว่าหนูเห็นแก่เงินเลยเป็นปลิงมาเกาะลูกชายที่กำลังมีอนาคตสดใส
แต่พูดตรง ๆ
ว่าหนูไม่ได้คบกับคุณฮยองจุนเพราะเงินเลยค่ะความรํ่ารวยเป็นปัจจัยเสริมก็จริง
แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมดอยู่ดี”
“โกหก”
“ถึงคุณแม่จะอยากเชื่ออย่างนั้น
แต่มันไม่ใช่ค่ะ เพราะหนูมีความสามารถเหมือนกัน และเคยเห็นกับตาตัวเอง
ว่าถ้ามีความสามารถแล้วชีวิตตัวเองจะเปลี่ยนแปลงไปได้ยังไงบ้าง”
ความสามารถในการมองผู้คนได้ดีเพียงหนึ่งอย่าง
กรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนคือคนที่สั่นสะเทือนวงการธุรกิจด้วยความสามารถนั้นเพียงแค่อย่างเดียว
ระหว่างทำหน้าที่ผู้ช่วยของผู้ชายคนนั้นมาจนถึงตอนนี้
สิ่งที่เธอเห็นคือภาพของเจ้านายที่ไม่ย่อท้อ แม้จะต้องเผชิญหน้ากับผู้มีอำนาจก็ตาม
เจ้านายที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ด้วยซํ้าและค่อย
ๆ เรียนรู้การทำงานทีละอย่างโดยไม่คิดว่าตัวเองบกพร่องหรือด้อยกว่าคนอื่น
เพราะเขามีความสามารถโดดเด่นกว่าคนอื่นอยู่หนึ่งอย่าง
ตัวเธอเองก็เช่นกัน
“ต่อให้คุณแม่จะบอกว่าการพูดเก่งไม่ใช่คำชม
แต่หนูคิดว่านั่นเป็นข้อดีของหนูนะคะ หนูมั่นใจในความสามารถของตัวเอง ว่าจะทำมาหากินในอนาคตได้โดยไม่มีอุปสรรคค่ะ”
“เหอะ...เก่งจังเลยนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ถึงฉันจะพยายามจบมันแบบเงียบ ๆ
แต่ฉันไม่ปล่อยไว้แน่ คอยดูเถอะ”
มยองซุกพูดแบบนั้นแล้วลุกขึ้น
แต่มินฮีกลับเอ่ยเบา ๆ
“นั่งลงค่ะ”
“อะไรนะ”
“หนูยังพูดไม่จบเลย เชิญนั่งก่อนค่ะ”
“เธอบ้าไปแล้วเหรอ”
“เมื่อกี้หนูบอกไปแล้ว
หนูไม่ปล่อยให้แม่สามีของหนูเข้าโรงแรมกับผู้ชายคนอื่นหรอกค่ะ
สู้ส่งตัวไปอยู่โรงพยาบาลจิตเวชยังดีซะกว่า”
คำพูดสุดท้ายของมินฮีกระแทกเข้าที่ศีรษะมยองซุกอย่างจัง
“นังเด็กบ้านี่...เธอคิดว่าฉันจะอยู่เฉย ๆ
หรือไง”
“คุณแม่อยากห้ามไม่ให้หนูแต่งงานกับคุณฮยองจุนใช่ไหมคะ
ตามสบายเลยค่ะ เอาให้สุดความสามารถ
ถ้าทำแบบนั้นไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนนิสัยตั้งแต่ตอนนี้นะคะ
ถ้ายังอยากจะสนุกกับทุกอย่างต่อไปในอนาคตเหมือนเดิม”
มินฮีโมโหมากจนเหลืออด
จึงก้มศีรษะให้มยองซุกที่ทำตัวไม่ถูกแล้วเดินออกจากร้านกาแฟไปทั้งอย่างนั้น
บทที่ 248 สงครามกลางเมือง (4)
“กรี๊ดดด!”
พอกลับมาถึงบ้าน โกมยองซุกก็กรีดร้อง
บ้านใหญ่อย่างกับวังที่ฮยองจุนเคยด่าว่าใช้เงินหลายร้อยล้านวอนมาเป็นค่าใช้จ่ายในการตกแต่งภายในนั้น
ดูหมดราคาไปเลยเพราะเสียงกรีดร้อง
“แม่! แม่ เป็นอะไร”
“โอเคหรือเปล่า เกิดอะไรขึ้น”
ลูกสาวทั้งสองเข้ามาล้อมเธอและถามอย่างเป็นกังวล
แต่มยองซุกไม่กล้าเปิดปากเล่า
ต่อให้เป็นเธอก็ยังมีคำพูดที่ไม่สามารถพูดต่อหน้าลูกได้
หากจะบอกว่าผู้หญิงบ้าที่ไร้หัวนอนปลายเท้าขู่ว่าจะเอาตัวเธอไปไว้ในโรงพยาบาลจิตเวช
ก็ต้องเปิดเผยเรื่องน่าอายของตัวเอง
แม่คนไหนจะพูดต่อหน้าลูกได้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังนอกใจ
“ออกไป รีบ ๆ ไปเลย เร็วสิ!”
แม้จะยังเป็นห่วงอยู่
แต่ลูกสาวที่เผชิญกับผีเข้าผีออกของแม่มาหลายครั้งแล้วจึงหลีกทางให้ก่อน
มยองซุกกระวนกระวายใจ กัดเล็บที่ทำมาแพงและจมอยู่กับความคิด
ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา
ผู้หญิงที่ฮยองจุนคบมาจนถึงตอนนี้มีแค่คนสองคนที่ไหน
ในนั้นมีทั้งผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ทั้งผู้หญิงที่พยายามรีดไถเงินด้วยข้ออ้างนั้นอีก
แค่นั้นเหรอ
อดีตสามีอย่างรองประธานใหญ่อีเซจุนมีผู้หญิงเยอะแค่ไหน
ไม่ต้องพูดเลยด้วยซํ้าว่ากังวลเรื่องที่ผู้หญิงพวกนั้นจะมีลูกมากแค่ไหนและคนที่ต้องคอยจัดการผู้หญิงพวกนั้นทีละคนก็คือตัวเธอเอง
บรรดาคนเหล่านั้นมีทั้งผู้หญิงที่ไม่กล้าพูดแล้วร้องห่มร้องไห้เวลาเธอพูดอะไรสักอย่าง
รวมถึงผู้หญิงร้าย ๆ ที่กล้าลองดี แต่ไม่ว่าจะร้ายแค่ไหนก็ทำได้แค่นั้นนั่นแหละ
ทว่าไม่ใช่กับผู้หญิงคนนี้
อีกฝ่ายไม่ได้โกรธแล้วพรั่งพรูความรู้สึกออกมาเหมือนผู้หญิงคนอื่น
แต่กลับข่มขู่เธอโดยที่ไม่แสดงอารมณ์สักนิด
ไม่คิดด้วยซํ้าว่าอาจจะโดนฮยองจุนทิ้งถึงจะพูดเหมือนฮยองจุนเป็นหุ่นเชิดของตัวเองก็ไม่มีความกังวลใด
ๆ ให้เห็นเลย
จากความเชื่อมั่นนี้
การข่มขู่ที่ไร้สาระว่าจะยัดเข้าโรงพยาบาลจิตเวชจึงค่อย ๆ น่ากลัวขึ้นทีละนิด
แทนที่จะเป็นเรื่องตลกไร้สาระ
ถ้าไม่หาวิธีทำอะไรสักอย่าง
อาจจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นมาเพราะนังเด็กบ้านั่นจริง ๆ ก็ได้
มยองซุกตัดสินใจกดโทรศัพท์ไปที่ไหนสักแห่งอย่างรวดเร็ว
“คุณผู้หญิง~ โฮะ ๆ
ๆ! ฉันเองค่ะ สบายดีไหมคะ”
โกมยองซุกทำเสียงเล็กเสียงน้อยทักทายอย่างสดใสที่สุด
เธอเป็นคนเดียวที่รู้ว่านํ้าเสียงของตัวเองสั่นเล็กน้อย
“พวกผมอุตส่าห์เชื่อในตัวท่านประธาน...น่าผิดหวังนะครับ”
ประธานพรรครัฐบาลอย่าง สส.มินกูซังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อบนหน้าผากแล้วตอบ
“เรื่องนี้...ฉันรู้สึกผิดจริง ๆ”
“แค่นั้นก็จบเหรอครับ”
คังแดซอง
ลูกชายคนรองและหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของโอซองกรุ๊ปถามกลับด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
ชายหนุ่มที่เต็มเปี่ยมด้วยความทะเยอทะยานจนไม่กลัวสิ่งใดกำลังแสดงท่าทีหยาบคายต่อหน้าประธานพรรครัฐบาล
“ฉันพยายามทำเต็มที่แล้ว”
“เหอะ
ให้ตาย...พวกผมไม่ได้ร่วมมือกับท่านประธานเพื่อขอให้พยายามทำเต็มที่นะครับ
ขอให้ช่วยเหลือ...เราร่วมมือกันเพื่อทำให้มันดีขึ้นไม่ใช่เหรอคิดว่าที่สร้างโรงงานให้ในเขตเลือกตั้งของท่านประธานเป็นเพราะผมชอบที่ดินตรงนั้นเหรอครับ
พูดกันตามตรงพื้นที่นั้นไม่มีรถไฟฟ้าด้วยซํ้า ถ้าคิดจะไปทำงานที่นั่น
พวกพนักงานก็ต้องอาศัยอยู่แถวนั้นหรือขึ้นรถเมล์เอา
แต่ถึงอย่างนั้นพวกผมก็ยอมทำให้นี่นา ถ้าให้ไปก็ต้องได้คืนสิ!”
