91-100
บทที่ 91 การก้าวกระโดดของฮยอนจินคอนสตรัคชั่น
(5)
บริษัทฮเยซอง ในอินชอนที่เปลี่ยนชื่อเป็นฮยอนจินคอนสตรัคชั่นดูเปลี่ยนไปไม่น้อย เมื่อเทียบกับตอนที่ยองฮุนมาครั้งก่อนขณะยังไม่เปลี่ยนชื่อ
อาจเพราะพอเปลี่ยนชื่อใหม่ก็เหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สวมใส่
แต่ดูเหมือนเหตุผลหลักที่ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปมากขนาดนี้น่าจะเป็นเพราะสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเหล่าพนักงาน
แม้ว่าบริษัทขนาดกลางอย่างบริษัทฮเยซองจะเล็กเมื่อเทียบกับบรรดาบริษัทขนาดใหญ่
แต่พวกเขากลายเป็นบริษัทในเครือของบริษัทใหญ่แล้ว
แน่นอนว่าขวัญกำลังใจจึงเพิ่มขึ้นในหลาย ๆ ด้าน
“สวัสดีครับ
ผมหัวหน้าแผนกชเวยองฮุนจากฝ่ายเลขานุการครับ”
เมื่อยองฮุนเดินตามเลขานุการเข้าไปในห้องประธานบริษัท
ประธานกูโดอุคก็ลุกขึ้นต้อนรับพลางยิ้มสดใส
“ยินดีต้อนรับครับ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”
“พูดเป็นกันเองกันเถอะครับ”
“ฮ่า ๆ...โอเค นั่งสิ”
สีหน้าประธานกูโดอุคดูดีขึ้นกว่าตอนบริษัทปรับโครงสร้างหนี้อยู่ภายใต้ธนาคารชินยอง
ยองฮุนนั่งลงพร้อมถามขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไป
“ว่าแต่ไม่ทราบว่าท่านประธานเกิดวันไหนเหรอครับ”
“วันเกิด? ทำไมถามถึงวันเกิดฉันล่ะ”
“พอดีเพื่อนสนิทของผมเปิดร้านดอกไม้
พอถึงวันเกิดของคนรอบตัวผมเลยมักสั่งให้ส่งเป็นของขวัญน่ะครับ
ไม่รู้ว่าช่วงนี้ร้านดอกไม้กำลังมีปัญหาหรือเปล่าถ้าเกิดผมติดต่อไปหา
เขาน่าจะดีใจมาก ๆ ครับ”
“อ้อ งั้นเหรอ ฉันเกิดวันที่สองมิถุนาฯ”
วันเกิดที่ยอนฮีบอกมาถูกต้องแล้ว
ถ้าเป็นอย่างนี้แสดงว่าดวงชะตาอาจผิดพลาด
หรือไม่ก็มีตัวแปรบางอย่างที่เขายังไม่รู้
“อ๋อ...วันที่สองมิถุนายนใช่ไหมครับ
ตามสุริยคติ...?”
“ใช่ ฉันไม่รู้วันเกิดตามจันทรคติน่ะ”
“อืม...อย่างนั้นสินะครับ”
ดูเหมือนประธานกูโดอุคมีเรื่องที่อยากพูดเยอะมาก
เพราะหลังคุยเรื่องวันเกิดจบก็รัวคำพูดใส่ยองฮุนทันที
“ฉันเห็นข่าวแล้วนะ
ตอนที่ฮยอนจินการผลิตเข้ามารับช่วงต่อบริษัทของเรา ฉันแค่รู้สึกงง ๆ
แต่ตอนนี้รู้สึกว่าดูมีความหวังมากขึ้น พอได้ยินว่าจะใช้ระบบสวัสดิการตามแบบของฮยอนจินกรุ๊ป
รวมถึงเพิ่มเงินเดือนให้ ทุกคนต่างก็พากันตกตะลึง
แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ หรือเปล่า
เพราะเรายังไม่ได้รับอะไรเลยนอกจากการเปลี่ยนบริษัทฮเยซองเป็นฮยอนจินคอนสตรัคชั่น”
ดูเหมือนประธานกูโดอุคกังวลมากทีเดียว
ฮยอนจินการผลิตไม่ใช่องค์กรการกุศล
จึงไม่มีเหตุผลจำเป็นต้องขึ้นเงินเดือนให้พวกพนักงานทันทีที่รับช่วงต่อบริษัทที่กำลังวิกฤตนี้
ดูแค่เฉพาะบัญชีของบริษัท
บริษัทนี้ยังอยู่ในสภาวะลำบาก หนี้สินที่ต้องชำระคืนทุกเดือนก็ค่อนข้างมาก
ดังนั้นประธานกูโดอุคจึงประหลาดใจมากที่ได้ยินว่าจะมีการเพิ่มเงินเดือนให้เหล่าพนักงาน
“ไม่ใช่ว่าจะเพิ่มให้ในทันที
แต่เราวางแผนจะเพิ่มเพื่อให้ตรงกับฐานเงินเดือนของฮยอนจินการผลิตตั้งแต่สิ้นปีนี้ครับ
เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ควรจะเป็น”
“งานตอนนี้ไม่เพียงพอ”
“อีกไม่นานจะประกาศการคัดเลือกผู้รับเหมาคอนโดเขตบงซอนครับ
แต่ผลจะเป็นยังไงไม่รู้ เพราะฉะนั้นต้องรอติดตามนะครับ”
“ตั้งใจจะคว้าโครงการนั้นจริง ๆ เหรอ
หน่วยงานที่ดำเนินการเรื่องนั้นตั้งขึ้นเพื่อใช้ควบรวมกิจการฮยอนจินการท่องเที่ยวครั้งนี้ไม่ใช่หรือไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ
สำนักงานใหญ่เองก็กำลังพยายามอย่างหนักในหลาย ๆ ทาง
เราต้องคอยจับตาดูสถานการณ์ครับ อีกอย่าง
การควบรวมกิจการฮยอนจินการท่องเที่ยวในครั้งนี้ก็ทำให้แผนการวางระบบอาหารเช้าระดับโรงแรมให้ทุกครัวเรือนได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้น
ทางสำนักงานใหญ่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ในทิศทางที่เป็นบวกมากทีเดียวครับ”
“ทิศทางเป็นบวก...จริงเหรอ”
“ผมไม่ได้พูดเรื่อยเปื่อย
ยังไงก็รอดูอีกสักพักแล้วกันครับ
นอกจากนี้ไม่นานจะมีประกาศสร้างศูนย์รวมปัญญาประดิษฐ์ในกวางจู
เราควรจะพยายามอย่างเต็มที่ที่สุดเพื่อคว้ามันมาครับ”
“ศูนย์รวมปัญญาประดิษฐ์? เดี๋ยวนะ...สเกลประมาณไหน”
“ได้ยินว่าลงทุนประมาณหนึ่งจุดสองล้านล้านครับ”
ประธานกูโดอุคมองยองฮุนอย่างสงสัย
“การเข้าร่วมประมูลไม่ใช่ปัญหาหรอก
เพราะเดิมทีพวกเรามักจะมีส่วนร่วมในงานก่อสร้างของรัฐบาลอยู่บ่อย ๆ
แต่เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ใส่ชื่อฮยอนจินคอน-สตรัคชั่นลงเข้าร่วมอย่างเดียวก็จบ นายมีเส้นสายเบื้องบนบ้างหรือเปล่า
ถ้ามีก็ควรพูดให้ชัด ๆ เพราะราคาประมูล วัสดุตกแต่งภายใน การออกแบบ
รวมถึงเรื่องอื่น ๆ อาจแตกต่างกันสิ้นเชิง”
“อืม...หมายความว่าถ้ามีเส้นสายก็จะเพิ่มราคาประมูลแล้วใช้วัสดุตกแต่งภายในที่คุณภาพตํ่าแทนเหรอครับ”
เมื่อสีหน้ายองฮุนเริ่มดูไม่ค่อยพอใจ
ประธานกูก็รีบอธิบายทันที
“ปกติเวลามีการก่อสร้างแบบนี้
พวกเจ้าหน้าที่รัฐจะมีมาตรฐานที่ตัวเองชื่นชอบอยู่แล้ว
แทนที่จะพูดว่าใช้วัสดุคุณภาพตํ่า ในสายตาผู้เชี่ยวชาญอาจจะมองว่าทั้ง ๆ
ที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน แต่ราคาสินค้ากลับแตกต่างกันมากจนทำให้ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสูงขึ้นเกินควรมากกว่า”
“แล้วยังไงครับ”
“หมายความว่าถ้ามีเส้นสายเบื้องบนอยู่
เราก็จะประมูลด้วยการเสนอราคาที่สมเหตุสมผลที่สุดได้
แต่ถ้าไม่ใช่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเสนอประมูลในราคาถูกและถ้าเป็นอย่างนั้น
ต่อให้คว้าสิทธิ์การก่อสร้างมาได้ก็ไม่มีกำไรเหลือ
ดังนั้นบริษัทก่อสร้างส่วนใหญ่ที่ได้สิทธิ์การก่อสร้างมาเลยมักใช้วัสดุตกแต่งภายในราคาถูกเพื่อลดต้นทุน”
เรื่องนั้นก็สมเหตุสมผลอยู่
“ไม่ต้องเสนอราคาประมูลตํ่าเป็นพิเศษหรอกครับ
เพราะเราไม่จำเป็นต้องยอมขาดทุนเพื่อคว้าสิทธิ์การก่อสร้าง ว่าแต่ตอนนี้นอกจากศูนย์รวมปัญญา-ประดิษฐ์แล้ว
เราก็ควรรับออร์เดอร์อย่างต่อเนื่องไม่ใช่เหรอครับ
เพราะเราเป็นแค่บริษัทขนาดกลางต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ได้”
“เรื่องนั้นก็จริงอยู่...”
“ถ้าเป็นไปได้ก็จ้างบุคลากรที่มีความสามารถเข้ามาเพิ่มอีกเยอะ
ๆ นะครับ”
“สำหรับบริษัทก่อสร้างน่ะ จะจ้างบุคลากรที่มีความสามารถเข้ามามากแค่ไหนก็ได้
ขอแค่มีเงินอย่างเดียว เดิมทีบริษัทก่อสร้างในประเทศเราก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
พอตลาดเริ่มคึกคักขึ้นหน่อยก็จ้างแรงงานเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มกำลังในการทำงาน
แต่พอเศรษฐกิจถดถอย แรงงานที่น่าเสียดายเหล่านั้นก็จะถูกทำให้พ้นจากตำแหน่ง”
“แล้วถ้าตอนหลังสภาพเศรษฐกิจกลับมาดีขึ้นล่ะครับ”
“ถ้างั้นก็ถือว่าพลาดอีกรอบ
ไหนจะเสียเวลาก่อสร้าง
ไหนจะขาดทุนเอาเป็นว่าเรื่องนั้นเป็นความต้องการของท่านประธานใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“โฮ่
ๆ...หัวหน้าแผนกชเวมาทำให้ฉันหายกังวลสินะ”
“ท่านประธานยังบอกว่าอยากนัดพบสักครั้งครับ
แต่พอดีช่วงนี้ยุ่งมาก...”
“ฉันเข้าใจ ต้องจัดการเรื่องใหญ่ขนาดนั้น
คงจะยุ่งมากทีเดียว”
ขณะนั้นใครบางคนก็เคาะประตู
“ท่านประธาน หัวหน้าฝ่ายกูโฮจุนมาแล้วค่ะ”
“อ้าว โอเค บอกให้เข้ามาเลย”
ขณะยองฮุนสงสัยว่าคนดังกล่าวเป็นใคร
ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเก้อเขิน
อีกฝ่ายสูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร
น่าจะเป็นคนกินเก่งเพราะรูปร่างค่อนข้างใหญ่
แต่พอพิจารณาอย่างละเอียดแล้วนับว่าโหงวเฮ้งดีมากแววตาใสกระจ่าง นัยน์ตาดำขลับ
ช่วงกรามแข็งแรง โหนกแก้มก็ชัดเจนดีแค่มองหน้าก็รู้ว่าสุภาพอ่อนโยนจนคนอื่นมักหลุดปากชมว่าดูดี
ทว่าถ้าจะมีข้อบกพร่องสักอย่างก็คงเป็นความโลเลละมั้ง
เนื่องจากเป็นคนใจดีและไม่เด็ดขาด
หากคบผู้หญิงไม่ดีก็อาจจะทำให้พบเจอความลำบาก
ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเกิดมาพร้อมกับดวงชะตาและโหงวเฮ้งที่ดีแค่ไหนก็ตาม
แต่ถ้าเลือกสามีหรือภรรยาผิดพลาด พวกเขาก็จะไม่ได้รับโชคที่ตัวเองควรได้รับ
“คนนี้คือ...?”
“อ๋อ นี่น้องชายฉันเอง ชื่อกูโฮจุน
ทำงานอยู่ฝ่ายออกแบบ ส่วนคนนี้คือหัวหน้าแผนกชเวยองฮุนจากฝ่ายเลขาฯของฮยอนจินการผลิต
ทักทายซะสิ”
ประธานกูเน้นยํ้าว่ายองฮุนมีศักดิ์เป็นผู้ช่วยใกล้ชิดของประธานบริษัทฮยอนจินการผลิต
“สวัสดีครับ ผมกูโฮจุนครับ ฮ่า ๆ...”
เป็นคนอารมณ์ดีจริง ๆ ด้วย
ยองฮุนจับมือทักทายพร้อมเอ่ยถาม
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ
ทำงานที่บริษัทนี้มาตลอดเลยเหรอครับ”
“เข้ามาทำงานได้ประมาณสามปีแล้วครับ”
“ท่าทางคงได้เรียนรู้เกี่ยวกับงานด้านก่อสร้างมาเยอะเลยสินะครับ”
“พ่อทำบริษัทนี้มาตั้งแต่ผมเด็ก ๆ
ผมก็เลยสนใจด้านสถาปัตยกรรมมากครับแล้วก็ได้ไปเรียนต่อเมืองนอก”
พออีกฝ่ายพูดถึงตรงนั้น
ประธานกูโดอุคก็เสริมขึ้น
“บ้านฉันมีลูกชายสี่คน
เจ้าเด็กนี่เป็นน้องเล็ก
อายุห่างจากฉันตั้งสิบเจ็ดปีเกือบจะเป็นลูกชายฉันได้อยู่แล้ว แต่เขาฝีมือดีจริง ๆ
พูดอย่างนี้ไม่ใช่แค่เพราะเป็นน้องชายฉัน สมัยเรียนก็มีชื่อขึ้นนิทรรศการทุกงาน เบคเทล[1] ถึงขั้นมาทาบทามผ่านมหา’ลัยว่าไม่คิดจะสมัครงานเหรอ
เพราะอยากพาตัวเจ้าเด็กนี่ไปทำงานด้วย”
ถึงจะไม่รู้ว่าเบคเทลคืออะไร
แต่ยองฮุนก็มีสีหน้าตกใจพลางย้อนถาม
“โอ้โฮ จริงเหรอครับ”
หัวหน้าฝ่ายกูโฮจุนยิ้มเขิน ๆ แล้วตอบ
“ฮ่า ๆ ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวหรอกครับ
ตอนนั้นมีเพื่อนอีกหลายคนที่ได้รับการติดต่อมา”
“เป็นคนเก่งมากเลยนะครับเนี่ย”
“โฮจุนเป็นคนรับผิดชอบการออกแบบคอนโดเขตบงซอนน่ะ
คนอื่นอาจจะพยายามกดพวกเราด้วยชื่อเสียง
แต่พูดตามตรงว่าความสามารถในการออกแบบของเราไม่ด้อยกว่าพวกบริษัทใหญ่เลย”
“อย่างนี้นี่เอง เข้าใจแล้วครับ”
ถึงจะไม่แน่ใจว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร
แต่อย่างไรก็หมายความว่าอีกฝ่ายมีความสามารถ
และยองฮุนก็รู้ว่านั่นเป็นเรื่องจริงจากโหงวเฮ้ง
ด้วยกลัวว่าถ้าคุยต่อจะยิ่งเผยให้อีกฝ่ายเห็นว่าตัวเองไม่มีความรู้
ยองฮุนจึงรีบขอตัวกลับ
ขณะออกมา ยองฮุนก็ขอประวัติส่วนตัวของกูโฮจุนจากยอนฮี
ยอนฮีหาข้อมูลดังกล่าวแล้วส่งให้ทันที
เมื่อเห็นข้อมูลนั้นยองฮุนก็หัวเราะอย่างสิ้นหวัง
เพราะรู้แล้วว่าทำไมบริษัทถึงเจอวิกฤตทั้ง ๆ
ที่ประธานกูโดอุคเกิดมาพร้อมกับโชคลาภยิ่งใหญ่ขนาดนั้น
ถึงกูโดอุคจะมีโชคลาภติดตัวมาตั้งแต่เกิด
แต่กูโฮจุนเกิดมาพร้อมกับศักยภาพที่เหนือกว่าพี่ชาย
พูดง่าย ๆ ก็คือพลังแข็งแกร่งกว่า
ถ้าบอกว่ายองฮุนเกิดมาพร้อมกับดวงชะตาที่กวาดโชคลาภของคนรอบข้างเข้าหาตัวเองเพราะตอนเด็ก
ๆ เป็นคนโลภมาก กูโฮจุนก็คือตรงกันข้าม
อีกฝ่ายเกิดมาพร้อมดวงชะตาเตะโชคที่เข้ามาหาตัวเองก่อนอายุสามสิบทิ้งหมด
บางทีถ้าเกิดในครอบครัวธรรมดาทั่วไป
ก่อนอายุสามสิบก็อาจเป็นคนที่มีชีวิตยากลำบากมาก ต้องขอบคุณโชคลาภของประธานกูโดอุค
กูโฮจุนจึงไปเรียนต่อถึงต่างประเทศได้
อย่างไรก็ตาม
ถ้าจะถามว่าตอนนี้โชคเข้ามาหาแล้วใช่ไหม นั่นก็ไม่ใช่อีก
ทว่าเพียงแค่เคราะห์ร้ายที่เข้ามาค่อย ๆ
จางลงแล้ว จึงเปิดทางให้โชคของประธานกูโดอุคกลับเข้ามาอีกครั้ง
สองสามวันหลังจากนั้น ณ อู่ต่อเรือกอเจ
บรรยากาศการประชุมผู้บริหารของฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์เหน็บหนาวพอ
ๆ กับสภาพอากาศในกอเจที่มีลมทะเลเย็น ๆ พัดผ่าน
“ถ้ามีปากก็พูดออกมาสิ ทำไมถึงไม่พูดล่ะ
จะรับหรือไม่รับ”
หลังประธานใหญ่อิมชางโฮพูดจบ
ผู้บริหารคนหนึ่งที่เข้าร่วมประชุมก็อ้าปากพูด
“ถ้าท่านประธานใหญ่มั่นใจจริง ๆ
ยังไงพวกเราก็...”
แต่ก่อนผู้บริหารคนนั้นจะพูดจบ
คิมแทมินก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง
“ไม่ได้ครับ! ตอนนี้บริษัทเพิ่งกลับสู่สภาพปกติเองนะครับ
ถ้าซื้ออู่ต่อเรือกุนซานมาก็ต้องจ้างพนักงานทันทีอย่างน้อย ๆ ก็มากกว่าหนึ่งพันคน
เราไม่มั่นใจด้วยซํ้าว่าจะได้รับคำสั่งซื้อที่เพียงพอจนทำให้อู่ขนาดใหญ่ของกุนซานนั่นดำเนินการไปได้หรือเปล่า
ถ้าดึงคำสั่งซื้อจากกาตาร์มาไม่ได้ตามที่คาดการณ์ไว้
เราอาจจะขาดทุนหนักมากเลยครับ”
ผู้บริหารคนนั้นพูดแย้ง
“อาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ครับ
ช่วงนี้ตลาดกำลังเปลี่ยนแปลง ถึงกาตาร์จะบอกว่ากำลังเตรียมสั่งซื้อครั้งใหญ่
แต่นอกเหนือจากเรื่องนั้นก็ยังมีโปรเจกต์อีกมากที่คุ้มค่ากับการรับคำสั่งซื้อนะครับ”
“ถ้าเอามาไม่ได้ล่ะ คุณจะรับผิดชอบหรือไง”
การโต้กลับอย่างรุนแรงของแทมินทำเอาใบหน้าผู้บริหารคนนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดง
“ผมจะรับผิดชอบเอง
ถ้าเดิมพันตำแหน่งผู้บริหารก็จบใช่ไหมครับ”
“หึ! บริษัทอาจถึงขั้นล้มก็ได้
แต่ดันเดิมพันด้วยคอของคนแค่คนเดียวคิดว่าแค่นั้นก็จบงั้นเหรอครับ”
“หมายความว่าไม่คิดจะรับฟังความเห็นต่างตั้งแต่แรกอยู่แล้วสินะครับ”
“ถ้างั้นก็รับผิดชอบสิครับ
คุณพูดออกมาทั้ง ๆ ที่รับผิดชอบไม่ได้ไม่ใช่หรือไงครับ”
ถึงตอนนี้ประธานใหญ่อิมชางโฮที่ฟังเรื่องราวเงียบ
ๆ มาตลอดก็พูดขึ้น
“แล้วถ้าธุรกิจต่อเรือยังเติบโตต่อไปในอนาคต
กรรมการผู้จัดการคิมของเราจะรับผิดชอบยังไงล่ะ”
“ทะ...ท่านประธานใหญ่...เรื่องนั้น...”
“โมโหขนาดนั้นให้ได้อะไร
ไม่คิดจะยั้งปากแล้วพูดจาแบบนั้น ไม่คิดว่าคนฟังจะเสียความรู้สึกหรือไง”
“ขอโทษครับ”
“งั้นก็หมายความว่ากรรมการผู้จัดการคิมของเราก็ยอมแพ้กับอู่ต่อเรือกุนซาน
แล้วก็เห็นด้วยกับการมีอู่ต่อเรือสองแห่งภายในกรุ๊ปเดียวกันใช่ไหม”
“ท่านประธานใหญ่
นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้วนะครับมูจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์จะยอมขายอู่ต่อเรือกุนซานง่าย
ๆ เหรอครับ แล้วถึงจะยอมขาย แต่พวกนั้นจะซื้อแฮจูชิปบิลดิ้งแอนด์มารีนที่มูจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์เล็งเอาไว้ได้ยังไงครับ
ถ้าคิดจะซื้ออู่ต่อเรือกุนซานกับแฮจูชิปบิลดิ้งแอนด์มารีนต่อให้ขายทรัพย์สินทั้งหมดที่ฮยอนจินการผลิตครอบครองอยู่ก็ยังซื้อไม่ได้เลยครับ”
“ก็มีธนาคารอยู่ไง ธนาคารชินยองที่เคยร่วมมือกันควบรวมกิจการฮยอนจินการท่องเที่ยว
ถ้าถึงขั้นแอบเข้ามาเป็นอัศวินดำในการควบรวมกิจการความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ต้องดีมากไม่ใช่เหรอ
กับอีแค่เงินทุนซื้อกิจการจะให้ยืมไม่ได้หรือไง”
“กรณีนั้นเกิดขึ้นได้เพียงแค่หนึ่งในพันในหมื่นเท่านั้นแหละครับ
เรื่องที่มีความเป็นไปได้น้อยนิดแค่นั้น
ทำให้อนาคตของกรุ๊ปสั่นคลอนไม่ได้หรอกครับอีกอย่าง ถึงธุรกิจต่อเรือจะฟื้นตัว
แต่แท่นขุดเจาะกลางทะเลยังตายอยู่ครับยังเร็วเกินไปที่จะมั่นใจว่าฟื้นตัว”
ประธานใหญ่อิมรู้สึกอึดอัดและเสียใจที่แทมินคัดค้านอย่างรุนแรง
แต่ก็เข้าใจดีว่าทำไมหลานชายถึงต้องต่อต้านขนาดนั้น
นั่นเป็นเพราะรู้ว่าถ้าพวกเขาแบกรับอู่ต่อเรือกุนซานในสถานการณ์ที่บริษัทในเครือลดลงเพราะสูญเสียฮยอนจินการท่องเที่ยว
หากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอีกครั้ง ตอนนั้นฮยอนจินทั้งกรุ๊ปก็จะสั่นคลอน
แน่นอนว่าอู่ต่อเรือกุนซานเป็นเหมือนดาบสองคม
หากประสบความสำเร็จ
ฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์จะได้รับการยกย่องว่าเป็นบริษัทต่อเรือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
แต่ในทางกลับกันก็เป็นเหมือนระเบิดที่พังทลายทั้งกรุ๊ปได้ทันที
“เอาเป็นว่าฉันเข้าใจแล้ว
ขอพิจารณาอีกสักหน่อย ทุกคนออกไปก่อน”
ประธานใหญ่อิมโบกมือไล่เหล่าผู้บริหารด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า
มีเพียงแทมินคนเดียวที่ยังไม่ยอมออกไป
“ทำไมแกไม่ออกไป”
“คุณตา
เราต้องซื้ออู่ต่อเรือกุนซานให้ได้จริง ๆ เหรอครับ”
“ฉันบอกว่าขอคิดอีกหน่อยไง”
แทมินตะโกนเสียงดังอย่างโกรธจัด
“ก็เป็นอย่างนั้นตลอดไม่ใช่เหรอครับ! ถ้าเรื่องไม่เป็นไปตามที่ต้องการท่านประธานใหญ่ก็มักจะเลื่อนวาระการประชุมออกไป
แล้วผลักดันจนกว่าการลงมติจะเป็นเอกฉันท์!”
“เดี๋ยว แกกำลังพูดบ้าอะไร...”
“ทำกันเกินไปจริง ๆ ครับ
ปล่อยให้ฮยอนจินการท่องเที่ยวกลายเป็นแบบนั้นไปแล้ว
ตอนนี้ยังตั้งใจจะพังฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์อีกเหรอครับ ไม่สิ
ตอนนี้ผมเข้าใจความคิดของคุณตาแล้ว
พอฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ต้องดิ้นรนกับอู่ต่อเรือกุนซาน
คุณตาก็จะรอรับความช่วยเหลือจากฮยอนจินการผลิตใช่ไหมครับหลังจากนั้นก็วางแผนจะยกบริษัทนี้ให้ยายยอนฮีสินะ”
“ว่าไงนะ ไอ้เด็กเวร!”
จังหวะที่ประธานใหญ่อิมโกรธจนลุกขึ้นตวาด
กล้ามเนื้อบริเวณท้ายทอยก็หดเกร็งจนสายตาพร่าเลือนในทันใด
[1]
บริษัทก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา
บทที่ 92 เรื่องราวที่เกิดขึ้นในปูซาน
(1)
บริษัท ตกอยู่ในความโกลาหลทันที
หลังได้ยินข่าวว่าประธานใหญ่อิมชางโฮล้มป่วยกะทันหัน
ยอนฮีก็ได้แต่นั่งนิ่งเหม่อลอยเหมือนวิญญาณหลุดจากร่าง
ส่วนประธานซงที่คิดจะเดินทางไปดูอาการทันทีก็ติดแหง็กอยู่ที่บริษัทเพราะประธานอิมจีอึนห้ามเข้าเยี่ยมด้วยเหตุผลว่าพ่อต้องพักผ่อน
จากนั้นเมื่อเห็นว่าไม่ได้การแล้วจึงเรียกประชุมผู้บริหาร
โดยที่ยองฮุนนั่งรอเวลาอยู่ข้าง ๆ ยอนฮี
แม้จู่ ๆ
ประธานใหญ่อิมชางโฮจะล้มป่วยถึงขั้นหมดสติ
แต่ยองฮุนก็ไม่คิดว่าเขาจะเสียชีวิตทันที เพราะถ้าเป็นเคราะห์ที่จะล้มป่วยกะทันหันจนเสียชีวิตเรื่องนั้นต้องปรากฏบนโหงวเฮ้งด้วย
ตอนแรกเขานึกว่าตัวเองอาจจำผิด
แต่พอลองนึกดูอีกรอบก็พบว่าเรื่องนี้น่าแปลก
เพราะประธานใหญ่อิมไม่มีดวงจะล้มป่วยจนอาจเสียชีวิตฉับพลันแบบนี้
ถึงเขาจะบอกเองว่าไม่มีเวลาแล้ว
แต่นับเวลาตามจันทรคติช่วงที่อีกฝ่ายจะเสียชีวิตอยู่ในช่วงกลางถึงปลายปีหน้า
ตอนนี้ยังไม่พ้นปีด้วยซํ้า เขาคิดว่าประธานใหญ่อิมไม่มีทางเสียชีวิตตอนนี้แน่นอน
ขณะกำลังคิดถึงตรงนั้นมินฮีก็เข้ามาหาอย่างเร่งรีบ
“ท่านประธานบอกว่าตอนนี้จะออกเดินทางแล้ว
ให้หัวหน้าแผนกกับคุณหนูเตรียมตัวค่ะ”
“ผมเหรอครับ”
“ค่ะ
ท่านประธานบอกให้หัวหน้าแผนกไปด้วยค่ะ”
“หัวหน้าฝ่ายเลขาฯล่ะครับ”
“หัวหน้าฝ่ายฮงก็ไปด้วยเหมือนกันค่ะ”
“อืม...โอเคครับ”
พูดตามตรง
ยองฮุนไม่อยากไปพบกับประธานใหญ่อิมชางโฮ แม้ว่าจะไม่ใช่ตอนนี้
แต่ถึงอย่างไรเขาก็รู้ว่าอีกไม่นานอีกฝ่ายก็จะเสียชีวิต
เขารู้สึกไม่สบายใจ เพราะทั้ง ๆ
ที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ต่อหน้าญาติ ๆ ที่เจ็บปวด
ทว่าอย่างไรก็ต้องไปเพราะปฏิเสธท่านประธานไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ยองฮุนจึงหันไปสะกิดข้อศอกยอนฮีที่ยังนั่งเหม่อลอยให้รู้ตัว
“คะ?”