เสียงของเขาดังขึ้นเรื่อย ๆ
และสุดท้ายก็ตะโกนออกมา
ถึงประธานพรรคมินกูซังจะรู้สึกเสียใจกับสถานการณ์ของตัวเองที่เหมือนโดนเจ้าหนี้ไล่ล่า
แต่เพราะทำตัวเองเลยได้แค่หลับตาระงับความโกรธเท่านั้น
ทว่าหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์คังแดซองกลับรู้สึกโกรธมากขึ้น
เมื่อเห็นผู้สูงอายุหลับตาโดยไม่ตอบอะไร
“ท่านประธาน พูดอะไรหน่อยสิครับ จะเอาแบบแกพล่ามมา
ฉันไม่รับรู้หรือไงครับ”
“ฉันเข้าใจว่านายโกรธนะ
แต่รักษามารยาทหน่อย”
“ครับ ขอโทษที ผมเสียมารยาทใช่ไหมครับ”
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น...”
“แต่ผมไม่คิดว่านี่เป็นสถานการณ์ที่ต้องมีมารยาทนะครับ
ทีนี้จะทำยังไงครับ อัยการปิดปากเงียบสนิท บรรยากาศเหมือนใกล้จะตัดจบเรื่องนี้เลย
ถ้าค่าปรับออกมาสักห้าหมื่นล้าน ท่านประธานก็จะจ่ายแทนใช่ไหมครับ”
“มีคดีปลอมแปลงราคาหุ้นที่ไหนโดนปรับถึงห้าหมื่นล้านบ้าง”
“นั่นเป็นเพราะเงินที่ได้จากลาภมิควรได้[1] มีแค่ไม่กี่พัน ไม่กี่หมื่นล้านไงครับ
ตอนนี้จำนวนเงินที่อัยการนับเป็นลาภมิควรได้คือสามแสนล้าน
แล้วคิดว่าค่าปรับจะเป็นเท่าไหร่ล่ะครับ ห้าหมื่นล้านยังน้อยไปด้วยซํ้า”
“อะแฮ่ม...ครั้งนี้ฉันขอโทษจริง ๆ
ฉันกำชับ สส.ชอนอย่างหนักแน่นแล้วแต่เขาไม่ฟังเลย ซํ้ายังระแวงฉันอีกต่างหาก”
แววตาของคังแดซองเปล่งประกาย
“สส.ชอนโบยุนเหรอครับ
สส.ชอนเป็นคนควบคุมทีมสืบสวนครั้งนี้งั้นเหรอ”
“ใช่”
“สส.ชอนควบคุมทีมสืบสวนของอัยการได้ยังไงครับ
เขาไม่ใช่คนที่มีเส้นสายในสำนักงานอัยการขนาดนั้น”
“เรื่องนั้นฉันก็ไม่รู้
แต่มีความเป็นไปได้สูงว่า สส.ชอนจะเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลัง
ตั้งแต่โจชียอนส่งสมุดบัญชีรายชื่อทุจริตนี้ให้อัยการ
พวกเรายังไม่รู้สถานการณ์แน่ชัด แต่กำลังประเมินคร่าว ๆ อยู่”
“แล้วเขาไม่อธิบายให้ประธานพรรครับรู้เหรอครับ”
“อืม”
“เขาอยากได้ตำแหน่งประธานาธิบดีหรือเปล่าครับ”
“คงจะลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้
เพราะเขาเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีมานานแล้ว
อาจคิดว่าครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดี”
“ถ้าแข่งกับท่านประธานล่ะครับ”
ประธานพรรคมินกูซังตอบ
สีหน้าลำบากใจเล็กน้อย
“ถึงฉันจะได้เปรียบก็จริง แต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีก็คือการทดลองเป็นประธานาธิบดีล่วงหน้า
การใส่ร้ายป้ายสีต่าง ๆ นานาจะกลายเป็นอาวุธลับที่คาดไม่ถึง”
“ไม่เห็นต้องทำให้ยุ่งยากเลย
ยังไงก็ได้เปรียบอยู่ดีไม่ใช่เหรอครับ”
“ใช่”
“พูดให้ดี ๆ นะครับ
คิดถึงเงินที่ผมลงทุนกับท่านประธานมาจนถึงตอนนี้ไว้ ถ้าไม่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้
ท่านประธานใหญ่คงจะผิดหวังมากครับ อืม ถึงตอนนี้จะผิดหวังไปแล้วก็ตาม...”
“...”
“อีกอย่าง
ผมเชื่อว่าท่านประธานสามารถให้ความช่วยเหลือในเรื่องอื่นได้มากพอกับค่าปรับจากคำพิพากษาครั้งนี้นะครับ”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก ฉันเคยบอกตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือไงโดนปรับยังดีซะกว่า...”
สีหน้าของหัวหน้าฝ่ายคังแดซองบูดบึ้ง
“เหอะ จริง ๆ
เลย...ท่านประธานก็รู้ไม่ใช่เหรอครับว่าไม่ใช่เพราะคำพิพากษานั้นอย่างเดียว”
“โอเค ฉันรู้แล้ว”
“แล้วพวกเราจะช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีครับ”
“ขอแบบพอดี ๆ ละ”
การเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีไม่ใช่เงิน
แต่หมายถึงข้อมูล
ข้อมูลสำคัญที่จะทำให้ผู้สมัครฝ่ายตรงข้ามแพ้
ไม่ใช่เพราะประธานพรรคอย่างตนไม่มีอำนาจ
แต่นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่สามารถสั่งให้ใครตรวจสอบเบื้องหลังของสมาชิกพรรคเดียวกันได้
ถ้าโอซองกรุ๊ปช่วยสืบเบื้องหลังให้
ก็ไม่มีทางเลือกไหนจะไปดีกว่านี้แล้ว
“อย่ามาบ่นว่าเบาเกินไปทีหลังแล้วกัน
พวกผมจะหาข้อมูลให้เอง เชิญตักตวงได้ตามสบายครับ”
“อะแฮ่ม...ยังไงก็ขอบใจ”
จากนั้นหัวหน้าฝ่ายคังแดซองก็ออกจากบ้านประธานพรรคมินกูซังและมุ่งหน้าไปยังบริษัท
ขณะนั่งอยู่เบาะหลังแล้วเล่นโทรศัพท์มือถืออย่างผ่อนคลาย
อยู่ ๆ น้องคนเล็กก็โทร.มาหาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ฮัลโหล”
“พี่”
“ทำไม”
“ช่วยอะไรฉันสักอย่างสิ”
“เธอจะให้อะไรฉันล่ะ”
สายเงียบไปประมาณห้าวินาที
เสียงของน้องคนเล็กถึงดังขึ้นอีกครั้ง
“เดี๋ยวฉันไปช็อปปิ้งกับพี่สะใภ้เอง ช่วงนี้พี่สะใภ้ดูเศร้า ๆ”
“ไม่เศร้าหรอก แฮปปี้จะตาย
สนุกกับการใช้เงิน”
“อ้อ พี่ไม่ได้ไปฮันนีมูนกันนานแล้วเพราะงานนี่นา เดี๋ยวฉันแนะนำที่ดี ๆ...”
“ฉันจะเอาเวลาที่ไหนไป นี่พี่สะใภ้เธอคงไปเที่ยวมาสินะ”
“จิ๊...แค่ช่วยฉันสักครั้งไม่ได้เหรอ”
“แค่นี้นะ”
“เดี๋ยวก่อน! เฮ้อ...ไม่ได้การละ ฉันว่าจะไม่เอาเรื่องนี้ออกมาพูดแล้วนะถ้าฟังคำขอร้องของฉัน ฉันจะไม่บอกพี่สะใภ้ เรื่องปาร์ตี้ที่โรงแรมฮิลตันก่อนวันแต่งงานของพี่”
แดซองสะดุ้งทันที
“หา?”
“แกล้งทำเป็นไม่รู้เหรอ ฉันเห็นชัด ๆ เลยน่า แค่ไม่ได้พูดเท่านั้นเอง”
“...อะไร เธอจะเอาอะไร”
“รู้จักประธานกรรมการอีฮยองจุน ชินยองไฟแนนเชียลใช่ไหม หาให้หน่อยสิว่าเขามีแฟนหรือเปล่า”
คังแดซองขมวดคิ้วก่อนจะกุมหน้าผาก
“ยายเด็กนี่ เห็นฉันว่างหรือไง”
“เพราะรู้ว่าไม่ว่างก็เลยขอร้องไง ไม่อยากทำเหรอ ไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร...เห็นพี่สะใภ้ตื่นเต้นมากที่วันนี้จะไปช็อปปิ้ง แต่ว่าไปไม่ได้แล้ว คงจะเสียใจน่าดู ถ้างั้นแค่นี้นะ”
“เดี๋ยว เฮ้อ...โอเค”
“อะไรนะ พูดดัง ๆ สิ ไม่ได้ยินเลย”
“บอกว่าโอเค!”
“โอเค รีบหาให้เร็วที่สุดนะ รู้ใช่ไหมว่าปากฉันเบา”
“ฉันรู้ดีกว่าใคร ๆ”
“ถึงจะอารมณ์เสียนิดหน่อย แต่ฉันจะไม่ถือสาแล้วกัน วางนะ”
คังแดซองวางสายพร้อมกับพึมพำเบา ๆ
“เวรเอ๊ย...รู้ได้ไงวะ”
สส.โดซูยอนตะโกนด้วยความดีใจเมื่อรู้ว่าอัยการกำลังจะยุติการสืบสวน
ต้องเรียกว่าท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังกระวนกระวาย
เหมือนก้อนหินที่ทับอยู่บนอกหายไปหนึ่งก้อนหรือเปล่านะ
สำหรับเธอแล้ว
ครอบครัวคือสิ่งที่ต้องปกป้องไม่ให้มีรอยขีดข่วนใด ๆ
การกำจัดความเสี่ยงที่อาจจะพุ่งมาหาครอบครัวของเธอ
ก็ไม่ต่างอะไรกับการปลดโซ่ตรวนที่ขังเธอไว้
“ฮยองซู!”
“ครับ เรียกผมเหรอครับ”
ผู้ช่วยคังฮยองซูที่อยู่ข้างนอกเข้ามาทันที
“บรรยากาศเป็นยังไงบ้าง”
“บรรยากาศภายในพรรคยังไม่ดีนักครับ
โดยเฉพาะยิ่งอัยการมีท่าทีว่าจะปิดคดี ก็ยิ่งกังวลกันว่าท่าน
สส.จะไม่ยอมอยู่เฉยครับ”
“ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น”
สถานการณ์ตอนนี้ที่เธอกำลังเรียกร้องว่าการสืบสวนยังไม่สมบูรณ์
หากทีมสืบสวนคิดจะยุติ ก็เป็นเรื่องธรรมดาถ้าโดซูยอนจะสร้างเรื่องหนักขึ้น
“ดำเนินการขั้นต่อไปเลยไหมครับ”
“ถูกต้อง”
“แต่ว่า...”
“อะไร”
“แน่ใจเหรอครับว่าพรรครัฐบาลจะยอมรับท่าน
สส. บรรยากาศของพรรครัฐบาลตอนนี้ก็ไม่ค่อยดีเหมือนกัน”
“แน่นอนอยู่แล้ว เพราะแม้แต่
สส.พรรครัฐบาลก็ถูกอัยการเรียกตัวกันเป็นแถว”
“นั่นแหละครับ ตอนนี้บรรยากาศไม่ดีเลย
ต่อให้ สส.ผู้ทรงอิทธิพลของรัฐบาลจะอนุญาตให้ท่าน สส.เข้าร่วมพรรค แต่ถ้า
สส.ภายในพรรครัฐบาลต่อต้าน ก็อาจจะลำบากมากขึ้นนะครับ แทนที่จะเคลื่อนไหวตอนนี้
เรารอเวลาสักนิดดีไหมครับ”
โดซูยอนพยักหน้าเหมือนสมเหตุสมผล
“พูดแบบนั้นก็ไม่ผิดหรอก
เพราะฉันเองก็รู้สึกกดดันกับการเคลื่อนไหวในสถานการณ์ตอนนี้เหมือนกัน
แต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีเหลืออีกไม่กี่เดือนแล้ว ถ้าสมัครเข้าพรรคช้า
ฉันจะกลายเป็นตัวแปรในการเลือกตั้งประธานาธิบดีถ้าตัวแปรนั้นถูกนำมาใช้อย่างเป็นประโยชน์มันก็ดี
แต่ถ้าถูกนำมาใช้ในทางที่เสียเปรียบ ทั้งฉันทั้ง สส.ชอนจะลำบากกันหมด”
“หมายถึงไหน ๆ จะโดนตีแล้ว ก็รีบ ๆ
โดนไปเลยเหรอครับ”
“ใช่”
“โอเคครับ ส่วนเนื้อหาข่าวที่จะแจกจ่ายให้นักข่าว...”
“จนถึงตอนนี้คำพูดและคำหมิ่นประมาทที่มีต่อฉันก็เลยเถิดไปไกลแล้วฉันจึงต้องออกจากพรรคสันติภาพเป็นหนึ่งอย่างไม่มีทางเลือก
เพื่อปกป้องความน่าเชื่อถือในเส้นทางการเมืองของตัวเอง เขียนหัวข้อแบบนี้
แล้วเรียกพวกนักข่าวมา”
“ผมจะนัดหมายตอนหนึ่งทุ่มของวันนี้ครับ
ถ้าอย่างนั้นก๊อกแรกคงจะออกข่าวสองทุ่ม พวก
สส.ผู้มีอำนาจในพรรคก็จะขัดขวางไม่ได้ครับ”
“ดี”
สส.โดซูยอนตัดสินใจแน่วแน่
ตอนนี้หันหัวเรือกลับไม่ได้จริง ๆ แล้ว
จะเป็นแค่หนึ่งใน สส.ธรรมดาพบเจอได้ทั่วไป
หรือจะย้ายพรรคแล้วทำให้สส.ชอนได้เป็นประธานาธิบดี
ส่วนตัวเองก็จะกลายเป็นนักการเมืองที่มีอำนาจเหนือกว่าประธานาธิบดี
ทั้งหมดนี้จะขึ้นอยู่กับอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ณ ล็อบบี้ชั้นหนึ่ง โรงแรมไฮแอท นัมซาน
มยองซุกมาพบกับแจซุกอีกครั้ง
“ขอโทษนะคะ พอดีวันนี้ฉันยุ่งนิดหน่อย
ว่าแต่มีเรื่องอะไรถึงอยากเจอฉันเหรอคะ”
แจซุกดูอารมณ์ไม่ค่อยดี
น่าจะเดาได้ว่าฮยองจุนมีแฟนอยู่แล้ว
มยองซุกจึงรู้สึกขัดแย้งในใจขึ้นมาชั่วขณะ
จะบอกว่าไม่ใช่...ปฏิเสธว่าไม่มีแฟน
หรือควรจะสารภาพว่ามีแฟนแล้วดี
แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ
แต่สุดท้ายมยองซุกก็ตัดสินใจได้
“วันนั้นฉันขอโทษมาก ๆ
เลยนะคะที่นัดมาเจอ”
“ขอโทษงั้นเหรอคะ”
“ไม่สิ
คือว่า...ฉันไม่เคยรู้เลยน่ะค่ะว่าลูกชายกำลังคบใครบางคนอยู่
แต่กลับกลายเป็นว่ามีแฟนอยู่แล้ว”
“อุ๊ย จริงเหรอคะ”
แจซุกทำหน้าเหมือนไม่รู้มาก่อน
แม้จะคาดเดาไว้แล้ว
แต่มยองซุกจับสีหน้าแปลก ๆ ทัน และคิดว่าโชคดีที่ตัวเองตัดสินใจถูกที่ไม่เลือกปฏิเสธ
“ตอนนี้ลูกชายฉันคบกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่
บอกว่าไม่สามารถทิ้งผู้หญิงคนนั้นมาคบกับคนอื่นได้...”
“งั้นเหรอคะ
ท่าทางจะรักกันมากเลยนะคะเนี่ย”
ทว่าคำพูดของมยองซุกกระตุ้นความหยิ่งในศักดิ์ศรีของแจซุกอย่างน่าประหลาด
ฝั่งตนเป็นถึงลูกสาวคนเล็กของโอซองกรุ๊ป ไม่ใช่ไก่กาที่ไหน
แต่เป็นสายเลือดของโอซองกรุ๊ปที่ทั้งสวย แถมยังอ่อนเยาว์
แต่กลับปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่ามีแฟนแล้วเนี่ยนะ
แจซุกไม่อยากยอมรับว่ามันเกิดขึ้นจริง
“ลูกชายฉันน่ะ
ต่อให้เรื่องอื่นจะไม่ค่อยรู้ความ แต่ก็มีความซื่อสัตย์ค่ะคิดว่าอย่างน้อยถ้าจะคบกับคนใหม่
ก็ควรจะคบหลังจากเลิกกับคนปัจจุบันแล้วหัวโบราณนิดหน่อยใช่ไหมคะ”
“ไม่หรอกค่ะ แบบนี้ถูกต้องแล้ว
เลี้ยงลูกชายได้ดีเลยนะคะเนี่ย”
ถึงจะพูดอ้อม ๆ
แต่ก็เป็นการอวดลูกชายอย่างเปิดเผยจนสั่นคลอนหัวใจของแจซุก กลุ่มธุรกิจการเงินยักษ์ใหญ่ที่ชื่อชินยองไฟแนนเชียลกรุ๊ป
แถมยังเป็นชายหนุ่มผู้เป็นสุภาพบุรุษ ไม่มองผู้หญิงคนไหนง่าย ๆ
ในประเทศนี้ผู้ชายรวย ๆ หาง่ายจะตาย
แต่ผู้ชายที่สุภาพและมีความซื่อสัตย์ต่อผู้หญิงนั้นหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแม่ที่มีลูกสาว ก็ยิ่งไม่อยากพลาดลูกเขยแบบนั้นไปแน่นอน
“เลี้ยงดีอะไรกันล่ะคะ
เขาเรียนรู้แล้วก็เติบโตด้วยตัวเอง ยังไงก็ตามฉันรู้สึกผิดมากเลยค่ะ
ฝากบอกดาอึนว่าขอโทษด้วยนะคะ”
“ว่าแต่...ท่าทางสองคนนั้นจะรักกันมากเลยนะคะเนี่ย”
เมื่อแจซุกถามคำถามเดียวกันซํ้าสองครั้ง มยองซุกก็มั่นใจว่าการเดิมพันของตัวเองได้ผล
[1]
การที่บุคคลหนึ่งได้ทรัพย์สิ่งใดมาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้
และเป็นทางให้บุคคลอีกคนหนึ่งเสียเปรียบ บุคคลที่ได้ทรัพย์มานั้นมีหน้าที่ต้องคืนทรัพย์ให้แก่เขา
บทที่ 249 สงครามกลางเมือง (5)
“ไม่รู้เลยค่ะ อ้อ
สั่งเครื่องดื่มกันก่อนดีไหมคะ”
“ได้ค่ะ”
แจซุกที่เมื่อครู่นี้ยังทำท่าเหมือนจะลุกออกจากตรงนี้ทันทีนั้น
กลับพร้อมจะพูดคุยแบบเจาะลึกกับมยองซุกมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
หลังจากเรียกพนักงานมาสั่งเครื่องดื่มแล้ว
มยองซุกก็อ้าปากพูด
“ฉันเองไม่รู้ว่าสองคนนั้นรักกันมากแค่ไหน
เห็นว่ายังคบกันได้ไม่นาน...”