“ท่านประธานบอกให้เตรียมตัวครับ
พวกเรากำลังจะออกเดินทางแล้ว”
“ตอนนี้? ไปปูซานเหรอคะ”
“ครับ ไปกันเถอะ”
พอได้ยินคำว่าไปกันเถอะ
เธอก็รีบลุกขึ้นสวมเสื้อโค้ตแล้วออกไป
ไม่หยิบแม้แต่โทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าสตางค์ด้วยซํ้า
ยองฮุนช่วยเก็บของใส่กระเป๋าให้เธอแล้วตามลงไปยังลานจอดรถชั้นใต้ดินนอกจากรถของประธานซงแล้ว
ด้านหลังยังมีรถยนต์ส่วนบุคคลอีกคันจอดรออยู่
เขารู้สึกว่าตัวเองควรขึ้นรถคันหลัง
จึงเดินไปขึ้นรถคันนั้น ทว่ายอนฮีกลับตามมาด้วย
“คุณยอนฮีควรจะไปนั่งกับท่านประธานนะครับ”
“ไม่เอาค่ะ
ถึงยังไงฉันก็แนะนำคุณกับคุณปู่ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่เป็นไรหรอก
ฉันจะนั่งไปกับคุณค่ะ”
“ถ้างั้นก็โอเคครับ”
พอถึงปูซานแล้วคงมีหลายสายตาจับจ้อง
แต่ดูเหมือนเธอจะเลือกความมั่นคงทางจิตใจของตัวเองมากกว่าจะสนใจสายตาคนภายนอก
นั่งรออยู่ในรถไม่นานคนกลุ่มหนึ่งก็กรูกันลงมา
ผู้บริหารทุกคนของบริษัทมาส่งประธานซง
และเมื่อประธานซงกับหัวหน้าฝ่ายฮงขึ้นรถคันหน้าแล้วออกเดินทาง
รถคันที่ยองฮุนกับยอนฮีนั่งก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากบริษัทตามไป
หลังใช้เวลาเดินทางเกือบสี่ชั่วโมง รถยนต์สีดำสนิทสองคันก็มาถึงโรงพยาบาลปูซานแพค
เมื่อพวกยองฮุนลงจากรถและมาถึงห้องพักผู้ป่วยที่ประธานใหญ่อิมอยู่ก็เห็นว่ามีคนอีกกลุ่มอยู่บริเวณหน้าห้อง
ยองฮุนแอบหัวเราะในใจเมื่อเห็นภาพนี้
นี่เป็นฉากที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์และละครบ่อยมาก
เขารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เห็นภาพนี้กับตาตัวเองในระยะประชิด
“มาเร็วดีนี่ ทำไม
คิดว่าพ่อจะยกอะไรสักอย่างให้ก่อนตายก็เลยรีบมาหรือไง”
ประธานซงโต้กลับคำพูดร้ายกาจของประธานอิมจีอึนอย่างเย็นชา
“ฉันได้มาเยอะแล้ว
ดังนั้นไม่ได้อยากได้อะไรเพิ่มอีกค่ะ ฉันเข้าใจว่าคุณพี่กลัวจะถูกแย่งอะไรไปอีก
แต่อย่าวางท่าใส่ฉันแบบนั้นเลย คุณพ่อท่านป่วยอยู่ มาได้ยินเสียงดังแบบนี้ไม่ดีนะคะ”
“ไม่เคยคิดเลยว่าน้องสะใภ้จะเป็นคนอย่างนี้
ปกติหน้าด้านขนาดนี้เลยเหรอ”
“ใช่ค่ะ
เมื่อก่อนฉันใช้ชีวิตแบบไม่มีปากมีเสียง จะปฏิเสธอะไรสักคำก็ทำไม่ได้
แต่พอสามีล้มป่วยแล้วต้องพยายามปกป้องสิ่งที่ตัวเองมี ฉันก็แข็งแกร่งขึ้นเหมือนเลี้ยงลูกชายมาสามคนเลยค่ะ
ตอนนี้คุณพี่ก็ไม่ได้ดูน่ากลัวขนาดนั้นแล้ว จะว่าเปลี่ยนก็คงเปลี่ยนแหละค่ะ”
“เฮอะ...”
ประธานอิมหัวเราะอย่างไม่อยากเชื่อ
แต่ประธานซงหันไปพูดคุยกับแทมินที่ยืนนิ่งเงียบอยู่แทน
“ท่านประธานใหญ่เป็นยังไงบ้าง”
“ยังไม่ฟื้นเลยครับ”
“ได้ยินว่าเธอเป็นคนเจอคนแรก
เกิดอะไรขึ้น”
ได้ยินประธานซงถามอย่างนั้นประธานอิมก็พูดแทรกขึ้น
“กำลังสอบสวนลูกชายฉันหรือไง”
“ไม่ได้สอบสวน
แค่ถามว่าเรื่องราวเป็นมายังไงเท่านั้นค่ะ
ในฐานะลูกสะใภ้ก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอคะที่ฉันจะสงสัยว่าคุณพ่อหมดสติได้ยังไง
คุณพี่ร้อนตัวเกินเหตุทั้ง ๆ ที่ฉันถามเรื่องแค่นี้เนี่ย มันยิ่งน่าสงสัยนะคะ”
“อะไรที่ว่าน่าสงสัย!
ตอนนี้แทมินลูกฉันยังตกใจไม่หายจนต้องกินยารู้บ้างหรือเปล่า”
สิ้นประโยคนั้นแทมินก็รีบเอ่ยห้าม
เพราะคิดว่าถ้าคนอื่น ๆ เห็นแม่โมโหอย่างนี้ ตัวเองอาจยิ่งน่าสงสัยมากกว่าเดิม
“แม่ พอเถอะ ว่าแต่ข้าง ๆ เธอนั่นใคร”
แทมินมองยองฮุนที่ยืนชิดยอนฮีด้านหลังประธานซงพร้อมถาม
ยอนฮีเหลือบมองยองฮุนแล้วตอบ
“เขาเป็นคนจากฝ่ายเลขาฯของเรา
หัวหน้าแผนกชเวยองฮุน”
“งั้นเหรอ
ตัวติดกันขนาดนั้นนึกว่าคบกันอยู่ซะอีก”
“ใช่ คบกันอยู่”
“อะไรนะ”
พอแทมินขมวดคิ้ว
ยองฮุนก็ก้มศีรษะให้เล็กน้อย
“หัวหน้าแผนกชเวยองฮุนจากฮยอนจินการผลิตครับ”
แทมินพูดโดยไม่แม้แต่จะชายตามองมือที่ยองฮุนยื่นมา
“จริงเหรอ จะแต่งงานกันเลยหรือไง
ถึงพามาถึงที่นี่”
“คุณปู่ก็รู้จักแล้ว”
“แนะนำแล้วด้วยเหรอ ไม่เคยเห็นหน้าเลย
ลูกหลานตระกูลไหน”
เมื่อได้ยินคำถามนั้นพร้อมเห็นสายตาที่มองมายอนฮีก็กัดริมฝีปาก
สายตาเย้ยหยันของแทมิน
นั่นเป็นสายตาที่บอกว่าแค่มองก็มั่นใจว่ายองฮุนไม่ใช่คนจากตระกูลมหาเศรษฐี
“ยังมีอารมณ์มาสงสัยอยู่อีกเหรอว่าเขาเป็นลูกหลานตระกูลไหน
สบายใจกับสถานการณ์ตอนนี้ขนาดนั้นเลยหรือไง”
“ว่าไงนะ”
“คุณปู่ป่วยแบบนี้
พี่ก็ทำงานของตัวเองให้ดีเถอะ อย่าเอาสมองมาใช้กับเรื่องอื่นเลย
จะได้ไม่โดนแย่งบริษัทไปอีก”
ทั้ง ๆ
ที่ก่อนหน้านี้เธอนิ่งเงียบมาตลอดเพราะพยายามจัดการความรู้สึกที่ซับซ้อนของตัวเอง
แต่พอถึงเวลาต้องตอกกลับก็ฟาดอย่างแรงโดยไม่ลังเลขึ้นมาทันที
“เธอพูดจาไม่มีมารยาทกับพี่เขาได้ยังไง
เพราะแบบนี้ไงคนถึงพูดกันว่าการเลี้ยงดูของครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ
ไม่รู้จักลำดับอาวุโสหรือไง”
เมื่อประธานอิมที่ทนฟังต่อไม่ไหวแทรกขึ้นมา
ยอนฮีก็สวนกลับอย่างไม่เกรงกลัว
“ใช่ค่ะ
หนูมันเด็กนอกก็เลยไม่คุ้นเคยกับมารยาทแบบเกาหลี อ้อ
ฉันได้ยินมาจากงานปาร์ตี้ก่อนหน้านี้ว่าพี่ทำผู้หญิงท้องอีกแล้วเหรอ
คราวนี้ไม่ใช่ดาราแต่เป็นเด็กดริงก์นี่ พี่น่าจะระวังตัวหน่อยนะ
แต่อีกเดี๋ยวก็คงได้จัดงานแต่งกับสาวร้านรูมซาลอนที่โรงแรมแล้วสินะ น่าขายหน้าจัง
จะกล้าแจกการ์ดเชิญให้เพื่อน ๆ ไหมเนี่ย”
เพียะ!
ประธานอิมจีอึนตบหน้ายอนฮีเต็มแรงอย่างเหลืออด
เคลื่อนไหวเร็วมากจนยองฮุนเข้าขวางเหมือนพระเอกในละครไม่ทัน
เขาตกใจ ประธานซงเองก็ตกใจ
แต่ยอนฮีกลับเชิดหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วลูบมุมปากพลางพูด
“วันนี้หนูไม่อยากทะเลาะด้วย
จะยอมปล่อยผ่านไปก่อนแล้วกันค่ะ คิดซะว่าโดนตบแลกกับฮยอนจินการท่องเที่ยว
แก้มข้างเดียวกับฮยอนจินการท่องเที่ยวก็ถือว่าถูกดีนะคะ”
“ว่าไงนะ!”
ประธานอิมจีอึนโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม
“อีกอย่าง ความจำหนูดีนะคะ
แต่วันนี้หนูจะแกล้งลืมให้เป็นพิเศษ เพราะถึงยังไงก็เป็นคุณป้า ตอนนี้ช่วยหลีกทางได้ไหมคะ
เพราะหนูมาที่นี่เพื่อเยี่ยมคุณปู่ที่ยังนอนไม่ได้สติ”
พูดจบยอนฮีก็เดินผ่านหน้าอีกฝ่ายไปทันที
แล้วหัวหน้าฝ่ายฮงซึงแดก็รีบพาประธานซงไปยังห้องพักผู้ป่วย
ภาพลักษณ์แสนเย็นชานี้ของยอนฮีอาจจะเป็นตัวตนเดิมของเธอ
แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ
อย่างหลังจากฟังเรื่องราวเกี่ยวกับดวงชะตาจากยองฮุน
แต่เดิมทีเธอก็เป็นผู้หญิงที่ไม่คิดจะเหลียวแลคนที่ไม่ผ่านมาตรฐานของตัวเองอยู่แล้ว
“นะ นังเด็กมารยาททราม...”
“ขอตัวนะครับ...”
ยองฮุนค้อมศีรษะให้เล็กน้อยและตั้งใจจะเดินผ่านอีกฝ่ายไป
แต่แทมินคว้าแขนเขาไว้
“ได้ยินว่าเจอคุณตาฉันมาแล้ว”
“ครับ ใช่ครับ”
“ท่านพูดอะไรบ้าง”
“ก็ไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษนะครับ”
แทมินจ้องตายองฮุนเขม็งอยู่สักพักเพราะไม่เชื่อ
หลังจากปะทะสายตากันเงียบ ๆ
ยองฮุนก็หยิบนามบัตรออกจากกระเป๋าใส่บัตรที่ยอนฮีซื้อให้เป็นของขวัญ
“ไหน ๆ ก็ได้มาเจอกันแบบนี้แล้ว
ผมขอทักทายอย่างเป็นทางการเลยนะครับชเวยองฮุนครับ”
อุตส่าห์ยื่นนามบัตรให้เพราะตั้งใจจะจับมือทักทายอย่างเป็นธรรมชาติ
แต่แทมินกลับกระตุกมุมปากแล้วพูด
“คิดว่าฉันจะแลกนามบัตรกับนายไว้ดูตำแหน่งงาน[1] หรือไง”
ยองฮุนชินกับการพูดจาเป็นกันเองของฮยองจุนแล้ว
ดังนั้นต่อให้ใครจะพูดห้วน ๆ ใส่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย
ถ้าอารมณ์ร้อนกับเรื่องแค่นี้
เวลามากกว่ายี่สิบปีที่ฝึกฝนอยู่บนภูเขาคงเสียเปล่า
ยองฮุนเพียงแค่รู้สึกโกรธที่ยอนฮีถูกตบหน้าเมื่อกี้
“สงสัยคงเข้ากรมมาแล้วสินะครับ
แต่ผมได้ยินมาว่าปกติลูกหลานตระกูลมหาเศรษฐีไม่ต้องเข้านี่นา”
“พล่ามอะไร”
“อย่าโมโหเลยครับ
ผมก็ไม่เคยเข้ากรมเหมือนกัน ดังนั้นพวกเราก็ไม่มีหมายเลขประจำตัวทหารกันทั้งคู่
จะเรียกว่าแลกไว้ดูตำแหน่งงานอย่างเดียวก็ถูกนะครับ
เพราะในอนาคตอาจจะได้ยินชื่อผมบ่อย ๆ
แล้วก็...ไม่ทราบว่าเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับอู่ต่อเรือกุนซานไหมครับ”
แววตาของแทมินเปลี่ยนไปทันที
จากนั้นก็คว้าคอเสื้อยองฮุนแล้วผลักเขาไปชนผนัง
“ตายแล้ว ทำไมทำแบบนี้”
ประธานอิมจีอึนพยายามห้าม แต่หูของแทมินไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
เอาแต่จ้องหน้ายองฮุนพร้อมถาม
“นายเป็นคนพูดเรื่องไร้สาระกับคุณตาของฉันงั้นเหรอ”
“อย่าโมโหสิครับ”
ยองฮุนจับมือแทมินที่ขยุ้มคอเสื้อเขาไว้
จังหวะนั้นอีกฝ่ายก็ตะโกนถามเสียงดังกว่าเดิม
“ฉันถามว่าเป็นนายใช่ไหม!”
“ถ้าเป็นผมจริง ๆ จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเหรอครับ
แล้วผมก็ไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงต้องโมโหขนาดนี้ หรือว่ามีอะไรแทงใจหรือเปล่า”
ได้ยินประโยคนั้นมือของแทมินที่คว้าคอเสื้ออยู่ก็หมดแรงในพริบตา
ยองฮุนเองก็ปล่อยมือออกแล้วจัดเสื้อพลางพูดต่อ
“แทนที่จะมาเค้นหาว่าใครเป็นคนเสนอ
คุณควรรีบหาข้อสรุปดีกว่านะครับ”
“ทำไม
จะได้ซื้อแฮจูชิปบิลดิ้งแอนด์มารีนหรือไง”
ตอนนั้นประธานอิมจีอึนที่ฟังอยู่ข้าง ๆ
ได้โอกาสถามขึ้นมา
“แกพูดเรื่องอะไร
แฮจูชิปบิลดิ้งแอนด์มารีนคืออะไรอีก”
ทั้งแทมินและยองฮุนไม่ได้หันไปตอบคำถามอีกฝ่าย
ยองฮุนหันมองรอบตัวครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้น
“กรรมการผู้จัดการ
ถ้าอารมณ์ร้อนจะทำพลาดเอาได้นะครับ
ตอนนี้คุณกลายเป็นผู้นำของฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์แล้วไม่ใช่เหรอครับ
อย่าโมโหนักเลยอีกอย่าง
ผมจะถือว่าการตัดสินใจของคุณเป็นการตัดสินใจของฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์นะครับ”
“ตัดสินใจอะไร”
“อู่ต่อเรือกุนซาน คุณจะยอมแพ้ไม่ใช่เหรอครับ”
“...”
“ผมหวังว่าคุณจะบริหารฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ได้ดีนะครับ”
ยองฮุนก้มศีรษะให้เล็กน้อยแล้วเดินผ่านไป
ได้ยินเสียงประธานอิมจีอึนถามลูกชายอยู่ข้างหลังว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาไม่ได้สนใจ
เพราะตอนนี้เรื่องพวกนั้นไม่ผ่านเข้าหูเลย
‘พวกเขาเลี้ยงหมาป่า...ทั้งยังเป็นหมาป่าน่ารังเกียจ
ดีแต่ใช้อารมณ์ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองล่าสัตว์ไม่ได้ด้วยซํ้า’
ยองฮุนเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยพลางถอนหายใจ
ตอนจับมือแทมินที่ขยํ้าคอเสื้อตัวเองอยู่
ยองฮุนก็รู้เวลาเกิดของอีกฝ่ายจากนั้นก็นำมาคำนวณดวงชะตารวมกับวันเดือนปีเกิด
จึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วคิมแทมินเป็นคนอย่างไร
“ผมคิดว่ายากที่ท่านจะตื่นตอนนี้ครับ”
“ตำรวจมาสอบสวนหรือยังคะ”
“ผมไม่ทราบครับ”
พอเห็นประธานซงและยอนฮีผิดหวังกับคำพูดของหมอ
ยองฮุนก็ได้แต่มองทั้งคู่จากด้านหลังเงียบ ๆ
เมื่อเห็นสองแม่ลูกนั่งนิ่งไม่พูดอะไรหลังหมอเดินออกไปสักพัก
หัวหน้าฝ่ายฮงก็แอบเรียกยองฮุนออกมา
ดูเหมือนพวกประธานอิมจีอึนจะไปที่อื่นแล้ว
“นายคิดว่าจะเป็นยังไง”
หลังได้ยินคำถามของหัวหน้าฝ่ายฮง
ยองฮุนก็จ้องห้องพักผู้ป่วยที่ประธานใหญ่อิมนอนไม่ได้สติอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ
“ผมคิดว่าพวกเขาจะยอมแพ้เรื่องอู่ต่อเรือกุนซานครับ”
“อืม เรื่องนี้คงไม่ง่าย
ช่วงเฟื่องฟูยังไม่เข้ามาหาพวกเขาเลยด้วยซํ้า แต่กลับมาบอกให้กอดอู่ต่อเรือร้าง ๆ
ราคาเกือบหนึ่งล้านล้านวอนไว้ ถ้าไม่ยอมแพ้สิจะยิ่งแปลก”
“ถูกต้องครับ”
“แล้วทีนี้จะทำยังไงต่อ”
“ตอนนี้เราก็ทำงานของเรา...”
ขณะกำลังพูด
ยองฮุนก็สังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินหันรีหันขวางอยู่
ถ้าเป็นคนทั่ว ๆ ไปเขาคงไม่สนใจ
แต่ใบหน้ากับเสื้อผ้าที่เธอสวมอยู่นั้นไม่ธรรมดาเลย
เดี๋ยวนี้เขาไปห้างสรรพสินค้ากับยอนฮีบ่อย
ได้เปิดหูเปิดตาเรื่องสินค้าแบรนด์เนม จึงมองออกว่ากระเป๋าและเสื้อผ้าของเธอค่อนข้างแพง
ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังดึงดูดความสนใจคนอื่น
ๆ ได้ทันที เพราะเป็นคนสวยจนสะดุดตา
“ทำไม คนรู้จักเหรอ”
ยองฮุนยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้น
“น่าสนุกดีนะครับ”
“อะไร”
“ท่านประธานใหญ่ยังไม่เป็นอะไร
แต่เราคงได้จัดงานศพคนอื่นแทน”
[1]
ต้นฉบับใช้คำว่า 군번 ซึ่งมีสองความหมาย ความหมายแรกคือตำแหน่งงาน ส่วนอีกความหมายคือหมายเลขประจำตัวทหาร ในบริบทนี้ตัวละครตั้งใจเล่นคำเพื่อกวนประสาทอีกฝ่าย
บทที่ 93 เรื่องราวที่เกิดขึ้นในปูซาน
(2)
สิ่งที่คิดถูกต้องจริง ๆ
หลังจากเดินไปหน้าห้องพักผู้ป่วยห้องนั้นห้องนี้ไม่นาน
หญิงสาวคนนั้นก็มาหยุดหน้าห้องที่ท่านประธานใหญ่อยู่
ทันทีที่การ์ดของฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์เข้ามาขวางเธอไว้
หัวหน้าฝ่ายฮงก็เดินเข้าไปใกล้
“แป๊บเดียวก็ได้ค่ะ
ฉันแค่อยากคุยด้วยนิดหน่อยเท่านั้น”
“ไม่ได้ครับ”
“ฉันไม่ใช่คนนอกนะคะ
ฉันรู้จักกับกรรมการผู้จัดการคิมแทมิน”
“ถ้างั้นรบกวนมาพร้อมกับกรรมการผู้จัดการนะครับ
เข้าไปคนเดียวไม่ได้ครับ”
เห็นพวกเขากำลังวุ่นวายกันอยู่
หัวหน้าฝ่ายฮงที่เดินเข้าไปใกล้ก็เอ่ยถาม
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
“คืออยู่ ๆ
คุณผู้หญิงคนนี้ก็มาบอกว่าอยากคุยกับท่านประธานใหญ่ครับ”
คำพูดของการ์ดทำให้หัวหน้าฝ่ายฮงหันมาเกลี้ยกล่อมเธอ
“ตอนนี้คุณเข้าพบท่านประธานใหญ่ไม่ได้
กลับไปเถอะครับ”
“ตอนนี้ท่านประธานใหญ่ป่วยหนักเลยเหรอคะ
ถึงขั้นพูดไม่ได้หรือจำใครไม่ได้เลยหรือเปล่าคะ”
หมายความว่าใครบางคนรู้จักผู้หญิงคนนี้
แล้วบอกเกี่ยวกับอาการของท่านประธานใหญ่อิมชางโฮให้ฟังงั้นเหรอ
หัวหน้าฝ่ายฮงพูดอย่างแน่วแน่
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องรู้
กลับไปก่อนเถอะครับ ถ้ารู้จักกับกรรมการผู้จัดการก็ค่อยมากับกรรมการผู้จัดการนะครับ
เพราะถ้าขืนยังทำแบบนี้ต่อไป พวกเราคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเรียกตำรวจ”
ยองฮุนพิจารณาเธอด้วยสีหน้าสนใจจากด้านหลัง
และคิดว่าสองแม่ลูกนั้นไม่รู้จะปรากฏตัวเมื่อไหร่
และจะทำหน้าอย่างไรเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้
ในเวลาเดียวกันนั้น ประธานอิมจีอึนกำลังพูดคุยกับลูกชายในสถานที่ไร้ผู้คนผ่านไปมา
“เรื่องที่ยอนฮีพูดเมื่อกี้คืออะไร
แกทำให้ใครท้องจริงหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ นั่นมันเรื่องไร้สาระสิ้นดี”
“ยอนฮีจะพูดเรื่องไร้สาระได้เต็มปากเต็มคำอย่างนั้นเลยเหรอ
แกพูดความจริงมา เกิดอะไรขึ้น
ฉันจะได้จัดการถูกว่าจะจ่ายเงินหรือสั่งให้เอาเด็กออกไม่ใช่หรือไง!”
แทมินหันหน้าหนีอย่างหงุดหงิด
แต่สุดท้ายก็ต้องบอกความจริงอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ผู้หญิงที่ผมควงอยู่พักหนึ่ง
ไม่ใช่เด็กดริงก์”
“ไหนว่าเป็นเด็กดริงก์”
“ไม่ใช่อย่างนั้น...แค่ผู้หญิงทั่ว ๆ ไป
แต่เจอกันในผับเฉย ๆ”
“ท้องใช่ไหม”
แทมินตอบไม่ได้ เพราะตัวเองก็ไม่รู้แน่ชัด
เมื่อเห็นท่าทางลูกชาย
ประธานอิมก็ยิ่งซักไซ้ไล่เลียงเพราะมองสถานการณ์ออก
“ท้องจริง ๆ ใช่ไหม ไม่สิ หรือว่าคลอดแล้ว
เด็กคลอดออกมาแล้วงั้นเหรอ”
“ผมไม่รู้ว่าเป็นลูกผมหรือเปล่า
แต่คงไม่ใช่มั้ง นั่นไม่มีทางเป็นไปได้”
“บ้าเอ๊ย...”
ประธานอิมตัวสั่นด้วยความโกรธจนเลือดขึ้นหน้า
ไม่ได้แค่ท้อง แต่ถึงขั้นคลอดแล้ว...
“ไม่น่าใช่ลูกผมหรอกมั้ง
ผมก็เลยขอตรวจดีเอ็นเอไปแล้ว นั่นเป็นเรื่องไร้สาระน่า”
“ผลจะออกเมื่อไหร่”
“ใกล้จะออกแล้ว
ผมสั่งหัวหน้าฝ่ายยุนไว้แล้ว เดี๋ยวผมจัดการเอง”
ประธานอิมจีอึนคลายความโกรธลงเมื่อได้ยินว่าจัดการตรวจดีเอ็นเอแล้ว
“จริงเหรอ แน่ใจนะว่าไม่ใช่ลูกแก”
“ก็บอกว่าไม่ใช่ไง แม่ไม่เชื่อผมเหรอ”
ประธานอิมจีอึนกัดริมฝีปากแล้วเตือนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“แกระวังตัวให้ดี
ถ้าโดนผู้หญิงกับเด็กนั่นรั้งข้อเท้าไว้ แกจะพลาดโอกาสดี ๆแน่นอน
เมื่อวานฉันโทร.คุยกับคุณผู้หญิงของจีเคกรุ๊ปแล้ว
แกจะปล่อยลูกสาวบ้านนั้นหลุดมือไม่ได้เด็ดขาด เข้าใจไหม”
“เข้าใจครับ เข้าใจแล้วววว”
แทมินมีสีหน้าแบบลูกชายที่รำคาญเสียงบ่นของแม่
“คราวนี้ก็จัดการพวกผู้หญิงรอบตัวแกให้หมด
เด็กที่ชื่อจูยอนนั่นไม่ใช่เล่น ๆ นะ”
“รับทราบครับ
ว่าแต่แม่แน่ใจเรื่องเนื้อหาในพินัยกรรมของคุณตาจริง ๆใช่ไหม”
ประธานอิมยักไหล่
“ถ้าสิ่งที่ฉันเห็นตอนนั้นถูกต้องก็ใช่ ฉันเองก็จับทนายไว้แน่นเหมือนกันไม่มีทางจะไม่รู้ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลง
แกไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับหุ้นทั้งหมดของตาแกหรอก”
“ฮู่ว...”
เมื่อแทมินถอนหายใจยาว ๆ เหมือนอึดอัด
ประธานอิมก็ลูบไหล่เขาแล้วกล่าวต่อ
“ตาแกใช้ชีวิตมานานแล้ว
สุขสำราญกับทุกสิ่งอย่าง คบกับผู้หญิงมาทุกรูปแบบจนทำให้ยายแกตรอมใจตาย
ต่อให้หมดลมตอนนี้ นั่นก็เป็นตามอายุขัยเพราะฉะนั้นอย่าคิดมาก”
“ครับ”
“กลับไปกันเถอะ”
เมื่อประธานอิมจีอึนหันหลังเดินออกไป
แทมินก็ตามมา แล้วก็เห็นว่าเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น
“ฉันบอกว่ามาพบท่านประธานไงคะ
แค่มาทักทายก็กลับแล้ว ทำไมคุณถึงไม่ยอมให้ฉันเข้าไปล่ะคะ”
หัวหน้าฝ่ายฮงซึงแดของฮยอนจินการผลิตกำลังยืนขวางสาวสวยคนหนึ่งอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วย
และทันทีที่เห็นว่าหัวหน้าแผนกชเวยองฮุนคอยสังเกตการณ์อยู่ด้านหลังเงียบ
ๆ แทมินก็รู้สึกเข่าอ่อน
“ผมบอกให้กลับไปไงครับ คิดว่าทำแบบนั้นแล้วคุณจะได้เข้าพบท่านประธานใหญ่ตามลำพังเหรอครับ”
สุดท้ายหัวหน้าฝ่ายฮงซึงแดก็หงุดหงิด
แทมินรีบก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“เธอมาที่นี่ได้ยังไง ออกไปเถอะ”
แทมินคว้าข้อมือหญิงสาวแล้วพาตัวออกไปทันที
ประธานอิมจีอึนเองก็ตามไปเช่นกัน
ขณะที่หัวหน้าฝ่ายฮงมองภาพนั้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
อาจเพราะได้ยินเสียงดังเอะอะด้านนอก
ตอนนั้นยอนฮีจึงออกมาจากห้องพักผู้ป่วย
“อะไรน่ะ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
“ผมคิดว่าเธอเป็นคนรู้จักของกรรมการผู้จัดการคิมแทมินครับ”
ดูเหมือนเธอเข้าใจคำตอบของยองฮุน
แววตายอนฮีจึงเป็นประกาย
“เธอดูเหมือนผู้หญิงแบบที่ฉันบอกเมื่อกี้ไหมคะ
ฉันเห็นหน้าไม่ชัด”
“ไว้ค่อยคุยเรื่องนั้นกันทีหลังครับ”
ยองฮุนไม่ต้องการพูดคุยเรื่องนั้นตรงนี้
“โอเค
อีกหนึ่งชั่วโมงฉันนัดพบผู้อำนวยการโรงพยาบาลไว้ พวกเราออกไปกันก่อนเถอะ
ฉันเครียดจนหิวเลยเนี่ย อย่างน้อยก็ควรกินข้าวก่อน”
หลังประธานซงอึนแชเดินออกมาสีหน้าเหนื่อยล้า
ทุกคนก็หยุดพูดคุยกันแล้วเดินตามเธอไป
หลังจากเข้ามาในร้านปลาดิบที่หัวหน้าฝ่ายฮงโทร.มาจองอย่างเร่งด่วน
ก็พบว่าในร้านไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียว
น่าจะไม่ได้เหมาร้าน
แต่ดูเหมือนแค่ตอนนี้ไม่มีลูกค้าพอดีเฉย ๆ
“ร้านเล็กไปหน่อยไหมคะเนี่ย”
คำถามของยอนฮีมีความหมายว่าร้านค่อนข้างโทรมนิดหน่อย
หัวหน้าฝ่ายฮงยิ้มแล้วพูด
“ปลาดิบที่นี่ดีนะ
ท่านประธานใหญ่เองก็ชอบแวะมาบ่อย ๆ
เวลาอดีตท่านประธานมาปูซานก็ต้องมาทานปลาอิชิไดที่นี่สักตัวก่อนกลับเหมือนกัน”
“อ้อ...อย่างนั้นเหรอคะ”
“ปลาดิบดี เครื่องเคียงก็ใช้ได้”
ประธานซงยิ้มให้หัวหน้าฝ่ายฮงแล้วหันมามองยองฮุน
“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น”
“น่าจะเป็นผู้หญิงที่กรรมการผู้จัดการคิมแทมินปิดบังไว้
ดูเหมือนเธอจะรีบมาเพราะได้ยินข่าวว่าท่านประธานใหญ่ล้มป่วยครับ
ผมคิดว่าอาจจะมีลูกนอกสมรสนะครับ”
“ไม่ได้กำลังท้องอยู่งั้นเหรอ”
“ผมไม่แน่ใจเรื่องนั้น
แต่เธอดูไม่เหมือนผู้หญิงที่ไม่มีความคิดครับ”
ประธานซงเข้าใจคำพูดของยองฮุน
“พี่สามีฉันต้องปวดหัวแน่ ๆ
แต่ปกติแทมินก็ชอบเที่ยวเล่นอยู่แล้ว
หัวหน้าแผนกชเวคงรู้สึกเวทนากับเรื่องแบบนี้ใช่ไหม”
“ก็นิดหน่อยครับ...”