“คบกันมาเท่าไหร่แล้วคะ”
“ยังไม่ถึงปีด้วยซํ้าค่ะ”
“ยังไม่ถึงปีเหรอคะ
ก็ไม่ได้นานขนาดนั้น...”
รอยยิ้มผุดขึ้นที่ริมฝีปากของแจซุก
มยองซุกจึงพูดต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ใช่ค่ะ
ฉันเลยไม่แน่ใจว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขนาดนั้นหรือเปล่า...ความจริงพอได้ยินเรื่องราวของเด็กคนนั้นคร่าว
ๆ ก็รู้สึกแปลก ๆ ค่ะ”
“รู้สึก...แปลก ๆ งั้นเหรอคะ”
“จากที่ได้ยินมาก็ทำงานในบริษัทที่ดี มีความสามารถ....แต่ครอบครัวค่อนข้าง...”
“ธรรมดาเหรอคะ”
“แค่ธรรมดาเฉย ๆ ก็ยังจะดีกว่าค่ะ”
“ยังไงคะ”
“คือว่า...”
มยองซุกทำหน้าหงุดหงิดขึ้นมาชั่วขณะ
ก่อนจะจัดการสีหน้าอีกครั้ง
“คือ...แม่ของเด็กคนนั้นนอกใจแล้วออกจากบ้านไปตั้งแต่เธอเด็ก
ๆ น่ะค่ะ”
“ว้าย จริงเหรอคะ”
“ค่ะ...ไม่มีเงินยังดีกว่าอีกใช่ไหมล่ะคะ
ต่อให้ไม่มีเงิน
แต่ถ้าเป็นเด็กที่เติบโตมาโดยที่ได้รับความรักจากพ่อแม่อย่างเต็มปรี่
เติบโตมาอย่างสดใสแข็งแรงฉันคงจะไม่กังวลอะไรทั้งนั้น
แต่ถ้าครอบครัวแตกแยกเพราะแม่นอกใจ ก็คงจะอยู่กับคำหลอกลวงมาตั้งแต่เด็ก ๆ ใช่ไหมคะ”
“อุ๊ย...น่าสงสารจัง”
แม้จะพูดว่าสงสาร
แต่สีหน้าของแจซุกกลับเปลี่ยนไปอย่างซับซ้อนเกินกว่าจะบรรยาย
เรียกว่าทำเหมือนสงสาร แต่ตากลับยิ้มแปลก ๆ
ได้ไหมนะ
มยองซุกจับสีหน้าแบบนั้นของแจซุกได้
“ใช่ค่ะ น่าสงสาร
แต่พอคิดว่าเด็กที่เคยผ่านเรื่องลำบากแบบนั้นจะเข้ามาอยู่ในบ้านของฉัน
มันก็...เข้าใจใช่ไหมคะว่าฉันหมายความว่ายังไง”
“แน่นอนค่ะ ฉันเข้าใจ”
ไม่มีทางไม่เข้าใจหรอก...
มยองซุกรู้ดีว่า สำหรับคนรวย
ต่อให้จะเป็นคนที่มีความคิดแตกฉานแค่ไหน
แต่ถ้าเป็นเรื่องครอบครัวก็เปลี่ยนเป็นพวกหัวโบราณได้ง่าย ๆ
“ถึงจะสงสาร แต่ก็ไม่ค่อยสบายใจน่ะค่ะ
ถ้าเอาเด็กแบบนั้นเข้าบ้านจะทำให้ลูกชายเราลำบาก เพราะความโลภเรื่องเงินหรือเปล่า
ทำไมเขาถึงบอกว่าเด็ก ๆ ที่โตมากับการโดนตี
พอเป็นผู้ใหญ่ก็จะติดนิสัยใช้ความรุนแรงล่ะ
บางทีเด็กนั่นอาจจะได้เลือดนั้นมาแล้วนอกใจเหมือนกันก็ได้...”
“ฉันเข้าใจ”
“ใช่ไหมคะ
เพราะฉะนั้นพอได้ยินเรื่องของเด็กคนนั้น ฉันก็นอนไม่หลับเลย
เครียดจะตายอยู่แล้วค่ะ”
“อย่างนั้นสินะ แล้วตอนนี้จะทำยังไงล่ะคะ”
มยองซุกถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นแจซุกทำตาเป็นประกาย
“ฉันเป็นห่วงค่ะ เด็ก ๆ
สมัยนี้เวลาสั่งให้เลิกกันแล้วยอมเลิกที่ไหนล่ะคะถ้ายอมเลิกง่าย ๆ
จะทิ้งดาอึนแล้วทำตัวนิ่งเป็นหินแบบนั้นได้ที่ไหนล่ะคะ
เฮ้อ...ไม่รู้เอาตาไปไว้ไหน...”
“...”
แจซุกแอบสังเกตมยองซุก
เพื่อที่จะเข้าใจเจตนาที่แท้จริง
และรู้สึกว่าตัวเองอาจจะทำเรื่องไร้สาระหากรีบร้อนพูดอะไรออกไป
แต่มยองซุกกลับถอนหายใจออกมาโดยไม่พูดอะไร
สุดท้ายแจซุกก็ต้องพูดออกมาก่อน
“ไม่ทราบว่า...”
“คะ?”
“ให้ฉันลองสืบดูสักครั้งไหมคะ”
“คะ หมายถึง...”
“ฉันแค่...สงสัยว่าเป็นผู้หญิงแบบไหน...”
มยองซุกฝืนทนที่จะไม่ตบเข่าตัวเอง
“อุ๊ย
ถ้าเป็นแบบนั้นจะขอบคุณมาก...แต่มันจะไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”
“อ๋อ ฉันแค่ลองสืบเฉย ๆ ค่ะ
แค่อยากรู้จัก...”
“ค่ะ
ถ้างั้นเดี๋ยวฉันบอกชื่อกับที่ทำงานของเด็กคนนั้นให้”
เธอจึงบอกชื่อและที่ทำงานของผู้หญิงที่ร้ายจนน่ากลัวคนนั้น
ได้โปรดเถอะ
หวังว่าแจซุกจะจัดการนังเด็กนั่นให้ได้...
[สส.โดซูยอนประกาศถอนตัวออกจากพรรคกะทันหัน!]
การประกาศถอนตัวออกจากพรรคของ
สส.โดซูยอนนั้นสร้างผลกระทบเกินความคาดหมาย
การถอนตัวของเธอที่เป็นหน้าเป็นตาของพรรคฝ่ายค้าน
และเคยแสดงให้เห็นถึงความสามารถทางการเมืองกับความเฉลียวฉลาด
นับว่าเป็นข่าวร้ายก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างมากสำหรับพรรคสันติภาพเป็นหนึ่ง
แน่นอนว่าเหล่า
สส.ฝ่ายค้านจะพากันวิ่งมาที่ห้องทำงานของ สส.โดซูยอนและก่นด่าต่าง ๆ นานา
แต่แน่นอนอีกเช่นกันว่าประตูห้องทำงานถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนา
พนักงานที่ควรจะทำงานอยู่ในห้องทำงานของ
สส.โดซูยอนลาหยุดหลายวันส่วน สส.โดก็ไปตั้งแคมป์ที่โรงแรมสักระยะหนึ่ง
“เหนื่อยมากเลยใช่ไหมครับ”
สส.โดซูยอนมองยองฮุนที่แวะมาหาที่โรงแรมก่อนจะเชื้อเชิญให้นั่ง
“นั่งสิคะ สส.ชอนโบยุนว่ายังไงบ้าง”
“เห็นว่าเขาแอบบอกพวก
สส.ที่ติดตามตัวเองว่าท่าน สส.จะสมัครเข้าร่วมพรรคแล้วครับ เรากำลังเสริมฐานให้มั่นคงก่อน
ไม่ต้องกังวลครับ”
“ฮู่...ฉันอดกังวลไม่ได้ค่ะ”
ผู้ช่วยคังฮยองซูจึงกล่าวกับยองฮุน
“ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ ท่าน
สส.ยังไม่ได้ทานอะไรสักอย่างเลยครับเพราะเครียดมาก”
ยองฮุนหันขวับทันทีที่ได้ยินเรื่องนั้น
“เดี๋ยวก็ไม่มีแรงหรอกครับ สั่งรูมเซอร์วิสเลย”
“ฟรีใช่ไหมคะ”
“แหม
ล้อเล่นแล้ว...สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคงไม่ได้หวังใช้โรงแรมฟรีใช่ไหมครับ”
“ที่บอกให้มาที่นี่
สรุปแล้วแค่เรียกมาเพิ่มยอดขายให้โรงแรมงั้นเหรอคะ”
“ฮ่า ๆ ไหน ๆ
มาโรงแรมของพวกเราแล้วก็จะได้เติมเต็มห้องว่างด้วยเลยวินวินกันทั้งสองฝ่ายนะครับ
จะว่าไปแล้ว ผมขอถามอะไรอย่างสิครับ”
“ถามมาสิคะ”
“ไม่ทราบว่าช่วงนี้ยังไปแถวซัมชองอยู่หรือเปล่าครับ”
ใบหน้าของ สส.โดซูยอนแข็งค้าง
ลองจินตนาการอยู่พักหนึ่งว่าถามเพราะอะไรกันแน่
แต่ไม่นานเธอก็ล้มเลิกความคิดนั้น
“ฮยองซู ออกไปข้างนอกแป๊บหนึ่งได้ไหม”
“รับทราบครับ”
พอผู้ช่วยคังออกไปแล้ว เธอจึงย้อนถาม
“ไม่ค่ะ ถามทำไมคะ”
“อืม...ไม่มีอะไรครับ
ผมแค่สงสัยเป็นการส่วนตัวนิดหน่อย”
“เรื่องที่ฉันสนิทกับหมอดูคนนั้นเหรอ”
“ผมไม่ได้สงสัยเรื่องที่ท่าน
สส.เชื่อคำพูดของหมอดูหรอกครับ ผมแค่อยากรู้ว่าหมอดูคนนั้นยังทำแบบนี้อยู่หรือเปล่า”
“จะบอกว่าการที่
สส.อย่างฉันเชื่อคำพูดของหมอดู มันไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายเหรอคะ”
“ครับ”
“เพราะอะไรคะ ฉันดูหูเบาหรือไง”
“รู้จักคำว่าแตะเกล็ดย้อนมังกรใช่ไหมครับ
จุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวของมังกรที่แข็งแกร่งและไร้เทียมทาน
ความจริงถึงจะพูดจาใหญ่โตแค่ไหน แต่ทุกคนล้วนมีจุดอ่อนของใครของมัน
ขอแค่เล็งจุดอ่อนได้ดี ต่อให้เป็นคนที่มีจิตใจมั่นคงขนาดไหนก็สั่นคลอนได้ครับ
หมอดูคนนั้นเหมือนจะมีความสามารถแบบนั้น จึงไม่แปลกอะไรถ้าท่าน
สส.ถูกหมอดูหลอกครับ”
“ถ้าคิดแบบนั้นก็ขอบคุณ...”
สส.โดไม่กล้าพูดประโยคหลังต่อ
ไม่กล้าพูดว่าเริ่มกลัวกรรมการผู้จัดการชเวยองฮุนที่อ่านใจของเธอได้ทะลุปรุโปร่ง
จนเหมือนเธอกำลังเปลือยเปล่า
ทว่ายองฮุนกลับลุกขึ้นเพราะไม่ได้ใส่ใจอะไรแบบนั้น
“โล่งอกไปทีครับ ที่บอกว่าไม่ได้ไปเจอแล้ว
ในอนาคตก็อย่าคิดจะไปหาหมอดูคนนั้นอีกเลยครับ แล้วก็อย่าโลภโยกย้ายสายพานอุตสาหกรรมชีวภาพอีก”
“มาเพื่อพูดเรื่องนั้นสินะคะ”
“ถึงทุกอย่างจะเรียบร้อยดี
แต่ผมก็กลัวว่าบางทีท่าน สส.อาจจะทำพลาดเพราะหวังโบนัสอะไรแบบนั้นน่ะครับ
เอาเป็นว่าทุกอย่างกำลังเป็นไปได้ด้วยดีไม่ต้องห่วงนะครับ ถ้างั้น...อ้อ!
เดี๋ยวมื้อเย็นวันนี้ผมเลี้ยงเองครับ สั่งอะไรมาทานก็ได้”
ยองฮุนยิ้มและออกจากห้องไปอย่างนั้น
วันนี้ฮยองจุนไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานเลย
เพราะสีหน้าสุดท้ายของมินฮียังคงติดอยู่ในใจ
ใบหน้าไร้อารมณ์ของหญิงสาวที่มักจะแสดงรอยยิ้มให้เขาเสมอนั้น
มันยังค้างคาใจและบีบคั้นความรู้สึก
หากสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
แน่นอนว่าจะเกิดความผิดพลาดในการทำงาน
เขาทำพลาดหลายครั้งเพราะฟังคำพูดของเลขาฯไม่ละเอียด
พอถึงเวลาเลิกงานก็ออกจากบริษัทเร็วกว่าใคร ๆ
เพื่อมาที่ร้านไก่ตุ๋นโสมแห่งหนึ่งในมยองดงใกล้ ๆ
กับอึลจีโรที่มีสำนักงานใหญ่ของเอชเอสการผลิต
เพราะปกติแล้วเธอชอบกินไก่ตุ๋นโสม
ฮยองจุนเลยจองโต๊ะไว้ล่วงหน้าและรอเธอ
ผ่านไปสิบนาทีก็แล้ว ยี่สิบนาทีก็แล้ว
มินฮีก็ยังไม่ปรากฏตัว
เนื่องจากคิดว่ามันดูไม่มีประโยชน์ที่จะโทร.หาระหว่างทำงาน
เขาจึงรอคอยอย่างเงียบ ๆ และหลังจากนั้นประมาณสี่สิบนาที อีกฝ่ายถึงโผล่เข้ามาในร้าน
“ขอโทษค่ะ พอดีเสร็จงานช้า
รอจนอึดอัดแย่เลยใช่ไหมคะ”
“นิดหนึ่ง...ป้าเจ้าของร้านจ้องแรงมาก
เลยให้แบงก์ห้าหมื่นวอนไปหนึ่งใบเป็นค่ารอ ไม่งั้นน่าจะโดนไล่ออกจากร้านไปนานแล้ว”
“ทำดีมากค่ะ”
สีหน้ามินฮีไม่ได้แย่อย่างที่คิด
ฮยองจุนรู้สึกโล่งใจ
หลังจากกินไก่ตุ๋นโสมอย่างเอร็ดอร่อยแล้ว
มินฮีก็บอกว่าเลี้ยงเอง และน่าแปลกใจที่ดันพามาบาร์หรูแถว ๆ อึลจีโร
ไม่ใช่ร้านกาแฟ
ฮยองจุนงุนงงเพราะรู้ว่าปกติมินฮีไม่ค่อยชอบดื่มเหล้า
แต่ตัวเองชอบดื่มอยู่แล้วจึงเดินตามไปพร้อมรอยยิ้ม
สุดท้ายพอนั่งลงแล้ว
ฮยองจุนจึงสั่งค็อกเทลหวาน ๆ ที่ไม่แรงเกินไปให้เธอที่ไม่รู้ว่าต้องสั่งอะไร
จากนั้นก็จับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากของมินฮี
เพราะทำท่าเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว
เธอรับค็อกเทลไปถือแล้วลูบแก้วอยู่พักใหญ่
ถึงจะเปิดปากเล่าอย่างยากลำบาก
“ฉันเจอกับคุณแม่เมื่อไม่กี่วันก่อนค่ะ”
“แม่ฉัน?”
“ค่ะ”
“แม่ว่ายังไงล่ะ ไม่สิ
ไม่บอกก็รู้ว่าจะพูดอะไร ชัดจะตาย แล้วเธอพูดว่ายังไงบ้าง”
“ฉันบอกว่าพวกเราจะไม่เลิกกันค่ะ”
“เยี่ยมมาก ไม่ต้องสนใจหรอก
ยังไงถ้าแต่งงานก็ไม่ได้คิดจะอยู่ด้วยอยู่แล้ว”
“ชิ...พูดเต็มปากเต็มคำ
ยังไม่ได้ขอแต่งงานเลยด้วยซํ้านี่คะ”
ฮยองจุนอึ้งไปชั่วขณะ
“หา? เอ่อ ไม่สิ
ตอนนั้น...ฉันหัวหมุนมากเลยไง”
“ฉันรู้ค่ะ”
“อืม พูดตามตรง
ถ้าคราวนี้ฉันไม่ได้เป็นประธานกรรมการ ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นยังไง
เพราะฉะนั้นก่อนหน้านี้เลยไม่ได้คิดเรื่องขอแต่งงาน รอก่อนนะฉันจะทำให้ดี...”
“ไม่จำเป็นต้องเลิศหรูหรอกค่ะ
คนอื่นอาจจะคิดว่าการขอแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญ แต่ฉันไม่ได้เชื่ออะไรแบบนั้น”
“หือ?”
“มีตั้งกี่คนที่ขอแต่งงานเสร็จเรียบร้อยแล้วมากลับคำทีหลัง
ฉันไม่ได้วาดฝันความโรแมนติกอย่างนั้น แต่สัญญากันหนึ่งข้อแทนได้ไหมคะ”
“สัญญา? ได้สิ
ฉันสัญญา”
“อย่าทรยศฉันค่ะ
แล้วฉันจะไม่ทรยศคุณเหมือนกัน ถ้าทรยศฉัน คุณตายแน่”
แม้จะเป็นคำพูดที่ฟังดูน่าขนลุก
แต่แปลกที่ฮยองจุนถูกใจความเด็ดขาดและกล้าหาญของเธอ
เขาเคยเที่ยวเล่น เคยควงผู้หญิงมามากเกินพอ
จนไม่คิดจะหันมองที่ไหนอีก
อีกอย่าง ถึงตอนนี้จะโชคดีได้เป็นประธานกรรมการ
แต่การต่อสู้มันยังไม่จบ
ในสถานการณ์ที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่มีหุ้นมากที่สุดกำลังจ้องหาโอกาสเล่นงานต่อให้มีเงินเยอะ
เขาก็ไม่คิดจะแต่งงานกับผู้หญิงเซ่อซ่าไร้สติปัญญาเลย
“ฉันจะไม่ทรยศเธอ ทั้งไม่อยากตาย
ทั้งทรยศเธอไม่ได้ด้วย”
มินฮีค่อย ๆ แย้มยิ้ม
ก่อนจะจิบค็อกเทลแล้วพูดต่อ
“คุณแม่ของคุณฮยองจุนเกลียดฉันมากเลยนะคะ”
“เมื่อกี้ฉันบอกไปแล้วไง
ไม่ต้องใส่ใจหรอก”
“แล้วฉันก็เกลียดคุณแม่ของคุณฮยองจุนเหมือนกันค่ะ”
“หา? อ๋อ...อืม
มันก็ไม่แปลก”
“ฉันไม่ได้เกลียดเพราะท่านไม่ชอบฉันนะคะ
ฉันรู้จักตัวเองดี เพราะถ้าเทียบกับตระกูลมหาเศรษฐีแล้ว บ้านฉันก็จนมากจริง ๆ
ฉันเข้าใจค่ะ”
“ถ้างั้น?”