“ถ้าเธออยู่ตรงนี้ก็คงจะได้เห็นอะไรแบบนี้บ่อย
ๆ
เวลามองพวกมหาเศรษฐีมีบางอย่างแตกต่างจากที่เคยเห็นในหนังในละครไปเกินคาดอยู่เหมือนกัน
แต่ในแง่ความสุขความสบายใจ กลับแย่ยิ่งกว่าในหนังในละครซะอีก
ดังนั้นหลังจากแต่งงานไปแล้ว มีแค่ไม่กี่คนหรอกที่ใช้ชีวิตด้วยความรักระหว่างสามีภรรยา
นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันไม่บังคับลูก ทั้ง ๆ
ที่อูมยองกรุ๊ปมาขอให้ยอนฮีไปดูตัวกับลูกชายของพวกเขาน่ะ”
สำหรับยองฮุน
นี่เป็นเรื่องที่เพิ่งได้ยินครั้งแรก เขาจึงหันไปมองยอนฮี
เธอยิ้มแหยพลางหันหน้าหนี
“ไม่รู้ว่าเพราะเห็นมาเยอะหรือเปล่า พฤติกรรมแบบนั้นของแทมินเลยดูไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไหร่สำหรับฉัน
เพราะถ้าจะพูดตามตรง
คุณพ่อเองก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน...เอาเป็นว่าคนบ้านนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนั้นกันหมด
ฉันอาจจะชินกับมันไปแล้วก็ได้...”
เขารู้ว่าทำไมประธานซงอึนแชพูดถึงตรงนั้นแล้วเงียบไป
นั่นอาจจะหมายความว่าพ่อของยอนฮีก็ไม่ต่างกันมากนัก
“อย่างนั้นสินะครับ”
“ฉันเชื่อว่าหัวหน้าแผนกชเวของพวกเราจะไม่ทำแบบนั้น”
คนที่ตกใจกับคำพูดนี้มากที่สุดคือหัวหน้าฝ่ายฮงซึงแด
ก่อนหน้านี้เขาเอะใจมาตลอด
แต่พอเห็นว่าประธานซงยอมรับหัวหน้าแผนกชเวอย่างเปิดเผยแบบนี้ ก็มั่นใจแล้วว่าผู้บริหารคนต่อไปของฮยอนจินการผลิตคือชเวยองฮุนแน่นอน
คนที่มีความสัมพันธ์อันลึกลับและแสดงความสามารถให้เห็นนั้น
กลายเป็นว่าคือลูกเขยประธานซงอึนแช...
แผ่นหลังของหัวหน้าฝ่ายฮงสั่นสะท้าน
เขาคิดว่าการฟังคำพูดของหัวหน้าแผนกมินฮงกีก่อนหน้านี้และย้ายมาอยู่ฝ่ายหัวหน้าแผนกชเวนั้น
นับเป็นหนึ่งในการตัดสินใจเพียงไม่กี่อย่างที่ถูกต้องในชีวิต
ถ้าหากตอนนั้นไม่ฟังหัวหน้าแผนกมินฮงกีแล้วยังอยู่ฝ่ายเดียวกับอดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ยางชอลกี
บางทีตอนนี้ตัวเขาอาจตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายคลึงกับอีกฝ่ายที่เข้าออกสำนักงานอัยการเป็นว่าเล่นก็ได้
อย่างไรก็ตาม
ถ้าสิ่งที่ได้ยินวันนี้เป็นอย่างที่คิด
ก็แสดงว่าเชือกที่ตัวเองคว้าไว้เป็นเชือกทองคำ
“เรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นครับ”
“โอเค แล้วตอนนี้เราควรทำยังไงกันดี
ถึงแม้คุณพ่อน่าจะเขียนพินัยกรรมไว้ล่วงหน้า แต่ท่านก็คงเหลือเวลากับพวกเราอีกไม่มากแล้ว
พูดตรง ๆ ฉันไม่ได้ต้องการอะไรเพิ่ม
แค่หวังว่าจะแยกตัวออกมาได้อย่างสมบูรณ์ตามที่คิดไว้ก่อนหน้านี้”
“ผมคิดว่าเรื่องนั้นน่าจะยากครับ”
“นั่นสินะ”
“พวกเขาไม่ใช่คนที่ยอมสละของในมือตัวเองง่าย
ๆ ทั้งยังเพิ่งโดนแย่งของที่ตัวเองครอบครองไว้ไปอีก คงจะพยายามทุ่มสุดกำลังเพื่อเอามันกลับคืนครับเห็นได้ชัดว่าถ้าหากท่านประธานใหญ่เสียชีวิต
แล้วเขาถืออำนาจเด็ดขาดของกรุ๊ปไว้ในมือ
สถานการณ์น่าเหนื่อยล้านี้ก็จะยังดำเนินต่อไป...แต่พอตอนนี้มีแขกไม่ได้รับเชิญในสายตาฝ่ายนั้นปรากฏตัวขึ้น
ผมเลยอยากรู้ว่าเรื่องราวจะออกมาเป็นยังไงน่ะครับ”
“หมายถึงลูกของแทมินใช่ไหม”
“ครับ
ถ้ายอมรับอย่างเป็นทางการก็เรียบร้อย แต่จะเป็นอย่างนั้นเหรอครับ”
“ไม่หรอก
ประธานอิมจีอึนไม่มีทางทำแบบนั้นแน่นอน
ตอนนี้กำลังพยายามเชื่อมสัมพันธ์แทมินกับลูกสาวของจีเคกรุ๊ปอยู่
เรื่องนี้คุณพ่อเป็นคนจัดการเองท่านอยากได้ร้านค้าปลอดภาษีของจีเคกรุ๊ป
หรือถ้าพูดให้ชัดก็คืออยากได้สภาพคล่องทางการเงินที่จีเคกรุ๊ปมี
เพราะที่นั่นคือเศรษฐีเงินสด ขนาดตอนเจอวิกฤตIMF ก็ยังไม่สะทกสะท้าน”
จีเคดิวตี้ฟรีเป็นแบรนด์ร้านค้าปลอดภาษีขนาดใหญ่ที่ติดหนึ่งในสามอันดับแรกของประเทศเกาหลี
แม้แต่ยองฮุนยังรู้จัก
“ทางนั้นเขาไม่มีลูกชายเหรอครับ”
“มีสิ
แต่ก็มีข่าวลือหนาหูว่าอย่างน้อยก็จะยกร้านค้าปลอดภาษีให้ลูกสาวเด็กคนนั้นฉลาดไม่เบาเลยละ”
“อย่างนี้สินะครับ...”
“หลังจากเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยมาครั้งหนึ่งแล้ว
คุณพ่อก็คิดว่าต้องหาพาร์ตเนอร์ที่จะเข้ามาช่วยเหลือตัวเองเมื่อถึงเวลาวิกฤตอย่างจริงจังได้พี่เขยสามีฉันที่มีน้องชายเป็นผู้จัดการกองทุนนอกตลาดให้ความช่วยเหลืออย่างมาก
ยิ่งทำให้คุณพ่อมุ่งมั่นดำเนินการเรื่องนั้น
ครอบครัวฉันช่วยอะไรไม่ได้เลยด้วยซํ้า”
“ดังนั้นก็เลยพยายามเกี่ยวดองกับบริษัทที่เป็นเศรษฐีเงินสดสินะครับ”
“ถูกต้อง แต่อยู่ดี ๆ
ลูกของแทมินก็โผล่มาซะงั้น ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาจะรับมือยังไง
แต่ถึงเรื่องนั้นจะค่อนข้างน่าปวดหัว ก็ทำอะไรพี่สาวสามีฉันไม่ได้ง่าย ๆ”
“นั่นสินะครับ”
ยองฮุนพยักหน้ารับคำ แต่ไม่ได้เห็นด้วยกับคำพูดของประธานซงทั้งหมดเพราะตอนมองโหงวเฮ้งของผู้หญิงคนนั้น
แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ
แต่เขาก็ไม่คิดว่าเธอจะเป็นผู้หญิงที่จัดการได้ง่ายเลย
ยอนฮีทำหน้าตาอยากรู้อยากเห็นสุด ๆ
แต่ถามยองฮุนตรงนี้ไม่ได้ท่าทางนั้นเดาได้เลยว่าเมื่ออยู่ด้วยกันแค่สองคน เธอจะรัวคำถามเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นใส่เขาแน่นอน
หลังกินข้าวเสร็จพวกเขาก็กลับมายังโรงพยาบาลอีกครั้ง
เพื่อพบผู้อำนวยการโรงพยาบาลเป็นการส่วนตัว
ชายที่ผมเป็นสีขาวต้อนรับประธานซงอึนแชและพวกยองฮุนด้วยสีหน้าโอบอ้อมอารี
“ยินดีต้อนรับครับ ผมผู้อำนวยการโรงพยาบาล
โนซอกชุนครับ”
ทันทีที่ยองฮุนเห็นหน้าผู้อำนวยการก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก
ขณะกำลังคิดอยู่ว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
อีกฝ่ายก็ทักทายประธานซงอึนแชและเชื้อเชิญให้ทุกคนนั่งลง
“อาการของคุณพ่อเป็นยังไงบ้างคะ”
ผู้อำนวยการส่ายหน้าสีหน้าหมองหม่น
“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ แต่ท่านอาจจะไม่ได้สติกลับมาแล้วครับบุคลากรทางการแพทย์ของเรากำลังพยายามอย่างสุดความสามารถ...”
“อย่างนั้นสินะคะ”
ประธานซงอึนแชไม่ได้ตกใจมากนัก
เพราะคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะเป็นอย่างนี้
ที่มาเข้าพบผู้อำนวยการโรงพยาบาลวันนี้
เธอไม่ได้มาเพื่อขอร้องให้ช่วยชีวิตแค่ต้องการให้ช่วยดูแลเป็นอย่างดี
ใจจริงเธออยากขอให้ย้ายพ่อสามีไปโรงพยาบาลที่ใหญ่กว่านี้ด้วยซํ้า
แต่ประธานอิมจีอึนคงคัดค้านแน่นอน เธอจึงไม่ได้พูดออกมา
เพราะแค่ย้ายมาที่นี่ซึ่งดีกว่าโรงพยาบาลกอเจแพคนิดหน่อยก็เชิดหน้าใส่แล้ว
หลังจากพูดคุยกับผู้อำนวยการเสร็จสิ้น ยองฮุนก็พูดกับประธานซงขณะเดินออกมา
“ผมขอคุยกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลสักครู่ได้ไหมครับ”
“หือ? ทำไมล่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ
พอดีว่าเคยรู้จักกันมาก่อน ผมมีเรื่องส่วนตัวจะคุยกับเขาน่ะครับ”
จำได้แล้ว
ถึงจะเคยเห็นแค่สองครั้งเมื่อสิบกว่าปีก่อน
แต่เป็นคนคนนั้นไม่ผิดแน่
“อือ ได้สิ”
เขาปล่อยยอนฮีที่มองตามมาด้วยสายตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นไว้ข้างหลัง
แล้วกลับเข้าไปในห้องที่เพิ่งออกมาอีกครั้ง
ผู้อำนวยการโนซอกชุนมองอย่างสงสัยว่าเขากลับเข้ามาทำไม
“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าเมื่อก่อนเคยมาไหว้พระที่วัดบนเขาบ้างหรือเปล่า...”
แค่พูดถึงตรงนี้
ผู้อำนวยการโนซอกชุนก็ตบเข่าพร้อมอุทานออกมา
“ใช่! ก็ว่าอยู่ว่าเคยเจอกันที่ไหน
ที่นั่นนี่เอง เณรเมื่อตอนนั้นใช่ไหมครับ”
“ครับ ใช่ครับ
กลายเป็นว่าคุณเป็นหมอสินะครับ”
“ฮ่า ๆ...นั่งก่อนสิครับ”
ผู้อำนวยการโนซอกชุนเชื้อเชิญให้ยองฮุนนั่ง
จากนั้นก็พูดต่อ
“ตอนนี้ภรรยาผมก็ยังบริจาคให้ทางวัดอยู่ต่อเนื่องครับ
ตอนนั้นผมขอบคุณมาก ๆ เลยนะครับ”
“ไม่เป็นไรเลยครับ ผมทำอะไรที่ไหนกัน
ว่าแต่ลูกสาวคุณเป็นยังไงบ้างครับ”
“เพราะตอนนั้นผมเชื่อฟังคำพูดของเณรแล้วส่งไปเรียนเมืองนอก
ตอนนี้เลยสบายดี กลายเป็นนักเชลโลแล้วครับ ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นครับ
ทำไมเณรผู้เก่งกาจถึงมาทำงานบริษัทล่ะ”
“ผมบอกแล้วไงครับว่าไม่ใช่เณร
ยังเอาแต่เรียกเณรอยู่เรื่อยเลย มีพระเณรที่ไหนไม่โกนผมบ้างครับ”
“ถ้าสวมจีวรอยู่ในวัดก็เป็นพระเป็นเณรหมดไม่ใช่เหรอครับ
ว่าแต่ตอนนี้กลายเป็นพนักงานบริษัทแล้วเหรอครับ”
“ครับ ตอนนี้ผมกลับมาสู่ทางโลก
กลายเป็นพนักงานบริษัทเต็มตัวแล้วครับ”
“เหมือนคนละคนเลยนะครับเนี่ย ดูดีมากเลย”
ผู้อำนวยการโนซอกชุนยิ้มกว้างแล้วถามว่าทางโลกเป็นอย่างไรบ้าง
ชีวิตในบริษัทเป็นอย่างไรบ้าง ก่อนจะพูดเกริ่นอย่างระมัดระวัง
“ว่าแต่ไม่ทราบว่า...”
“ครับ?”
“ตอนนี้ยังดูดวงชะตาอยู่หรือเปล่าครับ”
“ขอโทษครับ
ตอนนี้ผมไม่รับดูดวงชะตาแล้วครับ”
“ฮ่า ๆ...นั่นสินะ...”
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ
ถึงผมจะดูดวงชะตาไม่ได้แล้ว แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ผมช่วยได้ในฐานะพนักงานออฟฟิศ...”
ยองฮุนรู้อยู่แล้วว่าตอนนี้ผู้อำนวยการโนซอกชุนตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก
รู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ดูดวงชะตาให้อีกฝ่าย
บทที่ 94 เรื่องราวที่เกิดขึ้นในปูซาน
(3)
นั่นเป็นเรื่องราว ที่ผ่านมานานกว่าสิบปีแล้ว
เมื่อยองฮุนไม่กลัวความมืดมิดของภูเขาอีกต่อไป
บางครั้งเขาก็ต้องการอวดความสามารถของตัวเอง
แม้ไม่อาจพูดอย่างเปิดเผยว่าตัวเองดูดวงชะตาได้เพราะเจ้าอาวาสจับตามองอยู่
แต่ก็ชอบหาโอกาสบอกอะไรบางอย่างกับคนที่แวะเวียนมา
เนื่องจากคนส่วนใหญ่มักจะเขียนวันเดือนปีเกิดทิ้งไว้เวลามาไหว้พระที่วัดดังนั้นขอแค่รู้เวลาเกิดก็รู้ดวงชะตาได้ไม่ยาก
เขาจึงเคยทักผู้หญิงหลายคนที่ขึ้นมาไหว้พระ
คนภายนอกที่รู้ว่ายองฮุนดูดวงชะตาเป็นก็คือกลุ่มคนที่เคยรับฟังคำพูดของเขาในตอนนั้น
และภรรยาของโนซอกชุนก็เป็นหนึ่งในนั้น
เรื่องที่ทักภรรยาโนซอกชุนตอนนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกของเธอ
และเป็นเรื่องที่ค่อนข้างหนักหนาเอาการ
เขาเตือนว่าเธออาจจะสูญเสียลูกหากเผลอทำบางอย่างพลาด
ซึ่งภรรยาของโนซอกชุนในตอนนั้นก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องธรรมดา
จากนั้นเธอจึงมาหายองฮุนพร้อมกับสามี หลังยองฮุนดูดวงชะตาให้ก็ช่วยบอกทางแก้ไข
เรื่องนั้นผ่านมานานมากแล้ว
ตอนนั้นเส้นผมของโนซอกชุนไม่ได้ขาวขนาดนี้ ตอนแรกที่เห็นหน้ายองฮุนจึงยังนึกไม่ออก
“จะว่ายังไงดี...เรื่องนี้เป็นปัญหาส่วนตัวของผมด้วย
แล้วก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลด้วยครับ”
“เรื่องอะไรกันครับ”
“ก่อนหน้านี้เคยบอกใช่ไหมครับ
ว่าผมมีดวงชะตาจะทำธุรกิจ ตอนนั้นผมฟังแล้วไม่ได้พูดอะไร บอกตรง ๆ ว่าเณร...ไม่สิ
ตอนนี้ควรเรียกว่าอะไรดีครับ”
ยองฮุนหยิบนามบัตรออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้
“เรียกว่าหัวหน้าแผนกชเวก็พอครับ”
“ฮ่า
ๆ...หัวหน้าแผนกชเว...ชีวิตคนเราคาดเดาไม่ได้จริง ๆ นะครับ ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้
ผมไม่เคยเห็นใครมหัศจรรย์เท่าหัวหน้าแผนกชเวเลย เป็นถึงหัวหน้าแผนกเลยเหรอครับ”
“นั่นเป็นเรื่องในอดีตแล้วครับ”
“อืม...ยังไงก็ตาม
ตอนนั้นพอได้ยินหัวหน้าแผนกชเวบอกว่าผมมีดวงชะตาจะทำธุรกิจ ผมไม่เชื่อครับ
เพราะผมฝันอยากเป็นหมอมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็พึงพอใจกับชีวิตการเป็นหมอ
ที่บอกว่ามีดวงชะตาจะทำธุรกิจก็เลยฟังดูไร้สาระครับ”
“ผมก็คิดอย่างนั้นครับ”
“แต่พออายุขนาดนี้แล้วขึ้นเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล
ผมก็รู้สึกอึดอัดตลอดเลยครับ”
“รู้สึกเหมือนงานนี้ไม่เหมาะกับตัวเองใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ”
“นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าการดูดวงชะตาครับ
เพื่อให้ผู้อำนวยการรู้ว่าอาชีพไหนจะทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จได้มากกว่า
ไม่ใช่คาดเดาว่าตอนนี้ผู้อำนวยการกำลังทำอาชีพอะไรอยู่
ถ้าเป็นอย่างนั้นจะไม่ใช่การดูดวงชะตา แต่เป็นการทายครับ”
“ถ้างั้นตอนนี้ผมควรทำยังไงดีครับ”
“อย่างที่บอกไปว่าตอนนี้ผมไม่ได้ดูดวงแล้ว
แต่...”
“แต่?”
“พอลองนึกถึงดวงชะตาของผู้อำนวยการที่เคยเห็นในตอนนั้น
ผมก็จำได้ว่าช่วงเวลานี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีนักครับ”
แววตาของผู้อำนวยการโนซอกชุนสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด
“หนักหนาถึงขั้นไหนครับ”
“ตอนทำงานดูแลชีวิตผู้คนโดยมองเฉพาะตัวบุคคลอาจจะไม่รู้สึก
แต่ตอนนี้ต้องเริ่มมองเงินแล้วใช่ไหมครับ พอไม่เป็นตามที่ต้องการ
ผู้อำนวยการคงรู้สึกอึดอัด”
“ถูกต้องครับ”
“แค่เรื่องนั้นก็ยากมากแล้ว
แต่เมื่อสองปีก่อนกลับมีข่าวร้ายเข้ามาอีกเพราะว่าต้องบริหาร ก็เลยมีแรงกดดันด้านผลประกอบการด้วยสินะครับ”
“เรื่องนั้นก็ใช่ครับ”
“น่าเสียดายที่ไม่มีทางแก้ครับ
เพราะถึงตอนนี้แล้ว ผู้อำนวยการก็ออกจากโรงพยาบาลไปทำธุรกิจไม่ได้ใช่ไหมล่ะครับ”
“เรื่องนั้นก็จริง”
“ไม่ทราบว่าประสบปัญหาทางการเงินหรือเปล่าครับ”
ผู้อำนวยการโนซอกชุนตกใจมาก
“รู้เรื่องนั้นได้ยังไงอีกครับ
ไหนบอกว่าไม่ดูดวงแล้ว แต่ทั้งหมดนี่...”
“ผมเห็นตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
แค่ไม่ได้บอกครับ”
“ทำไมถึงไม่บอกล่ะครับ”
“ก็ผู้อำนวยการไม่เชื่อผมไม่ใช่เหรอครับ”
ผู้อำนวยการโนถอนหายใจด้วยความเสียดาย
“ฮ่า ๆ...น่าเสียดายจริง ๆ ครับ ตอนนั้นหัวหน้าแผนกชเวเป็นคนช่วยกู้สถานการณ์ของลูกสาวผมแท้
ๆ ทำไมผมถึงไม่ถามอะไรเพิ่มนะ เสียใจจังครับ”
“ชีวิตก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่เหรอครับ
ตอนนั้นไม่ว่าผมจะพูดอะไร ผู้อำนวยการก็คงไม่เชื่อหรอกครับ
ในทางกลับกันผมก็คิดว่ายอดเยี่ยมมากนะครับที่ผู้อำนวยการช่วยชีวิตลูกสาวไว้ได้
ทั้ง ๆ ที่ไม่เชื่อเรื่องดวงชะตาหรือไสยศาสตร์”
“ใช่ครับ
ผมไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้จนกระทั่งได้พบหัวหน้าแผนกชเว”
“ถึงจะแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ
ก็ต้องขอบคุณความรักที่มีต่อลูกสาว
ผู้อำนวยการถึงยอมเชื่อผมจนสามารถช่วยชีวิตลูกสาวได้ครับ ตอนนี้ถึงจะลำบากนิดหน่อยแต่ก็คงไม่เท่าความกังวลกับความเจ็บปวดตอนนั้นหรอกครับ”
“ก็จริงครับ”
ถึงจะพยักหน้ารับ
แต่เนื่องจากตอนนี้กำลังประสบความลำบาก จึงยากที่จะคิดว่าแค่อดทนก็จะผ่านไปได้ง่าย
ๆ
“แต่ถึงยังไงก็ยังกังวลอยู่ใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ เรามีหลายสิ่งที่ต้องสูญเสีย
แล้วก็มีคนอีกมากที่ต้องดูแล ตอนนี้ลูกสาวที่เคยทำให้ปวดใจในตอนนั้นโตเป็นสาวสวย
หน้าตาดีกว่าใคร ๆ และมีแฟนแล้วครับ พอเห็นลูกเติบโตมาอย่างดีแบบนั้น
ผมก็เลยอยากทำอะไรสักอย่างให้มากขึ้นในฐานะพ่อ ไม่มีวิธีเลยเหรอครับ”
ความจริงยองฮุนจำดวงชะตาในตอนนั้นของผู้อำนวยการโนซอกชุนได้ทั้งหมด
แต่แกล้งทำเป็นจำไม่ได้แล้วขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่สักพัก
ก่อนจะพูดขึ้นด้วยท่าทางลำบากใจ
“ผมคิดว่าดวงชะตาของผู้อำนวยการมีดวงพเนจรแข็งแกร่งครับ
ผู้อำนวยการอยู่ในที่เดียวมาตลอด ก็เลยรู้สึกอึดอัด
ถ้าออกจากตำแหน่งตอนนี้แล้วย้ายที่ไปเรื่อย ๆ ทุกอย่างก็จะคลี่คลาย
เหมือนเส้นเลือดที่อุดตันได้รับการทะลวงครับ”
“จะคลี่คลายประมาณไหนเหรอครับ”
“อย่างน้อยปัญหาเรื่องเงินก็คลี่คลายจนไม่ต้องมากังวลครับ”
ได้ยินคำพูดนั้นแล้ว
ความกังวลบนใบหน้าของผู้อำนวยการโนซอกชุนก็หายไป
“โล่งอกไปทีครับ โล่งอกจริง ๆ
ช่วงนี้ผมเหนื่อยมากก็เลยลองไปสำนักหมอดูต่าง ๆ มาหลายที่
น่าแปลกที่ต่อให้ได้รับฟังคำพูดดี ๆ
ผมก็ยังไม่เชื่อแต่พอได้ยินจากหัวหน้าแผนกชเวกลับรู้สึกโล่งใจมาก
ถึงการย้ายที่ไปเรื่อย ๆจะเป็นเรื่องยาก
แต่อย่างน้อยได้รู้คำตอบก็ดีกว่าไม่รู้อะไรเลยครับ”
“ผู้อำนวยการรู้สึกอย่างนั้นไปเองมากกว่าครับ
อืม ถ้างั้นตอนนี้ผมรบกวนอะไรอย่างหนึ่งได้ไหมครับ”
“แน่นอนสิครับ
ตอนนั้นก็เอาแต่บอกว่าไม่รับค่าครู ผมเลยรู้สึกติดหนี้มาตลอด
ไม่คิดเลยว่าจะโชคดีได้เจอกันวันนี้ ถ้าเป็นเรื่องที่ผมทำได้
ผมจะช่วยอย่างสุดความสามารถเลยครับ”
ยองฮุนแย้มยิ้มกับคำพูดของผู้อำนวยการโน
ความจริงตอนได้ยินว่าประธานใหญ่อิมชางโฮรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลปูซานแพคก่อนจะมาที่นี่
เขารู้สึกว่าอาจจะเป็นโชคชะตานำพา
และเมื่อพบว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาลเป็นคนที่เคยรู้จักกันมาก่อน
ก็ยิ่งคิดว่าบางทีนี่อาจเป็นโอกาสสุดท้าย
“ขอบคุณครับ”
“บอกมาได้เลยครับ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ
แค่ผมแยกกับพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก แล้วตอนนี้อยากตามหาพวกเขา
สิ่งที่รู้มีเพียงผมเกิดที่โรงพยาบาลปูซานแพคแห่งนี้และแม่ชื่ออีมยองจา
แต่ก็ไม่แน่ใจว่านั่นใช่ชื่อจริง ๆ ของแม่หรือเปล่าเหมือนกันครับ”
นั่นเป็นข้อมูลทั้งหมดที่เจ้าอาวาสรู้เกี่ยวกับแม่แท้
ๆ ของยองฮุนตอนพาตัวเขามาในเวลานั้น
“ถ้าเป็นชื่อจริงคงหาไม่ยากขนาดนั้น
แต่ถ้าไม่ใช่ก็อาจไม่ง่ายนักครับ”
“ถ้าหาไม่เจอก็ทำอะไรไม่ได้
ยังไงผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะหาเจออยู่แล้วถ้าไม่ได้ผลก็คงต้องยอมรับชะตากรรมครับ”
พวกเขาพูดคุยเรื่องนั้นกันเพียงเท่านั้น
แล้วไม่นานยองฮุนก็ขอตัว
เมื่อออกมาจากห้องผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็พบว่ายอนฮีกำลังรออยู่
“ท่านประธานไปไหนเหรอครับ”
“ไปพบป้าฉันค่ะ”
“ตอนนี้?”
“อยู่ดี ๆ
ป้าก็โทร.มาเรียกให้ออกไปพบน่ะค่ะ บอกว่าไหน ๆ ก็มาปูซานแล้วมาจัดการเรื่องที่ควรจัดการกันเถอะ”
“ไม่น่าชวนแยกบริษัทในเครือ...”
“แหงอยู่แล้วค่ะ พอคุณปู่ล้มป่วย
ตำแหน่งประธานใหญ่ของฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ก็ว่าง
การประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งต่อไปคือเดือนมีนาคม
ดังนั้นก็เลยมาขอให้ช่วยสนับสนุนคิมแทมินค่ะ”
“อ้อ...ถ้าเราไม่ช่วย สถานการณ์ทางฝั่งกรรมการผู้จัดการคิมแทมินจะไม่ปลอดภัยเหรอครับ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ
พวกผู้ถือหุ้นต่างประเทศกับสถาบันภายในประเทศไม่ได้สนใจเรื่องสิทธิ์การบริหารในปัจจุบันมากนัก
อ้อ แน่นอนว่าหมายถึงจนถึงตอนนี้นะคะ เพราะถ้าอยู่ดี ๆ
กองทุนบริหารความเสี่ยงที่รู้กันดีว่าถือหุ้นฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์อยู่ประมาณสิบเปอร์เซ็นต์เข้ามาจัดการเรื่องฝ่ายบริหาร
จะปวดหัวกันอีกรอบ ก็เลยมาขอให้แม่ฉันช่วยไว้ก่อนค่ะ”
“โอเคครับ
ถ้างั้นตอนนี้เราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการเปลี่ยนแนวรบสินะครับ”
“จนถึงเดือนมีนาฯค่ะ
คิมแทมินขึ้นนั่งตำแหน่งประธานใหญ่ทันทีไม่ได้ง่าย ๆ
แต่ถ้าเขาขึ้นเป็นรองประธานใหญ่แล้วใช้อำนาจเต็มตามอำเภอใจ
ปล่อยให้ตำแหน่งประธานใหญ่ว่างไว้อย่างนั้น บางทีเขาอาจจะกลับคำอีกก็ได้
เพราะงั้นเลยยังวางใจไม่ได้ค่ะ”
“แล้วเราจะทำอะไรต่อไปในระหว่างนั้นครับ”
ยอนฮีแย้มยิ้มพลางเข้าไปกอดแขนยองฮุน
“เราไปร้านกาแฟข้างหน้านี้กันก่อนดีไหมคะ
ตอนนี้ฉันมีเรื่องสงสัยเยอะแยะเลย”
“เอาสิครับ”
ยองฮุนยิ้มแล้วก้าวนำเธอไป
ณ ห้องประธานใหญ่ที่ตั้งอยู่ชั้นบนสุดของตึกบริษัทอูมยองกรุ๊ป
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนกำลังมองหน้าลูกชายด้วยสีหน้าไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
“แกแน่ใจนะ”
ชางฮุนที่มักมีสีหน้ามั่นใจอยู่เสมอก้มหน้าลงอย่างเศร้าสร้อย
“เขาบอกว่าจะประกาศในอีกหนึ่งชั่วโมง...”
“นี่มันสมเหตุสมผลหรือไง!
ไม่ใช่บริษัทยักษ์ใหญ่จากไหน แต่เป็นฮยอนจินคอนสตรัคชั่นเนี่ยนะ!
ปีที่แล้วตอนยังเป็นบริษัทฮเยซองศักยภาพในการรับเหมายังอยู่อันดับสามสิบเก้าอยู่เลยไม่ใช่เหรอ”
“ดูเหมือน
สส.โจแจมินน่าจะยื่นมือเข้ามาแทรกครับ”
“แค่เพราะสถานีขนส่งกุนซานน่ะเหรอ
ให้สิทธิ์การก่อสร้างโครงการคอนโดขนาดใหญ่กว่าสี่พันยูนิต
เพื่อแลกกับสิ่งนั้นอย่างเดียวเนี่ยนะ
ฮยอนจินคอนสตรัคชั่นบอกว่าตั้งราคาขายมากกว่าสี่สิบล้านวอนต่อพยอง
แล้วจะเหลือกลับมาเท่าไหร่กัน”
“มีความเป็นไปได้สูงว่าจะขายไม่ออกครับ
เพราะราคาแพงเกินไปสำหรับต่างจังหวัด ถ้าพลาดก็อาจขายได้ไม่ถึงครึ่งด้วยซํ้า”
“งั้นเหรอ
ไหนว่าฮยอนจินการผลิตฮุบฮยอนจินการท่องเที่ยวแล้วเสนอจะให้บริการอาหารเช้า
โดยพาพวกเชฟจากโรงแรมริทซ์-คาร์ลตันมาที่นั่นไง”
“ครับ...”
“ต่อให้ฉันอาศัยอยู่ต่างจังหวัด
ข้อเสนอแบบนั้นก็น่าสนใจไม่ใช่หรือไง”
“เรื่องนั้น...”
ชางฮุนรู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่เหรอ
ทั้ง ๆ ที่รู้ทุกอย่างตั้งแต่แรก แต่ก็มั่นใจว่าทางนั้นจะไม่เลือกฮยอนจินคอนสตรัคชั่น
และเอนเอียงมาทางอูมยองคอนสตรัคชั่นอย่างแน่นอน
เพราะอย่างนั้นถึงจะได้ยินเรื่องการบริการอาหารเช้าระดับโรงแรมของฮยอนจินคอนสตรัคชั่นก็เพียงแค่ฟังผ่าน
ๆ เข้าหูซ้ายทะลุหูขวามาตลอด
ถ้าเพิ่งจะมาถามเอาป่านนี้ว่าเรื่องแค่นั้นทำไมพวกเราถึงคว้ามาไม่ได้
เขาก็อยากถามกลับว่าแล้วทำไมตอนนั้นถึงอยู่เฉย ๆ ล่ะ
ขณะนั้นพี่ชายคนโตที่นั่งอยู่ด้วยก็ช่วยเขา
“ชางฮุนคงไม่รู้ว่าฮยอนจินคอนสตรัคชั่นจะได้ไปเหมือนกันครับ
แล้วก็อาจจะไม่คิดด้วยว่าแอลเอชจะผลักดันบริการอาหารเช้าระดับโรงแรม อีกอย่างถ้า
สส.โจแจมินยื่นมือเข้ามาตั้งแต่แรก
อาจเป็นไปได้ว่าการประมูลนี้ได้ข้อสรุปมาตั้งแต่ต้นแล้ว
ไม่เกี่ยวกับการบริการอาหารเช้าและปัจจัยเพิ่มเติมอื่น ๆ ครับ”
“แล้วแกคิดว่ายังไง
คิดว่าโจแจมินจะยกให้เพื่อแลกกับสถานีขนส่งแค่ที่เดียวงั้นเหรอ”
“สส.คังจูวอนปลิวเพราะติดสินบน ส่วน
สส.โจแจมินก็กำลังเตรียมตัวสำหรับการเลือกตั้งซ่อมนายกเทศมนตรีเมืองกุนซานเหมือนรอเวลาอยู่พอดีถ้าเกิดเขารู้ว่าคังจูวอนจะกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่ฤดูหนาวปีที่แล้วล่ะครับ
ถ้าเขามุ่งเป้าไปที่นายกเทศมนตรีเมืองกุนซานมาตั้งแต่แรก จะพูดว่านั่นเป็นแค่สถานีขนส่งได้เหรอครับ”
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนส่ายหน้า
“ไม่
ไม่ใช่...ขอแค่ได้รับการเสนอชื่อลงสมัคร
ไม่ว่าหวยจะออกที่ใครตรงนั้นก็นับเป็นเขตพื้นที่ที่พวกเขาชนะการเลือกตั้งอยู่แล้ว
ถ้ารู้ว่าคังจูวอนจะปลิวก็ต้องทำหนึ่งในสองอย่างนี้ต่างหาก
ถ้าเกิดการเสนอชื่อมีความไม่แน่นอนต้องขอแรงจากทางยออึยโดเพื่อให้การเสนอชื่อได้รับการยืนยัน
แต่ถ้าได้รับการเสนอชื่อแน่นอนแล้วก็แค่อยู่เฉย ๆ แล้วออกไปหาเสียงเงียบ ๆ”
พอพูดมาถึงตรงนี้
ประธานใหญ่คิมก็เอียงศีรษะครุ่นคิด
“แต่ก็น่าแปลกนะ
มีเหตุผลอะไรที่ต้องเตรียมตัวอย่างโจ่งแจ้งสำหรับการเลือกตั้งซ่อม
แล้วทำไมถึงเล็งไปที่นายกเทศมนตรีเมืองกุนซาน
กุนซานไม่มีอะไรให้หาผลประโยชน์ได้สักหน่อย”
“ถูกต้องครับ
สภาพเศรษฐกิจของกุนซานยํ่าแย่ แล้วการเป็น สส.ก็ดีกว่าเป็นนายกเทศมนตรีเมืองเล็ก ๆ
ผมไม่เข้าใจเลยครับว่าทำไมเขาถึงพยายามจะกระโดดใส่ตำแหน่งนายกเทศมนตรีเหมือนรอจังหวะอะไรอยู่อย่างนั้น”
“ใช่ สำหรับกุนซาน
ต่อให้ทำดีแค่ไหนก็ได้แค่เท่าทุน แล้วทำไมถึงต้องเล็งตำแหน่งในที่ที่ใคร ๆ
ต่างก็มองว่าเกินเยียวยานั่นด้วย”
ขณะประธานใหญ่คิมกำลังครุ่นคิด
ชางฮุนที่มีสีหน้าเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมก็กล่าวขึ้น
“ใครจะไปรู้ล่ะครับ
ที่นั่นอาจจะเป็นที่ที่มีนํ้านมนํ้าผึ้งไหลอุดมสมบูรณ์ก็ได้”
“หือ?”
จังหวะนั้นเองโทรศัพท์มือถือของโดฮุนก็มีข้อความเข้ามา
เมื่อเขาเปิดอ่านก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“พ่อ
เหมือนกองทุนเมดิสันจะเล็งฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์นะครับ”
“ฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์? หุ้นที่พวกนั้นถืออยู่มีไม่เท่าไหร่เอง จะกินอะไรได้หรือไง”
“พอประธานใหญ่อิมชางโฮล้มป่วย
พวกเขาคงแค่คิดจะคว้ามาปั่นทำกำไรน่ะครับ
ผมคิดว่าจังหวะลงตัวเพราะจะมีการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นในเดือนมีนาคมพอดี”
“ประธานใหญ่อิมล้มป่วย...กองทุนต่างประเทศก็กำลังมุ่งเป้าไปที่บริษัทกลุ่มผู้บริหารของบริษัทคงจะละล้าละลัง
ไม่รู้จะจัดการกับเงื่อนไขการทำงานยังไงจนสั่นสะเทือนไปถึงสหภาพแรงงาน
ก็น่าสนุกดีนะ”
“ถ้าอุตสาหกรรมต่อเรือซบเซาก็คงจะไม่คิดแตะต้อง
แต่ดูเหมือนจะมองว่าเป็นโอกาส เพราะตอนนี้แนวโน้มเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวครับ”
“เยี่ยมจริง ๆ ยอดเยี่ยม”
ประธานใหญ่คิมแทฮยอนถอนหายใจ แต่แล้วจู่ ๆ
ก็ถามขึ้นราวกับเพิ่งนึกออก
“ว่าแต่พวกเราก็ถือหุ้นของฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์อยู่ใช่ไหม”
“ครับ
ถ้ารวมจากทั้งกรุ๊ปก็น่าจะมีประมาณสี่เปอร์เซ็นต์ครับ”
“ฉันจะนั่งมองกองทุนต่างประเทศยึดฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ระหว่างที่เพื่อนตัวเองล้มป่วยได้ยังไง
พวกเราคงต้องช่วยแล้วละ”
โดฮุนฉีกยิ้มและเอ่ยสนับสนุน
“ใช่ครับ
ยามลำบากก็ต้องช่วยเหลือกันและกัน
เห็นได้ชัดว่าผู้บริหารคนต่อไปก็น่าจะยินดีต้อนรับพวกเราเหมือนกัน
แต่ถึงจะไม่ยินดีก็ช่วยไม่ได้นะครับ ฮ่า ๆ ๆ!”
บทที่ 95 เรื่องราวที่เกิดขึ้นในปูซาน
(4)
ด้านนอกอาคารเก่า แห่งหนึ่งในย่านกยองอัมของกุนซาน
มีการติดตั้งเต็นท์ขนาดใหญ่มีป้ายชื่อเขียนว่า สำนักงานผู้ลงสมัครตำแหน่งนายกเทศมนตรีโจแจมิน
ขณะกำลังเปิดสำนักงานและประชุมเรียกขวัญกำลังใจกับเหล่าเจ้าหน้าที่พรรคอยู่
ใครบางคนก็พรวดพราดเข้ามา
“นายทำแบบนี้ได้ยังไง!”
สส.คังจูวอนใบหน้าแดงกํ่าตะโกนเสียงดังอย่างโกรธจัด
ท่าทางราวกับหากคว้าจับอะไรได้ก็จะปาใส่ทันที
“เดี๋ยวครับ ท่าน สส.
ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ล่ะครับ”
เมื่อ สส.โจแจมินถามกลับอย่างงุนงง
ไฟแค้นในดวงตาผู้มาเยือนก็ยิ่งลุกโชน
“นายรู้อยู่แล้วสินะ รู้อยู่แล้วใช่ไหม”
“หมายถึงอะไรครับ”
“ไม่ต้องทำเป็นตีหน้าซื่อ
กล้าดียังไงถึงหักหลังฉัน”
สส.โจรู้ว่าอีกฝ่ายรู้ทุกอย่างแล้ว
แต่เขาจะไม่ยอมรับตรงนี้ง่าย ๆ เพราะทางที่ตัวเองต้องเดินตอนนี้ คือเส้นทางแสนอันตรายที่มุ่งสู่อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ
ดังนั้นจึงรู้ดีว่าหากมีข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อยระหว่างทาง
นั่นจะระเบิดออกและขวางกั้นเส้นทางข้างหน้าเมื่อไหร่ก็ได้
“ใครหักหลังกันครับ นั่งคุยกันก่อนเถอะ
เอาละ ทุกคนไม่ต้องกังวลนะออกไปข้างนอกกันก่อนครับ
นายพาทุกคนไปกินข้าวที่ร้านอาหารจีนตรงนั้นแล้วกัน”
“รับทราบครับ”
หลังจากส่งผู้ช่วยคิมชีวอนที่มีสีหน้ากังวลออกไปแล้ว
สส.โจแจมินก็นำทางสส.คังจูวอนที่อารมณ์ยังคุกรุ่นมาที่โซฟา
“เฮ้อ เชิญนั่งก่อนครับ ดูเหมือนท่าน
สส.กำลังเข้าใจผิด โปรดฟังผมพูดก่อน แล้วหลังจากนั้นจะโมโหหรือโวยวายก็ได้ครับ”
“ได้ พูดมาสิ ฉันจะลองฟัง”
“หลังจากรู้ว่าท่าน
สส.เจอเหตุการณ์นั้นกะทันหัน สิ่งแรกที่ผมนึกถึงก็คือเมืองกุนซานครับ อย่างที่ท่าน
สส.เองก็ทราบ ตอนกุนซานเริ่มลำบาก ผมก็เป็นคนวิ่งเต้นเพื่อแก้ปัญหาการระงับกิจการอู่ต่อเรือไม่ใช่เหรอครับ
ตอนนั้นต้องไปเจอเจ้าหน้าที่ของมูจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ เจอสหภาพแรงงาน...”
“หึ! นายเจอคนเดียวหรือไง
สส.ของพรรคทั่วทั้งชอลลาก็ไปเจอด้วยไม่ใช่เหรอ”
“แล้วผมไปเที่ยวเล่นเฉย ๆ เหรอครับ
หลังจากรับรู้สถานการณ์ของกุนซานและได้ยินเรื่องราวน่าเศร้าพวกนั้นแล้ว
ผมตั้งใจวิ่งเต้นขนาดไหนก่อนจะไปที่นั่นบอกตามตรงว่าถ้าผมรับช่วงต่อเขตเลือกตั้งเดิม
ก็ไม่มีปัญหาอะไรสักนิดครับเพราะได้รับการยืนยันที่แน่นอนจากฮยอนจินการผลิตแล้ว
ว่าจะช่วยซ่อมแซมโรงเรียนประถมที่เกิดปัญหาเพราะการก่อสร้างไม่มีประสิทธิภาพ
ถ้าทำให้ผู้คนเห็นว่ามีการซ่อมแซม จนกระทั่งเด็ก ๆ
ได้เข้าเรียนก่อนการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้การได้รับการเสนอชื่ออีกครั้งก็ไม่ใช่ปัญหาเลยครับ
ไม่สิ ต่อให้อยู่เฉย ๆ ที่นั่นก็เป็นเขตของผมอยู่แล้วครับ
แต่ทำไมผมถึงต้องตั้งใจมาอยู่ในที่ที่มันลำบากแบบนี้ล่ะครับ”
“นายมีแผนอะไรละสิ”
“ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกครับ ท่าน
สส.ก็ถอยออกจากกุนซาน ประชาชนในพื้นที่ก็ลำบากกันขนาดนั้น
ผมเลยอยากลองพลิกมันกลับมาสักครั้งครับ ดังนั้นพอเห็นข่าวของท่าน สส.
ผมก็กังวลมาตลอด ก่อนจะบอกกล่าวความจริงใจของผมกับทางยออึยโดครับ”
“งั้นนายก็ควรจะบอกฉันสิ!”
“ตอนนี้ท่าน
สส.กำลังลำบากกับการถูกอัยการสอบสวนไม่ใช่เหรอครับผมไม่อยากราดนํ้ามันเข้ากองไฟอีก
ถ้าบอกว่าตัวเองจะเข้าไปรับช่วงต่อในเขตเลือกตั้งของท่าน สส. ท่าน
สส.จะโกรธมากขนาดไหนกันล่ะครับ ดูอย่างตอนนี้สิครับ
ผมไม่บอกเพราะกลัวว่าจะเป็นแบบนี้นี่แหละ”
สส.คังจูวอนตวาดเสียงดัง
“ฉันโง่นักหรือไง!
นึกว่าฉันจะไม่รู้หรือไงว่าเกิดอะไรขึ้นกลางกุนซานบ้าง!”
“ใช่ครับ
ผมรู้ว่าสักวันท่านต้องรู้ถึงแม้ผมไม่ได้บอก
แต่การรู้เร็วก็ไม่ได้มีอะไรดีไม่ใช่เหรอครับ
พรรคต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งซ่อมครั้งต่อไป แต่ถ้าท่าน
สส.โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
การเตรียมการเลือกตั้งก็จะล่าช้าลงไม่ว่ายังไงเราก็ต้องเสนอชื่ออยู่ดี...จะมอบกุนซานให้พรรคประชาชนปฏิวัติแบบนี้เหรอครับ”
“ใครจะให้มัน ฉันยังไม่ตาย”
สส.โจแจมินลอบถอนหายใจ
คดีติดสินบนกระจายเป็นวงกว้างแล้ว
ทุกคนที่เกี่ยวข้องต่างถูกสาวเข้ามาเอี่ยวหมด
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็มี สส.คังจูวอนด้วย
แม้ว่าจะติดอยู่ในตาข่ายที่ยากหลุดพ้น
แต่อีกฝ่ายก็ยังคงพยายามจะรั้งตำแหน่งผู้ปกครองกุนซานเอาไว้
“อีกอย่าง ผมไม่ได้เข้าไปแย่งตำแหน่ง
สส.ด้วยนะครับ ถ้าไม่มีเรื่องพิเศษอะไรเกิดขึ้นในการสอบสวนของอัยการ
ผมก็จะเป็นนายกเทศมนตรีแล้วคอยช่วยเหลือท่าน สส.
แล้วทำไมต้องโมโหขนาดนั้นด้วยล่ะครับ”
“มีคนที่ถูกเลือกให้เป็นนายกเทศมนตรีเมืองกุนซานแล้ว”
นี่ไงล่ะ
นับตั้งแต่นายกเทศมนตรีเมืองกุนซานพ้นจากตำแหน่งเพราะถูกกล่าวหาว่าละเมิดกฎหมายการเลือกตั้ง
เห็นได้ชัดว่ามีการพูดคุยกันแล้วว่าใครจะมาเป็นนายกเทศมนตรีเมืองกุนซานคนต่อไป
แน่นอนว่าคนที่เล็งตำแหน่งนายกเทศมนตรีคนต่อไปของกุนซานต้องได้รับการอนุญาตจาก
สส.คังจูวอนก่อน
อนุญาต ไม่ใช่เห็นชอบ ไม่ใช่อนุเคราะห์
แต่จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตเท่านั้น
แล้วต้องมีขั้นตอนมากมายแค่ไหนกันล่ะเพื่อให้ได้รับสิ่งนั้นมา
ไม่ต้องมองก็รู้ว่ามีการวางตัวไว้ชัดเจน
คงจะดำเนินการขั้นตอนเหล่านั้นเรียบร้อยแล้ว
แต่อยู่ ๆ คนที่ควรลงสมัครเลือกตั้ง สส.เขตกวางจูกลับท้าทายลงเลือกตั้ง
จากมุมมองของ สส.คังจูวอน นี่คงเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้
“งั้นเหรอครับ”
เมื่ออีกฝ่ายแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
สส.คังก็คว้าที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะ
“อย่ามาพล่ามว่าไม่รู้
ไอ้เวรเอ๊ย...คิดว่าฉันเป็นไก่อ่อนหรือไง ปิดสำนักงานนี้แล้วกลับกวางจูไปเดี๋ยวนี้
นายกเทศมนตรีเมืองกุนซานถูกเลือกไว้แล้ว”
“ไม่ได้ครับ เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของพรรค”
“ถึงจะเป็นการตัดสินใจของพรรค
แต่ถ้าเจ้าตัวยอมถอยเอง การตัดสินใจก็เปลี่ยนแปลงได้ คิดว่าฉันไม่รู้หรือไง”
“โอเคครับ งั้นบอกมาสิครับ
ใครจะมาเป็นนายกเทศมนตรีของกุนซานถ้าคนคนนั้นดีกว่าผม ผมจะยอมถอยแต่โดยดี”
“ว่าไงนะ”
“ผมบอกแล้วใช่ไหมครับ ถ้าอยากใช้ชีวิตทางการเมืองง่าย
ๆ ผมคงจะลงเลือกตั้งครั้งหน้าที่กวางจูอย่างสบายใจ ต่ออายุการเป็น
สส.อีกสี่ปีไปแล้วครับผมมาที่นี่เพียงเพราะประชาชนชาวกุนซาน
ถ้าเขาไม่ได้เป็นคนเก่งกว่าผม
ผมก็ไม่มีเหตุผลต้องนั่งรับฟังคำหยาบคายแบบนี้จากท่าน สส.ต่อครับ”
ถ้าหากมาเพื่อหาประโยชน์ก็คงจะพอเจรจากันได้
แต่พอใช้กลยุทธ์โจมตีซึ่งหน้าแบบนี้ สส.คังจูวอนเองก็หมดคำจะพูด
ในเมื่อนักการเมืองกล่าวว่าตั้งใจมาเสี่ยงอันตรายเพื่อประชาชนของกุนซานนี่ก็เป็นสถานการณ์ที่ตำหนิติเตียนอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้
แต่ สส.คังจูวอนไม่อาจถอยแบบนี้ได้
“อีฮโยชาง รู้จักไหม
เขาอยู่ในกุนซานมานานกว่ายี่สิบปี เฉพาะประสบการณ์เป็นสมาชิกสภาเทศบาลก็สิบปีแล้ว
เป็นคนที่ตั้งใจทำงานเพื่อกุนซานมากกว่าใคร ๆไม่มีใครดีไปกว่าเขาแล้ว”
สส.โจพยักหน้า
“รู้จักครับ เขาดูแลท่าน
สส.เหมือนเป็นพี่ชาย คอยรับผิดชอบงานหนัก ๆยาก ๆ ใช่ไหมครับ ซื่อสัตย์แล้วก็ฉลาด...แต่ไม่ได้หรอกครับ
เขาทำให้เมืองกุนซานพ้นวิกฤตนี้ไม่ได้ครับ”
สส.คังจูวอนประหลาดใจและสับสนเมื่อเห็นท่าทางมั่นใจเด็ดเดี่ยวของสส.โจแจมิน
รุ่นน้องอายุห่างกันเป็นรอบที่ปกติปฏิบัติต่อตนอย่างนอบน้อม
ตอนนี้กลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
อะไรทำให้เปลี่ยนไปได้ถึงขั้นนี้
“นายมีอะไรดีกว่าฮโยชาง
รู้จักกุนซานดีกว่าฮโยชางงั้นเหรอ”
“ผมไม่ได้รู้ดีกว่าเขาครับ”
“แล้วยังไง ตำแหน่ง สส.นั่นน่ะเหรอ
นายคิดว่านั่นจะช่วยประชาชนได้มากนักหรือไง”
แน่นอนว่าช่วยได้
อย่างน้อยถึงแม้รัฐบาลกลางจะดึงงบประมาณขึ้นเล็กน้อย
แต่ความสัมพันธ์และประสบการณ์ที่เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นประโยชน์กว่าแน่นอนสส.คังจะไม่รู้เรื่องนี้งั้นเหรอ
อีกฝ่ายแค่ดันทุรังต่างหาก
“ถึงไม่ใช่เรื่องนั้น
ผมก็เหมาะกับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองกุนซานมากกว่าอยู่ดีครับ เพราะ...ผมจะแก้ปัญหาจากต้นเหตุแท้จริงที่ทำให้เศรษฐกิจกุนซานตกตํ่าครับ”
“ต้นเหตุที่แท้จริงอะไร”
“ไม่ทราบเหรอครับ”
“เฮอะ...นั่นมัน...”
สส.คังจูวอนหยุดพูด
สส.โจแจมินจึงตอบอย่างใจเย็น
“อู่ต่อเรือกุนซาน
ผมจะเปิดที่นั่นอีกครั้งครับ ผมจะเป็นนายกเทศมนตรีเมืองกุนซานแล้วพลิกเศรษฐกิจของกุนซานให้ฟื้นคืนมา
นี่คือเหตุผลที่ผมต้องเป็นนายกเทศมนตรีเมืองกุนซานครับ”
“ไอ้เวรนี่...”
มือที่กำที่เขี่ยบุหรี่อยู่ของ
สส.คังจูวอนสั่นเทา
“คิดว่าผมโกหกเหรอครับ”
“หยุดเพ้อเจ้อสักที นายจะเปิดมันได้ยังไง
มูจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์จะเข้าซื้อกิจการแฮจูชิปบิลดิ้งแอนด์มารีน
โดยไม่แม้แต่จะชายตามองด้วยซํ้า แล้วนายจะเปิดมันได้ยังไง”
“ผมวางแผนไว้แล้วครับ”
“ยังไง”
“ขอโทษครับ แต่ผมบอกไม่ได้”
เมื่อ สส.โจส่ายหน้าด้วยท่าทียืนกราน
สส.คังก็วางที่เขี่ยบุหรี่ในมือลงเหมือนโยนทิ้งแล้วตบหน้า สส.โจทันที
เพียะ!
“ไอ้ลูกหมานี่คิดเล่นกับฉันเหรอ”
ตอนนั้นผู้ช่วยคิมชีวอนที่แอบมองอยู่ข้างนอกเผื่อเกิดเหตุอะไรขึ้นก็เปิดประตูวิ่งพรวดเข้ามา
“ท่าน สส.! เป็นอะไรหรือเปล่าครับ
เดี๋ยวนะ ท่าน สส.เลือดออกครับ!ต้องรีบไปโรงพยาบาลนะครับ หนึ่งหนึ่งเก้า[1]! โทร.เรียกหนึ่งหนึ่งเก้าหน่อยครับ!”
ความจริงแค่โดนตบครั้งเดียวไม่ถึงขั้นต้องโทร.หา
119
แต่ สส.โจก็รู้เหตุผลว่าทำไมผู้ช่วยคิมชีวอนจงใจทำอย่างนั้น
ผู้ช่วยคิมต้องการจะหยุด สส.คัง เพราะถ้า
สส.คังโมโหจนสถานการณ์เลวร้ายลงก็ไม่มีเรื่องอะไรดีทั้งนั้น
แล้วอีกฝ่ายก็ยอมหยุดจริง ๆ
ทั้งยังเหลือบไปมองด้านนอกก่อนเอ่ยถาม
“คิดว่าจะมีคนเชื่อเรื่องไร้สาระของนายหรือไง”
“พวกเขาจะเชื่อครับ อีกอย่าง
สิ่งที่ผมพูดก็ไม่ใช่เรื่องไร้สาระด้วยครับ”
“เวรเอ๊ย...นาย...หลังการสืบสวนจากอัยการครั้งนี้จบแล้ว
นายจะได้รู้ซึ้งว่าชีวิตทางการเมืองของตัวเองจะพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือยังไง”
“ครับ งั้นวันนี้ไม่ส่งแล้วนะครับ
เดินทางปลอดภัย”
สส.โจแจมินยิ้มแม้มุมปากข้างหนึ่งจะแตกพร้อมโค้งศีรษะให้
ทันทีที่
สส.คังสบถใส่ทิ้งท้ายแล้วออกจากสำนักงานไป ผู้ช่วยคิมชีวอนก็หันไปมองริมฝีปาก
สส.โจแล้วพูดด้วยความกังวล
“ท่าน สส.ครับ ผมว่าควรไปโรงพยาบาล...”
“ตอนเด็ก ๆ
นายไม่เคยทะเลาะกับเพื่อนหรือไง แค่นี้ทายาก็พอแล้ว
แต่จะว่าไปก็โกรธหนักเลยนะเนี่ย ท่าทางจะรับสินบนมาไม่น้อยเลยมั้ง”
“เขาไม่ต่างจากกษัตริย์ของกุนซานครับ
กุนซานมีผลประโยชน์ให้เก็บเกี่ยวมากมาย พวกเขาอาจคิดว่าไหน ๆ จะหว่านแล้ว
ก็ควรหว่านให้เหมือนเป็นครั้งสุดท้ายจะได้ไม่เกิดความเสียหาย”
“นั่นสินะ
ถ้าไม่จ่ายชดเชยให้เท่ากับของที่ได้รับ อาจจะมีรากเส้นอื่นงอกออกมาอีกก็ได้”
“ทีนี้เราจะทำยังไงกันดีครับ”
“จะทำอะไรล่ะ
ก็จัดการเรื่องที่ทำอยู่ต่อไปนั่นแหละ แล้วก่อนจะถึงเดือนมกราฯ
เรียกหัวหน้าแผนกชเวจากฮยอนจินการผลิตมาที่นี่ด้วยนะ พวกเราต้องได้ข้อสรุป”
“รับทราบครับ ผมจะนัดหมายให้”
“ศูนย์รวมปัญญาประดิษฐ์ล่ะ”
“ทันทีที่ประกาศออกไปก็ได้รับการเสนอราคาจากฮยอนจินคอนสตรัคชั่นครับจากทั้งหมดนั่นดูเหมือนกำลังดันการก่อสร้างอาคารหลักมูลค่าสี่แสนล้านวอนเป็นแกนหลักครับ”
“บอกเขาว่าเราจะยกให้
ถ้าเป็นโครงการที่เขตบงซอนกับโครงการนั้นก็เพียงพอเป็นการชำระเงินล่วงหน้า อ้อ
แล้วเรื่องเขตบงซอนล่ะ”
“ประกาศพรุ่งนี้ครับ”
“ดูแลไปจนจบ เอาให้แน่ใจว่าจะไม่มีเสียงรบกวน”
“รับทราบครับ แต่ถ้า
สส.คังจูวอนไม่ยอมช่วย การเลือกตั้งอาจจะสกปรกเกินความคาดหมายนะครับ”
“ใช่ คนชื่ออีฮโยชางที่
สส.คังสนับสนุนจะลาออกจากพรรคมาเป็นผู้สมัครอิสระ
สมาชิกพรรคหลายคนก็คงไปอยู่กับฝ่ายนั้น แต่นายคิดว่าเราจะแพ้เหรอ”
ผู้ช่วยคิมชีวอนฉีกยิ้ม
“สมาชิกทุกคนที่ถอนตัวออกจากพรรคจะต้องเสียใจครับ”
ยอนฮีกับยองฮุนไม่ได้ไปนั่งคุยกันในร้านกาแฟตามที่ตั้งใจไว้ แต่กลับรีบมุ่งไปยังโรงแรมปูซานพาราไดซ์แทน
เพราะประธานซงที่กำลังพูดคุยอยู่กับประธานอิมจีอึนอยู่ที่นั่นเรียกตัวยองฮุนเร่งด่วน
ก่อนนี้เพราะเห็นว่ามีหัวหน้าฝ่ายฮงอยู่ข้าง
ๆ ประธานซง ยองฮุนจึงคิดว่าพวกเขาจะเจรจากับฝ่ายนั้นได้เรียบร้อยแน่นอน
แต่ทันทีที่ถูกเรียกกะทันหัน ยองฮุนก็รีบไปหาด้วยความพะวักพะวน
เมื่อมาถึงห้องอาหารของโรงแรมปูซานพาราไดซ์
ที่ตั้งอยู่ในทำเลที่เบื้องหน้ามีทะเลแฮอุนแดทอดยาวราวกับภาพวาด
เขาก็พบว่าพวกประธานอิมไม่ได้อยู่ที่นั่นมีเพียงประธานซงอึนแชและหัวหน้าฝ่ายฮงซึงแดนั่งอยู่เท่านั้น
ประธานซงชี้ที่นั่งข้าง ๆ แล้วพูดกับยองฮุน
“นั่งสิ”
“ครับ”
“ทางฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ขอความช่วยเหลือ
แต่พวกเขาอยากได้ข้อสรุปทันที ฉันเลยต้องเรียกเธอมาปรึกษา”
“หมายถึงการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งต่อไปเหรอครับ”
“ใช่ แต่สถานการณ์ซับซ้อนขึ้นนิดหน่อย
ดูเหมือนว่ากองทุนบริหารความเสี่ยงที่ถือหุ้นประมาณสิบเปอร์เซ็นต์จะซื้อหุ้นเพิ่มจนกว่าจะถึงการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งต่อไป
หลังจากนั้นก็จะเริ่มกดดันด้วยเงื่อนไขที่ไม่สมเหตุสมผล”
“อย่างนั้นสินะครับ
ถ้างั้นพวกเขาจะขอให้ช่วยสนับสนุนกรรมการผู้จัดการคิมแทมิน
ให้ดำรงตำแหน่งรองประธานใหญ่ของฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์เหรอครับ”
“ใช่”
ยองฮุนไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
เพราะเขาคิดว่าจะเป็นการพูดคุยที่ไปในทิศทางตัดขาดกันอย่างเด็ดขาดแน่นอน
โดยมีเงื่อนไขว่าจะยอมเข้าข้างและแยกบริษัทในเครือ
อาจจะเป็นเพราะอ่านสายตาของยองฮุนออก
ประธานซงจึงพูดต่อ
“แต่เมื่อกี้อูมยองกรุ๊ปเพิ่งติดต่อมา”
“เขาว่ายังไงครับ”
“บอกว่าอยากช่วยฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ในฐานะอัศวินขาว”
“ครับ?”