“ฉันคิดหนักมากว่าจะพูดเรื่องนี้ดีไหม
แต่ฉันคิดว่าคุณฮยองจุนควรรู้ค่ะคุณแม่ของคุณฮยองจุนตอนนี้ก็ยังคบกับผู้ชายคนอื่นอยู่นะคะ”
ฮยองจุนตกใจมากจนอ้าปากค้าง
เพราะรู้ว่าเมื่อก่อนอาจจะเป็นอย่างนั้น
แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ก็ยังทำอย่างนั้นอยู่
“ธะ...เธอรู้ได้ยังไง”
“ก่อนหน้านี้ฉันเคยเจอคุณแม่ตอนไปกินมื้อกลางวันคนเดียวที่โรงแรมในเครือค่ะ
ท่านอยู่กับผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง บรรยากาศไม่ธรรมดาเลยฉันเลยลองสืบดูค่ะ”
“เขาเป็นใคร”
“เป็นจิตรกรค่ะ”
“เฮ้อ...”
ฮยองจุนเสยผมด้วยสีหน้าเจ็บปวด
ถึงจะรู้สึกไม่สบายใจที่เห็นเขาทำหน้าเจ็บปวด
แต่มินฮีก็ยังคงพูดต่อ
“คุณฮยองจุนน่าจะรู้อยู่แล้ว ตอนเด็ก ๆ
ที่แม่ฉันทิ้งพวกฉันแล้วออกจากบ้านไป
ความเจ็บปวดเหล่านั้นยังคงติดค้างในใจอยู่เลยค่ะ จนถึงตอนนี้ฉันก็ให้อภัยแม่ไม่ได้
ถ้าฉันแต่งงานกับคุณฮยองจุน ฉันจะไม่ปล่อยให้แม่สามีทำแบบนั้น”
“ฉันเข้าใจ”
“ดังนั้นฉันเลยบอกกับคุณแม่ค่ะ”
“หือ? บอกว่าอะไร”
“ถ้าฉันแต่งงานกับคุณฮยองจุนแล้วคุณแม่ยังไม่เลิกยุ่งกับผู้ชายคนอื่นฉันจะส่งเข้าโรงพยาบาลจิตเวชค่ะ”
“หา...”
รอบนี้ฮยองจุนก็อ้าปากค้างอีก
เขาเพิ่งรู้ว่าบนโลกนี้มีคนพูดแบบนั้นกับคนที่จะมาเป็นแม่สามีด้วย
“ฉันขอโทษค่ะ”
“หือ? ไม่ ๆ
ทำดีแล้ว”
ถ้าพื้นเพของฮยองจุนเหมือนกับคนอื่น ๆ
เขาอาจจะตำหนิว่าพูดกับแม่เขาแบบนั้นได้อย่างไร
แต่ทุกอย่างที่รุมเร้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เผชิญกับทางแยกระหว่างความเป็นและความตาย
ก็ทำให้เขาสัมผัสได้ว่าครอบครัวไม่มีทางรักใคร่กลมเกลียวกันได้อีกแล้ว
“ไม่เป็นไรแน่นะคะ”
“อื้อ ต้องทำแบบนั้นแหละ
แม่ถึงจะได้มีสติ”
“ถ้าว่าอย่างนั้นก็ขอบคุณค่ะ พูดตรง ๆ
ฉันนึกว่าคุณฮยองจุนจะโกรธ”
“แต่ต้องพูดแรงขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เพราะมันจำเป็นค่ะ
ฉันไม่ไว้ใจคุณแม่ของคุณฮยองจุนเลย
ไม่สามารถใช้ชีวิตแต่งงานโดยถูกคนที่ไม่ไว้ใจกดขี่เหมือนทาสได้ค่ะ”
ฮยองจุนจับมือมินฮีแน่นก่อนจะพูด
“เก่งมาก
ฉันก็ไม่มีใครที่ไว้ใจได้เหมือนกัน แม่ก็เชื่อไม่ได้ น้องก็เชื่อไม่ได้ฉันกับเธอ
เราสองคนจับมือกันแน่น ๆ แล้วใช้ชีวิตของเราให้ดีกันเถอะ”
“คำนั้นใช้ได้เลยนะคะเนี่ย
เป็นการขอแต่งงานที่ไม่แย่เลย”
แก้มมินฮีกลายเป็นสีแดงด้วยความรู้สึกเขินอาย
บทที่ 250 การต่อสู้ของวาฬ (1)
คังแดซองกะพริบตา เมื่อเห็นรูปถ่ายหลายใบที่หัวหน้าแผนกพัคชีอุงถือมา
“ผู้หญิงคนนี้เหรอ”
“ครับผม”
อันที่จริงหัวหน้าแผนกพัคชีอุง
มันสมองของฝ่ายกลยุทธ์อายุมากกว่าคังแดซองสิบปี
แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยอารมณ์เสียกับคำพูดไร้หางเสียงของคังแดซองเลย
เพราะรู้ว่าฐานะของพวกเขาแตกต่างกัน
ดังนั้น
หลังจากคังแดซองรับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ หัวหน้าแผนกพัคจึงพยายามทำงานอย่างสุดความสามารถเพื่อให้สมกับความคาดหวังของเขา
“ก็สวยอยู่นะ...แต่ครอบครัวเป็นแบบนั้น
คบกันจริง ๆ เหรอ ไม่ใช่แค่พามาควงเล่นหรือไง”
“ถึงอย่างนั้นประธานกรรมการอีฮยองจุนก็พาเธอไปร่วมงานสำคัญ
ๆ ด้วยครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดูจากคำกล่าวที่ว่าเธอไปร่วมพิธีศพของประธานใหญ่อีคยองโฮแล้ว
น่าจะไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบควงเล่นไปวัน ๆ ครับ”
“ครอบครัวล่ะ”
“ไม่รู้ว่าพ่อแม่หย่ากันหรือเสียชีวิต
แต่เธออาศัยอยู่กับพ่อและน้องครับเช่าคอนโดอยู่แบบเหมา
ราคาเหมาอยู่ที่สามร้อยเจ็ดสิบล้านวอน กู้หกสิบเปอร์เซ็นต์ของจำนวนเงินทั้งหมดครับ”
“บ้านไม่มีอะไรเลยหนิ พ่อทำงานอะไร”
“เปิดร้านอาหารขายแกงถั่วหมักในย่านแดริมครับ”
“แกงถั่วหมัก? ฮ่า ๆ
เวรเอ๊ย ยิ่งไปกันใหญ่ แล้วผู้หญิงคนนี้ทำงานที่ไหน”
“ทำงานเป็นเลขาฯประจำฝ่ายวางแผนและประสานงานของเอชเอสการผลิตครับ”
“เอชเอสการผลิตงั้นเหรอ...เดิมทีเอชเอสกรุ๊ปกับชินยองก็สนิทกันอยู่แล้วใช่ไหม”
“ไม่ใช่เดิมที แต่อยู่ ๆ
ชินยองกับเอชเอสกรุ๊ปก็เพิ่งสนิทกันมากขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเองครับ
ชินยองสนับสนุนการแยกบริษัทฮยอนจินการผลิตออกจากเครือฮยอนจินกรุ๊ป
แทบจะเหมือนความสัมพันธ์เกี่ยวดองกันเลยครับ”
“แล้วก็ตกหลุมรักกันเหรอ แปลกดีแฮะ
ไม่ใช่เลขาฯในบริษัทตัวเองด้วยซํ้า...แล้วทำไมต้องมาชอบผู้ชายที่มีเจ้าของแล้วด้วยเนี่ย
นายมองว่าไง คิดว่าพ่อฉันจะถูกใจประธานกรรมการอีฮยองจุนไหม”
“ผมแอบถามผ่านฝ่ายเลขาฯมา เห็นว่าทางห้องรองประธานใหญ่ก็เคยสั่งให้หาประวัติของประธานกรรมการอีฮยองจุนแล้วครับ”
“อะไรเนี่ย
พ่อเลือกประธานกรรมการอีฮยองจุนงั้นเหรอ”
“น่าจะเป็นอย่างนั้นครับ”
“อืม...เล็งชินยองไว้แล้วโดยที่ไม่บอกพวกเราเลยสินะ”
“ดูเหมือนจะประเมินว่าไม่จำเป็นต้องออกคำสั่งมาที่ฝ่ายกลยุทธ์
เพราะจะเกี่ยวดองกันด้วยการแต่งงานน่ะครับ”
“พ่อก็ต้องการ น้องก็ต้องการ
แต่มีแฟนแล้วเนี่ยนะ หัวหน้าแผนกพัคคิดว่ายังไง”
“หมายถึงความคิดของผมเหรอครับ”
“ใช่
หัวหน้าแผนกพัคเคยเห็นการแต่งงานของพวกตระกูลมหาเศรษฐีมาเยอะแล้วนี่นา”
“ผมว่าสถานการณ์มันค่อนข้างซับซ้อนนิดหน่อยครับ”
“ในแง่ไหน”
“หัวหน้าฝ่ายบอกว่า
สส.ชอนโบยุนเป็นผู้นำในคดีสมุดบัญชีทุจริตของโจชียอน แต่มีข่าวลือมาจากยออึยโดว่า
สส.ชอนสนิทสนมกับเอชเอสกรุ๊ปครับ”
“สส.ชอนโบยุนสนิทกับเอชเอสกรุ๊ป? มากกว่านายกเทศมนตรีกุนซานอย่างโจแจมินอีกเหรอ”
“เรื่องที่นายกเทศมนตรีโจแจมินมีความสัมพันธ์อันดีกับเอชเอสกรุ๊ปเป็นเรื่องที่รู้กันทั้งประเทศ
ไม่ใช่แค่ในยออึยโดเท่านั้น
แต่ภายในที่ทำการพรรคของยออึยโดถึงขั้นกล่าวว่าเอชเอสกรุ๊ปอาจจะเลือก
สส.ชอนโบยุนเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครับ”
หัวหน้าฝ่ายคังแดซองทำหน้านิ่วคิ้วขมวดทันที
“ไอ้พวกนี้เริ่มมาดี แต่ดันตกม้าตายสินะ”
“มันยังไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับการยืนยันครับ
ไม่แน่ใจว่าเอชเอสกรุ๊ปสนิทกับ สส.ชอนจริงหรือเปล่า
ถึงอย่างนั้นก็อาจจะต้องจับตามองไปถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดี...เพราะอย่างที่รู้ว่าข่าวซุบซิบในยออึยโดสิบเรื่อง
เป็นเรื่องโกหกไปแล้วเก้าครับ”
“ปัญหาคือหนึ่งในนั้นมันตบหัวเราอยู่น่ะสิ
เอาเป็นว่าเข้าใจแล้ว ลองตรวจสอบดูว่าข่าวลือระหว่าง
สส.ชอนโบยุนกับเอชเอสกรุ๊ปเป็นเรื่องจริงแค่ไหน”
“รับทราบครับ”
“ทำได้ดีมาก”
“เอ่อ คือว่า...”
“หืม? มีอะไร”
“ก่อนหน้านี้ไม่นาน คุณผู้หญิงแอบมาหาผมครับ”
“คุณผู้หญิง? แม่ฉันเหรอ”
“ครับ”
“แม่พูดว่าอะไรบ้าง”
“คล้าย ๆ กับคำสั่งของหัวหน้าฝ่าย
แต่แตกต่างกันนิดหน่อยครับ”
“ยังไง”
“ขอให้สืบจนถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของผู้หญิงคนนั้นครับ
อย่างพวกข่าวลือที่อาจจะส่งผลกระทบรุนแรง หรือเรื่องแฟนเก่า...”
แดซองหัวเราะเหมือนเหลือเชื่อ
“ฮ่า ๆ
อะไรกันเนี่ย...แม่ฉันเล่นแรงอยู่นะ ถูกใจขนาดนั้นเลยหรือไงหรือว่าดาอึนสั่งมา?
ยังไงก็แล้วแต่ แค่ผู้ชายคนเดียวดันทำให้คนในครอบครัววิ่งวุ่นกันหมด
น่าขายหน้าชะมัด...”
“...”
“แล้วได้บอกข้อมูลที่สืบมาหรือยัง”
“ผมคิดว่าควรรายงานหัวหน้าฝ่ายก่อนครับ”
“บอกไปเถอะ ไม่ได้มีอะไรสำคัญ”
“ได้ครับ ผมขอตัว...”
หลังจากหัวหน้าแผนกพัคชีอุงออกไป
หัวหน้าฝ่ายคังแดซองก็เรียกตัวน้องสาว
แดซองแค่นหัวเราะเมื่อเห็นดาอึนวิ่งมาที่คาเฟ่ใกล้
ๆ กับบริษัทที่พี่ชายทำงานทันทีเหมือนกำลังรออยู่
“ร้อนใจน่าดูนะ”
“อย่าเข้าใจผิดสิ
ฉันออกมาเพราะมีนัดกับเพื่อน แล้วพี่ก็ทักมาพอดีต่างหากสืบอะไรมาได้บ้างไหม”
แดซองวางรูปถ่ายที่มีลงบนโต๊ะ
“สวยอยู่นะ เธอน่าจะลำบากแล้วละ”
ดาอึนพิจารณารูปถ่ายหลาย ๆ รูปก่อนจะวางลง
“ครอบครัวล่ะ”
“ไม่ได้พิเศษอะไร”
“ไม่ได้พิเศษเหรอ”
“อืม เช่าบ้านอยู่ แถมกู้เกินครึ่ง
ครอบครัวไม่มีอะไรเลย”
“ถ้างั้นก็ไม่มีอะไรพิเศษจริง ๆ สินะ”
ริมฝีปากของดาอึนวาดเป็นรอยยิ้ม
“ไม่มีแล้วไง...เธอดูคาดหวังมากเลยนะเนี่ย
ถูกใจขนาดนั้นเลยหรือไง”
“พี่ไม่ต้องใส่ใจเรื่องนั้นหรอก
ปกติก็ไม่เคยสนใจเรื่องของฉันอยู่แล้วนี่นาอย่าทำตัวเหมือนพี่ใหญ่น่า”
“ดูพูดเข้า...แต่ความสัมพันธ์ดูจะจริงจังพอสมควรเลยนะ
เธอจะทำได้เหรอ”
“จริงจังแล้วยังไง”
แดซองจึงกดเสียงลงตํ่าพูดกับน้องสาวที่ดูจะคิดตื้น
ๆ
“อย่าอวดเก่ง
หมอนั่นปลดพ่อตัวเองแล้วนั่งตำแหน่งประธานกรรมการนะคิดว่าจะง่ายเหรอ
ผู้หญิงที่คนแบบนั้นเลือกเนี่ย คงจะมีเหตุผลที่เลือก
บางทีเธออาจจะไล่ต้อนไม่ได้เลยด้วยซํ้า”
“พี่ ทำไมอยู่ ๆ ถึงเป็นห่วงฉันขึ้นมา”
“ฉันจะห่วงเธอทำไม ฉันห่วงแม่
ห่วงบริษัทต่างหาก”
“ห่วงแม่? ห่วงแม่ก็เข้าใจได้
แต่ห่วงบริษัททำไม”
“เรื่องบริษัทเธอไม่ต้องรู้หรอก
แม่สั่งให้พนักงานบริษัทเราสืบเบื้องหลังของผู้หญิงคนนั้นแล้ว เธอก็อยู่เฉย ๆ
เถอะ”
“แม่เหรอ? โห...”
“ทำไม
ถ้าดูจากนิสัยแม่ก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว”
“พี่ก็โดนเหรอ”
“แหงสิ เธอคิดว่าพี่สะใภ้ของเธออยู่ ๆ
ก็ได้แต่งงานกับฉันเลยหรือไง แม่สืบไปถึงวงศาคณาญาติหมดจนแน่ใจว่าไม่มีปัญหา
ถึงยอมให้แต่งงาน”
“นั่นสิ...มันก็สมควร
พี่สะใภ้ก็ดังใช่ย่อยนี่นา”
“หนวกหู”
“ชิ...ยังไงก็แต๊งกิ้ว ฉันขอนี่ไปด้วย”
ดาอึนคว้ารูปถ่ายบนโต๊ะก่อนจะเดินออกจากคาเฟ่
ทันทีที่อีกฝ่ายออกไปแล้ว
แดซองก็ขมวดคิ้วพร้อมกดโทร.ออก
“อืม ฉันเอง นัดกับประธานกรรมการอีฮยองจุน
ชินยองไฟแนนเชียลให้หน่อย เรื่องผู้หญิงอะไรล่ะ...มันว่างขนาดนั้นเลยหรือไง”
เขาไม่ได้สนใจเรื่องราวความรักของน้องสาวเลย
เพียงแต่เรื่องราวของเอชเอสกรุ๊ปมันคอยกวนใจแปลก
ๆ
บทวิเคราะห์มากมายหลั่งไหลออกมาจากแวดวงผู้ที่สนใจการเมือง เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวหลังถอนตัวออกจากพรรคของ
สส.โดซูยอน
มีตั้งแต่การก่อตั้งพรรคใหม่
การสร้างบิ๊กเต็นต์[1] รวมถึงการเข้าร่วมพรรครัฐบาล
ถึงจะมีการพูดคุยกันอย่างต่อเนื่องว่าเธออาจจะเข้าร่วมกับพรรครัฐบาลแต่เชื่อว่าความเป็นไปได้มีน้อย
เพราะจุดยืนของเธอหยั่งรากลึกอยู่ในฝ่ายค้านมานาน
อีกด้านหนึ่ง ด้วยฐานะของ สส.ชอนโบยุนแล้ว
การโน้มน้าว สส.รุ่นใหม่ที่ติดตามตนมาก็ไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น
เมื่อทางฝั่งยออึยโดคลี่คลายอย่างง่ายดาย
งานของยองฮุนก็เบาลงด้วยจึงกลับมาโฟกัสกับโครงการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยได้
หลังจากได้รับโทรศัพท์จากอุดมว่าต้องการพบ
โกซึงฮยอนก็ปรบมือและนัดมีตติ้งกับเจ้าหน้าที่ทีมโครงการต่างประเทศของบริษัทนํ้ามันแห่งชาติของเกาหลีทันที
เนื่องจากนัดมีตติ้งส่วนตัวกับผู้มีอำนาจตัดสินใจในโครงการแหล่งก๊าซธรรมชาติแล้วเรียบร้อย
ตอนนี้จึงสามารถพูดคุยกับบริษัทนํ้ามันเกี่ยวกับเรื่องกิจการค้าร่วมได้แล้ว
“บินกี่โมงครับ”
“ไฟลต์ตอนเก้าโมงยี่สิบนาทีค่ะ
ฉันจองเป็นเฟิร์สต์คลาสสามที่ให้นะคะรวมกรรมการผู้จัดการโกซึงฮยอนกับผู้บริหารบริษัทนํ้ามันแห่งชาติเกาหลีด้วย”
ยองฮุนพยักหน้ากับคำตอบฉะฉานของมินฮี
“โอเคครับ ผมน่าจะอยู่สักสามวัน
หรืออาจจะนานกว่านั้นก็ได้ อ้อส่วนงานกินเลี้ยง...”