“ถ้าบอกว่าพวกเราพุ่งเข้าใส่การซื้อกิจการฮยอนจินการท่องเที่ยว
กองทุนบริหารความเสี่ยงก็ถือว่าแตกต่างออกไป
กลยุทธ์ของพวกเขาคือเพียงแค่เข้ามาเขย่าบริษัท ดึงราคาหุ้นขึ้น
หลังจากนั้นก็กินกำไรสองหรือสามเท่าแล้วค่อยออกไปก่อนหน้านี้ก็มีหลายกองทุนที่ทำกำไรได้มากด้วยวิธีแบบนี้
ดังนั้นจึงไม่มีอะไรแปลกแต่แล้วก็กลายเป็นเรื่องซับซ้อนตรงที่อูมยองกรุ๊ปบอกว่าจะเข้ามาช่วย
ทั้งยังแจ้งพวกเราล่วงหน้าเป็นข้อตกลงพิเศษอีก”
ยองฮุนเข้าใจแล้วว่าทำไมประธานซงอึนแชถึงเรียกตัวเขามา
“หมายความว่าอูมยองกรุ๊ปจะลงเล่นกับกองทุนบริหารความเสี่ยงสินะครับ”
อูมยองกรุ๊ปที่ตะโกนว่า ‘เฮ้ย!
ขอฉันคำหนึ่งสิ!’
“ใช่
แล้วก็ชักชวนพวกเราด้วยว่าอยากลองเล่นด้วยกันไหม”
“หากท่านประธานต้องการ...”
“หมายความว่าถ้าทุกอย่างราบรื่นกว่าที่คิด
พวกเขาก็มีความคิดจะช่วยสนับสนุนเราใช่ไหม”
ยองฮุนพูดอย่างแน่วแน่
“พวกเราต้องเอาเท้าออกครับ
ตอนนี้กองทุนบริหารความเสี่ยงนั่นกำลังทำพลาดครั้งใหญ่ อูมยองกรุ๊ปก็ด้วยครับ”
[1]
สายตรงฉุกเฉินของเกาหลีใต้สำหรับแจ้งเหตุไฟไหม้ - หน่วยกู้ภัย - แพทย์เบื้องต้น
บทที่ 96 การต่อสู้ของกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุน
(1)
“หมายความว่ายังไง”
เมื่อประธานซงอึนแชสงสัยเหตุผลของตน
ยองฮุนก็ตระหนักขึ้นมาได้ทันที
เพราะอยู่กับยอนฮีตลอด เลยติดนิสัยเผลอโพล่งคำพูดในใจออกมาโดยไม่ทันได้ไตร่ตรอง
เขาจึงต้องพูดต่ออย่างไม่มีทางเลือก
“พอท่านประธานใหญ่ล้มป่วย ผู้บริหารคนอื่น
ๆ ของกรุ๊ปจะพยายามปกป้องบริษัทครับ
ถึงกองทุนเมดิสันจะพยายามยึดแล้วเขย่าบริษัทให้สั่นคลอนแต่ก็คงไม่ง่ายอย่างที่คิด
ถ้าเราพยายามจะตักตวงประโยชน์จากสถานการณ์นั้นเราอาจจะได้รับความเสียหายอย่างมากแทนครับ
ลองคิดถึงอนาคตสิครับ”
“นั่นก็จริง...”
ประธานซงจำสิ่งที่ยองฮุนพูดเมื่อครู่ได้อย่างแม่นยำ
เขาบอกว่ากองทุนบริหารความเสี่ยงและอูมยองกรุ๊ปกำลังทำผิดพลาดครั้งใหญ่
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องมีหลักฐานชัดเจน
แต่ยองฮุนกลับหลีกเลี่ยงจะอธิบาย
ทำไมถึงไม่บอกล่ะ
ที่เขาไม่ยอมพูดตรงนี้ก็คงมีเหตุผลเหมือนกัน
แต่ปัญหาคือเธออยากรู้เหตุผลนั้นมาก ๆ อย่างไรก็ตาม
ประธานซงพยายามกดข่มความอยากรู้อยากเห็นไว้เพราะลึก ๆ มีลางสังหรณ์ว่า
ทันทีที่ถามเรื่องนั้น ความเชื่อใจของหัวหน้าแผนกชเวอาจเกิดรอยร้าวขึ้นได้
ความรู้สึกแบบนั้นต้องเรียกว่าเหมือนเวลาเราพยายามจะเปิดประตูที่ไม่ควรเปิดหรือเปล่านะ
“ผมคิดว่าให้ความร่วมมือแล้วรับมาเฉพาะสิ่งที่เราสมควรรับมากที่สุดน่าจะดีกว่าครับ”
“หมายถึงให้เอามาแค่หุ้นของพวกเราใช่ไหม”
“ครับ พวกเรายังมีเรื่องอื่นที่ต้องใส่ใจครับ
ไม่รู้ว่าท่านประธานใหญ่จะฟื้นเมื่อไหร่ หรือท่านอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาแล้วก็ได้
ถ้าไม่ได้อยากได้ฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์หรือบริษัทในเครือนั้น
เราก็ควรจัดการให้เรียบร้อยแล้วเดินไปตามเส้นทางที่ฮยอนจินการผลิตควรจะไปดีกว่าครับ”
“ฉันไม่อยากได้สักนิด...ทุกอย่างที่มีตอนนี้ก็พอแล้ว”
“ถ้างั้นก็ต้องจัดการให้เรียบร้อยครับ”
แม้ประธานใหญ่อิมชางโฮจะยังมีลมหายใจ
แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายอาจเสียชีวิตทันทีหลังจากผ่านพ้นปีนี้ตามปฏิทินจันทรคติ
ทว่าต่อให้ฟื้นขึ้นมาก็คงไม่มีแรงเหลือมาใส่ใจเรื่องการแยกตัวของบริษัทในเครือ
อย่างไรก็ตาม
ท่ามกลางเหตุการณ์นี้ก็ยังโชคดีที่กองทุนเมดิสันเข้ามาบีบให้กรรมการผู้จัดการคิมแทมินเคลื่อนไหวจัดการเรื่องต่าง
ๆ ได้น้อยลง
จากตรงนี้ยังมีอูมยองกรุ๊ปเข้ามาเกี่ยวข้องโดยการตะโกนขอชิมสักคำ
จึงมีแนวโน้มสูงว่ากรรมการผู้จัดการคิมแทมินที่เริ่มอยู่ไม่เป็นสุขจะมอบหุ้นของฮยอนจินการผลิตและฮยอนจินการท่องเที่ยวที่กรุ๊ปถืออยู่คืนให้พวกเขา
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็แน่นอนว่าตอนนี้พวกยองฮุนไม่จำเป็นต้องทุ่มกำลังกับสิ่งที่ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป
“งั้นเอาตามนั้นแล้วกัน
เดี๋ยวหัวหน้าฝ่ายฮงปรึกษากับหัวหน้าฝ่ายคัง
แล้วก็ดำเนินการกับฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ได้เลยค่ะ
เอาให้ได้ราคาที่ดีที่สุดนะคะ”
“จากสถานการณ์ตอนนี้คงเรียกแพงขนาดนั้นไม่ได้หรอกครับ”
“ต้องใช้เงินทุนประมาณเท่าไหร่คะ”
“พวกเขามีหุ้นของเรามากกว่าที่เรามีหุ้นฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์
เพราะฉะนั้นอย่างน้อยน่าจะต้องใช้ประมาณสองแสนล้านวอนครับ”
“ฮู่ว...เรื่องที่ต้องใช้เงินไม่ได้มีแค่เรื่องสองเรื่อง...ถ้าเราซื้อแฮจูชิปบิลดิ้งแอนด์มารีนกับอู่ต่อเรือกุนซานด้วย
จะไม่ลำบากเกินไปเหรอ”
หัวหน้าฝ่ายฮงหันมามองยองฮุนแทนคำตอบ
หมายความว่าส่วนนี้เขาควรจะเป็นคนตอบ ยองฮุนจึงพยักหน้าอย่างระมัดระวัง
“วันนี้ผมนัดมีตติ้งกับทางธนาคารชินยองไว้ครับ
บางทีเรื่องนี้อาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่”
ความจริงเขายังไม่ได้นัดหมาย
แต่อย่างไรเขาก็นัดพบกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว
“โอเค
เพราะยังไงเราก็ตัดสินใจจะจัดสรรกำไรส่วนใหญ่ที่ได้จากฮยอนจินการท่องเที่ยวในช่วงต้นปี...”
ประธานซงพยักหน้าพร้อมจัดการความรู้สึกตัวเอง
เมื่อพวกเขากลับมาที่โซลหลังจากสรุปแนวทางการจัดการเรียบร้อย พระอาทิตย์ก็ตกเสียแล้ว
ถึงจะคาดหวังว่าจะพูดคุยกันได้บ้างระหว่างเดินทาง
แต่ก็ทำไม่ได้เพราะมีคนขับรถอยู่ด้วย ดังนั้นยอนฮีจึงคว้าแขนยองฮุนมุ่งหน้าไปยังร้านปลาหมึกผัดเผ็ดชื่อดังในย่านอึลจีโร
หลังกินปลาหมึกผัดเผ็ดแกล้มเบียร์เป็นมื้อเย็นแล้ว
ทั้งสองคนก็ตัดสินใจไปต่อกันที่ร้านคาราโอเกะสุดหรู
เนื่องจากยองฮุนนัดเจอกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนที่นั่น
ส่วนเหตุผลที่ไม่ได้ส่งยอนฮีกลับบ้าน
ก็เป็นเพราะฮยองจุนเป็นคนอนุญาตเองอย่างเท่ ๆ
หลังยองฮุนถามว่าให้ยอนฮีอยู่ด้วยได้ไหม
อีกทั้งยังบอกว่าได้จังหวะพอดี
เพราะตัวเองก็มีเรื่องอยากคุยด้วยเหมือนกัน
ระหว่างรอฮยองจุนเดินทางมาถึง
ยอนฮีก็พูดขึ้น
“จะดื่มเบียร์ใช่ไหมคะ หรือโซจูบอมบ์”
“เบียร์เถอะครับ”
“คิก...รู้ใช่ไหมคะว่าฉันอยากพูดอะไร”
“ผมรู้ว่าคุณมีหลายเรื่องที่อยากถาม
ดื่มให้ชุ่มคอก่อนแล้วค่อยคุยดีกว่าครับ”
“โอเคค่ะ”
พอผลไม้และเบียร์มาเสิร์ฟ
ยองฮุนก็จิบเบียร์อึกหนึ่งแล้วเริ่มพูด
“ถ้าจะให้พูดถึงกรรมการผู้จัดการคิมแทมินละก็
อืม...จะว่ายังไงดี เขาเป็นคนที่ผมไม่ค่อยอยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเท่าไหร่ครับ”
“หมายความว่ายังไงคะ”
“อย่างแรกเขาเกิดมาพร้อมกับความโชคดีครับ
เรามักจะเปรียบเปรยคนที่โชคดีมาก ๆ ประมาณว่าชาติก่อนกู้ชาติไว้ใช่ไหมครับ
เขาเองก็เป็นแบบนั้นเกิดมาพร้อมกับดวงชะตาที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่ทุกอย่างกลับลอยเข้ามาอยู่ในมือเอง...แต่จริง
ๆ แล้วถ้าได้เป็นถึงทายาทมหาเศรษฐีรุ่นสาม ก็ไม่มีใครโชคไม่ดีหรอกครับ”
“ก็จริงนะคะ
เพราะการเกิดมาพร้อมดวงบุพการีคือโชคที่ดีที่สุด ฉันเห็นด้วยกับเรื่องนั้น”
“แต่เขาแตกต่างจากนั้นมากครับ
ไม่เพียงแต่มีดวงบุพการีเท่านั้น
แต่หลังจากพ้นช่วงวัยเด็กก็ยังโชคดีอย่างต่อเนื่อง
บางทีเจ้าตัวก็อาจจะรับรู้ดวงชะตาของตัวเองได้โดยสัญชาตญาณ แล้วในทางกลับกัน
เขาเลยกลายเป็นคนขี้เกียจไม่เคยลงแรงพยายามทำอะไรมากมายเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการครับ”
“จะว่าไปแล้ว...เมื่อก่อนฉันก็ไม่เคยได้ยินว่าพี่แทมินเรียนเก่งเลยค่ะ
แล้วก็ต้องแปลกใจพอได้ยินว่าหลังจากเข้าบริษัทเขาก็ได้รับการยอมรับอย่างมาก”
“อาจเป็นเพราะเขาไม่ใช่คนมีความพยายาม
ก็เลยไม่ค่อยเห็นพรสวรรค์หรือความสามารถที่เก่งกาจเท่าไหร่ แต่มีความโลภมากครับ
ดังนั้นก็เลยเป็นคนประเภทกำสิ่งที่อยู่ในมือแน่นไม่ยอมปล่อย เหมือนพวกหมาพันธุ์โทสะ[1] และปัญหาก็คือ โชคใหญ่ของเขายังไม่สิ้นสุดครับ”
“หมายความว่าเขาโชคดีมากจนไม่อยากต่อกรด้วยสินะคะ
ถ้างั้นอูมยองกรุ๊ปกับกองทุนเมดิสันก็จะได้รับความเสียหายเพราะเรื่องนั้นเหรอคะ”
ยองฮุนเอียงศีรษะพร้อมถอนหายใจสีหน้าเคร่งเครียด
“ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่ดวงชะตาที่มีความโลภมาก
แต่ไม่มีความสามารถแต่พอมาคิดอีกที ไม่ได้เป็นแบบนั้นครับ
เดิมทีปีนี้เขามีโชคใหญ่จะได้รับมรดกและได้เลื่อนตำแหน่ง ซึ่งโชคนั้นต่อเนื่องมาจากการที่ประธานใหญ่อิมชางโฮล้มป่วยโชคของเขาจะก่อกวนคนรอบตัว
ถ้าคิดจะรีบร้อนแย่งอาหารจากมือเขา ก็อาจจะถูกกัดจนจมเขี้ยวเลยก็ได้ครับ”
“โอ้โห...แต่แปลกนะคะ
ตอนควบรวมฮยอนจินการท่องเที่ยว เขาก็ขยับตัวแก้ไขอะไรไม่ได้นี่นา”
“เพราะฮยอนจินการท่องเที่ยวไม่ใช่ของเขาไงครับ
พอเป็นของแม่เขาการควบรวมกิจการก็เลยไม่มีปัญหา
มานึกดูตอนนี้ก็ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่โชคดีจริง ๆ ครับ”
“แล้วโชคนั้นจะต่อเนื่องไปถึงเมื่อไหร่คะ”
“อีกสักพักครับ
อายุเขาใกล้จะสามสิบเจ็ดแล้ว อย่างน้อยก็ไม่เจอปัญหาใหญ่จนกว่าจะอายุสามสิบแปดครับ”
“โห...ถ้างั้นก็ไม่เจอปัญหาอะไรอย่างน้อย
ๆ สองปีสินะ แล้วหลังจากนั้นล่ะคะ”
ยองฮุนส่ายหน้า
“จะมีดวงภัยพิบัติกระหนํ่าเข้ามาครับ
ถ้าเผลอวางตัวไม่ดีอาจจะเกิดปัญหาใหญ่”
“ดวงภัยพิบัติคืออะไรคะ”
“อาจจะเกิดการฟ้องร้องหรือถูกติฉินนินทาครับ
ถ้าไม่เตรียมพร้อมอย่างจริงจังตั้งแต่ตอนนี้
เขาจะประสบกับความยากลำบากครั้งใหญ่เหมือนกับ สส.คังจูวอน
หรืออดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ยางชอลกีครับ”
“อา...”
ขณะยอนฮีอ้าปากค้างอย่างตกใจ
ยองฮุนก็ยกเบียร์ขึ้นดื่มหนึ่งอึก
ความจริงยองฮุนรู้สึกไม่ค่อยดีนัก ดูเหมือนเหตุผลที่ประธานใหญ่อิมชางโฮล้มป่วยจะเป็นเพราะเขาเอง
ถ้าตอนนั้นเขาไม่ได้คุยเกี่ยวกับเรื่องอู่ต่อเรือกุนซาน
อีกฝ่ายจะล้มป่วยไหมนะ
หากประธานใหญ่อิมที่ล้มป่วยไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีกและเสียชีวิตในท้ายที่สุดความสัมพันธ์ระหว่างประธานใหญ่อิมกับเขาก็ถือว่าเลวร้าย
คงจะแปลกถ้าไม่รู้สึกกังวลกับสถานการณ์ที่มีใครบางคนเสียชีวิตเพราะตัวเอง
ขณะนั้นยอนฮีก็เอ่ยถามด้วยแววตาเป็นประกายอีกครั้ง
“คุณมีความสัมพันธ์อะไรกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลปูซานแพคเหรอคะ”
“เคยรู้จักเมื่อตอนอยู่ที่วัดน่ะครับ
เขาคือหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ว่าผมดูดวงชะตาเป็น
แต่ผมเล่าเกี่ยวกับดวงชะตาของเขาไม่ได้นะครับ เพราะไม่ใช่เรื่องที่คุณควรรู้”
ยอนฮีเบ้ปาก
“รู้แล้วค่ะ ฉันแค่สงสัยเฉย ๆ
ถ้างั้นแค่เข้าไปพูดคุยเพราะดีใจที่ได้เจอเหรอคะ”
“ผมขอให้เขาช่วยอะไรบางอย่างน่ะครับ”
“นั่นก็ความลับเหรอคะ”
ยองฮุนยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นหญิงสาวทำตาโต
“ผมเคยได้ยินมาว่าตัวเองเกิดที่โรงพยาบาลปูซานแพคครับ
ก็เลยให้ข้อมูลบางอย่าง เผื่อเขาจะช่วยหาแม่ผมเจอครับ”
“เอ่อ...อย่างนี้นี่เอง ขอโทษนะคะ”
“ไม่มีอะไรต้องขอโทษเลยครับ
ผมไม่ได้เป็นอะไร”
ได้ยินอย่างนั้นยอนฮีก็ยิ้มแล้วเริ่มชวนยองฮุนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ต่อ
ระหว่างกำลังคุยเกี่ยวกับเรื่องว่าเขามองแค่ครั้งเดียวแล้วรู้ได้อย่างไรว่าผู้หญิงที่เจอในโรงพยาบาลเป็นผู้หญิงของแทมิน
รู้ได้อย่างไรว่ามีลูกแล้ว ประตูก็เปิดออกขัดบทสนทนา
“ดีใจที่ได้เจอนะ”
ยอนฮีทำหน้าบึ้งเล็กน้อยเมื่ออีฮยองจุนเข้ามา
“มาเร็วจังครับ”
“โซลเมตที่ห่างหายไปนานกลับมาทั้งที
ฉันจะมาช้าได้ยังไงล่ะ”
“ปกติคุณขี้เล่นขนาดนี้เลยเหรอครับ”
“ปกติฉันก็เป็นแบบนี้นั่นแหละ”
กรรมการผู้จัดการอีฮยองจุน
ผู้จัดการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ของธนาคารชินยองนั่งลงตรงที่ว่างด้วยท่าทางสบาย ๆ
พลางกวาดตามองบนโต๊ะ
จากนั้นก็เรียกพนักงานเสิร์ฟมาสั่งเหล้านอกที่ยองฮุนไม่ค่อยรู้จักทันทีก่อนจะพูดขึ้น
“วันนี้นายเลี้ยงนะ
เพราะฉันเลี้ยงตลอดจนชักจะเหมือนพวกไก่อ่อนเข้าไปทุกที”
“โอเคครับ”
“หึ ๆ...ตอบรับอย่างไม่สะทกสะท้านเลยนะ”
“ผมก็มีบัตรบริษัทเหมือนกันนะครับ”
“โอ้…ก็สมควรแหละ
อุตส่าห์ทำอะไรให้ตั้งเยอะแยะ ถ้าบริษัทเสียดายค่าเหล้าแค่นี้ก็เกินเหตุแล้ว
นายจัดการเรื่องที่ปูซานเรียบร้อยดีไหม”
“ครับ”
“คิมแทมินคงไม่ค่อยให้ความร่วมมือใช่ไหม
อ้อ...บางทีอาจจะกระสับ-กระส่ายเพราะกองทุนเมดิสันสินะ
นายเลยจะใช้โอกาสนี้แยกบริษัทในเครืองั้นเหรอ”
“ใช่ครับ”
ฮยองจุนยกขวดเหล้าที่พนักงานนำมาเสิร์ฟเทลงแก้วเองอย่างชำนาญแล้วพูด
“บ้าเอ๊ย สภาพฉันน่าสมเพชจริง ๆ
รินเหล้ากินเองไม่ใช่สไตล์ฉันเลย”
“ผมรินให้ไหมครับ”
“ฉันไม่อยากกินเหล้าที่คู่รักรินให้หรอก
ได้ยินว่าอูมยองกรุ๊ปเข้ามายุ่งกับฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์นี่”
“ข่าวลือไปถึงที่นั่นแล้วเหรอครับ”
“อย่าดูถูกบริษัทฉัน
ธนาคารยักษ์ใหญ่ติดท็อปทรีของประเทศเลยนะ เราคือด่านหน้าสุดที่รับรู้ข่าวลือต่าง ๆ
แล้วก็เป็นที่แพร่ข่าวลือต่อ เจ๋งไหมล่ะ”
“ครับ
เพราะฉะนั้นผมก็เลยปฏิบัติต่อลูกพี่อย่างสุภาพแบบนี้ไม่ใช่เหรอครับ”
ฮยองจุนกระดกเหล้าดื่มหมดแก้วในรวดเดียว
“หึ...ดี ดีมาก นี่แหละคือรสชาติของอำนาจ
นายต้องการเงินหรือเปล่า”
ยองฮุนพิจารณาใบหน้าของฮยองจุนอย่างตั้งใจเมื่อถูกถามเข้าประเด็นในทันที
ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอียงศีรษะแล้วย้อนถาม
“มีเรื่องเครียดเหรอครับ”
“เวรเอ๊ย อะไรวะเนี่ย นายอ่านใจคนได้หรือไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้น
แต่หน้ากรรมการผู้จัดการดูหมองกว่าตอนเจอกันครั้งก่อนน่ะครับ
แล้วก็เอาแต่ดื่มเหล้า หรือว่าเป็นเพราะแสงในร้านทำให้ผมคิดไปเอง?”
“อะแฮ่ม...แล้วจะยืมเงินไหม”
“ช่างเรื่องนั้นเถอะครับ
ทำไมไม่ลองระบายความเครียดออกมาก่อนล่ะ”
ฮยองจุนจับขวดเหล้าพลางครุ่นคิดอยู่สักพัก
จากนั้นก็รินดื่มอีกครั้ง
“ถึงนายจะความรู้สึกไว
แต่นี่ไม่มากเกินไปหรือไง”
“ถ้าไม่อยากพูด...”
“ไม่ใช่ไม่อยาก”
“ก็บอกมาสิครับ”
ฮยองจุนกระแอมไอเหมือนเก้อเขิน
ก่อนจะหันมามองยอนฮีแล้วพูด
“อะแฮ่ม...เรื่องที่นายเคยพูด...ผู้หญิงคนนี้ก็รู้เรื่องของฉันหมดเลยเหมือนกันหรือเปล่า”
“ผู้หญิงคนนี้อะไรกันคะ”
ทันทีที่ยอนฮีพูดอย่างไม่สบอารมณ์
ฮยองจุนก็ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
“ระหว่างเราอย่ามาใช้คำเรียกว่า ‘คุณ’
ให้มันจั๊กจี้เลยน่า แต่เรียกชื่อก็ยิ่งจั๊กจี้กว่า เอาเป็นว่ารู้หรือเปล่า”
ยองฮุนส่ายหน้าอย่างแรง
“ไม่รู้อะไรเลยครับ”
“โอเค จะบอกให้ออกไปก็ยังไง ๆ อยู่
เราคุยกันเลยแล้วกัน เพราะเรื่องที่นายเคยพูดตอนนั้น ฉันก็เตรียมพร้อมแล้วนิดหน่อย
แต่มันกลับไม่เป็นอย่างใจดังนั้นรองประธานธนาคารก็เลยปลิว”
ยองฮุนเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร
ดูเหมือนจะพยายามจับจุดอ่อนของรองประธานธนาคารเพื่อดึงเข้ามาอยู่ฝ่ายตัวเอง
แต่สถานการณ์กลับล้มเหลวจนรองประธานธนาคารลาออก
“แล้วยังไงต่อครับ”
“เราอยู่ระหว่างการหารองประธานธนาคารคนใหม่
แต่พ่อฉันกลับพาคนที่คาดไม่ถึงมา”
ฮยองจุนรินเหล้าแล้วกระดกอีกครั้ง
จากนั้นก็พูดต่อ
“เขาชื่อมาซอกแด ชื่อโคตรเห่ย
แต่ประสบการณ์ไม่แย่เลย จบปริญญาเอกจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยล
เคยทำงานให้ธนาคารเพื่อการลงทุนมาหลายปี เช่น เจพีมอร์แกน โกลด์แมนแซคส์
แล้วก็เคยเป็น CFO ธนาคารเพื่อการลงทุนของสิงคโปร์อย่าง UOB
ด้วย พ่อพามาก็ด้วยเหตุผลเดียว นั่นคือธนาคารชินยองต้องการบุคลากรที่มีความสามารถและคุ้นเคยกับการลงทุนระหว่างประเทศ
แต่ฉันไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนั้น นายก็ด้วยใช่ไหม”
“ผมเคยบอกแล้วไงครับ
ว่าเขาพยายามจะดึงความสนใจ”
“แต่นายไม่คิดว่าการโต้กลับนี่มันรวดเร็วเกินไปหน่อยหรือไง”
“นี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนครับ เขาคงเตรียมการไว้แล้ว”
ถึงยอนฮีจะไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าทั้งสองคนพูดเรื่องอะไรกัน
แต่เธอก็กดข่มความอยากรู้อยากเห็นแล้วเล่นโทรศัพท์มือถือแกล้งทำเป็นไม่สนใจ
ฮยองจุนก็ไม่ได้สนใจว่าเธอทำอะไร
เพราะรู้อยู่แล้วว่าขอเพียงยองฮุนตัดสินใจก็พูดคุยกับตนได้ทุกเมื่อ ดังนั้นจึงไม่ได้บอกให้ส่งยอนฮีกลับก่อนตั้งแต่แรก
อีกอย่าง
เขายังไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยว่ายองฮุนไม่ได้เล่าอะไรเลย
ทว่าเรื่องนั้นใครสนใจกันล่ะ
“แต่เรื่องนี้ตลกกว่า
เขายืนยันว่าโครงสร้างกลุ่มบริษัทของเกาหลีเป็นสาเหตุหลักทำให้เศรษฐกิจเกาหลีไม่เติบโต”
“หึ...ท่านประธานใหญ่ยอมปล่อยเรื่องนั้นเหรอครับ”
“ฉันยังไม่รู้ว่ามีปฏิกิริยายังไง
แต่ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
ต่อหน้าปู่ฉันพวกเขาคงจะบอกว่าการยกระดับความสามารถสู่ระดับสากลเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นแหละ”
“แล้วอยากให้ผมช่วยอะไรครับ”
“ถ้ารีบออกตัวคัดค้านก็คงถูกจับได้
แต่ฉันก็ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้ไม่รู้จะทำยังไงดี”
“ต้องการเทคนิคการวางหมากสินะครับ”
“ถูกต้อง”
[1]
โทสะอินุ (Tosa Inu) สุนัขญี่ปุ่นที่ได้ชื่อว่าเป็นสุนัขนักสู้ เพราะนิสัยดุดันเเละก้าวร้าว
บทที่ 97 การต่อสู้ของกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุน
(2)
ยองฮุนพยักหน้า พลางพูดขึ้น
“ผมเข้าใจครับว่าหมายถึงอะไร
แต่คนที่กำลังจะลงเล่นหมากกระดานนี้คือกรรมการผู้จัดการ ถ้าผมร่วมด้วยก็ผิดกติกานะครับ”
“รู้น่า ฉันแค่ขอคำแนะนำ”
“ถ้าต้องการคำแนะนำ
เราก็ต้องรู้ความสามารถของคู่แข่งก่อนครับ”
“อย่ามาเล่นลิ้น พูดมาตรง ๆ เลย
ทำได้หรือไม่ได้”
ยองฮุนคิดสักพัก จากนั้นจึงตอบ
“คงต้องเจอก่อนถึงจะรู้ครับ”
“ยังไงก็สืบจากสายของฉันได้ไม่ใช่เหรอ
จำเป็นต้องเจอหรือไง”
แน่นอนว่าในมุมมองของฮยองจุน
เรื่องนี้น่าสงสัย
เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องพบกัน
ในเมื่อตัวเองมีข้อมูลลับที่ไม่มีใครรู้อยู่แล้ว
“ข้อมูลเป็นเพียงหลักฐานสนับสนุนการประเมินของผมเท่านั้นครับ”
“เรื่องเยอะจริง ๆ เดี๋ยวอีกสามวันจะมีการบรรยายพิเศษเกี่ยวกับกระแสของตลาดการเงินระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยซอกัง
เจ้าหน้าที่หลายคนของธนาคารชินยองก็เข้าร่วมด้วย”
“จะไม่แปลกเหรอครับ
ถ้าผมไปเข้าร่วมงานนั้นด้วย”
“ไม่หรอก
นั่นไม่ใช่การบรรยายให้นักศึกษาฟังอย่างเดียว ความจริงผู้บริหารบริษัทใหญ่หรือพวกประธานบริษัทขนาดกลางก็เข้าร่วมด้วยเหมือนกันถึงนายจะเข้าร่วมก็คงไม่ดูแปลกหรอก”
“อืม...”
“นี่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีด้วยซํ้ามั้ง
มีตั้งหลายคนที่ลงเรียน ป.โทเพื่อขยายคอนเน็กชัน”
“ถ้าไปฟังบรรยายอย่างเดียวแล้วกลับ
อาจจะไม่ได้อะไรเลยก็ได้ครับ”
“นายอยากให้ฉันนัดพบส่วนตัวเหรอ
นั่นยากสำหรับฉันอยู่นะ เขายังไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานธนาคารเลยด้วยซํ้า
จะให้ฉันเข้าหาก่อนก็ตลกสิอ้อ!
หลังจบการบรรยายมีงานเลี้ยงสำหรับผู้เข้าร่วมฟังบรรยาย
รายชื่อคนร่วมงานถูกกำหนดไว้แล้ว...แต่ถ้าแฟนนายจะเข้าร่วมฟังบรรยายพิเศษด้วย
ฉันก็ยัดชื่อใส่ลิสต์คนเข้าร่วมงานให้ได้”
“กรรมการผู้จัดการจะยัดชื่อเข้าไปยังไงครับ”
“การบรรยายพิเศษนั่นน่ะพวกฉันเป็นคนจัด
ฉันบอกแล้วไง เจ้าหน้าที่ธนาคารชินยองก็เข้าร่วมด้วย”
“อ้อ...โอเคครับ”
“ถ้างั้นก็เรียบร้อย...แล้วฉันต้องทำอะไรให้นาย”
“ยังไม่มีอะไรให้ทำครับ
เราต้องแลกเปลี่ยนหุ้นกับฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์แต่ยังไม่ได้รับการยืนยัน
เพราะฉะนั้นก็เลยไม่มีเรื่องที่ต้องตัดสินใจตอนนี้ครับ”
“นายก็ไม่ใช่คนทำอะไรให้ฟรี ๆ
อยู่แล้ว...แต่ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน ฉันก็ปฏิเสธคำขอของนายไม่ได้อยู่แล้วนี่”
“จำเป็นต้องคิดอย่างนั้นด้วยเหรอครับ
กรรมการผู้จัดการกับผมก็เหมือนนั่งเรือลำเดียวกัน
ถ้าช่วยได้ก็ต้องช่วยอยู่แล้วครับ
แต่ก็อย่างที่ผมเคยบอกผมช่วยแก้ปัญหาให้ทุกอย่างไม่ได้ ถ้าหาทางได้
การดำเนินการก็เป็นส่วนของกรรมการผู้จัดการ แต่ถ้าหาทางไม่ได้
ผมเองก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกันครับ”
“งั้นก็ตามนั้น”
“ขอบคุณที่ยอมเข้าใจครับ”
อีฮยองจุนรินเหล้าดื่มเองอีกครั้ง
จากนั้นก็หันมามองยอนฮี
“พอปู่เธอป่วยก็มีแต่ข่าวลือนั่นนี่เต็มไปหมด
เธอคงรู้ว่านักลงทุนส่วนใหญ่มองว่ากรรมการผู้จัดการคิมแทมินเป็นผู้สืบทอดกรุ๊ป
เพราะฉะนั้นถ้าแยกบริษัทในเครือเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้พวกนักลงทุนฝั่งฮยอนจินการผลิต การท่องเที่ยว
และการก่อสร้างจะหันมาให้ความสนใจเธอ เข้าใจที่ฉันพูดไหม”
“หมายถึงสนใจว่าใครจะมาเป็นสามีฉันใช่ไหม”
“เรื่องนั้นด้วย
แล้วก็ประเมินความสามารถของเธอด้วย ถึงตอนนี้การประเมินส่วนใหญ่จะมองว่าการผลิตกับอุตสาหกรรมหนักตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว
แต่ยังต้องจับตามองประธานซงอึนแชอยู่ ฉันไม่ได้ดูถูกผู้หญิงนะ
แต่ในกลุ่มซีอีโอหญิงที่บริหารกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่
มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ”
“กลัวว่าหุ้นจะตกหรือไง”
ยอนฮีตอบกลับพร้อมมองอีกฝ่ายตาเขียวปั้ด
แต่ฮยองจุนก็ยังพูดต่ออย่างจริงจังราวกับพูดคุยเรื่องทั่วไป
“พูดตรง ๆ ก็ใช่
แต่ถ้าหลังจากควบรวมฮยอนจินการท่องเที่ยวแล้วจะกลับมาโฟกัสธุรกิจการค้าโดยไม่ควบรวมกิจการไหนอีกก็ว่าไปอย่าง
แต่จะเป็นอย่างนั้นเหรอ”
“นั่น...”
“ถึงตอนนี้ภายนอกจะยังไม่ประเมินใด ๆ
เกี่ยวกับการเข้าควบรวมกิจการอย่างกะทันหันของฮยอนจินการผลิต
เพราะไม่รู้เจตนาของผู้บริหาร แต่ยังไงก็แล้วแต่
เธอควรจะรู้ว่าตอนนี้คนจำนวนมากกำลังให้ความสนใจ
ดังนั้นถ้าเธอคิดจะแต่งงานกับหัวหน้าแผนกชเว รีบ ๆ ประกาศหน่อยก็ดี
เพราะถ้าประกาศว่าหัวหน้าแผนกชเวเป็นคนรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดนี้ก็ดูสมเหตุสมผล
หรือไม่งั้นก็เพิ่มแรงผลักดันของประธานซงอึนแชให้มากขึ้น”
“เดี๋ยว เรื่องนั้น...”
ทันทีที่ยองฮุนตั้งท่าจะแย้ง
ฮยองจุนก็ยกมือห้าม
“นี่คือคำแนะนำในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ฉันไม่ได้บอกให้ประกาศแต่งงานตอนนี้ แต่บอกว่าควรคิดอย่างจริงจังได้แล้ว”
ยองฮุนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าสถาบันการลงทุนคิดไปถึงเรื่องนั้นแล้ว
พูดตามตรงว่าสิ่งที่ทำมาจนถึงตอนนี้ก็เหมือนการต่อสู้ภายในครอบครัวแต่เขารู้ดีว่าการซื้อกิจการอู่ต่อเรือกุนซานและแฮจูชิปบิลดิ้งแอนด์มารีนนั้น
ระดับแตกต่างจากการควบรวมฮยอนจินการท่องเที่ยวอย่างสิ้นเชิง
ถึงจะไม่เคยคิดถึงส่วนนี้มาก่อน
แต่แน่นอนว่าคำพูดของฮยองจุนมีเหตุผล
“ผมจะลองคิดดูครับ”
ฮยองจุนหัวเราะกับคำตอบของยองฮุน
ก่อนจะหยิบแอปเปิลชิ้นหนึ่งเข้าปากแล้วพูดขึ้น
“ก่อนหน้านี้นายบอกว่าเตรียมบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับอำนาจการเมืองอยู่ใช่ไหม
ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ต้องทำให้ดีแล้วกัน
พวกผู้ถือหุ้นที่มีส่วนร่วมในการควบรวมฮยอนจินการท่องเที่ยวครั้งนี้หลาย ๆ
คนมีอิทธิพลค่อนข้างเยอะ”
“สุดท้ายคนพวกนั้นก็หาเงินได้เพราะพวกเราไม่ใช่เหรอครับ”
“พวกเขาก็เลยยิ่งสนใจมากขึ้นไง เพราะอยากรู้ว่าจะใช่คนที่ทำเงินให้ตัวเองได้มากขึ้นจริงหรือเปล่า”
“พอคิดดูแล้วก็จริงครับ”
ฮยองจุนหัวเราะแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ
จากนั้นก็พูดกับยอนฮีอย่างหยอกล้อ
“ได้ข่าวว่าอูมยองกรุ๊ปอยากได้เธอเหรอ”
ยอนฮีตอบเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ
“อือ ฉันเคยเรียนมหา’ลัยเดียวกับชางฮุนน่ะ
แล้วเขาก็เคยขอแต่งงานหลายครั้ง รอบนี้ทางนั้นติดต่อผ่านแม่ฉันให้นัดเจอกัน
แต่ฉันปฏิเสธไปแล้วทำไมเหรอ”
“เจอหน่อยไม่ได้หรือไง”
ยองฮุนขมวดคิ้ว
ส่วนยอนฮีสวนกลับทันทีราวกับจะถามว่าพูดบ้าอะไร
“ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าตอนนี้ฉันคบกับใครอยู่”
“ฉันรู้น่า พวกเธอสองคนไม่ต้องอารมณ์เสีย”
“ถ้างั้น?”
ฮยองจุนหันมามองยองฮุนแล้วพูด
“ลูกสาวคนเล็กของอูมยองกรุ๊ป
ตอนนี้อยู่มหา’ลัยปีสี่ เรียนสายอาร์ตหน้าตาเหมือนแม่
ว่ากันว่าน่าจะได้แกลเลอรีแห่งหนึ่งเป็นมรดกด้วย”
“อยากคบกับผู้หญิงคนนั้นเหรอครับ”
“ถ้านัดดูตัวผ่านปู่ได้ง่าย ๆ
ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่พวกเขาบอกว่าไม่ต้องการพบในแง่นั้น เพราะลูกสาวยังเด็กอยู่
ใครจะเชื่อเหตุผลนั้นลง...แต่ถ้าเธอสนิทกับลูกชายของอูมยองกรุ๊ปมากขึ้นก็อาจจะช่วยแนะนำให้ฉันได้”
“หา?...คิดว่าคำพูดเมื่อกี้สมเหตุสมผลหรือไง”
“ล้อเล่นน่า แต่ถ้าเธอสนิทกับคนที่ชื่อชางฮุน
ช่วยแนะนำเด็กคนนั้นให้หน่อยได้ไหมล่ะ”
“ฉันไม่เคยเจอน้องเขาด้วยซํ้า
จะให้ฉันเชื่อมสัมพันธ์ให้เนี่ยนะ...”
ตอนนั้นยองฮุนจึงพูดขึ้น
“หาผู้หญิงคนอื่นน่าจะดีกว่านะครับ”
“หือ? ทำไมล่ะ”
“ถ้าคิดจะเข้าหาเธอเพราะเป็นทายาทอูมยองกรุ๊ปละก็
หาผู้หญิงคนอื่นดีกว่าครับ”
เมื่อยองฮุนพูดซํ้าอีกครั้ง
สีหน้าฮยองจุนก็เคร่งเครียดขึ้น เพราะเคยเจอแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว
ถ้ายองฮุนพูดอย่างจริงจังและเด็ดขาดเหมือนตอนนี้แน่นอนว่าต้องมีเหตุผล
“เหตุผลคืออะไร
หรือว่าอูมยองกรุ๊ปเกิดปัญหาอะไรงั้นเหรอ”
“ผมบอกเหตุผลไม่ได้ครับ
แล้วถ้าจะให้แนะนำอีกนิด ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่กรรมการผู้จัดการจะคบผู้หญิงนะครับ”
“หมายความว่ายังไงอีก
นายก็รู้นี่นาว่าสถานการณ์ของฉันตอนนี้เป็นยังไงแค่ฉันคนเดียวอาจจะตึงมือ
แต่ถ้ามีพ่อตาเป็นถึงประธานใหญ่ของอูมยองกรุ๊ปสถานการณ์จะเปลี่ยนไปมาก”
“ผมรู้ครับ แต่ตอนนี้ยังเร็วเกินไป”
“นายจะไม่พูดให้เคลียร์เหรอ”
“เอาเป็นว่ารู้เท่านั้นก็พอครับ
ตอนนี้กรรมการผู้จัดการควรคิดถึงแต่เรื่องพ่อเท่านั้น
บางครั้งมีเพื่อนร่วมทางไม่ดีก็พาเราแย่นะครับ”
ฮยองจุนไม่เข้าใจคำพูดของยองฮุน
แต่ถึงอย่างนั้นก็มองข้ามคำเตือนเฉย ๆ ไม่ได้
เพราะนี่เป็นคำพูดของยองฮุน ไม่ใช่ใครอื่น
“นายคงมีเหตุผลที่ไม่ยอมพูดให้ชัดเจนใช่ไหม”
“เดี๋ยวเวลาผ่านไปก็รู้เองครับ”
“โธ่โว้ย
ฉันคุยกับหมอดูอยู่หรือไงวะ...เออ ก็ได้”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้น
“จะกลับแล้วเหรอครับ”
“แหงสิ
จะให้ฉันกินเหล้าคนเดียวต่อหน้าคู่รักที่น่าหมั่นไส้ต่อหรือไง”
“หึ...โอเคครับ”
ฮยองจุนส่ายหน้าพลางก้าวเดินออกไป
ทันทีที่ประตูปิดลง ยอนฮีก็ถามขึ้น
“กลัวว่าอูมยองกรุ๊ปจะพังหลังจากแตะต้องฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์เหรอคะ”
“ไม่ใช่ครับ ผมแค่คิดว่าพวกเขาจะเสียหาย
แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเสียหายมากแค่ไหน ผมไม่เคยเห็นหน้า
แล้วก็ไม่รู้ดวงชะตาของประธานใหญ่อูมยองกรุ๊ปเลยไม่รู้อะไรทั้งนั้นครับ
แต่เรื่องนี้เป็นเพราะดวงชะตาของกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนเอง
ปกติเขาค่อนข้างชอบผู้หญิงมาก แต่ผู้หญิงกับดวงถูกติฉินนินทามักมาคู่กันเสมอ
จากสถานการณ์ตอนนี้ก็เลยควรหลีกเลี่ยงครับ”
“สถานการณ์ตอนนี้เป็นแบบไหนคะ”
“อืม...แค่รู้ว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนก็พอครับ”
“ชิ...งั้นก็ข้ามเรื่องนั้นไปเถอะค่ะ
สรุปว่าควรหลีกเลี่ยงการคบแบบจริง ๆ จัง ๆใช่ไหมคะ ไม่นับการคบเล่น ๆ”
“ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง
ถ้าถึงช่วงเวลาที่ควรหลีกเลี่ยงเพศตรงข้ามก็ควรเลี่ยงให้เด็ดขาดไปเลยจะดีกว่าครับ
เพราะเราไม่รู้ว่าข่าวลือจะออกมาเมื่อไหร่ออกมาในรูปแบบไหน
เดี๋ยวพอเวลาผ่านไปก็จะได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลังเองครับ”
“อื้อฮือ ก็ว่าอยู่ว่าหน้าตาแบบมีสาวเยอะ
แบบรู้สึกได้ทันทีตั้งแต่ตอนเจอกันครั้งแรกเลยค่ะ”
อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา
“แล้วผมดูเป็นยังไงครับ”
ยอนฮีหัวเราะร่า
“พูดตรง ๆ
ว่าตอนแรกที่เจอรู้สึกเหมือนเป็นพวกต้มตุ๋น...แต่นั่นเป็นอคติของฉันเอง
หลังจากนั้นก็รู้สึกเหมือนเป็นบัณฑิตค่ะ
บัณฑิตแห่งราชวงศ์โชซอนคุณให้ความรู้สึกแบบนั้น”
“แปลว่าไม่ค่อยโอเคเหรอครับ”
“ฉันชอบพวกบัณฑิตนะคะ
ถึงบางครั้งจะรู้สึกอึดอัดด้วย แต่คนที่มีกลิ่นนํ้าหมึกฟุ้งก็ไม่เลวเหมือนกัน
เพราะคิดว่าน่าจะเป็นคนมั่นคงดีค่ะ”
ยอนฮียกแก้วเบียร์ขึ้นพร้อมพูดขึ้นเบา ๆ
“ชน!”
“ชน”
ทั้งสองชนแก้วแล้วพากันหัวเราะ
หลังจากกลับมาโซลได้สามวัน
ประธานใหญ่อิมชางโฮยังไม่มีท่าทีว่าจะฟื้น
เรื่องที่ยองฮุนเคยไถ่ถามก็ดูเหมือนว่าจำเป็นต้องใช้เวลานานมาก
สส.โจแจมินเปิดตัวที่กุนซานพร้อมเริ่มรวบรวมคนทำงานอย่างจริงจัง
และในที่สุดการประมูลสิทธิ์การก่อสร้างคอนโดในเขตบงซอนของกวางจูก็ประกาศผล
[ฮยอนจินคอนสตรัคชั่น
คว้าสิทธิ์การก่อสร้างเจ็ดแสนล้านวอน!]
[เหตุผลที่เปลี่ยนบริษัทฮเยซองสุดเละเทะให้กลายเป็นฮยอนจินคอน-สตรัคชั่นแสนลํ้าค่า]
[การขายคอนโดราคาแพงที่เขย่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ท้องถิ่น
จะประสบความสำเร็จหรือไม่]
เมื่อฮยอนจินคอนสตรัคชั่นได้รับสิทธิ์ในการก่อสร้าง
ข่าวต่าง ๆ ก็เริ่มหลั่งไหลออกมา
ราคาหุ้นของฮยอนจินคอนสตรัคชั่นเริ่มปรับตัวสูงขึ้นทันทีในวันประกาศผลและราคาหุ้นของฮยอนจินการผลิตซึ่งเป็นเจ้าของฮยอนจินคอนสตรัคชั่นก็สูงขึ้นมากกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ในวันเดียวกัน
ในช่วงเวลาที่น่าปีติยินดีเช่นนี้
ยองฮุนกลับกำลังก้าวเข้าไปยังมหาวิทยาลัยซอกังในย่านชินชน
เมื่อผ่านประตูใหญ่เข้ามาแล้วก็เดินขึ้นไปตามเนินลาดชัน
โดยมียอนฮีตามมาด้วย
เดิมทียอนฮีจะไปลงที่ลานจอดรถ
แต่ยองฮุนบอกว่าจะลงตรงประตูใหญ่เธอจึงลงมาพร้อมเขา
“อยากเดินในมหา’ลัยเหรอคะ”
“ครับ ผมอยากสัมผัสบรรยากาศมหา’ลัยน่ะ”
สำหรับเขาที่ไม่เคยใช้ชีวิตในโรงเรียนมาก่อน
ยองฮุนอยากลองใช้ชีวิตแบบนักศึกษาที่เคยเห็นแค่ในทีวีมาก
รู้สึกอิจฉากลุ่มคนที่เดินตัดผ่านลานมหาวิทยาลัยอันกว้างใหญ่
สะพายกระเป๋าไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างถือหนังสือเล่มหนา ๆ ไว้
ตอนนี้เขาอายุเกินสามสิบแล้ว
ถึงจะเป็นเหมือนวัยรุ่นทั้งหลายที่เดินผ่านไปมาไม่ได้
แต่เพียงแค่เดินอยู่ในสถานที่เดียวกันก็รู้สึกเหมือนได้บรรลุความปรารถนาอย่างหนึ่งแล้ว
“พูดตามตรง
เวลาไปโรงเรียนน่าเบื่อแล้วก็เหนื่อยมาก
แต่สำหรับคุณนี่คงเป็นเรื่องน่าอิจฉาใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ”
“คุณคงตั้งตารอการบรรยายวันนี้น่าดูสินะคะ
แต่สำหรับฉันแล้ว ฉันง่วงนอนมากจนหวังให้คุณมีอคติต่อการบรรยายในมหา’ลัยเลยค่ะ
แล้วคุณจะไม่รู้สึกอิจฉาแม้แต่นิดเดียว”
ยองฮุนยิ้มกว้างแทนคำตอบ
พวกเขาเดินทอดน่องกันไปอย่างนั้นจนกระทั่งถึงบริเวณห้องบรรยายพิเศษ
แต่บุคคลสำคัญของการบรรยายวันนี้อย่างมาซอกแดกำลังพูดคุยกับใครบางคนอยู่ที่หน้าประตู
ใครคนนั้นจำยอนฮีกับยองฮุนได้จึงรีบเข้ามาทักทาย
“สวัสดีครับ
ผมหัวหน้าแผนกชเวอิลเจจากธนาคารชินยอง ผมกำลังรออยู่พอดีเลยครับ เชิญทางนี้...”
อีกฝ่ายพาพวกเขามาตรงหน้ามาซอกแดและแนะนำอย่างคล่องแคล่ว
“นี่คือคุณอิมยอนฮี
ลูกสาวของประธานซงอึนแชจากฮยอนจินการผลิตครับ
ส่วนคนนี้คุณชเวยองฮุนจากฝ่ายเลขานุการ
ทั้งสองคนบอกว่าอยากฟังการบรรยายของคุณมาซอกแดมากเลยครับ”
“อา...เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับที่คนหนุ่มสาวเหล่านี้รู้จักผมด้วย”
ยองฮุนจับมือทักทายพร้อมคิดว่า
ถ้ารู้ว่าทำแบบนี้ได้ก็คงไม่จำเป็นต้องไปถึงงานเลี้ยง
พวกเขาพูดคุยตามมารยาทกันสั้น ๆ
ก่อนจะเข้าไปในห้องบรรยาย เมื่อนั่งประจำที่แล้วยอนฮีก็กระซิบถาม
“โหงวเฮ้งเขาดูเป็นยังไงบ้างคะ”
ยองฮุนพิจารณามาซอกแดที่ขึ้นไปยืนหลังแท่นบรรยายอย่างละเอียด
จากนั้นก็ตอบช้า ๆ
“กรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนคงจะลำบากนิดหน่อยครับ”
ในเวลาเดียวกันนั้น ฮยองจุนถูกเรียกตัวมายังห้องรองประธานใหญ่ของชินยองไฟแนนเชียลกรุ๊ป
“ช่วงนี้ดูเหมือนแกจะทำงานหนักมาก
ฉันดีใจที่ได้เห็นอย่างนั้นนะ”
รองประธานใหญ่อีเซจุนมองฮยองจุนด้วยสายตาอบอุ่น
ฮยองจุนเองก็ยิ้มให้แต่ในใจกลับรู้สึกเครียดจนขนลุกชัน
รองประธานใหญ่อีเซจุนลุกจากที่แล้วเดินเข้ามาหาฮยองจุน
จากนั้นก็ลูบไหล่พลางถาม
“ฉันได้ยินเรื่องแกจากคณะกรรมการ...แกอยากเป็นประธานธนาคารแล้วเหรอ”
ฮยองจุนรีบส่ายหน้า
“ไม่ใช่ครับ”
“แน่ใจ?”
“แน่นอนครับ ยังมีอีกหลายอย่างที่ผมต้องเรียนรู้”
“แต่ถึงยังไงฉันก็จะวางตำแหน่งไว้ให้”
“ครับ? ผมเพิ่งเข้าธนาคารมาไม่นาน...”
“รู้ใช่ไหมว่าตอนนี้พวกเราให้ความสนใจเวียดนามมากแค่ไหน
จะพูดว่าอนาคตธนาคารชินยองของเราขึ้นอยู่กับเวียดนามก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง
ฉันอยากให้แกไปที่นั่น แล้วทำให้ธนาคารชินยองกลายเป็นธนาคารอันดับหนึ่งของเวียดนามให้ได้”
ฮยองจุนพยายามควบคุมตัวเองเต็มที่
ไม่แสดงอาการให้ถูกจับได้ว่ากำลังกระวนกระวาย
เขาเห็นสายตาอบอุ่นของรองประธานใหญ่อีเซจุนเป็นสายตาสัตว์ร้ายยามหมอบลงเตรียมตะครุบเหยื่อ
บทที่ 98 การต่อสู้ของกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุน
(3)
ฮยองจุนเก็บตัว อยู่ในห้องทำงานตัวเองในฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ธนาคารชินยองเขาดึงมู่ลี่ลงแล้วจมอยู่กับความคิด
ถ้าไปเวียดนามทั้งแบบนี้
สุดท้ายจะกลับมาได้หรือเปล่า
เห็นได้ชัดว่าคงไม่อาจกลับมาในฐานะพนักงานของชินยองไฟแนนเชียลกรุ๊ปบางทีอาจจะกลับมาเหยียบแผ่นดินเกาหลีไม่ได้อีกตลอดไปด้วยซํ้า
ทั้ง ๆ
ที่เพิ่งย้ายมาธนาคารชินยองได้ไม่นานก็ส่งไปเวียดนามเลยงั้นเหรอ
การผลักดันบุคลากรที่ทั้งภายในและภายนอกไม่เข้าใจนั้น
คือข้อสรุปจากการที่พ่อประเมินว่าการเติบโตของเขาเป็นภัยคุกคามไม่ใช่เหรอ
ถึงจะพยายามยื้อเวลาด้วยการบอกว่าขอลองคิดก่อนแล้วปลีกตัวออกมาแต่หลังจากพูดคำว่า
‘เวียดนาม’ ออกมาแล้ว
อีกฝ่ายก็คงจะผลักดันการแต่งตั้งเขาไปประจำสาขาเวียดนามอย่างจริงจังในการประเมินบุคลากรประจำปีครั้งนี้
อย่างน้อยก็ต้องเตรียมการรับมือก่อนจะถึงเวลาประเมินบุคลากรประจำปีในเดือนมีนาคม
แต่ไม่ว่าจะครุ่นคิดหาทางยังไง ก็หาทางออกดี
ๆ ไม่ได้เลย
อิทธิพลของรองประธานใหญ่อีเซจุนผู้เป็นพ่อแผ่กว้างไปทั่วทั้งกลุ่มบริษัทเหมือนใยแมงมุม
และตอนนี้ปู่ก็ทยอยมอบอำนาจให้พ่อเขาแล้วด้วย
ตอนนี้ฮยองจุนควรกังวลเรื่องชีวิตตัวเองมากกว่าจะสนใจว่าใครจะมาเป็นรองประธานธนาคาร
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าพ่อจะเอามีดจ่อคอกันเร็วขนาดนี้
“กรรมการผู้จัดการใหญ่คัง
ตอนเย็นมาเจอผมหน่อยครับ ร้านบลูมูนตรงกังนัม”
สุดท้ายฮยองจุนก็เรียกพบกรรมการผู้จัดการใหญ่คังจูฮยอน
หลังจากเว้นนัดพบปะเล็ก ๆ น้อย ๆ
มาสักพักเพราะกลัวจะสะดุดตาพ่อตอนนี้เขาผัดผ่อนไม่ได้อีกต่อไป
ขณะนั้นยองฮุนก็โทร.เข้ามา
“งานเลี้ยงยังไม่เริ่มเลย โทร.มาแล้วเหรอ”
“งานเลี้ยงไม่ต้องแล้วละครับ
โชคดีที่ดูเหมือนผมจะทำสิ่งที่กรรมการผู้จัดการต้องการผ่านข้อมูลที่มีได้ครับ”
ถ้าได้ยินเรื่องนี้เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน
เขาคงดีใจและนัดพบทันที แต่ตอนนี้เรื่องของมาซอกแดไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้ว
เขากำลังจะตาย ดังนั้นต่อให้คนที่ไม่รู้จักได้เป็นรองประธานธนาคารหรือไม่
มันสำคัญตรงไหนกันล่ะ
ฮยองจุนจึงตอบด้วยนํ้าเสียงอ่อนแรง
“ไว้ค่อยคุยกันทีหลังแล้วกัน ฮู่ว...”
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
“เรื่องนั้น...ตอนนี้นายอยู่กับยอนฮีหรือเปล่า”
“ก็อยู่ด้วยกัน...แต่ถ้าเป็นเรื่องสำคัญก็เลื่อนเดตได้ครับ”
“ถ้าพอรับไหว
ฉันก็ไม่อยากรบกวนการเดตของพวกนายหรอก แต่ตอนนี้สถานการณ์ค่อนข้างร้ายแรง
ถ้านายออกมาจากสถานีกังนัมทางออกสามแล้วเดินตรงมาเรื่อย ๆ
จะเจอรูมซาลอนชื่อบลูมูนอยู่ทางซ้ายมือ ไปรอที่นั่น
ฉันจะรีบเคลียร์งานให้เสร็จแล้วตามไป”
“โอเคครับ”
ฮยองจุนวางสายแล้วขบริมฝีปากอย่างครุ่นคิด
จากนั้นก็เดินออกจากห้อง
พอเห็นเขาแต่งตัวเรียบร้อยเดินออกมา
เลขานุการสาวสวยก็เดินเข้ามาถาม
“จะเลิกงานแล้วเหรอคะ
มีประชุมตอนห้าโมงครึ่งนะคะ”
“แจ้งยกเลิกการประชุมแล้วก็บอกทุกคนว่าเย็นนี้ให้รีบ
ๆ กลับบ้านกัน อย่าทำงานล่วงเวลาโดยเปล่าประโยชน์”
“รับทราบค่ะ คือว่า...”
เลขานุการสาวสำรวจรอบข้างครู่หนึ่ง
ก่อนจะพูดเบา ๆ เหมือนกระซิบ
“หือ?”
“คงไม่ได้ไปรูมซาลอนอีกแล้วใช่ไหมคะ”
“ทำไมฉันต้องทิ้งจีอึนของฉันเอาไว้แล้วไปที่แบบนั้นด้วยล่ะ”
“เชอะ...ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งไปมานี่คะ”
“ฉันไปเพราะงานน่า
ทุกวันนี้นอกจากจีอึนแล้ว ฉันก็ไม่เคยคิดถึงผู้หญิงคนอื่นเลยนะ”
“โกหก”
“พูดจริง ๆ พอดีเกิดเรื่องขึ้นกะทันหัน”
“ทำไมล่ะคะ เกิดเรื่องไม่ดีเหรอ
เมื่อกี้ท่านรองประธานใหญ่เรียกพบนี่นาเพราะเรื่องนั้นเหรอคะ”
ฮยองจุนทำหน้าบึ้งเล็กน้อย
“เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังทีหลัง
เพราะฉะนั้นวันนี้ไม่ต้องรอนะ โอเค้?”
“โอเคค่ะ”
ฮยองจุนลูบบั้นท้ายหญิงสาวขณะอีกฝ่ายทำหน้ามุ่ย
จากนั้นก็เดินออกจากฝ่ายวางแผนกลยุทธ์มา
เขาจีบพัคจีอึนที่สะดุดตาตัวเองทันทีที่เธอเข้ามาทำงานที่นี่และยกออฟฟิศเทลใกล้
ๆ บริษัทให้เพราะนึกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดี
แต่ก็ต้องรู้สึกหดหู่ขึ้นมา
เพราะตอนนี้ดูเหมือนจะเหลือเวลาเล่นสนุกกับเธออีกไม่นาน
เนื่องจากกลัวว่าจะถูกสะกดรอยตาม
เขาจึงทิ้งรถไว้ที่บริษัทแล้วขึ้นแท็กซี่ไปย่านกังนัม
พอลงจากรถก็หันมองรอบตัวว่ามีใครตามมาหรือเปล่า
จากนั้นถึงเดินเข้าไปในรูมซาลอน
“ยินดีต้อนรับครับ กำลังรออยู่เลย”
“เพื่อนที่ฉันบอกว่าให้เข้ามาก่อนล่ะ”
“มาถึงเมื่อยี่สิบนาทีก่อน แล้วก็เสิร์ฟเหล้าให้แล้วครับ”
“ดีมาก”
ฮยองจุนตบไหล่พนักงานแล้วเดินไปยังห้องที่จองไว้
ทว่าตอนนั้นเองสาวสวยหุ่นเพรียวคนหนึ่งก็พุ่งตรงเข้ามาหาจากอีกด้าน
“พี่คะ! ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาเหรอคะ”
“ฉันยุ่งมากน่ะ”
เขาตอบเพียงเท่านั้นแล้วเปิดประตูห้อง
แล้วก็เห็นยองฮุนนั่งกินผลไม้ที่เป็นกับแกล้มอยู่
“ฉันไม่ได้สายใช่ไหม”
“ครับ”
สาวสวยคนเมื่อครู่ตามเข้ามานั่งข้าง ๆ
ยองฮุนแล้วพูดขึ้น
“อุ๊ย ฉันไม่เคยเจอพี่คนนี้มาก่อนเลย”
ยองฮุนไม่ตอบพลางจ้องมองฮยองจุน
สายตาเฉยเมยนั่นทำเอาฮยองจุนกระอักกระอ่วนจนต้องกระแอมไออธิบาย
“อะแฮ่ม...ฉันไม่ได้เรียกมานะ
วันนี้ฉันคงไม่เรียกผู้หญิงมานั่งด้วย เอาเหล้ามาให้ก็พอ”
หญิงสาวเบิกตากว้างพร้อมย้อนถาม
“จริงเหรอคะ”
“อย่าให้ฉันพูดซํ้าน่า รีบออกไปได้แล้ว”
อาจเพราะรู้สึกได้ว่าบรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด
เธอจึงลุกขึ้นขณะสีหน้าเปลี่ยนเป็นเก้อเขิน
“ค่ะ ขอให้ใช้เวลาอย่างเพลิดเพลินนะคะ”
เมื่อเธอออกไปแล้ว ฮยองจุนก็พูดขึ้นทันที
“ทำไมนายต้องทำให้ฉันเสียหน้าด้วยเนี่ย”
“ลืมไปแล้วเหรอครับว่าผมบอกให้ระวังผู้หญิง”
“เมื่อกี้นายก็ได้ยินนี่นา ฉันพูดอะไร
ฉันบอกว่าวันนี้จะไม่เรียกผู้หญิงมานั่งไง ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นพนักงาน แล้วฉันก็เพิ่งปฏิเสธข้อเสนออย่างเด็ดขาดสมควรจะได้คำชมด้วยซํ้านะ”
“ครับ ครับ...จากที่ฟังก็ไม่ผิดหรอก
แต่ไม่ควรฟังคำพูดของผมแบบผ่าน ๆ นะครับ”
“ไม่ใช่ แต่...ลองคิดดูสิ
นายไม่ได้พูดเรื่องนั้นมาตั้งแต่ปีที่แล้วสักหน่อยในแต่ละวันก็ต้องมีเรื่องให้พบกับผู้หญิง
ทั้งที่พบแบบเป็นทางการแล้วก็ส่วนตัวไม่ใช่เหรอ
ถ้าจะสั่งให้ตัดขาดผู้หญิงทันทีเลยก็ยังไง ๆ อยู่”
ถึงฮยองจุนจะพยายามแก้ตัวพลางแสดงสีหน้าไม่ได้รับความยุติธรรม
แต่ยองฮุนก็ไม่ไขว้เขวเลยสักนิด ทั้งยังสวนกลับด้วยประโยคที่ทำเอาคนฟังจุก
“เรื่องผู้หญิงน่ะ เอาไว้มีชีวิตรอดไปได้ก่อนค่อยคิดไม่ดีกว่าเหรอครับ”
“แต่...เรื่องนั้นก็ถูกแหละ
เดี๋ยวฉันจัดการเอง จะจัดการให้สะอาดหมดจดเลย”
ฮยองจุนรู้สึกเครียดเล็กน้อย
เพราะไม่รู้ว่าควรจะบอกให้จีอึนออกจากออฟฟิศเทลอย่างไรดี
แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับตอนนี้
“เมื่อกี้นํ้าเสียงไม่ค่อยดีเลย เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
ทันทีที่ยองฮุนถาม
สีหน้าฮยองจุนก็กลับมามืดมนอีกครั้ง
เขาหยิบเหล้าขวดหนึ่งที่วางเรียงไว้มาเทลงแก้วออนเดอะร็อคแล้วยกขึ้นดื่มก่อนตอบ
“เมื่อกี้พ่อเรียกฉันไปพบแล้วสั่งให้ไปเวียดนาม”
“เวียดนามเหรอครับ”
“ใช่ ตอนนี้ธนาคารชินยองเปิดสาขาในเวียดนามและเริ่มดำเนินธุรกิจในเชิงรุก
นายเองก็คงจะรู้ ตอนนี้ธุรกิจธนาคารในเกาหลีอิ่มตัวเกินไป
จำนวนประชากรประเทศเรากำลังลดลง จุดเด่นของแต่ละธนาคารก็เริ่มไม่ชัดเจน
การเติบโตถึงขีดจำกัดแล้ว”
“อา...”