“จะดำเนินการโดยไม่มีกรรมการผู้จัดการค่ะ”
“ดีมากครับ ยังไงถ้ามีผมอยู่ด้วยก็คงกดดันกันอยู่แล้วใช่ไหมล่ะครับ”
“ฉันไม่มีปัญหาหรอกค่ะ
แต่สมาชิกในฝ่ายอาจจะอึดอัด”
“นั่นสิครับ”
“แล้วท่านประธานใหญ่ก็เรียกพบด้วยค่ะ”
ยองฮุนเอียงศีรษะ
“ท่านประธานใหญ่เหรอครับ”
มินฮีลังเลก่อนจะฉีกยิ้มอย่างคลุมเครือแล้วพูดต่อ
“ค่ะ ดูเหมือนว่าน่าจะเป็นเพราะฉันเอง”
ยองฮุนสงสัยและคิดจะถามเหตุผล
แต่พอเห็นว่าเธอดูพะว้าพะวังมากกว่าเลยล้มเลิก
“อืม...โอเคครับ
แล้วช่วงนี้บรรยากาศในฝ่ายเป็นยังไงบ้าง”
มินฮีกลอกตาไปมาสักพักถึงตอบ
“อืม~ คุณยอนฮีมุ่งมั่นมากเลยค่ะ”
“จริงเหรอครับ”
“ค่ะ
เรียกว่าทำให้บรรยากาศของฝ่ายวางแผนและประสานงานกระตือรือร้นมากขึ้นก็ได้
ตอนเข้ามาที่นี่ครั้งแรก ฉันคิดว่ามันค่อนข้างเงียบไปนิด
แต่บรรยากาศดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นมากเลยค่ะ”
“ดูตื่นเต้นมากนะครับ”
มินฮีหัวเราะอย่างเขินอาย
“ฟังดูเป็นอย่างนั้นเหรอคะ”
“อืม มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่หรอกครับ ขอแค่ไม่ทำงานพลาด...แล้วทุกคนประเมินโครงการในเชิงบวกไหมครับ”
“ตอนแรกยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่
บรรยากาศเลยเป็นแบบต้องทำตามอย่างไม่มีทางเลือก
เพราะเป็นโครงการที่ลูกสาวคนเดียวของท่านประธานใหญ่ทุ่มเทความพยายามเป็นอย่างมาก
แต่ตอนนี้มองแล้วน่าจะโอเคขึ้นนะคะ พวกพนักงานก็พยายามกระตือรือร้นกันด้วย
ถึงจะไม่รู้ความในใจก็ตาม”
ถ้าเป็นสัญชาตญาณของมินฮีละก็
ไม่จำเป็นต้องพยายามหาคำตอบเพิ่มเติม
หากเธอรู้สึกแบบนั้น
เก้าสิบจากร้อยก็จะเป็นแบบนั้น
“โอเค ขอบคุณมากครับ”
หลังจากปล่อยมินฮีออกไปแล้ว
ยองฮุนก็ขึ้นมาที่ห้องประธานใหญ่
อย่างไรก็ตาม
เขาเดาว่าน่าจะเรียกหาเพราะอยากรู้ว่าโครงการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติที่กำลังดำเนินการอยู่ในตอนนี้เป็นอย่างไร
ทว่า...
ประธานใหญ่ซงอึนแชกลับบอกให้ยองฮุนนั่งแล้วมองด้วยสายตาแปลก
ๆก่อนจะเปิดปากอย่างยากลำบาก
“คือ...มินฮีน่ะ”
“ฮะ? ครับ”
“ทำงานดีใช่ไหม”
“ดีมากเลยครับ ทำไมถึงถามเรื่องนั้น...”
“ลูกเขยชเวเป็นคนติดต่อให้เหรอ
กับประธานกรรมการอีฮยองจุนน่ะ”
ตอนนั้นนั่นเอง
ยองฮุนถึงเข้าใจว่าทำไมแม่ยายถึงเรียกตัวเองมาหา
“มีคนเอาเรื่องคุณมินฮีมาถามท่านประธานใหญ่เหรอครับ”
“อืม”
“เพราะประธานกรรมการอีฮยองจุนใช่ไหมครับ”
“ถูกต้อง”
“คงเป็นฝั่งที่อยากได้ประธานกรรมการอีฮยองจุนเป็นลูกเขยสินะครับ”
“เรื่องนั้นก็ใช่อีก”
“ท่านประธานใหญ่อยู่ในสถานการณ์ลำบากใจหรือเปล่าครับ”
ประธานใหญ่ซงแย้มยิ้ม
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก
ฉันไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องคอยเกรงใจใครสักหน่อยลูกเขยของฉันอุตส่าห์สร้างไว้ให้
ป่านนี้ยังต้องมาเที่ยวเกรงอกเกรงใจใครอีกได้ยังไง”
“ฮ่า ๆ ถ้างั้นก็โล่งอกครับ”
“ภรรยาของรองประธานใหญ่คังแจชิก
โอซองกรุ๊ป ติดต่อมาหาฉันโดยตรง”
“โอซองกรุ๊ปเหรอ
โอซองกรุ๊ปเลือกชินยองไฟแนนเชียลกรุ๊ปสินะครับ”
“คงอย่างนั้น”
“ภรรยาของรองประธานใหญ่คังจากโอซองกรุ๊ปเป็นคนแบบไหนเหรอครับ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน
เพราะถึงจะเจอกันบ้างในงานประชุมผู้บริหาร แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันมาก”
“คงไม่ใช่คนขี้อายเวลาเข้าสังคม...”
“ใช่ จริง ๆ
คงไม่ได้มองว่าฉันอยู่ระดับเดียวกับตัวเองน่ะสิ พวกชนชั้นสูงก็มีระดับชั้นนี่นา
ดยุค ดัชเชส เอิร์ล ไวเคานต์ บารอน ไม่รู้ว่ามองฉันอยู่ประมาณไหน
แต่ท่าทางจะตํ่าพอควร เพราะฉะนั้นฉันเลยงงเหมือนกัน ชื่อโจแจซุกน่ะ
แต่ฉันจำไม่ได้หรอก หึ...เพิ่งรู้หลังจากพูดถึงโอซองกรุ๊ป”
“เธอถามอะไรเกี่ยวกับคุณมินฮีเหรอครับ”
“ไม่ได้ถาม”
“ครับ?”
“แค่ถามว่ามีพนักงานชื่อนั้นไหม
แล้วชวนฉันไปดื่มชาด้วยกันสักวัน”
“อ๋อ...”
“คงไม่ใช่เรื่องที่จะถามทางโทรศัพท์”
“ว่าแต่ท่านประธานใหญ่ทราบได้ยังไงครับ
ว่ามันเกี่ยวกับประธานกรรมการอีฮยองจุน”
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันน่ะสิ อยู่ดี ๆ
ทำไมภรรยาของโอซองกรุ๊ปถึงมาถามความเป็นอยู่ของพนักงานเรา ทีนี้ฉันเลยถามตรง ๆ
มินฮียอมรับว่ากำลังคบกับประธานกรรมการอีฮยองจุนอยู่ ฮ่า ๆ!
คิดอยู่แล้วว่าไม่ธรรมดา แต่นึกไม่ถึงว่าจะจับประธานกลุ่มธุรกิจใหญ่ได้”
“เธอเป็นคนเก่งครับ”
“ลูกเขยชเวคงดูออกแล้วเป็นพ่อสื่อให้สินะ
รู้ไหมว่าตอนแรกฉันกังวลนะ”
“หมายถึงอะไรครับ”
“มินฮีสวยจะตาย
คิดว่าบางทีลูกเขยชเวอาจจะถูกใจหรือเปล่า”
“ไม่มีทางหรอกครับ”
ยองฮุนรีบโบกมือปฏิเสธทันควัน
ประธานใหญ่ซงจึงยิ้มแล้วพูด
“ล้อเล่นน่า
เอาเป็นว่าถ้าไปเจอภรรยาโอซองกรุ๊ปแล้ว ฉันควรจะพูดอะไรดีล่ะ”
“ถ้าโอซองกรุ๊ปเล็งประธานกรรมการอีฮยองจุนไว้จริง
ๆ คุณมินฮีก็จะเป็นหนามยอกอกพวกเขาครับ”
“แน่นอน”
“ถึงไม่รู้ว่าจะแต่งงานกับลูกสาวคนไหนของรองประธานใหญ่โอซองกรุ๊ปแต่อย่างน้อยพวกเราก็ไม่ควรปล่อยให้ชินยองไฟแนนเชียลโดนแย่งไปครับ”
“โดนแย่งเหรอ รู้สึกแปลก ๆ แฮะ รู้สึกเหมือนส่งลูกสาวออกเรือนคนหนึ่งแล้ว
ยังต้องส่งอีกคนที่เหลือออกเรือนตาม
เหมือนสถานการณ์ที่ตระกูลมหาเศรษฐีตระกูลอื่นกำลังจ้องจะงาบลูกเขยที่ฉันเลือกไว้”
“ท่านประธานใหญ่ดูสนุกนะครับ”
“งั้นเหรอ จริง ๆ ก็สนุกดีนะ”
ประธานใหญ่ซงอึนแชยิ้มพร้อมแววตาเป็นประกาย
[1]
หรือเรียกว่า พรรคแบบแตะทุกกลุ่ม (the catch-all
party) หมายถึง โครงสร้างพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์เพียงผิวเผิน
เน้นกวาดคะแนนเสียงให้มากที่สุด โดยออกนโยบายให้เข้าถึงทุกกลุ่มของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง
เป้าหมายคือการชนะและได้อยู่ฝ่ายที่จัดตั้งรัฐบาล
โดยไม่สนใจว่าสมาชิกหรือพรรคที่เข้าร่วมจะมาจากฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น