“พอเบนความสนใจไปนอกประเทศ
ประเทศแรกที่น่าสนใจก็คือเวียดนามพวกเขามีประชากรร้อยล้านคน
ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวที่ทำงานหนัก
นอกจากนั้นซัมจอนอิเล็กทรอนิกส์ก็มีส่วนแบ่งอยู่เกือบสามสิบเปอร์เซ็นต์ของ GDP
เวียดนามดังนั้นถือว่าเป็นพันธมิตรกับเกาหลี แต่ด้านการเงินยังไม่พัฒนา
ที่นั่นจึงเป็นที่ที่เหมาะกับการขยายธุรกิจของพวกเรา”
“อย่างนั้นสินะครับ”
“เอาเป็นว่าบริษัทกำลังให้ความสำคัญกับเวียดนามมาก
แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ฉันไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของฉัน
เพราะคิดแค่ว่าคงจะวางแผนกลยุทธ์แล้วส่งแม่ทัพไปรบที่แนวหน้า ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะกลายเป็นแม่ทัพคนนั้น”
“พยายามกำจัดปัญหาสินะครับ”
ตอนเจอรองประธานใหญ่อีเซจุนครั้งแรกที่โรงแรมชิลลา
เขาก็มองออกทันทีว่าเป็นคนฝักใฝ่อำนาจ แม้จะรู้ว่าไม่ใช่ลูกของตัวเอง
แต่ก็ยังแสดงละครมานานกว่าสามสิบปีเพื่ออำนาจนั้น
พอเห็นว่าอีกฝ่ายหยิบค้อนมาถือไว้โดยไม่รอช้าแม้แต่นิดทันทีที่ลูกชายไม่แท้ทำตัวโดดเด่นราวกับเป็นพวกคมในฝัก
ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าความเด็ดเดี่ยวของอีเซจุนนั้นยอดเยี่ยมพอ ๆ กับความกระหายอำนาจ
“ฉันอุตส่าห์สั่งให้นายทำอะไรสักอย่างกับมาซอกแด
แต่ดูเหมือนคอฉันจะขาดซะก่อน เฮอะ...โธ่เว้ย...ชีวิตเฮงซวยจริง ๆ
ขึ้นปีใหม่แล้วมีที่ไหนดูดวงเก่ง ๆ บ้างนะ
อย่างน้อยฉันก็ควรไปดูศาสตร์การทำนายของโทจองปีนี้สักหน่อย”
“ผมไม่รู้เรื่องศาสตร์การทำนายของโทจองหรอกนะ
แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ถึงขั้นต้องยอมแพ้ครับ”
“แน่นอนว่าฉันไม่ได้ยอมแพ้...”
ฮยองจุนพูดอย่างนั้น แต่เมื่อเห็นว่าใบหน้าของยองฮุนไม่มีแววหดหู่เลยสักนิด
ทั้ง ๆ ที่ฟังเรื่องราวน่าสิ้นหวังขนาดนั้นมาจนถึงตอนนี้ ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย
“นายรู้ทางรอดชีวิตของฉันใช่ไหม”
บอกตามตรงยองฮุนไม่รู้เลยว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เร่งด่วนขนาดนี้
แม้ปีนี้อีฮยองจุนจะมีดวงเปลี่ยนงาน แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไร
เพราะดวงในการเลื่อนตำแหน่งค่อนข้างสูงกว่ามาก
นั่นคือเหตุผลที่เขาพูดถึงแต่ปัญหาเรื่องผู้หญิง
“อืม...ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ครับ”
“แสดงว่ามีหนทางใช่ไหม”
“ก็พอมีทาง...”
“ฮ่า ๆ ๆ! ไอ้บ้า! รู้ใช่ไหมว่าฉันชอบนาย
ดื่มสักแก้วก่อน”
ฮยองจุนหัวเราะเสียงดังพลางขยับมือรินเหล้าให้ยองฮุนอย่างวุ่นวาย
จากนั้นก็พูดขึ้น
“วันนี้ฉันสั่งให้เตรียมเหล้าดี ๆ ไว้ด้วย
คราวก่อนนายเลี้ยงเหล้าใช่ไหมทั้ง ๆ ที่ฉันเป็นคนบอกให้นายเลี้ยงเอง
แต่พอกลับบ้านไปก็ไม่สบายใจจนนอนไม่หลับมาตลอด กลัวว่านายอาจจะโดนบริษัทจับได้ว่ามารูดบัตรบริษัทในร้านคาราโอเกะ”
“งั้นเหรอครับ”
“แน่นอน
ถ้างั้น...ประธานซงอึนแชไม่ได้พูดอะไรใช่ไหม”
“โชคดีที่ไม่ได้เป็นอย่างนั้นครับ”
“ฮู่ว โล่งอกไปที กระดกทีเดียวเลย”
ยองฮุนฉีกยิ้มก่อนจะจิบเหล้าหนึ่งอึกแล้วพูด
“ก่อนอื่นผมมีเรื่องสงสัยอย่างหนึ่งครับ”
“เรื่องอะไร พูดมาตรง ๆ เลย”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ
แค่สงสัยเฉย ๆ ตอนรองประธานใหญ่บอกว่าจะส่งคุณไปเวียดนาม
กรรมการผู้จัดการรู้สึกยังไงบ้างครับ ความรู้สึกของรองประธานใหญ่ที่สัมผัสได้น่ะ”
“เป็นความรู้สึกแบบไหนน่ะเหรอ”
“ครับ”
ฮยองจุนครุ่นคิดเรื่องนั้นอย่างถี่ถ้วน
หลังผ่านไปสักพักก็ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มแล้วตอบ
“แน่วแน่มาก ถ้าเป็นช่วงก่อนฉันจะเจอนาย
ฉันอาจไปเวียดนามตามคำเขาโดยไม่ลังเลอะไรเลย”
“อย่างนั้นสินะครับ”
ยองฮุนพยักหน้า
ฝ่ายนั้นคือคนที่มีจิตใจเหมือนงู
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร
การต่อสู้ของกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุนครั้งนี้ดูท่าจะหินเอาเรื่อง
“ทำไม”
“เปล่าครับ
ผมไม่คิดว่าคำตอบที่จะให้ไปเป็นคำตอบที่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ
แค่คิดว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ของกรรมการผู้จัดการเพราะผมก็ไม่ใช่จูกัดเหลียงถูกไหมครับ”
“แหงอยู่แล้ว”
“บางทีนี่อาจไม่ใช่คำตอบที่กรรมการผู้จัดการต้องการก็ได้
ฟังแล้วอาจรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ช่วยไม่ได้ครับ”
“ไม่ต้องอ้อมค้อม รีบพูดมาเลย
ฉันอึดอัดจะตายแล้ว!”
เมื่อฮยองจุนทุบอกดังปึก ๆ
ยองฮุนก็เปิดปากพูดอย่างยากลำบาก
“คนที่ชื่อมาซอกแด
ไม่มีข้อบกพร่องเลยครับ”
“จริงเหรอ ไม่มีแม้แต่จุดเดียวเลยเหรอ”
“เขาเหมือนพวกบัณฑิตครับ
ถ้าจะบอกว่าไม่ชอบเงินก็ไม่ใช่อย่างนั้นแต่เขาเป็นคนที่ไม่มีทางข้ามเส้น
บางทีที่รองประธานใหญ่พยายามผลักดันอย่างมั่นอกมั่นใจขนาดนั้นอาจเป็นเพราะเห็นว่าเขาไร้ที่ติครับ”
“อะไรเนี่ย แล้วจะทำยังไงล่ะ”
“ผมบอกแล้วใช่ไหมครับว่าเขาเหมือนพวกบัณฑิต
เดิมทีแล้วการทำให้บัณฑิตพบเจอความลำบากด้วยการข่มขู่หรือใช้แผนการที่ไม่รอบคอบค่อนข้างยากครับ
แต่มีอยู่กรณีหนึ่งที่ทำให้พวกเขายอมศิโรราบได้”
“อะไร”
“แค่ข่มด้วยความสามารถก็จบครับ”
ฮยองจุนขมวดคิ้วเหมือนจะถามว่าหมายความว่ายังไง
“เดี๋ยว นี่ไม่ใช่การต่อสู้แบบตัวต่อตัวนะ
ไม่ใช่การสอบด้วย จะใช้ความสามารถอะไรมาแข่ง...”
พอพูดถึงตรงนี้ฮยองจุนก็เงียบไป
“จับทางได้แล้วเหรอครับ”
“หมายถึงให้ฉันสร้างประเด็นงั้นเหรอ”
“ถูกต้องครับ
กรรมการผู้จัดการแค่ต้องดึงผลประกอบการอันมหาศาลของธนาคารชินยองออกมาให้ได้
ก่อนจะถึงการประเมินบุคลากรประจำปี ถ้าเป็นอย่างนั้น
ต่อให้มาซอกแดขึ้นเป็นรองประธานธนาคารอย่างไร้ปัญหา
ในอนาคตเขาก็จะสนับสนุนกรรมการผู้จัดการ
แค่แสดงให้เขาเห็นว่าตัวเองไม่ได้ขึ้นนั่งตำแหน่งนี้เพราะสายเลือดของมหาเศรษฐีรุ่นสาม”
ฮยองจุนคิดเงียบ ๆ ผ่านไปครู่หนึ่งก็พูดขึ้น
“เดี๋ยว
เดี๋ยวก่อน...ฉันเข้าใจเรื่องนั้นนะ
แต่ไหนนายบอกว่าฉันมีทางรอดไงถึงเปิดตัวอย่างอลังการแบบนั้นก็ต้องไปเวียดนามอยู่ดีไม่ใช่เหรอ”
“ถ้าเป็นประเด็นที่ขาดกรรมการผู้จัดการไม่ได้ล่ะครับ”
“มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ นี่
ไม่มีงานของบริษัทใหญ่ไหนที่ฉันแก้ปัญหาได้คนเดียวหรอกนะ
ถึงทุกคนจะบอกว่าบริษัทตัวเองจะเดินต่อไม่ได้ถ้าไม่มีฉันแต่พอเอาเข้าจริงต่อให้ไม่มีก็เห็นไปได้ดีกันทั้งนั้น”
“โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนครับ
ถ้าไม่มีข้อยกเว้นจะสนุกอะไร”
“แล้วสรุปมันคืออะไร”
“สัญญาการเข้าร่วมกลุ่มอุตสาหกรรมของอู่ต่อเรือกุนซานกำลังจะสิ้นสุดลงครับ
ถ้าจะพูดให้ชัดเจนกว่านี้ก็คือไม่สามารถขยายสัญญาได้”
“นายพูดถึงเรื่องอะไร”
“อู่ต่อเรือขนาดใหญ่ที่สุดของเกาหลี
ตั้งอยู่บนที่ดินอันกว้างใหญ่ที่หมดสัญญาเช่าพื้นที่
จะเลือกธนาคารชินยองเป็นผู้ดูแลการซื้อขายครับ เอาให้ชัดกว่านี้ก็คือตั้งใจจะมอบหมายหน้าที่นี้ให้กรรมการผู้จัดการนั่นแหละครับ
มูจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์คงจะปฏิเสธไม่ได้
เพราะไม่อย่างนั้นก็ต้องขายเครื่องมือราคาแพงพวกนั้นในราคาไม่คุ้มทุนด้วยซํ้า
ถ้ากรรมการผู้จัดการคว้างานนี้แล้วตั้งตัวเป็นศูนย์กลางในการจัดการมัน
ก็ไม่จำเป็นต้องไปเวียดนามแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“เฮอะ...นี่ ใครจะซื้อซากเหล็กนั่น”
“พวกผมเอง ฮยอนจินการผลิตจะซื้อครับ”
ฮยองจุนกลืนนํ้าลายดังเอื๊อก
บทที่ 99 การต่อสู้ของกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุน
(4)
“ก่อนหน้านี้ที่บอกว่า เตรียมบางอย่างเกี่ยวข้องกับอำนาจการเมือง ก็คือเรื่องนี้งั้นเหรอ”
“ใช่ครับ”
ฮยองจุนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
แล้วก็รู้สึกว่าคำพูดเมื่อกี้ของยองฮุนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
“เดี๋ยว ฮยอนจินการผลิตจะซื้องั้นเหรอ
ไม่ใช่ฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์”
“ครับ”
“ขนาดได้ฟรียังขาดทุนด้วยซํ้า แต่นี่ต้องใช้เงินอย่างน้อยหลายแสนล้านเลยไม่ใช่เหรอ
นายพยายามจะทำอะไรกันแน่”
“ผมจะเข้าร่วมการซื้อกิจการแฮจูชิปบิลดิ้งแอนด์มารีนด้วยครับ”
ฮยองจุนสบตายองฮุนพลางอ้าปากค้าง
ครู่หนึ่งถึงหันไปรินเหล้าดื่มอีกครั้งจากนั้นก็ลูบแก้วจมอยู่กับความคิด
เขากำลังคำนวณอย่างจริงจัง
ยองฮุนรอเงียบ ๆ
ให้อีกฝ่ายจัดการความคิดให้เรียบร้อย
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ
“นายร่วมมือกับใคร”
“สส.โจแจมิน
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะลงสมัครเลือกตั้งซ่อมนายกเทศมนตรีเมืองกุนซานครั้งนี้ครับ”
“เขตเลือกตั้งเขาคือกวางจูใช่ไหม
ว่าแต่คนลงสมัครไม่ใช่ลูกสมุนของคังจูวอนหรอกเหรอ”
“สนใจเรื่องการเมืองด้วยเหรอครับ
รู้เรื่องพวกนี้หมดเลย?”
“แค่นั้นเป็นความรู้พื้นฐานน่า
จะเข้าไปในสวนหน้าบ้านของคังจูวอนเนี่ยนะ ได้รับอนุญาตแล้วเหรอ
เขาว่ากันว่าถ้าคิดจะเอาเสาเข็มสักต้นมาตอกในกุนซาน
ก็ต้องได้รับอนุญาตจากคังจูวอนก่อนนี่นา”
“ไม่รู้เหรอครับว่า
สส.คังจูวอนกำลังถูกอัยการสอบสวน”
“นักการเมืองถูกอัยการสอบสวนไม่ใช่เรื่องใหญ่
ปกติพอถึงเวลาพวกเขาก็ต้องรับการสอบสวนจากอัยการเหมือนเป็นงานประจำปีอยู่แล้ว
เดี๋ยวเวลาผ่านไปเรื่องก็เงียบ นักการเมืองที่ถูกสอบสวนน่ะจะได้รับการคุ้มครอง
เพราะทุกคนเป็นเพื่อน เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันหมด
นายเคยเห็นผู้พิพากษากับอัยการลงโทษคนใกล้ชิดบ้างไหมล่ะ”
“คราวนี้จะไม่เหมือนเดิมครับ”
“แน่ใจ?”
“ครับ”
ฮยองจุนพยักหน้าแล้วพูด
“คราวนี้โดนจับได้แน่สินะ...งั้นถ้าโจแจมินได้กุนซาน
แล้วนายได้อะไร”
“ก็ได้คอนโดเขตบงซอนแล้วไงครับ”
“อ้อ…อันนั้นเหรอ บ้าเอ๊ย
ทำมาหากินได้ถูกทางมากเลยนะเนี่ย”
ความจริงนอกจากเรื่องนั้นแล้วก็ยังมีอีกหลายเรื่อง
แต่ไม่จำเป็นต้องพูดถึง
“แค่บังเอิญน่ะครับ”
“ถ้างั้นก็วางแผนจะเอาอู่ต่อเรือกุนซานไปเตรียมหาเสียงเลือกตั้งใช่ไหม”
“ถูกต้องครับ”
“เฮอะ...ทีนี้การเลือกตั้งซ่อมนายกเทศมนตรีเมืองกุนซานที่เมืองหลวงไม่คิดสนใจ
ก็จะกลายเป็นประเด็นหลักในการเลือกตั้งทั่วไปสินะ
เจ้าตัวก็จะกลายเป็นนักการเมืองที่มีชื่อเสียงระดับประเทศในครั้งเดียวด้วย”
“นั่นคือเป้าหมายครับ”
“ดังนั้น สส.โจแจมินก็เลยตั้งปณิธานอย่างแรงกล้าว่าจะเปิดกิจการอู่ต่อเรือกุนซานอีกครั้ง
แล้วก็พลิกฟื้นเศรษฐกิจของกุนซาน...ปกติเขาเป็นคนใจเด็ดขนาดนั้นเลยเหรอ
ไม่ใช่แผนจากสมองนายหรือไง”
“ผมแค่โยนคำใบ้ให้เท่านั้นครับ”
“นั่นไง
นักการเมืองระดับล่างไม่มีทางวาดภาพใหญ่ขนาดนั้นได้โดยไม่มีนักธุรกิจคอยช่วยอยู่แล้ว
เยี่ยม เรื่องนั้นโอเค ถ้ามั่นใจว่าสัญญาการเข้าร่วมกลุ่มอุตสาหกรรมกำลังจะหมดอายุ
มูจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ก็คงต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
จะขอต่อสัญญาแล้วเปิดกิจการอย่างไม่มีเงื่อนไข หรือจะยอมขายทิ้ง”
“ใช่ครับ”
“ถ้าเลือกเปิดกิจการอย่างไม่มีเงื่อนไข
การซื้อกิจการแฮจูชิปบิลดิ้งแอนด์มารีนก็จบสินะ
เพราะถ้ามีกำลังพอจะซื้อแฮจูชิปบิลดิ้งแอนด์มารีนแล้วยังจะเปิดอู่ต่อเรือกุนซานด้วย
ที่เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่ากำลังไม่พอก็จะกลายเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด
ความจริงแค่จ้างคนเป็นพัน ๆ อีกรอบก็เกินกำลังแล้วดังนั้นมูจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์เลือกทางนี้ไม่ได้
เพราะพวกเขาอุตส่าห์อดทนยอมทำลายเศรษฐกิจท้องถิ่นมาเกือบสามปี
ถ้าเป็นอย่างนี้การขายทิ้งก็น่าจะเป็นเรื่องแน่นอน แต่พวกเขาจะเรียกเงินเท่าไหร่”
“ผมรู้มาว่าต้นทุนการก่อสร้างอยู่ที่ประมาณหนึ่งล้านล้านวอนนะครับ”
“ถ้าคิดจะเรียกเต็มจำนวนก็สันดานโจรแล้ว
นั่นเป็นการขายอู่ต่อเรือที่ไม่มีใครเหลียวแลนะ อย่างที่พูดเมื่อกี้
สักเจ็ดแสนล้านน่าจะโอเคไม่ใช่เหรอแต่บริษัทที่ดูแลการซื้อขายก็ต้องจัดการซื้อขายให้เร็วที่สุดแทน
เพราะการขายภายในสามเดือนหลังจากประกาศขายจะต้องวางรายการค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมด้วย
ฉันขอกินสักแสนล้านได้ใช่ไหม”
“ตามสบายครับ
เพราะนั่นคือวิธีสร้างความประทับใจให้ท่านประธานใหญ่แล้วก็พวกผู้บริหารกับพนักงานนี่นา”
“ถ้าฉันคิดจะเอาชีวิตรอด
ก็ต้องเอานายออกแล้วให้ฉันกลายเป็นตัวเอกแทน โอเคหรือเปล่า”
“ผมไม่อยากเป็นคนดังอยู่แล้วครับ”
“หึ
ๆ...งั้นหมายความว่าให้ฉันออกหน้าบัญชาการได้เลยสินะ”
“ถูกต้องครับ”
“สส.โจแจมินล่ะ”
“ผมจะประสานงานให้เองครับ”
“กู๊ด แล้วไกด์ไลน์?”
ยองฮุนดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วจัดการความคิดครู่หนึ่ง
จากนั้นก็พูด
“ข้อแรก ระหว่างดำเนินการซื้อขาย กรรมการผู้จัดการไม่ควรเผยแพร่ข่าวที่ไม่เอื้อต่อการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีต่อสื่อครับ
เพราะการชนะการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองกุนซานของ
สส.โจแจมินเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของโปรเจกต์นี้”
“ให้ก้าวไปพร้อมกับ สส.โจแจมินสินะ
ฉันจะจำไว้ แล้วอะไรอีก”
“ข้อสอง ต่อให้สุดท้ายจะดึงราคาได้
แต่อู่ต่อเรือกุนซานก็ต้องเป็นของฮยอนจินการผลิตครับ”
“จะกินเงินเพิ่มก็ได้
แต่อย่าหักหลังกันใช่ไหม ไม่ต้องห่วง ฉันก็ไม่ได้โง่นะ”
“ข้อสาม ผมรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่เมื่อทุกอย่างเริ่มต้นแล้ว ไม่ว่าจะเกิดตัวแปรอะไรระหว่างทางก็ตาม ผลลัพธ์จะต้องไม่เปลี่ยนแปลงครับ
ถ้าเกิดอุปสรรคภายใน กรรมการผู้จัดการจะต้องจัดการเองนะครับ
แน่นอนว่าต่อให้มีการต่อต้านเรื่องทางธนาคารชินยองเข้ามาช่วยเหลือฮยอนจินการผลิตให้มีเงินสดหมุนใช้
กรรมการผู้จัดการก็ต้องช่วยรับผิดชอบด้วยครับ”
“นั่นก็เป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว”
“ข้อสุดท้าย
ต้องแชร์ข้อมูลกันอย่างชัดเจนครับ”
“ขอบเขตถึงตรงไหน”
“ทุกอย่างนอกเหนือจากราคาครับ”
“อืม...โอเค”
ยองฮุนยิ้มกว้างแล้วจิบเหล้า
“เยี่ยมเลยครับ”
“ฉันจะจัดการเรื่องนี้ได้เมื่อไหร่
เพราะถ้าจัดการช้า ฉันอาจถูกฝ่ายบุคคลประทับตราลงเอกสารสั่งย้ายโดยที่ไม่มีสิทธิ์อ้าปากแย้งอะไรได้ซะก่อน”
“ผมจะนัดพบ สส.โจแจมินเร็ว ๆ นี้ครับ
พอปรึกษาหารือเสร็จแล้ว กรรมการผู้จัดการก็แจ้งประธานใหญ่
แล้วหลังจากนั้นก็เดินหน้าพร้อมกับ สส.โจแจมินได้เลยครับ”
“นายล่ะ”
“ผมต้องไปพบประธานธนาคารเพื่อการพัฒนาครับ”
“บ้าเอ๊ย...สงสารพวกมูจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์เลย...”
ฮยองจุนหัวเราะคิกคักแล้วกระดกเหล้าดื่ม
จากนั้นพวกเขาก็นั่งพูดคุยเรื่อยเปื่อยกันต่อสักพักก่อนยองฮุนผู้ไม่ชอบดื่มเหล้าจะขอตัวกลับ
ผ่านไปไม่นานนักกรรมการผู้จัดการใหญ่คังจูฮยอนก็เข้ามา
“เรียกหาผมเหรอครับ”
“นั่งสิครับ”
“ครับ”
กรรมการผู้จัดการใหญ่คังจูฮยอนค้อมศีรษะเดินเข้ามาอย่างนอบน้อมออกอาการประหม่าเล็กน้อยเพราะสัมผัสได้ว่าบรรยากาศไม่ปกติ
“รู้หรือเปล่าครับว่าพ่อจะส่งผมไปเวียดนาม”
กรรมการผู้จัดการใหญ่คังตกใจมาก
“ครับ? ผมไม่ได้ยินมาก่อนเลยครับ”
กรรมการผู้จัดการใหญ่คังจูฮยอนเปรียบเสมือนมือขวาของรองประธานใหญ่อีเซจุน
และตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
แต่พ่อกลับเรียกพบเขาโดยตรงและกล่าวถึงเวียดนามทันที
ก่อนที่เรื่องจะถึงหูกรรมการผู้จัดการใหญ่คังงั้นเหรอ
ฮยองจุนหาเหตุผลเรื่องนี้ได้สองข้อ
“คุณทำงานอย่างซื่อสัตย์ใช่ไหมครับ”
“ขอโทษครับ
แต่ผมไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องไปเวียดนามจริง ๆ
ความจงรักภักดีของผมที่มีต่อกรรมการผู้จัดการยังเหมือนเดิมครับ”
“พูดจริงเหรอครับ”
“แน่นอนครับ”
งั้นก็เหลือแค่ข้อเดียว
ในที่สุดพ่อก็พยายามรักษาระยะห่างกับคนใกล้ชิดของตัวเองแล้ว
ตอนนั้นเขาก็ฉุกคิดขึ้นมาอีกครั้งว่า
คำพูดของพ่อที่กล่าวถึงเขาต่อหน้าคณะกรรมการบริหารมีความหมายว่าอย่างไร
แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด
แต่เรื่องที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้บางส่วนต้องถึงหูพ่อแล้วแน่นอน
“ช่วงนี้พ่อพบกับใครบ้างหรือเปล่าครับ”
“หมู่นี้นัดพบกับประธานธนาคารโจอุงจินบ่อยครับ”
“หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประธานธนาคารโจอุงจินด้วยครับ”
“รับทราบครับ”
“แล้วก็มาซอกแด
ผู้เข้าชิงตำแหน่งรองประธานธนาคารที่กำลังจะเข้าบริษัทเราครั้งนี้...ไม่ว่ายังไงก็ปล่อยไว้ไม่ได้ครับ”
ถึงยองฮุนจะบอกว่าอีกฝ่ายมีแนวโน้มเป็นบัณฑิตผู้เถรตรง
ให้ใช้ความสามารถข่มก็พอ ทำแค่นั้นตัวยองฮุนอาจจะสบายใจแล้ว แต่เขาไม่ใช่
“จะทำยังไงครับ”
“เห็นว่าครอบครัวเขาอยู่อเมริกาเหรอครับ”
“ครับ ใช่ครับ”
“ช่วงนี้เขาพักอยู่ที่ไหนครับ”
“พักอยู่ที่โรงแรมจนกว่าจะได้รับการแต่งตั้งครับ
ดูเหมือนว่ารอให้การแต่งตั้งเรียบร้อยก่อนแล้วค่อยหาบ้านนะครับ”
ฮยองจุนครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะรีบเรียกหญิงสาวพนักงานร้านคนสนิทมา
“ทำไมเหรอคะพี่”
“เธอนั่งลงแป๊บหนึ่ง”
เมื่อเธอเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ
ฮยองจุนก็พูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“มีเด็กร้อนเงินไหม
เลือกคนที่กล้าได้กล้าเสียแล้วก็เก็บความลับได้มาคนหนึ่ง จะให้สร้างเรื่องหน่อย”
“จะจัดการใครเหรอ”
“เธอไม่ต้องรู้หรอก”
“ไม่ใช่เรื่องอันตรายใช่ไหม”
“ไม่ใช่ แค่คนธรรมดา เป็นนักวิชาการ
ต้องบอกว่าคล้าย ๆ อาจารย์ไหมนะแค่ทำให้อับอายอย่างเดียวก็พอ”
“อ๋อ ถ้างั้นก็โอเค...เด็ก ๆ
ที่นี่ก็ร้อนเงินกันทั้งนั้น เด็กสวย ๆ ร้อนเงินมีเยอะแยะ”
“เลือกมาคนหนึ่งแล้วติดต่อผู้ชายคนนี้”
“โอเค”
หลังจากหญิงสาวออกไป
ฮยองจุนก็พึมพำสีหน้าเย็นชา
“เห็นเขาว่าเป็นบัณฑิต
ไหนดูซิว่าระหว่างที่กลิ้งอยู่บนกองขี้หมา จะยังรักษาท่าทีสูงส่งไว้ได้ไหม”
ประธานอิมจีอึนกุมขมับอย่างเคร่งเครียด
“ต้องเป็นแบบนี้จริง ๆ เหรอ”
“ทางกองทุนเมดิสันเริ่มกว้านซื้อแล้ว
เราต้องแลกหุ้นที่น้าสะใภ้ถืออยู่มาก่อนถึงจะวางใจได้ครับ”
แทมินปลอบผู้เป็นแม่
“อูมยองกรุ๊ปบอกว่าจะช่วยนี่นา”
“แม่เชื่อเรื่องนั้นเหรอครับ แน่นอนว่าปากก็พูดว่าจะเป็นอัศวินขาว
แต่พวกเขาเองก็วิ่งเข้ามาเพื่อขอกินสักคำนั่นแหละ ยิ่งไปกว่านั้น
จากมุมมองของอูมยองกรุ๊ป
พวกเขาอาจต้องการฮยอนจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ที่มีเรือเดินสมุทรกับแท่นขุดเจาะก็ได้ครับ”
“ทั้ง ๆ
ที่ยากลำบากกันมาถึงขนาดนี้น่ะเหรอ”
“ตอนนี้กำลังดีขึ้นไงครับ ในทางกลับกัน
พอผ่านระยะยากลำบากมาแล้วอู่ต่อเรือหลายแห่งทางฝั่งจีนที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขันก็เจ๊ง
กิจการอู่ต่อเรือญี่ปุ่นที่มีฝีมือด้าน LNG ก็มีแนวโน้มอ่อนแอลงเหมือนกัน
ถ้าอย่างนั้นก็มองได้ว่าตอนนี้เราผ่านการแข่งขันดุเดือดมาได้ครั้งหนึ่งแล้ว
ถึงฤดูหนาวจะยังไม่จบ แต่มองสถานการณ์โดยรวมแล้ว
ก็เห็นแค่ภาพทิวทัศน์สว่างสดใสรออยู่ข้างหน้าครับ”
“ไม่ว่าจะที่ไหน ๆ
ก็มีหมาป่าพยายามจะกัดกินบริษัทเราเต็มไปหมด แม้แต่ญาติพี่น้องก็ยังเชื่อใจไม่ได้
สิ่งเดียวที่เชื่อได้ก็คือเงิน”
“แม่พูดถูกครับ เราไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นก็เลยต้องรักษาสิทธิ์ในการบริหารอย่างรอบคอบโดยการแลกเปลี่ยนหุ้น
ตอนนี้คณะกรรมการบริหารสนับสนุนผมแน่นอนแล้ว ดังนั้นขอแค่ได้หุ้นของน้าสะใภ้มา
ไม่ว่าจะเป็นกองทุนบริหารความเสี่ยงหรืออูมยองกรุ๊ป
พวกเขาจะไม่มีวันได้สิ่งที่ต้องการเด็ดขาดครับ”
แทมินมั่นใจ
และขณะเดียวกันไฟในการต่อสู้ก็กำลังลุกโชน
เมื่อเห็นพวกนั้นกล้าวิ่งเข้ามาแย่งของของตนอย่างเปิดเผย
ในหัวก็เต็มไปด้วยความคิดว่าจะตลบหลังอย่างไรดี
ในเวลานั้นโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
แทมินหยิบโทรศัพท์มือถือแล้วสวมเสื้อนอกพลางพูด
“จูยอนคงจะมาแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ทำตัวดี ๆ ล่ะ”
“เฮ้อ ไม่ต้องห่วง...”
พอลงมาก็เห็นสาวสวยผอมเพรียวนั่งไขว่ห้างอยู่ด้านหนึ่งของล็อบบี้พลางมองออกไปด้านนอก
“มาแล้วเหรอ คุณแม่ล่ะ”
หญิงสาวหันหน้ามาก่อนจะหยิบกระเป๋าแบรนด์เนมใบเล็กเท่าฝ่ามือแล้วลุกขึ้น
“แม่ไม่ได้มาที่นี่ค่ะ อยู่ที่โรงแรม
คุณตาเป็นยังไงบ้างคะ”
“ยังไม่ฟื้นเลย”
“อืม...ออกไปข้างนอกกันก่อนดีไหมคะ”
เธอเป็นผู้หญิงมีเสน่ห์ที่สูงถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร
และสวยมากถึงขั้นถ้าบอกว่าเป็นนางแบบก็เชื่อ
ตอนแรกแทมินต้องการเธอก็เพราะครอบครัวของหญิงสาว
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารูปลักษณ์เธอตรงกับสเป็กเขาจริง ๆ
ถึงแม้ว่าการที่ลูกชายปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดคิดจะทำให้เรื่องวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย
แต่ไม่ว่าอย่างไรฮันจูยอนก็เป็นผู้หญิงที่เขาต้องคว้าไว้ให้ได้
ฮันจูยอนเดินออกจากล็อบบี้ของโรงแรมพร้อมเอ่ยถาม
“ตอนนี้จะทำยังไงต่อคะ”
“เราอาจต้องแต่งตั้งรองประธานใหญ่ในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งต่อไปฉันจะนั่งตำแหน่งนั้น”
“พ่อฉันกังวลมากค่ะ”
“เพราะกองทุนเมดิสันเหรอ”
“เพราะเกิดความผิดพลาดค่ะ”
ความผิดพลาดที่หญิงสาวพูดถึงคือการสูญเสียฮยอนจินการท่องเที่ยว
นั่นเป็นแส้ลงทัณฑ์ที่สาหัสสากรรจ์จากการตัดสินใจผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้น
“เป็นความผิดพลาดจริง ๆ นั่นแหละ
แต่แค่ครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว”
“ถูกต้องค่ะ
คุณไม่ใช่คนทำพลาดซํ้าสองใช่ไหมคะ”
“ใช่”
ไม่รู้เป็นเพราะโดนลมหนาวหรือเปล่า แก้มขาว
ๆ ของฮันจูยอนถึงเปลี่ยนเป็นสีแดง
ภาพที่เห็นดูงดงามมากจนแทมินมองค้างราวกับตกอยู่ในภวังค์
หญิงสาวมองออกไปไกล ๆ แล้วพูดขึ้น
“ฉันขอโทษที่ต้องพูดแบบนี้
แต่พ่อบอกว่าฉันควรจะหาคู่แต่งงานใหม่ค่ะ”
“ฉันเข้าใจ แบบนั้นก็สมควรแล้ว”
“ขอบคุณที่ยอมเข้าใจนะคะ
แต่ฉันบอกว่าฉันเชื่อคุณ พ่อก็เลยเคารพความคิดของฉันค่ะ”
แทมินคิดว่าต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
เพราะถ้าไม่ใช่อย่างนั้น
วันนี้คงต้องเป็นการอำลาแน่นอน
การที่เขายังไม่คิดจะยอมแพ้เรื่องผู้หญิงคนนี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและเป็นโชคดีสำหรับแทมิน
“ฉันต้องขอบคุณหรือเปล่า”
“อย่าพูดว่าขอบคุณหรือขอโทษเลยค่ะ
เพราะฉันหวังว่าผู้ชายของฉันจะไม่ใช่คนที่ก้มหัวให้ใครง่าย ๆ ขนาดนั้น”
“นั่นสินะ”
“การประชุมผู้ถือหุ้นคราวนี้พวกเราให้ความช่วยเหลือไม่ได้นะคะ
ดูเหมือนพ่อคิดจะใช้วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสในการประเมินคุณ”
“เยี่ยมเลย ปกติเวลามีผู้ชมเยอะ ๆ
ก็ยิ่งต้องแสดงความสามารถของตัวเองออกมา
เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเรามีความสามารถจริง ๆ
บอกให้เขาดูให้ดีล่ะว่าฉันจะผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ยังไง”
ใบหน้าฮันจูยอนปรากฏรอยยิ้มเป็นครั้งแรก
เดิมทีเธอเป็นผู้หญิงที่สวยอยู่แล้ว พอยิ้มก็ไม่ด้อยไปกว่าพวกดาราแม้แต่น้อย
เธอสวยพอ ๆ กับยอนฮีที่ผู้คนประเมินกันว่าภาพลักษณ์ดูดีกว่าดารา
“ฉันจะตั้งตารอค่ะ”
“ฉันจะใช้โอกาสนี้ทำให้ทุกคนได้รู้
ว่าฉันเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในเกาหลี”
แทมินยิ้มอย่างมั่นใจเต็มที่
ฮันจูยอนเองก็รู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น
เพราะคิดว่าอย่างน้อยผู้ชายที่ตัวเองเลือกก็ควรมีความกล้าหาญประมาณนี้
บทที่ 100 การต่อสู้ของกรรมการผู้จัดการอีฮยองจุน
(5)
น่าประหลาดใจ ที่อีฮยองจุนขับรถจากกุนซานกลับโซลโดยมียองฮุนนั่งอยู่ข้าง ๆ
เดิมทียองฮุนต้องการแยกกันเดินทาง
แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้คนในบริษัทรู้ความเคลื่อนไหวของตัวเอง เลยปฏิเสธข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการที่บอกว่าจะส่งคนขับรถมาให้
อย่างไรก็ตาม
การออกไปไหนมาไหนกับยอนฮีทุกวันก็ดูไม่ค่อยเหมาะเท่าไร
ดังนั้นเขาจึงตั้งใจว่าจะลงไปกุนซานคนเดียว แต่ฮยองจุนก็ติดต่อมาว่าให้ไปด้วยกัน
ฮยองจุนก็ขับรถไปเองเพราะไม่ไว้ใจคนขับรถ
ฮยองจุนกับ สส.โจแจมินพบกันที่กุนซานและพูดคุยกันเป็นอย่างดี
เป็นเรื่องธรรมดาที่ สส.โจแจมินจะชอบใจ
เมื่อได้ยินผู้จัดการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ของธนาคารยักษ์ใหญ่ระดับหนึ่งในสามอันดับแรกของเกาหลีบอกว่าจะเป็นคนรับผิดชอบโปรเจกต์นี้เอง
ในขณะเดียวกัน
แม้ฮยองจุนจะเคยคิดว่าอีกฝ่ายเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท้องถิ่นที่ไม่ค่อยมีอะไรพิเศษ
แต่พอเห็นสง่าราศีที่เหนือความคาดหมายของ สส.โจแจมินแล้ว
เขาเองก็มั่นใจกับโปรเจกต์นี้มากขึ้น
“จะทำได้ใช่ไหมครับ”
“แน่นอน ฉันจะเจรจากับปู่ตอนพ่อไม่อยู่”
“แต่...”
“อะไร”
ยองฮุนมองหน้าฮยองจุนที่กำลังจดจ่อกับการขับรถสักพักก่อนพูดต่อ
“ไม่ทราบว่ามีความคิดเรื่องอื่นอีกหรือเปล่าครับ”
“หือ? หมายถึงอะไร”
รู้สึกได้ว่าโหงวเฮ้งเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ชนิดที่ว่าถ้าไม่ได้มองอย่างละเอียดก็คงไม่สังเกตเห็น
และเขาก็เกือบจะมองไม่ออก
แต่จะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรดี
“ต้องวางตัวให้ดีนะครับ”
สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดแบบนี้
“อยู่ดี ๆ ก็พูดเพ้อเจ้ออะไรเนี่ย”
“นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญครับ ระวังผู้หญิง
ระวังคำพูด ห้ามลืมเด็ดขาดนะครับ”
ฮยองจุนรู้สึกเจ็บจี๊ดในใจขึ้นมาชั่วขณะ
เพราะสงสัยว่ายองฮุนรู้เรื่องที่ตัวเองคุยกับกรรมการผู้จัดการใหญ่คังเมื่อวานหรือเปล่าถึงได้พูดอย่างนั้น
“แน่น้อน แหงอยู่แล้ว”
“ผมคิดว่ากรรมการผู้จัดการคงจะทำได้ดีครับ
แต่บางทีอาจจะเจอความยุ่งยากในภายหลัง
เพราะความผิดพลาดบางอย่างที่ตัวเองนึกไม่ถึง”
“รู้แล้วน่า ฉันจะระวังตัว”
ฮยองจุนถูกจี้เรื่องเดิม ๆ
จนไม่อาจโต้แย้งอะไรได้
พอขับรถจากกุนซานมาถึงสะพานฮันนัมซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของทางด่วนกยองบูก็เป็นเวลาหกโมงสี่สิบนาทีแล้ว
ฮยองจุนส่งยองฮุนแล้วก็ตรงกลับบ้านทันที
ตอนแรกกะว่าจะไปส่งถึงยออึยโด
แต่ยองฮุนปฏิเสธแล้วบอกว่านัดเดตกับยอนฮีที่ย่านอีแทวอน เขาก็เลยไม่เซ้าซี้ต่อ
“กลับมาแล้วครับ”
คฤหาสน์ของประธานใหญ่อีคยองโฮตั้งอยู่ในโครงการบ้านเดี่ยวสุดหรูย่านฮันนัม
รักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาด้วยการสร้างกำแพงสูงและติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้จำนวนมาก
เนื่องจากครอบครัวใหญ่อาศัยอยู่ด้วยกันที่นี่ทั้งหมด
ฮยองจุนจึงอึดอัดทุกครั้งที่อยู่บ้าน
เมื่อก่อนเขาแค่หงุดหงิดเพราะคิดอย่างไร้เดียงสาว่าไม่อาจเล่นสนุกในบ้านได้
แต่ตอนนี้เขาไม่อยากเห็นหน้าพ่อ เพราะอย่างนั้นถ้าไม่มีเหตุจำเป็นก็จะไม่รีบกลับ
อย่างไรก็ตาม วันนี้มีเรื่องสำคัญต้องพูด
เขาจึงกลับมาบ้านตั้งแต่ช่วงคํ่า
“อุ๊ยตาย ทำไมแกกลับมาเวลานี้ได้ล่ะเนี่ย”
แม่ที่กำลังนั่งคุยกับพวกน้อง ๆ
อยู่ในห้องนั่งเล่นเบิกตากว้าง
เมื่อเห็นถุงแบรนด์เนมกองพะเนินอยู่บนโต๊ะ
ฮยองจุนก็รู้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายคงไปเหมาซื้อในห้างสรรพสินค้าที่ไหนสักแห่งมาอีกตามเคย
“แค่กลับเร็วน่ะครับ”
“หิวแล้วใช่ไหม ป้า! ฮยองจุนกลับมาแล้ว
ทำซี่โครงตุ๋นที่ฮยองจุนชอบให้หน่อยนะคะ”
แม่ตะโกนเรียกป้าแม่บ้าน
แน่นอนว่าผู้หญิงในบ้านหลังนี้มือไม่เคยโดนนํ้าสักหยด[1] ดังนั้นตั้งแต่ตอนเขายังเด็ก ทุกครั้งที่เปลี่ยนป้าแม่บ้าน
รสชาติของอาหารที่ฮยองจุนชอบก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป
โชคดีมากที่ป้าแม่บ้านคนนี้รสมือดี
อย่างน้อยก็ทำให้ฮยองจุนพอใจกับรสชาติของข้าวที่บ้านมากทีเดียว
“คุณปู่ยังไม่กลับใช่ไหมครับ”
“เพิ่งกลับมาเมื่อกี้
น่าจะอยู่ในห้องหนังสือนะ เข้าไปทักทายสิ”
“โอเคครับ”
ฮยองจุนเข้าไปในห้องหนังสือทันที
“คุณปู่ ผมกลับมาแล้วครับ”
“อ้าว? กลับมาเร็วเชียว”
“ครับ
วันนี้ตั้งใจจะมากินข้าวเย็นกับคุณปู่ก็เลยกลับมาเร็วครับ”
“โอ้ งั้นเหรอ ดีเลย
ช่วงนี้งานบริษัทเป็นยังไงบ้าง”
“กำลังตั้งใจทำงานอยู่ครับ
อาจเป็นเพราะผมเพิ่งย้ายจากชินยองหลักทรัพย์ฯมาธนาคาร
ก็เลยต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับผู้บริหารและพวกพนักงาน
แต่ผมก็พยายามพูดคุยกับพวกเขาบ่อย ๆ อยู่ครับ”
“ต้องอย่างนี้สิถึงจะเป็นหลานชายฉัน
ถ้าเอาแต่ถือตัวอวดเก่งก็ต้องโดนพวกพนักงานติฉินนินทาเป็นธรรมดา แต่ถ้าค่อย ๆ
ทำความรู้จักคุ้นเคยกันไปเรื่อย ๆ คนเหล่านั้นก็จะกลายเป็นสมบัติของแกเอง”
“ผมจะจำใส่ใจไว้ครับ”
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาสิ”
“ครับ”
ฮยองจุนเปิดประตูออกไปอย่างระมัดระวังแล้วเดินขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
ไม่รู้เพราะตื่นเต้นเกินไปหรือเปล่า
เขาถึงรู้สึกว่ามือสั่นเล็กน้อยขณะถอดเสื้อ
เมื่อเปลี่ยนเป็นชุดสบาย ๆ แล้วลงมา
ก็สบตากับรองประธานใหญ่อีเซจุนที่เดินเข้าประตูมาพอดี
เวรเอ๊ย...
เป็นสถานการณ์ที่อดสบถไม่ได้จริง ๆ
เขาอุตส่าห์พยายามตัดหน้าด้วยการกลับบ้านเร็วกว่าปกติเพื่อพูดกับปู่แต่ไม่คิดว่าวันนี้พ่อจะกลับบ้านเร็วเหมือนกัน
ฮยองจุนปั้นหน้ายิ้มให้
“กลับมาแล้วเหรอครับ”
“แกกลับเร็วนี่”
“ครับ
ตั้งใจจะกลับบ้านเร็วมากินข้าวกับครอบครัวสักครั้งน่ะครับ”
“ดีมาก”
รองประธานใหญ่อีเซจุนพยักหน้าแล้วเข้าไปในห้องนั่งเล่นหลังทักทายภรรยาเหมือนปกติ
แต่ฮยองจุนรู้สึกได้ถึงบางอย่างในสายตาของเขาขณะเดินผ่าน
หลังจากยืนคิดอยู่สักพักก็ตระหนักได้ว่าคืออะไร
นั่นคือความระแวง
ระแวดระวังอย่างชัดเจน
เขาขนลุกและแข้งขาอ่อนแรง
รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นสัตว์กินพืชที่ถูกสัตว์ร้ายไล่ล่า
ถึงจะรู้แน่ชัดอยู่แล้ว
แต่พอสัมผัสได้ด้วยตัวเองอีกครั้งว่าอีกฝ่ายจับตามองกันอยู่จริง ๆ ก็อดหวาดวิตกไม่ได้
ฮยองจุนทำสีหน้าหนักใจแล้วฝังตัวอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น
ระหว่างดูข่าวโดยที่ไม่มีอะไรผ่านเข้าสู่สมองด้วยซํ้า
ป้าแม่บ้านก็เดินเข้ามาบอกว่าถึงเวลากินข้าวแล้ว
คิดว่าปล่อยไว้อย่างนี้คงไม่ได้การ
ฮยองจุนจึงเข้าไปล้างหน้าตั้งสติในห้องนํ้า ก่อนจะปั้นสีหน้าให้ดูเป็นปกติแล้วเดินออกมา
เมื่อไปที่โต๊ะกินข้าวก็เห็นอาหารมากมายที่ปกติแค่เห็นก็ทำเอานํ้าลายไหลจัดเตรียมไว้
แต่วันนี้เขาไม่อยากอาหารเลยสักนิด
“นั่งสิ สงสัยแม่ฮยองจุนคงจะสั่งเป็นพิเศษ
ซี่โครงตุ๋นของโปรดแกนี่นา”
ประธานใหญ่อีคยองโฮดูอารมณ์ดีที่ได้กินข้าวกับหลานชายหลังจากไม่ได้กินด้วยกันมานาน
“ทานแล้วนะครับ”
เมื่อฮยองจุนนั่งลงแล้วจับตะเกียบตั้งท่าจะคีบอาหาร
รองประธานใหญ่อีเซจุนก็พูดขึ้นทันที
“อ้อ ผมยังไม่ได้แจ้งพ่อเลย
ผมคิดว่าเราควรส่งฮยองจุนไปเวียดนามครับ”
ใจฮยองจุนตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
ประธานใหญ่อีคยองโฮย้อนถามสีหน้างุนงง
“เวียดนาม? เพิ่งย้ายมาธนาคารได้ไม่เท่าไหร่เอง
จำเป็นต้องส่งฮยองจุนไปด้วยเหรอ”
“กลุ่มผู้บริหารเดิมมีแนวทางที่แน่วแน่ครับ
พวกเขาพยายามยึดถือวิธีการเดิมของตัวเอง
แทนที่จะปรับวิธีคิดให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เวียดนามเป็นที่สำคัญที่ทำให้ธนาคารชินยองของเราก้าวกระโดดได้
สังคมเวียดนามก็กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกันถือเป็นประเทศกำลังพัฒนาของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มองข้ามไม่ได้ครับ”
ฟังผ่าน ๆ ก็มีความเป็นไปได้
แต่กลุ่มผู้บริหารเดิมจะหัวแข็งกันทุกคนเลยงั้นเหรอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมื่อมีเพียงไม่กี่ประเทศที่ระบบการเงินบนโซเชียลมีเดียพัฒนาเหมือนเกาหลี
แต่ในมุมของครอบครัว
ถ้ามองในแง่ว่าฮยองจุนจะเป็นผู้บริหารชินยองไฟแนนเชียลกรุ๊ปในอนาคต
ก็ไม่ใช่เรื่องไม่สมเหตุสมผล ประธานใหญ่อีคยองโฮจึงพยักหน้า
“ก็จริง
ต้องให้คนไฟแรงอย่างฮยองจุนของพวกเราพาบริษัทไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ถึงจะครองความเป็นผู้นำตลาดได้”
“ใช่ครับ ดังนั้น...”
ถ้าขืนเป็นแบบนี้
เขาคงต้องไปเวียดนามอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ฮยองจุนบีบต้นขาตัวเองแล้วพูดแทรกขึ้น
“คือ...เลื่อนการเดินทางไปเวียดนามออกไปสักพักดีไหมครับ”
“ทำไม
แกกลัวว่าไปที่นั่นแล้วจะไม่ได้เที่ยวเล่นหรือไง
หยุดคิดอะไรไร้สาระแล้วเตรียมตัวซะ”
ขณะเขาชะงักไปเพราะนํ้าเสียงบีบบังคับของรองประธานใหญ่อีเซจุนประธานใหญ่อีคยองโฮก็ถาม
“ทำไมล่ะ
แกคงไม่ได้คิดจะเที่ยวเล่นเลยไม่อยากไปเหมือนที่พ่อแกพูดใช่ไหม”
“ครับ”
“ถ้างั้นก็มีเหตุผลสินะ อะไรล่ะ”
ฮยองจุนปรับลมหายใจครู่หนึ่งแล้วตอบ
“ผมคิดว่าจะขายอู่ต่อเรือกุนซานที่ตอนนี้ปิดกิจการอยู่ครับ”
“ขายอะไรนะ”
“อู่ต่อเรือกุนซานที่มูจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ก่อตั้งขึ้น
ก่อนจะไล่พนักงานออกจนตอนนี้...”
ขณะฮยองจุนกำลังพูด
รองประธานใหญ่อีเซจุนก็ตะโกนออกมา
“แกกำลังทำเรื่องไร้ประโยชน์!
นั่นมันของในตลาดมือสองหรือไง คิดจะซื้อจะขายตามใจชอบได้เหรอ”
“ใช่
นั่นไม่ใช่ของที่แกทำอะไรตามอำเภอใจได้นะ”
ประธานใหญ่อีคยองโฮเองก็ส่ายหน้าและกล่าวด้วยสีหน้าทำนองว่าไม่มีทางทำได้
ฮยองจุนคาดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
นํ้าเสียงโต้แย้งของเขาจึงเต็มไปด้วยพลัง
“สภาเทศบาลเมืองกุนซานกำหนดแนวทางแล้วว่าขยายระยะเวลาสัญญาเข้าร่วมกลุ่มอุตสาหกรรมไม่ได้ครับ
ถ้าขยายระยะเวลาไม่ได้
มูจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์จะต้องเสียเครื่องมืออำนวยความสะดวกขนาดใหญ่ทั้งหมดที่ติดตั้งอยู่ในอู่ต่อเรือครับ”
“ไม่ยอมให้ต่ออายุสัญญางั้นเหรอ”
ทันทีที่สายตาประธานใหญ่อีคยองโฮเปลี่ยนไป
รองประธานใหญ่อีเซจุนก็รีบพูดขึ้น
“ไม่มีทางครับ
มูจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์คือบริษัทระดับไหนกัน
มูจินยึดอำนาจทางการเมืองรวมถึงสื่อไว้แน่นเลยนะครับ แค่ค่าโฆษณาที่มูจินมอเตอร์จ่ายให้หนังสือพิมพ์โครยออิลโบก็มหาศาลแล้ว
พวกเขาจะปล่อยไปเฉย ๆ เหรอครับ”
สายตาประธานใหญ่อีไม่ผละจากใบหน้าฮยองจุน
“แกมีเหตุผลที่มั่นใจหรือไง”
“ผมมีเหตุผลที่มั่นใจ
แต่บอกคุณปู่ตอนนี้ไม่ได้ครับ เพราะยังจัดการไม่เรียบร้อย ผมไม่ได้แค่พูดตามความคิดเท่านั้น
ตอนนี้งานคืบหน้าพอสมควรแล้ว มีความเป็นไปได้แน่นอนครับ”
รองประธานใหญ่อีเซจุนแค่นหัวเราะ
“สมมติว่าต่ออายุสัญญาไม่ได้
แล้วเราจะแตะต้องมันได้ยังไง”
“หลังจากสภาเทศบาลประกาศอย่างเป็นทางการว่าไม่อนุญาตให้ต่อสัญญาเช่า
ธนาคารชินยองจะได้รับเลือกให้เป็นผู้ดูแลการซื้อขายครับ”
พอมาถึงตรงนี้ ประธานใหญ่อีคยองโฮก็ถามขึ้น
“แกคุยกับใครมา”
“ผมเจรจากับคนที่จะเป็นนายกเทศมนตรีเมืองกุนซานคนต่อไปเรียบร้อยแล้วครับ”
“เรียบร้อยแล้ว?”
“ครับ”
“งั้นแกก็ไม่ได้แกล้งอิดออดเพราะไม่อยากไปเวียดนามสินะ”
“คุณปู่ ไม่มีเหตุผลที่ผมจะไม่อยากไปเวียดนามเลยครับ
แต่นี่เป็นโปรเจกต์ที่ผมอยากดำเนินการเพื่อบริษัทของเรา
โปรเจกต์นี้จะทำให้บริษัทได้รับผลตอบแทนมหาศาลแน่นอนครับ”
รองประธานใหญ่อีเซจุนแทรกขึ้น
“ไร้สาระสิ้นดีครับ
นั่นไม่ใช่ของที่น่าดึงดูดใจเลย มีแต่จะทวนกระแสลมจนทำให้เกิดความวุ่นวายโดยใช่เหตุครับ”
ประธานใหญ่อีคิดว่าคำพูดนั้นมีเหตุผลจึงถามต่อ
“คิดราคาไว้ประมาณเท่าไหร่”
“ประมาณเจ็ดถึงแปดแสนล้านครับ”
“เจ็ดแสนล้านงั้นเหรอ...อุตสาหกรรมต่อเรือเพิ่งฟื้นตัวได้ไม่นาน
มีแค่ไม่กี่บริษัทที่มีเงินสดจำนวนเท่านั้น แล้วถ้าคิดไปถึงเรื่องต้องจ้างพนักงานอีกเป็นพัน
เงินที่ต้องใช้ลงทุนก็มากเกินกว่าจะประมาณ ใครจะทำแบบนั้นได้ไม่แปลกที่พ่อแกกังวล”
“ผมทราบครับ”
“แต่แกก็ยังคิดว่าจะเป็นไปได้งั้นเหรอ”
“ถึงผมจะยืนยันไม่ได้
แต่ตั้งแต่แรกนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจลงมือจากความเป็นไปได้นี่ครับ”
“ถ้างั้น?”
“กำหนดผู้ซื้อไว้แล้วครับ”
ประธานใหญ่อีคยองโฮวางช้อนในมือลง
“กำหนดผู้ซื้อไว้แล้ว?”
“ครับ”
“บริษัทไหนจะซื้อมัน”
“ขอโทษครับ ตอนนี้ผมยังบอกไม่ได้”
เขาไม่ได้กังวลว่าความลับจะรั่วไหลแล้วเกิดปัญหา
ไม่ว่าพ่อจะพุ่งเป้ามาที่ตัวเขาอย่างไร หรือต่อให้เรื่องราวของฮยอนจินการผลิตปูดออกมาขณะที่ปู่กำลังมองอยู่นี้
ก็จะไม่มีปัญหาใหญ่เกิดขึ้น
ปัญหาคือหากพูดถึงฮยอนจินการผลิตตั้งแต่ตอนนี้
เป็นไปได้ว่าโปรเจกต์นี้จะเปลี่ยนเป็นของชินยองไฟแนนเชียลกรุ๊ป
ไม่ใช่ของฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ธนาคารชินยอง
แน่นอนว่าถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็ต้องไปเวียดนามด้วย
อาจจะปลอบด้วยคำว่า
‘ตั้งแต่นี้ไปเราจะดูแลโปรเจกต์นี้เอง แกจดจ่อกับงานที่เวียดนามแล้วกัน’
สำหรับฮยองจุน
ฮยอนจินการผลิตคือเชือกที่ปล่อยไม่ได้เด็ดขาด
“แม้แต่กับฉัน?”
“ขอโทษครับ
นี่เป็นงานที่ผมกำลังจัดการอยู่ ถ้าดำเนินการเรียบร้อยแล้วผมจะบอกนะครับ
และถ้าออกข่าวในภายหลังก็จะทราบเองครับ”
มุมหนึ่งดูเป็นการอวดดี
แต่ประธานใหญ่อีกลับยิ้มอย่างชอบใจความกล้าหาญของหลานชาย
“คงไม่ใช่คำพูดเหลวไหลใช่ไหม”
“คุณปู่ ผมไม่ใช่เด็กนะครับ
ผมกำลังพูดในฐานะหัวหน้าฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ของธนาคารชินยองครับ แผนการถูกวางไว้แล้ว
นายกเทศมนตรีคนต่อไปของกุนซานจะใช้อู่ต่อเรือกุนซานหาเสียงเลือกตั้ง
พวกเราก็แค่เดินตามให้ทันเท่านั้นครับ”
“แค่นั้นเหรอ”
“ครับ ตอนนี้ก็แค่รอเสนอข่าว”
“ข่าวอะไร”
“ขั้นแรกคือข่าวว่าธนาคารเพื่อการพัฒนาจะระงับการขายแฮจูชิปบิลดิ้งแอนด์มารีนให้มูจินเฮฟวี่อินดัสทรีส์ครับ”
ประธานใหญ่อีคยองโฮแปลกใจจริง ๆ
จนมองหน้าฮยองจุนอยู่สักพักก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมาอีกครั้ง
แต่อยู่ ๆ ก็ถามเหมือนเพิ่งคิดออก
“ให้ฉันช่วยอะไรไหม”
“ผมจะขอบคุณมากครับ
ถ้าหลังจากนี้คุณปู่ยอมช่วยเหลือประธานธนาคารเพื่อการพัฒนาสักครั้งเมื่อถึงเวลา”
“ช่วงนี้ฉันกำลังเบื่อพอดีเพราะไม่มีอะไรทำ
กินข้าวเถอะ ซุปถั่วงอกนี่ชุ่มคอดี”
“โอเคครับ”
ด้วยเหตุนี้เรื่องเดินทางไปเวียดนามจึงถูกเลื่อนออกไป
ฮยองจุนกำหมัดอยู่ใต้โต๊ะซ่อนอาการยินดีไว้
ส่วนรองประธานใหญ่อีเซจุนตักข้าวกินสีหน้านิ่งสงบ
อย่างไรก็ตาม ฮยองจุนไม่ได้โง่จนไม่สังเกตเห็นความโกรธเคืองที่ซ่อนอยู่ในแววตาอีกฝ่าย
[1]
หมายถึง ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายโดยไม่ต้องทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น